--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันอังคารที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2556

ธปท.คาด 7 ปี กู้ 2 ล้านล้าน ได้เพียง ร้อยละ 70 !!?


กมธ. พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาทเชิญตัวแทนธปท.และผอ.สำนักบริหารหนี้ชี้แจง คาด7 ปีกู้2ล้านล้านได้เพียง70%

การประชุมคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งประเทศ หรือ พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาท เมื่อวานนี้(29 เม.ย.) มีนายวราเทพ รัตนากร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะรองประธานคนที่ 1 ทำหน้าที่ประธานการประชุม เป็นการพิจารณามาตราที่ 5 เรื่องการให้อำนาจกระทรวงคลังมีอำนาจกู้เงินบาท หรือเงินตราต่างประเทศในนามรัฐบาลไทยเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื่้นฐานด้านคมนาคมตามยุทธศาสตร์และแผนงานที่กำหนด ในวงเงินไม่เกิน 2 ล้านล้านบาท ไม่เกินวันที่ 31 ธันวาคม 2563

โดยเป็นคิวที่ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) และ ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ ต้องมาชี้แจง อย่างไรก็ตาม นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าธนาคารแห่งประเทศ ไม่ได้มา แต่ส่งน.ส.พรเพ็ญ สดศรีชัย จากฝ่ายเศรษกิจการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย มาชี้แจงแทน ซึ่งกรรมาธิการจากพรรคประชาธิปัตย์ อาทิ นายกรณ์ จาติกวนิช อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายเจือ ราชสีห์ และนายพีระพันธ์ สาลีรัฐวิภาคได้บอกว่า อยากให้ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย มาชี้แจงด้วยตัวเอง เพราะถือว่าเป็นเรื่องสำคัญของประเทศ เป็นการกู้ครั้งใหญ่ของประเทศ และมีผลกระทบหลายด้าน และถือได้ว่าเป็นนโยบายบายของรัฐบาล ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ต้องมีนโยบายรองรับนโยบายรัฐบาลด้วย คนที่ต้องให้ข้อมูลคือผู้ว่าฯหรือผู้บริหารระดับสูงขององค์กร ประธานที่ประชุมจึงบอกว่าจะเชิญผู้ว่าแบงก์ชาติมาอีกครั้ง

กรรมาธิการซีกพรรคประชาธิปัตย์ ได้ถามตัวแทนธนาคารแห่งประเทศ ว่า อยากให้พูดถึงสภาพแวดล้อมทางการเงิน เพราะการกู้ยืมจะมีผลกระทบต่อตลาดเงินอย่างแน่นอน สถานะทางการเงินของประเทศเป็นอย่างไร สภาพคล่องต่อการกู้ยืมเงินหรือไม่ และมุมมองแบงค์ชาติ ได้พิจารณาความเหมาะสมของการกู้ยืมเงิน และผลกระทบที่อาจจะตามมาในการกู้ยืมเงินในลักษณะนี้หรือไม่สภาพคล่องประเทศจะเป็นอย่างไร และมีผลกระทบต่อการบริหารนโยบายการเงินหรือไม่ จะมีผลกระทบต่อเงินเฟ้อหรือไม่ ขยับขึ้นขยับลงเท่าไหร่ จะทำให้เกิดฟองสบู่หรือไม่ รัฐบาลถามความเห็นแบงค์ชาติหรือไม่ หากช่วงนี้ค่าเงินบาทแข็ง การกู้ต่างประเทศหรือในประเทศอันไหนดีกว่ากัน และทุนสำรองระหว่างประเทศมีผลหรือไม่อย่างไรกับการลงทุนครั้งใหญ่รัฐบาล

น.ส.พรเพ็ญ ชี้แจงว่า จะมีผลกระทบต่อสภาพคล่องหรือตลาดการเงินมากน้อยแค่ไหน อยู่ที่แนวทางดำเนินการ ว่า มีการกระจายการกู้เงินในช่วง7 ปีหรือไม่ จะต้องมีการกระจายการกู้เงิน 7 ปี และหลีกเลี่ยงกู้ล็อตใหญ่ๆในคราวเดียว จะช่วยลดผลกระทบต่อสภาพคล่อง ซึ่งสิ่งที่รัฐบาลตั้งใจจะทำงบประมาณสมดุล และถ้าเป็นเงินนอกงบประมาณ วงเงินกู้รวมในแต่ละปี ก็จะไม่มากจนเกินไป ถ้าลดการกู้เงินในงบประมาณ น่าจะช่วยลดผลกระทบลงได้บ้าง และวางแผนการกู้เงินในทางปฎิบัติอย่างเหมาะสม และสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.)ก็หารือกับแบงค์ชาติอยู่สม่ำเสมอ และถ้ากู้มาแล้ว เร่งใช้จ่ายตามแผนงาน หลีกเลี่ยงการกู้มากอง เงินจะหมุนเวียนในระบบ ถ้าทำได้ตามนี้ก็จะไม่กระทบมากนัก

"ถ้าเร่งใช้จ่ายมากขึ้น เศรษฐกิจขยายตัวมากขึ้น น่าจะช่วยลดทอนผลกระทบต่อสภาพคล่องและอัตรราดอกเบี้ย ซึ่งเข้าใจว่ารัฐบาลพยายามที่จะเร่งรัดให้ใช้จ่ายเงินเร็วอยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม ช่วง7 ปี คาดว่าจะกู้ 70 เปอร์เซ็นของแผนงานที่ตั้งไว้ ประมาณ 1.4 ล้านล้านทั้งโครงการ หลังจากนั้นก็มีการทำงานโครงการต่อเนื่อง หลังจากปี 2563"

น.ส.พรเพ็ญ ชี้แจงต่อว่า ส่วนเรื่องฟองสบู่ ยังไม่มีการศึกษา ผลกระทบจากโครงการ 2 ล้านล้าน อย่างไรก็ตามโครงการอสังหาริมทรัพย์ต่างจังหวัดขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ไม่เฉพาะโครงการ 2 ล้านล้านเท่านั้น

ตัวแทนแบค์ชาติ ชี้แจงว่า เรื่องทุนสำรองระหว่างประเทศ เป็นแค่จุดจุดหนึ่ง และไม่ได้ลิ้งกับโครงการ 2 ล้านล้านส่วนการจะนำเงินทุนสำรองของแบงก์ชาติมาใช้ลงทุนในโครงการ 2 ล้านล้านบาทได้หรือไม่เงินสำรองฯส่วนหนึ่งเป็นเงินที่ใช้สำหรับการดำเนินนโยบายการเงิน ขณะเดียวกันเรายังเป็นหนี้ต่างชาติ ติดลบอยู่นิดหน่อย

"เงินสำรองที่มีอยู่เพื่อใช้ในการบริหารสภาพคล่อง เงินสำรองเพื่อดูแลบริหารอัตรราคาแปลกเปลี่ยน เผื่อต่างชาติต้องการนำเงินออกไป"

ผู้บริหารแบงก์ชาติ กล่าวอีกว่า ภาพรวมฐานะการลงทุนระหว่างประเทศของแบงก์ชาติ โดยสุทธิติดลบนิดหน่อย บทบาทแบงค์ชาติ เป็นฝ่ายตั้งรับ สุดท้ายเราจะดูเรื่องการดูดหรือปล่อยสภาพคล่องอย่างไร ในตลาดเป็นตัวกำหนดแบงก์ชาติไม่ได้เป็นคนกำหนด

จากนั้นได้กมธ.ได้ให้สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ เข้าชี้แจง โดยกมธ.ได้ถามกมธ. ว่า รัฐบาลจะกู้เงินบาทจำนวนเท่าไหร่ เงินตราต่างประเทศเท่าไหร่ โครงการไหนบ้างเป็นเงินบาทและโครงการไหนเป็นเงินตราต่างประเทศ

น.ส.จุฬารัตน์ สุธีธร ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ ชี้แจงว่า การกู้ในประเทศหรือต่างประเทศ กำหนดไว้ว่ากู้ในประเทศหรือต่างประเทศก็ได้ แต่ต้องดูว่า โครงการควรกู้ ในประเทศหรือต่างประเทศ หรือความต้องการของโครงการ และภาวะตลาดหรือต้นทุนที่เหมาะสมด้วย ต้องพิจารณาจากหลายองค์ประกอบ ต้องคำนึงถึงต้นทุน ความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนและดอกเบี้ย ทั้งนี้ยืนยันว่าทุกโครงการกู้ในประเทศก่อน ซึ่งจะกู้ภายใน 31 ธ.ค.2563 แน่นอน และหากโครงการยังไม่ผ่านขั้นตอน จะกู้ไม่ได้ และหลังจากวันที่ 31 ธ.ค. 2563 นั้นก็ไม่กู้ แต่เบิกจ่ายที่มีการลงนามโครงการแล้วได้

จากนั้นที่ประชุมได้ถกเถียงกันเรื่อง ว่า ทำไมต้องกู้ภายในวันที่ 31 ธ.ค.63 และกู้ภายใน31 ธ.ค. หมายความว่าอย่างไร ซึ่ง ผอ.สบน. ชี้แจงว่า ในแง่กฎหมายได้กำหนดเวลาว่าการใช้เงิน ในโครงสร้างพื้นฐาน ประเมินการว่าใช้เวลาดำเนินการ 7 ปี และเราต้องทำสัญญากู้ให้แล้วเสร็จภายใน 31 ธ.ค.63

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
///////////////////////////////////////////////////////////////////

วันจันทร์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2556

ก.เกษตร เตรียมปรับโครงสร้างส่วนราชการรับอาเซียน !!?


นายชวลิต  ชูขจร ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์  กล่าวว่า  เพื่อให้สอดคล้องกับมติของคณะรัฐมนตรีที่ต้องการให้ทุกส่วนราชการพิจารณาปรับปรุงระบบงานและทบทวนบทบาทภารกิจให้มีความเหมาะสม เพื่อให้ภาคราชการเป็นองค์กรขนาดเหมาะสมที่มีศักยภาพการทำงานและเพิ่มคุณภาพการให้บริการกับประชาชน

ประกอบกับรัฐมนตรี ว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้มีนโยบายสำคัญในการขับเคลื่อนภาคการเกษตรให้  “เกษตรกรไทยเป็น  Smart Famer โดยมี  Smart Officer  เป็นเพื่อนคู่คิด”  มีการพัฒนามาตรฐานคุณภาพสินค้าเกษตร การเพิ่มศักยภาพด่านสินค้าเกษตรชายแดน  มีนโยบายให้ไทยเป็นศูนย์เครื่องจักรกลการเกษตร  เป็นเมืองเกษตรสีเขียว  รวมถึงให้ไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตเมล็ดพันธุ์พืช   การบริหารจัดการเขตเกษตรเศรษฐกิจสำหรับสินค้าเกษตรที่สำคัญ  ตลอดจนการเพิ่มพื้นที่ชลประทาน     เพื่อตอบสนองนโยบายประเทศและสร้างประโยชน์โดยตรงให้กับเกษตรกร  โดยการบูรณาการการทำงานและพัฒนาทั้งในเชิงพื้นที่  การจัดการรายสินค้าและบุคคลากรและเจ้าหน้าที่รัฐ

นายชวลิต  กล่าวว่า  กระทรวงเกษตรและสหกรณ์  จึงได้ดำเนินการปรับปรุงระบบการทำงานและจัดโครงสร้างหน่วยงานภายใต้แผนยุทธศสตร์การพัฒนาหน่วยงานของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พ.ศ. 2554-2556  ซึ่งขณะนี้ อยู่ระหว่างการพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) โดยวิเคราะห์ความเชื่อมโยงทั้งด้านกฏหมายที่เกี่ยวข้อง  ตั้งแต่รัฐธรรมนูญจนถึงกฎหมายด้านการเกษตร ความเชื่อมโยงระหว่างนโยบายและแผนยุทธศาสตร์ระดับต่างๆ  เพื่อทบทวนการทำงานของกระทรวง และนำไปวิเคราะห์การปรับปรุงบทบาทภารกิจต่างๆ ให้เหมาะสม  โดยได้กำหนดประเด็นยุทธศาสตร์ให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของกระทรวงใน 2 ประเด็น คือ การพัฒนากระบวนการและรูปแบบการทำงานและการพัฒนาโครงสร้างและปรับปรุงบทบาทภารกิจของส่วนราชการ ซึ่งในการจัดทำแผนดังกล่าวได้ใช้กระบวนการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน  โดยเปิดโอกาสให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งเกษตรกร ภาคเอกชน และภาคส่วนที่เกี่ยวข้องเข้ามามีส่วนรับรู้และเสนอความคิดเห็นได้โดยอิสระ  ซึ่งเน้นให้มีการเตรียมโครงสร้างองค์กรในทุกส่วนราชการ  3  ด้าน  ได้แก่  ด้านมาตรฐาน   ด้านต่างประเทศและด้านภูมิภาค

ทั้งนี้  ในส่วนด้านมาตรฐานได้กำหนดหน่วยงานรับผิดชอบหลักในการให้บริการเกษตรกรและประชาชนทั่วไปเกี่ยวกับมาตรฐานสินค้าเกษตร  การตรวจสอบสินค้าเกษตรทั้งการส่งออกและนำเข้า  เพื่อให้สินค้าเกษตรมีความปลอดภัย ต่อผู้บริโภคทั้งภายในและต่างประเทศ  ส่วนด้านต่างประเทศนอกจากมีหน่วยงานที่รับผิดชอบภารกิจต่างประเทศที่ชัดเจนแล้ว  ได้เตรียมการจัดตั้งกองเกษตรอาเซียนเป็นหน่วยงานภายในสำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์  ซึ่งจะทำหน้าที่จัดทำนโยบายในภาพรวม  เป็นหน่วยงานกลางในการบูรณาการภารกิจด้านต่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับอาเซียน   เป็นการเฉพาะ ทั้งงานมาตรฐานสินค้า  การเจรจาการค้า  และความร่วมมือทางวิชาการ รวมทั้งเป็นศูนย์กลางข้อมูลด้านการเกษตรเกี่ยวกับอาเซียนทั้งหมด  สำหรับในส่วนภูมิภาคได้กำหนดหน่วยงานให้บริการในระดับพื้นที่  เพื่อให้บริการทางด้านการเกษตรกับเกษตรกรได้อย่างทั่วถึง  ทั้งการถ่ายทอดเทคโนโลยีทางด้านการเกษตร  การส่งเสริม และสนับสนุนการทำการเกษตร ตลอดจนแก้ไขปัญหาต่างๆ  โดยเน้นการทำงานในเชิงรุกซึ่งจะทำให้การจัดการโรคพืชและโรคสัตว์ในระดับพื้นที่ดำเนินการได้ทันต่อสถานการณ์และสามารถป้องกันการแพร่ระบาดไปสู่พื้นที่อื่นๆ รวมทั้งสามารถช่วยเหลือเกษตรกรจากกรณีภัยพิบัติด้านต่างๆ ได้รวดเร็วยิ่งขึ้น

นอกจากนี้  ได้ให้ความสำคัญกับการช่วยเหลือเกษตรกรในการทำฝน  เพื่อเพิ่มปริมาณน้ำในพื้นที่เกษตรกรรม เขื่อนหรือพื้นที่เก็บกักน้ำ  เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยแล้งและภัยธรรมชาติอื่นๆ โดยจัดตั้งกรมฝนหลวงและการบินเกษตร  เพื่อให้สามารถบริหารจัดการการปฏิบัติการฝนหลวงได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น  ทั้งนี้  การเตรียมปรับปรุงโครงสร้างส่วนราชการดังกล่าว  จะทำให้กระทรวงมีความพร้อมที่จะขับเคลื่อนงานพัฒนาการเกษตรของประเทศได้อย่างคล่องตัวและเป็นประโยชน์ต่อเกษตรกร ประชาชนและประเทสชาติยิ่งขึ้น

ที่มา.นสพ.ฐานเศรษฐกิจ
//////////////////////////////////////////////////////////////////

ศึก 2 ขั้วอำนาจ เพื่อไทย ดับเครื่องชนศาล รธน. !!?


นับตั้งแต่ประเทศเปลี่ยนแปลงการปกครอง 24 มิถุนายน 2475

ไม่เคยมีครั้งใดที่เกมอำนาจจะพัดพาความขัดแย้งระหว่างฝ่ายนิติบัญญัติกับฝ่ายตุลาการเข้าสู่หนทาง DeadLock ได้มากเท่าครั้งนี้

กลายเป็นสงครามระหว่าง 2 ใน 3 เสาอำนาจแห่งระบอบประชาธิปไตยที่ต้องสู้รบปรบมือกันเอง ทางชั้นเชิงความคิด และชั้นเชิงกฎหมาย

กลายเป็นสงครามแห่งดุลอำนาจ "นิติบัญญัติ" กับ "ตุลาการ"

ฉากสงครามเกิดขึ้นเมื่อฝ่าย "ตุลาการ" โดยศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องของ "สมชาย แสวงการ" ส.ว.สายสรรหา ที่ยื่นร้องต่อศาล โดยใช้สิทธิ์ตามมาตรา 68 เพื่อให้ยับยั้งไม่ให้สภาดำเนินการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 68 ของรัฐสภา เพราะเป็นการจำกัดสิทธิของประชาชน

ท่าทีในครั้งนั้นฝ่ายนิติบัญญัติเทียบเคียงว่า ฝ่ายตุลาการได้ดำเนินการเสมือนส่งสาส์นท้ารบมาเป็นที่เรียบร้อย

โดยศาลได้ทำสำเนาคำร้องส่งไปยัง ส.ส.-ส.ว. จำนวน 312 คน ในฐานะผู้ถูกร้องถึงประตูรั้วบ้าน พร้อมทั้งให้ทำคำชี้แจงกลับมายังศาลภายในระยะเวลา 15 วัน หากไม่ส่งคำชี้แจงถือว่า "ไม่ติดใจ"

ด้านฝ่าย "นิติบัญญัติ" อันประกอบด้วย ส.ส.และ ส.ว.รวม 312 คน แก้เกมกลับ ยึดกลศึกกำหนดท่าทีคัดค้าน โดยมองว่า การรับคำร้องของศาลตามมาตรา 68 เท่ากับเป็นการใช้อำนาจตุลาการก้าวล่วงอำนาจของฝ่ายนิติบัญญัติ ที่กำลังใช้อำนาจหน้าที่ในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ

ปฏิบัติการตอบโต้ศาลรัฐธรรมนูญจึงเริ่มต้นทันที เมื่อพรรคเพื่อไทยอ่านแถลงการณ์ไม่ยอมรับอำนาจศาลโดย "อำนวย คลังผา" ประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล (วิปรัฐบาล)

"การที่ศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องไว้พิจารณาอาจเข้าข่ายจงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ ผลของการกระทำดังกล่าวจะทำลายรูปแบบการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขที่ยึดหลักการแบ่งแยกอำนาจเป็นสำคัญ"

เจตนารมณ์ 2 ข้อถูกบัญญัติขึ้นดังนี้ 1.ศาลรัฐธรรมนูญย่อมต้องผูกพันและปฏิบัติตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ การรับคำร้องโดยที่ไม่มีบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญให้อำนาจย่อมเป็นการกระทำที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 3 มาตรา 97 และมาตรา 291 2.การที่ศาลรัฐธรรมนูญจะรับคำร้องไว้พิจารณาตามมาตรา 68 ได้นั้นต้องเสนอเรื่องไปยังอัยการสูงสุดเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อน

ขณะเดียวกัน ทั้ง ส.ส.และ ส.ว.ที่ตกอยู่ในสถานะผู้ถูกร้อง ก็เตรียมวางแผน "อารยขัดขืน" ศาลรัฐธรรมนูญอย่างเป็นทางการ 2 ขั้นตอน

1.ไม่ส่งคำชี้แจงตามที่ศาลมีคำสั่ง พร้อมกับเตรียมออกแถลงการณ์อีก 1 ฉบับ ในนามฝ่ายนิติบัญญัติ ประกาศไม่ยอมรับอำนาจศาลรัฐธรรมนูญ

การตอบโต้ดังกล่าว มีวอร์รูมฝ่ายกฎหมายพรรคเพื่อไทยเป็นตัวตั้งตัวตี โดยเฉพาะการเขียนถ้อยคำในแถลงการณ์อ้างข้อกฎหมายอย่างละเอียดถี่ถ้วน เพื่อชี้ให้เห็นว่าศาลรัฐธรรมนูญกำลังใช้อำนาจตุลาการก้าวล่วงอำนาจฝ่ายนิติบัญญัติอย่างไร

โดยคนวงในที่ลงคลุกกับทีมกฎหมายพรรค เพื่อดูรายละเอียดทุกวรรค ทุกตัวอักษรในแถลงการณ์ ร่วมกับทีมกฎหมายพรรคเพื่อไทย และฝ่าย ส.ว.เลือกตั้ง คือ "โภคิน พลกุล" อดีตประธานรัฐสภา และอดีตรองประธานศาลปกครองสูงสุด

แหล่งข่าวจากทีมกฎหมายพรรคเพื่อไทยคาดการณ์ว่า การร่างแถลงการณ์ดังกล่าวจะแล้วเสร็จและประกาศต่อสาธารณะได้ราวต้นเดือนพฤษภาคม

2.ในเบื้องต้นมีการเตรียมยื่นถอดถอนองค์คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญที่เป็นเสียงข้างมากรับคำร้องนายสมชาย จำนวน 3 ราย ประกอบด้วย นายจรัญ ภักดีธนากุล, นายจรูญ อินทจาร, นายสุพจน์ ไข่มุกด์ รวมถึงรอดูกระบวนการพิจารณาคดีในบรรทัดสุดท้ายด้วยว่าคำวินิจฉัยจะออกมาเป็น "ลบ" หรือเป็น "บวก"

หากตุลาการคนใดมีคำวินิจฉัยส่วนตนเป็นลบ ก็จะถูกยื่นถอดถอนรวมกับตุลาการ 3 คนแรก เพียงแต่เวลานี้การกระทำความผิดของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญยังไม่สำเร็จ ทางฝ่ายกฎหมายพรรคเพื่อไทยจึงต้องหยั่งท่าที-ดูเชิงไปก่อน

ขณะเดียวกัน ยังเตรียมใช้ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ มายื่นฟ้องตุลาการคู่ขนานกันไปด้วย

เป็นการเอาผิดทั้งแง่การถอดถอนออกจากตำแหน่ง คู่ขนานกับการเอาผิดทางอาญา

แม้ฝ่ายนิติบัญญัติเตรียมวางแผนหาทางออก ดูทางทีหนีทีไล่ไว้ครบทุกประตู แต่ก็ยังไม่มั่นใจว่าในตอนจบ ศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัยออกมาอย่างไร จึงทำให้ ส.ส.และ ส.ว.บางส่วน ถึงขั้นหวาดกลัวอำนาจฝ่ายตุลาการ

บางเสียงในวอร์รูมฝ่ายกฎหมายพรรคเพื่อไทยเสนอไอเดียว่า ที่ประเมินจากสถานการณ์ขั้น "เลวร้ายที่สุด" ว่าควรชิงลงมือปิดเกมแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 ให้เร็วที่สุด เพื่อปิดช่องทางไม่ให้ศาลใช้อำนาจคุกคามเหมือนครั้งที่เบรกการแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 291 ที่ยังคาการลงมติในวาระ 3 จนถึงวันนี้

ไม่เพียงยุทธการจากฝ่ายนิติบัญญัติใช้ตอบโต้กับอำนาจตุลาการเท่านั้น หากยังมีการเล่นเกมมวลชนมากดดันศาลรัฐธรรมนูญในคราวเดียวกัน

ทั้งในรูปของการชุมนุมกดดันบริเวณด้านหน้าศาลรัฐธรรมนูญ ถ.แจ้งวัฒนะ

ทั้งการเข้าแจ้งความให้ดำเนินคดีกับตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ

รวมถึงการระดมกำลังจัดเวทีปราศรัยทั่วประเทศ โดยขนขุนพล ส.ส.มนุษย์พันธุ์พิเศษทุกประเภท ทั้งบู๊-บุ๋น-ฮาร์ดคอร์เดินสายฉายภาพให้ชาวบ้านเห็นว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญของสภา กำลังถูกอำนาจตุลาการก้าวล่วง โดยเวทีเริ่มต้นที่จังหวัดอุดรธานี อันเป็นเมืองหลวงของคนเสื้อแดง

นอกจากนี้ พรรคเพื่อไทยยังไฟเขียวให้ ส.ส.จัดเวทีปราศรัยย่อยลงไปในพื้นที่ต่าง ๆ ไม่ว่าในนามพรรคหรือในนามส่วนตัว โดยเฉพาะ ส.ส.เสื้อแดงหลายคนเตรียมตั้งเวทีปราศรัยในพื้นที่เขตเลือกตั้งของตัวเอง

ดังนั้น หากผลการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญออกมาเป็นลบกับพรรคเพื่อไทย มวลชนเสื้อแดงก็จะถูกปลุกขึ้นมาเรียกร้องความเป็นธรรมให้พรรคเพื่อไทยทันที

ขณะที่ศาลรัฐธรรมนูญก็เตรียมยุทธวิธีตอบโต้ โดย "วสันต์ สร้อยพิสุทธิ์" ประธานศาลรัฐธรรมนูญ สั่งการคณะทำงานรวบรวมหลักฐานการชุมนุมทั้งหมด เพื่อเดินเกมฟ้องกลับผู้ชุมนุมในข้อหาหมิ่นศาล

"วสันต์" เทียบเคียงเคสตัวอย่างในอดีต กรณีถูกนางกรองทอง ทนทาน หรือดีเจป้อม จังหวัดอุดรธานี ด่าทอดูหมิ่น ครั้งมีการชุมนุมหน้ารัฐสภา

"ส่วนตัวก็ไม่ได้รู้สึกกังวลอะไร เพราะคิดว่าน่าจะเป็นคนที่ไม่ค่อยรู้เรื่องรู้ราวมากกว่า ตอนดีเจป้อม ผมก็ฟ้องศาลอาญาใน 4 ข้อหา ในฐานะดูหมิ่นศาล ดูหมิ่นเจ้าพนักงานด้วยการโฆษณา โดยใช้ทนายจากสำนักงานทนายของคนพรรคเพื่อไทย คือสำนักงานทนายนิติทัศน์ศรีนนท์"

"ศาลพิจารณาแล้วเห็นว่าคดีมีมูลประทับรับฟ้อง นางกรองทองก็ยื่นขอประนีประนอมจะขอขมา ศาลสั่งเลื่อนไปพิจารณาในวันที่ 27 พ.ค.นี้ ซึ่งผมก็ยังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะรับคำขอขมาหรือเปล่า ดังนั้น ที่ชุมนุมกันที่หน้าสำนักงานอยู่ขณะนี้ ก็กำลังรวบรวมข้อมูลอยู่ ผมตามเก็บหมด ไม่ฟังเสียงหรอก"

ด้านความเคลื่อนไหวฝ่ายพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ฝั่งสนับสนุนศาล-คู่ขัดแย้งเบอร์หนึ่งของพรรคเพื่อไทย ก็เริ่มดำเนินการกระชากหน้ากากผู้ก่อการตัวจริงออกมาตีแผ่ให้ประชาชนรับทราบ

"อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" หัวหน้าพรรค เปิดเผยทุกครั้งที่ถูกถามความเห็นถึงกรณีศาลรัฐธรรมนูญว่า "ประชาชนต้องให้กำลังใจตุลาการ หากรัฐบาลยืนยันว่าไม่ได้เป็นคู่ขัดแย้งด้วย ก็ต้องออกมาทำหน้าที่ตัวเอง ออกมารักษาความสงบบ้านเมือง"

"ไม่ว่ากลุ่ม ส.ส. ส.ว. และคนเสื้อแดงจะใช้สิทธิ์อะไรก็ตาม รัฐบาลมีหน้าที่ดูแลให้เกิดความสงบเรียบร้อย ให้ทุกคนปฏิบัติหน้าที่ของตัวเองได้ ฉะนั้น หากยืนยันว่าไม่เกี่ยวข้อง ก็ต้องแสดงท่าทีว่ายังรักษากฎหมาย อำนวยความสะดวกให้กับศาลรัฐธรรมนูญ"

"ปัญหาคือถ้าเรายอมจำนนกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับศาลตอนนี้หรือไม่ มีการชุมนุม มีการกดดัน ถ้าเรายอม ต่อไปนี้ทุกอย่างในบ้านเมือง ก็เป็นเรื่องของใครมีกำลังมากกว่า มีพวกมากกว่า ก็สามารถที่จะทำอะไรได้ตามใจชอบ ไม่ต้องสนใจกฎกติกา"

นอกจากนั้น ทีมกฎหมาย ปชป.ยังประเมินว่า กระบวนการที่เกิดขึ้นทั้งหมดเป็นการ "ล้ำเส้น" ของฝ่ายนิติบัญญัติ ไม่ใช่จากฝ่ายตุลาการตามที่ถูกโจมตี เพราะสุดท้ายรัฐธรรมนูญยังคงให้อำนาจศาลไว้ชัดเจนแจ่มแจ้ง

นำมาซึ่งการแสดงจุดยืนในทิศทางเดียวกับศาลรัฐธรรมนูญ โดยให้เหตุผล 2 ข้อ เพื่อเรียกร้องให้ ส.ส.+ส.ว. 312 คนไปชี้แจงต่อศาลตามกระบวนการยุติธรรม

1.การไปยื่นคำชี้แจง ไม่ถือเป็นการยอมรับผิด แต่เป็นการดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรม ที่สุดท้ายผลลัพธ์ยังคงขึ้นอยู่กับคำวินิจฉัยของศาล มิได้ขึ้นอยู่กับท่าทีในการเดินทางชี้แจง

เคสตัวอย่างในอดีตจึงถูกยกขึ้นมาจากกรณีที่ "อภิสิทธิ์" ถูก "เรืองไกร ลีกิจวัฒนะ" อดีต ส.ว.สรรหา เคยขอให้ศาลพิจารณาว่า การเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอาจเป็นการกระทำที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ

"ในวันนั้นแม้พรรคจะประเมินแล้วว่า สิ่งที่ดำเนินการไปไม่ผิดกฎหมาย แต่ท่านอภิสิทธิ์ก็เดินทางไปชี้แจง ไปรับฟังข้อกล่าวหาตามกระบวนการยุติธรรม ซึ่งท้ายที่สุดศาลก็วินิจฉัยว่าท่านไม่ผิด มันก็แสดงให้เห็นว่า การไปชี้แจงต่อศาล ไม่ได้หมายความว่ายอมรับว่าผิดตั้งแต่ต้น"

2.ตราบใดที่รัฐธรรมนูญฉบับ 2550 ยังมีผลบังคับใช้ตามกฎหมาย ศาลรัฐธรรมนูญก็ยังคงมีอำนาจตามรัฐธรรมนูญ ฉะนั้น การไม่ดำเนินการตามขั้นตอน ก็มีความหมายว่าฝ่าฝืนกฎหมายเช่นกัน

"ถ้าพรรคเพื่อไทยจะไม่ฟังคำสั่งศาล ตัดสินใจดำเนินการต่อ ศาลก็ยังถือว่ามีอำนาจในการวินิจฉัยตามขั้นตอนได้ หากคำวินิจฉัยสุดท้ายบอกว่าผิด ทั้ง 312 คนก็ต้องผิดตามรัฐธรรมนูญ 2550"

ทีมกฎหมายจึงมองเกมไปไกลกว่าเดิม สร้างสมมติฐานสงคราม 2 ขาอำนาจ จากขาหนึ่ง ฝ่ายนิติบัญญัติ โดยพรรคเพื่อไทยยังตัดสินใจเดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญขาที่สอง ฝ่ายตุลาการ ยังเดินหน้าวินิจฉัยตามคำร้องดังกล่าว

ผลลัพธ์สุดท้ายจึงถูกสรุปออกมาว่า ทั้งฝ่ายนิติบัญญัติ-ตุลาการ ต่างต้องทำงานในมุมมองของตนแข่งกับเวลา

หากฝ่ายตุลาการดำเนินการตามขั้นตอนเสร็จก่อน กระทั่งมีคำวินิจฉัยหรือคำแนะนำที่เป็น "โทษ" ย่อมเป็นผลลบให้แก่ผู้ร่วมก่อการทั้ง 312 คน

หากฝ่ายนิติบัญญัติ-เพื่อไทยแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตรา โดยเฉพาะมาตรา 68 ที่พาดพิงถึงอำนาจศาลเสร็จสิ้นก่อน ย่อมไม่เป็นผลดีกับฝ่ายตุลาการ

"สิ่งที่เพื่อไทยต้องการปิดเกมเร็ว เพราะการแก้ไข ม.68 จะลดทอนอำนาจบางอย่างออกไป และเมื่อฝ่ายตุลาการเร่งไต่สวน วินิจฉัยเรื่องทั้งหมดไม่ทัน สุดท้ายสิ่งที่เคยถูกศาลมองว่ามีความผิดตามรัฐธรรมนูญ 2550 ก็อาจจะไม่มีประโยชน์"

เมื่อทั้งศาลรัฐธรรมนูญ-เพื่อไทยมีความเห็นที่แตกต่าง จุดยืนที่แตกแยก

การดำเนินการ 2 ขาอำนาจ จำต้องดำเนินการแข่งกับเวลาอย่างเลี่ยงไม่ได้

เพราะผลลัพธ์สุดท้าย มีพิษสงร้ายแรงต่อฝ่ายตรงข้าม ดังนั้น ใครถึงเส้นชัยก่อน โอกาสชนะก็มีสูง

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันอาทิตย์ที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2556

สังคม ยินดีจ่าย !!?


ผมสังเกตเห็นรูปแบบอีกอย่างหนึ่งของสังคมที่เปลี่ยนไปอย่างช้า ๆ ภายใต้การพัฒนาทางเศรษฐกิจของประเทศไทย ถ้าเทียบระยะเวลาสั้น ๆ ระหว่าง ปีนี้กับปีที่แล้ว เราจะแทบไม่รู้สึกถึงความแตกต่าง แต่ถ้าเอา 10 ปี 20 ปีที่แล้วมาเทียบกับสิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน จะเห็นภาพแตกต่างอย่างชัดเจน

สิ่งที่ช่วยให้ผมเห็นเด่นชัดที่สุด คือ ความเคลื่อนไหวของผู้คน เพื่อนฝูงใน Social Network เรามาดูกันว่า ไลฟ์สไตล์คนในยุคปัจจุบันทำอะไรกันบ้าง ซึ่งผมอยากเรียกมันรวม ๆ ว่า เป็นสังคม "ยินดีจ่าย"เริ่มจากแชร์ภาพ ถ่ายร้านอาหารใหม่ ดัง ๆ ที่คนรุ่นใหม่เรียกว่า ชิก ๆ ชิว ๆ ที่เกิดเป็นดอกเห็ด หลายร้านราคาแพง ให้บริการอาหารชั้นสูงอาจจะไม่แพงเกินเอื้อม แต่ราคาก็ไม่สมเหตุสมผลนัก ถ้าเป็นในอดีตคงแค่บางกลุ่มคนหรือบางชนชั้นที่ได้มีโอกาสเข้าไปรับประทาน แต่คนรุ่นใหม่จำนวนมาก "ยินดีจ่าย" ให้กับสิ่งเหล่านี้

สิ่งต่อมาคือ การแบ่งปันภาพการเดินทางไปต่างประเทศ การเดินทางในปัจจุบันแม้จะง่ายกว่าเดิมมาก ด้วยสาเหตุว่าราคาตั๋วเครื่องบินถูกลง และมีทางเลือกเดินทางในรูปแบบประหยัด แต่การเดินทางแต่ละครั้ง

ถ้าเทียบกับรายได้ของชนชั้นกลางทั่วไป ก็เรียกได้ว่าเป็นอัตราส่วนค่าใช้จ่ายที่สูงมาก คนยุคก่อนคงไม่กล้าที่จะเดินทางบ่อย ๆ หรือไปสถานที่แพงขนาดนี้ แต่คนรุ่นใหม่ "ยินดีจ่าย" เพื่อเป็นรางวัลชีวิตและมีอยู่ช่วงหนึ่งก่อนหน้านี้ที่สมาร์ทโฟน

อย่าง ไอโฟน หรือแบล็คเบอร์รี่เพิ่งจะได้รับความนิยม ก็เห็นว่าคนจำนวนมากถอยอุปกรณ์ราคาแพงมาอวดโฉม ทั้ง ๆ ที่สมัยก่อนคนที่ใช้โนเกียรุ่นแพง ๆ จะจำกัดอยู่เพียงคนกลุ่มหนึ่งเท่านั้น รวมถึงระยะเวลาในการซื้อเครื่องใหม่ก็ถี่กว่าแต่ก่อน ไม่เว้นอุปกรณ์ที่เรียกว่า Gadget ต่าง ๆ ของเหล่าชายหนุ่ม หรือกระเป๋าถือแบรนด์เนมที่ผมไม่เห็นคนรุ่นก่อน ๆ ใช้กันอย่างแพร่หลายขนาดนี้ ทั้ง ๆ ที่คนกลุ่มนั้นมีรายได้สูงกว่า แต่กลับ "ไม่ยินดีจ่าย" สิ่งเหล่านี้เหมือนคนในสังคมยุคใหม่

เหมือน กับว่าคนยุคใหม่โดยเฉพาะคนชั้นกลาง "ยินดีจ่าย" เพื่อให้ได้รับสินค้าและบริการที่ตัวเองถูกใจ สาเหตุคงเป็นเพราะคนยุค Gen X เป็นต้นมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเริ่มต้นจากคน Gen Y ไม่เคยผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบาก เช่น ภาวะสงคราม หรือสภาวะฝืดเคือง และเป็นช่วงที่พ่อแม่สะสมความมั่งคั่งทางการเงิน หรือมอบ "ความรู้" ในการประกอบอาชีพมาให้อย่างเต็มเปี่ยม และคนรุ่นใหม่ก็ให้ความสำคัญกับการออมเพื่ออนาคตลดลง รวมถึงการมีเครื่องมือทางการเงินในการกู้มากมาย ทำให้ศักยภาพการจ่ายของคนยุคใหม่สูงกว่าแต่ก่อนมาก และอีกทางหนึ่งคือการเติบโตของสื่อ โฆษณาต่าง ๆ ที่รวดเร็วและดึงดูดกำลังซื้อดีกว่าแต่ก่อน

แต่สำหรับมุมมองของนักลงทุนแล้ว ผมมีความเห็นอยู่ดังนี้ครับ 1.นักลงทุนควรหาโอกาสจากสภาวะสังคม "ยินดีจ่าย"
แบบนี้ หากิจการที่มีศักยภาพในการดึงลูกค้าวัยรุ่น หรือวัยกลางคนที่จะเป็นฐานลูกค้าระยะยาวได้ในอนาคต

2.อย่างไรก็ดี ผมคิดว่าการแค่หากิจการที่ให้บริการหรือขายสินค้าที่ลูกค้า "ยินดีจ่าย" นั้น ไม่เพียงพอ สิ่งที่สำคัญกว่าคือ ลูกค้าจะต้องยินดีจ่าย "ซ้ำ" ด้วย เพราะในยุคปัจจุบันกระแสสร้างได้ง่ายและสิ่งใดที่เกิดได้ง่าย ก็ย่อมดับได้ง่ายไม่แพ้กัน

3.สิ่งที่คนยินดีจ่ายซ้ำ มักจะเป็นสิ่งที่คุ้มค่าและสามารถสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับผู้ใช้ยุค ปัจจุบันได้ เราจะขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไม่ได้ ถ้าสิ่งไหนเป็นกระแสจำเป็นจะต้องแปลงเป็นความคุ้มค่า หรือ Value ให้ได้เร็วที่สุด ดังนั้น กิจการจำเป็นต้องมีความสามารถในการควบคุมต้นทุน เพราะบริษัทจะสร้าง Value ที่ดีให้กับทั้งผู้ใช้บริการและผู้ถือหุ้นไม่ได้เลย ถ้าปราศจากการควบคุมต้นทุนที่ดีและได้เปรียบคู่แข่งขัน

4.คนที่ได้ ประโยชน์ไม่จำเป็นต้องเป็นเจ้าของสินค้าตัวนั้น ๆ เสมอไป อาจจะเป็นผู้ผลิต ผู้จัดจำหน่าย ผู้ทำการตลาด หรือเป็นผู้นำสินค้านั้นไปสร้างสินค้าและบริการอีกทีหนึ่ง นักลงทุนที่ดีต้องมองหาผู้ที่ได้ประโยชน์สูงสุด

5.นักลงทุนควรอยู่เหนือสังคมยินดีจ่าย เราไม่ยินดีจ่ายให้กับสิ่งที่ไม่จำเป็น เพราะชีวิตนักลงทุนที่เรียบง่าย ก่อให้เกิดความสุขที่ยั่งยืนกว่า และที่สำคัญนักลงทุนควรจะมองไกล เพราะสิ่งที่เรายินดีจ่ายในวันนี้

คือสิ่งที่จะบ่งบอกชีวิตเราในอนาคต

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
//////////////////////////////////////////////////////////

วันเสาร์ที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2556

ผู้สูงอายุไทยขาดคนดูแลยามแก่เฒ่า เหตุคนรุ่นใหม่มีบุตรลดลง !!?


“ผู้สูงอายุไทยขาดคนดูแลยามแก่เฒ่า” เหตุคนรุ่นใหม่มีบุตรลดลง
ผู้สูงอายุไทยขาดคนดูแลยามแก่เฒ่า เหตุคนรุ่นใหม่มีบุตรลดลง แนะภาครัฐเพิ่มแรงจูงใจให้อยู่ในระบบการทำงานนานขึ้น เพื่อความมั่นคงทางรายได้ ชี้หากไม่วางแผนรับมือการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากร ระยะยาวกระทบต่อการเติบโตเศรษฐกิจไทย
   
มูลนิธิสถาบันวิจัยและพัฒนาผู้สูงอายุไทย (มส.ผส.) โดยแผนงานพัฒนาองค์ความรู้เพื่อเพิ่มมโนทัศน์ใหม่ ของนิยามผู้สูงอายุและอายุเกษียณที่เหมาะสมสำหรับคนไทย สนับสนุนโดย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จัดเสวนาวิชาการ “สังคมไทยจะก้าวไปอย่างไรบนการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากร” เพื่อฉายภาพสถานการณ์โครงสร้างของสังคมไทย ที่กำลังมุ่งสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างรวดเร็ว และร่วมกันสะท้อนมุมมองสำหรับหรับการปรับตัวและการวางแผน เพื่อรองรับผลกระทบที่จะเกิดขึ้นในจากการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวในอนาคต
   
รศ.ดร.วรเวศม์ สุวรรณระดา คณบดีวิทยาลัยประชากรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเผยว่า ปัจจุบันแนวโน้มโครงสร้างทางประชากรของสังคมไทยกำลังมุ่งสู่สังคมผู้สูงอายุ จากตัวเลขเมื่อปี 2553 ระบุว่ามีผู้สูงอายุทั่วประเทศประมาณ 8.5 ล้านคน โดยหากเปรียบเทียบกับจำนวนประชากรทั้งหมดในประเทศไทยที่มีประมาณ 65.9 ล้านคน พบว่า ขณะนี้ประเทศไทยมีผู้สูงอายุมากถึงร้อยละ 13 โดยมีการคาดการณ์ว่าสัดส่วนจะเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 20 ในอีก 10 ปีข้างหน้า ดังนั้นประเด็นการเตรียมความพร้อมของสังคมไทย ในการมุ่งสู่สังคมผู้สูงอายุจึงเป็นเรื่องที่หลายฝ่ายควรให้ความสำคัญ โดยเฉพาะหน่วยงานภาครัฐและเอกชน ที่จะได้รับผลกระทบด้านกำลังแรงงาน
   
นอกจากสถานการณ์ด้านการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรแล้วนั้น ขณะเดียวกันประเทศไทยก็กำลังประสบกับภาวะเจริญพันธุ์ที่ต่ำลง หรือที่เรียกว่าภาวการณ์มีบุตรน้อย โดยจากการสำรวจเมื่อปี 2554 พบว่า ประชากรที่มีอายุ 80 ปี จะมีอัตราการมีบุตรเฉลี่ยคนละ 4.6 คน ส่วนประชากรอายุระหว่าง 50-54 ปี มีบุตรเฉลี่ยเพียงคนละ 2.1 คน เท่านั้น ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบสัดส่วนจะเห็นว่า แนวโน้มการมีบุตรลดลงค่อนข้างมาก ประกอบกับค่าเฉลี่ยอายุในปัจจุบันที่สูงขึ้น ในระยะยาวสังคมไทยจึงอาจประสบปัญหาคุณภาพชีวิตและการเป็นอยู่ชีวิตของผู้สูงอายุ เนื่องจากผู้สูงอายุจำนวนหนึ่งอาจไม่มีบุตรหลานคอยดูแล
   
ประเด็นเรื่องความมั่นคงในชีวิต โดยเฉพาะความเป็นอยู่ยามชราภาพ ถือเป็นประเด็นที่ควรมีการพูดถึงและวางแผนรองรับมากขึ้น เพราะปัจจุบันไม่เหมือนสมัยก่อนที่ครอบครัวมักมีลูกเยอะ ยามแก่เฒ่าจึงมีลูกหลานคอยดูแลให้ความช่วยเหลือ
   
อย่างไรก็ตาม ประเด็นด้านความมั่นคงทางเศรษฐกิจและการเงินของผู้สูงอายุ ก็ถือเป็นสำคัญไม่น้อยไปกว่าเรื่องคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ ซึ่งจากผลการศึกษาวิจัยพบว่า ในอนาคตประเทศไทยน่าจะประสบกับภาวะขาดแคลนกำลังแรงงาน โดยเฉพาะกลุ่มลูกจ้างภาคเอกชน เนื่องจากสัดส่วนการออกจากงานของคนไทย โดยเฉพาะกลุ่มผู้ที่มีอายุระหว่าง 47-48 ปี มีแนวโน้มออกจากระบบมากขึ้น โดยส่วนใหญ่มักจะออกไปประกอบธุรกิจส่วนตัว หรือหากเป็นเพศหญิงก็มักจะออกไปเป็นแม่บ้าน ซึ่งการออกจากงานที่ค่อนข้างเร็วเช่นนี้จะส่งผลกระทบต่อความมั่นคงทางรายได้ในอนาคต
   
แม้ว่าในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลทุกชุดจะพยายามสร้างหลักประกัน ให้กับกลุ่มผู้สูงอายุมากขึ้น โดยเฉพาะเรื่องของเงินบำนาญ แต่ในเรื่องของการขยายโอกาสการทำงาน หรือการสร้างรายได้ให้กับผู้สูงอายุ ตรงนี้ดูเหมือนว่าประเทศไทยจะยังไม่ค่อยมีความพร้อมมากนัก ดังนั้นภาครัฐควรมองถึงแนวทางการส่งเสริมให้ผู้ที่เริ่มเข้าสู่วัยสูงอายุอยู่ในระบบการทำงานอย่างต่อเนื่องได้อย่างไร ซึ่งตรงจุดนี้ควรเริ่มวางแผนในกลุ่มที่มีอายุตั้งแต่ 45 ปีขึ้นไป แต่การดึงให้คนอยู่ในระบบการทำงานนานยาวนานขึ้น ไม่ได้หมายถึงการขยายอายุเกษียณเพียงอย่างเดียว อย่างในต่างประเทศที่ส่วนใหญ่ก็จะมีมาตรการเพิ่มแรงจูงใจในการทำงาน”
   
ทั้งนี้จากผลการศึกษาวิจัยพบว่าหากประเทศไทย มีการวางแผนรองรับการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางประชากร โดยเฉพาะในประเด็นเรื่องของการเพิ่มอายุการทำงาน หรือชักจูงในคนอยู่ในระบบงานนานขึ้น จะส่งผลให้ศักยภาพทางเศรษฐกิจในระยะยาวมั่นคงมากกว่าการไม่เตรียมความพร้อม โดยมีการคาดการณ์ว่าหากไม่การเตรียมการอะไรเลย ตัวเลขการเติมโตทางเศรษฐกิจจะลดลง 1%
   
ขณะที่ นพ.โสภณ เมฆธน รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ด้วยสภาพสังคมไทยที่มีผู้สูงอายุมากขึ้น ในอนาคตจะส่งผลให้มีอัตราการเป็นภาระวัยสูงอายุ หรืออัตราที่พึ่งพิงวัยสูงอายุเพิ่มขึ้น ซึ่งเชื่อมโยงเกี่ยวกับการเจ็บไขได้ป่วย ทั้งนี้หากแบ่งตามสัดส่วนของผู้สูงอายุตามศักยภาพ จะพบว่าขณะนี้ประเทศไทยมีกลุ่มผู้สูงอายุติดสังคม คือ สามารถออกมาพบประผู้คนได้ร้อยละ 78 กลุ่มติดบ้าน คือ ลูกหลานต้องคอยดูแลร้อยละ 20 และกลุ่มติดเตียง คือ ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้เลยร้อยละ 2 ดังนั้นกระบวนการสำคัญที่จะช่วยให้ผู้สูงอายุไทย มีคุณภาพชีวิตที่ดีมากขึ้น จึงต้องอาศัยรูปแบบการให้บริการที่มีส่วนร่วมจากชุมชนเข้ามาช่วยกัน โดยพยายามผลักดันให้กลุ่มผู้สูงอายุที่ติดบ้าน ขยับเป็นกลุ่มติดสังคมมากขึ้น ขณะเดียวกันก็ต้องเพิ่มประสิทธิภาพการดูและผู้สูงอายุกลุ่มติดเตียงให้สามารถดูแลตัวเองได้เพิ่มมากขึ้น
   
ทั้งนี้กระทรวงสาธารณสุขมีกรอบแนวคิด ที่จะพัฒนาเป็นนโยบายสาธารณะ โดยดึงให้ชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมมากขึ้น ในการช่วยกันดูแลกลุ่มผู้สูงอายุ เริ่มตั้งแต่การพึ่งพาตนเอง การให้ครอบครัวเป็นผู้ดูแล โดยสนับสนุนให้มีอาสาสมัครดูแลผู้สูงอายุประจำครอบครัว การให้ชุมชนช่วยกันดูแลโดยจัดให้มีศูนย์อเนกประสงค์ เพื่อฟื้นฟูสมรรถภาพผู้สูงอายุ ส่วนในระดับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จะมีการผลักดันให้มีการจัดตั้งศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ(Nursing home)
   
สำหรับการเพิ่มช่องทางการเข้าถึงการรักษาพยาบาลของกลุ่มผู้สูงอายุ ขณะนี้กระทรวงสาธารณสุขได้จัดให้หน่วยบริการส่วนท้องถิ่นเตรียมความพร้อมในเรื่องนี้มากขึ้น โดยเฉพาะ รพ.สต.ได้จัดให้มีพยาบาลสำหรับดูแลผู้ป่วยสูงอายุกระจายไปยังพื้นที่ต่างๆ โดยเฉพาะกลุ่มผู้ป่วยโรคเรื้อรัง เพื่อความสะดวกในการรับบริการที่ใกล้บ้าน”
   
ด้าน รศ.ดร.รศรินทร์ เกรย์ สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า สำหรับมุมมองมโนทัศน์ใหม่ต่อความหมายผู้สูงอายุ ในมุมมองเชิงจิตวิทยาสังคมและสุขภาพ พบว่าการเปลี่ยนแปลงนิยามของผู้สูงอายุ จาก 60 ปี เป็น 65 หรือ 70 ปี จะช่วยให้ผู้สูงอายุรู้สึกมีคุณค่ามากขึ้น เพราะส่งผลต่อมุมมองที่จะไม่นำไปสู่การเลือกปฏิบัติหรือการรังเกียจอันเนื่องมาจากอายุ (ageism) ขณะเดียวกันคนในสังคมก็ควรปรับเปลี่ยนทัศนคติและมุมมองต่อผู้สูงอายุเชิงบวกมากกว่าเชิงลบด้วย

ที่มา.สยามรัฐ
///////////////////////////////////////

เสน่หา อิระวดี !!?


ถ้า เจ้าพระยา คือแม่น้ำสายสำคัญที่มีบทบาทดั่งเส้นเลือดใหญ่ของคนไทย  เอยาวดี หรือที่คุ้นกันในชื่อ อิระวดี

ก็คงจะมีความหมายไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน
..............

อิระวดี. ชื่อนี้ดูเหงาปนเศร้าหากเรานึกถึงเนื้อหาของ "ผู้ชนะสิบทิศ" บทเพลงอมตะที่ "ชรินทร์ นันทนาคร" ขับร้องไว้เมื่อนานมาแล้ว ทว่าในความเป็นจริง "อิระวดี" หรือ "เอยาวดี" คือรอยยิ้มและความสุขที่คนพม่าทั้งประเทศยอมรับ เพราะไม่เพียงแค่หล่อเลี้ยงชีวิตเท่านั้น แต่เอยาวดียังเป็น "ผู้ให้ชีวิต" ที่มีพระคุณต่อคนทั้งแผ่นดิน

ฉันนั่งอยู่บนเรือท่องเที่ยวขนาด 2 ชั้น ที่กำลังวิ่งทวนน้ำด้วยความเร็วต่ำไปยังเกาะกลางลำน้ำเอยาวดี ลมพัดระเรื่อยเข้ามาเป็นระยะทำให้ช่วงเวลาที่ร้อนระอุถูกหลงลืมไปชั่วคราว

ตลอดทางตั้งแต่เรือออกจากท่าที่เมืองมัณฑะเลย์ ฉันพบเห็นวิถีชีวิตของผู้คนที่ผูกพันอยู่กับแม่น้ำเอยาวดีอย่างแยกไม่ออก พวกเขาปลูกเรือนใกล้ชิดแม่น้ำ แล้วยังหาอยู่หากินในมหานทีนั้นด้วยความเรียบง่าย ทั้งการประมงเล็กๆ รวมถึงการเกษตรริมฝั่ง ที่ล้วนแต่นำมาซึ่งข้าวปลาอาหารทั้งสิ้น ว่ากันว่า น้ำใสๆ ในแม่น้ำสายเลือดแห่งนี้ยังสามารถนำมาใช้อุปโภคบริโภคโดยไม่ต้องกรองได้อีกด้วย

แม่น้ำเอยาวดี (Ayeyarwady River) มีต้นกำเนิดในเขตนู่เจียง มณฑลยูนนานของจีน บริเวณใกล้รอยต่อเขตแดนรัฐกะฉิ่น ประเทศพม่า โดยบริเวณต้นน้ำมีชื่อเรียกว่า "แม่น้ำมายข่า" จนเมื่อไหลมารวมกับแม่น้ำมะลิข่า ที่เมืองมิตจีนา จึงเรียกแม่น้ำสายใหม่ว่า "แม่น้ำเอยาวดี" ซึ่งนับจากต้นทางจนถึงปากน้ำที่กรุงย่างกุ้งมีความยาวถึง 2,170 กิโลเมตรเลยทีเดียว

แหล่งอารยธรรมที่สำคัญในอดีตมักก่อตัวขึ้นริมแม่น้ำ ในพม่าเองก็ไม่แตกต่างกัน เพราะตามประวัติศาสตร์พบการสร้างราชธานีที่อยู่ริมฝั่งแม่น้ำเอยาวดีมาแต่โบราณ นับตั้งแต่ ตะกอง, ศรีเกษตร, พุกาม, ปีงยะ, สะกาย, อังวะ, อมรปุระ รวมถึงรัตนปุระ หรือมัณฑะเลย์ด้วย นั่นจึงเป็นเครื่องยืนยันได้ว่า แม่น้ำเอยาวดีคือแหล่งสั่งสมอารยธรรมที่สำคัญ ซึ่งอารยธรรมอันเป็นความเจริญที่ทุกคนสัมผัสได้ในพม่านั้นดูเหมือนจะเป็น "พลังศรัทธาแห่งพุทธศาสนา" ที่เหนียวแน่น

แรงศรัทธาที่ "มิงกุน"

ระยะทาง 11 กิโลเมตรจากเมืองมัณฑะเลย์ถึงเกาะกลางน้ำ "เมืองมิงกุน" (Mingun) ไม่ได้ทำให้ทุกคนที่โดยสารเรือมารู้สึกเบื่อหน่าย เพราะสองฝั่งแม่น้ำเอยาวดีมีวิถีชีวิตของผู้คนชาวพม่าให้ชมอย่างเพลินตา แต่จุดหมายของการล่องเรือทวนน้ำขึ้นมาครั้งนี้เป็นเพราะทุกๆ คนต้องการชื่นชมความอลังการของเจดีย์กลางน้ำที่ไม่มีวันสร้างเสร็จนั่นเอง

ฉันหมายถึง เจดีย์มิงกุน (ประโทหล่อจี) มหาเจดีย์ที่เป็นอนุสรณ์สถานแสดงถึงความยิ่งใหญ่ของ "พระเจ้าปดุง" กษัตริย์ราชวงศ์อลองพญา(ผู้สร้างประวัติศาสตร์ "สงครามเก้าทัพ")ที่ครองราชย์ในปี 2325 พร้อมๆ กับการเริ่มต้นราชวงศ์รัตนโกสินทร์ของไทย ว่ากันว่า พระเจ้าปดุงเป็นกษัตริย์ที่มีความทะเยอทะยาน ดังนั้นการสร้างเจดีย์จึงต้องยิ่งใหญ่กว่าใครๆ โดยพระองค์ได้เกณฑ์แรงงานทาสจำนวนมากเพื่อสร้างมหาเจดีย์แห่งนี้ และทรงควบคุมการก่อสร้างด้วยพระองค์เอง ทว่า ที่สุดแล้วก็สร้างได้แค่ฐานเนื่องเพราะพระเจ้าปดุงเสด็จสวรรคตก่อน ความตั้งใจที่จะสร้างเจดีย์ให้สูงกว่ามหาเจดีย์ชเวดากอง 3 เท่า และเป็นเจดีย์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกจึงต้องล้มพับไป

ไม่มีใครสืบทอดเจตนารมณ์ในการสร้างเจดีย์ต่อจากพระเจ้าปดุง เพราะเชื่อกันว่า หากสร้างมหาเจดีย์เสร็จเมืองจะล่มสลาย แต่บ้างก็ว่าไม่มีงบประมาณมากพอ เจดีย์มิงกุนจึงถูกทิ้งไว้แบบนี้

เจดีย์มิงกุนตั้งอยู่ริมแม่น้ำเอยาวดี เป็นเจดีย์อิฐสีแดงขนาดมหึมา ลักษณะฐานเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้ากว้างยาวด้านละ 150 เมตร และสูง 54 เมตร ด้านหน้ามีสิงห์ศิลาขนาดใหญ่เฝ้าอยู่ 2 ตัว หันหน้าไปทางแม่น้ำเอยาวดี แต่เนื่องจากเหตุแผ่นดินไหวในปี 2381 ทำให้ส่วนลำตัวและหน้าสิงห์ทั้ง 2 จุ่มหายลงไปในแม่น้ำ เหลือเพียงส่วนบั้นท้ายเท่านั้นที่อยู่บนแผ่นดิน

แม้เจดีย์จะสร้างไม่เสร็จ แต่พระเจ้าปดุงก็มีสิ่งหนึ่งที่เป็นตัวแทนความยิ่งใหญ่ นั่นคือ ระฆังมิงกุน ระฆังสำริดที่ใหญ่ที่สุดในประเทศพม่า และใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก รองจากระฆังในเมืองมอสโคว์ ประเทศรัสเซีย โดยมีเส้นผ่าศูนย์กลาง 5 เมตร น้ำหนัก 90 ตัน ส่วน เจดีย์ซินพยุเหม่ (Psinbyume) ที่อยู่ไม่ไกลกันนั้น สร้างโดยพระเจ้าพคะยีดอ เพื่ออุทิศถวายพระมเหสีซินพยุเหม่ที่สิ้นพระชนม์ไป โดยเจดีย์นี้เปรียบเสมือนจุฬามณีที่ตั้งอยู่บนเขาพระสุเมรุอันเป็นศูนย์กลางของจักรวาลตามคติไตรภูมิของศาสนาพุทธ ดังนั้นลักษณะเจดีย์จึงมีความงดงามราวกับสรวงสวรรค์

มุ่งหน้าสู่ "อังวะ"

เรียกว่าเป็นเมืองที่ดำรงสถานะ "เมืองหลวง" มากครั้งที่สุดถึง 5 ครั้ง กินเวลายาวนาน(แบบไม่ต่อเนื่อง) 400 ปีเลยทีเดียวสำหรับ "อังวะ" (Ava) ที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำเอยาวดี คนไทยอาจคุ้นชื่อเมืองนี้จากเรื่อง "ราชาธิราช" ซึ่งเป็นสงครามการแย่งชิงอำนาจระหว่างพม่าและมอญ และอย่างที่บอกว่าเมืองอังวะเคยเป็นเมืองหลวงมากครั้ง สิ่งปลูกสร้างที่เกี่ยวเนื่องกับความศรัทธาในพระพุทธศาสนาจึงมีมากมาย สังเกตได้จากการนั่งเรือล่องจากเมืองมิงกุนมาทางใต้ ผ่านเมืองมัณฑะเลย์ไม่ไกล จะพบว่ามีเจดีย์สีทองมลังเมลืองตั้งอยู่ริมแม่น้ำเอยาวดีชนิดที่นับกันไม่ถ้วน

นั่งเรือราวชั่วโมงเศษ ก่อนถึง สะพานอาว่า (Ava) ซึ่งเป็นสะพานเหล็กข้ามแม่น้ำเอยาวดีแห่งแรกที่สร้างขึ้นในสมัยที่อังกฤษเข้ามาปกครองพม่า เราพบว่ามีเรือบรรทุกไม้ซุงขนาดใหญ่ลอยอยู่เต็มท่าน้ำ ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะไม้สักเป็นสินค้าส่งออกอันดับ 1 ของพม่า ที่สำคัญประเทศนี้ยังมีทรัพยากรป่าไม้อยู่เยอะ โดยเฉพาะทางเหนือของประเทศ และเหตุที่พม่ายังคงรักษาพื้นที่ป่าไว้ได้ก็เป็นเพราะกฎหมายที่วางไว้ นั่นคือ หากตัดต้นไม้ 1 ต้น ต้องปลูกทดแทน 2 ต้น การตัดต้องไม่ตัดถึงราก ต้องเว้นตอไว้ 3 ฟุต สุดท้ายคือห้ามใช้เลื่อยไฟฟ้าตัด

เรือจอดเทียบท่าเมื่อเลยตัวเองอังวะไป 10 นาทีเศษ บริเวณท่าเทียบเรือมีรถม้าที่เป็นเอกลักษณ์ในการเดินทางอีกอย่างหนึ่งของพม่ารออยู่ นับจำนวนได้มากเกือบ 100 คัน รถม้าเหล่านี้จะพาเราเดินทางลัดสวนป่า เลาะทุ่งนา ผ่านบ้าน ร้านค้า โบราณสถานต่างๆ นานาไปจนถึง วัดบากายา (Bagaya) ซึ่งเป็นไฮไลต์สำคัญที่ชาวสยามทุกคนควรแวะมาชม

วัดบากายา เป็นวัดที่มีวิหารไม้สักแกะสลักสวยงามไม่แพ้วัดชเวนันดอที่เมืองมัณฑะเลย์ และเสาไม้สักที่นำมาสร้างนั้นก็เป็นเสาไม้สักที่ใหญ่ที่สุดของพม่า มีจำนวนเสามากถึง 267 ต้นเลยทีเดียว ซึ่งวัดนี้เป็นวัดป่าในเขตอรัญวาสีที่รอดพ้นจากการเผาทำลายในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ความสวยงามวิจิตรบรรจงจึงยังคงสภาพเดิมไว้อย่างสมบูรณ์ที่สุด

ความสำคัญที่บอกว่าคนไทยควรมาชม นั่นก็เพราะเมืองอังวะมีประชากรชาวสยาม หรือ "โยระยา" ที่พม่าเรียก ถูกเทครัวมาแต่ครั้งอยุธยาเสียกรุงอาศัยอยู่มากมาย แม้ปัจจุบันจะถูกกลืนจนแทบไม่เหลือเชื้อสายแล้ว แต่สิ่งหนึ่งที่ยังยืนยันได้นั่นก็คือ รูปแกะสลักครุฑยุดนาค และจิตรกรรมลักษณะแบบสกุลช่างอยุธยา นักท่องเที่ยวที่หลงใหลงานพุทธศิลป์หากได้เดินทางไปที่วัดนี้คงถูกใจ เพราะสภาพวัดเหมือนกับเมื่ออดีต และยังไม่มีการบูรณะแก้ไขใดๆ ทั้งสิ้น

ชมศิลปะ "สะกาย"

นั่งรถม้ากลับมาที่ท่าน้ำเดิม คราวนี้เปลี่ยนจากเรือใหญ่มานั่งเรือข้ามฟากแม่น้ำเอยาวดีไปที่ฝั่ง "เมืองสะกาย" (Sagaing) เมืองนี้มีความงดงามมากที่สุดอีกแห่งหนึ่งของพม่า ด้วยเพราะมีเจดีย์อยู่มากมายหลายองค์ สร้างอยู่เหนือยอดเขาทางด้านหลังของเมือง นอกจากเจดีย์จะมากแล้ว เมืองนี้ยังมีจำนวนแม่ชีมากที่สุดแห่งหนึ่งของพม่าด้วย ว่ากันว่า วัดหนึ่งมีไม่ต่ำกว่า 200-300 คน โดยแม่ชีเหล่านี้มาเรียนพระไตรปิฎกเหมือนสงฆ์ทั่วไป แต่แม้จะเก็บพรรษามากแค่ไหน แม่ชีก็ไม่มีสิทธิเป็นเจ้าอาวาสเหมือนกับพระสงฆ์

ความประทับใจแรกเมื่อข้ามแม่น้ำมายังเมืองสะกายนั่นคือ เด็กๆ ชาวพม่าที่พากันเดินเข้ามาขายของที่ระลึก แม้จะออกอาการตื๊ออยู่บ้างในช่วงแรก แต่เมื่อถูกเราปฏิเสธพวกเขาก็ไม่มีอาการน้อยอกน้อยใจ หรือทำหน้างอใส่เหมือนที่อื่นๆ ในทางกลับกันพวกเขาอยากสื่อสาร อยากพูดคุย อยากรู้เรื่องราวของเรา การสนทนาที่ปราศจากราคาซื้อขายจึงเป็นความประทับใจแรกที่พบในเมืองสะกาย

เมืองสะกายเป็นอีกเมืองหนึ่งที่ชาวสยามจากกรุงศรีอยุธยาถูกกวาดต้อนมาอยู่ จึงทำให้มีวัดศิลปกรรมอยุธยาจำนวนมาก เช่น จิตรกรรมฝาผนังที่ วัดมหาเตงดอจี โดยเทียบจากลายกนกและรูปแบบการเขียนที่เหมือนกับจิตรกรรมในสมัยอยุธยาตอนกลางและตอนปลาย

ส่วน วัดถ้ำติโลกคุรุ (Tilawkaguru) ก็มีจิตรกรรมที่เกี่ยวกับพุทธประวัติที่เชื่อมโยงศิลปกรรม กับอยุธยาได้เช่นเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นลายแก้วชิงดวง ลายพุ่มข้าวบิณฑ์ก้านแย่ง รวมถึงลายสังเวียนที่มีกระจังตาอ้อย ลวดลายเหล่านี้สามารถเปรียบเทียบอายุได้จากผ้าลาย ซึ่งเป็นผ้าเขียนลายในสมัยอยุธยา การเข้าชมต้องเดินเข้าไปในช่องอุโมงค์เล็กๆ ภายในถ้ำ ซึ่งสร้างขึ้นเพื่อเป็นสถานที่วิปัสนากรรมฐานของพระสงฆ์ในสมัยโบราณ

หลายคนให้นิยามเอยาวดีว่าเป็น "ผู้ให้กำเนิดแห่งแผ่นดิน" บ้างก็ให้เป็นสัญลักษณ์ของ "ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน" เพราะมีแม่น้ำเล็กๆ อีกหลายสายที่ไหลมารวมในเอยาวดี เปรียบเสมือนความปรองดองของพี่น้อง 135 ชนเผ่าที่อยู่ในพม่า นิยามน่ารักๆ แบบที่ว่า เป็นตัวแทนของ "ความรักนิรันดร" ก็พบบ่อยในหมู่หนุ่มๆ ที่มักสาบานกับสาวๆ ว่า จะรักมั่นนิรันดรตราบเท่าที่เอยาวดียังไม่ยอมหยุดไหล และที่สำคัญแม่น้ำสายนี้เป็นแหล่งกำเนิดอารยธรรมที่น่าจดจำบนแผ่นดินพม่า

.......................

การเดินทาง

สายการบินแอร์เอเชีย ให้บริการเส้นทางกรุงเทพฯ-มัณฑะเลย์ โดยเที่ยวบินที่ FD 2760 และ FD 2761 สัปดาห์ละ 4 เที่ยวบิน บริการวันจันทร์, อังคาร, พฤหัสบดี และเสาร์ ออกเดินทางเวลา 08.50-10.15 น. ติดต่อสอบถามและสำรองที่นั่งได้ที่ โทร. 0 2515 9999 หรือ www.airasia.com การเดินทางภายในประเทศสามารถติดต่อบริษัททัวร์ หรือจะเดินทางโดยรถประจำทางก็ต้องทำใจนิดหน่อย เพราะค่อนข้างเก่า ส่วนที่แนะนำคือ บริการรถม้าและวัวเทียมเกวียน ที่มีให้บริการเฉพาะบางเมือง ซึ่งจะให้ความรู้สึกที่พิเศษกว่าการเดินทางรูปแบบไหนๆ

ส่วนการเดินทางเข้าพม่ายังต้องขอวีซ่าอยู่ แต่ไม่ยาก เพราะเพิ่งเปิดประเทศ สำหรับเงินพม่าใช้สกุล "จ๊าด" อัตราแลกเปลี่ยน 100 จ๊าด เท่ากับ 5 บาท แต่ควรแลกเป็นเงิน USD ไป(ต้องเป็นสภาพใหม่ด้วย) แล้วแลกกับไกด์ฝั่งพม่าจะดีกว่า อีกอย่างหนึ่งคือพม่ายังไม่มีบริการบัตรเครดิต ดังนั้นควรเตรียมเงินที่จะใช้ไปให้พอดี

สุดท้ายคือข้อปฏิบัติในการเดินทางไปชมวัด หรือศาสนสถานต่างๆ ในพม่า ผู้ชายห้ามใส่ขาสั้น ผู้หญิงห้ามนุ่งกระโปรงสั้น เกาะอก สายเดี่ยว เอวลอย และต้องถอดรองเท้า ถุงเท้า รวมถึงถุงน่องทุกชนิดก่อนเข้าศาสนสถาน ซึ่งกฎระเบียบนี้นักท่องเที่ยวทุกชนชาติ ทุกชนชั้น ต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด แนะนำให้ซื้อกระดาษทิชชูเปียกไปด้วย เพราะจะได้ใช้ทำความสะอาดหลังจากเที่ยวชมศาสนสถาน

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
/////////////////////////////////////////////////////

วันศุกร์ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2556

บีโอไอ เผยยอดลงทุนไตรมาสแรกอู้ฟู่ รวมเม็ดเงิน 2.75 แสนล้านบาท !!?


บีโอไอเผย ภาวการณ์ลงทุนไตรมาสแรกปี 2556 ขยายตัวทั้งการลงทุนในภาพรวม และการลงทุนทางตรงจากต่างประเทศ โดยการลงทุนในภาพรวมยื่นขอส่งเสริมถึง 610 โครงการ เงินลงทุนรวม 275,000 ล้านบาท โดยมีโครงการลงทุนขนาดใหญ่มูลค่ามากกว่า 1 – 2 หมื่นล้านบาทจำนวน 5 โครงการ ขณะที่การลงทุนจากต่างประเทศทะลุ 150,000 ล้านบาท โดยญี่ปุ่นยังขยายลงทุนในไทยอย่างต่อเนื่อง

นายอุดม วงศ์วิวัฒน์ไชย เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ บีโอไอ เปิดเผยถึงภาวะการลงทุนในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ (มกราคม – มีนาคม 2556) ว่า การลงทุนยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ทั้งการลงทุนในภาพรวม และการลงทุนทางตรงจากต่างประเทศ หรือ เอฟดีไอ รวมทั้งมีโครงการขนาดใหญ่มูลค่าตั้งแต่ 1 พันล้านบาท ยื่นขอส่งเสริมกว่า 40 โครงการ และโครงการขนาดใหญ่มูลค่ากว่า 1 หมื่นล้านบาท ยื่นขอรับส่งเสริม 5 โครงการ

 โดยการลงทุนภาพรวม มีการยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุนจำนวน 610 โครงการ มูลค่าเงินลงทุนรวม 275,000 ล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้นกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 38 ในด้านจำนวนโครงการ         และร้อยละ 24 ด้านมูลค่าเงินลงทุน (ไตรมาสแรกปี 2555 มียื่นขอรับส่งเสริม 443 โครงการ เงินลงทุนรวม 221,200 ล้านบาท

 โครงการที่ยื่นขอรับส่งเสริมในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ ส่วนใหญ่เป็นการลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมบริการและสาธารณูปโภค ยื่นขอรับส่งเสริมจำนวน 137 โครงการ เงินลงทุนรวม 90,700 ล้านบาท รองลงมาเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมเกษตร ยื่นขอรับส่งเสริมจำนวน 179 โครงการ เงินลงทุนรวม 73,000     ล้านบาท อันดับสามคือกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ ชิ้นส่วนยานยนต์ โลหะ เครื่องจักร ยื่นขอรับส่งเสริมจำนวน 124 โครงการ เงินลงทุนรวม 65,500 ล้านบาท

สำหรับโครงการขนาดใหญ่ที่ยื่นขอรับส่งเสริมในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ ซึ่งแต่ละโครงการมีมูลค่ามากกว่า 10,000 – 20,000 ล้านบาท ประกอบด้วย กิจการโรงไฟฟ้าจากก๊าซธรรมชาติ กิจการผลิตชิ้นส่วนและผลิตภัณฑ์อลูมิเนียม กิจการขนส่งทางอากาศ 2 โครงการ และกิจการผลิตรถปิกอัพ ส่วนโครงการขนาดใหญ่ที่มีมูลค่ามากกว่า 2,000 – 6,000 ล้านบาท ได้แก่ กิจการโรงไฟฟ้าจากก๊าซธรรมชาติ กิจการผลิตเครื่องดื่มจากผักผลไม้ กิจการผลิตสิ่งปรุงแต่งอาหาร กิจการผลิตเคมีภัณฑ์ กิจการผลิตแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ กิจการเลี้ยงสัตว์ และกิจการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ เป็นต้น

ขณะที่การลงทุนทางตรงจากต่างประเทศ หรือ เอฟดีไอ (Foreign Direct Investment) ในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ ก็ขยายตัวเช่นกัน โดยมีการยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุนจำนวน 338 โครงการ เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.3 เมื่อเทียบกับจำนวนโครงการที่ยื่นขอรับส่งเสริมในช่วงเดียวกันของปี 2555 ซึ่งมีจำนวน 312 โครงการ ขณะที่มูลค่าเงินลงทุนของโครงการลงทุนจากต่างประเทศในไตรมาสแรกของปีนี้ มีมูลค่ารวม 157,671 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 17.5 เมื่อเทียบกับมูลค่าเงินลงทุนในไตรมาสแรกของปี 2555 ซึ่งมีมูลค่า 134,151 ล้านบาท

ทั้งนี้ โครงการลงทุนทางตรงจากต่างประเทศ ส่วนใหญ่ หรือร้อยละ 61.5 เป็นการขยายการลงทุนของโครงการเดิมที่ลงทุนอยู่ในประเทศไทยแล้ว มีจำนวน 208 โครงการ เงินลงทุนรวม 134,990 ล้านบาท และเป็นโครงการลงทุนรายใหม่จำนวน 130 โครงการ เงินลงทุนรวม 22,681 ล้านบาท

โครงการลงทุนต่างชาติที่ยื่นขอรับส่งเสริมในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้จำนวนมากที่สุด คือโครงการลงทุนจากญี่ปุ่น ยื่นขอรับส่งเสริมจำนวน 176 โครงการ เงินลงทุนรวม 87,483 ล้านบาท รองลงมาเป็นการลงทุนจากมาเลเซีย 11 โครงการ เงินลงทุน 16,608 ล้านบาท อันดับสาม คือ การลงทุนจากฮ่องกง จำนวน 10 โครงการ เงินลงทุน 15,232 ล้านบาท อันดับสี่ การลงทุนจากเนเธอร์แลนด์ 8 โครงการ เงินลงทุน 8,309 ล้านบาท อันดับห้า การลงทุนจากสิงคโปร์ 20 โครงการ เงินลงทุน 5,385 ล้านบาท

ที่มา.นสพ.ฐานเศรษฐกิจ
////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันพฤหัสบดีที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2556

สอท.วอนแบงก์ชาติอัดยาแรงสกัดบาทแข็ง ลดดอกเบี้ย คุมทุนเคลื่อนย้าย !!?


สอท.โอดค่าเงินบาทแข็ง ส่งออกแย่ วอนแบงก์ชาติงัด มาตรการเข้มข้นจัดการ ปรับนโยบายการเงินเลิกกำหนดเป้าเงินเฟ้อมาเป็นอัตราแลกเปลี่ยน ลดดอกเบี้ย 1% คุมเงินไหลเข้าต่ำกว่า 3 เดือน สกัดเก็งกำไร ด้านแบงก์ชาติย้ำเกาะติดใกล้ชิด มีแผนรับมือแต่ต้องรอบคอบหวั่นเกิดผลข้างเคียง

เมื่อวันที่ 24 เมษายน 2556 นายพยุงศักดิ์ ชาติสุทธิผล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (สอท.) ได้ประชุมสมาชิกโดยเฉพาะกลุ่มผู้ส่งออกที่เดือดร้อนจากเงินบาทแข็งค่าเพื่อกำหนดท่าทีและนำเสนอต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้เร่งดำเนินการแก้ไขต่อไป

นายพยุงศักดิ์กล่าวว่าขณะนี้มีสัญญาณการเก็งกำไรจากค่าเงินบาทต่อเนื่องและทำให้เงินบาทแข็งค่ามากกว่าภูมิภาค โดยค่าเงินบาทเทียบดอลลาร์สหรัฐตั้งแต่เดือนมกราคมถึงวันที่ 22 เมษายน 2556 แข็งค่าขึ้น 5.93% ขณะที่จีนแข็งค่า 0.97% มาเลเซียแข็งค่า 0.27% เวียดนามอ่อนค่า 0.38% อินโดนีเซียอ่อนค่า 0.74% สิงคโปร์อ่อนค่า 0.86%

การที่เงินบาทแข็งค่าต่อเนื่องส่งผลให้ผู้ผลิตเพื่อส่งออกบางส่วนหันไปใช้วัตถุดิบนำเข้ามากขึ้นหากยังเป็นเช่นนี้จะกระทบกับซัพพลายเชนที่ผลิตวัตถุดิบป้อนผู้ส่งออกและกระทบต่ออุตสาหกรรมภายใน การที่เงินบาทแข็งค่ารุนแรง สอท.ต้องการให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ดำเนินการ 5 มาตรการ คือ 1.ให้บริหารจัดการอัตราแลกเปลี่ยนแบบภาวะวิกฤติเพราะมีสัญญาณเงินทุนไหลเข้ามาเก็งกำไรชัดเจน และหลายประเทศมีมาตรการเพิ่มเงินเข้าระบบเศรษฐกิจ เช่น สหรัฐ ญี่ปุ่น ทำให้เกิดสถานการณ์เงินท่วมโลก

2.เปลี่ยนนโยบายการเงินที่ยึดอัตราเงินเฟ้อเป็นเป้าหมาย (Inflation Targeting) มาเป็นนโยบายที่ยึดอัตราแลกเปลี่ยนเป็นเป้าหมาย (Exchange Rate Targeting) เพื่อแก้ปัญหาเศรษฐกิจเพราะความกังวลเกี่ยวกับอัตราเงินเฟ้อในขณะนี้มีไม่มากเนื่องจากราคาน้ำมันและสินค้าโภคภัณฑ์ลดลงจึงควรปรับนโยบายให้เหมาะสม 3.ลดดอกเบี้ยนโยบายลง 1% ทันทีจากปัจจุบัน 2.75% เป็น 1.75% 4.ใช้นโยบายควบคุมเงินทุนเคลื่อนย้าย (Capital Control) โดยห้ามนำเงินลงทุนออกจากไทยเป็นเวลาอย่างน้อย 3 เดือน และถ้าความผันผวนของค่าเงินไม่ลดลงให้เพิ่มเป็น 6 เดือน 5.ปรับปรุงนโยบายการออกพันธบัตรของ ธปท.

ทั้งนี้อาจจะดำเนินการทั้ง 5 มาตรการ พร้อมกันก็ได้ แต่ถ้าไม่ดำเนินการอะไรเลยจะมีผลต่อการรับคำสั่งซื้อในไตรมาส 2-3 ปีนี้ โดยเงินบาทที่แข็งค่าต่อเนื่องทำให้ผู้ส่งออกกำหนดราคารับคำสั่งซื้อลำบาก และเป็นการยากที่จะทำให้การส่งออกขยายตัวได้
รวมทั้งคาดการณ์ได้ลำบากว่าอัตราแลกเปลี่ยนจะแข็งค่าขึ้นไปอยู่ระดับใดหลังจากนี้

“หากแบงก์ชาติไม่ดำเนินมาตรการใดเลยการส่งออกปีนี้คงโตแค่ 5.5% แต่ถ้าเงินบาทแข็งทะลุไป 27 บาทต่อดอลลาร์การเติบโตจะต่ำกว่านี้ ผลกระทบจะชัดเจนตั้งแต่ไตรมาส 2 เป็นต้นไปเนื่องจากเป็นยอดการส่งออกที่รับออเดอร์ในไตรมาสแรกที่เริ่มมีปัญหาเงินบาท แต่ไตรมาสแรกที่การส่งออกยังโต 4.26% เพราะออเดอร์ที่รับตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว” นายพยุงศักดิ์กล่าว

อุตสาหกรรมที่จะได้รับผลกระทบมาก คือ กลุ่มสินค้าการเกษตร สิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม เฟอร์นิเจอร์ เครื่องเงินและอัญมณี ชิ้นส่วน และอิเล็กทรอนิกส์ อย่างเช่น แผงวงจรไฟฟา เซรามิก

นายวัลลภ วิตนากร รองประธานสอท.กล่าวว่าสอท.จะขอเข้าพบนายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการธปท. ในสัปดาห์หน้าเพื่อเสนอความเห็นของสมาชิกโดยเราเห็นว่าสถานการณ์ปัจจุบันอยู่ในภาวะการเก็งกำไรจึงเห็นควรว่าน่าจะนำนโยบายควบคุมเงินทุนเคลื่อนย้ายมาใช้ ซึ่งทั้ง 5 แนวทางเป็นมาตรการเข้มข้นที่ ธปท.ปฏิเสธมาตลอดแต่ผู้ส่งออกมองว่าสถานการณ์เปลี่ยนไปแล้วจากที่ สอท.เคยเสนอ ธปท.ไปเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา

สำหรับข้อเสนอที่จะยื่นต่อนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รมว.พาณิชย์ในวันที่ 26 เมษายน 2556 จะเน้นเรื่องการหาตลาดให้กับวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ควรเร่งดำเนินการและขยายตลาดการค้าชายแดนมากขึ้นเพราะตลาดหลักมีภาวะเศรษฐกิจที่ไม่ชัดเจนและการแข่งขันสูง เช่น สหรัฐ สหภาพยุโรป (อียู) ญี่ปุ่น ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ควรหาแนวทางให้ผู้ส่งออกไทยเข้าถึงศูนย์กลางการกระจายสินค้าของประเทศเพื่อนบ้านเพื่อให้สินค้ากระจายถึงมือผู้บริโภคโดยเร็ว

ขณะเดียวกันที่ทำเนียบรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตรนายกรัฐมนตรี เรียกประชุมทีมเศรษฐกิจ อาทิ นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง นายประสาร ไตรรัตน์วรกุลผู้ว่าการธปท. นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) นายอารีพงศ์ ภู่ชอุ่ม ปลัดกระทรวงการคลัง เพื่อติดตามสถานการณ์เศรษฐกิจโดยเฉพาะเงินบาทที่แข็งค่าโดยนายกิตติรัตน์กล่าวว่ารู้สึกหนักใจที่ยังไม่ได้รับการตอบสนองเรื่องการแก้ปัญหาดังกล่าวอย่างแท้จริง

นางจันทวรรณ สุจริตกุล ผู้ช่วยผู้ว่าการสายตลาดการเงินธปท. ยอมรับว่าค่าเงินบาทตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน แข็งค่าสูงสุดในภูมิภาค โดยแข็งค่าขึ้น 6.28% จากระดับ 30.55 บาทต่อดอลลาร์ มาอยู่ที่ 28.82 บาทต่อดอลลาร์ สาเหตุจากปัจจัยพื้นฐานเศรษฐกิจไทยดี ต่างประเทศเชื่อมั่น แต่ธปท. ไม่ได้นิ่งนอนใจและยังคงติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและยืนยันว่า มีมาตรการที่จะเข้าดูแล หากถึงเวลาที่เหมาะสม แต่ทุกมาตรการมีผลข้างเคียงจึงต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ และยังยืนยันว่า อัตราดอกเบี้ยไม่ใช่ปัจจัยหลักที่ดึงดูดเงินทุนไหลเข้า เพราะดอกเบี้ยนโยบายของไทยมีอัตราใกล้เคียงกับเพื่อนบ้าน แต่ที่ไทยโดดเด่นกว่า เพราะพื้นฐานเศรษฐกิจและเครดิตของไทยดีกว่าประเทศเพื่อนบ้าน

ที่มา.นสพ.แนวหน้า
////////////////////////////////////////////////

ลงทุน 2 ล้านล้าน ดร.สมคิด เตือนรัฐบาลรอบคอบ อย่าเอาประเทศไปเสี่ยง !!?



อดีตรองนายกฯ  ออกโรงเตือนรัฐบาลคิดลงทุนกู้เงินมาทำโครงการใหญ่ ต้องจัดลำดับความสำคัญ ดูแลไม่ให้การเงินการคลังเสี่ยง พร้อมฟื้นความไว้เนื้อเชื่อใจจากสาธารณชน หลังจำนำข้าวทำพิษ ขาดทุนบักโกรก


ศาสตราพิชาน ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ อดีตรองนายกรัฐมนตรี  กล่าวในงานสัมมนาเรื่อง "โครงการ 2 ล้านล้านกับอนาคตประเทศไทย : ความเสี่ยงต่อภาระหนี้" จัดโดยสถาบันอนาคตไทยศึกษา ร่วมกับสมาคมผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจ ณ โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ แอท เซ็นทรัลเวิลด์ ตอนหนึ่งถึงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานครั้งใหญ่ของประเทศ

ศาสตราพิชาน ดร.สมคิด  กล่าวว่า การลงทุนจะเกิดประโยชน์สูงสุด และหลีกเลี่ยงความเสี่ยงภัยนั้น  1. รัฐบาลควรจัดลำดับความสำคัญ  (Priority) เนื่องจากประเทศไทยปัญหาใหญ่ที่เราประสบ และเผชิญในอนาคตไม่ใช่ปัญหาเรื่องคมนาคม หรือปัญหาการเชื่อมโยง( Connectivity) แต่อย่างใด

“อนาคตสิ่งที่เราต้องเผชิญและจำเป็นแก้ปัญหาให้ได้ คือ ความยากจน ความไม่เท่าเทียมในด้านรายได้ ปัญหาโครงสร้างทางเศรษฐกิจที่เริ่มสูญเสียความสามารถทางการแข่งขัน โครงสร้างทางเศรษฐกิจที่ผลิตสินค้าและบริการที่มีมูลค่าต่ำ ซึ่งเป็นเหตุที่ทำให้คนไทยจน และก้าวไม่พ้นจากประเทศรายได้น้อย” อดีตรองนายกรัฐมนตรี กล่าว และว่า ปัญหาเหล่านี้รัฐบาลต้องจัดการให้ได้ ทำควบคู่กับการสร้างการเชื่อมโยงทางคมนาคม

และเมื่อรัฐบาลตัดสินใจดำเนินโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน 2 ล้านล้านบาท ศาสตราพิชาน ดร.สมคิด กล่าวว่า ในฐานะผู้บริหารประเทศต้องแน่ใจ การลงทุนเหล่านี้ไม่ใช่มาทดแทน หรือมาทำให้การลงทุนมิติอื่นๆ ถูกบั่นทอนลงไป หรือหดหายไป

“รัฐบาลมีหน้าที่เร่งด่วนต้องปฏิรูประบบการเกษตรให้ทันสมัย พัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่นให้เข้มแข็งให้ประชาชนมีรายได้สูงขึ้น เร่งลงทุนด้านทรัพยากรมนุษย์เพื่อให้ในอนาคตเราสามารถคิด ทำ สิ่งที่มีมูลค่าสูงขึ้น ฉะนั้น เรื่องนี้รัฐบาลต้องคิดอ่านล่วงหน้าจะลงทุนในอุตสาหกรรมไหนบ้าง เพื่อให้เส้นทางคมนาคมที่คิดไว้ เกื้อกูลกัน เชื่อมโยงให้เกิดประโยชน์สูงสุด มิเช่นนั้น Connectivity ก็จะไม่มีความหมาย”

อดีตรองนายกรัฐมนตรี กล่าวอีกว่า เมื่อมีการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน 2. รัฐบาลต้องดูแลไม่ให้เกิดความเสี่ยงภัยทางการเงินการคลังด้วย เพราะมีโอกาสอยู่บ้างที่จะเบี่ยงเบนจากที่รัฐคาดการณ์ไว้ ด้วยเศรษฐกิจโลกมีปัญหา การส่งออกของไทยติดลบ การลงทุนในประเทศไม่กระเตื้อง เป็นต้น

“นายกรัฐมนตรีต้องปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศ ปฏิรูปเรื่องการเกษตร พยายามยกระดับการผลิตและบริการ หากคิดจะลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน สิ่งนี้ต้องขับเคลื่อนให้ได้ 7-10 ปี และเริ่มทำกันตั้งแต่วันนี้ ไม่เช่นนั้นแม้เม็ดเงินอาจจะประคอง GDP ให้อยู่ได้ในอนาคต แต่เมื่อใดเม็ดเงินหมด โครงสร้างต่างๆ ไม่ได้เปลี่ยน วันนั้นเราก็จะเห็นการทรุดต่ำของเศรษฐกิจไทย”

สำหรับหน้าที่ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังนั้น ศาสตราพิชาน ดร.สมคิด กล่าวว่า ต้องปฏิรูปการคลังอย่างจริงจัง ซึ่งไม่ใช่การลดภาษีนิติบุคคลให้ภาคเอกชน จนทำให้รายได้จากภาษีของภาครัฐน้อยลง  รวมถึงการปฏิรูประบบงบประมาณด้วย

อดีตรองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงประเด็นที่ 3. ความไว้เนื้อเชื่อใจจากภาคสาธารณะ (trust) ที่เมื่อไหร่หากความไว้เนื้อเชื่อใจจากภาคสาธารณชนไม่มี ก็จะมีอุปสรรคหลายอย่างตามมา เช่น โครงการรับจำนำข้าว

“การชนะเสียงในสภาฯ จะไม่มีความหมายเลย หากไม่มีเสียงประชาชนสนับสนุนโครงการใหญ่ๆ เหล่านี้ ดังนั้น การสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจให้เกิดขึ้น ทำได้โดยการแกะ 2 ล้านล้านบาทออกมาเป็นชิ้นๆ ให้ข้อมูลที่ครบถ้วน เช่น ทำอะไรบ้าง โครงการรถไฟความเร็วสูงไปเกื้อกูลประชาชนตรงไหน เกิดประโยชน์อย่างไร รวมถึงต้องทำให้มีความโปร่งใส”  อดีตรองนายกรัฐมนตรี กล่าว พร้อมเสนอแนะให้รัฐบาลหาผู้รับผิดชอบโครงการที่น่าเชื่อถือ มาช่วยดูแล กำกับ ประสานงาน จากนั้นสื่อสารไปสู่สาธารณชน

ทั้งนี้ ศาสตราพิชาน ดร.สมคิด กล่าวด้วยว่า หากการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน 2 ล้านล้านบาท มีข้อมูลที่เปิดเผย โปร่งใส มีประโยชน์จริง เชื่อว่า จะไม่มีคนออกมาคัดค้าน

“อย่าลืมว่าเราเป็นประเทศจน ทรัพยากรมีจำกัด เราต้องคิดอย่างคนจน  โดยเฉพาะวิสัยทัศน์ของผู้บริหารประเทศคำว่า รอบคอบสำคัญ และต้องมีความรับผิดชอบต่อคนทั้งประเทศ ไม่ใช่รับผิดชอบต่อคนใดคนหนึ่ง ต้องรู้จักคำว่าพอเพียงดี พอเพียง ไม่เอาประเทศไปเสี่ยง”

การสร้างความชอบธรรมทางการเมือง และการรักษาอำนาจ !!?


ศ.ดร.ลิขิต ธีรเวคิน,
ราชบัณฑิต ผู้อำนวยการโครงการปริญญาเอก
วิทยาลัยสื่อสารการเมือง มหาวิทยาลัยเกริก

เพื่อที่จะรักษาสภาพและระบบที่ผู้อยู่ในโครงสร้างอำนาจต้องการให้เกิดขึ้น ก็มีการตรากฎหมายเพื่อให้คนปฏิบัติตามโดยที่คนไม่มีส่วนในการตรากฎหมายนั้นเลย ซึ่งเข้าหลัก the rule by law และในบางกรณีการละเมิดต่อกฎเกณฑ์ที่ทางรัฐกำหนดขึ้นอาจจะใช้กฎหมายลงโทษที่รุนแรงที่เรียกว่า Draconian Law การใช้กฎหมายดังกล่าวนี้เป็นลักษณะของ the rule by law เพื่อที่จะรักษาไว้ซึ่งระบบที่ผู้อยู่ในอำนาจรัฐต้องการธำรงไว้

แต่ระบบที่มีความเชื่อ วัฒนธรรมและประเพณี อาจจะไม่สามารถอยู่ได้ตลอดไป จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องมีการเปิดโอกาสให้คนที่อยู่นอกกลุ่มผู้ใช้อำนาจรัฐ หรือผู้ช่วยเหลือผู้ใช้อำนาจรัฐ อันได้แก่ ผู้ปกครองบริหาร ได้มีโอกาสเข้าสู่ระบบโดยมีการขยับชั้นทางสังคม (social mobility) นั่นคือ การเปิดโอกาสให้เข้ามาดำรงตำแหน่งในองค์กรของรัฐ

ในกรณีของจีนเป็นระบบที่ยอดเยี่ยมที่สุด นั่นคือ การให้มีระบบสอบตั้งแต่ระดับ อำเภอ มณฑล และเมืองหลวง โดยคัดบุคคลที่มีความรู้ความสามารถด้วยการสอบเพื่อทำหน้าที่ดังกล่าว แต่ในขณะเดียวกันก็มีวิธีการที่จะกำหนดให้ผู้ทำหน้าที่สอบนั้นมีการถูกสั่งสอน กล่อมเกลาโดยสถาบันการศึกษา รวมทั้งการศึกษาด้วยตนเองให้มีค่านิยมแบบเดียวกัน นั่นคือ การศึกษาลัทธิขงจื้อ ซึ่งหมายความว่า กว่าจะสอบได้อาจต้องใช้เวลาประมาณสิบๆ ปี ซึ่งก็มีการกลืนความคิดและบุคลิกของบุคคลดังกล่าวจนมั่นใจได้ว่า แม้จะผ่านการคัดเลือกมีอำนาจในระบบก็จะเป็นบุคคลที่มีลักษณะเดียวกันกับที่ผู้ใช้อำนาจรัฐต้องการ การเปิดโอกาสให้มีการขยับชั้นทางสังคมนี้ทำให้ระบบการเมืองการปกครอง และกลุ่มผู้ใช้อำนาจรัฐที่อาศัยความเชื่อ วัฒนธรรม และประเพณี ในการครองอำนาจของตนนั้นมีความชอบธรรมยิ่งขึ้น

โดยมีการออกกฎหมาย และการอ้างเหตุผล เพื่อสนับสนุนให้กลุ่มบุคคลที่จะเข้ามาอยู่ในระบบที่เรียกว่า legal-rational authority ตามที่ แม็คกซ์ เวเบอร์ ได้กล่าวไว้ เมื่อผู้ใช้อำนาจรัฐสามารถกุมอำนาจรัฐโดยสร้างความชอบธรรมจากเครื่องมือสำคัญคือ การสร้างความเชื่อ วัฒนธรรม และประเพณี รวมทั้งการเปิดโอกาสให้มีการขยับชั้นทางสังคมเพื่อป้องกันมิให้มีการต่อต้านระบบ เพราะผู้ที่อยู่ใต้ปกครองก็มีโอกาสเข้าเป็นผู้ปกครองย่อมจะทำให้ระบบดังกล่าวนั้น แม้จะไม่เสมอภาคตั้งแต่ต้น แต่ก็เป็นระบบที่เปิดโอกาสให้คนที่สถานะต่ำกว่าเข้ามาอยู่ในระบบได้ ความสมบูรณ์ของระบบจึงเกิดขึ้น และสามารถดำรงอยู่ได้เป็นระยะเวลายาวนาน 4-5 พันปี

แม้ระบบดังกล่าวจะเป็นระบบที่มีเหตุมีผล เป็นระบบที่เปิดโอกาส แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าโอกาสที่เปิดนั้นเป็นโอกาสจำกัด เพราะผู้ที่จะมีโอกาสศึกษานั้นมักจะเป็นลูกหลานของเจ้าของที่ดิน ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นตระกูลขุนนางที่อยู่ในระบบการปกครอง ชาวนา ช่างฝีมือ และพ่อค้า แม้ระบบจะเปิดกว้างก็ยากที่จะก้าวข้ามไปสู่การเป็นบัณฑิตและเป็นขุนนางได้ แน่นอนย่อมมีจำนวนหนึ่งที่ประสบความสำเร็จแต่ก็ไม่ใช่เป็นปรากฏการณ์ทั่วไป

ในกรณีของระบบอื่น เป็นระบบที่พวกใครพวกมัน ญาติใครญาติมัน ไม่มีการสอบ และบางครั้งยังมีการกีดกันเสียด้วยซ้ำ เช่นกรณีของ ไทย ในสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี คนที่จะฝากตัวเป็นมหาดเล็กต้องสืบเชื้อสายเสนาบดี นอกเหนือจากนี้ จะต้องมีคุณสมบัติพิเศษ คือ ต้องมีคุณวุฒิสี่ อธิบดีสี่ และคุณานุรูป ระบบเพิ่งเปิดให้ไพร่ฝากตัวเป็นมหาดเล็กสมัยพระพุทธเจ้าฟ้าจุฬาโลก เนื่องจากสงครามทำให้ผู้คนโรยราไป จึงจำเป็นต้องเปิดโอกาสให้ไพร่เข้ามาฝากตัวเป็นมหาดเล็ก เนื่องจากหาคนมาเป็นมหาดเล็กได้ยากยิ่งขึ้น แต่ขณะเดียวกันระบบของไทยนั้น นอกจากจะมีการสืบทอดอำนาจของผู้ปกครองโดยใช้กระบวนการราชาภิเษก โดยการสืบเชื้อสายหรือ traditional authority แต่ก็มีการใช้อำนาจรัฐ โดยการยึดอำนาจจากฝ่ายตรงกันข้าม ที่เรียกว่า การปราบดาภิเษก แปลว่าเป็นการใช้กำลังเข้ายึดอำนาจของผู้ปกครองคนก่อนเพื่อให้อำนาจเป็นของตน ในกรณีเช่นนี้มีลักษณะคล้ายกันกับการใช้กำลัง (force) เพื่อสถาปนาอำนาจรัฐใหม่เหมือนกับที่กล่าวมาเบื้องต้น

ในกรณีของจีนนั้น แม้จักรพรรดิ์จะอ้างอาณัติจากสวรรค์ แต่ก็มีการตรวจสอบพฤติกรรมของจักรพรรดิ์ โดยถ้าจักรพรรดิ์ไม่อยู่ในทำนองครองธรรม ข่มเหงบีฑาประชาราษฎร์ ปล่อยให้ขุนนางกังฉินครองแผ่นดิน ฉ้อราษฎร์บังหลวง ไม่ดูแลเอาใจใส่บ้านเมือง เขื่อนและฝายกั้นน้ำพัง สร้างความเดือดร้อนให้แก่ชาวนา เกิดโรคระบาด เกิดภัยพิบัติตามธรรมชาติ ก็จะมีการอ้างว่าอาณัติจากสวรรค์นั้นถูกถอนโดยสวรรค์ ประชาชนก็มีสิทธิ์จะยกพวกเข้าโจมตีวังของจักรพรรดิ์ ซึ่งมักจะนำโดยหัวหน้าขบวนการ เพื่อล้มจักรพรรดิ์คนเดิมและตนเองเข้าแทนที่โดยมีการสถาปนาราชวงศ์ใหม่ขึ้น ซึ่งในแง่หนึ่ง ก็คือ การปราบดาภิเษก โดยผู้เป็นฮ่องเต้คนใหม่ก็จะอ้างว่า ได้ก้าวมาสู่ตำแหน่งสูงสุด เนื่องจากอาญาสิทธิ์จากสวรรค์ หรืออาณัติจากสวรรค์
 
ที่กล่าวมาทั้งหมดจะเห็นได้ว่า กลยุทธ์ในการควบคุมอำนาจทางการเมือง หรือการครองอำนาจรัฐนั้น มีการใช้วิธีการต่างๆ มากมาย ที่สำคัญที่สุดก็คือ การสร้างความเชื่อ และการใช้วัฒนธรรม และประเพณี เพื่อสร้างความชอบธรรมในการครองอำนาจรัฐ แต่เมื่อสังคมเริ่มเปลี่ยนโดยเฉพาะอย่างยิ่งของยุโรป เกิดความขัดแย้งระหว่างกษัตริย์และขุนนาง จนนำไปสู่การทำข้อตกลงแบ่งอำนาจกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการกำหนดอำนาจในการจัดเก็บภาษีของกษัตริย์ นำไปสู่ Magna Carta หรือกฎบัตรใหญ่ ในปี ค.ศ.1215 จึงเริ่มต้นของการมีระบบการปกครองแบบประชาธิปไตย ซึ่งก็มีอุปสรรคและมีการนองเลือด แต่ผลสุดท้ายประชาชนเริ่มมีบทบาทเข้ามาเกี่ยวข้องกับอำนาจรัฐ ใช้เวลาทั้งสิ้นประมาณ 700 ปี จึงเกิดระบบการเมืองใหม่ขึ้นที่เรียกว่า ระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย โดยประชาชนมีสิทธิ์มีเสียง ที่มาแห่งอำนาจหรือความชอบธรรม ไม่ได้มาจากสวรรค์อีกต่อไป หากแต่มาจากอำนาจอธิปไตยของปวงชน (popular sovereignty)

การเกิดขึ้นของระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยเป็นทางเลือกสำคัญของมนุษย์ที่จะอยู่ภายใต้การปกครองของระบบที่ตนมีส่วนไม่ทางตรงก็ทางอ้อมด้วยการเลือกตัวแทนของตนเข้าไปอยู่ในรัฐสภา กลยุทธ์การครองอำนาจของผู้ใช้อำนาจรัฐแบบเดิมจึงต้องมีการแปรเปลี่ยนและออมชอมโดยการแบ่งอำนาจและการกระจายอำนาจ เช่น มีการกำหนดอำนาจให้มีการถ่วงดุลกันระหว่างนิติบัญญัติ บริหาร และตุลาการ การปกครองระหว่างรัฐบาลกลางและรัฐบาลท้องถิ่น ซึ่งมีสิทธิและอำนาจในการปกครองตนเอง
   
การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนี้ทำให้กลยุทธ์ในการคุมอำนาจรัฐจะต้องแปรเปลี่ยนไป การอ้างอาญาสิทธิ์จากสวรรค์จึงต้องเป็นอำนาจอธิปไตยของปวงชน โดยปวงชนต้องมีสิทธิ์ในการยินยอมด้วยการหย่อนบัตรลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง ผลที่ตามมาจากการเปลี่ยนแปลงก็คือ ความเชื่อที่มีอยู่ดั้งเดิมนั้นว่ามนุษย์มีความเหลื่อมล้ำกันก็เปลี่ยนเป็นมนุษย์มีความเสมอภาคกัน โดยทุกคนเป็นบุตรของพระผู้ทรงมหิทธานุภาพ จึงมีความสัมพันธ์ในการเป็นมนุษย์ และนี่คือที่มาของสิทธิมนุษยชน ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ความเสมอภาคและสิทธิเสรีภาพ

นอกจากการเปลี่ยนแปลงในทางความคิดแล้ว การใช้วัฒนธรรมและประเพณีเพื่อให้คนยอมรับสถานะของตนโดยมีความเหลื่อมล้ำเป็นฐานนั้น ก็ได้มีการเปลี่ยนแปลง วัฒนธรรมอันใดที่ไม่สอดคล้องกับสิทธิขั้นมูลฐาน ที่กล่าวมาเบื้องต้นก็อาจมีการยกเลิกปรับเปลี่ยน เช่น การมีอภิสิทธิ์ของผู้ครองอำนาจรัฐก็จะถูกลดอภิสิทธิ์ลง ความสัมพันธ์ระหว่างผู้ปกครองและผู้อยู่ใต้ปกครองก็จะเปลี่ยนเป็นความสัมพันธ์ของผู้มีความเสมอภาคกันมากขึ้น การใช้อำนาจรัฐของผู้ครองอำนาจรัฐโดยประเพณีเดิมก็ต้องมีการร่วมกับอำนาจรัฐที่มาจากอธิปไตยของปวงชน เช่นในรณีของอังกฤษ เป็นต้น

ที่กล่าวมานี้จะชี้ให้เห็นว่ากลยุทธ์ในการครองอำนาจรัฐนั้นมีวิวัฒนาการมายาวนาน แต่ผลสุดท้ายก็ไม่สามารถจะรักษาสภาพเดิมได้เพราะมีการแปรเปลี่ยน และบางครั้งการแปรเปลี่ยนนั้นก็มีการนองเลือดและเสียชีวิตเช่นในกรณีของอังกฤษ แต่เมื่อเทียบกับกรณีของฝรั่งเศสในปี ค.ศ.1789 และรัสเซียในปี ค.ศ.1917 การเปลี่ยนแปลงระบบการเมืองการปกครองโดยมีกลยุทธ์ในการครองอำนาจรัฐนั้นมีการเปลี่ยนแปลงในการใช้ความรุนแรงที่เรียกว่าการปฏิวัติ โดยมีการปฏิวัติแบบถอนรากถอนโคน ซึ่งแตกต่างจากของอังกฤษ แม้ของอังกฤษจะมีการลงโทษโดยรัฐสภาให้ประหารชีวิตพระเจ้าชาร์ลส์ก็ตาม แต่ก็มีลักษณะที่ไม่รุนแรงเท่ากับฝรั่งเศสและรัสเซีย

กลยุทธ์การครองอำนาจในปัจจุบันเป็นกลยุทธ์ที่ต้องคำนึงถึงการได้อำนาจรัฐอย่างถูกต้องและมีความชอบธรรมโดยการอิงประชาชนเป็นหลัก นั่นคือ อำนาจอธิปไตยของปวงชน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าหลังจากได้อำนาจรัฐแล้วจะมีอำนาจสิทธิ์ขาด เพราะอำนาจอธิปไตยในปัจจุบันได้มีการแปรเปลี่ยนเป็นการเมืองภาคประชาชนมากขึ้น กล่าวคือ นอกจากประชาชนจะมีอำนาจในการเลือกตัวแทนของตนแล้ว ประชาชนยังมีสิทธิ์ที่จะเข้ามาเกี่ยวข้องกับการเมืองโดยมีส่วนร่วมโดยตรง ที่เรียกว่า participatory democracy ทำให้ผู้ครองอำนาจรัฐนอกจากจะต้องปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ที่กำหนดในรัฐธรรมนูญ กฎหมายต่างๆ และที่มีความชอบธรรมแล้ว ยังต้องเผชิญกับการเมืองภาคประชาชนที่เป็นการเมืองนอกเหนือจากระบบรัฐสภาและฝ่ายบริหารในทำเนียบรัฐบาล กลยุทธ์การครองอำนาจรัฐในปัจจุบันจึงเป็นสิ่งที่ต้องใช้ความพยายามเป็นพิเศษที่ให้สอดคล้องกับหลักนิติธรรม (the rule of law) มีความเป็นประชาธิปไตย มีผลงานอันเป็นที่ยอมรับของประชาชน เพื่อให้เกิดความชอบธรรมที่จะครองอำนาจ แต่ขณะเดียวกันก็ต้องพร้อมเผชิญกับการเมืองภาคประชาชนที่อาจจะไม่พอใจกับกิจกรรมบางส่วนของผู้ครองอำนาจรัฐที่มาอย่างถูกต้องตามกฎหมาย โดยประชาชนยังมีอำนาจที่จะประท้วง ต่อต้านนโยบายบางอย่างที่ตนไม่เห็นด้วยทั้งๆ ที่ตนได้มอบอำนาจในการตัดสินใจดังกล่าวด้วยการลงคะแนนเสียงไปแล้วก็ตาม

กระบวนการ และกลยุทธ์ในการครองอำนาจรัฐ จึงเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ ยากที่จะเรียนรู้ได้อย่างสมบูรณ์ นักวิชาการ หรือนักการเมือง ที่พยายามเสนอการครองอำนาจรัฐที่มีชื่อที่สุด คือ แมคเคียเวลลี โดยใช้เหลี่ยมคูทางการเมือง ซึ่งก็มีการวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นนัการเมือง หรือนักวิชาการ หรือนักคิด ที่มีแต่การใช้กลเม็ดในการรักษาอำนาจทางการเมือง เพื่อที่จะครองอำนาจรัฐจนละเลยความถูกต้องและศีลธรรม หรือกรณีของผู้นำจีนในสมัยโบราณก็มีกลยุทธ์ต่างๆ ของการเอาชนะฝ่ายตรงกันข้ามด้วยเล่ห์เหลี่ยมคูทางการเมืองมากมายคณานับยากที่จะกล่าวถึง การใช้อำนาจและการรักษาอำนาจรัฐด้วยกลวิธีต่างๆ ดังที่กล่าวมาแล้วนั้น จำเป็นต้องมีการปรับเปลี่ยนกับสถานการณ์ใหม่

ประเด็นที่ต้องพิจารณาก็คือ ผู้อยู่ในอำนาจรัฐจำเป็นต้องคำนึงถึงความยุติธรรม ความชอบธรรม ของผู้อยู่ใต้การปกครองด้วย ถ้าไม่มีการใช้อำนาจรัฐอย่างเด็ดขาดสังคมก็จะกลายเป็นอนาธิปไตย แต่ถ้ามีการใช้อำนาจจนเกินเลยก็จะถูกต่อต้าน การสร้างกลไกต่างๆ เพื่อรักษาอำนาจรัฐสามารถกระทำได้ในระดับหนึ่ง แต่ยากที่จะรักษาอำนาจรัฐได้ตลอดไป การเปลี่ยนแปลงทางการเมือง การเปลี่ยนแปลงของผู้ครองอำนาจรัฐ จึงเกิดขึ้นเป็นเรื่องปกติวิสัย

อย่างไรก็ตาม สิ่งซึ่งปฏิเสธไม่ได้ก็คือ อำนาจรัฐอันเป็นที่ยอมรับโดยสากลนั้นจะต้องเป็นอำนาจรัฐที่เอื้ออำนวยประโยชน์ของคนส่วนใหญ่ มีความยุติธรรม สิทธิเสรีภาพ มีความเสมอภาค มีการใช้หลักนิติธรรม คำนึงถึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์และสิทธิมนุษยชน มิฉะนั้นการครองอำนาจรัฐดังกล่าวก็ยากที่จะอยู่ได้อย่างถาวร และในแง่หนึ่งไม่มีอะไรที่อยู่อย่างถาวรตลอดไป ดังคำกล่าวที่ว่า ทุกอย่างย่อมมีการเปลี่ยนแปลง ยกเว้นกฎแห่งการเปลี่ยนแปลงŽ (Everything changes but change)

ที่มา.สยามรัฐ
////////////////////////////////////////////////////

ขอที่ยืนให้ ค้าปลีกรายเล็ก โลกนี้มีสองด้านเสมอ !!?


โดย พัฒนพันธุ์ วงษ์พันธุ์

สงกรานต์ที่ผ่านมา คนมีถิ่นฐาน ใช้ชีวิตในเมืองกรุงหรือละแวกใกล้เคียง เมื่อมีโอกาสเดินทางไปสัมผัสกับกลิ่นอายในต่างจังหวัด จะด้วยวัตถุประสงค์อะไรก็ตาม คงได้เห็นความเจริญเติบโตชนิดผิดหูผิดตา เรียกว่ากรุงเทพฯมีอะไร ต่างจังหวัดก็ไม่น้อยหน้า

ศูนย์การค้าใหญ่ ค้าปลีกสารพัดรูปแบบ โชว์รูมรถยนต์ของทุกค่าย โรงภาพยนตร์มัลติเพล็กซ์ ร้านวัสดุก่อสร้างยักษ์ไม่เว้นกระทั่งโรงพยาบาลชื่อดัง ๆ ที่เราคุ้นหู โดยเฉพาะหัวเมืองในภาคอีสานกลายเป็นแหล่งค้าขายสำคัญ แต่ละจังหวัดคึกคักขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เนื่องจากกำลังซื้อของภาคเกษตรกรรรมมีที่มาจากผลผลิตราคาสูงขึ้น

บวกกับนโยบายค่าแรง 300 บาท เกิดเป็น "อำนาจซื้อใหม่"ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้น

วิเคราะห์กันว่า ในอดีตรากหญ้า ผู้ใช้แรงงานของไทยยังฐานะฝืดเคือง หาเช้ากินค่ำ แต่เมื่อมีรายได้เพิ่มขึ้น จึงไม่มีรีรอที่จะใช้จ่าย

ผลจากการเคลื่อนทัพของทุนส่วนกลาง เฉพาะโคราช ขอนแก่น และอุดรธานี รถเครนก่อสร้างขวักไขว่เต็มไปหมดเพื่อเร่งงานการก่อสร้างทุกรูปแบบคอนโดมิเนียม บ้านจัดสรร ศูนย์การค้า ไม่รวมถึงสาธารณูปโภค ถนนหนทาง และการก่อสร้างของภาครัฐต่าง ๆ

"เพราะการเติบโตไม่ได้จำกัดแค่ในเมืองใหญ่อีกต่อไป ทำให้ผู้ประกอบการทุกคนเดินออกไปขยายสาขาต่างจังหวัดมากขึ้น ขณะที่กำลังซื้อต่างจังหวัดก็เพิ่มการขยายตัวขึ้นเช่นกัน" คือบทสรุปของผู้บริหารธุรกิจยักษ์ใหญ่รายหนึ่งที่สะท้อนภาพการไหลบ่าของทุนจากส่วนกลาง

จากที่ผ่านมาคัมภีร์สำคัญที่ภาคธุรกิจไทยท่องจนขึ้นใจเสมอมา พร้อมเข้าไปลงทุนทุกแห่งที่เมื่อมีกำลังซื้อเกิดขึ้นแล้วเท่านั้น
เมื่อติดตามความเคลื่อนไหวผู้ประกอบการระดับแถวหน้า จะพบว่าสัดส่วนการลงทุนในต่างจังหวัดช่วงที่ผ่านมา มากกว่ากรุงเทพฯและปริมณฑลเป็นเท่า ๆ ตัว สัดส่วนการลงทุนดังกล่าวมีแต่จะเพิ่มขึ้น

สมาคมผู้ค้าปลีกไทยซึ่งมีสมาชิกเป็นผู้ประกอบการหลัก ๆ ทั้งเซ็นทรัล เดอะมอลล์ บิ๊กซี แม็คโคร เทสโก้ โลตัส ฯลฯ ชี้ว่า ธุรกิจค้าปลีกค้าส่งจะมีสัดส่วนการเปิดสาขาในกรุงเทพฯและต่างจังหวัดเพิ่มจาก 40 : 60 ในปัจจุบัน เพิ่มเป็น 38 : 62 ในอีก 3 ปีข้างหน้า

เป็นไปในทิศทางเดียวกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ระบุว่า การขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในปี 2555 ที่ผ่านมา มีแรงส่งสำคัญมาจากการขยายตัวของการบริโภคและลงทุนในระดับภูมิภาค

ล่าสุดยอดขายไตรมาสแรกของยักษ์ใหญ่อย่างบิ๊กซี

เทสโก้ โลตัส เติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งแน่นอนว่ากำลังซื้อในต่างจังหวัดเป็นเฟืองจักรที่สำคัญ

แต่อย่างที่บอกไว้ตั้งแต่ต้น โลกนี้มีสองด้านเสมอ

ในขณะที่ทัพการลงทุนจากส่วนกลางดาหน้าสู่ภูมิภาค ด้านหนึ่งหมายถึงการเปลี่ยนผ่านสู่ความทันสมัย เป็นการกระจายความเจริญสู่ท้องถิ่น สร้างความมีชีวิตชีวาให้เกิดขึ้น ก่อให้เกิดการสร้างงาน ได้ทำงานใกล้ ๆ สถานที่พำนักอาศัย

แต่อีกด้านหนึ่งหมายถึงว่า ปลาใหญ่ที่มีทุนทรัพย์มากกว่า มีความรู้โนว์ฮาว บริหารงานทันสมัย ย่อมคืบคลานแย่งชิงแหล่งอาหารปลาตัวที่เล็กกว่าด้วยเช่นกัน

หลายปีก่อนเราเคยชอกช้ำจากค้าปลีกยักษ์ใหญ่อาศัยช่องว่างกฎหมาย บุกเปิดสาขาทั่วทุกหย่อมหญ้า ส่งผลให้

ยี่ปั๊ว-โชห่วย-ค้าปลีกท้องถิ่น ล้มหายเป็นจำนวนมาก กระทั่งปัจจุบันมียักษ์ใหญ่ไม่กี่รายเท่านั้นที่ครอบครองยอดขายเป็นแสน ๆ ล้าน

ยักษ์ใหญ่เหล่านี้มีแต่จะเติบโตและรุกคืบต่อไปไม่หยุดยั้ง เกิดขึ้นสด ๆ ร้อน ๆ "เซเว่นอีเลฟเว่น" เพิ่งจะซื้อยักษ์ใหญ่ค้าส่ง "แม็คโคร" ผงาดขึ้นเป็นเบอร์ 1 ในวงการค้าปลีกไทยเต็มตัว เรื่องนี้ถือเป็นวัฏจักรธุรกิจที่เกิดขึ้นได้ทั่วโลก ขออย่างเดียว

อย่าบุกจนเพลิน จนไม่เหลือที่ยืนให้รายเล็กรายน้อยก็แล้วกัน

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
///////////////////////////////////////////////////////

ฤๅ ต้องพึ่งบริโภคอย่างเดียว !!?


กิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ออกมายอมรับอีกครั้งว่า การส่งออกปีนี้จะขยายตัวไม่ถึง 9% จะทำอย่างไรได้ล่ะครับ เมื่อข้อเท็จจริงเป็นอย่างนี้

ดูเหมือนว่าความสามารถในการแข่งขันการส่งออกของเราลดลง ตั้งแต่เกิดน้ำท่วมใหญ่เมื่อปลายปี 2554 ที่พืชไร่ พืชสวน นาข้าว โรงงานต่างๆ ถูกน้ำท่วมหนักเป็นเดือน ทำให้ความสามารถในการแข่งขันการส่งออกของไทยลดลง ควบคู่ไปกับเศรษฐกิจโลกหดตัวซ้ำอีกทำให้สินค้าไทยขายไม่ออก
   
ความจริงแล้วนอกจากปัญหาเหล่านี้จะเป็นอุปสรรคในการส่งออก เรายังมีอุปสรรคใหญ่ๆ หลายรายการที่เกิดขึ้นเพราะนโยบายรัฐบาล อาทิ การปรับขึ้นค่าแรงงานขั้นต่ำทั่วประเทศ 300 บาทต่อวัน นโยบายอุดหนุนภาคเกษตรที่ปลูกข้าวแบบสุดโต่ง รับจำนำข้าวเปลือกนาปรังและนาปีตันละ 15,000 บาท ทำให้ราคาข้าวขายส่งออกต้องได้ราคาถึงตันละ 800 ดอลลาร์สหรัฐฯ ถึงจะคุ้มกับการลงทุนและการรับจำนำของรัฐบาล สุดท้ายข้าวเราจึงขายส่งออกได้ช้า และขาดทุนเท่าไหร่เราก็ไม่ทราบ เพราะเป็นการขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ ข้อมูลจึงเป็นความลับ ขณะที่ราคาซื้อขายในตลาดโลกมีตั้งแต่ 400-500 กว่าดอลลาร์สหรัฐฯเท่านั้น
   
สินค้าที่ส่งออกได้ดีก็เห็นจะมีแต่รถยนต์เท่านั้น ซึ่งขณะนี้เราผลิตและส่งออกได้เดือนหนึ่งเกิน 100,000 คันไปแล้ว โดยเดือนมีนาคม 2556 ทำสถิติใหม่ในรอบ 20 ปีที่ไทยทำการส่งออกได้มากเกินกว่าทุกเดือนที่ผ่านมา โดยส่งออกได้ถึง 102,742 คัน ทำลายสถิติสูงสุดโดยคร่าว ๆ แล้วปีนี้คงส่งออกไม่น้อยกว่า 1 ล้านคันแน่นอน แต่อย่างว่าล่ะครับ แม้จะส่งออกได้ดีก็ไม่ถึงกับเป็น "ฮีโร่" ที่จะช่วยให้ตัวเลขการส่งออกโดยรวมกระเตื้องขึ้นได้มากนัก
   
ในอีกด้านหนึ่งสังเกตให้ดี สินค้าอุปโภคบริโภคภายในประเทศ จะมีสินค้าที่ผลิตจากโรงงานอุตสาหกรรมเพื่อนบ้านเขามา "แทรกตัว" วางขายบนชั้นวางขายสินค้าแล้ว ถ้าแต่ก่อนเหลือประมาณ 6-7 ปีที่แล้วจะเป็นสินค้าประเภทเครื่องใช้ไฟฟ้า อาทิ เครื่องเสียง ทีวี เป็นต้น แต่ปัจจุบันมีสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าหลากหลายชนิดเพิ่มขึ้นในตลาดเมืองไทย และยังลามไปถึงสินค้าอุปโภคบริโภค ตั้งแต่ยาสีฟัน ยาสระผม อื่นๆ เป็นต้น
   
ปกติแล้วประเทศไทยเปลี่ยนโครงสร้างจากการผลิตเพื่อทดแทนการนำเข้า ปัจจุบันเราผ่านพ้นสภาพนั้นมานานแล้ว แล้วกำลังจะผ่านพ้นการผลิตสินค้าเพื่อการส่งออกเช่นเดียวกัน นั่นหมายถึงว่าเรากำลังจะเผชิญกับการแข่งขัน ด้านการผลิตสินค้าอย่างรุนแรงกับประเทศเพื่อนบ้าน อย่าง เวียดนาม มาเลเซีย อินโดนีเซียและจีน
   
มองในอีกด้านหนึ่ง เราได้เห็นความสำเร็จของการค้าโลกกำลังจะบรรลุเป้าหมายในแผ่นดินไทย คือ ปล่อยให้สินค้าที่ราคาถูกกว่า คุณภาพด้อยกว่า เข้ามาแข่งขันในตลาด และแน่นอน เรื่องของคุณภาพใครๆ ก็สามารถพัฒนาได้ แล้วเราในฐานะผู้ผลิตจะแข่งขันกับเขาได้อย่างไร แต่ก็ยังดีเมื่อมองไปที่ผู้บริโภคแล้วจะได้เปรียบ เพราะได้สินค้าที่มีราคาถูกกว่านั่นเอง
   
ไม่มีประโยชน์อันใดที่จะไปทัดทานกับการปรับโครงสร้างการผลิตที่กำลังเกิดขึ้น ไม่มีประโยชน์อันใดจะไปปกป้องค่าเงินบาทด้วยการแทรกแซง เราต้องปล่อยให้เป็นไปตามสภาพที่ควรจะเป็น ไม่เช่นนั้นความสูญเสียครั้งใหญ่ของประเทศชาติจะเกิดขึ้นมาอีกครั้ง ให้ปรับตัวสู่สิ่งใหม่ๆ ดีกว่าเพราะเศรษฐกิจมีขึ้นมีลง วัฏจักรแบบนี้เคยเห็นมาแล้วครั้งหนึ่งในช่วงชีวิต

ที่มา.หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ
///////////////////////////////////////////////