--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันพุธที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2556

ลูกหลาน เผด็จการ-มหาเศรษฐี อาเซียนซุกบริษัทลับนับร้อยบนเกาะคุก บริติช เวอร์จิ้น !!?


พบนักการเมือง-มหาเศรษฐีหลายประเทศอาเซียนพฤติกรรมใกล้เคียง ตั้งบริษัทกว่าร้อยบนเกาะสวรรค์ปลอดภาษี ลูกชายมหาเธร์- ลูกสาวมาร์กอส- 6 ตระกูลธุรกิจการเมืองเส้นสายเผด็จการซูฮาร์โต อื้อหมู่เกาะคุก บริติช เวอร์จิ้น

  ฐานข้อมูลของบริษัทผู้ให้บริการจดทะเบียนบริษัทนอกอาณาเขตรายใหญ่สองบริษัทคือ พอร์ตคูลลิสต์ ทรัสต์เน็ต (Portcullis TrustNet) คอมมอนเวลธ์ ทรัสต์ ลิมิดเต็ด (Commonwealth Tru Limited) ซึ่งได้มาโดยเครือข่ายผู้สื่อข่าวสืบสวนสอบสวนนานาชาติ (International Consortium of Investigative Journalists: ICIJ) ร่วมกับการสืบค้นขององค์กรสื่อในประเทศมาเลเซีย, อินโดนีเซีย และ ฟิลิปปินส์ ระบุรายชื่อผู้ถือครองบริษัทนอกอาณาเขตซึ่งรวมกันแล้วกว่า 4,000 รายในสามประเทศ ทั้งยังบ่งชี้พฤติกรรมของลูกหลานเผด็จการและตระกูลมหาเศรษฐีเส้นสายนักการเมืองที่นิยมตั้งบริษัทลับในบริติช เวอร์จิ้น, หมู่เกาะคุก และเกาะลาบวน ของมาเลเซีย

มาเลเซีย

หนังสือพิมพ์ออนไลน์ Malaysiakini.com ร่วมกับ ICIJ รายงานว่ามีบุคคลและบริษัทในประเทศมาเลเซียกว่า 1,500 ราย รวมทั้งนักการเมือง, มหาเศรษฐี, สมาชิกในครอบครัวของสุลต่านบางรัฐ เป็นเจ้าของบริษัทนอกอาณาเขตส่วนใหญ่แล้วอยู่ที่เกาะบริติช เวอร์จิ้น และประเทศสิงคโปร์ หนึ่งในนั้นคือนาย เมียร์ซาน มหาเธร์ บุตรชายคนโตของอดีตนายกรัฐมนตรี มหาเธร์ โมฮัมหมัด นาย เมียร์ซาน เป็นผู้อำนวยการและผู้ถือหุ้นของบริษัทนอกอาณาเขตบนเกาะลาบวน ประเทศมาเลเซีย 3 บริษัท คือบริษัท เครเซ้นท์ เอเนอร์จี จำกัด ในปี 2546 , บริษัท อุตตระ แคปปิตอล จำกัด ในปี 2540  และบริษัท อัล ซาอาด อินเวสต์เม้นท์ พีทีอี จำกัด ซึ่งตั้งในปี 2552

นาย เมียร์ซาน มหาเธร์ เป็นหนึ่งในมหาเศรษฐีที่ติดอันดับร่ำรวยระดับชาติของฟอร์ปส์  มีตำแหน่งเป็นประธานและซีอีโอของบริษัทเครเซ้นท์ แคปิตอล ซึ่งทำธุรกิจด้านการลงทุนและให้คำปรึกษาทางการเงิน  นอกจากนั้นเขายังลงทุนส่วนหนึ่งในบริษัทเบียร์ ซาน มิเกล

นาย มหาเธร์ โมฮัมหมัด บิดาของ นายเมียร์ซาน ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเป็นเวลา 22 ปี ก่อนจะลาออกจากใน พ.ศ. 2546 นายมหาเธร์และพรรคอัมโนของเขาได้รับการวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นผู้ดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจที่อิงแนวคิดแบ่งแยกทางเชื้อชาติ โดยเอื้อประโยชน์ให้ชาวมาเลเซียเชื้อสายมลายูมากกว่าชาวมาเลเซียเชื้อสายจีนและอินเดีย

อินโดนีเซีย

ฐานข้อมูลบริษัท พอร์ตคูลิส ทรัสต์เน็ต ระบุชื่อสมาชิกตระกูลมหาเศรษฐี 9 ใน 11 ตระกูลของอินโดนีเซีย เป็นเจ้าของทรัสต์และบริษัทลับทั้งสิ้น 190 บริษัท โดยรายชื่อสมาชิกในตระกูลมหาเศรษฐีเหล่านี้ เป็นส่วนหนึ่งของรายชื่อที่พบทั้งหมดเกือบ 2,500 ชื่อของบุคคลและบริษัทในประเทศอินโดนีเซียซึ่งถือครองบริษัทนอกอาณาเขตผ่านบริการของพอร์ตคูลิส ทรัสต์เน็ต

ในบรรดามหาเศรษฐีทั้ง 9 ตระกูลดังกล่าว มี 6 ตระกูลซึ่งมีความใกล้ชิดเป็นพิเศษกับพลเอกซูฮาร์โต้ อดีตประธานาธิบดีผู้ล่วงลับไปแล้วของอินโดนีเซีย พลเอกซูฮาร์โต้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดียาวนานถึง 31 ปี ก่อนจะถูกโค่นล้มจากอำนาจหลังการประท้วงใหญ่ทั่งประเทศใน พ.ศ. 2541 โดยยุคของซูฮาร์โต้เป็นยุคที่อินโดนีเซียได้รับการกล่าวขวัญทั่วโลกว่ามีการทุจริตโกงกินและเอื้อประโยชน์ให้พวกพ้องอย่างสูง

ตระกูลดังทั้ง 6 ตระกูลที่พบ อาทิ ตระกูลริยาดี (Riyady) เจ้าของกลุ่มลิปโป้ (Lippo Group) ซึ่งเป็นบริษัทข้ามชาติ ทำธุรกิจหลากหลายโดยเฉพาะอสังหาริมทรัพย์และห้างสรรพสินค้า สมาชิกครอบครัวนี้เป็นเจ้าของทรัสต์และบริษัทนอกอาณาเขตอย่างต่ำ 11 บริษัทโดยหลายบริษัทตั้งอยู่ที่หมู่เกาะคุก โดยบริษัท พอร์ตคูลิส ทรัสต์เน็ต จัดระดับการให้บริการสมาชิกตระกูลริยาดีเป็น “ลูกค้า A” (Client A) ซึ่งหมายถึงลูกค้าผู้ต้องการปกปิดตัวตนอย่างเคร่งครัด

นอกจากนั้นยังมีตระกูลซามปอเอร์นาเเศรษฐีอันดับ 10 ของอินโดนีเซีย อดีตเจ้าของบริษัทบุหรี่รายใหญ่ ซามปอเอร์นา สมาชิกรายหนึ่งของตระกูล จดทะเบียนก่อตั้งทรัสต์ชื่อว่า สตรอง คาสเทิล ทรัสต์ ที่หมู่เกาะคุก เพียงสองสัปดาห์หลังจากที่ ตระกูลซามปอเอร์นาขายหุ้น 97% ของบริษัทให้กับบริษัทฟิลิป มอริสของสหรัฐฯ ในราคา 2,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2548   นอกจากนั้นยังมีเศรษฐีในวงการยาสูบรายอื่นเช่นนาย สุสิโล โวโนวิดโจโจ และนาย ปีเตอร์ ซอนดาคฮ์ ยังเป็นเจ้าของบริษัทนอกอาณาเขตหลายบริษัทเช่นเดียวกัน

กลุ่มมหาเศรษฐีที่ร่ำรวยจากสัมปทานตัดไม้ในยุคซูฮาร์โต้จำนวนหนึ่ง คือนายเอ็กก้า จิบตา วิดจาจา, สมาชิกตระกูลซาลิม, นายซูกานโต้ ทาโนโต้ และนาย ปราโจโก ปังเกอสตู มีบริษัทนอกอาณาเขตรวมกันแล้วกว่า 140 บริษัท ส่วนใหญ่ตั้งอยู่ที่บริติช เวอร์จิ้น

ในช่วงระหว่าง พ.ศ. 2540 – 2541 ซึ่งเป็นเวลาที่อำนาจทางการเมืองของอดีตประธานาธิบดีซูฮาร์โตกำลังสั่นคลอน พบว่าบริษัทพอร์คูลิส ทรัสเน็ตมีลูกค้าจากอินโดนีเซียที่รุดเข้าจดทะเบียนเป็นเจ้าของบริษัทนอกอาณาเขตมากขึ้น หนึ่งในนั้นคือ นายธาเรค เคมาล ฮาบีบี บุตรชายคนรองของอดีตประธานาธิปดี บีเข ฮาบีบี ผู้เข้ารับตำแหน่งแทนซูฮาร์โต้ในปี 2541 นายธาเรค จดทะเบียนเป็นเจ้าของบริษัทสองแห่งที่บริติช เวอร์จิ้น ในช่วงเวลาไม่กี่สัปดาห์ก่อนการพ้นอำนาจของซูฮาร์โต้ นาย อิลฮาม บุตรชายอีกคนหนึ่งของ ฮาบีบี ยังตั้งบริษัทนอกอาณาเขตไม่ต่ำกว่า 7 บริษัทในปี 2551  เพื่อเป็นฐานนอกประเทศในการทำธุรกิจในอินโดนีเซียรวมทั้งธุรกิจเหมืองและขุดเจาะน้ำมัน

นอกจากนั้นยังมีนายมาริมูตู สินิวาซาน ประธานบริษัทสิ่งทอเท็กซ์มาโก (Texmaco) ผู้มีความใกล้ชิดเป็นพิเศษกับประธานาธิบดี นายสินิวาซานได้เงินกู้จากธนาคารของรัฐจำนวนรวมกันประมาณ 2,200 ล้านเหรียญสหรัฐ ในพ.ศ. 2540 เขาจดทะเบียนเป็นผู้ถือหุ้นแต่เพียงผู้เดียวของบริษัท ไปปไลน์ ทรัสต์ คอมปานี ลิมิดเต็ด ที่หมู่เกาะคุก

ในเดือนกันยายน 2541 พบว่าพอร์คูลิส ทรัสเน็ต ได้ จดทะเบียนตั้งบริษัท พิโก้ เทรดดิ้ง ลิมิดเต็ด โดยไม่มีบันทึกชื่อผู้ถือหุ้นและเจ้าของที่แท้จริง อย่างไรก็ตาม ข้อมูลจากฐานข้อมูลระบุว่ามีการโอนเงินจากบัญชีของบริษัทนี้จำนวนหลายครั้งหลักหมื่นเหรียญสหรัฐฯ จำนวนหนึ่งโอนไปยังบุคคลชื่อ นางยานติ รักมานา ซึ่งเป็นชื่อเดียวกับบุตรสาวคนโตของประธานาธิบดีซูฮาร์โต้ อย่างไรก็ตาม การปกปิดความลับของบริษัททำให้ไม่สามรถยืนยันตัวตนผู้รับเงินได้

ฟิลิปปินส์

สอบทรัพย์สินลูกสาวมาร์กอส หลังพบซุกบริษัทลับนอกประเทศ

การตรวจสอบของ ICIJ ร่วมกับผู้สื่อข่าวจาก Philippine Center for Investigative Journalism  พบชื่อนางมาเรีย อิเมลด้า มาร์กอส มาโนต็อค หรือ อีมี่ มาร์กอส นักการเมืองท้องถิ่นบุตรสาวคนโตอดีตประธานาธิบดี เฟอร์ดินาน มาร์กอส ผู้ล่วงลับ เป็นเข้าของบริษัทนอกอาณาเขต 3 บริษัท ไม่ยอมแจ้งทรัพย์สินตามกฎหมาย

นางอีมี่ มาร์กอส ซึ่งขณะนี้ดำรงตำแหน่งเป็นผู้ว่าราชการจังหวัด Ilocos Norte ของประเทสฟิลิปปินส์ มีชื่อเป็นเจ้าของผู้รับผลประโยชน์ของ ซินตร้า ทรัสต์ ซึ่งตั้งขึ้นที่บริติช เวอร์จิ้น ใน พ.ศ. 2545 ร่วมกับสมาชิกในครอบครัว นอกจากนั้นยังมีตำแหน่งเป็นที่ปรึกษาด้านการเงินของบริษัท คอมเซ็นเตอร์ คอร์ปอเรชั่น ที่บริติช เวอร์จิ้น ซึ่งตั้งใน พ.ศ. 2545 ซึ่งเป็นบริษัทที่ซินตร้า ทรัสต์ เป็นผู้ถือหุ้นรายหนึ่ง อิมี่ มาร์กอส ยังมีชื่ออยู่ในบริษัทลับบริษัทที่ 3 คือ บริษัท เอ็มทรัสต์ ซึ่งตั้งในปี 2540 ที่เกาะลาบวน ประเทศมาเลเซียและปิดตัวลงในปี 2542

อีมี่ มาร์กอส ไม่ได้รายงานบริษัทเหล่านี้ในการแจ้งบัญชีทรัพย์สินนักการเมืองตามกฎหมายฟิลิปปินส์

นายเฟอร์ดินาน มาร์กอส ซึ่งดำรงตำแหน่งประธานาธิปดียาวนานถึง 21 ปี หลบหนีจากประเทศฟิลิปปินส์พร้อมครอบครัว ใน พ.ศ. 2529 นางอิเมลด้า มาร์กอสและบุตรธิดาสามคนได้เดินทางกลับหลังจากที่เขาเสียชีวิตใน พ.ศ.  2532 โดยสมาชิกครอบครัวรมาร์กอสรุ่นลูกรวมทั้งนางอีมี่ลงเล่นการเมืองนับแต่นั้น ในขณะนี้ รัฐบาลฟิลิปปินส์ยังคงเดินหน้าติดตามทรัพย์สินที่ได้จากการโกงกินของมาร์กอสที่ซ่อนอยู่ต่างประเทศ ที่ประมาณว่ามีราว 5,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และคาดว่ายังคงเหลือบางส่วนซุกซ่อนอยู่ในต่างประเทศ  ข้อมูลที่ ICIJ เปิดเผยในครั้งนี้ นำไปสู่ข้อสงสัยว่า นางอีมี่ อาจมีส่วนรู้เห็นในการซุกซ่อนทรัพย์สินส่วนหนึ่งของนายมาร์กอส

ผลจากการตีพิมพ์ข้อมูลดังกล่าวผ่านสื่อมวลชนในฟิลิปปินส์และในเว็บไซด์ของ ICIJ ทำให้ขณะนี้รัฐบาลฟิลิปปินส์ทำการการตรวจสอบการถือครองบริษัทนอกอาณาเขตของนางอีมี่ มาร์กอส โดยคาดว่าผลการตรวจสอบจะแล้วเสร็จใน 2 สัปดาห์

ที่มา.สำนักข่าวอิศรา
////////////////////////////////////////////////////////////

ขวากหนาม ปมร้อน แก้ รธน.-พ.ร.บ. 2 ล้านล้าน !!?


เพียงแค่ที่ประชุมร่วมรัฐสภารับร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ 3 ฉบับ ที่ฝ่าย ส.ส.เสียงข้างมาก ผนึกกำลังกับ ส.ว.สายเลือกตั้งร่วมกันเสนอต่อประธานรัฐสภา จนมีเสียงสนับสนุนเกินครึ่งของ 2 สภา แต่กลับถูกแรงค้าน แรงต้านตั้งแต่ยกแรก

ไม่ต่างจากร่าง พ.ร.บ.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศวงเงิน 2 ล้านล้านบาท หรือ พ.ร.บ. 2 ล้านล้าน เพียงแค่สภาผู้แทนราษฎรรับหลักการวาระที่ 1 ก็ถูกจองกฐิน เตรียมยื่นศาลรัฐธรรมนูญไว้ล่วงหน้า ไม่ว่าจะเป็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตราทั้ง 3 ฉบับ

ไม่ว่าจะเป็นร่าง พ.ร.บ. 2 ล้านล้าน ล้วนถูกฝ่ายค้านและ ส.ว.สายสรรหา-ตั้งธงใช้ช่องทางยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความทั้งสิ้น ทำให้บรรทัดสุดท้าย

ชะตากรรมของร่างกฎหมายที่รวมกันเป็น 4 ร่าง ต้องอยู่ในอุ้งมือของศาลรัฐธรรมนูญเป็นผู้ชี้ขาดว่าจะขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่ เป็น 2 ขวากหนามที่ไม่ปล่อยให้ร่างกฎหมายดังกล่าวผ่านสภาได้โดยสะดวก

ขวากหนามที่ 1.ส.ว.สายสรรหา โดย "สมชาย แสวงการ" ร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าประธานรัฐสภาและคณะ กระทำการแก้ไขรัฐธรรมนูญอันขัดต่อบทบัญญัติรัฐธรรมนูญมาตรา 68 หรือไม่

ขวากหนามที่ 2 ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์-ส.ว.สายสรรหา เตรียมร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้วินิจฉัยตีความร่าง พ.ร.บ. 2 ล้านล้าน หลังกระบวนการพิจารณากฎหมายผ่านชั้นพิจารณาของ ส.ส.และ ส.ว. ในวาระที่ 3 แล้วเสร็จ โดยจะยื่นให้ศาลตีความก่อนประกาศลงในราชกิจจานุเบกษา

เนื่องจากขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 169 ที่กำหนดว่า การใช้จ่ายเงินแผ่นดินจะทำได้เฉพาะที่ได้รับอนุญาตไว้ในกฎหมายว่าด้วยงบประมาณรายจ่าย เว้นแต่กรณีเร่งด่วน ทั้ง 2 ขวากหนาม แม้ทีมกฎหมายพรรคเพื่อไทย จะประเมินว่า "ไม่น่าห่วง"

แต่ก็พูดไม่เต็มปาก

เพราะทีมกฎหมายเห็นว่าการตัดสินขององค์กรอิสระส่วนใหญ่มักวินิจฉัย "เป็นโทษ" มากกว่า "เป็นคุณ" กับพรรคเพื่อไทย

และเมื่อจับใจความของฝ่ายที่จองกฐิน-คาดโทษ พรรคร่วมรัฐบาลและ ส.ว.เลือกตั้งที่ร่วมลงชื่อ-ขานชื่อโหวตให้กับการแก้ไข-ออกกฎหมาย ล้วนแสดงเจตนาชัดเจนว่าจะค้านจนวินาทีสุดท้าย

เช่น "กรณ์ จาติกวณิช" ขุนคลังแห่งพรรคประชาธิปัตย์ โพสต์ลงในเฟซบุ๊กส่วนตัวว่าจะค้านจนถึงที่สุด "เราแพ้เสียงข้างมากในสภา แต่ผมได้พูดไว้ว่าผมจะค้านการกู้นี้จนถึงที่สุด ผมจะเข้าไปทำหน้าที่ในกรรมาธิการ และจะค้านต่อไปในวาระการพิจารณาที่สอง และถ้ากฎหมายในรูปปัจจุบันผ่านสภาไปได้ ผมก็ยังมั่นใจว่า กฎหมายนี้ขัดต่อกฎหมายรัฐธรรมนูญอยู่ดี"

ขณะที่ "วิรัตน์ กัลยาศิริ" มือกฎหมายของพรรคประชาธิปัตย์ ฟันธงว่า พ.ร.บ.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงิน 2 ล้านล้านขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 169 เช่นเดียวกับการยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความเรื่องการแก้ไขมาตรา 68

นอกจากนี้ ยังมีกลุ่มแนวร่วมพร้อมรบกับฝ่ายค้าน และ ส.ว.สายสรรหา อย่างกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่เตรียมเคลื่อนไหวคัดค้านทั้งบนดินและใต้ดินทันที

โดย "พล.ต.จำลอง ศรีเมือง" แกนนำพันธมิตรฯ กล่าวว่า จะติดตามสถานการณ์บ้านเมืองอย่างใกล้ชิด หากเกิดสถานการณ์เข้าขั้นวิกฤตจริงจะเรียกประชุมด่วน และเคลื่อนไหวออกชุมนุมทันที เพราะการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 3 มาตรา และการเสนอร่าง พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้าน เราไม่เห็นด้วยแน่นอน พร้อมคัดค้านและดำเนินการทางกฎหมายถึงที่สุด

ทั้งหมดเป็น 2 ขวากหนามที่ต้องเผชิญ

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
///////////////////////////////////////////////////////////

4 ปัจจัย ทุบราคาทองดิ่งต่ำสุดในรอบ 30 ปี !!?


4 ปัจจัยเสี่ยงทุบราคาทองคำในตลาดโลก ดำดิ่งวันเดียวหนักสุดในรอบ 30 ปี "เงินเฟ้อต่ำ-ความเสี่ยงศก.โลกลด-หุ้นพุ่ง-ดบ.จ่อขยับขึ้น"

ราคาทองคำร่วงภายในวันเดียวหนักสุดในรอบกว่า 30 ปี ราคาลดลงไปถึง 140.30 ดอลลาร์ หรือ 9% มาอยู่ที่ 1,361 ดอลลาร์ ในการซื้อขายที่ตลาดนิวยอร์ก สหรัฐ เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา (15 เม.ย.) แม้ราคาจะค่อยๆ ปรับตัวลงมา นับแต่พุ่งไปแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 1,900 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เมื่อเดือนส.ค. 2554 แต่กระแสการเทขายอย่างหนักเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา

ก่อนราคาในตลาดโลกจะร่วงลงมาอย่างหนัก ราคาทองคำไต่ระดับขึ้นมาทุกปี เนื่องจากนักลงทุนพากันเข้าซื้อทองคำ เพื่อเป็นเกราะป้องกันจากเงินเฟ้อ และในฐานะที่เป็นสินทรัพย์ที่ได้ชื่อว่าเป็นแหล่งสวรรค์สำหรับการลงทุนอย่างปลอดภัย

ราคาทองคำพุ่งขึ้นไปทำสถิติสูงสุดเมื่อครั้งที่รัฐสภา สหรัฐกำลังงัดข้อกันในเรื่องการเพิ่มเพดานหนี้ จนทำให้เกิดความเสี่ยงว่า สหรัฐ ประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่สุดของโลกจะผิดนัดชำระหนี้

แต่การชะลอตัวของเงินเฟ้อ ประกอบกับกระแสคาดการณ์ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) กำลังพิจารณาลดการดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ จุดชนวนให้บรรดานักลงทุนพากันเทขายทองคำ เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (12 เม.ย.) ตลาดยังได้แรงกระตุ้นจากรายงานข่าวที่ว่า ไซปรัสอาจเทขายทองคำสำรองบางส่วน เพื่อหาเงินมาจ่ายหนี้ หลังจากได้รับการอัดฉีดจากนานาประเทศแล้ว

สาเหตุที่ทำให้ราคาทองคำร่วงลง และการปรับตัวลดลงที่อาจจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ อาจเป็นไปได้ดังต่อไปนี้

1. เงินเฟ้อยังอยู่ในระดับต่ำ

นักลงทุนเข้าซื้อทองคำ เพราะเกรงว่าเงินเฟ้อจะพุ่งสูงขึ้นเร็วเกินไป จากการที่เฟดดำเนินความพยายามกระตุ้นการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ด้วยการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงมา ผ่านการเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาล โดยต้นทุนสินค้าที่เพิ่มสูงขึ้น จะบั่นทอนกำลังการซื้อของเงินดอลลาร์

อย่างไรก็ดี จนถึงขณะนี้ เงินเฟ้อยังคงอยู่ภายใต้การควบคุม แม้เศรษฐกิจจะปรับตัวดีขึ้นแล้วก็ตาม ทั้งเมื่อเร็วๆ นี้ เงินดอลลาร์ ยังแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินอื่นๆ ทำให้ทองคำกลายเป็นแหล่งลงทุนที่มีความน่าสนใจน้อยลง

2. ความกังวลเศรษฐกิจโลกลดลง

การเข้าซื้อทองคำ ยังเกิดจากการที่ทองคำเป็นแหล่งลงทุนที่ปลอดภัย เป็นเสมือนสินทรัพย์ที่สร้างความอุ่นใจให้กับนักลงทุน ในช่วงเวลาที่เกิดความกังวลเกี่ยวกับความเป็นไปได้ที่จะเกิดการล่มสลายในผลิตภัณฑ์การเงินต่างๆ

สถานการณ์ในช่วง 6 ปีที่ผ่านมา ทำให้เกิดความวิตกต่างๆ มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น วิกฤติการเงิน ความเป็นไปได้ที่สหรัฐจะผิดนัดชำระหนี้ หรือการล่มสลายในยุโรป ซึ่งล้วนแต่เป็นแรงกระตุ้นที่ทำให้เกิดการเข้าลงทุนในทองคำมากขึ้น จนดันให้ราคาพุ่งสูงขึ้น

แต่เมื่อความกังวลเริ่มหายไป หลังธนาคารกลางประเทศต่างๆ พากันเข้าอัดฉีดเศรษฐกิจที่มีปัญหารายแล้วรายเล่า จึงทำให้การเข้าซื้อทองคำลดลง

นายนิโคลาส บรูคส์ หัวหน้าฝ่ายวิจัย และกลยุทธ์การลงทุน จากอีทีเอฟ ซิเคียวนริตีส์ ระบุว่า ทองคำเป็นเหมือนหลักทรัพย์ค้ำประกัน เมื่อสถานการณ์การลงทุนอยู่ในสภาวะย่ำแย่อย่างหนัก และตอนนี้ที่ราคาลดลง ก็เป็นเพราะผู้คนรู้สึกว่า ไม่จำเป็นต้องมีการค้ำประกันในขณะนี้แต่อย่างใด

3. ราคาหุ้นปรับตัวขึ้น

แม้ตลาดหลักทรัพย์เกือบทั่วโลก จะปรับลดลงเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา แต่ตลอดทั้งปีนี้ ตลาดหุ้นอยู่ในขาขึ้นเป็นส่วนใหญ่ เพราะนักลงทุนต่างมองแง่ดีว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะหลุดพ้นจากภาวะซบเซา หลังหลุดพ้นจากภาวะถดถอยครั้งใหญ่ ซึ่งก่อนหน้าที่จะเกิดการเทขายทองคำครั้งใหญ่นั้น ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ ปรับขึ้นมาแล้วถึง 11%

นายปีเตอร์ ชิฟฟ์ หัวหน้าคณะเจ้าหน้าที่บริหาร (ซีอีโอ) จากยูโร แปซิฟิก แคปิตัล แสดงความเห็นว่า ในโลกของเงินร้อนนั้น ผู้คนมักไม่ค่อยมีความอดทน และเมื่อดาวโจนส์ เริ่มขยับขึ้นทำสถิติใหม่ ทำให้นักลงทุนเริ่มคิดว่า การอยู่ในตลาดทองคำ ทำให้พวกเขาพลาดโอกาสไป จึงเกิดการเทขายทองคำ เพื่อนำเงินมาลงทุนในตลาดหุ้น

4. ดอกเบี้ยจ่อขยับขึ้น

ธนาคารกลางสหรัฐ เริ่มพิจารณาถึงการปรับลดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจลงมา ถ้าหากสถานการณ์ทางเศรษฐกิจยังดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งอาจรวมถึง การปรับขึ้นดอกเบี้ย เพื่อรักษาสภาพเศรษฐกิจไม่ให้ร้อนแรงจนเกินไป ซึ่งนักวิเคราะห์ชี้ว่าการถือครองทองคำในช่วงเวลาที่ดอกเบี้ยใกล้ถึงระดับ 0% เหมือนในขณะนี้ เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล เพราะเงินฝากในบัญชีจะไม่ได้ให้ผลตอบแทนใดๆ

แต่หากดอกเบี้ยสูงขึ้น ก็จะทำให้ความน่าสนใจในทองคำลดลง

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
/////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันอังคารที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2556

อสังหาฯ โตต่อเนื่อง ร้อนแรง แห่เปิดใหม่ โกยรายได้เพิ่ม !!?


ผ่านไตรมาสแรกของปี 2556 ไปแล้ว ภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศส่วนใหญ่เติบโตได้ดี รวมไปถึงธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่เริ่มร้อนแรงตั้งแต่กลางปี 2555 เป็นต้นมา ปี 2556  จึงเป็นอีกปีหนึ่งที่ผู้ประกอบการคาดหวังว่าธุรกิจดังกล่าวจะเติบโตอย่างต่อเนื่อง เพราะมีปัจจัยบวกเข้ามาสนับสนุนหลายประการ แต่ขณะเดียวกันก็มีปัจจัยลบเข้ามาฉุดรั้งด้วยเหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นค่าแรง 300 บาท แรงงานขาดแคลน
    แต่สำหรับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ แค่ช่วงไตรมาสแรก สามารถทำยอดขายได้เกินเป้ากันแล้ว
           
กูรูด้านอสังหาริมทรัพย์ อย่าง มานพ  พงศทัต อาจารย์พิเศษ  คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ออกมาคาดการณ์เกี่ยวกับภาพรวมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ว่า “ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จะกลับมาคึกคักอีกครั้ง ตัวเลขเงินกู้เพื่อที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้น 15% ตลาดกรุงเทพฯ และปริมณฑลฟื้นตัวเร็ว กรุงเทพฯ และปริมณฑลจะมีจำนวนไม่น้อยกว่า 85,000  ยูนิต ทั่วประเทศจะมีจำนวน 160,000-170,000  ยูนิต บ้านเดี่ยว ทาวน์เฮาส์จะโตน้อยลง แต่คอนโดมิเนียมสำหรับคนชั้นกลาง ติดรถไฟฟ้าจะเติบโตขึ้นมากที่สุด ส่วนตลาดต่างจังหวัดนั้นในจังหวัดใหญ่ เช่น นครราชสีมา และจังหวัดท่องเที่ยวอย่างภูเก็ตและพัทยา  ตลาดอสังหาริมทรัพย์จะโตมากขึ้น นอกจากนี้เมืองชายแดนอย่างอุดรธานี  ระนอง จะเติบโตจากการค้าชายแดนที่เป็นผลมาจากการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือเออีซี ในปี 2558”
           
สำหรับภาพรวมของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ในส่วนของบริษัทรับสร้างบ้านก็มีแนวโน้มเติบโตด้วยเช่นกัน ซึ่ง สิทธิพร สุวรรณสุต นายกสมาคมไทยรับสร้างบ้าน ได้ให้ความคิดเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์ในปีนี้ว่า ปี 2556 ภาพรวมอสังหาริมทรัพย์เติบโตต่อเนื่อง และรวมไปถึงแนวโน้มมูลค่าตลาดรับสร้างบ้านจะขยายตัวออกไปยังภูมิภาคอย่างชัดเจน
   
สำหรับตลาด “บ้านสร้างเอง” ทั่วประเทศปี 2555 มีมูลค่าประมาณ 120,000 ล้านบาท โดยแชร์ส่วนแบ่งตกเป็นของผู้รับเหมารายย่อย ในขณะที่ตลาด “รับสร้างบ้าน” ทั้งใน กทม. และปริมณฑล รวมทั้งต่างจังหวัด มีมูลค่ารวมประมาณ 9,000 ล้านบาท และในปี 2556  สมาคมประเมินว่า ตลาดรับสร้างบ้านน่าจะมีมูลค่าประมาณ 9,500-10,000 ล้านบาท หรือเติบโตประมาณร้อยละ 5-10 โดยปัจจัยหลักๆ  เป็นเพราะการขยายตลาดออกไปทั่วประเทศมากขึ้น ในส่วนของสมาคมเองตั้งเป้าไว้จะผลักดันให้มูลค่าตลาดรับสร้างบ้านในอีก 3 ปีข้างหน้า  หรือภายในปี 2558 มีมูลค่าเพิ่มเป็น 15,000 ล้านบาท“
           
จะเห็นได้ว่าในภาคส่วนของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ หรือแม้แต่บริษัทรับสร้างบ้าน ก็มีแนวโน้มไปในทิศทางที่ดีทั้งสิ้น ทั้งนี้ เชื่อได้เลยว่าภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศไทยได้กลับฟื้นตัวแล้ว ถึงจะมีแรงกดดันในเรื่องของค่าแรงและแรงงานขาดแคลน แต่ก็ไม่ใช่อุปสรรคหรือปัญหาสำหรับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เลย
         
 สำหรับผู้ประกอบการเชื่อว่าปีนี้น่าจะเป็นปีทองสำหรับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ก็ว่าได้ เพียงแค่ผ่านไตรมาสแรกก็สามารถโกยยอดขายกันเกินเป้าหมายเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน
   
โอภาส ศรีพยัคฆ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ LPN เปิดเผยว่า แนวโน้มของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในปี 2556 คาดการณ์ผู้ประกอบการจะหันมาพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยประเภทแนวราบในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลมากขึ้น หลังจากที่ได้มีการชะลอการเปิดตัวมาตั้งแต่ปี 2555 เนื่องมาจากสาเหตุที่ได้รับผลกระทบมาจากน้ำท่วมตั้งแต่ปลายปี 2554 ทำให้ผู้ประกอบการต้องมีการชะลอการเปิดโครงการและปรับผังเกี่ยวกับโครงการใหม่ให้สามารถที่จะรองรับกับปัญหาน้ำท่วมที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้
           
ทั้งนี้ คาดว่าจะมีคอนโดมิเนียมเปิดใหม่เพิ่มขึ้นเล็กน้อยประมาณ  60,000-70,000 หน่วย แต่จะมีการพัฒนาคอนโดมิเนียมในต่างจังหวัดมากขึ้น โดยที่ราคาอสังหาริมทรัพย์ก็คงขยับขึ้น ส่วนจะมากน้อยแค่ไหนขึ้นอยู่กับผู้ประกอบการ ภาวะตลาด และกำลังซื้อ แต่ปกติจะปรับขึ้นตามอัตราเงินเฟ้อที่ 3-5% ส่วนการขึ้นราคาของ LPN ขึ้นอยู่กับภาวะตลาด
   
ด้านปัจจัยเสี่ยงของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในปีนี้ คือการประกาศผังเมืองใหม่ของกรุงเทพฯ ในเดือนพฤษภาคม 2556 ซึ่งจะมีผลกระทบต่อธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ทั้งระบบ แต่ต้องรอดูผลของการบังคับใช้ต่อไปว่าจะทำให้เกิดข้อจำกัดของการใช้พื้นที่มากน้อยแค่ไหน
   
การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาททั่วประเทศ ในปีนี้ไม่มีผลกระทบมากนัก เนื่องจากส่งผลกระทบไปแล้วเมื่อปีก่อน เพราะโครงการก่อสร้างส่วนใหญ่ยังอยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯ แต่การขาดแคลนแรงงานจะเป็นปัญหามากกว่า ซึ่งในส่วนของ LPN อาจได้รับผลกระทบไม่มาก เนื่องจากมีพันธมิตรในการรับงานก่อสร้างโครงการ ผู้ประกอบการรายใหม่จะเกิดขึ้นได้ยากเพราะไม่มีผู้รับเหมาในมือ ต่อไปตลาดคอนโดมิเนียมจะตกเป็นของผู้ประกอบการรายใหญ่ที่สามารถเจรจากับผู้รับเหมารายใหญ่ได้”
           
ส่วนปี 2556 บริษัทมีแผนพัฒนาโครงการใหม่ 13 โครงการ ทั้งใน  กรุงเทพฯ ปริมณฑล และต่างจังหวัด รวมมูลค่า 20,000 ล้านบาท ซึ่งโครงการในกรุงเทพฯ ยังเน้นทำเลที่เป็นชุมชนหนาแน่นไม่ไกลจากเมือง  เช่น สุขสวัสดิ์ ลาดกระบัง-อ่อนนุช  ศรีนครินทร์-พัฒนาการ เป็นต้น ส่วนในต่างจังหวัดจะเปิดโครงการที่หัวหิน ชะอำ
   
ขณะที่เป้ายอดขายตั้งไว้ที่ 20,000 ล้านบาท หรือเติบโตขึ้น 10%  จากปี 2555 ส่วนเป้ารายได้ตั้งไว้ที่ 15,000 ล้านบาท จากปี 2555 มีรายได้ต่ำกว่าเป้าหมาย 13,000 ล้านบาทเล็กน้อย เนื่องจากไม่สามารถโอนคอนโดมิเนียมให้ลูกค้าได้ทันตามกำหนด
   
สำหรับยอดขายรอรับรู้รายได้ (backlog) ในปัจจุบันมีประมาณ  18,000 ล้านบาท รับรู้ในปี 2556 ประมาณ 12,500 ล้านบาท ส่วนที่เหลืออีก 5,500 ล้านบาท รับรู้ในปี 2557 ส่วนปี 2556 บริษัทตั้งงบซื้อที่ดินรวม  4,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นการซื้อที่ดินในช่วงครึ่งปีหลังและในปี 2557 เพื่อพัฒนาโครงการทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด
   
นอกจากนี้ บริษัทยังไม่มีแผนระดมเงินโดยการออกหุ้นกู้ แต่แหล่งทุนในการพัฒนาโครงการจะมาจากเงินกู้สถาบันการเงิน 50% ที่เหลือเป็นเงินทุนหมุนเวียน
           
ด้าน เศรษฐา ทวีสิน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน)  หรือ SIRI เปิดเผยว่า ภาพรวมของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในปี 2556 แม้จะต้องเผชิญหน้ากับปัญหาเรื่องการขาดแคลนแรงงาน ต้นทุนการก่อสร้างปรับตัวสูงขึ้น อาทิ ค่าจ้างแรงงาน ค่าขนส่ง พลังงาน วัสดุก่อสร้าง และราคาที่ดินที่แพงขึ้น แต่ยังคงมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง ด้วยปัจจัยจากอัตราดอกเบี้ยอยู่ในสภาวะทรงตัว อีกทั้งดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยมีการปรับตัวสูงขึ้น ย่อมส่งผลให้โครงการคอนโดมิเนียมในหัวเมืองต่างจังหวัด รีสอร์ต และบ้านพักตากอากาศ มีแนวโน้มการเติบโตมากขึ้นเช่นกัน ตลอดจนสำนักงานให้เช่าก็มีแนวโน้มเติบโตดีขึ้น เนื่องจากบริษัทต่างๆ มีการขยายธุรกิจเพิ่มขึ้น จึงมีความต้องการอาคารสำนักงานให้เช่าเพื่อรองรับการเจริญเติบโตของบริษัทต่อไป
   
ส่งผลให้การดำเนินธุรกิจในช่วงไตรมาสแรกของปี 2556 บริษัทมียอดขาย 21,000 ล้านบาท ซึ่งสูงเกินกว่าไตรมาส 4 ของปีที่ผ่านมาซึ่งมียอดขาย 16,245 ล้านบาท
   
ทั้งนี้ จากการดำเนินธุรกิจตามเป้าหมายใน 6 กุญแจสำคัญ ที่เคยได้ประกาศไว้ในช่วงต้นปี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการขยายการลงทุนในการพัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ตอบรับทุกความต้องการที่อยู่อาศัย ครอบคลุมทุกกลุ่มลูกค้า รวมทั้งขยายการพัฒนาโครงการเพื่อตอบรับความต้องการของกลุ่มลูกค้าในตลาดต่างจังหวัดเพิ่มขึ้น โดยเห็นได้จากความสำเร็จจากการปิดการขายโครงการใหม่ในตลาดต่างจังหวัดมากยิ่งขึ้น
           
อย่างไรก็ตาม สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ บริษัทยังคงมุ่งมั่นต่อเนื่องในการพัฒนาธุรกิจตามแผน 6 กุญแจสำคัญ โดยเฉพาะในด้านการวางเป้าหมายในการเพิ่มสัดส่วนการตลาดในกลุ่มลูกค้าชาวต่างชาติเพิ่มมากขึ้นจากสัดส่วนที่มีอยู่ในปัจจุบัน
   
ทั้งนี้ บริษัทเตรียมกลับมารุกพัฒนาโครงการบ้านเดี่ยว และการขยายตลาดให้ครอบคลุมทุกเซ็กเมนต์มากขึ้น รวมทั้ง การเพิ่มสัดส่วนการพัฒนาโครงการด้วยระบบพรีคาสท์ให้มากยิ่งขึ้น โดยในช่วงกลางปีนี้ บริษัทมีแผนที่จะเพิ่มกำลังการผลิตสำหรับการพัฒนาโครงการแนวสูง โดยเฉพาะแบรนด์ ดีคอนโด ภายใต้กำลังการผลิตที่ 42,000 ตารางเมตร/ปีหรือคิดเป็นประมาณ 10 ตึก/ปี รวมถึงโครงการทาวน์เฮาส์ภายใต้แบรนด์ใหม่ที่จะเกิดขึ้นในปีนี้อีกด้วย เพื่อก้าวสู่ความสำเร็จตามเป้าหมายยอดขายที่ตั้งไว้ในปีนี้ 48,000 ล้านบาท
           
ฟาก ทองมา วิจิตรพงศ์พันธุ์ ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ PS  กล่าวว่า ภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของไทยในปี 2556 ยังคงมีทิศทางเชิงบวก โดยจะกลับมาดีในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2556 จากปัจจัยกระตุ้นต่างๆ เช่น อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจมีสัญญาณที่ดีขึ้น ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคปรับตัวดีขึ้น อัตราดอกเบี้ยเริ่มผ่อนคลายลงเพื่อกระตุ้นให้ประชาชนออกมาจับจ่ายใช้สอย ซึ่งจะสนับสนุนอุปสงค์ในประเทศเพื่อให้เศรษฐกิจเติบโตได้อย่างต่อเนื่องได้
   
ในปี 2556 นี้ บริษัทจะเน้นการลงทุนทาวน์เฮาส์เพิ่มขึ้น 50% เพื่อให้สามารถส่งมอบบ้านได้เร็วขึ้น โดยตั้งเป้าเปิดโครงการใหม่ 78 โครงการ มูลค่ารวม 55,000 ล้านบาท
   
ถึงตรงนี้แล้ว จะเห็นได้ว่า ผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์แต่ละราย..มั่นใจ..มั่นใจ และก็ มั่นใจ พร้อมรับรู้รายได้และกำไรที่จะเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน.

ที่มา.ไทยโพสต์
///////////////////////////

มองต่างมุมเงินบาทแข็งค่า มีทั้งเสียและได้ประโยชน์ !!?


ทุกอย่างในโลกนี้มีสองด้านเสมอ เหมือนเหรียญที่มีสองด้าน เมื่อมีผู้ได้ประโยชน์ก็ต้องมีผู้เสียประโยชน์

เช่นเดียวกัน เรื่องนี้สามารถนำมาอธิบายในเชิงพลวัตของเศรษฐกิจได้ด้วย ทั้งในเรื่องดอกเบี้ย และประเด็นร้อนที่ยังถกเถียง วิพากษ์วิจารณ์กันอย่างเข้มข้นมาตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา นั่นคือ กรณีการแข็งค่าอย่างต่อเนื่องของเงินบาท จนหลุด 30 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ และยังคงเดินหน้าแข็งค่าต่อไปจนกระทั่งลงมาแตะระดับ 28 บาทต่อดอลลาร์หลายต่อหลายครั้ง เพียงแต่มีแรงซื้อขายเข้ามาผลักดันให้กลับไปยืนปริ่มที่ระดับ 29.00-29.03 บาทต่อดอลลาร์ได้อยู่

หลายสำนักทั้งนักวิชาการ สำนักที่เกี่ยวข้องกับการวิจัยเศรษฐกิจ ประเมินว่าเงินบาทจะแข็งค่าขึ้นไปถึงระดับ 25 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ระดับเดียวกับก่อนเกิดวิกฤตฟองสบู่แตกเมื่อปี 2540 จนทำให้ประเทศไทยต้องประกาศลอยตัวค่าเงินบาทในที่สุด

จริงอยู่เมื่อบาทแข็งค่า ส่งออกในรูปดอลลาร์นำกลับเข้ามาแลกเป็นบาทได้เงินน้อยลงย่อมส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เพราะเศรษฐกิจไทยพึ่งพาการส่งออกสูงถึงร้อยละ 60 ของจีดีพี

ส่งออกคือ หนึ่งในสี่ เครื่องยนต์หลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจควบคู่ไปกับการลงทุนภาครัฐ การใช้จ่ายในประเทศ และการลงทุนทางตรงจากนักลงทุนต่างชาติ

...ทว่า อีกด้านยังมีอีกมุมของเหรียญในมิติของผู้นำเข้า!!

ห้วงบาทแข็งค่าเป็นเวลาที่ดีสุดในการนำเข้าเครื่องจักรมาปรับเปลี่ยนเทคโนโลยีการผลิตให้ทันสมัย และผู้นำเข้าประเภทสินค้าแบรนด์เนม ยังได้ประโยชน์จากการแข็งค่าของเงินบาทจากต้นทุนนำเข้าในรูปดอลลาร์ที่ถูกลง

ซีพีแนะส่งออกปรับตัวผลิตสินค้า′มูลค่าเพิ่ม′

รายแรก ผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่อันดับต้นๆ ของเมืองไทย บริษัท ซี.พี. อินเตอร์เทรด จำกัด ในเครือเจริญโภคภัณฑ์ หรือซีพี ปีก่อนหน้ามีสัดส่วนการส่งออกคิดเป็นร้อย 60% หรือส่งออกข้าวไปต่างประเทศ 6 แสนตัน ขายในประเทศ 4 แสนตัน การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทจึงมีผลอย่างยิ่งกับการส่งออกของ ซี.พี อินเตอร์เทรด

นายสุเมธ เหล่าโมราพร ประธานคณะผู้บริหาร กลุ่มธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ สายธุรกิจข้าวและอาหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่บริษัท ซี.พี. อินเตอร์เทรด จำกัด ในเครือเจริญโภคภัณฑ์ หรือซีพี เห็นว่า หากค่าเงินแข็งค่าขึ้นไปแตะที่ 28 บาทต่อดอลลาร์ ยังอยู่ในวิสัยที่สามารถบริหารจัดการความเสี่ยงได้ แต่หากแข็งค่าขึ้นไปมากกว่านั้น จนไปแตะที่ระดับ 26-27 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐจะส่งผลกระทบกับการส่งออกได้

สุเมธให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ทุกๆ การแข็งค่าของเงินบาทจะทำให้ไทยสูญเสียเงินตราต่างประเทศ 20,000 ล้านบาทต่อเดือน หรือ 2.4 แสนล้านบาทต่อปี เทียบเคียงจากปีก่อนหน้าไทยมีการส่งออก 2.4 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือเฉลี่ยต่อเดือน 2 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ

สุเมธเห็นว่าเอกชนจึงควรปรับตัวโดยการหันไปส่งออกสินค้ามูลค่าเพิ่ม เช่นเดียวกับที่ ซี.พี. อินเตอร์เทรด พยายามปรับเพิ่มมูลค่าโดยหันไปส่งออกสินค้ามูลค่าเพิ่ม ทั้งเส้น แป้ง และเพิ่มคุณภาพผลิตภัณฑ์ในการเพาะปลูกข้าวเพื่อให้ได้ประสิทธิภาพมากขึ้น

นอกเหนือจากการปรับตัว ปรับระบบการผลิตเน้นสินค้ามูลค่าเพิ่มแล้ว ช่วงบาทแข็งค่าสุเมธเห็นว่า ยังเป็นโอกาสดีในการนำเข้าเครื่องจักรเข้ามาปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต รวมทั้งการมองหาโอกาสในการลงทุนต่างประเทศ ในประเทศเพื่อนบ้านที่ค่าเงินอ่อนกว่าบาทและค่าแรงถูกกว่า ไทย เช่น เวียดนาม พม่า เป็นมาตรการเดียวกับที่ญี่ปุ่นนำมาใช้ช่วงการแข็งค่าของเงินเยนจาก 100 เยน เป็น 70 เยนต่อดอลลาร์สหรัฐเมื่อหลายปีก่อนหน้า

เมื่อพลวัตเศรษฐกิจหลายด้านกำลังเปลี่ยนไป หน่วยงานรัฐที่ทำหน้าที่ส่งเสริมการลงทุนและช่วยเหลือผู้ส่งออกอย่าง สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือบีโอไอ และธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (ธสน.) หรือเอ็กซิมแบงก์ ควรปรับบทบาทตามเช่นกัน

สิ่งที่ผู้ส่งออกรายใหญ่อย่าง ซี.พี. อินเตอร์เทรดอยากเห็นคือ การส่งเสริมให้เอกชนไทยไปลงทุนต่างประเทศ เพื่อใช้เป็นอีกเครื่องมือหนึ่งในการบริหารจัดการค่าเงิน ควบคู่กับการส่งเสริมให้ต่างชาติมาลงทุนในไทย และกฎเกณฑ์ในการปล่อยกู้ของเอ็กซิมแบงก์ควรมีความยืดหยุ่นให้มากขึ้น

แบรนด์เนมยิ้มต้นทุนลด30%

มองในมุมผู้เสียประโยชน์จากผู้ส่งออกแล้ว มาดูเหรียญอีกด้านในมุมของผู้นำเข้ารายหลักที่นำสินค้าแบรนด์เนมทั้งเสื้อผ้า เครื่องหนัง จากต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นเซ็นทรัล มาร์เก็ตติ้ง หรือซีเอ็มจี รวมทั้งผู้นำเข้าแบรนด์เนมที่ขายในสยามเซ็นเตอร์ สยามพารากอน และสยามดิสคัฟเวอรี่ เห็นว่าผู้นำเข้าจะได้ประโยชน์จากต้นทุนนำเข้าถูกลง และจะส่งต่อผลประโยชน์นี้ไปให้กับผู้บริโภคอีกต่อหนึ่งในเรื่องราคาสินค้า

ในมุมมองของนายชาญชัย เชิดชูวงศ์ธนากร รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด และกรรมการผู้จัดการ บริษัท สยาม สเปเชียล ลิตี้ จำกัด ผู้นำเข้าสินค้าลอฟท์จากประเทศญี่ปุ่น ไต้หวัน อเมริกา เยอรมนี ฝรั่งเศส ฮ่องกง จีน เห็นว่าการแข็งค่าของเงินบาทผู้ส่งออกจะได้ประโยชน์ในแง่ต้นทุนนำเข้าถูกลง หากเงินบาทแข็งค่าขึ้นไปแตะที่ 25 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐตามที่ผู้เกี่ยวข้องหลายฝ่ายได้ประเมินไว้ต้นทุนนำเข้าจะถูกลงถึง 30% เมื่อเทียบกับช่วงค่าเงิน 30 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ

ในส่วนนโยบายราคาของลอฟท์เอง ปล่อยยืดหยุ่นตามค่าเงินบาท หากเงินถูกต้นทุนต่ำราคาต่ำลง เช่นเดียวกับช่วงบาทอ่อนค่าต้นทุนนำเข้าแพง ราคาก็จะปรับเพิ่มตาม แต่เมื่อมีการหักลบ นำราคาช่วงบาทแข็งกับอ่อนมาถัวเฉลี่ยกันแล้ว ช่องว่างกำไรยังเท่าเดิม ไม่ได้เพิ่มขึ้นเพราะสินค้านำเข้ายังมีต้นทุนในเรื่องภาษีที่ต้องจ่ายอีกเฉลี่ยประมาณ 30% ของนำเข้าหากขายแพง จะมีภาษีนำเข้าอีกรอบหากทำกำไรเยอะขายของไม่ได้ ปกตินำเข้ามาจะเสียภาษีประมาณ 30%

ประโยชน์เรื่องที่สอง ชาญชัยมองว่า ต้นทุนที่ถูกลง ยังเอื้อให้ผู้นำเข้าสามารถมองหาสินค้ารายการใหม่ เข้ามาทำตลาด เป็นทางเลือกของผู้บริโภค และจากนี้ไปโอกาสทางธุรกิจของญี่ปุ่นในไทยก็จะมีมากขึ้นเช่นเดียวกันเพราะไทยถือเป็นประเทศเป้าหมายในการขยายธุรกิจแบรนด์เนมหลังภาวะเศรษฐกิจญี่ปุ่นอยู่ในภาวะถดถอยและพยายามปรับแนวทางด้วยการไปลงทุนต่างประเทศ

ในมุมมองของชาญชัยยังเห็นว่า ต้นทุนนำเข้าที่ถูกลงจากบาทแข็งค่ายังช่วยเอื้อกับการท่องเที่ยว ราคาสินค้าที่ถูกลงเมื่อเทียบกับราคาของลอฟท์ในประเทศใกล้เคียงทำให้นักท่องเที่ยวตัดสินใจซื้อสินค้าในเมืองไทยได้ง่ายขึ้น

เอสเอ็มอีวอนรัฐช่วยลดต้นทุนสู้บาทแข็ง

ถึงจะมีทั้งมุมได้เสีย ทว่า ในความเป็นจริงต้องเลือกในฝั่งที่เอื้อประโยชน์สูงสุด เรื่องแข็ง-อ่อนของบาทเช่นเดียวกัน เมื่อนำเรื่องจีดีพีเป็นตัวตั้งและส่งออกเป็นภาคหลักในการกระตุ้นเศรษฐกิจไทยไปควบคู่กับอีก 3 เครื่องยนต์หลักข้างต้น ภาครัฐต้องเข้ามาช่วยเหลือผู้ส่งออกโดยเฉพาะผู้ส่งออกรายเล็ก สายป่านสั้นอย่างกลุ่มวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม หรือเอสเอ็มอี เพราะเอสเอ็มอีคือธุรกิจรากฐานที่จะกลายเป็นธุรกิจขนาดใหญ่มีผลกับการกระตุ้นเศรษฐกิจไทยในอนาคต

ในมุมมองของ นายจิรบูลย์ วิทยสิงห์ ประธานกิตติมศักดิ์สมาคมของขวัญของชำร่วยไทย เห็นว่า การแข็งค่าของเงินบาทเป็นอุปสรรคอย่างยิ่งต่อการกำหนดราคาขายสินค้า และกำหนดราคาเปิดรับคำสั่งซื้อล่วงหน้า

สิ่งที่อยากให้ภาครัฐเข้ามาช่วยเหลือคือ เร่งเข้ามาดูแลและช่วยเหลือผู้ประกอบการในเรื่องส่วนต่างซื้อประกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนล่วงหน้า เพื่อทำให้การเจรจาการค้าไม่สะดุดกระทบกับคำสั่งซื้อไตรมาสสอง

ให้ภาครัฐช่วยเพราะเอสเอ็มอีสายป่านสั้น แตกต่างจากผู้ประกอบการรายใหญ่ ที่การแข็งค่าของเงินบาทมีผลกระทบน้อยเพราะสามารถบริหารจัดการความเสี่ยงได้โดยการซื้อประกันความเสี่ยงล่วงหน้า

ทั้งหมดคือ มองต่างมุมเรื่องบาท-อ่อนแข็ง มีทั้งฝ่ายได้และเสียประโยชน์ และจำเป็นอย่างยิ่งที่ผู้ส่งออกทั้งรายเล็ก-กลาง-ใหญ่ ต้องมีการปรับตัวหันมาเน้นประสิทธิภาพการผลิตในลักษณะสินค้าเพิ่มมูลค่า รับเสรีการค้าตามข้อผูกพันที่กำลังจะเกิดขึ้นหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเสรีการค้าไทย-อียู ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือเออีซี

ต้องปรับตัวเพราะการค้ากำลังอยู่ในยุคเปลี่ยนผ่านจากยุคนโยบายการกำกับดูแลให้เงินบาทอ่อนค่า เพื่อส่งเสริม เอื้อประโยชน์ สร้างความได้เปรียบในการแข่งขันให้กับผู้ส่งออกไปในตลาดการค้าโลก มาเป็นการปล่อยให้เป็นไปตามกลไกอย่างแท้จริง

เป็นความท้าทายในยุคเปิดเสรี!!

ที่มานสพ.มติชน
/////////////////////////////////////////////

เปิดเอกสารฝ่ายไทย สู้คดีปราสาทพระวิหาร !!?


กองเขตแดน กรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงต่างประเทศ เผยแพร่เอกสารสรุปสาระสำคัญของคำให้การเป็นลายลักษณ์อักษรของฝ่ายไทยกรณีกัมพูชายื่นคำขอให้ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศตีความคำพิพากษาคดีปราสาทพระวิหาร ปี 2505 ผ่านเว็บไซต์ www.phraviharn.org  โดยมีรายละเอียดดังนี้

1.คำฟ้องของกัมพูชา เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2554 กัมพูชายื่นคำขอให้ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศตีความคำพิพากษา คดีปราสาทพระวิหารปี 2505 สรุปสาระสาคัญได้ ดังนี้

1.1 กัมพูชาระบุว่า ไทยและกัมพูชามีความเห็นต่างกันเกี่ยวกับความหมายและขอบเขตของคำพิพากษาปี 2505 ดังนี้

1.1.1 กัมพูชาเห็นว่า คำพิพากษาศาลในคดีเดิมอยู่บนพื้นฐานของการมีอยู่แล้วของเส้นเขตแดนระหว่างประเทศ ซึ่งถูกกำหนด และได้รับการยอมรับโดยประเทศทั้งสองแล้ว

1.1.2 ตัดสินกัมพูชาเห็นว่า เส้นเขตแดนดังกล่าวถูกกำหนดโดยแผนที่ที่ศาลได้อ้างถึงในหน้า 21 ของคำพิพากษา " แผนที่ภาคผนวก 1" ซึ่งแผนที่ดังกล่าวทำให้ศาลสามารถได้ว่า อธิปไตยกัมพูชาเหนือปราสาทเป็นผลโดยตรงและอัตโนมัติของอธิปไตยกัมพูชาเหนือดินแดนอันเป็นที่ตั้งของปราสาท

1.1.3 กัมพูชาเห็นว่า พันธกรณีของไทยในการถอนทหารและเจ้าหน้าที่ ออกจากบริเวณใกล้เคียงปราสาทบนดินแดนของกัมพูชา เป็นพันธกรณีที่มีลักษณะทั่วไปและต่อเนื่อง และเป็นผลมาจากอธิปไตยแห่งดินแดนของกัมพูชา ที่ศาลได้ยอมรับในบริเวณดังกล่าว

1.2 กัมพูชาอ้างว่า โดยที่ “ปราสาทพระวิหารตั้งอยู่ในดินแดนภายใต้อธิปไตยของกัมพูชา” (วรรคปฏิบัติการที่ 1 ของคาพิพากษาปี 2505) เป็นผลจากข้อเท็จจริงที่ว่าปราสาทตั้งอยู่ในฝั่งกัมพูชาของเส้นเขตแดนที่ศาลได้ยอมรับในคำพิพากษาเดิม กัมพูชาจึงขอให้ศาลตัดสินในคดีตีความนี้ว่า พันธกรณีสาหรับไทยในการ “ถอนกองกาลังทหาร หรือตำรวจ หรือผู้เฝ้ารักษา หรือผู้ดูแลซึ่งประเทศไทยได้ส่งไปประจำอยู่ที่ปราสาท หรือในบริเวณใกล้เคียงปราสาทบนดินแดนกัมพูชา (วรรคปฏิบัติการที่ 2 ของคาพิพากษาปี 2505) เป็นผลโดยเฉพาะของพันธกรณีทั่วไป และต่อเนื่องในการเคารพซึ่งบูรณภาพแห่งดินแดนของกัมพูชา โดยดินแดนดังกล่าวได้รับการกำหนดในบริเวณปราสาท และบริเวณใกล้เคียงปราสาทโดยเส้นแผนที่ภาคผนวก 1 ซึ่งศาลใช้เป็นพื้นฐานของคำพิพากษา

โดยสรุป กัมพูชาอ้างว่าคำพิพากษาเดิมไม่ชัดเจน และไทยยังไม่ได้ปฏิบัติตาม โดยยังมิได้ถอนกำลังทหาร หรือตำรวจออกจากบริเวณใกล้เคียงปราสาท โดยกัมพูชาให้เหตุผลว่า วรรคปฏิบัติการที่ 2 ของ คำพิพากษาเดิมไม่ระบุชัดเจนว่า “บริเวณใกล้เคียงปราสาท” ครอบคลุมพื้นที่แค่ไหน ดังนั้น กัมพูชาจึงขอให้ศาลตัดสินว่า ขอบเขตของ “บริเวณใกล้เคียงปราสาท” จะต้องเป็นไปตามเส้นเขตแดนที่ปรากฏบน “แผนที่ภาคผนวก 1” ซึ่งแนบท้ายคำฟ้องของกัมพูชาในคดีเดิม
ตามที่กัมพูชาถ่ายทอดเส้นดังกล่าวในปัจจุบัน ซึ่งฝ่ายกัมพูชาเห็นว่าบริเวณดังกล่าว มีขนาด 4.6 ตารางกิโลเมตร

2. ข้อสังเกตเป็นลายลักษณ์อักษร (Written Observations) ของไทย เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2554 ไทยได้ยื่นข้อสังเกตเป็นลายลักษณ์อักษรแก่ศาล โดยข้อสังเกตดังกล่าวแบ่งออกเป็น 7 บท สรุปสาระสาคัญได้ ดังนี้

2.1. บทที่ 1 : บทนำ ระบุเกี่ยวกับ

2.1.1 ลำดับกระบวนพิจารณาของศาล ตั้งแต่กัมพูชายื่นคาขอตีความ เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2554 การออกคาสั่งมาตรการชั่วคราว เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2554 และการที่ศาลกำหนดให้ไทยยื่นคำให้การเป็นลายลักษณ์อักษรภายในวันที่ 21 พฤศจิกายน 2554

2.1.2 ข้อบทปฏิบัติการของคำพิพากษาปี 2505 และคำขอตีความของกัมพูชาในปี 2554 โดยชี้ว่า คำขอตีความของกัมพูชามีความวกวน และมีวัตถุประสงค์เพียงเพื่อให้ศาลตัดสินในประเด็น ที่ศาลได้ปฏิเสธอย่างชัดแจ้งแล้วที่จะตัดสิน ในคดีเดิมเมื่อปี 2505 ว่า เส้นเขตแดนเป็นไปตาม “แผนที่ภาคผนวก 1” หรือไม่

2.1.3 การปฏิบัติตามคำพิพากษาปี 2505 ของไทย ซึ่งรวมถึงการออกมติคณะรัฐมนตรี ปี 2505 และการก่อสร้างรั้วลวดหนามพร้อมป้ายที่แสดงขอบเขตของ “บริเวณใกล้เคียงปราสาท” อันเป็นการกำหนดพื้นที่ที่ถอนกองกำลังไทยออกแล้วและกองกำลังไทยจะต้องอยู่ภายนอกพื้นที่นี้ในอนาคต ซึ่งกัมพูชาล้วนตระหนักดีเกี่ยวกับการดำเนินการดังกล่าวของไทย

2.1.4 การจัดทำบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรกัมพูชาว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก (เอ็มโอยู) ปี 2543 ซึ่งไม่มีการอ้างถึงคำพิพากษาปี 2505 จึงเป็นการบ่งชี้ที่ชัดเจนว่าคำพิพากษาไม่มีความเกี่ยวข้องกับการกำหนดเขตแดน แต่ต่อมากัมพูชาได้ละทิ้งท่าทีดังกล่าว รวมทั้งท่าที
ที่กัมพูชายึดถือมาตั้งแต่ปี 2505 ว่า ไทยได้ปฏิบัติตาม คำพิพากษาปี 2505 แล้ว เนื่องจากกัมพูชาต้องการพื้นที่เพิ่มเติมสำหรับการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหาร เป็นมรดกโลกฝ่ายเดียวของกัมพูชา

2.1.5 เหตุการณ์ปะทะบริเวณชายแดนที่เกิดขึ้นในช่วงไม่นานมานี้ไม่มีครั้งใดที่ปรากฏว่า มีการรุกล้ำของกองกำลังไทยเข้าไปใน “ปราสาทหรือบริเวณใกล้เคียงบนดินแดนกัมพูชา” จึงไม่ใช่หลักฐาน การไม่ปฏิบัติตามคาพิพากษาปี 2505 ของไทย ทั้งนี้ เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดจากการที่กัมพูชามุ่งที่จะเข้ามา มีอำนาจเหนือพื้นที่ซึ่งกว้างใหญ่กว่าที่กัมพูชาเคย
พึงพอใจในอดีต

2.2 บทที่ 2 : ข้อพิพาทในกระบวนการพิจารณาในคดีเดิม (2502-2505) ในบทนี้ ไทยได้วิเคราะห์ขอบเขตของข้อพิพาทในกระบวนการพิจารณาในคดีเดิม ทั้งในชั้นข้อคัดค้านเบื้องต้น (Preliminary Objections Phase) และในชั้นเนื้อหาสาระของคดี (Merits Phase) โดยชี้ให้เห็นว่า ขอบเขตของข้อพิพาทดังกล่าวจำกัดเฉพาะประเด็นอธิปไตยเหนือปราสาท
พระวิหาร โดยไม่เกี่ยวกับเรื่องเขตแดน ดังนี้

2.2.1 หนังสือประท้วงของฝรั่งเศสในปี 2492 รวมทั้งหนังสือประท้วงของกัมพูชาใน ปี 2497 ต่างต้องการให้ไทยถอนกำลังออกจาก “ซากหักพังของปราสาทพระวิหาร” โดยอ้างว่าซากหักพังดังกล่าวอยู่ภายใต้อธิปไตยของกัมพูชา

2.2.2 คำร้องเริ่มคดีของกัมพูชาในปี 2502 มีความชัดเจนว่า กัมพูชาได้กำหนดขอบเขตของข้อพิพาทเฉพาะอธิปไตยบน “ ดินแดนผืนหนึ่ง...ซึ่งซากหักพังของปราสาทตั้งอยู่” และไม่ได้ขอให้ ศาลตัดสินเรื่องเขตแดน

2.2.3 คำให้การของคู่ความทั้งที่เป็นข้อเขียนและทางวาจา และคำพิพากษาของศาลในชั้นข้อคัดค้านเบื้องต้นต่างชี้ว่า ข้อพิพาทในคดีเดิมจำกัดเฉพาะอธิปไตยเหนือปราสาท

2.2.4 เป็นหลักการที่ยอมรับโดยทั่วไปว่า ศาลไม่สามารถพิพากษาเกินกว่าคำขอของคู่ความที่ศาลรับไว้พิจารณา (non ultra petita) ดังนั้น การประเมินประเด็นคำขอตามที่ศาลรับไว้พิจารณา (petitum) ในคดีเดิมจึงจำเป็นสาหรับการเข้าใจขอบเขตของประเด็นที่ได้รับการตัดสินไปแล้วให้ผูกพันคู่ความ (res judicata) ซึ่งจาเป็นสำหรับการพิจารณาว่ากัมพูชามี
อำนาจฟ้องในคดีตีความนี้หรือไม่

2.2.5 คำให้การของคู่ความทั้งที่เป็นข้อเขียนและทางวาจาในชั้นเนื้อหาสาระในคดีเดิม ต่างชี้ว่า ประเด็นแห่งข้อพิพาทในปี 2502-2505 จากัดเฉพาะอธิปไตยเหนือปราสาท และประเด็นดังกล่าว ไม่เกี่ยวข้องกับเขตแดน โดยศาลนำ “แผนที่ภาคผนวก 1” มาใช้เพียงเพื่อชี้ตาแหน่งที่ตั้งของปราสาท และไม่ใช่เพื่อกำหนดเส้นเขตแดนในบริเวณดังกล่าว

2.2.6 ขอบเขตของข้อพิพาทในคดีเดิมตามที่กัมพูชาได้ยื่นให้ศาลพิจารณาตั้งแต่แรกเริ่ม ได้เปลี่ยนแปลงในช่วงสุดท้ายของกระบวนการพิจารณา โดยกัมพูชาได้พยายามที่จะขยายขอบเขตคำขอของตนให้ครอบคลุมเรื่องเขตแดนด้วย ซึ่งศาลฯ ก็ได้ปฏิเสธคำขอดังกล่าวไว้อย่างชัดเจนแล้ว

2.3 บทที่ 3 : ความหมายและขอบเขตของคาพิพากษาปี 2505 ในบทนี้ ไทยชี้ให้เห็นว่า คำพิพากษาปี 2505 และสิ่งที่ศาลฯ ตัดสินครอบคลุมเพียงอธิปไตยเหนือปราสาทพระวิหารเท่านั้น และศาลไม่ได้ตัดสินเรื่องเส้นเขตแดน หรือสถานะของแผนที่ภาคผนวก 1 ดังนี้

2.3.1 ในคำพิพากษาศาลเมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2505 ในชั้นเนื้อหาสาระของคดี (Merits Phase) ศาลได้ตอบคำขอที่กัมพูชายกขึ้นในคำร้องเริ่มคดี (เรื่องอธิปไตยเหนือปราสาทและเรื่องการถอนเจ้าหน้าที่ทหารไทยออกจากบริเวณสิ่งหักพังของปราสาท) และตอบคำขอเพิ่มให้ในประเด็นที่ให้ไทยคืน “วัตถุทางวัฒนธรรม” ซึ่งเป็นประเด็นที่กัมพูชายกขึ้นในภายหลังระหว่างกระบวนการพิจารณาคดี แต่ศาลปฏิเสธอย่างชัดแจ้งที่จะตอบคำขอของกัมพูชาที่จะขยายประเด็นแห่งคดีให้รวมถึงการกำหนดเขตแดนระหว่างไทย กับกัมพูชา และสถานะของแผนที่ภาคผนวก 1

2.3.2 ขอบเขตและเนื้อหาของบทปฏิบัติการของคำพิพากษาปี 2505 ชี้ให้เห็นว่า โดยผลลัพธ์นั้น ศาลตัดสินเพียงประการเดียวว่าปราสาทตั้งอยู่บนดินแดนซึ่งอยู่ภายใต้อธิปไตยของกัมพูชา (วรรคปฏิบัติการที่ 1) ส่วนพันธกรณีในการถอนทหาร (วรรคปฏิบัติการที่ 2) และพันธกรณีในการคืนวัตถุทางวัฒนธรรม (วรรคปฏิบัติการที่ 3) นั้น เป็นผลที่เกิดขึ้นตามมาโดยอัตโนมัติของการที่กัมพูชามีอธิปไตยเหนือปราสาท ไม่ว่ากัมพูชาจะขอศาลตัดสินในประเด็นดังกล่าวด้วยหรือไม่ก็ตาม

2.3.3 ในคำพิพากษาปี 2505 ศาลได้จำกัดขอบเขตของข้อพิพาทไว้เพียงอธิปไตยเหนือปราสาท เส้นเขตแดนและแผนที่ต่างๆ เกี่ยวข้องเพียงเท่าที่สิ่งเหล่านี้จะช่วยสร้างความกระจ่างเกี่ยวกับประเด็นอธิปไตยนี้ แต่ไม่อาจยกขึ้นมาเป็นประเด็นที่ศาลต้องตัดสินชี้ขาด

2.3.4 ขอบเขตและเนื้อหาของบทปฏิบัติการถูกจากัดโดยคำขอตามที่ศาลรับไว้พิจารณา (petitum) และคำขอที่ศาลรับไว้พิจารณาในคดีนี้คือ อธิปไตยเหนือปราสาท ตามที่ปรากฏในคำแถลง สรุปสุดท้ายของกัมพูชาข้อ 3 และในคำร้องเริ่มคดี (“ดินแดนผืนหนึ่งซึ่งบริเวณสิ่งหักพังของปราสาทตั้งอยู่”) ซึ่งกัมพูชาเองต้องเห็นว่า “ดินแดนผืนหนึ่งของกัมพูชา” มีพื้นที่จำกัด มิเช่นนั้นก็คงไม่มีเหตุผลประการใด ที่กัมพูชาจะขอขยายประเด็นแห่งคดีให้รวมถึงเส้นเขตแดนระหว่างไทยกับกัมพูชา และสถานะของแผนที่ภาคผนวก 1

ด้วยเหตุนี้ เนื้อหาของวรรคปฏิบัติการที่ 1 ของคำพิพากษา (ปราสาทตั้งอยู่ในดินแดนภายใต้อธิปไตยกัมพูชา) จึงมีขอบเขตที่จำกัด และพันธกรณีในการถอนทหารและคืนวัตถุโบราณ (วรรคปฏิบัติการที่ 2 และ 3) ซึ่งเป็นผลที่ตามมาของวรรคปฏิบัติการที่ 1 จึงมีขอบเขตพื้นที่ที่จำกัดด้วยเช่นกัน

2.3.5 นอกจากนี้ พันธกรณีในการถอนกำลังตามวรรคปฏิบัติการที่ 2 ศาลฯ นั้น ก็ระบุด้วยว่า เป็นการยอมรับตามคำแถลงสรุปสุดท้ายของกัมพูชาข้อ 4 ซึ่งขอให้ศาลวินิจฉัยชี้ขาดให้ไทยถอนกำลังทหารจาก “บริเวณสิ่งหักพังของปราสาทพระวิหาร” ดังนั้น คำว่า “ณ ปราสาทหรือบริเวณใกล้เคียงบนดินแดนกัมพูชา” ในวรรคปฏิบัติการที่ 2 จึงหมายความถึง “บริเวณสิ่งหักพังของปราสาทพระวิหาร” นั่นเอง

2.3.6 การวิเคราะห์ถ้อยคำต่างๆ ที่ศาลใช้ในคำพิพากษาปี 2505 ได้แก่ “ปราสาท” ในวรรคปฏิบัติการที่ 1 “ณ ปราสาทหรือบริเวณใกล้เคียงบนดินแดนกัมพูชา” ในวรรคปฏิบัติการที่ 2 และ “พื้นที่ปราสาท” ในวรรคปฏิบัติการที่ 3 ต่างแสดงให้เห็นถึงขอบเขตพื้นที่ที่จากัดและเป็นการยืนยันว่าคำพิพากษา ปี 2505 มีขอบเขตทางพื้นที่ที่จากัด

2.3.7 ศาลใช้เส้นแผนที่ภาคผนวก 1 ในส่วนเหตุผลของคำพิพากษาเพียงเพื่อชี้ว่าปราสาทเป็นของกัมพูชาหรือของไทย

2.4 บทที่ 4 : ศาลไม่มีอำนาจพิจารณาและกัมพูชาไม่มีอานาจฟ้อง ไทยชี้ให้ศาลเห็นว่า ศาลไม่มีอานาจในการตีความและไม่ควรรับคดีไว้พิจารณา การที่ศาลวินิจฉัยว่า ศาลมีอำนาจเบื้องต้น ในชั้นคำสั่งออกมาตรการชั่วคราวไม่ได้หมายความว่าศาลจะมีอานาจในการพิจารณาคำขอตีความอันเป็นคดีหลัก โดยยกเหตุผล ดังนี้

2.4.1 ไทยและกัมพูชาไม่มีข้อพิพาทเรื่องความหมายและขอบเขตของคำพิพากษาปี 2505 เนื่องจากคาพิพากษาดังกล่าวมีความชัดเจนอยู่แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในการวินิจฉัยว่า ไทยหรือกัมพูชามีอธิปไตยเหนือปราสาท ศาลไม่จาเป็นต้องวินิจฉัยเรื่องขอบเขตของดินแดนของแต่ละฝ่าย และขอบเขตของพันธกรณีในการถอนทหาร ณ ปราสาทหรือบริเวณ
ใกล้เคียงบนดินแดนกัมพูชา ในวรรคปฏิบัติการที่ 2 ซึ่งเป็นผลมาจากอธิปไตยเหนือปราสาทในวรรคปฏิบัติการที่ 1 ย่อมไม่อาจเกินขอบเขตของวรรคปฏิบัติการที่ 1 ได้

2.4.2 ไม่มีข้อพิพาทระหว่างคู่กรณีในประเด็นว่าไทยได้ปฏิบัติตามคาพิพากษาแล้ว และกัมพูชาได้ยอมรับแล้ว โดยมีหลักฐานหลายประการ อาทิ เอกสารต่างๆ ในปี 2505 โดยเฉพาะถ้อยแถลงของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศกัมพูชาต่อสมัชชาสหประชาชาติเมื่อวันที่ 27 กันยายน 2505 ว่าไทยได้ปฏิบัติตามคำพิพากษาแล้ว การเสด็จยังปราสาทของเจ้าสีหนุในวันที่ 5 มกราคม 2506 และพฤติกรรมของกัมพูชาในภายหลังที่แสดงว่าพอใจกับการปฏิบัติตามคำพิพากษาของไทยแล้ว

นอกจากนี้ ข้อพิพาทเกี่ยวกับการปฏิบัติตามคำพิพากษา หากปรากฏอยู่จริง ก็อยู่นอกขอบเขตของข้อ 60 ของธรรมนูญศาลเกี่ยวกับ การตีความ

2.4.3 วัตถุประสงค์ที่แท้จริงของกัมพูชาที่ยื่นคำขอต่อศาลในครั้งนี้ไม่ใช่เพื่อการตีความ แต่เพื่อให้ศาลตัดสินประเด็นเรื่องเขตแดน ซึ่งเป็นประเด็นที่ศาลไม่ได้ตัดสินไว้ในคำวินิจฉัยเมื่อปี 2505

2.5 บทที่ 5 : การตีความที่ผิดของกัมพูชาเกี่ยวกับความหมายและขอบเขตของคำพิพากษาปี 2505 ไทยชี้ให้ศาลฯ เห็นว่า กัมพูชาเข้าใจความหมายของคำพิพากษาผิดในประเด็นที่สาคัญต่าง ๆ 3 ประเด็น ซึ่งในบทนี้ ฝ่ายไทยมุ่งโต้แย้งการตีความคำพิพากษาของกัมพูชา โดยยืนยันว่า

2.5.1 การที่กัมพูชาตีความคำพิพากษาในประเด็นว่า ศาลตัดสินเกี่ยวกับอำนาจอธิปไตย เหนือดินแดนเป็นการตีความที่ผิดไปจากข้อเท็จจริง และแผนที่ไม่ใช่เหตุผลสาคัญที่ไม่อาจแยกออกจากบทปฏิบัติการ

2.5.2 พันธกรณีของไทยที่จะต้องถอนกำลังเจ้าหน้าที่ไม่ใช่พันธกรณีต่อเนื่อง (Continuing Obligation) หากแต่เป็นพันธกรณีที่เฉพาะเจาะจงและในทันที “specific and immediate obligations” และ

2.5.3 ไทยได้ถอนกำลังเจ้าหน้าที่แล้วเมื่อปี 2505

2.6 บทที่ 6 : รายงานของผู้เชี่ยวชาญแผนที่ของฝ่ายไทย รายงานฉบับนี้ชี้ให้เห็นว่า

2.6.1 การถ่ายทอดเส้นบนแผนที่ภาคผนวก 1 ลงในแผนที่สมัยใหม่หรือลงในภูมิประเทศจริง จะเกิดความผิดพลาด ไม่ว่าจะใช้วิธีการใด และไม่สามารถเชื่อถือได้ เนื่องจากเทคนิคในการถ่ายทอดมีหลายวิธี ซึ่งจะทาให้เกิดเส้นผลลัพธ์ที่แตกต่างกัน และไม่มีเหตุผลสนับสนุนว่า วิธีการถ่ายทอดวิธีใดเหมาะสมกว่าวิธีอื่น ซึ่งความแตกต่างที่เกิดขึ้นจากการใช้วิธีการต่าง ๆ กันอาจเป็นผลให้เกิดความแตกต่างในพื้นที่กว้างหลายกิโลเมตร ดังนั้น หากศาลจะตัดสินให้ใช้แผนที่ภาคผนวก 1 แทนที่จะเป็นการแก้ไขปัญหา กลับจะสร้าง ข้อพิพาทใหม่ให้คู่กรณี โดยเฉพาะในการเลือกจุดอ้างอิง

2.6.2 International Boundary Research Unit (IBRU) ค้นพบแผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 200,000 อีกฉบับหนึ่งซึ่งแตกต่างจากแผนที่ภาคผนวก 1 ที่กัมพูชายื่นต่อศาล

2.6.3 ดังนั้น ศาลจึงไม่ควรตัดสินว่า ให้เส้นเขตแดน หรือเส้น “บริเวณใกล้เคียง (vicinity)” เป็นไปตามแผนที่ภาคผนวก 1

2.7 บทที่ 7: บทสรุปและคำแถลง

ไทยขอให้ศาลตัดสินว่า

2.7.1 ศาลไม่มีอานาจที่จะตีความและไม่สามารถรับคดีไว้พิจารณา

2.7.2 หรือหากศาลเห็นว่า ศาลมีอำนาจและสามารถรับคดีไว้พิจารณาได้ ก็ไม่มีเหตุผลใดที่ศาลฯ จะตีความคำพิพากษา ปี 2505

2.7.3 หรือหากศาลเห็นว่าตนเองมีเหตุผลที่จะตีความคาพิพากษาดังกล่าวแล้ว ก็ขอให้ศาลตัดสินว่า คำพิพากษาศาล ในปี 2505 มิได้ตัดสินว่าเส้นเขตแดนเป็นไปตาม “แผนที่ภาคผนวก 1”

3. คำตอบ (Response) ของกัมพูชา เมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2555 กัมพูชาได้ยื่นคำตอบแก่ศาล โดยคาตอบดังกล่าวแบ่งออกเป็น 5 บท สรุปสาระสาคัญได้ ดังนี้

3.1 บทนำ กัมพูชาระบุว่า ข้อสรุปของฝ่ายไทยในข้อสังเกตเป็นลายลักษณ์อักษรไม่ถูกต้อง บิดเบือนข้อเท็จจริง และเต็มไปด้วยความขัดแย้ง ถึง 5 ประการ ได้แก่

3.1.1 กัมพูชาขอให้ศาลตีความคำพิพากษา ปี 2505 แต่ไทยกลับหยิบยกเรื่องการปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลเป็นข้อต่อสู้ ซึ่งเป็นคนละประเด็น

3.1.2 ไทยกล่าวหาว่า คำขอของกัมพูชามีนัยเป็นการอุทธรณ์คำพิพากษา หรือขอให้ศาล ทบทวนคดี ทั้ง ๆ ที่กัมพูชากล่าวย้ำเสมอว่าต้องการขอตีความคำพิพากษา ซึ่งแตกต่างกัน

3.1.3 ไทยยกข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นภายหลังจากคำพิพากษา เพื่ออ้างว่ากัมพูชาได้ยอมรับ การปฏิบัติตามคำพิพากษาแล้ว และไม่สามารถขอให้ศาลตีความได้ ทั้งๆ ที่การตีความคำพิพากษาจะต้องพิจารณาจากตัวบทของคำพิพากษาเท่านั้น

3.1.4 กัมพูชาไม่ได้กล่าวอ้างว่า ศาลในปี 2505 ได้ปักปันเขตแดนบนพื้นฐานของเส้น บนแผนที่ภาคผนวก 1 ตามที่ไทยกล่าวหา และศาลไม่ได้ปักปันเขตแดนระหว่างไทยและกัมพูชาขึ้นใหม่ เพียงแต่ยอมรับเส้นเขตแดนระหว่างประเทศที่มีอยู่แล้ว

3.1.5 ไทยหลีกเลี่ยงที่จะอธิบายว่าเพราะเหตุใดแผนที่ภาคผนวก 1 ไม่ใช่เหตุผลสำคัญ ที่ไม่อาจแยกจากคำพิพากษาได้ และไม่สามารถตีความได้

นอกจากนี้ กัมพูชาต่อสู้ว่า การที่ไทยนาเสนอว่า ศาลต้องจำกัดขอบเขตของคำพิพากษาตามที่คู่ความคิดหรือกระทำเป็นการแทรกแซงบูรณภาพและความเป็นอิสระของการดำเนินกระบวนการยุติธรรมของศาล

3.2 บทที่ 2: ข้อเท็จจริงที่แสดงว่ากัมพูชาไม่เคยยอมรับการตีความฝ่ายเดียวของไทย กัมพูชาชี้ให้เห็นการบิดเบือนข้อเท็จจริงของไทยในข้อสังเกตเป็นลายลักษณ์อักษร และนำเสนอข้อมูลเพื่อแสดงให้เห็นว่ากัมพูชาไม่เคยยอมรับการตีความฝ่ายเดียวของไทย นอกจากนี้ การประท้วงต่าง ๆ ของกัมพูชาเกี่ยวกับรั้วลวดหนามตามมติคณะรัฐมนตรีไทยปี 2505 ในหลายโอกาส สะท้อนให้เห็นว่ากัมพูชาปฏิเสธที่จะยอมรับการปฏิบัติตาม คำพิพากษาของไทยมาอย่างต่อเนื่อง และความขัดแย้งในการยื่นขอขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกตั้งแต่ปี 2550 ทำให้สามารถสรุปได้ว่า มีข้อพิพาทเกี่ยวกับความหมายและขอบเขตของคาพิพากษา ซึ่งข้อพิพาทดังกล่าวคือเหตุผลที่กัมพูชาได้ขอให้ศาลตีความในครั้งนี้

3.3 บทที่ 3 อำนาจศาลและอานาจฟ้อง: เงื่อนไขสำหรับศาลในการตีความคไพิพากษามีครบถ้วนในคดีนี้กัมพูชานำเสนอเหตุผลสนับสนุนว่า ศาลมีอำนาจที่จะพิจารณาคาขอตีความคำพิพากษาฯ ของกัมพูชา ซึ่งสอดคล้องกับเงื่อนไขและหลักเกณฑ์ที่ศาล และศาลสถิตยุติธรรมระหว่างประเทศได้กำหนดไว้ในคดีก่อน ๆ ทั้งในประเด็นอำนาจของศาล (Jurisdiction) และอำนาจฟ้อง (admissibility) กล่าวคือ มีข้อพิพาทเกี่ยวกับความหมายและขอบเขตของคำพิพากษา ปี 2505 ทั้งนี้ ระยะเวลาที่ล่วงเลยกว่า 50 ปีไม่ทาให้สิทธิในการขอตีความคำพิพากษาเสียไป และกัมพูชาไม่ได้ยื่นขอให้ศาลตีความในประเด็นที่ศาลไม่ได้รับพิจารณา ในปี 2505

3.4 บทที่ 4: การตีความที่มีความจำเป็นตามคำขอของกัมพูชา กัมพูชานาเสนอเหตุผลความจำเป็นในการตีความคำพิพากษา และแนวทางการตีความคำพิพากษาที่กัมพูชาเห็นว่าถูกต้อง โดยวิเคราะห์ ความเชื่อมโยงระหว่างบทปฏิบัติการกับส่วนเหตุผลของคำพิพากษา ตามแนวทางคาตัดสินของศาลอนุญาโตตุลาการและศาลระหว่างประเทศอื่น ๆ ซึ่งนำไปสู่ข้อสรุปที่ว่า แผนที่ภาคผนวก 1 เป็นเหตุผลที่ไม่อาจแยกจากบทปฏิบัติการได้และมีสถานะเป็นสิ่งที่ศาลได้ตัดสินให้มีผลผูกพัน (res judicata) ดังนั้น ศาลฯ จึงสามารถตีความได้

นอกจากนี้ กัมพูชาได้ยืนยันการตีความคำพิพากษา ตามคำขอของกัมพูชาวันที่ 28 เมษายน 2554 พร้อมกับโต้แย้งการตีความคำพิพากษาของไทยว่า

3.4.1 กัมพูชาไม่ได้ขอให้ศาลทบทวนคำพิพากษา

3.4.2 กัมพูชาไม่ได้ขอให้ศาลชี้ขาดเรื่องเขตแดน และการที่ฝ่ายไทยแยกประเด็นข้อพิพาทเรื่องเขตแดนกับข้อพิพาทเรื่องอธิปไตยเหนือดินแดนว่าเป็นคนละประเด็นเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องเพราะข้อพิพาท ทั้งสองประเภทมีความสัมพันธ์กันโดยตรง

3.4.3 การปฏิบัติตามคำพิพากษาของไทยเป็นการตีความฝ่ายเดียวที่ไม่ผูกพันกัมพูชา

3.4.4 พันธกรณีในการถอนทหารตามวรรคปฏิบัติการที่ 1 ของคำพิพากษาฯ เป็นพันธกรณี ที่ต่อเนื่อง

3.5 บทที่ 5: บทสรุปและคำแถลง

ไทยเป็นฝ่ายที่พยายามโน้มน้าว ให้ศาลทบทวนและอุทธรณ์คำพิพากษา อีกทั้งข้อสังเกต เป็นลายลักษณ์อักษรและเอกสารภาคผนวกของไทยมีเนื้อหาสาระไม่เกี่ยวข้องกับการพิจารณาของศาล ในการตีความคำพิพากษาปี 2505 ซึ่งไม่สามารถลบล้างเหตุผลของกัมพูชาที่แสดงให้เห็นว่า ศาลสามารถตีความคำพิพากษาได้ และการตีความที่ถูกต้องอยู่บนพื้นฐานของแผนที่ภาคผนวก 1

4. คำอธิบายเพิ่มเติมเป็นลายลักษณ์อักษร (Further Written Explanations) ของไทย เมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2555 ไทยได้ยื่นคำอธิบายเพิ่มเติมเป็นลายลักษณ์อักษรแก่ศาล โดยคำอธิบายดังกล่าวแบ่งออกเป็น 5 บท สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้

4.1 บทที่ 1 : บทนำ ฝ่ายไทยได้กล่าวถึงจุดอ่อนที่สาคัญของคำอธิบายเป็นลายลักษณ์อักษรของกัมพูชา ได้แก่

4.1.1 คำขอตีความคำพิพากษาปี 2505 ของกัมพูชามีความสับสน และขาดความสอดคล้องกัน อาทิ เดิมใช้บทปฏิบัติการที่ 2 ของคำพิพากษาฯ ปี 2505 เป็นพื้นฐานในการขอให้ศาลตีความคำพิพากษาปี 2505 ต่อมาก็เปลี่ยนเป็นมาใช้บทปฏิบัติการที่ 1 เป็นพื้นฐานด้วย

4.1.2 ข้อต่อสู้ของกัมพูชาเกี่ยวกับแผนที่ภาคผนวก 1 (Annex I) ที่ว่าแผนที่ฉบับดังกล่าวเป็นเหตุผลสำคัญประการเดียวของผลคำพิพากษา ซึ่งไม่มีความเป็นเหตุเป็นผล และไม่สอดคล้องกับหลักกฎหมายระหว่างประเทศ

4.1.3 กัมพูชาไม่ตอบบทวิเคราะห์คำพิพากษาและบริบทของการตัดสินของศาลในปี 2505 และประเด็นข้อเท็จจริงเรื่องแผนที่ระวางดงรักที่ไทยได้นำเสนอในข้อสังเกตเป็นลายลักษณ์อักษรของไทย

4.1.4 กัมพูชาบิดเบือนข้อเท็จจริงหลายประการ อาทิ

4.1.4.1 อ้างว่าไทยขอให้ศาล แก้ไขคำพิพากษาปี 2505

4.1.4.2 อ้างว่าแผนที่ภาคผนวก 1 เป็นส่วนหนึ่งของคำพิพากษา และสร้างหลักฐานทางแผนที่ที่ไม่ถูกต้อง

4.1.4.3 พยายามชี้นำว่า การที่ศาลในปี 2505 ไม่รับพิจารณาประเด็นเส้นเขตแดนและสถานะของแผนที่ภาคผนวก 1 เป็นเพียงเพราะเหตุผลทางกระบวนการพิจารณาคดี (ขอช้าไป) ทั้งที่จริงแล้วมีนัยด้านสารัตถะที่สาคัญ (ขอเพิ่มนอกขอบเขตคาฟ้อง)

4.2 บทที่ 2 : สาระสาคัญของข้อพิพาทปี 2505 และข้อพิพาทที่กัมพูชาเสนอต่อศาล ในปี 2554

4.2.1 นำเสนอความแตกต่างระหว่างข้อพิพาทที่ศาลได้ตัดสินในปี 2505 และข้อพิพาท ที่กัมพูชาเสนอต่อศาลในปัจจุบัน กล่าวคือ ข้อพิพาทเมื่อปี 2505 เป็นเรื่องอธิปไตยเหนือปราสาทพระวิหาร ซึ่งศาลได้ตัดสินไปแล้ว แต่ประเด็นที่กัมพูชาเสนอให้ศาลตีความเป็นพื้นที่นอกเหนือจากตัวปราสาท พระวิหารและตาแหน่งของเส้นเขตแดนระหว่างไทย-กัมพูชา

4.2.2 เมื่อข้อพิพาทในปี 2505 กับประเด็นที่กัมพูชาขอให้ศาลตีความไม่ใช่เรื่องเดียวกัน ศาลก็ไม่สามารถตีความได้

4.3 บทที่ 3 : อำนาจศาล

4.3.1 ไม่มีข้อพิพาทเกี่ยวกับขอบเขตและความหมายของคำพิพากษา ในปี 2505 ซึ่งเป็นเงื่อนไขสาคัญในการขอตีความ ดังนั้น กัมพูชาไม่มีอานาจฟ้อง และศาลไม่สามารถตีความคำพิพากษาตามที่กัมพูชาร้องขอได้

4.3.2 ศาลในปี 2505 ไม่รับพิจารณาประเด็นสถานะของแผนที่ภาคผนวก 1 และตาแหน่งของเส้นเขตแดน ซึ่งมีผลทำให้ประเด็นดังกล่าวทั้งสองไม่เป็นส่วนหนึ่งของสิ่งที่ศาลสามารถตีความได้ กล่าวคือ สิ่งที่ศาลได้ตัดสินให้มีผลผูกพัน

4.3.3 ความพยายามของกัมพูชามีผลเสมือนเป็นการอุทธรณ์ให้ศาลในปัจจุบันกลับมาให้สถานะแผนที่ภาคผนวก 1 และพิจารณาเรื่องเส้นเขตแดน ซึ่งไม่สามารถกระทำได้

4.4 บทที่ 4 : ประเด็นที่ศาลได้ตัดสินให้มีผลผูกพัน

4.4.1 แม้ศาลพิจารณาว่ามีอานาจในการตีความคำพิพากษาปี 2505 ศาลจะสามารถตีความได้เฉพาะประเด็นที่ได้ตัดสินให้มีผลผูกพันแล้ว ซึ่งปรากฏอยู่ในส่วนบทปฏิบัติการของคำพิพากษาเท่านั้น

4.4.2 การนำส่วนเหตุผลของคำพิพากษามาพิจารณาประกอบการตีความนั้น จะกระทำได้ต่อเมื่อบทปฏิบัติการมีความคลุมเครือ อย่างไรก็ดี บทปฏิบัติการของคำพิพากษา ปี 2505 มีความชัดเจน ในตัวอยู่แล้ว จึงไม่จำเป็นต้องพิจารณาแผนที่ภาคผนวก 1 ประกอบการตีความ

4.4.3 แผนที่ภาคผนวก 1 ไม่ใช่เหตุผลที่แยกออกจากคำพิพากษาไม่ได้ แต่เป็นเพียงเหตุผลหนึ่งที่ศาลพิจารณาเลือกใช้เท่านั้น ซึ่งในกรณีดังกล่าวศาลได้ใช้เหตุผลอื่นในการพิจารณาด้วย ได้แก่ การเสด็จฯ เยือนปราสาทพระวิหารของสมเด็จกรมพระยาดารงราชานุภาพ การที่ไทยไม่ได้ยกประเด็นเรื่องปราสาทพระวิหารในที่ประชุมคณะกรรมการประนอมฝรั่งเศส-สยาม ที่ กรุงวอชิงตันใน ปี ค.ศ.1947 การที่ไทยผลิตแผนที่ของตนเอง 2 ฉบับที่แสดงว่าปราสาทพระวิหารตั้งอยู่ในฝั่งกัมพูชา

การที่ไทยนิ่งเฉยต่อหนังสือประท้วงของฝรั่งเศสและของกัมพูชาซึ่งระบุว่าอธิปไตยเหนือปราสาทเป็นของฝรั่งเศส -กัมพูชา นอกจากนี้ กัมพูชาต้องการให้ตีความแผนที่ภาคผนวก 1 เส้นเขตแดน (อธิปไตยเหนือปราสาท) กัมพูชาจึงไม่สามารถนาแผนที่ภาคผนวก 1 มาใช้ประกอบการตีความบทปฏิบัติการ ของคำพิพากษาได้

4.4.4 ฝ่ายไทยนาเสนอการตีความคำพิพากษาปี 2505 ที่ถูกต้อง ดังนี้ กระบวนพิจารณาคดีเมื่อปี 2505 ที่ฝ่ายไทยได้ถอนทหารออกไปแล้ว

4.4.4.2 พันธกรณีในการถอนทหารเป็นพันธกรณีแบบทันทีทันใดและปฏิบัติได้ครั้งเดียว ซึ่งไทยได้ปฏิบัติโดยสมบูรณ์แล้ว

4.5 บทที่ 5 : บทสรุปและคำแถลง

ชี้แจงเหตุผลและความจำเป็นที่ศาลต้องระบุว่า ศาลฯ ไม่ได้ตัดสินเรื่องเขตแดนในปี 2505 โดยในคำแถลงสรุป ไทยขอให้ศาลตัดสินว่า

4.5.1 ศาลไม่มีอานาจที่จะตีความและไม่สามารถรับคดีไว้พิจารณา

4.5.2 หรือหากศาลเห็นว่า ศาลมีอำนาจและสามารถรับคดีไว้พิจารณาได้ ก็ไม่มีเหตุผลใดที่ศาลจะตีความคำพิพากษา ปี 2505

และ 4.5.3 ขอให้ศาลตัดสินว่า คำพิพากษาศาลในปี 2505 มิได้ตัดสินว่าเส้นเขตแดนเป็นไปตาม “แผนที่ภาคผนวก 1”

ที่มา.นสพ.ฐานเศรษฐกิจ
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันจันทร์ที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2556

ยึด 4 แนวทางดูค่าบาท ประสาร ยันยังไม่ดูดซับเงินเยน คลังเตรียมคลอดกองทุนอุ้มเอสเอ็มอี !!?


"ผู้ว่าการธปท."   ยันเงินต่างชาติไหลเข้าเป็นเงินระยะยาวเฉลี่ย 4 ปี   ย้ำดบ.นโยบาย2.75% ยังเหมาะ  ไม่ต้องมีมาตรการดูแลค่าเงินเพิ่ม  พร้อมปรับจีดีพีปี 56 โต 5.1% จากเดิมที่ 4.9%,ปี 57 ที่ 5%  ตามแผนลงทุนโครงสร้างพื้นฐานรัฐเริ่มชัด โมเมนตัมโตต่อเนื่องส่งถึงปีหน้า  คาด 2 ปีแรกงบเบิกจ่ายลงทุนเฉลี่ย 40%   โต้ง"ห่วงบาทแข็งฉุดส่งออกพลาดเป้า 9% เศรษฐกิจดิ่ง   ด้าน"สมภพ" แนะจับตามาตรการบีโอเจ อาจดันเงินเฟ้อไทยพุ่งแตะ 7%

การดำเนินนโยบายผ่อนคลายทางการเงินของธนาคารกลางญี่ปุ่น(บีโอเจ) รายล่าสุดที่ประกาศอัดฉีดเงินเข้าซื้อพันธบัตรถึงเดือนละ 7.5ล้านล้านเยนหรือกว่า 8  หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ( ประมาณ  2.32 ล้านล้านบาท ) จนกว่าจะสามารถดึงเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นถึงระดับ 2% หลังจากที่ญี่ปุ่นประสบภาวะเงินฝืดมาหลายปี ซึ่งเป็นมาตรการคล้ายคลึงกับ QE  (Quantitative Easing ) ของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) แบบไม่มีที่สิ้นสุด  สร้างความกดดันเพิ่มต่อกระแสเงินไหลเข้า ส่งผลให้ค่าเงินบาทเปิดตลาดเมื่อต้นสัปดาห์ ( 9 เมษายน 2556 ) ทำสถิติแข็งค่าสุดในรอบ 16 ปี    แตะที่ 28.95 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ฯหรือแข็งค่าขึ้น 5.73 % เทียบจากเงินบาท ณ สิ้นปี 2555 ที่ 30.61 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ฯ  ล่าสุดเปิดตลาดเช้า 12 เมษายน 2556 ที่ระดับ 29.06  บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ฯ

*ผู้ว่าการธปท.ยันไม่เพิ่มมาตรการดูแลค่าเงิน
   
นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า จากการติดตามข้อมูลการเข้ามาลงทุนของต่างชาติในตลาดพันธบัตร พบว่าพอร์ตการลงทุนส่วนใหญ่ตอนนี้จะลงในพันธบัตรอายุเฉลี่ย 4 ปี สะท้อนว่าต่างชาติเข้ามาลงทุนระยะยาวเพิ่มมากขึ้น
   
ดังนั้นสถานการณ์การเข้าลงทุนของต่างชาติขณะนี้ จึงไม่น่าเป็นห่วงเหมือนช่วงเดือน มกราคม 2556 ที่เงินเข้ามาลงทุนระยะสั้น  การดูแลค่าเงินบาทของ ธปท.จึงยังไม่จำเป็นต้องออกมาตรการเพิ่มเติม โดยยังใช้ 4 แนวทางหลักในการให้น้ำหนักการดูแลค่าเงิน  อาทิในขั้นที่ 1-2  โดยการใช้แนวทางอัตราแลกเปลี่ยนยืดหยุ่น โดยหากพบเงินบาทเคลื่อนไหวเอียงในทิศทางใดทางหนึ่งที่ผิดปกติก็พร้อมจะเข้าดูแล รวมถึงการใช้แนวทางการสร้างความสมดุลของการเคลื่อนย้ายเงินทุน ทั้งในส่วนของมาตรการการเงินที่เปิดโอกาสให้นักลงทุนเข้าไปลงทุนต่างประเทศง่ายขึ้น และการที่กระทรวงการคลังเร่งรัดให้รัฐวิสาหกิจให้ชำระคืนหนี้ต่างประเทศก่อนกำหนด  ตลอดจนการใช้โอกาสที่บาทแข็งค่าสนับสนุนการออกไปลงทุนต่างประเทศมากขึ้น
   
ผู้ว่าการธปท. กล่าวต่อถึงการที่ ธปท.ออกจดหมายถึงคัสโตเดียนเมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมาให้รายงานข้อมูลการนำเงินเข้าของลูกค้าต่างชาตินั้นเพื่อที่ ธปท.จะใช้ข้อมูลดังกล่าวสำหรับเตรียมรับสถานการณ์ต่างๆ ซึ่งยังไม่สามารถบอกได้ว่าจะมีแนวทางดำเนินการอย่างไร แต่เป็นเรื่องที่ควรรับรู้สถานการณ์ของตลาด
   
ส่วนสถานการณ์เงินเยนในตลาดที่ขาดแคลนว่าหลังเยนอ่อนค่า 17% เมื่อเทียบกับเงินบาทนั้น  ยืนยันว่าธปท.ไม่ได้เข้าดูดซับสภาพคล่องเป็นเงินเยนในตลาด แต่เป็นเรื่องที่เข้าใจกันว่า  เนื่องจากเงินเยนที่อ่อนค่ามากทำให้มีการขายบาทเพื่อเข้าถือเยน ส่วนหนึ่งเพื่อใช้ในการท่องเที่ยวทำให้เงินเยนขาดตลาด แต่ไม่ได้เป็นปัญหาในระบบเศรษฐกิจการเงิน การค้าการลงทุน เพราะเอกชนยังสามารถจัดหาเงินเยนในระบบการค้าได้

*ดบ.นโยบาย 2.75% เหมาะสมขณะนี้
   
ด้านนายไพบูลย์ กิตติศรีกังวาน ผู้ช่วยผู้ว่าการสายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เปิดเผยว่า อัตราแลกเปลี่ยน ณ สิ้นไตรมาส 1/2556 อยู่ที่ระดับ 29.29 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ แข็งค่าขึ้น 4.31% เมื่อเทียบกับสิ้นไตรมาสก่อนหน้า จากทั้งปัจจัยภายในและภายนอกที่ดึงดูดเงินลงทุนจากต่างประเทศ
   
โดยปัจจัยภายนอกมาจากความเชื่อมั่นในตลาดการเงินโลกที่ปรับดีขึ้น หลังจากผลการหารือเกี่ยวกับการปรับลดการขาดดุลการคลังของสหรัฐฯ ได้ข้อสรุป ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯและจีนปรับดีขึ้น และประเทศอุตสาหกรรมหลักยังคงมีท่าทีชัดเจนที่จะดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนปรนเป็นพิเศษด้วยการอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบอย่างต่อเนื่อง
   
ขณะที่ปัจจัยภายในเกิดจากการปรับฐานของค่าเงินบาทกับภูมิภาคที่แข็งค่าไปก่อนหน้าที่บางส่วนชะลอการลงทุนลงจากความกังวลต่อปัญหาน้ำท่วม แนวโน้มเศรษฐกิจไทยขยายตัวดีและสูงเมื่อเทียบกับภูมิภาค ปัญหาการเมืองอยู่ในระดับคลี่คลาย รัฐบาลมีแผนลงทุนโครงสร้างพื้นฐานอย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น
   
นายไพบูลย์ กล่าวว่า อัตราดอกเบี้ยนโยบาย (อาร์/พี) ที่ระดับ 2.75% ต่อปี ถือว่ามีความเหมาะสมกับสถานการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบันและสถานการณ์ที่ประเมินไว้ในระยะข้างหน้า แต่ไม่ใช่ระดับที่เหมาะสมตลอดไป  เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงต้องนำปัจจัยใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นเข้ามาพิจารณา ซึ่งความท้าทายของการดำเนินนโยบายในขณะนั้นๆ จะต้องดำเนินการอย่างผสมผสานระหว่างอัตราแลกเปลี่ยน อัตราเงินเฟ้อ หรือกระทั่งนโยบายการคลัง เพื่อให้บรรยากาศหรือโมเมนตัมทางเศรษฐกิจเกิดความสมดุล และขยายตัวได้ใกล้เคียงกับศักยภาพ และไม่ก่อให้เกิดความเสี่ยงด้านอื่นๆ ตามมา เช่น หนี้ครัวเรือน ฟองสบู่ เป้นต้น

*ธปท.ปรับเป้าศก.ปี 56 โต 5.1%
   
ทั้งนี้ ธปท.ยังได้ปรับประมาณการการเติบโตของเศรษฐกิจไทย (จีดีพี) ในปี 2556 เพิ่มขึ้นจากระดับ 4.9% เป็น 5.1% และได้ปรับประมาณการจีดีพีปี 2557 เพิ่มจากระดับ 4.8% เป็น 5.0% โดยการคาดการณ์ครั้งล่าสุดได้รวมการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานภาครัฐภายใต้โครงการเงินกู้ 2 ล้านล้านบาท และโครงการบริการจัดการน้ำ 3.5 แสนล้านบาท รวมด้วย
   
โดย ธปท.ประเมินว่าในปี 2556 จะมีการเบิกจ่ายงบลงทุนจริงราว 1.7 หมื่นล้านบาท ต่ำกว่าที่รัฐบาลตั้งเป้าหมายไว้ที่ 4.3 หมื่นล้านบาท ขณะที่ในปี 2557 ประเมินการเบิกจ่ายงบลงทุนจริงราว 9.3 หมื่นล้านบาท ต่ำกว่าที่รัฐบาลตั้งเป้าหมายไว้ที่ 2.2 แสนล้านบาท คิดเป็นอัตราการเบิกจ่ายเฉลี่ย 2 ปีแรกประมาณ 40% ของแผนการลงทุนเบื้องต้นในแต่ละปีของภาครัฐ ดังนั้น หากสามารถเบิกจ่ายได้สูงขึ้นกว่าที่ ธปท.ประเมินไว้ ก็มีโอกาสที่เศรษฐกิจจะขยายตัวได้สูงกว่าที่คาดการณ์
   
ด้านการส่งออกสินค้าและบริการในไตรมาสแรกต่ำกว่าประมาณการเล็กน้อย ส่วนหนึ่งจากการปรับแข็งค่าของเงินบาทที่ทำให้กำไรของผู้ประกอบการปรับลดลง แต่จากการศึกษาของธปท.และหลายสำนักวิจัยพบว่าการปรับเปลี่ยนแปลงของการส่งออกขึ้นอยู่กับเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าเป็นหลัก   โดยธปท.ได้ปรับลดการเติบโตของการส่งออกในปีนี้ ลงเหลือ 7.5%  จากเดิมที่ 9.0%ขณะที่การลงทุนภาคเอกชนขยายตัวต่ำกว่าคาดเล็กน้อย ถือเป็นระดับที่กลับเข้าสู่ภาวะปกติ หลังจากเร่งตัวขึ้นมากในช่วงก่อนหน้า
   
ขณะเดียวกันยังมีการปรับประมาณการเงินเฟ้อใหม่ โดยอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานปี 2556 ลดลงจาก 1.7% เหลือ 1.6% อัตราเงินเฟ้อทั่วไปลดลงจาก 2.8% เหลือ 2.7% แต่ความเสี่ยงต่อเงินเฟ้อแนวโน้มไปทางด้านสูงเล็กน้อย โดยในช่วงที่เศรษฐกิจขยายตัวและปัจจัยการผลิตในประเทศตึงตัวขึ้นโดยเฉพาะในตลาดแรงงานการส่งผ่านต้นทุนไปยังราคาสินค้าอาจเพิ่มขึ้นบ้างเมื่อเทียบกับช่วงที่ผ่านมา

*"โต้ง"ห่วงส่งออกสะดุดฉุดศก.
   
นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง  รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวปีนี้เป็นปีสำคัญของการเริ่มต้นทิศปรับสมดุลเศรษฐกิจประเทศ จึงจำเป็นต้องระวังความเสี่ยงในช่วงรอยต่อ  ซึ่งไม่สบายใจที่เห็นเงินบาทยังแข็งค่าขึ้นจนคุกคามภาคการส่งออกจึงต้องพยายามผลักดันให้สามารถส่งออกขยายตัวได้ 2หลัก   เพื่อที่เศรษฐกิจไทยจะได้โตเพิ่มอีก  3-4 %  เพราะภาคส่งออกคิดเป็นสัดส่วน 70 %  ของขนาดจีดีพี ดังจะเห็นได้จากปี 2555 ที่ภาคส่งออกโตเพียง 3.1 % แต่เศรษฐกิจประเทศกลับโตได้ในระดับ 6.4%
   
โดยหากค่าเงินบาทยังแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง อาจทำให้การขยายตัวของมูลค่าการส่งออก ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ตั้งเป้าไว้ที่ 9%  มีโอกาสต่ำกว่าเป้าหมายหรืออาจจะขยายตัวต่ำกว่าจีดีพี  ยิ่งไปกว่านั้นถ้าส่งออกที่ลดลงยังโยงใยถึงรายได้ของการจัดเก็บภาษีจากภาคธุรกิจลดลงไปด้วย จะกระทบต่อรายได้ของลูกจ้างภาคเอกชนและส่งผลถึงภาคการบริโภคภายในประเทศ
   
อย่างไรก็ดียังเชื่อมั่นว่า 3เครื่องจักรสำคัญ คือ 1.การใช้จ่ายภาครัฐและการลงทุนภาครัฐ  2.การขยายตัวของการบริโภคภาคเอกชน  รวมถึง 3.การลงทุนภาคเอกชน ยังมีประสิทธิภาพที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจไปได้ และเชื่อมั่นว่าปี 2557และ ปี2558 จะเป็นปีที่เศรษฐกิจไทย จะเริ่มปรับเข้าสู่สมดุลอย่างแท้จริง  เนื่องจากในปี 2557 รัฐบาลจะเริ่มต้นลงทุนในโครงการบริหารจัดการน้ำ 3.5 แสนล้านบาท และจะมีการเบิกจ่ายจริงโดยจะทยอยการเบิกจ่ายต่อเนื่องถึงปี 2558  และในปี 2558 น่าจะสามารถเบิกจ่ายการลงทุนโครงการ 2 ล้านล้านบาท  โครงการลงทุนดังกล่าวทั้งหมดจะช่วยกระตุ้นเพิ่มประสิทธิภาพของเศรษฐกิจภายในประเทศให้เข้มแข็ง

*หวั่นบีโอเจทำเงินเฟ้อไทยพุ่ง
   
ด้านนายสมภพ มานะรังสรรค์ อธิการบดีสถาบันเทคโนโลยีปัญญาภิวัฒน์  กล่าวกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ว่าหากนำปริมาณเงินจากญี่ปุ่นเมื่อรวมกับมาตรการคิวอีของเฟดที่อัดฉีดเงินเข้าระบบ ( 8.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ) แต่ละเดือนจะมีปริมาณเงินเข้าระบบรวมกว่า 1.65  แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ กระจายออกไปหาอัตราผลตอบแทนทั่วโลก  โดยเฉพาะเอเชียที่พื้นฐานเศรษฐกิจยังคงแข็งแกร่ง ซึ่งดูจากแนวโน้มแล้วไม่มีทางที่เงินบาทจะกลับมาอ่อนค่าได้ นอกจากการออกมาตรการภาษี ควบคุมเงินไหลเข้า (แคปิตอลคอนโทรล)     นอกจากนี้หากบีโอเจสามารถทำให้อัตราเงินเฟ้อขึ้นถึง 2%ได้จริงจะกระทบกับอัตราเงินเฟ้อของประเทศอื่นๆ ทั่วโลกให้ขยับขึ้นตามไม่น้อยกว่า 4% เช่น ไทยตอนนี้อัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ระดับ 3% จะกลายเป็น 7% ได้

ที่มา. นสพ.ฐานเศรษฐกิจ
////////////////////////////////////////////////////

ดับไฟใต้ : มาถูกทาง หรือ ถึงทางตัน !!?



วิธีการปราบปรามโจรปัตตานี หรือการต่อสู้กับขบวนการแบ่งแยกดินแดนภาคใต้ ได้เปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย

ในปี 2328 รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช โปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาถ วังหน้า เป็นแม่ทัพเสด็จยกทัพไปปราบกบฏที่เมืองปัตตานีจนมีชัยชนะ พร้อมกับนำปืนใหญ่ “พญาตานี” ซึ่งเป็นปืนคู่บ้านคู่เมืองปัตตานี กลับมาไว้ที่พระนคร

ในปี 2445 รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ก็มีการจับกุม “พระยาวิชิตภักดี” หรือ “อับดุลกาเดร์” เจ้าเมืองตานีผู้ก่อการกบฏ ไปควบคุมไว้ที่จังหวัดพิษณุโลกเป็นเวลาเกือบ 3 ปี หลังจากได้รับพระราชทานอภัยโทษ จอมโจรผู้นี้หาสำนึกผิดไม่ กลับปลุกระดมราษฎรในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ให้กระด้างกระเดื่อง และคิดวางแผนก่อการกบฏขึ้นอีก เมื่อถูกทางราชการปราบปราม
ก็หลบหนีไปกบดานที่รัฐกลันตัน และสิ้นชีวิตลงที่นั่น แต่ก็ได้ปลูกฝังอุดมการณ์ให้สนุนบริวาร แยกนครปัตตานีให้เป็นอิสระให้จงได้

หลังเปลี่ยนแปลงการปกครองมาถึงสมัย จอมพล ป. พิบูลสงคราม ขบวนการแบ่งแยกดินแดนภาคใต้ ใช้ยุทธวิธีสองประสาน คือ 1) ในรูปแบบ “กองโจรปัตตานี” มี นายหะยีสุหลง เป็นผู้นำ และ 2) ดำเนินงาน “ทางการเมือง” มี สส. อดุลย์ ณ สายบุรี (ตวนกูอับดุลยะลา) รับผิดชอบงานการเมืองเรียกร้องให้มีการแบ่งแยกดินแดนภาคใต้ ต่อมา นายหะยีสุหลงถูกจับติดคุก 3 ปีเศษ เมื่อพ้นโทษแล้วถูกฆ่าตาย และมีข่าวว่าศพถูกนำไปถ่วงทะเล บริเวณจังหวัดสงขลา แต่ไม่พบศพ

ต่อมาในยุคสมัย จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ได้มีการจับกุมโจรแบ่งแยกดินแดนในพื้นที่ 4 จังหวัดภาคใต้ คือ ยะลา นราธิวาส สตูล และ ปัตตานี ได้เป็นจำนวนมาก แต่รัฐบาลในยุคนั้นใช้นโยบายผ่อนปรน ได้ให้การอบรมแล้วปล่อยตัวผู้ต้องหาทั้งหมด พร้อมทั้งให้เงินยังชีพอีกเป็นจำนวนมากด้วย โดยมุ่งหวังที่จะซื้อใจโจรเหล่านั้น แต่ก็ไร้ประโยชน์

ในยุครัฐบาลทักษิณ โจรแบ่งแยกดินแดนกลับถูกสบประมาทว่าเป็น “โจรกระจอก” และมีการปราบปรามที่รุนแรง หรือที่เรียกว่า “ใช้กำปั้นเหล็ก” เป็นเหตุให้ประชาชนชาวไทยมุสลิมในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ต้องบาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมาก ถึงขั้นที่ รัฐบาล คมช.ซึ่งมี พล.อ.สุรยุทธ์ จุฬานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี ต้องประกาศ “ขอโทษชาวไทยมุสลิมในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ (รวมทั้งขอโทษโจรด้วย) แทนรัฐบาลทักษิณ” พร้อมกับมีคำสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหา 92 คน เพื่อความสมานฉันท์ แต่โจรแบ่งแยกดินแดนก็หายุติศึกไม่ การเข่นฆ่า ทหาร ตำรวจ ครู พระ และ ประชาชนยังคงมีอยู่ต่อเนื่องมาจนถึงทุกวันนี้

ปัจจุบัน รัฐบาลยิ่งลักษณ์ อ้างว่ามาตราการ การดับไฟใต้ของรัฐบาลมา “ถูกทางแล้ว” แต่ถ้าวิเคราะห์ถึงสถานการณ์ความเป็นจริงแล้ว รัฐบาลยิ่งลักษณ์ มาถึง “ทางตัน” เสียมากว่า ด้วยเงื่อนไข

1) ไม่เท่าทันกลยุทธ์โจร: โจรแบ่งแยกดินแดนมิใช่“โจรกระจอก”แต่เป็น “โจรอุดมการณ์” ซึ่งได้แตกเหล่าแตกกอเป็นกลุ่มต่างๆ มากมาย เช่น ขบวนการร่วมเพื่อเอกราชปัตตานี หรือ เบอร์ซาตู ขบวนการมูจาฮีดีนอิสลามปัตตานี ขบวนการพูโล กลุ่มขบวนการบีอาร์เอ็น และ องค์กรกู้ชาติปัตตานี เป็นต้น ซึ่งแต่ละกลุ่มดำเนินกลยุทธ์เป็นอิสระไม่ขึ้นต่อกัน ทำสงครามจรยุทธ์ต่อสู้กับรัฐบาล ควบคู่กับการดำเนินงานทางการเมืองเพื่อให้นานาชาติ โดยเฉพาะโลกมุสลิมยอมรับในอุดมการณ์ของตน จนสามารถพลิกผันสถานการณ์จากการเป็นฝ่ายตั้งรับ มาเป็นฝ่ายรุก จนรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ซึ่งไร้เดียงสาอยู่แล้ว งงเป็นไก่ตาแตก หมดสภาพ ไม่สามารถแก้ปัญหาให้ตรงจุดได้

2) ไม่เท่าทันอุดมการณ์โจร : ปัญหาไฟใต้ทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น ก็เพราะวิธีการปลูกฝังอุดมการณ์แบ่งแยกดินแดนได้นำศาสนามาเป็นเครื่องมือล้างสมอง และปลุกระดมเยาวชนมุสลิมในทางที่ผิด โดยปลูกฝังให้มีความเชื่อว่า ชาวไทยพุทธเป็นศัตรูที่จะต้องฆ่าทิ้ง หรือขับไล่ให้พ้นไปจากแผ่นดินภาคใต้ ตามความประสงค์ของพระเจ้า ซึ่งรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ไม่สามารถแก้ปัญหา หรือ หยุดยั้งการปลูกฝังอุดมการณ์ในทางที่ผิดนี้ได้

3) ไม่กล้ารับผิดชอบ : ทั้งนายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี ต่างเกี่ยงความรับผิดชอบ ไม่มีใครกล้าหาญที่จะแก้ปัญหาไฟใต้ มีแต่ความหวาดกลัวจนขี้ขึ้นสมองหมดปัญญาที่จะคิด ได้แต่หาทางเอาตัวรอดไปวันๆ ตัวอย่างเช่น รองฯ เหลิม ผัดวันประกันพรุ่งไม่ยอมลงพื้นที่ภาคใต้ แต่กลับเดินทางไปพักผ่อนฮ่องกงอย่างสุขสำราญได้ และในเวลาเดียวกับที่ทักษิณอยู่ที่นั่นด้วย เป็นต้น

คนที่ถูกโจรบีบบังคับจะข่มขืน ย่อมมีทางเลือกอยู่สองทางคือ 1)ใช้ปัญญาต่อสู้จนถึงที่สุด หรือ 2)ร่วมสนุกกับโจรเสียเลย เพื่อเงินและอำนาจ รัฐบาลยิ่งลักษณ์ เลือกทางไหน คิดกันเอาเอง

ที่มา.นสพ.แนวหน้า
///////////////////////////////////////////////////

วันเสาร์ที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2556

โค้งสุดท้าย : ปราสาทพระวิหาร การตีความในสิ่งที่ไม่อยู่ในคำพิพากษาปี 2505 !!?


ในขณะที่ชาวไทยในประเทศกำลังเล่นน้ำในเทศกาลสงกรานต์ แต่ที่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ หรือศาลโลก ณ กรุงเฮก กลับปรากฏการเผชิญหน้าระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลกัมพูชา มีกำหนดการกล่าวถ้อยแถลงด้วยวาจาเพิ่มเติม (Further Oral Explanations) ในช่วงระหว่างวันที่ 15-19 เมษายน 2556 ซึ่งเป็นการอธิบายทางวาจาเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่ศาลโลกจะมีคำพิพากษาในช่วงปลายปี 2556

ทั้งนี้ ความขัดแย้งในการครอบครองพื้นที่โดยรอบตัวปราสาทพระวิหาร หรือเปรี๊ยะ วิเฮียร์ ในภาษาเขมร ได้นำมาซึ่งศาลโลกได้รับคำร้องจากรัฐบาลกัมพูชาที่ยื่นขอให้ศาลโลก "ตีความ"

คำพิพากษาคดีปราสาทพระวิหารปี 2505 ใน 2 ประเด็นด้วยกัน คือ 1.อธิปไตยแห่งดินแดนเหนือปราสาทพระวิหารเป็นของกัมพูชา 2.ให้ไทยถอนทหารออกจากบริเวณปราสาทพระวิหาร ต่อมาในปี 2505 กัมพูชาได้ยื่นเรื่องขอให้ศาลโลกวินิจฉัยเพิ่มเติมอีก 3 ประเด็นคือ 1) ขอให้ตัดสินชี้ขาดเขตแดนไทย-กัมพูชา 2) แผนที่ 1 ต่อ 200,000 ระวางดงรัก ที่ฝ่ายกัมพูชาผนวกตามคำฟ้องให้มีผลกับไทย และ 3) ให้ไทยคืนโบราณวัตถุทั้งหมดจากปราสาทพระวิหารคืนกัมพูชา (ข้อสังเกต 2 ประเด็นแรก ศาลโลกไม่ได้มีคำพิพากษาออกมา)

ศาลโลกได้ตัดสินในวันที่ 15 มิถุนายน 2505 โดยคะแนน 9 ต่อ 3 เสียง ให้ปราสาทพระวิหารอยู่ภายใต้อธิปไตยของกัมพูชา รวมไปถึงตัดสินให้ทางการไทยนำทหารออกจากพื้นที่ และคะแนนตัดสิน 7 ต่อ 5 เสียง ชี้ว่าไทยจะต้องคืนวัตถุโบราณทุกชิ้น ซึ่งทางการไทยภายใต้รัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ได้ปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลโลกเรียบร้อยแล้ว

ต่อมาในวันที่ 24 เมษายน 2554 ทางกัมพูชาได้ยื่นเรื่องให้ศาลโลกตีความใหม่ใน 2 เรื่อง คือ การขอตีความในเรื่องพื้นใกล้เคียงประสาทพระวิหาร หรือ Vicinity ซึ่งทางกัมพูชาอ้างว่า ควรเป็นไปตามแผนที่สัดส่วน 1 : 200,000 ตร.กม ตามที่ได้แนบคำฟ้องในปี 2502 โดยรวมพื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตร.กม.เข้าไปด้วย กับขอให้ศาลออกคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวพื้นที่บริเวณปราสาทเขาพระวิหาร ซึ่งสำหรับข้อเรียกร้องประการหลังนั้นศาลโลกได้นั่งบัลลังก์ตัดสินไปเมื่อเดือนพฤษภาคม 2554

โดยให้ทั้งฝ่ายไทยและกัมพูชาถอนกำลังทหารทั้งหมดออกจากพื้นที่บริเวณปราสาทพระวิหาร ครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 17.6 ตารางกิโลเมตร

การถอนกำลังทหารออกจากพื้นที่ ไทยและกัมพูชาได้มอบให้คณะกรรมการร่วมชายแดนทั่วไป ซึ่งประกอบด้วย รมต.กลาโหม และคณะทำงานร่วมที่ประกอบด้วยฝ่ายทหารชั้นสูงของทั้งสองฝ่าย หารือกันในเรื่องเขตแดนให้เป็นไปตามคำตัดสินของศาลโลก นำมาสู่การปรับกำลังทหารเมื่อปี 2555 โดยทางกัมพูชาตัดสินใจถอนทหารออกจากพื้นที่ และนำกำลังตำรวจเข้าประจำการแทน ซึ่งไทยก็ปฏิบัตินั้นเช่นกัน

สำหรับแนวทางการต่อสู้คดีครั้งนี้ รัฐบาลไทยโดยกระทรวงการต่างประเทศได้เตรียมการต่อสู้กับทางกัมพูชา เป็นเอกสารสำหรับศาลโลกพิจารณาจำนวน 1,300 หน้า โดยนายวีรชัย

พลาศรัย เอกอัครราชทูตไทย ประจำกรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ และหัวหน้าคณะต่อสู้คดี ได้อธิบายถึงแนวทางการสู้คดีของไทย 3 ประเด็นดังนี้

1) ศาลโลกไม่มีอำนาจ เพราะแม้อำนาจการตีความของศาลนั้นไม่มีอายุความ แต่ต้องจำกัดอยู่ภายในกรอบคำพิพากษาเดิม ตามคำพิพากษาปี 2505 ระบุให้ไทยต้องถอนทหารออกจากบริเวณใกล้เคียงตัวปราสาท (Vicinity) ซึ่งกัมพูชาต้องการให้ศาลตีความคำนี้ตามเขตแดนที่กัมพูชาถ่ายทอดจากแผนที่ 1 : 200,000

แต่ฝ่ายไทยแย้งว่า นี่ไม่ใช่คำขอตีความ แต่เป็นการฟ้องร้องคดีใหม่ เพราะเป็นประเด็นเกี่ยวกับเขตแดน ซึ่งไม่ได้ปรากฏในคำพิพากษาตามคดีเก่า (ปี 2505) ฉะนั้นเมื่อออกนอกกรอบคำพิพากษาเดิม ศาลจึงไม่มีอำนาจตัดสิน

2) ไทยกับกัมพูชาไม่ได้เห็นต่างกันในเรื่องเขตแดน เพราะไทยได้ปฏิบัติตามคำพิพากษาเดิมของศาลในปี 2505 เป็นที่เรียบร้อย คณะรัฐมนตรีไทยมีมติให้กั้นแนวรั้วลวดหนาม กำหนดเขตรอบตัวปราสาท และถอนกำลังทหารออกมาหมดแล้ว

ซึ่งหลายทศวรรษที่ผ่านมา ทางกัมพูชาก็ไม่ได้แสดงท่าทีคัดค้านหรือไม่เห็นด้วยกับแนวทางปฏิบัติของไทย

และ 3) คำร้องของกัมพูชาเป็นการอุทธรณ์คำพิพากษาเดิม ซึ่งจะกระทำมิได้ เพราะในครั้งนี้กัมพูชาร้องขอในสิ่งที่ศาลโลกปี 2505 เคยปฏิเสธมาแล้ว นั่นคือ การกำหนดเส้นเขตแดน และระบุสถานะทางกฎหมายของแผนที่ 1 : 200,000 การยื่นตีความรอบปัจจุบันจึงเท่ากับเป็นการขออุทธรณ์คำพิพากษาในอดีตนั่นเอง

กระทรวงการต่างประเทศไทยได้ว่าจ้างคณะทนายเพื่อต่อสู้คดีซึ่งนำโดย James Crawford ศาสตราจารย์ด้านกฎหมายระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์, Donald McRae ปัจจุบันเป็นสมาชิกคณะกรรมาธิการกฎหมายระหว่างประเทศแห่งสหประชาชาติ, Alain Pellet ศาสตราจารย์ชาวฝรั่งเศสด้านกฎหมายระหว่างประเทศ และนายวีรชัย พลาศรัย เอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงเฮก ที่เป็นหัวหน้าคณะต่อสู้คดี

ด้านนายศรีศักร วัลลิโภดม นักวิชาการด้านประวัติศาสตร์ ให้ความคิดเห็นต่อกรณีข้อพิพาทครั้งนี้ว่า ทั้งหมดนี้คือผลพวงจากยุคอาณานิคมในเรื่องเขตแดน ที่ก่อให้เกิดปัญหาต่อการใช้ชีวิตของคนที่มีวัฒนธรรมร่วมกันจากทั้งประเทศไทยและกัมพูชา

"ความเป็นอยู่ของชาวภูมิซรอลที่อยู่ใกล้เคียงกับพื้นที่พิพาทเป็นเรื่องที่น่ากังวล เนื่องจากพื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่สำคัญต่อการหาของป่าเพื่อดำรงชีพของคนในพื้นที่ หากพื้นที่พิพาทเป็นของกัมพูชา ดังนั้นรัฐควรกำหนดเขตแดนทางวัฒนธรรมขึ้นใหม่ และไม่ควรหาประโยชน์จากพื้นทับซ้อน" นายศรีศักรกล่าว

อย่างไรก็ตาม การกล่าวถ้อยแถลงด้วยวาจาเพิ่มเติม ถือเป็นถ้อยแถลงครั้งสุดท้ายที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อคำพิพากษาในช่วงปลายปีนี้ สามารถรับฟังการถ่ายทอดสดถ้อยแถลงด้วยวาจาของทั้ง 2 ฝ่ายได้จากเว็บไซต์ http://www.icj-cij.org/homepage ซึ่งจะเป็นให้เสียงที่ใช้จริงที่เป็นภาษาฝรั่งเศสและภาษาอังกฤษ

นอกจากนี้ศาลโลกยังจะมีการเผยแพร่คำแถลงของทั้ง 2 ฝ่ายผ่านทางเว็บไซต์ของสหประชาชาติที่ http://webtv.un.org ส่วนทางกระทรวงต่างประเทศได้จัดช่องทางรับชม โดยสามารถเลือกรับฟังเสียงจริงที่เป็นภาษาฝรั่งเศสหรือภาษาอังกฤษ และเสียง

ที่แปลแล้วเป็นภาษาไทยได้ที่ http://www.phraviharn.org และยังสามารถรับฟังได้ที่สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย FM 92.5 และ AM 891 รวมไปถึงสถานีวิทยุสราญรมย์ที่คลื่น AM1575 ด้วย

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
////////////////////////////////////////////////////////

วันศุกร์ที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2556

พี่มากพระโขนง-คู่กรรม กับกลวิธี การตีความใหม่ (reinterpret) !!?

โดย: พิเชฐ ยิ่งเกียรติคุณ
The Reading Room

(บทความนี้มีการเปิดเผยเนื้อหาบางส่วนของภาพยนตร์์)

ภาพยนตร์ไทยสองเรื่องที่เข้าฉายในห้วง 2 -3 สัปดาห์ แต่สร้างผลตอบรับทำเสียงวิจารณ์และรายได้ ขณะที่พี่มากพระโขนง ของมาริโอ – ใหม่ โกยรายได้ทะลุหลัก 200 ล้านและยืนโรงฉายอย่างสบายๆ คู่กรรม ของ ณเดชน์ – ริชชี่ กลับเก็บรายได้ใน 3 วันแรกที่เข้าฉายเพียง 19 ล้าน และเสียงคำวิจารณ์จากผู้ชมที่ค่อนข้างผิดหวัง ทั้งๆที่สองเรื่องนี้ใช้วิธีในการเล่าเรื่องแบบเดียวกันคือ “การตีความใหม่” และ “ดัดแปลง”
ฮอลลีวู้ดการตีความใหม่ในโลกเซลลูลอยด์

การตีความใหม่ (reinterpret) เป็นหนึ่งในกลวิธีในโลกแห่งการละครและมายา เป็นการนำเนื้อหาที่มีอยู่แล้วดั้งเดิม เช่น บทละคร นิยาย ตำนานปรัมปรา ที่ทุกคนรับรู้ใน “เวอร์ชั่นเดียวกัน” นำมาอ่านเพื่อตีความซ้ำอีกครั้งหนึ่งโดยได้มีการดัดแปลง แต่งเติม หรือใช้เพียงบางส่วนของเรื่องดั้งเดิมไปต่อยอดเพื่อให้เกิดเนื้อหาและความรับรู้แบบใหม่ หรืออาจจะสอดแทรก ค่านิยม และอุดมการณ์บางอย่างของผู้กำกับเข้าไปในนั้นด้วย



ในปี 2012 ที่ผ่านมาภาพยนตร์ฮอลลีวู้ด สนุกสนานกับการยำนิทานของ พี่น้องตระกูลกริมมส์ (Brothers Grimm) นักเขียนนิยายระดับตำนาน เป็นอย่างมาก (แซวกันว่าเพราะนิทานของกริมม์นั้นไม่ถูกคุ้มครองด้านลิขสิทธิ์ สามารถหยิบมาทำได้เลย) ทั้งสโนว์ไวท์ที่มีให้ชมถึงสองเวอร์ชั่นทั้ง Mirror Mirror ที่ได้จูเลีย โรเบิร์ตส มารับบทแม่มดใจร้ายที่ทำมาในรูปแบบสีสันสดใสเบาสมอง หรือ Snow White and the Huntsman ที่ได้ คริสเตน สจ๊วตต์ มารับบทสโนว์ไวท์ ในเวอร์ชั่นดาร์คและให้บรรยากาศแบบหนังอัศวินในยุคกลาง

หรือนิยายคู่พี่น้องจากบ้านขนมปัง Hansel and Gretel สองพี่น้องที่หักขนมปังเพื่อจะได้จดจำทางกลับบ้านหลังจากถูกหลอกไปปล่อยในป่า ให้กลายเป็นหนังแอ็คชั่นสุดเร้าใจอย่าง Hansel & Gretel: Witch Hunters เมื่อสองพี่น้องหันมากลายเป็นคู่หูปราบแม่มด เรียกได้ว่าหยิบเพียงชื่อตัวละครและต้นเรื่องของตัวละครเท่านั้น ส่วนที่เหลือเป็นการดัดแปลงต่อยอดขึ้นมาใหม่หมด แต่โดยส่วนตัวผมชื่นชอบ Romeo and Juliet เวอร์ชั่นแก๊งสเตอร์ ที่ได้ ลีโอนาร์โด ดิ คาปริโอ และแคลร์ เดนส์ ในวัยหน้าใส ซึ่งหนังเคารพแก่นหลักของเรื่องไว้อย่างครบถ้วยเพียงแต่เปลี่ยนให้เข้ายุคเข้าสมัยกับปี 1997 ที่หนังเรื่องนี้ออกฉาย
การตีความใหม่ในวงการมายาไทยไม่ใช่เรื่องใหม่

หากจะว่ากลวิธีดังกล่าวนั้นใหม่ในประเทศไทยก็ไม่ใช่เสียทีเดียว มีการนำมาใช้และประสบความสำเร็จอย่างแพร่หลาย เช่น “นางนาก” ที่นำแสดงโดย วินัย ไกรบุตร และ อินทิรา เจริญปุระ กำกับโดย นนทรีย์ นิมิบุตร ซึ่งทำรายได้ไปมากกว่า 150 ล้านบาท หนังเลือกสะท้อนมิติความเป็นคนของแม่นาก และการเน้นเรื่องของความรักที่เป็นไปไม่ได้ของผีและคนมากกว่าเน้นฉากสยองขวัญน่ากลัวเหมือนเวอร์ชั่นอื่นๆ ที่เคยสร้างมาก่อนหน้านั้น



หรือละครเวทีของซีนาริโอ บอย – ถกลเกียรติก็มักจะใช้กลวิธีดังกล่าว เช่น การสร้างละครเวทีฟอร์มใหญ่อย่าง “บัลลังก์เมฆ” สองครั้งแต่เลือกให้บทเด่นของลูกปานรุ้งคนละคนกัน โดยครั้งแรกให้น้ำหนักกับ “ปรก” ลูกชายที่แม่ไม่รักซึ่งแสดงโดย อรรถพร ทีมากร ทำให้เพลง “คนไม่สำคัญ” ฮิตไปทั่วประเทศ และเวอร์ชั่นปี 2550 ที่เน้นไปที่ “ปกรณ์”ลูกชายคนที่ปานรุ้งรักที่สุด รับบทโดย บี้ เดอะสตาร์ เป็นต้น และเรื่องสี่แผ่นดินที่แฝงแนวคิดและอุดมการณ์ทางการเมืองนั้น ของผู้กำกับได้อย่างแยบคาย

แต่ผมกลับชอบ “ทวิภพ” เวอร์ชั่นที่ ฟลอเรนซ์ เฟเวอร์ ได้แสดงเป็นแม่มณีที่กล้าดัดแปลงบทประพันธ์ดั้งเดิมชนิดที่ “ทมยันตี” ผู้ประพันธ์ดั้งเดิมถึงกลับแสดงความไม่พอใจจนบอกว่าไม่เคารพบทประพันธ์ดั้งเดิม โดยในฉบับนี้ลดความเป็นชาตินิยมแบบไร้เหตุผลออกไปมาก ใส่ปูมหลังด้านประวัติศาสตร์ลงไปอย่างน่าสนใจ และกล้านำเสนอภาพของกษัตริย์ไทยรัชกาลที่ 5 บนจอภาพยนตร์ครั้งแรก แต่น่าเสียดาย ไม่ประสบความสำเร็จในแง่รายได้ แต่ถือว่าเป็นเรื่องที่ท้าทายคนดูว่า ถ้าหากต้องการดูหนังเดิมๆ เนื้อเรื่องเดิมๆ สร้างซ้ำๆ เพียงแต่เปลี่ยนผู้แสดงจะดูไปทำไม?
ข้อแตกต่างระหว่าง พี่มากฯ – คู่กรรม อะไรคือปัจจัยรุ่งและร่วง

พี่มากพระโขนงนั้น เป็นการต่อยอดจากเรื่องเล่าแบบมุขปาฐะ ที่มีการเล่าแบบปากต่อปากมามีความผิดเพี้ยนมาหลายๆ ทอดแต่ยังคงมีเนื้อเรื่องหรือสารที่คนรับรู้ร่วมกัน และมีช็อตที่เป็น “ลายเซ็นต์” (signature) เมื่อพูดถึงแม่นาคทุกคนจะจำภาพต่างๆได้ เช่น มือยาวเก็บมะนาว ฉากรำพึงรำพันระหว่างพ่อมากกับแม่นาก หรือฉากหมอผีและพระสู้กับผีแม่นาค



การเปิดตัวในครั้งนี้อยู่ภายใต้โจทย์ “ถ้าลองเล่าในมุมของพี่มากที่มีเพื่อนสนิทสี่คนจากการออกไปสงครามจะเป็นอย่างไร?” หน้าหนังของเรื่องนี้ถูกโปรโมทในมุมของหนังตลกเพื่อหยอกล้อกับเรื่องเล่าดั้งเดิม มาริโอ้ทาฟันดำ แก๊งค์เพื่อนสี่คนที่ขนมุกระดมมายิงกัน และการให้แม่นาคกับไปเป็นผีผมยาวอีกครั้ง เมื่อภาพถูกสื่อสารออกมาแบบนี้ผู้ชมก็สามารถคาดหวังได้ว่านี่เป็นหนังตลก และเมื่อเข้าไปชมสามารถสร้างความพึงพอใจจึงมีการบอกต่อถึงความสนุกของ พี่มากพระโขนง รวมไปถึงฉากลายเซ็นต์ที่กล่าวถึงข้างต้นก็มากันอย่างครบถ้วน รวมไปถึงการทิ้งท้ายว่า “แล้วถ้าผีกับคนสามารถใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันได้ล่ะ จะเป็นอย่างไร?”

แต่คู่กรรม ฉบับณเดชน์นั้นกลับเลือกเสนอภาพลักษณ์ที่ดูจริงจัง โรแมนติกผ่าน trailer ที่ปล่อยออกมาทำให้คนดูคาดหวังว่าจะซาบซึ้งตราตรึงกับรักอมตะของความรักของทหารหนุ่มญี่ปุ่นและสาวไทยอังศุมาลินที่ต้องเลือกระหว่างความรักและชาติ แต่ เรียว – กิตติกร ผู้กำกับใช้ความกล้าอย่างมากที่สุดในการดัดแปลงภาพยนตร์ดังกล่าวให้เป็นภาพของหนังรักวัยรุ่น โดยตีความเปรียบเทียบอายุของตัวละครเอกที่อยู่ในช่วงต้นสงครามว่า น่าจะเป็นคนในช่วงวัยรุ่น

การใช้สรรพนาม “เรา กับ นาย” ทำให้คนดูหลายๆ คนเกิดอาการอึ้ง การใส่รายละเอียดแบบหนังรักของค่าย M39 ผู้ผลิตหนังอย่าง สุดเขตเสลดเป็ด วาเลนไทน์สวีทตี้ และคุณนายโฮ ทำให้เกิดความ “ไม่คุ้นลิ้น” ของผู้ชม ทั้งการใส่ซาวด์น่ารักๆ ประกอบฉากหวานๆ ของคู่พระนาง ฉากเปิดที่ใช้ภาพการ์ตูนสีสันสดใสแทนที่จะใช้ภาพข่าวสงครามโลกแบบฉบับอื่นๆ เรียวยังกล้าไปกว่านั้นโดยการเลือกที่จะไม่ใส่ “ลายเซนต์” ที่คนคุ้นเคย เช่น การลงโทษกรอกน้ำมันใส่ปากตาบัวกับตาผล อังศุมาลินตีขิม (เพียงแต่ให้มีขิมอยู่ในห้องนางเอก) การลดบทบาทของคุณย่าอังศุมาลินที่เป็นหมายสื่อรักระหว่างสองคน ไม่มีทางช้างเผือกไม่มีหิ่งห้อย




ผลลัพธ์ที่ออกมาก็คือหนังรักแบบ “ยัยใจน้อย กับ นายคิ้วเข้ม” ซึ่งคนดูหลายๆ คนทำใจรับได้ยาก เนื่องจาก “คู่กรรม” ของทมยันตีนั้น เป็นนิยายอมตะซึ่งมีหนังสือวางขาย และมีการนำมาสร้างบ่อยครั้ง ทำให้คนดูค่อนข้างติดภาพจำมากกว่า แต่ความผิดพลาดที่สุดคงหนีไม่พ้น การตัด trailer “หน้าหนัง” ออกมาให้รู้สึกว่าคู่กรรมฉบับนี้จะเดินตามขนบของคู่กรรมเวอร์ชั่นที่ผ่านๆ มา แทนที่จะสื่อสารว่าภาพจะออกมาเป็นหนังรักวัยรุ่น ทำให้อาจพูดสรุปได้ว่ารสนิยมของผู้ชมไทยนั้นยังคงต้องการความ “แปลก”แต่ “ไม่ใหม่” อาหารคุ้นเคยที่ปรุงแต่งไม่คุ้นลิ้น อาจทำให้เกิดผลเช่นเดียวกับคู่กรรมและทวิภพ ฉบับตีความใหม่ได้เจอมา

ที่มา.Siam Intelligence Unit
///////////////////////////////////////////////////////

วันพฤหัสบดีที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2556

ความโหดร้ายที่เกิดขึ้นหลังเจรจา !!?


โดย.สุทิน วรรณบวร

การเจรจาสันติภาพที่ประสบความสำเร็จในอดีต เขาทำกันลับๆ มาเป็นเวลานาน สร้างความเชื่อถือและศรัทธาซึ่งกันและกันก่อน เมื่อประสบความสำเร็จที่แท้จริงแล้ว จึงเปิดเผยให้สาธารณชนทราบ"

ข่าวต่างประเทศหลายสำนักเสนอข่าวในพื้นที่สามจังหวัดภาคใต้ว่า ความรุนแรงและโหดร้ายเพิ่มขึ้นอย่างน่าสังเกต หลังจากที่รัฐบาลไทย เริ่มพูดคุยหาทางเจรจาสันติภาพกับกลุ่มขบถมุสลิม เหมือนกับเป็นสัญญาณเตือนและข่มขู่ว่า กลุ่มผู้ก่อความไม่สงบหลายกลุ่มไม่รับรู้ และไม่เห็นด้วยกับการเจรจาที่เน้นการสร้างภาพ มุ่งหวังแต่การประชาสัมพันธ์

การสูญเสียเจ้าหน้าที่ระดับสูงและการฆ่าตัดหัวซึ่งเงียบหายไปนาน กลับปรากฏขึ้นมาให้เห็นอีกดังที่ข่าวรายงานว่า ในตอนเช้าเจ้าหน้าที่พบศพไร้ศีรษะของลูกจ้างกรีดยางในอำเภอธารโต จังหวัดยะลา ในตอนบ่ายรองผู้ว่าราชการจังหวัดยะลา กับป้องกันภัยจังหวัด ถูกระเบิดบนถนนเสียชีวิต ขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อครอบครัวของนายอิศรา ทองธวัช รองผู้ว่าราชการจังหวัดยะลา และครอบครัวของนายเชาวลิต ไชยฤกษ์ ป้องกันจังหวัดยะลา ที่ต้องสูญเสียผู้เป็นที่รักเพราะความขัดแย้งที่เลวร้ายขึ้นทุกวันในพื้นที่สามจังหวัดภาคใต้ ซึ่งนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี พูดในวันที่ลงไปเคารพศพวีรชนผู้เสียสละเพื่อชาติทั้งสองท่านว่า “ไม่อยากให้มองว่าเหตุร้ายเกิดขึ้นเกี่ยวข้องกับการเจรจา เพราะการพูดคุยเพิ่งเริ่มขึ้นและต้องดำเนินต่อไป”

แต่ผู้ที่ทำงานในพื้นที่มาตลอดเวลาแปดปีของความรุนแรงและเข้าถึงพื้นที่ทุกระดับวิเคราะห์ว่า ความรุนแรงที่โหดร้ายมากขึ้น เป็นผลมาจากเริ่มต้นเจรจาที่ผิดฝาผิดตัว และการแก้ปัญหาความรุนแรงที่มุ่งแต่การสร้างภาพประชาสัมพันธ์ตัวเอง เขาชี้ให้เห็นว่ากลุ่มผู้ก่อความไม่สงบมุ่งเน้นเป้าหมายที่ทำให้เป็นข่าวดังมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการจับตัวนาวิกโยธิน ไปสังหาร การเสียชีวิตของนายตำรวจระดับผู้กำกับ และการฆ่าตัดคอในวันเดียวกัน กับวันที่วางระเบิดขบวนรถรองผู้ว่าราชการจังหวัดยะลา หนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ รายงานว่า ตั้งแต่เหตุการณ์ร้ายเกิดขึ้นในสามจังหวัดภาคใต้ เมื่อต้นปี 2547 มีผู้เคราะห์ร้ายถูกสังหารโหดด้วยการฆ่าตัดคอมาแล้ว 53 ราย และส่วนใหญ่ผู้ที่ถูกฆ่าตัดคอจะเป็นมุสลิมที่ให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่รัฐ

“รองผู้ว่าฯอิศราตกเป็นผู้รับเคราะห์แทนพล.ต.อ.ทวี สอดส่อง ผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการบริหารงานสามจังหวัดภาคใต้ (ศอ.บต.) เพราะเป้าหมายวันนั้นน่าจะอยู่ที่ผู้อำนวยการ ศอ.บต.แต่บังเอิญ ทวีไม่ว่างมอบหมายให้ผู้ว่าฯไปแทนแต่ผู้ว่าฯมอบหมายให้รองฯไปแทน เคราะห์กรรมเลยตกอยู่ท่านซึ่งเป็นคนดีที่ชาวบ้านรักมาก” แหล่งข่าวผู้คลุกคลีอยู่ในพื้นที่ และเข้าถึงทุกระดับกล่าว

“เท่าที่ทราบมา พวกเขา(ผู้ก่อความไม่สงบ)หมายหัวคนที่ไปเสนอหน้าเจรจาไว้แล้วทุกคน ถ้าการเจรจาวันที่ 29 เมษายน 2556 ไม่ยกเลิกหรือเลื่อนออกไป เหตุการณ์จะรุนแรงกว่านี้” ผู้ทำงานในพื้นที่กล่าวและตำหนิว่า การเจรจาที่หวังผลในการสร้างภาพและประชาสัมพันธ์ รังแต่จะสร้างความเสียหายให้เกิดขึ้นกับประเทศ รัฐบาลเพื่อไทยกับรัฐบาลไทยรักไทยมักแก้ปัญหาด้วยการสร้างภาพเหมือนกัน ในปี 2547 รัฐบาลไทยรักไทยแก้ปัญหาด้วยการสร้างภาพพับนกกระดาษล้านตัวไปโปรยในพื้นภาคใต้ ทำประชาสัมพันธ์ครึกโครม แต่ปัญหาก่อการร้ายกลับรุนแรงขึ้นตามลำดับ มาวันนี้รัฐบาลเพื่อไทยสร้างภาพด้วยการเปิดตัวผู้แทนกลุ่มขบถมานั่งโต๊ะลงนามกับตัวแทนรัฐบาล เรียกความสนใจจากสำนักข่าวทั่วโลก

ประสบการณ์การทำข่าว การพูดคุยเพื่อนำมาซึ่งการเจรจาข้อตกลงสันติภาพที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นการเจรจากับตัวแทนพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย การพูดคุยกับนายจีนเป็ง ผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์มาลายา เพื่อนำมาสู่การเจรจาสันติภาพของเขมรสามฝ่าย ซึ่งประสบความสำเร็จในอดีต เขาทำกันลับๆ มาเป็นเวลานาน สร้างความเชื่อถือและศรัทธาซึ่งกันและกันก่อน เมื่อประสบความสำเร็จแท้จริงแล้ว จึงจะเปิดเผยให้สาธารณชนทราบ ข่าวประชาสัมพันธ์ออกมาในวันที่ลงนามสันติภาพกันเท่านั้น ไม่มีที่ไหนเขานำคู่เจรจามาเปิดตัวทางทีวี.ตั้งแต่วันแรกที่พูดคุย ถ้ายังไม่รู้ว่า เขาทำงานลับกันอย่างไรถึงสำเร็จ ให้ลองถามวิธีการกับพล.อ.บัญชร ชวาลศิลป์ หรือไม่ก็พล.อ.กิตติ รัตนฉายา สองนายพลนี้ ประสบความสำเร็จในการเจรจาสันติ กับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยและพรรคคอมมิวนิสต์มาลายามาแล้ว

เป็นที่น่าสังเกตอีกอย่างหนึ่งว่า รัฐบาลไทยมุ่งมั่นที่จะดำเนินการเจรจากับผู้ที่อ้างว่าเป็นตัวแทนของกลุ่มบีอาร์เอ็นฯ ต่อไป ท่ามกลางข้อกังขาและคำเตือนของคนที่เคยมีบทบาทสำคัญอย่างนายมหาธีร์ โมฮัมหมัด อดีตนายกรัฐมนตรีผู้ครองอำนาจในมาเลเซียนานถึง 22 ปี กลุ่ม International Crisis Group ที่บอกว่า ผู้ก่อความไม่สงบมีหลายกลุ่มหลายก๊ก ไม่ว่าจะเป็น พูโล เบอร์ซาตูบีอาร์เอ็นฯ เกอรา-ข่า มูจาฮีดีน อาร์เคเค วาฮาบี ฯลฯ จึงยากมากที่จะทำให้พวกเขาเห็นพ้องกันได้ในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง นอกจากนั้นการไปตกลงเจรจากับคนใดคนหนึ่ง หรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง รังแต่จะนำมาซึ่งความรุนแรงที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าการริเริ่มเจรจาทำด้วยคนที่เคยมีข้อครหา ว่ามีส่วนสำคัญในการทำให้ความรุนแรงเกิดขึ้นเมื่อแปดปีก่อน

นอกจากนั้นกลุ่มวาดะห์ ซึ่งมีส่วนสำคัญในการผลักดันให้มีการพูดคุย ล้วนเคยมีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับผู้ต้องหาคนสำคัญที่ฝ่ายความมั่นคงของไทยเชื่อว่าเป็นแกนนำขบวนการบีอาร์เอ็นฯ ไม่ว่าจะเป็น นายมะแซ อุเซ็งนายสะแปอิง บาซอ และ ผู้ที่เป็นตัวกลางในการเจรจาฝ่ายมาเลเซีย นายซามซามิน ฮาซิม ก็คืออดีตเจ้าหน้าที่ของมูลนิธิวาดะห์ แห่งมาเลเซีย

ซึ่งผู้สังเกตการณ์ทางการเมืองชี้ให้เห็นว่า การยิงเอ็ม 79 ถล่มบ้านนายนัจมุดดีน อุมา แกนนำคนสำคัญคนหนึ่งของกลุ่มวาดะห์ และเป็นที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรีเฉลิม อยู่บำรุง เป็นสัญญาณเตือนอย่างหนึ่งต่อผู้ที่เกี่ยวข้องกับการเจรจาทั้งหมดว่าผู้ก่อความไม่สงบ มุ่งเน้นไปที่คนสำคัญเพื่อให้เป็นข่าวดัง “สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับคุณนัจมุดดีน นั้นเป็นการเตือนจากทั้งฝ่ายผู้ก่อความไม่สงบ และจากการเมืองภายในซึ่งลูกน้องเก่าของเขาเตือนว่าอย่ากดดันกันให้มากนัก” แหล่งข่าวกล่าว

สิ่งที่น่าจับตามองอีกอย่างหนึ่งคือ มหาอำนาจผู้มีจมูกไวกว่ามด ในเรื่องข่าวผู้ก่อการร้าย และข่าวขบถอย่างอเมริกา แสดงออกว่า ไม่ยินดียินร้ายกับการพูดคุยสันติภาพระหว่างตัวแทนของรัฐบาลไทยในมาเลเซีย แต่กลับไปทุ่มความสนใจให้กับการทำงานเพื่อสันติภาพอย่างเงียบๆ ของเอ็นจีโอคนหนึ่งในภาคใต้ วันที่ 28 มีนาคม 2556 ขณะที่ ตัวแทนรัฐบาลไทยกำลังพูดคุยกับผู้ที่อ้างว่าเป็นตัวแทนบีอาร์เอ็นฯ เลขานุการโทฝ่ายการเมืองของสถานทูตอเมริกาลงไปพบกับผู้อำนวยการ มูลนิธิ Envoy for Peace ที่จังหวัดนราธิวาส วันนั้นเลขาฯโทสถานทูตอเมริกา ได้พบกับคนสำคัญในพื้นที่บางคนที่รู้จริง และมีส่วนการสร้างความเข้าใจกับผู้คนในพื้นที่ ทำให้มีแนวร่วมหันมาทำงานร่วมกับมูลนิธิเป็นจำนวนมาก หลังจากพบปะกับผู้คนและได้ดูวีดีโอที่จัดทำขึ้นโดยมูลนิธิฯ เลขานุการโทของสถานทูตอเมริกาพูดสั้นๆว่า “ฉันศรัทธาและเห็นด้วยแนวทางของมูลนิธิ คิดว่าอีกสองสามเดือนผลงานของมูลนิธิจะเป็นที่ประจักษ์แก่ชาวโลกว่าสามารถนำสันติภาพมาสู่ภาคใต้ได้อย่างแท้จริง”

นายสุริยะ ตะวันฉาย ผู้อำนวยการมูลนิธิ Envoy For Peace หรือทูตสันติภาพลงไปทำงานคลุกคลีในพื้นที่ 3 จังหวัดภาคใต้มาหลายปี จนทำให้เขาเป็นที่ไว้เนื้อเชื่อใจจากชาวบ้าน และดึงคนในพื้นที่มาทำงานกับเขาได้เป็นจำนวนมาก ไม่ยอมออกความเห็นเรื่องการเจรจาสันติภาพในมาเลเซียพูดแต่เพียงว่า

“พรรคปาส (Parti Islam Se-Malaysia) ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้านในมาเลเซียมีความนิยมสูงในพื้นภาคเหนือของมาเลเซียซึ่งมีเขตติดต่อและมีความสัมพันธ์แนบแน่นกับพี่น้องมุสลิม 3 จังหวัดภาคใต้ ดังนั้นถ้าจะมีการเจรจา หรือ เป็นตัวกลางในการเจรจา นายฮัลวา ฮิบราฮิม หัวหน้าพรรคฝ่ายค้าน น่าจะเหมาะสมกว่า มหาธีร์หรือนายราจิบ นาซัค ตรรกะง่ายๆ คือ เอาคนที่ชาวบ้านไว้เนื้อเชื่อใจ มาเป็นตัวกลางในการพูดคุย จะเกิดผลกว่าเอาคนที่ชาวบ้านไม่ศรัทธามาเป็นตัวกลางในการเจรจา เพราะนอกจากไม่เกิดผลแล้ว ปัญหามันจะรุนแรงขึ้นอีก” นายสุริยะ กล่าว

และสรุปว่า การแก้ปัญหาที่มุ่งเน้นแต่เรื่องสร้างภาพสร้างความเสียหายให้กับทั้งสองประเทศ “ความรุนแรงโหดร้ายที่เกิดขึ้นในภาคใต้ขณะนี้สร้างความสั่นสะเทือนไปถึงการเมืองทั้งในกรุงเทพฯ และกัวลาลัมเปอร์ พรรคอัมโน ซึ่งเป็นพรรครัฐบาลมาเลเซียแทนที่จะได้คะแนน จากการเป็นเจ้ากี้เจ้าการจัดให้มีการเจรจา คะแนนเสียงกลับตกหนักลงไป เพราะความล้มเหลวที่เห็นอยู่ ส่วนรัฐบาลไทยแทนจะได้หน้า กลับต้องมาแก้ข่าวอยู่ทุกวันว่า ความรุนแรงไม่เกี่ยวข้องกับการเจรจา”

ที่มา.นสพ.แนวหน้า
////////////////////////////////////////////

วันพุธที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2556

เลื่อนคุยบีอาร์เอ็น 29 เม.ย. กับความเปราะบางของกระบวนการสันติภาพใต้ !!?


แม้ พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ จะยังยืนยันไม่ชัดนักว่านัดหมายพูดคุยอย่างเป็นทางการครั้งที่ 2 กับกลุ่มผู้เห็นต่างจากรัฐ นำโดย นายฮัสซัน ตอยิบ ที่อ้างตัวว่าเป็นแกนนำขบวนการบีอาร์เอ็น จะเลื่อนออกไปจากวันที่ 29 เม.ย.หรือไม่ แต่ความเป็นไปได้ของการพูดคุยในวันดังกล่าวน่าจะไม่เกิดขึ้นแน่นอนแล้ว
         
เหตุผลที่ พล.ท.ภราดร นำมาอธิบายถึงความไม่แน่นอนก็คือ มาเลเซียกำลังมีการเลือกตั้งใหญ่ ซึ่งเป็นการเลือกตั้งทั่วไปครั้งที่ 13 ของประเทศ
         
นายนาจิบ ราซัก นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ประกาศยุบสภาเมื่อวันที่ 3 เม.ย.ที่ผ่านมา และมีการคาดหมายกันว่าการเลือกตั้งใหม่น่าจะมีขึ้นในราวปลายเดือน เม.ย.หรือต้นเดือน พ.ค.

 มีรายงานว่าคณะกรรมการการเลือกตั้งของมาเลเซียน่าจะมีมติในวันที่ 10 มี.ค.เพื่อกำหนดวันเลือกตั้งทั่วไป ซึ่งนักวิเคราะห์พากันคาดการณ์ว่าน่าจะเป็นวันที่ 2 พ.ค.

 ในขณะที่ประเทศกำลังมีการเลือกตั้งใหญ่ และอนาคตของนายนาจิบบนเก้าอี้นายกรัฐมนตรีก็กำลังเผชิญกับความไม่แน่นอน ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะให้ความสำคัญกับปัญหาของประเทศอื่นอย่างไทยเพื่อช่วยคลี่คลายปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ แม้มาเลเซียจะรับเป็น "ผู้อำนวยความสะดวก" ในกระบวนการพูดคุยสันติภาพก็ตาม

 ว่าที่ ร.ต.เลิศเกียรติ วงศ์โพธิพันธ์ รองเลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) ให้ข้อมูลว่าได้ส่งหนังสือไปขอเลื่อนการพูดคุยสันติภาพออกไปก่อน เพราะไม่อยากให้กระบวนการนี้ถูกมองว่าจัดขึ้นเพื่อสนับสนุนฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดบริบทการเมืองมาเลเซีย

ขณะที่ พล.ท.ภราดร บอกว่าได้สัญญาณเลาๆ มาแล้วว่ามาเลเซียไม่พร้อมจัดพูดคุยสันติภาพตามที่กำหนดวันไว้เดิม ขณะนี้กำลังรอสัญญาณอย่างเป็นทางการ

นี่คือความเปราะบางอย่างยิ่งของกระบวนการสันติภาพชายแดนใต้ที่รัฐบาล นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นำไปผูกติดไว้กับมาเลเซีย ทั้งๆ ที่มาเลเซียคือผู้มีส่วนได้เสียอย่างสำคัญกับการดำรงอยู่หรือการคลี่คลายของปัญหา

 การที่วันนัดพูดคุยถูกเลื่อนออกไป ย่อมส่งต่อความเชื่อมั่นของกระบวนการสันติภาพระหว่างรัฐบาลไทยกับกลุ่มผู้เห็นต่างจากรัฐไม่มากก็น้อย โดยเฉพาะความเชื่อมั่นของประชาชนที่เฝ้ามองอยู่ และน่าจะมีคำถามในใจว่า ในเมื่อรู้ว่าเพื่อนบ้านใกล้เคียงของเรากำลังจะมีการเลือกตั้ง เหตุใดจึงต้องรีบ "เปิดตัว-เปิดหน้า" กระบวนการพูดคุยสันติภาพถึงขั้นลงนามในข้อตกลงกันอย่างเอิกเกริกครึกโครมเมื่อวันที่ 28 ก.พ. หรือเพียง  1 เดือนก่อนยุบสภา และ 2 เดือนเศษก่อนเลือกตั้ง

เพราะใครๆ ก็รู้ว่าการเลือกตั้งไม่ว่าจะที่ใดๆ ในโลก ล้วนไม่มีความแน่นอน ทำไมจึงไม่รอให้มาเลเซียเลือกตั้งเสร็จเรียบร้อยไปก่อน ได้นายกรัฐมนตรี ได้คณะรัฐมนตรีใหม่พร้อม แล้วค่อยเริ่มกระบวนการที่รู้ๆ กันอยู่ว่าต้องใช้เวลายาวนาน และความต่อเนื่องคือปัจจัยสำคัญของความสำเร็จ

ที่สำคัญการเลือกตั้งหนนี้มีการวิเคราะห์กันอย่างกว้างขวางว่า อาจจะเกิดการพลิกล็อคอย่างมโหฬารขึ้นก็ได้ เพราะฝ่ายพรรคอัมโนที่ครองเสียงข้างมากและเป็นรัฐบาลมาเนิ่นนาน อาจจะต้องลิ้มรสชาติของความพ่ายแพ้

สุทธิชัย หยุ่น นักหนังสือพิมพ์อาวุโส เขียนไว้ในคอลัมน์ "กาแฟดำ" ของเขาในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจว่า อาจจะเกิดสึนามิการเมืองที่มาเลเซีย

 "นับตั้งแต่มาเลเซียได้รับเอกราชจากอังกฤษ เมื่อปี ค.ศ.1957 หรือ 56 ปีก่อน ไม่มีการเลือกตั้งครั้งใดจะมีความไม่แน่นอนเท่าครั้งนี้ แปลว่ามีความเป็นไปได้ว่าพรรค UNMO ที่ครองอำนาจเกือบจะเบ็ดเสร็จมาตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สองนั้น อาจจะหลุดจากแกนอำนาจให้กับฝ่ายค้านที่ทำท่าว่าจะมีแรงสนับสนุนจากประชาชนมากขึ้น" (กาแฟดำ กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันจันทร์ที่ 8 เม.ย. http://bit.ly/ZM1olU)

หากมาเลเซียเกิดสึนามิการเมืองจริง กระบวนการสันติภาพที่ไทยให้น้ำหนักมาเลเซียอย่างมากย่อมเสี่ยงต่อภาวะ "ไร้อนาคต" เพราะที่ผ่านมาไทยพึ่งพามาเลเซียทั้งขั้นตอนอำนวยความสะดวกในการพูดคุย การประสานงานต่างๆ และกำหนดตัวผู้เข้าร่วมวงพูดคุยในฝั่งผู้เห็นต่างจากรัฐ (ที่อ้างตัวว่าเป็นขบวนการบีอาร์เอ็น) ด้วย

ทว่ามีหลักฐานชิ้นสำคัญ คือ คำสั่งแต่งตั้ง ดาโต๊ะ สรี อาหมัด ซัมซามีน ที่ทางการไทยระบุว่าเป็นอดีตผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองของมาเลเซีย เป็นผู้อำนวยความสะดวกในกระบวนการพูดคุยสันติภาพระหว่างผู้แทนรัฐบาลไทยกับกลุ่มนายฮัสซัน ซึ่งมาเลเซียเรียกชื่อเป็น "คณะทำงานร่วม" ว่า JOINT WORKING GROUP SOUTHERN THAI PEACE PROCESS; JWG-STPP ปรากฏว่าออกโดยคำสั่งนายกรัฐมนตรี นาจิบ ราซัก เท่านั้น หาได้เป็นมติคณะรัฐมนตรีไม่ (ดูคำสั่งได้ใน http://www.pmo.gov.my/?menu=news&news_id=11153&page=1731&news_cat=4)

 ฉะนั้นหากนายกฯคนใหม่ไม่ใช่นายนาจิบ กระบวนการพูดคุยสันติภาพที่ทำมาก็มีอันต้องสูญเปล่าใช่หรือไม่ (โดยที่มีประชาชนและเจ้าหน้าที่ต้องสังเวยชีวิตและได้รับบาดเจ็บไปจำนวนไม่น้อยระหว่างรอยต่อการพูดคุยสันติภาพตามที่คนในรัฐบาลชอบอ้าง) เหมือนกับการตั้งคณะกรรมการชุดต่างๆ ในบ้านเราโดยคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีในรัฐบาลชุดหนึ่ง เมื่อถึงคราวเปลี่ยนรัฐบาล คณะกรรมการเหล่านั้นมักสิ้นสภาพไปโดยปริยาย หากจะทำงานต่อก็ต้องรอสัญญาณจากรัฐบาลชุดใหม่หรือนายกรัฐมนตรีคนใหม่

          โอกาสที่รัฐบาลไทยต้องนับหนึ่งกระบวนการสันติภาพอีกครั้งจึงมีไม่น้อยทีเดียว!

ที่มา.สำนักข่าวอิศรา
//////////////////////////////////////////////////