--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันเสาร์ที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

แผนปฏิบัติการ ศอ.รส และประกาศฉบับที่ 1-4 !!?


รวมประกาศ ศอ.รส. ฉบับที่ 1-4 ลงนามโดย พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์รักษาความสงบเรียบร้อย (ผอ.ศอ.รส.)


ประกาศ ศอ.รส.ฉบับที่ 1/2555

เรื่องห้ามบุคคลเข้าหรือต้องออกจากบริเวณพื้นที่อาคาร หรือสถานที่ที่กำหนด ลงวันที่ 22 พ.ย.55
1. ห้ามบุคคล หรือกลุ่มบุคคลใด เข้าหรือต้องออกจากบริเวณพื้นที่ และอาคารทำเนียบ รัฐบาล และรัฐสภา เว้นแต่ผู้ซึ่งได้รับอนุญาต หรือได้รับคำสั่งจากพนักงานเจ้าหน้าที่
2. ห้ามบุคคล หรือกลุ่มบุคคลใด เข้าหรือต้องออกจากบริเวณพื้นที่ ดังต่อไปนี้ เว้นแต่ผู้ซึ่งได้รับอนุญาต หรือได้รับคำสั่งจากพนักงานเจ้าหน้าที่

ก.ถนนราชดำเนินนอก ตั้งแต่สะพานมัฆวาน ถึงแยกถนนศรีอยุธยา
ข.ถนนลูกหลวงตั้งแต่สะพานวิศุกรรมนฤมาณ ถึงสะพานเทวกรรม
ค.ถนนพิษณุโลก ตั้งแต่แยกวังแดง ถึงแยกพาณิชย์
ง.ถนนนครปฐม ตั้งแต่สะพานอรทัย ถึงแยกวัดเบญจมบพิตร
จ.ถนนพระราม 5 ตั้งแต่แยกพาณิชย์ ถึงถนนลูกหลวง
ฉ.ถนนลิขิต
ช.ถนนราชวิถี ตั้งแต่แยกการเรือนถึงแยกราชวิถี ซ.ถนนพิชัย ตั้งแต่แยกขัตติยานี ถึงถนนราชวิถี
ญ.ถนนอู่ทองใน  ตั้งแต่แยกอู่ทองใน ถึงลานพระราชวังดุสิต ด้านหลังพระบรมรูปทรงม้า

3.ให้ ผอ.รมน. ผอ.ศอ.รส. หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายซึ่งเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ชั้นสัญญาบัตรหรือเทียบเท่าเป็นผู้ดำเนินการตามประกาศนี้

ประกาศ ศอ.รส. ฉบับที่ 2/2555 

เรื่องห้ามการใช้เส้นทางคมนาคม หรือการใช้ยานพาหนะ ลงวันที่ 22 พ.ย.55
1. ห้ามการใช้เส้นทางคมนาคมดังนี้  เว้นแต่ได้รับการอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ เจ้าหน้าที่
ก.ถนนราชดำเนินนอก ตั้งแต่สะพานมัฆวาน ถึงแยกถนนศรีอยุธยา
ข.ถนนลูกหลวงตั้งแต่สะพานวิศุกรรมนฤมาณ ถึงสะพานเทวกรรม
ค.ถนนพิษณุโลก ตั้งแต่แยกวังแดง ถึงแยกพาณิชย์
ง.ถนนนครปฐม ตั้งแต่สะพานอรทัย ถึงแยกวัดเบญจมบพิตร
จ.ถนนพระราม 5 ตั้งแต่แยกพาณิชย์ ถึงถนนลูกหลวง
ฉ.ถนนลิขิต
ช.ถนนราชวิถี ตั้งแต่แยกการเรือนถึงแยกราชวิถี
ซ.ถนนพิชัย ตั้งแต่แยกขัตติยานี ถึงถนนราชวิถี
ญ.ถนนอู่ทองใน  ตั้งแต่แยกอู่ทองใน ถึงลานพระราชวังดุสิต ด้านหลังพระบรมรูปทรงม้า

2.ห้ามใช้ยานพาหนะใดๆ กระทำการอันอาจก่อให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อย แก่ประชาชน หรือกระทำการยั่วยุหรือปั่นป่วนการปฏิบัติงานของเจ้าพนักงาน หรือพนักงานเจ้าหน้าที่หรือความสงบสุขของประชาชนในพื้นที่ตามข้อ 1

3.ห้ามนำรถบรรทุกน้ำมันเชื้อเพลิง แก๊ส สารเคมี หรือวัตถุอัตรายใดๆ เข้าไปในพื้นที่ตามข้อ 1 เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่

4.ให้ผู้ประกอบกิจการสถานบริการน้ำมันเชื้อเพลิงหรือแก๊สในพื้นที่ตามข้อ 1  ควบคุมการเก็บรักษาน้ำมัน แก๊ส และรถบรรทุกสิ่งดังกล่าวให้อยู่ในสภาพที่เหมาะสม ปลอดภัย

5.ห้ามมิให้จอดยานพาหนะกีดขวางการจราจรในพื้นที่ตามข้อ 1

6.ให้ผอ.รมน. ผอ.ศอ.รส. หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายซึ่งเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ชั้นสัญญาบัตรหรือเทียบเท่าเป็นผู้ดำเนินการตามประกาศนี้

ประกาศ ศอ.รส.ฉบับที่ 3/2555
เรื่องห้ามนำอาวุธออกนอกเคหสถาน ลงวันที่ 22 พ.ย.55
1.ห้ามนำอาวุธออกนอกเคหสถาน
2.ห้ามบุคคลหรือกลุ่มบุคคลนำสิ่งใดที่อาจนำมาใช้ได้อย่างอาวุธ เช่นหนังสติ๊ก ลูกเหล็ก ท่อนเหล็ก ดอกไม้เพลิง หรือสิ่งอื่นใดทำนองเดียวกันที่อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย ของบุคคลใด รวมถึงเกิดความเสียหายต่อทรัพย์สินของประชาชน หรือทางราชการ ในพื้นที่ ที่ประกาศเป็นพื้นที่ปรากฎเหตุการณ์อันกระทบต่อความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (เขตดุสิต พระนคร และป้องปราบศัตรพ่าย)
3.ให้ ผอ.รมน. ผอ.ศอ.รส. หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายซึ่งเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ชั้นสัญญาบัตรหรือเทียบเท่าเป็นผู้ดำเนินการตามประกาศนี้ โดยให้ประกาศมีผลตั้งแต่ออกประกาศ (22 พ.ย.55)

ประกาศ ศอ.รส. ฉบับที่ 4/2555
เรื่องห้ามการใช้ยานพาหนะในเส้นทางคมนาคม ลงวันที่ 23 พ.ย.55

ตามที่ได้มีการประกาศให้เขตพื้นที่ดุสิต เขตพระนคร เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพมหานคร เป็นพื้นที่ปรากฎเหตุการณ์อันกระทบต่อความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ระหว่างวันที่ 22 พฤศจิกายน 2555 ถึงวันที่ 30 พฤศจิกายน 2555และมีข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 18 แห่ง พระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ.2551 ลงวันที่ 22 พฤศจิกายน 2555 ซึ่งได้มอบอำนาจให้ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ผู้อำนวยการหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายจากผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร หรือผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการกำหนดเงื่อนเวลาในการปฏิบัติตามข้อกำหนดหรือเงื่อนไขในการปฏิบัติของพนักงานเจ้าหน้าที่ตามที่เห็นสมควรนั้น

เพื่อประโยชน์ในการป้องกัน ปราบปราม ระงับ ยับยั้ง และแก้ไขหรือบรรเทาเหตุการณ์ในพื้นที่ตามวรรคหนึ่งให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย และเกิดประสิทธิภาพ สามารถป้องกันและควบคุมไม่ให้สถานการณ์ขยายลุกลาม จนเกิดความารุนแรงเกิดผลเสียหายต่อเศรษฐกิจ กระทบต่อความมั่นคงในราชอาณาจักร รวมทั้งการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐ  อาศัยอำนาจตามความในข้อ 4 และวรรคสามของข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 18 แห่งพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรพ.ศ. 2551 ผู้อำนวยนการศูฯย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อยจึงออกประกาศกำหนดดังนี้

1. ห้ามการใช้ยานพาหนะในเส้นทางคมนาคมดังต่อไปนี้ เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่
ก.ถนนศรีอยุธยาตั้งแต่สะพานวัดเบญจมบพิตร ถึงแยกกองพล 1
ข.ลานพระราชวังดุสิต

2. ห้ามมิให้จอดยานพาหนะทุกชนิดกีดขวางการจราจรในพื้นที่ตามข้อ 1
3. ให้ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อยหรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย ซึ่งเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ชั้นสัญญาบัตรหรือเทียบเท่าเป็นผู้ดำเนินการตามประกาศนี้
4. ประกาศกำหนดนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป


แผนปฏิบัติการ "ศอ.รส." รับมือการชุมนุมขององค์การพิทักษ์สยาม

พล.ต.อ.วรพงษ์ ชิวปรีชา รอง ผบ.ตร. ในฐานะรองผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย (ศอ.รส.) และเลขาธิการ ศอ.รอ. แถลงแนวทางการปฏิบัติของ ศอ.รส.ตาม พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร เมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยการชุมนุมขององค์การพิทักษ์สยาม ที่ลานพระบรมรูปทรงม้า ในวันที่ 24 พฤศจิกายน โดยเนื่องจากการชุมนุมในครั้งนี้ ใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ สำนักงานตำรวจแห่งชาติจึงไม่ใช้แผนกรกฎ 52 แต่ ศอ.รส.ได้ออกแผนปฏิบัติการที่ 1/2555 เป็นหลักในการปฏิบัติงาน แบ่งเป็น 4 ขั้นตอน ได้แก่

1.ขั้นเตรียมการจะเป็นขั้นที่ดำเนินการก่อนการชุมนุม โดยดำเนินการด้านการข่าว การเตรียมการด้านกำลังพล การจัดเตรียมสถานที่ควบคุมกรณีเหตุการณ์บานปลาย การเตรียมการด้านแผนต่างๆ ที่สำคัญ

2.ขั้นการเผชิญเหตุจะเป็นขั้นที่ดำเนินการขณะชุมนุม โดยยึดถือแนวทางตามมาตรา 63 ของรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 ที่ระบุให้ตำรวจท้องที่เข้ารักษาความสงบบริเวณที่ชุมนุมและใกล้เคียง ดำเนินการรักษาความปลอดภัยสถานที่และบุคคลสำคัญ ใช้ศูนย์ปฏิบัติการทุกระดับ ในการติดตาม ควบคุม และสั่งการ ชี้แจงทำความเข้าใจต่อแกนนำและกลุ่มผู้ชุมนุมให้ทราบถึงขอบเขตของการใช้สิทธิและเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ ดำรงการเจรจาต่อรอง เพื่อคลี่คลายสถานการณ์

3.ขั้นการใช้กำลังเข้าคลี่คลายสถานการณ์จะเริ่มปฏิบัติตั้งแต่ 22-30 พฤศจิกายน โดยแจ้งเตือนและเจรจากับผู้ชุมนุม เพื่อป้องกันการปลุกระดมและสร้างความวุ่นวาย พร้อมทั้งปฏิบัติการข่าวสารควบคู่กับการปฏิบัติงานในทุกขั้นตอน เมื่อการเจรจาต่อรองหรือการปฏิบัติการอื่นใดไม่เป็นผล สถานการณ์กลับทวีความรุนแรงให้ผู้บัญชาการเหตุการณ์พิจารณาสั่งใช้กำลังเข้าแก้ไขสถานการณ์และรายงานให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติผ่านศูนย์อำนวยการรักษาความสงบ (ศอ.รส.) ทราบทันที และการใช้กำลังให้ปฏิบัติตามกฎการใช้กำลังในการควบคุมฝูงชน

4.ขั้นการฟื้นฟู เป็นขั้นตอนที่ดำเนินการหลังการชุมนุม โดยจะดำเนินการสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานดำเนินคดีต่อผู้กระทำความผิด การฟื้นฟู เยียวยาการจัดทำรายงานภายหลังการปฏิบัติ และบทเรียนจากการปฏิบัติงาน และชี้แจงข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นต่อสาธารณชน

สำหรับกฎการใช้กำลังตำรวจต้องพึงระลึกและยึดถือรัฐธรรมนูญว่า การชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธเป็นเสรีภาพของประชาชนที่ได้รับการรับรองตามกฎหมายโดยมีแนวทางการปฏิบัติ ดังนี้ 1.ต้องพิจารณาถึงความชอบธรรมในการใช้กำลังตามที่กฎหมายกำหนด 2.ยึดหลักในการคุ้มครองเสรีภาพและหลักในการรักษาความสงบเรียบร้อย 3.การใช้กำลังตามกฎนี้ให้หมายความรวมถึงการใช้อุปกรณ์หรืออาวุธประกอบการใช้กำลังด้วย และ 4.การจัดการเมื่อมีการชุมนุมที่ผิดกฎหมาย ตำรวจจะต้องดำเนินการจัดการตามอำนาจหน้าที่เพื่อให้กลับสู่ภาวะปกติโดยเร็ว ทั้งนี้ หลักการใช้กำลังของตำรวจที่ควบคุมฝูงชนที่มีผลต่อชีวิตร่างกายตำรวจต้องคำนึงถึงปัจจัยต่อไปนี้ หลักแห่งความจำเป็นให้ตำรวจใช้กำลังเท่าที่จำเป็น พยายามใช้วิธีการอื่นเท่าที่สามารถทำได้ก่อน เลือกวิธีการใช้กำลังที่เบาที่สุด (เป็นอันตรายต่อผู้ชุมนุมน้อยที่สุด) และหากผู้ชุมนุมลดหรือยุติความรุนแรง ต้องลดระดับหรือยุติระดับกำลังด้วย หลักแห่งความได้สัดส่วน ให้ใช้วิธีการและกำลังที่เหมาะสม สอดคล้องกับภยันตรายที่คุกคามเพื่อป้องกันสิทธิของตนเองหรือของผู้อื่น หลักความถูกต้องตามกฎหมายให้พิจารณาใช้กำลังและเครื่องมือ หรือยุทโธปกรณ์ตามที่มีกฎหมาย ระเบียบ หรือตามหลักสากลกำหนด และหลักความรับผิดชอบให้พิจารณาถึงผลที่เกิดจากการใช้กำลังโดยต้องมีผู้รับผิดชอบในการสั่งการ

ตำรวจต้องใช้กำลังตามระดับความรุนแรงของผู้ชุมนุมหรือได้สัดส่วนกับความรุนแรงที่คุกคาม เพื่อให้การบังคับใช้กฎหมายมีประสิทธิผล ตามภัยคุกคามหรือความรุนแรงของผู้ชุมนุมดังนี้ 1.ผู้ชุมนุมโดยสงบ ให้ตำรวจดูแลรักษาความสงบเรียบร้อย ด้วยการแสดงกำลัง การเจรจา ให้ข้อมูลข่าวสาร หรือชักจูงแนะนำ 2.ผู้ชุมนุมไม่ปฏิบัติตามคำสั่งหรือคำแนะนำของตำรวจในการดูแลรักษาความสงบเรียบร้อย แต่ไม่มีพฤติการณ์ก้าวร้าวหรือก่อเหตุ หรือกระทำผิดกฎหมายเล็กน้อย ให้ตำรวจแสดงกำลัง หรือใช้วิธีการในการเจรจาหรือดำเนินกลยุทธ์กดดันผู้ชุมนุม (Offensive Movement) ที่ได้สัดส่วนกับการกระทำผิดเล็กน้อย หรือการก่อเหตุนั้นๆ หากจำเป็นต้องใช้อุปกรณ์ประกอบก็ให้ใช้อุปกรณ์ที่ไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต 3.สถานการณ์การชุมนุมที่ไม่สงบหรือมีอาวุธหรือมีการก่อเหตุวุ่นวาย ทำร้ายตำรวจหรือบุคคลอื่น ให้ตำรวจพิจารณาใช้กำลังและเครื่องมือที่เหมาะสมในรูปแบบที่เป็นระดับที่สูงขึ้นเพื่อป้องกันพอสมควรแก่เหตุ การใช้กำลังที่อาจจะเกิดอันตรายต่อผู้ชุมนุม ได้แก่ การใช้แก๊สน้ำตา หรือเครื่องเปล่งเสียงความถี่สูง การใช้กำลังผลักดัน การใช้น้ำฉีดแรงดันสูง และการยิงกระสุนยาง ต้องมีการประกาศแจ้งเตือนผู้ชุมนุมก่อนทุกครั้ง และให้เวลาพอสมควรเพื่อให้ ผู้ชุมนุมสามารถปฏิบัติตามคำเตือนได้ทันเว้นแต่ไม่สามารถประกาศเตือนได้ก่อนหรือหากไม่ใช้กำลังเช่นว่านั้นในทันทีทันใดจะเกิดภัยอันตรายต่อบุคคล สถานที่ หรือทรัพย์สิน

แนวทางการปฏิบัติหลังการใช้กำลัง เมื่อสถานการณ์คลี่คลายแล้วจะต้องดำเนินการ คือ 1.การช่วยเหลือทางการแพทย์ โดยผู้ที่ได้รับบาดเจ็บต้องได้รับการปฐมพยาบาล และรีบส่งไปรับการรักษาพยาบาลตามความจำเป็นรวมทั้งแจ้งญาติให้รับทราบ 2.การบันทึกและการรายงาน หน่วยจะต้องบันทึกรายละเอียดของเหตุการณ์ทั้งหมดและรายงานตามสายการบังคับบัญชาโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ 3.การปฏิบัติต่อพื้นที่เกิดเหตุ ให้ปิดกั้นบริเวณพื้นที่ที่เกิดเหตุการณ์ ไว้จนกระทั่งมีการดำเนินการตรวจสถานที่เกิดเหตุ และรวบรวมหลักฐานสำหรับใช้ดำเนินการทางกฎหมายต่อไป 4.โดยถือปฏิบัติด้วยความมีมนุษยธรรมและคำนึงถึงหลักสิทธิมนุษยชน

นอกจากนี้ ศอ.รส.มีข้อกำหนด ออกตามความในมาตรา 18 แห่งพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร คือ 1.ให้เจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้องปฏิบัติการหรืองดเว้นการปฏิบัติการอย่างหนึ่งอย่างใดเพื่อช่วยเหลือหรือสนับสนุนการดำเนินการในอำนาจหน้าที่ของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ทั้งนี้ ตามที่ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการ หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายจากผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร หรือ ผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการ มีคำสั่ง หรือเป็นการปฏิบัติตามแผนการดำเนินการ เพื่อป้องกัน ปราบปราม ระงับ ยับยั้ง และแก้ไขหรือบรรเทาเหตุการณ์ที่กระทบต่อความมั่นคงในราชอาณาจักร

2.ห้ามบุคคลใดเข้าหรือต้องออกจากบริเวณพื้นที่ อาคาร หรือสถานที่ที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติหน้าที่ของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร และภายในระยะเวลาปฏิบัติหน้าที่ของ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ทั้งนี้ ตามที่ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการ หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายจากผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร หรือผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการ ประกาศกำหนด เว้นแต่เป็นบุคคลที่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ หรือเป็นบุคคลที่มีประกาศของบุคคลดังกล่าวเป็นบุคคลที่ได้รับการยกเว้น

3.ห้ามนำอาวุธออกนอกเคหสถาน 4.ห้ามการใช้เส้นทางคมนาคมหรือการใช้ยานพาหนะหรือต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขการใช้เส้นทางคมนาคมหรือการใช้ยานพาหนะ ทั้งนี้ ตามที่ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ผู้อำนวยการ หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายจากผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร หรือผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการ ประกาศกำหนด

5.ให้บุคคลปฏิบัติหรืองดเว้นการปฏิบัติอย่างใดอันเกี่ยวกับเครื่องมือหรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ตามชนิด ประเภทลักษณะการใช้หรือภายในเขตบริเวณพื้นที่ที่ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการ ประกาศกำหนด เพื่อป้องกันอันตรายที่จะเกิดแก่ชีวิต ร่างกาย หรือทรัพย์สินของประชาชน

ที่มา.ประชาไท
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

ปลุกวิญญาณแดง แช่แข็ง อำมาตย์ !!?

ถ้อยคำผ่านวิดีโอลิงก์ข้ามโลกของ "พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร" อดีตนายกรัฐมนตรี มายังเวทีคนเสื้อแดงที่ชุมนุมต่อต้านการแช่แข็งประเทศ ภายใต้ชื่อว่า "รวมพลคนรักรัฐบาล ต้านกบฏ เดินหน้าลงมติรับร่างรัฐธรรมนูญวาระ 3" นับเป็นการปลุกพลังมวลชนเสื้อแดงให้ลุกขึ้นสู้กับม็อบ "องค์การพิทักษ์สยาม" (อพส.) "บ้านเมืองต้องมีกติกา ถ้าจะแช่แข็งกัน ต้องมีกติกา บ้านเมืองจะไปได้ ถ้าไม่มีกติกา บ้านเมืองก็เจ๊ง ที่มีกลุ่มคนออกมาเคลื่อนไหวให้แช่แข็งประเทศไทย ขอให้พี่น้องประชาชนอยู่กับบ้านเฉย ๆ สื่อสารกันไว้ อย่าหวั่นไหวกับกลุ่มคนเหล่านั้น แต่ถ้าเมื่อไรบ้านเมืองไม่มีกติกา แล้วเราค่อยออกมาคิดว่าจะทำอย่างไร เพราะการแช่แข็งเอาไว้ใช้กับคนตาย คนเป็นเขาไม่แช่แข็งกัน ไว้ให้คนพวกนั้นตายเมื่อไร ผมจะมาแช่แข็งให้"

เป็นการปลุกคนเสื้อแดงทุกหัวมุมเมือง ตั้งแต่เชียงใหม่ อุดรธานี นครราชสีมา ปทุมธานี สมุทรปราการ ให้เตรียมพร้อมรอฟังเสียงสัญญาณนกหวีดจากแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ซึ่งบัญชาการมาจากกรุงเทพมหานคร หากเกิดการใช้วิธีนอกระบบ เข็นรถถังออกมายึดอำนาจ

ขณะเดียวกัน ถ้อยคำของ "พ.ต.ท.ทักษิณ" ก็เป็นกุศโลบาย-ปั่นกระแสประชานิยมซื้อใจคนรากหญ้า คนชั้นกลางให้ลุกขึ้นต่อต้านวาทกรรม "แช่แข็งประเทศ"

"ไม่เข้าใจว่าพวกเสธ.อ้ายจะออกมาแช่แข็งประเทศไทยทำไม ในเมื่อประเทศกำลังไปด้วยดี วันนี้เก็บภาษีทะลุเป้า โครงการบ้านหลังแรกทะลุเป้า ค่าแรง 300 บาทต่อวัน ราคาจำนำข้าว 1.5 หมื่นบาท ทำให้เศรษฐกิจประเทศเข้มแข็ง ชาวนาได้ประโยชน์ และประเทศไทยยังได้รับการยอมรับ"

"หลังจากดูแลคนชั้นล่างแล้ว ต่อไปจะดูแลคนชั้นกลาง สิ่งหนึ่งที่กำลังคิด คือภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา บางอันมันมากไป เราอยากให้ไทยมีความสุข มีสวัสดิการที่ดี" พ.ต.ท.ทักษิณกล่าว

ดังนั้น การวิดีโอลิงก์ของ "พ.ต.ท.ทักษิณ" เป็นการใช้กลยุทธ์ป่าล้อมเมือง ผสมการปรุงแต่งถ้อยคำ แฝงนัยการเมือง หวังผลให้คนตั้งแต่ระดับรากหญ้า จนถึงคนชั้นกลางที่หาเช้า-กินค่ำได้เห็นว่าการเคลื่อนไหวของ "ม็อบเสธ.อ้าย" ทำให้ประเทศล้าหลัง กระทบไปถึงโครงสร้างเศรษฐกิจต้องหยุดชะงัก

อย่างไรก็ตาม แม้ "พ.ต.ท.ทักษิณ"-แกนนำคนเสื้อแดงประเมินว่า การชุมนุมของ อพส.อาจลุกลามกลายเป็นความรุนแรง เพราะมีมือที่ 3 เข้ามาปั่นป่วน สร้างสถานการณ์ สำทับกับหน่วยข่าวด้านความมั่นคงว่า กลุ่มทุนเก่าและกลุ่มธุรกิจผิดกฎหมายมีการลงขันถึง 6 พันล้านบาท เพื่อล้มรัฐบาล จนทำให้การคุ้มกันอาคารรัฐสภาเป็นไปอย่างเข้มงวด รัดกุม มาตร

วัดระดับการรักษาความปลอดภัยถึงขั้นสีแดง มีการเตรียมแผน "high alert" พร้อมสละอาคารรัฐสภาทันทีที่ม็อบประชิดรั้ว

แต่วอร์รูมประเมินสถานการณ์ระดับผู้นำความคิดในพรรคเพื่อไทยประเมินสถานการณ์การชุมนุมของอพส.ว่าไม่มีทางล้มรัฐบาล "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" ได้

เพราะเมื่อยกความเข้มข้นทางอุดมการณ์ของ อพส. รวมทั้งปัจจัยแวดล้อมการเมือง เศรษฐกิจ สังคม ในยุค "ยิ่งลักษณ์" เป็นนายกฯ จะเห็นได้ว่าพลัง-ความเข้มข้นทางอุดมการณ์ของ อพส.น้อยกว่ากลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย

เมื่อครั้งยึดสะพานมัฆวานรังสรรค์ ล้อมอาคารรัฐสภา ยึดทำเนียบรัฐบาล ปิดสนามบินดอนเมือง และสนามบินสุวรรณภูมิ
ในยุค 2 นายกฯ "สมัคร สุนทรเวช-สมชาย วงศ์สวัสดิ์" จากพรรคพลังประชาชน

เมื่อประเมินว่าการชุมนุมของ อพส.ไม่สามารถใช้เป็นอาวุธจัดการรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ฟาดฟันให้ล้มพ้นอำนาจการเมืองได้ จึงวิเคราะห์ถึงดาบ 2 คือการใช้กลไกรัฐธรรมนูญที่ยังไม่เป็นประชาธิปไตยขึ้นมาจัดการผ่านกระบวนการตุลาการภิวัตน์

แต่เนื่องจากพรรคเพื่อไทยมีบทเรียนจากการยุบพรรคไทยรักไทย-พรรคพลังประชาชน จึงทำให้ทุกก้าวย่างทางการเมืองเป็นไปอย่างรัดกุม

แหล่งข่าวจากวอร์รูมพรรคเพื่อไทยวิเคราะห์ว่า เวลานี้ยังไม่มีปัจจัยใด ๆ ที่เป็นอันตรายถึงขั้นทำให้พรรคเพื่อไทยถูกกระบวนการตุลาการภิวัตน์เขี่ยพ้นกระดานการเมือง และยังไม่มีข้อกล่าวหาใดที่พุ่งตรงไปถึงตัว "ยิ่งลักษณ์" แต่ก็มีการประเมินสถานการณ์ถึงขั้นเลวร้ายที่สุด หากกลุ่มทุนเก่า-กลุ่มธุรกิจผิดกฎหมาย-กลุ่มชนชั้นนำเล่นเกมแรงแบบพรรคเพื่อไทยไม่คาดฝัน ทำให้ "ยิ่งลักษณ์" ต้องพ้นเก้าอี้นายกฯด้วยกระบวนการกฎหมายที่ยังกึ่งเผด็จการ พรรคเพื่อไทยก็พร้อมหาคนในพรรคขึ้นมารับตำแหน่งนายกฯแทนทันที "แม้จะจัดการกับนายกฯไม่ง่าย แต่หากเขาทำสำเร็จ นายกฯคนต่อไปก็ยังอยู่ในพรรคเพื่อไทย" แหล่งข่าวกล่าว

สอดคล้องกับ "จาตุรนต์ ฉายแสง" อดีตรักษาการหัวหน้าพรรคไทยรักไทย มองเกมเบื้องหน้า วิเคราะห์ถึงเกมเบื้องหลังการชุมนุมของกลุ่ม อพส.ว่ามี 2 ระยะ 1.ระยะสั้น ใช้การชุมนุมของมวลชนกดดันรัฐบาล 2.ระยะยาว ใช้กระบวนการตุลาการภิวัตน์จัดการ

"จาตุรนต์" บอกว่า "ถ้าล้มเหลวตั้งแต่ระยะสั้น การจะฟื้นการเคลื่อนไหวแบบนี้จะทำได้ยากมาก เพราะทั่วทั้งสังคมจะเรียนรู้ เป็นการดิ้นเฮือกสุดท้าย"

แม้เขาทำนายว่า การชุมนุมของ อพส.จะเป็นการดิ้นเฮือกสุดท้ายของกลุ่มที่อยู่เบื้องหลังการชุมนุมของเสธ.อ้าย แต่ก็ยังไม่ใช่สงครามครั้งสุดท้ายของชนชั้นนำ

"มันอาจดิ้นรนเฮือกสุดท้ายของกลุ่มที่เคลื่อนไหว แต่อาจยังไม่ใช่เฮือกสุดท้ายของชนชั้นนำที่ยังไม่เชื่อเรื่องประชาธิปไตย อาจมีเรื่องไม่เป็นเหตุผล ลี้ลับซับซ้อนปนอยู่ บางทีเราคาดไม่ถึง แต่มันเป็นไปได้ เพราะให้คิดแทน ก็ไม่รู้มันคืออะไร แต่มันต้องมีเหตุที่เราคาดไม่ถึง หรือเป็นเหตุที่เขาไม่พูดตรง ๆ แต่การที่เขาใช้เหตุ ข้ออ้างที่ไม่เป็นเหตุผล มันทำให้เคลื่อนไหว ลดความชอบธรรม ลดความน่าเชื่อถือลงอย่างมาก ถ้าสำเร็จได้ต้องมุทะลุบ้าบิ่น บ้าเลือด" จาตุรนต์กล่าว

วาทกรรมของ "พ.ต.ท.ทักษิณ" การปลุกคนเสื้อแดงทุกหัวเมืองผ่านวิดีโอลิงก์ เป็นเกมดึงคนรากหญ้า-ดึงคนชั้นกลางเข้ามาเป็นพวก พร้อมทั้งผลักม็อบ "เสธ.อ้าย" ให้กลายเป็นพวกล้าหลัง เป็นวิธีการเคลื่อนไหวแยบยลมีนัย เป็นการแช่แข็ง "เสธ.อ้าย" และเผด็จศึกม็อบอำมาตย์

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

แผนปฏิบัติการ ศอ.รส. รับมือม็อบ เสธ.อ้าย !!?


พล.ต.อ.วรพงษ์ ชิวปรีชา รอง ผบ.ตร. ในฐานะรองผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย (ศอ.รส.) และเลขาธิการ ศอ.รอ. แถลงแนวทางการปฏิบัติของ ศอ.รส.ตาม พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร เมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยการชุมนุมขององค์การพิทักษ์สยาม ที่ลานพระบรมรูปทรงม้า ในวันที่ 24 พฤศจิกายน

การชุมนุมในครั้งนี้ เนื่องจากใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ สำนักงานตำรวจแห่งชาติจึงไม่ใช้แผนกรกฎ 52 แต่ ศอ.รส.ได้ออกแผนปฏิบัติการที่ 1/2555 เป็นหลักในการปฏิบัติงาน แบ่งเป็น 4 ขั้นตอน ได้แก่

1.ขั้นเตรียมการจะเป็นขั้นที่ดำเนินการก่อนการชุมนุม โดยดำเนินการด้านการข่าว การเตรียมการด้านกำลังพล การจัดเตรียมสถานที่ควบคุมกรณีเหตุการณ์บานปลาย การเตรียมการด้านแผนต่างๆ ที่สำคัญ

 2.ขั้นการเผชิญเหตุจะเป็นขั้นที่ดำเนินการขณะชุมนุม โดยยึดถือแนวทางตามมาตรา 63 ของรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 ที่ระบุให้ตำรวจท้องที่เข้ารักษาความสงบบริเวณที่ชุมนุมและใกล้เคียง ดำเนินการรักษาความปลอดภัยสถานที่และบุคคลสำคัญ ใช้ศูนย์ปฏิบัติการทุกระดับ ในการติดตาม ควบคุม และสั่งการ ชี้แจงทำความเข้าใจต่อแกนนำและกลุ่มผู้ชุมนุมให้ทราบถึงขอบเขตของการใช้สิทธิและเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ ดำรงการเจรจาต่อรอง เพื่อคลี่คลายสถานการณ์

3.ขั้นการใช้กำลังเข้าคลี่คลายสถานการณ์จะเริ่มปฏิบัติตั้งแต่ 22-30 พฤศจิกายน โดยแจ้งเตือนและเจรจากับผู้ชุมนุม เพื่อป้องกันการปลุกระดมและสร้างความวุ่นวาย พร้อมทั้งปฏิบัติการข่าวสารควบคู่กับการปฏิบัติงานในทุกขั้นตอน เมื่อการเจรจาต่อรองหรือการปฏิบัติการอื่นใดไม่เป็นผล สถานการณ์กลับทวีความรุนแรงให้ผู้บัญชาการเหตุการณ์พิจารณาสั่งใช้กำลังเข้าแก้ไขสถานการณ์และรายงานให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติผ่านศูนย์อำนวยการรักษาความสงบ (ศอ.รส.) ทราบทันที และการใช้กำลังให้ปฏิบัติตามกฎการใช้กำลังในการควบคุมฝูงชน

4.ขั้นการฟื้นฟู เป็นขั้นตอนที่ดำเนินการหลังการชุมนุม โดยจะดำเนินการสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานดำเนินคดีต่อผู้กระทำความผิด การฟื้นฟู เยียวยาการจัดทำรายงานภายหลังการปฏิบัติ และบทเรียนจากการปฏิบัติงาน และชี้แจงข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นต่อสาธารณชน

สำหรับกฎการใช้กำลังตำรวจต้องพึงระลึกและยึดถือรัฐธรรมนูญว่า การชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธเป็นเสรีภาพของประชาชนที่ได้รับการรับรองตามกฎหมายโดยมีแนวทางการปฏิบัติ ดังนี้ 1.ต้องพิจารณาถึงความชอบธรรมในการใช้กำลังตามที่กฎหมายกำหนด 2.ยึดหลักในการคุ้มครองเสรีภาพและหลักในการรักษาความสงบเรียบร้อย 3.การใช้กำลังตามกฎนี้ให้หมายความรวมถึงการใช้อุปกรณ์หรืออาวุธประกอบการใช้กำลังด้วย และ 4.การจัดการเมื่อมีการชุมนุมที่ผิดกฎหมาย ตำรวจจะต้องดำเนินการจัดการตามอำนาจหน้าที่เพื่อให้กลับสู่ภาวะปกติโดยเร็ว ทั้งนี้ หลักการใช้กำลังของตำรวจที่ควบคุมฝูงชนที่มีผลต่อชีวิตร่างกายตำรวจต้องคำนึงถึงปัจจัยต่อไปนี้ หลักแห่งความจำเป็นให้ตำรวจใช้กำลังเท่าที่จำเป็น พยายามใช้วิธีการอื่นเท่าที่สามารถทำได้ก่อน เลือกวิธีการใช้กำลังที่เบาที่สุด (เป็นอันตรายต่อผู้ชุมนุมน้อยที่สุด) และหากผู้ชุมนุมลดหรือยุติความรุนแรง ต้องลดระดับหรือยุติระดับกำลังด้วย หลักแห่งความได้สัดส่วน ให้ใช้วิธีการและกำลังที่เหมาะสม สอดคล้องกับภยันตรายที่คุกคามเพื่อป้องกันสิทธิของตนเองหรือของผู้อื่น หลักความถูกต้องตามกฎหมายให้พิจารณาใช้กำลังและเครื่องมือ หรือยุทโธปกรณ์ตามที่มีกฎหมาย ระเบียบ หรือตามหลักสากลกำหนด และหลักความรับผิดชอบให้พิจารณาถึงผลที่เกิดจากการใช้กำลังโดยต้องมีผู้รับผิดชอบในการสั่งการ

ตำรวจต้องใช้กำลังตามระดับความรุนแรงของผู้ชุมนุมหรือได้สัดส่วนกับความรุนแรงที่คุกคาม เพื่อให้การบังคับใช้กฎหมายมีประสิทธิผล ตามภัยคุกคามหรือความรุนแรงของผู้ชุมนุมดังนี้ 1.ผู้ชุมนุมโดยสงบ ให้ตำรวจดูแลรักษาความสงบเรียบร้อย ด้วยการแสดงกำลัง การเจรจา ให้ข้อมูลข่าวสาร หรือชักจูงแนะนำ 2.ผู้ชุมนุมไม่ปฏิบัติตามคำสั่งหรือคำแนะนำของตำรวจในการดูแลรักษาความสงบเรียบร้อย แต่ไม่มีพฤติการณ์ก้าวร้าวหรือก่อเหตุ หรือกระทำผิดกฎหมายเล็กน้อย ให้ตำรวจแสดงกำลัง หรือใช้วิธีการในการเจรจาหรือดำเนินกลยุทธ์กดดันผู้ชุมนุม (Offensive Movement) ที่ได้สัดส่วนกับการกระทำผิดเล็กน้อย หรือการก่อเหตุนั้นๆ หากจำเป็นต้องใช้อุปกรณ์ประกอบก็ให้ใช้อุปกรณ์ที่ไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต 3.สถานการณ์การชุมนุมที่ไม่สงบหรือมีอาวุธหรือมีการก่อเหตุวุ่นวาย ทำร้ายตำรวจหรือบุคคลอื่น ให้ตำรวจพิจารณาใช้กำลังและเครื่องมือที่เหมาะสมในรูปแบบที่เป็นระดับที่สูงขึ้นเพื่อป้องกันพอสมควรแก่เหตุ การใช้กำลังที่อาจจะเกิดอันตรายต่อผู้ชุมนุม ได้แก่ การใช้แก๊สน้ำตา หรือเครื่องเปล่งเสียงความถี่สูง การใช้กำลังผลักดัน การใช้น้ำฉีดแรงดันสูง และการยิงกระสุนยาง ต้องมีการประกาศแจ้งเตือนผู้ชุมนุมก่อนทุกครั้ง และให้เวลาพอสมควรเพื่อให้ ผู้ชุมนุมสามารถปฏิบัติตามคำเตือนได้ทันเว้นแต่ไม่สามารถประกาศเตือนได้ก่อนหรือหากไม่ใช้กำลังเช่นว่านั้นในทันทีทันใดจะเกิดภัยอันตรายต่อบุคคล สถานที่ หรือทรัพย์สิน

แนวทางการปฏิบัติหลังการใช้กำลัง เมื่อสถานการณ์คลี่คลายแล้วจะต้องดำเนินการ คือ 1.การช่วยเหลือทางการแพทย์ โดยผู้ที่ได้รับบาดเจ็บต้องได้รับการปฐมพยาบาล และรีบส่งไปรับการรักษาพยาบาลตามความจำเป็นรวมทั้งแจ้งญาติให้รับทราบ 2.การบันทึกและการรายงาน หน่วยจะต้องบันทึกรายละเอียดของเหตุการณ์ทั้งหมดและรายงานตามสายการบังคับบัญชาโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ 3.การปฏิบัติต่อพื้นที่เกิดเหตุ ให้ปิดกั้นบริเวณพื้นที่ที่เกิดเหตุการณ์ ไว้จนกระทั่งมีการดำเนินการตรวจสถานที่เกิดเหตุ และรวบรวมหลักฐานสำหรับใช้ดำเนินการทางกฎหมายต่อไป 4.โดยถือปฏิบัติด้วยความมีมนุษยธรรมและคำนึงถึงหลักสิทธิมนุษยชน

นอกจากนี้ ศอ.รส.มีข้อกำหนด ออกตามความในมาตรา 18 แห่งพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร คือ 1.ให้เจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้องปฏิบัติการหรืองดเว้นการปฏิบัติการอย่างหนึ่งอย่างใดเพื่อช่วยเหลือหรือสนับสนุนการดำเนินการในอำนาจหน้าที่ของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ทั้งนี้ ตามที่ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการ หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายจากผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร หรือ ผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการ มีคำสั่ง หรือเป็นการปฏิบัติตามแผนการดำเนินการ เพื่อป้องกัน ปราบปราม ระงับ ยับยั้ง และแก้ไขหรือบรรเทาเหตุการณ์ที่กระทบต่อความมั่นคงในราชอาณาจักร

2.ห้ามบุคคลใดเข้าหรือต้องออกจากบริเวณพื้นที่ อาคาร หรือสถานที่ที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติหน้าที่ของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร และภายในระยะเวลาปฏิบัติหน้าที่ของ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ทั้งนี้ ตามที่ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการ หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายจากผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร หรือผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการ ประกาศกำหนด เว้นแต่เป็นบุคคลที่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ หรือเป็นบุคคลที่มีประกาศของบุคคลดังกล่าวเป็นบุคคลที่ได้รับการยกเว้น

3.ห้ามนำอาวุธออกนอกเคหสถาน 4.ห้ามการใช้เส้นทางคมนาคมหรือการใช้ยานพาหนะหรือต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขการใช้เส้นทางคมนาคมหรือการใช้ยานพาหนะ ทั้งนี้ ตามที่ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ผู้อำนวยการ หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายจากผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร หรือผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการ ประกาศกำหนด

5.ให้บุคคลปฏิบัติหรืองดเว้นการปฏิบัติอย่างใดอันเกี่ยวกับเครื่องมือหรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ตามชนิด ประเภทลักษณะการใช้หรือภายในเขตบริเวณพื้นที่ที่ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการ ประกาศกำหนด เพื่อป้องกันอันตรายที่จะเกิดแก่ชีวิต ร่างกาย หรือทรัพย์สินของประชาชน

ที่มา.มติชนออนไลน์
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

แก่แช่แข็ง: การชุมนุมล้มล้างประชาธิปไตยขององค์การพิทักษ์สยาม !!?


จากคำประกาศทางการล่าสุด กลุ่มต่อต้านประชาธิปไตยพิทักษ์สยามระบุว่าเป้าหมายของการชุมนุมวันที่ 24 พฤศจิกายนในกรุงเทพฯคือ การบังคับให้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตรลาออกจากตำแหน่ง แม้ว่าองค์การพิทักษ์สยามจะทราบดีว่ารัฐบาลมากจากการเลือกตั้งโดยคนส่วนมากเมื่อ 18 เดือนที่แล้วจะไม่คิดว่าการรวมตัวของคนไม่กี่หมื่นคน (อย่างมากที่สุด) จะเป็นเหตุผลของการลาออก โดยเฉพาะเมื่อรัฐบาลได้รับเสียงสนับสนุนส่วนใหญ่ในรัฐสภาและยังได้รับแรงหนุนอย่างเหนียวแน่นจากประชาชนโดยเห็นได้จากการสำรวจความคิดเห็น ความคิดที่ว่าคนกลุ่มน้อยควรจะเอาชนะเจตจำนงค์ของประชามติจากการเลือกตั้งโดยคนส่วนมากไม่ต้องครงกับความคิดของยุคศตวรรษที่ 21 ของประเทศไทย นี่ไม่ใช่ประเทศไทยในยุครุ่นปู่ย่าตาทวดอีกต่อไป

เมื่อไม่กี่อาทิตย์ที่ผ่านมา แกนนำชราภาพขององค์กรพิทักษ์สยามเปิดเผยแผนการของพวกเขาอย่างตรงไปตรงมามากกว่านี้  พวกเขาถูกบังคับให้เปลี่ยนท่าทีเนื่องจากมาจากคำแถงการณ์ต่อสาธารณชนอันน่าตลกขบขันก่อนหน้านี้  พวกเขาบอกว่ากับนักข่าวว่า ควรมีจะการปิดประเทศไทย หรือที่เขาใช้ศัพท์ว่า “แช่แข็ง” เหมือนที่ผู้นำประเทศเพื่อนบ้านอย่างนายพอลพตและเนวินเคยใช้ พลเอกบุญเลิศ แก้วประสิทธิสรุปว่า “รัฐประหารคือวิธีเดียวที่จะล้มล้างรัฐบาล”

ความหมายโดยนัยคือภารกิจขององค์การพิทักษ์สยามคือการสร้างเงื่อนไขซึ่งจะนำไปสู่การทำรัฐประหาร อย่างน้อยที่สุดคือจำเป็นต้องมีการทำให้คนเข้าร่วมการชุมนุมในจำนวนที่มากพอ-คือไม่ใช่การล้มล้างรัฐบาลโดยตรงแต่เป็นการสร้างเงื่อนไขให้คนอื่นไปใช้อ้างว่าจะต้องมีการขับไล่รัฐบาลเพราะ “ประชาชน” ไม่ต้องการรัฐบาลอีกต่อไป ข้ออ้างประเภทนี้ถูกป่าวประกาศโดยสื่อมวลชนในกรุงเทพฯ และได้รับการสนับสนุน  (โดยไม่เจตนา) จากสื่อมวลชนต่างชาติ ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นในประเทศไทยไม่เคยไปไกลกล่าวแนวความคิดของกลุ่มอำมาตย์ในกรุงเทพฯ (ตัวอย่างล่าสุดเช่น: http://online.wsj.com/article/SB10001424127887324352004578134581768219170.html?mod=SEA_TOPLEFT)

และเงื่อนไขอื่นที่ผสมผสานรวมกันอันอาจเป็นสาเหตุของการทำรัฐประหารคือความรุนแรงและความวุ่นวายบนท้องถนนในระดับหนึ่ง หากมองตามแนวทางขององค์การพิทักษ์สยามแล้ว ความรุนแรงเป็นประโยชน์ต่อพวกเขาสองประการ: ประการแรก เป็นการทำลายความน่าเชื่อถือของรัฐบาลต่อคนที่อาศัยอยู่ในกรุงเทพฯ เพราะจะต้องมีการตำหนิรัฐบาลที่ไม่สามารถคุ้มครองพวกเขาให้ได้รับความปลอดภัยได้; ประการที่สองคือ เป็นข้ออ้างเอามาใช้ในการขับไล่รัฐบาล ด้วยการอ้างว่าจะต้องมีการรักษาความสงบเรียบร้อย หรือโน้มน้าวบังคับทางอ้อมให้ประชาชนเลือกเอาความปลอดภัยมากกว่าประชาธิปไตย (อีกครั้ง) และที่สำคัญคือเป็นยุทธศาสตร์เดิมที่กลุ่มพันธมิตรใช้ในปี 2552 ซึ่งอาจจะเป็นสาเหตุว่าทำไมกลุ่มศาสนาอย่างกลุ่มสันติอโศก และกลุ่มที่บ้าคลั่งอย่าง “กองทัพธรรม” ออกมาให้การสนับสนุนองค์การพิทักษ์สยามอย่างมาก เนื่องจากความนิยมของรัฐบาล ก็มีความเป็นไปได้ว่าองค์การพิทักษ์สยามต้องการคนมากกว่าที่พันธมิตรต้องการเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา พรรคประชาธิปัตย์ทำงานอย่างหนักเพื่อเคลื่อนผู้สนับสนุนของพรรค ด้วยความหวังว่าจะได้คนไปร่วมชุมนุมตามจำนวนที่ต้องการ

นอกจากนี้  จุดจบของวาระมีลักษณะเปิด เพราะรัฐประหารในประเทศไทยสามารถเกิดขึ้นได้ในหลายรูปแบบ พลเอกบุญเลิสแสดงความเห็นว่าชอบการทำรัฐประหารโดยกองทัพมากกว่า โดยกล่าวว่าประเทศต้องมีทหารเป็นผู้นำ กองทัพมีอาวุธอาวุธเพียงพอที่จะจัดการกับผู้ต่อต้านการทำรัฐประหาร และสร้างสถานการณ์ “แช่แข็ง” พลเอกบุญเลิสอธิบาย อย่างไรก็ตาม การทำรัฐประหารโดยกองทัพเป็นการทำรัฐประหารที่เสี่ยงที่สุด โดยเฉพาะในบริบทนี้ เพราะต่างจากปี 2549 ผู้นำโลกเหมือนจะรับรู้ว่าอะไรเกิดขึ้นในประเทศไทย ดังนั้นจึงไม่น่าจะให้ความร่วมมือกับผู้ที่ก่อรัฐประหารเหมือนเมื่อ 6ปีที่แล้วโดยปริยาย

หากเหล่านายพลไม่กล้าที่จะทำรัฐประหาร องค์การพิทักษ์สยามและผู้สนับสนุนยังคงหวังว่าจะมี “ตุลาการรัฐประหาร”  หากเงื่อนไขครบถ้วน ศาลรัฐธรรมนูญสามารถช่วย “สุมเชื้อเพลิง” ในการหาสาเหตุที่จะถอดถอนรัฐบาล เหมือนที่พวกเขาทำสองครั้งในปี 2552 อย่างไรก็ตาม มีความเป็นไปได้ว่าอาจมีว่าเราจะได้เห็นรัฐประหารชนิดใหม่ และเนื่องจากไม่มีคำจำกัดความที่ดีกว่านี้ (หลังจาก 80 ปี รัฐประหาร 18 ครั้ง ศัพท์ดีๆถูกได้ถูกนำใช้ไปหมดแล้ว) อาจมีการเรียกการทำรัฐหารครั้งนี้ว่า “รัฐประการโดยพนักงานฝ่ายปกครอง” หรือ “รัฐประการโดยวุฒิสภา”

หนึ่งวันหลังจากการชุมุนมขององค์การพิทักษ์สยาม มีกำหนดการอภิปรายไม่วางใจรัฐบาล แต่การอภิปรายไม่ไว้วางใจยื่นโดยพรรคประชาธิปัตย์คงไม่ได้มีผลมากนัก เพราะรัฐบาลมีจำนวนสส.ในสภาที่จะลงคะแนนเสียงสนับสนุนรัฐบาล นอกจากนี้ ประเด็นของพรรคประชาธิปัตย์ยังอ่อนมากและอาจทำให้พรรคฝ่ายค้านอื่นตัดสินใจสนับสนันรัฐบาลในที่สุด คำขู่ที่สำคัญมากมาจากวุฒิสภา วุฒิสภาไม่ได้มีสิทธิ์ลงคะแนนเสียงในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ อย่างไรก็ตามพรรคประชาธิปัตย์ได้ยื่นถอดถอนนายกยิ่งลักษณ์, รมว.กลาโหม พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัตและรมช.มหาดไทย พล.ต.อ.ชัช กุลดิลก ภายใต้บทบัญญัติในมาตรา 270-274 ของรัฐธรรมนูญ วุฒิสภาสามารถส่งคำร้องให้กับคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ปปช.) ได้ ซึ่งตอนนี้ ปปช.กำลังพิจารณาคำร้องอยู่ หากหลังจากทำการสอบสวน ปปช.เห็นด้วยกับวุฒิสภา วุฒิสภาสามารถถอดถอนนายกรัฐมนตรีได้โดยเสียงส่วนมากอย่างน้อย 60 เปอร์เซ็นต์

การกระทำที่คล้ายกันในอดีตนั้นลงเอยด้วยความล้มเหลว แต่เราไม่สามารถเพิกเฉยต่อแนวทางนี้ได้ โดยเฉพาะหากองค์การพิทักษ์สยามและแนวร่วมประสบความสำเร็จในการทำให้รัฐบาลอ่อนแอโดยการสร้างสถานการณ์ ทั้งนี้ปปช.เป็นหน่วยงานเป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดีว่าเป็นพรรคพวกของคนเหล่านี้ ในขณะที่ วุฒิสภาซึ่งมาจากการแต่งตั้งและมีอยู่ไม่ใช่ด้วยเหตุผลอะไรที่มากไปกว่าความต้องการในการจำกัดประชาธิปไตย สมาชิกวุฒิสภาที่มาจากแต่งตั้งและเลือกตั้งมีความใกล้ชิดกับพรรคประชาธิปัตย์ และมีความเป็นไปได้ว่าวุฒิ

สมาชิกจะสามารถรวบรวมเสียงข้างมากได้ โดยเฉพาะหากมีมือที่มองไม่เห็นได้ออกมากดดันเหมือนที่ทำในปี 2552 จนทำให้อภิสิทธิ์ได้ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี หากกลุ่มอำมาตย์กระหายอยากขับไล่รัฐบาล พวกเขาอาจต้องพึ่งพาปปช.หรือวุฒิสภา

บางคนวิจารณ์รัฐบาลไทยว่าถือเอาคำขู่นี้เป็นเรื่องจริงจัง  แน่นอนมันเป็นเรื่องยากที่จะหยั่งรู้ว่องค์การพิทักษ์สยามลและแนวร่วมอาจจะโง่พอที่จะสร้างสถานการ์ทำให้เกิดรัฐประหารและนำไปสู่หายนะอันร้ายแรงหรือไม่  อย่างไรก็ตาม เมื่อมองว่าเหตุการณ์ล่าสุดที่เกิดขึ้นประเทศไทยและความรุนแรงที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง รัฐบาลไม่สามารถที่จะสบประมาทความสามารถององค์กรพิทักษ์สยามได้ โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาถึงความสนับสนุนที่ได้รับจากกลุ่มที่บ้าคลั่ง เงินทุนที่พวกเขาได้รับ และความสัมพันธ์อันแนบแน่นกับกลุ่มอำมาตย์ โดยเฉพาะเมื่อคนที่มีสายสัมพันธ์อันแน้นแฟ้นกับอำมาตย์อย่างนายนายวสิษฐ เดชกุญชรออกมาเตือนรัฐบาลว่าอาจลงเอยเหมือนกัดดาฟี่ กล่าวคือข่มขู่ว่านายกรัฐมนตรีที่มาจากการเลือกตั้งโดยชอบด้วยกฎหมายจะถูกสังหาร รัฐบาลไทยไม่มีทางเลือกอื่นใดนอกจากจะต้องถือเอาคำขู่นี้เป็นเรื่องจริงจัง ความตื่นตระหนกได้แผ่ขยายในกลุ่มของผู้สนับสนุนองค์กรสยามพิทักษ์ในกองทัพและพรรคประชาธิปัตย์บางรายว่า เพราะระบบการทำผิดแล้วลอยนวลกำลังสั่นคลอนและนั้นอาจส่งผลทำให้พวกเขาทำอะไรที่อันตรายและไม่คาดคิดได้มากขึ้น

เราได้เรียนรู้ใน 7 ปีที่ผ่านมาว่า กลุ่มหัวรุนแรงที่อยู่เบื้องหลังองค์กรพิทักษ์สยามสามารถทำลายประเทศได้หากจำเป็น รัฐที่เลือกตั้งมาจากประชาชนจึงมีหน้าที่ป้องกันไม่ให้พวกเขาทำเช่นนั้น

Read more from โรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

ภราดร..ยันไม่สลายชุมนุม ใช้แก๊สน้ำตาแค่ยิงเตือน !!?


พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ให้สัมภาษณ์ "กรุงเทพธุรกิจทีวี" ถึงสถานการณ์การชุมนุมของกลุ่มองค์การพิทักษ์สยาม (อพส.) ในช่วงเช้าที่ส่อเค้ารุนแรงเพราะมีการใช้แก๊สน้ำตาจากเจ้าหน้าที่บริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์ว่า ยังไม่รุนแรง เป็นเพียงการจัดระเบียบผู้ร่วมชุมนุม เพราะเจ้าหน้าที่ยึดหลักการให้ประชาชนชุมนุมได้อย่างเสรีตามรัฐธรรมนูญ ไม่ได้ปิดกั้น เพียงแต่ขอความกรุณาให้เข้าพื้นที่ชุมนุมตามเส้นทางที่เจ้าหน้าที่กำหนด เพราะเส้นทางที่ไม่อนุญาตให้ใช้นั้น จะผ่านไปยังสถานที่ราชการสำคัญ

"เมื่อผู้ชุมนุมไม่ทำตาม ก็มีการปะทะกันนิดหน่อย จากนั้นเจ้าหน้าที่ได้ชี้แจงว่าจะใช้แก๊สน้ำตา ได้แจ้งเตือนก่อนแล้วว่าจะใช้ มั่นใจว่าสถานการณ์จะไม่บานปลาย เพราะเจ้าหน้าที่ได้เรียกแกนนำผู้ชุมนุมมาทำความเข้าใจเรียบร้อยว่ามีช่องทางเข้าสู่พื้นที่ชุมนุมอยู่แล้ว"

"เรื่องการใช้แก๊สน้ำตา เราตัดสินใจใช้เพราะพูดแล้วผู้ชุมนุมไม่ฟัง มีการประสานแล้วทุกอย่าง แต่ไม่ฟัง จึงมีการ 'ยิงแจ้งเตือน' ซึ่งก่อนยิงแก๊สน้ำตาก็ได้ประกาศเตือนและแจ้งว่าจะใช้แล้วนะ ก็มีการเตือนทุกครั้งตามขั้นตอน"

พล.ท.ภราดร ยังกล่าวถึงข่าวการจับกุมผู้ชุมนุมจำนวนหนึ่งเนื่องจากพกพาอาวุธว่า เจ้าหน้าที่พบอุปกรณ์ที่อาจนำมาทำเป็นอาวุธได้ จึงควบคุมตัวผู้ชุมนุมไป แต่สถานการณ์ตอนนั้นชุลมุนวุ่นวาย จึงมีผู้สื่อข่าวติดไปด้วย ตอนนี้ได้สอบสวนกันเรียบร้อยแล้ว และได้ปล่อยตัวไปแล้ว

"เรายืนยันว่าให้ชุมนุมอย่างเสรี เพราะ เสธ.อ้าย ก็ประกาศว่าจะชุมนุมอย่างสันติ ถ้ามีปัญหาก็จะคุยกับเสธ.อ้ายว่าจะยุติดีกว่าหรือไม่ แต่ยืนยันว่าจะไม่สลายการชุมนุม" พล.ท.ภราดร กล่าว

ที่มา.เนชั่น
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันศุกร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

พ.ร.บ.มั่นคงคุมม็อบ ศาลรัฐธรรมนูญไฟเขียวไล่รัฐบาล !!!?


รัฐบาลประกาศใช้ พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงฯควบคุมการชุมนุมในพื้นที่ 3 เขตคือ พระนคร ดุสิต ป้อมปราบศัตรูพ่าย ตั้งแต่วันที่ 22-30 พ.ย. หลังฝ่ายข่าวพบมีแนวโน้มเกิดความรุนแรง รับกังวลบุกยึดสถานที่ราชการจนถึงบุกจับตัวนายกรัฐมนตรี “เสธ.อ้าย” เย้ยกลัวม็อบ มั่นใจช่วยเรียกมวลชนเข้าร่วมมากขึ้น ด้านศาลรัฐธรรมนูญเปิดไต่สวนคำร้องม็อบใช้วิถีทางนอกกฎหมายไล่รัฐบาล ล้มล้างการปกครอง ก่อนมีคำสั่งให้ยกคำร้อง เพราะยังไม่ปรากฏมูลเหตุว่าจะมีการกระทำตามข้อกล่าวหา แค่มาแสดงพลังขับไล่รัฐบาล

ที่ทำเนียบรัฐบาล คณะรัฐมนตรี (ครม.) กลุ่มย่อย 9 คนที่ได้รับมอบหมายให้ติดตามการชุมนุมขององค์การพิทักษ์สยาม (อพส.) มีมติให้ประกาศใช้ พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ. 2551 ครอบคลุมพื้นที่ 3 เขตของกรุงเทพมหานคร (กทม.) คือ เขตพระนคร เขตดุสิต และเขตป้อมปราบศัตรูพ่าย มีผลตั้งแต่วันที่ 22-30 พ.ย. นี้

ม็อบมามากกว่า 5 หมื่น

พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) กล่าวว่า ฝ่ายความมั่นคงประเมินว่าจะมีผู้ร่วมชุมนุมมากกว่า 50,000 คน แต่ไม่ถึงล้านคนอย่างที่แกนนำตั้งเป้าไว้ การประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงมีวัตถุประสงค์เพื่อดูแลผู้ชุมนุมให้ปลอดภัย และให้เจ้าหน้าที่มีเครื่องมือรองรับการปฏิบัติงาน

หวั่นบุกจับตัวนายกฯ

“ผมจะเป็นผู้อำนวยการศูนย์เฉพาะกิจที่ตั้งขึ้น โดยใช้ชั้น 20 ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติเป็นศูนย์อำนวยการ ที่ต้องใช้กฎหมายพิเศษเพราะมีแนวโน้มว่าผู้ชุมนุมจะใช้ความรุนแรง มีกลุ่มที่จ้องจะก่อความวุ่นวาย และมีความกังวลว่าจะมีการบุกยึดสถานที่ราชการตลอดจนการบุกจับตัวนายกรัฐมนตรี”

“สุกำพล” ชี้ล้วนหน้าเก่า

พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวว่า ที่ทหารมีการเคลื่อนไหวในช่วงนี้เพราะเตรียมพิธีสวนสนามถวายสัตย์ปฏิญาณเนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา จึงมากันหลายหน่วย ไม่เกี่ยวกับการปฏิวัติ

“คนที่มาชุมนุมก็ให้ดูหน้าเอาเอง เป็นศัตรูถาวรกันไปแล้ว เรารู้หมดว่าฝ่ายที่มาร่วมชุมนุมมีใครบ้าง คนเก่าๆทั้งนั้น”

พ.ร.บ.มั่นคงช่วยเรียกแขก

ที่สนามม้านางเลิ้ง พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ ประธานองค์การพิทักษ์สยาม กล่าวว่า รัฐบาลไม่มีเหตุผลใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคง เพราะเราประกาศแล้วว่าจะชุมนุมโดยสงบ ไม่ยืดเยื้อ ไม่เคลื่อนย้าย ไม่ยึดสถานที่ราชการ

“แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลกลัวการชุมนุม หากไม่กลัวคงไม่ใช้กฎหมายพิเศษ แต่ก็คงไม่มีกฎหมายใดสกัดการชุมนุมได้ และการประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงจะเป็นการเรียกแขกให้มาชุมนุมมากขึ้นแน่นอน”

ศาล รธน. ออกบัลลังก์ไต่สวน

ที่ศาลรัฐธรรมนูญ คณะตุลาการออกนั่งบัลลังก์ไต่สวนคำร้องที่นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ส.ว.สรรหา นายสิงห์ทอง บัวชุม สมาชิกพรรคเพื่อไทย และนายหนึ่งดิน วิมุตตินันท์ ทนายความชมรมผู้รักความเป็นธรรม ยื่นขอให้พิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญมาตรา 68 ว่าการชุมนุมของ อพส. ภายใต้การนำของ พล.อ.บุญเลิศเป็นการล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการที่มิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญหรือไม่  ซึ่งศาลได้เรียก พล.อ.บุญเลิศ และ พล.อ.ท.วัชระ ฤทธาคนี โฆษก อพส. มาให้ปากคำ แต่ทั้ง 2 คนไม่ได้มาตามนัดหมาย โดยมอบหมายให้นายประยงค์ ไชยศรี และนายนิติธร ล้ำเหลือ ทนายความ เข้าชี้แจงแทน

ทนายยันชุมนุมสงบ

นายประยงค์กล่าวว่า การชุมนุมครั้งนี้เกิดขึ้นเพราะรัฐบาลปล่อยให้มีการจาบจ้วงสถาบันเบื้องสูงโดยไม่ดำเนินการ แสดงตนเป็นนอมินีของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี มีการทุจริตคอร์รัปชัน การชุมนุมครั้งนี้มีเจตนาชัดเจนว่าเป็นการชุมนุมโดยสงบ ปราศจากอาวุธ ไม่มีการปลุกระดมให้เกิดการคลุ้มคลั่ง ไม่เคลื่อนไปยึดสถานที่ราชการหรือรัฐสภา หากผู้ชุมนุมมาน้อยจะยุติการชุมนุม อีกทั้งรัฐบาลก็ระบุเองว่าจะจัดกำลังตำรวจดูแลไม่น้อยกว่า 50,000 นาย มีการตรวจค้นไม่ให้พกพาอาวุธ

ด้านนายเรืองไกรนำหลักฐานการถอดเทปคำสัมภาษณ์ของ พล.อ.บุญเลิศมายื่นต่อศาล ซึ่งเข้าข่ายเป็นการกระทำที่ล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตย

ไต่สวนแค่ 15 นาทีก่อนตัดสิน

ทั้งนี้ ศาลใช้เวลาไต่สวนเพียง 15 นาที โดยมีคำถามสำคัญคือ ที่ พล.อ.บุญเลิศประกาศจะแช่แข็งประเทศไทยมีความหมายอย่างไร และคณะผู้บริหารประเทศที่มาจากการปฏิวัติของประชาชนคืออะไร รวมถึงการชุมนุมครั้งนี้มีเจตนาเพื่อล้มล้างรัฐบาลโดยวิธีการที่ไม่เป็นไปตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติใช่หรือไม่

ยกคำร้องไม่สั่งห้ามชุมนุม

หลังการไต่สวนศาลมีคำสั่งไม่รับคำร้องทั้ง 3 คำร้อง เนื่องจากพิจารณาแล้วเห็นว่า จากการสอบถามผู้แทน พล.อ.บุญเลิศ และผู้แทน พล.อ.ท.วัชระ ยืนยันว่าไม่ได้มีการกล่าวเกี่ยวกับแนวคิดการปิดประเทศหรือแช่แข็งประเทศ แต่หมายความว่าเป็นการแช่แข็งนักการเมืองเลว นักการเมืองชั่วไว้ 5 ปี เพื่อป้องกันมิให้เข้ามากอบโกยหาผลประโยชน์ การนัดชุมนุมในวันที่ 24 พ.ย. เป็นการชุมนุมเพื่อแสดงพลังขับไล่รัฐบาล หากขับไล่แล้วไม่เป็นผลก็จะยุติการชุมนุม ยังไม่ปรากฏมูลเหตุว่าจะมีการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญ หรือเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งไม่ได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ ตามมาตรา 68 วรรคหนึ่ง

ที่มา.หนังสือพิมพ์โลกวันนี้
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ต้นกำเนิด แช่แข็ง !!?


เสธ.อ้าย. พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ รู้ฤทธิ์ถูกจับเข้าห้องฟรีส ห้องเย็น จนหมดแรง
ตนเองในฐานะ “นายกสมาคมมวยสมัครเล่น” ถูกต่อต้านจนสิ้นฤทธิ์
“นักมวยทีมชาติ” ทั้งชายและหญิง ไม่ให้ความร่วมมือ อย่างที่คิด
เป็นการจับ “เสธ.อ้าย” แช่แข็ง..เพราะเป็น “นายกฯสมาคมมวย” ที่บ่มิไก๊ เหลือดี
โดนแช่แข็งจนสิ้นสภาพ...นี่ไงขอรับ...ผู้เป็นต้นฉบับ ที่นักมวย พากันแอนตี้

+++++++++++++++++++++++++++++++

“ตีกิน”ไปวัน ๆ
สื่อสาร อย่างหลุดโลก อีกแล้วขอรับล่ะท่าน
เมื่อ “หมอตุลย์ สิทธิสมวงศ์” ตัวเป๋งม๊อบหลายสี ปากพาทีหลุดโลก
อวดหน้าตัก “ม๊อบภาชีกีฬาบัตร” มีทหารเสือราชินี ร่วมด้วย..หลายคนมองว่าเป็นเรื่องตลก
ทหารอยู่ในระเบียบวินัย รักประชาธิปไตย เพื่อให้ประเทศก้าวหน้า ไปในสังคมที่ดี
อ้างโดยไม่รับผิดชอบ...อ้างกันทุกจ๊อบ...ทหารไม่ชอบ เลิกอ้างเสียที

+++++++++++++++++++++++++++++++

“เต้น”ลนลาน
ฐานเสียงเลือกต้น ในพื้นที่ภาคใต้ ถิ่นแดนสะตอ คะแนนนิยม กำลังเป็นของรัฐบาล
“ธานี เทือกสุบรรณ” สส.ประชาธิปัตย์ เมืองสุราษฎร จึงตีขลุมเป็นวรรคเป็นเวร
ว่า “ตระกูลชินวัตร” หลอกชาวใต้ ทุกคนต่างมองเห็น
แต่แปลกแฮะ, คนใต้ชื่นชม “ทักษิณ ชินวัตร” และ “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” เป็นกอง
เทงบพัฒนาภาคใต้...เรื่องที่รับปากเอาไว้..ไม่เคยทำผิดเงื่อนไข หลอกเสียทีไหนพี่น้อง

+++++++++++++++++++++++++++++++

ตีตราจองเก้าอี้
พ้นโทษการเมือง หลุดจากการจองจำ จากสมาชิกบ้านเลขที่ตองหนึ่ง กันเสียที
“ธานี ยี่สาร” คนดีคนเก่ง แห่ง ท่ายาง เมืองเพชรบุรี ..นักการเมืองหัวใจแกร่ง
มาทวงแชมป์คืน จาก สส.ประชาธิปัตย์ “นายกัมพล สุภาแพ่ง”
“ประชาธิปัตย์” ของ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” เตรียมลดยอด สส.ลงไปได้
แค่ “ธานี ยี่สาร” พ้นโทษ...คนก็เชียร์กันโลด...ให้กระโดดกลับมาเป็น “ผู้แทน”กันใหม่

+++++++++++++++++++++++++++++++

“ต้นไม้ใหญ่” ใครก็อาศัย
บินไปพบกันมาหลายรอบ สำหรับ “เสี่ยหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย
กับ “อดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร” คุยกันทุกเรื่องจบ
ส่วนกับ “เนวิน ชิดชอบ” ผู้เคยแตกทัพ เพราะถูก “สีเขียว”บีบจนตาถลน ก็เคยพบ??
ว่ากันว่า เมื่อคราวที่ “ทักษิณ” บินไปเมืองผู้ดีอังกฤษ “เนวิน” ก็เข้าไปเจรจาต้าอวย
“ประชาธิปัตย์”อย่าได้มาจีบ..ขอให้อยู่หัวเดียวกระเทียมลีบ...เอาหัวคลุมปี๊บ ไม่มีใครเป็นพวกด้วย

โดย:ตอดนิดตอดหน่อย, บางกอกทูเดย์
////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันพฤหัสบดีที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

จับสัญญาณร้ายหนีไม่พ้นนองเลือด !!!?


นปช. จะว่าจ้างผู้ตรวจสอบทางกฎหมายให้ลงพื้นที่ในระหว่างการชุมนุม และประสานกับเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องในประเทศไทย เพื่อประกันว่าหากมีรัฐประหารหรือความรุนแรงอันร้ายแรงเกิดขึ้น ประชาคมโลกต้องประณามและนำตัวคนที่มีส่วนรับผิดชอบมาลงโทษ และเมื่อกลุ่มผู้ให้การสนับสนุนทางการเงินต่อการเคลื่อนไหวนี้ถูกเปิดโปงต่อสาธารณชน นปช. มีแผนการเรียกร้องให้สมาชิกกว่า 14 ล้านคน เลิกอุดหนุนกลุ่มธุรกิจดังกล่าวในประเทศไทย...”

เสียงขู่ออกอากาศดังๆของนายโรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม ทนายมือหนึ่งด้านต่างประเทศของแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) แดงทั้งแผ่นดิน

ส่งสัญญาณให้รู้ว่างวดนี้ใครคิดจะทำอะไรไม่ง่าย

ถ้าปฏิวัติยึดอำนาจจะถูกสังคมโลกรุมประณามและไม่ให้การยอมรับ ถึงปิดประเทศได้แต่ก็ไม่มีใครคบหาสมาคมด้วย

ขณะที่กลุ่มทุนสนับสนุนการเคลื่อนไหวเพื่อให้เปลี่ยนแปลงโดยวิธีการนอกระบบก็ต้องหนาวๆร้อนๆกับคำขู่ว่าจะเปิดโปงรายชื่อเพื่อให้สมาชิกคนเสื้อแดงกว่า 14 ล้านคน บอยคอตไม่ซื้อ ไม่กิน ไม่ใช้บริการธุรกิจของกลุ่มทุนเหล่านั้น

ตัดฉากไปที่รัฐสภา นายก่อแก้ว พิกุลทอง ส.ส.บัญชีรายชื่อ นายวรชัย เหมะ ส.ส.สมุทรปราการ และ จ.ส.ต.ประสิทธิ์ ไชยศรีษะ ส.ส.สุรินทร์ พรรคเพื่อไทย ในฐานะแกนนำคนเสื้อแดง แท็กทีมกันมาเล่าฉากหลังความเคลื่อนไหวของม็อบไล่รัฐบาล

ขณะนี้พบว่ามีการวางแผนก่อเหตุ ซึ่งไม่ได้มาจากมือที่สาม แต่มาจากกลุ่มผู้ชุมนุมเอง โดยเป็นไปได้ 4 แนวทางคือ 1.ก่อเหตุการณ์คล้ายกับวันที่ 7 ต.ค. 2551 ที่กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยล้อมสภา จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต จากนั้นเรียกร้องให้รัฐบาลรับผิดชอบ หากไม่ยอมจะก่อการจลาจล ตามด้วยให้ทหารออกมายึดอำนาจ

2.สร้างสถานการณ์ให้คนไทย 2 กลุ่ม เกิดการเผชิญหน้ากันจนบาดเจ็บล้มตาย และนำไปสู่การให้ทหารออกมา

3.ส่งคนเข้ามาแฝงตัวในสภาเพื่อก่อเหตุร้าย และ 4.ส่งคนเข้ามาแฝงและจับกุมตัว น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี

นอกจากนี้เชื่อว่าจะมียุทธการลักษณะคู่ขนาน การอภิปรายไม่ไว้วางใจของฝ่ายค้านจะมีเหตุวุ่นวายในสภา จนทำให้สังคมเห็นว่ากลไกในสภาไม่ทำงาน

เมื่อตั้งเป้าหมายไว้สูงว่าจะต้องทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงก็มีทางเดียวคือ ต้องทำให้เกิดความรุนแรงให้ได้มากที่สุด เพราะการชุมนุมปรกติล้มรัฐบาลไม่ได้

ฟังแล้วก็รู้สึกระทึกกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่วันข้างหน้า

ไม่รวมกับข่าวการตรวจพบว่ามีการเตรียมอาวุธสงคราม เช่น ระเบิด เอ็ม 79 เพื่อยิงใส่กลุ่มผู้ชุมนุมเพื่อสร้างเหตุจลาจล และอาจมีการยิงเข้ามาในสภาด้วย และยังทราบมาว่ามีทหารยศพลเอกชื่อย่อ น. สั่งให้คนไปซื้อเหล็กแป๊ป 100 ท่อน และไม้ตีหัวตะปู รวมถึงไม้ชนิดอื่นๆกว่าพันท่อน อยากถามว่าเตรียมไว้ทำอะไร

เร้าฉากบู๊ตะลุมบอนที่จะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่วันข้างหน้า

ร้อนถึงพรรคประชาธิปัตย์ที่ต้องออกหน้ามารับรองความชอบธรรมของม็อบไล่รัฐบาล

นายถาวร เสนเนียม รองหัวหน้าพรรค จวกตำรวจเละว่าใส่ร้าย ดูถูกประชาชนที่จะมาชุมนุมว่ารับค่าจ้างวันละ 300-1,500 บาท และมีแผนเคลื่อนไหวแบบดาวกระจายไปปิดล้อมสถานที่สำคัญต่างๆ

นายถาวรมั่นใจว่าการชุมนุมขับไล่รัฐบาลเป็นการรวมตัวของกลุ่มประชาชนคนไทยที่ทนไม่ได้กับการบริหารราชการแผ่นดินของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ที่ใช้นโยบายประชานิยมผลาญงบประมาณ เปิดช่องให้มีการทุจริตคอร์รัปชัน และทำ 2 มาตรฐาน มีการเล่นพรรคเล่นพวก

นอกจากรับประกันว่ามาด้วยใจ ยังมั่นใจว่าไม่มีมือที่สามสวมรอยเป็นแดงเทียมก่อเหตุปั่นป่วน มีแต่แดงฮาร์ดคอร์ที่จ้องลอบกัดผู้ชุมนุม โดยให้ดูสัญญาณของการสร้างสถานการณ์ง่ายๆว่าในช่วงชุมนุมมีบรรดาลูกหลานของคนตระกูลชินวัตรเดินทางออกนอกประเทศหรือไม่

ประทับตรารับรองล่วงหน้าว่าถ้ามีความรุนแรงก็ไม่ได้เกิดจากผู้ชุมนุม

จับสัญญาณจาก 2 ฝ่าย ทำให้มั่นใจได้ว่าโอกาสจะมีเหตุการณ์เลือดตกยางออกในการชุมนุมขับไล่รัฐบาลนั้นมีความเป็นไปได้มาก

ที่มา.หนังสือพิมพ์โลกวันนี้

**********************************************************************

วันพุธที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ปิดฉากอาเซียนซัมมิต ระอุโอบามา ยกสิทธิมนุษยชนฉะ ฮุนเซน ปินส์ฯ ฉุนเขมร ขวาง มะกันแก้พิพาททะเลจีนใต้ !!?


ปิดฉาก"อาเซียนซัมมิต"ระอุ"โอบามา"ยกสิทธิมนุษยชนฉะ"ฮุนเซน"-ปินส์ฉุนเขมรขวางมะกันแก้พิพาททะเลจีนใต้

รูดม่านประชุมอาเซียนบรรยากาศ ระอุ หลังโอบามายกปัญหาสิทธิมนุษยชนขึ้นหวดฮุน เซน พร้อมขู่อยากสัมพันธ์ราบรื่นต้องเร่งแก้ไข ขณะที่ กรณีพิพาททะเลจีนใต้ยังไร้ทางออกเหมือนเคย เหตุมังกรกันท่าลุงแซม และกัมพูชาหนุนจีน จนผู้นำตากาล็อกออกอาการฉุนขาด
       
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า การประชุมสุดยอดสมาคมประชาชาติเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรืออาเซียนซัมมิต ครั้งที่ 21 พร้อมด้วยการประชุมที่เกี่ยวข้องอื่นๆ อาทิ การประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออก หรืออีสต์เอเชียซัมมิต และเสวนาอาเซียนโลก หรืออาเซียนโกลบอลไดอะล็อก เป็นต้น ซึ่งมีขึ้น ณ กรุงพนมเปญ เมืองหลวงของกัมพูชา ได้เสร็จสิ้นลงแล้ว เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ตามเวลาท้องถิ่น
       
รายงานข่าวแจ้งว่า บรรยากาศการประชุมในช่วงวันสุดท้ายนี้ ดำเนินไปอย่างเคร่งเครียด โดยประธานาธิบดีบารัก โอบามา ผู้นำสหรัฐฯ คนแรกที่เยือนกัมพูชา ได้พบปะกับสมเด็จฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ที่พระราชวังสันติภาพ ซึ่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้หยิบยกประเด็นต่างๆ ขึ้นมาหารือกับสมเด็จฮุน เซน ได้แก่ ปัญหาสิทธิมนุษยชนในกัมพูชาที่ยังคงมีละเมิดกันอย่างรุนแรงอยู่ การคุมขังนักโทษการเมืองในเรือนจำที่มีอยู่เป็นจำนวนมาก รวมถึงการเลือกตั้งในกัมพูชาที่จะมีขึ้นในอนาคต ทางประธานาธิบดีโอบามา ได้กระตุ้นเตือนให้ดำเนินไปอย่างบริสุทธิ์ยุติธรรม ทั้งนี้ ผู้นำสหรัฐฯ ย้ำว่า การแก้ไขปัญหาสิทธิมนุษยชนในกัมพูชา จะช่วยส่งผลให้ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ กับกัมพูชา พัฒนาไปในทิศทางที่มั่นคงมากกว่าที่เป็นอยู่
       
ขณะที่ ประเด็นอื่นๆ ที่เป็นที่จับตามองมากที่สุด ได้แก่ ปัญหาพิพาทดินแดนทะเลจีนใต้ ส่งผลให้หลายฝ่ายคาดหวังว่า ประธานาธิบดีโอบามา จะสามารถเข้าไกล่เกลี่ยข้อพิพาทข้างต้นที่เกิดขึ้นระหว่างจีนกับหลายชาติสมาชิกในอาเซียน ได้แก่ ฟิลิปปินส์ เวียดนาม มาเลเซีย และบรูไน อย่างไรก็ตาม ปรากฎว่า นายเหวิน เจียเปา นายกรัฐมนตรีของจีน ได้แสดงท่าทีไม่เห็นด้วยต่อการที่จะให้นานาชาติที่ไม่ใช่ชาติสมาชิกอาเซียน เข้ามามีส่วนร่วมในการแก้ไขข้อพิพาทดังกล่าว พร้อมกันนี้ ก็ได้หยิบยกในข้อตกลงที่ทำไว้กับอาเซียนเมื่อปี 2545ที่ระบุให้จำกัดจำนวนชาติตัวแทนการเจรจาแก้ไขข้อพิพาท ทำให้ชาติสมาชิกอาเซียนไม่สามารถขอความช่วยเหลือจากสหรัฐฯ เข้ามาไกล่เกลี่ยได้ ประกอบกับที่ประชุมอาเซียนซัมมิตครั้งนี้ มีความเห็นไม่เป็นเอกฉันท์ และไม่สามารถออกแถลงการณ์ร่วมเพื่อแก้ไขข้อพิพาทเหมือนเช่นที่ผ่านมา ส่งผลให้ประธานาธิบดีเบนิกโน อาควิโน แห่งฟิลิปปินส์ แสดงความไม่พอใจอย่างรุนแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ที่ต่อสมเด็จฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชาที่แสดงท่าทีสนับสนุนจีน เป็นเหตุให้ประธานาธิบดีอาควิโน มีแผนการที่จะเชิญตัวแทนจากเวียดนาม มาเลเซีย และบรูไน ที่มีปัญหาพิพาทดินแดนกับจีน ไปหารือกันนอกรอบ

ที่มา.สยามรัฐ
///////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

ต้อนรับอเมริกากับจีน แล้วอย่าลืมอินเดีย !!?


ในรอบสัปดาห์นี้ ประเทศไทยคึกคักอย่างมากเนื่องจาก “แขกสำคัญ” ทั้งผู้นำสหรัฐและจีนต่างมาเยือนในเวลาไล่เลี่ยกัน เป็นสัญญาณอันดีว่าไทยต้องปรับตัวและหาจุดสมดุลทางการทูตระหว่างมหาอำนาจทั้งสองชาติของโลก เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศ
แต่ในรอบสัปดาห์เดียวกัน นายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร ยังได้หารือกับ “ผู้นำประเทศ” อีกคนหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้กัน
นั่นคือนายมานโมฮัน ซิงค์ นายกรัฐมนตรีแห่งอินเดีย

ภาพจาก thaigov.go.th
แม้นายซิงค์ไม่ได้แวะมาเมืองไทย แต่ก็เข้าร่วมประชุมสุดยอดผู้นำเอเชียตะวันออก East Asian Summit ที่ประเทศกัมพูชาด้วยเช่นกัน นอกจากการหารือระดับพหุภาคีกับอาเซียนทุกชาติแล้ว นายซิงค์ยังมีกำหนดการเจรจาแบบทวิภาคีกับนายกรัฐมนตรีไทยอีกด้วย
เนื้อหาการเจรจาส่วนใหญ่เป็นเรื่องการพัฒนา “พื้นที่ด้านตะวันตก” ของไทย ตามแนวทาง Look East ของอินเดีย และ Look West ของประเทศไทย ซึ่งมี “พม่า” เป็นพื้นที่ตรงกลาง โดยเน้นหนักไปที่โครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมคือโครงการทางหลวงสามฝ่าย (ไทย พม่า อินเดีย) แต่ก็ยังมีข้อตกลงอื่นๆ เรื่องการค้าการลงทุนอีกด้วย
นอกจากการหารือกับนายกรัฐมนตรีอินเดียแล้ว นายกยิ่งลักษณ์ยังมีกำหนดหารือทวิภาคี กับ นายเต็ง เส่ง ประธานาธิบดี สหภาพเมียนมาร์ ในเรื่องท่าเรือทวายด้วยเช่นกัน
การพบปะกับผู้นำชาติที่อยู่ทาง “ตะวันตก” ของประเทศไทยทั้งสองชาติ เป็นสัญญาณที่ดีว่าไทยเองก็ต้องให้ความสำคัญกับพื้นที่ฝั่งทะเลอันดามันมากขึ้น หลังจากที่ถูกปิดกั้นทาง “มายาคติ” มานานว่าพรมแดนด้านตะวันตกของไทยคือพม่า ชาติคู่แค้นในอดีต และชาติล้าหลังในปัจจุบัน
ไทยต้องเปลี่ยนความคิดเสียใหม่ มองพรมแดนด้านตะวันตกให้เป็น “โอกาส” ของการค้าและการลงทุน ใช้จังหวะที่พม่ากำลังเปิดประเทศเชื่อมโยงไปยังอินเดีย มหาอำนาจอีกรายของเอเชีย
Thailand Look West to India
พื้นที่การพัฒนาฟากตะวันตกของประเทศไทย  ด้านทะเลอันดามันและอ่าวเบงกอล อยู่ภายใต้องค์กรความร่วมมือ BIMSTEC (Bay of Bengal Initiative for MultiSectoral Technical and Economic Cooperation) ซึ่งมีประเทศสมาชิกคือ ไทย พม่า บังกลาเทศ ภูฏาน เนปาล อินเดีย และศรีลังกา ซึ่งประเทศในกลุ่มมีการประชุมระดับรัฐมนตรีกันเป็นระยะ แต่ความสำคัญยังไม่มากนักเมื่อเทียบกับความร่วมมือทางเศรษฐกิจของกลุ่มความร่วมมืออื่นๆ
อินเดียถือเป็นมหาอำนาจของเอเชียอีกประเทศหนึ่ง ควบคู่ไปกับจีนและญี่ปุ่น ถึงแม้ว่าอินเดียจะอยู่ใกล้ชิดกับภูมิภาคอินโดจีน แต่กลับไม่มีทางเชื่อมถึงกันยกเว้นผ่านพม่า ดังนั้นไทยควรใช้ประโยชน์ทางภูมิรัฐศาสตร์ และความสัมพันธ์ที่ดีกับประเทศอินเดีย ขยายความร่วมมือทางการค้าและเศรษฐกิจให้มากขึ้นด้วย
ข้อมูลจาก สำนักข่าวแห่งชาติ และ MCOT
ที่มา.Siam Intelligence Unit
/////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

สู่การสร้างประวัติศาสตร์ ความร่วมมือ ลาว-เวียดนาม !!?


ลาวและเวียดนาม สถาปนาความสัมพันธ์ทางประวัติศาสตร์ โดยการจัดตั้งโครงการ “ประวัติศาสตร์การต่อต้านเจ้าอาณานิคมฝรั่งเศส และจักรวรรดินิยมอเมริกาผู้รุกราน ของกองกำลังติดอาวุธและบรรดาชนเผ่าแขวงภาคกลางของลาว
สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว และสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม มีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นต่อเนื่อง ซึ่งเป็นผลมาจากการร่วมรบเพื่อเรียกร้องเอกราชจากฝรั่งเศสในช่วงระหว่างปี ค.ศ. 1945-1975 โดยความสัมพันธ์นี้ สามารถเห็นได้จากการให้เกียรติ เยี่ยมเยือนระหว่างตัวแทนการนำของทั้งลาวและเวียดนาม รวมถึงการเข้ามาลงทุนในลาวของกลุ่มทุนเวียดนาม เช่น ธนาคารร่วมพัฒนาลาว-เวียดนาม, การร่วมก่อตั้งตลาดหลักทรัพย์ลาว และการก่อสร้างโครงการถนนเชื่อมสายสำคัญ รวมถึงแผนเครือข่ายรถไฟความเร็วสูงระหว่างลาวกับตอนกลางของเวียดนามเป็นสายแรก
นอกจากประเด็นทางเศรษฐกิจนั้น ยังเป็นที่น่าสนใจว่า ทางการลาวและเวียดนาม ได้ส่งเสริมความสำคัญทางการศึกษาประวัติศาสตร์ และสังคม โดยเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา กระทรวงป้องกันประเทศแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ร่วมกับกระทรวงป้องกันประเทศของสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ร่วมกันจัดตั้งโครงการ “ประวัติศาสตร์การต่อต้านเจ้าอาณานิคมฝรั่งเศส และจักรวรรดินิยมอเมริกาผู้รุกราน ของกองกำลังติดอาวุธและบรรดาชนเผ่าแขวงภาคกลางของลาว (1945-1975)” และ “โครงการสรุปขั้นตอนการเคลื่อนไหวทางการทหารเพื่อปลดปล่อยพูเพียงบอลิเวน (1970-1971)” ตั้งแต่ปี 2010 เป็นต้นมา และได้สำเร็จโครงการสมบูรณ์ในปี 2012 นี้
ในพิธีการรับมอบเอกสารโครงการทั้งสอง ณ กระทรวงการป้องกันประเทศ สหายพลตรี จันสะหมอน จันยาลาด กรรมการศูนย์กลางพรรค รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงป้องกันประเทศ ได้ลงนามร่วมกับสหายเหงียนแทงกุง กรรมการศูนย์กลางพรรค รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงป้องกันประเทศแห่งสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม โดยโครงการทั้งสองเป็นการร่วมลงมือศึกษาค้นคว้าระหว่างนักประวัติศาสตร์ลาวและเวียดนาม ในเรื่องของการต่อต้านเจ้าอาณานิคมฝรั่งเศส และจักรวรรดินิยมอเมริกาที่มารุกราน ระหว่างปี 1945-1975 ความยาวทั้งหมด 450 หน้า พร้อมกันนี้ยังมีแผนที่ แผนผัง รูปภาพที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ ส่วนในโครงการสรุปขั้นตอนการปลดปล่อยพูเพียงบอลิเวนนั้น เป็นการศึกษาประวัติศาสตร์เชิงยุทธศาสตร์การทหาร
ซึ่งโครงการดังกล่าว จะนำไปประยุกต์ปรับปรุงบรรจุลงเป็นหลักสูตรในการศึกษาวิชาสังคมศึกษาและประวัติศาสตร์ ของนักเรียนนักศึกษาของลาวและเวียดนาม รวมถึงจัดพิมพ์เป็นหนังสืออ้างอิงให้แก่ผู้สนใจศึกษาต่อไป
นอกจากนี้ ทางกรมสำเนาเอกสารของทั้งสองประเทศ ยังได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจ เพื่อร่วมมือการส่งเสริมสนุนสนุนการศึกษาและอบรมให้แก่พนักงานรัฐการของลาว ไปศึกษาต่อ ณ ประเทศเวียดนามในระดับชั้นปริญญาตรี-โท และการอบรมระยะสั้น 1-3 เดือน เพื่อแลกเปลี่ยนบัญชีเอกสารที่เกี่ยวข้องกับสายสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศ แลกเปลี่ยนข้อมูลเอกสารวิชาการ สำเนาเอกสารที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ และข่าวสารการเคลื่อนไหวในวงวิชาการอีกด้วย
โดยโครงการต่างๆ ถือเป็นการเฉลิมฉลองปีสามัคคีมิตรภาพระหว่างลาว-เวียดนาม ที่ได้เจริญสัมพันธไมตรี และร่วมต่อสู้กับเจ้าอาณานิคมและจักรวรรดินิยมมาเป็นเวลา 50 ปี คือตั้งแต่ปี 1962 – 2012

เกร็ดภาษาลาววันนี้ เสนอคำว่า ພົວພັນ (พัวพัน) : สัมพันธ์, เกี่ยวข้อง, concern, relate
ประเทศลาวและเวียดนาม ถือว่าเป็นสองประเทศที่มีความ ພົວພັນ ต่อเนื่อง โดยการนำของพรรคคอมมิวนิสต์ หรือพรรคประชาชนปฏิวัติ ที่มีความ ພົວພັນ ช่วยเหลือกันในการต่อสู้กับชาติตะวันตกในยุคสงครามเย็น

ที่มา:

////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันอังคารที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

วัดกันที่ลูกบ้าไม่กล้า ไม่แรง ก็จบเห่ !!?


ส่งสัญญาณสงครามครั้งสุดท้ายชัดขึ้นเรื่อยๆระหว่างฝ่ายต่อต้านกับลูกข่ายทักษิณ

การเคลื่อนไหวสุดสัปดาห์นี้เป็นอะไรที่น่าติดตามว่าคนไทยจะได้ออกไปลอยกระทงกันอย่างสบายใจหรือไม่

“...ทุกอย่างจะต้องยุติในการชุมนุมวันที่ 24-25 พ.ย. และจะไม่มีการนัดชุมนุมอีกเป็นครั้งที่ 3...”

เป็นเสียงประกาศอย่างชัดถ้อยชัดคำจากแกนนำชุมนุมขับไล่รัฐบาลนายกฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อย่าง พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ หรือ เสธ.อ้าย

แล้วก็เป็นอะไรที่ต้องเปิดหน้าเล่น เลิกเหนียมอายหลบอยู่หลังฉาก หลังถูกนายห้างดูไบห่อโฟนอินเข้ามาแฉว่ามีส่วนร่วมเคลื่อนไหวโค่นล้มรัฐบาลชุดนี้

พล.ร.อ.พะจุณณ์ ตามประทีป อดีตหัวหน้าสำนักงานมูลนิธิรัฐบุรุษ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี ออกมายอมรับตรงๆว่าวันที่ 24 พ.ย. จะไปร่วมม็อบขับไล่รัฐบาลที่ลานพระบรมรูปทรงม้าแน่นอน

แม้จะบอกว่าแค่ไปร่วม ไม่ขึ้นเวทีปราศรัย และเป็นการไปในนามส่วนตัว ไม่เกี่ยวอะไรกับประธานองคมนตรี

ที่ไปเพราะความรักชาติ ขอเป็นทหารแก่ที่จะไม่มีวันตายไปจากการรักชาติบ้านเมือง ห่วงใยกองทัพ ปกป้องสถาบัน แต่ก็ห้ามความคิดของฝ่ายตรงข้ามไม่ได้ว่าอาจมีความผูกโยงไปถึงตัวประธานองคมนตรี

ประหนึ่งว่า “มองพะจุณณ์เห็นป๋าเปรม” ยังไงยังงั้น

ยิ่งเจ้าตัวออกงานนั่งเล่นเปียโนโชว์ลูกคอร้องเพลงชิลๆในอารมณ์ ทำให้ใครหลายคนนึกย้อนไปถึงวันเก่าๆ เพราะนี่มันซีนคุ้นๆเหมือนเคยเห็นทุกครั้งก่อนมีการโค่นล้มเครือข่ายทักษิณ

การเมืองนอกสภาได้เวลาเปิดหน้าเล่น ใครเป็นใคร คิดอะไร อย่างไร ได้เห็นกันชัดเจน

หันไปมองการเมืองในสภาก็ช่างเหมาะเจาะ ช่วยปั่นอุณหภูมิให้สูงขึ้นได้อย่างไม่ต้องสงสัย เมื่อนายนิคม ไวยรัชพานิช ประธานวุฒิสภา บรรจุญัตติซักฟอกรัฐบาลของ ส.ว. เครือข่ายการเมืองนอกสภาให้ได้อภิปรายกันในวันที่ 23-24 พ.ย. นี้

ตรงกับการชุมนุมใหญ่ไล่รัฐบาลพอดิบพอดี

หมดจากการอภิปรายของ ส.ว. ก็ต่อคิวด้วยการซักฟอกของพรรคประชาธิปัตย์ที่ถือเป็นไฟท์บังคับต้องจัดหนักจัดเต็มใส่รัฐบาลแบบไม่ยั้งมือ เพราะการเมืองหลังศึกซักฟอกเดิมพันสูง

หากไม่ระคายผิวรัฐบาล นายกฯยิ่งลักษณ์ยังอยู่ในตำแหน่งได้ต่อไป พรรคประชาธิปัตย์คงไม่ได้ผุดได้เกิดทางการเมืองไปอีกนาน

ดูแนวโน้มว่ามีความเป็นไปได้ไม่น้อย เพราะถึงยังไงการเมืองในสภาก็โค่นล้มรัฐบาลไม่ได้ ต้องอาศัยการเมืองนอกสภา และอาศัยมือขององค์กรอิสระ

การเมืองนอกสภาแม้จะสร้างความหวาดหวั่นให้รัฐบาลได้ แต่หากไม่มีลูกบ้าเหมือนครั้งปิดล้อมรัฐสภา ยึดทำเนียบรัฐบาล ยึดสนามบิน หรือยึดอำนาจ โอกาสโค่นล้มเครือข่ายทักษิณแทบเป็นไปไม่ได้เลย

เลวร้ายที่สุดแม้นายกฯยิ่งลักษณ์ต้องลาออกเพราะถูกองค์กรอิสระที่ไหนสักองค์กรชี้มูลความผิด แต่การเลือกนายกฯคนใหม่ในสภาก็จะได้คนของพรรคเพื่อไทยอยู่ดี เพราะมี ส.ส. พรรคเดียวเกินครึ่ง

หากคิดจะใช้วิธีเก่าเรียกแกนนำกลุ่มต่างๆไปข่มขู่ให้ย้ายข้างมาสนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์เหมือนคราวที่แล้วก็เป็นไปได้ยาก เพราะคนที่อยู่กับพรรคเพื่อไทยทุกวันนี้จัดเป็นพวกเลือดแท้ ไม่ทิ้งพรรค

ภารกิจทลายห้างโค่นล้มเครือข่ายทักษิณเที่ยวนี้เดิมพันจึงสูงปรี๊ด หากไม่บรรลุผลตามเป้า โอกาสแช่แข็งประเทศร่างกติกาตามที่ต้องการแทบปิดประตูล็อกตาย

เมื่อเดิมพันสูง และเป็นสงครามครั้งสุดท้าย โอกาสที่จะเล่นแรงๆก็เป็นไปได้สูงอย่างไม่ต้องสงสัย

แต่จะแรงในระดับไหน อย่างไร ยังยากที่จะประเมิน

ที่มา.หนังสือพิมพ์โลกวันนี้
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++