--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันศุกร์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ธนาคารโลกชี้เงินไหลเข้าเอเชีย-ไทยสูงสุดในรอบ 5 ปี.

นางสาวกิริฎา เภาพิจิตร เศรษฐกรอาวุโสธนาคารโลก (เวิลด์แบงก์) ประจำประเทศไทย กล่าวว่า การเคลื่อนย้ายเงินทุนทั่วโลกรวมถึงการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (เอฟดีไอ) มีผลกระทบต่อไทย โดยวิกฤติยูโรโซนและสหรัฐ ทำให้นักลงทุนย้ายเงินจากฝั่งตะวันตกมาเอเชียตะวันออก รวมถึงไทย ทั้งนี้ หากให้ดูตัวเลข เทียบครึ่งแรกปีนี้กับครึ่งแรกปีที่แล้ว ซึ่งสูงอยู่แล้ว ปรากฏว่าครึ่งแรกปีนี้สูงกว่าครึ่งแรกปีก่อน ทำให้ทั้งปีนี้น่าจะสูงกว่าปีที่แล้วทั้งปีเช่นกัน

นางสาวกิริฎา กล่าวต่อว่า ในระยะนี้อาจเห็นเงินไหลจากฝั่งตะวันตก เข้ามาในเอเชียตะวันออกค่อนข้างมาก ตรงนี้ไทยคงได้รับอานิสงส์ไปด้วย ถ้าดูตัวเลขเอฟดีไอปีที่แล้วกับปีนี้ พบว่าจะสูงกว่าช่วง 5-6 ปีที่ผ่านมา ฉะนั้นจะได้เห็นตัวเลขเอฟดีไอไหลเข้ามาในไทยมากขึ้นนั้นถือเป็นข่าวดี แต่อีกด้านหนึ่งถ้าเงินไหลเข้ามาในประเทศ ค่าเงินคงแข็งขึ้น จึงต้องบริหารทั้งสองด้าน แม้ว่าค่าเงินแข็งขึ้น แต่หาก เอฟดีไอ ทำให้ศักยภาพในการผลิตกับคุณภาพดีขึ้น แข่งขันกับคนอื่นได้ แม้มีราคาแพงกว่าก็ไม่น่าจะเป็นปัญหา

ที่มา.เนชั่น
///////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันพฤหัสบดีที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ศัตรูประชาชน !!?

กองทุนหมู่บ้าน เฟส 3 เพิ่มทุนเป็น 2.1หมื่นล้าน !!?

กิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ (กทบ.)

กทบ. อนุมัติจัดสรรโอนเงินเพิ่มทุนให้กองทุนหมู่บ้านฯจำนวน 21,614 กองทุน เป็นเงิน 21,614,ล้านบาท

นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ (กทบ.) ครั้งที่ 5 ซึ่งผลการประชุม สรุปว่า .1. อนุมัติจัดสรรและโอนเงินเพิ่มทุนให้กับกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองที่เป็นไปตามหลักการเพิ่ม ทุนฯ ระยะที่ 3 และเป็นไปตามความเห็นให้สนับสนุน (เดือนสิงหาคม - ตุลาคม 2555) จำนวน 21,614 กองทุน เป็นเงิน 21,614,000,000 บาท 2. เห็นชอบในหลักการให้สำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ (สทบ.) และดำเนินงานด้านงบประมาณ และดำเนินการจัดสรรโอนเงินเพิ่มทุนฯ ระยะที่ 3 แก่กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง ทั้งนี้ หากจังหวัดมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลใดให้ดำเนินการประสานและยืนยันข้อมูลกับ สทบ. ก่อนการโอนเงิน โดยให้ สทบ. ประสานธนาคารออมสิน และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรเพื่อจัดให้มีการโอนเงินต่อไป

3. เห็นชอบในหลักการให้ สทบ. ดำเนินการแจ้งประสานให้กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองที่ยื่นคำขอรับการสนับสนุนเพิ่มทุนฯ และยังไม่เป็นไปตามหลักการเพิ่มทุนฯ ระยะที่ 3 ดำเนินการแก้ไข ปรับปรุง เพื่อให้กองทุนหมู่บ้านหรือชุมชนเมืองนั้น ๆ สามารถเสนอขอรับการเพิ่มทุนตามกระบวนการ ขั้นตอนการขอรับการสนับสนุนการเพิ่มทุนตามโครงการเพิ่มทุนกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง ระยะที่ 3 ต่อไป
พร้อมกันนี้ที่ประชุมพิจารณา เรื่องการเบิกจ่ายงบประมาณตามโครงการลงทุนภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 แล้วมีมติเห็นชอบให้ขยายเวลาในการเบิกจ่ายงบประมาณโครงการลงทุนภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 เพื่อดำเนินโครงการเพิ่มทุนกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง ระยะที่ 2 จนถึงวันที่ 30 กันยายน 2556 และอนุมัติให้นำงบประมาณเหลือจ่ายโครงการเพิ่มทุนกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง ระยะที่ 2 ไปดำเนินการสนับสนุนเพื่อเป็นทุนในการดำเนินงานของกองทุนหมู่บ้าน/ชุมชนเมือง ที่จัดตั้งใหม่ เพื่อให้กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองได้รับโอกาสในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนอย่างทั่วถึง

นอกจากนี้ที่ประชุมรับทราบการจัดงาน “ทศวรรษใหม่กองทุนหมู่บ้านฯ : เปิดปฏิบัติการเพิ่มทุนระยะที่ 3” ในวันที่ 25 ตุลาคม 2555 ณ อาคารชาเลนเจอร์ 1 และ 2 ศูนย์การแสดงสินค้าและการประชุม อิมแพ็ค เมืองทองธานี อ. ปากเกร็ด จ.นนทบุรี โดยนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี จะเป็นประธานในพิธีฯ ซึ่ง สทบ. กำหนดการจัดงาน“ทศวรรษใหม่กองทุนหมู่บ้านฯ : เปิดปฏิบัติการเพิ่มทุนระยะที่ 3” ขึ้นเพื่อเปิดปฏิบัติการเพิ่มทุนให้กับกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง และเพื่อเป็นการเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ผลการดำเนินงานของกองทุนหมู่บ้าน/ชุมชนเมือง ในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันพุธที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2555

กทม.ยังไร้หัว เพื่อไทย-ปชป.วังเวง !!?

จนถึงขณะนี้แม้จะอยู่ในห้วงเวลานับถอยหลังเข้าสู่การเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม.ซึ่งจะมีในช่วงต้นปีหน้า 2556 แต่จนแล้วจนเล่าทั้งพรรคเพื่อไทยและพรรคประชาธิปัตย์ ต่างยังไม่มีทีท่าชัดเจนว่าจะส่งใครลงสมัครรับเลือกตั้ง โดยเฉพาะกับพรรคเพื่อไทยนั้นตลอดระยะเวลาที่ผ่านมามีความพยายาม ที่จะอุปโลกน์ชื่อบุคคลมาอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็น นางปวีณา หงสกุล, นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รมว.คลัง, นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ รมช.คมนาคม, พล.ต.อ.เพรียวพันธุ์ ดามาพงศ์ อดีตผบ.ตร.หมาดๆ, “คุณหญิงหน่อย” สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ อดีตประธานภาคกทม.สมัยพรรคไทยรักไทย เรืองอำนาจ กระทั่งรายล่าสุดชื่อที่ถูกเสนอ ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็น พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ รองผบ.ตร. ที่กำลังหอมกรุ่นในฐานะมือปราบยาเสพติด ในฐานะ เลขาฯ ป.ป.ส.

จนแล้วจนรอดดูเหมือนว่าแต่ละรายที่มีชื่อปรากฏต่างมีเหตุในบางประการทำให้ไม่สามารถเเป็นตัวแทนของพรรคในการกรำศึกลงเลือกตั้งได้ ถึงกระนั้นดูเหมือนว่าพรรคเพื่อไทยเองก็ยังไม่ละความพยายามที่จะสรรหาตัวบุคคลลงสมัครรับเลือกตั้ง ล่าสุดมีบางกระแสระบุว่ายังมีแนวโน้มสูงที่อาจจะยังเป็น พล.ต.อ.พงศพัศ เนื่องเพราะด้วยสเปกและความสดยังเป็นต่อ ประการสำคัญถือเป็นมืออาชีพในการประชาสัมพันธ์ภาพลักษณ์ ผนวกกับเงื่อนไขในบางประการโดยเฉพาะอายุราชการที่ยังเหลือพอที่จะกลับมาผงาดเป็นใหญ่ในเส้นทางสีกากีได้ หากประสบอุบัติเหตุจากการสอบตกในสนามเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม. แต่บางกระแสก็ยังคงเชื่อว่าไม่แน่อาจจะพลิกกลับมาเป็น “คุณหญิงหน่อย” หากสามารถตกลงเงื่อนไขบางประการสำเร็จ เพราะจนถึงนาทีนี้ยังคงมีความเคลื่อนไหวอยู่สม่ำเสมอกับ “คุณหญิง”

เช่นเดียวกับพรรคประชาธิปัตย์ เลือกตั้งครั้งหน้าแม้ว่า “คุณชายหมู” ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร จะแสดงเจตจำนงอยากจะลงเลือกตั้งในคำรบ สอง แต่มีบางกระแสบอกว่าจนถึงขณะนี้ “หนุ่มหล่อร่างโย่ง” อย่าง กรณ์ จาติกวณิช อดีตขุนคลัง ในรัฐบาลอภิสิทธิ์ ก็มีความรู้สึกสนใจเพราะมีบางกลุ่มโดยเฉพาะสมาชิกสภากทม.อยากจะผลักดันให้ลงทำหน้าที่ แต่ถึงขณะนี้ภาพก็ยังไม่เป็นที่ปรากฏชัดเจนแต่ประการใด จน ถึงนาทีนี้จึงกลายเป็นว่าทั้งพรรคเพื่อไทย และพรรคประชาธิปัตย์ยังไร้หัวสำหรับคนลงสมัครรับเลือกตั้ง

กลับมาดูกันต่อที่พรรคเพื่อไทย อีกสักนิด แม้ว่าพรรคยังจะหาตัวบุคคลลงสมัครในนามพรรคไม่ได้ แต่ดูเหมือนว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ทางพรรคมีความพยายามจะเคลื่อนไหวในกิจกรรมมาอย่างต่อเนื่อง ด้วยการขายนโยบายให้คนเมืองกรุงได้เห็น พร้อมๆ กับการเปิดปฏิบัติการดิสเครดิตผู้ว่าฯสุขุมพันธุ์ มาอย่างต่อเนื่อง โดยพรรคเพื่อไทย ภาย ใต้ร่มเงาของ อดีตนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร มีความเชื่อมั่นว่าการเมือง ในสนามท้องถิ่นไม่ต่างจากสนามระดับชาติเช่นการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) โดยเฉพาะถ้านโยบายโดน ใจเขาเชื่อมั่นว่าต้องได้กระแสตอบรับ ถึง นาทีนั้นพรรคจะส่งใครไม่สำคัญ

ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาเราจึงได้เห็นนโยบายบางอย่างถูกขับเคลื่อนมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะเรื่องของปัญหาการจราจร ที่พรรคได้มอบนโยบายให้ “รมช.ชัชชาติ” ไปศึกษาในรายละเอียด จนนำไปสู่การประชุมคณะกรรมการจัดระบบการจราจรทางบก (คจร.) ที่มี ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รอง นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน กระทั่งนำไปสู่แผนทั้งในระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว อวดสู่สายตาคนกรุง เทพฯ นอกจากนี้ ยังมีความพยายามที่จะใช้หน่วยงานในกำกับของรัฐ เช่น สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในการเข้ามาช่วยดูแลปัญหาในกรุงเทพฯ

และที่เหนือสิ่งอื่นใดเห็นจะเป็นการเข้ามากำกับดูแลเรื่องของกรุงเทพฯด้วยตนเองของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ทำ ให้หลายฝ่ายมองว่าการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.ที่จะมาถึงในช่วงต้นปี หน้า นอกจากพรรคเพื่อไทยจะขายนโยบายนำผู้สมัครแล้ว เราอาจจะได้เห็นความเป็น “ชินวัตร” เข้ากุมอำนาจเมืองหลวงแห่งนี้ด้วย

ที่มา.สยามธุรกิจออนไลน์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ถอดรหัส:การเมืองร้อน ผ่าแผน.ล้มอำนาจรัฐ ปิดบัญชี รบ.ปู !!?

มีกระบวนการจ้องล้มรัฐบาล.!!?

นี่คือเหตุแห่ง “วิวาทะ” ที่ดูชัดถ้อยชัดคำของ “ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง” รองนายกรัฐมนตรี ที่ได้วิเคราะห์ “รหัสการ เมืองไทย” ในวงประชุม ส.ส.พรรคเพื่อไทย เมื่อเร็วๆ นี้ ซึ่งกระบวนการล้มอำนาจรัฐที่ “สารวัตรเหลิม” พูดถึงนี้...เป็นสัญญาณที่กระจายผ่าน 3 เรื่องหลัก คือ 1.การ ไซฟ่อนงบน้ำท่วม 1.6 หมื่นล้าน 2.กรณีรับจำนำข้าว และ 3.เงื่อนปมชายชุดดำ


ประเด็นแรก ว่ากันถึงการปล่อยข่าว “ไซฟ่อนเงินงบน้ำท่วม” หลังจาก “มงคลกิตต์ สุขสินธารานนท์” เลขาธิการกลุ่มภาคีเครือข่ายต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่น แห่งชาติ (ภตช.) ออกมาแฉข้อมูลว่า ที่ฮ่องกงมีการอายัดเงินจำนวน 1.6 หมื่นล้านบาท ที่ไซฟ่อนไปจากประเทศไทย และ ส่งต่อไปยังธนาคารในฝรั่งเศส พร้อมดักคอรัฐบาลกรณีการเล่นกลทางการเงินผ่านนักการเมืองในเครือข่าย “เจ๊ ด.” ซึ่งเป็นผู้มากบารมีในพรรคการเมืองขั้วรัฐบาล

แม้ในภายหลังคณะกรรมการปราบปรามทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้ออกมาช่วย “แก้ลำ” โดยชี้ว่า...ตรวจสอบแล้วไม่พบมูลความจริง ต่อมา “สารวัตรเหลิม” ได้ออกมาสุมไฟพรรคประชาธิปัตย์ว่า... เต้าข่าว เพื่อหวังผลทางการเมืองและทำลายความน่าเชื่อถือของรัฐบาล

ช็อตต่อมาคือ กรณีทุจริตรับจำนำข้าว! ที่ประชาธิปัตย์เอามาปูด ซึ่งก็สร้างความหวั่นไหวให้แก่รัฐบาลอย่างรุนแรง ผสานเข้าจังหวะไปกับ “แรงกดดัน” จากแนวร่วม “ชนชั้นกลาง” ที่ออกมาร่วมกันถล่มรัฐบาลแบบรายวัน ภายใต้ “รหัสการเมือง” ที่คาบลูกคาบดอก เคล้าไปด้วยเงื่อนปมทุจริต ทอดยอดต่อมาจากนโยบาย ประชานิยมยั่งยืน ซึ่งแม้แต่คนใกล้ชิด “ศูนย์กลางอำนาจรัฐ” อย่าง “ดร.โกร่ง” วีรพงษ์ รามางกูร ก็ยังมองว่า นี่คือ “จุดเริ่มต้น” แห่งหายนะของรัฐบาลชุดนี้

ส่วนที่เป็นไฮไลต์สำคัญของเรื่อง ยังคงอยู่ที่ประเด็น “ชายชุดดำ” !!!

ถ้าว่ากันด้วย “เงื่อนไขเวลา” และ “ลำดับความสำคัญ” นั่นย่อมสะท้อนให้เห็น “นัยยะทางการเมือง” ที่แตกต่างกัน ไปตามน้ำหนักแห่งรหัสที่ “สารวัตรเหลิม” ชี้ชัดว่า...นี่คือขบวนการล้มรัฐ! นอกจากนี้ “ป๋าเหลิมแห่งบ้านริมคลอง” ยังประเมินไว้ด้วยว่า ราวๆ เดือนตุลาคม-พฤศจิกายนนี้ จะมี “ม็อบการเมือง” ที่แฝงตัวโดยยกเอาปัญหาความเดือดร้อน ของชาวบ้าน มากดดันและทำลายความเชื่อถือของรัฐบาล เหล่านี้ มิใช่แค่พูดกันลอยๆ แต่คนของรัฐบาลได้กำชับให้ทุกจังหวัดเร่งจัดการ แก้ปัญหาให้จบในพื้นที่ อย่าปล่อยให้ “สารพัดม็อบ” หลุดเข้ามาในเมืองหลวง

กระนั้นยังคงมี “จุดเชื่อมโยง” อันหลากหลาย หลังการเคลื่อนไหวของมวลชน กลุ่มใหม่อย่าง “กลุ่มองค์กรพิทักษ์สยามฯ” ใต้ปีกการนำของ “เสธ.อ้าย” พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ สหายร่วมรุ่น “ตท.1” ของ “บิ๊กแอ้ด” พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี และอดีตนายกรัฐมนตรี


มาหนนี้ “เสธ. อ้าย” ได้เข้าคู่กับ “น.พ. ตุลย์ สิทธิสมวงศ์” แกนนำ กลุ่มเสื้อหลากสี และ “พล.ร.อ.ชัย สุวรรณภาพ” อดีตรอง ผบ.สส. เปิดฉากรุกไล่ทางการเมือง อย่างข้นคลั่ก! พร้อมขยาย ความคิด “ขวาตกขอบ” ที่ว่า...ให้ทหารนำสังคม! และเรียกร้องให้ทหารทำรัฐประหารเพื่อปกป้องสถาบันกษัตริย์ ...28 ตุลาคมนี้ จึงกลายเป็น “วัน ดีเดย์” ที่มวลชนกลุ่มนี้ประกาศชักธงรบ...ทำสงครามข้างถนนกับ “รัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” เป็นการรุกไล่แบบ “ม้วนเดียวจบ... ไม่มียืดเยื้อ” ราวกับเป็นรหัสปฏิบัติการขั้นเด็ดขาดซึ่งก็มิใช่เรื่องธรรมดาเป็นแน่ เพราะ แกนนำรัฐบาลเริ่มได้กลิ่นผิดปกติ และเฝ้า แกะรอยการเคลื่อนไหวอย่างใกล้ชิด

ขณะที่แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตย ต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ “นปช.” ในฐานะองครักษ์พิทักษ์ “รัฐนาวาปูแดง” ยังตั้งข้อสังเกตในความเคลื่อนไหวของกลุ่มต่อต้านรัฐบาลเหล่านี้ว่า จะมีความเชื่อมโยงกับการเดินหมากทางการเมืองของขั้วฝ่ายค้าน...หรือไม่?!!

ยิ่งกับการที่พรรคประชาธิปัตย์ยังไม่ยอมหยุดไล่ล่า...ความเหลวแหลกของรัฐบาล! มุ่งทำทุกทางเพื่อ “สุมไฟการเมือง” ให้คุโชนขึ้นมาอีกครั้ง หลังมีการปล่อยคิว “ทีมงานสายล่อฟ้า” ให้เบนเป้าไปรุกหนัก...ชิงจังหวะเกมการเมืองข้างถนน ด้วย การตั้งเวที “เดินหน้าผ่าความจริงนัดพิเศษ” โฟกัสจะโค่น...แค่เฉพาะเรื่อง “มัจจุราชชุดดำ...รับจ้างฆ่าประเทศไทย” ที่เข้ามามีเอี่ยวในเหตุนองเลือดครั้งประวัติศาสตร์ “ขั้วฝ่ายค้าน” พยายามเร้าอารมณ์ไปด้วยคิวของ “สุเทพ เทือกสุบรรณ” อดีตแม่ทัพ ศอฉ. ที่หันมาเล่นบทดราม่า ขึ้นปราศรัยเคล้าน้ำตาในช่วงจังหวะพีค สุดๆ ที่กล่าวถึง “พล.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม” อดีตนายทหารบูรพาพยัคฆ์ ซึ่งถูก “กระสุนปริศนา” ยิงดับระหว่างเหตุควบคุมสถานการณ์ฉุกเฉิน ณ ตำบลกระสุนตกสี่แยกคอกวัวในช่วงเมษาฮาวายปี 2553

ปลุกกระชากอารมณ์เร้าๆ ของ “สาวกธงฟ้า” ให้ถึงขีดสุด...

ตอกย้ำกันด้วยวาทกรรม “ชายชุดดำ” ที่ทีมงานสายล่อฟ้าได้ยกเอา “ทฤษฎีมือที่ 3” มาแถสีข้างว่า “แฝงตัว” อยู่ในกลุ่มคนเสื้อแดง ซึ่งเท่าที่เห็นและเป็นไป “ขั้ว ปชป.” คงตั้งใจปั่นกระแสแรงๆ ที่ว่ากันว่า...มีรายการจัดหนัก!!! หวังลากยาวกระแส “ชายชุดดำ”

ขณะเดียวกันอีกด้านหนึ่งในประเด็น “ชายชุดดำ” อันเกี่ยวเนื่องกับ “มิคสัญญี 98 ศพ” ที่วันนี้คดีความเริ่มทยอยขึ้นสู่ “กลไกศาลยุติธรรม” และมีบางคดีที่ศาลชี้ออกมาว่า “เป็นฝีมือเจ้าหน้าที่รัฐ” แน่นอนเมื่อชี้คดีออกมาเป็นเช่นนี้ ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือ ศอฉ. ย่อมกลายเป็น “จำเลยสังคม” อย่างหลีกเลี่ยงไม่พ้น ซึ่งโดยหลักๆ แล้ว ใน ศอฉ.มีส่วนผสมส่วนใหญ่เป็นนักการเมืองและขุนทหารในกองทัพ เมื่อศาลชี้ว่า เจ้าหน้าที่รัฐ เป็นฝ่ายลั่นไกสังหารประชาชน ก็พออนุมานได้ว่า ฝ่ายการเมืองเป็นผู้ออกคำสั่ง ทหารซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่รัฐเป็นฝ่ายปฏิบัติตามคำสั่ง เมื่อเรื่องราวเป็นไปทำนองนี้ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” นายกรัฐมนตรีในวันเกิดเหตุ และ “สุเทพ เทือกสุบรรณ” รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคงในขณะนั้น รวมไปถึง “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ก็ยังสุ่มเสี่ยงว่า...จะมีส่วนพัวพันกับ “ข้อหาหนัก” เมื่อหลายคดีทยอยขึ้นสู่กระบวนการพิจารณา ในชั้นศาล

ทว่ายังมีคำถามติดตามมาว่า ...อะไร คือตัวนำไปสู่การตายของประชาชนและเจ้าหน้าที่ 98 คน บาดเจ็บพิการเกือบ 2,000 คน และ...อะไรคือตัวแปรที่ทำให้เจ้าหน้าที่ รัฐจำเป็นต้องใช้ความรุนแรง

ขณะที่ตัวละครปริศนาอย่าง “ชายชุดดำ” ก็ยังจับมือใครดมไม่ได้ แต่กระนั้นภาพจากโทรทัศน์ และที่เผยแพร่ไว้ตามสื่อ ต่างๆ ก็ทำให้เกิด “หลักฐานชิ้นสำคัญ” ที่ผู้เกี่ยวข้องใน ศอฉ.จะสามารถนำมาเป็น “เหตุผล”....หักล้างข้อหา “ฆ่าประชาชน”

ด้านความเคลื่อนไหวจากฝ่ายกองทัพ แม้จะดูไม่ชัดเจน แต่ก็พอทำความเข้าใจได้ว่า ที่สุดแล้วกองทัพก็สามารถปฏิเสธความผิดเหล่านี้ได้ว่า..ปฏิบัติไปตามคำสั่งของ ศอฉ. แต่ในส่วนของฝ่ายการเมืองนั้น ค่อนข้างชัดเจน เนื่องด้วยทั้ง “อดีตนายกฯ อภิสิทธิ์” และ “เทพเทือก” รวมไปถึงคน ในพรรคฝ่ายค้าน ยังได้เปิดปฏิบัติการแฉ... ขบวนการชายชุดดำ ในทุกเวทีและทุกสื่อ ประหนึ่งหวังปลดล็อกข้อหา “สั่งฆ่าประชาชน” เพื่อให้คู่หู ปชป.พ้นมลทินได้ในที่สุด

การหยิบยกกรณี “ชายชุดดำ” ขึ้นมานั้น นอกจากจะเป็นการสร้างป้อมปราการ กำบังให้ตัวเองให้ฝ่ายสั่งการแล้ว ยังเป็นการ ทอดยอดไปสู่ฝ่ายปฏิบัติ นั่นก็คือ.. กองทัพ!!! ฉายภาพให้ชัดขึ้น ด้วยสถานการณ์ ทางการเมือง คงต้องยอมรับว่า เป็นเรื่อง ยากยิ่งนักที่ฝ่ายค้านจะสามารถสั่นคลอน “รัฐบาล” ให้ล้มลงได้ กระนั้นยิ่ง “รัฐบาล” เอาจริงเอาจัง เร่งคดี 98 ศพเข้าสู่กระบวนการศาลยุติธรรม ให้เข้มข้นมากขึ้นเท่าไหร่ ก็ยิ่งทำให้ระดับความสัมพันธ์ระหว่างฝ่าย ค้านและกองทัพ ขยับเข้ามาใกล้ชิดกันมาก ขึ้นเท่านั้น ซึ่งคงไม่เป็นผลดีกับรัฐบาลชุดนี้สักเท่าไหร่ เหนืออื่นใด นั่นจะยิ่งทำให้เกิดแรง กระเพื่อมในทางการเมือง ตลอดจนการ เคลื่อนไหวของสารพัดม็อบข้างถนน ที่ดูแล้ว...มีแนวโน้มจะบานปลายยิ่งขึ้นไปอีก พลันให้ต้องลุ้นด้วยใจระทึกไปกับ เหตุแห่งความวุ่นวายรอบใหม่ ที่กำลังปรากฏขึ้นอีกครั้งในเร็ววันนี้?!!

ที่มา.สยามธุรกิจออนำลน์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

“พรรคการเมืองทางเลือก” มีจริงหรือ? แค่กระแส หรือ ของจริง?

โดย จิตติพร ฉายแสงมงคล
ชื่อบทความเดิม “โอกาสและความจำเป็นของพรรคทางเลือก- ทางที่ควรเลือก?”

ยิ่งใกล้วันเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาขึ้นมาเท่าใดคำถามเรื่องพรรคทางเลือกก็ยิ่งดังขึ้นมากเท่านั้นพรรคที่สามหรือแม้แต่ผู้สมัครอิสระเป็นหัวข้อที่ถกเถียงในสหรัฐอเมริกากันมาอย่างยาวนานแต่ดูเหมือนว่าจะเป็นไปได้ยากว่าจะมีพรรคใดสามารถเบียดพรรคใหญ่ทั้งสองได้

เนื่องจากประวัติศาสตร์การเมืองรวมทั้งระบบการเลือกตั้งของสหรัฐอเมริกาแบบfirst-past-the-post (ผู้สมัครซึ่งได้คะแนนเลือกตั้งมากที่สุดได้รับเลือก) เป็นปัจจัยทำให้เกิดระบบสองพรรคขึ้น (1)
เลือกพรรคทางเลือก ภาพจาก http://whataboutpeace.blogspot.com/
เลือกพรรคทางเลือก ภาพจาก http://whataboutpeace.blogspot.com/

หันกลับมาดูในประเทศไทยซึ่งก็ใช้ระบบผู้สมัครซึ่งได้คะแนนเลือกตั้งมากที่สุดได้รับเลือกเช่นกัน(การเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อเพิ่งเพิ่มมาหลังปีพ.ศ.2540) แต่ที่นั่งในสภาก็ไม่ได้เป็นแค่ของสองพรรคแต่อย่างใดบ้านเรามีประวัติศาสตร์ที่ยาวนานของการจับมือกันของพรรคการเมืองเพื่อจัดตั้งรัฐบาลผสมจะมีก็ช่วงหลังที่ระบบพรรคการเมืองไทยเริ่มมีแนวโน้มจากแบบหลายพรรคเป็นระบบสองพรรคมากขึ้น
คำถามเรื่องพรรคทางเลือกจึงมีมากขึ้นในช่วงนี้สำหรับสหรัฐอเมริกาพรรคทางเลือกคือพรรคอื่นนอกเหนือจากพรรคเดโมแครตกับพรรครีพับลิกันสำหรับประเทศที่มีรัฐบาลผสมอย่างเยอรมนีพรรคทางเลือกเป็นพรรคที่มีคนเลือกน้อยซึ่งอาจจะนับพรรคที่ไม่มีผู้แทนเข้าไปนั่งในสภาเพราะได้รับคะแนนเสียงไม่เกินห้าเปอร์เซ็นของคะแนนเสียงทั้งหมดทั้งนี้การจะเรียกพรรคใดว่าพรรคทางเลือกในประเทศที่มีรัฐบาลผสมนั้นไม่มีข้อกำหนดที่แน่นอน[2]

ถ้ามาดูผลการเลือกตั้งของประเทศไทยเมื่อปี2554จะเห็นได้ว่าพรรคเพื่อไทยและประชาธิปัตย์คือพรรคใหญ่สองพรรคที่กวาดที่นั่งรวมกันไปเกือบ85% ของที่นั่งทั้งหมดโดยมีพรรคภูมิใจไทยและชาติไทยพัฒนาที่ตามมาห่างๆที่6.8% และ3.8% ตามลำดับซึ่งผู้เขียนคิดว่าพรรคทั้งสองนี้น่าจะจัดอยู่ในหมวดพรรคทางเลือกเช่นเดียวกับพรรคเล็กอื่นๆ

ในการเลือกตั้งครั้งนี้อาจมีหลายคนตั้งคำถามกับตัวเองว่าแล้วครั้งต่อไปจะเลือกพรรคเหล่าดีไหมหรือควรจะสนับสนุนมีพรรคทางเลือกมากขึ้นหรือเปล่าเพราะดูๆไปแล้วพรรคเหล่านี้ไม่น่าจะมีบทบาททางการเมืองมากนักสู้ไปเลือกพรรคใหญ่ที่มีโอกาสเป็นรัฐบาลได้จะดีเสียกว่า


พรรคใหญ่สองพรรคของประเทศไทย ภาพจากarticle.wn.com
พรรคใหญ่สองพรรคของประเทศไทย ภาพจากarticle.wn.com

อย่างที่เกริ่นไว้ในตอนแรกว่าแม้แต่ประเทศที่เป็นระบบสองพรรคเต็มตัวอย่างสหรัฐอเมริกาก็มีการถกเถียงเรื่องพรรคที่สามเป็นวงกว้างแน่นอนว่าระบบสองพรรคมีผลดีต่อเสถียรภาพในการปกครองและประสิทธิภาพในการทำงานของรัฐ

แต่ข้อเสียคือประชาขนมีทางเลือกที่จำกัดบล็อคเกอร์ทางการเมืองหลายท่านเคยเปรียบเทียบไว้ว่าพรรคใหญ่ทั้งสองของสหรัฐฯเน้นเรื่องเสรีทางการค้าแต่พอเป็นเรื่องการเลือกตั้งประชาชนกลับมีตัวเลือกเพียงสองพรรคจริงๆแล้วสหรัฐฯก็มีพรรคทางเลือกเช่นกันส่วนใหญ่จะได้รับเลือกให้เข้าไปบริหารระดับท้องถิ่นเช่นพรรคกรีน, Libertarian Party, Reform Party เป็นต้น[3]

ถ้าหันมามองประเทศในแถบยุโรปจะเห็นได้ว่าพรรคทางเลือกมีบทบาทสำคัญในการจัดตั้งรัฐบาลไม่น้อยเช่นสหราชอาณาจักรก็มีพรรคLiberal Democrat เป็นพรรคที่สามที่มีสัดส่วนที่นั่งในสภาสามัญชนเกือบ10% จากการเลือกตั้งในปีค.ศ. 2010 และทำให้พรรคอนุรักษ์นิยมได้เข้าไปเป็นรัฐบาลแทนพรรคแรงงานที่มีคะแนนเสียงมากกว่า

พรรคทางเลือกมักจะมีนโยบายที่แตกต่างจากพรรคใหญ่อย่างเห็นได้ชัด(ถ้าเห็นด้วยทั้งหมดคงไม่ขวนขวายที่จะตั้งพรรคใหม่) ส่วนใหญ่เป็นเพราะมีอุดมการณ์ทางการเมืองที่ต่างออกไป(สังคมนิยมหรือเสรีนิยม) หรือเรียกร้องในเรื่องที่พรรคใหญ่เมินเฉยหรือเป็นเรื่องที่กระทบคนกลุ่มน้อยในสังคมด้วยเหตุนี้พรรคทางเลือกส่วนหนึ่งจึงได้ชื่อว่าเป็น Single-Issue Party ชูนโยบายหลักอย่างเดียวพรรคทางเลือกเหล่านี้แม้จะไม่เคยจะมีโอกาสเข้าไปนั่งปริหารประเทศจริงๆจังๆแต่ได้ทิ้งร่องรอยทางการเมืองไว้มากมาย

ปัจจัยหนึ่งอาจเป็นเพราะพรรคทางเลือกมักเป็นพวก”หัวก้าวหน้า” มีวิสัยทัศน์ที่ไกลกว่าพรรคใหญ่เรื่องที่พวกเขาผลักดันก็อาจเป็นเรื่องที่ประชาชนส่วนใหญ่และพรรคใหญ่ยังไม่ตระหนักในตอนนั้นแต่ในเวลาต่อมาเรื่องนั้นอาจเป็นเรื่องที่มีความสำคัญระดับชาติก็ได้

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือนโยบายและข้อกฎหมายหลายอย่างที่คนอเมริกันทุกวันนี้คิดว่าเป็นเรื่องปกติไม่ว่าจะเป็นเรื่องการให้ผู้หญิงมีสิทธิ์ออกเสียงเลือกตั้งห้ามไม่ให้เด็กต้องทำงานลดชั่วโมงทำงานลงเหลือ40 ชั่วโมงต่อสัปดาห์หรือระบบประกันสังคมล้วนมาจากข้อเสนอต่างๆของพรรคทางเลือกในสหรัฐฯในช่วงคาบเกี่ยวระหว่างศตวรรษที่19-20 ทั้งสิ้น พรรคเหล่านี้เป็นพรรคที่มีอุดมการณ์ทางการเมืองต่างจากพรรคใหญ่ตัวอย่างเช่นพรรคSocialist [4]

อีกบทบาทหนึ่งของพรรคทางเลือกคือการเริ่มจากนโยบายใหม่เรื่องเดียวก่อนเช่นพรรคกรีนของเยอรมนีที่ก่อตั้งเมื่อปีค.ศ.1980 โดยเน้นเรื่องสิ่งแวดล้อมเป็นหลักในปีค.ศ.1983 พรรคกรีนได้รับเสียงมากที่จะเข้าไปนั่งในสภาได้โดยไม่มีใครคาดคิดซึ่งเป็นปรากฎการณ์ที่คล้ายกับพรรคไพเรตเยอรมนีที่สามารถเข้าไปนั่งในสภารัฐท้องถิ่นของเยอรมันได้ในปีค.ศ. 2011

ปรากฏการณ์แบบนี้เป็นการปลุกพรรคใหญ่ให้ตื่นขึ้นมามองนอกกรอบความคิดของตนเองเมื่อพรรคเล็กที่เน้นนโยบายแค่เรื่องเดียวได้รับความสนใจจากประชาชนมากขนาดนั้นมันก็เหมือนเป็นสัญญาณเตือนให้พรรคใหญ่ได้รู้ว่านโยบายของตนนั้นบกพร่องในจุดใดบ้างสำหรับนโยบายเรื่องสิ่งแวดล้อมของพรรคกรีนนั้นถือว่าประสบความสำเร็จในเยอรมนีมากตอนนี้พรรคการเมืองทุกพรรคจะต้องมีนโยบายเรื่องสิ่งแวดล้อมอยู่ในกระเป๋า

แม้แต่การที่ประเทศอุตสาหกรรมอย่างเยอรมนีประกาศจะเลิกใช้พลังงานนิวเคลียร์แล้วหันมาใช้พลังงานทดแทนก็น่าจะถือได้ว่าเป็นอานิสงค์จากการรณรงค์และสร้างจิตสำนึกด้วยนโนบายของพรรคกรีนส่วนความสำเร็จพรรคไพเรตที่ทุกคนเคยมองด้วยความขบขันก็สามารถเปิดตาพรรคใหญ่ให้หันมาสนใจเรื่องเสรีภาพในโลกอินเทอร์เน็ตมากขึ้น

 ผู้นำพรรคเขียวเดินประท้วงต่อต้านโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ในปี 2008 ภาพโดย Paula Schramm

ผู้นำพรรคเขียวเดินประท้วงต่อต้านโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ในปี 2008 ภาพโดย Paula Schramm
ถ้าพรรคใหญ่เห็นดีกับนโยบายใหม่แล้วปรับนโยบายของตนให้เหมือนกับพรรคทางเลือกแล้วพรรคทางเลือกจะอยู่ได้ไหม? คำตอบน่าจะอยู่ที่ตัวพรรคทางเลือกเองมากกว่าพรรคที่มีนโยบายด้านเดียวอย่างเช่นพรรคกรีนน่าจะได้รับผลกระทบจากการถูก”กลืน” (co-opt) มากกว่าพรรคที่มีอุดมการณ์ทางการเมืองต่างจากพรรคใหญ่เช่นพรรคสังคมนิยมหรือเสรีนิยมแต่เราก็จะเห็นได้ว่าพรรคกรีนก็ยังคงอยู่มาถึงทุกวันนี้

นับเป็นเวลากว่า30 ปีแล้วแถมยังมีพรรคกรีนเพิ่มขึ้นในประเทศอื่นๆทั่วโลกรวมถึงในสหรัฐฯด้วยน่าจะเป็นว่าเพราะทางพรรคไมใช่แค่พรรคที่ชูนโยบายเดียวอีกต่อไปแต่มีนโยบายครอบคลุมมากขึ้นนอกจากนี้นโยบายในหลายๆด้านก็ยังมีความเป็นหัวก้าวหน้ามากกว่าพรรคอื่นๆในเยอรมนีอยู่ดีอาจจะเรียกได้ว่าพรรคกรีนได้สร้างอุดมการณ์ทางการเมืองที่เป็นเอกลักษณ์ของตนเองขึ้นมาก็ว่าได้

สำหรับพรรคทางเลือกที่ถูกพรรคใหญ่ดูดกลืนนโยบายแล้วหายจากวงการเมืองไปเลยก็มีเช่นกันกรณีนี้ถือว่าพวกเขาล้มเหลวหรือไม่? ถ้าพรรคเหล่านี้ทำให้ประชาชนรวมทั้งพรรคการเมืองใหญ่หันมาสนใจในประเด็นที่เขายกขึ้นมาเสนอได้รวมทั้งนำประเด็นนั้นเข้าไปใส่ในนโยบายของพรรคหลักๆได้ก็ถือว่าพรรคทางเลือกนั้นได้บรรลุเป้าหมายแล้วแม้ว่าพรรคทางเลือกนั้นจะเสียฐานคะแนนไปในที่สุดก็ตาม
“Third parties usually lose the battle but, through cooptation, they win the war”
“พรรคทางเลือกมักจะแพ้ในสนามรบแต่เมื่อนโยบายถูกดูดกลืนก็ต้องถือว่าพวกเขาชนะสงคราม” [5]
เราจะสามารถสร้างกระแสจากพลังประชาชนเพื่อผลักดันพรรคการเมืองหลักแทนการก่อตั้งพรรคทางเลือกได้ไหม? แน่นอนว่าแรงขับเคลื่อนจากภาคประชาชนควรจะต้องเป็นแรงมีพลังมากที่สุดในการขับดันกำหนดและควบคุมการทำงานสภาถ้าภาคประชาชนมีความเข็มแข็งพอแลกกฏหมายเอื้ออำนวยพรรคทางเลือกก็คงไม่ต้องมาทำหน้าที่ผลักดันนโยบายใหม่ๆเข้าสู่สภา

แต่ถ้าเรากลับมุมคิดว่าพรรคทางเลือกอาจนำมาใช้เป็นกระบวนการสร้างความคิดทางการเมืองและการเคลื่อนไหวทางนโยบายนอกสภาให้กับภาคประชาชนได้เช่นกันเช่นการจัดประชุมร่างกฎหมายและนโยบายต่างๆกับฐานเสียงและบุคคลทั่วไปหรือแม้แต่การประท้วงต่อต้านนโยบายที่ไม่เห็นด้วยกิจกรรมเหล่านี้เป็นการพัฒนาการเมืองภาคประชาชนไปในตัว

การตั้งพรรคทางเลือกและการผลักดันการเคลื่อนไหวภาคประชาชนจึงเป็นสิ่งที่สามารถทำไปได้พร้อมๆกันโดยให้ทั้งสองกระบวนการสนับสนุนกันเอง[6]

ดังนั้นคำถามสุดท้ายอาจไม่ใช่คำถามที่ว่าเราจะผลักดันประเด็นทางเลือกด้วยการตั้งพรรคทางเลือกหรือสร้างความตระหนักในสังคมในประเด็นทางเลือกนั้นๆดีแต่อาจจะเป็นคำถามที่ว่าเราจะลงมือทำทั้งสองอย่างเมื่อไหร่และทำอย่างไร

อ้างอิง
[1] Sachs JD., The Price of Civilization, 2011.

ที่มา. Siam Intelligence Unit
////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันอังคารที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2555

เปิดกล้องวงจรปิด ราบ11 พิสูจน์รถตู้ขนชายชุดดำ !!?

ขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวลุงคิม หรือนายฐานุทัศน์ อัศวสิริมั่นคง ผู้เสียชีวิตรายที่ 99 จากการสลายการชุมนุมคนเสื้อแดงเมื่อปี 2553

นายฐานุทัศน์ไม่ใช่คนเสื้อแดง ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการชุมนุม แต่โดนยิงเข้าเต็มๆขณะยืนรอรถอยู่แถวบ่อนไก่เพื่อออกไปทำกิจธุระประจำวัน

นอนทรมานรักษาตัวอยู่นานกว่า 2 ปี ก็ต้องจบชีวิตลง

สะท้อนภาพการปฏิบัติการกระชับพื้นที่ภายใต้การนำของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ว่า “ยิงไม่เลือก”

แม้วันนี้จะมีคนเสียชีวิตถึง 99 คนแล้ว แต่ก็ยังไม่มีการแสดงความรับผิดชอบใดๆออกมาจากผู้เกี่ยวข้อง ไม่มีแม้คำขอโทษต่อเหยื่อความรุนแรงทั้งผู้บาดเจ็บและผู้เสียชีวิต

ซ้ำร้ายไปกว่านั้นยังมีความพยายามปั้นวาทกรรม “ชายชุดดำ” ขึ้นมาเป็นแพะ เพื่อให้รับผิดชอบต่อความรุนแรงทั้งหมดที่เกิดขึ้น

เมื่อฝ่ายหนึ่งยืนยันว่ามีชายชุดดำออกมาสร้างความรุนแรงต่อเจ้าหน้าที่และประชาชนมือเปล่า

กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) จึงตั้งค่าหัวนำจับรายละ 1 ล้านบาท แม้จะเลี่ยงว่าไม่ใช่รางวัลนำจับชายชุดดำ แต่เป็นรางวัลนำจับคนร้ายที่เกี่ยวข้องกับการสังหาร 7 คดี รวม 12 ศพ ที่ยังหาคนลงมือทำไม่ได้

แต่ในความเข้าใจของสังคมจากคำอธิบายของผู้มีอำนาจในขณะนั้น คนที่ก่อเหตุสังหาร 12 ศพ ก็เป็นชายชุดดำที่พยายามผูกโยงให้เกี่ยวพันถึงแกนนำเสื้อแดงนั่นเอง

เพื่อไขปริศนาเรื่องชายชุดดำให้มีความชัดเจน นายสมหวัง อัสราษี รองประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) แดงทั้งแผ่นดิน จึงประกาศเบิ้ลรางวัลนำจับชายชุดดำให้อีก 1 ล้านบาท

เพิ่มอัดฉีดคนที่ชี้เบาะแสจนสามารถจับชายชุดดำที่สังหาร 12 ศพ เป็นรายละ 2 ล้านบาท

นอกจากนี้ยังมีกระแสข่าวมาว่า จะมีแกนนำเสื้อแดง คนเสื้อแดง สมทบทุนเพิ่มรางวัลนำจับให้มากขึ้นอีกทั้งในรูปของเงินและที่ดิน

เบิ้ลกลับพรรคประชาธิปัตย์ที่กำลังโหมกระแสเรื่องชายชุดดำ นับเป็นครั้งแรกของดีเอสไอที่มีบุคคลภายนอกมาร่วมสมทบทุนจ่ายรางวัลนำจับ

และที่คืบหน้าได้ลุ้นเสียวคือ คดีการเสียชีวิตจากการสลายการชุมนุมที่อยู่ในความรับผิดชอบของดีเอสไอก็ขยับเข้าใกล้คนที่สั่งสลายการชุมนุมเข้าไปทุกที

ล่าสุดนายจตุพร พรหมพันธุ์ เปลี่ยนสถานะจากจำเลยที่เคยถูกไล่ต้อนในคดีก่อการร้าย เข้าให้ปากคำกับดีเอสไอในฐานะพยาน

น่าสนใจตรงที่นายจตุพรเสนอให้ดีเอสไอขอภาพจากกล้องวงจรปิดที่บันทึกภาพรถที่เข้า-ออกกรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ ซึ่งเป็นที่ตั้งของศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) มาดู

เพื่อหาว่ามีชายชุดดำนั่งรถออกมาจากราบ 11 หรือไม่ เพราะมีคนเคยบอกว่ามีรถตู้ขนชายแต่งชุดดำออกมา แต่ไม่รู้ว่าเป็นใคร ออกไปไหน ไปทำอะไร

นอกจากนี้ยังขอให้เชิญทหาร 2 นายมาให้ปากคำ ประกอบด้วยทหารคนที่เขียนแผนประทุษกรรม แผนผังล้มเจ้า และทหารที่ทำหน้าที่รวบรวมคำสั่งของ ศอฉ. ทุกฉบับ

ทหาร 2 คนนี้เป็นกุญแจดอกสำคัญของคดีที่จะมาช่วยไขปริศนาต่างๆให้กระจ่างขึ้นได้

ยังมีข้อสังเกตที่น่าสนใจของนายจตุพรที่ว่า เรื่องชายชุดดำอาจเป็นเพียงการสร้างสถานการณ์ หรือจัดฉากเพื่อเอื้อประโยชน์ในการปฏิบัติการ

เพราะผิดสังเกตตรงที่มีการเผยแพร่ภาพชายชุดดำหลังจากวันที่เกิดเหตุรุนแรงแล้ว 3 วัน ซึ่งเป็นเรื่องผิดปรกติในการนำเสนอข่าวสารของสื่อมวลชนที่หากพบเห็นข้อมูลก็ต้องนำเสนอต่อสาธารณะทันที

คดีความเริ่มกระชับพื้นที่ กระชับวงล้อมเข้าหาคนสั่งการเข้าไปทุกที

ประเด็นเรื่องชายชุดดำ การเสียชีวิต บาดเจ็บของเจ้าหน้าที่และผู้ชุมนุม เป็นเงื่อนปมหนึ่งที่ทำให้บ้านเมืองอยู่ในภาวะอึมครึม ไม่ปลอดโปร่ง

หากคดีนี้ถูกส่งขึ้นศาลได้เร็วเหมือนคดีก่อการร้ายน่าจะช่วยทำให้บรรยากาศอึมครึมคลี่คลายลงไปได้บ้าง

ถึงตอนนั้นใครมีพยานหลักฐานอะไรก็เอาไปสู้กันในชั้นศาล ไม่ต้องออกมาปราศรัย ออกมาตั้งเวทีให้ประชาชนสับสนในข้อมูล

แต่เตือนไว้อย่าง “ความเชื่อ” ไม่อาจใช้เป็นพยานหลักฐานในชั้นศาลได้

ถึงตอนนั้นคงได้รู้กันว่าเรื่องชายชุดดำเป็นเพียง “ความเชื่อ” ที่เล่าต่อๆกันมา หรือว่ามีที่มาที่ไปเกี่ยวข้องกับการปฏิบัติการหรือไม่ อย่างไร

ที่มา.หนังสือพิมพ์โลกวันนี้
////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันจันทร์ที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2555

แนวโน้มการเมืองขยับใกล้สงครามครั้งสุดท้าย !!??

ถ้าใครเชื่อเรื่องดวงดาว คำทำนาย คงจะขนหัวลุกไปตามๆกัน

หลายวันมานี้โหรใหญ่น้อย ทั้งที่ดังแล้ว กำลังดัง และกำลังสร้างชื่อ เรียงคิวกันทำนายดวงเมืองปี 2556 ออกจอทีวี. ทั้งจานดำ จานแดง จานเหลือง จานเขียว ไปในทิศทางเดียวกัน

ปี 2556 ดาวเสาร์ ประธานดาวบาปพระเคราะห์ ย้ายเข้าสู่ราศีตุล ได้มาตรฐานมหาอุจ แข็งแกร่ง ดาวเสาร์นั้นหมายถึงหรือมีอิทธิพลเกี่ยวกับผู้บริหารราชการแผ่นดิน คณะรัฐมนตรี

ส่วนราศีตุลก็มีความเข้มแข็ง จึงจะเกิดปัญหา ซึ่งดาวเสาร์โคจรอยู่ในภพที่ 7 เล็งลัคนาดวงเมือง และเล็งพระอาทิตย์ในลัคนาดวงเมือง เป็น “พินทุบาทว์” เรียกว่าเป็นสาเหตุทำให้เกิด “ดวงแตก”

จับยามสามตาแล้วชี้ว่าตั้งแต่ปลายปี 2555 จะเริ่มมีเค้าลางให้เห็น

ประมาณว่าเริ่มมีการสุมไฟ ใส่เชื้อ

จะลุกโชนอีกทีก็ช่วง เม.ย. 2556 ถึงขั้นมีการเปลี่ยนแปลงกันเลยทีเดียว

ที่น่าตกใจก็ตรงที่โหรหลายสำนักชี้เป้าตรงกันว่า เม.ย. 2553 ว่าแรงถึงขั้นกลียุคแล้ว

เม.ย. 2556 จะแรงกว่านั้นอีกหลายเท่า

ใครขวัญอ่อนฟังแล้วขนหัวลุกเลยก็แล้วกัน เพราะ เม.ย.-พ.ค. 2553 มีคนตาย 99 คน จากการปะทะกันของเจ้าหน้าที่กับประชาชนมือเปล่า และมีคนบาดเจ็บอีกกว่า 2,000 คน

หากแรงกว่านั้นคงจะนับศพกันไม่หวาดไหว

หมอดูไม่ใช่คู่กับหมอเดาเสียทีเดียว เรื่องแบบนี้ฟังหูไว้หู ไม่เชื่ออย่าหลบหลู่

เพราะเมื่อจับยามสามตามองดูทิศทางการเมืองตั้งแต่ช่วงปลายปีนี้จนถึงปีหน้าก็มีแนวโน้มว่าจะเป็นไปได้ดังคำทำนายมากกว่า 60-70%

ปลายเดือน พ.ย. จะมีการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล พรรคประชาธิปัตย์จัดหนักใส่พรรคเพื่อไทยและ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี แน่นอน

ดีกรีความเขี้ยวระดับพรรคประชาธิปัตย์ แค่เขียนญัตติยื่นต่อประธานสภาผู้แทนราษฎร

หากคนหัวอ่อนไม่ใฝ่หาข้อมูลใส่ตัวได้อ่านก็เชื่อเกิน 100% แล้วว่ารัฐบาลเต็มไปด้วยความชั่วร้าย ไร้ฝีมือ ไม่สมควรอยู่บริหารราชการแผ่นดินอีกต่อไปแม้สักวินาที

ยิ่งได้ฟังการอภิปราย หากหูเบา ไม่รู้จักคิดวิเคราะห์ ก็จะเพิ่มความเกลียดชังต่อรัฐบาลมากขึ้นเป็นพันเท่าทวีคูณ

ยิ่งหลังปิดสมัยประชุมสภาปลายเดือน พ.ย. มีข่าวว่าจะมีการตั้งข้อกล่าวหาคนสั่งการให้ทหารถือปืนออกมาสลายการชุมนุมคนเสื้อแดง

การเมืองจะยิ่งร้อนฉ่าเข้าไปใหญ่

ขนาดยังไม่ตั้งข้อกล่าวหา ประเด็นชายชุดดำก็ร้อนจนแทบจะไหม้ หากมีหมายเรียกให้ไปรับทราบข้อกล่าวหาก็คาดเดาได้ว่าจะเป็นอย่างไร

นี่ยังไม่รวมเรื่องการตีความนโยบายรับจำนำข้าวที่ยังหยิบมาเล่นกันต่อเนื่อง มีช่อง มีทางตรงไหนยื่นฟ้องหมด

ผสมโรงกับการประมูลใบอนุญาต 3จี แม้ไม่เกี่ยวกับรัฐบาลโดยตรง แต่จะมีการลากโยงเข้ามาหารัฐบาลจนได้ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง

ถ้าพรรคร่วมรัฐบาลตัดสินใจเดินหน้าแก้รัฐธรรมนูญด้วยการลงมติวาระสามเพื่อตั้ง ส.ส.ร. ก่อนปิดสมัยประชุมสภาอย่างที่ฮึ่มๆกัน ก็จะเพิ่มเงื่อนไขมากขึ้นไปอีก

ครั้นพอข้ามไปปี 2556 จากเชื้อไฟที่สุมเอาไว้ตั้งแต่ปลายปี 2555 เชื่อว่าจะเริ่มมีมวลชน มีม็อบต่างๆ ออกมาชุมนุมกันมากขึ้น

ทั้งมาในรูปแบบความเดือดร้อนจากปัญหาต่างๆ มาเรียกร้องต่อรัฐบาล และอื่นๆอีกจิปาถะ

มองจากแนวโน้มความน่าจะเป็นก็มีโอกาสที่จะเกิดความปั่นป่วนวุ่นวายอย่างที่บรรดาหมอดูทั้งหลายทำนายเอาไว้

เมื่อมองจากฐานมวลชนของทั้ง 2 ฝ่าย เหตุการณ์อย่างที่หน้ากองปราบปรามที่มีการปะทะกันย่อยๆของคน 2 สี มีโอกาสเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อแค่เพียงมีคนมือบอนจุดไฟ

เอาเป็นว่าฝนจะตก แดดจะออก ไม่มีใครห้ามได้ อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด

ที่สงบๆกันมาพักใหญ่ก็แค่ชักฟืนออกจากกองไฟ โหมโยนฟืนเข้ามาอีกเมื่อไรไฟก็พร้อมลุกโชนทันที

จะมีความหวังหน่อยก็ตรงที่บรรดาโหรน้อยใหญ่ต่างเห็นตรงกันว่าวิบัติใหญ่ที่กำลังจะเกิดอาจเป็น “สงครามครั้งสุดท้าย”

หลังปี 2557 ประเทศไทยจะโชติช่วงชัชวาล

แต่ไม่ยักบอกว่าฝ่ายไหนจะชนะ

ที่มา.หนังสือพิมพ์โลกวันนี้
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ฝ่าวิกฤติ:หลังพิงฝา ยกเครื่องทีมเสนาบดี เขย่าบัญชี ครม.ปู - 3 !!?

ใต้ภาวการณ์ที่แผ่ซ่านไปด้วยความอึมครึมทางการเมือง ที่แม้ด้วย “เงื่อนไขเวลา” จะทำให้ เกมพาวเวอร์เพลย์ในกระดาน ถูก “เว้นวรรค” เป็นการชั่วคราว ทว่ายังคงมี “หนังตัวอย่าง” อันเป็น ฉากรุกไล่กันอย่างเข้มข้นระหว่าง 2 ขั้วการเมือง ที่ต่างฝ่ายได้ยกเอา “วิวาทะ” มาบดขยี้กันผ่านเวที “นอกสภา” เพื่อเรียกน้ำย่อยก่อน ศึกซักฟอกรัฐบาลจะรูดม่านขึ้นในอีกไม่ช้านาน

เอาแค่เฉพาะ “โครงการจำนำข้าวเปลือก” ที่ทัพฝ่ายค้านออกมาปูด! ก็ได้สร้างความหวั่นไหวให้แก่รัฐบาลอย่างรุนแรง ผสานเข้าจังหวะไปกับ “แรงกดดัน” จากแนวร่วม “ชนชั้นกลาง” ที่ออกมาร่วม กันถล่มรัฐบาลแบบรายวัน ภายใต้ “รหัสการเมือง” ที่คลุกเคล้าไปด้วยเงื่อนปมทุจริต ต่อเนื่องมาจากนโยบายประชานิยม ยั่งยืน

เหล่านี้เป็นผลให้รัฐนาวา “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ก้าวขาไปสู่ “คิลลิ่งโซน” และมี แนวโน้มสูงยิ่งว่า “สงครามการเมืองรอบ ใหม่” จะทวีความรุนแรงมากขึ้นเป็นลำดับ?!

แน่นอนว่า “ฝ่ายรัฐบาล” ทั้งที่มี “ความได้เปรียบ” เหนือล้ำกว่า “ฝ่ายตรง ข้าม” อยู่หลายกระบวนท่า ไม่ว่าจะ “เสียงข้างมากในสภา” หรือ “อำนาจรัฐ” ที่เกาะกุมไว้ในมือ แต่กลับมิอาจขยับ... เข้าใกล้ “เป้าหมาย” โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปมแก้รัฐธรรมนูญปี 50 “ฉบับหน้าแหลมฟันดำ” ที่ลากยาวออกไปแบบไร้กำหนด หรือกระทั่งแผน “อุ้ม..” ทักษิณกลับบ้าน!! ผ่านโมเดลปรองดองแห่งชาติ ก็ยังดูเป็นเรื่องที่ห่างไกล

ขณะเดียวกัน ยังคงมี “ภารกิจเร่งด่วน” สำหรับการขับเคลื่อน “นโยบายรัฐ” ที่นายกฯ ปู และทีมเสนาบดี ต้องแหวกฝ่า แนวต้านนี้ไปให้ได้ ท่ามกลางการติดตามและตรวจสอบอย่างถึงลูกถึงคน โดยเฉพาะ ขั้ว “ฝ่ายค้าน” ตลอดจน “กลไกสภาสูง” ที่กำลังโฟกัส ขยายปมทุจริตและความล้มเหลวจากนโยบายรัฐบาลเป็นสำคัญ

แต่ในอีกแง่มุมหนึ่ง บางเงื่อนประเด็นยังถูกร้องไปยังองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ เพื่อตรวจสอบและเช็กบิล! ในการกระทำของ “ฝ่ายอำนาจรัฐ” ว่าขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือไม่... เหล่านี้ย่อมส่งผลให้หลายนโยบายมีอันต้อง หยุดชะงัก เพี่อรอความชัดเจนว่า “รัฐบาล” จะไม่พลาดพลั้งต่อ “กลไกองค์กรอิสระ” แบบซ้ำซาก

เช่นเดียวกับการปรับโฉม “ผู้นำ” และทีมบริหารพรรคเพื่อไทย ที่มีกรอบในระยะเวลา 30 วัน ซึ่งดูเหมือนว่าเวลาที่เหลืออยู่นี้ ได้ล้อไปกับ “จังหวะ” ของการปรับเปลี่ยนตัวผู้เล่นใน “ครม.ยิ่งลักษณ์ 3” หลังจากที่ “นายกฯ หญิง” ไม่อาจ “ยื้อ” ได้อีกต่อไป สิ่งเหล่านี้ล้วนสื่อเป็น “นัยยะทางการเมือง” ที่นับจากนี้ไปทั้ง “นายใหญ่” และ “นายหญิง” จะต้อง “เลือก” ใช้กลยุทธ์ “ประคองรัฐบาล” ให้อยู่ครบเทอม หรือไม่ก็ถึงเวลาเปิดฉากรุกไล่ฝ่ายตรงข้าม ด้วยการส่งสัญญาณเร่งแก้ไขรัฐธรรมนูญ

ทั้งนี้ หากพิจารณาเงื่อนเวลาแห่งการปรับ “ครม.ยิ่งลักษณ์ 3” แล้ว จังหวะที่เหมาะสมที่สุดน่าจะอยู่ในช่วงหลังเสร็จศึก “ซักฟอกรัฐบาล” เพราะหาก “ยิ่งลักษณ์” เร่งรีบปรับ ครม.ก่อนเดือนพฤศจิกายน ก็จะ “เปิดแผล” ให้ถูกรุมถล่มว่าเป็นการปรับ ครม.เพื่อหลีกหนีญัตติซักฟอกของฝ่ายค้านได้

กระนั้นแล้ว “เวทีซักฟอก” ยังถือเป็นโอกาสเหมาะสมที่ “ยิ่งลักษณ์” จะประเมินการทำงานของ “รัฐมนตรี” ที่อยู่ในข่ายถูกปรับออก ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นการขยับปรับแผง “ครม.ชุด 3” เปิดทางให้ “ขาใหญ่แห่งบ้าน 111” ก้าวเข้ามาเป็น “ผนังทองแดงกำแพงเหล็ก” ช่วยประคอง รัฐบาลในขวบปีที่ 2 นับจากนี้ ...!!!

หากว่ากันถึงความล่าช้าในการรื้อโผ ครม. ไม่ใช่เพิ่งจะเกิดขึ้นสมัยรัฐบาล “ยิ่งลักษณ์” หากมีขึ้นตั้งแต่รัฐบาล “สมัคร สุนทรเวช” เป็นต้นมา ทั้งนี้เพราะเกิดความเปลี่ยนแปลงด้วยปัจจัยหลายด้าน นั่นคือตัว “ผู้นำตัวจริง” ไม่ได้เข้ามากุมอำนาจรัฐด้วยตนเอง ต้องอาศัยบุคคลอื่นเข้ามาเป็น “นอมินี” จึงจำเป็นต้องเปลี่ยน “เงื่อนไข” บางประการ เพราะการจัดวาง ตำแหน่งทางการเมืองด้วยการใช้บัญชี 3 ชุดของ “ทักษิณ” เป็นอันนำมาใช้ไม่ได้... เนื่องจากต้องให้สิทธิ “นายกรัฐมนตรี” ทำบัญชีของตนเองอีก 1 ชุด

ทั้งนี้ บัญชี 3 ชุดของ “ทักษิณ” ย่อมแก้ปัญหาการ “ชิงตำแหน่งการเมือง” ได้ดีพอสมควร โดยใช้เป็นสัญญาณสับหลีกมุ้งค่ายการเมืองหลากหลายในพรรคเพื่อไทยอย่างได้ผล แต่ถึงกระนั้นบัญชีทั้ง 3 ชุดนี้ ก็สร้างความชำรุดสึกหรอ...แก่นักการเมืองรวดเร็วเกินไปมีบทเรียนมาแล้ว ในยุคที่ “ทักษิณ” ยังเรืองอำนาจ หรือในยุคต่อๆ มา ที่มี “ตัวตายตัวแทน” เข้ามาเป็น “ผู้นำประเทศ” ระหว่างนั้นได้มีการเปลี่ยนตัวรัฐมนตรีเกิด ขึ้นทุก 3-6 เดือน สลับตำแหน่งกันจนเป็น กิจวัตร ซึ่ง “ข้อเสีย” ในการจัดทำ “โผ ครม.” มากถึง 3 บัญชีนี้ ได้ทำให้เหล่านักการเมืองที่ก้าวขึ้นไปถึงระดับ “รัฐมนตรี” แล้วถูกปรับออกอย่างรวดเร็ว ได้ทำตัวเป็น “คลื่นใต้น้ำ” ก่อตัวขึ้นภายใน “พรรค” แค่นั้นไม่พอ ยังไปดึงเอา “ดีเพรสชั่นลูกใหญ่” จากการก่อตัวขึ้นภายนอก มาพัดถล่ม “นาย ใหญ่” ในที่สุด

ต่อจากยุค “สมัคร” ตำแหน่งนายกฯ ก็ไปออกที่ “สมชาย วงศ์สวัสดิ์” ผู้เป็นน้องเขยทักษิณ ซึ่งคราวนี้ “นายกฯ สมชาย” ใช้บัญชีเดียวและเป็น ครม.ชุดเดียวที่ไม่เคยเข้าไปทำงานในทำเนียบรัฐบาล ดังนั้น “รัฐบาลสมชาย” จึงอายุสั้นเกินกว่าจะปรับ ครม.ได้หลายบัญชี เนื่องจากถูก “คณะตุลาการภิวัฒน์” ปิดบัญชีไป อย่างรวดเร็ว

จนล่วงมาถึง “รัฐบาลปูแดง” ที่ยังใช้วิธีการเดียวกับ “โมเดลทักษิณ” แต่เนื่องจากจำนวนนักการเมือง มีตัวเลือกที่เหมาะสมที่จะก้าวเป็น “รัฐมนตรี” ได้มีอยู่น้อย รวมกันแล้วได้ไม่ถึง 1 บัญชีด้วยซ้ำไป ฉะนั้นการจัดตั้งรัฐบาลและปรับ ครม. เท่าที่ผ่านมา จึงสะดวกสบายมากที่สุด พวกไม่ได้เป็นรัฐมนตรีก็ไม่เสียใจมากนัก เพราะส่วนใหญ่ล้วนเป็น ส.ส.สมัยแรกแทบทั้งนั้น

แต่เมื่อรัฐบาลก้าวผ่านหนึ่งขวบปีแรก สอดรับกับปรากฏการณ์ “พฤษภาป่าช้าแตก” ซึ่งมีประชากรบ้าน 111 พากันหลุดออกมาจาก “คุกการเมือง” ก็เป็น สาเหตุสำคัญของความล่าช้าในการปรับแผง ครม.ชุดใหม่ เพราะมี “เงื่อนไข” และ “ตัวเลือก” ที่มากขึ้น ทำให้ตัดสินใจได้ยากยิ่ง หากตัดสินใจผิดพลาดก็คงเกิดแรง กระเพื่อมอย่างรุนแรงขึ้นภายในพรรคเพื่อไทย

เปิดโฉนดโผ ครม. “บัญชีแรก” ซึ่งถือเป็นบัญชีของ “พี่ชายใหญ่” และในโคว ตาของ “พี่สาว” และเครือญาติ ที่กำชับ ฝากฝัง ส.ส.ในสังกัด ให้เข้าไปเป็นรัฐมนตรี โดยวางเงื่อนไขเจาะจงเป็นรายกระทรวงเลยทีเดียว นอกจากนั้น ยังกำหนดจำนวน รัฐมนตรีไว้ด้วย ซึ่งนับว่า “บัญชีลำดับที่ 1” ได้สร้างปัญหาและความลำบากใจให้กับ “ยิ่งลักษณ์” เป็นอย่างยิ่ง ว่ากันว่าบัญชีนี้ได้ลัดคิวจนบัญชีอื่นหลุดโผมาแล้วถึง 2 ครั้ง

ส่วน “บัญชีที่ 2” คือบัญชีของ “ยิ่งลักษณ์” ที่จะเลือกคนที่ตัวเอง “ไว้วางใจ” ให้เข้ามาอยู่ข้างกาย ซึ่งบัญชีนี้ นับวันจะเพิ่มจำนวนรัฐมนตรีมากยิ่งขึ้น แม้แต่รัฐมนตรี เก่าก็พยายามเบียดตัวเข้าบัญชีนี้ให้ได้ เพื่อหา “หลักประกัน” จากการถูกปรับออกไว้ ก่อน ส่วนคนที่ไม่เป็น “เป้า” ถูกปลดออก ก็อาจขยับไปกินตำแหน่งในกระทรวงที่เกรด สูงกว่า ฉะนั้นการเข้าสังกัด “บัญชีปูแดง” จึงมีแต่ได้...ไม่มีเสีย

ต่อมาเป็น “บัญชีเสื้อแดง” ซึ่งเป็น การปูนบำเหน็จให้แก่เหล่าแกนนำ นปช. ซึ่งถือเป็น “บัญชีที่ 3” ส่วนเรื่องจำนวนรัฐมนตรีในบัญชีนี้ คงไม่ใช่สาระสำคัญ ไม่ว่าจะปลดออกและแต่งตั้งเข้า ก็ไม่ควรน้อย กว่า 2 ตำแหน่ง โดยไม่เกี่ยงกระทรวงขอเพียงให้ “พรรคเพื่อไทย” ไม่บิดพลิ้ว และปฏิบัติตามสัญญาก็ถือว่าเพียงพอแล้ว!!

ลำดับสุดท้าย คือ “บัญชีบ้านเลขที่ 111” โดยนักการเมืองตามบัญชีนี้ ถือว่าแต่งตั้งยากที่สุด เพราะหาตำแหน่งเหมาะสมกับความสามารถและประสบการณ์ ที่ต่างหมายมั่นจะนั่งในกระทรวงใหญ่เท่านั้น แถมยังถูกต่อต้านอย่างหนักจากนักการเมืองใน 3 บัญชีก่อนนี้ เพราะหากปล่อยให้ “คนบ้าน 111” เข้ามาร่วม ครม. นอกจากจะได้นั่งกระทรวงใหญ่แล้ว ยังเป็นตัวเปรียบ เทียบกับรัฐมนตรีมือใหม่หัดขับอย่างเห็นชัดเหนืออื่นใดเหล่านักการเมืองบ้าน 111 ล้วนเป็นกลุ่มการเมืองที่มีกำลังภายในมากพอสมควร จึงสร้างความเกรงใจให้กับ “ผู้มาก บารมี” และขาใหญ่ในพรรคได้อยู่มิใช่น้อย

จากบัญชีทั้ง 4 นี้...คาดเดาได้ว่า “รัฐบาลยิ่งลักษณ์ 3” น่าจะประกอบด้วย รัฐมนตรีจากทั้ง 4 บัญชี สัดส่วนแต่ละบัญชีจะเป็นอย่างไรนั้น คงต้องตามดูต่อไป ยาวๆ ซึ่งคุณภาพของ “ครม.ชุดใหม่” ก็ดู ได้จากสัดส่วนรัฐมนตรีนั่นเอง หากมีโควตา เด็กฝาก-เด็กวิ่งที่ครบเกณฑ์ มากกว่านักการเมืองที่มีฝีมือแล้ว คงไม่แตกต่างไปจาก รัฐบาลชุด 1 และชุด 2

หากเป็นเช่นนั้น ก็เท่ากับว่า “รัฐบาล” มีความประมาทต่อสถานการณ์ในอนาคต ซึ่งมีแนวโน้มที่มีความแหลมคม และซับซ้อนมากขึ้นอีกหลายเท่าทวี ในขณะที่รัฐบาลด้อยคุณภาพลง การต่อสู้ด้วย “ผลงานรัฐบาล” ซึ่งเป็นรูปธรรมในสงคราม การเมืองในสภา ที่ว่ากันด้วย “วิวาทะ” ในการอภิปรายตอบโต้ฝ่ายตรงข้าม ซึ่งหากผลงานไม่ดี ถึงจะมี “ไม้กันสุนัข” ขั้นเทพ อย่าง “เจ้าของบ้านริมคลอง” ก็คงจะรับ มือฝ่ายค้านได้ยากเต็มกลืน

ทั้งหมดทั้งปวง ล้วนเป็นสิ่งที่ “ผู้กำรีโมตตัวจริง” ต้องรีบเปลี่ยนท่าที แล้วหันมาคิดคำนวณใหม่ให้รอบด้าน ก่อนตัดสินใจ “ส่งสัญญาณ” ใดๆ ออกไป เพราะ สถานการณ์ในห้วงเวลานี้ “ฝ่ายกุมอำนาจรัฐ” คงรอเวลาที่สุกงอม เพื่อช่วงชิงจังหวะรุก-ไล่ทั้งในและนอกสภา เพื่อเอาตัวรอดไปให้ได้ ก่อนคิดจะทิ้งหมากตัวเดียว... กินรวบทั้งกระดาน ซึ่ง “นายใหญ่-นายหญิง” หวังให้เป็นช็อกการเมืองในภาคต่อ

“ข้อความ” จาก “คนแดนไกล” ซึ่งแว่วมาว่า...เวลานี้พรรคเพื่อไทยยัง “เปราะบาง” และไม่ได้รับความเป็นธรรมอยู่มาก และไม่อาจวางใจได้ จึงต้องมี “ผู้เสียสละ” และ “ผู้ปลดชนวน” กันอีกหลายครั้ง!! ซึ่งทั้งหมดนี้ ล้วนแต่เป็น “คีย์เวิร์ด” ที่สะท้อนให้เห็นถึงความเป็นจริงทางการเมือง และสิ่งที่รัฐบาลเคยเผชิญหน้า เหนืออื่นใดคงต้องดิ้นให้หลุดจาก “กับดักทาง การเมือง” ที่ถูกวางล่อเอาไว้ ตลอดจนปมปัญหาที่เกิดขึ้นจาก “นโยบายประชานิยมแห่งรัฐ” มีตัวอย่างให้เห็นกันไปแล้ว กรณีการไขก๊อก! ของ “ขุนพลหัวขาว” ยงยุทธ วิชัยดิษฐ อดีตผู้นำพรรคเพื่อไทย ที่ถูกตัดตอนจากทุกตำแหน่งทางการเมือง เพื่อมิให้เกิดความสุ่มเสี่ยงขึ้นในมุ้งค่ายเพื่อไทย ที่อาจบานปลายเป็น “ภาวะแทรกซ้อน” จนลามไปถึงรัฐบาลชุดปัจจุบัน ไม่น่าแปลกใจที่จะพบว่า แม้การเปลี่ยน แปลงทางการเมืองจะเกิดขึ้นหลากหลายเหตุการณ์ในระยะเวลาที่ใกล้เคียงกัน แต่ก็ยังไร้ซึ่งท่าทีหรือแนวโน้ม ที่บ่งชี้ได้ว่า “ผู้มากบารมีในรัฐบาล” จะกล้าตัดสินใจ “เล่น เกมแรง” ในเร็ววันนี้...หรือไม่?!!

ที่มา.สยามธุรกิจออนไลน์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันเสาร์ที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2555

หินลองทอง สรยุทธ สุทัศนะจินดา จุดหัก สังคม !!?



เป็นอันโค่น สรยุทธ สุทัศนะจินดา ไม่ลง

ไม่ว่าจะเป็น ภาคีเครือข่ายต่อต้านคอร์รัปชั่น อันมี นายประมนต์ สุธีวงศ์ เป็นหัวเรือใหญ่

ไม่ว่าจะเป็นสมาคมว่าด้วยนักข่าว นักหนังสือพิมพ์ และสื่อทางวิทยุกระจายเสียง โทรทัศน์ ซึ่งรวมศูนย์ภายใต้ร่มธง

สภาการหนังสือพิมพ์

ลำพัง สรยุทธ สุทัศนะจินดา ยังคงดำเนินรายการเรื่องเล่าเช้านี้ทางช่อง 3 อยู่เป็นปกติ ก็ท้าทายต่อมติขององค์กรสื่อ องค์กรต่อต้านคอร์รัปชั่นอย่างยิ่งแล้ว

ที่สำคัญ มีการยืนยันจากช่อง 3 อย่างหนักแน่นและจริงจังว่า

โฆษณาไม่เพียงแต่จะไม่มีการถอน ไม่มีการลด หากแนวโน้มอันเด่นชัดอย่างยิ่งก็คือ มีการไหลเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 20

เป็นไปได้ยังไง

แท้จริงแล้ว ปัจจัยโฆษณาที่ไหลเข้าไปยังช่อง 3 นี้เอง คือปัจจัยชี้ขาด เป็นปรอทสำแดงอุณหภูมิทางสังคมอย่างเด่นชัด 1 เด่นชัดถึงสถานะอันมั่นคงของ สรยุทธ สุทัศนะจินดา ว่าวางรากฐานอยู่กับปัจจัยใดในทางสังคม

1 สังคมทุนนิยม

ต้องยอมรับว่า การปรากฏขึ้นของ ภาคีเครือข่ายต่อต้านคอร์รัปชั่นเป็นเรื่องดีของคนดี การประกาศให้ความร่วมมือจากสมาชิกในภาคีจำนวนมากมาย

ก็เป็นเรื่องดี คนดี

ขณะเดียวกัน การออกโรงของสภาการหนังสือพิมพ์โดยประสานเข้ากับภาคีเครือข่ายต่อต้านคอร์รัปชั่น

ก็เป็นจังหวะก้าวที่ดี

เพียงแต่กรณีของ สรยุทธ สุทัศนะจินดา ที่ปรากฏให้เห็นดำเนินไปอย่างเลือกปฏิบัติสะท้อนความไม่มีมาตรฐาน

และแฝงด้วยเงาสะท้อนแห่งสิ่งที่เรียกว่า-ริษยาของชนชั้นกลาง

ก็อย่างที่มีหลายคนได้ตั้งข้อสังเกตไว้แล้วว่า การกล่าวหา "สีเทา" อย่างนี้มิได้มีแต่กับ สรยุทธ สุทัศนะจินดา รายเดียว ยังมีอีกหลายราย บางรายศาลได้มีคำพิพากษาอย่างเด่นชัดและเจ้าตัวเองก็ยอมรับผิดด้วยซ้ำไป

เป็นเงินมากกว่า สรยุทธ สุทัศนะจินดา หลายร้อยเท่า สร้างความเสียหายให้กับธุรกิจและสังคมอื่นอย่างมหาศาล

แต่ไม่มีการแตะ

ไม่มีการกดดัน ไม่มีการเรียกร้อง ไม่มีการยื่นคำขาด

ยิ่งกว่านั้น ไม่ว่าการแสดงออกของภาคีเครือข่ายต่อต้านคอร์รัปชั่น ไม่ว่าการแสดงออกของสภาการหนังสือพิมพ์ ยังยืนยันถึงการไม่เข้าใจต่อลักษณะที่แปรเปลี่ยนไปแล้วของสื่อ

ไม่ว่าสื่อหนังสือพิมพ์ ไม่ว่าสื่อโทรทัศน์

สื่อในกาลอดีต ยุคของ กุหลาบ สายประดิษฐ์ ยุคของ อิศรา อมันตกุล ดำรงอยู่ภายใต้ร่มเงาอันมืดครึ้มแห่งระบอบเผด็จ การ

สังคมก็อยู่ในช่วงแห่งการเปลี่ยนผ่าน

ด้านครอบงำของสื่อยังดำเนินไปในลักษณะทางความคิด ทางการเมือง เป้าหมายของสื่อเป็นเป้าหมายของความคิดของการเมืองโดยมีธุรกิจเสมอเป็นเพียงองค์ประกอบ

องค์กรสื่อสามารถทำหน้าที่เป็นตัวแทนนำการต่อสู้โดยเน้นการเมืองเป็นเป้าหมายหลัก

แต่นับจากเกิดการแปรเปลี่ยนในทางเทคโนโลยี ธุรกิจสื่อเป็นอุตสาหกรรมใหญ่ ต้องใช้เงินลงทุนมหาศาล ปัจจัยด้านทุนเข้ามาครอบงำ สื่ออาจมีหัวใจอยู่ที่การผลิตทางปัญญา ทางความคิดดำรงอยู่แต่เป้าหมายก็เพื่อผลกำไร

ยิ่งสื่อออนไลน์ปรากฏขึ้น สื่อใหม่ได้รุกคืบเข้ามาองค์ประกอบของสื่อยิ่งแตกกระจาย

ปัจจัยของจรรยาบรรณจากยุค กุหลาบ สายประดิษฐ์ ยุค อิศรา อมันตกุล อาจ ฟังดูดี แต่ปัจจัยที่สำคัญมากกว่าคือการ ขาย ไม่ว่าขายตัวสื่อเอง ไม่ว่าขายเนื้อที่ โฆษณา

โดยมีคุณภาพทางปัญญาเป็นตัวชี้ขาด

เช่นนี้เองที่พาดหัวหน้าปกมติชนสุดสัปดาห์ระบุ "คนยังคงยืนเด่นโดยท้า ทาย" จึงแหลมคมอย่างยิ่ง

แหลมคมในฐานะเป็นหินลองทองต่อ สรยุทธ สุทัศนะจินดา แหลมคมในฐานะเป็นหินลองทองต่อองค์กรสื่อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสภาการหนังสือพิมพ์

"ประชาชน" ต่างหากที่เป็นคำตอบสุดท้าย
(หน้า 3 มติชนรายวัน 20 ตุลาคม 2555)
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

ปิดสภา 28พ.ย.ตั้งข้อหาคนสั่งสลาย นปช. !!!!??

ถึงบางอ้อในทันทีเมื่อมีอีกาคาบข่าวมากระซิบข้างหูว่า เหตุผลที่แท้จริงที่พรรคประชาธิปัตย์ต้องออกมาเล่นแรงๆ จัดอีเวนท์เรื่องชายชุดดำอย่างต่อเนื่อง เพราะว่ามีบางคนกำลังจะเปลี่ยนสถานะเป็นผู้ต้องหา
ทันทีที่ปิดสมัยประชุมสภาในวันที่ 28 พ.ย. นี้ จะมีการออกหมายเรียกคนสั่งการกระชับพื้นที่ กระชับวงล้อม สลายการชุมนุม นปช. ไปรับทราบข้อกล่าวหา

สภาปิดแล้วเท่ากับว่าไร้ซึ่งเอกสิทธ์ ส.ส. คุ้มครอง หากไม่ไปตามหมายเรียกก็ต้องออกหมายจับ ซึ่งเป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย

การเมืองนับจากนี้ไปก่อนถึงวันปิดสมัยประชุมรัฐสภาจึงมีแต่จะร้อนแรงขึ้น โดยเฉพาะในการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลที่จะมีขึ้นก่อนปิดสมัยประชุมสภา

เรื่องที่จะโฟกัสอภิปรายอาจเป็นเรื่องชายชุดดำ ไม่ใช่เรื่องรับจำนำข้าวอย่างที่เข้าใจกัน
สอดคล้องกับการเดินหน้าของดีเอสไอ ที่ประกาศเร่งทำ 7 คดีที่มีผลกระทบทางสังคมและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ด้วยการตั้งค่าหัวคนร้ายรายละ 1,000,000 บาท
ใครชี้เบาะแสจนจับคนร้ายได้เอาเงินล้านไปเลย

4 ใน 7 คดีที่เร่งทำถือว่าน่าสนใจคือ คดีการเสียชีวิตของ พล.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม และทหาร 5 นายจากการปฏิบัติการขอคืนพื้นที่ที่ราชดำเนิน

การเสียชีวิตของ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือ เสธ.แดง ที่ถูกซุ่มยิงจากตึกสูง
การเสียชีวิตของนายฮิโรยูกิ มูราโมโต ช่างภาพญี่ปุ่น และการเสียชีวิตของนายฟาบิโอ โปเลงกี นักข่าวอิตาลี

ใครที่เคยอวดตัวว่ารู้ข้อมูลตื้นลึกหนาบางในการเสียชีวิตของทั้ง 4 คนนี้น่าจะลองส่งข้อมูลให้ดีเอสไอเอาไปสอบขยายผล

สลับฉากไปที่ลานพระแม่ธรณีบีบมวยผม ที่ทำการพรรคประชาธิปัตย์ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เปิดตัวหนังสือ “ความจริงไม่มีสี”

เนื้อหาเล่าถึงสิ่งที่นายอภิสิทธิ์เผชิญเหตุการณ์วิกฤตการเมืองปี 2552-2553 นาทีหนีตายในสถานที่ต่างๆ การใช้ชีวิตและการทำงานบริหารราชแผ่นดินในกรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์
ที่เป็นไฮไลท์เลยคือ เบื้องลึกเบื้องหลังการตัดสินใจในเหตุการณ์ต่างๆ

ทั้งหมดทั้งมวลเป็นมุมมองของนายอภิสิทธิ์ที่ต้องการบอกเล่ากับแฟนๆที่ติดตามเชียร์
แต่ในอารมณ์ความรู้สึกที่ต่างออกไปกลับเป็นผู้นำทหารอย่าง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ที่พักหลังมองโลกในความเป็นจริงมากขึ้น

อย่าพูดกันไปมาว่ามีชายชุดดำหรือไม่ ต้องเอาเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาพูดว่ามีผู้บาดเจ็บ สูญเสียทั้งสองฝ่าย คือเจ้าหน้าที่และประชาชน...

เมื่อเกิดเหตุบาดเจ็บ สูญเสียทั้งสองฝ่าย ถ้าประชาชนสูญเสียข้างเดียว แน่นอนว่าต้องหมายถึงเจ้าหน้าที่ เพราะถืออาวุธเพียงฝ่ายเดียว แต่ทำไมเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมีเจ้าหน้าที่เสียชีวิต ขอให้มองในมุมกลับ...”
ผู้นำทหารยังมองว่าเหรียญมีสองด้าน ผิดกับฝ่ายการเมืองที่ยังผิดไม่ได้ ผิดไม่เป็น ไม่ยอมรับความผิดพลาด

สวนทางกับตัวเลขผู้เสียชีวิตจากการสลายการชุมนุมที่ล่าสุดพุ่งสูงเป็น 99 รายแล้ว จากคำยืนยันของ พล.ต.ต.อนุชัย เล็กบำรุง รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ที่เข้าให้ข้อมูลกับคณะทำงานพิจารณาเรื่องการตรวจสอบข้อเท็จจริงการชุมนุมของ นปช. ว่ามีชายชุดดำร่วมในการชุมนุมหรือไม่ โดยมีนายสาธิต ปิตุเตชะ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ เป็นประธาน

ใน 99 ศพ ดีเอสไอส่งเรื่องให้ตำรวจชันสูตรพลิกศพทำสำนวนส่งอัยการยื่นศาลไต่สวน 35 ศพที่มีพยานหลักฐานว่าเกิดจากฝีมือเจ้าหน้าที่รัฐ

แม้พรรคประชาธิปัตย์จะใช้กลไกที่มีอยู่เต็มที่เพื่อตามหาชายชุดดำที่ถูกโยนให้เป็นแพะว่าเป็นคนฆ่า เป็นคนเริ่มต้นใช้ความรุนแรง

แต่ก็มีคนตั้งคำถามเหมือนกันว่า หากเห็นชายชุดดำใช้ความรุนแรง ถืออาวุธไล่ยิงเจ้าหน้าที่ ยิงประชาชน ทำไมพลแม่นปืนที่ขึ้นไปอยู่บนตึกสูงตั้งมากมายไม่ส่องหัวให้กระจุยเอามาโชว์เป็นหลักฐานยืนยันคำพูดสักคนสองคน

ไฉนคนที่ถูกส่องหัวมีแต่ประชาชนมือเปล่า
เวลากว่า 2 ปีหลังสิ้นเสียงปืนนัดสุดท้าย เรื่องราวต่างๆกำลังถูกเคี่ยวให้งวดขึ้น สถานการณ์ตอนนี้จึงเหมือนรถขนไก่ใกล้โรงเชือด

ก็ต้องมีการจิกตี ส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวมากหน่อยเป็นธรรมดา เพราะไม่ว่าใครก็รักตัวกลัวตาย ไม่อยากตกเป็นผู้ต้องหา ไม่อยากไปอยู่ในคุก

หลังปิดสมัยประชุมสภาคงได้เห็นว่ามีหมายเรียกให้ไปรับทราบข้อกล่าวหาส่งถึงใครบ้าง

ที่มา.หนังสือพิมพ์โลกวันนี้
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันศุกร์ที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ชาวบ้านหวั่นอาเพศ ฟ้าผ่าเศียรยักษ์วัดอรุณฯ เป็นยักษ์หัวขาด !!?

นางสุกุมล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่ากระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) ได้เดินทางไปตรวจเยี่ยมความคืบหน้าการบูรณะคอม้า ประกอบพระปรางค์บริวารที่โค่นลงมา ภายในพระปรางค์วัดอรุณราชวราราม ราชวรมหาวิหาร แต่ก็ได้รับรายงานความเสียหายเพิ่มเติม บริเวณยักษ์ประดับรอบพระปรางค์องค์เล็ก ด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้ เนื่องจากพายุฝนและเกิดฟ้าผ่าลงมา

นางสุกุมล เปิดผยว่า เมื่อสัปดาห์ก่อนได้รับแจ้งว่า เกิดฟ้าผ่าลงมาที่ยอดพระปรางค์ด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้ ทำให้ยักษ์ประดับรอบๆ พระปรางค์ เกิดความเสียหาย เศียรยักษ์หลุดลงมาที่พื้นเบื้องล่าง จึงได้สั่งการให้ทางกรมศิลปากรได้เร่งบูรณะอย่างเร่งด่วนแล้ว คาดว่าสิ้นเดือนตุลาคมนี้ น่าจะแล้วเสร็จ

ในส่วนของการบูรณะคอม้าพระปรางค์องค์เล็ก ที่เกิดหักเสียหายเมื่อก่อนหน้านี้นั้น ขณะนี้ได้ทำการบูรณะจนแล้วเสร็จแล้ว และจะปรับภูมิทัศน์ให้กลับสู่สภาพเดิม ประมาณปลายเดือนตุลาคมนี้

อย่างไรก็ตาม เหตุฟ้าผ่าลงมาใส่พระปรางค์ จนเศียรยักษ์หลุดแตกลงมา สร้างความตกใจและหวั่นวิตกต่อชาวบ้านที่ได้ทราบข่าว บ้างก็เชื่อว่าเป็นลางร้ายบอกเหตุ ทำให้ทางด้าน นายสหวัฒน์ แน่นหนา อธิบดีกรมศิลปากร ชี้แจงว่า เหตุดังกล่าวน่าจะเกิดเพราะเป็นอุบัติเหตุจริงๆ เพราะส่วนเศียรยักษ์ที่ตกลงมา อยู่ใกล้กับสายล่อฟ้าที่ติดตั้งเอาไว้ ทำให้เกิดแรงระเบิดรุนแรง จนเศียรยักษ์ตกลงมาดังกลาว

ทั้งนี้ไม่อยากให้ประชาชนคิดเป็นเรื่องร้ายหรือเรื่องไม่ดี แต่นับว่ายังโชคดีที่ไม่ส่งผลกระทบต่อประชาชนหรือนักท่องเที่ยว เพราะเศียรยักษ์ที่ตกลงมานั้น มีขนาดและน้ำหนักพอสมควร อาจเป็นอันตรายหากตกลงมาใส่ ซึ่งขณะนี้ได้ดำเนินการให้เจ้าหน้าที่ติดตั้งสายล่อฟ้านำลงดิน เพื่อไม่ให้เกิดเหตุซ้ำรอยอีก

ที่มา.มติชนออนไลน์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++