ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง โดยนายฐานันท์ วรรณโกวิท รองประธานศาลฎีกา เจ้าของสำนวนคดีหมายเลขดำที่ อม.3 /2554 และองค์คณะผู้พิพากษารวม 9 คน อ่านคำพิพากษา คดีคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ( ป.ป.ช.) ผู้ร้อง ขอให้ศาลมีคำพิพากษาให้ น.ส.ชินณิชา วงศ์สวัสดิ์ ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย บุตรสาวนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี พ้นจากตำแหน่งและห้ามมิให้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองหรือดำรงตำแหน่งใดในพรรคการเมืองเป็นเวลา 5 ปี จากกรณีที่ ป.ป.ช. ได้ชี้มูลความผิดฐานจงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบด้วยข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบ ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 263 และขอให้ลงโทษทางอาญาตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 119 ด้วย
สำหรับคดีนี้ ป.ป.ช. เห็นว่า การที่ น.ส.ชินณิชา ได้ยื่นแสดงรายการเงินกู้ยืมจากนายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ จำนวน 100 ล้านบาท เมื่อวันที่ 31 ต.ค.51 ภายหลังจากที่ได้ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สิน กรณีเข้ารับตำแหน่งส.ส.เชียงใหม่แล้ว เป็นเวลากว่า 8 เดือน โดยอ้างเหตุที่ไม่ได้แสดงรายการหนี้สินดังกล่าว เพราะความหลงผิดและเข้าใจคลาดเคลื่อนโดยสุจริตว่า ระหว่างทำรายการบัญชีฯนั้นกระบวนการไต่สวนของคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ(คตส.) ยังไม่เสร็จสิ้น หนี้สินที่มีคำสั่งอายัดไว้ผู้ยื่นไม่สามารถดำเนินการอื่นใดได้จนกว่า คตส. จะมีคำสั่งให้เพิกถอนการอายัด
ขณะที่ น.ส.ชินณิชา ได้ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. โดยได้แสดงรายการเงินฝากธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) สาขาถนนรัชดาภิเษก 3 (ทรูทาวเวอร์) ของตนเอง จำนวนเงิน 6,823,058.97 บาท ซึ่งเป็นบัญชีเงินฝากที่ คตส. มีคำสั่งอายัดไว้และ น.ส.ชินณิชาได้ร้องขอให้ คตส. เพิกถอนการอายัด และได้แสดงรายการเงินให้กู้ยืม ระบุว่า บริษัท วาย ชินวัตร จำกัด ได้กู้ยืม รวม 7 ครั้ง รวมเป็นเงิน 42,700,000 บาท และครั้งที่ 2 ได้ให้กู้ยืมเป็นเงิน 10 ล้านบาท ซึ่งเงินจำนวน 10 ล้านบาทนี้เป็นส่วนหนึ่งของเงินจำนวน 100 ล้านบาทที่กู้ยืมมาจากนายบรรณพจน์ โดยการขอยื่นแสดงรายการเงินกู้ยืมจากนายบรรณพจน์เพิ่มเติม ก็เป็นเวลาภายหลังจากที่ปรากฏข่าวทางสื่อมวลชนเกี่ยวกับการที่ น.ส.ชินณิชา ได้ร้องขอเพิกถอนการอายัดเงินจำนวน 100 ล้านบาท ต่อ คตส. และภายหลังจากที่นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ได้ยื่นเรื่องให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ตรวจสอบการแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบของ น.ส.ชินณิชาแล้ว
ศาลฎีกา ฯ พิเคราะห์พยานหลักฐานและเอกสารในสำนวน แล้วเห็นว่า น.ส.ชินณิชา ผู้คัดค้าน จงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบด้วยข้อความอันเป็นเท็จ ฯ ตามรัฐธรรมนูญ ฯ ปี 2550 มาตรา 259 และ 263 ประกอบ พ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 119
ศาลฎีกาฯ พิพากษาให้น.ส.ชินณิชา ผู้คัดค้าน พ้นจากตำแหน่ง ส.ส. และห้ามไม่ให้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง หรือตำแน่งใดในพรรคการเมืองเป็นเวลา 5 ปี นับแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษา และให้จำคุกน.ส.ชินณิชา ผู้คัดค้าน เป็นเวลา 2 เดือนพร้อมทั้งปรับเป็นเงิน 4,000 บาท แต่เมื่อไม่ปรากฏว่าผู้คัดค้านเคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน จึงเห็นสมควรรอการลงโทษมีกำหนด 1 ปี
ที่มา.มติชนออนไลน์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
วันศุกร์ที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2555
สารพัด อื้อฉาว สภาไทย ชก-ถีบ-เมา ถึง หวิว !!?
เหตุการณ์ที่มีภาพหญิงสาวนุ่งน้อยห่มน้อย สันนิษฐานว่า มาจากแดนอาทิตย์อุทัย สวมเสื้อผ้าน้อยชิ้นแถมบางเบาวาบหวิว โผล่กลางจอโปรเจ็กเตอร์ 3 รอบ รอบ ละ 5 วินาที ในห้องประชุมรัฐสภา ระหว่างการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญฉบับแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่...) พ.ศ. .... ในวาระที่ 2 เมื่อวันที่ 18 เมษายนที่ผ่านมา
ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดเรื่อง "ฉาวๆ" ขึ้นในห้องประชุม "ผู้ทรงเกียรติ" แห่งนี้
เอาเฉพาะระยะใกล้ ไม่เกิน 10 ปี ก็มีอย่างน้อย 4-5 เหตุการณ์ ที่ทำให้ชาวบ้านต่างส่ายหัวกับพฤติกรรมบุคคลในข่าว หรือกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น
เริ่มจากช่วงบ่ายของวันที่ 2 พฤศจิกายน 2547 พล.ต.อ.ประทิน สันติประภพ อดีตอธิบดีกรมตำรวจ ส.ว.กทม. ปลุกวิญญาณ นักมวยสมัยเรียนที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สาวหมัดที่ไม่ได้หุ้มนวมเข้าใส่ อดุลย์ วันไชยธนวงศ์
ส.ว.เชียงราย ที่เดินปรี่เข้าหาถึง 3 หมัด หลังมีความเห็นไม่ตรงกัน กรณีการเผยแพร่สมุดปกเหลือง เรื่อง "ความจริงที่ตากใบ"
แม้ "บิ๊กทิน" จะชี้แจงว่า ทำไปเพราะป้องกันตัว แต่ท้ายสุดแสดงสปิริตตัดสินใจยื่นใบลาออกจาก ส.ว.
เหตุที่เกิดขึ้น ทำให้ชื่อเสียงของ "สภาสูง" เวลานั้น มัวหมองไปพอสมควร
ต่อมา หลังเกิดการยึดอำนาจ "รัฐบาลไทยรักไทย" ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่ถูกกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยชุมนุม (พธม.) ขับไล่แรมปี ในปี 2549
ความขัดแย้งบนท้องถนนก็ลากเข้าไปสู่ห้องประชุมสภา โดยเฉพาะพรรคพลังประชาชนชนะการเลือกตั้งในปี 2550
ที่สุด ก็เกิดเรื่อง "สุดโฉ่" ขึ้นบริเวณอาคารรัฐสภา เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2551 ส.ส.กทม. หน้าใหม่ ใต้สังกัดพรรคพลังประชาชน (พปช.) อย่าง การุณ โหสกุล หรือ "เก่ง" ก็ตวัดเท้ากระโดดถีบเข้าท้องน้อย สมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ แกนนำ พธม. ที่เป็น ส.ส.สัดส่วน พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) อย่างรุนแรง
แม้ สมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า พปช. จะออกมาปกป้องลูกพรรคว่า "อีกคนตัวเล็ก อีกคนตัวใหญ่ ลองคิดดูก็แล้วกัน"
แต่วีรกรรมของ "เก่ง การุณ" ซึ่งได้ฉายา ต่อมา เก่ง สกายคิก ไม่เพียงทำให้ "ศาลอาญา" พิพากษาจำคุกเป็นเวลา 1 ปี โดยรอลงอาญากำหนด 2 ปี และปรับเงิน 4 หมื่นบาท ยังพ่วงภาพลักษณ์ "แบดบอย" ติดตัวสลัดไม่หลุดมาถึงวันนี้
และเหตุการณ์ "สกายคิก" ครั้งนั้น ยังเป็น "ชนวน" สำคัญทำให้ห้องประชุมสภา แทบจะกลายเป็นสมรภูมิขนาดย่อมๆ เพราะเกิดพฤติกรรมไม่เหมาะสมตามมาอีกหลายกรณี
ยิ่งเมื่อมีการ "พลิกขั้วการเมือง" ยุบพรรค พปช. ดัน ปชป. เป็นรัฐบาล ยิ่งทำให้อุณหภูมิใน "สภา" จากที่เคย "ร้อน" กลายเป็น "เดือด" ได้ทันควัน
ทั้งกรณี สมคิด บาลไธสง ส.ส.หนองคาย พรรคเพื่อไทย (พท.) เดินยั่วฝ่ายรัฐบาลด้วยการเดินตรวจการเสียบบัตรลงคะแนน จนเกือบวางมวยกับ อภิชาติ สุภาแพ่ง ส.ส.เพชรบุรี ปชป.ที่ปรี่เข้ามาจะชกและยกเท้าเตรียมถีบ จนเพื่อน ส.ส. ต้องเข้าห้ามปรามกันชุลมุน
หรือกรณี สุรเชษฐ์ ชัยโกศล ส.ส.พระนครศรีอยุธยา พท.ตะโกนคำหยาบพร้อมชูนิ้วกลางให้ รณฤทธิชัย คานเขต ส.ส.ยโสธร พรรคเพื่อแผ่นดิน ระหว่างการอภิปรายไม่ไว้วางใจ
กระทั่งสื่อมวลชนประจำรัฐสภาทนไม่ไหว ให้ฉายาฝ่ายนิติบัญญัติในปี 2552 ว่า "ถ่อย-เถื่อน-ถีบ" !
โดยให้คำอธิบายว่า "พฤติกรรม ส.ส.ที่ก้าวร้าวมากขึ้น นอกจากไม่เป็นแบบอย่างที่ดีของสภาผู้ทรงเกียรติแล้ว ยังมีส่วนกระตุ้นให้สังคมแก้ปัญหาด้วยความรุนแรง โดยไม่ใช้หลักเหตุผล"
อีกครั้งที่มีเรื่องอื้อฉาว ไม่นานมานี้เอง กรณี ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ลุกขึ้นประท้วง อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้านในสภา ขณะกำลังอภิปรายญัตติขอแก้ไขรัฐธรรมนูญ เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ด้วยสีหน้า แดงก่ำ
เป็นเหตุให้ รังสิมา รอดรัศมี ส.ส.สมุทรสงคราม ปชป.ต้องกดไมค์พูดทันควันว่า "ประธานให้คนเมาประท้วงได้อย่างไร ต้องจับไปตรวจแอลกอฮอล์" ร้อนถึง "บิ๊กเหลิม" ที่ต้องแก้ตัวว่า "ไม่ได้เมาเหล้า แต่เมารัก"
ยิ่งรวมกรณีล่าสุด ทั้งภาพอล่างฉ่างโผล่จอมอนิเตอร์ หรือ ณัฏฐ์ บรรทัดฐาน ส.ส.กทม. ปชป.ยอมรับว่าดูคลิปหวิวในห้องประชุมจริง
สารพัดเรื่อง "อื้อฉาว" เหล่านี้ เป็นสาเหตุที่ทำให้สภาไทยมีภาพลักษณ์ตกต่ำ กระทั่งชาวบ้านต่างเอือมระอา แม้บางครั้งจะเกิดความไม่ตั้งใจก็ตาม !!!
ที่มา.มติชนออนไลน์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดเรื่อง "ฉาวๆ" ขึ้นในห้องประชุม "ผู้ทรงเกียรติ" แห่งนี้
เอาเฉพาะระยะใกล้ ไม่เกิน 10 ปี ก็มีอย่างน้อย 4-5 เหตุการณ์ ที่ทำให้ชาวบ้านต่างส่ายหัวกับพฤติกรรมบุคคลในข่าว หรือกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น
เริ่มจากช่วงบ่ายของวันที่ 2 พฤศจิกายน 2547 พล.ต.อ.ประทิน สันติประภพ อดีตอธิบดีกรมตำรวจ ส.ว.กทม. ปลุกวิญญาณ นักมวยสมัยเรียนที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สาวหมัดที่ไม่ได้หุ้มนวมเข้าใส่ อดุลย์ วันไชยธนวงศ์
ส.ว.เชียงราย ที่เดินปรี่เข้าหาถึง 3 หมัด หลังมีความเห็นไม่ตรงกัน กรณีการเผยแพร่สมุดปกเหลือง เรื่อง "ความจริงที่ตากใบ"
แม้ "บิ๊กทิน" จะชี้แจงว่า ทำไปเพราะป้องกันตัว แต่ท้ายสุดแสดงสปิริตตัดสินใจยื่นใบลาออกจาก ส.ว.
เหตุที่เกิดขึ้น ทำให้ชื่อเสียงของ "สภาสูง" เวลานั้น มัวหมองไปพอสมควร
ต่อมา หลังเกิดการยึดอำนาจ "รัฐบาลไทยรักไทย" ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่ถูกกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยชุมนุม (พธม.) ขับไล่แรมปี ในปี 2549
ความขัดแย้งบนท้องถนนก็ลากเข้าไปสู่ห้องประชุมสภา โดยเฉพาะพรรคพลังประชาชนชนะการเลือกตั้งในปี 2550
ที่สุด ก็เกิดเรื่อง "สุดโฉ่" ขึ้นบริเวณอาคารรัฐสภา เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2551 ส.ส.กทม. หน้าใหม่ ใต้สังกัดพรรคพลังประชาชน (พปช.) อย่าง การุณ โหสกุล หรือ "เก่ง" ก็ตวัดเท้ากระโดดถีบเข้าท้องน้อย สมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ แกนนำ พธม. ที่เป็น ส.ส.สัดส่วน พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) อย่างรุนแรง
แม้ สมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า พปช. จะออกมาปกป้องลูกพรรคว่า "อีกคนตัวเล็ก อีกคนตัวใหญ่ ลองคิดดูก็แล้วกัน"
แต่วีรกรรมของ "เก่ง การุณ" ซึ่งได้ฉายา ต่อมา เก่ง สกายคิก ไม่เพียงทำให้ "ศาลอาญา" พิพากษาจำคุกเป็นเวลา 1 ปี โดยรอลงอาญากำหนด 2 ปี และปรับเงิน 4 หมื่นบาท ยังพ่วงภาพลักษณ์ "แบดบอย" ติดตัวสลัดไม่หลุดมาถึงวันนี้
และเหตุการณ์ "สกายคิก" ครั้งนั้น ยังเป็น "ชนวน" สำคัญทำให้ห้องประชุมสภา แทบจะกลายเป็นสมรภูมิขนาดย่อมๆ เพราะเกิดพฤติกรรมไม่เหมาะสมตามมาอีกหลายกรณี
ยิ่งเมื่อมีการ "พลิกขั้วการเมือง" ยุบพรรค พปช. ดัน ปชป. เป็นรัฐบาล ยิ่งทำให้อุณหภูมิใน "สภา" จากที่เคย "ร้อน" กลายเป็น "เดือด" ได้ทันควัน
ทั้งกรณี สมคิด บาลไธสง ส.ส.หนองคาย พรรคเพื่อไทย (พท.) เดินยั่วฝ่ายรัฐบาลด้วยการเดินตรวจการเสียบบัตรลงคะแนน จนเกือบวางมวยกับ อภิชาติ สุภาแพ่ง ส.ส.เพชรบุรี ปชป.ที่ปรี่เข้ามาจะชกและยกเท้าเตรียมถีบ จนเพื่อน ส.ส. ต้องเข้าห้ามปรามกันชุลมุน
หรือกรณี สุรเชษฐ์ ชัยโกศล ส.ส.พระนครศรีอยุธยา พท.ตะโกนคำหยาบพร้อมชูนิ้วกลางให้ รณฤทธิชัย คานเขต ส.ส.ยโสธร พรรคเพื่อแผ่นดิน ระหว่างการอภิปรายไม่ไว้วางใจ
กระทั่งสื่อมวลชนประจำรัฐสภาทนไม่ไหว ให้ฉายาฝ่ายนิติบัญญัติในปี 2552 ว่า "ถ่อย-เถื่อน-ถีบ" !
โดยให้คำอธิบายว่า "พฤติกรรม ส.ส.ที่ก้าวร้าวมากขึ้น นอกจากไม่เป็นแบบอย่างที่ดีของสภาผู้ทรงเกียรติแล้ว ยังมีส่วนกระตุ้นให้สังคมแก้ปัญหาด้วยความรุนแรง โดยไม่ใช้หลักเหตุผล"
อีกครั้งที่มีเรื่องอื้อฉาว ไม่นานมานี้เอง กรณี ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ลุกขึ้นประท้วง อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้านในสภา ขณะกำลังอภิปรายญัตติขอแก้ไขรัฐธรรมนูญ เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ด้วยสีหน้า แดงก่ำ
เป็นเหตุให้ รังสิมา รอดรัศมี ส.ส.สมุทรสงคราม ปชป.ต้องกดไมค์พูดทันควันว่า "ประธานให้คนเมาประท้วงได้อย่างไร ต้องจับไปตรวจแอลกอฮอล์" ร้อนถึง "บิ๊กเหลิม" ที่ต้องแก้ตัวว่า "ไม่ได้เมาเหล้า แต่เมารัก"
ยิ่งรวมกรณีล่าสุด ทั้งภาพอล่างฉ่างโผล่จอมอนิเตอร์ หรือ ณัฏฐ์ บรรทัดฐาน ส.ส.กทม. ปชป.ยอมรับว่าดูคลิปหวิวในห้องประชุมจริง
สารพัดเรื่อง "อื้อฉาว" เหล่านี้ เป็นสาเหตุที่ทำให้สภาไทยมีภาพลักษณ์ตกต่ำ กระทั่งชาวบ้านต่างเอือมระอา แม้บางครั้งจะเกิดความไม่ตั้งใจก็ตาม !!!
ที่มา.มติชนออนไลน์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
สภาฯเรียกไอซีที ส่งทีมสอบรูปโป๊โผล่กลางสภา !!?
สภาฯเรียก"ไอซีที" ส่งทีมสอบรูปโป๊โผล่กลางสภา เชื่อเชื่อมสัญญาณจากไวไฟ เหตุเจ้าหน้าที่ตัดภาพไม่ได้ ขู่หากพบ ส.ส. เป็นคนทำ ถือผิดวินัยร้ายแรง
นายไพจิต ศรีวรขาน ส.ส.นครพนม พรรคเพื่อไทย ฐานะประธานคณะกรรมาธิการกิจการสภาผู้แทนราษฏร ได้ทำหนังสือถึงกระทรวงเทคโนโลยีและการสื่อสาร (ไอซีที) เพื่อขอความอนุเคราะห์ส่งเจ้าหน้าที่ให้ข้อมูลเกี่ยวกับสารสนเทศ หลังจากที่เกิดภาพผู้หญิงนุ่งน้อยห่มน้อย ปรากฎอยู่ในจอทีวี ภายในห้องประชุมรัฐสภา เมื่อวันที่ 18 เม.ย. ระหว่างการพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 291 และเมื่อเวลา14.55 น. ทางกระทรวงไอซีที ได้ส่งเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญจำนวน 4 คนมาให้ข้อมูล และตรวจสอบเรื่องดังกล่าว อย่างไรก็ตามทางเจ้าหน้าที่ตั้งสมมติฐานก่อนตรวจสอบว่า จากที่เห็นภาพในข่าว คาดว่า เป็นภาพสกรีนเซฟเวอร์ (ภาพพักหน้าจอ) จากจอคอมพิวเตอร์ภายในห้องควบคุม เพราะภาพพื้นหลังนอกกรอบของรูปภาพเป็นสีดำ
จากนั้นเจ้าหน้าที่จากกระทรวงไอซีที ได้เข้าไปตรวจสอบภายในห้องโสตทัศนูปกรณ์ และมีเจ้าหน้าที่ควบคุมอุปกรณ์ สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฏร ให้ข้อมูล โดยเจ้าหน้าที่ควบคุม ระบุยืนยันว่า ภาพไม่เหมาะสมดังกล่าวไม่ได้มาจากห้องควบคุม เพราะช่วงที่เกิดเหตุ มีเจ้าหน้าที่ภายในห้องประชุมรัฐสภาโทรศัพท์มาแจ้งเจ้าหน้าที่ห้องควบคุมว่า มีภาพโป๊ปรากฏบนจอพลาสมา ที่ติดตั้งอยู่ท้ายห้องประชุมรัฐสภา แต่เจ้าหน้าที่ห้องควบคุมไม่สามารถตัดภาพได้เอง เพราะไม่ได้มาจากห้องควบคุม เจ้าหน้าที่จึงใช้วิธีตัดไฟฟ้าที่ส่งไปยังจอทีวีในห้องประชุมแทน
เจ้าหน้าที่ห้องควบคุมคนเดิม กล่าวชี้แจงต่อว่า ทีวีทั้ง 4 ตัวที่ติดตั้งภายในห้องประชุมนั้น เป็นยี่ห้อแอลจี ซึ่งมีตัวส่งสัญญาณอินเตอร์เน็ต (ดองเกิ้ล) ติดตั้งอยู่บริเวณด้านข้าง เพื่อใช้ในยามฉุกเฉินที่ไม่สามารถส่งสัญญาณทางสาย (เอวี) ได้ อย่างไรก็ตามช่วงที่มีการตรวจรับของ เมื่อช่วงเดือนธันวาคม 2554 ทางเจ้าหน้าที่ฝ่ายไอที ที่ตรวจรับอุปกรณ์ชุดดังกล่าว ได้ทดสอบระบบรวมถึงอุปกรณ์ที่เรียกว่าดองเกิ้ล (อุปกรณ์อีเล็คโทรนิคส์ มีหน้าที่เป็นตัวถอดรหัสสัญญาณ ใส่เพิ่มเติมไว้เพื่อรับชมช่องรายการที่เข้ารหัส) ด้วย แต่ไม่ได้ใส่รหัสเพื่อป้องกันการใช้งานไว้ ดังนั้นเมื่อมีอุปกรณ์ที่มีโปรแกรม หรือ แอพลิเคชั่น ในโทรศัพท์มือถือ แบบสมาร์ทโมบาย ที่สามารถค้นหา (จูน) สัญญาณดองเกิล ของทีวีเครื่องใดๆ แล้วก็สามารถเชื่อมต่อได้โดยอัตโนมัติ โดยไม่ต้องเข้ารหัสก่อน และเมื่อเชื่อมต่อได้แล้วจอทีวีจะเสมือนเป็นหน้าจอของโทรศัพท์เครื่องที่เชื่อมต่อได้ ทั้งนี้ตัวรับสัญญาณดังกล่าวมีระยะรับสัญญาณได้ 10-30 เมตร โดยระบบปฏิบัติการที่รองรับกับดองเกิลได้ คือ โอเอสแอนดรอย หรือแอพลิเคชั่น บนไอโฟน ที่มีชื่อว่า ออล์แชร์
เจ้าหน้าที่ชี้แจงด้วยว่า ระบบควบคุมภาพในห้องโสตนั้น ส่วนใหญ่ จะใช้ช่องสัญญาณแบบเอวี คือ มีสายเชื่อมต่อ และใช้วิธีสับสวิทซ์ แบบแมนนัล ดังนั้นก่อนที่ภาพที่ถูกถ่ายมาจากกล้องจะปรากฎออกมาเป็นภาพอย่างที่ประชาชนเห็นตามการถ่ายทอดผ่านช่องเอ็นบีที หรือภาพที่ปรากฎในโทรทัศน์วงจนปิดภายในอาคารรัฐสภา จำเป็นต้องใช้คนควบคุม และสับสวิทซ์ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งขั้นตอนดังกล่าวมีเจ้าหน้าที่ที่ควบคุมดูแลอยู่ประมาณ 3-4 คน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเจ้าหน้าที่จากกระทรวงไอซีทีได้ใช้เวลาตรวจสอบรวมกว่า 1 ชั่วโมง และเปิดเผยว่า จากการให้ข้อมูลของเจ้าหน้าที่ ที่ระบุว่าพบเครื่องหมายโหลดดิ้ง บนหน้าจอทีวี ก่อนที่ภาพจะตัดจากการประชุมร่วมรัฐสภา เป็นภาพโป๊ นั้นสันนิษฐานได้ว่า อาจเชื่อมต่อมาจากสัญญาณไวไฟ เพราะหากเป็นภาพที่เชื่อมมาจากสายเอวี นั้นภาพจะตัดสลับโดยทันที แต่ตนยังสงสัยเหตุการณ์ดังกล่าว ทำไมถึงเชื่อมต่อกับโทรศัพท์ได้ทันที โดยไม่มีการใช้รีโมทคอนโทรล ซึ่งถือว่าเป็นระบบใหม่ที่ตนยังไม่เคยเห็น
ผู้สื่อข่าวรายว่าวานนี้ภายหลังจากปิดประชุม นายไพจิต พร้อมเจ้าหน้าทีเทคนิคของ สภาได้เข้าไปทดสอบระบบ และได้ใช้ดทรศัพท์ มือถือเข้าไปเชื่อมต่อสัญญาณผ่านระบบมือถือ พบว่าสามารถเชื่อมต่อได้ และภาพที่ปรากฏบนจอมือถือก็ขึ้นไปโผล่ในจอทีวี ซึ่งเบื้องต้นคณะของนายไพจิตก็สรุปได้ว่าน่าจะเป็นภาพจากมือถือ
ด้านนายไพจิต กล่าวว่าทางกรรมาธิการกิจการสภาฯ อยู่ระหว่างตรวจสอบรายละเอียดว่าระบบส่งภาพที่ส่งมาจากโทรศัพท์มือถือของสมาชิกรัฐสภานั้นมาได้อย่างไร เพราะเชื่อว่าอยู่ดีๆ ภาพจะมาปรากฎบนจอทีวีเองไม่ได้ ต้องมีการจูนรหัส ให้ตรงกับช่องสัญญาณของทีวี เบื้องต้นนั้นถือว่าผิดธรรมชาติ ทั้งนี้หากตรวจสอบพบว่าเป็นการจงใจให้สภานิติบัญญัติเสื่อมเสียชื่อเสีย ก็จะดำเนินการส่งผลการตรวจสอบให้นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานสภาผู้แทนราษฎร ฐานะประธานคณะกรรมการจริยธรรมสภาฯ ให้เอาผิดทันที
ส่วนประเด็นที่นายณัฎฐ์ บรรทัดฐาน ส.ส. กทม. พรรคประชาธิปัตย์ แถลงข่าวในประเด็นที่เกี่ยวข้องว่า ช่วงการประชุมนั้นได้ดูรูปโป๊บนมือถือนั้น ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี ที่ออกมายอมรับ แต่ทั้งนี้ก็ต้องตรวจสอบว่ามีเจตนาใดหรือไม่ หากพบว่าเป็นเจตนาจะถือว่าได้ทำผิดจริยธรรมของส.ส.อย่างร้ายแรง และถือว่าเป็นการทำหน้าที่ไม่เหมาะสม
“ประเด็นการใช้เครื่องมืออิเล็คทรอนิกส์ในห้องประชุมสภาฯ ถือเป็นข้อห้ามหนึ่งในข้อบังคับจริยธรรม แต่ผมยอมรับว่าช่วงที่เทคโนโลยีมีความก้าวหน้า ประเด็นนี้ก็ห้ามยาก อีกทั้งการติดตั้งสัญญาณอินเตอร์เน็ตภายในห้องประชุมนั้นเพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกให้กับสมาชิกเพื่อค้นหาข้อมูล แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้คงต้องมาดูข้อบังคับกันอีกครั้งว่าจะปรับปรุงหรือไม่” นายไพจิต กล่าว
ที่มา.กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
นายไพจิต ศรีวรขาน ส.ส.นครพนม พรรคเพื่อไทย ฐานะประธานคณะกรรมาธิการกิจการสภาผู้แทนราษฏร ได้ทำหนังสือถึงกระทรวงเทคโนโลยีและการสื่อสาร (ไอซีที) เพื่อขอความอนุเคราะห์ส่งเจ้าหน้าที่ให้ข้อมูลเกี่ยวกับสารสนเทศ หลังจากที่เกิดภาพผู้หญิงนุ่งน้อยห่มน้อย ปรากฎอยู่ในจอทีวี ภายในห้องประชุมรัฐสภา เมื่อวันที่ 18 เม.ย. ระหว่างการพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 291 และเมื่อเวลา14.55 น. ทางกระทรวงไอซีที ได้ส่งเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญจำนวน 4 คนมาให้ข้อมูล และตรวจสอบเรื่องดังกล่าว อย่างไรก็ตามทางเจ้าหน้าที่ตั้งสมมติฐานก่อนตรวจสอบว่า จากที่เห็นภาพในข่าว คาดว่า เป็นภาพสกรีนเซฟเวอร์ (ภาพพักหน้าจอ) จากจอคอมพิวเตอร์ภายในห้องควบคุม เพราะภาพพื้นหลังนอกกรอบของรูปภาพเป็นสีดำ
จากนั้นเจ้าหน้าที่จากกระทรวงไอซีที ได้เข้าไปตรวจสอบภายในห้องโสตทัศนูปกรณ์ และมีเจ้าหน้าที่ควบคุมอุปกรณ์ สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฏร ให้ข้อมูล โดยเจ้าหน้าที่ควบคุม ระบุยืนยันว่า ภาพไม่เหมาะสมดังกล่าวไม่ได้มาจากห้องควบคุม เพราะช่วงที่เกิดเหตุ มีเจ้าหน้าที่ภายในห้องประชุมรัฐสภาโทรศัพท์มาแจ้งเจ้าหน้าที่ห้องควบคุมว่า มีภาพโป๊ปรากฏบนจอพลาสมา ที่ติดตั้งอยู่ท้ายห้องประชุมรัฐสภา แต่เจ้าหน้าที่ห้องควบคุมไม่สามารถตัดภาพได้เอง เพราะไม่ได้มาจากห้องควบคุม เจ้าหน้าที่จึงใช้วิธีตัดไฟฟ้าที่ส่งไปยังจอทีวีในห้องประชุมแทน
เจ้าหน้าที่ห้องควบคุมคนเดิม กล่าวชี้แจงต่อว่า ทีวีทั้ง 4 ตัวที่ติดตั้งภายในห้องประชุมนั้น เป็นยี่ห้อแอลจี ซึ่งมีตัวส่งสัญญาณอินเตอร์เน็ต (ดองเกิ้ล) ติดตั้งอยู่บริเวณด้านข้าง เพื่อใช้ในยามฉุกเฉินที่ไม่สามารถส่งสัญญาณทางสาย (เอวี) ได้ อย่างไรก็ตามช่วงที่มีการตรวจรับของ เมื่อช่วงเดือนธันวาคม 2554 ทางเจ้าหน้าที่ฝ่ายไอที ที่ตรวจรับอุปกรณ์ชุดดังกล่าว ได้ทดสอบระบบรวมถึงอุปกรณ์ที่เรียกว่าดองเกิ้ล (อุปกรณ์อีเล็คโทรนิคส์ มีหน้าที่เป็นตัวถอดรหัสสัญญาณ ใส่เพิ่มเติมไว้เพื่อรับชมช่องรายการที่เข้ารหัส) ด้วย แต่ไม่ได้ใส่รหัสเพื่อป้องกันการใช้งานไว้ ดังนั้นเมื่อมีอุปกรณ์ที่มีโปรแกรม หรือ แอพลิเคชั่น ในโทรศัพท์มือถือ แบบสมาร์ทโมบาย ที่สามารถค้นหา (จูน) สัญญาณดองเกิล ของทีวีเครื่องใดๆ แล้วก็สามารถเชื่อมต่อได้โดยอัตโนมัติ โดยไม่ต้องเข้ารหัสก่อน และเมื่อเชื่อมต่อได้แล้วจอทีวีจะเสมือนเป็นหน้าจอของโทรศัพท์เครื่องที่เชื่อมต่อได้ ทั้งนี้ตัวรับสัญญาณดังกล่าวมีระยะรับสัญญาณได้ 10-30 เมตร โดยระบบปฏิบัติการที่รองรับกับดองเกิลได้ คือ โอเอสแอนดรอย หรือแอพลิเคชั่น บนไอโฟน ที่มีชื่อว่า ออล์แชร์
เจ้าหน้าที่ชี้แจงด้วยว่า ระบบควบคุมภาพในห้องโสตนั้น ส่วนใหญ่ จะใช้ช่องสัญญาณแบบเอวี คือ มีสายเชื่อมต่อ และใช้วิธีสับสวิทซ์ แบบแมนนัล ดังนั้นก่อนที่ภาพที่ถูกถ่ายมาจากกล้องจะปรากฎออกมาเป็นภาพอย่างที่ประชาชนเห็นตามการถ่ายทอดผ่านช่องเอ็นบีที หรือภาพที่ปรากฎในโทรทัศน์วงจนปิดภายในอาคารรัฐสภา จำเป็นต้องใช้คนควบคุม และสับสวิทซ์ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งขั้นตอนดังกล่าวมีเจ้าหน้าที่ที่ควบคุมดูแลอยู่ประมาณ 3-4 คน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเจ้าหน้าที่จากกระทรวงไอซีทีได้ใช้เวลาตรวจสอบรวมกว่า 1 ชั่วโมง และเปิดเผยว่า จากการให้ข้อมูลของเจ้าหน้าที่ ที่ระบุว่าพบเครื่องหมายโหลดดิ้ง บนหน้าจอทีวี ก่อนที่ภาพจะตัดจากการประชุมร่วมรัฐสภา เป็นภาพโป๊ นั้นสันนิษฐานได้ว่า อาจเชื่อมต่อมาจากสัญญาณไวไฟ เพราะหากเป็นภาพที่เชื่อมมาจากสายเอวี นั้นภาพจะตัดสลับโดยทันที แต่ตนยังสงสัยเหตุการณ์ดังกล่าว ทำไมถึงเชื่อมต่อกับโทรศัพท์ได้ทันที โดยไม่มีการใช้รีโมทคอนโทรล ซึ่งถือว่าเป็นระบบใหม่ที่ตนยังไม่เคยเห็น
ผู้สื่อข่าวรายว่าวานนี้ภายหลังจากปิดประชุม นายไพจิต พร้อมเจ้าหน้าทีเทคนิคของ สภาได้เข้าไปทดสอบระบบ และได้ใช้ดทรศัพท์ มือถือเข้าไปเชื่อมต่อสัญญาณผ่านระบบมือถือ พบว่าสามารถเชื่อมต่อได้ และภาพที่ปรากฏบนจอมือถือก็ขึ้นไปโผล่ในจอทีวี ซึ่งเบื้องต้นคณะของนายไพจิตก็สรุปได้ว่าน่าจะเป็นภาพจากมือถือ
ด้านนายไพจิต กล่าวว่าทางกรรมาธิการกิจการสภาฯ อยู่ระหว่างตรวจสอบรายละเอียดว่าระบบส่งภาพที่ส่งมาจากโทรศัพท์มือถือของสมาชิกรัฐสภานั้นมาได้อย่างไร เพราะเชื่อว่าอยู่ดีๆ ภาพจะมาปรากฎบนจอทีวีเองไม่ได้ ต้องมีการจูนรหัส ให้ตรงกับช่องสัญญาณของทีวี เบื้องต้นนั้นถือว่าผิดธรรมชาติ ทั้งนี้หากตรวจสอบพบว่าเป็นการจงใจให้สภานิติบัญญัติเสื่อมเสียชื่อเสีย ก็จะดำเนินการส่งผลการตรวจสอบให้นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานสภาผู้แทนราษฎร ฐานะประธานคณะกรรมการจริยธรรมสภาฯ ให้เอาผิดทันที
ส่วนประเด็นที่นายณัฎฐ์ บรรทัดฐาน ส.ส. กทม. พรรคประชาธิปัตย์ แถลงข่าวในประเด็นที่เกี่ยวข้องว่า ช่วงการประชุมนั้นได้ดูรูปโป๊บนมือถือนั้น ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี ที่ออกมายอมรับ แต่ทั้งนี้ก็ต้องตรวจสอบว่ามีเจตนาใดหรือไม่ หากพบว่าเป็นเจตนาจะถือว่าได้ทำผิดจริยธรรมของส.ส.อย่างร้ายแรง และถือว่าเป็นการทำหน้าที่ไม่เหมาะสม
“ประเด็นการใช้เครื่องมืออิเล็คทรอนิกส์ในห้องประชุมสภาฯ ถือเป็นข้อห้ามหนึ่งในข้อบังคับจริยธรรม แต่ผมยอมรับว่าช่วงที่เทคโนโลยีมีความก้าวหน้า ประเด็นนี้ก็ห้ามยาก อีกทั้งการติดตั้งสัญญาณอินเตอร์เน็ตภายในห้องประชุมนั้นเพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกให้กับสมาชิกเพื่อค้นหาข้อมูล แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้คงต้องมาดูข้อบังคับกันอีกครั้งว่าจะปรับปรุงหรือไม่” นายไพจิต กล่าว
ที่มา.กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
วันพฤหัสบดีที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2555
ช่างแม่มัน.. ของทักษิณ อาจไม่ใช่ Let it be ของ The Beatles !!?
เมื่อสงกรานต์ที่ผ่านมาในวันที่ 14 เมษายน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้ร้องเพลง “Let it be” ที่เวทีลานศูนย์วัฒนธรรมเสียมเรียบ ประเทศกัมพูชา โดยแปลชื่อเพลงดังกล่าวว่า “ช่างแม่มัน” โดยได้รับเสียงเชียร์จากกลุ่มคนเสื้อแดงที่ยกพลไปต้อนรับอย่างหนาแน่น (แม้จะร้องเพลงเสียงเพี้ยนมากๆ) โดยเฉพาะเมื่อจบท่อนสุดท้ายที่ว่า “ถ้าใครจะขวางปรองดอง ช่างแม่มัน พรรคไหนขวางแก้รัฐธรรมนูญ ช่างแม่มัน” ได้รับเสียงปรบมือกันเกลียวกราว

เพลง Let it Be เป็นเพลงจากสตูดิโออัลบั้มสุดท้ายจาก “คณะสี่เต่าทอง” The Beatles ซึ่งเป็นชื่ออัลบั้มด้วย ในช่วงการทำอัลบั้มดังกล่าวดูเหมือนว่าจะเกิดความขัดแย้งในบรรดาสมาชิกของวง โดยเฉพาะบทบาทของ โยโกะ โอโนะ ภรรยาของจอห์น เลนนอน ที่มีส่วนทำให้สัมพันธภาพระหว่างเพื่อนแย่ลง เพลงนี้ถูกร้องนำโดย พอล แมคคาร์ทนีย์ มือเบสและนักร้องนำของวง โดยการประพันธ์ร่วมกับของเขาและจอห์น เลนนอน ซิงเกิ้ลดังกล่าวถูกปล่อยออกมาในเดือนมีนาคม 1970
ที่มาของเพลงนี้คือ พอล ได้นอนฝันถึงคุณแม่ของเขาที่เสียชีวิตไปเมื่อครั้งยังเป็นวัยรุ่น เขาได้เล่าปัญหาและความตึงเครียดต่างๆให้กับแม่เขาฟัง โดยแม่เขาพูดประโยคปลอบใจพอลว่า “It will be all right, just let it be.” ซึ่งสุดท้ายกลายเป็นท่อนขึ้นของเพลงว่า
“ในยามที่ฉันรู้สึกว่ากำลังตกอยู่ในสถานการณ์ แม่ของฉัน(แมรี่) มักจะกล่าวกับฉันด้วยประโยคเตือนสติว่า…จงปล่อยวางมันไป ” เป็นคำแปลที่สะท้อนของการไม่ยึดติดกับสิ่งที่เผชิญและคอยกดดันตัวเองอยู่ (อัสนี – วสันต์ เคยได้แรงบันดาลใจจากเพลงนี้จนไปประพันธ์เป็นเพลง “ให้มันเป็นไป” โดยมีเนื้อหาใกล้เคียงกัน) ทีนี้ลองมาฟังเนื้อหาเต็มๆของเพลง Let It Be กัน (ดูคำแปลจาก ลิงก์ ที่นี่) โดยขอคัดลอกเวอร์ชั่นจากบล็อก คุณ PuhAporlo จาก Exteen
การที่ทักษิณกำลังบอกว่าจะต้อง “ช่างแม่มัน” นั้นมีนัยยะที่กำลังบอกว่า ในส่วนของตัวเขานั้นที่ได้รับผลกระทบจากการเมืองมาตลอดระยะเวลา 6 ปีจะปล่อยทุกอย่าง “ช่างแม่มัน” แล้วจะหันหน้ากลับไปปรองดอง โดยไม่แคร์ว่าใครจะมาขวางกระบวนการดังกล่าว แน่นอน!ทักษิณ กำลังจะพยายามลืมทุกๆสิ่งที่เกี่ยวกับตัวเขา เพียงแต่ความหมายของ เพลง Let It be ของ The Beatles นั้นไม่ได้มีนัยยะแบบนั้นเท่าไหร่นัก เมื่อคนอื่นๆรอบตัวของทักษิณก็ไม่พร้อมที่จะช่างแม่มันไปด้วย ทั้งจากขั้วตรงข้ามและที่สำคัญขั้วเดีวกันที่เคยสนับสนุนโดยเฉพาะกลุ่มคนเสื้อแดงที่ไม่ได้ยึดติดกับตัวคุณทักษิณ ดังนั้น Let it be ในความหมายของคณะสี่เต่าทองยังแฝงนัยยะแห่งความรับผิดชอบและกล้าที่จะเผชิญหน้ากับชะตากรรม ซึ่งต้องถามกลับไปยังคุณทักษิณว่าหากกระบวนการทั้งหมดย้อนกลับไปก่อน 19 กันยายน 2549 มีการยุบทิ้ง คตส. และให้ทักษิณกลับสู่กระบวนการยุติธรรมตามปรกติเขาจะยอมหรือไม่? หรือเขาจะเลือกในแนวทางปัจจุบันคือทุกๆอย่างผ่านไป และเขาจะไม่กลับไปสู่กระบวนการยุติธรรม อะไรที่เกิดแล้วก็ปล่อยมันไป และจะกลับบ้านแบบเท่ๆ
ไม่สามารถคาดเดาคำตอบได้ ได้แต่เปรยกับตัวเองเบาๆว่า “ช่างแม่มัน ให้มันเป็นไป และจงปล่อยวาง”
ที่มา.Siam Intelligence Unit
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
เพลง Let it Be เป็นเพลงจากสตูดิโออัลบั้มสุดท้ายจาก “คณะสี่เต่าทอง” The Beatles ซึ่งเป็นชื่ออัลบั้มด้วย ในช่วงการทำอัลบั้มดังกล่าวดูเหมือนว่าจะเกิดความขัดแย้งในบรรดาสมาชิกของวง โดยเฉพาะบทบาทของ โยโกะ โอโนะ ภรรยาของจอห์น เลนนอน ที่มีส่วนทำให้สัมพันธภาพระหว่างเพื่อนแย่ลง เพลงนี้ถูกร้องนำโดย พอล แมคคาร์ทนีย์ มือเบสและนักร้องนำของวง โดยการประพันธ์ร่วมกับของเขาและจอห์น เลนนอน ซิงเกิ้ลดังกล่าวถูกปล่อยออกมาในเดือนมีนาคม 1970
ที่มาของเพลงนี้คือ พอล ได้นอนฝันถึงคุณแม่ของเขาที่เสียชีวิตไปเมื่อครั้งยังเป็นวัยรุ่น เขาได้เล่าปัญหาและความตึงเครียดต่างๆให้กับแม่เขาฟัง โดยแม่เขาพูดประโยคปลอบใจพอลว่า “It will be all right, just let it be.” ซึ่งสุดท้ายกลายเป็นท่อนขึ้นของเพลงว่า
“When I find myself in times of trouble, Mother Mary comes to me
Speaking words of wisdom, let it be”
“ในยามที่ฉันรู้สึกว่ากำลังตกอยู่ในสถานการณ์ แม่ของฉัน(แมรี่) มักจะกล่าวกับฉันด้วยประโยคเตือนสติว่า…จงปล่อยวางมันไป ” เป็นคำแปลที่สะท้อนของการไม่ยึดติดกับสิ่งที่เผชิญและคอยกดดันตัวเองอยู่ (อัสนี – วสันต์ เคยได้แรงบันดาลใจจากเพลงนี้จนไปประพันธ์เป็นเพลง “ให้มันเป็นไป” โดยมีเนื้อหาใกล้เคียงกัน) ทีนี้ลองมาฟังเนื้อหาเต็มๆของเพลง Let It Be กัน (ดูคำแปลจาก ลิงก์ ที่นี่) โดยขอคัดลอกเวอร์ชั่นจากบล็อก คุณ PuhAporlo จาก Exteen
When I find myself in times of trouble
เมื่อฉันค้นหาตัวเองในยามที่แสนยากเข็ญ
Mother mary comes to me
แม่แมรี่จะมาหาฉัน
Speaking words of wisdom, let it be.
พูดคำๆนึงที่แสนฉลาด “ปล่อยมันไป”
And in my hour of darkness
และในชั่วโมงที่มืดมิด
She is standing right in front of me
เธอยืนเคียงอยู่ข้างๆฉัน
Speaking words of wisdom, let it be.
พูดกับฉันคำนึงที่แสนจะฉลาด “ปล่อยมันไป”
Let it be, let it be.
ปล่อยมันไป ปล่อยมันไป
Whisper words of wisdom, let it be.
กระซิบถ้อยคำอันปราดเปรื่อง “ปล่อยมันไป”
And when the broken hearted people
เมื่อยามที่ผู้คนที่หัวใจร้าวราน
Living in the world agree,
มาพานพบในโลกที่ยอมรับกัน
There will be an answer, let it be.
พวกเขาจะพบคำตอบว่า “ปล่อยมันไป”
For though they may be parted there is
ถึงแม้ว่าพวกเขาจะแยกจากกัน
Still a chance that they will see
แต่ก็ยังมีโอกาศจะได้พบกันอีก
There will be an answer, let it be.
แล้วจะพบคำตอบว่า “ปล่อยมันไป”
Let it be, let it be. yeah
ปล่อยมันไป ปล่อยมันไป
There will be an answer, let it be.
แล้วจึงจะพบคำตอบว่า “ปล่อยมันไป”
And when the night is cloudy,
เมื่อยามที่ค่ำคืนปกคลุมด้วยเมฆทะมึน
There is still a light that shines on me,
จะยังคงมีแสงฉายอยู่บนตัวฉัน
Shine on until tomorrow, let it be.
ส่องสว่างตราบจนวันพรุ่งนี้ “ปล่อยมันไป”
I wake up to the sound of music
ฉันตื่นขึ้นมาพบกับเสียงเพลง
Mother mary comes to me
ท่านแม่แมรี่มาหาฉัน
Speaking words of wisdom, let it be.
พูดคำๆนึงที่ปราดเปรื่อง “ปล่อยมันไป”
Let it be, let it be.
ปล่อยมันไป
There will be an answer, let it be.
จึงจะได้พบคำตอบว่า “ปล่อยมันไป”
Let it be, let it be,
ปล่อยมันไป ปล่อยมันไป
Whisper words of wisdom, let it be.
กระซิบคำที่ปราดเปรื่อง “ปล่อยมันไป”
การที่ทักษิณกำลังบอกว่าจะต้อง “ช่างแม่มัน” นั้นมีนัยยะที่กำลังบอกว่า ในส่วนของตัวเขานั้นที่ได้รับผลกระทบจากการเมืองมาตลอดระยะเวลา 6 ปีจะปล่อยทุกอย่าง “ช่างแม่มัน” แล้วจะหันหน้ากลับไปปรองดอง โดยไม่แคร์ว่าใครจะมาขวางกระบวนการดังกล่าว แน่นอน!ทักษิณ กำลังจะพยายามลืมทุกๆสิ่งที่เกี่ยวกับตัวเขา เพียงแต่ความหมายของ เพลง Let It be ของ The Beatles นั้นไม่ได้มีนัยยะแบบนั้นเท่าไหร่นัก เมื่อคนอื่นๆรอบตัวของทักษิณก็ไม่พร้อมที่จะช่างแม่มันไปด้วย ทั้งจากขั้วตรงข้ามและที่สำคัญขั้วเดีวกันที่เคยสนับสนุนโดยเฉพาะกลุ่มคนเสื้อแดงที่ไม่ได้ยึดติดกับตัวคุณทักษิณ ดังนั้น Let it be ในความหมายของคณะสี่เต่าทองยังแฝงนัยยะแห่งความรับผิดชอบและกล้าที่จะเผชิญหน้ากับชะตากรรม ซึ่งต้องถามกลับไปยังคุณทักษิณว่าหากกระบวนการทั้งหมดย้อนกลับไปก่อน 19 กันยายน 2549 มีการยุบทิ้ง คตส. และให้ทักษิณกลับสู่กระบวนการยุติธรรมตามปรกติเขาจะยอมหรือไม่? หรือเขาจะเลือกในแนวทางปัจจุบันคือทุกๆอย่างผ่านไป และเขาจะไม่กลับไปสู่กระบวนการยุติธรรม อะไรที่เกิดแล้วก็ปล่อยมันไป และจะกลับบ้านแบบเท่ๆ
ไม่สามารถคาดเดาคำตอบได้ ได้แต่เปรยกับตัวเองเบาๆว่า “ช่างแม่มัน ให้มันเป็นไป และจงปล่อยวาง”
ที่มา.Siam Intelligence Unit
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
10 เรื่อง ควรรู้ก่อน นิวไอแพด มาไทย !!?
สาวก "แอปเปิล" ต่างรอคอยให้ถึงวันที่ 27 เมษายน เพราะเป็นวันแรกที่ "นิว ไอแพด" แทบเล็ตรุ่นล่าสุด เริ่มวางขายในเมืองไทย พร้อมๆ กับอีก 8 ประเทศ
นิว ไอแพด สร้างความฮือฮาตั้งแต่เปิดตัว กระทั่งเริ่มวางขายครั้งแรกใน 10 ประเทศ เมื่อวันที่ 16 มีนาคม ก่อนจะทยอยวางขายใน 37 ประเทศก่อนไทย ซึ่งเป็นรอบที่ 4 เฉพาะในสัปดาห์แรกหลังเริ่มจำหน่าย ไอแพดเวอร์ชั่นล่าสุดทำยอดขายทุบสถิติที่ 3 ล้านเครื่อง
ก่อนหน้าที่ "นิว ไอแพด" จะเข้าเมืองไทยอย่างเป็นทางการ มี 10 ข้อควรรู้เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์รุ่นล่าสุด ซึ่งมีทั้งจุดเด่นและจุดด้อย
ข้อแรก "นิว ไอแพด" ไม่ใช่ "ไอแพด 3" อย่างที่เก็งกันไว้ก่อนหน้านี้ เพราะไอแพด 3 อาจเป็นชื่อที่คาดเดาได้ง่ายเกินไป และนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่แอปเปิลตั้งชื่อแบบธรรมดาๆ เพราะมีหลายครั้งที่บริษัทอัพเดทเครื่องเล่นเพลงดิจิทัล "ไอพอด" โดยไม่ใส่หมายเลขรุ่นกำกับ เช่นเดียวกับแล็บทอป "แมคบุ๊ค" และเดสก์ทอป "ไอแมค"
ข้อ 2 มาพร้อมหน้าจอเรตินา แอปเปิลอวดว่าหน้าจอเรตินาบนนิว ไอแพด ให้ภาพคมชัดมากกว่าหน้าจอทีวีความละเอียดสูงทั่วไป และเป็นจอที่มีความละเอียดสูงสุดเมื่อเทียบกับอุปกรณ์แบบพกพาด้วยกัน โดยจอแสดงผลมีความละเอียดสูงถึง 3.1 ล้านพิกเซล ให้ความคมชัดทั้งในแง่ตัวอักษร รายละเอียดภาพและวิดีโอ
ข้อ 3 นิว ไอแพด หนา-หนักกว่าไอแพด 2 เพราะฟีเจอร์มากขึ้น ทำให้ต้องใช้แบตเตอรี่ทรงพลังขึ้น ไอแพดเจนเนอเรชั่น 3 นี้มีความหนา 9.4 มิลลิเมตร (0.37 นิ้ว) เทียบกับไอแพด 2 ที่หนา 8.8 มิลลิเมตร (0.34 นิ้ว) ส่วนน้ำหนักรุ่นไว-ไฟ เท่ากับ 652 กรัม รุ่น 3จี และ 4จี หนัก 662 กรัม เทียบกับไอแพด 2 รุ่นไว-ไฟ หนัก 601 กรัม และ 3จี หนัก 613 กรัม
ข้อ 4 ไอแพด 2 ราคาลดลง หลังเปิดตัวนิว ไอแพด แอปเปิลประกาศลดราคาไอแพด 2 ลงทันที 100 ดอลลาร์ รุ่นไว-ไฟ 16 กิกะไบต์ เหลือ 399 ดอลลาร์ และรุ่น 3จี อยู่ที่ 529 ดอลลาร์
ข้อ 5 อายุการใช้งานแบตเตอรี่เท่าๆ กับรุ่นเดิม แม้ว่าความจุของแบตเตอรี่นิว ไอแพด จะเพิ่มขึ้นราว 70% เมื่อเทียบกับไอแพด 2 เพราะขนาดที่ใหญ่ขึ้น แต่อายุการใช้งานแบตเตอรี่นิว ไอแพด ยังเท่ากับไอแพดรุ่นเก่า 10 ชั่วโมง โดยมีสาเหตุจากความละเอียดของหน้าจอที่เพิ่มขึ้น 4 เท่า ทำให้กินแบตฯ มากขึ้น นอกจากนี้ ยังมีรายงานว่าการชาร์จแบตฯ ของนิว ไอแพด กินเวลานานกว่ารุ่นเดิมๆ ด้วย
ข้อ 6 กล้องหลัง "ไอไซต์" (iSight) ความละเอียด 5 ล้านพิกเซล ซึ่งพัฒนาให้มีความคมชัด และใช้เลนส์เซ็นเซอร์แบบแบ็คไซด์ อิลลูมิเนชั่น (backside illumination) ที่ช่วยให้ถ่ายภาพได้ดี แม้ว่าจะอยู่ในสภาวะแสงน้อย และสามารถบันทึกวิดีโอความละเอียดสูง 1080 พิกเซล อีกทั้งยังรองรับบริการไอคลาวด์ที่ทำให้ผู้ใช้เก็บข้อมูลไว้บนระบบเครือข่ายที่สามารถเรียกใช้จากที่ไหนก็ได้ แทนที่จะเก็บไว้บนอุปกรณ์พกพา ซึ่งไม่เพียงแต่เป็นข้อมูลรูปภาพและวิดีโอ แต่ยังรวมถึงเพลง เอกสารอิเล็กทรอนิกส์
ข้อ 7 โปรเซสเซอร์ใหม่ A5X ที่ใช้ชิปประมวลผลแบบ 2 แกน (dual core) และตัวประมวลผลกราฟฟิคแบบ 4 แกน ขณะที่หน่วยความจำหลัก (RAM) น่าจะอยู่ที่ 1 กิกะไบต์ เพิ่มจาก 512 เมกะไบต์ ในไอแพด 2
ข้อ 8 รองรับสัญญาณ 4จี แอลทีอี ที่มีความเร็วสูงกว่าเทคโนโลยี 3จี ถึง 10 เท่า แต่ขึ้นอยู่กับว่าประเทศใดมีความพร้อมของเครือข่าย 4จี ซึ่งปัจจุบันมีแต่สหรัฐและแคนาดา
ข้อ 9 มี 2 เวอร์ชั่น คือ ไว-ไฟ และไว-ไฟ + 4จี แบ่งเป็นรุ่น 16 กิกะไลต์ 32 กิกะไบต์ และ 64 กิกะไบต์ มี 2 สี คือ ดำ และขาว
ข้อ 10 นิว ไอแพด ร้อนขึ้นกว่ารุ่นก่อนเมื่อเล่นเกมแนวแอ็คชั่น โดยมีอุณหภูมิสูงถึง 116 องศาฟาเรนไฮต์ (ราว 46 องศาเซลเซียส) เทียบกับไอแพด 2 ที่มีอุณหภูมิเพียง 39.5 องศาเซลเซียส
ที่มา.กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
ค่าแรง 300บาท ก๊าซขึ้นราคาฉุดมูลค่าส่งออก หาย1.2แสนล้าน !!?
ศูนย์ศึกษาการค้าระหว่างประเทศ ม.หอการค้าไทย ประเมินผลกระทบจากการปรับเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำและการขึ้นราคาก๊าซแอลพีจี-เอ็นจีวี จะทำให้การส่งออกสินค้าของไทยน้อยลง คาดเม็ดเงินหาย 120,000 ล้านบาท
นายอัทธ์ พิศาลวานิช ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาการค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยผลประเมินผลกระทบจากการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำเป็นวันละ 300 บาท และการปรับเพิ่มของราคาพลังงานทั้งก๊าซแอลพีจีและเอ็นจีวีว่า การปรับเพิ่มค่าจ้างและราคาพลังงานจะทำให้ผู้ผลิตมีต้นทุนเพิ่ม กระทบมูลค่าการส่งออกสินค้าในปีนี้ที่จะหายไปประมาณ 4,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 120,000 ล้านบาท จากมูลค่าการส่งออกทั้งหมดที่จะมีประมาณ 264,000 ล้านเหรียญสหรัฐ
“หากผู้ประกอบการไทยไม่สามารถปรับตัวกับค่าแรงและค่าพลังงานที่เพิ่มขึ้นได้ จะเริ่มเห็นผลชัดในอีก 2 ไตรมาสข้างหน้าที่การส่งออกจะชะลอตัวลดลงชัดเจน เพราะการปรับเพิ่มค่าแรงจะทำให้มีต้นทุนการผลิตเพิ่มขึ้นอีก 40% โดยเฉพาะผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) ซึ่งมีสัดส่วนต่อการส่งออกประมาณ 30% คาดว่าจะปรับตัวได้ยาก ส่วนผู้ประกอบการรายใหญ่อาจได้รับผลกระทบไม่มาก เพราะสามารถจัดหาเครื่องจักรใหม่ที่ทันสมัยมาใช้ทดแทนแรงงานได้ และจะได้รับประโยชน์อย่างมากจากมาตรการช่วยเหลือของภาครัฐ”
ด้านนายพีระพงษ์ อัจฉริยชีวิน รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ หน่วยธุรกิจก๊าซธรรมชาติ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ขณะนี้พม่าได้ซ่อมบำรุงท่อส่งเอ็นจีวีเสร็จแล้ว หลังปิดมาตั้งแต่วันที่ 8-17 เม.ย. ที่ผ่านมา ทำให้เกิดการขาดแคลนในบางพื้นที่ เพราะแหล่งผลิตเอ็นจีวีสินภูฮ่อม จังหวัดอุดรธานี หยุดจ่ายก๊าซ แต่จะกลับมาจ่ายได้อีกครั้ง
ที่มา.หนังสือพิมพ์โลกวันนี้
**********************************************************************
นายอัทธ์ พิศาลวานิช ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาการค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยผลประเมินผลกระทบจากการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำเป็นวันละ 300 บาท และการปรับเพิ่มของราคาพลังงานทั้งก๊าซแอลพีจีและเอ็นจีวีว่า การปรับเพิ่มค่าจ้างและราคาพลังงานจะทำให้ผู้ผลิตมีต้นทุนเพิ่ม กระทบมูลค่าการส่งออกสินค้าในปีนี้ที่จะหายไปประมาณ 4,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 120,000 ล้านบาท จากมูลค่าการส่งออกทั้งหมดที่จะมีประมาณ 264,000 ล้านเหรียญสหรัฐ
“หากผู้ประกอบการไทยไม่สามารถปรับตัวกับค่าแรงและค่าพลังงานที่เพิ่มขึ้นได้ จะเริ่มเห็นผลชัดในอีก 2 ไตรมาสข้างหน้าที่การส่งออกจะชะลอตัวลดลงชัดเจน เพราะการปรับเพิ่มค่าแรงจะทำให้มีต้นทุนการผลิตเพิ่มขึ้นอีก 40% โดยเฉพาะผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) ซึ่งมีสัดส่วนต่อการส่งออกประมาณ 30% คาดว่าจะปรับตัวได้ยาก ส่วนผู้ประกอบการรายใหญ่อาจได้รับผลกระทบไม่มาก เพราะสามารถจัดหาเครื่องจักรใหม่ที่ทันสมัยมาใช้ทดแทนแรงงานได้ และจะได้รับประโยชน์อย่างมากจากมาตรการช่วยเหลือของภาครัฐ”
ด้านนายพีระพงษ์ อัจฉริยชีวิน รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ หน่วยธุรกิจก๊าซธรรมชาติ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ขณะนี้พม่าได้ซ่อมบำรุงท่อส่งเอ็นจีวีเสร็จแล้ว หลังปิดมาตั้งแต่วันที่ 8-17 เม.ย. ที่ผ่านมา ทำให้เกิดการขาดแคลนในบางพื้นที่ เพราะแหล่งผลิตเอ็นจีวีสินภูฮ่อม จังหวัดอุดรธานี หยุดจ่ายก๊าซ แต่จะกลับมาจ่ายได้อีกครั้ง
ที่มา.หนังสือพิมพ์โลกวันนี้
**********************************************************************
วันพุธที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2555
ไชน่า ซิตี้ ดอดลงเชียงใหม่ ขน 5 หมื่นล้าน ช็อป SMEs สวมสิทธิ์ เมดอินไทยแลนด์ !!?
ทุนจีนซุ่มเงียบลงเชียงใหม่ กำเงิน 5 หมื่นล้าน ตั้ง “นอมินี” ไล่ซื้อธุรกิจขนาดกลางขนาดย่อม ทั้งอาหาร สิ่งทอ เฟอร์นิเจอร์ ฯลฯ หวังใช้เป็นฐานแรงงานและฐานการผลิตส่งสินค้าจีนขายทั่วโลก ภายใต้สัญลักษณ์ “เมดอินไทยแลนด์” แหล่งข่าวพาณิชย์ยันเป็นโมเดลเดียวกับ ไชน่า ซิตี้ พร้อมเรียกร้องนักธุรกิจไทยปรับตัวสู้กับคลื่นทุนที่ไหลเข้าไทย
ภายหลังรัฐบาลจีนมีความพยายามจะสร้างเมืองพาณิชย์หรือโครงการไชน่า ซิตี้ มูลค่า 1.5 พันล้านดอลลาร์ หรือ 4.5 หมื่นล้านบาทในไทย บริเวณถนนบางนา-ตราด ใช้เป็นศูนย์นำเข้าสินค้าเพื่อส่งออก (รี-เอกซ์ปอร์ต) สินค้าที่ผลิตในจีน โดยเลี่ยงการถูกเก็บภาษีศุลกากรในอัตราสูง ซึ่งจะมีผู้ค้าชาวจีนมากกว่า 70,000 ราย เข้ามาดำเนินกิจการในศูนย์แห่งนี้ โดยศูนย์การพาณิชย์แห่งนี้ มีลักษณะคล้ายกับตลาดค้าส่งที่ใหญ่ที่สุดในโลก เหมือนกับศูนย์จำหน่ายสินค้าในเมืองอี้อูทางตะวันออกของจีน
แต่ภายหลังดำเนินการก่อสร้างไประยะหนึ่งก็ติดปัญหากฎหมายผังเมืองจนต้องชะงักไปในที่สุด อย่างไรก็ตาม โครงการดังกล่าวไม่ได้ล้มหายตายจากไปแต่อย่างใด หากยังพยายามจะดำเนินการก่อสร้างต่อไป แต่เปลี่ยนรูปแบบไม่ให้ขัดกับกฎหมายไทย โดยแหล่งข่าวในกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผย “สยามธุรกิจ” ว่า โครงการไชน่า ซิตี้ได้ลงหลักปักฐานในจังหวัดเชียงใหม่แล้วอย่างเงียบๆ ซึ่งคำกล่าวดังกล่าวสอดรับกับความเคลื่อนไหวในกระทรวงพาณิชย์ที่มีคณะนักธุรกิจจากจีนเดินทางเข้าพบรัฐมนตรีในกระทรวงพาณิชย์ทุกวัน วันละหลายคณะ คำถามแรกที่นักธุรกิจถามเมื่อเจอหน้าข้าราชการไทยคือ “มีบริษัทลอจิสติกส์ไหนสนใจขายกิจการบ้าง เขาพร้อมจะซื้อทั้งหมด” ซึ่งวิเคราะห์ได้ว่าจีนต้องการใช้บริษัทลอจิสติกส์เหล่านี้ขนส่งสินค้าในโครงการไชน่าซิตี้กระจายไปในตลาดโลก
ทั้งนี้ “สยามธุรกิจ” ได้ตรวจสอบเรื่องนี้ กับแหล่งข่าวระดับสูงในจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งให้คำตอบว่า มีความพยายามจะสร้างโครงการไชน่า ซิตี้ในเชียงใหม่มาอย่างต่อเนื่อง ถึงขั้นเจรจาตกลงจะซื้อขายที่ดินแล้วกับเจ้าของที่ดินแปลงใหญ่ในเชียงใหม่ ในขณะที่กระแสข่าวอีกด้านระบุว่าเอกชนไทยและจีนได้มีการลงนามเอ็มโอยูกันแล้วเพื่อตั้งศูนย์กระจายสินค้าขนาด 1 แสนตารางเมตร เงินลงทุน 3,000 ล้านบาท โดยจะมีการนำสินค้าจากเมืองอี้อูมาจำหน่ายเช่นเดียวกับศูนย์กระจายสินค้าที่ถนนบางนา-ตราด แต่ติดกระแสต่อต้าน ทำให้โครงการนี้ยังเดินหน้าไม่ได้เต็มที่
“เท่าที่ทราบล่าสุด กลุ่มนักธุรกิจจีนได้ตั้ง ‘นอมินี’ คนไทยขึ้นมากลุ่มหนึ่งเพื่อเป็นนายหน้าขอซื้อธุรกิจที่น่าสนใจของไทยที่ต้องการจะขาย โดยเฉพาะธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมหรือ SMEs เรายังบอกไม่ได้ว่าเขากว้านซื้อธุรกิจ SMEs เหล่านั้นเพื่อนำไปรวมไว้ในโครงการไชน่าซิตี้หรือเปล่า แต่เดาได้ว่าเหตุผลหนึ่งในการซื้อคือขนสินค้าจากจีนมาแปรรูปในเมืองไทย แล้วใช้แหล่งกำเนิดสินค้า “เมดอินไทยแลนด์” ส่งไปขายทั่วโลก ซึ่งมีภาพลักษณ์ดีกว่าสินค้าที่ผลิตภายใต้สัญลักษณ์เมดอินไชน่า” แหล่งข่าวกล่าว
ด้านนายประสิทธิ์ ศิริศรีสกุลชัย ที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ หอการค้าจังหวัดลำปาง แสดงความเห็นเมื่อถูกถามถึงประเด็นดังกล่าว ว่า สาเหตุที่กลุ่มทุนจีนสนใจจังหวัดเชียงใหม่ เพราะว่าอยู่ใกล้กับบริเวณเชื่อมต่อชายแดนจีนตอนใต้ มีนักท่องเที่ยวเข้ามาจำนวนมาก ชื่อเสียงเป็นที่รู้จักทั่วโลก ธุรกิจส่วนใหญ่ก็มีมาตรฐาน การเข้ามาใช้จังหวัดเชียงใหม่เป็นฐานการผลิตสินค้าจีน หรือกระจายสินค้าจีน จึงไม่ใช่เรื่องแปลก
สำหรับจังหวัดลำปางยังไม่มีกลุ่มทุนของจีนเข้ามาซื้อกิจการ ทราบแค่ว่าเคยมีนาย หน้ามาติดต่อเท่านั้น ซึ่งเขาก็สนใจหลายกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นอาหาร เซรามิก เฟอร์นิเจอร์ โดยบอกว่านักลงทุนกลุ่มนี้มีเงินทุนประมาณ 4-5 หมื่นล้านบาท ก็พอจะเดาได้ว่าน่าจะเป็น นักธุรกิจจากจีน เพราะนักลงทุนไทยคงไม่มีเงินมากขนาดนั้น
ขณะที่นายสุพจน์ กลิ่นประณีต ประธาน หอการค้าจังหวัดแม่ฮ่องสอน เปิดเผยว่า จังหวัดแม่ฮ่องสอนยังไม่มีการเข้ามาของกลุ่ม ทุนจีน แต่ถ้าถนนโครงการเส้นทางแนวตะวันออก-ตะวันตก เชื่อมพม่า ไทย ลาว เวียดนาม เส้นทางในแนว R9 ที่ได้รับการสนับสนุนโดย องค์การสหประชาชาติ องค์การอาเซียน ตลอดจนกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจต่างๆ โดยมีเส้นแนวสำคัญๆ ได้แก่ โครงข่าย ถนนจากย่างกุ้งหรือมะละแหม่งในพม่า ผ่านแม่สอดของไทย พิษณุโลก ขอนแก่น มุกดาหาร เมืองสะหวันนะเขตของลาว เมืองเว้ และดานังของเวียดนาม บริเวณนี้ก็อาจจะเป็นบริเวณหนึ่งที่นักลงทุนจีนสนใจเข้ามาลงทุน
แม้ด้านหนึ่งจะมีกระแสต่อต้านการรุกเข้าของทุนจีน แต่อีกด้านหนึ่งก็มีผู้สนับสนุน โดยกล่าวว่า เมื่อเขตการค้าเสรีเปิดหมด เราต้องยอมรับความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น และต้องเข้าใจว่า โครงการไชน่า ซิตี้ของจีนไม่ได้มีแต่ในเมืองไทย แต่เปิดแล้วในหลายเมืองทั่วโลก สิ่งสำคัญคือจะปรับตัวเพื่ออยู่ร่วมกันได้อย่างไร หรือจะเข้าไปใช้ประโยชน์ผลิตสินค้าและบริการร่วมกับเขาอย่างไร และ ที่สำคัญนักธุรกิจไทยต้องเปลี่ยนความคิดใหม่ ว่าการผลิตสินค้าวันนี้ ผลิตเพื่อคน 580 ล้านคนทั่วอาเซียน ไม่ใช่ผลิตเพื่อคน 60 ล้าน คน เมื่อจีนเข้ามาสร้างฐานในเมืองไทยได้ เรา ก็ออกไปสร้างฐานในลาว พม่า หรือเวียดนามได้เหมือนกัน เราปิดกั้นเขาไม่ได้ เพราะยิ่งปิดกั้น เราก็จะยิ่งโดดเดี่ยว
ที่มา.สยามธุรกิจออนไลน์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ภายหลังรัฐบาลจีนมีความพยายามจะสร้างเมืองพาณิชย์หรือโครงการไชน่า ซิตี้ มูลค่า 1.5 พันล้านดอลลาร์ หรือ 4.5 หมื่นล้านบาทในไทย บริเวณถนนบางนา-ตราด ใช้เป็นศูนย์นำเข้าสินค้าเพื่อส่งออก (รี-เอกซ์ปอร์ต) สินค้าที่ผลิตในจีน โดยเลี่ยงการถูกเก็บภาษีศุลกากรในอัตราสูง ซึ่งจะมีผู้ค้าชาวจีนมากกว่า 70,000 ราย เข้ามาดำเนินกิจการในศูนย์แห่งนี้ โดยศูนย์การพาณิชย์แห่งนี้ มีลักษณะคล้ายกับตลาดค้าส่งที่ใหญ่ที่สุดในโลก เหมือนกับศูนย์จำหน่ายสินค้าในเมืองอี้อูทางตะวันออกของจีน
แต่ภายหลังดำเนินการก่อสร้างไประยะหนึ่งก็ติดปัญหากฎหมายผังเมืองจนต้องชะงักไปในที่สุด อย่างไรก็ตาม โครงการดังกล่าวไม่ได้ล้มหายตายจากไปแต่อย่างใด หากยังพยายามจะดำเนินการก่อสร้างต่อไป แต่เปลี่ยนรูปแบบไม่ให้ขัดกับกฎหมายไทย โดยแหล่งข่าวในกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผย “สยามธุรกิจ” ว่า โครงการไชน่า ซิตี้ได้ลงหลักปักฐานในจังหวัดเชียงใหม่แล้วอย่างเงียบๆ ซึ่งคำกล่าวดังกล่าวสอดรับกับความเคลื่อนไหวในกระทรวงพาณิชย์ที่มีคณะนักธุรกิจจากจีนเดินทางเข้าพบรัฐมนตรีในกระทรวงพาณิชย์ทุกวัน วันละหลายคณะ คำถามแรกที่นักธุรกิจถามเมื่อเจอหน้าข้าราชการไทยคือ “มีบริษัทลอจิสติกส์ไหนสนใจขายกิจการบ้าง เขาพร้อมจะซื้อทั้งหมด” ซึ่งวิเคราะห์ได้ว่าจีนต้องการใช้บริษัทลอจิสติกส์เหล่านี้ขนส่งสินค้าในโครงการไชน่าซิตี้กระจายไปในตลาดโลก
ทั้งนี้ “สยามธุรกิจ” ได้ตรวจสอบเรื่องนี้ กับแหล่งข่าวระดับสูงในจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งให้คำตอบว่า มีความพยายามจะสร้างโครงการไชน่า ซิตี้ในเชียงใหม่มาอย่างต่อเนื่อง ถึงขั้นเจรจาตกลงจะซื้อขายที่ดินแล้วกับเจ้าของที่ดินแปลงใหญ่ในเชียงใหม่ ในขณะที่กระแสข่าวอีกด้านระบุว่าเอกชนไทยและจีนได้มีการลงนามเอ็มโอยูกันแล้วเพื่อตั้งศูนย์กระจายสินค้าขนาด 1 แสนตารางเมตร เงินลงทุน 3,000 ล้านบาท โดยจะมีการนำสินค้าจากเมืองอี้อูมาจำหน่ายเช่นเดียวกับศูนย์กระจายสินค้าที่ถนนบางนา-ตราด แต่ติดกระแสต่อต้าน ทำให้โครงการนี้ยังเดินหน้าไม่ได้เต็มที่
“เท่าที่ทราบล่าสุด กลุ่มนักธุรกิจจีนได้ตั้ง ‘นอมินี’ คนไทยขึ้นมากลุ่มหนึ่งเพื่อเป็นนายหน้าขอซื้อธุรกิจที่น่าสนใจของไทยที่ต้องการจะขาย โดยเฉพาะธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมหรือ SMEs เรายังบอกไม่ได้ว่าเขากว้านซื้อธุรกิจ SMEs เหล่านั้นเพื่อนำไปรวมไว้ในโครงการไชน่าซิตี้หรือเปล่า แต่เดาได้ว่าเหตุผลหนึ่งในการซื้อคือขนสินค้าจากจีนมาแปรรูปในเมืองไทย แล้วใช้แหล่งกำเนิดสินค้า “เมดอินไทยแลนด์” ส่งไปขายทั่วโลก ซึ่งมีภาพลักษณ์ดีกว่าสินค้าที่ผลิตภายใต้สัญลักษณ์เมดอินไชน่า” แหล่งข่าวกล่าว
ด้านนายประสิทธิ์ ศิริศรีสกุลชัย ที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ หอการค้าจังหวัดลำปาง แสดงความเห็นเมื่อถูกถามถึงประเด็นดังกล่าว ว่า สาเหตุที่กลุ่มทุนจีนสนใจจังหวัดเชียงใหม่ เพราะว่าอยู่ใกล้กับบริเวณเชื่อมต่อชายแดนจีนตอนใต้ มีนักท่องเที่ยวเข้ามาจำนวนมาก ชื่อเสียงเป็นที่รู้จักทั่วโลก ธุรกิจส่วนใหญ่ก็มีมาตรฐาน การเข้ามาใช้จังหวัดเชียงใหม่เป็นฐานการผลิตสินค้าจีน หรือกระจายสินค้าจีน จึงไม่ใช่เรื่องแปลก
สำหรับจังหวัดลำปางยังไม่มีกลุ่มทุนของจีนเข้ามาซื้อกิจการ ทราบแค่ว่าเคยมีนาย หน้ามาติดต่อเท่านั้น ซึ่งเขาก็สนใจหลายกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นอาหาร เซรามิก เฟอร์นิเจอร์ โดยบอกว่านักลงทุนกลุ่มนี้มีเงินทุนประมาณ 4-5 หมื่นล้านบาท ก็พอจะเดาได้ว่าน่าจะเป็น นักธุรกิจจากจีน เพราะนักลงทุนไทยคงไม่มีเงินมากขนาดนั้น
ขณะที่นายสุพจน์ กลิ่นประณีต ประธาน หอการค้าจังหวัดแม่ฮ่องสอน เปิดเผยว่า จังหวัดแม่ฮ่องสอนยังไม่มีการเข้ามาของกลุ่ม ทุนจีน แต่ถ้าถนนโครงการเส้นทางแนวตะวันออก-ตะวันตก เชื่อมพม่า ไทย ลาว เวียดนาม เส้นทางในแนว R9 ที่ได้รับการสนับสนุนโดย องค์การสหประชาชาติ องค์การอาเซียน ตลอดจนกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจต่างๆ โดยมีเส้นแนวสำคัญๆ ได้แก่ โครงข่าย ถนนจากย่างกุ้งหรือมะละแหม่งในพม่า ผ่านแม่สอดของไทย พิษณุโลก ขอนแก่น มุกดาหาร เมืองสะหวันนะเขตของลาว เมืองเว้ และดานังของเวียดนาม บริเวณนี้ก็อาจจะเป็นบริเวณหนึ่งที่นักลงทุนจีนสนใจเข้ามาลงทุน
แม้ด้านหนึ่งจะมีกระแสต่อต้านการรุกเข้าของทุนจีน แต่อีกด้านหนึ่งก็มีผู้สนับสนุน โดยกล่าวว่า เมื่อเขตการค้าเสรีเปิดหมด เราต้องยอมรับความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น และต้องเข้าใจว่า โครงการไชน่า ซิตี้ของจีนไม่ได้มีแต่ในเมืองไทย แต่เปิดแล้วในหลายเมืองทั่วโลก สิ่งสำคัญคือจะปรับตัวเพื่ออยู่ร่วมกันได้อย่างไร หรือจะเข้าไปใช้ประโยชน์ผลิตสินค้าและบริการร่วมกับเขาอย่างไร และ ที่สำคัญนักธุรกิจไทยต้องเปลี่ยนความคิดใหม่ ว่าการผลิตสินค้าวันนี้ ผลิตเพื่อคน 580 ล้านคนทั่วอาเซียน ไม่ใช่ผลิตเพื่อคน 60 ล้าน คน เมื่อจีนเข้ามาสร้างฐานในเมืองไทยได้ เรา ก็ออกไปสร้างฐานในลาว พม่า หรือเวียดนามได้เหมือนกัน เราปิดกั้นเขาไม่ได้ เพราะยิ่งปิดกั้น เราก็จะยิ่งโดดเดี่ยว
ที่มา.สยามธุรกิจออนไลน์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ไขวิวาทะ บวรศักดิ์ ปรองดองฉบับแก้กรรม !!?
วุ่นวายกันไปพักใหญ่.. ป่วนกันสภาแทบจะแตก! สำหรับการเปิดเวที “สร้างปรองดอง” ในวงประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่จนแล้วจนรอดก็ยังกัดกันไม่เลิก ทั้งกับรายงานวิจัยของสถาบันพระปกเกล้า และรายงานฉบับโมดิฟายของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการสร้างความปรองดองแห่งชาติ ชุดที่มี “บิ๊กบัง-พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน” เป็นหัวหน้าคณะ..ก็ล้วน แล้วแต่ “สร้างความไม่ปรองดอง”
เหนืออื่นใดยังมี “สิ่งที่ไม่ปกติ” และสังคมกำลังตั้งคำถาม นั่นเพราะผู้ที่เสนอให้มีการปรองดองโดยการนิรโทษกรรมและล้มล้างผลพวงในคดีของคณะกรรมการ ตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) กลับเป็นผู้กระทำการรัฐประหารล้มล้างรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง จนกระแสความขัดแย้งบานปลาย ก่อความแตกแยกในบ้านเมืองมากว่า 5-6 ปี
นั่นเท่ากับเป็นการยอมรับว่า การรัฐประหาร 19 กันยาฯ 49 คือ “ต้นไม้พิษ” และผลพวงการรัฐประหารก็เป็น “ผลไม้พิษ” ที่เป็น “ชนวน” แห่งความไม่ปรองดองของคนในชาติ
ขณะที่กระแสต้านก็ออกมาหนาหู ทั้งเสียงแดกดันจาก “หล่อดีเลย์” อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ที่ออกมาค้านหัวชนฝา ..ไม่เอาปรองดอง! ส่วน “บวรศักดิ์ อุวรรณโณ” เลขาธิการสถาบันพระปกเกล้า ก็ออกมาเต้นเร่า..เร่า! ขู่ถอดถอนรายงานผลวิจัยปรองดองของตัวเอง
แต่ที่สุดแล้ว...สภาผู้แทนราษฎรก็ยังมีมติ “เสียงข้างมาก” 307 ต่อ 0 เสียง.. “เห็นชอบ” กับรายงานฉบับดังกล่าว และโยนเรื่องส่งให้คณะรัฐมนตรีนำไปพิจารณา เพื่อสร้างความปรองดองในชาติต่อไป
ด้วยเหตุนี้ หลังไฟเขียวร่างปรองดอง! ได้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ไปอย่างกว้างขวาง ทั้งบนหน้าสื่อและในทุกวงสนทนา ว่ากันว่าฝ่ายที่ไม่เอาด้วย ได้เปิดหน้าชกว่าเป็น “ความยุติธรรมของผู้ชนะ” หรือไม่ก็..พวกมากลากไป กระทั่งวลี “ปรองดอง..ที่ยังไม่ก้าวข้ามทักษิณ”
ในทางตรงกันข้าม “กระแสสังคม” ส่วนใหญ่ยังคงตีกลับ..สับฝ่ายที่ออกมาป่วน หรือกีดขวาง “รถไฟสายปรองดอง” ขบวนนี้ โดยเฉพาะกับ “บวรศักดิ์” ที่เจอของหนัก โดนก้อนอิฐ..มากกว่าดอกไม้! หลังถูกตั้งข้อกังขาว่า นี่เป็นความเห็นส่วนตัวในฐานะเลขาธิการสถาบันพระปกเกล้า หรือกรรมการที่ปรึกษาผู้ตรวจราชการแผ่นดินกันแน่
อีกประเด็นที่ไม่ปกติ ก็เพราะ “บวรศักดิ์” ออกโรงเบิกวาทกรรมว่า “อย่าเอาความยุติธรรมของผู้ชนะ..มาใช้กับผลการศึกษานี้ ไม่อย่างนั้นสถาบันพระปกเกล้าจะถอนงานวิจัยออกมา”
ทั้งหมดนี้ ได้กลายเป็นวาทกรรมประดิษฐ์! ที่ไม่มีอะไรมากไปกว่า “ข้อเรียกร้อง” หรือ “เสียงขู่” ที่ว่า..อย่าเอาเสียงข้างมาก มารับรองโมเดลปรองดองฉบับนี้
อย่างไรก็ดี หลังการประกาศจุดยืน 5 ข้อในแถลงการณ์ “สถาบันพระปกเกล้า” เพื่อหวังยับยั้งกระบวนการที่รวบรัดในสภาฯ ซึ่งนอกจากจะไม่เป็นผล แล้วยังทำให้ “บวรศักดิ์” ถูกตีกระหนาบจาก 9 ส.ส.พรรคเพื่อไทย บีบให้ “ถอนตัว” ออกจากเก้าอี้เลขาธิการ ซ้ำยังโดน ขั้วการเมืองซีกรัฐบาล เปิดฉากไล่ถล่มจนงอมพระราม
ขณะที่พรรคเก่าแก่อย่าง “ประชาธิปัตย์” ที่คราคร่ำไปด้วยมือกฎหมายชั้นเซียน ต่างก็ดาหน้าถล่มผลวิจัยชิ้นนี้ว่า..ไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ จนถึงขั้นระบุว่าเป็น “รายงานเถื่อน” และอาจนำมาซึ่ง “ความขัดแย้ง” ในบั้นปลาย
และดูเหมือนว่า “กูรูกฎหมาย” อย่าง “บวรศักดิ์ อุวรรณโณ” ก็แทบจะกลับไม่ได้ไปไม่ถึง..กันเลยทีเดียว
เหล่านี้ล้วนเป็นวาทกรรมปรองดอง ที่แปรเปลี่ยนเป็น “วิวาทะ” เหตุพูด กันไปคนละภาษา ก็ย่อมเป็นเรื่องที่จะเอา “เหตุผล” มาหักล้างกันไม่ได้ ฉะนั้น ต่อให้ยืดการประชุมออกไปเป็นเดือนเป็นปี หรือจะเปิดกลไกพิเศษเพื่อทำคลอด “โมเดลปรองดอง” ฉบับแก้กรรมเช่นไร.. ก็คงมิอาจลงเอยกันได้!!
ที่มา.สยามธุรกิจออนไลน์
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
เหนืออื่นใดยังมี “สิ่งที่ไม่ปกติ” และสังคมกำลังตั้งคำถาม นั่นเพราะผู้ที่เสนอให้มีการปรองดองโดยการนิรโทษกรรมและล้มล้างผลพวงในคดีของคณะกรรมการ ตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) กลับเป็นผู้กระทำการรัฐประหารล้มล้างรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง จนกระแสความขัดแย้งบานปลาย ก่อความแตกแยกในบ้านเมืองมากว่า 5-6 ปี
นั่นเท่ากับเป็นการยอมรับว่า การรัฐประหาร 19 กันยาฯ 49 คือ “ต้นไม้พิษ” และผลพวงการรัฐประหารก็เป็น “ผลไม้พิษ” ที่เป็น “ชนวน” แห่งความไม่ปรองดองของคนในชาติ
ขณะที่กระแสต้านก็ออกมาหนาหู ทั้งเสียงแดกดันจาก “หล่อดีเลย์” อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ที่ออกมาค้านหัวชนฝา ..ไม่เอาปรองดอง! ส่วน “บวรศักดิ์ อุวรรณโณ” เลขาธิการสถาบันพระปกเกล้า ก็ออกมาเต้นเร่า..เร่า! ขู่ถอดถอนรายงานผลวิจัยปรองดองของตัวเอง
แต่ที่สุดแล้ว...สภาผู้แทนราษฎรก็ยังมีมติ “เสียงข้างมาก” 307 ต่อ 0 เสียง.. “เห็นชอบ” กับรายงานฉบับดังกล่าว และโยนเรื่องส่งให้คณะรัฐมนตรีนำไปพิจารณา เพื่อสร้างความปรองดองในชาติต่อไป
ด้วยเหตุนี้ หลังไฟเขียวร่างปรองดอง! ได้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ไปอย่างกว้างขวาง ทั้งบนหน้าสื่อและในทุกวงสนทนา ว่ากันว่าฝ่ายที่ไม่เอาด้วย ได้เปิดหน้าชกว่าเป็น “ความยุติธรรมของผู้ชนะ” หรือไม่ก็..พวกมากลากไป กระทั่งวลี “ปรองดอง..ที่ยังไม่ก้าวข้ามทักษิณ”
ในทางตรงกันข้าม “กระแสสังคม” ส่วนใหญ่ยังคงตีกลับ..สับฝ่ายที่ออกมาป่วน หรือกีดขวาง “รถไฟสายปรองดอง” ขบวนนี้ โดยเฉพาะกับ “บวรศักดิ์” ที่เจอของหนัก โดนก้อนอิฐ..มากกว่าดอกไม้! หลังถูกตั้งข้อกังขาว่า นี่เป็นความเห็นส่วนตัวในฐานะเลขาธิการสถาบันพระปกเกล้า หรือกรรมการที่ปรึกษาผู้ตรวจราชการแผ่นดินกันแน่
อีกประเด็นที่ไม่ปกติ ก็เพราะ “บวรศักดิ์” ออกโรงเบิกวาทกรรมว่า “อย่าเอาความยุติธรรมของผู้ชนะ..มาใช้กับผลการศึกษานี้ ไม่อย่างนั้นสถาบันพระปกเกล้าจะถอนงานวิจัยออกมา”
ทั้งหมดนี้ ได้กลายเป็นวาทกรรมประดิษฐ์! ที่ไม่มีอะไรมากไปกว่า “ข้อเรียกร้อง” หรือ “เสียงขู่” ที่ว่า..อย่าเอาเสียงข้างมาก มารับรองโมเดลปรองดองฉบับนี้
อย่างไรก็ดี หลังการประกาศจุดยืน 5 ข้อในแถลงการณ์ “สถาบันพระปกเกล้า” เพื่อหวังยับยั้งกระบวนการที่รวบรัดในสภาฯ ซึ่งนอกจากจะไม่เป็นผล แล้วยังทำให้ “บวรศักดิ์” ถูกตีกระหนาบจาก 9 ส.ส.พรรคเพื่อไทย บีบให้ “ถอนตัว” ออกจากเก้าอี้เลขาธิการ ซ้ำยังโดน ขั้วการเมืองซีกรัฐบาล เปิดฉากไล่ถล่มจนงอมพระราม
ขณะที่พรรคเก่าแก่อย่าง “ประชาธิปัตย์” ที่คราคร่ำไปด้วยมือกฎหมายชั้นเซียน ต่างก็ดาหน้าถล่มผลวิจัยชิ้นนี้ว่า..ไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ จนถึงขั้นระบุว่าเป็น “รายงานเถื่อน” และอาจนำมาซึ่ง “ความขัดแย้ง” ในบั้นปลาย
และดูเหมือนว่า “กูรูกฎหมาย” อย่าง “บวรศักดิ์ อุวรรณโณ” ก็แทบจะกลับไม่ได้ไปไม่ถึง..กันเลยทีเดียว
เหล่านี้ล้วนเป็นวาทกรรมปรองดอง ที่แปรเปลี่ยนเป็น “วิวาทะ” เหตุพูด กันไปคนละภาษา ก็ย่อมเป็นเรื่องที่จะเอา “เหตุผล” มาหักล้างกันไม่ได้ ฉะนั้น ต่อให้ยืดการประชุมออกไปเป็นเดือนเป็นปี หรือจะเปิดกลไกพิเศษเพื่อทำคลอด “โมเดลปรองดอง” ฉบับแก้กรรมเช่นไร.. ก็คงมิอาจลงเอยกันได้!!
ที่มา.สยามธุรกิจออนไลน์
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
พม่า: เสือเศรษฐกิจตัวใหม่แห่งเอเชีย หรือแมวขี้โรค !!?
วันวลิต ธารไทรทอง
นักวิจัยสถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา
เมษายน 2012
นักวิจัยสถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา
เมษายน 2012
รัฐบาลเผด็จการทหารพม่า ได้เริ่มปิดประเทศต่อโลกนับตั้งแต่ทศวรรษที่ 1960 ส่งผลให้พม่าถอยหลังเข้าคลอง จากประเทศที่เคยเฟื่องฟูในภูมิภาคนี้กลายเป็นประเทศที่ยากจนมากที่สุดประเทศหนึ่งของโลก
อย่างไรก็ตาม พม่ากำลังเปลี่ยนแปลงแนวทางการพัฒนาประเทศขนานใหญ่ โดยหันมาเปิดกว้างและเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจโลกมากขึ้น
อย่างที่ทราบดี พม่าเป็นประเทศที่มีทรัพยากรธรรมชาติมากมายมหาศาล ตั้งอยู่ระหว่างสองประเทศใหญ่ที่กำลังรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจอย่างจีนและอินเดีย ขณะที่ประชากรประมาณ 65% อยู่ในวัยแรงงาน 15-60 ปี
เมื่อประเทศที่มีปัจจัยพื้นฐานเอื้อต่อการพัฒนาเช่นนี้ และช่วงเวลาหนึ่งได้ถูก “ปิดกั้น” ศักยภาพไว้ เมื่อยกที่ “ปิดกั้น” ออก คงทำให้เศรษฐกิจพม่าเติบโตสูงไปอีกระยะหนึ่ง
พม่าจึงเต็มไปด้วยโอกาสทางธุรกิจ
นักธุรกิจทั่วโลกตอนนี้คิดคล้ายๆ กันว่า ถ้าสามารถหาช่องทางเข้าไปลงทุนในพม่าได้ พวกเค้าจะยิ่งรวยมากขึ้นในอีก 10 ปีข้างหน้า
ปัจจุบันนักธุรกิจจีน อินเดีย สิงคโปร์ และไทย ได้เข้าไปลงทุนในพม่าหลายหมื่นล้านดอลลาร์ โดยเน้นลงทุนในธุรกิจท่าเรือ ท่อส่งแก๊ส ก่อสร้าง และโรงไฟฟ้า อาทิเช่น ปีที่แล้วบริษัทพลังงานแห่งชาติจีนได้เริ่มก่อสร้างท่อส่งก๊าซและน้ำมันจากชายฝั่งด้านตะวันตกเฉียงใต้ของพม่าเชื่อมต่อไปยังมณฑลยูนานทางใต้ของจีนความยาว 771 กิโลเมตร บริษัทพลังงานของอินเดียได้เข้าไปลงทุนทางด้านธุรกิจก๊าซธรรมชาติ 1,300 ล้านดอลลาร์ และบริษัทอิตาเลี่ยนไทย ได้เซ็นสัญญา 8,600 ล้านดอลลาร์ กับรัฐบาลพม่าเพื่อสร้างท่าเรือน้ำลึกและนิคมอุตสาหกรรม
ขณะเดียวกัน นักธุรกิจในยุโรปและอเมริกาก็กลัวจะตก “ขบวนรถไฟ” จึงกดดันอย่างหนักให้รัฐบาลตนเองลดการคว่ำบาตรต่อพม่า เพื่อพวกเค้าจะได้เข้าไปหาประโยชน์ได้คล่องตัวขึ้น
ไม่เพียงแต่ในภาคเศรษฐกิจจริงเท่านั้นที่พม่ากำลังเปิดกว้างต่อโลก ในภาคการเงินเอง รัฐบาลพม่าได้กำหนดเป้าหมายจะพัฒนาตลาดหุ้นให้เป็นระบบในปี 2015 แต่จะเริ่มนำหุ้นของรัฐวิสาหกิจเข้าขายตั้งแต่ปีหน้า พร้อมกันนี้จะเปิดให้ธนาคารต่างชาติเข้าทำธุรกิจในพม่าเพื่อสนับสนุนสภาพคล่องให้แก่บริษัทต่างชาติที่เข้ามาลงทุนด้วย ขณะเดียวกัน ยังได้ปรับเปลี่ยนระบบอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราให้เสรีขึ้น โดยการปรับมาใช้อัตราแลกเปลี่ยนลอยตัวแบบมีการบริหารจัดการ
มองเห็นได้ไม่ยากว่า การที่พม่าเปิดเสรีทางเศรษฐกิจมากขึ้น และปล่อยให้เงินทุนหลั่งไหลเข้าไปเหมือนสายน้ำเช่นนี้ คงจะทำให้เศรษฐกิจพม่าร้อนแรงไปอีกหลายปี และนี่เองเป็นสาเหตุให้ถูกมองว่า พม่าจะเป็นเสือเศรษฐกิจตัวใหม่ของเอเชีย เดินตามรอยประเทศจีน
แต่ความท้าทายมีอยู่ว่า พม่าจะทำอย่างไรให้การเปิดประเทศประสบความสำเร็จเหมือนอย่างที่จีนเคยทำ
ผมคิดว่า มีโอกาสน้อยมากที่พม่าจะประสบความสำเร็จอย่างจีน
การเปิดประเทศของพม่ามีรูปแบบเฉพาะตัว และเป็นการเปิดอย่างรวดเร็วเกินกว่าใครจะคาดคิด ซึ่งแตกต่างจากกรณีการเปิดประเทศของจีน จีนเปิดประเทศอย่างค่อยเป็นค่อยไป อีกทั้งมียุทธศาสตร์การพัฒนาที่ชัดเจน และมีหลากหลายกลวิธีในการดูดเอาประโยชน์จากนักลงทุนต่างชาติ ที่สำคัญ การพัฒนาภาคการเงินของจีนทำอย่างรอบคอบและระมัดระวัง
ในขณะที่พม่าเร่งรีบเปิดประเทศ ขาดยุทศาสตร์การพัฒนา และยังมองไม่เห็นว่ารัฐบาลพม่าจะทำอย่างไรที่จะดูดซับเงินทุน เทคโนโลยี องค์ความรู้วิทยาการบริหารจัดการธุรกิจ และดึงประโยชน์ที่จะเกิดจากการลงทุนของต่างชาติให้อยู่ในประเทศพม่ามากที่สุดและนานที่สุด
มิหนำซ้ำ พม่ายังขาดปัจจัยทางด้านสถาบัน องค์กร ตัวบทกฎหมาย ระบบธรรมภิบาล ทั้งยังมีปัญหาความยากจน การขาดประสิทธิภาพการผลิตในภาคชนบท ขณะที่ในภาคเมืองก็ยังขาดแคลนแรงงานที่มีฝีมือ
เหนือสิ่งอื่นใด การตัดสินใจเกือบทุกอย่างถูกกองรวมกันไว้ในมือของรัฐเผด็จการทหารกับเครือข่ายนักการเมืองและข้าราชการกลุ่มเดียว แต่ที่ทำให้สถานการณ์เลวร้ายมากขึ้นไปอีกก็คือ พม่ามีปัญหาเรื่องคอรัปชั่นสูงมาก จากข้อมูลขององค์กรต่อต้านการคอรัปชั่นระหว่างประเทศ (Anti-corruption Watchdog, Transparency International) พม่ามีปัญหาการคอรัปชั่นมากกว่าประเทศอัฟกันนิสถานเสียอีก ดังนั้น โอกาสที่ข้าราชการและนักการเมืองพม่า จะมีพฤติกรรมเหมือนข้าราชการและนักการเมืองของหลายประเทศในอาเซียน คือ รับสินบนจากบริษัทข้ามชาติเป็นไปได้สูง และการเข้าไปของบริษัทข้ามชาติต่างๆ ก็จะไม่ก่อประโยชน์ให้แก่ประเทศและคนพม่าอย่างแท้จริง
โดยสรุป โลกเศรษฐกิจแบบตลาดเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน ยิ่งเป็นโลกเสรีการเงินด้วยแล้ว ยิ่งเต็มไปด้วยความผันผวนและไร้เสถียรภาพ การเปิดประเทศของพม่าครั้งนี้จึงดูจะสุ่มเสี่ยงไม่น้อย ผลของการเปิดประเทศอย่างไม่เลือกสรรและขาดทิศทางการวางแผนของพม่า เชื่อได้ว่า นอกจากจะนำมาซึ่งปัญหาสังคมต่างๆ ปัญหาสิ่งแวดล้อม ปัญหาความยากจนและการกระจายรายได้แล้ว โอกาสที่พม่าจะเผชิญกับวิกฤตเศรษฐกิจยังมีความเป็นไปได้สูงอีกด้วย
แม้การกลับมาเปิดประเทศอีกครั้งของพม่าเป็นสิ่งที่ถูกต้องอย่างไม่มีข้อสงสัย แต่การเปิดแบบไม่มีจังหวะจะโคน ไม่มีการเตรียมพร้อมที่ดี ยากมากที่พม่าจะกลายเป็นเสือเศรษฐกิจตัวใหม่ของเอเชีย อย่างดีก็คงเป็นได้แค่แมวขี้โรค
ที่มา.Siam Intelligence Unit
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
วันอังคารที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2555
นายกฯปู. บินพบ เหวินเจียเป่า 17 เม.ย. ชักชวน 14 เอกชนชั้นนำ จีนลงทุนในไทย !!?
ทั้งนี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี จะนำคณะผู้บริหารหน่วยงานต่างๆ ของไทย เข้าร่วมหารือข้อราชการกับนายเหวินเจียเป่า นายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐประชาชนจีน และวันที่ 18 เม.ย.2555 จะมีกิจกรรมการจัดสัมมนา "โอกาสการลงทุนในไทย" และการประชุมธุรกิจไทย-จีน โดยนายกฯ จะร่วมบรรยายพิเศษในหัวข้อ "การสร้างอนาคตของประเทศไทย" ซึ่งจะเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการชั้นนำของจีนที่สนใจเข้าร่วมรับฟังทิศทางและนโยบายของการส่งเสริมการลงทุน โอกาสและศักยภาพของการลงทุนในประเทศไทย
นอกจากนี้ นายกฯ จะพบปะกับผู้บริหารของบริษัทชั้นนำของจีน 14 บริษัท เพื่อหารือถึงแผนการลงทุนในไทย นโยบายและมาตรการส่งเสริมการลงทุน รวมทั้งการอำนวยความสะดวกและการให้ความช่วยเหลือในการเข้ามาลงทุนในประเทศไทย เช่น โครงการรถไฟความเร็วสูง อุตสาหกรรมเครื่องจักรอุตสาหกรรม พลังงานทดแทน ยานยนต์ เป็นต้น ตลอดจนนโยบายด้านการส่งเสริมการท่องเที่ยวระหว่างไทย-จีน
"การเยือนจีนครั้งนี้จะมุ่งเน้นการสร้างความเชื่อมั่นต่อนโยบายส่งเสริมการลงทุนที่ชัดเจนและต่อเนื่องของไทย รวมถึงการจูงใจให้กลุ่มผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมของจีนทั้งที่เข้ามาลงทุนในประเทศไทยแล้ว และอยู่ระหว่างการตัดสินใจเลือกที่จะเข้ามาลงทุนหรือขยายการลงทุนเพิ่มเติมจากเดิม เพื่อรองรับการขยายตัวของตลาดในภูมิภาคภายหลังการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน(เออีซี)ในปี 2558 รวมถึงพิจารณาการเข้ามาร่วมลงทุนในโครงการต่างๆ ที่เป็นโครงการขนาดใหญ่ซึ่งรัฐบาลกำลังเร่งดำเนินการเพื่อพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ ซึ่งจะเป็นโอกาสของไทยในการกระตุ้นให้เกิดความสัมพันธ์และการลงทุนจากจีนเพิ่มมากขึ้น" ม.ร.ว.พงษ์สวัสดิ์กล่าว
ด้านนางอรรชกา สีบุญเรือง เลขาธิการบีโอไอ กล่าวว่า จีนเป็นเป้าหมายสำคัญในการจัดกิจกรรมกระตุ้นการลงทุนทั้ง 2 ทางระหว่างจีนและไทยเพิ่มขึ้น โดยมีกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย เช่น ยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องจักรและอุปกรณ์ พลังงานทดแทน เป็นต้น ขณะเดียวกันมุ่งส่งเสริมให้นักลงทุนไทยไปลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมที่ไทยมีศักยภาพ เช่น อุตสาหกรรมบริการ เกษตรแปรรูปและอาหาร เป็นต้น สำหรับภาพรวมการลงทุน 2 ฝ่ายมีแนวโน้มดีขึ้นต่อเนื่อง โดยในปี 2554 มีการยื่นขอรับส่งเสริมลงทุนของจีนในไทยอยู่ที่ 36 โครงการ มูลค่าเงินลงทุน 28,495 ล้านบาท สูงเป็นอันดับ 2 รองจากประเทศญี่ปุ่นเท่านั้น ในขณะที่ช่วง 3 เดือนแรกปีนี้ยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุนแล้ว 7 โครงการ มูลค่า 1,945 ล้านบาท
ที่มา:ข่าวสดรายวัน
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
บ้าน 111 จ่อร่วมรัฐบาลพ.ค.นี้ สุดารัตน์-ภูมิธรรม นำทีมช่วย ยิ่งลักษณ์. ปั๊มผลงาน !!?
ยิ่งลักษณ์. จ่อปรับ ครม. รับสมาชิกบ้านเลขที่ 111 พ้นโทษเว้นวรรคการเมืองเดือน พ.ค. นี้ สะพัด “สุดารัตน์-ภูมิธรรม-พงษ์เทพ-วราเทพ” คัมแบ็กคุมงานใหญ่เพื่อช่วยปั่นผลงานให้กับรัฐบาล ทั้งในกระทรวงคมนาคม ยุติธรรม ไอซีที และคลัง ด้าน “สนธยา” ได้เวลาแสดงเอง โยก “สุกุมล” พ้นรัฐมนตรีวัฒนธรรม พร้อมขอเปลี่ยนโควตาพรรคพลังชลคุมงานใหญ่ขึ้น ขณะที่ “ชูศักดิ์” กลับมารับงานเป็นมือกฎหมายให้รัฐบาลเหมือนเดิม
แหล่งข่าวในพรรคเพื่อไทยคาดหมายว่าใกล้เวลาที่การเมืองจะเปลี่ยนแปลงอีกครั้งหลังจากที่สมาชิกบ้านเลขที่ 111 พ้นโทษเว้นวรรคทางการเมืองในช่วงเดือน พ.ค. ที่จะถึงนี้ โดยจะมีการปรับคณะรัฐมนตรีใหม่ประมาณ 5-6 ตำแหน่ง
“เท่าที่ทราบนายภูมิธรรม เวชชัย คนสนิทคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร จะเข้ามาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม แทนนายจารุพงษ์ เรืองสุวรรณ เลขาธิการพรรค ที่จะถูกโยกไปเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นายพงษ์เทพ เทพกาญจนา จะเข้ามาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม แทน พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก นายวราเทพ รัตนากร จะเข้ามาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง แทนที่นายวิรุฬ เตชะไพบูลย์ และนายชูศักดิ์ ศิรินิล จะมารับงานเป็นมือกฎหมายให้รัฐบาล ที่ถือว่าเป็นไฮไลท์คือ คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ จะเข้ามาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) แทน น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ รัฐมนตรีคนปัจุบัน และจะมีการเพิ่มโคตารองนายกรัฐมนตรีให้กับกลุ่มกรุงเทพฯอีก 1 ตำแหน่ง”
แหล่งข่าวคนเดิมระบุอีกว่า ในส่วนของพรรคร่วมรัฐบาลจะมีการปรับเปลี่ยนเช่นกัน โดยพรรคพลังชลจะให้นายสนธยา คุณปลื้ม ที่พ้นโทษเว้นวรรคทางการเมืองมารับตำแหน่งรัฐมนตรีแทนนางสุกุมล คุณปลื้ม ภรรยา ที่เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒธรรม แต่นายสนธยาจะได้โควตารัฐมนตรีในกระทรวงที่ใหญ่ขึ้น
ที่มา.หนังสือพิมพ์โลกวันนี้
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
แหล่งข่าวในพรรคเพื่อไทยคาดหมายว่าใกล้เวลาที่การเมืองจะเปลี่ยนแปลงอีกครั้งหลังจากที่สมาชิกบ้านเลขที่ 111 พ้นโทษเว้นวรรคทางการเมืองในช่วงเดือน พ.ค. ที่จะถึงนี้ โดยจะมีการปรับคณะรัฐมนตรีใหม่ประมาณ 5-6 ตำแหน่ง
“เท่าที่ทราบนายภูมิธรรม เวชชัย คนสนิทคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร จะเข้ามาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม แทนนายจารุพงษ์ เรืองสุวรรณ เลขาธิการพรรค ที่จะถูกโยกไปเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นายพงษ์เทพ เทพกาญจนา จะเข้ามาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม แทน พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก นายวราเทพ รัตนากร จะเข้ามาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง แทนที่นายวิรุฬ เตชะไพบูลย์ และนายชูศักดิ์ ศิรินิล จะมารับงานเป็นมือกฎหมายให้รัฐบาล ที่ถือว่าเป็นไฮไลท์คือ คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ จะเข้ามาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) แทน น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ รัฐมนตรีคนปัจุบัน และจะมีการเพิ่มโคตารองนายกรัฐมนตรีให้กับกลุ่มกรุงเทพฯอีก 1 ตำแหน่ง”
แหล่งข่าวคนเดิมระบุอีกว่า ในส่วนของพรรคร่วมรัฐบาลจะมีการปรับเปลี่ยนเช่นกัน โดยพรรคพลังชลจะให้นายสนธยา คุณปลื้ม ที่พ้นโทษเว้นวรรคทางการเมืองมารับตำแหน่งรัฐมนตรีแทนนางสุกุมล คุณปลื้ม ภรรยา ที่เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒธรรม แต่นายสนธยาจะได้โควตารัฐมนตรีในกระทรวงที่ใหญ่ขึ้น
ที่มา.หนังสือพิมพ์โลกวันนี้
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
วันจันทร์ที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2555
ถอดบทเรียนยักษ์ล้ม-เกิดอะไรขึ้นกับ โซนี่ !!?
โซนี่"เคยเป็นแบรนด์ที่ชาวญี่ปุ่นภาคภูมิใจแต่วันนี้อาณาจักรที่เคยมั่นคงกำลังซวนเซและยังไม่แน่ว่าจะกลับมายืนแถวหน้าได้อีกหรือไม่
ปัญหาที่รุมเร้าของโซนี่ สะท้อนผ่านการเปลี่ยนตัวผู้บริหารระดับสูง โดย "คาซูโอะ ฮิราอิ" เพิ่งเข้ารับตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารคนใหม่ของโซนี่อย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 1 เมษายนที่ผ่านมา แทนที่ "โฮเวิร์ด สตริงเจอร์" อดีตซีอีโอต่างชาติที่พยายามจะกอบกู้อาณาจักรแห่งนี้ แต่ไม่เป็นผล
แม้ฮิราอิ จะให้คำมั่นว่า โซนี่จะต้องกลับมาทำกำไรได้อีกครั้ง พร้อมกับความเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ แต่ถึงเวลานี้ ทั้งคนในและนอกองค์กรยังไม่อาจมั่นใจได้เต็มที่นัก เพราะโซนี่ ที่เคยเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงด้านเทคโนโลยีของญี่ปุ่น ด้วยผลิตภัณฑ์สุดเจ๋งอย่างวอล์คแมน ทีวีไตรนิตรอน และถือครองกิจการโคลัมเบีย พิกเจอร์ส ตอนนี้กำลังดิ้นรนเพื่อความอยู่รอด
"นิวยอร์ก ไทม์" ตั้งข้อสังเกตว่า สิ่งที่เกิดขึ้นนี้สะท้อนภาวะขาลงของเศรษฐกิจแบบอุตสาหกรรมของญี่ปุ่น ซึ่งครั้งหนึ่งบรรดา "เจแปน อิงค์" ที่ไม่ได้มีเพียงแค่โซนี่ ดูเหมือนจะไม่มีวันตาย แต่ทุกวันนี้ทั้งโซนี่และผู้ผลิตสัญชาติญี่ปุ่นรายอื่นต่างเผชิญกับแรงกดดันสารพัด ไม่ว่าจะเป็นคู่แข่งในเอเชียที่เพิ่มขึ้น เงินเยนที่แข็งค่าขึ้นมาก และในกรณีของโซนี่ ปัญหาสำคัญ คือ การขาดไอเดียใหม่ๆ ซึ่งดูเหลือเชื่อ แต่เป็นเรื่องจริง
ความยากลำบากของโซนี่ เห็นได้จากการที่บริษัทประกาศว่า ในปีนี้บริษัทอาจขาดทุนหนักหนากว่าที่ประเมินไว้ โดยอาจขาดทุนมากถึง 6.4 พันล้านดอลลาร์ ขณะที่โซนี่ไม่เคยทำกำไรได้เลยนับตั้งแต่ปี 2551 และเหตุผลก็อยู่ที่โซนี่ไม่มีผลิตภัณฑ์ยอดฮิตบุกตลาดเลยในรอบหลายปีมานี้
ราคาหุ้นของโซนี่ แตอยู่แถวๆ 1,444 เยน หรือราว 1 ใน 4 ของมูลค่าเมื่อทศวรรษก่อน และเมื่อสมัยวอล์คแมนอาละวาด ขณะที่มูลค่าตามราคาตลาดของโซนี่คิดเป็น 1 ใน 9 ของซัมซุง อิเล็กทรอนิกส์ และมีสัดส่วนแค่ 1 ใน 30 ของแอปเปิล
แม้แต่ในญี่ปุ่น ซึ่งผู้บริโภคจำนวนมากยังคงภักดีต่อแบรนด์ ผู้บริโภคหลายรายเริ่มปันใจจากโซนี่ จังหวะก้าวที่ผิดพลาดของโซนี่ สะท้อนถึงเรื่องราวของบริษัทที่ภูมิใจในตัวเองมาก จนไม่ต้องการหรือไม่สามารถปรับตัวรับความจริงที่เกิดขึ้น โดยความผิดพลาดที่ยิ่งใหญ่ของโซนี่อยู่ที่ความล้มเหลวในการขี่ยอดคลื่นยักษ์ของนวัตกรรมด้านเทคโนโลยี นั่นคือ กระแสดิจิทัล ซึ่งเปลี่ยนสู่ยุคซอฟต์แวร์และอินเทอร์เน็ต
ทุกๆแนวรบของโซนี่ ไล่ตั้งแต่ ฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ การสื่อสาร จนถึงเนื้อหา ยิ่งน่าปวดหัวมากขึ้นจากคู่แข่งรายใหม่ๆ และความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้สร้างความขัดแย้งและแตกแยกภายในองค์กร
ที่จริงแล้ว โซนี่ มีเครื่องมือที่พร้อมสำหรับสร้างสรรค์เครื่องเล่นเพลงแบบไอพอดได้ก่อนแอปเปิล เพราะผู้ก่อตั้งร่วม "อากิโอะ โมริตะ" มองเห็นการผนวกรวมเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ากับเนื้อหาบนสื่อ เพื่อสร้างประสบการณ์ใหม่ๆ ให้ผู้ใช้ ตั้งแต่ต้นยุค 1980 แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่เห็นผลิตภัณฑ์ดังกล่าว เพราะฝ่ายวิศวกรคานอำนาจกับแผนกมีเดีย แต่ก็ได้คิดค้นระบบเครื่องเล่นเพลิงดิจิทัลของตัวเอง ที่ไม่เกี่ยวกับรูปแบบไฟล์เอ็มพี3 ซึ่งอาจกระทบต่อยอดดาวน์โหลดเพลงหรือทำร้ายศิลปิน
แต่กว่าโซนี่จะผลักดันให้แผนกต่างๆ ร่วมมือกันได้ บริษัทก็สูญเสียที่ยืนในธุรกิจทีวีและเครื่องเล่นเพลงพกพา ซึ่งจอแบนและไอพอดมาแรงมาก
ขณะเดียวกัน ผู้ผลิตจากเกาหลีใต้ จีน และที่อื่นๆ ที่มีต้นทุนต่ำกว่าก็ผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด และตัดราคาแข่งกับโซนี่และบริษัทอิเล็กทรอนิกส์ไฮเอนด์รายอื่นๆ ดังนั้น เมื่อแบรนด์โซนี่ไม่เปล่งประกาย ก็เป็นเรื่องยากที่จะตั้งราคาสินค้าแบบพรีเมี่ยม
"ซี-จิน ชาง" ผู้เขียนหนังสือเรื่อง "โซนี่ ปะทะ ซัมซุง: เรื่องราวการต่อสู้ของยักษ์อิเล็กทรอนิกส์สู่ความยิ่งใหญ่ระดับโลก" ระบุว่า ณ จุดนี้ โซนี่ต้องการกลยุทธ์ เป็นกลยุทธ์อะไรก็ได้ เพราะถึงอย่างไรก็ดีกว่าไม่มีเลย
หนึ่งในพื้นที่ที่โซนี่ยังประสบความสำเร็จในตอนนั้น คือ วิดีโอเกม ที่เปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลและโลกที่อินเทอร์เน็ตเป็นศูนย์กลาง "เพลย์สเตชั่น 3" เป็นระบบความบันเทิงในบ้านที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตและทีวีได้ แต่ความล่าช้าในการพัฒนาเทคโนโลยีบลูเรย์ กลับทำให้คู่แข่งอย่างนินเทนโดและไมโครซอฟท์แซงหน้าไปไกล
กรณีของโซนี่ สะท้อนปัญหาที่หยั่งลึกของบริษัทที่เคยร่ำรวยนวัตกรรม ทว่าตอนนี้กลับขาดแคลนไอเดีย เมื่อบวกกับเงินเยนที่แข็งค่าจนกระทบการส่งออก และไม่สามารถแข่งขันเรื่องต้นทุนราคาถูก
สิ่งเหล่านี้ทำให้ผู้ผลิตสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ญี่ปุ่นสูญเสียความเป็นผู้นำในหลายๆ ด้าน ทั้งที่เมื่อ 10 ปีก่อน บริษัทเหล่านี้เป็นผู้กำหนดเทรนด์ผลิตภัณฑ์อย่างทีวี กล้องดิจิทัล เครื่องเล่นเพลงพกพา และคอนโซลเกม ผิดกับตอนนี้ที่บทบาทลดลงมาก เมื่อเทียบกับคู่แข่งอย่างแอปเปิลและซัมซุง
วัฒนธรรมองค์กร ที่มีแต่วิศวกรและผู้บริหารมั่นใจในตัวเองมากๆ ทำให้ไม่เกิดความร่วมมือระหว่างกัน และมีแนวคิดว่าการลดต้นทุนเป็นศัตรูของความคิดสร้างสรรค์ ซึ่งแม้ในอดีตความเป็นอิสระตรงนี้มีความสำคัญ แต่สถานการณ์ตอนนี้แตกต่างไปมาก
นอกจากนี้ สินค้าของโซนี่ ยังมีมากเกินไป และบางทีก็แข่งกันเอง อาทิ ทีวีกว่า 30 รุ่น ซึ่งสร้างความสับสนให้ผู้บริโภค เทียบกับค่าย "แอปเปิล" ที่ผลิตมือถือแค่ 2 สี ซึ่งดีที่สุด รวมถึงกลยุทธ์ออนไลน์ที่บูรณาการแพลตฟอร์มเพลง หนัง และเกม ก็ใช้เวลานานกว่าจะปรับให้ใช้ร่วมกันได้
ความเป็นไปได้ที่โซนี่ จะเดินหน้าต่อคือ การลดไลน์ผลิตภัณฑ์ลง อาทิ ธุรกิจเคมีคัล แต่ยังไม่ชัดเจนเกี่ยวกับชะตากรรมของธุรกิจทีวี ซึ่งแม้ซีอีโอป้ายแดงจะประกาศโฟกัส 3 ธุรกิจหลัก ได้แก่ ธุรกิจอุปกรณ์พกพา อาทิ สมาร์ทโฟน แทบเล็ต ธุรกิจกล้องถ่ายภาพและกล้องวิดีโอ และธุรกิจเกม แต่เขาก็จะไม่ทิ้งทีวี ทั้งที่ขาดทุนมหาศาล
ที่มา.กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ปัญหาที่รุมเร้าของโซนี่ สะท้อนผ่านการเปลี่ยนตัวผู้บริหารระดับสูง โดย "คาซูโอะ ฮิราอิ" เพิ่งเข้ารับตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารคนใหม่ของโซนี่อย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 1 เมษายนที่ผ่านมา แทนที่ "โฮเวิร์ด สตริงเจอร์" อดีตซีอีโอต่างชาติที่พยายามจะกอบกู้อาณาจักรแห่งนี้ แต่ไม่เป็นผล
แม้ฮิราอิ จะให้คำมั่นว่า โซนี่จะต้องกลับมาทำกำไรได้อีกครั้ง พร้อมกับความเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ แต่ถึงเวลานี้ ทั้งคนในและนอกองค์กรยังไม่อาจมั่นใจได้เต็มที่นัก เพราะโซนี่ ที่เคยเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงด้านเทคโนโลยีของญี่ปุ่น ด้วยผลิตภัณฑ์สุดเจ๋งอย่างวอล์คแมน ทีวีไตรนิตรอน และถือครองกิจการโคลัมเบีย พิกเจอร์ส ตอนนี้กำลังดิ้นรนเพื่อความอยู่รอด
"นิวยอร์ก ไทม์" ตั้งข้อสังเกตว่า สิ่งที่เกิดขึ้นนี้สะท้อนภาวะขาลงของเศรษฐกิจแบบอุตสาหกรรมของญี่ปุ่น ซึ่งครั้งหนึ่งบรรดา "เจแปน อิงค์" ที่ไม่ได้มีเพียงแค่โซนี่ ดูเหมือนจะไม่มีวันตาย แต่ทุกวันนี้ทั้งโซนี่และผู้ผลิตสัญชาติญี่ปุ่นรายอื่นต่างเผชิญกับแรงกดดันสารพัด ไม่ว่าจะเป็นคู่แข่งในเอเชียที่เพิ่มขึ้น เงินเยนที่แข็งค่าขึ้นมาก และในกรณีของโซนี่ ปัญหาสำคัญ คือ การขาดไอเดียใหม่ๆ ซึ่งดูเหลือเชื่อ แต่เป็นเรื่องจริง
ความยากลำบากของโซนี่ เห็นได้จากการที่บริษัทประกาศว่า ในปีนี้บริษัทอาจขาดทุนหนักหนากว่าที่ประเมินไว้ โดยอาจขาดทุนมากถึง 6.4 พันล้านดอลลาร์ ขณะที่โซนี่ไม่เคยทำกำไรได้เลยนับตั้งแต่ปี 2551 และเหตุผลก็อยู่ที่โซนี่ไม่มีผลิตภัณฑ์ยอดฮิตบุกตลาดเลยในรอบหลายปีมานี้
ราคาหุ้นของโซนี่ แตอยู่แถวๆ 1,444 เยน หรือราว 1 ใน 4 ของมูลค่าเมื่อทศวรรษก่อน และเมื่อสมัยวอล์คแมนอาละวาด ขณะที่มูลค่าตามราคาตลาดของโซนี่คิดเป็น 1 ใน 9 ของซัมซุง อิเล็กทรอนิกส์ และมีสัดส่วนแค่ 1 ใน 30 ของแอปเปิล
แม้แต่ในญี่ปุ่น ซึ่งผู้บริโภคจำนวนมากยังคงภักดีต่อแบรนด์ ผู้บริโภคหลายรายเริ่มปันใจจากโซนี่ จังหวะก้าวที่ผิดพลาดของโซนี่ สะท้อนถึงเรื่องราวของบริษัทที่ภูมิใจในตัวเองมาก จนไม่ต้องการหรือไม่สามารถปรับตัวรับความจริงที่เกิดขึ้น โดยความผิดพลาดที่ยิ่งใหญ่ของโซนี่อยู่ที่ความล้มเหลวในการขี่ยอดคลื่นยักษ์ของนวัตกรรมด้านเทคโนโลยี นั่นคือ กระแสดิจิทัล ซึ่งเปลี่ยนสู่ยุคซอฟต์แวร์และอินเทอร์เน็ต
ทุกๆแนวรบของโซนี่ ไล่ตั้งแต่ ฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ การสื่อสาร จนถึงเนื้อหา ยิ่งน่าปวดหัวมากขึ้นจากคู่แข่งรายใหม่ๆ และความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้สร้างความขัดแย้งและแตกแยกภายในองค์กร
ที่จริงแล้ว โซนี่ มีเครื่องมือที่พร้อมสำหรับสร้างสรรค์เครื่องเล่นเพลงแบบไอพอดได้ก่อนแอปเปิล เพราะผู้ก่อตั้งร่วม "อากิโอะ โมริตะ" มองเห็นการผนวกรวมเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ากับเนื้อหาบนสื่อ เพื่อสร้างประสบการณ์ใหม่ๆ ให้ผู้ใช้ ตั้งแต่ต้นยุค 1980 แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่เห็นผลิตภัณฑ์ดังกล่าว เพราะฝ่ายวิศวกรคานอำนาจกับแผนกมีเดีย แต่ก็ได้คิดค้นระบบเครื่องเล่นเพลิงดิจิทัลของตัวเอง ที่ไม่เกี่ยวกับรูปแบบไฟล์เอ็มพี3 ซึ่งอาจกระทบต่อยอดดาวน์โหลดเพลงหรือทำร้ายศิลปิน
แต่กว่าโซนี่จะผลักดันให้แผนกต่างๆ ร่วมมือกันได้ บริษัทก็สูญเสียที่ยืนในธุรกิจทีวีและเครื่องเล่นเพลงพกพา ซึ่งจอแบนและไอพอดมาแรงมาก
ขณะเดียวกัน ผู้ผลิตจากเกาหลีใต้ จีน และที่อื่นๆ ที่มีต้นทุนต่ำกว่าก็ผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด และตัดราคาแข่งกับโซนี่และบริษัทอิเล็กทรอนิกส์ไฮเอนด์รายอื่นๆ ดังนั้น เมื่อแบรนด์โซนี่ไม่เปล่งประกาย ก็เป็นเรื่องยากที่จะตั้งราคาสินค้าแบบพรีเมี่ยม
"ซี-จิน ชาง" ผู้เขียนหนังสือเรื่อง "โซนี่ ปะทะ ซัมซุง: เรื่องราวการต่อสู้ของยักษ์อิเล็กทรอนิกส์สู่ความยิ่งใหญ่ระดับโลก" ระบุว่า ณ จุดนี้ โซนี่ต้องการกลยุทธ์ เป็นกลยุทธ์อะไรก็ได้ เพราะถึงอย่างไรก็ดีกว่าไม่มีเลย
หนึ่งในพื้นที่ที่โซนี่ยังประสบความสำเร็จในตอนนั้น คือ วิดีโอเกม ที่เปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลและโลกที่อินเทอร์เน็ตเป็นศูนย์กลาง "เพลย์สเตชั่น 3" เป็นระบบความบันเทิงในบ้านที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตและทีวีได้ แต่ความล่าช้าในการพัฒนาเทคโนโลยีบลูเรย์ กลับทำให้คู่แข่งอย่างนินเทนโดและไมโครซอฟท์แซงหน้าไปไกล
กรณีของโซนี่ สะท้อนปัญหาที่หยั่งลึกของบริษัทที่เคยร่ำรวยนวัตกรรม ทว่าตอนนี้กลับขาดแคลนไอเดีย เมื่อบวกกับเงินเยนที่แข็งค่าจนกระทบการส่งออก และไม่สามารถแข่งขันเรื่องต้นทุนราคาถูก
สิ่งเหล่านี้ทำให้ผู้ผลิตสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ญี่ปุ่นสูญเสียความเป็นผู้นำในหลายๆ ด้าน ทั้งที่เมื่อ 10 ปีก่อน บริษัทเหล่านี้เป็นผู้กำหนดเทรนด์ผลิตภัณฑ์อย่างทีวี กล้องดิจิทัล เครื่องเล่นเพลงพกพา และคอนโซลเกม ผิดกับตอนนี้ที่บทบาทลดลงมาก เมื่อเทียบกับคู่แข่งอย่างแอปเปิลและซัมซุง
วัฒนธรรมองค์กร ที่มีแต่วิศวกรและผู้บริหารมั่นใจในตัวเองมากๆ ทำให้ไม่เกิดความร่วมมือระหว่างกัน และมีแนวคิดว่าการลดต้นทุนเป็นศัตรูของความคิดสร้างสรรค์ ซึ่งแม้ในอดีตความเป็นอิสระตรงนี้มีความสำคัญ แต่สถานการณ์ตอนนี้แตกต่างไปมาก
นอกจากนี้ สินค้าของโซนี่ ยังมีมากเกินไป และบางทีก็แข่งกันเอง อาทิ ทีวีกว่า 30 รุ่น ซึ่งสร้างความสับสนให้ผู้บริโภค เทียบกับค่าย "แอปเปิล" ที่ผลิตมือถือแค่ 2 สี ซึ่งดีที่สุด รวมถึงกลยุทธ์ออนไลน์ที่บูรณาการแพลตฟอร์มเพลง หนัง และเกม ก็ใช้เวลานานกว่าจะปรับให้ใช้ร่วมกันได้
ความเป็นไปได้ที่โซนี่ จะเดินหน้าต่อคือ การลดไลน์ผลิตภัณฑ์ลง อาทิ ธุรกิจเคมีคัล แต่ยังไม่ชัดเจนเกี่ยวกับชะตากรรมของธุรกิจทีวี ซึ่งแม้ซีอีโอป้ายแดงจะประกาศโฟกัส 3 ธุรกิจหลัก ได้แก่ ธุรกิจอุปกรณ์พกพา อาทิ สมาร์ทโฟน แทบเล็ต ธุรกิจกล้องถ่ายภาพและกล้องวิดีโอ และธุรกิจเกม แต่เขาก็จะไม่ทิ้งทีวี ทั้งที่ขาดทุนมหาศาล
ที่มา.กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)