--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันศุกร์ที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2555

วิวาทะ ปรองดอง สู่แนวคิดที่ตีบตัน !!?

กลายเป็น “วาระร้อน!” สำหรับรายงานของคณะวิจัยสถาบันพระปกเกล้า ที่กำลังเป็น “ข้อถกเถียง” กันในทางการเมือง หลังผลักดันเข้าสู่ “กระบวนการในสภา” ผ่านคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการสร้างความปรองดองแห่งชาติ หรือ กมธ. ปรองดอง ที่มี “บิ๊กบัง-พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน” เป็นหัวหน้าคณะ

เมื่อคำว่า “ปรองดอง” เดินมาถึงจุด “หัวเลี้ยว-หัวต่อ” เพราะทั้ง “รัฐบาล” และ “ฝ่ายค้าน” ต่างไม่ยอมลดราวาศอกให้กัน จนการปิดเกมเร็วของ “รัฐนาวา” เพื่อนำไปสู่ปรองดอง ได้ก่อตัวเป็น “ชนวน” ความขัดแย้งรอบใหม่

กระนั้นแล้ว ปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง ก็ล้วนมีหลายมิติหลากมุมมอง โดยเฉพาะกับแนวทาง “ปรองดอง” ที่ลากกันไปมานั้น จะเป็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ หรือเป็น “หนทาง” ยุติความขัดแย้งได้หรือไม่..?!

เช่นเดียวกับในซีกนักวิชาการ ที่ล้วนมีมุมมอง..สะท้อนปัญหา “ความไม่ปรองดอง” ไว้อย่างน่าสนใจ

“ศ.สุริชัย หวันแก้ว” ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาสันติภาพและความขัดแย้ง และที่ปรึกษาสถาบันวิจัยสังคมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มองว่า..วาทะ “ปรองดอง” ที่นักการเมืองนิยมใช้กันเป็นเพียงคำนิยาม เพราะหากอธิบายความปรองดองในการประชุมร่วมรัฐสภาให้ตรงกับความเป็นจริง ควรจะใช้คำว่า “สงครามปรองดอง” มากกว่า!

ดูแล้วเรื่องการ “ปรองดอง” ถ้ายิ่งเร่งร้อนกันมาก ก็จะกลายเป็นการระแวงกันมากขึ้น อีกฝ่ายคิดว่า เหมือนกับมีอะไรอยู่เบื้องหลังหรือเปล่า คิดไปก็ยิ่งมากเรื่อง สุดท้ายมันจึงล่มทั้งสถาบัน ทำให้ช่องว่างความขัดแย้งขยายขึ้นกว่าเดิมอีก ดังนั้นจะต้องเอื้อบรรยากาศ อย่าให้เลยเถิด ทุกฝ่ายต้องพิจารณาเหมือนกันว่า เรื่องปรองดองข้อสรุปไม่สำคัญเท่ากับวิธีการที่ใช้

เมื่อวงปรองดอง เริ่มระส่ำระสาย “ฝ่ายค้าน” พากันถอนตัวออกจาก กมธ.ปรองดอง แถมยกขบวน “วอล์กเอาต์” ออกจากที่ประชุมร่วมรัฐสภา ทางออกของวิกฤติความขัดแย้งก็เริ่มตีบตัน ความหวาดระแวงเรื่องขั้วอำนาจ สีเขียวขนปืน-รถถัง ออกมาเบรกเกม “ยึดอำนาจ” ก็อาจเกิดขึ้นได้

“สิริพรรณ นกสวน สวัสดี” อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มองว่า ข้อเสนอของสถาบันพระปกเกล้าถือว่า “มีจุดอ่อน!” เช่น การนำแนวคิดของ 10 ประเทศ ที่เกิดความขัดแย้งมาเป็นข้อเสนอในการสร้างความปรองดอง แต่มันไม่ได้ตั้งอยู่บนความขัดแย้งของสังคมไทย ฉะนั้นมันอาจจะใช้ไม่ได้เสมอไป และข้อเสนอเชิงทางเลือกของสถาบันพระปกเกล้า จะก่อให้เกิดการถกเถียง และ สร้างความขัดแย้งให้เกิดขึ้นอีก

“ตอนนี้มีทั้งกลุ่มที่กลัว พ.ต.ท. ทักษิณ และกลุ่มที่กลัวอำมาตย์ กลัวการรัฐประหาร ซึ่งการจะสร้างความปรองดองให้เกิดขึ้นได้อย่างแท้จริง จำเป็นต้องมีการตรวจสอบความผิด หาคนกระทำผิดก่อน หรือควรมีการลงโทษก่อนนิรโทษกรรม อย่างเช่น การทำรัฐประหารถือเป็นการฉีกรัฐธรรมนูญ และถือเป็นสาเหตุหลักของความขัดแย้ง และการนำ พล.อ.สนธิ มาเป็นประธานกรรมาธิการปรองดอง สมควรแล้วหรือไม่”

ส่วนกรณีของ พ.ต.ท.ทักษิณที่มีคดีความผิดก่อนการเกิดรัฐประหาร ก็ควรมีการตรวจสอบความผิด และนำมาดำเนินคดีใหม่ทั้งหมด ขณะที่คนบางกลุ่มมองว่า แล้วความผิดของรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่สลายการชุมนุม “คนเสื้อแดง” จนก่อให้เกิดความสูญเสียชีวิตและทรัพย์สิน จะต้องรับผิดชอบต่อการกระทำผิดอย่างไร

ฉะนั้นแล้ว ก่อนจะมีการนิรโทษกรรม จะต้องตรวจสอบหาความผิดเสียก่อน เพราะประชาชนที่สูญเสียทั้งชีวิต ทรัพย์สิน และหมดความศรัทธาต่อระบอบประชาธิปไตย คงจะยอมรับไม่ได้ ไม่เช่นนั้นไม่มีทางที่สังคมไทยจะเริ่มนับหนึ่งใหม่ได้เลย!

ที่มา.สยามธุรกิจออนไลน์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันพฤหัสบดีที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2555

เปิดเส้นทางสู่เมียนมาร์ โอกาสใหม่ของนักลงทุนไทย !!?


การเลือกตั้งซ่อมในวันที่ 1 เมษายน ได้กลายเป็น "หมุดหมาย" สำคัญบนเส้นทางสู่ระบอบประชาธิปไตยของสหภาพเมียนมาร์ เมื่อ นางออง ซาน ซู จี ตัดสินใจทางการเมืองครั้งสำคัญลงสมัครรับเลือกตั้ง ท่ามกลางความเชื่อของทั้งอาเซียนและชาติตะวันตกที่ว่า เมียนมาร์กำลังเปิดประเทศด้วยการผ่อนคลายทางการเมือง เอื้อต่อบรรยากาศการค้าและการลงทุนที่กำลังจะมาถึงในไม่ช้า

และเพื่อทำความเข้าใจกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นภายในเมียนมาร์ เพื่อนบ้านที่มีแนวพรมแดนติดต่อกับประเทศไทยนับ 1,000 กม. ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ได้จัดสัมมนา "เปิดเส้นทางสู่พม่า โอกาสใหม่ของธุรกิจไทย" มีสาระสำคัญดังต่อไปนี้

ยุทธศาสตร์ไทยกับทวาย

นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ได้ฉายภาพถึง "ยุทธศาสตร์ประเทศไทยกับโครงการทวาย" ว่า ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา เมียนมาร์และโครงการทวายถือว่า "ฮอต" มาต่อเนื่อง แม้ว่าระบบสาธารณูปโภคพื้นฐานจะยังไม่สมบูรณ์นัก แต่เชื่อว่าต่อจากนี้ไปเศรษฐกิจของเมียนมาร์จะขยายตัวอีกร้อยละ 4-5 และในอนาคตมีโอกาสขยายตัวถึงร้อยละ 10 ปัจจุบันเมียนมาร์มีการส่งออกมาไทยมากถึงร้อยละ 40 ในรูปของก๊าซธรรมชาติ ในขณะเดียวกันก็นำเข้าสินค้าจากประเทศจีนมากที่สุด เพราะสินค้าราคาถูก

ในปี 2558 หลังการเกิดขึ้นของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ AEC เมียนมาร์ยิ่งต้องพัฒนาหลายด้าน เช่น สร้างท่าเรือด้านใต้ของประเทศ การพัฒนานิคมอุตสาหกรรมที่เน้นไปที่อุตสาหกรรมต้นน้ำ และเมื่อมีท่าเรือทวายแล้วประเทศไทยสามารถใช้ศักยภาพนี้ส่งสินค้าไปยังยุโรป ลดการพึ่งพาท่าเรือสิงคโปร์ที่เริ่มแออัดและมีปัญหาโจรสลัด โดยสภาพัฒน์มองว่า การส่งสินค้าออกผ่านท่าเรือทวายจะช่วยเพิ่ม GDP ของไทยให้โตขึ้นถึงร้อยละ 2

"สิ่งที่เราต้องทำเร่งด่วนคือ การปรับด่านพุน้ำร้อนให้สามารถขนส่งสินค้าได้ชั่วคราวก่อน ต่อจากนั้นต้องหาข้อยุติเรื่องการแบ่งเขตแดนไทย-พม่า ส่วนในระยะกลาง-ยาว ต้องมีการสร้างถนนเชื่อม 2 ประเทศ รวมไปถึงการพัฒนาด่านพุน้ำร้อนให้เป็นด่านถาวร ศึกษาโครงสร้างพื้นฐานเพิ่มเติมไปพร้อม ๆ กับการพัฒนาจังหวัดกาญจนบุรีให้สอดรับกับการลงทุน คาดว่าอุตสาหกรรมเหล็ก ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ชิ้นส่วนรถยนต์ จะเกิดขึ้นในทวายแน่นอน"

ด้าน ดร.สมเจตน์ ทิณพงษ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ทวาย ดีเวลลอปเมนต์ จำกัด ผู้บริหารโครงการพัฒนาอุตสาหกรรมและท่าเรือน้ำลึกทวาย มูลค่า 400,000 ล้านบาท กล่าวว่า

เมียนมาร์กำลังให้ความสำคัญกับการสร้างเมืองใหม่ รวมถึงเรื่องสิ่งแวดล้อมถือเป็นเรื่องใหญ่ด้วย สิ่งที่นักลงทุนจะต้องมองก่อนเข้าไปลงทุนก็คือ กฎระเบียบต่าง ๆ อย่างกรณีทวายจะตั้งเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษขึ้นมา

ไทย-เมียนมาร์ต้องเติบโตร่วมกัน

นายธนิต โสรัตน์ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย มองว่า เมียนมาร์ได้เข้ามาเสริมรอยต่อของประเทศไทยในเรื่องของ 1) ปัญหาแรงงานไทยในภาวะติดลบ เพราะเมียนมาร์มีแรงงานที่พร้อมเข้าระบบอีกไม่ต่ำกว่า 30 ล้านคน 2) ที่ดินสำหรับรองรับอุตสาหกรรม เพราะไทยมีปัญหากับชุมชนรอบข้างอุตสาหกรรมในประเด็นสิ่งแวดล้อม 3) มาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อมของประเทศไทยที่สูงเทียบเท่ากับกลุ่มประเทศสแกนดิเนเวีย ได้กลายเป็นอุปสรรคให้กับการลงทุนในอุตสาหกรรมรองเท้า-

สิ่งทอ-อาหาร-ประมง และการเกษตร สามารถเคลื่อนย้ายเข้าไปลงทุนในเมียนมาร์ได้ ซึ่งอุตสาหกรรมเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องใช้เทคโนโลยีที่สูงมากนัก "หากจะลงทุนในพม่า การเมืองเป็นเรื่องที่ต้องติดตาม อย่าไปตามกระแส ต้องศึกษาข้อกฎหมายอย่างละเอียด ต้องมองว่าเรามีจุดแข็งหรือไม่ด้านใด การมี partner ที่ดีมีความจำเป็น ที่สำคัญอย่าคิดไปเอาเปรียบเมียนมาร์"

นางโศภชา ดำรงปิยวุฒิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท กันกุลเอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) ได้เล่าประสบการณ์ของบริษัทว่า เริ่มเข้าไปทำธุรกิจแบบซื้อมาขายไป (trading) ในเรื่องของสายส่ง สถานีไฟฟ้า แต่บริษัทมีพันธมิตรทางธุรกิจที่ดี ทำให้บริษัทกันกุลเอ็นจิเนียริ่ง ติด 1 ใน 5 ของการขายระบบไฟฟ้าให้เมียนมาร์ จนกระทั่งบริษัทมีโอกาสเข้าร่วมประมูลในโครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลม ซึ่งจากโครงการนี้จะนำไฟฟ้ากลับมาใช้ในประเทศไทยด้วย ทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นว่า นักลงทุนต้องเตรียมความพร้อมไว้ก่อน เมื่อเมียนมาร์เปิดประเทศ ทุกอย่างจะ "ก้าวเร็ว" ยิ่งขึ้น ฉะนั้นหลังการเลือกตั้งนักลงทุนต้องพร้อม

นายอนนต์ สิริแสงทักษิณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท.สผ. กล่าวถึงการเข้าไปลงทุนใน

เมียนมาร์ว่า มาจากทรัพยากรธรรมชาติทั้งก๊าซและน้ำมัน ประกอบกับช่วงนั้นเมียนมาร์มีความต้องการการลงทุนจากภายนอก ปตท.สผ.จึงเข้าไปเจรจาเพื่อขอซื้อก๊าซ โดยจับมือไปกับบริษัทโททาล (TOTAL) ต้องสร้างความมั่นใจในแง่ของประโยชน์ทั้งที่ไทยและเมียนมาร์จะได้รับ ล่าสุด ปตท.สผ.ยังได้สัมปทานบนบกผ่านการประมูลและชนะได้มาถึง 2 แปลง เหตุผลที่ชนะก็คือ ปตท.สผ.มี local partner และมีการตอบแทนภาคสังคมให้กับเมียนมาร์มาอย่างต่อเนื่อง

"ประเทศไทยนั้นได้เปรียบและค่อนข้างมีโอกาส เมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ แต่รัฐบาลควรมีบทบาทในการผลักดันให้มากกว่านี้ ควรพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่จะเชื่อมไทยรวมเข้ากับกลุ่มอินโดไชน่า และไทยจะเป็นตัวเหนี่ยวนำเศรษฐกิจเมียนมาร์ให้เติบโตเร็วขึ้น ช่วยปิดช่องว่างความรวยความจน ต้องมองความได้เปรียบให้เป็น และทำให้เมียนมาร์เจริญเติบโตควบคู่ไปกับไทย"

การปฏิรูปเงินจ๊าตสู่สากล

นายโมว เตต เลขาธิการสภาหอการค้าและอุตสาหกรรมในเมียนมาร์ กล่าวแนะนักลงทุนไทยว่า ควรมุ่งไปที่อุตสาหกรรมท่องเที่ยวและธุรกิจโรงแรม ส่วนด้านการเกษตร แนะนำให้นักลงทุนไทยพุ่งความสนใจไปทางตอนใต้ของเมียนมาร์ เพราะมีที่ดินขนาดใหญ่เหมาะแก่การลงทุน โดยเฉพาะน้ำมันปาล์ม นอกจากนี้อุตสาหกรรมอาหารก็เป็นที่ต้องการของเมียนมาร์มาก จากปัจจุบันที่มีการนำเข้าสินค้าประเภทนี้จากประเทศไทยอยู่แล้ว "ไทยเข้ามาลงทุนในเมียนมาร์มากเป็นอันดับ 2 รองจากจีน ในขณะที่เราโดนชาติตะวันตกแซงก์ชั่น ไทยกับจีนก็ยังคงอยู่กับเรา ตรงนี้ชัดเจนว่าเมียนมาร์วางไทยอยู่ในตำแหน่งคู่ค้าที่ดี เราหวังที่จะเพิ่มการให้สิทธิพิเศษแก่นักลงทุนไทยเพิ่มขึ้น"

ด้าน นายออง ซู ผู้อำนวยการแผนกการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ กล่าวถึงการปฏิรูปค่าเงินจ๊าต ที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 1 เมษายนว่า ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญมากของ

เมียนมาร์ เนื่องจากเมียนมาร์ถูกแซงก์ชั่นทางเศรษฐกิจหลายประการ ดังนั้น นโยบายทางการค้าจึงสำคัญอย่างยิ่งต่อการอยู่รอดของประเทศ ที่ผ่านมาเมียนมาร์อยู่รอดได้เพราะการค้าชายแดน จึงต้องขอขอบคุณเพื่อนบ้านอย่างจีน อินเดีย และประเทศไทย

"ที่ผ่านมาเรามีอัตราแลกเปลี่ยนถึง 2-3 อัตรา รัฐบาลจึงมุ่งมั่นที่จะเปลี่ยนแปลงด้านค่าเงิน เราร่วมมือกับ IMF ถึงที่สุดเมื่อวันที่ 29 มีนาคมที่ผ่านมา รัฐบาลได้ประกาศใช้ระบบอัตราแลกเปลี่ยนลอยตัวแบบจัดการได้ในเมียนมาร์ โดยธนาคารกลางจะเป็นผู้ดูแลระบบอัตราแลกเปลี่ยนแบบใหม่ นี่เป็นข่าวดีที่ทุกฝ่ายรอคอย"
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ถกปรองดอง สภาเดือด หารือต่อวันนี้ !!?

ถกรายงานปรองดอง 7ชม.เดือด ฝ่ายค้าน งงบรรจุลำดับต้นได้อย่างไร'เจริญ'ปัดไม่ทราบ โยนเป็นอำนาจประธานสภาฯ "สนธิ"ยันทำหน้าที่เสร็จแล้ว

เมื่อเวลา 17.30 น. วานนี้(4) ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ได้เริ่มพิจารณารายงานของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการสร้างความปรองดองแห่งชาติ (กมธ.ปรองดอง) โดยก่อนเริ่มพิจารณา นพ.สุกิจ อัตโถปกรณ์ ส.ส.ตรัง พรรคประชาธิปัตย์ ได้สอบถามถึงกติกา และหลักเกณฑ์การเรียงลำดับวาระการประชุม เนื่องจากพบว่า วาระรายงานปรองดองอยู่ในลำดับท่ 4.2 ซึ่งถือว่าบรรจุในลำดับก่อนหน้าเรื่องอื่นที่พิจารณาแล้วเสร็จไปนานแล้วก่อนหน้านี้

ทั้งนี้ นายเจริญ จรรย์โกมล รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 1 ชี้แจงว่า การบรรจุวาระการประชุม เป็นไปตามระเบียบและหลักเกณฑ์ ทั้งนี้การเรียงลำดับนั้นเป็นอำนาจของนายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานสภาฯ ทำให้ นพ.สุกิจ กล่าวว่า แสดงว่าไม่ได้มีหลักเกณฑ์ที่ชัดเจนกับการเรียงลำดับวาระประชุมใดๆ ซึ่งประเด็นนี้คงเป็นเรื่องที่รัฐบาลหรือบางคนได้รับประโยชน์ เรื่องถึงได้นำมาบรรจุในระดับต้น

หลังจากที่พล.อ.สนธิ บุญยรัตนกลิน ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคมาตุภูมิ ฐานะประธานกมธ.ปรองดอง กล่าวรายงานต่อที่ประชุม โดยย้ำถึงความจำเป็นที่ต้องรีบยุติความขัดแย้งในปัจจุบัน เพื่อลดผลกระทบต่อเศรษฐกิจ การเมือง สังคม และความมั่นคงของประเทศแล้วเสร็จ นายเชน เทือกสุบรรณ ส.ส.สุราษฎร์ธานี พรรคประชาธิปัตย์ ขอหารือที่ประชุมโดยได้นำแถลงการณ์ของสถาบันพระปกเกล้าที่ย้ำวิธีการสร้างความปรองดองด้วยการเสวนาหาทางออกร่วมกัน มาอ่านในที่ประชุม พร้อมอภิปรายว่า ตนแปลกใจว่าทำไมประธานกมธ.ปรองดองไม่นำประเด็นนี้มาพิจารณา เบื้องต้นตนอยากให้ประธานกมธ.ปรองดอง รับข้อเสนอดังกล่าวไปพิจารณาเพื่อทำให้เกิดความสมานฉันท์และทางออกร่วมกัน

ด้านนายชวลิต วิทยสุทธิ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ฐานะกมธ.ปรองดอง ชี้แจง ว่าในแถลงการณ์ของสถาบันพระปกเกล้าตนดีใจที่ทางสถาบันได้ตรวจสอบเนื้อหาของงานวิจัย ภายหลังจากที่มีคนทักท้วง ติติง และเมื่อลงไปตรวจสอบกระบวนการวิจัย และเนื้อหาแล้ว พบว่ากระบวนการศึกษาวิจัยถูกต้องตามหลักวิชาการ ซึ่งตนขอย้ำว่ากระบวนการวิจัยนั้นถูกต้องตามวิชาการ

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร อภิปรายว่าในข้อเสนอของคณะผู้วิจัยสถาบันพระปกเกล้า ที่ระบุว่าปัจจุบันบรรยากาศปรองดองไม่เกิด เพราะทุกฝ่ายยังมีท่าทีเหมือนเดิม คณะผู้วิจัยจึงอยากสร้างความปรองดองระดับการเมืองและประชาชน ด้วยการพูดคุยหาทางออกร่วมกน ทั้งนี้ผลการวิจัยไม่ใช้ข้อสรุปที่นำไปปฏิบัติได้ทันทีนั้น สิ่งที่นำมาอ้างอิงเสมือนเป็นข้อเสนอที่ลงมติวันนี้ไม่ตรงกันสิ่งที่วิจัยได้ยืนยัน คือ ที่มาของแถลงการณ์ขอสถาบันพระปกเกล้า หากทำตามสิ่งที่สถาบันเสนอ ทางกมธ.ปรองดอง รวมถึงสมาชิกสภาฯ ควรจะรับทราบรายงานของกมธ.ไว้ชั้นหนึ่งก่อน และขยายอายุของกมธ.ปรองดอง ไปจนสิ้นสมัยประชุมสามัญทั่วไป และระหว่างนั้นควรจัดเวทีสัมมนาหาทางออกร่วมกัน

“ ผมขอท้วง ว่าให้อ่านให้ครบ เพราะผมอยู่ที่ประชุมของกรรมการสภาสถาบันพระปกเกล้าด้วย ผมขอถามประธานกมธ.ปรองดอง ว่าสรุปที่ขอให้พิจารณาวันนี้ จะดำเนินการตามข้อเสนอของคณะผู้วิจัยและสถาบันพระปกเกล้าหรือไม่ ที่ระบุว่าจะขอให้สภาฯรับทราบชั้นหนึ่งก่อน และจะนำไปดำเนินการตามข้อเสนอ” นายอภิสิทธิ์ กล่าว

พล.อ.สนธิ ชี้แจงว่าการรายงานของกมธ.ปรองดองแล้วเสร็จ จึงนำเรื่องสู่สภาฯ ถือว่าหน้าที่ของกรรมาธิการฯ จบแล้ว ภาระกิจเสร็จสมบูรณ์แล้ว ส่วนใครจทำอะไรต่อไป เป็นหน้าที่ของสภาฯ

"อภิสิทธิ์" ยกข้อบังคับ 96 วรรคสอง กดดันให้แก้ไขรายงานปรองดอง
ต่อจากนั้นนพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน พรรคเพื่อไทย อภิปรายถึงข้อเสนอของกมธ.ปรองดอง ว่าตนได้อ่านหลายรอบ ไม่พบข้อเสนอของกมธ.ปรองดองขัดหรือแย้งต่อรายงานการวิจัยของสถาบันพระปกเกล้า ทั้งนี้ยังได้ระบุความเห็นว่าเห็นด้วยกับรายงานแนวทางการสร้างบรรยากาศปรองดองของสถาบันพระปกเกล้า ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว พร้อมได้เรียกร้องหน่วยงานที่เห็นด้วย ให้นำแนวทางปรองดองไปปฏิบัติโดยเร็ว อย่างไรก็ตามในประเด็นที่หลายฝ่ายกังวลในการนำรายงานไปต่อยอด เชื่อว่าหากไม่ผ่านกระบวนการในสภาฯ แล้วคงไม่สามารถทำได้ หรือหากจะทำในประเด็นใดนั้น ต้องกำหนดเป็นมติของสภา

ด้านนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ชี้แจงย้ำว่าในประเด็นที่ระบุว่า เรียกร้องให้หน่วยงานที่เห็นด้วยกับข้อเสนอ กมธ.ปรองดอง นำแนวทางไปดำเนินการให้เกิดเป็นรูปธรรมโดยเร็วที่สุด ถือว่าสร้างความกังวลต่อคณะผู้วิจัยอย่างยิ่ง เพราะในบทที่ 5 ผลการศึกษาของกรรมาธิการนั้น ได้ระบุชัดเจนว่า ว่าเห็นด้วยกับข้อเสนอที่ว่าออกกฎหมายนิรโทษกรรม และลบล้างความผิดทางกฎหมายของคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อรัฐ (คตส.) ทั้งที่ในงานวิจัยของสถาบันพระปกเกล้าไม่ได้ระบุเช่นนั้น

นายอภิสิทธิ์ กล่าวด้วยว่าตามข้อบังคับการประชุมสภาฯ ข้อ 96 วรรคสอง ระบุให้ที่ประชุมสภาฯ แก้ไขเพิ่มเติมผลการพิจารณาของกมธ.ได้ ดังนั้นประเด็นนี้กมธ.ปรองดอง จะพิจารณาแก้ไขเพื่อให้เกิดความสบายใจของสังคมและสถาบันพระปกเกล้าหรือไม่

“วัฒนา”ค้านเสวนาปรองดองก่อนเยียวยา
นายวัฒนา เมืองสุข ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ฐานะรองประธานกมธ.ปรองดอง ชี้แจงว่า สิ่งที่หลายฝ่ายตั้งข้อสังเกตในประเด็นผลการศึกษาของกมธ.ปรองดองนั้น ตนขอถามว่ามีสิ่งใดที่ไม่ถูกต้อง อย่างไรก็ตามจากการรับฟังองค์กรภาคธุรกิจ และหน่วยความมั่นคง ยอมรับว่าสิ่งที่จะลดความขัดแย้งได้ คือ การให้อภัย ทั้งนี้ความเห็นของสถาบันพระปกเกล้า ที่ระบุเรื่องการนิรโทษกรรม การยกเลิกผลทางกฎหมายของ คตส. ไม่ใช้นวัตกรรมใหม่ และถูกจดลิขสิทธิ์ จนไม่มีใครนำไปปฏิบัติได้ ซึ่งประเด็นดังกล่าวได้เกิดมาตั้งแต่ปี 2475 แล้ว อีกทั้งข้อเสนอของสถาบันพระปกเกล้าได้ออกมาภายหลังจากที่กมธ.ปรองดองนำเสนอ

นายวัฒนา กล่าวต่อว่า ข้อเสนอของสถาบันพระปกเกล้าที่ระบุให้มีการสานเสวนา ตนมองว่าเป็นข้อเสนอที่ข้ามขั้นตอน เพราะส่วนตัวมองว่าการสร้างความปรองดองได้ ประเด็นแรกต้องดำเนินคดีอาญากับผู้ที่มีส่วนทำความรุนแรงในปี 53 - 55 ต่อด้วยการเยียวยา คืนความถูกต้องและชอบธรรมที่จะนำไปสู่กระบวนการเปิดเวทีให้ทุกฝ่ายพูดคุยทางทางออกร่วมกัน แต่ต้องไม่เกิดขึ้นก่อนการเยียวยา หรือคืนความถูกต้อง

“ ผมมองว่าความปรองดองไม่สามารถเกิดขึ้นได้ หากปล่อยผู้ที่ได้รับผลกระทบที่ได้รับการปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม ยังดำรงความไม่เป็นธรรมนั้นอยู่ และประเด็นนี้ต้องทำโดยทันที เพราะความยุติธรรมที่ล่าช้า คือความอยุติธรรม ที่มาเสนอให้เลื่อน อย่าเพิ่งทำ อย่าเพิ่งคืนความถูกต้อง ส่วนตัวผมไม่เห็นด้วย เพราะความสำคัญสูงสุดคือการเคารพหลักสิทธิมนุษยชน คิดว่ากระบวนการที่เกี่ยวข้องกับการเยียวยา โดยเฉพาะเรื่องของการนิรโทษกรรม และคืนความชอบธรรมเพื่อให้ผู้ที่ถูกกล่าวหาเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมซึ่งเป็นที่ยอมรับเช่น ป.ป.ช. ต้องรีบทำโดยเร็ว เพราะเป็นสิ่งที่อยู่ในวิสัยของสภาฯ ที่จะทำได้ ” นายวัฒนากล่าว

นายวัฒนา กล่าวด้วยว่า การสานเสวนาได้ ต้องเกิดขึ้นในระดับคู่กรณีที่มีความขัดแย้ง ซึ่งตรงกับข้อเสนอของคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อความปรองดองแห่งชาติ (คอป.) อาทิ การอำนวยความยุติธรรม ด้วยความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย อย่างไม่เลือกปฏิบัติ ดังนั้นการดำเนินคดีกับคนบางคนที่คุณก้าวข้ามไม่พ้น ที่ไม่เป็นไปตามหลักนิติธรรมนั้นถูกต้องแล้วหรือ ซึ่งตนไม่ได้เรียกร้องให้ล้างผิดกับใคร แค่ขอให้ดำเนินให้ถูกต้องเท่านั้น

ส.ส.ปชป. โวย “วัฒนา” ใช้เวทีกมธ.ปรองดอง ฟอกผิดคดี คตส.
การประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อพิจารณารายงานของคณะกรรมาธิการวิสามัญ (กมธ.) พิจารณาศึกษาแนวทางการสร้างความปรองดองแห่งชาติ ได้เริ่มดุเดือดขึ้น โดยนายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ ส.ส.พัทลุง พรรคประชาธิปัตย์ อดีตกมธ.อภิปรายยืนยันว่า รายงานของคณะกรรมการอิสระค้นหาความจริงแห่งชาติ (คอป.) ได้ระบุชัดแล้วว่าหากจะเริ่มการปรองดองต้องเริ่มจากการค้นหาความจริงก่อน ซึ่งการหาความจริงนั่นก็เพื่อให้สังคมยอมรับข้อเท็จจริง และยอมรับผิด ก่อนจะนำไปสู่กระบวนการนิรโทษกรรม ไม่มีการปรองดองไหนที่เกิดจากการให้อภัยเลยโดยขาดการค้นหาความจริง การนิรโทษกรรมคือการทำให้สิ่งที่ผิดไม่มีความผิด ดังนั้นก่อนจะถึงปลายทางนั้น ต้องมีการทำตามขั้นตอนให้ถูกต้อง

นายนิพิฏฐ์ กล่าวว่า ความยุติธรรมไม่เกี่ยวกับเสียงข้างมาก คนจำนวนมากถ้าทำผิดกฏหมายก็ไม่อาจล้มล้างความผิดนั้นได้ เช่น นายกฯคนหนึ่งได้รับเลือกตั้งมา 20ล้านเสียง หากมีการทำทุจริตผู้ที่จะพิจารณาคือผู้พิพากษาตามกระบวนการยุติธรรมของรัฐไทย ซึ่งมีอยู่2-3 คนเท่านั้น จะอ้างว่ามาจากคน20ล้านเสียงไม่ได้

ต่อจากนั้น เมื่อเวลา 20.45 น. กาประชุมได้สะดุดลง เนื่องจากมีการประท้วงกันไปมาระหว่างส.ส. พรรคประชาธิปัตย์ และกรรมาธิการปรองดอง รวมถึงนายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานสภาฯ ซึ่งทำหน้าที่ประธานที่ประชุม โดยฝ่ายค้าน นำโดย นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ส.ส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ ประท้วงนายสมศักดิ์ ที่ไม่เรียกให้ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์อภิปราย และอนุญาตให้เฉพาะ กรรมาธิการฯปรองดองชี้แจงฝ่ายเดียว

นอกจากนั้นแล้วยังมีการประท้วงระหว่างนายเจะอามิง โตะตาหยง ส.ส.ปัตตานี พรรคประชาธิปัตย์ และนายวัฒนา เมืองสุข ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ฐานะรองประธานกมธ.ปรองดอง โดยในช่วงการชี้แจง นายวัฒนา ระบุไม่ยอมรับการไต่สวนของคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่สร้างความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) เพราะเป็นองค์กรที่ตั้งขึ้นมาและใช้อำนาจซ้อนอำนาจของกระบวนการยุติธรรม โดยคดีที่ผ่านการไต่สวนจำเป็นที่ต้องนำกลับมาทบทวนให้อยู่ในกระบวนการยุติธรรมที่ได้รับการยอมรับ

ทำให้นายเจะอามิง ประท้วงว่าขอให้นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานสภาฯ ซึ่งทำหน้าที่ประธานที่ประชุม ควบคุมการประชุมให้เป็นไปตามข้อบังคับ ในประเด็นที่นายวัฒนาชี้แจงมีลักษณะที่นอกเรื่อง รวมถึงเป็นการใช้เวทีเพื่อฟอกตัวเอง เนื่องจากมีผลประโยชน์ทับซ้อนในคดี เนื่องจากนายวัฒนาถูก คตส. ตรวจสอบในคดีรับเสินบนบ้านเอื้ออาทร และอนุมัติโครงการก่อสร้างบ้านเอื้ออาทร

โดยนายสมศักดิ์ วินิจฉัยประเด็นนี้ว่า “ผมให้ท่านวัฒนาพูดในฐานะเป็นกรรมาธิการ ไม่เกี่ยวกับคดีของ คตส.”

"ภูมิใจไทย" เชื่อปรองดองไม่ง่าย

เมื่อเวลา 21.40 น.นายศุภชัย ใจสมุทร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคภูมิใจไทย อภิปรายว่า การสร้างความปรองดองเพียงแค่คำพูดนั้นไม่พอ เท่าที่ดูการอภิปรายวันนี้บรรยากาศการปรองดองคงไม่ง่าย จนถึงเวลานี้คนที่เห็นต่างกันยังไม่ยอมลดหรือถอยให้กันเลย วันนี้ความเป็นจริงยังมีการสร้างหมู่บ้านสีอะไรต่างๆ อยู่ หรือมีการใช้มวลชนให้ห็นว่าตัวเองอยู่เหนือกฎหมายอยู่ วันนี้กลไกของกฎหมายมันบิดเบี้ยวจริง แล้วจะทำอย่างไรให้หลักนิติธรรมมองตรงกันเป็นหลักเดียวกัน วันนี้ใครที่เป็นคู่ขัดแย้งกัน คือนักการเมืองที่ขัดแย้งกับนักการเมืองเพราะช่วงชิงอำนาจกัน

ถ้าวันนี้ลดราวาศอกกัน ยอมถอยมาอยู่ในจุดที่อยู่ร่วมกันได้เราก็จะปรองดองกันได้ ส่วนเรื่องคตส.นั้นพรรคภูมิใจไทยไม่ได้เอาเรื่องตัวบุคคลเป็นตัวตั้ง แต่เรื่องแบบนี้ไม่ควรจะเกิดขึ้นในบ้านเมืองที่เป็นประชาธิปไตย แม้ว่าสิ่งที่คตส.ทำจะถูกต้องตามกฎหมายแต่ไม่ใช่นิติธรรม ดังนั้นเมื่อมีโอกาสที่เราจะทำให้ถูกต้องได้แล้วทำไมเราไม่ทำให้ถูกต้องอย่างที่มันควรจะเป็น วันนี้ถ้าทั้งรัฐบาลและฝ่ายค้านยังก้าวไม่พ้นพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ท่านก็จะยังติดอยู่ตรงนี้ และจะกลายเป็นเงื่อนไขของความรุนแรง สู้บริหารประเทศในวันนี้ให้ดีก่อนจะดีกว่า

สภาฯเดือด “จ่าเสื้อแดง” สวน “พิเชษฐ์” ไอ้แก่ตัณหากลับ
เมื่อเวลา 22.45 น. นายพิเชษฐ พันธุ์วิชาติกุล ส.ส.กระบี่ พรรคประชาธิปัตย์ ได้ลุกขึ้นอภิปรายโดยใช้ถ้อยคำเสียดสี ด่าทอด้วยถ้อยคำหยาบคายในหลายช่วง อาทิ “ไอ้สัตว์นรกตัวหนึ่ง” ซึ่งเนื้อหาได้เชื่อมโยงไปถึงเหตุการณ์ชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดง การเผาศาลากลาง การนำเลือดคนผสมเลือดสัตว์ ไปเทที่หน้าพรรคประชาธิปัตย์ หน้าทำเนียบรัฐบาล และการยิงและทำร้ายทหารโดยกลุ่มผู้ชุมนุมในการชุมนุมที่ผ่านมา รวมถึงการพูดโยงไปถึงสถาบันเบื้องสูง และถูกส.ส.พรรคเพื่อไทยประท้วงเป็นระยะๆ

แต่เมื่อมีคนประท้วง นายพิเชษฐ จึงได้ยอมถอนคำพูดดังกล่าว โดยเฉพาะ จ.ส.ต.ประสิทธิ์ ไชยศรีษะ ส.ส.สุรินทร์ พรรคเพื่อไทย ที่ลุกขึ้นประท้วงหลายครั้ง ทำให้นายพิเชษฐ์ตอบโต้ โดยใช้คำว่า “ไอ้จ่าคนหนึ่งที่ชอบประท้วง”

ทำให้จ.ส.ต.ประสิทธิ์ ลุกขึ้นประท้วงพร้อมตอบโต้กลับไปว่า “คนไม่เต็มบาท โรคจิต ไอ้แก่ตัณหากลับ” ทำให้นายเจริญ ได้สั่งให้นายประสิทธิ์ถอนคำพูด ซึ่งจ.ส.ต.ประสิทธิ์ จึงได้ยอมถอน แต่ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์หลายคนได้ลุกขึ้นประท้วงว่า ไม่ใช่แค่ถอนคำพูด แต่ต้องขอขมานายพิเชษฐ์

แต่ที่สุดนายพิเชษฐ์ได้กล่าวตัดบทว่า ไม่ต้องประท้วงแล้ว พร้อมอภิปรายต่อ โดยรับว่าจะใช้ถ้อยคำที่สุภาพขึ้น จากนั้นการประชุมได้ดำเนินการต่อไป

สภา ถก รายงานกมธ.ปรองดองฯ กว่า 7 ชั่วโมง ไม่จบ ถกต่อวันนี้

จนมาถึงเวลา 00.10 น. ประธานในที่ประชุมได้พักการประชุม และจะมาอภิปรายต่อในวันนี้ (5 เม.ย.) ในเวลา 09.00 น.- 11.00 น.และจะปิดการอภิปราย จากนั้นจะมีการพิจารณากระทู้สดต่อไป

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันพุธที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2555

ประสานสังคม ต่างสี ฝ่าจุดเสื่อมสังคมไทย !!?

วิกฤติการเมืองขณะนี้ ต่างฝ่ายต่างมองหาแสงสว่างจากอุโมงค์ปลายทาง ซึ่งไม่มีใครสามารถให้คำตอบได้ว่ายังอีกยาวไกลขนาดไหน ในเรื่องดังกล่าวนี้ มหาวิทยาลัยศรีปทุม ร่วมกับสถานีโทรทัศน์สปริงนิวส์ จัดการเสวนาเรื่อง “ปฏิรูปประเทศไทย : คิดไปไกลหรือไปได้จริง” โดย มีการเชิญตัวแทนจากไผ่ต่างกอ สังคมต่างสี มาร่วมหาแนวคิดเรื่องความปรองดองแบบอารยะสนทนา

ภายในงานนี้มีกลุ่มแกนนำทางการเมืองจากกลุ่มต่างๆ ทั้ง นายจรัล ดิษฐาอภิชัย ตัวแทนแกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) นายประพันธ์ คูณมี ตัวแทนแกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พันธมิตร) และตัวแทนนักวิชาการ อย่างนายชัยวัฒน์ สุรวิชัย ผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาการเมืองและคุณภาพคน และ ศ.ดร.เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์ นักวิชาการอิสระ

นายจรัล ดิษฐาอภิชัย ตัวแทนกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) กล่าวในการเสวนาว่า ปัญหาของสังคมไทย มันมีรากฐานมาว่าไม่ว่าจะเป็นการปกครอง ในรูปแบบลักษณะใดก็ตาม ไม่ว่ายุคใดสมัยใด สิ่งหนึ่งที่ค่อยลงหลักปักฐานลงไปในสำนึกของคนไทยคือเสรีภาพ ขณะที่รูปแบบของประชาธิปไตย กลับเติบโตแบบบอนไซ ฉะนั้นในการปฏิรูปก็ควรปฏิรูปตั้งแต่หลักการพื้นฐานของประชาธิปไตย คือประชาชน เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย แต่ในขณะนี้ ตลอดเวลาที่ผ่านมาเราไม่เคยพัฒนาอะไรได้สำเร็จจริงๆสักครั้ง ทั้งที่มีการพูดเรื่องนี้มาเป็นสิบปี อำนาจอธิปไตยยังถูกแย่งชิงไปมาระหว่างกลุ่ม ทั้งฝ่ายทหารและนักการเมือง นอกจากนี้ ระบบการบริหารประเทศยังไม่มีความต่อเนื่อง พรรคการเมืองต่างๆ ที่เป็นตัวแทนประชาชน เมื่อได้ใครเลือกเข้ามากลับใช้อำนาจในการตักตวงผลประโยชน์เพื่อตนเอง และพวกพ้อง นำไปสู่การแทรกแซงของระบบทุนนิยม จึงทำให้เกิดปัญหาของสังคมในปัจจุบัน

จะว่าไประบบทุนนิยมเองมันก็มีทั้งข้อดีและข้อเสีย มันมีกลไกนำไปสู่การปฏิรูปได้หลายวิธีแล้วแต่จะทำ แต่นั่นก็ขึ้นอยู่กับ ผู้บริหารเองด้วย..

ทั้งนี้ นายจรัล ยังกล่าวอีกว่า แนวทางการสร้างความปรองดองที่พยายามจะสร้างขึ้นในขณะนี้ เป็นการสร้างความปรองดอง แบบขาดองค์ความรู้และขาดความเข้าใจ เนื่องจากการปรองดองนั้น ไม่สามารถทำให้เกิดได้ทันทีด้วยกฎหมาย แต่ต้องใช้ระยะเวลาหลายปี ดังนั้น ทุกฝ่ายควรหันมายอมรับความจริงกันก่อนที่จะเริ่มกระบวนการปรองดอง

ขณะที่ นายชัยวัฒน์ สุรวิชัย ผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาการเมืองและคุณภาพคน กล่าวว่า หากคิดจะปฏิรูปเราต้องเอาประเทศชาติเป็นหลัก เราถึงจะได้แง่คิดที่ตรงกัน ปัญหา “ความจริง” เราต้องเอาความจริงมาคุยกัน แต่บ้านเมืองเราความจริงเป็นสิ่งที่หายากเราต้องตั้งโจทย์ให้ถูกต้อง

ปัจจุบันสังคมไทย รัฐบาลแก้ปัญหาไม่ถูกต้อง สาเหตุมาจาก การตั้งโจทย์ที่ผิดพลาดและการไม่ยอมรับความจริง ทั้งที่สิ่งเหล่านี้ เป็นก้าวแรกของการแก้ปัญหาสังคม ถ้ามองย้อนกลับ ปัญหาของ สังคมตอนนี้ว่า หาก พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่มีการใช้อำนาจในการบริหาร ประเทศเพื่อตนและพวกพ้อง สังคมจะมีปัญหาหรือไม่ นอกจากนี้ การสร้างความปรองดองต้องอยู่บนความถูกต้อง และมีความเป็นธรรมให้กับทุกฝ่าย ให้กับสังคม!..การเยียวยาผู้ได้รับความเสียหาย ทุกฝ่ายควรได้รับอย่างเท่าเทียม ไม่ใช่เยียวยาเฉพาะพวกและฝ่ายของตน

ศ.ดร.เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์ นักวิชาการอิสระ เห็นว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นในประเทศไทยวันนี้เป็นปัญหาที่สะสมหมักหมม

ปัญหาสำคัญที่เกิดขึ้นในประเทศไทยในขณะนี้ เป็นเพราะเหตุปัจจัย 3 ส่วนที่ไม่สอดประสานจนเกิดปัญหาคือ เศรษฐกิจ สังคม การเมือง โดยมีปัจจัยหลักที่เข้ามาทำให้เกิดปัญหาในทุกส่วน คือ ระบบทุนนิยม ซึ่งเข้ามาปรนเปรอในระบบราชการ ไม่ว่าจะทั้งในส่วนการเมือง หรือข้าราชการประจำ ตามด้วยกระบวนการดูดซึมภาษีมาต่อท่อน้ำเลี้ยงกลายเป็นกระบวนการคอร์รัปชั่น มโหฬาร

ซึ่งการจะแก้ไขปัญหาดังกล่าวนี้ได้คือ การล้างระบบของทั้ง 3 ส่วนแล้วใช้ประโยชน์ของประชาชนเป็นจุดเริ่มต้น การแก้ปัญหาความขัดแย้งในสังคมเพียงอย่างเดียว ไม่สามารถแก้ปัญหาทั้งหมด ของประเทศชาติได้ และวิธีการแก้ไขปัญหาของประเทศชาติไม่จำเป็นต้องใช้การปฏิรูปเท่านั้น

สำหรับในด้านของเศรษฐกิจถือเป็นปัจจัยสำคัญในการปฏิรูป เพราะถ้าเศรษฐกิจดีประชาชนท้องอิ่ม ปัญหาต่างๆ ก็ไม่เกิด อย่างด้านสังคมอาชญากรก็จะน้อยลง การคอร์รัปชั่นก็ไม่มี แต่ขณะนี้เศรษฐกิจ เราติดลบจากที่เคยเป็นอันดับต้นๆของอาเซียน แต่ตอนนี้เราล้าลงทุกที เพราะการเมืองที่เล่นเกมกันจนทำให้เศรษฐกิจเราขาดศักยภาพในการแข่งขันกับตลาดโลก หรือแม้แต่ ตลาดในภูมิภาค ส่วนด้านสังคมตอนนี้เสื่อมโทรมมากโดยเฉพาะปัญหายาเสพติด ทั้งหมดนี้ชี้ให้เห็นความเสื่อมของประเทศอย่างเต็มระบบ ฉะนั้นแค่การปฏิรูปคงไม่พอ..

นายประพันธ์ คูณมี ตัวแทนกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวว่า คำว่าปฏิรูปประเทศไม่เพียงพอแล้ว เพราะปัญหาสะสมมานาน ต้องใช้คำว่า ปฏิวัติสังคมทุกมิติ โดยต้นตอของปัญหาคือ ผู้มีอำนาจทางการเมืองเห็นประชาชนเป็นเกมทางการเมืองประเทศไทยในขณะนี้ไม่มีการพัฒนาที่เดินหน้า แต่เป็นการเดินถอยหลัง โดยการแก้ไขรัฐธรรมนูญ หรือแม้แต่กระทั่งแผนการปรองดอง ไม่สามารถนำไปสู่การปฏิรูปประเทศได้เนื่องจากวิธีการแก้ปัญหาทั้งสองนั้น เป็นการเพิ่มความขัดแย้งให้กับสังคมมากขึ้น เพราะจุดประสงค์ของการแก้ไขปัญหาเพื่อต้องการให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร พ้นผิด และการแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้น ก็เพื่อประโยชน์ของนักการเมืองเอง การแก้ปัญหาดังกล่าวจึงไม่ใช่การแก้เพื่อให้ประเทศชาติมีความก้าวหน้า

ในการเสวนาครั้งนี้มีอยู่บางประเด็นที่น่าสนใจคือไม่ว่าจะเป็นนักวิชาการจากฝั่งไหน สีอะไร ต่างก็มีความคิดเห็นร่วมกันในเรื่องของความเหลื่อมล้ำทางชนชั้นที่ถูกครอบงำจากกลุ่มทุน เป็นสาเหตุสำคัญของปัญหาในสังคมไทย ส่วนนักการเมืองในฐานะฝ่ายบริหารก็ไม่ได้ให้ความสำคัญต่อคุณภาพชีวิตของประชาชนอย่างจริงจังและมุ่งหวังผลประโยชน์ทางการเมืองมากกว่า

ที่มา.สยามธุรกิจออนไลน์
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ค้านดะ..แต่ทำงานไม่เป็น !!?

ภาคใต้ที่เกิดความเจริญเติบโต ปีกกล้าขาแข็งทางด้านเศรษฐกิจ เพราะ “อดีตนายกฯ พล.อ.ชายชาติ ชุณหะวัณ” เป็นผู้สร้างถนน ๔ เลน
ขยายเส้นทางคมนาคม จากจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ยันไปถึง สุไหงโก-ลก
“ประชาธิปัตย์” แชมป์พื้นที่ ส.ส.สะตอสามัคคี ไม่เคยสร้างผลงาน เพื่อชาวใต้ ในฐานะ “นายกฯ”
“บิ๊กชวน หลีกภัย ณ. เชื่องช้า” ดำริคิดสร้างท่าเรือน้ำลึกที่สตูล..จนแล้วจนรอด ก็สร้างไม่สำเร็จเสร็จสรรพ
ตอนนี้ประชาธิปัตย์โกรธ..แค้น “นายกฯยิ่งลักษณ์”ทำคุณจึงบูชาโทษ...ที่ทำให้ภาคใต้ไปโลด จึงตีร่วนทุกเรื่อง ขณะนี้ไงล่ะครับ

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

หมาล่าเนื้อ
นักหนังสือพิมพ์หัวสีเล่มใหญ่ อยู่ใต้อาณัติ “นักการเมืองฝ่ายค้าน” ใครจะไปเชื่อ
แต่ความจริง ย่อมเป็นความจริง ดังนั้น, จึงเอาความจริง มาแชร์
ขณะที่มีเขียนข่าว ถึงการฉีกผลวิจัยปรองดอง โดยการกระทำของ “วัชระ เพ็ชรทอง” สส.ประชาธิปัตย์ ที่ฟิวส์ขาด เล่นงาน “บิ๊กบัง” พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ประธานกรรมาธิการปรองดอง ด้วยพฤติการณ์ย่ำแย่
โดยฝ่ายค้านคนหนึ่ง มานั่งบงการ ให้ “เหยี่ยวข่าวสภาฯ” เขียนข่าวในคอมฯ ตามใจตัวเองที่จะบงชี้
เรื่องนี้เค้าลือกันเกรียว...มีบางคนเที่ยวไปรับใช้ฝ่ายค้าน ดูแล้วไม่ดี

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

แรงจนปรอทแตก
ตามเล่นงาน “นายกฯ ทักษิณ ชินวัตร” เสียจนหน้าแหลก
แต่เดี๋ยวนี้ “ประวิช รัตนเพียร” ผู้ตรวจการแผ่นดิน อุณหภูมิการทำหน้าที่ ไม่เข็ม เหมือนเก่า
“ทักษิณ” ที่เคยตามเช็คบิล ตอนนี้เอาแต่น่วม ๆ ตามเล่นงานเบา ๆ
นัยหนึ่งแล้ว “ท่านประวิช รัตนเพียร” เป็นหน่อเนื้อเชื้อไขนักการเมืองทั้งแท่ง และมีความสนิทสนมกลมเกลียว กับ “เสี่ยสุวัจน์ ลิปตพัลลภ” เป็นอย่างดี
ด้วยการแทนตัวความเป็นผู้นำ..รีบชิงสุกก่อนห่าม... “เสี่ยประวิช” จึงไปขย้ำ ขัดใจกับ “เสี่ยสุวัจน์” กระทั่งวันนี้

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

เป็นห้องหอเรือนร้าง
ห้องผู้นำฝ่ายค้าน ที่อาคารรัฐสภา ของ “ท่านอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” คนดัง
เรือนและร้าง หยักใย้แทบตกผลึก
ท่านไม่ค่อยมาใช้ ห้องนี้ทำงาน เห็นแล้วก็เสียความรู้สึก
หรือยังคิดลึก ๆ ไม่อยากมานั่งห้องผู้นำความฝ่าย...เกรงจะเป็น “ฝ่ายค้านานมืออาชีพ”ไป
อยากบอก “มาร์ค”อย่าฝันเป็นนายกฯ...เพราะตำแหน่งนี้ไม่ใช่กิ่งทองใบหยก?..ฝีมือท่านตก คงเป็นนายกฯไม่ได้

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

กัดเกาะติดไม่ปล่อย
วาน, “ชวน หลีกภัย” บัญญัติ บรรทัดฐาน” “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ๓ ผู้นำเก๋าโจ๋แห่งพรรคประชาธิปัตย์ ดูเรื่องนี้หน่อย
คดี ปรส. สร้างความเสียหาย ให้กับชาติอย่างใหญ่หลวง
คดีจะหมดอายุความ ในวันที่ ๒๑ มิถุนายน ปี ๕๖ จึงน่าเป็นห่วง
อย่าให้ “โจรใส่สูท” หลุดอาญาแผ่นดิน เพราะ “คดีขาดอายุความ”.ฐานะที่ท่านเป็น “ฝ่ายค้าน” ต้องขุดเรื่องนี้ ขึ้นมาจี๋
เรื่อง ปรส.น่าจับจ้อง...เพราะมีบางคนกินอยู่กับปากอยากอยู่กับท้อง...เค้าจึงไม่มอง อยากให้เรื่องนี้ หมดอายุความเสียที

คอลัมน์:ตอดนิดตอดหน่อย,บางกอกทูเดย์
****************************************************************************

วันอังคารที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2555

นอนตาย ตาสว่าง !!?

บรรยากาศแห่งความปรองดองซึ่งถือเป็นเงื่อนไขสำคัญยังไม่เกิดขึ้นในสังคม และเชื่อว่าการใช้เสียงข้างมากในการกำหนดแนวทางสร้างความปรอง ดองจะเป็นเพียงการสร้าง “ความ ยุติธรรมของผู้ชนะ” เท่านั้น ซึ่งรายงานวิจัยได้ระบุว่าการยึด ถือเสียงข้างมากโดยละเลยความเห็นที่แตกต่างนั้นถือเป็นสาเหตุหลักประการหนึ่งของความขัดแย้งทางการเมืองไทยที่ผ่านมา และมีแนวโน้มที่จะนำไปสู่ความขัดแย้งและความรุนแรงรอบใหม่ได้อีกในอนาคต อันขัดกับเจตนารมณ์ของคณะผู้วิจัยอย่างชัดเจน”

แถลงการณ์ตอนหนึ่งของคณะผู้วิจัยโครงการศึกษาเพื่อการสร้างความปรองดองแห่งชาติ สถาบัน พระปกเกล้า ที่เสนอต่อคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจาร ณาศึกษาแนวทางการสร้างความปรองดองแห่งชาติ สภา ผู้แทนราษฎร ซึ่งมี พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน หัวหน้าพรรคมาตุภูมิ เป็นประธาน หลังจากนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และพรรคประชาธิปัตย์ ออกมาคัดค้านแบบหัวชนฝาไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอของคณะวิจัย และเรียกร้องให้ถอนรายงานวิจัย นอกจากนี้พรรคประชาธิปัตย์ยังลาออกจากการเป็นกรรมาธิการด้วย

กลัวจนขี้ขึ้นสมอง

ทั้งที่ก่อนหน้านี้คณะวิจัยยืนยันหนักแน่นว่าจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆในรายงาน เพราะทำงานอย่างตรงไปตรงมาและบริสุทธิ์ใจ ไม่ได้เลือกข้างหรือมุ่งช่วยเหลือฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด แต่การออกมาแถลงล่าสุดของคณะวิจัยไม่ให้คณะกรรมาธิการใช้เสียงข้างมากเรื่องการปรองดองนั้นไม่เพียงไม่แสดงบทบาทของการเป็น “นักวิชาเกิน” แล้ว ยังถูกมองว่าเพี้ยนและเลอะเทอะอีกด้วย

เพราะผลการศึกษาวิจัยที่เป็นวิชาการแม้จะออกมาอย่างไรก็ไม่มีใครสามารถนำไปบิดเบือนได้ แม้ แต่การอภิปรายในสภาก็ต้องมีการแสดงความคิดเห็น ซึ่งมีทั้งผู้เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย แต่ในที่สุดต้องได้ข้อยุติตามกระบวนการในสภา ซึ่งเป็นเรื่องของฝ่ายนิติ บัญญัติที่เป็นตัวแทนของประชาชน คณะวิจัยจึงไม่จำเป็นต้องออกอาการชักเข้าชักออกหรือหวั่นไหวต่อเสียงวิพากษ์วิจารณ์จน “สั่นเป็นลูกนก” หรือ “กลัวจนขี้ขึ้นสมอง” นอกจากคณะวิจัยจะมีพฤติกรรมหมกเม็ด ซ่อนเร้น หรือไม่บริสุทธิ์ใจ

ขณะที่นายสามารถ แก้วมีชัย ส.ส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย ในฐานะรองประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการสร้างความปรองดองแห่งชาติ สภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงการบรรจุวาระ พิจารณาผลการศึกษาของคณะกรรมาธิการต่อที่ประ ชุมร่วมรัฐสภาเพื่อรายงานให้รัฐสภาทราบว่าทำงานเสร็จแล้ว ถ้าจะนำเข้าพิจารณาในสมัยประชุมนี้ได้ เมื่อ ปิดสมัยประชุม ส.ส. จะได้นำเรื่องนี้ไปทำความเข้าใจกับประชาชนในการลงพื้นที่ แต่ถ้าฝ่ายค้านเห็นว่าเป็น การเร่งรัดพิจารณาเกินไปก็มีสิทธิมองได้ ส่วนที่กังวลว่าจะนำไปสู่การนิรโทษกรรมเป็นการจินตนาการเกินไป เพราะการจะนิรโทษกรรมได้ต้องมีความเห็นของทุกฝ่าย และต้องออกเป็นกฎหมาย ซึ่งเกิดขึ้นไม่ได้ง่ายๆ

ขี้ลืมหรือวิกลจริต

ที่สำคัญหากย้อนกลับไปครั้งนายอภิสิทธิ์เป็นนายกรัฐมนตรีได้แถลงนโยบายว่าการแก้ปัญหาความแตกแยกเป็นเรื่องเร่งด่วน ทั้งหลังเหตุการณ์เมษาเลือด 2552 สังคมได้เรียกร้องเรื่องการปรองดองและปฏิรูปการเมือง รัฐสภาขณะนั้นได้ตั้งคณะทำงานที่มีนายดิเรก ถึงฝั่ง ส.ว.นนทบุรี เป็นประธานคณะกรรมการสมานฉันท์เพื่อการปฏิรูปการเมืองและศึกษาการแก้ไขรัฐธรรมนูญ

หลังจากเกิดเหตุการณ์เมษา-พฤษภาอำมหิตที่เข่นฆ่าประชาชนไปเกือบร้อยและบาดเจ็บพิการเกือบ 2,000 รายนั้น นายอภิสิทธิ์ได้ตั้งคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) ที่มีนายคณิต ณ นคร เป็นประธาน แต่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ก็ไม่ได้นำข้อเสนอของ คอป. ไปปฏิบัติเลย ทั้งที่การศึกษาทุกคณะ ความเห็นของกลุ่มผู้มีอำนาจ นักธุรกิจ นักวิชาการ และประชาชน ต้องการให้แก้ปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง เพื่อให้ทุกฝ่ายกลับมาอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติ ซึ่งสมัยรัฐบาล พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ เคยประกาศคำสั่งนโยบาย 66/23 เพื่อนิรโทษกรรมให้ผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ (ผกค.) และแนวร่วม นอกจากนี้ยังมีการ จ่ายเงินชดเชยเยียวยาแก่ ผกค. รายละ 200,000 บาท ตั้งแต่รัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ และจ่ายเงินงวดสุดท้ายก่อนเลือกตั้งวันที่ 3 กรกฎาคม 2554 ซึ่งนายอภิสิทธิ์เป็นนายกรัฐมนตรี

แต่พรรคประชาธิปัตย์และนายอภิสิทธิ์กลับคัดค้านรายงานของสถาบันพระปกเกล้าหัวชนฝา และ ยังโจมตีแม้แต่ พล.อ.สนธิว่ามีอะไรซ่อนเร้นกับ พ.ต.ท. ทักษิณหรือไม่ รวมทั้งโจมตีการใช้เสียงข้างมากในสภา ทั้งที่นายอภิสิทธิ์จัดตั้งรัฐบาล ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์เป็นเสียงข้างน้อย แต่มีเสียงจาก “งูเห่า” จนสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้นั้น นายอภิสิทธิ์ก็ถูกประณาม ว่าเป็นรัฐบาลไฮแจ๊คที่ตั้งกันในค่ายทหาร แต่ก็อ้างทุกครั้งว่าเป็นรัฐบาลที่ถูกต้องเพราะเสียงข้างมากในสภา

พูดเอาแต่ได้กับดีแต่พูด?

นายอภิสิทธิ์โจมตี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ว่าพูดเอาแต่ได้และทำสังคมสับสน รวมทั้งโจมตีทุกคน ทุกฝ่ายที่เห็นว่าจะทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณกลับประเทศ หรือ ได้ต่อสู้คดีที่ถูกกล่าวหาใหม่ตามกระบวนการยุติธรรม ปรกติ ซึ่งมีหลายฝ่ายคั้งคำถามกับนายอภิสิทธิ์เช่นกันว่าการทำรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 และ การตั้งคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) เพื่อตั้งธงยัดเยียดความผิดและกำจัดคนคนเดียวคือ พ.ต.ท.ทักษิณนั้นเป็นกระบวน การยุติธรรมที่ประชาคมโลกต่างก็ประณาม แต่นายอภิสิทธิ์คัดค้านไม่เห็นด้วยที่จะยกเลิกคดีและข้อกล่าว หาทั้งหมดของ คตส. เท่ากับว่านายอภิสิทธิ์และพรรค ประชาธิปัตย์เห็นด้วยกับอำนาจรัฏฐาธิปัตย์นั่นเอง

นายอภิสิทธิ์จึงถูกวิพากษ์วิจารณ์เช่นกันว่าดีแต่พูด หรือเมาอู้แล้วยัง “เอาดีใส่ดี เอาชั่วใส่ผู้อื่น” ทั้งถูกประณามว่าเป็น “รัฐบาลมือเปื้อนเลือด” ที่ถูกจารึกไปชั่วลูกชั่วหลานจากการเข่นฆ่าประชาชนเกือบ ร้อย นอกจากนี้ยังถูกกล่าวหาว่าเป็น “ผู้ก่อการร้าย” และ “ล้มเจ้า” จากผังกำมะลออีก แม้นายอภิสิทธิ์จะประกาศพร้อมต่อสู้ตามกระบวนการยุติธรรมก็เพราะมี พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินคุ้ม ครอง ไม่ใช่การพิจารณาตามกระบวนการศาลยุติธรรม ปรกติ หรือศาลอาญาระหว่างประเทศ ซึ่งรัฐบาลนี้สามารถให้สัตยาบันได้ทันที เพื่อไม่ให้มีการทำรัฐประ หารและใช้กำลังเข่นฆ่าประชาชนเหมือนที่ผ่านมาอีก เพราะหากศาลไทยไม่สามารถพิจารณาคดีเพื่อเอาผิดได้ แต่ก็ยังมีศาลโลกที่จะเอาผิดได้

“บิ๊กจิ๋ว” สอน “อภิสิทธิ์”

อย่างจดหมายเปิดผนึกของ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตประธานที่ปรึกษาพรรคเพื่อไทย ที่ตอบโต้นายอภิสิทธิ์ที่ไม่เห็นด้วยกับการสร้างความปรองดองแห่งชาติขณะนี้ โดยอ้างถึงการใช้นโยบาย 66/23 ที่ทำได้สำเร็จเพราะเริ่มต้นจากการยุติสงครามกลาง เมืองก่อนแล้วจึงสร้างประชาธิปไตยระดับสูง คือการยกเลิกระบอบเผด็จการทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นระบอบเผด็จการรัฐสภาหรือเผด็จการรัฐประหาร

พล.อ.ชวลิตยืนยันว่าการแก้ปัญหาวิกฤตต้องแก้ ด้วยการเมือง ไม่ใช่มาตรการกฎหมายหรือศาล หรือใช้กำลังปราบปราม การออก พ.ร.บ.นิรโทษกรรมที่นายอภิสิทธิ์ระบุว่าจะเป็นการล้มล้างอำนาจตุลาการและทำลายระบบยุติธรรมนั้น ความจริงก็เหมือนการใช้นโยบาย 66/23 ซึ่งช่วยให้อำนาจตุลาการยุติธรรมยิ่งขึ้น ไม่ใช่นำปัญหาการเมืองไปให้ศาลแก้ ซึ่งเท่ากับเป็นการทำลายศาล และไม่มีทางสำเร็จ มีแต่จะเกิดปัญหามากขึ้น โดยเฉพาะการบิดเบือนระบบยุติธรรมอย่างการตั้ง คตส. ที่ผิดมาตั้งแต่ต้นแล้ว

“การนิรโทษกรรมปัญหาการเมืองคือการช่วยศาล เป็นการสร้างประชาธิปไตย ทำให้คนไทยทุกคน ทั้งผู้เสียหายและผู้ถูกกระทำได้รับประโยชน์ร่วมกันสูงสุด คือเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย อำนาจรัฐชนิดสูงสุด บุคคลที่เข้าข่ายเป็นผู้ได้รับการนิรโทษกรรมคือทุกคน ทุกฝ่าย ไม่ต้องระบุชื่อ นามสกุล เป็นการเลิกต่อกัน จบต่อกัน เป็นการนิรโทษกรรมแบบบูรณาการอย่างปราศจากเงื่อนไข ยุติความแตกแยก สร้างความปรองดองแห่งชาติได้อย่างแท้จริง และยังเป็นการเปลี่ยนสถานการณ์เก่าเป็นสถานการณ์ใหม่ จะไม่มีปัญหาแบบเดิมอีกต่อไป ซึ่งรายงานวิจัยของสถาบันพระปกเกล้าล้วนมีเจตนาดีต่อประเทศ”

คมช. ภาค 2?

ท่ามกลางความขัดแย้งเรื่องการปรองดองก็มีกระแสข่าวการรัฐประหารออกมาอีกครั้งเมื่อ พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีและอดีตรองผู้อำนวยการกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (รอง ผอ.กอ.รมน.) ระบุว่า ยังมีความพยายามจากกลุ่มเดิมที่สุขุมวิทจะให้มีรัฐประหาร หรือ “คมช. ภาค 2” เพื่อล้มรัฐบาลเพื่อไทย พยายามล้มรัฐบาลด้วยวิธีการเดิมๆ คือใช้องค์กรอิสระหรือตุลาการภิวัฒน์ที่รัฐธรรมนูญปี 2550 ยุบพรรคการเมืองและล้มรัฐบาลได้ แต่ถ้าไม่สำเร็จก็ต้องให้ทหารปฏิวัติ

พล.อ.พัลลภจึงกล่าวถึง 3 เงื่อนไขที่ทำให้มีข้ออ้างทำรัฐประหารได้คือ 1.เรื่องสถาบัน 2.การทุจริตคอร์ รัปชัน และ 3.ความแตกแยกรุนแรง ถ้าไม่มี 3 เงื่อนไข ก็ไม่มีรัฐประหาร ขณะเดียวกัน พล.อ.พัลลภกล่าวตำหนิ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ ประธานที่ปรึกษาพรรคชาติ ไทยพัฒนา ที่ให้ พล.อ.สนธิเปิดเผยว่าใครคือผู้อยู่เบื้อง หลังการทำรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ว่าเป็นประเด็นเก่า แต่ไม่รู้ว่าทำไม พล.ต.สนั่นจึงหยิบยกประเด็น นี้ขึ้นมาพูดในช่วงที่กำลังเข้าสู่กระบวนการปรองดอง

สนธิ-สนั่น-ป๋า?

อย่างไรก็ตาม คำตอบของ พล.อ.สนธิที่ว่า “คำถามบางประการตายแล้วก็ตอบไม่ได้” นั้นแม้ พล.ต.สนั่นจะไม่ติดใจและให้เหตุผลที่ถาม พล.อ.สนธิว่าเพราะต้องการยุติความขัดแย้งทางการเมืองที่วุ่นวายจนถึงปัจจุบัน ซึ่ง พล.อ.บัญชร ชวาลศิลป์ นายทหารใกล้ชิด พล.อ.มงคล อัมพรพิสิฏฐ์ นายทหารคนสนิทของ พล.อ.เปรมก็ยอมรับว่าได้รับมอบหมายจาก พล.อ.มงคลให้โทรศัพท์ไปหา พล.อ.สนธิประมาณปีกว่าๆหลังรัฐประหาร เพราะ พล.อ.เปรมรู้สึกไม่สบายใจที่ประชาชนส่วนใหญ่เข้าใจผิดว่าอยู่เบื้องหลัง แต่ พล.อ.สนธิก็ไม่พูด

แต่ล่าสุด พล.ต.สนั่นก็เห็นด้วยที่สถาบันพระปกเกล้าจะถอนรายงานวิจัยหากยังไม่สมบูรณ์และยังมีความขัดแย้งกันสูง ทั้งอยากให้ พ.ต.ท.ทักษิณใจเย็น ถ้ากลับก็ควรกลับมาอย่างเท่และสง่างาม ซึ่งคนเสื้อแดงเองก็ออกมาเรียกร้องให้สถาบันพระปกเกล้าถอนรายงานวิจัย เพื่อให้มีการค้นหาความจริงเหตุความรุนแรงที่เกิดขึ้นในช่วงกว่า 5 ปีให้ได้ก่อน โดยเฉพาะเหตุการณ์เมษา-พฤษภาอำมหิต

“ป๋า” สัญลักษณ์อำมาตยาธิปไตย

อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ พล.อ.พัลลภเป็นผู้ออกมาเปิดเผยเองว่าเคยร่วมประชุมก่อนรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ที่บ้านนายปีย์ มาลากุล ณ อยุธยา ที่สุขุมวิท ซึ่งมี พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี นายปราโมทย์ นาครทรรพ นักวิชาการที่นำเรื่องปฏิญญาฟินแลนด์มาโจมตี พ.ต.ท.ทักษิณ นายอักขราทร จุฬารัตน ประธานศาลปกครองสูงสุดขณะนั้น นายจรัญ ภักดีธนากุล และนายชาญชัย ลิขิตจิตถะ ประธานศาลฎีกาขณะนั้น ร่วมอยู่ด้วย โดยมีการประชุมกัน 3-4 ครั้ง และพูดคุยถึงรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณว่าจะให้รัฐบาลล้มไปอย่างไร โดยมี 2 แนวทางคือ ทางรัฐธรรมนูญหรือทางกฎหมาย ถ้าแนวทางแรกไม่สำเร็จก็ต้องทำรัฐประหาร

ต่อมานายปีย์ยอมรับว่ามีการเชิญบุคคลดังกล่าว มาที่บ้าน แต่ยืนยันว่าไม่มีการพูดเรื่องรัฐประหาร หรือโค่นล้ม พ.ต.ท.ทักษิณ แต่เป็นการเชิญคนที่สนิทสนมและเพื่อนมารับประทานอาหารที่บ้านเพื่อพูดคุยถึงปัญหาบ้านเมือง ซึ่งทำเป็นปรกติอยู่แล้ว

แต่นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ให้สัมภาษณ์นิตยสาร IMAGE ฉบับเดือนธันวาคม 2549 ระบุว่า พล.อ.เปรมเป็นสัญลักษณ์ของระบอบอำมาตยาธิปไตย และระบอบนี้ก็ไม่ได้หายไปจากสังคมไทย แม้จะมีรัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 ก็ตาม ซึ่งดูได้จากบทบาทของ พล.อ.เปรม

“เราอาจจะพูดว่าระบอบศักดินายืมพลังจากประชาชนโค่นล้มระบอบทักษิณหรือทุนใหม่ก็เป็นไปได้ แต่ผมคิดว่า พล.อ.เปรมไม่ได้เป็นสัญลักษณ์ของการคงอยู่ ของระบอบประชาธิปไตยครึ่งใบ ไม่ได้หมายความว่าไม่มี พล.อ.เปรมแล้วระบอบประชาธิปไตยจะเต็มใบ แต่ เป็นสัญลักษณ์ของฝ่ายอำนาจนิยมหรือระบอบอำมาต ยาธิปไตยที่ยังมีพื้นที่แน่นอนในสังคมการเมืองไทย...วันนี้ก็เห็นโดยพฤตินัยได้อย่างชัดเจนว่า พล.อ.เปรมใช้อำนาจนั้นผ่าน คปค. (คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข) ท่านนั่งบัญชาการอยู่ที่บ้านสี่เสาฯ และไม่มีใครคิดว่าท่านจะกล้าทำ หรือไม่มีใครคิดตอนที่นั่งร่างรัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 ว่าการรัฐประหารครั้งนี้องคมนตรีจะมีส่วนเกี่ยวข้องหรือเปิดเผยขนาดนี้”

คำพูดของนายสุริยะใสแม้จะผ่านมาแล้วหลายปี ขณะที่ พล.อ.เปรมก็เคยตอบคำถามผู้สื่อข่าวที่ให้ยืนยันว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการปฏิวัติรัฐประหารว่า “ผู้สื่อข่าวน่าจะรู้ดีว่าผมไม่ได้ไปเกี่ยวข้อง ต้องรู้อย่างนั้น ผมไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องการเมืองและเรื่องใดๆที่เกี่ยวกับการเมือง”

นอกจากนี้เมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2552 พล.อ. เปรมยังกล่าวกับคณะนักเรียนเก่าวชิราวุธและนัก เรียนเก่าสงขลาที่เข้าพบเพื่อให้กำลังใจที่บ้านสี่เสาเทเวศร์ หลังจากถูก พ.ต.ท.ทักษิณระบุว่าอยู่เบื้องหลังการรัฐประหาร 19 กันยายนว่า ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องและไม่ได้นำนายทหารผู้นำคณะมนตรีความมั่น คงแห่งชาติ (คมช.) เข้าเฝ้าฯ แต่ได้เดินทางไปเข้าเฝ้าฯ เวลาประมาณ 21.00 น. ก่อนหน้า พล.อ.สนธิจะนำผู้นำเหล่าทัพเข้าเฝ้าฯประมาณ 20 นาที เพราะในฐานะประธานองคมนตรีเมื่อทราบว่าเกิดเหตุการณ์ที่ไม่ปรกติของบ้านเมืองจะต้องเข้าไปถวายการรับใช้อยู่แล้ว จึงไม่ได้เกี่ยวข้องกับ คมช.

นอนตายตาสว่าง

อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าฝ่ายทักษิณหรือกลุ่มเกลียดทักษิณต่างเชื่อว่าการปรองดองยากจะเกิดขึ้นตราบใดที่แต่ละฝ่ายยังก้าวไม่ข้าม พ.ต.ท.ทักษิณ หรือยังให้ พ.ต.ท.ทักษิณเป็นศูนย์กลางของปัญหาทั้งหมด แม้แต่นางธิดา ถาวรเศรษฐ์ ประธานกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ก็ออกมาแถลงว่า การปรองดองจะเกิดไม่ได้ถ้าขาดหลักนิติธรรมและความยุติธรรม ถ้าทุกฝ่ายมีความจริงใจในการปรองดอง รวมถึงต้องทำความจริงให้ปรากฏ โดยเฉพาะประชาชนที่ถูกฆ่าตายนับร้อย

นางธิดายังติงรายงานการวิจัยของสถาบันพระปก เกล้าที่วิจัยรากเหง้าของปัญหาความขัดแย้งไม่ถูกต้อง ที่ระบุว่าเกิดจากประชาชนเสียงข้างมาก ถ้าเช่นนั้นบ้าน เมืองก็อยู่ไม่ได้ถ้าคนส่วนใหญ่ไม่มีคุณธรรม ซึ่งสวนทางกับแนวทางการสร้างความปรองดอง และเห็นด้วย หากสถาบันพระปกเกล้าจะถอนรายงานวิจัยกลับไป

ขณะที่นายสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล อาจารย์คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้เขียนวิเคราะห์ บทสัมภาษณ์นายนพดล ปัทมะ ทนายความส่วนตัวของ พ.ต.ท.ทักษิณ และคลิปโฟนอินของ พ.ต.ท.ทัก ษิณกับคนเสื้อแดงเมื่อวันเสาร์ที่ 24 มีนาคมที่ผ่านมาว่า ต้อง “อ่านระหว่างบรรทัด” หรือดูที่นัยที่ไม่ได้พูดออกมาตรงๆ ที่ตนสรุปรวบยอด “วิธีคิด” เรื่อง “ยุทธ ศาสตร์ปรองดอง” ของ พ.ต.ท.ทักษิณได้ชัดเจนมากๆคือ ทำอย่างไรที่จะให้เกิด “ความไว้วางใจของฝ่ายอนุรักษ์นิยมหรือคนที่มีอำนาจในสังคม”

เพราะไม่มีการแตะต้องแม้แต่มาตรา 112 เรื่องการ โยกย้ายทหาร หรือกรณีนักโทษ 112 หรือนักโทษเสื้อแดง ธรรมดาๆที่ไม่ไป “ก้าวก่าย” อำนาจศาลเรื่องประกัน

“ถึงที่สุดแล้วสิ่งที่มวลชนคนเสื้อแดงและผู้รักประชาธิปไตยควรตั้งคำถามกับคุณทักษิณ และ นปช. กับเพื่อไทยคือ “ยุทธศาสตร์” หรือ “วิธีคิด” นี้มีจุดเริ่มต้นมาจากอะไร? จากเอาคุณทักษิณกลับบ้านเป็นอันดับหนึ่ง (priority) หรือจากการพยายามช่วยเหลือคนเสื้อแดงที่เดือดร้อนอยู่เป็นอันดับหนึ่ง”

นายสมศักดิ์ยังระบุการโฟนอิน 2 ครั้งของ พ.ต.ท. ทักษิณที่ว่า “ผมเป็นผู้ที่ถูกกระทบเยอะที่สุด” ซึ่งพยา ยามชวนให้คนที่ยังติดใจ คับแค้นใจต่อความยุติธรรมยอม “กลืนเลือด” ให้อภัยเหมือนที่ พ.ต.ท.ทักษิณเอง “ถูกกระทำเยอะที่สุด” ยังสามารถ “ให้อภัย” ได้ ซึ่งนายสมศักดิ์เคยเขียนไปหลายครั้งแล้วว่าวิธีคิดเช่นนี้ไม่ถูกต้อง เพราะคนที่เดือดร้อนที่สุดจริงๆในขณะนี้คือ คนที่ติดคุกและญาติมิตรของคนที่ตายไป

นายสมศักดิ์จึงสรุปว่า ยุทธศาสตร์ของพรรคเพื่อไทยคือต้องทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณกลับให้ได้ก่อน เรื่องอื่นๆค่อยว่ากันทีหลัง ทั้งที่รัฐบาลมี priority (จัด ความสำคัญ) ที่จะช่วยคนเสื้อแดงที่ติดคุกจากเหตุการณ์ความรุนแรงและคดีมาตรา 112 ได้ ซึ่งไม่ต่างกับที่ พล.ต.สนั่นถาม พล.อ.สนธิแล้วตอบเอง ทั้งที่ พล.อ.สนธิไม่ตอบว่า “ใครอยู่เบื้องหลังรัฐประหาร” แต่ให้ไปรออ่านหนังสือเบื้องหลังรัฐประหารที่จะพิมพ์แจกในงานศพที่ทำไว้เรียบร้อยแล้ว ซึ่ง พล.ต.สนั่นเองก็ต้องตอบด้วยว่า “ใครสั่งให้มาถาม”?

แทนที่จะค้นหา “ความจริง” ประชาชนที่ถูกฆ่าอย่างโหดเหี้ยมเลือดเย็นไปเกือบร้อยศพเพื่อเอาคนผิดมาลงโทษ และ เริ่มต้นสู่การปรองดอง เพราะวันนี้ไม่ ใช่แค่ “คนตายยังนอนตาไม่หลับ” เท่า นั้น แต่คนเหล่านั้นเขากำลัง “นอนตาย ตาสว่าง” กันอยู่!

ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ทบทวน 10 ปี นโยบายอาสาสมัครในประเทศไทย มืออาชีพ หรือสมัครเล่น !!?

งานอาสาสมัครนั้นอยู่ในประเทศไทยมาอย่างยาวนาน มีหลักฐานที่พอจะอ้างอิงได้ย้อนหลังก็คือเมื่อครั้งต้นทศวรรษ 2510 อ.ป๋วย อึ้งภากรณ์ได้จัดตั้งสำนักบัณฑิตอาสาสมัคร ขึ้นในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดยหวังว่านักศึกษาจะได้เข้าใจวิถีชีวิตของคนในชนบท ร่วมพัฒนาและทำความเข้าใจกับสังคมไทยให้มากกว่าในรั้วมหาวิทยาลัย

แต่งานอาสาสมัครไทยได้การรับรองอย่างเป็นทางการในปี 2544 โดยคณะรัฐมนตรีของพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตรลงนามในนาม”ปฏิญญาอาสาสมัครไทย” โดยมีจุดมุ่งหมายสร้างความเข้มแข็งให้กับบทบาทงานอาสาสมัครในทุกภาคส่วนเพื่อประโยชน์ของสาธารณะ โดยจัดให้มีอบรมอาสาสมัครในระดับภูมิภาคต่างๆและศูนย์อาสาสมัคร งานอาสาสมัครส่วนใหญ่จะถูกถ่ายโอนไปอยู่ในอำนาจของกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และในปี2547 ได้มีการบรรจุให้การมี”จิตสาธารณะ”เป็นส่วนหนึ่งของร่างมาตรฐานการศึกษาของชาติ และในปีเดียวกันเกิดเหตุการณ์สึนามิเราได้เห็นพลังของอาสาสมัครจากทั่วทุกมุมโลกที่เข้ามาทำงานในพื้นที่ประสบภัย

ต่อมาในปี 2550 รัฐบาลของพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ มีมติประกาศให้ปีดังกล่าวเป็นปีแห่งการให้และการอาสาช่วยเหลือสังคม และผลักดันอาสาสมัครเป็นวาระแห่งชาติ โดยมีการกำหนดว่าข้าราชการและเจ้าหน้าที่รัฐสามารถลาไปทำงานอาสาสมัครได้ปีละ 5 วันโดยไม่คิดวันลา ความสำเร็จในครั้งนั้นเกิดจากการผลักดันของ นาย ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์

ในระดับมหภาคเรื่องของงานอาสาสมัครถูกบรรจุให้เป็นส่วนหนึ่งของแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 10 ที่ใช้ในปี 2550 – 2554 โดยยึดคนเป็นศูนย์กลางของการพัฒนา โดยกำหนดแนวทางในการพัฒนาเด็กและเยาวชนของชาติให้มีจิตใจดีงาม อยู่ในกรอบของศีลธรรมและมีจิตสำนึกสาธารณะ ซึ่งถูกนำไปบูรณาการในการดำเนินนโยบายต่างๆ

หากมองในเชิงโครงสร้างนโยบายโดยรวมอาจจะฟังดูดี แต่ในเชิงปฏิบัติจริงยังคงมีปัญหาอยู่บ้าง ด้วยกรอบความคิดแบบไทยๆในบางครั้งเราก็จะยึดติดกับเรื่องของการทำความดี โดยคิดว่าอาสาสมัครนั้นเป็นการทำดี หรือการเป็นผู้ให้ที่มีความรู้สึกว่าเหนือกว่าผู้รับ ซึ่งในต่างประเทศจะเรียกพวกคนเหล่านี้ว่า “philanthropist” หรือ ผู้อุทิศให้ ไม่ใช่อาสาสมัคร หรือ volunteer ที่จะเป็นผู้ที่น้อมตัวให้ต่ำแล้วทำงานเพื่อส่วนรวมโดยไม่ได้คาดหวังสิ่งตอบแทนเป็นเบื้องต้น

ประเทศไทยเราก็มีวันอาสาสมัคร คือวันที่ 21 ตุลาคม ของทุกปีเป็น”วันอาสาสมัครไทย” ซึ่งตั้งขึ้นในวาระวันพระราชสมภพสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี หรือสมเด็จย่า ส่วนวันที่ 5 ธันวาคมนั้นถือว่าเป็น “วันอาสาสมัครโลก” ซึ่งบังเอิญตรงกับวันเฉลิมพระชนพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชด้วย เมื่อปี 2554 เพิ่งมีการเฉลิมฉลอง 10ปีปฏิญญาอาสาสมัครสากลขององค์การสหประชาชาติไปซึ่งตรงกับช่วงที่ประสบอุทกภัยใหญ่พอดี

หลายๆคนอาจคิดว่างานอาสาสมัครนั้นจะร่วมมือกันได้จะต้องเกิดปัญหาใหญ่เสียก่อนทั้งวิกฤตการเมืองหรือภัยธรรมชาติ จริงๆแล้ในต่างประเทศอาสาสมัครในเวลาปรกตินั้นมีจำนวนมาก ประเทศเกาหลีใต้มีศูนย์อาสาสมัครอยู่ในทุกเมือง ให้ความช่วยเรือตั้งแต่เรื่องเล็กน้อย เช่น การซ่อมแซมอุปกรณ์ไฟฟ้าหรือช่วยขนของย้ายบ้าน ประเทศไต้หวันแฟชั่นของวัยรุ่นที่นั่นก็คือการออกทำงานอาสาสมัคร และในบางประเทศงานอาสาสมัครถูกคิดคำนวนเป็นส่วนหนึ่งของจีดีพี



อาสาสมัครอิสระ กลไกที่รัฐไม่เข้าใจ - ขอบคุณภาพจากเครือข่ายจิตอาสา
อาสาสมัครอิสระ กลไกที่รัฐไม่เข้าใจ - ขอบคุณภาพจากเครือข่ายจิตอาสา
อุปสรรคในประเทศไทยนอกจากปัญหาเชิงทัศนคติที่คิดว่างานอาสาสมัครเป็นแค่การทำดีต่อผู้ด้อยกว่าแล้ว กลไกของรัฐบาลบางอย่างก็ไม่อำนวยต่อการดำเนินกิจกรรมดังกล่าวเช่น การลาให้ข้าราชการไปทำงานอาสาสมัครได้นั้น ในความเป็นจริงหลายๆองค์กรก็ไม่ให้ลา แต่ในทางตรงกันข้ามเมื่อหัวหน้างานลาพวกข้าราชการชั้นผู้น้อยก็ลากันตามไปเป็นพรวนๆ หรือการนิยามองค์กรสาธารณะประโยชน์หรือองค์กรอาสาสมัครของรัฐนั้นเน้นไปที่หน่วยงานภายใต้สังกัดของรัฐบาลหรือที่ถูกขึ้นทะเบียนโดยรัฐบาลเท่านั้น ทั้งที่งานอาสาสมัครส่วนใหญ่ในต่างประเทศจะเน้นกลไกที่มาจากภาคประชาชน หลายครั้งหน่วยงานรัฐที่ต้องมารับผิดชอบดังกล่าวและมีงบประมาณที่ชัดเจนก็เกิดการทุจริตเสียเองและกีดกันการร่วมมือกับหน่วยงานภายนอก ยกตัวอย่างเช่น ในสองรัฐบาลที่ผ่านมาเกิดปัญหาเมื่อ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) สังกัดกระทรวงมหาดไทยเกิดการทุจริตงบถุงยังชีพในช่วงน้ำท่วม

ได้เวลาที่ต้องฝากโจทย์ไปยังภาครัฐว่าจะทำอย่างไรที่จะส่งเสริมกลไกอาสาสมัครอย่างเป็นระบบ ไม่ใช่เพียงแต่เป็นนโยบายเฉพาะกิจหรือไปสังกัดอยู่ภายใต้กระทรวงต่างๆที่มีกลไกค่อนข้างแข็งตัวแทนที่จะกระจายทรัพยากรออกไปยังภาคส่วนต่างๆรวมไปถึงอำนวยความสะดวกในการทำกิจกรรมอาสาสมัคร ไม่เช่นนั้นเมื่อยามภัยมางานอาสาสมัครก็ต้องเริ่มนับหนึ่งใหม่อยู่เสมอๆ

ที่มา:Siam Intelligence Unit
////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันจันทร์ที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2555

แม่เลี้ยงติ๊ก ท้า ธาริต. ไม่เกี่ยวซูโด อดีต รมต.ยุคุ้ยต้นตอ แฉอีก 4 รพ.กรุงมีพิรุธ !!?

พสิษฐ์.เผยมีอีก 4 รพ.ใน กทม.-ปริมณฑลต้องสงสัยเอี่ยวขบวนการยักยอกซูโด เตรียมลงพื้นที่ตรวจสอบ ยัน′วชิรพยาบาล′เคลียร์แล้ว ไม่พบผิดปกติ

นายพสิษฐ์ ศักดาณรงค์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ในฐานะประธานคณะทำงานป้องกันปราบปราม ฟื้นฟูและเยียวยาด้านยาเสพติด สธ. กล่าวถึงกรณีที่นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ระบุว่าพบความเชื่อมโยงไปถึงอดีตรัฐมนตรีว่าการ สธ. มีส่วนเกี่ยวข้องกับกรณียาแก้หวัดสูตรผสมซูโดอีเฟดรีนว่า ที่นาย ธาริตระบุชัดออกมาเช่นนั้น ก็เป็นสิ่งที่ชัดเจนแล้วว่าเป็นหนึ่งในรายชื่อที่อยู่ในข้อมูลลับที่ทางคณะทำงานมอบให้กับนายธาริตขอที่จะไม่พูดถึงเรื่องรายชื่อดังกล่าว เพราะถือว่าอยู่ในอำนาจการสอบสวนของทางดีเอสไอ ขณะเดียวกันเมื่อวันที่ 30 มีนาคม ยังได้มอบข้อมูลชุดเดียวกันกับที่มอบให้ดีเอสไอส่งเป็นเอกสารประทับตราลับมากส่งไปยังนายวิทยา บุรณศิริ รัฐมนตรีว่าการ สธ. และ ร.ต.อ. เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรีแล้ว

นายพสิษฐ์กล่าวว่า ในส่วนข้อมูลที่คณะทำงานพบว่าโรงพยาบาล (รพ.) วชิรพยาบาล อยู่ในข่ายที่ควรเข้าไปตรวจสอบเรื่องการเบิกจ่ายยาแก้หวัดสูตรผสมซูโดอีเฟดรีนนั้น ยอมรับว่าข้อมูลที่คณะทำงานตรวจสอบมาครั้งแรกมีชื่อ รพ.วชิรพยาบาล อยู่ในจำนวน 20 รายชื่อ ที่คณะทำงานเห็นว่าอาจจะเข้าข่าย และน่าสงสัย แต่เมื่อค่ำวันที่ 31 มีนาคม คณะทำงานนำรายชื่อทั้ง 20 โรงพยาบาลมาตรวจสอบในเชิงลึกอีกครั้งก่อนจะลงพื้นที่ตรวจสอบ พบว่ามี 16 โรงพยาบาล ที่ไม่อยู่ในข่ายที่ควรลงไปตรวจสอบ ซึ่งหนึ่งใน 16 โรงพยาบาลนั้นมี รพ.วชิรพยาบลรวมอยู่ด้วย ส่วนที่เหลืออีก 4 โรงพยาบาลนั้นคณะ ทำงานพบข้อมูลที่น่าเชื่อถือได้ว่าเข่าข่ายที่ควรจะต้องไปตรวจสอบ ซึ่งเป็นโรงพยาบาลที่อยู่ในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล และจะลงพื้นที่ตรวจสอบในเร็วๆ นี้

นายวิทยา แก้วภราดัย ส.ส.นครศรี ธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) และอดีตรัฐมนตรีว่าการ สธ. กล่าวถึงกรณีที่นายธาริตเปิดเผยข้อมูลที่ได้รับจากนายพสิษฐ์ ว่ามีอดีตรัฐมนตรี สธ.บางคนเกี่ยวข้องกับขบวนการลักลอบนำยาแก้หวัดซูโดอีเฟดรีน ออกจาก รพ.ต่างๆ ว่า อยากให้กำลังใจนายธาริต ในการหาข้อเท็จจริงให้ได้ อย่าหยุดนิ่งให้ค้นหาต่อไปกระทั่งถึงตัวผู้กระทำผิดจริงๆ เพราะยาเสพติดเป็นเรื่องใหญ่ ต้องรู้ให้ได้ว่าใครเกี่ยวข้องบ้าง อย่างไรก็ตาม ไม่อยากให้มีการจับแพะชนแกะ อ้างลอยๆ ว่ามีอดีตรัฐมนตรี สธ.เกี่ยวข้อง เพราะคนอาจจะคิดว่าเป็นคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ร.ต.อ. เฉลิม อยู่บำรุง หรือนายชวรัตน์ ชาญวีรกูล ส่วนตนเชื่อว่าแทบไม่มีใครจำได้ว่าไปเป็นรัฐมนตรีว่าการ สธ.เมื่อไร

"อดีตรัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุข มีบางคนถูกศาลพิพากษา บางคนก็ยังมีคดีอยู่ในศาล อย่างเรื่องคอมพิวเตอร์ฉาว จึง ไม่อยากให้มีการกล่าวอ้างลอยๆ" นายวิทยากล่าว

ด้านนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ กล่าวว่า ในวันที่ 2 เมษายน ดีเอสไอ ประชุมคณะทำงานร่วมกันครั้งแรกภายหลังรับคดีลักลอบนำสารซูโดอีเฟดรีน ไปเป็นสารตั้งต้นผลิตยาเสพติดเพื่อกำหนดหลักเกณฑ์การทำงานร่วมกัน โดยจะแบ่งชุดการทำงานเป็นหลายชุด ทั้งชุดสืบสวนหลัก ชุดสอบสวนหลัก คาดว่าชุดการสืบสอบสวนจะแบ่งตามพื้นที่ สภ.ที่เกิดเหตุ ส่วนการทำงานของหน่วยงานอื่นๆ ต้องหารือในข้อกฎหมายว่าจะทำอะไรได้บ้าง

นายธาริตกล่าวว่า นอกจากนี้ตนและ น.ส.สุภา ปิยะจิตติ รองปลัดกระทรวงการคลัง หัวหน้ากลุ่มภารกิจด้านรายจ่ายและหนี้สิน จะแถลงข่าวการทุจริตการเบิกจ่ายยาออกจากระบบสาธารณสุขด้วย

รายงานข่าวจาก ดีเอสไอ แจ้งว่า หลังจากรับคดีซูโดอีเฟดรีนเป็นคดีพิเศษ และได้รับข้อมูลลับเป็นตัวอักษรย่อและหมายเลขโทรศัพท์มือถือ ของผู้ที่อาจมีส่วนเกี่ยวข้อง และรับผลประโยชน์จากยาแก้หวัดที่มีสาร ซูโดอีเฟดรีนเป็นส่วนผสมหลักที่หายไปจากโรงพยาบาล จากนายพสิษฐ์ ศักดาณรงค์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการ สธ.แล้ว ดีเอสไออยู่ระหว่างตรวจสอบการโทรศัพท์ของบุคคลที่มีชื่อปรากฏว่า มีการติดต่อใครบ้าง และเชื่อมโยงเป็นเครือข่ายอย่างไร รวมถึงการติดต่อระหว่างผู้ที่มีชื่อปรากฏอยู่ในข้อมูลนายพสิษฐ์ด้วยกันเองว่า มีการติดต่อกันบ้างหรือไม่ ทั้งนี้ เบื้องต้นจากการตรวจสอบหมายเลขโทรศัพท์มือถือของคนชื่อ ป. ไม่พบความผิดปกติแต่อย่างใด มีข้อมูลเพียงเป็นผู้ที่ทำงานกับ

ข้าราชการประจำระดับสูงมายาวนาน และเคยเดินทางไปต่างประเทศร่วมคณะเดียวกัน แต่ไม่พบความผิดปกติทั้งในแง่ความสัมพันธ์ และความเชื่อมโยงกับซูโดอีเฟดรีน

วันเดียวกัน ที่ จ.เชียงใหม่ นพ.สมชัย ภิญโญพรพาณิชย์ อธิบดีกรมสนับสนุน บริการสุขภาพ กล่าวว่า ในฐานะที่ดูแล โรงพยาบาลเอกชนและคลินิกทั่วประเทศ พบว่าโรงพยาบาลนวมินทร์ 1-9 และคลินิกตรวจสอบยาซูโดอีเฟดรีนที่ใช้ไม่ตรงกัน 900,000 เม็ด ซึ่งโรงพยาบาลต้องหาหลักฐานมายืนยันว่ามีการสั่งยาและใช้ยาจริงหรือไม่ หากใช้ยาจริงก็ไม่มีอะไร ซึ่งกรมจะร่วมกับองค์การอาหารและยา (อย.) และดีเอสไอ จะสนธิกำลังในวันที่ 2 เมษายน เข้าตรวจสอบที่มาและข้อมูล โดยเฉพาะตัวยา ที่มีความคลาดเคลื่อนของตัวเลข

"หากมีหลักฐานการสั่งยาใช้ยาจริงก็ไม่ว่ากัน ทุกอย่างตรวจสอบได้ หากมีประเด็นข้อสงสัย ดีเอสไอก็จะดำเนินการต่อ ส่วนกรม จะส่งหลักฐานต่างๆ ให้กระทรวงสาธารณสุข ไปให้ดีเอสไอสืบสวนและดำเนินคดีอาญา" นพ.สมชัยกล่าว

ที่มา: มติชนออนไลน์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันอาทิตย์ที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2555

ใบตองแห้ง ออนไลน์: เสรีภาพ เนรคุณ !!?

ใบตองแห้ง
1 เมษายน 2555

เมื่อวันพุธ มีข่าวที่ทำให้ผมหัวร่อแทบตกเก้าอี้ นั่นคือ 5 สถาบันทางวิชาการ จัดแถลงภารกิจ ขยายพื้นที่เสรีภาพให้กับสังคมไทย เนื่องใน 80 ปีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 และ 40 ปี เหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516

รายชื่อ 5 สถาบันที่ประโคมข่าวกันยิ่งใหญ่ (โดยเฉพาะไทยรัฐเอาไปเขียนบทวิเคราะห์ อิอิ) ได้แก่ สถาบันสัญญา ธรรมศักดิ์ เพื่อประชาธิปไตย มธ. ซึ่งมีศาสตราจารย์วิธีพิเศษ ธีรยุทธ บุญมี เป็นผู้อำนวยการ สถาบันพระปกเกล้า ศาสตราจารย์กิตติคุณ บวรศักดิ์ อุวรรณโณ เป็นเลขาธิการ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) รศ.ดร.นิพนธ์ พัวพงศกร เป็นประธาน สถาบันวิจัยสังคม จุฬาฯ ศาสตราจารย์สุริชัย หวันแก้ว เป็นที่ปรึกษา และสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย โดยชวรงค์ ลิมป์ปัทมปาณี นายกสมาคม

เสียดายที่ผมไม่รู้หมายล่วงหน้า ไม่งั้นจะไปนั่งหัวร่อเป็นบ้าเป็นหลังอยู่คนเดียวในห้องประชุม ให้คนอื่นประหลาดใจ อะไรวะ นักวิชาการท่านพูดแต่เนื้อหาดีๆ มีที่ไหนมานั่งหัวร่อ

แน่นอนครับ เนื้อหาที่พูดล้วนมธุรสวาจาทั้งสิ้น แต่ก็ไม่ต่างอะไรกับพรรคประชาธิปัตย์จัดงาน “จับมือรวมพลัง ออกแบบประเทศไทย” คุยว่าสู้กับเผด็จการ อุดมการณ์ไม่เคยเปลี่ยน (เผด็จการทุนผูกขาด ไม่ใช่เผด็การทหาร กร๊าก!) ชูคำขวัญ ก้าวข้ามนักการเมือง คืนกระสุน-เอ๊ย คืนการเมืองให้ประชาชน

นักวิชาการที่มาร่วมภารกิจ “ขยายพื้นที่เสรีภาพ” นี้ก็เช่นกัน ถามว่าที่ผ่านมาท่านได้ขยายพื้นที่เสรีภาพหรือไม่ หรือกลายเป็นฝ่ายจำกัดพื้นที่เสียเอง ประเด็นเสรีภาพทางวิชาการที่เพิ่งร้อนแรงยังไม่จางหายไป คือกรณี อ.วรเจตน์ ภาคีรัตน์ กับนิติราษฎร์ เสนอแก้ไขมาตรา 112 และกรอบแก้ไขรัฐธรรมนูญ แล้วถูกปลุกความเกลียดชังจนถูกทำร้าย

ผมไม่เห็น 5 สถาบันที่ว่าออกมาปกป้องเสรีภาพของ อ.วรเจตน์กับนิติราษฎร์เลย การแถลงครั้งนี้ก็ไม่พูดถึง แต่ประชาชนเขายังจำได้ อ.บวรศักดิ์ไม่ใช่หรือที่โจมตี อ.วรเจตน์ว่า “เนรคุณ” ทุนอานันทมหิดล

แล้วถ้าพูดในหลักการ มันยิ่งเลอะเข้าไปใหญ่ อ.บวรศักดิ์ไม่ใช่หรือ ที่เป็นเนติบริกรให้ทักษิณครั้งเหลิงอำนาจ ครั้นนายเก่าจวนตัว บวรศักดิ์-วิษณุ ได้สัญญาณ ก็โดดเรือหนี พอรัฐประหารก็เข้าไปช่วยร่างรัฐธรรมนูญชั่วคราว เสร็จสรรพก็เป็น สนช.เป็นเลขาธิการสถาบันพระปกเกล้า

ถามว่าตอนร่างกฎหมายให้ทักษิณ ร่างรัฐธรรมนูญให้รัฐประหาร ท่านเคยสนใจ “พื้นที่เสรีภาพ” ไหม เพิ่งมาตอนสถาบันพระปกเกล้ารับงานวิจัยปรองดองของบิ๊กบังนี่แหละ ที่ถูกฝ่ายค้านกับสื่อรุมกระหน่ำเสียจนต้องร้องขอ “พื้นที่เสรีภาพ”

เช่นกัน 5 ปีที่ผ่านมา ธีรยุทธ บุญมี เคยเรียกหา “พื้นที่เสรีภาพ” บ้างไหม (เสรีภาพมี แต่พอดีหายใจขัด ฮิฮิ) ในยุครัฐประหาร ในยุคสื่อและนักวิชาการเลือกข้าง ธีรยุทธเคยปกป้องพื้นที่เสรีภาพของเสียงข้างน้อยไหม ธีรยุทธคือผู้เรียกหา “ตุลาการภิวัตน์” โดยหวังจะใช้อำนาจที่ตรวจสอบไม่ได้ อำนาจที่ปิดกั้นเสรีภาพในการวิพากษ์วิจารณ์ มาจัดการกับความขัดแย้งทางการเมือง มาถึงตอนนี้ เมื่อเห็นก๊กเล่าปี่จะแพ้ กลับออกมาเรียกร้องหา “พื้นที่เสรีภาพ”

ทีดีอาร์ไอที่จริงก็มีนักวิชาการหลากหลาย เข้าท่าเข้าทีก็หลายท่าน แต่ภาพลักษณ์โดยรวมกลับเป็นสถาบันเศรษฐศาสตร์สำนักอนุรักษ์นิยม แบบอะไรที่เป็นประชานิยม เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ ต้องเลวร้ายหมด มุ่งต่อต้านทุนสามานย์ แต่เลือกเฉพาะกลุ่ม ทำเป็นไม่เห็นกลุ่มทุนเก่า

แล้วที่สำคัญ จะจงใจหรือไม่ก็ไม่ทราบ แต่งานวิจัยของทีดีอาร์ไอหลายชิ้นกลายเป็นอาวุธทางการเมือง (หรือแม้แต่เป็นคำพิพากษา ในคดียึดทรัพย์ทักษิณ ซึ่ง คตส.ว่าตามงานวิจัยของ ดร.สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ เกือบทั้งดุ้น)

เมื่อตอนพรรคเพื่อไทยชนะเลือกตั้งมาใหม่ๆ ดร.นิพนธ์ พัวพงศกร ไปให้สัมภาษณ์ศูนย์ข่าวอิศรา “ประธานทีดีอาร์ไอเปิดหลุมพรางพรรคเพื่อไทยปูทางสู่การเมืองพรรคเดียว” บอกว่าการที่รัฐบาลมีนโยบายบ้านหลังแรก รถคันแรก เงินเดือน 15,000 หวังผลทางการเมือง ชนะใจคนชั้นล่างแล้ว ก็จะมาชนะใจคนชั้นกลางบ้าง เป็นความต้องการครอบงำการเมืองไทย

แถมท่านยังบอกว่าการที่รัฐบาลมีเกิน 300 เสียง อำนาจต่างๆ ก็จะถูกครอบงำ ประชาธิปไตยที่แข็งแรง 2 พรรคต้องสูสีกัน ผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะ ถ้าพรรคเดียวครอบงำ จะเป็นประชาธิปไตยเผด็จการ

อุ๊บ๊ะ ก็อีกพรรคมันขี้แพ้แล้วจะมาโทษกันได้ไง นึ่หรือความคิดคนระดับประธานทีดีอาร์ไอ ผมเคยด่าไว้เรียบร้อยแล้ว “ที่สุดแห่งความเลอะเทอะ” ใครก็ได้ช่วยบอกท่านเปิดดูที http://www.voicetv.co.th/blog/432.html เพราะถ้าทัศนะเรื่องประชาธิปไตยเรื่องเผด็จการท่านมีปัญหาอย่างนี้ ทัศนะต่อเสรีภาพของท่าน ก็คงพิกลเช่นกัน

สมาคมนักข่าวฯ น่าจะมาในฐานะตัวแทนองค์กรวิชาชีพสื่อ ซึ่ง 5 ปีที่ผ่านมา สื่อกระแสหลักขยายพื้นที่เสรีภาพ หรือปิดกั้นเสรีภาพ ก็พิสูจน์ให้เห็นแล้ว ตอนนี้ต้องหันมาปรับตัวกันวุ่นวาย พยายามรักษาความเป็นอภิสิทธิ์ชนเอาไว้สุดฤทธิ์

ขี้เกียจย้อนอดีตให้มากมาย เอาแค่กรณีนิติราษฎร์ อ.วรเจตน์ถูกผู้จัดการรายสัปดาห์เอาหน้าไปแปะภาพลิงขึ้นปกเป็น “วรเจี๊ยก” องค์กรวิชาชีพสื่อมีใครวิพากษ์วิจารณ์บ้างไหมว่านั่นเป็นการกระทำที่เลวร้าย ดูหมิ่นเหยียดหยาม ทำลายความเป็นคน ให้ผู้อ่านรู้สึกว่าต่ำทราม ช่วยกันดูถูกเหยียดหยามได้ในเฟซบุค แม้เมื่อ อ.วรเจตน์ถูกชก

ทีกนก รัตน์วงศ์สกุล โดนมวลชนรวมตัวกันไปแสดงความไม่พอใจ (แน่นอนไม่ได้ไปพับเพียบขอความกรุณาสื่อ) สื่อทั้งหลายจะเป็นจะตายเสียให้ได้ นายกสมาคมนักข่าววิทยุโทรทัศน์อ้างว่า “กึ่งคุกคาม”

หรือสมาคมฯ จะบอกว่าไม่เป็นไร กรรมสนองผู้จัดการรายสัปดาห์ ต้องปิดตัวเองไปแล้ว พร้อมสื่อในเครือผู้จัดการหลายฉบับ โดยต้องปลดพนักงาน 600 คน (ได้ค่าชดเชยเต็มเม็ดเต็มหน่วย สุรวิชช์ วีรวรรณ ฝากชี้แจง)

เห็นจะมีแต่ อ.สุริชัย หวันแก้ว กับสถาบันวิจัยสังคม จุฬาฯ กระมัง ที่ยังคู่ควรกับการเรียกร้อง “ขยายพื้นที่เสรีภาพ” (ถึงแม้อาจารย์แกจะหลวมตัวไปเป็น สนช.แต่ก็ชิงลาออกช่วงที่เลอะเทอะกันตอนท้าย หลังจากนั้นก็พยายามจะถอยออกมาเป็นสีขาว)

สาระของข่าวนี้ไปอยู่ที่คำพูดของ อ.ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ เสียมากกว่า ที่ท่านบอกว่านักวิชาการควรเสนอความจริง ไม่ควรมีค่าเชิงตัดสิน (โห เขาเอาไปเป็นคำพิพากษาเลยอาจารย์) ไม่ควรคิดว่าตัวเองถูกต้องเสมอไป และอย่าเอาศีลธรรมมาจำกัดเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น

ขณะที่ อ.อรรถจักร์ สัตยานุรักษ์ แถมให้ว่า สิ่งที่สถาบันทั้ง 5 ควรทำคือ ต้องเป็นสถาบันที่ถูกตรวจสอบได้ด้วย เพราะทุกความคิดต้องอยู่ในความโปร่งใส ต้องดีเบตชุดความคิดที่เสนอ เพื่อให้ข้อเสนออยู่ได้ มีความเข้มแข็ง ไม่ล้มหรือทำอันตรายต่อใคร

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ช่วงนี้อย่าไว้ใจใครที่ออกมาพูดเรื่องดีๆ อำพราง เพราะบ้างก็อยากรักษาสถานะ ในกระแสที่เปลี่ยนไป บ้างก็จวนตัวกลายเป็นเสียงข้างน้อย ต้องเรียกร้องพื้นที่เสรีภาพ

คล้ายกับภาคีเครือข่ายต้านคอรัปชั่นนั่นละครับ เนื้อหาสาระดูดีไปหมด แต่ตัวองค์กรและบุคคลที่ร่วมก่อตั้ง ผมตะหงิดๆ ไม่เคยไว้วางใจเลย มีอะไรอำพรางหรือเปล่า

นิติศาสตร์หรือเทววิทยา

อ่านพุทธิพงศ์ พงศ์อเนกกุล ตรวจข้อสอบ รศ.ดร.วิจิตรา (ฟุ้งลัดดา) วิเชียรชม เรื่อง “นายสุรเจต” กับ “นิติโรส” แล้วมันส์มากครับ พุฒิพงศ์บอกด้วยว่านี่ไม่ใช่ความเห็นต่าง แต่เป็นการชี้ถูกผิด เอาละสิ คณะนิติศาสตร์ มธ.จะถือเอาคำตอบของใคร ถ้าเผื่อมีนักศึกษาตอบไปอย่างพุทธิพงศ์ แล้ว รศ.ดร.ท่านไม่ให้คะแนน นักศึกษาต้องประท้วงนะครับ

ผมเห็นว่าคณะนิติศาสตร์จะปล่อยให้เกิดความคลุมเครือทางวิชาการไม่ได้ คำตอบต้องมีเพียงหนึ่งเดียว ที่ถูกต้อง ชัดเจน ไม่งั้นนักศึกษาสับสนกันหมด คณะจะทำการเรียนการสอนกันต่อไปได้อย่างไร เมื่อ รศ.ดร.ออกข้อสอบแล้วมีนักศึกษาปี 4 แย้งคำตอบ แถมแย้งอย่างมีเหตุผลน่าฟังเสียด้วย

คณะนิติศาสตร์ต้องจัดประชุมใหญ่นะครับ ให้คณาจารย์ลงมติว่า ธงคำตอบของใครถูกต้องกันแน่ เพื่อเป็นบรรทัดฐานต่อไป

ต้องซูฮกอาจารย์พุทธิพงศ์ เพราะผมอ่านคำตอบข้อ 1 ถึง 3 ไม่ยักจับจุดทางนิติศาสตร์ได้ คนรู้กฎหมายงูๆ ปลาๆ อย่างผมยังหลงคิดว่าถูกแล้ว แม้กังขาอยู่ในเรื่อง agenda ว่าทำไมเอากรณี “นิติโรส” มาถาม

แต่ที่ผมอ่านแล้วสะดุดกึกทันทีคือข้อ 4 นายสุรเจตต้องการให้องค์กรศาลได้รับการตรวจสอบจากผู้แทนของประชาชน แล้ว รศ.ดร.ท่านถามว่า สอดคล้องกับหลักอิสระของผู้พิพากษาอันเป็นหลักย่อยหลักหนึ่งของหลักนิติรัฐหรือไม่ โดยมีธงคำตอบว่า “ขัดหลักนิติรัฐเพราะแทรกแซงอำนาจตุลาการ ส่งผลให้เกิดความไม่เป็นธรรมและก่อความไม่สงบสุขในบ้านเมือง”

นี่เอาง่ายๆ ไม่ตีความโดยละเอียดเหมือนพุทธิพงษ์ การที่องค์กรศาลถูกตรวจสอบจากผู้แทนประชาชน ถือว่าขัดหลักนิติรัฐ แทรกแซงอำนาจตุลาการ อย่างนั้นหรือครับ ท่านเรียนที่ไหนมา ท่านไม่รู้หรือว่า อเมริกาประธานาธิบดีเสนอชื่อศาลสูง วุฒิสภาให้ความเห็นชอบ อเมริกาไม่มีหลักนิติรัฐ แทรกแซงอำนาจตุลาการ อย่างนั้นหรือ (ที่จริงเขาเลือกตั้งผู้พิพากษาด้วยซ้ำ) อังกฤษก็มีรัฐมนตรียุติธรรมเป็นประธานศาลฎีกาโดยตำแหน่ง ไม่ต้องแยกออกมาเหมือนบ้านเรา ไม่เห็นมีใครว่าเขาขัดหลักนิติรัฐ

ต่อให้ท่านจบ ดร.เมืองไทย ท่านไม่รู้หรือว่า ตุลาการศาลปกครองสูงสุด ต้องผ่านความเห็นชอบจากวุฒิสภา เริ่มมาตั้งแต่รัฐธรรมนูญ 40 สมัยวุฒิเลือกตั้ง สภาผัวสภาเมียนั่นแหละ

ทัศนะของท่านคืออะไร คือผู้พิพากษาตุลาการต้องเป็นเจ้ากรมอิสระ ไม่มีใครตรวจสอบได้ เพราะท่านเป็นผู้วิเศษ เป็นคนดีโดยตำแหน่ง ห้ามผู้แทนประชาชนตรวจสอบ อย่างนั้นหรือ

นี่หรือคือหลักนิติรัฐ เป็นอาจารย์กฎหมายเคยเรียนหลักการประชาธิปไตยเบื้องต้นหรือเปล่าว่า อำนาจ 3 ฝ่าย บริหาร นิติบัญญัติ ตุลาการ ล้วนเป็นอำนาจอธิปไตยของปวงชน ถ้าอ้างความเป็นอิสระให้ตุลาการล่องลอยอยู่โดยไม่มีที่ยึดโยงกับประชาชน จะถูกหลักนิติรัฐได้อย่างไร

ทัศนะประชาธิปไตยนะครับ (เผื่อไม่เคยเรียน) คือความเชื่อว่าเราทุกคนล้วนเป็นมนุษย์ธรรมดา มีกิเลส ตัณหา รัก โลภ โกรธ หลง ฉะนั้นไม่มีใครหรอกที่สามารถดำรงตนอยู่ในความบริสุทธิ์สะอาดตลอดกาล ถูกเสมอโดยไม่เคยพลาด ประชาธิปไตยจึงเชื่อว่าทุกคนที่มีอำนาจต้องถูกตรวจสอบ อำนาจแต่ละฝ่ายต้องคานซึ่งกันและกัน

ประชาธิปไตยไม่เชื่อว่าใครบริสุทธิ์ผุดผ่องหรือเป็นฝ่ายถูกต้องโดยกำเนิด โดยชาติตระกูล โดยวุฒิการศึกษา หรือโดยตำแหน่ง ความคิดแบบนั้นคือเทวนิยม ความเชื่อเรื่องผู้วิเศษ ผีสางเทวดา ที่แปลงมาเป็นความเชื่อว่าตุลาการหรือองค์กรอิสระผู้บริสุทธิ์ ล่องลอยมาจากฟากฟ้า ไม่มีสุคติอคติกับใครเขา ดำรงชีวิตอย่างสมถะกินผักกินหญ้า (แต่เงินเดือนเป็นแสน คริคริ) สมควรจะมาชี้ถูกชี้ผิดให้สังคมโดยห้ามวิพากษ์วิจารณ์ให้เป็นมลทิน ห้ามตรวจสอบ ห้ามซักไซ้ (แบบตุลาการรายหนึ่งจะมาเป็นองค์กรอิสระ ไม่ยอมแสดงบัญชีทรัพย์สินให้ผู้แทนประชาชนดู)

ตามความรู้งูๆปลาๆ แบบผม เทววิทยาเขามีสอนในมหาลัยต่างประเทศ เมืองไทยไม่มี แต่เทวนิยมสอดแทรกอยู่ทุกปริมณฑลของการศึกษาและวัฒนธรรมไทย ความเชื่อเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เคารพนับถือตามจารีต เกรงกลัวยกย่องผู้หลักผู้ใหญ่ผู้มีตำแหน่ง ครอบงำคนไทยตั้งแต่เกิด

จึงไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่อาจารย์กฎหมายก็มีความคิดเทวนิยม เพียงแต่ท่านควรแยกแยะให้ออกว่าท่านสอนนิติศาสตร์หรือเทววิทยา

ที่มา.ประชาไท
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันเสาร์ที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2555

66/23 คาถาผ่าทางตัน หลวงพ่อจิ๋ว !!?



แม้ว่าที่ประชุมร่วมของรัฐสภา จะมีมติเห็นชอบ ด้วยคะแนน 346 ต่อ 17 งดออกเสียง 7 ให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณารายงานของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการสร้างความปรองดองแห่งชาติ ตามที่ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ประธานกรรมาธิการ และคณะเสนอ
และคาดว่าจะนำเข้าสู่การพิจารณาสภาผู้แทนราษฎร ในวันที่ 4 เมษายนนี้
แต่ดูแล้ว ฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกับความพยายามในการสร้างความปรองดองให้เกิดขั้นกับประเทศไทย คงต้องพยายามก่อหวอดต้านกันสุดฤทธิ์ โดยที่ใช้ข้ออ้างในเรื่อง เป็นการทำเพื่อช่วย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นตัวกระตุ้นปฏิกริยา
ก้าวข้ามไม่พ้นคนชื่อทักษิณ เพราะยังเป็นสิ่งที่สามารถระดมเกมสหบาทาจากคนที่ไม่ชอบทักษิณได้เป็นอย่างดี

เห็นประโยชน์กันชัดๆแบบนิ้ แล้วเรื่องอะไรที่จะยอมก้าวข้ามพ้นคนชื่อทักษิณ สู้พายเรือในอ่าง แผ่นเสียงตกร่อง ตีกินฉกฉวยผลประโยชน์ไปเรื่อยๆไม่ดีกว่าหรือ
ดังนั้นจึงไม่ใช่เพียงแค่รายงานของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการสร้างความปรองดองแห่งชาติ ซึ่งศึกษาวิจัยโดย สถาบันพระปกเกล้า จะกลายเป็นเหยื่อเกมการเมืองไปเต็มๆ
แม้แต่ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ประธานกรรมาธิการปรองดอง ก็โดนไปเต็มๆด้วยเช่นกัน

งานนี้ปลุกกระแสต้านจากกลุ่มคนไม่เอาทักษิณกันสุดชีวิตเลยก็ว่าได้
หัวเรือใหญ่ที่เปิดหน้าชกเที่ยวนี้ก็คือ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์รุ่นปัจจุบัน และหัวหน้าพรรคฝ่ายค้าน ที่นำทีม ส.ส.ปชป. แอนนด์ แก๊ง ทั้งหมด ทำทุกวิถีทาง ไม่ว่าจะเป็นการให้ 9 กมธ.สายประชาธิปัตย์ลาออก

หรือแม้แต่กระทั่งก่อนที่จะมีการประชุมร่วมของรัฐสภา ก็มีการล็อบบี้วุฒิสมาชิกกันอย่างโจ่งครึ่ม
รวมทั้งก่อนลงมติ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์และสมาชิกวุฒิสภาบางส่วน ก็ดาหน้าอภิปรายให้คณะกรรมาธิการ พิจารณาทบทวนรายงานฉบับนี้อย่างสุดกำลัง อ้างว่าจะเป็นชนวนความขัดแย้งและเห็นว่ารวบรัดแนวทางสร้างความปรองดอง ซึ่งไม่เกิดความยั่งยืน

พร้อมตั้งข้อสังเกตเล่นงานข้อเสนอของสถาบันพระปกเกล้าว่า ไม่ครอบคลุม โดยเฉพาะประเด็นการนิรโทษกรรม ซึ่งเกรงอาจก้าวล่วงกระบวนการยุติธรรม
พร่ำพูดวนเวียนซ้ำซากในประเด็นเดิมๆอยู่จนถึงเที่ยงคืน พอมีการเสนอให้ปิดอภิปรายเพราะเห็นว่าพูดกันมามากแล้ว ก็ทำให้นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ ประธานวิปฝ่ายค้าน ไม่พอใจ ประกาศไม่ประสงค์เข้าร่วม แล้วก็ใช้มุกเดิมๆคือให้ ส.ส.ฝ่ายค้าน วอล์กเอาต์ออกจากห้องประชุมก่อนที่จะมีการลงมติ
ถือเป็นการเล่นเกมต้านกันจนวินาทีสุดท้ายเลยก็ว่าได้

ดังนั้นถึงได้บอกว่า ไม่ง่ายเลยที่จะปรองดอง หากยังมีมุมมองที่คำนึงถึงผลประโยชน์เฉพาะกลุ่ม ผลประโยชน์เฉพาะพรรคกันอยู่เช่นนี้

ก็ขนาด พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ที่มีฐานะเป็นถึงอดีตนายกรัฐมนตรี เป็นอดีต ผบ.ทบ.ที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นขงเบ้งกองทัพบก ก็ยังไม่วายโดนกลุ่มคัดค้านเล่นงาน เมื่อออกมาทำจดหมายเปิดผนึก 11 หน้าเรียกร้องการสร้างความปรองดองให้กับประเทศนี้

บิ๊กจิ๋ว ได้ยกตัวอย่างความปรองดองด้วยการกล่าวถึงการปฏิบัตินโยบาย 66/23 สำเร็จในขั้นตอนที่ 1 คือยุติสงครามกลางเมืองลงได้ แต่ขั้นตอนที่2 คือการสร้างประชาธิปไตยระดับสูง คือการยกเลิกระบอบเผด็จการทุกชนิดคือระบอบเผด็จการรัฐสภา เผด็จการรัฐประหาร ยังไม่แล้วเสร็จ จึงทำให้เกิดสถานการณ์ต่างๆจนถึงปัจจุบัน

มีการรัฐประหาร 2 ครั้ง โดยรสช.และคมช. จนเกิดการจลาจลนองเลือดขนานใหญ่หลายครั้งเกิดม็อบต่อสู้ขัดแย้งรุนแรง ระหว่างเสื้อเหลือง เสื้อแดงเกิดการเข่นฆ่าจับกุมคุมขังประชาชนเกิดคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพนับ ร้อยๆคดี มากมายเป็นประวัติการณ์

และแทนที่จะแก้ไขด้วยมาตรการทางการเมือง อย่างถูกต้องตามนโยบาย 66/23 กลับเอาปัญหาที่เกิดจากการเมืองเหล่านี้ไปแก้ในศาลยิ่งทำให้ปัญหาวิกฤติหนัก
พล.อ.ชวลิตระบุว่าเราเคยใช้นโยบาย 66/23 คือแก้ด้วยมาตรการทางการเมือง ไม่ใช่ด้วยมาตรการกฎหมาย มาตรการทางศาลการใช้กำลังหรือการปราบปราม แต่ใช่มาตรการเหล่านี้เป็นส่วนประกอบ เป็นการแก้ปัญหาอย่างสันติวิธีไม่มีการจับกุมดำเนินคดีในศาล หรือเช่นฆ่าทรมานใดๆทั้งสิ้น จึงยุติสงครามกลางเมืองช่วงนั้นได้

หากยังดำเนินการตามนโยบาย66/23 ก็แทบไม่ต้องมาถกเถียงกันเรื่องนิรโทษกรรม
ที่สำคัญสามารถหักล้างได้กับข้อโต้แย้งของนายอภิสิทธิ์ที่ว่าจะเป็นการล้มล้าง อำนาจตุลาการ ทำลายระบบยุติธรรม

เพราะการออกพ.ร.บ.นิรโทษกรรมตามนโยบาย 66/23จะเป็นการช่วยให้อำนาจตุลาการเข้าหาระบบยุติธรรม หรือยิ่งทำให้ระบบยุติธรรมของไทยดียิ่งขึ้น คือ ไม่นำปัญหาการเมืองที่เกิดจาก ระบอบเผด็จการรัฐสภา เผด็จการรัฐประหารเข้ามาแก้ในระบบยุติธรรม “ศาล” นอกจากแก้ปัญหาไม่ได้แล้ว ยังทำให้บานปลาย

เนื่องจากฝ่ายที่แพ้จะหมดสิ้นความเชื่อถือศรัทธาในระบบยุติธรรมไทยนำเอาผลการพิพากษา ไปโจมตี ทำให้จำเลยไม่ยอมรับในการตัดสินของศาลไทยเดินทางออกนอกประเทศ จนกลายเป็นปัญหาใหม่อยู่ขณะนี้
บิ๊กจิ๋วจึงมองว่า การนำปัญหาการเมืองไปให้ศาลแก้ คือการทำลายศาล ไม่มีทางสำเร็จมีแต่จะเกิดปัญหามากขึ้น แต่การนิรโทษกรรมปัญหาการเมืองคือการ ช่วยศาล เป็นการสร้างประชาธิปไตยทำให้คนไทยทุกคนทั้งผู้เสียหายและผู้ถูกกระทำได้รับ ประโยชน์ร่วมกันสูงสุด คือเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย อำนาจรัฐชนิดสูงสุด

บุคคลที่เข้าข่ายเป็นผู้ได้รับการนิรโทษกรรมคือทุกคนทุกฝ่าย ไม่ต้องระบุชื่อ นามสกุล เป็นการเลิกต่อกัน จบต่อกันเป็นการนิรโทษกรรมแบบบูรณาการอย่างปราศจากเงื่อนไข ยุติความแตกแยกสร้างความปรองดองแห่งชาติได้อย่างแท้จริง

และยังเป็นเป็นการเปลี่ยนสถานการณ์เก่าเป็นสถานการณ์ใหม่จะไม่มีปัญหาแบบ เดิมอีกต่อไป ซึ่งรายงานวิจัยของสถาบันพระปกเกล้าล้วนมีเจตนาดีต่อประเทศ

นอกจากนี้ หนังสือเปิดผนึกของ พล.อ.ชวลิต ยังได้สนับสนุนให้ยกเลิกคดีที่มาจากคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส. ) เนื่องจากส่วนตัวเห็นว่า คตส.เกิดจากปัญหาการเมือง คือระบอบเผด็จการรัฐสภา และระบอบเผด็จการรัฐประหาร ซึ่งไม่ใช่ระบอบประชาธิปไตย
คตส.จึงเป็นสิ่งย่อมไม่ชอบธรรมและไม่ถูกตั้งแต่ต้น หลักการทั้งหลายย่อมต้องเป็นโมฆะ
ปัญหาการเมืองไม่สามารถนำระบบยุติธรรมมาแก้ไขไม่ได้ เพราะผิดที่ผิดทาง เนื่องจากการคอรัปชันนั้นมาจากระบอบเผด็จการรัฐสภา ระบอบเผด็จการรัฐประหาร ซึ่งปัญหาคอรัปชันนั้นเป็นปัญหาของระบอบ ตรงกันข้ามกับประเทศประชาธิปไตยอื่นที่การคอรัปชันเป็นปัญหาบุคคล

ดังนั้น คตส.จึงผิดที่ผิดทาง ผิดปัญหา ผิดหน้าที่ คตส.แก้ไขปัญหาผิดจุด เมื่อผิดก็ต้องหยุดและยกเลิกทุกสิ่งที่ คตส.ทำ

เขียนกันตรงๆ ไม่มีอ้อมค้อมเช่นนี้ แน่นอนว่าต่อให้เป็นบิ๊กจิ๋วอดีตผู้นำกองทัพ อดีตผู้นำรัฐบาล ก็ย่อมหนีไม่พ้นแรงเสียดทานแรงโจมตี

เพราะตอนที่บิ๊กจิ๋ว ดำเนินนโยบาย 66/2523 นั้น นายอภิสิทธิ์ เพิ่งจะมีอายุแค่ 16 ปีเท่านั้น ยังเรียนหนังสืออยู่ที่ประเทศอังกฤษอยู่เลย ย่อมเป็นเรื่องยากที่จะลึกซึ้งกับนโยบาย 66/2523 และการเขียนจดหมายเปิดผนึกถึงเรื่องนี้ของบิ๊กจิ๋ว

แต่จะไปตำหนิหรือว่านายอภิสิทธิ์ที่ไม่เข้าใจ ไม่เข้าถึง ก็คงไม่ยุติธรรมอย่างยิ่ง เพราะแม้แต่ น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ ที่ยืนยันว่าตนเองเป็นลูกป๋า และอยู่ในห้วงเวลาที่มีการดำเนินนโยบาย 66/23 ด้วยซ้ำ ก็ยังออกมาวิจารณ์จดหมายเปิดผนึกของบิ๊กจิ๋วในครั้งนี้กับเขาด้วย

ฉะนั้นหาก น.ต.ประสงค์ จะถูกมองว่าเป็นหนึ่งในกลุ่มขาประจำที่เป็นขั้วตรงข้ามกับ พ.ต.ท.ทักษิณ จึงเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้จริงๆ หากมองถึงการออกโรงในแต่ละครั้ง

รวมทั้งการอยู่เบื้องหลังในการผลักดันรัฐธรรมนูญปี 2550 จนถูกเรียกเป็น รัฐธรรมนูญฉบับหน้าแหลมฟันดำ ก็ล้วนแล้วแต่เป็นผลมาจากการกระทำของ น.ต.ประสงค์ นั่นเอง

หรือแม้แต่กระทั่ง พล.อ.อ.อิทธพร ศุภวงศ์ ผู้บัญชาการทหารอากาศ ซึ่งเป็นนายทหารรุ่นหลังแท้ๆ ก็ยังมองเรื่องที่รุ่นพี่ คือ พล.อ.ชวลิต เสนอการสร้างความปรองดองว่าควรใช้มาตรการทางการเมืองตามนโยบาย 66/23 เพราะเป็นการแก้ไขปัญหาอย่างสันติวิธี ว่า คงจะต้องเอามาประกอบกันหลายอย่าง เพราะนโยบาย 66/23 ออกมานานแล้ว แต่ปัจจุบัน สถานการณ์มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปมาก รวมถึงกฎเกณฑ์ต่างๆ อะไรที่ดีก็ควรนำมาใช้ให้เป็นประโยชน์ แต่ทั้งหมดต้องนำมาปรับปรุงเพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์

ฉะนั้นแม้ว่าที่ประชุมร่วมรัฐสภาจะไม่คล้อยไปตามการล็อบบี้ของพรรคประชาธิปัตย์ แต่เชื่อขนมกินล่วงหน้าได้เลยว่าฉายาเด็กดื้อของนายอภิสิทธิ์ แอนด์ เดอะแก๊ง ไม่ใช่จะได้มาโดยไม่มีพื้นฐานข้อเท็จจริง จึงรับรองได้ว่า ประชาธิปัตย์จะต้องค้านหัวชนฝาทุกรูปแบบอย่างแน่นอน

แต่คนรู้ทันประชาธิปัตย์อย่าง ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ก็พูดชัดเจนว่า พรรคประชาธิปัตย์เล่นการเมืองเก่ง แต่ไม่กังวลว่าจะเป็นอุปสรรคอะไร เพราะสิ่งที่ฝ่ายค้านกังวลว่ารายงานของคณะกรรมาธิการปรองดองฯ จะนำไปสู่การออกกฎหมายนิรโทษกรรมให้ พ.ต.ท.ทักษิณ นั้น เป็นคนละเรื่องกัน
“รายงานกับกฎหมายเป็นคนละเรื่อง รายงานเป็นแค่นามธรรม จึงต้องสรุปให้เป็นรูปธรรมโดยการออก พ.ร.บ.ปรองดอง โดยเสียงส่วนใหญ่ในสภา ที่ทุกภาคส่วนต้องได้ประโยชน์ร่วมกัน ไม่ใช่คนหนึ่งคนใด หรือไปรังเกียจคนหนึ่งคนใด อย่างนั้นเรียกว่าอคติ คิดแบบไม่ใช่สุภาพบุรุษ และอย่าไปรื้ออดีตขึ้นมาอีก หากใครแพ้โหวตในสภาแล้วยังไม่เคารพก็ไม่ใช่นักการเมืองในระบอบประชาธิปไตย”

ส่วนเรื่องการทำความเข้าใจกับฝ่ายค้านเรื่องความปรองดองนั้น อีกร้อยชาติฝ่ายค้านก็ไม่ยอมเข้าใจ
แต่ ร.ต.อ.เฉลิม ยังคงมองว่าบรรยากาศอย่างนี้ปกติ เพราะการเมืองในระบอบประชาธิปไตยเห็นตรงกันไม่ได้ ต้องแย้งกันเสมอ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ยังเชื่อว่าขณะนี้ไม่มีเงื่อนไขใดที่จะก่อให้เกิดการปฏิวัติ
ที่สำคัญหากรัฐบาลไม่ทำการทุจริต ก็มั่นใจว่ารัฐบาลอยู่ครบวาระแน่นอน

นั่นอาจจะเป็นความมั่นคงของรัฐบาล แต่สิ่งที่จำเป็นในเวลานี้ก็คือเรื่องการสร้างความปรองดอง เพื่อไม่ให้ประเทศไทยต้องถอยหลัง หรือย่ำอยู่กับที่อย่างที่เป็นมา 4-5 ปีแล้วเช่นนี้

ทำอย่างไรที่จะให้แก๊งเด็กดื้อทางการเมืองละทิฐิและผลประโยชน์ของกลุ่มของพวก มาฟังคนอื่นโดยเฉพาะผู้หลักผู้ใหญ่ที่มีประสบการณ์ และมีความห่วงใยสถานการณ์บ้านเมืองในเวลานี้บ้าง
อย่าลืมว่า จดหมายเปิดผนึกของ พล.อ.ชวลิต ที่ได้รับการยอมรับว่าเป็น “ทหารประชาธิปไตย” นั้นเขียนอยู่บนหลักการที่เป็นกลาง ใช้เหตุและผลเป็นตัวนำ โดยที่มีมีเหตุการณ์จริงในประวัติศาสตร์มาเป็นหลักฐานช่วยสนับสนุน

ขอแค่มองอย่างเป็นกลาง ว่าคนอย่างบิ๊กจิ๋ว ที่มีความเป็นประชาธิปไตย และจงรักภักดีต่อสถาบันอย่างสูงที่สุดคนหนึ่งในประเทศนี้ ออกมาพูดอย่างเป็นกลางและจริงใจ รวมทั้งอยากเห็นความปรองดองเกิดขึ้นจริงๆ
ทำไมจึงดาหน้าตั้งป้อมชนเช่นนี้ แล้วเมื่อไหร่ปรองดองจะเกิด???
หรือจะต้องดองเอาไว้เป็นร้อยชาติ อย่างที่ ร.ต.อ.เฉลิมเปรยเอาไว้จริงๆ....??

ที่มา.บางกอกทูเดย์
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วางหมากหลายช็อต !!?

รักษาเอกลักษณ์ ต้นตำหรับ แห่งการเป็น “จอมบอยคอต”
ไหน โก่งคอยันเสียงกร้าว ขากรรไกรแข็งเสมอมา ว่า “เชื่อมั่นในระบบประชาธิปไตย”
แล้วในยุค ที่มี “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” เป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ตีกรรเชียงหนี ทิ้งตำแหน่งลาออก ไม่ทำหน้าที่ในรัฐสภา ขอรับเจ้านาย
การที่ ๙ อรหันต์กรรมาธิการปรองดอง ของ “พรรคประชาธิปัตย์” ถอดหัวหนี ทิ้งตำแหน่งกรรมาธิการ ฟ้องและระบุชัด ท่านไม่ได้เชื่อมั่นในระบบประชาธิปไตย เหมือนที่คุยเอาไว้ฉอด ๆ
ที่สุดธาตุแท้แสดงออกมาเอง..ว่าชอบพูดน้ำท่วมทุ่ง ผักบุ้งโหรงเหรง?..ที่เคยส่งเสียงล้งเล้ง ล้วนสร้างภาพมาตลอด

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

บันได ๓ ขั้น
๙ กรรมาธิการปรองดอง พรรคประชาธิปไตย ที่สละเรือหนี ไม่สร้างความปรองดอง ความสามัคคีให้กับคนในชาติ..ยังจะมีเรื่องป่วนมากกว่านี้อีก ขอรับท่าน
ไขก๊อกลาออก จากกรรมาธิการ เป็นเรื่องชิมลางแบบชิล..ชิล แผนต่อไปคือป่วน “รัฐบาลปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ว่าเป็นเผด็จการทางรัฐสภาฯยิ่งนัก
สร้างบรรยากาศ เสียงข้างมาก ไม่ฟังเสียงข้างน้อย..จึงจะยกโขยงลาออกจาก สส.ทั้งพรรค
จากนั้น, จะขุดประเด็น การคอรัปชั่นขึ้นมาชำแหละ แฉ “รัฐบาลปู” ให้จั๋งหนับ
เค้าจะทำทุกอย่าง..เพื่อปล้ำผีลุก ปลุกผีนั่ง.....ให้ “รัฐบาลปู” พังในที่สุดสิครับ

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ไม่ใช่ทางแก้ปัญหา
เหมือนที่ “ขงเบ้งจิ๋ว” พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรี ชี้ชนวนนำร่อง ว่าหากนำกระบวนการยุติธรรมมาใช้ มีแต่สร้างปัญหาให้มากกว่า
ดีดลูกคิดรางแก้วแล้ว ที่ “บิ๊กจิ๋ว” ยกกัณฑ์เทศน์ขึ้นมาอบรบ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ถูกต้องแล้วทุกประการ
ฝ่ายการเมืองหลายยุค หลายรัฐบาล ใช้เปาบุ้นจิ้นผู้ทรงธรรม จัดการเล่นงาน “ทักษิณ ชินวัตร” ฝ่ายเดียว ถูกที่ไหนกัน??
แค่คดีการเมืองอีกฝ่าย อีกค้าน ดองเค็ม แช่ห้องฟรีส คดีแช่เย็น ไม่ขยับเขยื้อนไปไหน ไม่ว่าคดีทุจริตรถดับเพลิง คดีทุจริตก่อสร้างสร้างกีฬาคลอง ๖ และคดีซื้ออุปกรณ์การแพทย์ให้โรงพยาบาล เงียบสะดุดไปเฉย ๆ
คดี “ทักษิณ”เล่นงานทั้งเย็นและเช้า...เล่นแรงแบบหักด้ามพร้าด้วยเข่า?..แต่นักการเมืองที่โกงกินเอา คดีไม่คืบหน้าเลย

++++++++++++++++++++++++++++++++++

ทำงานดี แต่ไม่มีคนหนุน
สร้างผลงานดี ฝากไว้ในแผ่นดินมากมาย สำหรับ “คุณพี่พรธรรมธนัต แย้มพลอย” ผอ.สำนักทางหลวงที่ ๖ แห่งจังหวัดเพชรบูรณ์
ฝากฝังให้ “คุณพี่วันชัย ภาคลักษณ์” อธิบดีกรมทางหลวง และ “จารุพงศ์ เรืองสุวรรณ” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ดูแลคนดี ๆ อย่าให้มีใครมารังแก
ต้องบอกว่า “คุณพี่พรธรรมธนัต” เป็นผู้เสียสละ เงินเดือนทุกบาททุกสตางค์ นำไปช่วยเหลือนักเรียนผู้ยากไร้ ถือเป็นผู้เสียสละ โดยแท้
และท่านเป็นมือแก้ปัญหา ที่เก่งครอบวงจร สมัยที่เป็นโปรเจ็คอยู่ที่เชียงใหม่ ร่วมกับ “อดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร” แก้ปัญหาสะพานที่หน้าห้างเซ็นทรัล จนชาวล้านนาพากันสรรเสริญ
“คุณพี่พรธรรมนัต”ทำงานหนัก...เป็นคนคมในฝัก....เป็นคนที่ประชาชนรัก เพราะทำแต่ความเจริญ

++++++++++++++++++++++++++++++++++

มองเจตนาผิด
การออกมาเคาะข่าว เรื่องปฏิวัติ ของ “นายแพลแม็คอาเธ่อร์” พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี แล้วก็ช่วยกันคิด
๓ แนวทางแห่งการรัฐประหาร เรื่องสถาบัน คอรัปชั่น และความแตกแยกของคนไทย
เป็นเรื่องที่ “บิ๊กพัลลภ” ท่านปุจจามานาน มีคนจ้องที่จะล้ม “รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ให้ได้
ถึง “พรรคเพื่อไทย” จะคุมอำนาจเอาไว้ในมือ...แต่อำนาจที่เหนืออำนาจ ที่แฝงมากับ “องค์กรอิสระ” ที่มีอำนาจค้ำฟ้าค้ำแผ่นดิน ที่ก่อเกิดมาจาก “คมช.” อสูรร้ายเผด็จการ ยังคงอยู่
“บิ๊กพัลลภ”ที่ออกมาเฉ่ง..ไม่ใช่พวกทุบหม้อข้าวตัวเอง..แต่เล็งเห็นองค์กรอิสระอันตรายน่าดู

คอลัมน์:ตอดนิดตอดหน่อย,บางกอกทูเดย์
***************************************************

วันศุกร์ที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2555

คดีหุ้นชินคอร์ปจบไม่เก็บภาษี-ไม่ผิดปกปิดโครงสร้าง !!?

อธิบดีกรมสรรพากรยืนยันต้องยึดตามคำสั่งศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่ระบุว่าหุ้นชินคอร์ปไม่ใช่ของ “พานทองแท้-พินทองทา” แต่เป็นของ “ทักษิณ-พจมาน” ทำให้ไม่สามารถเรียกเก็บภาษี 12,000 ล้านบาทได้ เพราะโอนกันในตลาดหลักทรัพย์ฯ ด้านดีเอสไอยุติสอบ “ยิ่งลักษณ์-บรรณพจน์-โอ๊ค-เอม” ร่วมกันปกปิดโครงสร้างถือหุ้นชินคอร์ป ยืนยันเป็นไปตามพยานหลักฐานที่ไม่พบความผิด ไม่ใช่ใบสั่งทางการเมือง

++++++++++++++++

นายสาธิต รังคสิริ อธิบดีกรมสรรพากร กล่าวถึงกรณีที่พรรคประชาธิปัตย์เรียกร้องให้เก็บภาษีการโอนหุ้นบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) จาก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร จำนวน 12,000 ล้านบาทว่า ไม่มีขั้นตอนที่อยู่ในอำนาจของกรมสรรพากรแล้ว

“เรื่องนี้สืบเนื่องมาจากศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองตัดสินคดีว่าหุ้นจำนวนดังกล่าวที่มีภาระภาษีไม่ใช่ของนายพานทองแท้และ น.ส.พินทองทา ชินวัตร แต่เป็นของ พ.ต.ท.ทักษิณและคุณหญิงพจมาน เมื่อศาลตัดสินออกมาอย่างนี้ส่งผลให้ธุรกรรมการซื้อขายหุ้นดังกล่าวที่ทำกันในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยไม่ต้องเสียภาษี ขั้นตอนของกรมสรรพากรจึงยุติลง”

ทั้งนี้ ฝ่ายกฎหมายพรรคประชาธิปัตย์ยืนยันว่าต้องเรียกเก็บภาษีก่อนหมดอายุความสิ้นเดือน มี.ค. นี้ หากไม่เรียกเก็บภาษีจาก พ.ต.ท.ทักษิณและคุณหญิงพจมานจะยื่นเรื่องให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) สอบเอาผิดผู้เกี่ยวข้องฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ในวันที่ 8 เม.ย. นี้

ด้านนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) แถลงถึงการที่นายกรณ์ จาติกวณิช ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ทำหนังสือเร่งรัดดำเนินคดีกับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี นายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ นายพานทองแท้ และ น.ส.พินทองทา กรณีปกปิดโครงสร้างการถือหุ้นบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ฐานร่วมกันแจ้งให้เจ้าพนักงานจดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารราชการซึ่งใช้เป็นพยานหลักฐาน

นายธาริตกล่าวว่า เรื่องนี้เกิดเมื่อปี 2545-2547 ตอนนั้นกฎหมายยังไม่ได้กำหนดให้เลขาธิการคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เป็นพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา ซึ่งกฎหมายเพิ่งบังคับใช้เมื่อปี 2551 จึงเห็นว่าเป็นการกระทำไม่ครบองค์ประกอบความผิด

ส่วนประเด็นการรายงานโครงสร้างของหุ้นชินคอร์ปที่บริษัทเป็นผู้จัดทำ และข้อมูลที่ใช้รายงานก็รับมาจากบริษัทศูนย์รับฝากหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย จากการตรวจสอบรายชื่อผู้ถือหุ้นรายใหญ่และจำนวนหุ้นที่ปรากฏในรายงานดังกล่าวตรงกันกับของตลาดหลักทรัพย์ฯ จึงไม่ได้เป็นการรายงานเท็จ และไม่พบว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ น.ส.พินทองทา และนายพานทองแท้มีส่วนเกี่ยวข้องในการทำรายงานดังกล่าว ส่วนนายบรรพจน์ได้ร่วมรับรองรายงานกับกรรมการคนอื่นในฐานะกรรมการผู้มีอำนาจ การกระทำของทั้ง 4 คน ไม่เข้าข่ายความผิดตาม พ.ร.บ.หลักทรัพย์แต่อย่างใด จึงมีคำสั่งให้ยุติเรื่องเพราะไม่พบการกระทำความผิดตามข้อกล่าวหา

“เป็นการยุติตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏ ไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง ดีเอสไอทำตามหน้าที่ ไม่รับคำสั่งใคร”

ที่มา.หนังสือพิมพ์โลกวันนี้
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++