--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันพุธที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2555

สีสันภาคประชาชน แดง ปันน้ำใจช่วยเพื่อน !!?

จากเที่ยงวันยันเที่ยงคืน! สำหรับ "คนเสื้อแดง" ที่ยกขบวนกันมาสร้างสีสัน..รับปีมังกรไฟ 2555 ด้วยกิจกรรมฟรีคอนเสิร์ต "คนแดนไกล เติมใจครอบครัวแดง" ที่จัดโดยกลุ่ม นปช.ยุโรป หรือ "เรด อียู" เมื่อวันที่ 8 ม.ค.ที่ผ่านมา เพื่อระดมทุนช่วยเหลือ-เยียวยาครอบครัวผู้ที่ถูกคุมขังทางการเมือง ให้มีสภาพความเป็น อยู่ที่ดีขึ้น

โดยรายได้จากการรับบริจาคครั้งนี้ กำหนดจ่ายเบี้ยยังชีพให้ผู้ต้องขังที่ยังอยู่ในเรือนจำคนละ 2,000 บาท/เดือน ส่วนผู้ที่ได้รับการปล่อยตัวได้คนละ 4,000 บาท ต่อคน ซึ่งน่าจะแบ่งเบาภาระของครอบครัว "ผู้ต้องขังเสื้อแดง" ไม่มากก็น้อย..!

ธงแดงยังสะบัดไหว..ณ ห้างฯ อิมพีเรียลเวิล์ด ลาดพร้าว ท่ามกลางมวลชนเสื้อแดงที่มาร่วมงานนับหมื่นคน พรั่งพร้อมไปด้วย "ดาราเสื้อแดง" ที่มาช่วยเรียกแขก อาทิ วีระ มุสิกพงศ์, ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำ นปช.รุ่น 1, ธิดา ถาวรเศรษฐ รักษาการประธาน นปช., วรวุฒิ วิชัยดิษฐ์ รักษาการโฆษกฯ ตลอดจน "แดงตัวแม่" อย่าง เจ๊ดา" ดารุณี กฤตบุญญาลัย, ไพจิตร อักษรณรงค์, วิสา คัญทัพ และกลุ่มศิลปินเสื้อแดง เช่นเดียวกับ สุนัย จุลพงศธร-น.พ.เหวง โตจิราการ ส.ส.เพื่อไทย ที่พาเหรดมาร่วมขับกล่อมเสียงเพลงบนเวที "แดงช่วยเพื่อน" สลับกับการปราศรัยเป็นระยะๆ บรรยากาศภายในงานเป็นไปอย่างคึกคัก! มีการขายของที่ระลึกที่มีสัญลักษณ์ ของ นปช.มากมาย พร้อมทั้งมีการตั้งโต๊ะ ล่ารายชื่อเพื่อสนับสนุนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ อีกด้วย

ส่วนไฮไลต์ที่ถูกจุดขึ้นบนเวที หลังจาก "ธิดาแดง" ในเสื้อสูทแม่ทัพ นปช. ประกาศเดินหน้า "เรดแมป" อันเป็นแนว ทางไปสู่การเคลื่อนไหวให้ยกเลิกรัฐธรรมนูญ ปี2550 "ฉบับมรดกบาป คมช." เหนืออื่นใด เลือดย่อมข้นกว่าน้ำ! รักษาการประธาน นปช.จึงประกาศไม่ร่วมสังฆกรรมกับนักวิชาการเสื้อเหลือง ที่อาจได้รับการแต่งตั้งเข้ามาเป็นสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ หรือ "ส.ส.ร.3" โดยให้เหตุผลหนักแน่นว่า.."ถ้าจะแก้รัฐธรรมนูญ จะต้องให้มี ส.ส.ร.ที่มาจากการเลือกตั้งเท่านั้น ไม่เอานักวิชาการเหลือง 20-30 คนมาผสมแน่นอน"

หลังการยืนยันเจตนารมณ์บนเวที ก็เรียกเสียงเชียร์จาก "คนเสื้อแดง" ได้อย่างสนั่นหวั่นไหว! และนั่นก็เป็นประชามติ ของมวลชนเสื้อแดงที่จะ "ไม่เอา..!" พวกนักวิชาการปากกล้าขาสั่นเหล่านี้มาร่วมร่าง รัฐธรรมนูญฉบับประชาชน ตามมุมมอง ของภาคประชาชนคนเสื้อแดง

ทางด้าน "ตู่ฮาร์ดคอร์" จตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำแดงอีกคน แม้จะไม่ได้ มาปรากฏตัวบนเวทีเสื้อแดงเพราะติดภารกิจที่ จ.บุรีรัมย์ แต่ก็ยังโฟนอินเข้ามาเสียงครื้นเครงในกิจกรรมระดมทุนช่วยเหลือ "นักโทษแดง" ที่ถูกขั้วรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในขณะนั้น สั่งจำคุกในความผิดตามพระราชกำหนดการบริหาร ราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือ ็พ.ร.ก.ฉุกเฉินิ แถมยังประกาศลั่นหนุนแนวทางการแก้ รธน.50 ด้วยการตั้ง ส.ส.ร.ขึ้นมาเพื่อรับผิดชอบการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อลดช่องว่างการกระทำที่ไม่เป็นประชาธิปไตย

สำหรับกิจกรรม "คนแดนไกล เติม ใจครอบครัวแดง" ที่ถูกจัดขึ้นมา "เรียกกระแส.." ก็นับเป็น "สีสัน" ของการเมือง ภาคประชาชนที่ช่วยเรียกความแช่มชื่น ให้กลับคืนมาอีกครั้ง หลังผ่านช่วงเวลา แห่งวิกฤติความขัดแย้งในบ้านเมืองนี้

นับจากเที่ยงวันจนถึงเที่ยงคืน! งานเลี้ยงก็ย่อมเลิกรา แต่เหนืออื่นใด "มวลชนเสื้อแดง" ที่มาร่วมแบ่งปันน้ำใจ ต่างก็ได้รับความ "อิ่มใจ"...จากการ "ให้" เพื่อช่วยเหลือกันและกัน!

ที่มา.สยามธุรกิจ
**********************************************************

เปิดปุ๊บติด (ไฟ) ปั๊บ !!?

แบกภาระหลังน้ำท่วมไว้เต็มบ่า!!!

สำหรับปฏิบัติการที่หลายฝ่ายมอง ว่า ไม่ต่างจาก “MISSION IMPOSSI-BLE” ไม่ว่าจะเป็นการบริหารจัดการปัญหาน้ำในกรณีแผนเยียวยาเร่งด่วน และพันธกิจเชิงโครงสร้างระยะยาวในการตั้งรับคลื่น “น้องน้ำ” ที่มีทีท่าจะไหลวนกลับมาเยี่ยมเยียนสยามประเทศ อีกครั้ง กอปรและล้อไปกับแผนฟื้นฟูความเชื่อมั่น ที่จำเป็นอย่างยิ่งยวดที่ต้อง พึ่งเม็ดเงินจำนวนมหาศาล ท่ามกลางสถานการณ์ทางการเงินการคลังในประเทศที่พอไปได้ แต่ปัจจัยภายนอกของพิษเศรษฐกิจโลกในอียูและสหรัฐ อเมริกาไม่เอื้ออำนวยสักเท่าไรนัก???

แต่เมื่อเป็นความจำเป็นเร่งด่วนในที่สุด คณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อ การฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ หรือ กยอ. ที่มี “ดร.โกร่ง-วีรพงษ์ รามางกูร” เป็นประธาน ก็จัดการชงแผนยุทธศาสตร์ เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ 5 ด้าน ให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณา อันประกอบไปด้วย 1.การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ 2.การปรับ โครงสร้างภาคการผลิตและบริการ 3.การพัฒนาเชิงพื้นที่เศรษฐกิจใหม่ 4.การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และ 5.การพัฒนาระบบการประกันภัยว่ากันว่า ในเบื้องต้นรัฐบาลมีความจำเป็นต้องกู้เงินมาโปะอภิมหาโปรเจกต์ดังกล่าว ตัวเลขกลมๆ ประมาณ 3 แสนกว่าล้านบาท

นั่นก็เชื่อมจิ๊กซอว์ไปถึงมติ ครม. เมื่อวันที่ 4 มกราคม 2555 ที่รัฐบาลมีแนวทางที่จะออก พ.ร.ก. 4 ฉบับ เพื่อโอนหนี้กองทุนฟื้นฟู 1.14 ล้านล้านบาท กลับไปให้ธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ ธปท. เป็นผู้รับผิดชอบ เพื่อดำเนินการ กู้เงิน 3.5 แสนล้านบาท มาบริหารจัดการ ระบบน้ำและวางโครงสร้างประเทศไทย ใหม่ รวมไปถึงการจัดตั้งกองทุนประกัน ภัยอีก 5 หมื่นล้านบาท และกรอบการ แก้ไขเพิ่มเติมที่ ธปท.สามารถออกเงินกู้ หรือซอฟต์โลนอีก 3 แสนล้านบาท รวมทั้งหมด 7 แสนล้านบาท ซึ่งหลาย ฝ่ายห่วงว่า จะทำให้เป็นภาระหนี้นอกงบประมาณ นอกเหนือจากที่กำหนดไว้ ในงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2555 อีก 4 แสนล้านบาท

หรือแม้กระทั่งในแง่ของเทคนิคและทิศทางการเงินการคลังในอนาคต แบงก์ชาติก็ได้แสดงความห่วงใย ประหนึ่งว่า เกรงจะมีการล้วงลูกเงินสำรองระหว่างประเทศโฟกัสตรงไปที่ มาตรา 7 (3) ที่กำหนดให้ ครม. สามารถกำหนดให้โอน เงินหรือทรัพย์สินของแบงก์ชาติไป ตาม จำนวนที่ ครม. กำหนด ซึ่งแม้แต่ “หม่อม อุ๋ย-ม.ร.ว. ปรีดิยาธร เทวกุล” อดีตผู้ว่าการแบงก์ชาติ ยังออกมาแสดงความ เป็นห่วงว่า..จะเป็นการเปิดทางให้รัฐบาล “ตีเช็คเปล่า” ซึ่งเป็นเรื่องอันตรายสำหรับการบริหารการเงินของ บ้านเมืองอย่างยิ่ง สึนามิซัดเข้าหารัฐนาวา “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ลูกแล้วลูกเล่า ก่อนจะมีการตอกลิ่มซ้ำลงไปอีกแผลจากซีก ส.ว.สายสรรหา อย่าง “คำนูณ สิทธิสมาน”

“พ.ร.ก.จำนวน 4 ฉบับ ตนมองว่า รัฐบาลได้นำ 3 เรื่องมาผูกรวมกัน กล่าว คือ เรื่องปัจจุบันการแก้ไขปัญหาน้ำท่วม เรื่องอนาคต คือ การสร้างโครงสร้างพื้นฐาน และเรื่องอดีต คือ หนี้กองทุนฟื้นฟู 1.14 ล้านล้านบาท เข้ามาผนวกรวมกัน ซึ่งผมไม่เห็นด้วย เนื่องจากเนื้อหาใน พ.ร.ก.โอนหนี้ 1.14 ล้านล้าน บาท ในมาตรา 7 มีลักษณะที่เรียกว่า 3 ปล้น 1 ทำลาย กล่าวคือ 1.ปล้นธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในมาตรา 7(1) และ (3) 2.ปล้นสถาบันการเงิน ที่ มีความเป็นไปได้ว่าจะผลักภาระมายังประชาชน โดยมีรายละเอียดที่ระบุไว้ใน มาตรา 8, 9 และ 10 และ 3.ปล้นทางอ้อม ไปยังคลังหลวง คือ ทุนสำรองพิเศษ ใน ฝ่ายออกธนบัตร ธปท. ในมาตรา 7 (2)”

“ผมขอฝากไปยังรัฐบาลว่า เพื่อให้เกิดความรอบคอบควรแยกเรื่องโอนหนี้กองทุนฟื้นฟูจำนวน 1.14 ล้านล้านบาท ออกมาเป็นเรื่องโดยเฉพาะ และทำเป็นร่าง พ.ร.บ.ผ่านกระบวนการ ทางรัฐสภา เนื่องจากมีประเด็นที่ต้องพิจารณาที่สำคัญ คือ การทำลายระบบ ธนาคารกลาง การให้ ธปท. เข้ามารับผิดชอบหนี้สินมีความเสี่ยง เพราะ ธปท. มีหน้าที่พิมพ์ธนบัตร ดูแลเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ และแทรกแซงค่าเงินบาท หาก ธปท. ถูกใช้ผิดหน้าที่ ผมเกรงว่าความเสียหายจะมีมากเกินเยียวยา”

จัดหนักยิ่งกว่ายาชุดสีดำ พ่วงท้าย มาด้วยเสียงขู่ดังๆ จากวุฒิซีกสรรหา.. หากรัฐบาลไม่ฟังเสียงทัดทาน เตรียมเจอกันที่ศาลรัฐธรรมนูญได้เลย!!!

ศึกอีกด้านก็สุดจะอ่อนไหว เมื่อกลุ่มผู้แทนคณะศิษยานุศิษย์หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน ยกพลบุกสภาเรียกร้องต่อคณะกรรมาธิการ การ เงิน การคลัง การธนาคารและสถาบัน การเงิน วุฒิสภา ให้แตะเบรก พ.ร.ก.4 ฉบับร้อนในครั้งนี้ นั่นก็เป็นสาเหตุให้ “เสี่ยโต้ง-กิตติรัตน์ ณ ระนอง” รองนายกฯ และ รมว.พาณิชย์ ต้องเข้ามาชี้แจงเงื่อนไขในการเข็นกฎหมายให้ กมธ.รุมกินโต๊ะไม่ต้องรอจนถึงวันนั้น ก็น่าเชื่อได้ ว่า “เสี่ยโต้ง” จะยืนยันในสิ่งที่เคยระบุมาก่อนหน้านี้คือ..ไม่แตะเงินกองทุนสำรอง..ยึดหลัก วินัยทางการเงิน..ไม่มีการพิมพ์แบงก์เพิ่ม..ไม่โยนภาระต้นทุนให้ประชาชน!!!

นี่คือข้อถกเถียงที่ยังไม่ได้ข้อยุติ และน่าจะมีการตีความกันในแง่มุมของ กฎหมายอย่างกว้างขวาง..ซีกรัฐบาลหวังดีที่จะสะสางหนี้ในส่วนกองทุนฟื้นฟู เพื่อแปรเปลี่ยนมาเป็นเม็ดเงินในการฟื้นฟูประเทศ..ฝั่งไม่เห็นด้วยนั้นก็ห่วงใยในมิติแห่งวินัยการเงินการคลังและในแง่เทคนิคของตัวบทกฎหมาย..จบตรงไหนไม่รู้ แต่แค่เริ่มก็ดูเหมือน ว่าจะยุ่งอีนุงตุงนัง ซึ่งก็ค่อนข้างน่าเห็น ใจรัฐบาล เพราะยังมีอีกหลายๆ ประเด็น ที่กำลังรุกคืบเข้ามาหายใจรดต้นคอ “รัฐนาวายิ่งลักษณ์”

อีกเรื่องร้อนๆ ที่อยู่ในมือ “เสี่ยโต้ง” นั่นคือข้อพิพาทในการลอยตัวก๊าซเอ็นจีวีและแอลพีจี ที่แม้แต่ “แท็กซี่” ซึ่งถือเป็นหนึ่งในพาร์ตของคนเสื้อแดงที่สนับสนุนรัฐบาลนี้ขึ้นมา ยังอดรนทน ไม่ไหวจนต้องลุกขึ้นมาประท้วงหน้าอาคารสำนักงานใหญ่ ปตท. และกระทรวง พลังงาน ปิดถนนวิภาวดีขาออก..นี่ก็เป็นอีกหนึ่งวาระร้อนที่รัฐบาล แค่เริ่มต้นก็จุกและเจ็บ และหากลองนับ นิ้วไล่เรียงในอีกหลายโครงการร้อนไม่ว่าจะเป็นคูปอง 2,000 บาท กระทรวงพลังงาน บัตรเครดิตพลังงาน รวมไปถึง เงินช่วยน้ำท่วม รวบยอดไปถึงพันธสัญญา ประชานิยมที่ยังไม่เริ่มต้นคิกออฟ

ที่น่าจะสอดประสานคู่ขนานไปกับผลงานเสนาบดีก่อนวาระจับปูใส่กระด้งแห่งการเขย่าโผ ครม. ที่ว่ากันว่า อาจมีการยกเครื่องกระทรวงสำคัญ อย่าง “พลังงาน” และ “คลัง” ที่ล้วนเป็น “เด็กเจ๊-เด็กนาย” จนอาจกลายเป็นเรื่องน่าปวดหัวตามมาภายหลัง และหากยึดโยงทอดยอดไปรวมกับของเก่าในโรดแมปแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่มีเรื่องร้อนเคลือบฉาบอยู่

เรียนตามตรง..มองตามสถานการณ์..รัฐบาลแค่คิกออฟปีมังกรก็หนักและเหนื่อยแล้ว อนาคตจะสางปัญหาไปได้หรือไม่..ยังไม่อาจทราบได้ รู้เพียงแค่ว่า..ภารกิจที่รออยู่เบื้องหน้า..แค่เปิดปุ๊บก็ติดไฟปั๊บ!!!

ที่มา:สยามธุรกิจ
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ประชาธิปไตย ไม่ง่ายเลย !!?

เคยมีหรือ...เคยเกิดขึ้นมาแล้วหรือ...ประชาธิปไตยที่เกิดขึ้นเอง...

กว่าจะเป็นประเทศสหรัฐอเมริกา...สู้กันมาแล้วเท่าไหร่ ตายกันมาแล้วเท่าไหร่...กับการเผชิญหน้ากับกองทหารของประเทศแม่...สงครามของชาวไร่ชาวนาและปศุสัตว์...กับกองทหารที่ช่ำชองการรบจากแผ่นดินแม่

ถ้าสเปนไม่หยิบยื่นอาวุธให้...ถ้าลอนดอนไม่ใช่แผ่นดินที่ห่างไกลไปอีกสุดทะเลขอบทะเล...จะต้องทับถมศพเพิ่มขึ้นอีกมากเท่าไหร่...อเมริกันชนถึงจะได้ชื่นชมกับเสรีภาพ

หนทางแห่งเสรีภาพไม่ง่ายเลย...2 ตัวอย่างเล็กๆ ของรัฐบุรุษแห่งโลก...เนลสัน แมนดาลา แห่งแอฟริกาใต้...กับ...มหาบุรุษเนรูห์แห่งอินเดียรำพึงรำพันข้อความเดียวกัน ห่างกันที่กาลเวลากับทวีป...ประชาธิปไตยก็ไม่ง่ายเลยที่จะได้มา...ไม่ว่าในขณะนี้ที่กรุงไคโรประเทศอียิปต์หรือดามัสกัสแห่งซีเรีย...

สงครามระหว่างอำนาจผู้ครอบครองกับผู้ต่อต้านก็ยังไม่มีวี่แววจะเลิกรา...

แผ่นดินเราประเทศไทย...การไม่ต่อสู้การยอมอ่อนน้อมต่อพลังอาวุธที่เหนือกว่า...แผ่นดินที่เป็นปัจจุบันมันน้อยกว่าครึ่งของแผ่นดินที่สูญเสียไป...

เรารื่นเริงกับอิสรภาพของการไม่ตกเป็นเมืองขึ้น...แต่เราไม่ยอมพูดถึงกล่าวถึง...ผืนแผ่นดินที่หายไป เราไม่เสียใจกับคนไทยที่ต้องกลายเป็นพลเมืองชั้นที่สองในแผ่นดินที่เคยเป็นของเขา

เราชื่นชมในเสรีภาพของประเทศ...แต่เสรีภาพของประชาชนเป็นเช่นไร...รัฐธรรมนูญที่ประชาชนช่วยกันสร้างขึ้นมา...รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งถูกโค่นล้ม...

รัฐธรรมนูญถูกอำนาจขีดเขียนขึ้นมา...ให้คนส่วนน้อยมีอำนาจเหนือคนส่วนใหญ่...คน 30 กว่าล้าน...เลือกตัวแทนของเขาเข้ามานั่งในสภา...แต่ คน 5 คน 9 คน 15 คน เปลี่ยนรัฐบาลได้...ปลดผู้แทนปวงชนได้...โดยไม่มีอุทธรณ์ฎีกา

ประชาธิปไตยไม่ใช่เช่นนี้...และจะไม่มีวันเป็นเช่นนี้...

ประชาชนล้มตายกันลงไป...เพราะอยากให้ประเทศไทยมีการเลือกตั้ง ประชาชนอยากได้ คนที่เขาเลือกมาเป็นผู้บริหารราชการแผ่นดิน ประชาชนทำสำเร็จ...เขาได้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง...

แต่รัฐบาลที่เขาเลือกขึ้นมา...กำลังบอกกับพวกเขาว่า...แก้รัฐธรรมนูญเป็นเรื่องของสภา...และผู้แทนที่ประชาชนเลือกมา...ก็บอกว่า...เร็วเกินไป

ครับ...หนทางสู่ประชาธิปไตย ไม่ง่ายเลย

โดย:พญาไม้,บางกอกทูเดย์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ไม่ขโมย ซีน ใคร !!?

เปิดโอกาสแก่ “รัฐมนตรี” แต่ละกระทรวง โชว์กึ๋นส์ สร้างผลงานกันได้
“นายกฯปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนักบริหารมืออาชีพระดับโปร ที่ไม่ต้องไป ตี-ชิง-วิ่งราว “จิ๊ก”ผลงานแต่ละกระทรวง มา “ปั้นน้ำเป็นตัว” เพื่ออวดให้คนเห็น
ไม่ยุ่มย่าม ที่จะเป็น “พรีเซ็นเตอร์” โฆษณาเอาดีเอาเด่น ทั้งที่ทำงานไม่เป็น
ถือเป็น “ยอดหญิง” นายกฯเหล็ก ที่เป็นโอกาสให้ “รัฐมนตรี” หลายกระทรวง โชว์ออฟ เป็น “นายแบบ” สร้างผลงานตัวเอง ได้เต็มที่
คนเก่งเสียอย่าง...ไม่ต้องขโมยผลงานคนอื่นมาอ้าง!....เหมือนอย่างบางคน ทำดอกนะพี่

+++++++++++++++++++++++++++

ยาดีมัก “ขม”
คำเตือน จากพวกเดียวกัน ก็น่ารับฟัง เอาไว้นะท่านผู้ชม
มีเสียงระงม ดังก้องกึกมาจาก “คุณพี่วีระกานต์ มุสิกพงศ์” อดีตพี่เบิ้มตัวเอ้ ขาใหญ่ นปช. ไปถึง “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี
ภารกิจ “น้ำท่วมภาคใต้”..ไม่น่าเทกระจาด ยกหน้าที่ มอบหมายให้แก่ “ทหาร”หมดเช่นนี้
การปัดเป่าดูแล ช่วยเหลือพี่น้องสะตอสามัคคีที่สำลักน้ำท่วม เบื้องต้นเป็นหน้าที่ กระทรวงมหาดไทย ของ “มท.๑” ยงยุทธ วิชัยดิษฐ ที่จะเดินหน้าช่วยเหลือทุกอย่าง ไม่ให้เกิดอุปสรรค
มหาดไทยศักยภาพพร้อมเพอร์เฟก...แต่ยกให้ทหารเป็นพระเอก!..ไม่ถูกสเป็คนะครับท่าน

++++++++++++++++++++++++++

เอาคำทำนาย “หมอดู” มาย้ำ
เป็นการดูโชคชะตา โหวงเฮ้ง แฝดอินจันทร์สยาม ของ “ณัฐวุฒิ ใสเกื้อ” และ “จตุพร พรหมพันธ์ุ” สมัยตกวิบากกรรม เป็นนักโทษอยู่ในเรือนจำ
ว่าเจ้าของเรือนชะตา อย่าง “ณัฐวุฒิ ใสเกื้อ” บุญบารมีอำนาจวาสนา จะเข้ามาเกย เป็น “รัฐมนตรี”
ความหมายคือว่า ในพี่น้องคนเสื้อแดง ผู้รักประชาธิปไตย “ณัฐวุฒิ” จะหม่ำเก้าอี้เสนาบดี ก่อน “จตุพร” ขอรับพี่
ซึ่งมีเค้าว่ารูปการ จะเป็นตามคำทำนาย ที่ให้เอาไว้แต่ต้น
แต่ในที่สุดแล้ว... “จตุพร”ก็เข้าแถว...เป็นรัฐมนตรีคับแก้ว ด้วยกันทั้งสองคน

++++++++++++++++++++++++++

เหมือนข้าวนอกนา
คิดกับ “ชูวิทย์ กมลวิศิษฐ์” หัวหน้าพรรครักประเทศไทย อย่างน่าเกลียดเดียดฉันท์ ช่างไม่เข้าท่า
เรื่องที่ “พรรคประชาธิปัตย์” ของ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” มอง “เสี่ยชูวิทย์” ไม่ใช่พรรคฝ่ายค้านกากี่นั้ง พวกเดียวกัน
ไม่เรียกประสานงานด้วย เกรง “เสี่ยชูวิทย์” จะเป็น “นกสองหัว” คาบข่าวไปบอก “ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง” รองนายกฯ ไงล่ะท่าน
มีแต่วันปีใหม่ที่ผ่านมาเท่านั้น...ที่เรียก “เสี่ยชูวิทย์” ที่เรียกไปสังสรรค์เฮฮากันด้วยเสร็จสรรพ
มอง “เสี่ยชูวิทย์”อย่างไม่ไว้วางใจ...แล้วใครที่ไหน?...เขาจะมีใจ ให้กับประชาธิปัตย์เล่าครับ

++++++++++++++++++++++++++

กลัวอะไรกับ “ความจริง”
ถ้าไม่ได้ทำ ไม่เห็นต้องว๊ากเพ้ย เป็น “งิ้วหลงโรง” โกรธแค้นเป็นลงเป็นลิง
เมื่อ “ธาริต เพ็งดิษฐ์” อธิบดีกรมดีเอสดี ทำตามหน้าที่ และเอกสาร ประจักษ์พยาน ที่มีมาแต่ต้น
ไฉน, “เทพเทือก” สุเทพ เทือกสุบรรณ” อดีตรองนายกฯฝ่ายความมั่นคง ถึงยั๊วะไปกล่าวหาเขา อย่างไม่มีเหตุผล
ว่า “อธิบดีธาริต” เปลี่ยนสี ทำงานเลอะเทอะ ไม่อยู่ในร่อง ไม่อยู่ในรอย
แปลความหมาย....ถ้าใครไม่เอากับรัฐบาลเก่าแล้วไซร้?...ก็ถูกยัดข้อหาใส่ ว่าเป็นคนถ่อย

คอลัมน์:ตอดนิดตอดหน่อย,บางกอกทูเดย์
////////////////////////////////////////////////////////

วันอังคารที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2555

แดงรุก แก้รัฐธรรมนูญ ทาง เสี่ยง 2 แพร่งเพื่อไทย เป้า (จริง) ยิ่งลักษณ์-ทักษิณ !!?

ธง และทางในการแก้ไขรัฐ ธรรมนูญของรัฐบาลเพื่อไทย ยังอยู่ในภาวะอันตราย

แม้มีทั้งมือ ทั้งไม้ ในการขับเคลื่อน

ทั้งเสียงในพรรคร่วมรัฐบาล รวมพรรคแนวร่วมฝ่ายค้านที่พร้อมแปรพักตร์มาร่วมวง แต่ท่าทีของ น.ส. ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ยังแบ่งรับแบ่งสู้

สัญญาณชัดเจนที่ถูกส่งจากปากนายกรัฐมนตรีคือ การแก้รัฐธรรมนูญ ไม่ใช่ภารกิจเร่งด่วน เท่ากับวาระฟื้นฟูแก้ปัญหาเศรษฐกิจ

ต่างไปจากถ้อยแถลงที่นายกรัฐมนตรีกล่าวต่อประธานรัฐสภา ในวันแถลงนโยบายเร่งด่วนที่จะต้องเริ่มดำเนินการในปีแรก เป็น 1 ใน 16 วาระ

คราวนั้นอังคารที่ 23 สิงหาคม 2554 นายกรัฐมนตรีแถลงเป็นลายลักษณ์อักษรไว้ว่า "เร่งรัดและผลักดันการปฏิรูปการเมืองที่ประชาชนมีส่วนร่วมอย่างกว้างขวาง โดยมีสภาร่างรัฐธรรมนูญที่เป็นอิสระยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เพื่อวางกลไกการใช้อำนาจอธิปไตยที่ยึดหลักนิติธรรม และองค์กรที่ใช้อำนาจรัฐที่มีความรับผิดชอบต่อประชาชนและพร้อมรับการ ตรวจสอบ ทั้งนี้ ให้ประชาชนเห็นชอบผ่านการออกเสียงประชามติ"

แต่เมื่อสิ่งแวดล้อมทางการเมืองเปลี่ยนแปลง เวลาผ่านไป 4 เดือน 30 ธันวาคม 2554 นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงจุดยืนการแก้ไขรัฐธรรมนูญใหม่ว่า "รัฐบาลคงจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ขอให้เป็นเรื่องของฝ่ายนิติบัญญัติ แม้ว่ารัฐบาลได้เขียนเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญไว้ในนโยบายก็จริง แต่ถ้าแยกสายการบริหาร ต้องถือว่ารัฐธรรมนูญเป็นเรื่องของฝ่ายนิติบัญญัติ"

เมื่อเจ้าภาพเปลี่ยนใจ ความเคลื่อน ไหวจึงเกิดขึ้นทั้งใน-นอกสภาผู้แทนราษฎร

เสียงสัญญาณการแก้ไขรัฐธรรมนูญ จึงดังก้องรอบทิศทางจากกลุ่มคนเสื้อแดง ในนามกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.)

นางธิดา ถาวรเศรษฐ ประธาน นปช. ประกาศกิจกรรมการเมืองของคนเสื้อแดง 5 ข้อ และ 1 ใน 5 ข้อคือ ให้มี การแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 291 โดยเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้าชื่อ 200,000 คน ให้ได้ภายในวันที่ 15 มกราคม ก่อนจะนำเสนอต่อรัฐสภาในสิ้นเดือนมกราคม โดยมั่นใจว่าประชาชนไทยคงได้ลงประชามติรับร่างรัฐธรรมนูญใหม่ภายในปี 2556 อย่างแน่นอน

ขณะที่ "มติพรรคเพื่อไทย" ใช้แนวทาง "มติเฉลิม" เป็นแนวทางหลัก

วัน ว. เวลา น. เส้นทางของเพื่อไทย ในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ จึงเป็นไปตามถ้อยแถลงของ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ที่ประกาศหลังประชุมพรรค วันที่ 3 มกราคม 2555 ว่า "ควรรอไปก่อนอีก 8 เดือน เพื่อให้รัฐบาลมีผลงานทั้งเรื่องแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ ยาเสพติด และเรื่องอื่น ๆ ก่อน"

ตอกย้ำด้วยว่า รัฐบาลไม่จำเป็นต้องเป็นเจ้าภาพเสมอไป เพราะเมื่อพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล และเป็นเจ้าภาพในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ประชาชนก็เข้าใจได้ว่ารัฐบาลทำ

แนวร่วมของ "ร.ต.อ.เฉลิม" ประกอบด้วยกลุ่ม ส.ส.สายอีสาน ที่อยู่ในกลุ่มเครือข่าย 40 คน รวมกับกลุ่มของ นายเสนาะ เทียนทอง ส.ส.บัญชีรายชื่อ ให้การสนับสนุนหลักอย่างเป็นทางการ

ส.ส.กลุ่มนี้มีความเชื่อว่า วาระแก้รัฐธรรมนูญจะเป็นการกวนน้ำให้ขุ่น เติมไฟให้กับการเมือง และทุกคนตกอยู่ในภาวะความกลัว ว่าจะทำให้รัฐบาลพ้นวาระก่อนเวลาอันควร

ซึ่งมีหลักการขัดแย้งกับกลุ่ม ส.ส. สายแกนนำเสื้อแดง สาย นายจตุพร พรหมพันธุ์ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ น.พ.เหวง โตจิราการ ที่เห็นว่าต้องชิงลงมือแก้ไขรัฐธรรมนูญ หากไม่รีบเปิดเกม อาจมีเหตุซ้ำรอยรัฐบาล "สมัคร สุนทรเวช" และ "สมชาย วงศ์สวัสดิ์"

สอดคล้องกับความเห็นของอดีตรักษาการหัวหน้าพรรคไทยรักไทย จาตุรนต์ ฉายแสง ที่เห็นว่า หาก ส.ส.เพื่อไทยไม่ลงมือ อาจถูกคนเสื้อแดงและฐานเสียงทวงสัญญา

จังหวะก้าว จังหวะคิดของเพื่อไทย จึงต้องรอคอยสัญญาณสำคัญ ที่ส่งตรงมาจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ผู้นำ ตัวจริงของพรรค เพื่อตอบโจทย์เกมเสี่ยงอันตราย

เพราะแกนนำพรรคเพื่อไทยที่บินไปพบกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ต่างนำความกลับมาสื่อสารคนละทิศคนละทาง

บางคนบอกว่า พ.ต.ท.ทักษิณให้ชะลอแผนแก้รัฐธรรมนูญออกไปก่อน เพราะเกรงสัญญาณอันตราย และกลัวจะเกิดอุบัติเหตุทางการเมือง

แหล่งข่าวบางรายบอกว่า พ.ต.ท. ทักษิณให้เร่งนำแผนแก้รัฐธรรมนูญ ส่งให้ถึงสภาผู้แทนฯตามกำหนดที่แถลงไว้ แต่แทรกวาระ ซ้อนแผนเรื่อง ส.ส.ร. และเรื่องการลงประชามติไว้ พร้อม ๆ กับต้องขับเคลื่อนเรื่องนิรโทษ และวาระปรองดองไว้ในแผนแก้รัฐธรรมนูญด้วย

วาระรัฐธรรมนูญที่ถูกตั้งธงไว้ว่า จะเป็นวาระทางการเมืองแห่งปี 2555 และเป็นกุญแจที่จะไขไปสู่ประตูประชาธิปไตยแบบเพื่อไทย ด้วยการ ปลดล็อกมาตรา 291 และแก้มาตรา อื่น ๆ ที่ขัดหลักนิติรัฐ

กลายเป็นวาระแห่งความกลัว

กลายเป็นวาระอันตรายทางการเมือง

เพราะ "ธง" ของนายกรัฐมนตรี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และเป้าหมายจริง-เป้าลวง ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ยังสวนทางกันไปมา กับทางของ ส.ส.เสื้อแดงของเพื่อไทย

การเร่งรัดของฝ่ายประชาธิปไตยในพรรค จากบ้านเลขที่ 111 ที่จี้ให้คณะรัฐมนตรีมีคำตอบในเร็ววัน

การรุกฆาตของกลุ่มเสื้อแดง และเสียงก้องจากฐานคะแนน 15 ล้านเสียง

อาจทำให้ทั้ง พ.ต.ท.ทักษิณและ น.ส.ยิ่งลักษณ์ และพลพรรคเพื่อไทย ต้องเร่งตัดสินใจผ่าตัดรัฐธรรมนูญผ่าทางตันการเมืองนองเลือด

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
/////////////////////////////////////////////////

วันจันทร์ที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2555

ดร.วีรพงษ์ ดันอภิโปรเจ็กต์ พลิกประเทศ ยกเครื่องขนส่ง-สื่อสาร 2.2 ล้านล้านบาท เข้า ครม. 10 มค. !!?

ที่ทำเนียบรัฐบาล เปิดเผยว่า คณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ (กยอ.) ที่มีนายวีรพงษ์ รามางกูร เป็นประธาน จะเสนอแผนยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ 5 ด้าน ให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณา ประกอบไปด้วย 1.การบริหารจัดการทรัพยการน้ำ 2.การปรับโครงสร้างภาคการผลิตและบริการ 3.การพัฒนาเชิงพื้นที่เศรษฐกิจใหม่ 4.การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน 5.การพัฒนาระบบการประกันภัย

จากคณะกรรมการ กยอ. เปิดเผยว่า สำหรับแผนการบริหารจัดการทรัพยการน้ำที่คณะกรรมการ กยอ. จะนำเสนอ เป็นแผนแม่บทการบริหารจัดการน้ำทั้งระบบ ซึ่งผ่านการพิจารณาจากคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อวางระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ (กยน.) เรียบร้อยแล้ว วงเงิน 317,126 ล้านบาท แบ่งเป็นแผนป้องกันปัญหาระยะเร่งด่วน 17,126 ล้านบาท ใช้แหล่งงบประมาณจากงบกลางปี 2555 ครม.ได้มีมติเห็นชอบไปแล้ว ส่วนแผนลุ่มน้ำแบบบูรณาการและยั่งยืน ในลุ่มน้ำเจ้าพระยา 300,000 ล้านบาท จะใช้แหล่งเงินจากเงินกู้จำนวน 350,000 ล้านบาท ที่รัฐบาลจะออก พ.ร.ก.การจัดตั้งกองทุนสร้างอนาคตประเทศ มาดำเนินการ

โปรเจ็กต์ 2.2 ล้านล้านพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน

อย่างไรก็ตาม ในวงเงินกู้ทั้งหมด 350,000 ล้านบาท ที่ประชุม กยอ. เมื่อวันที่ 6 มกราคม ที่ผ่านมา ได้เห็นชอบให้ใช้เงินอีกจำนวน 40,000 ล้านบาท สำหรับการพัฒนาพื้นที่ 17 ลุ่มน้ำที่เหลือ ทำให้ยอดวงเงินรวมที่รัฐบาลจะใช้สำหรับการจัดทำแผนป้องกันแก้ไขปัญหาน้ำท่วมทั้งหมด อยู่ที่ 357,126 ล้านบาท ส่วนวงเงินกู้ที่เหลืออีก 10,000 ล้านบาท จะถูกนำไปใช้ในการลงทุนตามแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศด้านอื่นๆ

แหล่งข่าวกล่าวต่อไปว่า สำหรับรายละเอียดแผนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ระหว่างปี 2555-2559 รวมวงเงินทั้งสิ้น 2,270,085 ล้านบาท แบ่งออกเป็น 5 สาขา คือ 1.สาขาขนส่งทางบก วงเงิน 1,469,879 ล้านบาท 2.สาขาขนส่งทางอากาศและน้ำ 148,504 ล้านบาท 3.สาขาพลังงาน 499,449 ล้านบาท 4.สาขาการสื่อสาร 35,181 ล้านบาท และ 5.สาขาสาธารณูปการ 117,072 ล้านบาท

ลุยสร้างข่ายขนส่งทางบก

แหล่งข่าวกล่าวว่า ทั้งนี้ ในการพัฒนาระบบขนส่งทางบก จะแบ่งเป็นการพัฒนาโครงข่ายทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง 187,305 ล้านบาท การพัฒนาระบบรถไฟ/รถไฟสายใหม่ 298,237 ล้านบาท การพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูง 481,066 ล้านบาท การพัฒนาระบบขนส่งมวลชนทางราง 321,316 ล้านบาท การพัฒนาโครงข่ายถนน และการขนส่งต่อเนื่องหลายรูปแบบ 181,954 ล้านบาท

ส่วนโครงข่ายรถไฟ มีเป้าหมายพัฒนาให้เป็นระบบหลักในการขนส่งสินค้าจากพื้นที่การผลิตหลัก ภายในประเทศเชื่อมโยงท่าเรือแหลมฉบัง ส่วนรถไฟฟ้าความเร็วสูง ดำเนินการ 4 เส้นทางหลัก คือ 1.กทม.-เชียงใหม่ 2.กทม.-หนองคาย และกทม.-อุบลราชธานี 3.กทม.-หาดใหญ่-ปาดังเบซาร์ 4.กทม.-ฉะเชิงเทรา-ระยอง

ร่วมเพื่อนบ้านพัฒนาพลังงาน

แหล่งข่าวกล่าวว่า ส่วนแผนด้านพลังงาน เน้นการแสวงหาและพัฒนาแหล่งพลังงานใหม่ทั้งในและต่างประเทศ โดยเฉพาะการสร้างความร่วมมือด้านการพัฒนาแหล่งพลังงานกับประเทศเพื่อนบ้านในฝั่งตะวันตก (ทวาย) เพื่อสร้างความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศ สำหรับแผนการพัฒนาเชิงพื้นที่เศรษฐกิจใหม่ เน้นการเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้าน และภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ที่มา: มติชนออนไลน์
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ศักดิ์ศรี ทักษิณ..ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ !!?

“คิดถึงทุกคน ที่หายหน้าไปนั้นเพราะอยากให้นายกฯและรัฐมนตรีได้ทำงานอย่างเต็มที่ ส.ส. ที่โทร.มาแล้วไม่ได้รับสายก็ไม่ต้องน้อยใจ เพราะในช่วงนี้ข่าว ปรับ ครม. เยอะจึงไม่อยากรับสายใคร แต่ยืนยันว่ารักทุกคน จะขยันดูให้บ่อยขึ้นหน่อย รอบนี้ไม่ได้ก็รอรอบหน้า ขอให้รัฐมนตรีและ ส.ส. ทุกคนทำงานให้หนักเพื่อประชาชนจะได้มีความสุข เมื่อประชาชนสุขเราก็สุขด้วย และขอให้ทุกคนร่วมใจกันทำให้พรรคเพื่อไทยเป็นพรรคที่ประชาชนไว้ใจ” พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โฟนอินกล่าวทักทายสวัสดีปีใหม่กับรัฐมนตรีและ ส.ส. เมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2554 ระหว่างการประชุม ส.ส. พรรคเพื่อไทย ซึ่งสะท้อนคำว่า “นายใหญ่” ที่ยังมีอำนาจและมีบารมีในพรรคเพื่อไทยที่บรรดา ส.ส. และสมาชิกพรรคยังวิ่งเข้าหาเพื่อขอตำแหน่งทางการเมือง

แม้เวลาจะผ่านไปกว่า 5 ปีแล้ว แต่อำนาจและบารมีของ พ.ต.ท.ทักษิณยังปรากฏให้เห็นเด่นชัดไม่เสื่อมคลาย ทำให้ฝ่ายตรงข้ามไม่ว่าจะเป็นพรรคประชาธิปัตย์ กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กลุ่มสลิ่มขาประจำ กลุ่มคนมีสี และกลุ่มอำมาตย์ ต้องเร่งมือล้มล้างอำนาจของพรรคเพื่อไทย และพยายามทำลายเครือข่ายที่ให้การสนับสนุนทั้งหมดให้ได้ โดยเฉพาะกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ที่แม้ขณะนี้จะเกิดความขัดแย้งภายในแต่ก็เติบโตและแข็งแกร่งมากขึ้นทุกวัน
ตอกย้ำภาพ “ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ”

แม้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี จะประกาศในวันรับตำแหน่งเมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2554 ว่า “จะมุ่งมั่นสร้างสุข สลายทุกข์ ให้แก่พี่น้องประชาชนอย่างสุดกำลังความสามารถ ดิฉันจะไม่ทำเพื่อคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง แต่จะทำเพื่อประเทศชาติและคนไทยทุกคน”

แต่ไม่สามารถลบภาพ “ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ” ออกไปได้ อีกทั้ง พ.ต.ท.ทักษิณยังประกาศอย่างชัดเจน โดยให้สัมภาษณ์ว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์เป็น “โคลนนิ่งของตนเอง” จึงยากจะปฏิเสธว่า พ.ต.ท.ทักษิณไม่ ได้มีบารมีเหนือรัฐบาลและน.ส.ยิ่งลักษณ์ แม้ต่อมาทั้ง พ.ต.ท.ทักษิณและ น.ส.ยิ่งลักษณ์จะออกมาปฏิเสธ (เพื่อไม่ให้เข้าข่ายเป็นความผิดทางกฎหมายพรรคการเมือง) แต่กลุ่มแพ้เลือกตั้งที่จ้องล้มรัฐบาลยังนำมาใช้โจมตีจนถึงทุกวันนี้ ดังนั้น การเคลื่อนไหวใดๆของ พ.ต.ท.ทักษิณจะถูกโยงให้เกี่ยวข้องกับพรรคเพื่อไทยหรือรัฐบาลทันที
เงา “ทักษิณ” บดบัง “ปู”

ขณะที่ พ.ต.ท.ทักษิณถูกมองว่าชอบอวด ชอบโชว์ (ทั้งๆที่ไม่จำเป็นต้องโชว์) อย่างกรณีให้สัมภาษณ์ว่าเป็นผู้ประสานงานให้กับ น.ส.ยิ่งลักษณ์พบผู้นำพม่าและนางออง ซาน ซู จี จน น.ส.ยิ่งลักษณ์ต้องออกมาปฏิเสธว่าไม่เป็นความจริง แต่มีน้อยคนที่จะเชื่อ เพราะออกมาจากปาก พ.ต.ท.ทักษิณเอง

ประเด็นดังกล่าวจึงเป็นขนมหวานให้ฝ่ายตรงข้ามนำ พ.ต.ท.ทักษิณไปผูกโยงว่ามีผลประโยชน์ทับซ้อน เพราะหลังการเยือนพม่าของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ก็มีข่าวดีว่าบริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท.สผ. ได้รับอนุญาตจากรัฐบาลพม่าให้สำรวจแหล่งปิโตรเลียมใหม่ 2 แปลง ซึ่งเป็นแหล่งสัมปทานปิโตรเลียมบนบกที่รัฐบาลพม่าเปิดสัมปทานให้ภาคเอกชนจากต่างประเทศเข้าไปสำรวจเป็นครั้งแรก ทั้งที่ข่าวอย่างนี้น่าจะเป็นผลดีต่อประเทศ แต่กลับเป็นประเด็นให้ถูกโจมตีอีกจนได้

สำนักข่าวรอยเตอร์วิเคราะห์ว่า แม้การเคลื่อนไหวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ว่าจะเป็นการเยือนกัมพูชา เนปาล หรือพม่า แสดงให้เห็นว่า พ.ต.ท.ทักษิณมีอำนาจมากขึ้น แต่กลับทำให้บารมีความเป็นผู้นำของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ยิ่งถดถอย จึงเป็นเรื่องยากของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ที่พยายามสลัดเงาของพี่ชายเพื่อยืนยันความเป็นผู้นำที่แท้จริง

เงาทะมึนของ พ.ต.ท.ทักษิณที่อยู่เบื้องหลังของ น.ส.ยิ่งลักษณ์จึงถูกนำไปเป็นเงื่อนไขให้ฝ่ายตรงข้ามโจมตีว่ารัฐบาลนี้เป็นรัฐบาลทักษิณ ไม่ใช่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ เพราะแค่มีข่าวว่าจะปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) บรรดา ส.ส. และแกนนำก็แห่วิ่งเข้าหา พ.ต.ท.ทักษิณ

รัฐบาลเพื่อใคร?
ตลอด 4 เดือนของรัฐบาลยิ่งลักษณ์จึงเป็นเหยื่ออันโอชะไม่ต่างจากรัฐบาลสมัคร สุนทรเวช และรัฐบาล สมชาย วงศ์สวัสดิ์ (รวมถึงทุกรัฐบาลที่ชนะการเลือกตั้ง) ที่ต้องถูกจับตามองว่าพยายามช่วยให้ พ.ต.ท.ทักษิณพ้นผิดและกลับประเทศ รวมถึงเอื้อผลประโยชน์ให้กับตระกูลชินวัตรและเครือญาติ โดยเฉพาะพรรคประชาธิปัตย์และกลุ่มขาประจำที่หยิบทุกประเด็นที่เกี่ยวข้องกับคนในตระกูลชินวัตรมาโจมตี ไม่ว่าจะเป็นกรณีกรมสรรพากรไม่ยื่นเรื่องอุทธรณ์ศาลภาษีฯกรณีเก็บภาษีหุ้นชินคอร์ป 12,000 ล้านบาท ของนายพานทองแท้ และ น.ส.พินทองทา ชินวัตร

กรณีศาลอุทธรณ์ยกฟ้องคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร และรอลงอาญานายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ หลังจากอัยการสูงสุดมีความเห็นไม่ยื่นฎีกาต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองให้พิจารณาคดีการเลี่ยงภาษีหุ้นบริษัท ชินวัตร คอมพิวเตอร์ แอนด์ คอมมิวนิเคชั่นส์ จำกัด (มหาชน)

การแต่งตั้ง พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ เป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และการคืนหนังสือเดินทางหรือพาสปอร์ตให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ แม้นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ จะอ้างระเบียบของกระทรวงการต่างประเทศที่ให้อำนาจเจ้าหน้าที่สามารถยกเลิกหรือเรียกคืนบุคคลใดที่เห็นว่าอาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อประเทศไทยและต่างประเทศได้ ซึ่ง พ.ต.ท. ทักษิณไม่ได้ทำความเสียหายทั้งในและต่างประเทศ

ล่าสุดกรณีพระราชกฤษฎีกา (พ.ร.ฎ.) ขอพระราชทานอภัยโทษ ที่มีกระแสข่าวว่ามีชื่อ พ.ต.ท.ทักษิณอยู่ด้วย แม้รัฐบาลจะปฏิเสธ แต่ฝ่ายตรงข้ามยังออกมาปลุกกระแสต่อต้านจน พ.ต.ท.ทักษิณต้องออกแถลงการณ์ไม่ขอรับการอภัยโทษ เพื่อยุติปัญหาและช่วยรัฐบาลไม่ให้เป็นเป้านิ่ง ทั้งที่เป็นเรื่องของพระราชอำนาจ

แม้แต่นายสมศักดิ์ เทพสุทิน แกนนำพรรคภูมิใจไทย (ที่พยายามออกห่างจากกลุ่มเนวินและวางตัวเองเป็นกลุ่มการเมืองอะไหล่พร้อมร่วมรัฐบาล) ยังระบุว่าการเมืองไทยปี 2555 จะยุ่งยาก เพราะมีการสร้างเงื่อนไขจากฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้าน สู้กันด้วยอารมณ์และความแค้น ไม่ว่าจะเป็นการแก้ พ.ร.บ.กระทรวงกลาโหม และ พ.ร.บ.นิรโทษกรรม อีกทั้งการคืนพาสปอร์ตให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ โดยมองว่าหากรัฐบาลเดินหน้าเรื่องเหล่านี้จะนำไปสู่ความรุนแรงได้ โดยเฉพาะ พ.ร.บ.กระทรวงกลาโหม ซึ่งเป็นตัวจุดกระแสให้อุณหภูมิการเมืองร้อนแรง ส่วนคดี 91 ศพ ไม่น่าจะใช่เงื่อนไข เพราะไม่ใช่การกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐ

ประชาธิปัตย์กัดไม่ปล่อย
เห็นได้จากพรรคประชาธิปัตย์กัดไม่ปล่อยกรณีคืนหนังสือเดินทางให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ล่าสุดก่อนสิ้นปี 2554 นายชัยวุฒิ ผ่องแผ้ว ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ ได้ยื่นหนังสือต่อ น.ส.ยิ่งลักษณ์ เพื่อให้สั่งเพิกถอนหรือแก้ไขการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายของนายสุรพงษ์และข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศภายในวันที่ 9 มกราคม 2555 เนื่องจาก พ.ต.ท.ทักษิณเป็นนักโทษเด็ดขาดและเป็นผู้ต้องหาหลบหนีคดีตามหมายจับของทางราชการถึง 5 หมายจับ ทั้งมีความผิดร้ายแรงเกี่ยวกับความมั่นคง ฐานก่อการร้ายและการทุจริต คือคดีที่ดินรัชดาฯ คดีหวยบนดิน คดีเอ็กซิมแบงก์ คดีแปลงสัญญาณสัมปทานเป็นภาษีสรรพสามิต และคดีก่อการร้าย
เขียนผี “ทักษิณ” ปลุกวิญญาณพันธมิตรฯ
ขณะที่กลุ่มพันธมิตรฯที่วันนี้แทบไม่มีพลังจะออกมาเคลื่อนไหว เพราะการแตกแยกกันเองอย่างรุนแรง แต่ยังมีลมหายใจ เพราะหวังว่าจะอาศัยเงื่อน ไขที่ พ.ต.ท.ทักษิณจะกลับมาเป็นการเขียน “ผีทักษิณ” เพื่อปลุกวิญญาณพันธมิตรฯอีกครั้ง
ล่าสุดแกนนำพันธมิตรฯยืนยันจะออกมาเคลื่อน ไหวทันทีหากมีการแก้ไขมาตรา 112 และแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อให้ พ.ต.ท.ทักษิณพ้นผิด โดยนายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกพันธมิตรฯ ระบุว่า แม้พันธมิตรฯจะกำหนดบทบาทว่าต้องเคลื่อนไหวเพื่อการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เท่านั้นก็ตาม แต่หากเกิด 2 เงื่อนไขดังกล่าวก็จะออกมาทันที เพราะเชื่อว่าพรรคเพื่อไทยต้องพยายามให้มีอำนาจแบบเด็ดขาด เพื่อลบล้างความผิดในอดีตแล้วโยนบาปให้คนอื่น รวมถึงการแก้ไขรัฐธรรมนูญและคุมอำนาจในกองทัพให้ได้

ด้านนายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ แกนนำพันธมิตรฯ เชื่อว่าปี 2555 จะเกิดเหตุการณ์บางอย่างแต่ไม่กล้าพูด แม้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ยืนยันว่าจะไม่มีรัฐประหารก็ไม่ต่างจาก พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ที่เคยพูดก่อนจะทำรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ดังนั้น หากพรรคเพื่อไทยดึงดันหาคนผิดคดี 16 ศพในเหตุการณ์เมษา-พฤษภาอำมหิตให้ได้ก็นับถอยหลังได้เลย

นายสมเกียรติยังเชื่อว่า “ยุทธศาสตร์สุดท้ายของทักษิณต้องการให้ตัวเองพ้นผิด มีอำนาจล้มเจ้าได้ และได้ทรัพย์สินคืน ผมจึงไม่เชื่อการเมืองไทยจะเปลี่ยนผ่านโดยสันติและประนีประนอม ในที่สุดจะต้องเปลี่ยนผ่านอย่างใหญ่ที่ต้องเสียเลือดเนื้อ เว้นแต่ประเทศไทยไม่มีทักษิณ”
ปรองดองหรือปองร้าย?

ดังนั้น การที่วิปรัฐบาลมีมติแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยจะให้มีสภาร่างรัฐธรรมนูญหรือ ส.ส.ร.3 ขณะเดียวกันมีความพยายามให้ออก พ.ร.ฎ.ปรองดอง เพื่อเริ่มต้นปฏิรูปการเมืองอย่างจริงจังนั้นหมายถึงการ ปลดล็อกให้กับทุกฝ่าย รวมถึง พ.ต.ท.ทักษิณด้วย

พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน หัวหน้าคณะรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 (คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือ คปค. ที่เปลี่ยนไปเป็น คมช.) ที่ปัจจุบันเป็น ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคมาตุภูมิ ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึก-ษาแนวทางการสร้างความปรองดองแห่งชาติ ก็กลับมาเล่นบทบาทใหม่ในสภา โดยยืนยันจะเดินหน้าสร้าง ความปรองดองต่อไป แม้ยังมีความขัดแย้งสูงก็ตาม
ที่สำคัญปัญหาทั้งหมดถูกดึงมารวมไว้ที่ พ.ต.ท. ทักษิณ ซึ่ง พล.อ.สนธิได้ฝากให้ทุกฝ่ายยอมรับว่าถ้าต้อง การให้ประเทศเกิดความปรองดองก็ต้องให้อภัยกัน ขณะ ที่พรรคเพื่อไทยยืนยันว่าการสร้างความปรองดองต้องคืนความชอบธรรมทางการเมืองให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณด้วย

ข้อเสนอของ “กลุ่มนิติราษฎร์” ที่ให้ลบล้างผลพวงการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 จึงเป็นประเด็นร้อนที่จะทดสอบ พล.อ.สนธิว่ามีความจริงใจในการสร้างความปรองดองหรือไม่
สมาชิกบ้านเลขที่ 111

แม้สถานการณ์ทางการเมืองวันนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายที่ พ.ต.ท.ทักษิณจะกลับประเทศ ทั้งที่พรรคเพื่อไทยได้เป็นรัฐบาล เพราะตราบใดที่อำนาจของกลุ่มอำมาตย์และกองทัพยังแข็งแกร่ง การกลับมาของ พ.ต.ท.ทักษิณก็เข้าแผนกลุ่มอำมาตย์ที่จะปลุกกระแสล้มรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นการกลับมาของกลุ่มพันธมิตรฯหรือกลุ่มขาประจำที่จะรวมพลังกันอีกครั้ง อย่างที่นายโจชัว เคอร์แลนท์ซิค ผู้เชี่ยวชาญด้านเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ประจำคณะกรรมการความสัมพันธ์ระหว่างประเทศสหรัฐ เชื่อว่าการกลับมาของ พ.ต.ท.ทักษิณไม่ว่าในช่วงเวลาใดก็ตาม จะนำไปสู่ความวุ่นวายอย่างหนักในประเทศไทยอีกครั้ง
แต่ที่น่าสนใจคือการกลับมาของสมาชิกบ้านเลขที่ 111 ที่จะปลดล็อกในวันที่ 31 พฤษภาคม 2555 จากกรณีตุลาการศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคไทยรัก-ไทย พร้อมตัดสิทธิคณะกรรมการบริหารเมื่อปี 2550 ซึ่งนักวิเคราะห์ทั้งในประเทศและต่างประเทศเชื่อว่าจะทำให้เกิดสีสันทางการเมืองและการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองครั้งใหญ่ แต่จะไม่รวดเร็ว เพราะสมาชิก บ้านเลขที่ 111 ที่ส่วนใหญ่ยังอยู่ข้าง พ.ต.ท.ทักษิณต้อง ช่วยประคองรัฐบาลยิ่งลักษณ์ให้อยู่ได้นานที่สุดอย่างน้อยก็ปี 2555 เพื่อสร้างผลงานและฐานอำนาจให้แข็งแกร่งพอจะต่อสู้กับกลุ่มอำมาตย์และกองทัพได้

ไม่ว่าจะเป็นนายจาตุรนต์ ฉายแสง, คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์, นายวราเทพ รัตนากร, นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา, นายภูมิธรรม เวชยชัย, นพ. พรหมมินทร์ เลิศสุริย์เดช, นายสุรนันทน์ เวชชาชีวะ, นางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ ฯลฯ แม้จะต้องต่อสู้กับกลุ่มนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ กลุ่มนายเนวิน ชิดชอบ กลุ่มนายสมศักดิ์ เทพสุทิน และกลุ่มนายสุชาติ ตันเจริญ ที่ พ.ต.ท.ทักษิณประกาศชัดเจนว่า “ไม่เผาผีกัน”
“ทักษิณ” กลับบ้าน?

อย่างไรก็ตาม การกลับประเทศของ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นหนึ่งในเป้าหลักของพรรคเพื่อไทย และเป็นการต่อสู้เพื่อยืนยันว่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับ พ.ต.ท.ทักษิณนั้นเป็นการกลั่นแกล้งทางการเมืองจากกระบวนการยุติธรรมสองมาตรฐานหรือตุลาการภิวัฒน์ พรรคเพื่อไทยจึงต้องหาทางช่วย พ.ต.ท.ทักษิณให้ได้รับความยุติธรรม อย่างการคืนพาสปอร์ต ทั้งที่รู้ว่าจะเป็นหนึ่ง ในเงื่อนไขทางการเมือง แต่ไม่ผิดเงื่อนไขทางกฎหมาย เพื่อยืนยันว่า พ.ต.ท.ทักษิณคือ “เหยื่อที่ถูกกลั่นแกล้ง” ไม่ใช่ “นักโทษหนีคดี” อย่างที่ฝ่ายตรงข้ามยัดเยียดให้ และเกิดจากผลพวงของรัฐประหารที่ใช้คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) เป็นเครื่องมือกำจัด พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ใช่ตามระบบยุติธรรมในการใช้กฎหมายปรกติ

ดังนั้น ต้องจับตามองว่าวันที่ 26 กรกฎาคม ซึ่ง เป็นวันคล้ายวันเกิดของ พ.ต.ท.ทักษิณครบรอบ 63 ปี และยังเป็นเดือนที่จะหมดวาระการทำงานของคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความเป็นจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) ซึ่งจะมีการเปิดเผยรายงานผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีเหตุการณ์เมษา-พฤษภา 2553 ของคณะอนุกรรมการ คอป. ของนายสมชาย หอมลออ จะมีอะไรเป็นของขวัญชิ้นพิเศษให้แก่ พ.ต.ท.ทักษิณหรือไม่

ด้าน น.ส.ยิ่งลักษณ์พูดในรายการรัฐบาลยิ่ง-ลักษณ์พบประชาชน ถึงสิ่งที่รัฐบาลจะทำในปี 2555 ว่าจะเร่งแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจและเรื่องความปรองดองของคนในชาติควบคู่กันไป เนื่องจากคนในชาติอยากเห็นความปรองดอง ซึ่งหลักการปรองดองจะทำควบคู่ไปกับประชาธิปไตย ต้องฟังความคิดเห็นจากประชาชน ทำอย่างไรถึงจะเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม เสมอภาคทุกคน และเป็นไปตามหลักนิติรัฐ
ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์

ดังนั้น ปี 2555 นี้ชื่อของ พ.ต.ท.ทักษิณจะยังเป็น “ตัวละครเอก” ที่ถูกใช้เป็นสัญลักษณ์แห่งความขัดแย้งทางการเมืองต่อไปอย่างแน่นอน ตราบใดที่สังคมไทยยังไม่ก้าวข้าม พ.ต.ท.ทักษิณ

ตราบใดที่ยังมีพรรคการเมืองขี้แพ้ (ชวนตี) ไม่ยอมรับผลการเลือกตั้งจากประชาชน ยังมีกลุ่มการเมืองภาคประชาชนที่กลัว “ผีทักษิณ” และกลุ่มที่หากินกับระบอบลัทธิ โดยการโฆษณาชวนเชื่อ หรือ พ.ต.ท.ทักษิณยังไม่ถูกปลดล็อกทางการเมือง

การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่จึงเกิดขึ้นได้เสมอ
ทั้งที่ความจริงแล้วสังคมไทยมองเห็นเด่นชัดว่าแทบเป็นไปไม่ได้ที่คนอย่าง พ.ต.ท.ทักษิณจะกลับประเทศมาเปิดหน้าเล่นการเมืองอีก ถึงกลับมาได้ก็จะไม่มีชื่อของ พ.ต.ท.ทักษิณในฐานะผู้นำประเทศ (ด้วยตนเอง) อีกต่อไป
หรือแม้แต่ พ.ต.ท.ทักษิณจะไม่ได้กลับ (อย่างเช่นทุกวันนี้) พรรคการเมืองที่ยึดโยง พ.ต.ท.ทักษิณก็ชนะการเลือกตั้งทุกครั้งไปอยู่ดี จนต้องตั้งคำถามว่าเหตุใดพรรคการเมืองเก่าแก่ที่หวังแต่รอส้มหล่นจากอุบัติเหตุทางการเมืองจึงไม่เคยชนะเลือกตั้งอีกเลยหลังจากมีรัฐบาลทักษิณเกิดขึ้น

ลึกๆแล้วสิ่งที่มนุษย์ทุกคนต้องการคือความยุติธรรม ความเสมอภาค ศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ และการอยู่ร่วมกันได้ในความคิดเห็นที่แตกต่าง

เมื่อสังคมไทยกลับมานับถือศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ เมื่อทุกคนมองเห็นทุกคนเป็นมนุษย์ที่มีสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่างกันได้ เรื่องเล็กอย่าง “ทักษิณ” ก็เป็นแค่เรื่องของมนุษย์คนหนึ่งที่สามารถแก้ปัญหาได้
เรื่องใหญ่อย่างคนตายเกือบร้อยศพ และบาดเจ็บร่วม 2,000 คน ก็ไม่ยากที่จะหาความยุติธรรม

เมื่อได้ค้นหาอย่างมีใจเป็นธรรมจะพบว่า “การปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขภายใต้รัฐธรรมนูญ” ก็คือระบอบที่ลงตัวและเหมาะสมกับสังคมไทยมากที่สุด ท่ามกลางความขัดแย้งแห่งวาระปัจจุบัน
เมื่อไรจะถึงวันที่คนไทยจะได้เลือกผู้นำ เลือกรัฐบาลที่คนไทยอยากได้ด้วยตนเอง หรือถ้าเลือกผิดก็อย่าเลือกกลับมาอีก หันไปเลือกคนใหม่ ไม่ต้องใส่เสื้อสีนั้นสีนี้ออกมาเต็มบ้านเต็มเมือง ไม่ต้องให้กองทัพฝ่ายเลวอ้างเหตุถือโอกาสยึดอำนาจไปจากประชาชนซ้ำแล้วซ้ำเล่า

ไม่ต้องเกี่ยวโยงไปถึงเรื่องรักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ รักสามัคคี หรือใครจงรักภักดีมากกว่าใคร อย่างไร แค่ไหน?
ทั้งหมดเป็นแค่เรื่องของ “ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์” พื้นๆเท่านั้นเอง

ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข
//////////////////////////////////////////////

วันอาทิตย์ที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2555

รฟท.ปลื้มประเดิมบริหารตลาดนัดจตุจักรไร้ปัญหา !!?



รฟท.ปลื้มประเดิมบริหารตลาดนัดจตุจักรไร้ปัญหา
รักษาการ ผอ.ตลาดนัดจตุจักร เผยไร้ปัญหามาเฟียหลัง รฟท.เข้ามาดูแลแทน กทม.และอาจขึ้นค่าเช่าแผงเล็กน้อย ประสานตำรวจเข้าดูแลความปลอดภัยในพื้นที่ พร้อมเปิดโอกาสผู้ค้าเก่ามาลงทะเบียนจนถึง 15 ม.ค.นี้...

 นายจรัสพันธ์ วัชโรทัย รักษาการผู้อำนวยการตลาดนัดจตุจักร กล่าวว่า ภายหลังจากการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ได้เข้ามาดูแลตลาดนัดจตุจักรอย่างเป็นทางการ ทุกอย่างเรียบร้อยดีไม่พบปัญหาร้องเรียนเรื่องของมาเฟียในตลาด และ รฟท. ยังได้เปิดให้ผู้ค้าตลาดนัดไม่ต้องจ่ายค่าเช่าแผงเป็นเวลา 60 วัน ตั้งแต่เดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ 2555 ซึ่งเป็นช่วงเปลี่ยนผ่านการโอนอำนาจบริหารจัดการระหว่างกรุงเทพมหานคร (กทม.) และ รฟท. และจากการเปิดให้ผู้ค้าเดิมลงทะเทียนเพื่อยืนยันเป็นเจ้าของแผงค้าเช่นเดิม ขณะนี้มีผู้ค้ามาลงทะเบียนแล้ว 8,500 แผง จากผู้ค้าทั้งหมดในตลาด 8,807 แผง โดย รฟท.จะเปิดให้ผู้ค้าเก่ามาลงทะเบียนยืนยันไปจนถึงวันที่ 15 มกราคมนี้

สำหรับการคิดค่าธรรมเนียมเช่าแผงใหม่นั้น รฟท. จะมีการเก็บค่าเช่าแผงในราคาที่เหมาะสมที่ผู้ค้าและ รฟท.รับได้ โดยอาจมีการขึ้นค่าเช่าเล็กน้อย แต่ยังอยู่ระหว่างการหารือ ส่วนเรื่องของสิ่งปลูกสร้างอาคารสถานที่ที่เป็นของ กทม.อยู่ระหว่างการหารือร่วมกันระหว่างคณะกรรมการทั้งสองฝ่าย สำหรับปัญหาการจัดเก็บขยะในตลาดนัดจตุจักร รฟท.ได้ประสานสำนักสิ่งแวดล้อมให้ร่วมช่วยเหลือการจัดเก็บขยะเช่นเดิม

นายจรัสพันธ์ กล่าวต่อว่า ในส่วนของการรักษาความปลอดภัยซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้ค้ากังวล เกี่ยวกับทรัพย์สินของร้านค้าภายในตลาดนัด ระหว่างนี้ได้ประสานให้เจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่ทั้งบางซื่อ จตุจักร ร่วมดูแล และจะนำเจ้าหน้าที่ตำรวจรถไฟมาให้การช่วยเหลือดูแลความปลอดภัยในพื้นที่ด้วย ก่อนที่จะมีการจ้างบริษัทมาดูแล ส่วนสาธารณูปโภค ห้องน้ำ ได้ใช้บริษัทที่ดูแลความสะอาดห้องน้ำเดิมของ กทม. และระหว่างนี้ได้มีการงดการจัดเก็บค่าเช่า และค่าบริการ.
ที่มา: ไทยรัฐ
////////////////////////////////////////////////////

วันเสาร์ที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2555

เหรียญสองด้าน โมเดลนิติราษฎร์...

โมเดลนิติราษฎร์ ในแนวทางแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ออกมา จากกลุ่มนักวิชาการซึ่งมีความเชี่ยวชาญด้านกฎหมายมหาชน ที่ จะว่าไปแล้ว ถือเป็นอีกพาร์ตของการเคลื่อนไหวแห่ง “เรดแมป” ฉบับมวลชนคนเสื้อแดง ที่กำลังถูกกล่าวขวัญและกลายเป็นประเด็นบริภาษในสังคมอย่างกว้างขวางทั้งแง่บวกและแง่ลบ

เนื่องด้วยจิ๊กซอว์ 4 ชิ้น ที่คณะนิติราษฎร์ วางธงจะนำมาประกอบร่างแก้ไขรัฐธรรมนูตาม “โมเดลนิติราษฎร์” อันประกอบด้วย รัฐธรรมนูญชั่วคราว พ.ศ.2475 รัฐธรรมนูญฉบับ 10 ธันวาคม 2475 รัฐธรรมนูญ ฉบับ พ.ศ.2489 โดยมีรัฐธรรมนูญฉบับ 2540 เป็น แกนกลาง

หากลงรายละเอียดไปถึงลายลักษณ์อักษรในตัวบทกฎหมายสูงสุดของประเทศที่ถูกยกมาอ้างอิง มันก็ล้วนปรากฏซึ่งเหตุผลแห่ง ความอ่อนไหวและเปราะบาง ยิ่งนำมาประกอบกับการเคลื่อนไหวของคณะนิติราษฎร์ ที่มีแผนรณรงค์แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมาย อาญา มาตรา 112 ผ่าน “คณะรณรงค์แก้ไขเพิ่มเติม ม.112” หรือ ครก.112 ในการรวบรวมรายชื่อเสนอร่าง พ.ร.บ.แก้ไขมาตรา 112 เข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภา..มันก็ล้วนสะท้อนให้เห็นนัยยะสำคัญทางการเมืองที่ไม่ธรรมดาเช่นกัน!!!

การเคลื่อนตามโมเดลนิติราษฎร์ครั้งนี้ จะเกิดปรากฏการณ์อะไรทางการเมืองตามมายังไม่มีใครทราบ แต่หากว่ากันตามมุมมอง ทางวิชาการทางกฎหมาย ย่อมปรากฏมิติแห่งชุดความคิดของกลุ่ม สนับสนุนและกลุ่มคัดค้าน ที่น่าจะเป็นกรณีศึกษาที่สามารถหยิบยก ไปใช้ทางวิชาการ ซึ่งน่าจะนำไปสู่จุดตกผลึกในอนาคตข้างหน้า

อย่างไรก็ตาม เนื่องด้วยเป็นข้อถกเถียงที่อ่อนไหวเปราะบาง “โต๊ะข่าวการเมือง” จึงขอยกเอาใจความสำคัญของ “ประกาศคณะนิติราษฎร์” ที่เผยแพร่ออกสู่สาธารณชนมาประกบกับบทความของ “คำนูน สิทธิสมาน” ที่ถูกตีพิมพ์ในคอลัมน์หน้ากระดานเรียงห้า (ผู้จัดการ ออนไลน์) มาเป็นข้อมูลเชิงเปรียบเทียบ เพื่อให้เห็นข้อดีข้อด้อยของทั้ง 2 มุมมอง โดยเฉพาะในปมบริภาษ..รัฐธรรมนูญ ฉบับใต้ตุ่ม!!!

l>> ประกาศคณะนิติราษฎร์ที่เผยแพร่ต่อสาธารณะเมื่อวันที่ 18 กันยายน 2554

คณะนิติราษฎร์ เห็นว่า รัฐธรรมนูญที่จะนำมาใช้เป็นต้นแบบ ในการจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่สมควรเป็นพระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พุทธศักราช 2475, รัฐธรรมนูญ แห่งราชอาณาจักรสยาม พุทธศักราช 2475, รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2489 และอาจนำรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 ในส่วนของการประกันสิทธิและ เสรีภาพตลอดจนโครงสร้างสถาบันการเมืองและองค์กรทางรัฐธรรมนูญเท่าที่สอดคล้องกับพัฒนาการในยุคร่วมสมัยมาเป็นแนวทางในการยกร่าง

เหตุที่คณะนิติราษฎร์เจาะจงมุ่งเน้นไปที่รัฐธรรมนูญ 3 ฉบับแรก ก็เนื่องจากพระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยาม ชั่วคราว พุทธศักราช 2475 ซึ่งเป็นรัฐธรรมนูญฉบับแรกเป็นรัฐธรรมนูญที่จัดวางระบอบประชาธิปไตยและหลักความเป็นราชอาณาจักรซึ่งกษัตริย์อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ ส่วนรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พุทธศักราช 2475 และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2489 เป็นรัฐธรรมนูญที่สืบเนื่องต่อมา ตามกระบวนการปกติ โดยที่ไม่มีการล้มล้างรัฐธรรมนูญนอกวิถีทาง ประชาธิปไตย

การรัฐประหารล้มล้างรัฐธรรมนูญทั้งฉบับเกิดขึ้นครั้งแรกใน วันที่ 8 พฤศจิกายน 2490 ต่อมา คณะรัฐประหารได้ประกาศใช้รัฐธรรมนูญ 9 พฤศจิกายน 2490 การรัฐประหารครั้งนั้นเป็นจุดเริ่มต้น ของ “วงจรอุบาทว์” ในระบอบการเมืองไทย นับแต่นั้น รัฐธรรมนูญฉบับที่สืบเนื่องต่อมา ก็เป็นรัฐธรรมนูญที่ถูกตัดตอนจากอุดมการณ์ ประชาธิปไตยของคณะราษฎร ข้อเสนอคณะนิติราษฎร์ให้นำรัฐธรรมนูญ 3 ฉบับแรกมาเป็นต้นแบบในการยกร่าง จึงเป็นความพยายาม นำระบอบการเมืองการปกครองในปัจจุบันกลับไปเชื่อมโยงอุดมการณ์ประชาธิปไตยของคณะราษฎร์ นอกจากนี้ เราอาจพิจารณาความเห็นของนายปรีดี พนมยงค์ ต่อรัฐประหาร 8 พฤศจิกายน 2490 ได้อีกด้วย

นายปรีดี เห็นว่า รัฐธรรมนูญฉบับใต้ตุ่ม (รัฐธรรมนูญ 9 พฤศจิกายน 2490) เป็นโมฆะ ระบบการเมืองและรัฐธรรมนูญฉบับ 2492 และฉบับต่อๆ มา ก็เป็นโมฆะ นอกจาก “มิใช่ระบบการเมืองประชาธิปไตยตามวิถีทางรัฐธรรมนูญโดยชอบ” แล้วยัง “มิใช่เป็นระบบปกครองที่สมบูรณ์ในตัวของรัฐธรรมนูญนั้นเอง” ด้วยเหตุผลสามประการ ดังนี้

ประการแรก การลงนามของกรมขุนชัยนาทนเรนทรในรัฐธรรมนูญฉบับใต้ตุ่มเป็นโมฆะ เพราะหัวเรื่องรัฐธรรมนูญฉบับดังกล่าว เขียนตำแหน่งผู้ลงนามแทนพระปรมาภิไธยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว คือ “คณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์” ซึ่งในภาษาไทยคำว่า “คณะ” หมายถึงบุคคลตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป แต่เหตุใดจึงมีผู้ลงนามเพียงคนเดียว คือ “รังสิต กรมขุนชัยนาทนเรนทร”

หลายคนที่มีจิตใจสังเกตก็แสดงความเห็นว่า เมื่อก่อนหน้าวันที่ 8 พฤศจิกายน เคยได้ฟังวิทยุกรมโฆษณาการอ่านประกาศกฎหมาย หลายฉบับ คือ เมื่ออ่านคำว่า “คณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์” แล้ว ก็อ่านต่อไปถึงชื่อคณะนั้นที่ลงนาม ซึ่งผู้ลงนาม 2 ท่าน คือ “รังสิต กรมขุนชัยนาทนเรนทร” และ “มานวราชเสวี” (พระยามานวราชเสวี) แสดงว่า คณะนั้นประกอบด้วยบุคคล 2 คน ฉะนั้น ผู้ใช้ความสังเกตจึงเห็นได้ทันทีว่า รัฐธรรมนูญ (ฉบับใต้ตุ่ม) ดังกล่าว เริ่มแสดงถึงการเป็นโมฆะตั้งแต่หัวเรื่องของรัฐธรรมนูญฉบับนั้น

นายปรีดี ยังได้ชี้ชวนให้พิจารณาประกาศตั้งคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ลงวันที่ 16 มิถุนายน 2489 อีกด้วยว่า เนื่อง จากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ยังทรงพระเยาว์ รัฐสภาจึงลงมติตั้งคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ประกอบด้วย พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมขุนชัยนาทนเรนทรเป็นประธาน และพระยามานวราชเสวี โดยมีข้อตกลงว่าในการลงนามเอกสารราชการนั้น ให้ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ทั้งสองเป็นผู้ลงนาม ดังนั้น รัฐธรรมนูญ ฉบับใต้ตุ่มซึ่งกรมขุนชัยนาทฯองค์เดียวเป็นผู้ลงนามจึงเป็นโมฆะ เพราะฝ่าฝืนข้อกำหนดในประกาศแต่งตั้งคณะผู้สำเร็จราชการแทน พระองค์ ฉบับวันที่ 16 มิถุนายน 2489

ประการที่สอง ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ได้ปฏิญาณตนต่อรัฐสภาว่าจะรักษาและปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักร ไทย นายปรีดีฯ เห็นว่า “...ผู้สำเร็จราชการที่ตั้งโดยรัฐสภาตามรัฐธรรมนูญฉบับ 2489 นี้ก็ได้ปฏิญาณตนต่อรัฐสภาว่า จะรักษาและปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ดังนั้น ถ้ากรมขุนชัยนาทฯ ได้ปฏิบัติตามที่ปฏิญาณและไม่ยอมลงพระนามในรัฐธรรมนูญฉบับใต้ตุ่ม ระบอบแห่งรัฐธรรมนูญใต้ตุ่มอันเป็นบ่อเกิด ให้ประเทศไทยมีรัฐธรรมนูญต่อมาอีกหลายฉบับ จนมวลราษฎรจำกันไม่ได้ว่ามีกี่ฉบับก็ไม่อาจเกิดขึ้นได้...”

ประการที่สาม ผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการในรัฐธรรมนูญฉบับใต้ตุ่ม เป็นตำแหน่งที่ไม่มีกฎหมายรองรับ นายปรีดี อธิบายว่า ผู้ลงนามรับสนองฯในรัฐธรรมนูญ 2490 คือ จอมพล ป. พิบูลสงคราม ผู้บัญชาการทหารแห่งประเทศไทย เป็นตำแหน่งที่คณะ รัฐประหาร ตั้งให้ จอมพล ป. พิบูลสงคราม ซึ่งผิดต่อกฎหมาย และ ผู้นั้นไม่มีอำนาจตามที่กฎหมายที่จะลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ

l>> “คำนูณ สิทธิสมาน” สมาชิกวุฒิสภา ระบบสรรหาหากดูข้อความในแถลงการณ์คณะนิติราษฎร์ประเด็นที่ระบุว่า..

“...เห็นว่ารัฐธรรมนูญที่จะนำมาใช้เป็นต้นแบบในการจัดทำ รัฐธรรมนูญใหม่สมควรเป็นพระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครอง แผ่นดินสยามชั่วคราว พุทธศักราช 2475 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พุทธศักราช 2475, รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2489 และอาจนำรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 ในส่วนของการประกันสิทธิและเสรีภาพตลอดจนโครงสร้างสถาบันการเมืองและองค์กรทาง รัฐธรรมนูญเท่าที่สอดคล้องกับพัฒนาการในยุคร่วมสมัยมาเป็น แนวทางในการยกร่าง”

จะเห็นว่ารัฐธรรมนูญ 2540 ถูกลดคุณค่าไปแค่ “อาจนำ” มาร่วมพิจารณาเฉพาะส่วนโครงสร้างสถาบันทางการเมืองและองค์กรทางรัฐธรรมนูญเท่านั้น ไม่ใช่ปรัชญาและแนวทางหลักแล้วพระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พุทธศักราช 2475 หรือที่ผมขอเรียก ณ ที่นี้ว่ารัฐธรรมนูญ 27 มิถุนายน 2475 มีอะไรโดดเด่นเป็นพิเศษหรือ?

ความโดดเด่นเป็นพิเศษคือเป็นรัฐธรรมนูญที่เกิดขึ้น 3 วันหลัง คณะราษฎรทำรัฐประหารยึดอำนาจการปกครองจากในหลวงรัชกาล ที่ 7 โดยคณะราษฎรเป็นผู้จัดทำฝ่ายเดียวแล้วนำมาถวายพระองค์ ท่าน แม้พระองค์อาจไม่ทรงเห็นด้วยในเนื้อหาบางประการ แต่ด้วย พระราชปณิธานสูงสุดที่ไม่ต้องการให้แผ่นดินนองเลือดจึงทรงยินยอม แต่ก็ลงพระอักษรกำกับรัฐธรรมนูญฉบับนี้ไว้ว่า “ชั่วคราว”

อันเป็นผลให้มีการยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่พระองค์ท่าน มีส่วนร่วมพระราชทานความเห็นด้วยออกมาประกาศใช้ในอีก 5 เดือน เศษต่อมาในวันที่ 10 ธันวาคม 2475 คือรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พุทธศักราช 2475 ซึ่งมีเนื้อหาบางประการแตกต่างออกไป

ในรัฐธรรมนูญ 27 มิถุนายน 2475 ไม่มีคำว่า “พระมหากษัตริย์” เหมือนรัฐธรรมนูญทุกฉบับต่อๆ มา โดยใช้คำว่า “กษัตริย์” เฉยๆ หลักการสำคัญอันเป็นเสมือนการแสดงเจตนารมณ์ปฏิบัติประชาธิปไตยเปลี่ยนระบอบบรรจุอยู่ในมาตรา 1 ด้วยข้อความที่สั้น กระชับ เมื่อพูดถึงอำนาจสูงสุดของประเทศก็มีแต่คำว่า “ราษฎร” เท่านั้น ไม่มีข้อความต่อมาที่ระบุถึง “พระมหากษัตริย์” ไว้ในมาตราเดียวกันเหมือนรัฐธรรมนูญฉบับต่อๆ มา “อำนาจสูงสุดของประเทศนั้นเป็นของราษฎรทั้งหลาย” ไม่ใช่แต่เพียงภาษาเท่านั้นแต่ฐานภาพของ “กษัตริย์” ตามรัฐธรรมนูญ 27 มิถุนายน 2475 ไม่เหมือน “พระมหากษัตริย์” ในรัฐธรรมนูญฉบับต่อมาทุกฉบับต่อจากนั้น อ่านหมวด 1 ข้อความทั่วไป และหมวด 2 กษัตริย์ ดูก็พอจะ รับรู้อารมณ์และเจตนารมณ์ได้ ที่สำคัญและดูเหมือนจะเชื่อมโยงไปถึงประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ที่คณะนิติราษฎร์และคนเสื้อแดงบางกลุ่มเสนอให้ทบทวนด้วยก็คือ รัฐธรรมนูญ 27 มิถุนายน 2475 ไม่มีหลักการสำคัญที่รัฐธรรมนูญทุกฉบับต่อมาบัญญัติคุ้มครองสถาบันพระมหากษัตริย์และองค์พระมหากษัตริย์ไว้เด็ดขาด ดังเช่นความในมาตรา 8 ของรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ซึ่งก็เหมือนฉบับ 2540 และฉบับอื่นๆ ก่อนหน้า...“องค์พระมหากษัตริย์ทรงดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพ สักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้/ผู้ใดจะกล่าวหาหรือฟ้องร้องพระมหากษัตริย์ในทางใดๆ มิได้”

หลักการนี้มีที่มาที่ไปที่แสดงลักษณะเฉพาะเป็นพิเศษของประเทศไทย และเพราะมีหลักการนี้บรรจุอยู่ในรัฐธรรมนูญ จึงเป็น เหตุให้มีประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ถ้าหลักการนี้ไม่คงอยู่ในรัฐธรรมนูญ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ก็ไม่มีฐานรองรับ
แน่นอนว่ารัฐธรรมนูญ 27 มิถุนายน 2475 ก็ยังคุ้มครองฐานภาพของ “กษัตริย์” แต่ไม่ได้คุ้มครองไว้เด็ดขาดเหมือนรัฐธรรมนูญฉบับต่อๆ มาทุกฉบับจนถึงปัจจุบัน รัฐธรรมนูญฉบับนี้บัญญัติไว้ในมาตรา 6 ว่า...

“กษัตริย์จะถูกฟ้องร้องคดีอาญาไปยังโรงศาลไม่ได้ เป็นหน้าที่ของสภาผู้แทนราษฎรจะวินิจฉัย” แม้คณะนิติราษฎร์ไม่ได้ระบุออกมาตรงๆ ว่ารัฐธรรมนูญใหม่ ควรจะต้องร่างอย่างนี้ แต่การหยิบยกให้นำแต่เฉพาะรัฐธรรมนูญของ คณะราษฎร 3 ฉบับ โดยเฉพาะรัฐธรรมนูญ 27 มิถุนายน 2475 ที่มีลักษณะเฉพาะแตกต่างออกไปจากรัฐธรรมนูญทุกฉบับ มาเป็น ต้นแบบ โดยลดความสำคัญของรัฐธรรมนูญ 2540 ลงไป..มันชวนให้คิด ชวนให้คาดการณ์ได้ไม่ใช่หรือ???

ขอย้ำว่านี่คือข้อถกเถียงในทางความคิดผ่านแง่มุมวิชาการ ด้านกฎหมาย ส่วนผลกระทบในทางการเมืองจากประเด็นดังกล่าว จะตามมาในรูปแบบใด..สังคมและสาธารณชนจำเป็นอย่างยิ่งยวดที่ต้องเฝ้าติดตาม อย่างมีสติ..ขอรับ!!!

ที่มา.สยามธุรกิจออนไลน์
///////////////////////////////////////////////////////////////

บนทางแยกประชาธิปไตย ของกองทัพและการเมือง !!?

ภายใต้ภาพเบลอแห่งโหราศาสตร์และดวงดาว ที่มีการทำนายทายทักให้เห็นอนาคตประเทศไทยในปีมะโรง..ที่ว่ากันไปต่างๆ นานา ทั้งเป็นคุณและไม่เป็นคุณต่อบรรยากาศ แห่งความสมานฉันท์ภายในประเทศ ปรากฏเป็นความสับสนจนสังคมจับต้นชนปลายไม่ถูก

จับจากตรรกะความเป็นจริง จังหวะก้าวทาง การเมืองที่ได้ดำเนินมาและมีแนวโน้มจะดำเนินไปผ่านมุมมองของ “รศ.ดร.สุรชาติ บำรุงสุข” อาจารย์ประจำภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่มอง ข้ามช็อตไว้อย่างน่าสนใจยิ่ง

“ก่อนอื่นต้องมองภาพรวมของการเมืองในปี 2555 ก่อนว่า น่าจะเกิดความร้อนแรงขึ้น ซึ่งเป็นผลมาจากการตกผลึกของการเมืองเมื่อปีที่แล้ว ซึ่งมีสภาพแบบแลหลังดูหน้า จากหลายๆ เรื่อง อย่างกรณีอากง-ม.112 ส่งผลมาถึงกรณีแก้รัฐธรรมนูญ คดี 91 ศพ นิรโทษกรรม รวมถึงตุลาการภิวัฒน์ โดยผลจากเรื่องราว เหล่านี้ทำให้เชื่อได้ว่าการเมืองไทยปี 55 ร้อนแรงขึ้นแน่”

“โดยเฉพาะเรื่องที่ต้องโฟกัสเป็นพิเศษ เพราะเป็นเรื่องที่เปราะบางมาก คงไม่พ้นเรื่องของมาตรา 112 ซึ่งตอนนี้ต้องถือว่า เป็นประเด็นสาธารณะไปแล้วและเชื่อว่าในปีนี้ฝ่ายนิติราษฎร์ น่าจะต้องจุดประเด็นขึ้นมาอีกซึ่งแน่นอนว่าคงทำให้ฝั่งทหารไม่พอใจแน่ เพราะเขาประกาศไว้ชัดเจนว่า ใครไม่เอา ม.112 ก็ไปอยู่ต่างประเทศก็แล้วกัน แต่ถ้าหากประชาชนบางส่วนต้องการและ ออกมาเคลื่อนไหว จะส่งผลให้ประเด็นนี้เป็นเรื่องใหญ่แน่นอน”

“ในด้านความเป็นเอกภาพของกองทัพ ขณะนี้ต้องยอมรับ ว่าเราสูญเสียไปตั้งแต่มีการรัฐประหารปี 49 แล้ว แม้จะยังควบคุม ได้แต่ขาดเอกภาพไปเยอะ หากพิจารณาจากการไปเยือนพม่าของ ผู้นำสหรัฐ เชื่อได้ว่าเขาเปิดรับพม่ามากขึ้น ซึ่งแน่นอนถ้าประเทศไทย ยังมีความรุนแรงทางการเมืองจากการใช้กำลังของทหาร ทำให้ ภาพลักษณ์ออกมาขัดแย้งกับระบอบประชาธิปไตย เขาอาจจะไม่เอา กับเราด้วย ฉะนั้น การทำรัฐประหารต่อไปคงไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะ นานาชาติไม่รับ กลุ่ม EU ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเขาไม่เอาด้วยตั้งแต่รัฐประหารรอบที่แล้ว”

“แม้ในเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญจะนำพาไปสู่ความขัดแย้ง แต่โดยหลักใหญ่ไม่ใช่เรื่องของตัวบทกฎหมาย แต่เนื้อแท้กลับเป็น เรื่องของการเมืองเสียมากกว่า ที่เราเคยพูดกันถึงการปรองดอง สมานฉันท์ หรืออะไรก็แล้วแต่ จะไม่มีผลเลยถ้ายังใช้กฎหมายที่มา จากการทำรัฐประหาร ฉะนั้น ถ้าเราอยากก้าวไปข้างหน้าต้องพิจารณา ผลพวงใหญ่ที่มาจากการทำรัฐประหาร นั่นคือรัฐธรรมนูญปี 50”

“ส่วนที่มองว่าทหารอาจได้รับผลจากความผิดในคดี 91 ศพ หากมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ประเด็นแรก คงต้องพิจารณา การให้ปากคำของฝ่ายการเมืองในรัฐบาลชุดที่แล้ว และหากเชิญทหารไปให้ปากคำที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล อันนี้อาจนำมาซึ่งปัญหาเรื่องศักดิ์ศรี คือ สีเขียว กับสีกากี อันนี้น่าห่วงมาก แต่ก็อาจเป็นไปได้ว่าจะกันฝ่ายทหารไว้เป็นพยาน เพราะเป้าประสงค์อยู่ที่ฝ่ายการเมืองมากกว่า เชื่อว่าน่าจะมีการ ประนีประนอมระหว่างรัฐบาลกับทหาร แต่ก็เหมือนทุ่นระเบิด แม้ผ่านไปได้ลูกหนึ่งก็ต้องเจออีกลูกหนึ่ง”

“เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลกับกองทัพจึงถือเป็นตัวแปรสำคัญ จากประวัติศาสตร์ยังไม่เคยมีปรากฏการณ์ ว่านายกรัฐมนตรีคนใดตรวจเยี่ยมกองทัพถึงที่แบบนายกฯ ยิ่งลักษณ์ (ชินวัตร) ซึ่งก็มองได้ว่าเป็นการไปขอบคุณที่ทหาร มาช่วยเหลือในสถานการณ์น้ำท่วม แต่ก็ถือว่าเป็นการลดความ บึ้งตึงระหว่างทหารกับรัฐบาล หรือเป็นการถอดชนวนระเบิดได้ด้วยดี จากนี้คงต้องดูท่าทีของฝ่ายชาตินิยมว่าจะแสดงท่าที อย่างไร เชื่อว่าถ้าไม่รุนแรงทหารเอาอยู่แน่”

“สุดท้าย สิ่งที่ต้องคำนึงไว้เสมอคือประเทศไทยไม่ได้ตั้งอยู่โดดเดี่ยวในโลก ทหารจึงต้องระมัดระวังหากจะต้องมีเรื่องขึ้นถึงศาลโลก อย่าลืมว่าแม้แต่ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ที่ว่ายิ่งใหญ่ยังต้องเชื่อฟังคำสั่งของศาลโลกอย่างดุษฏี”

ทีี่มา.สยามธุรกิจ
////////////////////////////////////////////////////////////

สภาเดือดกลางดึก.ซัดกันนัวสร้างสภาใหม่ !!?




สภาเดือดกลางดึก! ศึกประธาน อดีตประธาน ซัดกันนัว เรื่องสร้างสภาใหม่ "ปู่ชัย"ลั่นไม่มีเอี่ยวบริษัทประมูลก่อสร้าง

ในระหว่างการประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพื่อพิจารณา ร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2555 ในส่วมาตรา 26 ส่วนรัฐสภา ซึ่งนายชัย ชิดชอบ อดีต ประธานรัฐสภา ได้ลุกขึ้นทวงถามถามถึงวการจัดทำสภาใหม่โดยเฉพาะ ตามสัญญาเดิมที่จะให้เปิดประมูลในเดือน ธ.ค. 2554 ที่ผ่านมา แต่เหตุใดทำไม่ได้ ทำให้นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานรัฐสภา ชี้แจงว่า ที่ผ่านมามีการทำเรื่องทุกอย่างเอาไว้เรียบร้อยและมีบริษัทรอเข้าประมูล 4 บริษัท โดยที่ตนทำอะไรไม่ได้เลย ซึ่งตนรับไม่ได้ อีกทั้งยังมีการเพิ่มเงื่อนไขต่างๆจากหน่วยงานที่ไปขอพื้นที่มา ดังนั้นตนจึงต้องพิจารณา

ซึ่งมาถึงช่วงนี้ก็ดุเดือดมากขึ้น โดยนายสมศักดิ์กล่าวว่า "หากเป็นอย่างนี้จะกลายเป็นสภา 3 ชั่วโคตร ผมเป็นวิศวกรผมรู้ ท่านชัยครับ อย่าให้ผมพูดมากไปกว่านี้เลยเดี๋ยวท่านจะเจ็บตัวไปมากกว่านี้"

ทำให้นายชัย ลุกขึ้นสวนทันทีว่า "ท่านพูดเหมือนผมมีส่วนเกี่ยวข้องกับทั้งสี่บริษัท ขอยืนยันว่าตนไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง หากผมมีส่วนเกี่ยวข้องขอให้ผมมีอันเป็นไป แต่หากใครกล่าวหาโดยไม่มีข้อเท็จจริงก็ขอให้มีอันเป็นไปเช่นกัน"

ซึ่งทำให้นายสมศักดิ์ตัดบทและผ่านไปพิจารณาในมาตราต่อไป

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
//////////////////////////////////////////////////////

จงถามประชาชน !!?

อีก 8 เดือน หรือว่า...วันนี้

ไม่มีอะไรแตกต่างไปจากกัน สำหรับการคิดจะแก้ไขรัฐธรรมนูญ...เมื่อพรรคเพื่อไทยจะแก้ไข...เรื่องจะไม่มีใครคิดต่อต้านนั้นอย่าหวัง...

เพียงแต่ว่ามันจะหนักหนาสาหัสหรือไม่...จะนำไปสู่การเผชิญหน้าแบบไหน...จะกลายเป็นสงครามใหญ่หรือย่อม...ไม่มีใคร...คาดหมายได้หรือแม้แต่เดาไว้ล่วงหน้า...เพราะพรรคเพื่อไทยไม่ใช่พรรคประชาธิปัตย์...พรรคเพื่อไทย...ไม่เหมือนกับพรรคชาติไทยหรือพรรคชาติพัฒนา...

พรรคเพื่อไทยเป็นการพัฒนาไปอีกก้าวของการเมืองไทย...เป็นส่วนผสมกลมกลืนระหว่าง...ความรู้สึกของประชาชนกับกระบวนการรับรู้เกี่ยวกับการเมือง...

ถ้าความรู้สึกนึกคิดของประชาชนเกี่ยวกับการเมืองเป็นต้นตำลึง...พรรคเพื่อไทยเป็นนั่งร้านสำหรับให้ตำลึงเกี่ยวพันเติบโตขึ้นมา...และแน่นอนว่า...นั่งร้านก็คือนั่งร้าน...ต้นตำลึงก็คือต้นตำลึง...มันดูกลมกลืนเกาะเกี่ยว แต่มันก็ไม่ใช่หนึ่งเดียวกัน

พรรคเพื่อไทยบอกกับประชาชนว่า...จะแก้รัฐธรรมนูญหากชนะเลือกตั้ง...สิ่งที่ต้องทำอย่างแน่แท้แปรผันไม่ได้...ก็คือ...ต้องเอารัฐธรรมนูญมาแก้...ดึงให้นานออกไปก็ต้องมีคำอธิบายที่สมเหตุสมผล...ใครฟังแล้วเจือสม...ว่าไม่ใช่ระวังหัวโขนกลัวหล่นจากหัว...

ไม่มีการเมืองไหนๆ ที่ไม่มีการต่อสู้...ไม่มีการเมืองไหนๆ ที่ไม่มีฝักฝ่าย...

มีวันนี้กันขึ้นมาได้ก็เพราะมีการต่อสู้...ไม่มีอะไรที่ได้มาเปล่าๆ ของฟรีไม่มีในโลก...บุพการีเลี้ยงดูให้เติบโตแข็งแกร่ง...แล้วก็ต้องกลับไปเลี้ยงดูในยามที่บุพการีเรี่ยวแรงโรยรา...

อย่ารักหัวโขนมากไปกว่าการทำในสิ่งที่ต้องทำ...ผัดวันประกันพรุ่ง...มีแต่จะทำให้การแก้ไขยุ่งยากยิ่งขึ้น...เสี่ยงต่อความวิบัติวอดวายมากขึ้น...

เก็บเผด็จการให้พ้นไปจากประชาธิปไตย...ก็เหมือนเด็ดเหาออกจากหัว...อย่าให้ความกลัวทำให้เสื่อม...ประชาชนเลือกพวกท่านมาให้ทำหน้าที่...ทำประเทศให้ดีและน่าอยู่

ไม่กล้าก็ทำประชาพิจารณ์กันอีกครั้งหรือไม่...ถามคนไทยทั้งชาติว่า...จะเอารัฐธรรมนูญ 2540 รัฐธรรมนูญ 2550 มาเป็นต้นแบบแก้ไข...

ประชาชนตอบอย่างไร...ทำไปอย่างนั้น...

โดย:พญาไม้,บางกอกทูเดย์
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++