"กิตติรัตน์-สศช."ค้านคลังเปลี่ยนนโยบายการเงิน ใช้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปแทนเงินเฟ้อพื้นฐานกำหนดนโยบายปี"55 ห่วงนักลงทุนสับสน ราคาสินค้าพุ่ง
แหล่งข่าวจากที่ประชุมครม.เปิดเผยว่า การประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.)วานนี้(27 ธ.ค.) นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้รายงานให้ที่ประชุมรับทราบถึงข้อตกลงร่วมกันระหว่างคณะกรรมการนโยบายการเงินและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในการกำหนดเป้าหมายของนโยบายการเงินประจำปี 2555 ไว้ที่อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยรายปีที่ 3.0% โดยสามารถบวกลบเพิ่มเติมได้อีก 1.5% ซึ่งเป็นการเปลี่ยนจากเป้าหมายเดิมที่กำหนดไว้ที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานเฉลี่ยรายไตรมาสระหว่าง 0.5-3.0%ต่อปี
นายธีระชัยให้เหตุผลว่าการเปลี่ยนนโยบายการเงินของธปท.ใหม่ จากเดิมที่จะใช้เงินเฟ้อพื้นฐานมากำหนดเป้าหมายการดำเนินนโยบายการเงิน เป็นให้ใช้เงินเฟ้อทั่วไปในการกำหนดเป้าหมายการดำเนินนโยบายการเงินนั้น จะช่วยสะท้อนค่าครองชีพของประชาชนได้ดีขึ้น เนื่องจากในระยะหลังอัตราการขยายตัวของราคาในหมวดพลังงานและอาหารสดแตกต่างจากอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานมาก และอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเป็นดัชนีที่ครัวเรือนและธุรกิจใช้อ้างอิงในชีวิตประจำวัน จึงเอื้อต่อการสื่อสาร ง่ายต่อความเข้าใจ และสามารถยึดเหนี่ยวคาดการณ์เงินเฟ้อได้ดีกว่าอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน
ขณะที่การกำหนดระยะเวลาของเป้าหมายให้ยาวขึ้นจากรายไตรมาสเป็นรายปีจะสามารถสื่อสารถึงการมองไปข้างหน้ามากขึ้น และจะช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นของนโยบายการเงินในการรองรับปัจจัยที่ไม่คาดฝันต่างๆ ง่ายต่อการสื่อสาร และสอดคล้องกับระยะเวลาส่งผ่านนโยบายการเงินที่ 4-8 ไตรมาส รวมถึงการทบทวนเป้าหมายเงินเฟ้อที่ทำเป็นประจำทุกปีด้วย
นอกจากนี้ การกำหนดค่ากลางที่ชัดเจนจะเหมาะสมกว่าในการยึดเหนี่ยวการคาดการณ์เงินเฟ้อ เมื่อเทียบกับการกำหนดเป็นช่วงเป้าหมายที่มีเฉพาะขอบบนและขอบล่าง รวมทั้งการอนุญาตให้อัตราเงินเฟ้อสามารถเบี่ยงเบนไปจากค่ากลางเป็นการรักษาความยืดหยุ่นของการดำเนินนโยบายการเงิน โดยค่ากลางและค่าความเบี่ยงเบนที่กำหนดขึ้นสามารถพิจารณาให้มีความสอดคล้องกับประเทศคู่แข่ง เพื่อป้องกันการสูญเสียความสามารถในการแข่งขัน และมีความเหมาะสมกับพื้นฐานเศรษฐกิจไทยในระยะปานกลางถึงระยะยาว นอกจากนี้ระดับอัตราเงินเฟ้อนี้ยังเป็นระดับเป้าหมายของนโยบายการเงินในปีที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ระบุว่า ข้อเสนอดังกล่าวเป็นแนวคิดที่ดี แต่ไม่ควรนำมาใช้ทันทีในปี 2555 เพราะจะทำให้นักลงทุนทั้งในและต่างประเทศปรับตัวไม่ทันและเกิดความสับสนเกี่ยวกับการดำเนินนโยบาย รวมทั้งอาจจะส่งผลกระทบให้ราคาสินค้าที่มีผลต่อค้าครองชีพของประชาชนสูงขึ้น หากจะทบทวนนโยบายดังกล่าวก็ควรหารือกับผู้ที่เกี่ยวข้องอย่างรอบด้านก่อน
นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี จึงได้สอบถามความเห็นนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สศช.)ว่ามีความเห็นอย่างไร ซึ่งนายยอาคมเห็นว่าควรเลื่อนการนำเป้าหมายเงินเฟ้อทั่วไปมาใช้ในการดำเนินนโยบายการเงินในปี 2555 ออกไปก่อน แต่นายธีระชัยยืนยันว่ากระทรวงการคลังได้หารือร่วมกับผู้ว่าการธปท.ในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.)แล้ว นางสาวยิ่งลักษณ์จึงตัดบทว่าขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปหารือกันก่อนว่าการดำเนินการดังกล่าวจะมีผลกระทบต่อราคาสินค้าและค่าครองชีพอย่างไร!!!!!
ที่มา.กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
////////////////////////////////////////////////////////
วันพุธที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2554
วันอังคารที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2554
เดินหน้าแก้ไข ม.112 เปิดตัวทีมรณรงค์ล่ารายชื่อ 15 ม.ค.55..
คณะนิติราษฎร์เดินหน้าผลักดันแก้ไขมาตรา 112 วันที่ 15 ม.ค. นัดเปิดตัวคณะรณรงค์เพื่อรวบรวมรายชื่อผู้สนับสนุนยื่นร่างแก้ไขต่อสภา นอกจากนี้ยังขับเคลื่อนเพื่อยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ยินดีตอบทุกข้อซักถามเกี่ยวกับข้อเสนอลบล้างผลพวงรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 ก.ย. 2549 พร้อมแจกคู่มือลบล้างผลพวงรัฐประหารให้ผู้สนใจ “ยิ่งลักษณ์” ย้ำไม่แทรกแซงแก้รัฐธรรมนูญ ปล่อยให้เป็นหน้าที่ตัวแทนประชาชน ระบุหากฝ่ายการเมืองไม่ยุ่งไม่มีทางเกิดความขัดแย้ง “อภิสิทธิ์” จี้ถามเป้าหมายที่แท้จริงของความพยายามยกเลิกมาตรา 309 ทำเพื่ออะไร ชี้หากไม่อยากให้วุ่นวายต้องไม่แตกหมวดพระมหากษัตริย์
คณะนิติราษฎร์ : นิติศาสตร์เพื่อราษฎร ออกประกาศเชิญชวนผ่านเว็บไซต์ http://www.enlightened-jurists.com/ ให้เข้าร่วมกิจกรรมในเดือน ม.ค. 2555 ของคณะนิติราษฎร์ โดยระบุ ขอเรียนเชิญประชาชนผู้สนใจ นักวิชาการ และสื่อมวลชน ร่วมกิจกรรมทางวิชาการและการรณรงค์ที่เกี่ยวกับข้อเสนอของคณะนิติราษฎร์ ในเดือน ม.ค. 2555 ณ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ โดยมีรายละเอียดของงานดังต่อไปนี้
วันอาทิตย์ที่ 15 ม.ค. 2555 การรณรงค์แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 โดยจะเปิดตัวคณะรณรงค์แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 112 (ครก.112) เพื่อรวบรวมรายชื่อบุคคลเสนอร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ตามข้อเสนอคณะนิติราษฎร์ ซึ่งจะมีกิจกรรมทางวิชาการและกิจกรรมรณรงค์ต่างๆ ตั้งแต่เวลา 13.00 น. เป็นต้นไป ณ หอประชุมศรีบูรพา (หอประชุมเล็ก)
วันอาทิตย์ที่ 22 ม.ค. 2555 เนื่องในโอกาสครบรอบ 100 ปี คณะ ร.ศ. 130 และโอกาสเข้าสู่ปีที่ 80 ของการอภิวัตน์ 24 มิ.ย. 2475 เพื่อให้ “อำนาจสูงสุดของประเทศนั้นเป็นของราษฎรทั้งหลาย” คณะนิติราษฎร์จัดเสวนาทางวิชาการขับเคลื่อนข้อเสนอคณะนิติราษฎร์ และการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
ในงานมีการอภิปรายหัวข้อ “ลบล้างผลพวงรัฐประหาร-นิรโทษกรรม-ปรองดอง” แนวคำถาม-คำตอบ เรื่อง “ลบล้างผลพวงรัฐประหาร 19 ก.ย. 2549” “โต้” ปฏิกิริยาที่มีต่อข้อเสนอของคณะนิติราษฎร์ และเผยแพร่คู่มือลบล้างผลพวงรัฐประหาร พร้อมข้อเสนอวิธีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ งานเริ่มตั้งแต่เวลา 13.00 น. เป็นต้นไป ณ ห้องจิ๊ด เศรษฐบุตร (LT 1) และห้องปรีดี เกษมทรัพย์ (LT 2) คณะนิติศาสตร์
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวในรายการฟ้าวันใหม่ ทาง Blue Sky Channel เรียกร้องให้รัฐบาลชี้แจงจุดประสงค์ที่แท้จริงของการแก้ไขรัฐธรรมนูญว่าทำเพื่ออะไร มีวิธีการอย่างไร ซึ่งต้องไม่ใช่เรื่องนิรโทษกรรมล้างผิด
“ถ้าจะตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) ก็ไม่ควรพูดว่าจะแก้มาตราไหน เพราะต้องให้อิสระ ส.ส.ร. พิจารณา ยกเว้นบางหมวดที่เสี่ยงต่อความขัดแย้ง โดยเฉพาะหมวดเกี่ยวกับพระมหากษัตริย์ต้องพูดให้ชัดว่าไม่แก้”
นายอภิสิทธิ์กล่าวอีกว่า เรื่องมาตรา 309 ส่วนตัวเห็นว่าเป็นกฎหมายที่ใช้ไปแล้ว จบไปแล้ว เพราะเป็นเรื่องของบทเฉพาะกาล ถ้าบอกว่ายังไม่จบก็จะมีคำถามตามออกมาอีกมากมาย
“ความจริงเรื่องมาตรา 309 เกิดขึ้นก่อนมีรัฐธรรมนูญปี 2550 คือเกิดหลังรัฐประหาร รัฐธรรมนูญนี้ผ่านการลงประชามติ หากเราบอกว่าไม่ยอมรับก็แสดงว่าไม่เคยมีรัฐธรรมนูญปี 2550 ถ้าเราบอกว่าอะไรที่มาจากรัฐประหารไม่ยอมรับ ซึ่งจะยุ่งขึ้นไปอีก”
นายอภิสิทธิ์ตั้งคำถามว่าความพยายามลบล้างผลพวงรัฐประหารความจริงต้องการลบล้างอะไร เท่าที่เห็นคือพยายามไปผูกโยงกับคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ที่เอาเรื่อง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และรัฐบาลสมัยนั้นเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ซึ่งบางเรื่องศาลก็ไม่ได้ตัดสินตรงกับมติของ คตส. อย่างคดีทุจริตจัดซื้อกล้ายางพาราที่ คตส. บอกผิด แต่ศาลบอกไม่ผิด จึงควรเอาความจริงมาพูดกันดีกว่าว่ากำลังพยายามจะทำอะไร
นายเทพไท เสนพงศ์ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า พรรคเพื่อไทยควรแสดงจุดยืนให้ชัดเจนว่าจะทำประชามติแก้รัฐธรรมนูญหรือไม่ ซึ่งส่วนตัวเห็นว่าสมควรทำเพื่อไม่ให้เกิดความขัดแย้ง เพราะรัฐธรรมนูญปี 2550 ผ่านการลงประชามติมา 14 ล้านเสียง
“ถ้าจะทำประชามติต้องทำหลังจากได้ร่างรัฐธรรมนูญใหม่แล้ว หากไปทำก่อนก็เหมือนเซ็นเช็คเปล่าให้กรอกตัวเลข จึงควรได้เนื้อหาที่สมบูรณ์ก่อนไปถามประชาชน”
นายเทพไทกล่าวด้วยว่า เป็นเรื่องดีที่พรรคเพื่อไทยประกาศไม่แก้กฎหมายอาญา มาตรา 112 และอยากให้ส่งสัญญาณนี้ไปยังมวลชนที่สนับสนุนด้วย เพราะคนเสื้อแดงยังเดินหน้ารณรงค์ให้แก้ไขหรือยกเลิกมาตรา 112 ตลอดเวลา
น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า จะไม่ยุ่งเรื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญ ปล่อยให้เป็นเรื่องของตัวแทนประชาชนเป็นผู้พิจารณาประเด็นแก้ไข เมื่อได้รายละเอียดแล้วต้องกลับไปถามประชาชนว่ารับหรือไม่ เพื่อให้รัฐธรรมนูญมาจากประชาชนอย่างแท้จริง
“การแก้รัฐธรรมนูญจะไม่ทำให้เกิดความแตกแยกหากฝ่ายการเมืองไม่เข้าไปแทรกแซง ต้องปล่อยให้เป็นหน้าที่ของตัวแทนประชาชนและประชาชน”
ที่มา.หนังสือพิมพ์โลกวันนี้
**********************************************************************
คณะนิติราษฎร์ : นิติศาสตร์เพื่อราษฎร ออกประกาศเชิญชวนผ่านเว็บไซต์ http://www.enlightened-jurists.com/ ให้เข้าร่วมกิจกรรมในเดือน ม.ค. 2555 ของคณะนิติราษฎร์ โดยระบุ ขอเรียนเชิญประชาชนผู้สนใจ นักวิชาการ และสื่อมวลชน ร่วมกิจกรรมทางวิชาการและการรณรงค์ที่เกี่ยวกับข้อเสนอของคณะนิติราษฎร์ ในเดือน ม.ค. 2555 ณ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ โดยมีรายละเอียดของงานดังต่อไปนี้
วันอาทิตย์ที่ 15 ม.ค. 2555 การรณรงค์แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 โดยจะเปิดตัวคณะรณรงค์แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 112 (ครก.112) เพื่อรวบรวมรายชื่อบุคคลเสนอร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ตามข้อเสนอคณะนิติราษฎร์ ซึ่งจะมีกิจกรรมทางวิชาการและกิจกรรมรณรงค์ต่างๆ ตั้งแต่เวลา 13.00 น. เป็นต้นไป ณ หอประชุมศรีบูรพา (หอประชุมเล็ก)
วันอาทิตย์ที่ 22 ม.ค. 2555 เนื่องในโอกาสครบรอบ 100 ปี คณะ ร.ศ. 130 และโอกาสเข้าสู่ปีที่ 80 ของการอภิวัตน์ 24 มิ.ย. 2475 เพื่อให้ “อำนาจสูงสุดของประเทศนั้นเป็นของราษฎรทั้งหลาย” คณะนิติราษฎร์จัดเสวนาทางวิชาการขับเคลื่อนข้อเสนอคณะนิติราษฎร์ และการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
ในงานมีการอภิปรายหัวข้อ “ลบล้างผลพวงรัฐประหาร-นิรโทษกรรม-ปรองดอง” แนวคำถาม-คำตอบ เรื่อง “ลบล้างผลพวงรัฐประหาร 19 ก.ย. 2549” “โต้” ปฏิกิริยาที่มีต่อข้อเสนอของคณะนิติราษฎร์ และเผยแพร่คู่มือลบล้างผลพวงรัฐประหาร พร้อมข้อเสนอวิธีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ งานเริ่มตั้งแต่เวลา 13.00 น. เป็นต้นไป ณ ห้องจิ๊ด เศรษฐบุตร (LT 1) และห้องปรีดี เกษมทรัพย์ (LT 2) คณะนิติศาสตร์
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวในรายการฟ้าวันใหม่ ทาง Blue Sky Channel เรียกร้องให้รัฐบาลชี้แจงจุดประสงค์ที่แท้จริงของการแก้ไขรัฐธรรมนูญว่าทำเพื่ออะไร มีวิธีการอย่างไร ซึ่งต้องไม่ใช่เรื่องนิรโทษกรรมล้างผิด
“ถ้าจะตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) ก็ไม่ควรพูดว่าจะแก้มาตราไหน เพราะต้องให้อิสระ ส.ส.ร. พิจารณา ยกเว้นบางหมวดที่เสี่ยงต่อความขัดแย้ง โดยเฉพาะหมวดเกี่ยวกับพระมหากษัตริย์ต้องพูดให้ชัดว่าไม่แก้”
นายอภิสิทธิ์กล่าวอีกว่า เรื่องมาตรา 309 ส่วนตัวเห็นว่าเป็นกฎหมายที่ใช้ไปแล้ว จบไปแล้ว เพราะเป็นเรื่องของบทเฉพาะกาล ถ้าบอกว่ายังไม่จบก็จะมีคำถามตามออกมาอีกมากมาย
“ความจริงเรื่องมาตรา 309 เกิดขึ้นก่อนมีรัฐธรรมนูญปี 2550 คือเกิดหลังรัฐประหาร รัฐธรรมนูญนี้ผ่านการลงประชามติ หากเราบอกว่าไม่ยอมรับก็แสดงว่าไม่เคยมีรัฐธรรมนูญปี 2550 ถ้าเราบอกว่าอะไรที่มาจากรัฐประหารไม่ยอมรับ ซึ่งจะยุ่งขึ้นไปอีก”
นายอภิสิทธิ์ตั้งคำถามว่าความพยายามลบล้างผลพวงรัฐประหารความจริงต้องการลบล้างอะไร เท่าที่เห็นคือพยายามไปผูกโยงกับคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ที่เอาเรื่อง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และรัฐบาลสมัยนั้นเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ซึ่งบางเรื่องศาลก็ไม่ได้ตัดสินตรงกับมติของ คตส. อย่างคดีทุจริตจัดซื้อกล้ายางพาราที่ คตส. บอกผิด แต่ศาลบอกไม่ผิด จึงควรเอาความจริงมาพูดกันดีกว่าว่ากำลังพยายามจะทำอะไร
นายเทพไท เสนพงศ์ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า พรรคเพื่อไทยควรแสดงจุดยืนให้ชัดเจนว่าจะทำประชามติแก้รัฐธรรมนูญหรือไม่ ซึ่งส่วนตัวเห็นว่าสมควรทำเพื่อไม่ให้เกิดความขัดแย้ง เพราะรัฐธรรมนูญปี 2550 ผ่านการลงประชามติมา 14 ล้านเสียง
“ถ้าจะทำประชามติต้องทำหลังจากได้ร่างรัฐธรรมนูญใหม่แล้ว หากไปทำก่อนก็เหมือนเซ็นเช็คเปล่าให้กรอกตัวเลข จึงควรได้เนื้อหาที่สมบูรณ์ก่อนไปถามประชาชน”
นายเทพไทกล่าวด้วยว่า เป็นเรื่องดีที่พรรคเพื่อไทยประกาศไม่แก้กฎหมายอาญา มาตรา 112 และอยากให้ส่งสัญญาณนี้ไปยังมวลชนที่สนับสนุนด้วย เพราะคนเสื้อแดงยังเดินหน้ารณรงค์ให้แก้ไขหรือยกเลิกมาตรา 112 ตลอดเวลา
น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า จะไม่ยุ่งเรื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญ ปล่อยให้เป็นเรื่องของตัวแทนประชาชนเป็นผู้พิจารณาประเด็นแก้ไข เมื่อได้รายละเอียดแล้วต้องกลับไปถามประชาชนว่ารับหรือไม่ เพื่อให้รัฐธรรมนูญมาจากประชาชนอย่างแท้จริง
“การแก้รัฐธรรมนูญจะไม่ทำให้เกิดความแตกแยกหากฝ่ายการเมืองไม่เข้าไปแทรกแซง ต้องปล่อยให้เป็นหน้าที่ของตัวแทนประชาชนและประชาชน”
ที่มา.หนังสือพิมพ์โลกวันนี้
**********************************************************************
สัญญาณความเปลี่ยนแปลงในพม่าประเทศประชาธิปไตยใหม่หรือฉากทางเศรษฐกิจ !!?
ถึงแม้ว่าการเลือกตั้งของพม่าจะถูกจับตาว่าเป็นการลอกคราบจากรัฐบาลเผด็จการทหารสู่รัฐบาลพลเรือน ที่มีระบอบการปกครองในรูปแบบของประชาธิปไตยที่เต็มไปด้วยความเคลือบแคลงสงสัยในกฎกติกาการจัดให้มีการเลือกตั้งในครั้งที่ผ่านมาว่ามีความความบริสุทธิ์ ยุติธรรมเพียงใด? แต่ก็ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นของการปฏิรูปประเทศของพม่าที่ใช้ได้ทีเดียว...
เกิดคำถามขึ้นมากมายในช่วงระยะเวลาหลังจากสิ้นสุดการถอดเครื่องแบบทหารลงสนามเลือกตั้งแล้ว?...ทั้งนางออง ซาน ซู จี เปิดแนวทางการเจรจากับรัฐบาลพม่าเพื่อป้องกันการคว่ำบาตรจากโลกฝ่ายตะวันตกที่ทำกับรัฐบาลพม่ามาหลายปี? เป็นเพราะนางซู จี เองคำนึงถึงผลกระทบกับประชาชนที่มากกว่าจะเกิดกับรัฐบาล หรือการดึงดันที่จะให้โลกตะวันตกคว่ำบาตรพม่าอย่างไรก็ไม่ได้ผล หรือเป็นเพราะการเปลี่ยนแปลงในแบบโลกาภิวัตน์ที่วิ่งเข้าชนพม่าจนต้องยอมรับการเปลี่ยนแปลงของโลก หรือนางซู จี ไม่มีทางเลือกอื่นที่ดีกว่า โดยอาจมีเงื่อนไขการปล่อยนักโทษการเมืองเพื่อสิทธิมนุษยชนแลกเปลี่ยน หรือจะเป็นเหตุผลอื่นๆที่อยู่เบื้องหลังการจับมือกันครั้งนี้?
การกักบริเวณนางซู จี ตามคำสั่งของรัฐบาลพม่า ก็ไม่เคยลดบทบาทสำคัญในฐานะนักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยในพม่าเลย การปล่อยตัวนางซู จี ในฐานะที่เป็นนักสู้รางวัลโนเบล สาขาสันติภาพ ปี 2534 น่าจะเป็นภาพลักษณ์ที่ดีของการเริ่มต้นประชาธิปไตยต่อจากการจัดให้มีการเลือกตั้งตามแบบอย่างของระบอบประชาธิปไตย
การที่รัฐบาลพยายามจูนคลื่นเข้าหานางซู จี และกลุ่มชาติพันธุ์เพื่อประสานความร่วมมือในการเปลี่ยนแปลง โดยการเจรจายุติการยิงของกองกำลังติดอาวุธของชนกลุ่มน้อย สิ่งนี้ช่วยยืนยันได้ถึงการยุติสงครามภายในประเทศของรัฐต่างๆในพม่าที่จะแสดงถึงความมีเสถียรภาพของประเทศที่เป็นไปได้...ซึ่งก็ต้องยอมรับว่าได้ผลไม่น้อย โดยดูได้จากการเดินทางมาเยือนของนานาชาติ และรัฐบาลพม่าให้บทบาทในการเจรจากับนางซู จี ทั้งสหรัฐ อียู จีน ไทย และล่าสุดนายโคอิจิโร เกมบะ รัฐมนตรีต่างประเทศญี่ปุ่น ที่เดินทางมายังดินแดนพม่าเพื่อผลักดันการปฏิรูปประเทศของพม่าและการเจรจาทางเศรษฐกิจ...ทั้งๆที่นางซู จี ไม่มีตำแหน่งอะไรในรัฐบาลเลย แม้กระทั่งผู้นำฝ่ายค้าน แต่มีบทบาทสำคัญในการเจรจากับสหรัฐ หรืออียู สิ่งนั้นคืออะไร ทำไมถึงมีเสียงตอบรับจากรัฐบาลพม่า สหรัฐอเมริกาและนานาชาติเป็นอย่างดี?
เข้าใจได้ว่านี่คือก้าวย่างหนึ่งของประธิปไตยในพม่าที่พร้อมจะขับเคลื่อนตัวเองออกจากเงามืดของเผด็จการทหารเข้าสู่ประเทศประชาธิปไตยใหม่ และพร้อมที่จะเปิดรับการช่วยเหลือทางเศรษฐกิจในทุกประเทศมหาอำนาจที่พยายามแผ่เข้ามายังพม่า...
นอกจากรัฐบาลพม่าจะเดินหมากด้านนางซู จี และการเจรจาเพื่อยุติการยิงแล้ว การเตรียมพรรคการเมืองใหม่ของนางซู จี เพื่อลงเลือกตั้งซ่อมยังเป็นอีกภาพลักษณ์ที่ช่วยสร้างความเป็นประชาธิปไตยในพม่าได้...
ประชาธิปไตยของพม่าจึงยังเป็นสิ่งที่เคลือบแคลงสงสัยว่าจะเป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง หรือเป็นเพียงแผนการของนายพลตัน ฉ่วย กันแน่? ถ้าเป็นเพียงแค่การวางแผนของรัฐบาลทหารในคราบรัฐบาลพลเรือน ยังคงต้องมองต่อว่า นางซู จี จะยอมเป็นเพียงหมากตัวหนึ่งเท่านั้นหรือ? หรือเป็นการแลกเปลี่ยนเงื่อนไขที่สามารถตกลงกันได้ ที่เรียกว่าผลประโยชน์ลงตัว...แล้วอะไรเล่าคือผลประโยชน์ที่เจ้าของรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพยอมตกลงด้วย?...
จะอย่างไรก็แล้วแต่ ไม่ว่าจะเป็นเพียงหน้ากากประชาธิปไตยหรือจะเป็นประชาธิปไตยในระยะเริ่มต้น...หากเมื่อพม่าได้ลิ้มรสความเป็นประชาธิปไตยที่มีสิทธิและเสรีภาพแล้ว จะต้องมีก้าวที่มากกว่าอย่างแน่นอน...ถึงแม้ว่าจะมีสัญญาณจากนายพลตัน ฉ่วย ว่าหากอำนาจของรัฐบาลพลเรือนไม่สามารถควบคุมได้ พล.อ.มิน ออง หล่าย ก็พร้อมที่จะเข้าแทรกแซงทุกเวลา! นี่ยังเป็นอีกสัญญาณที่รอวันปะทุ!
เมื่อพม่าเริ่มตื่นและพาตัวเองออกจากเงามืด แล้วนานาชาติกำลังให้ความสนใจด้วย เพราะปัจจัยหลายอย่างทั้งทรัพยากรธรรมชาติที่ถือว่ายังอุดมสมบูรณ์ แรงงาน ค่าแรง ค่าขนส่ง ทุกอย่างเป็นของใหม่ที่นานาชาติพร้อมจะกระโจนเข้าหา รวมถึงแหล่งพลังงานธรรมชาติที่มีอยู่อย่างมหาศาล...
และหากความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างพม่ากับนานาชาติเกิดขึ้นแล้ว จะสามารถพลิกพม่าให้เป็นประเทศที่น่าสนใจได้ไม่น้อย...ความน่ากลัวจะมาตกอยู่กับประเทศไทยเรา อีกหน่อยอาจมีแรงงานไทยไปขายแรงงานในพม่าบ้างก็ได้...
ที่มา.หนังสือพิมพ์โลกวันนี้
**********************************************************************
เกิดคำถามขึ้นมากมายในช่วงระยะเวลาหลังจากสิ้นสุดการถอดเครื่องแบบทหารลงสนามเลือกตั้งแล้ว?...ทั้งนางออง ซาน ซู จี เปิดแนวทางการเจรจากับรัฐบาลพม่าเพื่อป้องกันการคว่ำบาตรจากโลกฝ่ายตะวันตกที่ทำกับรัฐบาลพม่ามาหลายปี? เป็นเพราะนางซู จี เองคำนึงถึงผลกระทบกับประชาชนที่มากกว่าจะเกิดกับรัฐบาล หรือการดึงดันที่จะให้โลกตะวันตกคว่ำบาตรพม่าอย่างไรก็ไม่ได้ผล หรือเป็นเพราะการเปลี่ยนแปลงในแบบโลกาภิวัตน์ที่วิ่งเข้าชนพม่าจนต้องยอมรับการเปลี่ยนแปลงของโลก หรือนางซู จี ไม่มีทางเลือกอื่นที่ดีกว่า โดยอาจมีเงื่อนไขการปล่อยนักโทษการเมืองเพื่อสิทธิมนุษยชนแลกเปลี่ยน หรือจะเป็นเหตุผลอื่นๆที่อยู่เบื้องหลังการจับมือกันครั้งนี้?
การกักบริเวณนางซู จี ตามคำสั่งของรัฐบาลพม่า ก็ไม่เคยลดบทบาทสำคัญในฐานะนักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยในพม่าเลย การปล่อยตัวนางซู จี ในฐานะที่เป็นนักสู้รางวัลโนเบล สาขาสันติภาพ ปี 2534 น่าจะเป็นภาพลักษณ์ที่ดีของการเริ่มต้นประชาธิปไตยต่อจากการจัดให้มีการเลือกตั้งตามแบบอย่างของระบอบประชาธิปไตย
การที่รัฐบาลพยายามจูนคลื่นเข้าหานางซู จี และกลุ่มชาติพันธุ์เพื่อประสานความร่วมมือในการเปลี่ยนแปลง โดยการเจรจายุติการยิงของกองกำลังติดอาวุธของชนกลุ่มน้อย สิ่งนี้ช่วยยืนยันได้ถึงการยุติสงครามภายในประเทศของรัฐต่างๆในพม่าที่จะแสดงถึงความมีเสถียรภาพของประเทศที่เป็นไปได้...ซึ่งก็ต้องยอมรับว่าได้ผลไม่น้อย โดยดูได้จากการเดินทางมาเยือนของนานาชาติ และรัฐบาลพม่าให้บทบาทในการเจรจากับนางซู จี ทั้งสหรัฐ อียู จีน ไทย และล่าสุดนายโคอิจิโร เกมบะ รัฐมนตรีต่างประเทศญี่ปุ่น ที่เดินทางมายังดินแดนพม่าเพื่อผลักดันการปฏิรูปประเทศของพม่าและการเจรจาทางเศรษฐกิจ...ทั้งๆที่นางซู จี ไม่มีตำแหน่งอะไรในรัฐบาลเลย แม้กระทั่งผู้นำฝ่ายค้าน แต่มีบทบาทสำคัญในการเจรจากับสหรัฐ หรืออียู สิ่งนั้นคืออะไร ทำไมถึงมีเสียงตอบรับจากรัฐบาลพม่า สหรัฐอเมริกาและนานาชาติเป็นอย่างดี?
เข้าใจได้ว่านี่คือก้าวย่างหนึ่งของประธิปไตยในพม่าที่พร้อมจะขับเคลื่อนตัวเองออกจากเงามืดของเผด็จการทหารเข้าสู่ประเทศประชาธิปไตยใหม่ และพร้อมที่จะเปิดรับการช่วยเหลือทางเศรษฐกิจในทุกประเทศมหาอำนาจที่พยายามแผ่เข้ามายังพม่า...
นอกจากรัฐบาลพม่าจะเดินหมากด้านนางซู จี และการเจรจาเพื่อยุติการยิงแล้ว การเตรียมพรรคการเมืองใหม่ของนางซู จี เพื่อลงเลือกตั้งซ่อมยังเป็นอีกภาพลักษณ์ที่ช่วยสร้างความเป็นประชาธิปไตยในพม่าได้...
ประชาธิปไตยของพม่าจึงยังเป็นสิ่งที่เคลือบแคลงสงสัยว่าจะเป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง หรือเป็นเพียงแผนการของนายพลตัน ฉ่วย กันแน่? ถ้าเป็นเพียงแค่การวางแผนของรัฐบาลทหารในคราบรัฐบาลพลเรือน ยังคงต้องมองต่อว่า นางซู จี จะยอมเป็นเพียงหมากตัวหนึ่งเท่านั้นหรือ? หรือเป็นการแลกเปลี่ยนเงื่อนไขที่สามารถตกลงกันได้ ที่เรียกว่าผลประโยชน์ลงตัว...แล้วอะไรเล่าคือผลประโยชน์ที่เจ้าของรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพยอมตกลงด้วย?...
จะอย่างไรก็แล้วแต่ ไม่ว่าจะเป็นเพียงหน้ากากประชาธิปไตยหรือจะเป็นประชาธิปไตยในระยะเริ่มต้น...หากเมื่อพม่าได้ลิ้มรสความเป็นประชาธิปไตยที่มีสิทธิและเสรีภาพแล้ว จะต้องมีก้าวที่มากกว่าอย่างแน่นอน...ถึงแม้ว่าจะมีสัญญาณจากนายพลตัน ฉ่วย ว่าหากอำนาจของรัฐบาลพลเรือนไม่สามารถควบคุมได้ พล.อ.มิน ออง หล่าย ก็พร้อมที่จะเข้าแทรกแซงทุกเวลา! นี่ยังเป็นอีกสัญญาณที่รอวันปะทุ!
เมื่อพม่าเริ่มตื่นและพาตัวเองออกจากเงามืด แล้วนานาชาติกำลังให้ความสนใจด้วย เพราะปัจจัยหลายอย่างทั้งทรัพยากรธรรมชาติที่ถือว่ายังอุดมสมบูรณ์ แรงงาน ค่าแรง ค่าขนส่ง ทุกอย่างเป็นของใหม่ที่นานาชาติพร้อมจะกระโจนเข้าหา รวมถึงแหล่งพลังงานธรรมชาติที่มีอยู่อย่างมหาศาล...
และหากความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างพม่ากับนานาชาติเกิดขึ้นแล้ว จะสามารถพลิกพม่าให้เป็นประเทศที่น่าสนใจได้ไม่น้อย...ความน่ากลัวจะมาตกอยู่กับประเทศไทยเรา อีกหน่อยอาจมีแรงงานไทยไปขายแรงงานในพม่าบ้างก็ได้...
ที่มา.หนังสือพิมพ์โลกวันนี้
**********************************************************************
วันจันทร์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2554
การเลือกตั้งคือประชามติ !!?
เรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นจริงเป็นจังขึ้นมาแล้ว
ทุกฝ่ายในสังคมเวลานี้ดูเหมือนจะพูดตรงกันว่าต้องแก้
ต่างกันที่ว่าจะแก้อย่างไร จะแก้เมื่อไร ซึ่งอีกไม่กี่วันก็คงจะได้ข้อสรุป
ยังมีจระเข้ขวางคลองอีกพวกหนึ่งที่พยายามจะทำให้เรื่องมั่ว-สับสน จนคนจับต้นชนปลายไม่ถูก คือพวกที่ไปคว้าเอาเรื่องแก้รัฐธรรมนูญกับเรื่องแก้ ป.อาญา มาตรา 112 มาพูดปนกัน
คนพวกนี้จงใจจะทำให้คนที่ไม่ได้เรียนกฎหมายหลงผิดคิดว่าเรื่องแก้รัฐธรรมนูญของพวกโจรกบฏเป็นเรื่องเดียวกับการแก้ ม.112
ต้องย้ำกันให้ชัด และวานท่านผู้อ่านช่วยบอกกันต่อๆไปด้วยนะครับว่า ที่พูดกันเรื่อง ม.112 นั่นมันเป็นเรื่องของกฎหมายอาญา หรือเรียกเต็มๆว่า ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 หรือเขียนย่อว่า ป.อาญา ม.112 เป็นคนละฉบับกับรัฐธรรมนูญ
ตอนนี้ผมได้ยินคนอ่านข่าวทีวี.หลายคนพาให้หลงทาง โดยพูดรวมไปว่าจะมีการแก้รัฐธรรมนูญโดยเฉพาะมาตรา 112 ซึ่งเลอะเทอะไปมาก
รัฐธรรมนูญก็รัฐธรรมนูญ
มาตรา 112 ที่พูดกันนั้นอยู่ในประมวลกฎหมายอาญา สมมุติว่าจะแก้ก็ต้องแก้คนละวาระ คนละโอกาส ไม่ใช่เอามาพูดปนกันอย่างที่ได้ฟัง และได้อ่านใน น.ส.พ. หลายฉบับ หลายคอลัมน์
เมื่อจำแนกชัดว่าจะพูดเรื่องการแก้รัฐธรรมนูญฉบับ 2550 หรือฉบับปัจจุบัน ซึ่งใช้มา 5 ปีดังนี้แล้ว ก็สามารถพูดต่อไปได้ว่า รัฐธรรมนูญฉบับนี้ผ่านการพิจารณาของประชาชนมาแล้วหลายรอบ ตั้งแต่ยังยกร่างกันอยู่ เสร็จแล้วนำมาขอประชามติ ต่อมาก็ประกาศใช้
หลังการประกาศใช้แล้วก็มีการเลือกตั้งทั่วไป 2 ครั้งคือ เมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ. 2550 ครั้งหนึ่ง เดือนกรกรฎาคมที่ผ่านมาอีกครั้งหนึ่ง
ในการหาเสียงเลือกตั้งได้มีการนำเสนอประเด็นเรื่องรัฐธรรมนูญกันมาทั้ง 2 ครั้งคือ พรรคพลังประชาชน ซึ่งปัจจุบันกลายมาเป็นพรรคเพื่อไทย ได้เสนอนโยบายต่อประชาชนว่า รัฐธรรมนูญนี้มีหลักการไม่เป็นประชาธิปไตย จำเป็นต้องแก้ไข หรือไม่ก็ยกเลิก
ส่วนพรรคประชาธิปัตย์และพรรคอื่นๆไม่ได้เสนอปัญหานี้ จึงทำเป็นเฉยๆ หรือไม่ก็คัดค้านกลายๆบางประเด็น
การเลือกตั้งทั้ง 2 ครั้งปรากฏว่าประชาชนเลือกพรรคที่เสนอเแก้ไขรัฐธรรมนูญมากที่สุด
นี่ย่อมแสดงว่าประชาชนเข้าใจเรื่องรัฐธรรมนูญ
ถึงไม่รู้เท่านักวิชาการ แต่อย่างน้อยก็พอรู้ล่ะว่ารัฐธรรมนูญแท้จริง กับรัฐธรรมนูญของโจรกบฏมันต่างกันอย่างไร
วันนี้ผู้เขียนจึงไม่ชอบฟังที่นักการเมืองในสภาอ้างท่าโน้นท่านี้เพื่อชะลอการแก้รัฐธรรมนูญ หรือไม่ก็ขอประชามติก่อนจะมีการแก้รัฐธรรมนูญ ทำราวกะว่ามันเป็นเรื่องใหม่
การเลือกตั้ง 2 ครั้งมันเป็นประชามติอยู่แล้ว
เข้าใจหรือยัง?
ที่มา.หนังสือพิมพ์โลกวันนี้
**********************************************************************
ทุกฝ่ายในสังคมเวลานี้ดูเหมือนจะพูดตรงกันว่าต้องแก้
ต่างกันที่ว่าจะแก้อย่างไร จะแก้เมื่อไร ซึ่งอีกไม่กี่วันก็คงจะได้ข้อสรุป
ยังมีจระเข้ขวางคลองอีกพวกหนึ่งที่พยายามจะทำให้เรื่องมั่ว-สับสน จนคนจับต้นชนปลายไม่ถูก คือพวกที่ไปคว้าเอาเรื่องแก้รัฐธรรมนูญกับเรื่องแก้ ป.อาญา มาตรา 112 มาพูดปนกัน
คนพวกนี้จงใจจะทำให้คนที่ไม่ได้เรียนกฎหมายหลงผิดคิดว่าเรื่องแก้รัฐธรรมนูญของพวกโจรกบฏเป็นเรื่องเดียวกับการแก้ ม.112
ต้องย้ำกันให้ชัด และวานท่านผู้อ่านช่วยบอกกันต่อๆไปด้วยนะครับว่า ที่พูดกันเรื่อง ม.112 นั่นมันเป็นเรื่องของกฎหมายอาญา หรือเรียกเต็มๆว่า ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 หรือเขียนย่อว่า ป.อาญา ม.112 เป็นคนละฉบับกับรัฐธรรมนูญ
ตอนนี้ผมได้ยินคนอ่านข่าวทีวี.หลายคนพาให้หลงทาง โดยพูดรวมไปว่าจะมีการแก้รัฐธรรมนูญโดยเฉพาะมาตรา 112 ซึ่งเลอะเทอะไปมาก
รัฐธรรมนูญก็รัฐธรรมนูญ
มาตรา 112 ที่พูดกันนั้นอยู่ในประมวลกฎหมายอาญา สมมุติว่าจะแก้ก็ต้องแก้คนละวาระ คนละโอกาส ไม่ใช่เอามาพูดปนกันอย่างที่ได้ฟัง และได้อ่านใน น.ส.พ. หลายฉบับ หลายคอลัมน์
เมื่อจำแนกชัดว่าจะพูดเรื่องการแก้รัฐธรรมนูญฉบับ 2550 หรือฉบับปัจจุบัน ซึ่งใช้มา 5 ปีดังนี้แล้ว ก็สามารถพูดต่อไปได้ว่า รัฐธรรมนูญฉบับนี้ผ่านการพิจารณาของประชาชนมาแล้วหลายรอบ ตั้งแต่ยังยกร่างกันอยู่ เสร็จแล้วนำมาขอประชามติ ต่อมาก็ประกาศใช้
หลังการประกาศใช้แล้วก็มีการเลือกตั้งทั่วไป 2 ครั้งคือ เมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ. 2550 ครั้งหนึ่ง เดือนกรกรฎาคมที่ผ่านมาอีกครั้งหนึ่ง
ในการหาเสียงเลือกตั้งได้มีการนำเสนอประเด็นเรื่องรัฐธรรมนูญกันมาทั้ง 2 ครั้งคือ พรรคพลังประชาชน ซึ่งปัจจุบันกลายมาเป็นพรรคเพื่อไทย ได้เสนอนโยบายต่อประชาชนว่า รัฐธรรมนูญนี้มีหลักการไม่เป็นประชาธิปไตย จำเป็นต้องแก้ไข หรือไม่ก็ยกเลิก
ส่วนพรรคประชาธิปัตย์และพรรคอื่นๆไม่ได้เสนอปัญหานี้ จึงทำเป็นเฉยๆ หรือไม่ก็คัดค้านกลายๆบางประเด็น
การเลือกตั้งทั้ง 2 ครั้งปรากฏว่าประชาชนเลือกพรรคที่เสนอเแก้ไขรัฐธรรมนูญมากที่สุด
นี่ย่อมแสดงว่าประชาชนเข้าใจเรื่องรัฐธรรมนูญ
ถึงไม่รู้เท่านักวิชาการ แต่อย่างน้อยก็พอรู้ล่ะว่ารัฐธรรมนูญแท้จริง กับรัฐธรรมนูญของโจรกบฏมันต่างกันอย่างไร
วันนี้ผู้เขียนจึงไม่ชอบฟังที่นักการเมืองในสภาอ้างท่าโน้นท่านี้เพื่อชะลอการแก้รัฐธรรมนูญ หรือไม่ก็ขอประชามติก่อนจะมีการแก้รัฐธรรมนูญ ทำราวกะว่ามันเป็นเรื่องใหม่
การเลือกตั้ง 2 ครั้งมันเป็นประชามติอยู่แล้ว
เข้าใจหรือยัง?
ที่มา.หนังสือพิมพ์โลกวันนี้
**********************************************************************
คดีอากงกับ ม.112 ภูเขาน้ำแข็งกับความกลัวในสังคมไทย ...
เมื่อวันที่ 12-14 ธันวาคมที่ผ่านมา รายการ “ตอบโจทย์” ทางไทยพีบีเอส นายภิญโญ ไตรสุริยธรรมา เป็นผู้ดำเนินรายการสนทนาหัวข้อ “คดีอากงกับมาตรา 112” โดยมีนายนิธิ เอียวศรีวงศ์ นักคิด นักเขียน และนักประวัติศาสตร์ นายพนัส ทัศนียานนท์ อดีตคณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และนายกิตติศักดิ์ ปรกติ อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ร่วมแสดงทรรศนะ ซึ่งมีประเด็นที่น่าสนใจดังนี้
**************
ความรู้สึกคดีอากง
นายพนัส : ในเบื้องต้นคงรู้สึกว่าโทษมันแรง สูงมาก 20 ปี อีกอย่างหนึ่งคือไม่ค่อยมีใครทราบต้นสายปลายเหตุกันสักเท่าไร ทราบกันจากสื่อที่รายงานข่าวว่ามีการส่งเอสเอ็มเอสไปยังบุคคลคนหนึ่งซึ่งเป็นเลขานุการส่วนตัว (นายสมเกียรติ ครองวัฒนสุข) ของท่านอภิสิทธิ์ (นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ) ต่อมาก็มีการพิจารณาคดีกัน สุดท้ายศาลตัดสินว่าส่งเอสเอ็มเอส 4 ครั้ง ครั้งละ 5 ปี ในกฎหมายเรียกว่ากระทงละ 5 ปี หรือว่ากรรมละ 5 ปี เป็นการกระทำต่างกรรมต่างวาระ เป็นภาษาทางกฎหมายว่าอย่างนั้น
ทีนี้ต่างกรรมต่างวาระก็โดนไปรวมแล้ว 20 ปี ผมคิดว่าส่วนใหญ่คงมีความรู้สึกว่าเนื่องจากไม่ทราบว่าข้อความที่ส่งไปนั้นเป็นอย่างไร นั่นประการแรก แต่การพิจารณาของศาลรู้สึกจะไม่ได้พิจารณาโดยเปิดเผย เมื่อออกมาอย่างนี้ก็ทำให้เกิดความรู้สึกกังขากันว่าข้อความที่ส่งไปมีเนื้อหาสาระสำคัญอย่างไร ซึ่งคงไม่มีทางทราบได้ เพราะเข้าข่ายเป็นการหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์หรือสมเด็จพระบรมราชินีตามที่กฎหมายเขียนไว้ เลยมีความรู้สึกว่าโทษแรงไปหรือเปล่า 20 ปี อันนี้ผมคิดว่าคงทำให้มีปฏิกิริยาสอบถามกันว่าการพิจารณาคดีในความผิดฐานนี้ในแง่ของความยุติธรรมเรามีการรักษากันมากน้อยแค่ไหน เพื่อผดุงความยุติธรรมให้เกิดขึ้นในคดีประเภทอย่างนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นคดีที่ไม่สามารถเปิดเผยให้สาธารณชนทราบว่าเนื้อหาสาระเป็นอย่างไร
คดีอย่างนี้เปิดเผยให้สาธารณชนรับรู้ได้หรือเปล่า และประเด็นที่ถามกันมากคือ พอคนเกิดความรู้สึกว่าไม่ยุติธรรมขึ้นมา สาธารณชนสามารถวิจารณ์ศาลได้หรือไม่
นายกิตติศักดิ์ : ถ้อยคำที่ใช้ว่าผู้ที่ถูกกล่าวหากระทำความผิดได้กล่าวหรือแสดงถ้อยคำอย่างไร ต้องปรากฏอยู่ในคำพิพากษา ใครอ่านคำพิพากษาย่อมรู้ได้อยู่แล้ว ปิดไม่ได้ เพราะคำพิพากษาเป็นเอกสารสาธารณะ เผยแพร่ได้ ตัวอย่างคำพิพากษาที่เราเห็นคือ คำพิพากษาของดา ตอร์ปิโด ซึ่งมีผู้เอาไปเผยแพร่ทางอินเทอร์เน็ตนั้น จะถือว่าเป็นความผิดไม่ได้
อันที่ 2 ที่ถามว่ามีปัญหาเกี่ยวกับความยุติธรรมอย่างไร เท่าที่ผมติดตามดูจากข่าว ขณะนี้ก็กำลังรออ่านคำพิพากษาอยู่เหมือนกัน ในข่าวกล่าวว่าผู้ที่เป็นจำเลยปฏิเสธว่าตัวเองไม่ได้ทำ แต่จะมีผู้ใดทำนั้นตนเองไม่รู้ ศาลก็เรียกพยานมาสืบ ก็ได้ความว่าโทรศัพท์มือถือ เลขประจำเครื่อง อาจมีการปลอมแปลงกันได้ แต่ศาลก็เชื่อพยานหลักฐานของฝ่ายโจทก์คืออัยการว่าคงไม่ได้ปลอมแปลง เพราะสัญญาณส่งจากแหล่งที่อยู่ของผู้ที่เป็นจำเลย อย่างไรก็ตาม คดีนี้เนื่องจากจำเลยปฏิเสธหัวแข็งว่าไม่ได้เป็นการกระทำของเขา ถ้าจะเป็นก็เป็นการกระทำของคนอื่น จึงต้องมีการพิจารณาพฤติกรรมแวดล้อมว่าเขามีมูลเหตุจูงใจอะไรที่จะทำอย่างนั้น ซึ่งอันนี้ต้องรออ่านในคำพิพากษาว่าชี้ให้เห็นไหมว่ามีพฤติการณ์หรือมูลเหตุอะไรจูงใจที่เป็นเหตุให้เชื่อได้ว่าเป็นบุคคลคนนี้ ทั้งๆที่เขาปฏิเสธเสียงแข็งว่าไม่ได้กระทำจริง
ทีนี้ถามว่าคำพิพากษาวิจารณ์ได้ไหม ผมมีอาชีพเป็นอาจารย์ สอนหนังสือทุกๆวัน ผมก็ต้องวิจารณ์คำพิพากษาของศาล แต่ถ้าเราวิจารณ์ด้วยความเป็นกลางและด้วยเหตุผลความเป็นนักวิจารณ์ หรือพูดง่ายๆอย่างเป็นกลางและด้วยความสุจริต อันนี้คนจำนวนมาก รวมทั้งผู้ที่ออกแถลงการณ์คัดค้านคำพิพากษาฉบับนี้ก็ไปกล่าวอ้างว่าศาลนั้นเราวิจารณ์ไม่ได้ ซึ่งเป็นความเข้าใจผิด ศาลนั้นวิพากษ์วิจารณ์ได้ แต่ต้องวิพากษ์วิจารณ์ด้วยใจเป็นธรรม
ตกลงวิจารณ์ศาลได้ ไม่เห็นด้วยกับคำตัดสินหรือคำพิพากษาของศาลได้
นายกิตติศักดิ์ : ได้อยู่แล้ว จำเลยไม่เห็นด้วยอยู่แล้ว เขาถึงอุทธรณ์ได้ กฎหมายถึงมีอุทธรณ์ ฎีกา
ถ้าจะให้เขาไม่เห็นด้วยหมด จะอุทธรณ์ ฎีกากันได้อย่างไร หมายความว่าสาธารณชนคือจำเลย ต้องสู้อยู่แล้ว แต่สาธารณชนบอกว่าไม่เห็นด้วยกับศาลอย่างนี้
นายกิตติศักดิ์ : สาธารณชนก็บอกไม่เห็นด้วยได้ แต่อย่าไปดูหมิ่นศาล ไม่เห็นด้วยกับคำพิพากษาไม่เป็นความผิด อันนี้เป็นเรื่องที่คนเข้าใจผิดพลาดกันมาก แล้วศาลด้วยเหตุที่ว่าไม่กลัวการถูกวิพากษ์วิจารณ์ เขาถึงเปิดการพิจารณาคดีทั้งหลาย โดยหลักแล้วต้องพิจารณาคดีในที่สาธารณะ หมายความว่าเปิดให้สาธารณชนเข้ารับฟังได้ ต้องโปร่งใส คำพิพากษาก็ต้องให้เขาอ่านได้ เมื่อให้อ่านได้ก็วิพากษ์วิจารณ์กันได้ แต่ห้ามอย่างเดียวคือการดูหมิ่น บอกศาลเลวอย่างนี้ไม่ได้ ต้องบอกว่าด้วยความเคารพ กระผมไม่เห็นด้วยเพราะเหตุใด ว่ากันไป อย่างนี้ทำได้
ทำไมคดีอากงจึงสร้างความโกรธแค้นแล้ววิพากษ์วิจารณ์กันอย่างรุนแรงในโลกไซเบอร์จนกลายเป็นเรื่องใหญ่ของสังคมไทยขึ้นมาได้
นายนิธิ : ผมมี 2 ประเด็นด้วยกัน ประเด็นแรกคือคุณเอาคนอายุ 61 เป็นมะเร็งในปาก ไปติดคุก 20 ปี ผมว่าสังคมไหนในโลกก็รู้สึกสะเทือนใจกันทั้งนั้น แล้วก็ทำให้ต้องย้อนกลับมาสงสัยในกระบวนการยุติธรรมของประเทศไทยทั้งหมด รวมทั้งสงสัยในตัวกฎหมายที่ทำให้อากงติดคุกด้วย
ประเด็นที่ 2 ผมอยากเตือนไว้คือ ความยุติธรรมไม่ได้ลอยอยู่บนฟ้า แต่เป็นความเห็นของมนุษย์ในสังคมแต่ละยุค แต่ละสมัย แต่ละแห่ง จะมองเห็นว่าอะไรคือความยุติธรรมของเขา การที่คนขยับเขยื้อนกันมากมายเหลือเกินในสังคมจากกรณีอากงชี้ให้เห็นว่าทรรศนะต่อความยุติธรรมของไทย มาตรฐานที่ครั้งหนึ่งเคยถือว่าเป็นความยุติธรรม สังคมไทยไม่ได้เห็นอย่างนั้นแล้ว จริงๆถ้าอากงอยู่สมัยอยุธยาเอามะพร้าวห้าวยัดปากนะ แต่อันนั้นคือความไม่ยุติธรรมของคนไทยเมื่อหลายร้อยปีแล้วกระมัง แต่ปัจจุบันนี้แม้แต่มาตรฐานเมื่อร้อยปีที่แล้วก็กลายเป็นมาตรฐานความยุติธรรมที่คนในปัจจุบันเริ่มรู้สึกว่าไม่ใช่อีกแล้ว ผมว่าประเด็นนี้น่าสนใจ
อาจารย์เป็นนักประวัติศาสตร์ พอสังคมเริ่มมีความรู้สึกว่าเกิดความอยุติธรรมขึ้นกับกรณีใดกรณีหนึ่ง สิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมาเมื่อไม่ได้รับการตอบสนองคืออะไร
นายนิธิ : วุ่นวายครับ เพราะถ้าคุณรู้สึกว่าไม่สามารถแสวงหาความยุติธรรมที่คุณพอใจในสังคมนี้ได้ ไม่ใช่คุณคนเดียว แต่สังคมจำนวนมากรู้สึกว่าอันนี้ไม่ใช่ความยุติธรรม ในที่สุดก็จะหันไปสู่การกระทำอะไรก็แล้วแต่ที่คุณไม่แคร์ต่อความยุติธรรมต่อไป คุณไปเที่ยวรังแกคนอื่นโดยไม่สนใจอีกแล้วว่ายุติธรรมหรือไม่
นายกิตติศักดิ์ : ประเด็นที่น่าสนใจก็คือคดีนี้เป็นคดีที่ต้องชั่งน้ำหนักคุณค่า 2 อย่างที่อยู่ในสังคม คุณค่าอันแรกคือการที่เราจะแสดงความคิดเห็น ซึ่งบางครั้งอาจเป็นความคิดเห็นที่รุนแรง มันอยู่ในขอบเขตของเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นซึ่งได้รับการคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญหรือไม่ ซึ่งในแง่นี้ในสังคมประชาธิปไตยถือกันว่ารากเหง้าสำคัญ รากฐานสำคัญของระบอบประชาธิปไตยคือต้องเปิดโอกาสให้คนแสดงความคิดเห็นได้ ผมว่าคุณภิญโญว่าคุณเลว เป็นความคิดเห็นนะ แต่ปัญหาว่าความคิดเห็นนี้ต้องอยู่ในกรอบที่ต้องไม่เป็นการหมิ่นประมาท ผมบอกคุณจัดรายการไม่ดี เป็นความคิดเห็นนะ ทุกคนต้องแสดงความคิดเห็นได้ แต่ถ้าผมบอกว่าคุณภิญโญนั้นเลวเหมือนหมา คุณภิญโญคุณเป็นชู้กับคนอื่น อย่างนี้เกินขอบเขตการแสดงความคิดเห็นที่กฎหมายกำหนดไว้ ก็กลายเป็นเรื่องหมิ่นประมาทไป
อีกเรื่องหนึ่งคือ ความสงบเรียบร้อยและความมั่นคงของรัฐ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถาบันพระมหากษัตริย์ ระบบกฎหมายถือว่าเป็นส่วนสาระสำคัญเหมือนกัน ด้วยเหตุนี้เราจึงมีรัฐธรรมนูญที่ถือว่าประเทศไทยเป็นราชอาณาจักร เมื่อเป็นราชอาณาจักรคือพระมหากษัตริย์เป็นสุดยอด เป็นประมุขแห่งรัฐ จึงต้องได้รับการคุ้มครองเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น จะแสดงความคิดเห็นต่อพระมหากษัตริย์นั้นทำได้ แต่ต้องอยู่ในขอบเขตว่าจะดูหมิ่นไม่ได้ แสดงความอาฆาตมาดร้ายไม่ได้ จะหมิ่นประมาทไม่ได้
คดีนี้เรายังไม่เห็นคำพิพากษา แต่เหตุที่มีผู้คนสงสัยไม่ใช่เป็นเพียงเพราะว่านี่เป็นคนแก่ ไม่ใช่แค่นั้น เพราะถ้าหากอาจารย์นิธิจะกล่าวถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ หรือจะวิจารณ์สถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งทำอยู่บ่อยๆ ก็ไม่เห็นมีปัญหาอะไร ปัญหาอยู่แต่เพียงว่าเนื้อหาของการกล่าวกระทบกระเทียบนั้นเป็นอย่างไร และที่คนรู้สึกมากเพราะคิดว่าเป็นการกระทำของอากงคนนี้หรือเปล่า นี่คือปัญหาใหญ่ เพราะข่าวที่ออกมาบอกว่าพิสูจน์ไม่ได้ พยานหลักฐานยังน่าสงสัยอยู่ อันนี้จึงต้องดูในคำพิพากษาว่าอะไรเป็นเหตุในการลงโทษ แล้วชั่งน้ำหนักกันหรือเปล่า ระหว่างเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นซึ่งอยู่ในระบอบประชาธิปไตยกับความมั่นคงของรัฐคือการคุ้มครองสถาบันพระมหากษัตริย์ ว่าอะไรสำคัญยิ่งหย่อนกว่าอันใดภายใต้เงื่อนไขใด อันนี้เป็นเรื่องที่ศาลต้องทำให้ชัดเจน
อาจารย์กฎหมายมีข้อถกเถียงกันหลายกรณีเรื่องอากง ตกลงเป็นหน้าที่ของฝ่ายจำเลยที่จะพิสูจน์ตัวเองว่าไม่ได้ทำผิด หรือเป็นความเห็นของฝ่ายโจทก์ที่ต้องพิสูจน์ว่าจำเลยทำความผิดแล้วก็หักล้างกันไป ใครมีหน้าที่อย่างไรในกระบวนการพิจารณาคดีอาญาในลักษณะแบบนี้
นายพนัส : หลักการพิจารณาคดีอาญาซึ่งกำหนดไว้ทั้งในรัฐธรรมนูญและในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา หน้าที่นำสืบว่าจำเลยได้กระทำความผิดจริงโดยชัดแจ้ง ไม่ปราศจากข้อสงสัยใดๆทั้งสิ้น เป็นหน้าที่ของโจทก์ว่าในกรณีนี้ข้อความที่ส่งเอสเอ็มเอสในเบื้องต้นนั้นส่งไปจากคนที่ถูกฟ้องคืออากง คดีนี้ต้องพิสูจน์ตรงนั้นให้ได้ แต่ทีนี้ศาลเองเท่าที่ฟังจากข่าว ไม่รู้ว่าเท็จจริงเป็นอย่างไร บอกว่ามีข้อวินิจฉัยของศาลว่าแม้โจทก์จะไม่สามารถนำสืบพยานให้เห็นได้อย่างชัดแจ้งว่าจำเลยเป็นผู้ส่งข้อความตามฟ้องจากโทรศัพท์เคลื่อนที่เครื่องดังกล่าวไปยังโทรศัพท์เคลื่อนที่ของนายสมเกียรติ แต่ศาลก็บอกว่าเนื่องจากจำเลยก็ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าข้อความนั้นไม่ได้ส่งไปจากเครื่องของตัวเอง สุดท้ายศาลเลยบอกว่าด้วยเหตุนี้มีพยานประจักษ์แวดล้อม ศาลใช้คำทำนองนี้ ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่าคืออะไรบ้าง ทำให้ศาลฟังว่าจำเลยเป็นผู้ส่ง แล้วศาลก็พิพากษาลงโทษไป ฉะนั้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 ถ้าผมจำไม่ผิด ถ้ามีความสงสัยแม้แต่น้อย เขาให้ยกประโยชน์ความสงสัยให้แก่จำเลย ส่วนในรัฐธรรมนูญก็จะมีทุกฉบับว่าผู้ที่ถูกฟ้องคดีอาญาให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าไม่ได้กระทำความผิด ให้สันนิษฐานว่าเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่จนกว่าศาลจะพิพากษาว่าได้กระทำผิดตามนั้น อันนี้เป็นหลักที่เป็นหัวใจของการพิจารณาคดีอาญา
ทำไมศาลไม่ยกประโยชน์ให้จำเลย เมื่อฝ่ายโจทก์ก็ไม่สามารถพิสูจน์ได้อย่างแน่ชัดว่าจำเลยเป็นผู้กระทำความผิด
นายพนัส : อันนี้คือสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดความรู้สึกในทางปฏิกิริยาออกมาค่อนข้างกว้างขวางและรุนแรง เพราะตามความเข้าใจของผมเชื่อว่าแม้กระทั่งนักกฎหมายโดยทั่วไปก็เข้าใจกันตามนั้นว่าจำเลยในคดีอาญา ถ้าหากศาลบอกว่าโจทก์สืบมาไม่ชัด ยังมีข้อสงสัยอยู่ ทำไมไม่ยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้กับจำเลย นั่นคือทำไมไม่ยกฟ้อง ศาลบอกว่าต้องไปดูว่ามีประจักษ์พยานแวดล้อมซึ่งสามารถชี้ให้เห็นถึงเจตนาของจำเลยได้หรือไม่ แล้วศาลบอกว่าในกรณีเช่นนี้ก็เป็นธรรมดาอยู่เองที่ผู้กระทำผิดต้องหาทางปกปิด นัยคือโจทก์ก็ไม่สามารถที่จะสืบได้ชัดแจ้ง แต่ถึงอย่างไรก็ตาม จากที่ศาลฟังทั้งหมด ผมเข้าใจว่าอย่างนั้น ศาลก็เชื่อว่าจำเลยเป็นผู้ส่งข้อความนั้นจริง อากงเป็นผู้ส่งข้อความนั้นจริง ก็พิพากษาลงโทษไป
อาจารย์นิธิไม่ต้องมองในฐานะนักกฎหมาย มองในฐานะประชาชนธรรมดา เมื่อมีการอธิบายคดีแบบนี้ ด้วยวิธีคิดแบบนี้ มนุษย์คนหนึ่งเห็นอย่างไรในวิธีคิดแบบนี้
นายนิธิ : ในความเป็นจริงแล้วผมไม่เชื่อว่าคนที่รู้สึกหวั่นไหวแล้วก็มีการวิพากษ์วิจารณ์คำพิพากษาเรื่องนี้กันมากในอินเทอร์เน็ตมาจากความรู้ทางกฎหมาย ผมคิดว่าไม่ใช่ แต่มาจากความรู้สึกของมนุษย์ธรรมดา คือการเอาคนแก่อายุ 61 ไปติดคุก 20 ปี สิ่งแรกที่ชาวบ้านคิดคือ มันทำอะไรวะ ลองไปฆ่าคนตาย ไปทำอะไรก็แล้วแต่ เอาไปติดคุก 20 ปี ก็ไม่มีใครรู้สึกอะไร แต่เพราะการส่งเอสเอ็มเอสพาดพิงถึงพระเจ้าอยู่หัว 4 ครั้งด้วยกัน 20 ปี ผมคิดว่าคนทั่วไปเลยรู้สึกว่ามันมากไป มันรับไม่ไหว นักกฎหมายจะว่าอะไรก็ว่าเถอะ แต่ผมว่าชาวบ้านไม่ได้รู้กฎหมายอย่างท่านทั้งสอง แต่ใช้หัวใจความเป็นมนุษย์ ผมถึงได้เตือนว่าสมัยอยุธยาเอามะพร้าวห้าวยัดปาก มาตรฐานความยุติธรรมในสังคมควรแปรเปลี่ยนไปเรื่อยๆตามยุคสมัย ไม่หยุดนิ่งอยู่กับที่
นายกิตติศักดิ์ : อันนี้มีหลายประเด็น เราต้องแยกกันให้ดี อย่างแรกคือความสงสัยว่าจำเลยเป็นผู้กระทำความผิดจริงหรือไม่ แต่ที่ท่านอาจารย์นิธิพูดถึง ต่อให้กระทำความผิดจริง สมควรจะถูกลงโทษ 20 ปีหรือไม่ นี่อีกประเด็นหนึ่ง ไปลงโทษคนที่เขาไม่ได้กระทำ อันนี้คนจะรู้สึกมาก ส่วนไปลงโทษผู้ที่ยอมรับ สมมุติจำเลยสารภาพ แม้จำเลยสารภาพว่าได้ทำจริง แล้วก็มีความเชื่ออย่างนั้นจริงโดยสุจริตใจ ต้องการจะทำอย่างนี้ แล้วก็ท้าทายด้วย ควรจะลงโทษหรือไม่ 20 ปี อันนี้เป็นอีกประเด็นหนึ่งซึ่งผมคิดว่าต้องเถียงกันในสังคม โดยกฎหมายมันก็มีปัญหาอีก เพราะกฎหมายบอกไว้ว่าลงโทษขั้นต่ำ 3 ปี ขั้นสูง 15 ปี กรณีนี้ลงโทษ 5 ปี แต่ลงโทษด้วยการกระทำต่างกรรมต่างวาระโดยวิธีมาบวกกัน แล้วกลายเป็นเหมือนกับว่าทำเป็นการปรามไม่ให้ผู้อื่นกระทำในทำนองเดียวกัน กรณีนี้ผมยังไม่อยากจะให้ได้ข้อยุติ อย่างที่อาจารย์นิธิว่าเขาทำจริงก็เป็นแค่เพียงสมมุติว่าเขาทำจริง เพราะเรื่องนี้คดีเขายังต่อสู้อยู่
อาจารย์นิธิพูดในสมมุติฐานอะไร
นายนิธิ : คุณถามผมว่าทำไมคนถึงหวั่นไหวถึงเรื่องความยุติธรรมกันนัก ผมไม่ได้พูดว่าเขาทำหรือไม่ได้ทำจริง แล้วก็ไม่รู้ว่าทางกฎหมายเป็นอย่างไร แต่อารมณ์ความรู้สึกของมนุษย์ คนแก่คนหนึ่งทำผิด แล้วตัวเองก็ไม่ยอมรับด้วย
นายกิตติศักดิ์ : คดีนี้เราต้องเห็นใจจำเลยด้วย จำเลยยังต่อสู้อยู่ว่าไม่ได้ทำ ส่วนปัญหาว่าต่อให้ทำจริงควรลงโทษรุนแรงหรือไม่ เป็นเรื่องสมมุติ ผมพูดอันนี้ขึ้นมาเพื่อที่จะให้เราอย่าไปลงความเห็นว่าจำเลยทำจริงแค่นั้นเอง
นายพนัส : ผมคิดว่าแม้จะไม่ได้เป็นนักกฎหมาย แต่ในความรู้สึกของคนทั่วไปก็คงจะเป็นที่เข้าใจได้ การพิสูจน์ยังไม่ชัดเจน แล้วโดยสภาพของอากงเองทำให้คนเชื่อว่าไม่น่าจะทำสิ่งนี้ได้ ประกอบกับการที่ศาลวินิจฉัยว่าโจทย์ไม่สามารถนำสืบพยานได้อย่างชัดเจนชัดแจ้ง ความเข้าใจของคนทั่วไปมีความรู้สึกว่าในเมื่อยังไม่มีความชัดเจนทำไมไม่ยกประโยชน์ให้จำเลย ทำไมลงโทษเขารุนแรงถึงขนาดนั้น แต่ก็มีอีกประเด็นหนึ่งที่อาจารย์กิตติศักดิ์พูดคือ เนื่องจากเรายังไม่ทราบว่าข้อความที่ว่านี้เป็นอย่างไร จึงเป็นประเด็นที่ต้องพิจารณาอีก
ผมเห็นด้วยกับอาจารย์กิตติศักดิ์ว่าถ้าหากข้อความนี้ชั่วร้ายมาก รุนแรงมาก โทษกระทงละ 5 ปี เหมาะสมหรือเปล่า ผมว่าเป็นประเด็นที่จะต้องพิจารณากัน อย่าลืมว่าคดีหมิ่นพระมหากษัตริย์ในประเทศอื่นๆในอดีตอย่างประเทศฝรั่งเศส ถ้าผมจำไม่ผิดโทษคือประหารชีวิต แต่ตอนหลังความคิดความอ่านของคนก็เปลี่ยนแปลงไป แม้แต่ในประเทศอังกฤษเองความผิดฐานนี้รัฐสภาก็ยกเลิกไป เหลือความผิดที่แปลเป็นภาษาไทยคือความผิดฐานกบฏ ซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับการพูดจาในลักษณะที่คล้ายว่าระบบนี้ไม่ควรมีอยู่ต่อไปแล้ว ซึ่งอันนี้เป็นประเด็นที่ถกเถียงกันมากในประเทศอังกฤษว่าหากมีคนพูดในทำนองว่าอยากให้ประเทศมีระบอบการปกครองเป็นสาธารณะรัฐนั้นผิดกฎหมายฐานเป็นกบฏหรือไม่ ตอนนี้กำลังเสนอร่างกฎหมายให้ยกเลิกกฎหมายมาตรานี้ไป
เท่าที่อาจารย์ประมวลข่าวมาทั้งหมด อะไรคือประเด็นที่ติดค้างใจอาจารย์มากที่สุด
นายนิธิ : อย่างที่ผมพูดเมื่อสักครู่นี้ว่ามาตรฐานความยุติธรรมมันเปลี่ยน เวลานี้ผมคิดว่ากฎหมายที่เราเรียกกันว่าหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ หรือมาตรา 112 ทำร้ายสถาบันพระมหากษัตริย์มากกว่าปกป้องเสียอีก เพราะในโลกปัจจุบันคุณไม่สามารถทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์กับประชาธิปไตยกลายเป็น 2 สิ่งที่ขัดแย้งกันได้ ถ้าคุณใช้มาตรา 112 แบบนี้อยู่บ่อยๆ ตลอดเวลา ก็กลายเป็นว่าสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นตัวขัดขวางเสรีภาพในการแสดงออก ผมว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่ต้องมีมิติทางการเมืองเข้ามาแทรกด้วย คือต้องเข้าใจให้ดีๆว่าถ้าเราต้องการรักษาเกียรติยศของพระมหากษัตริย์ ต้องไม่ผลักให้สถาบันพระมหากษัตริย์กลายเป็นอุปสรรคของประชาธิปไตย
พอเกิดกรณีอากงเลยมีการเรียกร้องให้แก้ไขกฎหมายมาตรา 112 ในมุมมองของอาจารย์ควรแก้หรือไม่ และจะแก้อย่างไร
นายนิธิ : จริงๆแล้วมีการเรียกร้องให้แก้หรือทบทวนมาก่อนหน้ากรณีอากงนานมากแล้ว เหตุผลสำคัญคือช่วงประมาณ 5 ปีที่ผ่านมา หลังรัฐประหาร 2549 เป็นต้นมา สถิติการฟ้องร้องคดี 112 เพิ่มขึ้นไม่รู้เท่าไรแล้ว มากมายเหลือเกิน เพิ่มขึ้นอย่างผิดหูผิดตา ซึ่งชัดเจนว่าหากคุณปล่อยเอาไว้ก็จะถูกนำไปใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองตลอดเวลา มันน่ากลัวมากๆ กระบวนการยุติธรรมของเราจะถึงขั้นไหนผมไม่ทราบ แต่มีลักษณะของการปัดความรับผิดชอบ เพราะถ้าผมถูกแจ้งความ ผมก็ทำเรื่องไปให้อัยการ อัยการไม่อยากฟ้องก็ว่าไป ก็จะเกิดการปัดความรับผิดชอบกันไปเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นก็จะเกิดปัญหาเดือดร้อนกันค่อนข้างมาก
ในขณะเดียวกันผมคิดว่ามีจุดอ่อนในมาตรา 112 หลายอย่างด้วยกัน อย่างแรกคือโทษไม่ได้สัดส่วน 3-15 ปี รุนแรงมากถ้าเปรียบเทียบกับกฎหมายทำนองเดียวกันในสมัยเดียวกันกับประเทศอื่นๆ อย่างที่ 2 คือวิธีการบังคับใช้กฎหมาย ผมว่ามีปัญหา นอกจากเรื่องการผลักความรับผิดชอบอย่างที่ว่าแล้ว ผู้ต้องหาส่วนใหญ่มักจะไม่ได้ประกันตัว เพราะถูกพิจารณาว่าเป็นคดีร้ายแรง นอกจากนั้นในตัวกฎหมายเองผมคิดว่ามีความคลุมเครือ แค่ไหนจึงเป็นการหมิ่นประมาท แค่ไหนจึงเป็นการอาฆาตมาดร้าย แค่ไหนจึงเป็นการดูหมิ่น ผมคิดว่าต้องอาศัยการตัดสิน วินิจฉัยโดยผู้พิพากษาว่าอันนี้เป็นการดูหมิ่น อันนี้ไม่ใช่การดูหมิ่น
จริงๆถ้าคุณขยันพอที่จะย้อนกลับไปดูคำพิพากษาคดีนี้ที่ผ่านมาหลายต่อหลายคดี ผมคิดว่าบางคดีค่อนข้างขัดแย้งกันเองด้วยซ้ำไป ประเด็นก็คือ ถ้าคุณปล่อยให้กฎหมายอยู่ในวินิจฉัยของคนมากเกินไป ไม่มีเลยก็ไม่ได้ ต้องมีบ้าง แต่ถ้ามากเกินไปจะล่วงล้ำเข้าไปสู่สิ่งที่เป็นสำนึกของคน หรือที่ฝรั่งเรียกว่าอาชญากรรมของสำนึก แล้วถ้าคุณไม่อ่านคำพิพากษาบางอันเป็นเรื่องของอาชญากรรมสำนึกทั้งสิ้น เช่น ตำหนิผู้ที่ต้องคำพิพากษาว่าปราศจากความจงรักภักดี ความจงรักภักดีนี้ต้องมีในกฎหมายนะ เพราะผมรู้จักแต่กฎหมายตรา 3 ดวง แม้แต่กฎหมายโบราณขนาดนั้นก็ควบคุมพฤติกรรมมนุษย์ เช่น ความนึกคิดจิตใจของคนควบคุมไม่ได้ เพราะฉะนั้นคุณเริ่มเปลี่ยนกฎหมายอันนี้ให้กลายเป็นอาชญากรรมของสำนึก ซึ่งอันตรายมากๆแล้วโดยไม่รู้ตัว ไปอ้างความจงรักภักดี ความไม่รู้จักบุญคุณ และอื่นๆ คนละเรื่องเลย
นอกจากนั้นผมคิดว่าการอนุญาตให้กฎหมายให้ความผิดอันนี้ถูกฟ้องโดยสาธารณชนได้ อันนี้เป็นอันตรายอย่างยิ่งเหมือนกัน เพราะเปิดโอกาสให้มีการใช้เป็นเครื่องมือ ในขณะเดียวกันยิ่งฟ้องมากยิ่งกระทบต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ คุณจำพระราชดำรัสเมื่อปี 2548 ได้ไหม การใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง ยิ่งใช้มากก็ยิ่งสร้างความเจ็บปวด สร้างความเดือดร้อนมากขึ้น คงจำได้กรณีนักการเมืองจ้างคนไปตะโกนในโรงหนังเรื่อง “ปรีดีฆ่าในหลวง” อันนั้นเป็นการต่อสู้ทางการเมืองที่สกปรก ผมยอมรับเพราะเป็นนักการเมืองด้วยกัน แต่ปัจจุบันคุณสามารถไปฟ้องใครก็ตาม แต่ในคดีอาญา 112 คนเล็กคนน้อยเข้าใจไหม คุณเองกลับได้เครดิตขึ้นมา มันไม่ใช่การต่อสู้ของนักการเมืองต่อนักการเมืองแล้ว ผมกับอาจารย์พนัสเป็นนักการเมืองต่อสู้กัน แต่ผมไปฟ้องคุณเพื่อทำให้ชื่อเสียงผมดีขึ้นว่าผมมีความจงรักภักดีต่อสถาบันเป็นพิเศษ อาจารย์พนัสก็ไปฟ้องอาจารย์กิตติศักดิ์ วุ่นวายไปหมด คนเล็กคนน้อยจำนวนมากในคดีในปี 2553 ไม่ใช่คน ไม่ใช่นักการเมืองที่โดนคดีเหล่านี้ เพราะฉะนั้นการเป็นเครื่องมือทางการเมืองยิ่งอันตรายมากขึ้นทุกที ผมคิดว่าจากข้ออ่อนเหล่านี้อย่าไปแก้มัน ผมว่าคุณต้องแก้ คุณต้องทบทวน ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ คุณต้องทบทวนดูให้ดีว่าจะทำอย่างไร
ประเด็นสุดท้ายในฐานะนักกฎหมาย แค่ตรา 3 ดวง ไม่ใช่นักกฎหมายแบบอาจารย์พนัส ผมออกจะสงสัยว่ามาตรา 112 เทียบกับคดีหมิ่นประมาทบุคคลไม่ได้เลย ไม่ใช่เพราะเป็นพระมหากษัตริย์ในฐานะประมุขของรัฐแต่เพียงอย่างเดียว แต่ยังถูกใส่อยู่ในความผิดต่อความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร ผมคิดว่าหมายความว่าถ้าคุณพูด คุณทำ คุณเขียนอะไรก็แล้วแต่ที่มุ่งหวังจะให้มีการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองจากราชอาณาจักรไปสู่อะไรที่ไม่ใช่ราชอาณาจักร อันนั้นถึงจะเป็น 112 เพราะฉะนั้นถ้าเข้าใจตามผม อากงไม่ผิด สิ่งที่เขาทำมันน้อยไปเกินกว่าที่จะเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองราชอาณาจักรได้
การที่สังคมแบ่งเป็น 2 ข้าง ต่างคนต่างคิด ต่างคนต่างทำโดยไม่ฟังเหตุและผลของกันและกัน ความน่ากลัวของสังคมไทยในอนาคตคืออะไร
นายนิธิ : ความน่ากลัวคือเราต้องตีกัน ผมคิดว่าเราต้องตีกันมากขึ้น ตีในที่นี้ไม่ได้หมายความแต่เพียงรบราฆ่าฟันกันอย่างเดียว อันนั้นส่วนหนึ่ง แต่ตีกันในทุกๆเรื่อง ซึ่งมีหลายเรื่องที่ผมคิดว่าเราสามารถแก้ปัญหาได้โดยการข้ามพ้นไปจากความขัดแย้ง เป็นการชั่วคราวก็ยังได้ แต่เราก็ข้ามไม่พ้นสักที
สรุปสั้นๆ ผมคิดว่าสังคมเปลี่ยนไปมากเกินกว่าที่จะรักษาโครงสร้างแบบเก่าเอาไว้ได้แล้ว ตัวอย่างง่ายนิดเดียว เช่น ทะเลาะกันเรื่องเขื่อนกั้นน้ำ ถ้าเป็น 40 ปีที่แล้ว คุณจะกั้นยังไงก็ไม่มีใครรู้สึกอะไร ไม่ใช่ไม่รู้สึก รู้สึกแต่ไม่รู้ว่าจะทำอะไร ก็ยอมให้ท่วมไป แต่ปัจจุบันไม่ใช่แล้ว คนปทุมธานีไม่ใช่คนยากจนอย่างเมื่อ 40 ปีที่แล้ว เขามีสิทธิมีเสียงเท่ากับคนสีลม แล้วเขารู้สึกว่าจำเป็นต้องมารื้อเขื่อนหรือพนังกั้นน้ำ แต่โครงสร้างของเราเป็นโครงสร้างที่ให้อำนาจไว้อย่างไม่เท่าเทียม คุณอยากจะแก้ตรงนี้ไหม ตราบเท่าที่เรายังไม่แก้ตรงนี้ ผมคิดว่าสังคมไทยเราจะเผชิญความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ
นายกิตติศักดิ์ : การที่เราปกปิดหรือไม่พูดในสิ่งที่ควรพูด ทำให้คุณค่าคือสัจจะที่อยู่ในสังคมไม่เอาความจริงมาตีแผ่แล้วถกเถียงกันด้วยสติปัญญา ก็จะไม่เจริญ หรือพูดง่ายๆมันเสื่อม สังคมใดก็ตามที่คุณค่าในเรื่องสัจจะคือความเป็นจริง ความมีเหตุผลด้วยสติปัญญา สังคมนั้นก็จะตัดสินกันด้วยอำนาจ แล้วก็เป็นปัญหาเหมือนกัน เหมือนกับเรื่องกั้นเขื่อน จะเห็นได้ว่าในที่สุดมีข้อยุติ 2 ทางคือ 1.ทางราชการกับประชาชนสามารถตกลงกันได้ด้วยเหตุผลก็ยุติลง แต่ถ้าหากไม่รับฟังเหตุผลกัน ในที่สุดก็ใช้อำนาจและใช้กำลัง เมื่อไรก็ตามที่สัจจะกับสติปัญญาลดถอยลงคนก็จะหันมาตัดสินกันด้วยกำลัง จากนั้นก็จะเกิดการจลาจล กรณีอย่างนี้ถ้าเราพูดถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ สถาบันพระมหากษัตริย์ในคติของเราคือธรรมะที่ปรากฏในมนุษย์ เพราะฉะนั้นพระมหากษัตริย์ต้องดำรงอยู่ได้ด้วยสัจจะ ดำรงอยู่ได้ด้วยสติปัญญาของสังคม ถ้าสติปัญญาของสังคมไม่มี สัจจะของสังคมก็อยู่ไม่ได้ พระมหากษัตริย์จะดำรงอยู่ด้วยอะไร ด้วยอำนาจอย่างนั้นหรือ คำตอบก็คือถ้าพระมหากษัตริย์ดำรงอยู่ด้วยอำนาจอย่างเดียวแล้วละก็ ตอนนั้นจะเป็นจุดที่ถึงภาวะที่จะมีผู้เอาอำนาจมาล้มล้างได้ สถาบันพระมหากษัตริย์จึงต้องดำรงอยู่ในสังคมด้วยสติปัญญา ยึดถือความจริงและเหตุผลของสังคม ประกอบกับความกล้าหาญที่จะรักษาความถูกต้อง สิ่งนี้เราจะปล่อยให้เสื่อมไม่ได้
นายพนัส : ผมเห็นด้วยกับอาจารย์กิตติศักดิ์ว่าต้องทำให้สัจจะให้เกิดขึ้นในสังคมจึงจะแก้ปัญหาได้ สติปัญญาก็จะติดตามมา แต่สิ่งที่ผมเป็นห่วงคือขณะนี้สิ่งที่ปิดบังอยู่คือความกลัว ไม่มีใครกล้า ถามว่าทำไมถึงไม่กล้า ก็เพราะว่ากลัวโดน พูดอย่างไรถึงจะเรียกว่าเป็นสัจจะ พูดความจริง อย่างที่อาจารย์กิตติศักดิ์บอกว่าแล้วมีหลักประกันอะไรที่ว่าพูดความจริงแล้วจะไม่โดนกล่าวหา ยิ่งเดี๋ยวนี้โดยเฉพาะในเครือข่ายสังคมโซเชียลเน็ตเวิร์ค เขามีกลุ่มไล่ล่าแม่มดอะไรอย่างนี้ ซึ่งเหมือนเป็นกลุ่มที่คอยไล่ตามดูทั้งหมดว่าใครบ้างที่ยังมีปฏิกิริยา หรือมีท่าที มีทรรศนะอะไร ซึ่งโดยมาตรฐานเขาเห็นว่าผิด ก็พร้อมที่จะเล่นงาน ผมคิดว่าในสังคมไทยกำลังมีสิ่งที่ก่อให้เกิดความรู้สึกกลัวมากๆเลย อันนี้ก็เกิดปัญหาขึ้นมาว่าแล้วความกลัวที่จะทำให้คนเกิดความกล้าหาญอย่างที่อาจารย์กิตติศักดิ์เสนอ จะมีใครสักกี่คนที่จะกล้าทำอย่างนั้น
อาจารย์นิธิ เรื่องที่เราพูดกันมาทั้งหมดอาจจะเปรียบกับยอดภูเขาน้ำแข็ง สังคมก็อาจตั้งคำถามต่อไปว่าถ้าอย่างนั้นภูเขาน้ำแข็งทั้งลูกที่ซ่อนตัวอยู่ในสังคมไทยที่อาจารย์มองเห็นคืออะไร
นายนิธิ : สรุปให้เหลือสั้นๆคือ โครงสร้างทางการเมือง โครงสร้างทางเศรษฐกิจ โครงสร้างทางสังคม วัฒนธรรมต่างๆมีความไม่เท่าเทียม ความเหลื่อมล้ำ ความไม่ยุติธรรมอยู่ในนั้นเยอะมาก ครั้งหนึ่งเราอยู่กันได้ท่ามกลางโครงสร้างเหล่านี้ แต่อย่างที่ผมพูดเมื่อสักครู่ ผมว่าสังคมมันเปลี่ยน โครงสร้างที่เราเคยชินนั้นไม่สามารถทำให้เราอยู่ร่วมกันต่อไปได้ คุณต้องกล้าพอที่จะปฏิรูปมัน
อาจารย์กิตติศักดิ์เห็นอะไรที่ลึกลงไปในทะเล เราซ่อนอะไรภายใต้พรมบ้างในประเทศนี้
นายกิตติศักดิ์ : ผมว่าเรากำลังเผชิญอยู่ในสถานการณ์ตอนที่ใกล้เสียกรุง เราเสียกรุง 2 ครั้งในสมัยอยุธยา ตอนที่เรากำลังรวยเต็มที่ คือเรารวยเหมือนกับต้นไม้ที่เติบโตมีกิ่งก้านสาขา แต่รากมันลงไม่ลึก ถือว่าโครงสร้างที่จะรองรับความเติบโตนี้มีไม่พอ เหมือนกับที่อาจารย์นิธิว่ามันต้องมีรากลึกเพียงพอที่จะรับเอาไว้ได้ เมื่อลมพัดมา ถ้ารากของต้นไม้ลึกไม่พอ เผชิญกับเหตุการณ์เล็กๆไม่เท่าไรก็จะล้มครืนได้ฉับพลัน
ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
**************
ความรู้สึกคดีอากง
นายพนัส : ในเบื้องต้นคงรู้สึกว่าโทษมันแรง สูงมาก 20 ปี อีกอย่างหนึ่งคือไม่ค่อยมีใครทราบต้นสายปลายเหตุกันสักเท่าไร ทราบกันจากสื่อที่รายงานข่าวว่ามีการส่งเอสเอ็มเอสไปยังบุคคลคนหนึ่งซึ่งเป็นเลขานุการส่วนตัว (นายสมเกียรติ ครองวัฒนสุข) ของท่านอภิสิทธิ์ (นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ) ต่อมาก็มีการพิจารณาคดีกัน สุดท้ายศาลตัดสินว่าส่งเอสเอ็มเอส 4 ครั้ง ครั้งละ 5 ปี ในกฎหมายเรียกว่ากระทงละ 5 ปี หรือว่ากรรมละ 5 ปี เป็นการกระทำต่างกรรมต่างวาระ เป็นภาษาทางกฎหมายว่าอย่างนั้น
ทีนี้ต่างกรรมต่างวาระก็โดนไปรวมแล้ว 20 ปี ผมคิดว่าส่วนใหญ่คงมีความรู้สึกว่าเนื่องจากไม่ทราบว่าข้อความที่ส่งไปนั้นเป็นอย่างไร นั่นประการแรก แต่การพิจารณาของศาลรู้สึกจะไม่ได้พิจารณาโดยเปิดเผย เมื่อออกมาอย่างนี้ก็ทำให้เกิดความรู้สึกกังขากันว่าข้อความที่ส่งไปมีเนื้อหาสาระสำคัญอย่างไร ซึ่งคงไม่มีทางทราบได้ เพราะเข้าข่ายเป็นการหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์หรือสมเด็จพระบรมราชินีตามที่กฎหมายเขียนไว้ เลยมีความรู้สึกว่าโทษแรงไปหรือเปล่า 20 ปี อันนี้ผมคิดว่าคงทำให้มีปฏิกิริยาสอบถามกันว่าการพิจารณาคดีในความผิดฐานนี้ในแง่ของความยุติธรรมเรามีการรักษากันมากน้อยแค่ไหน เพื่อผดุงความยุติธรรมให้เกิดขึ้นในคดีประเภทอย่างนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นคดีที่ไม่สามารถเปิดเผยให้สาธารณชนทราบว่าเนื้อหาสาระเป็นอย่างไร
คดีอย่างนี้เปิดเผยให้สาธารณชนรับรู้ได้หรือเปล่า และประเด็นที่ถามกันมากคือ พอคนเกิดความรู้สึกว่าไม่ยุติธรรมขึ้นมา สาธารณชนสามารถวิจารณ์ศาลได้หรือไม่
นายกิตติศักดิ์ : ถ้อยคำที่ใช้ว่าผู้ที่ถูกกล่าวหากระทำความผิดได้กล่าวหรือแสดงถ้อยคำอย่างไร ต้องปรากฏอยู่ในคำพิพากษา ใครอ่านคำพิพากษาย่อมรู้ได้อยู่แล้ว ปิดไม่ได้ เพราะคำพิพากษาเป็นเอกสารสาธารณะ เผยแพร่ได้ ตัวอย่างคำพิพากษาที่เราเห็นคือ คำพิพากษาของดา ตอร์ปิโด ซึ่งมีผู้เอาไปเผยแพร่ทางอินเทอร์เน็ตนั้น จะถือว่าเป็นความผิดไม่ได้
อันที่ 2 ที่ถามว่ามีปัญหาเกี่ยวกับความยุติธรรมอย่างไร เท่าที่ผมติดตามดูจากข่าว ขณะนี้ก็กำลังรออ่านคำพิพากษาอยู่เหมือนกัน ในข่าวกล่าวว่าผู้ที่เป็นจำเลยปฏิเสธว่าตัวเองไม่ได้ทำ แต่จะมีผู้ใดทำนั้นตนเองไม่รู้ ศาลก็เรียกพยานมาสืบ ก็ได้ความว่าโทรศัพท์มือถือ เลขประจำเครื่อง อาจมีการปลอมแปลงกันได้ แต่ศาลก็เชื่อพยานหลักฐานของฝ่ายโจทก์คืออัยการว่าคงไม่ได้ปลอมแปลง เพราะสัญญาณส่งจากแหล่งที่อยู่ของผู้ที่เป็นจำเลย อย่างไรก็ตาม คดีนี้เนื่องจากจำเลยปฏิเสธหัวแข็งว่าไม่ได้เป็นการกระทำของเขา ถ้าจะเป็นก็เป็นการกระทำของคนอื่น จึงต้องมีการพิจารณาพฤติกรรมแวดล้อมว่าเขามีมูลเหตุจูงใจอะไรที่จะทำอย่างนั้น ซึ่งอันนี้ต้องรออ่านในคำพิพากษาว่าชี้ให้เห็นไหมว่ามีพฤติการณ์หรือมูลเหตุอะไรจูงใจที่เป็นเหตุให้เชื่อได้ว่าเป็นบุคคลคนนี้ ทั้งๆที่เขาปฏิเสธเสียงแข็งว่าไม่ได้กระทำจริง
ทีนี้ถามว่าคำพิพากษาวิจารณ์ได้ไหม ผมมีอาชีพเป็นอาจารย์ สอนหนังสือทุกๆวัน ผมก็ต้องวิจารณ์คำพิพากษาของศาล แต่ถ้าเราวิจารณ์ด้วยความเป็นกลางและด้วยเหตุผลความเป็นนักวิจารณ์ หรือพูดง่ายๆอย่างเป็นกลางและด้วยความสุจริต อันนี้คนจำนวนมาก รวมทั้งผู้ที่ออกแถลงการณ์คัดค้านคำพิพากษาฉบับนี้ก็ไปกล่าวอ้างว่าศาลนั้นเราวิจารณ์ไม่ได้ ซึ่งเป็นความเข้าใจผิด ศาลนั้นวิพากษ์วิจารณ์ได้ แต่ต้องวิพากษ์วิจารณ์ด้วยใจเป็นธรรม
ตกลงวิจารณ์ศาลได้ ไม่เห็นด้วยกับคำตัดสินหรือคำพิพากษาของศาลได้
นายกิตติศักดิ์ : ได้อยู่แล้ว จำเลยไม่เห็นด้วยอยู่แล้ว เขาถึงอุทธรณ์ได้ กฎหมายถึงมีอุทธรณ์ ฎีกา
ถ้าจะให้เขาไม่เห็นด้วยหมด จะอุทธรณ์ ฎีกากันได้อย่างไร หมายความว่าสาธารณชนคือจำเลย ต้องสู้อยู่แล้ว แต่สาธารณชนบอกว่าไม่เห็นด้วยกับศาลอย่างนี้
นายกิตติศักดิ์ : สาธารณชนก็บอกไม่เห็นด้วยได้ แต่อย่าไปดูหมิ่นศาล ไม่เห็นด้วยกับคำพิพากษาไม่เป็นความผิด อันนี้เป็นเรื่องที่คนเข้าใจผิดพลาดกันมาก แล้วศาลด้วยเหตุที่ว่าไม่กลัวการถูกวิพากษ์วิจารณ์ เขาถึงเปิดการพิจารณาคดีทั้งหลาย โดยหลักแล้วต้องพิจารณาคดีในที่สาธารณะ หมายความว่าเปิดให้สาธารณชนเข้ารับฟังได้ ต้องโปร่งใส คำพิพากษาก็ต้องให้เขาอ่านได้ เมื่อให้อ่านได้ก็วิพากษ์วิจารณ์กันได้ แต่ห้ามอย่างเดียวคือการดูหมิ่น บอกศาลเลวอย่างนี้ไม่ได้ ต้องบอกว่าด้วยความเคารพ กระผมไม่เห็นด้วยเพราะเหตุใด ว่ากันไป อย่างนี้ทำได้
ทำไมคดีอากงจึงสร้างความโกรธแค้นแล้ววิพากษ์วิจารณ์กันอย่างรุนแรงในโลกไซเบอร์จนกลายเป็นเรื่องใหญ่ของสังคมไทยขึ้นมาได้
นายนิธิ : ผมมี 2 ประเด็นด้วยกัน ประเด็นแรกคือคุณเอาคนอายุ 61 เป็นมะเร็งในปาก ไปติดคุก 20 ปี ผมว่าสังคมไหนในโลกก็รู้สึกสะเทือนใจกันทั้งนั้น แล้วก็ทำให้ต้องย้อนกลับมาสงสัยในกระบวนการยุติธรรมของประเทศไทยทั้งหมด รวมทั้งสงสัยในตัวกฎหมายที่ทำให้อากงติดคุกด้วย
ประเด็นที่ 2 ผมอยากเตือนไว้คือ ความยุติธรรมไม่ได้ลอยอยู่บนฟ้า แต่เป็นความเห็นของมนุษย์ในสังคมแต่ละยุค แต่ละสมัย แต่ละแห่ง จะมองเห็นว่าอะไรคือความยุติธรรมของเขา การที่คนขยับเขยื้อนกันมากมายเหลือเกินในสังคมจากกรณีอากงชี้ให้เห็นว่าทรรศนะต่อความยุติธรรมของไทย มาตรฐานที่ครั้งหนึ่งเคยถือว่าเป็นความยุติธรรม สังคมไทยไม่ได้เห็นอย่างนั้นแล้ว จริงๆถ้าอากงอยู่สมัยอยุธยาเอามะพร้าวห้าวยัดปากนะ แต่อันนั้นคือความไม่ยุติธรรมของคนไทยเมื่อหลายร้อยปีแล้วกระมัง แต่ปัจจุบันนี้แม้แต่มาตรฐานเมื่อร้อยปีที่แล้วก็กลายเป็นมาตรฐานความยุติธรรมที่คนในปัจจุบันเริ่มรู้สึกว่าไม่ใช่อีกแล้ว ผมว่าประเด็นนี้น่าสนใจ
อาจารย์เป็นนักประวัติศาสตร์ พอสังคมเริ่มมีความรู้สึกว่าเกิดความอยุติธรรมขึ้นกับกรณีใดกรณีหนึ่ง สิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมาเมื่อไม่ได้รับการตอบสนองคืออะไร
นายนิธิ : วุ่นวายครับ เพราะถ้าคุณรู้สึกว่าไม่สามารถแสวงหาความยุติธรรมที่คุณพอใจในสังคมนี้ได้ ไม่ใช่คุณคนเดียว แต่สังคมจำนวนมากรู้สึกว่าอันนี้ไม่ใช่ความยุติธรรม ในที่สุดก็จะหันไปสู่การกระทำอะไรก็แล้วแต่ที่คุณไม่แคร์ต่อความยุติธรรมต่อไป คุณไปเที่ยวรังแกคนอื่นโดยไม่สนใจอีกแล้วว่ายุติธรรมหรือไม่
นายกิตติศักดิ์ : ประเด็นที่น่าสนใจก็คือคดีนี้เป็นคดีที่ต้องชั่งน้ำหนักคุณค่า 2 อย่างที่อยู่ในสังคม คุณค่าอันแรกคือการที่เราจะแสดงความคิดเห็น ซึ่งบางครั้งอาจเป็นความคิดเห็นที่รุนแรง มันอยู่ในขอบเขตของเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นซึ่งได้รับการคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญหรือไม่ ซึ่งในแง่นี้ในสังคมประชาธิปไตยถือกันว่ารากเหง้าสำคัญ รากฐานสำคัญของระบอบประชาธิปไตยคือต้องเปิดโอกาสให้คนแสดงความคิดเห็นได้ ผมว่าคุณภิญโญว่าคุณเลว เป็นความคิดเห็นนะ แต่ปัญหาว่าความคิดเห็นนี้ต้องอยู่ในกรอบที่ต้องไม่เป็นการหมิ่นประมาท ผมบอกคุณจัดรายการไม่ดี เป็นความคิดเห็นนะ ทุกคนต้องแสดงความคิดเห็นได้ แต่ถ้าผมบอกว่าคุณภิญโญนั้นเลวเหมือนหมา คุณภิญโญคุณเป็นชู้กับคนอื่น อย่างนี้เกินขอบเขตการแสดงความคิดเห็นที่กฎหมายกำหนดไว้ ก็กลายเป็นเรื่องหมิ่นประมาทไป
อีกเรื่องหนึ่งคือ ความสงบเรียบร้อยและความมั่นคงของรัฐ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถาบันพระมหากษัตริย์ ระบบกฎหมายถือว่าเป็นส่วนสาระสำคัญเหมือนกัน ด้วยเหตุนี้เราจึงมีรัฐธรรมนูญที่ถือว่าประเทศไทยเป็นราชอาณาจักร เมื่อเป็นราชอาณาจักรคือพระมหากษัตริย์เป็นสุดยอด เป็นประมุขแห่งรัฐ จึงต้องได้รับการคุ้มครองเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น จะแสดงความคิดเห็นต่อพระมหากษัตริย์นั้นทำได้ แต่ต้องอยู่ในขอบเขตว่าจะดูหมิ่นไม่ได้ แสดงความอาฆาตมาดร้ายไม่ได้ จะหมิ่นประมาทไม่ได้
คดีนี้เรายังไม่เห็นคำพิพากษา แต่เหตุที่มีผู้คนสงสัยไม่ใช่เป็นเพียงเพราะว่านี่เป็นคนแก่ ไม่ใช่แค่นั้น เพราะถ้าหากอาจารย์นิธิจะกล่าวถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ หรือจะวิจารณ์สถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งทำอยู่บ่อยๆ ก็ไม่เห็นมีปัญหาอะไร ปัญหาอยู่แต่เพียงว่าเนื้อหาของการกล่าวกระทบกระเทียบนั้นเป็นอย่างไร และที่คนรู้สึกมากเพราะคิดว่าเป็นการกระทำของอากงคนนี้หรือเปล่า นี่คือปัญหาใหญ่ เพราะข่าวที่ออกมาบอกว่าพิสูจน์ไม่ได้ พยานหลักฐานยังน่าสงสัยอยู่ อันนี้จึงต้องดูในคำพิพากษาว่าอะไรเป็นเหตุในการลงโทษ แล้วชั่งน้ำหนักกันหรือเปล่า ระหว่างเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นซึ่งอยู่ในระบอบประชาธิปไตยกับความมั่นคงของรัฐคือการคุ้มครองสถาบันพระมหากษัตริย์ ว่าอะไรสำคัญยิ่งหย่อนกว่าอันใดภายใต้เงื่อนไขใด อันนี้เป็นเรื่องที่ศาลต้องทำให้ชัดเจน
อาจารย์กฎหมายมีข้อถกเถียงกันหลายกรณีเรื่องอากง ตกลงเป็นหน้าที่ของฝ่ายจำเลยที่จะพิสูจน์ตัวเองว่าไม่ได้ทำผิด หรือเป็นความเห็นของฝ่ายโจทก์ที่ต้องพิสูจน์ว่าจำเลยทำความผิดแล้วก็หักล้างกันไป ใครมีหน้าที่อย่างไรในกระบวนการพิจารณาคดีอาญาในลักษณะแบบนี้
นายพนัส : หลักการพิจารณาคดีอาญาซึ่งกำหนดไว้ทั้งในรัฐธรรมนูญและในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา หน้าที่นำสืบว่าจำเลยได้กระทำความผิดจริงโดยชัดแจ้ง ไม่ปราศจากข้อสงสัยใดๆทั้งสิ้น เป็นหน้าที่ของโจทก์ว่าในกรณีนี้ข้อความที่ส่งเอสเอ็มเอสในเบื้องต้นนั้นส่งไปจากคนที่ถูกฟ้องคืออากง คดีนี้ต้องพิสูจน์ตรงนั้นให้ได้ แต่ทีนี้ศาลเองเท่าที่ฟังจากข่าว ไม่รู้ว่าเท็จจริงเป็นอย่างไร บอกว่ามีข้อวินิจฉัยของศาลว่าแม้โจทก์จะไม่สามารถนำสืบพยานให้เห็นได้อย่างชัดแจ้งว่าจำเลยเป็นผู้ส่งข้อความตามฟ้องจากโทรศัพท์เคลื่อนที่เครื่องดังกล่าวไปยังโทรศัพท์เคลื่อนที่ของนายสมเกียรติ แต่ศาลก็บอกว่าเนื่องจากจำเลยก็ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าข้อความนั้นไม่ได้ส่งไปจากเครื่องของตัวเอง สุดท้ายศาลเลยบอกว่าด้วยเหตุนี้มีพยานประจักษ์แวดล้อม ศาลใช้คำทำนองนี้ ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่าคืออะไรบ้าง ทำให้ศาลฟังว่าจำเลยเป็นผู้ส่ง แล้วศาลก็พิพากษาลงโทษไป ฉะนั้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 ถ้าผมจำไม่ผิด ถ้ามีความสงสัยแม้แต่น้อย เขาให้ยกประโยชน์ความสงสัยให้แก่จำเลย ส่วนในรัฐธรรมนูญก็จะมีทุกฉบับว่าผู้ที่ถูกฟ้องคดีอาญาให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าไม่ได้กระทำความผิด ให้สันนิษฐานว่าเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่จนกว่าศาลจะพิพากษาว่าได้กระทำผิดตามนั้น อันนี้เป็นหลักที่เป็นหัวใจของการพิจารณาคดีอาญา
ทำไมศาลไม่ยกประโยชน์ให้จำเลย เมื่อฝ่ายโจทก์ก็ไม่สามารถพิสูจน์ได้อย่างแน่ชัดว่าจำเลยเป็นผู้กระทำความผิด
นายพนัส : อันนี้คือสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดความรู้สึกในทางปฏิกิริยาออกมาค่อนข้างกว้างขวางและรุนแรง เพราะตามความเข้าใจของผมเชื่อว่าแม้กระทั่งนักกฎหมายโดยทั่วไปก็เข้าใจกันตามนั้นว่าจำเลยในคดีอาญา ถ้าหากศาลบอกว่าโจทก์สืบมาไม่ชัด ยังมีข้อสงสัยอยู่ ทำไมไม่ยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้กับจำเลย นั่นคือทำไมไม่ยกฟ้อง ศาลบอกว่าต้องไปดูว่ามีประจักษ์พยานแวดล้อมซึ่งสามารถชี้ให้เห็นถึงเจตนาของจำเลยได้หรือไม่ แล้วศาลบอกว่าในกรณีเช่นนี้ก็เป็นธรรมดาอยู่เองที่ผู้กระทำผิดต้องหาทางปกปิด นัยคือโจทก์ก็ไม่สามารถที่จะสืบได้ชัดแจ้ง แต่ถึงอย่างไรก็ตาม จากที่ศาลฟังทั้งหมด ผมเข้าใจว่าอย่างนั้น ศาลก็เชื่อว่าจำเลยเป็นผู้ส่งข้อความนั้นจริง อากงเป็นผู้ส่งข้อความนั้นจริง ก็พิพากษาลงโทษไป
อาจารย์นิธิไม่ต้องมองในฐานะนักกฎหมาย มองในฐานะประชาชนธรรมดา เมื่อมีการอธิบายคดีแบบนี้ ด้วยวิธีคิดแบบนี้ มนุษย์คนหนึ่งเห็นอย่างไรในวิธีคิดแบบนี้
นายนิธิ : ในความเป็นจริงแล้วผมไม่เชื่อว่าคนที่รู้สึกหวั่นไหวแล้วก็มีการวิพากษ์วิจารณ์คำพิพากษาเรื่องนี้กันมากในอินเทอร์เน็ตมาจากความรู้ทางกฎหมาย ผมคิดว่าไม่ใช่ แต่มาจากความรู้สึกของมนุษย์ธรรมดา คือการเอาคนแก่อายุ 61 ไปติดคุก 20 ปี สิ่งแรกที่ชาวบ้านคิดคือ มันทำอะไรวะ ลองไปฆ่าคนตาย ไปทำอะไรก็แล้วแต่ เอาไปติดคุก 20 ปี ก็ไม่มีใครรู้สึกอะไร แต่เพราะการส่งเอสเอ็มเอสพาดพิงถึงพระเจ้าอยู่หัว 4 ครั้งด้วยกัน 20 ปี ผมคิดว่าคนทั่วไปเลยรู้สึกว่ามันมากไป มันรับไม่ไหว นักกฎหมายจะว่าอะไรก็ว่าเถอะ แต่ผมว่าชาวบ้านไม่ได้รู้กฎหมายอย่างท่านทั้งสอง แต่ใช้หัวใจความเป็นมนุษย์ ผมถึงได้เตือนว่าสมัยอยุธยาเอามะพร้าวห้าวยัดปาก มาตรฐานความยุติธรรมในสังคมควรแปรเปลี่ยนไปเรื่อยๆตามยุคสมัย ไม่หยุดนิ่งอยู่กับที่
นายกิตติศักดิ์ : อันนี้มีหลายประเด็น เราต้องแยกกันให้ดี อย่างแรกคือความสงสัยว่าจำเลยเป็นผู้กระทำความผิดจริงหรือไม่ แต่ที่ท่านอาจารย์นิธิพูดถึง ต่อให้กระทำความผิดจริง สมควรจะถูกลงโทษ 20 ปีหรือไม่ นี่อีกประเด็นหนึ่ง ไปลงโทษคนที่เขาไม่ได้กระทำ อันนี้คนจะรู้สึกมาก ส่วนไปลงโทษผู้ที่ยอมรับ สมมุติจำเลยสารภาพ แม้จำเลยสารภาพว่าได้ทำจริง แล้วก็มีความเชื่ออย่างนั้นจริงโดยสุจริตใจ ต้องการจะทำอย่างนี้ แล้วก็ท้าทายด้วย ควรจะลงโทษหรือไม่ 20 ปี อันนี้เป็นอีกประเด็นหนึ่งซึ่งผมคิดว่าต้องเถียงกันในสังคม โดยกฎหมายมันก็มีปัญหาอีก เพราะกฎหมายบอกไว้ว่าลงโทษขั้นต่ำ 3 ปี ขั้นสูง 15 ปี กรณีนี้ลงโทษ 5 ปี แต่ลงโทษด้วยการกระทำต่างกรรมต่างวาระโดยวิธีมาบวกกัน แล้วกลายเป็นเหมือนกับว่าทำเป็นการปรามไม่ให้ผู้อื่นกระทำในทำนองเดียวกัน กรณีนี้ผมยังไม่อยากจะให้ได้ข้อยุติ อย่างที่อาจารย์นิธิว่าเขาทำจริงก็เป็นแค่เพียงสมมุติว่าเขาทำจริง เพราะเรื่องนี้คดีเขายังต่อสู้อยู่
อาจารย์นิธิพูดในสมมุติฐานอะไร
นายนิธิ : คุณถามผมว่าทำไมคนถึงหวั่นไหวถึงเรื่องความยุติธรรมกันนัก ผมไม่ได้พูดว่าเขาทำหรือไม่ได้ทำจริง แล้วก็ไม่รู้ว่าทางกฎหมายเป็นอย่างไร แต่อารมณ์ความรู้สึกของมนุษย์ คนแก่คนหนึ่งทำผิด แล้วตัวเองก็ไม่ยอมรับด้วย
นายกิตติศักดิ์ : คดีนี้เราต้องเห็นใจจำเลยด้วย จำเลยยังต่อสู้อยู่ว่าไม่ได้ทำ ส่วนปัญหาว่าต่อให้ทำจริงควรลงโทษรุนแรงหรือไม่ เป็นเรื่องสมมุติ ผมพูดอันนี้ขึ้นมาเพื่อที่จะให้เราอย่าไปลงความเห็นว่าจำเลยทำจริงแค่นั้นเอง
นายพนัส : ผมคิดว่าแม้จะไม่ได้เป็นนักกฎหมาย แต่ในความรู้สึกของคนทั่วไปก็คงจะเป็นที่เข้าใจได้ การพิสูจน์ยังไม่ชัดเจน แล้วโดยสภาพของอากงเองทำให้คนเชื่อว่าไม่น่าจะทำสิ่งนี้ได้ ประกอบกับการที่ศาลวินิจฉัยว่าโจทย์ไม่สามารถนำสืบพยานได้อย่างชัดเจนชัดแจ้ง ความเข้าใจของคนทั่วไปมีความรู้สึกว่าในเมื่อยังไม่มีความชัดเจนทำไมไม่ยกประโยชน์ให้จำเลย ทำไมลงโทษเขารุนแรงถึงขนาดนั้น แต่ก็มีอีกประเด็นหนึ่งที่อาจารย์กิตติศักดิ์พูดคือ เนื่องจากเรายังไม่ทราบว่าข้อความที่ว่านี้เป็นอย่างไร จึงเป็นประเด็นที่ต้องพิจารณาอีก
ผมเห็นด้วยกับอาจารย์กิตติศักดิ์ว่าถ้าหากข้อความนี้ชั่วร้ายมาก รุนแรงมาก โทษกระทงละ 5 ปี เหมาะสมหรือเปล่า ผมว่าเป็นประเด็นที่จะต้องพิจารณากัน อย่าลืมว่าคดีหมิ่นพระมหากษัตริย์ในประเทศอื่นๆในอดีตอย่างประเทศฝรั่งเศส ถ้าผมจำไม่ผิดโทษคือประหารชีวิต แต่ตอนหลังความคิดความอ่านของคนก็เปลี่ยนแปลงไป แม้แต่ในประเทศอังกฤษเองความผิดฐานนี้รัฐสภาก็ยกเลิกไป เหลือความผิดที่แปลเป็นภาษาไทยคือความผิดฐานกบฏ ซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับการพูดจาในลักษณะที่คล้ายว่าระบบนี้ไม่ควรมีอยู่ต่อไปแล้ว ซึ่งอันนี้เป็นประเด็นที่ถกเถียงกันมากในประเทศอังกฤษว่าหากมีคนพูดในทำนองว่าอยากให้ประเทศมีระบอบการปกครองเป็นสาธารณะรัฐนั้นผิดกฎหมายฐานเป็นกบฏหรือไม่ ตอนนี้กำลังเสนอร่างกฎหมายให้ยกเลิกกฎหมายมาตรานี้ไป
เท่าที่อาจารย์ประมวลข่าวมาทั้งหมด อะไรคือประเด็นที่ติดค้างใจอาจารย์มากที่สุด
นายนิธิ : อย่างที่ผมพูดเมื่อสักครู่นี้ว่ามาตรฐานความยุติธรรมมันเปลี่ยน เวลานี้ผมคิดว่ากฎหมายที่เราเรียกกันว่าหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ หรือมาตรา 112 ทำร้ายสถาบันพระมหากษัตริย์มากกว่าปกป้องเสียอีก เพราะในโลกปัจจุบันคุณไม่สามารถทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์กับประชาธิปไตยกลายเป็น 2 สิ่งที่ขัดแย้งกันได้ ถ้าคุณใช้มาตรา 112 แบบนี้อยู่บ่อยๆ ตลอดเวลา ก็กลายเป็นว่าสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นตัวขัดขวางเสรีภาพในการแสดงออก ผมว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่ต้องมีมิติทางการเมืองเข้ามาแทรกด้วย คือต้องเข้าใจให้ดีๆว่าถ้าเราต้องการรักษาเกียรติยศของพระมหากษัตริย์ ต้องไม่ผลักให้สถาบันพระมหากษัตริย์กลายเป็นอุปสรรคของประชาธิปไตย
พอเกิดกรณีอากงเลยมีการเรียกร้องให้แก้ไขกฎหมายมาตรา 112 ในมุมมองของอาจารย์ควรแก้หรือไม่ และจะแก้อย่างไร
นายนิธิ : จริงๆแล้วมีการเรียกร้องให้แก้หรือทบทวนมาก่อนหน้ากรณีอากงนานมากแล้ว เหตุผลสำคัญคือช่วงประมาณ 5 ปีที่ผ่านมา หลังรัฐประหาร 2549 เป็นต้นมา สถิติการฟ้องร้องคดี 112 เพิ่มขึ้นไม่รู้เท่าไรแล้ว มากมายเหลือเกิน เพิ่มขึ้นอย่างผิดหูผิดตา ซึ่งชัดเจนว่าหากคุณปล่อยเอาไว้ก็จะถูกนำไปใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองตลอดเวลา มันน่ากลัวมากๆ กระบวนการยุติธรรมของเราจะถึงขั้นไหนผมไม่ทราบ แต่มีลักษณะของการปัดความรับผิดชอบ เพราะถ้าผมถูกแจ้งความ ผมก็ทำเรื่องไปให้อัยการ อัยการไม่อยากฟ้องก็ว่าไป ก็จะเกิดการปัดความรับผิดชอบกันไปเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นก็จะเกิดปัญหาเดือดร้อนกันค่อนข้างมาก
ในขณะเดียวกันผมคิดว่ามีจุดอ่อนในมาตรา 112 หลายอย่างด้วยกัน อย่างแรกคือโทษไม่ได้สัดส่วน 3-15 ปี รุนแรงมากถ้าเปรียบเทียบกับกฎหมายทำนองเดียวกันในสมัยเดียวกันกับประเทศอื่นๆ อย่างที่ 2 คือวิธีการบังคับใช้กฎหมาย ผมว่ามีปัญหา นอกจากเรื่องการผลักความรับผิดชอบอย่างที่ว่าแล้ว ผู้ต้องหาส่วนใหญ่มักจะไม่ได้ประกันตัว เพราะถูกพิจารณาว่าเป็นคดีร้ายแรง นอกจากนั้นในตัวกฎหมายเองผมคิดว่ามีความคลุมเครือ แค่ไหนจึงเป็นการหมิ่นประมาท แค่ไหนจึงเป็นการอาฆาตมาดร้าย แค่ไหนจึงเป็นการดูหมิ่น ผมคิดว่าต้องอาศัยการตัดสิน วินิจฉัยโดยผู้พิพากษาว่าอันนี้เป็นการดูหมิ่น อันนี้ไม่ใช่การดูหมิ่น
จริงๆถ้าคุณขยันพอที่จะย้อนกลับไปดูคำพิพากษาคดีนี้ที่ผ่านมาหลายต่อหลายคดี ผมคิดว่าบางคดีค่อนข้างขัดแย้งกันเองด้วยซ้ำไป ประเด็นก็คือ ถ้าคุณปล่อยให้กฎหมายอยู่ในวินิจฉัยของคนมากเกินไป ไม่มีเลยก็ไม่ได้ ต้องมีบ้าง แต่ถ้ามากเกินไปจะล่วงล้ำเข้าไปสู่สิ่งที่เป็นสำนึกของคน หรือที่ฝรั่งเรียกว่าอาชญากรรมของสำนึก แล้วถ้าคุณไม่อ่านคำพิพากษาบางอันเป็นเรื่องของอาชญากรรมสำนึกทั้งสิ้น เช่น ตำหนิผู้ที่ต้องคำพิพากษาว่าปราศจากความจงรักภักดี ความจงรักภักดีนี้ต้องมีในกฎหมายนะ เพราะผมรู้จักแต่กฎหมายตรา 3 ดวง แม้แต่กฎหมายโบราณขนาดนั้นก็ควบคุมพฤติกรรมมนุษย์ เช่น ความนึกคิดจิตใจของคนควบคุมไม่ได้ เพราะฉะนั้นคุณเริ่มเปลี่ยนกฎหมายอันนี้ให้กลายเป็นอาชญากรรมของสำนึก ซึ่งอันตรายมากๆแล้วโดยไม่รู้ตัว ไปอ้างความจงรักภักดี ความไม่รู้จักบุญคุณ และอื่นๆ คนละเรื่องเลย
นอกจากนั้นผมคิดว่าการอนุญาตให้กฎหมายให้ความผิดอันนี้ถูกฟ้องโดยสาธารณชนได้ อันนี้เป็นอันตรายอย่างยิ่งเหมือนกัน เพราะเปิดโอกาสให้มีการใช้เป็นเครื่องมือ ในขณะเดียวกันยิ่งฟ้องมากยิ่งกระทบต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ คุณจำพระราชดำรัสเมื่อปี 2548 ได้ไหม การใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง ยิ่งใช้มากก็ยิ่งสร้างความเจ็บปวด สร้างความเดือดร้อนมากขึ้น คงจำได้กรณีนักการเมืองจ้างคนไปตะโกนในโรงหนังเรื่อง “ปรีดีฆ่าในหลวง” อันนั้นเป็นการต่อสู้ทางการเมืองที่สกปรก ผมยอมรับเพราะเป็นนักการเมืองด้วยกัน แต่ปัจจุบันคุณสามารถไปฟ้องใครก็ตาม แต่ในคดีอาญา 112 คนเล็กคนน้อยเข้าใจไหม คุณเองกลับได้เครดิตขึ้นมา มันไม่ใช่การต่อสู้ของนักการเมืองต่อนักการเมืองแล้ว ผมกับอาจารย์พนัสเป็นนักการเมืองต่อสู้กัน แต่ผมไปฟ้องคุณเพื่อทำให้ชื่อเสียงผมดีขึ้นว่าผมมีความจงรักภักดีต่อสถาบันเป็นพิเศษ อาจารย์พนัสก็ไปฟ้องอาจารย์กิตติศักดิ์ วุ่นวายไปหมด คนเล็กคนน้อยจำนวนมากในคดีในปี 2553 ไม่ใช่คน ไม่ใช่นักการเมืองที่โดนคดีเหล่านี้ เพราะฉะนั้นการเป็นเครื่องมือทางการเมืองยิ่งอันตรายมากขึ้นทุกที ผมคิดว่าจากข้ออ่อนเหล่านี้อย่าไปแก้มัน ผมว่าคุณต้องแก้ คุณต้องทบทวน ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ คุณต้องทบทวนดูให้ดีว่าจะทำอย่างไร
ประเด็นสุดท้ายในฐานะนักกฎหมาย แค่ตรา 3 ดวง ไม่ใช่นักกฎหมายแบบอาจารย์พนัส ผมออกจะสงสัยว่ามาตรา 112 เทียบกับคดีหมิ่นประมาทบุคคลไม่ได้เลย ไม่ใช่เพราะเป็นพระมหากษัตริย์ในฐานะประมุขของรัฐแต่เพียงอย่างเดียว แต่ยังถูกใส่อยู่ในความผิดต่อความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร ผมคิดว่าหมายความว่าถ้าคุณพูด คุณทำ คุณเขียนอะไรก็แล้วแต่ที่มุ่งหวังจะให้มีการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองจากราชอาณาจักรไปสู่อะไรที่ไม่ใช่ราชอาณาจักร อันนั้นถึงจะเป็น 112 เพราะฉะนั้นถ้าเข้าใจตามผม อากงไม่ผิด สิ่งที่เขาทำมันน้อยไปเกินกว่าที่จะเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองราชอาณาจักรได้
การที่สังคมแบ่งเป็น 2 ข้าง ต่างคนต่างคิด ต่างคนต่างทำโดยไม่ฟังเหตุและผลของกันและกัน ความน่ากลัวของสังคมไทยในอนาคตคืออะไร
นายนิธิ : ความน่ากลัวคือเราต้องตีกัน ผมคิดว่าเราต้องตีกันมากขึ้น ตีในที่นี้ไม่ได้หมายความแต่เพียงรบราฆ่าฟันกันอย่างเดียว อันนั้นส่วนหนึ่ง แต่ตีกันในทุกๆเรื่อง ซึ่งมีหลายเรื่องที่ผมคิดว่าเราสามารถแก้ปัญหาได้โดยการข้ามพ้นไปจากความขัดแย้ง เป็นการชั่วคราวก็ยังได้ แต่เราก็ข้ามไม่พ้นสักที
สรุปสั้นๆ ผมคิดว่าสังคมเปลี่ยนไปมากเกินกว่าที่จะรักษาโครงสร้างแบบเก่าเอาไว้ได้แล้ว ตัวอย่างง่ายนิดเดียว เช่น ทะเลาะกันเรื่องเขื่อนกั้นน้ำ ถ้าเป็น 40 ปีที่แล้ว คุณจะกั้นยังไงก็ไม่มีใครรู้สึกอะไร ไม่ใช่ไม่รู้สึก รู้สึกแต่ไม่รู้ว่าจะทำอะไร ก็ยอมให้ท่วมไป แต่ปัจจุบันไม่ใช่แล้ว คนปทุมธานีไม่ใช่คนยากจนอย่างเมื่อ 40 ปีที่แล้ว เขามีสิทธิมีเสียงเท่ากับคนสีลม แล้วเขารู้สึกว่าจำเป็นต้องมารื้อเขื่อนหรือพนังกั้นน้ำ แต่โครงสร้างของเราเป็นโครงสร้างที่ให้อำนาจไว้อย่างไม่เท่าเทียม คุณอยากจะแก้ตรงนี้ไหม ตราบเท่าที่เรายังไม่แก้ตรงนี้ ผมคิดว่าสังคมไทยเราจะเผชิญความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ
นายกิตติศักดิ์ : การที่เราปกปิดหรือไม่พูดในสิ่งที่ควรพูด ทำให้คุณค่าคือสัจจะที่อยู่ในสังคมไม่เอาความจริงมาตีแผ่แล้วถกเถียงกันด้วยสติปัญญา ก็จะไม่เจริญ หรือพูดง่ายๆมันเสื่อม สังคมใดก็ตามที่คุณค่าในเรื่องสัจจะคือความเป็นจริง ความมีเหตุผลด้วยสติปัญญา สังคมนั้นก็จะตัดสินกันด้วยอำนาจ แล้วก็เป็นปัญหาเหมือนกัน เหมือนกับเรื่องกั้นเขื่อน จะเห็นได้ว่าในที่สุดมีข้อยุติ 2 ทางคือ 1.ทางราชการกับประชาชนสามารถตกลงกันได้ด้วยเหตุผลก็ยุติลง แต่ถ้าหากไม่รับฟังเหตุผลกัน ในที่สุดก็ใช้อำนาจและใช้กำลัง เมื่อไรก็ตามที่สัจจะกับสติปัญญาลดถอยลงคนก็จะหันมาตัดสินกันด้วยกำลัง จากนั้นก็จะเกิดการจลาจล กรณีอย่างนี้ถ้าเราพูดถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ สถาบันพระมหากษัตริย์ในคติของเราคือธรรมะที่ปรากฏในมนุษย์ เพราะฉะนั้นพระมหากษัตริย์ต้องดำรงอยู่ได้ด้วยสัจจะ ดำรงอยู่ได้ด้วยสติปัญญาของสังคม ถ้าสติปัญญาของสังคมไม่มี สัจจะของสังคมก็อยู่ไม่ได้ พระมหากษัตริย์จะดำรงอยู่ด้วยอะไร ด้วยอำนาจอย่างนั้นหรือ คำตอบก็คือถ้าพระมหากษัตริย์ดำรงอยู่ด้วยอำนาจอย่างเดียวแล้วละก็ ตอนนั้นจะเป็นจุดที่ถึงภาวะที่จะมีผู้เอาอำนาจมาล้มล้างได้ สถาบันพระมหากษัตริย์จึงต้องดำรงอยู่ในสังคมด้วยสติปัญญา ยึดถือความจริงและเหตุผลของสังคม ประกอบกับความกล้าหาญที่จะรักษาความถูกต้อง สิ่งนี้เราจะปล่อยให้เสื่อมไม่ได้
นายพนัส : ผมเห็นด้วยกับอาจารย์กิตติศักดิ์ว่าต้องทำให้สัจจะให้เกิดขึ้นในสังคมจึงจะแก้ปัญหาได้ สติปัญญาก็จะติดตามมา แต่สิ่งที่ผมเป็นห่วงคือขณะนี้สิ่งที่ปิดบังอยู่คือความกลัว ไม่มีใครกล้า ถามว่าทำไมถึงไม่กล้า ก็เพราะว่ากลัวโดน พูดอย่างไรถึงจะเรียกว่าเป็นสัจจะ พูดความจริง อย่างที่อาจารย์กิตติศักดิ์บอกว่าแล้วมีหลักประกันอะไรที่ว่าพูดความจริงแล้วจะไม่โดนกล่าวหา ยิ่งเดี๋ยวนี้โดยเฉพาะในเครือข่ายสังคมโซเชียลเน็ตเวิร์ค เขามีกลุ่มไล่ล่าแม่มดอะไรอย่างนี้ ซึ่งเหมือนเป็นกลุ่มที่คอยไล่ตามดูทั้งหมดว่าใครบ้างที่ยังมีปฏิกิริยา หรือมีท่าที มีทรรศนะอะไร ซึ่งโดยมาตรฐานเขาเห็นว่าผิด ก็พร้อมที่จะเล่นงาน ผมคิดว่าในสังคมไทยกำลังมีสิ่งที่ก่อให้เกิดความรู้สึกกลัวมากๆเลย อันนี้ก็เกิดปัญหาขึ้นมาว่าแล้วความกลัวที่จะทำให้คนเกิดความกล้าหาญอย่างที่อาจารย์กิตติศักดิ์เสนอ จะมีใครสักกี่คนที่จะกล้าทำอย่างนั้น
อาจารย์นิธิ เรื่องที่เราพูดกันมาทั้งหมดอาจจะเปรียบกับยอดภูเขาน้ำแข็ง สังคมก็อาจตั้งคำถามต่อไปว่าถ้าอย่างนั้นภูเขาน้ำแข็งทั้งลูกที่ซ่อนตัวอยู่ในสังคมไทยที่อาจารย์มองเห็นคืออะไร
นายนิธิ : สรุปให้เหลือสั้นๆคือ โครงสร้างทางการเมือง โครงสร้างทางเศรษฐกิจ โครงสร้างทางสังคม วัฒนธรรมต่างๆมีความไม่เท่าเทียม ความเหลื่อมล้ำ ความไม่ยุติธรรมอยู่ในนั้นเยอะมาก ครั้งหนึ่งเราอยู่กันได้ท่ามกลางโครงสร้างเหล่านี้ แต่อย่างที่ผมพูดเมื่อสักครู่ ผมว่าสังคมมันเปลี่ยน โครงสร้างที่เราเคยชินนั้นไม่สามารถทำให้เราอยู่ร่วมกันต่อไปได้ คุณต้องกล้าพอที่จะปฏิรูปมัน
อาจารย์กิตติศักดิ์เห็นอะไรที่ลึกลงไปในทะเล เราซ่อนอะไรภายใต้พรมบ้างในประเทศนี้
นายกิตติศักดิ์ : ผมว่าเรากำลังเผชิญอยู่ในสถานการณ์ตอนที่ใกล้เสียกรุง เราเสียกรุง 2 ครั้งในสมัยอยุธยา ตอนที่เรากำลังรวยเต็มที่ คือเรารวยเหมือนกับต้นไม้ที่เติบโตมีกิ่งก้านสาขา แต่รากมันลงไม่ลึก ถือว่าโครงสร้างที่จะรองรับความเติบโตนี้มีไม่พอ เหมือนกับที่อาจารย์นิธิว่ามันต้องมีรากลึกเพียงพอที่จะรับเอาไว้ได้ เมื่อลมพัดมา ถ้ารากของต้นไม้ลึกไม่พอ เผชิญกับเหตุการณ์เล็กๆไม่เท่าไรก็จะล้มครืนได้ฉับพลัน
ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
เพื่อไทยขยับแก้ปม รธน.50 สู่เกมเสี่ยง-สู้แนวต้านใน-นอกพรรค !!?
เกมในฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหารจึงร้อนแรง ตั้งแต่พรรคเพื่อไทยไปถึงทำเนียบรัฐบาลและรัฐสภา
ทันทีที่เปิดประชุมสภาสมัยนิติบัญญัติ การเปิดฉากเรื่องแก้รัฐธรรมนูญจึงครึกโครม
เป็นเหตุผลให้บรรยากาศในห้องประชุมพรรคเพื่อไทยช่วงบ่ายวันที่ 20 ธันวาคมร้อนระอุดุเดือดเต็มไปด้วยการถกเถียง-อภิปราย
จนวงประชุมแตกเป็น 2 ก๊ก 2 เหล่า
ก๊ก 1 แห่ง "บ้านริมคอลง" มี "ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง" รองนายกรัฐมนตรีเป็นแกนนำให้ชะลอดึงเรื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญออกไปก่อน ปะทะกับความคิดฝ่ายสีแดง มี "ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ" และ น.พ.เหวง โตจิราการ-พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย ที่ยืนกรานว่าจะต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญตามที่หาเสียงไว้
ทั้ง 2 ฝ่ายปะทะความคิดถึงระดับที่หัวขบวนแนวต้านขอคืนเก้าอี้รัฐมนตรี หากพรรคยังเดินหน้าแก้รัฐธรรมนูญ ทำให้ "น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" นายกรัฐมนตรีต้องลงมาหย่าศึก
แม้เสียงส่วนใหญ่ในเพื่อไทยไม่สนับสนุนแก้ไขรัฐธรรมนูญออกไปตามแนวทางของ "ร.ต.อ.เฉลิม"
แต่คณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล (วิป) มีมติร่วมกันว่าควรแก้ไขมาตรา 291 เพื่อให้มีสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) ขึ้นมาแก้ไข ทั้งฉบับ
โดยมอบหมายให้ "พีรพันธุ์ พาลุสุข" ส.ส.ยโสธร เป็นหัวหอกในการชี้แจงกับสาธารณะ และระดมนักกฎหมายเพื่อกำหนดร่างในการเฟ้นคุณสมบัติของ ส.ส.ร. 99 คนที่มาจาก 2 ส่วนคือ 1.เลือกตั้ง 77 คน 2.นักวิชาการ ภาคเอกชน ภาครัฐ และภาคประชาสังคม 22 คน
ทั้งนี้ วัน-เวลาในการแก้ไขรัฐธรรมนูญปี 2550 ถูกกำหนดไว้เป็นคู่มือในการขับเคลื่อนพรรคดังนี้
ปลายเดือนมกราคม-ต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2555 ยื่นญัตติเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่...) พ.ศ. ... (แก้ไขมาตรา 291 เพียงมาตราเดียว) เข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภา โดยต้นร่างอาจมีทั้งร่างที่มาจาก ครม. และร่างที่มาจากการเข้าชื่อกันของ ส.ส.และ ส.ว.จำนวนไม่ต่ำกว่า 1 ใน 5 หรือ 130 คน และร่างที่มาจากการเข้าชื่อกันของภาคประชาชนไม่น้อยกว่า 50,000 คน
กุมภาพันธ์ 2555 ผ่านความเห็นชอบของรัฐสภาในวาระที่ 1 ขั้นรับหลักการ ซึ่งต้องใช้คะแนนเสียงเกินกึ่งหนึ่งของ สมาชิกรัฐสภา หรือ 325 คน จากนั้น จะมีการตั้งคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญขึ้นมาพิจารณาเป็นรายมาตรา พร้อมกำหนดกรอบเวลาในการทำหน้าที่ของ กมธ.วิสามัญ
ปลายเดือนมีนาคม-ต้นเดือนเมษายน 2555 ผ่านความเห็นชอบของรัฐสภาในวาระที่ 2 ซึ่งใช้เสียงข้างมากของรัฐสภา จากนั้นทิ้งร่างไว้ 15 วันเพื่อขอความเห็นชอบในวาระที่ 3 ซึ่งต้องใช้คะแนนเสียงเกินกึ่งหนึ่งของสมาชิกทั้ง 2 สภา
กระบวนการผ่านร่างแก้ไขมาตรา 291 ควรเสร็จก่อนปิดประชุมสภาสมัยนิติบัญญัติในวันที่ 18 เมษายน แต่ถ้าดำเนินการไม่ทันรัฐบาลจะขอเปิดประชุมสภาสมัยวิสามัญก่อนเปิดประชุมสภาสมัยสามัญทั่วไปอีกครั้งในวันที่ 1 สิงหาคม 2555 เพื่อให้กระบวนการสรรหา ส.ส.ร. 3 เริ่มต้นได้
โดยตั้งธงว่า "99 อรหันต์" ที่จะเข้ามาเป็น "มือยกร่างรัฐธรรมนูญชุดใหม่" ซึ่งมาจากการเลือกตั้งโดยตรง 77 คน และมาจากผู้ทรงคุณวุฒิภายนอก 22 คน ต้องเกิดขึ้นก่อนวันที่ 23 สิงหาคม 2555
จากนั้นคาดว่าจะปล่อยให้ ส.ส.ร. 3 ทำหน้าที่ของตนไป ซึ่งหากเทียบเคียงเวลากับ ส.ส.ร.รุ่นพี่จะใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 8 เดือน
เมษายน-พฤษภาคม 2556 คาดว่า จะได้ต้นร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
พฤษภาคม-มิถุนายน 2556 เผยแพร่ร่างให้ประชาชนรับทราบก่อนจัดให้มีการออกเสียงลงประชามติเพื่อให้ความเห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ
มิถุนายน 2556 นำร่างรัฐธรรมนูญฉบับมติมหาชนกลับมาที่รัฐสภาเพื่อ รับทราบก่อนประธานรัฐสภาจะนำขึ้นทูลเกล้าฯต่อไป
หากไม่มีอุบัติเหตุการเมืองขัดขากันเองในพรรคเพื่อไทย ประเทศไทยจะมีรัฐธรรมนูญฉบับที่ 19 ในช่วงกลางปี 2556
เพราะแนวร่วมในการแก้ไขรัฐธรรม นูญมีครบเครื่องทั้งมวลชนเสื้อแดง แนวร่วมเพื่อไทย และ 3 พรรคร่วมรัฐบาล
นักการเมืองบ้านเลขที่ 111 และทีมนักฎหมายประจำพรรค ที่ร่วมวง "มอร์นิ่งบรีฟ" เหตุผลและหลักการการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร รับทราบบอกว่า หาก "เพื่อไทย" ยังชักช้า-รีรอ ไม่เริ่มเสนอแก้ไขมาตรา 291 รัฐธรรมนูญ 2550 ในที่สุดอาจถูกฝ่ายตรงข้ามรุมถล่มจนพ้นกระดานต้องตั้งหลักเลือกตั้งใหม่
"ถ้าพรรคเพื่อไทยไม่ทำอะไรก็เป็นเรื่องน่าเสียดาย เพราะเดินหน้าไปได้ ทุกเรื่อง ไม่มีอะไรต้องกลัว เกิดเรื่องก็ เกิดกัน เราไม่ได้สั่งฆ่าประชาชน ถ้าทหารยึดอำนาจเพราะแก้รัฐธรรมนูญ ยึดก็ให้ยึดไป เมื่อมีเลือกตั้งพรรค ประชาธิปัตย์ก็แพ้อีก พรรคเพื่อไทยต้องกล้า ๆ ทำเรื่องที่ควรทำ ถ้าปล่อยไว้โดนเชือดอีก"
คนในฝ่ายเพื่อไทยวิเคราะห์ด้วยว่า หากเกิดเหตุ จตุพร พรหมพันธุ์ ถูกพิพากษาพ้นจากการเป็น ส.ส. จากนั้นปัญหาจะลุกลามบานปลายโยงไปถึงขั้น "ยุบพรรคเพื่อไทย"
นอกจากนี้ ยังมีคดีที่พรรคเพื่อไทยถูกกล่าวหาว่าเป็นวาระของ "คณะกรรมการการเลือกตั้ง" ในสำนวน "ซื้อสื่อ" เข้าข่ายทำผิดรัฐธรรมนูญ มีโทษถึงขั้น "ยุบพรรค" ค้างคาอยู่
ข้อเสนอของผู้มีบารมีในเพื่อไทยจึงต้องใช้การแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นยุทธศาสตร์ในการต่อสู้กับแนวรบ แนวต้าน จากทั้งฝ่ายค้านประชาธิปัตย์-ภูมิใจไทย และฝ่ายอำมาตย์ แกนนำพรรคเพื่อไทยคำนวณว่า
"การแก้รัฐธรรมนูญจึงเป็นการวัดดวงครั้งใหญ่ของบ้านเมือง เพราะไม่สามารถคาดการณ์ทำนายผลเรื่ององค์ประกอบ ส.ส.ร.ได้ว่าแต่ละคนจะ มีข้อเสนออะไร ในฝ่ายเพื่อไทย 20 เปอร์เซ็นต์อาจเป็นพวกที่คิดจะ แก้เพื่อทักษิณอย่างเดียว หรือไม่ให้มี ส.ว.เลย หรือให้นายกฯมาจากการเลือกตั้งทางตรง มีได้สารพัด"
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
///////////////////////////////////////////////////////////////////////////
วันเสาร์ที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2554
ได้-เสีย..แก้รัฐธรรมนูญสู่บท ปฏิรูปการเลือกตั้ง !!?
บนความเคลื่อนไหวทาง การเมืองหลังพ้นวิกฤติคนไทย สำลักน้ำ มีการสัประยุทธ์กัน อย่างหนักหน่วง ทั้งฝ่ายการเมืองและเวทีภาคประชาชน หลังมีการตั้งธง! เสนอแก้รัฐธรรมนูญ โดยเฉพาะซีกมวลชนเสื้อแดง และองค์กรเครือข่าย ต่างเห็นตรงกันว่า..น่าจะเป็น “กลไกสำคัญ” ในการขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่ทิศทางที่เหมาะสม
หลังจากมูลนิธิองค์กรกลางเพื่อประชาธิปไตย (พีเน็ต) เปิดเกมเร็ว! ร่วมกับเครือข่ายเอเชียเพื่อการเลือกตั้งเสรี หรืออันเฟรล เพื่อเดินหน้าเสริมสร้างอำนาจสู่ประชาชน! โดยเสนอให้มีการ “ปฏิรูปกระบวน การเลือกตั้ง” เพื่อเพิ่มดุลอำนาจให้การเมืองภาคพลเมืองมีความเข้มแข็ง เป็นธรรม ควบคู่ไปกับการเมืองที่มีเสถียรภาพ ในระบบตัวแทน ซึ่งแนวทาง “ปฏิรูป” ระบบการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร นั้น ให้สะท้อนเสียงของประชาชนอย่างแท้จริง
“ควรเปลี่ยนระบบเสียงข้างมาก ให้ เป็นระบบใหม่ที่สะท้อนจำนวนคะแนนเสียง ของผู้มีสิทธิเลือกตั้งอย่างแท้จริงและเป็นธรรม ให้เกิดรัฐบาลที่มีเสถียรภาพ เคารพ เสียงส่วนน้อย และลดการซื้อขายเสียง ส่งเสริมการมีตัวแทนผู้สมัคร ส.ส. จากทุก ภาคส่วน ขณะที่การเลือกตั้งในระบบสัดส่วน นั้น ควรกำหนดเขตเลือกตั้งไม่เกิน 5 เขต ให้เป็นระบบบัญชีรายชื่อแบบเปิด โดยผู้มี สิทธิเลือกตั้งเป็นผู้กำหนดลำดับที่ และเลือกข้ามพรรคได้ รวมไปถึงการที่ ส.ส. ระบบเขต ไม่จำเป็นต้องสังกัดพรรค”
ทั้งนี้ ในส่วนของผู้มีสิทธิเลือกตั้งและการใช้สิทธินั้น เสนอให้จัดทำบัญชีผู้มีสิทธิเลือกตั้งโดยสมัครใจ และให้มีการลงทะเบียนก่อนวันเลือกตั้งทุกครั้ง รวมทั้ง ยกเลิกการจำกัดสิทธิของผู้ต้องขัง ภิกษุ สามเณร นักพรตหรือนักบวช (แม่ชี ภิกษุณี) รวมทั้งกำหนดให้มีวันเลือกตั้งล่วงหน้ามากกว่าหนึ่งวัน
ขณะเดียวกัน ได้เสนอให้มีการปฏิรูป คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) โดยมีบุคคลที่มาจากหลากหลายสาขาอาชีพ มีประสบการณ์ที่หลากหลาย มีสัดส่วนหญิง ชายที่ใกล้เคียงกัน พร้อมปรับบทบาท กกต. ให้มีอำนาจหน้าที่ในการจัดการเลือกตั้งเป็น หลัก และให้ กกต.เป็นผู้ผลิตสื่อและดำเนิน การประชาสัมพันธ์การหาเสียงของผู้สมัคร และพรรคการเมืองอย่างเท่าเทียม ตลอด จนการส่งเสริมให้องค์กรเอกชนมีส่วนร่วม ในการพัฒนาและตรวจสอบการเลือกตั้ง อย่างแท้จริง
เหนืออื่นใด ยังมีการตั้งธง “ปฏิรูป” กฎหมายพรรคการเมือง โดยเสนอให้นายก รัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าฝ่ายบริหารมาจากการเลือกตั้งโดยตรง ผู้ชนะต้องได้รับ คะแนนเสียงเกินกึ่งหนึ่ง..ไม่ควรให้มีการยุบพรรค เมื่อกรรมการและสมาชิกพรรคทำผิด..ควรมีกฎหมายกำหนดให้ทุกพรรค การเมืองมีสัดส่วนผู้สมัครสตรีเป็นจำนวน ที่ชัดเจน และมีบทลงโทษหากไม่มีการปฏิบัติตาม รวมทั้งเปิดโอกาสให้ตัวแทนชน กลุ่มน้อย หรือผู้ด้อยโอกาส มีที่นั่งในสภา ผู้แทนราษฎรด้วย..กำหนดบทลงโทษที่ชัดเจนหากพรรคการเมืองไม่เปิดเผยข้อมูล การรับจ่ายเงิน และข้อมูลของนักการเมือง ในพรรคที่ตนสังกัดอยู่ต่อสาธารณะ
นอกจากนี้ ทั้งพีเน็ตและ “อันเฟรล” ยังเสนอให้มี พ.ร.บ.องค์กรเอกชนตรวจสอบ การเลือกตั้ง เพื่อให้ประชาชนสามารถตรวจสอบการเลือกตั้งในทุกระดับอย่างอิสระ และตรวจสอบพรรคการเมืองได้โดย ปราศจากอุปสรรคใดๆ รัฐจำเป็นต้องกำหนดให้องค์กรตรวจสอบดังกล่าวมีกองทุนพัฒนาองค์กรเอกชน โดยมีสัดส่วน เท่าเทียมกับกองทุนพัฒนาการเมืองและเพื่อให้การทำงานของ กกต. มีประสิทธิภาพมากขึ้น วงประชุม “เครือข่าย” ยังเสนอให้แก้ปัญหาการร้องเรียน การฉ้อฉลในการเลือกตั้ง โดยมี “ศาลชำนาญพิเศษคดีเลือกตั้ง” เข้ามาจัดการดำเนินคดีที่เกี่ยวกับการเลือกตั้ง โดยรับการร้องเรียนจากหน่วยงาน ผู้เสียหาย และประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ศาลเลือกตั้งดังกล่าวจะปฏิบัติงานอย่างเต็มเวลา
เพื่อให้ข้อเสนอข้างต้นนี้มีความเป็น ไปได้ ตัวแทนภาคพลเมืองจะส่งผู้แทนเข้า พบรัฐบาล กกต. กรรมการปฏิรูปกฎหมาย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้ง รวมทั้งรณรงค์ให้กับประชาชนทุกภาคส่วน ได้มีส่วนในการขับเคลื่อนให้การปฏิรูปการ เลือกตั้งเป็นจริง
“พล.อ.สายหยุด เกิดผล” ประธานพีเน็ต ย้ำหัวตะปูถึงภารกิจภาคพลเมืองหลังการเลือกตั้ง และการปฏิรูปการเลือกตั้ง ของไทยว่า..“เรายังยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็น ประมุข แต่ประชาธิปไตยของเรายังไม่สมบูรณ์ ยอมรับว่ารัฐบาลปัจจุบันมาจาก การเลือกตั้งของประชาชนจริง แต่ยังมีคำถามสงสัยว่ารัฐบาลทำเพื่อประชาชนจริงหรือไม่ เพราะพฤติการณ์สะท้อนให้เห็นว่าทำเพื่อบุคคลใดบุคคลหนึ่งมากกว่า ประชาชน การเลือกตั้งเมื่อ 3 ก.ค.ที่ผ่านมาหวังว่าจะแก้ปัญหาการเมือง แต่กลับสร้างปัญหาการเมืองขึ้นมาใหม่ ผู้ที่เป็นนายกรัฐมนตรีจะต้องเป็นผู้นำที่เข้มแข็ง กล้าหาญ กล้ารับผิดชอบ ถึงจะสร้างความ เชื่อมั่นให้กับประชาชนได้ ดังนั้นเราจึงเริ่ม ปลุกตัวเองก่อนที่จะลงไปในท้องถิ่นเพื่อรณรงค์ให้กับประชาชนทุกภาคส่วนได้มีส่วนในการขับเคลื่อนให้การปฏิรูปการเลือกตั้งเป็นจริง ทั้งนี้เพื่อให้ข้อเสนอเป็นไปได้ตัวแทนภาคพลเมืองจะเข้าพบหารือกับรัฐบาล กกต. กรรมการปฏิรูปกฎหมาย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งต่อไป”
นับเป็นมุมสะท้อนจาก “ภาคพลเมือง” หลังเปิดเกมเร็วจี้ข้อเสนอถึงรัฐนาวา ตอกย้ำแนวทาง “ปฏิรูป” ระบบการเลือกตั้ง โดยเฉพาะกระบวน การ “ปรับปรุงกฎหมายเลือกตั้ง” ที่จะใช้บังคับพรรคการเมืองที่ทำผิดกฎ! แทนการยุบพรรค เพราะเวลานี้ขั้วการ เมืองและภาคประชาชน ล้วนเห็นตรงกันว่า..สิ่งนี้เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้การเมืองไทยอ่อนแอ!
ขณะที่การตั้งธงให้นายกรัฐมนตรีมา จากการเลือกตั้งโดยตรงนั้น ยังเป็นประเด็น ที่ถกเถียงไม่รู้จบสิ้น เพราะยังมีความอ่อน ไหวต่อระบบการปกครองของประเทศ ซึ่ง อาจกระทบต่อเอกภาพและความเข้มแข็ง ของระบบพรรคการเมืองได้
การรื้อระบบ..ปฏิรูปการเมืองไทย อาจกลายเป็นทางสองแพร่ง! ขึ้นอยู่กับว่าจะนำไปปรับใช้กันเช่นไร..หากมีการแก้รัฐธรรมนูญตามนโยบายเร่งด่วนแห่งรัฐ กระนั้นสิทธิการแสดงออกขั้น พื้นฐานของพลเมืองในครั้งนี้ ก็ถือเป็น “จุดเริ่มต้น” ที่จุดประกายความหวังในการทวงคืนอำนาจอธิปไตยที่แท้จริงโดย ประชาชน..เพื่อประชาชน!
ที่มา.สยามธุรกิจออนไลน์
////////////////////////////////////////////////////
หลังจากมูลนิธิองค์กรกลางเพื่อประชาธิปไตย (พีเน็ต) เปิดเกมเร็ว! ร่วมกับเครือข่ายเอเชียเพื่อการเลือกตั้งเสรี หรืออันเฟรล เพื่อเดินหน้าเสริมสร้างอำนาจสู่ประชาชน! โดยเสนอให้มีการ “ปฏิรูปกระบวน การเลือกตั้ง” เพื่อเพิ่มดุลอำนาจให้การเมืองภาคพลเมืองมีความเข้มแข็ง เป็นธรรม ควบคู่ไปกับการเมืองที่มีเสถียรภาพ ในระบบตัวแทน ซึ่งแนวทาง “ปฏิรูป” ระบบการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร นั้น ให้สะท้อนเสียงของประชาชนอย่างแท้จริง
“ควรเปลี่ยนระบบเสียงข้างมาก ให้ เป็นระบบใหม่ที่สะท้อนจำนวนคะแนนเสียง ของผู้มีสิทธิเลือกตั้งอย่างแท้จริงและเป็นธรรม ให้เกิดรัฐบาลที่มีเสถียรภาพ เคารพ เสียงส่วนน้อย และลดการซื้อขายเสียง ส่งเสริมการมีตัวแทนผู้สมัคร ส.ส. จากทุก ภาคส่วน ขณะที่การเลือกตั้งในระบบสัดส่วน นั้น ควรกำหนดเขตเลือกตั้งไม่เกิน 5 เขต ให้เป็นระบบบัญชีรายชื่อแบบเปิด โดยผู้มี สิทธิเลือกตั้งเป็นผู้กำหนดลำดับที่ และเลือกข้ามพรรคได้ รวมไปถึงการที่ ส.ส. ระบบเขต ไม่จำเป็นต้องสังกัดพรรค”
ทั้งนี้ ในส่วนของผู้มีสิทธิเลือกตั้งและการใช้สิทธินั้น เสนอให้จัดทำบัญชีผู้มีสิทธิเลือกตั้งโดยสมัครใจ และให้มีการลงทะเบียนก่อนวันเลือกตั้งทุกครั้ง รวมทั้ง ยกเลิกการจำกัดสิทธิของผู้ต้องขัง ภิกษุ สามเณร นักพรตหรือนักบวช (แม่ชี ภิกษุณี) รวมทั้งกำหนดให้มีวันเลือกตั้งล่วงหน้ามากกว่าหนึ่งวัน
ขณะเดียวกัน ได้เสนอให้มีการปฏิรูป คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) โดยมีบุคคลที่มาจากหลากหลายสาขาอาชีพ มีประสบการณ์ที่หลากหลาย มีสัดส่วนหญิง ชายที่ใกล้เคียงกัน พร้อมปรับบทบาท กกต. ให้มีอำนาจหน้าที่ในการจัดการเลือกตั้งเป็น หลัก และให้ กกต.เป็นผู้ผลิตสื่อและดำเนิน การประชาสัมพันธ์การหาเสียงของผู้สมัคร และพรรคการเมืองอย่างเท่าเทียม ตลอด จนการส่งเสริมให้องค์กรเอกชนมีส่วนร่วม ในการพัฒนาและตรวจสอบการเลือกตั้ง อย่างแท้จริง
เหนืออื่นใด ยังมีการตั้งธง “ปฏิรูป” กฎหมายพรรคการเมือง โดยเสนอให้นายก รัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าฝ่ายบริหารมาจากการเลือกตั้งโดยตรง ผู้ชนะต้องได้รับ คะแนนเสียงเกินกึ่งหนึ่ง..ไม่ควรให้มีการยุบพรรค เมื่อกรรมการและสมาชิกพรรคทำผิด..ควรมีกฎหมายกำหนดให้ทุกพรรค การเมืองมีสัดส่วนผู้สมัครสตรีเป็นจำนวน ที่ชัดเจน และมีบทลงโทษหากไม่มีการปฏิบัติตาม รวมทั้งเปิดโอกาสให้ตัวแทนชน กลุ่มน้อย หรือผู้ด้อยโอกาส มีที่นั่งในสภา ผู้แทนราษฎรด้วย..กำหนดบทลงโทษที่ชัดเจนหากพรรคการเมืองไม่เปิดเผยข้อมูล การรับจ่ายเงิน และข้อมูลของนักการเมือง ในพรรคที่ตนสังกัดอยู่ต่อสาธารณะ
นอกจากนี้ ทั้งพีเน็ตและ “อันเฟรล” ยังเสนอให้มี พ.ร.บ.องค์กรเอกชนตรวจสอบ การเลือกตั้ง เพื่อให้ประชาชนสามารถตรวจสอบการเลือกตั้งในทุกระดับอย่างอิสระ และตรวจสอบพรรคการเมืองได้โดย ปราศจากอุปสรรคใดๆ รัฐจำเป็นต้องกำหนดให้องค์กรตรวจสอบดังกล่าวมีกองทุนพัฒนาองค์กรเอกชน โดยมีสัดส่วน เท่าเทียมกับกองทุนพัฒนาการเมืองและเพื่อให้การทำงานของ กกต. มีประสิทธิภาพมากขึ้น วงประชุม “เครือข่าย” ยังเสนอให้แก้ปัญหาการร้องเรียน การฉ้อฉลในการเลือกตั้ง โดยมี “ศาลชำนาญพิเศษคดีเลือกตั้ง” เข้ามาจัดการดำเนินคดีที่เกี่ยวกับการเลือกตั้ง โดยรับการร้องเรียนจากหน่วยงาน ผู้เสียหาย และประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ศาลเลือกตั้งดังกล่าวจะปฏิบัติงานอย่างเต็มเวลา
เพื่อให้ข้อเสนอข้างต้นนี้มีความเป็น ไปได้ ตัวแทนภาคพลเมืองจะส่งผู้แทนเข้า พบรัฐบาล กกต. กรรมการปฏิรูปกฎหมาย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้ง รวมทั้งรณรงค์ให้กับประชาชนทุกภาคส่วน ได้มีส่วนในการขับเคลื่อนให้การปฏิรูปการ เลือกตั้งเป็นจริง
“พล.อ.สายหยุด เกิดผล” ประธานพีเน็ต ย้ำหัวตะปูถึงภารกิจภาคพลเมืองหลังการเลือกตั้ง และการปฏิรูปการเลือกตั้ง ของไทยว่า..“เรายังยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็น ประมุข แต่ประชาธิปไตยของเรายังไม่สมบูรณ์ ยอมรับว่ารัฐบาลปัจจุบันมาจาก การเลือกตั้งของประชาชนจริง แต่ยังมีคำถามสงสัยว่ารัฐบาลทำเพื่อประชาชนจริงหรือไม่ เพราะพฤติการณ์สะท้อนให้เห็นว่าทำเพื่อบุคคลใดบุคคลหนึ่งมากกว่า ประชาชน การเลือกตั้งเมื่อ 3 ก.ค.ที่ผ่านมาหวังว่าจะแก้ปัญหาการเมือง แต่กลับสร้างปัญหาการเมืองขึ้นมาใหม่ ผู้ที่เป็นนายกรัฐมนตรีจะต้องเป็นผู้นำที่เข้มแข็ง กล้าหาญ กล้ารับผิดชอบ ถึงจะสร้างความ เชื่อมั่นให้กับประชาชนได้ ดังนั้นเราจึงเริ่ม ปลุกตัวเองก่อนที่จะลงไปในท้องถิ่นเพื่อรณรงค์ให้กับประชาชนทุกภาคส่วนได้มีส่วนในการขับเคลื่อนให้การปฏิรูปการเลือกตั้งเป็นจริง ทั้งนี้เพื่อให้ข้อเสนอเป็นไปได้ตัวแทนภาคพลเมืองจะเข้าพบหารือกับรัฐบาล กกต. กรรมการปฏิรูปกฎหมาย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งต่อไป”
นับเป็นมุมสะท้อนจาก “ภาคพลเมือง” หลังเปิดเกมเร็วจี้ข้อเสนอถึงรัฐนาวา ตอกย้ำแนวทาง “ปฏิรูป” ระบบการเลือกตั้ง โดยเฉพาะกระบวน การ “ปรับปรุงกฎหมายเลือกตั้ง” ที่จะใช้บังคับพรรคการเมืองที่ทำผิดกฎ! แทนการยุบพรรค เพราะเวลานี้ขั้วการ เมืองและภาคประชาชน ล้วนเห็นตรงกันว่า..สิ่งนี้เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้การเมืองไทยอ่อนแอ!
ขณะที่การตั้งธงให้นายกรัฐมนตรีมา จากการเลือกตั้งโดยตรงนั้น ยังเป็นประเด็น ที่ถกเถียงไม่รู้จบสิ้น เพราะยังมีความอ่อน ไหวต่อระบบการปกครองของประเทศ ซึ่ง อาจกระทบต่อเอกภาพและความเข้มแข็ง ของระบบพรรคการเมืองได้
การรื้อระบบ..ปฏิรูปการเมืองไทย อาจกลายเป็นทางสองแพร่ง! ขึ้นอยู่กับว่าจะนำไปปรับใช้กันเช่นไร..หากมีการแก้รัฐธรรมนูญตามนโยบายเร่งด่วนแห่งรัฐ กระนั้นสิทธิการแสดงออกขั้น พื้นฐานของพลเมืองในครั้งนี้ ก็ถือเป็น “จุดเริ่มต้น” ที่จุดประกายความหวังในการทวงคืนอำนาจอธิปไตยที่แท้จริงโดย ประชาชน..เพื่อประชาชน!
ที่มา.สยามธุรกิจออนไลน์
////////////////////////////////////////////////////
ยิงเบลล์ 212 ประกาศอธิปไตยเหนือดินแดน !!?
ส่อว่าจบไม่ลงง่ายๆ สำหรับเหตุการณ์ทหารกัมพูชายิงเฮลิคอปเตอร์ แบบเบลล์ 212 ของกองทัพเรือไทย บริเวณกองกำลังจันทบุรี-ตราด เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม ที่ผ่านมา แม้ในวันรุ่งขึ้น ผู้บัญชาการทหารเรือ พล.ร.อ.สุรศักดิ์ หรุ่นเริงรมย์ ได้ทำหนังสือประท้วงให้กระทรวงกลาโหม ส่งไปยังกระทรวงการต่างประเทศของกัมพูชา
ขณะที่ สุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ บอกถึงเรื่องนี้เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม ว่า เกิดจากความเข้าใจกันผิดนิดหน่อยตามที่กรมเอเชียตะวันออก รายงานมา ยังไม่ได้มีการรายงานล่าสุดมาว่าเป็นอย่างไรบ้าง แต่คิดว่าเรื่องนี้คงไม่ใช่เป็นปัญหาที่จะทำให้เกิดข้อบาดหมางกัน
กระทั้ง 18 ธันวาคม ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน และในฐานะผู้บัญชาการกองกำลังจันทบุรี-ตราด พล.ร.ท.พงษ์ศักดิ์ ภูรีโรจน์ ซึ่งเข้าประชุมเจรจาระหว่างเจ้าหน้าที่ฝ่ายไทย และกัมพูชา บอกว่า ผู้บัญชาการทหารประจำจังหวัดเกาะกง ยอมรับ และขอโทษที่ทหารฝ่ายกัมพูชา ประมาท ทำเกินกว่าเหตุ และเขาจะนำเรื่องทั้งหมดไปเรียนให้ผู้บังคับบัญชาระดับสูงของกัมพูชา ให้รับทราบเพื่อจะได้พูดคุยกับผู้บังคับบัญชาระดับสูงของไทย แล้วค่อยมาหารือกันอีกครั้ง
ท่าทีล่าสุดของ สุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล บอกระหว่างเยือนนครเนปีดอว์ สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ ถึงกรณีที่พรรคประชาธิปัตย์ เรียกร้องให้กระทรวงการต่างประเทศ ทำหนังสือประท้วงรัฐบาลกัมพูชา ต่อกรณีทหารกัมพูชายิงเฮลิคอปเตอร์ของไทย ว่า เป็นเรื่องเข้าใจผิดที่สามารถพูดคุยกันได้ ซึ่งทางกัมพูชาก็ได้แสดงความเสียใจผ่านทาง พล.อ.ยุทธศักดิ์ มาแล้ว ส่วนจะทำหนังสือประท้วงตามข้อเรียกร้องของพรรคประชาธิปัตย์ คงทำไม่ได้ เพราะวิธีคิดไม่เหมือนกัน แต่เราต้องหาทางพูดคุยกัน เราเป็นเพื่อนบ้านที่เป็นมิตรประเทศที่ดีต่อกัน ย่อมสามารถทำความเข้าใจกันได้อยู่แล้ว ในเมื่อทางกัมพูชาได้แสดงความเสียใจมาแล้วว่า เป็นเรื่องความผิดพลาดของการสื่อสาร ไม่ควรเอาเรื่องจนก่อให้เกิดความบาดหมางใจกันอีก
ขณะที่ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา บอกถึงความคืบหน้าเรื่องนี้ว่า ได้ให้กองทัพไทย ร่างคำแถลงข่าวแล้วแสตมป์ไว้เพื่อยืนยันว่าข่าวนี้เป็นไปตามที่เราแถลง โดยจะมีการส่งให้สำนักนโนบายและแผนนกระทรวงกลาโหม เพื่อให้โฆษกกระทรวงกลาโหมแถลงข่าวและแสตมป์ไว้ ซึ่งทางกัมพูชา ก็มีการแถลงข่าวและแสตมป์โดยโฆษกกัมพูชาก่อนหน้านี้ไปแล้ว เป็นการยืนยันว่า 2 ประเทศคิดเช่นนี้
ส่วนการประท้วงเป็นหน้าที่ของกระทรวงการต่างประเทศ ที่ต้องไปเรียกทูต มาเพื่อประท้วง ไม่ใช่เรื่องของกระทรวงกลาโหม โดยในวันที่เกิดเหตุ รัฐมนตรีว่าการกะทรวงกลาโหมกัมพูชา พล.อ.เตีย บันห์ ได้โทรศัพท์มาพุดคุยด้วยทันที ทั้งนี้ในระดับผู้บังคับบัญชามีความเข้าใจ เป็นความผิดพลาดในการสื่อสาร ซึ่งเครื่องมือติดต่อสื่อสารของกัมพูชาไม่ทันสมัย
จากท่าทีของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ซึ่งสวนทางกับ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ สุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ที่ค่อนข้างนิ่งเฉยจะทำให้ประเทศไทยเสียเปรียบกัมพูชา นั้น พล.อ.ยุทธศักดิ์ ย้ำว่า ต้องไปถามรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ส่วนความรับผิดชอบของกระทรวงกลาโหม เรายืนยันว่าไม่เสียดินแดน ยังไงก็ไม่เสียดินแดน ถึงเวลาจะไปคุยกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเอง ยืนยันว่าทหารเราไม่ยอม ผู้บัญชาการเหล่าทัพทุกคนยืนยันว่า ต้องรักษาอธิปไตยของแผ่นดินไทยไว้ด้วยชีวิตทุกคน ส่วนตัวเข้าใจและยืนยันในจิตใจของผบ.เหล่าทัพ ทุกคน เอาจริง และจริงจังด้วย ไม่ยอมให้คนไทยมีความรู้สึกในทางที่ไม่ดี หรือจะต้องเสียใจ
ล่าสุด รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศกัมพูชา ฮอ นัมฮง กลับบอกว่า เหตุการณ์ทหารกัมพูชาใช้อาวุธปืนยิงเฮลิคอปเตอร์ แบบเบลล์ 212 ของกองทัพเรือไทย บริเวณกองกำลังจันทบุรี-ตราด เมื่อวันที่ 15 ธ.ค.ที่ผ่านมา เป็นเพราะเฮลิคอปเตอร์ ของกองทัพเรือไทย บินรุกล้ำดินแดนกัมพูชา จึงจำเป็นต้องยิงเพื่อเตือน
เรื่องนี้ไม่ใช่เหตุการณ์ความเข้าใจผิด เมื่อกัมพูชา ยืนยันว่าไทยรุกล้ำอธิปไตย ปฏิกิริยาที่นิ่งเฉยของรัฐบาลเท่ากับว่าไทยยอมรับการเสียดินแดนให้กัมพูชา
ที่มา.กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
//////////////////////////////////////////////////////////////
ขณะที่ สุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ บอกถึงเรื่องนี้เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม ว่า เกิดจากความเข้าใจกันผิดนิดหน่อยตามที่กรมเอเชียตะวันออก รายงานมา ยังไม่ได้มีการรายงานล่าสุดมาว่าเป็นอย่างไรบ้าง แต่คิดว่าเรื่องนี้คงไม่ใช่เป็นปัญหาที่จะทำให้เกิดข้อบาดหมางกัน
กระทั้ง 18 ธันวาคม ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน และในฐานะผู้บัญชาการกองกำลังจันทบุรี-ตราด พล.ร.ท.พงษ์ศักดิ์ ภูรีโรจน์ ซึ่งเข้าประชุมเจรจาระหว่างเจ้าหน้าที่ฝ่ายไทย และกัมพูชา บอกว่า ผู้บัญชาการทหารประจำจังหวัดเกาะกง ยอมรับ และขอโทษที่ทหารฝ่ายกัมพูชา ประมาท ทำเกินกว่าเหตุ และเขาจะนำเรื่องทั้งหมดไปเรียนให้ผู้บังคับบัญชาระดับสูงของกัมพูชา ให้รับทราบเพื่อจะได้พูดคุยกับผู้บังคับบัญชาระดับสูงของไทย แล้วค่อยมาหารือกันอีกครั้ง
ท่าทีล่าสุดของ สุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล บอกระหว่างเยือนนครเนปีดอว์ สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ ถึงกรณีที่พรรคประชาธิปัตย์ เรียกร้องให้กระทรวงการต่างประเทศ ทำหนังสือประท้วงรัฐบาลกัมพูชา ต่อกรณีทหารกัมพูชายิงเฮลิคอปเตอร์ของไทย ว่า เป็นเรื่องเข้าใจผิดที่สามารถพูดคุยกันได้ ซึ่งทางกัมพูชาก็ได้แสดงความเสียใจผ่านทาง พล.อ.ยุทธศักดิ์ มาแล้ว ส่วนจะทำหนังสือประท้วงตามข้อเรียกร้องของพรรคประชาธิปัตย์ คงทำไม่ได้ เพราะวิธีคิดไม่เหมือนกัน แต่เราต้องหาทางพูดคุยกัน เราเป็นเพื่อนบ้านที่เป็นมิตรประเทศที่ดีต่อกัน ย่อมสามารถทำความเข้าใจกันได้อยู่แล้ว ในเมื่อทางกัมพูชาได้แสดงความเสียใจมาแล้วว่า เป็นเรื่องความผิดพลาดของการสื่อสาร ไม่ควรเอาเรื่องจนก่อให้เกิดความบาดหมางใจกันอีก
ขณะที่ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา บอกถึงความคืบหน้าเรื่องนี้ว่า ได้ให้กองทัพไทย ร่างคำแถลงข่าวแล้วแสตมป์ไว้เพื่อยืนยันว่าข่าวนี้เป็นไปตามที่เราแถลง โดยจะมีการส่งให้สำนักนโนบายและแผนนกระทรวงกลาโหม เพื่อให้โฆษกกระทรวงกลาโหมแถลงข่าวและแสตมป์ไว้ ซึ่งทางกัมพูชา ก็มีการแถลงข่าวและแสตมป์โดยโฆษกกัมพูชาก่อนหน้านี้ไปแล้ว เป็นการยืนยันว่า 2 ประเทศคิดเช่นนี้
ส่วนการประท้วงเป็นหน้าที่ของกระทรวงการต่างประเทศ ที่ต้องไปเรียกทูต มาเพื่อประท้วง ไม่ใช่เรื่องของกระทรวงกลาโหม โดยในวันที่เกิดเหตุ รัฐมนตรีว่าการกะทรวงกลาโหมกัมพูชา พล.อ.เตีย บันห์ ได้โทรศัพท์มาพุดคุยด้วยทันที ทั้งนี้ในระดับผู้บังคับบัญชามีความเข้าใจ เป็นความผิดพลาดในการสื่อสาร ซึ่งเครื่องมือติดต่อสื่อสารของกัมพูชาไม่ทันสมัย
จากท่าทีของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ซึ่งสวนทางกับ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ สุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ที่ค่อนข้างนิ่งเฉยจะทำให้ประเทศไทยเสียเปรียบกัมพูชา นั้น พล.อ.ยุทธศักดิ์ ย้ำว่า ต้องไปถามรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ส่วนความรับผิดชอบของกระทรวงกลาโหม เรายืนยันว่าไม่เสียดินแดน ยังไงก็ไม่เสียดินแดน ถึงเวลาจะไปคุยกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเอง ยืนยันว่าทหารเราไม่ยอม ผู้บัญชาการเหล่าทัพทุกคนยืนยันว่า ต้องรักษาอธิปไตยของแผ่นดินไทยไว้ด้วยชีวิตทุกคน ส่วนตัวเข้าใจและยืนยันในจิตใจของผบ.เหล่าทัพ ทุกคน เอาจริง และจริงจังด้วย ไม่ยอมให้คนไทยมีความรู้สึกในทางที่ไม่ดี หรือจะต้องเสียใจ
ล่าสุด รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศกัมพูชา ฮอ นัมฮง กลับบอกว่า เหตุการณ์ทหารกัมพูชาใช้อาวุธปืนยิงเฮลิคอปเตอร์ แบบเบลล์ 212 ของกองทัพเรือไทย บริเวณกองกำลังจันทบุรี-ตราด เมื่อวันที่ 15 ธ.ค.ที่ผ่านมา เป็นเพราะเฮลิคอปเตอร์ ของกองทัพเรือไทย บินรุกล้ำดินแดนกัมพูชา จึงจำเป็นต้องยิงเพื่อเตือน
เรื่องนี้ไม่ใช่เหตุการณ์ความเข้าใจผิด เมื่อกัมพูชา ยืนยันว่าไทยรุกล้ำอธิปไตย ปฏิกิริยาที่นิ่งเฉยของรัฐบาลเท่ากับว่าไทยยอมรับการเสียดินแดนให้กัมพูชา
ที่มา.กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
//////////////////////////////////////////////////////////////
มาร เต็มร้อย !!?
สร้างตราบาป ด้วย “หลักฐานเท็จ” ยังคุณภาพเปี่ยมล้น ไม่เสื่อมถอย
กระดาษแผ่นเดียว ชูหรากลางสภาฯ ว่าเป็นลูกเจ๊ก ลูกจีน ..เล่นเอาคนตกกระป๋อง
“กล้องดัมมี่” ซีซีทีวี ยัดโครม ว่า “ทักษิณ ชินวัตร” เป็นต้นตำรับ...นี่,ก็สร้างหลักฐานเท็จ ให้เขามัวหมอง
มาเรื่อง จับ มือระเบิด ๓ จุด...ก็เขียน “สคริป” สร้างช็อต สร้างซีน ว่าเป็น “เด็กก้นกุฏิ” ของ “ร.ต.อ.ดร.เฉลิม อยู่บำรุง” ขึ้นมาเสร็จสรรพ
หลักฐานกลั่นแกล้ง...เพื่อทิ่มแทง?..ไม่มีใครเก่งกว่า “พรรคโรงน้ำแข็ง” ไปได้ดอกครับ
+++++++++++++++++++++++++
บทเรียนเป็นครู
ยามนี้, เขารุมกินโต๊ะ หมายเอา “ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง” รองนายกรัฐมนตรี ให้อยู่
เป็นตัวเอ้ เสาหลัก ของ “รัฐบาลปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
ถ้าล้ม “เฉลิม” พรรคเพื่อไทย ก็ล้มระเนระนาด
ฉะนั้น,โปรดระวังการสร้างหลักฐานปลอม ย้อมแม้วขาย เหมือนที่ “พล.อ.ธรรมรักษ์ อิศรางกูล ณ.อยุธยา” รมว.กลาโหม และ “ยุทธ ตู้เย็น” ยงยุทธ ติยะไพรัช โดนกันมา.. จนยุบพรรคไทยรักไทย และ พรรคพลังประชาชน อย่างน่าเหลือดาย
“ท่านเฉลิม”อาจมีทีเด็ด..แต่เจอการสร้างหลักฐานเท็จ?..ท่านอาจเสร็จ เขาก็ได้
+++++++++++++++++++++++++
ใช้ “งบ” มันมือ
ตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ..จ่ายเงินเปล่าๆ ให้ประชาชน “ถลุงกันอื้อ”
งบเทจาด..เอ๊ย..งบสร้างชาติ สมัย “ประชาธิปัตย์” แจกกินเปล่าให้ชาวบ้านหัวละ ๒ พัน
แจกแป๊บเดียว หมดเกลี้ยง ไม่ได้ประโยชน์อะไรทั้งนั้น
ฉะนั้น,อยากเรียกร้อง “นายกฯปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร งบเยียวยาผู้ถูกน้ำท่วม แรมเดือนน่าจะมากกว่า “๕,๐๐๐ บาท” เพื่อบูรณาการช่วยเหลือ ให้คนลืมตาอ้าปาก
จ่ายเงินกันให้เหลือล้น...เพราะเชื่อว่าไม่มีตกหล่น?..น่าได้ผลกว่างบ “รัฐบาลมาร์ค”
+++++++++++++++++++++++
“ค้าน”ข้าง ๆ คู ๆ
ค้านไม่มีประสิทธิภาพ ไม่สร้างสรรค์...รู้หรือเปล่า? มีแต่จะสร้างศัตรู
เตือนน้ำใหม่...แต่ใช้วิธีเก่าๆ เดิม ๆ หยั่งกะ “ชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต” โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ อย่าเบรกแตก จนกู่ไม่กลับ
อนาคตเส้นทางการเมือง ยังยาวไกล..อย่าให้ดับวูบง่ายๆ สิครับ
น็อตหลุด...พูดไปเสียทุกเรื่อง แบบสากกะเบือยันเรือรบ ..สุดท้ายประชาชน คนเขาก็เอียน
“ประชาธิปัตย์”ที่ปากมาก...มักจะตายซาก?...ฝากเอาไว้ ให้คิดเป็นบทเรียน
++++++++++++++++++++++
“เผด็จการ”ยังหงอ
“พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์” อดีตนายกรัฐมนตรี คลอดจากมดลูก คมช. ยังไม่กล้ารับไม้ต่อ
มีแต่ “ป.ช.ป.” ยุค “อดีตนายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และ “กษิต ภิรมย์”ที่ยึดสนามบิน..ว่าดนตรีไพเราะ อาหารอร่อย เป็น “รมว.ต่างประเทศ”ที่ยึดพลาสปอร์ต “ทักษิณ ชินวัตร”
พอรัฐบาลที่มาจากประชาธิปไตย คืนหนังสือเดินทางให้..ก็เกิดอาการอึดอัด
อุ้ย, “เผด็จการ” ยังรู้ระเบียบ เล่นกันตามกติกา อยู่ในกฎ
“เผด็จการ”ยังไม่กล้าขานรับ...ไม่กล้ายึดพาสปอร์ตเลยครับ?..แต่นี่คิดจะปราบเขาไปหมด
++++++++++++++++++++++
ทรราช..เพื่อ..ทรราช
หนุนพรรคเพื่อไทย และ “ส.ส.หมอเหวง โตจิราการ” ทำตามปณิธาน ที่ได้ประกาศ
แก้รัฐธรรมนูญ ตัด เจี๋ยน หั่น ซอย “มาตรา ๓๐๙” ที่ให้เอกสิทธิ์ “นักปฏิวัติ”ที่ทำชาติต้อยต่ำ
ล้มรัฐบาล ล้างรัฐธรรมนูญ ..ทำชาติพัง บ้านเมืองปี้ป่น ยังอยู่ลอยชาย ได้อย่างสง่างาม
เป็นนโยบายหลัก สัญญาประชาคม ให้ไว้กับ ประชาชน ๑๕ ล้าน ๗ แสนเสียง ...จึงต้องทำอย่างเต็มเหนี่ยว
พรรคไหนค้านมีแต่เสีย...เพราะเราจ้องเลีย?..เพื่อเชลียร์เผด็จการเพียงอย่างเดียว
+++++++++++++++++++++++
โซเชียลเน็ตเวิร์ก
จ้องทำลาย “นายกฯปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ไม่เลิก
เอารูปผู้หญิงฟิลิปปินส์หน้าคล้าย “นายกฯยิ่งลักษณ์”กรอกเหล้า ดื่มอึกเป็นขวด ๆ เมาแอ๋ว่าว่อนไปทั่ว
โพสกันเสร็จสรรพ ว่าเกิดอาการเครียด ซีเรียสกับน้ำท่วม จึงดื่มเมาอย่างลืมตัว
เป็นความเลวร้าย ของคนต่ำทราม ที่พยายามใส่สีให้ร้ายกับ “นายกฯปู”ทุกรูปแบบ
ใครที่คิดวิธีชั่ว ๆ....เลิกโพสภาพมั่ว ๆ !...ทำตัวเป็นอีแอบ
คอลัมน์:ตอดนิดตอดหน่อย,บางกอกทูเดย์
sssssssssssssssssssssssssssssssssssssssssssssss
กระดาษแผ่นเดียว ชูหรากลางสภาฯ ว่าเป็นลูกเจ๊ก ลูกจีน ..เล่นเอาคนตกกระป๋อง
“กล้องดัมมี่” ซีซีทีวี ยัดโครม ว่า “ทักษิณ ชินวัตร” เป็นต้นตำรับ...นี่,ก็สร้างหลักฐานเท็จ ให้เขามัวหมอง
มาเรื่อง จับ มือระเบิด ๓ จุด...ก็เขียน “สคริป” สร้างช็อต สร้างซีน ว่าเป็น “เด็กก้นกุฏิ” ของ “ร.ต.อ.ดร.เฉลิม อยู่บำรุง” ขึ้นมาเสร็จสรรพ
หลักฐานกลั่นแกล้ง...เพื่อทิ่มแทง?..ไม่มีใครเก่งกว่า “พรรคโรงน้ำแข็ง” ไปได้ดอกครับ
+++++++++++++++++++++++++
บทเรียนเป็นครู
ยามนี้, เขารุมกินโต๊ะ หมายเอา “ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง” รองนายกรัฐมนตรี ให้อยู่
เป็นตัวเอ้ เสาหลัก ของ “รัฐบาลปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
ถ้าล้ม “เฉลิม” พรรคเพื่อไทย ก็ล้มระเนระนาด
ฉะนั้น,โปรดระวังการสร้างหลักฐานปลอม ย้อมแม้วขาย เหมือนที่ “พล.อ.ธรรมรักษ์ อิศรางกูล ณ.อยุธยา” รมว.กลาโหม และ “ยุทธ ตู้เย็น” ยงยุทธ ติยะไพรัช โดนกันมา.. จนยุบพรรคไทยรักไทย และ พรรคพลังประชาชน อย่างน่าเหลือดาย
“ท่านเฉลิม”อาจมีทีเด็ด..แต่เจอการสร้างหลักฐานเท็จ?..ท่านอาจเสร็จ เขาก็ได้
+++++++++++++++++++++++++
ใช้ “งบ” มันมือ
ตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ..จ่ายเงินเปล่าๆ ให้ประชาชน “ถลุงกันอื้อ”
งบเทจาด..เอ๊ย..งบสร้างชาติ สมัย “ประชาธิปัตย์” แจกกินเปล่าให้ชาวบ้านหัวละ ๒ พัน
แจกแป๊บเดียว หมดเกลี้ยง ไม่ได้ประโยชน์อะไรทั้งนั้น
ฉะนั้น,อยากเรียกร้อง “นายกฯปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร งบเยียวยาผู้ถูกน้ำท่วม แรมเดือนน่าจะมากกว่า “๕,๐๐๐ บาท” เพื่อบูรณาการช่วยเหลือ ให้คนลืมตาอ้าปาก
จ่ายเงินกันให้เหลือล้น...เพราะเชื่อว่าไม่มีตกหล่น?..น่าได้ผลกว่างบ “รัฐบาลมาร์ค”
+++++++++++++++++++++++
“ค้าน”ข้าง ๆ คู ๆ
ค้านไม่มีประสิทธิภาพ ไม่สร้างสรรค์...รู้หรือเปล่า? มีแต่จะสร้างศัตรู
เตือนน้ำใหม่...แต่ใช้วิธีเก่าๆ เดิม ๆ หยั่งกะ “ชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต” โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ อย่าเบรกแตก จนกู่ไม่กลับ
อนาคตเส้นทางการเมือง ยังยาวไกล..อย่าให้ดับวูบง่ายๆ สิครับ
น็อตหลุด...พูดไปเสียทุกเรื่อง แบบสากกะเบือยันเรือรบ ..สุดท้ายประชาชน คนเขาก็เอียน
“ประชาธิปัตย์”ที่ปากมาก...มักจะตายซาก?...ฝากเอาไว้ ให้คิดเป็นบทเรียน
++++++++++++++++++++++
“เผด็จการ”ยังหงอ
“พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์” อดีตนายกรัฐมนตรี คลอดจากมดลูก คมช. ยังไม่กล้ารับไม้ต่อ
มีแต่ “ป.ช.ป.” ยุค “อดีตนายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และ “กษิต ภิรมย์”ที่ยึดสนามบิน..ว่าดนตรีไพเราะ อาหารอร่อย เป็น “รมว.ต่างประเทศ”ที่ยึดพลาสปอร์ต “ทักษิณ ชินวัตร”
พอรัฐบาลที่มาจากประชาธิปไตย คืนหนังสือเดินทางให้..ก็เกิดอาการอึดอัด
อุ้ย, “เผด็จการ” ยังรู้ระเบียบ เล่นกันตามกติกา อยู่ในกฎ
“เผด็จการ”ยังไม่กล้าขานรับ...ไม่กล้ายึดพาสปอร์ตเลยครับ?..แต่นี่คิดจะปราบเขาไปหมด
++++++++++++++++++++++
ทรราช..เพื่อ..ทรราช
หนุนพรรคเพื่อไทย และ “ส.ส.หมอเหวง โตจิราการ” ทำตามปณิธาน ที่ได้ประกาศ
แก้รัฐธรรมนูญ ตัด เจี๋ยน หั่น ซอย “มาตรา ๓๐๙” ที่ให้เอกสิทธิ์ “นักปฏิวัติ”ที่ทำชาติต้อยต่ำ
ล้มรัฐบาล ล้างรัฐธรรมนูญ ..ทำชาติพัง บ้านเมืองปี้ป่น ยังอยู่ลอยชาย ได้อย่างสง่างาม
เป็นนโยบายหลัก สัญญาประชาคม ให้ไว้กับ ประชาชน ๑๕ ล้าน ๗ แสนเสียง ...จึงต้องทำอย่างเต็มเหนี่ยว
พรรคไหนค้านมีแต่เสีย...เพราะเราจ้องเลีย?..เพื่อเชลียร์เผด็จการเพียงอย่างเดียว
+++++++++++++++++++++++
โซเชียลเน็ตเวิร์ก
จ้องทำลาย “นายกฯปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ไม่เลิก
เอารูปผู้หญิงฟิลิปปินส์หน้าคล้าย “นายกฯยิ่งลักษณ์”กรอกเหล้า ดื่มอึกเป็นขวด ๆ เมาแอ๋ว่าว่อนไปทั่ว
โพสกันเสร็จสรรพ ว่าเกิดอาการเครียด ซีเรียสกับน้ำท่วม จึงดื่มเมาอย่างลืมตัว
เป็นความเลวร้าย ของคนต่ำทราม ที่พยายามใส่สีให้ร้ายกับ “นายกฯปู”ทุกรูปแบบ
ใครที่คิดวิธีชั่ว ๆ....เลิกโพสภาพมั่ว ๆ !...ทำตัวเป็นอีแอบ
คอลัมน์:ตอดนิดตอดหน่อย,บางกอกทูเดย์
sssssssssssssssssssssssssssssssssssssssssssssss
วันศุกร์ที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2554
เปรียบเทียบ ที่มา รธน.2540 และ รธน.2555 !!?
โดย : สุทธิรักษ์ อุฒมนตรี
เดินตามปฏิทินการเมือง สำหรับพรรคเพื่อไทย ที่มีมติ (20 ธ.ค.) ให้แก้ไขรัฐธรรมนูญ 2550 โดยตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.)
เดินตามปฏิทินการเมือง สำหรับพรรคเพื่อไทย ที่มีมติ (20 ธ.ค.) ให้แก้ไขรัฐธรรมนูญ 2550 โดยตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) 77 คนจาก 77 จังหวัด และอีก 22 คนมาจากนักวิชาการ และล่าสุด วิปรัฐบาล ก็มีมติ (21 ธ.ค.) เห็นด้วยกับการจะเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญในสมัยประชุมนิติบัญญัตินี้
ที่มาของรัฐธรรมนูญ 2555 ซึ่งจะได้รับการยกร่างจากส.ส.ร.ซึ่งที่มาส.ส.ร.ไม่ได้แตกต่างจาก ส.ส.ร. 2540 เพราะ 77 คนมาจาก 77 จังหวัด 225 คนมาจากนักวิชาการ
สุดท้ายแล้วจะได้ ส.ส.ร.ตัวแทนพรรคการเมืองที่ซ่อนอยู่ในคราบ ส.ส.ร.จังหวัด
ทักษิณ ชินวัตร ก็เคยลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นส.ส.ร.เชียงใหม่ แต่ต้องอกหักแพ้ให้กับ พล.ต.อ.สวัสดิ์ อมรวิวัฒน์ แต่ก็ไม่ต่างอะไร ได้พล.ต.อ.สวัสดิ์ ก็เหมือนได้ "ทักษิณ" เพราะ สายสัมพันธ์ที่โยงใยมาถึง พล.ต.อ.สมบัติ อมรวิวัตร อดีตอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ที่มีหน้าห้องอย่าง พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง พ.ต.อ.สุชาติ วงศ์อนันต์ชัย และพ.ต.อ.ดุษฎี อารยะวุฒิ
ปัจจุบัน พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง พ.ต.อ.สุชาติ วงศ์อนันต์ชัย และพ.ต.อ.ดุษฎี อารยะวุฒิ เติบโตในหน้าที่ราชการในรัฐบาลพรรคเพื่อไทย
นอกจากนั้น ก็ยังได้ส.ส.ร.สายนักวิชาการที่ซ่อนอยู่ในคราบของคิดความ "ฝักใฝ่" การเมือง
ดังนั้น ไม่แปลกที่ส.ส.ร.2540 จะกลายมาเป็นผู้ก่อตั้งพรรคไทยรักไทย ร่วมกับ "ทักษิณ" ทั้ง ชานนท์ สุวสิน ส.ส.ร.ลำปาง พงศ์เทพ เทพกาญจนา ส.ส.ร.สมุทรสาคร คณิต ณ นคร ส.ส.ร.สาขากฎหมายมหาชน เป็นต้น
เพราะฉะนั้น โฉมหน้าส.ส.ร.2554 ย่อมจะไม่แตกต่างจากส.ส.ร.ปี 2540
ที่มาของรัฐธรรมนูญ 2540-2554
รัฐธรรมนูญ 2540 ริเริ่มขึ้นโดยพรรคชาติไทย บรรหาร ศิลปอาชา นายกรัฐมนตรี ได้แต่งตั้งคณะกรรมการปฏิรูปการเมือง เข้ามาดำเนินการและได้ตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญขึ้นมา และมีการเลือกตั้งส.ส.ร.99 คน
รัฐธรรมนูญ 2540 ประสบอุปสรรคมีการเคลื่อนไหว เพื่อคว่ำรัฐธรรมนูญทั้งภายในและภายนอกสภา โดยการเคลื่อนไหวภายนอกสภานั้น กลุ่มที่ออกมาคัดค้าน เช่น กลุ่มกำนันผู้ใหญ่บ้าน และได้มีองค์กรการเมืองภาคประชาชนออกมาสนับสนุนร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ เช่น คณะกรรมการรณรงค์ประชาธิปไตย (ครป.) เครือข่ายผู้หญิงกับรัฐธรรมนูญ สมาคมคนพิการแห่งประเทศไทย ฯลฯ พรรคการเมืองซึ่งเป็นรัฐบาลในขณะนั้น ได้แก่ พรรคความหวังใหม่ แสดงท่าทีไม่สนับสนุนร่างรัฐธรรมนูญ รวมทั้งได้นำมวลชนจัดตั้งเข้ามาคัดค้าน ทำให้เกิดการเผชิญหน้าระหว่างฝ่ายสนับสนุน ที่ใช้ "สีเขียว" เป็นสัญลักษณ์ กับฝ่ายต่อต้าน ที่ใช้ "สีเหลือง" เป็นสัญลักษณ์
สำหรับแนวคิดแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2550 นั้น มีนาคม 2551 หลังจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มีมติให้ "ใบแดง" แก่ ยงยุทธ ติยะไพรัช และเป็นช่วงที่คดียุบพรรคการเมืองกำลังเป็นประเด็นที่ได้รับความสนใจจากประชาชน ชูศักดิ์ ศิรินิล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และรองเลขาธิการพรรคพลังประชาชน (อดีตไทยรักไทย เพื่อไทยในปัจจุบัน) ได้เสนอให้แก้รัฐธรรมนูญ ขณะนั้น บรรหาร ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทย และอนงค์วรรณ เทพสุทิน หัวหน้าพรรคมัชฌิมาธิปไตย ต่างก็ออกมาสนับสนุนโดยมุ่งประเด็นหลักไปยังกรณีที่ทั้งสองพรรคอาจถูกยุบ
"แค้นที่ฝังลึก" เรื่อง "ยุบพรรค" นำมาสู่ข้ออ้างที่มาอันไม่ชอบธรรมของรัฐธรรมนูญ 2550 ว่า มาจากคณะรัฐประหาร 19 ก.ย.2549
การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ 2550 เป็นการเสนอ "ญัตติ" ขอแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ 2550 โดยมีส.ส.พรรคพลังประชาชน พรรคเพื่อแผ่นดิน พรรคมัชฌิมาธิปไตย พรรคประชาราช และสมาชิกวุฒิสภาจำนวนหนึ่ง เป็นผู้สนับสนุน ความเคลื่อนไหวดังกล่าวมีหลายฝ่ายออกมาคัดค้านเนื่องจากเห็นว่าเป็นการกระทำเพื่อตนเอง และเป็นชนวนให้เกิดความไม่สงบในปัจจุบัน
22 มี.ค.2551 พรรคพลังประชาชน เริ่มหารือเรื่องการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญในที่ประชุมสามัญประจำปี โดยเฉพาะมาตรา 237 ซึ่งเกี่ยวข้องกับกรณียุบพรรค นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง ให้สัมภาษณ์ในวันเดียวกันว่าถึงเวลาต้องแก้ และควรแก้ในประเด็นเดียวก่อน เพื่อ "ปลดล็อก" ทางการเมือง
24 มี.ค.2551 ชัย ชิดชอบ ประธานรัฐสภา กล่าวว่า ที่ประชุมได้หยิบยกการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญเป็นเรื่องเร่งด่วน และเห็นว่าเป็นเรื่องจำเป็นเพื่อให้ กกต.มีทางออก จักรภพ เพ็ญแข รมต.ประจำสำนักนายกฯ กล่าวว่าการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญจะเป็นไปตามที่ สมัคร สุนทรเวช ให้แนวทางไว้ คือ เว้นเฉพาะหมวดพระมหากษัตริย์ ที่เหลือคงแก้ไขทั้งหมดโดยใช้รัฐธรรมนูญ 2540 เป็นหลัก
1 เม.ย. ที่ประชุมพรรคพลังประชาชน มีมติเห็นชอบในร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ โดยปรับแก้ 13 มาตรา ใน 7 ประเด็น ยกเลิกมาตรา 309 เปิดทางให้อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย 111 คน ที่ถูกตัดสิทธิการเมือง 5 ปี จากคดียุบพรรคการเมือง พ.ศ.2549 สู้คดีขอสิทธิเลือกตั้งคืน โดยให้มีผลย้อนหลังตั้งแต่วันที่ 24 สิงหาคม 2550
แต่ ที่ประชุมพรรคพลังประชาชน มีความเห็นเป็นสองฝ่าย คือ ฝ่ายของ ชูศักดิ์ ศิรินิล ให้แก้ไขเพิ่มเติมบางส่วน ส่วนอีกฝ่ายคือ ส.ส.และอดีตแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการ (นปก.) บางส่วนที่ต้องการให้นำรัฐธรรมนูญ 2540 มาใช้ทั้งหมด แต่ที่ประชุมไม่ได้ข้อสรุป เนื่องจาก ส.ส.ทยอยเดินออกจากห้องประชุม จึงมีผู้เสนอให้ยุติการประชุม
ต่อมามีกลุ่มคัดค้านแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ซึ่งมองว่าทำประโยชน์ส่วนตน โดยเฉพาะมาตรา 237 วรรคสอง และมาตรา 309
สมคิด เลิศไพฑูรย์ อดีต ส.ส.ร.และคณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้หารือกับคณบดีคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช จะออกแถลงการณ์โดยไม่พูดถึงการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญเพิ่มเติม แต่จะให้หลักนิติศาสตร์ที่การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญนั้นทำได้ แต่ไม่ควรทำเมื่อเกิดการกระทำความผิดขึ้น เพราะจะเป็นการทำลายระบบกฎหมายทั้งหมดของประเทศ ด้วยการอาศัยเสียงข้างมากของสภา
สาทิตย์ วงศ์หนองเตย ประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน (วิปฝ่ายค้าน) แถลงว่า การเสนอแก้รัฐธรรมนูญมีเจตนาไม่บริสุทธิ์ เพราะเหตุผลที่แท้จริงคือรัฐบาลต้องการแก้ไขมาตรา 309 เพื่อหวังให้คนที่ถูกดำเนินคดีในการพิจารณาของ คตส. มีช่องทางในการต่อสู้ และเพื่อช่วยเหลือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นอกจากนี้ การแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับนี้ทำให้เกิดความแตกแยกในบ้านเมือง
สุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวว่าการเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญดังกล่าวสะท้อนชัดเจนว่า "ระบอบทักษิณ" พยายามทำทุกวิถีทางที่จะไม่ขึ้นศาลหรือไม่เข้าพิสูจน์ตัวเองในกระบวนการยุติธรรม เป็นการหาวิธีแก้กฎหมายให้ตัวเองพ้นผิด ไม่ได้ทำเพื่อประโยชน์ของคนส่วนใหญ่อย่างแท้จริง
จาตุรนต์ ฉายแสง อดีตหัวหน้าพรรคไทยรักไทย กล่าวว่าระบบกฎหมายเกี่ยวกับการยุบพรรคเป็นระบบล้าหลัง ไม่มีประโยชน์ต่อการป้องกันการซื้อเสียง มีไว้เพื่อทำลายพรรคการเมือง
2 เม.ย.2551 คณาจารย์นิติศาสตร์ 41 คน จาก 9 สถาบัน ออกแถลงการณ์คัดค้านการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ มาตรา 237 เพราะถือเป็นความประสงค์ของนักการเมืองที่จะแก้การกระทำความผิดที่เกิดขึ้นแล้วให้ถูกต้อง ซึ่งรับไม่ได้ในทางกฎหมาย หากยอมให้คนทำผิดแก้กฎหมายให้ตัวเองพ้นผิด ระบบกฎหมายของประเทศจะถูกท้าทายและพังทลาย และถือว่าเป็นการกระทำที่ขัดต่อมาตรา 122 คือเป็นการดำเนินการในเรื่องที่ตนเองมีส่วนได้เสีย ขัดหลักนิติธรรม ไม่สมควรอย่างยิ่งที่จะสร้างธรรมเนียมไม่ถูกต้องขึ้นมา สามารถโดนถอดถอนได้ตามมาตรา 270 ส่วนมาตรา 309 คณาจารย์เห็นว่าไม่กระทบ ถ้าประกาศ คปค. ยังคงอยู่ และมีรัฐธรรมนูญ 2549 รองรับ อย่างไรก็ตาม หากมีการออกพระราชบัญญัติยกเลิกประกาศ คปค.ในภายหลัง แสดงว่าเป้าหมายยังคงอยู่ที่เรื่องการยกเลิก คตส. และกรณีการตัดสิทธิกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย 111 คน
ประเวศ วะสี กล่าวว่า ถ้าถกเถียงกันโดยใช้เหตุใช้ผล ใช้ประโยชน์ของบ้านเมืองเป็นที่ตั้งก็เป็นเรื่องดี มีความเป็นอารยะดีกว่าการใช้อำนาจ เอาสีข้างเข้าถู หรือการข่มขู่แบบอันธพาลซึ่งเป็นอนารยะ คนไทยจะต้องร่วมกันขับเคลื่อนประเทศด้วยวิถีอารยะ การใช้เงินซื้อเสียงคือต้นเหตุของวิกฤติทางการเมือง จึงมีความพยายามในการสกัดกั้นโดยวางยาแรง คือ มาตรา 237 เจตนารมย์คือให้พรรคการเมืองรับผิดชอบร่วมกัน ดูแลกันอย่าให้ใครทำผิด หวังว่าจะเกิดความกลัวเกรงไม่กล้าทำผิด แต่ก็เกิดการทำความผิดขึ้น การมีบทลงโทษหนัก หากเราไม่ทำผิดก็ไม่มีปัญหา ถ้าเราทำผิดกฎหมายแล้ว จะกลับไปแก้กฎหมาย ก็จะเกิดเรื่องน่าเกลียดน่ากลัวที่พิลึกพิลั่นต่อไปได้มาก
สรุปสุดท้าย หมอประเวศ บอกว่า "หวังว่าโจรคงจะไม่ขอแก้กฎหมายให้การเป็นโจรไม่มีความผิด"
ที่มา.กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
//////////////////////////////////////////////////////////////
เดินตามปฏิทินการเมือง สำหรับพรรคเพื่อไทย ที่มีมติ (20 ธ.ค.) ให้แก้ไขรัฐธรรมนูญ 2550 โดยตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) 77 คนจาก 77 จังหวัด และอีก 22 คนมาจากนักวิชาการ และล่าสุด วิปรัฐบาล ก็มีมติ (21 ธ.ค.) เห็นด้วยกับการจะเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญในสมัยประชุมนิติบัญญัตินี้
ที่มาของรัฐธรรมนูญ 2555 ซึ่งจะได้รับการยกร่างจากส.ส.ร.ซึ่งที่มาส.ส.ร.ไม่ได้แตกต่างจาก ส.ส.ร. 2540 เพราะ 77 คนมาจาก 77 จังหวัด 225 คนมาจากนักวิชาการ
สุดท้ายแล้วจะได้ ส.ส.ร.ตัวแทนพรรคการเมืองที่ซ่อนอยู่ในคราบ ส.ส.ร.จังหวัด
ทักษิณ ชินวัตร ก็เคยลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นส.ส.ร.เชียงใหม่ แต่ต้องอกหักแพ้ให้กับ พล.ต.อ.สวัสดิ์ อมรวิวัฒน์ แต่ก็ไม่ต่างอะไร ได้พล.ต.อ.สวัสดิ์ ก็เหมือนได้ "ทักษิณ" เพราะ สายสัมพันธ์ที่โยงใยมาถึง พล.ต.อ.สมบัติ อมรวิวัตร อดีตอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ที่มีหน้าห้องอย่าง พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง พ.ต.อ.สุชาติ วงศ์อนันต์ชัย และพ.ต.อ.ดุษฎี อารยะวุฒิ
ปัจจุบัน พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง พ.ต.อ.สุชาติ วงศ์อนันต์ชัย และพ.ต.อ.ดุษฎี อารยะวุฒิ เติบโตในหน้าที่ราชการในรัฐบาลพรรคเพื่อไทย
นอกจากนั้น ก็ยังได้ส.ส.ร.สายนักวิชาการที่ซ่อนอยู่ในคราบของคิดความ "ฝักใฝ่" การเมือง
ดังนั้น ไม่แปลกที่ส.ส.ร.2540 จะกลายมาเป็นผู้ก่อตั้งพรรคไทยรักไทย ร่วมกับ "ทักษิณ" ทั้ง ชานนท์ สุวสิน ส.ส.ร.ลำปาง พงศ์เทพ เทพกาญจนา ส.ส.ร.สมุทรสาคร คณิต ณ นคร ส.ส.ร.สาขากฎหมายมหาชน เป็นต้น
เพราะฉะนั้น โฉมหน้าส.ส.ร.2554 ย่อมจะไม่แตกต่างจากส.ส.ร.ปี 2540
ที่มาของรัฐธรรมนูญ 2540-2554
รัฐธรรมนูญ 2540 ริเริ่มขึ้นโดยพรรคชาติไทย บรรหาร ศิลปอาชา นายกรัฐมนตรี ได้แต่งตั้งคณะกรรมการปฏิรูปการเมือง เข้ามาดำเนินการและได้ตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญขึ้นมา และมีการเลือกตั้งส.ส.ร.99 คน
รัฐธรรมนูญ 2540 ประสบอุปสรรคมีการเคลื่อนไหว เพื่อคว่ำรัฐธรรมนูญทั้งภายในและภายนอกสภา โดยการเคลื่อนไหวภายนอกสภานั้น กลุ่มที่ออกมาคัดค้าน เช่น กลุ่มกำนันผู้ใหญ่บ้าน และได้มีองค์กรการเมืองภาคประชาชนออกมาสนับสนุนร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ เช่น คณะกรรมการรณรงค์ประชาธิปไตย (ครป.) เครือข่ายผู้หญิงกับรัฐธรรมนูญ สมาคมคนพิการแห่งประเทศไทย ฯลฯ พรรคการเมืองซึ่งเป็นรัฐบาลในขณะนั้น ได้แก่ พรรคความหวังใหม่ แสดงท่าทีไม่สนับสนุนร่างรัฐธรรมนูญ รวมทั้งได้นำมวลชนจัดตั้งเข้ามาคัดค้าน ทำให้เกิดการเผชิญหน้าระหว่างฝ่ายสนับสนุน ที่ใช้ "สีเขียว" เป็นสัญลักษณ์ กับฝ่ายต่อต้าน ที่ใช้ "สีเหลือง" เป็นสัญลักษณ์
สำหรับแนวคิดแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2550 นั้น มีนาคม 2551 หลังจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มีมติให้ "ใบแดง" แก่ ยงยุทธ ติยะไพรัช และเป็นช่วงที่คดียุบพรรคการเมืองกำลังเป็นประเด็นที่ได้รับความสนใจจากประชาชน ชูศักดิ์ ศิรินิล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และรองเลขาธิการพรรคพลังประชาชน (อดีตไทยรักไทย เพื่อไทยในปัจจุบัน) ได้เสนอให้แก้รัฐธรรมนูญ ขณะนั้น บรรหาร ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทย และอนงค์วรรณ เทพสุทิน หัวหน้าพรรคมัชฌิมาธิปไตย ต่างก็ออกมาสนับสนุนโดยมุ่งประเด็นหลักไปยังกรณีที่ทั้งสองพรรคอาจถูกยุบ
"แค้นที่ฝังลึก" เรื่อง "ยุบพรรค" นำมาสู่ข้ออ้างที่มาอันไม่ชอบธรรมของรัฐธรรมนูญ 2550 ว่า มาจากคณะรัฐประหาร 19 ก.ย.2549
การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ 2550 เป็นการเสนอ "ญัตติ" ขอแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ 2550 โดยมีส.ส.พรรคพลังประชาชน พรรคเพื่อแผ่นดิน พรรคมัชฌิมาธิปไตย พรรคประชาราช และสมาชิกวุฒิสภาจำนวนหนึ่ง เป็นผู้สนับสนุน ความเคลื่อนไหวดังกล่าวมีหลายฝ่ายออกมาคัดค้านเนื่องจากเห็นว่าเป็นการกระทำเพื่อตนเอง และเป็นชนวนให้เกิดความไม่สงบในปัจจุบัน
22 มี.ค.2551 พรรคพลังประชาชน เริ่มหารือเรื่องการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญในที่ประชุมสามัญประจำปี โดยเฉพาะมาตรา 237 ซึ่งเกี่ยวข้องกับกรณียุบพรรค นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง ให้สัมภาษณ์ในวันเดียวกันว่าถึงเวลาต้องแก้ และควรแก้ในประเด็นเดียวก่อน เพื่อ "ปลดล็อก" ทางการเมือง
24 มี.ค.2551 ชัย ชิดชอบ ประธานรัฐสภา กล่าวว่า ที่ประชุมได้หยิบยกการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญเป็นเรื่องเร่งด่วน และเห็นว่าเป็นเรื่องจำเป็นเพื่อให้ กกต.มีทางออก จักรภพ เพ็ญแข รมต.ประจำสำนักนายกฯ กล่าวว่าการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญจะเป็นไปตามที่ สมัคร สุนทรเวช ให้แนวทางไว้ คือ เว้นเฉพาะหมวดพระมหากษัตริย์ ที่เหลือคงแก้ไขทั้งหมดโดยใช้รัฐธรรมนูญ 2540 เป็นหลัก
1 เม.ย. ที่ประชุมพรรคพลังประชาชน มีมติเห็นชอบในร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ โดยปรับแก้ 13 มาตรา ใน 7 ประเด็น ยกเลิกมาตรา 309 เปิดทางให้อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย 111 คน ที่ถูกตัดสิทธิการเมือง 5 ปี จากคดียุบพรรคการเมือง พ.ศ.2549 สู้คดีขอสิทธิเลือกตั้งคืน โดยให้มีผลย้อนหลังตั้งแต่วันที่ 24 สิงหาคม 2550
แต่ ที่ประชุมพรรคพลังประชาชน มีความเห็นเป็นสองฝ่าย คือ ฝ่ายของ ชูศักดิ์ ศิรินิล ให้แก้ไขเพิ่มเติมบางส่วน ส่วนอีกฝ่ายคือ ส.ส.และอดีตแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการ (นปก.) บางส่วนที่ต้องการให้นำรัฐธรรมนูญ 2540 มาใช้ทั้งหมด แต่ที่ประชุมไม่ได้ข้อสรุป เนื่องจาก ส.ส.ทยอยเดินออกจากห้องประชุม จึงมีผู้เสนอให้ยุติการประชุม
ต่อมามีกลุ่มคัดค้านแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ซึ่งมองว่าทำประโยชน์ส่วนตน โดยเฉพาะมาตรา 237 วรรคสอง และมาตรา 309
สมคิด เลิศไพฑูรย์ อดีต ส.ส.ร.และคณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้หารือกับคณบดีคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช จะออกแถลงการณ์โดยไม่พูดถึงการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญเพิ่มเติม แต่จะให้หลักนิติศาสตร์ที่การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญนั้นทำได้ แต่ไม่ควรทำเมื่อเกิดการกระทำความผิดขึ้น เพราะจะเป็นการทำลายระบบกฎหมายทั้งหมดของประเทศ ด้วยการอาศัยเสียงข้างมากของสภา
สาทิตย์ วงศ์หนองเตย ประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน (วิปฝ่ายค้าน) แถลงว่า การเสนอแก้รัฐธรรมนูญมีเจตนาไม่บริสุทธิ์ เพราะเหตุผลที่แท้จริงคือรัฐบาลต้องการแก้ไขมาตรา 309 เพื่อหวังให้คนที่ถูกดำเนินคดีในการพิจารณาของ คตส. มีช่องทางในการต่อสู้ และเพื่อช่วยเหลือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นอกจากนี้ การแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับนี้ทำให้เกิดความแตกแยกในบ้านเมือง
สุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวว่าการเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญดังกล่าวสะท้อนชัดเจนว่า "ระบอบทักษิณ" พยายามทำทุกวิถีทางที่จะไม่ขึ้นศาลหรือไม่เข้าพิสูจน์ตัวเองในกระบวนการยุติธรรม เป็นการหาวิธีแก้กฎหมายให้ตัวเองพ้นผิด ไม่ได้ทำเพื่อประโยชน์ของคนส่วนใหญ่อย่างแท้จริง
จาตุรนต์ ฉายแสง อดีตหัวหน้าพรรคไทยรักไทย กล่าวว่าระบบกฎหมายเกี่ยวกับการยุบพรรคเป็นระบบล้าหลัง ไม่มีประโยชน์ต่อการป้องกันการซื้อเสียง มีไว้เพื่อทำลายพรรคการเมือง
2 เม.ย.2551 คณาจารย์นิติศาสตร์ 41 คน จาก 9 สถาบัน ออกแถลงการณ์คัดค้านการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ มาตรา 237 เพราะถือเป็นความประสงค์ของนักการเมืองที่จะแก้การกระทำความผิดที่เกิดขึ้นแล้วให้ถูกต้อง ซึ่งรับไม่ได้ในทางกฎหมาย หากยอมให้คนทำผิดแก้กฎหมายให้ตัวเองพ้นผิด ระบบกฎหมายของประเทศจะถูกท้าทายและพังทลาย และถือว่าเป็นการกระทำที่ขัดต่อมาตรา 122 คือเป็นการดำเนินการในเรื่องที่ตนเองมีส่วนได้เสีย ขัดหลักนิติธรรม ไม่สมควรอย่างยิ่งที่จะสร้างธรรมเนียมไม่ถูกต้องขึ้นมา สามารถโดนถอดถอนได้ตามมาตรา 270 ส่วนมาตรา 309 คณาจารย์เห็นว่าไม่กระทบ ถ้าประกาศ คปค. ยังคงอยู่ และมีรัฐธรรมนูญ 2549 รองรับ อย่างไรก็ตาม หากมีการออกพระราชบัญญัติยกเลิกประกาศ คปค.ในภายหลัง แสดงว่าเป้าหมายยังคงอยู่ที่เรื่องการยกเลิก คตส. และกรณีการตัดสิทธิกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย 111 คน
ประเวศ วะสี กล่าวว่า ถ้าถกเถียงกันโดยใช้เหตุใช้ผล ใช้ประโยชน์ของบ้านเมืองเป็นที่ตั้งก็เป็นเรื่องดี มีความเป็นอารยะดีกว่าการใช้อำนาจ เอาสีข้างเข้าถู หรือการข่มขู่แบบอันธพาลซึ่งเป็นอนารยะ คนไทยจะต้องร่วมกันขับเคลื่อนประเทศด้วยวิถีอารยะ การใช้เงินซื้อเสียงคือต้นเหตุของวิกฤติทางการเมือง จึงมีความพยายามในการสกัดกั้นโดยวางยาแรง คือ มาตรา 237 เจตนารมย์คือให้พรรคการเมืองรับผิดชอบร่วมกัน ดูแลกันอย่าให้ใครทำผิด หวังว่าจะเกิดความกลัวเกรงไม่กล้าทำผิด แต่ก็เกิดการทำความผิดขึ้น การมีบทลงโทษหนัก หากเราไม่ทำผิดก็ไม่มีปัญหา ถ้าเราทำผิดกฎหมายแล้ว จะกลับไปแก้กฎหมาย ก็จะเกิดเรื่องน่าเกลียดน่ากลัวที่พิลึกพิลั่นต่อไปได้มาก
สรุปสุดท้าย หมอประเวศ บอกว่า "หวังว่าโจรคงจะไม่ขอแก้กฎหมายให้การเป็นโจรไม่มีความผิด"
ที่มา.กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
//////////////////////////////////////////////////////////////
วันพฤหัสบดีที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2554
3 ปัญหา 4 เดือน สิ่งที่ ปู.. ยังกลัว และคำถาม ฟังแล้ว คันหู..!!?
ภาระบนบ่าจึงหนักหนาสาหัสเอาการ สำหรับผู้หญิงคนหนึ่ง
หลังผ่านพ้นเหตุการณ์น้ำท่วม 62 จังหวัด นายกรัฐมนตรีได้ "ปิ๊กบ้าน" จังหวัดเชียงใหม่เมื่อวันที่ 16 ธันวาคมที่ผ่านมา
เป็นครั้งแรกที่จะได้เห็น "ยิ่งลักษณ์" ปลดพันธนาการจากการเป็นนายกรัฐมนตรี เพื่อพูดถึงการเมือง พี่ชาย "ทักษิณ ชินวัตร" และชีวิตส่วนตัว
เธอบอกว่า 4 เดือนที่ได้เป็นนายกรัฐมนตรี เวลาในทุกวันหมุนเร็วกว่าปกติ ยังมีสิ่งที่ไม่ได้ทำให้ประชาชนอีกมากมาย และเมื่อเจอกับปัญหาน้ำท่วมครั้งใหญ่ บางสิ่งบางอย่างก็หยุดชะงัก โดยเฉพาะเรื่องการขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เดินหน้า
ยามสนทนาถึงคนชื่อ "ทักษิณ ชินวัตร" เธอมักบอกว่า "ท่านบังคับให้ลงเล่นการเมืองไม่ได้ ต่อให้ท่านอยากให้มา แต่ถ้าเราปฏิเสธท่านก็คงทำอะไรไม่ได้ การตัดสินใจลงเล่นการเมืองเป็นความคิดส่วนตัว"
"ยิ่งลักษณ์" กอดลูกชายไว้ใกล้ตัว ก่อนที่จะเล่าถึงนาทีที่ตัดสินใจลงเล่นการเมืองว่า บุคคลเดียวที่ต้องไป ขออนุญาตคือ ลูกชายสุดที่รัก ด.ช. ศุภเสกข์ อมรฉัตร หรือ "น้องไปป"
"เมื่อมาเล่นการเมือง จากนั้นเวลาทุกนาทีมันมีค่ามาก ฉะนั้น ในช่วงวันเสาร์-อาทิตย์ หากจะต้องปฏิบัติภารกิจก็จะพาลูกชายไปด้วยตลอด วันไหนแม่ไปช็อปปิ้งก็บอกเขาว่าลูกก็ต้องไปด้วย ไปนั่งรอก็ยังดี"
เมื่อต้องมายืนในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศไทยมือใหม่ เธอยอมรับว่า สิ่งที่ยากที่สุดสำหรับการเป็นนายกรัฐมนตรีมีอยู่ 3 ข้อ
หนึ่ง คือการตอบคำถามกับสื่อมวลชน ที่แม้จะเริ่มชินกับการพบปะทุกวัน แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าในทุกเช้าจะต้องตระเตรียมข้อมูลไว้ก่อนจะเดินทางไปทำงาน ทั้งการอ่านพาดหัวหนังสือพิมพ์ทุกฉบับ ทั้งการเช็กรายการข่าวทุกช่อง
หากวันไหนที่เตรียมใจไว้ว่าจะพบเจอกับ "ประเด็นร้อน" นั่นเป็นสัญญาณที่บอกให้รู้ว่าเธอจะมาทำงานสายทันที
สอง คือความคาดหวังจากประชา ชน-คนในพรรค ซึ่งเธอยอมรับว่า การขับเคลื่อนประเทศที่เปี่ยมไปด้วยความเห็นที่แตกต่าง มันยากยิ่งกว่าการกำกับดูแลองค์กรธุรกิจเหมือนที่เธอเคยทำ
เธอบอกว่า ทั้ง 2 เหตุผลยังไม่ทำให้ต้องท้อแท้เท่าการเกมการเมืองที่บีบรัด กดดัน ปั่นกระแสรายวัน
สาม คือการตอบโต้ของฝ่ายตรงข้าม โดยเฉพาะประเด็นการใช้คำพูดของนายกรัฐมนตรีต่อหน้าสื่อมวลชน ทั้ง พูดผิดพูดถูก หรือวรรคทองแห่งปีที่ว่า "เอาอยู่"
เธอตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนแรงว่า ทำงานใหญ่จะต้องอยู่เหนืออารมณ์ แต่ในฐานะผู้หญิงคนหนึ่งก็รู้สึกกับคำพูดเหล่านี้เสมอ คนเรามีข้อจำกัดในตัวเอง บางครั้งมองในแง่บวกก็ต้องมองสิ่งที่ดีด้วย ในเรื่องความคิดเห็นส่วนตัวก็ต้องแล้วแต่เขาจะพูดกันไป
เมื่อตัดสินใจก้าวเข้าสู่สนามการเมือง กระแสตอบรับและแรงต้านก็โถมเข้าใส่ "ยิ่งลักษณ์" โดยเฉพาะประเด็นของพี่ชาย-ทักษิณ ชินวัตร ที่ถูกฝ่ายตรงข้ามหยิบขึ้นมาตอบโต้รายวัน
เธอบอกว่า วันนี้พูดไปคงไม่มีใครเชื่อว่าเราทำงานของเราคนเดียวทั้งนั้น อย่างตอบคำถามสื่อมวลชน ตัดสินใจอนุมัติโครงการในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ถ้าต้องมัวแต่จะถามพี่ชายตลอด งานทั้งหมดจะคืบหน้าได้อย่างไร
"เวลาเท่านั้นคือเครื่องพิสูจน์ วันนี้อาจเร็วเกินไปสำหรับการที่จะบอกว่าผู้หญิงคนหนึ่งก้าวมาทำงานการเมือง ไม่มีประสบการณ์อะไรเลย แล้วทำงานมาแค่ 4 เดือน จะให้มีประสบการณ์เทียบเท่ากับคนที่เขาอยู่กับการเมืองมาแล้วหลายปีได้อย่างไร"
ยิ่งลักษณ์บอกว่า ตรงกันข้ามเธอกลับเห็นใจคนที่พยายามให้กำลังใจเธอ และเธอก็พยายามตอบแทนด้วยการทำงานหนัก
"พยายามเท่าที่สุขภาพและเวลาของผู้หญิงคนหนึ่งจะทำได้ เพื่อลดช่องว่างเหล่านี้ให้หมดไป"
ประเด็นที่หลายคนจับตาดูถึงการพา "ทักษิณ" กลับบ้านของรัฐบาลนั้น "ยิ่งลักษณ์" ตอบสวนทันควันว่า "เพื่อให้เกิดความสบายใจ ดิฉันขอย้ำอีกครั้งว่า จะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวในเรื่องพี่ชาย หากรัฐมนตรีบางคนจะทำก็เป็นสิทธิ์ของเขา แต่ขอต้องบอกให้เขารู้ว่ามันต้องทำถูกต้องตามกฎหมาย นี่ต่างหากที่ต้องเน้นย้ำอยู่เสมอ"
"จำได้ไหมคะว่าประชาชนต้องมาก่อน เรื่องพี่ชายเอาไว้ทีหลัง ส่วนจะมีคณะกรรมการอะไรก็ว่ากันไป เราไม่เกี่ยว เราก็ทำงานของเรา ส่วนเวลานี้เหมาะสมที่จะพาพี่ชายกลับมาหรือไม่นั้นก็ไม่ทราบค่ะ ไม่ได้เข้าไปมีส่วนร่วมด้วย"
ในสายตานายกรัฐมนตรี เชื่อว่าการเมืองปีหน้าอุณหภูมิจะร้อนแรงยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการกลับมาของอดีตกรรมการบริหารพรรค หรือบ้านเลขที่ 111 จะเข้ามาช่วยเสริมทัพให้รัฐบาลแข็งแกร่ง
"ต้องมองในแง่บวกว่าจะมีคนเก่งเข้ามาช่วยบ้านเมืองเพิ่มขึ้น จะเข้ามากี่รูปแบบก็ช่วยกันได้ แต่ไม่ทราบว่าจะเป็นรัฐมนตรีหรือเปล่า ต้องอยู่ที่เขาเต็มใจหรือเปล่า ส่วนดิฉันเปิดรับหมดอยู่แล้ว แต่ต้องขึ้นอยู่กับว่าคนที่อยู่ตอนนี้ทำหน้าที่ได้หรือไม่ด้วย คงต้องดูจังหวะ และเวลา"
ข่าวการปรับคณะรัฐมนตรีที่หนาหู "ยิ่งลักษณ์" บอกว่า ได้ยินแล้วคันหู แต่ต้องใช้ภาวะผู้นำตัดสินใจ
"ถ้าถามว่าลำบากใจหรือไม่ที่ต้องปรับเปลี่ยนคนที่เคยทำงานร่วมกัน มันต้องมีเหตุมีผลประกอบ คงใช้ภาวะผู้นำในการตัดสินใจ เพราะการเป็นผู้นำนั้น เรื่องที่ยากที่สุดคือต้องตัดอารมณ์ความรู้สึกออกไป เพื่อให้ประเทศเดินหน้าต่อ"
ในบทบาทนายกรัฐมนตรี ต้องเผชิญหน้าทั้งโคลนการเมือง ภัยธรรมชาติที่รุนแรง ในฐานะผู้หญิง-ลูกสาว "ยิ่งลักษณ์" มักเสียงสั่นเครือเมื่อต้องพูดถึงครอบครัว "คิดถึงค่ะ คิดถึงคุณพ่อ และคิดถึงคุณแม่ด้วย"
บทสนทนากับ "น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" ในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง สัมผัสได้ว่าเธอมีพลังใจอย่างเหลือล้นบนถนนการเมือง
ที่มา:ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
/////////////////////////////////////////////////////////////////////////
| เว็บไซด์ยูทูป (Youtube) มียอดคลิกชมคลิปโดยรวมทั้งหมดของปี 2554 ทะลุ 1 ล้านล้านครั้ง โดยปีนี้มีช่องสถานีเกิดขึ้นใหม่บนยูทูป และมีดาวดวงใหม่ถูกค้นพบบนคลิป ไปจนถึงไอเดียเจ๋งๆ โดยนักวิจารณ์ระบุว่าถือเป็นปีทรงพลังของเรื่องราวใหม่ๆเกิดขึ้นบนยูทูป ตั้งแต่เรื่องเล่าเหตุการณ์สำคัญที่ถูกถ่ายคลิปในฐานะพยานของเหตุการณ์สำคัญ เรื่องราวการลุกฮือประท้วง และภาพบอกเล่าภัยพิบัติธรรมชาติในหลายประเทศ รวมไปถึงเรื่องราวชวนสัมผัสในระดับปัจเจก ซึ่งปีนี้คลิปวิดีโอบนยูทูปที่ถูกเปิดชมมากสุดทั่วโลกในรอบ 12 เดือน คือ คลิปนักร้องสาว Rebecca Black ในเพลง "Friday" มาดู 10 คลิปที่ชาวโลกคลิกเปิดชมมากที่สุด 10 อันดับ ดังนี้ 1. "Friday" by Rebecca Black |
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)