--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันพฤหัสบดีที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2554

4 นิคมฯฝั่งตะวันออกระทึก.. ผุดเขื่อน 3 เมตรสู้ /1,000 โรงงานตั้งวอร์รูมลุ้น 24 ชั่วโมง !!?

นิคมอุตสาหกรรมฝั่งตะวันออกเตรียมรับมือสู้ภัยกระแสน้ำหลาก หลัง 5 นิคมฯ ใหญ่พระนคร ศรีอยุธยาล่มมาก่อนหน้านี้ เตรียมสร้างเขื่อน-คันกั้นน้ำ สูง 1.5-3.0 เมตร เพื่อป้องกัน พร้อมตั้งวอร์รูมจับตาสถานการณ์ตลอด 24 ชั่วโมง เตรียมวางแผนอพยพคน งานหากถูกกระแสน้ำทะลักใส่ เผยข่าวดีสหรัฐฯ เตรียม ยืดสิทธิ์จีเอสพี “เฟอร์นิเจอร์-ชิ้นส่วนยานยนต์-เตาไมโครเวฟ-เลนส์แว่นตา” ซับน้ำตา

จากสถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่หลายจังหวัดของประเทศไทย ส่งผลให้เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจอย่างหนัก โดยเฉพาะภาคอุตสาหกรรมที่ถูกกระแสน้ำทำลาย สร้างความเสียหายอย่างหนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมในจังหวัดพระนคร ศรีอยุธยาหลายแห่งถูกน้ำท่วมได้รับความเสีย หายอย่างหนัก อาทิ นิคมอุตฯ สหรัตนนคร, นิคมฯ โรจนะ, นิคมฯ ไฮเทค, นิคมฯ บางปะอิน,แฟคตอรี แลนด์ นิคมขนาดเล็กก็ถูก น้ำท่วม นอกจากนี้น้ำยังได้ลามมายังจังหวัดปทุมธานี จนต้องป้องกันอย่างแข็งขันในขณะนี้ รวมทั้งบางกระดี ส่วนนิคมทางโซนตะวันออกก็ยังวางใจไม่ได้

ล่าสุดนายศรณ์พงษ์ ชูอาตม์ ผอ. สำนักงานนิคมอุตสาหกรรมบางพลี เปิดเผย ว่า ขณะนี้นิคมฯได้รับหนังสือจากกรมชลประทานแจ้งเตือนให้เตรียมความพร้อมรับมือน้ำจากรังสิตที่กำลังจะไหลลงมาด้านฝั่งตะวันออก จึงต้องเฝ้าระวังสถานการณ์ และร่วมประชุมกันตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งที่ผ่านมาได้เสริมเขื่อนกั้นน้ำด้านหลังนิคมฯ สูงขนาด 1.50 เมตร ระยะทาง 4 กิโลเมตร ส่วนด้านหน้ามีถนนของกรมทางหลวงชนบทกั้นน้ำอยู่แล้วจึงไม่ต้องมีเสริมเขื่อนกันน้ำแต่อย่างใด
ขณะที่นิคมอุตฯบางพลีมีพื้นที่ 1,004 ไร่ มีโรงงาน 130 แห่ง เป็นแหล่งผลิตอะไหล่ชิ้น ส่วนยายนต์ อาหาร พลาสติก นมผงดูเม็กซ์ ครีมบำรุงผิวนีเวีย ล้อแม็กซ์เอ็นโก มีแรงงาน ทั้งหมด 25,000 คน วงเงินลงทุน 14,000 ล้านบาท ส่วนที่นิคมอุตฯบางปูก็ได้เปิดศูนย์ปฏิบัติ การติดตามสถานการณ์น้ำท่วมอย่างใกล้ชิด และได้เตรียมรถแบ็กโฮ ปั๊มสูบน้ำ สถานีสูบน้ำ 11 จุดน่าจะเพียงพอสำหรับการระบายน้ำ

สำหรับนิคมที่อยู่ในเขตกรุงเทพฯ 2 แห่งคือ นิคมอุตฯบางชันและนิคมอุตฯลาด กระบังนั้น นายประภาส คล้ายศรี ผอ.สำนักงาน นิคมอุตสาหกรรมบางชัน กล่าวว่า เนื่องจาก นิคมฯแห่งนี้อยู่ในแนวกั้นน้ำของกรุงเทพฯ จึงมั่นใจว่าน้ำจะไม่ท่วมนิคมฯอย่างแน่นอน อย่าง ไรก็ตาม ได้เสริมคันกั้นน้ำไว้สูงถึง 2.10 เมตรแล้ว ถ้าเกิดสถานการณ์ฉุกเฉินก็จะสามารถอพยพคนงานได้อย่างรวดเร็ว เพราะมีทางเข้า-ออกหลายทาง

ส่วนนิคมอุตฯลาดกระบัง ขณะนี้มีน้ำฝนท่วมขังในนิคมฯบางพื้นที่ แต่เป็นห่วงหลังจากได้รับแจ้งจากประตูน้ำชลหารพิจิตรว่าจำเป็นต้องระบายน้ำที่มาจากด้านเหนือลง มา ซึ่งจะทำให้น้ำรอบนิคมฯสูงขึ้น 50-80 ซม. ตอนนี้ได้วางเขื่อนกั้นน้ำแล้วสูง 1 เมตร ทำให้เป็นห่วงน้ำจะเข้าท่วมในเขตนิคมฯ อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ทางนิคมฯร่วมกับทหารจากกอง พลทหารราบที่ 11 จำนวน 80 นายกำลังเตรียมพร้อม และกำลังจะเข้ามาเสริมอีก 100 นาย ตรึงกำลังป้องกันอย่างเต็มที่ ทั้งนี้ นิคมอุตฯลาดกระบัง ผลิตอิเล็ก ทรอนิกส์ ชิ้นส่วน อาหาร อัญมณี มีโรงงาน 254 แห่ง วงเงินลงทุน 80,000 ล้านบาท มีแรงงานทั้งหมด 45,000 คน ขณะที่ทางฝั่งตะวันตก นางนงนุช ศรีประเสริฐ ผอ.สำนักงาน นิคมอุตสาหกรรมสมุทรสาคร เปิดเผยว่า ขณะนี้ได้ตั้งวอร์รูมเพื่อติดตามสถานการณ์น้ำที่ระบาย จากด้านทิศเหนืออย่างใกล้ชิด และได้สร้างเขื่อนกั้นน้ำสูง 2.80 เมตรไว้พร้อมแล้ว และต้องรายงานความเคลื่อนไหวให้ผู้บังคับบัญชาทราบวันละ 4 ครั้ง จึงมั่นใจว่าสามารถจะแก้ไขสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้อย่างทันท่วงที

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นิคมอุตสาหกรรม ฝั่งตะวันออก 4 แห่งที่ถือเป็นนิคมฯขนาดใหญ่ ที่ยังไม่ถูกน้ำท่วม แต่ก็อยู่ในแนวเส้นทางน้ำไหลผ่าน โดยทุกฝ่ายพยายามหาทางปกป้องนิคมฯเหล่านี้เต็มกำลังความสามารถ ประกอบด้วยนิคมอุตสาหกรรมลาดกระบัง มีโรงงานภายในนิคมฯจำนวน 231 โรงงาน เงินลงทุน 89,491 ล้านบาท นิคมอุตสาหกรรมบางชัน มีโรงงาน 93 โรงงาน เงินลงทุน 19,848 ล้านบาท นิคมอุตสาหกรรมบางพลี มีโรงงาน 137 โรงงาน เงินลงทุน 54,291 ล้านบาท และนิคมอุตสาหกรรมบางปู มีโรงงาน 456 โรงงาน เงินลงทุน 105,502 ล้านบาท ผู้ประกอบการย้ายฐานผลิตจ้าละหวั่น

นายสาธิต เกียรติกำจร เจ้าหน้าที่ประจำนิคมอุตสาหกรรมพิจิตร กล่าวว่า หลังจากน้ำท่วมนิคมอุตสาหกรรมสหรัตนนคร ปรากฏว่ามีผู้ผลิตสินค้าหลายยี่ห้อ อาทิ นิคอน ฟูจิกูระ รองเท้าเอ็นโก เข้ามาติดต่อขอซื้อพื้นที่เพื่อผลิตสินค้า แต่ทางนิคมฯมีนโยบายให้เช่าไม่ได้ขาย จึงมีโรงงานบางรายกลับไป มีเพียงเอ็กโกเท่านั้นที่สนใจจะขยายโรงงานจาก 25 ไร่ เป็น 45 ไร่ และจะเปิดกำลังการผลิต วันที่ 19 ตุลาคมนี้

ขณะที่นายปรีชา จรเณ ผอ.สำนักงานนิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบัง กล่าวว่า พื้นที่นิคมฯแหลมฉบังเต็มหมดแล้วที่พอเหลืออยู่จะเป็นนิคมฯปิ่นทองและอมตะซิตี้ อย่างไรก็ ตาม ที่แหลมฉบังยังต้องการแรงงานจำนวนมาก 1,000-2,000 คน ซึ่งคาดว่าจะรองรับแรงงานที่จะมาจากจังหวัดพระนครศรีอยุธยาและปทุมธานีได้

ด้านนายวิฑูรย์ สิมะโชคดี ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า ในช่วงหลังน้ำลด กระทรวงอุตสาหกรรมมีมาตรการช่วยเหลือโดยการยกเว้นอากรขาเข้าเครื่องจักรนำเข้ามาทดแทนเครื่องจักรที่เสียหาย และอากรขา เข้าสำหรับวัตถุดิบนำเข้าที่เสียหายจากน้ำท่วม รวมทั้งอนุญาตให้ย้ายโรงงานไปอยู่ที่นิคมฯ/เขตประกอบการอุตสาหกรรมอื่นได้ รวมทั้งจะมีการเสนอเพิ่มเติมต่อบีโอไอให้ยกเว้นอากรขาเข้า ในกรณีวัตถุดิบนำเข้ามาผลิตเพื่อ การส่งออก หากเกิดความเสียหายจากภัยธรรมชาติทุกกรณี นอกจากนี้ ยังได้ประกาศยกเว้นค่าธรรมเนียมรายปีแก่สถานประกอบการ และยกเว้นไม่เก็บค่าธรรมเนียมการต่อใบ อนุญาตเป็นระยะเวลา 5 ปี สหรัฐขยายสิทธิจีเอสพีช่วยน้ำท่วม

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในขณะที่สถานการณ์น้ำท่วมได้สร้างความเสียหายให้กับภาค อุตสาหกรรมของไทยนั้น ยังมีข่าวดีอยู่บ้างเมื่อมีรายงานจากสำนักงานส่งเสริมการค้าใน ต่างประเทศ ณ นครชิคาโกว่า สหรัฐอเมริกาได้ต่ออายุจีเอสพี หรือโครงการสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากร ให้สิทธิกับประเทศไทย โดยส่งสินค้าไปสหรัฐจะไม่เสียภาษีศุลกากรนำเข้า ไปจนถึงวันที่ 31 ก.ค.2556 และให้มีผลบังคับย้อนหลังไปตั้งแต่ 31 ธ.ค. 2553 ซึ่งส่งผลดีต่อสินค้าไทยหลายรายการ เช่น เฟอร์นิเจอร์ ชิ้นส่วนยานยนต์ เตาอบไมโครเวฟ เลนส์แว่นตา เป็นต้น สอดคล้องกับราย งานข่าวก่อนหน้านี้ของสำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช.) เปิดเผยว่า ขณะนี้กระทรวงเกษตรของสหรัฐ อเมริกาได้อนุญาตให้ประเทศไทยสามารถส่งออกผลแก้วมังกรสดไปยังสหรัฐแล้ว การที่สหรัฐยอมรับแก้วมังกรนำเข้าจากไทยทำให้ไทยสามารถส่งออกผลไม้ฉายรังสีไปยังสหรัฐเพิ่มจากเดิม 6 ชนิด เป็น 7 ชนิด ได้แก่ ลำไย ลิ้นจี่ มังคุด เงาะ สับปะรด มะม่วง และแก้วมังกร ซึ่งเป็นโอกาสของเกษตรกรผู้ปลูกแก้วมังกรของไทยที่จะสามารถขยายช่องทางการตลาดและจำหน่ายผลผลิตได้มากขึ้น

นางนันทวัลย์ ศกุนตนาค อธิบดีกรมส่งเสริมการส่งออก เปิดเผยว่า จากกรณีน้ำท่วมในกว่า 20 จังหวัดของไทย ส่งผลทำให้วัตถุดิบสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมไม่สามารถป้อนเข้าโรงงานผลิตได้ รวมถึงเส้นทางการขนส่งถูกตัดขาด อย่างไรก็ตาม น้ำท่วมไม่น่าจะกระทบตัวเลขการส่งออกปีนี้ที่ 20% แต่อาจจะต้องทบทวนตัวเลขเป้าหมายปีหน้า ไม่น่าจะโตได้ 15% เพราะความเสียหายเกิดขึ้นหลายจุด โดยกลุ่มอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบมาจากอุทกภัยโดยตรงจนผลิตต่อไม่ได้ ได้แก่ อุตสาหกรรมเกษตรและอาหารที่มีพื้นที่เพาะปลูก เพาะเลี้ยง หรือสินค้าที่ต้องใช้วัตถุดิบจากท้องที่ เช่น หนังสัตว์ รวมทั้งอุตสาหกรรมหนักประเภทชิ้นส่วนยาน ยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ ส่วนสินค้าอุตสาหกรรม เบา เช่น เครื่องสำอาง เป็นต้น “ได้ประสานไปยังสมาคมต่างๆ เพื่อให้ทำการสำรวจคลังสินค้าของสมาชิกที่ยังมีพื้นที่ว่างสามารถให้บริการแก่ผู้ประกอบการที่ประสบภัยน้ำท่วมได้ และทางกรมฯ เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้ประกอบการที่ประสบ ปัญหาต่อไป” นางนันทวัลย์ กล่าว

ที่มา:สยามธุรกิจ
/////////////////////////////////////////////////////////////////

วันพุธที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2554

มือไม่พาย เอาเท้าราน้ำ !!?

มือไม่พาย เอาเท้าราน้ำ!!!
ฟันธง คอนเฟิร์มเลยว่า..นี่เป็นพฤติการณ์ แห่งแผนเลวระยำ??
ไอ้นายหมู นายหมา สับปะรังเคตัวไหนก็ไม่ทราบ ไปด่ากราดชี้หน้า “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. ขณะนำกำลังพล ช่วยน้ำท่วมที่จังหวัดปทุมธานี
สมควรหรือ ที่ “นักเล่าข่าว” ผู้สร้างเร็ตติ้งดราม่า ถึงได้ โหวกเหวกว่าเป็น “สาวกคนเสื้อแดง” ทั้งที่ไร้หลักฐาน พยานอ้างอิง ในข้อมูล
อาจจะมีคน “สวมรอย” สร้างความแยกแตกก็ได้..ใยไม่คิดกันมั่งล่ะคุณ
ดูแล้วทุกอย่างเขาเตี๊ยม..เพื่อที่จะเสี้ยม?...เพื่อให้รัฐบาลไหม้เกรียม จะล้มได้ง่าย ๆ ??

----------------------------

“จุดชนวน” ให้ “บ้านเมืองยุ่ง”!!
สร้างอารมณ์ความเกลียดชัง ให้คนไทยที่น้ำท่วมต่อน้ำท่วม ขัดแย้งกันให้ได้สิคุณลุง
นำเสนอความแยกแตก...คนบ้านเหนือเข้ารื้อเขื่อน ทำนบ พังคันนา เพื่อให้ท่วมเสมอภาค
“นักเล่าข่าว” โทรทัศน์.. สร้างเงื่อนไข ให้คนไทยต่อคนไทย เผชิญหน้ากันเป็นอันมากส์
ทำให้ “ไทยต่อไทย” แตกกันเป็นขั้ว...หลังจากศึกสีเสื้อ “แดง-เหลือง”เริ่มเบาบาง!!
ดูแล้วเหมือนมีวาระแฝง....สร้างสถานการณ์แรง?..เพื่อให้ทอปบู๊ตแทรกแซง อีกครั้ง??

----------------------------

โมเดลที่ “ปทุมธานี”!!
ถ้าผู้นำ ผู้ว่าราชการจังหวัด สิ้นน้ำอิ๊ว ควรที่จะย้าย “พ่อเมืองพีระศักดิ์ หินเมืองเก่า” พ้นไปจากตำแหน่ง เสียที???
โอดกาเหว่า คร่ำครวญอย่างแรง เรียกร้องให้ “นายกฯปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เข็น “พรบ.ฉุกเฉิน” ออกมาให้ เพื่อให้ “ทหาร” ของ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. เข้ามาควบคุมสถานการณ์น้ำ ที่เอ่อนอง จนอ่วม
แต่ก่อนหน้านี้ ส่งสัญญาณใสปิ๊ง คุยเจ็ดย่านน้ำ “เมืองปทุม” อย่างไรก็ดี.. น้ำไม่ท่วม
ครั้นน้ำเหนือหลากมา จาก อยุธยา อ่างทอง สิงห์บุรี นครสวรรค์ ก็เจิ่งนองสามโคกคุมไม่ได้... ซึ่งก็ไม่ได้เป็นความผิด..แต่ที่เอะอะมะเทิ่ง ให้ออก “พรบ.ฉุกเฉิน” ทหารเข้ามากระชับพื้นที่ ดูแลน้ำท่วม โดยเน้นว่า ได้บารมี “พล.อ.ประยุทธ์” จึงทำให้ทุกอย่าง คลี่คลายลงไป
ตีความหมายอย่างหนักแน่น...เหมือนท่านดูแคลน?..อยากให้ทหารมาทดแทนผู้ว่าฯนั่นไง

----------------------------

อำนาจผลัดกันชม!!
มีอำนาจมาก ก็ไม่ใช่สิ่ง ที่รื่นอภิรมย์??
“ซีซ่าร์ แห่งกรุงโรม” นักรบผู้ยิ่งใหญ่..ได้อำนาจบุญบารมีใหญ่คับฟ้า..สุดท้ายก็ดิ่งร่วงพสุธา กลิ้งโค่โร่
ลงจากหลังเสืออย่างสมเกียรติไปแล้ว “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ อดีต รมว.กลาโหม ในฐานะพี่ใหญ่ทหารบูรพา คนโต
ชีวิตหลังเกษียณ ไม่ต้องมาถือดาบอาญาสิทธิ์คุมอำนาจแผ่นดิน ดูแล้วท่านชื่นบาน!!!
ละจากการเมืองได้....ชีวิตมีแต่ยิ่งใหญ่?....เป็นสุขใจจะมีอะไร ดีกว่าหรือล่ะท่าน??

----------------------------

เป็น “แชมป์กระโดดค้ำถ่อ”!!
สำหรับ “คุณพี่ปรีชา เลาหพงศ์ชนะ” สมาชิกบ้านเลขที่ ๑๑๑ ที่ถูกเว้นวรรค โดนแชวน นั่งตัวลีบตัวงอ
จากแต่ก่อน เป็นเพื่อนคู่คิดมิตรคู่ใจ “เสี่ยสุวัจน์ ลิมปพัลลภ” นักการเมืองเก่งผู้ยิ่งใหญ่
เมื่ออนาคตการเมือง หดสั้นจู๋เป็นรูเข็ม “เสี่ยปรีชา” ก็โบกมือบ๊ายบาย
มาตั้งป้อมกับ “กลุ่ม ๓พี” เสี่ยพินิจ จาสุสมบัติ ร.ต.ไพโรจน์ สุวรรณฉวี (วายชนม์ไปแล้ว) และตัวเอง “เสี่ยปรีชา เลาหพงศ์ชนะ” ร่วมตั้งกลุ่มเป็นที่กล้าแกร่ง..แต่บัดนี้เริ่มโรยรา นัยว่า “คุณพี่ปรีชา” เตรียมชิ่งไปอยู่กับ “เสี่ยจาตุรนต์ ฉายแสง” อดีตหัวหน้าพรรคไทยรักไทย จอมเก๋าส์
ถ้าจาตุรนต์หมดแรงห้อ..ไม่รู้เสี่ยปรีชาจะค้ำถ่อ?..กระโดดต่อ ไปอีกหรือเปล่า???

ที่มา:คอลัมน์ ตอดนิดตอดหน่อย,บางกอกทูเดย์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

แค้น : ไม่อาจสะท้อน ไม่พอสะท้าน !!?

โดย ชญานิน เตียงพิทยากร
ที่มา:Siam Intelligence Unit

แค้น ศุภวัฒน์ หงษา

เทศกาลศิลปะนานาพันธุ์ ครั้งที่ 4 ณ สถาบันปรีดี พนมยงค์ ซอยทองหล่อ เพิ่งคลี่ม่านปิดฉากไปเมื่อวันที่ 16 ตุลาคมที่ผ่านมา
ผมได้ไปร่วมงานมาบ้างประปราย และไม่ได้ชมการแสดงกับงานศิลปะทั้งหมด แต่มีงานละครเวทีสองเรื่องในเทศกาลนี้ที่ผมเห็นว่าน่าสนใจนำมาขยายผลต่อ ได้แก่ ‘แค้น’ (ศุภวัฒน์ หงษา) และ ‘อัสลาม… จากเจ้าหญิงเสียงเศร้าแห่งดาวดวงที่ ๔’ (ฟารีดา จิราพันธุ์)

จุดร่วมของละครทั้งคู่คือเป็นละครที่สอบผ่านในแง่มุมด้านศิลปะ ไม่มีใครบริภาษว่าละครสองเรื่องนี้ย่ำแย่เลวร้าย หากแต่จุดบอดบางประการที่ปรากฏอยู่และแทบจะซ้อนทับกัน ทำให้รู้สึกว่าควรบันทึกไว้ให้เห็นชัด เนื่องด้วยทั้งศุภวัฒน์และฟารีดาต่างเลือกหยิบจับประเด็นทางสังคมการเมืองที่ร้อนแรงมานำเสนอ และผมเห็นว่าทั้งคู่มี ‘กำแพงส่วนตัว’ แบบเดียวกัน ที่กั้นไม่ให้ละครของพวกเขาขึ้นไปสู่จุดสูงสุดได้
ในบทความตอนนี้ ขอกล่าวถึงเรื่อง แค้น ก่อน และจะกล่าวถึง อัสลาม ในบทความชิ้นต่อไป


แค้น ศุภวัฒน์ หงษา
อิ่ม (รับบทโดย สิทธยา นักปราชญ์) / ศักดิ์ (รับบทโดย วสุ วรรลยางกูร)

‘แค้น’ เล่าเรื่องชีวิตชาวสลัมยากจนในช่วงก่อนเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 โดยในเวอร์ชั่นของศุภวัฒน์นี้เป็นงานสำเร็จการศึกษาที่แสดงไปเมื่อช่วงกลางปี ก่อนจะ re-stage ในงานรำลึก 6 ตุลาคม 2519 ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และในเทศกาลศิลปะนานาพันธุ์ ดัดแปลงจากบทละครเดิมของ วีระประวัติ วงศ์พัวพันธ์ ซึ่งเคยถูกสร้างเป็นละครเวทีโดย ยุทธนา มุกดาสนิท เมื่อปี 2518 – ยุครอยต่อทางการเมืองที่นักศึกษามีบทบาท ตื่นตัวทางการเมือง ตั้งคำถามกับความเป็นไปของสังคม ณ ตอนนั้น และสถานการณ์เริ่มคุกรุ่นอีกรอบ และไปปะทุเป็นเหตุการณ์ 6 ตุลาฯ

ตรงนี้แหละปัญหา… ตรงความเป็น 2516, 2518, 2519 นี่แหละปัญหา
ผมพูดได้ไม่เต็มปากหรอกว่า ศุภวัฒน์ซื่อสัตย์กับบทละครต้นฉบับมากเพียงใด (เพราะไม่เคยอ่านบท และเกิดไม่ทันจะมีโอกาสได้ดูเวอร์ชั่นของยุทธนา) แต่จากที่ดูแล้วผมพบว่า แทบไม่พบการตีความเพิ่มเติมหรือต่อยอดจากบริบทสังคมเมื่อ 36-37 ปีก่อนมากเท่าไรนัก -อาจไม่ใช่สาระสำคัญ- แต่เมื่อทางผู้กำกับและคนเขียนบทของเวอร์ชั่นปี 2554 ได้เชื่อมโยงชิ้นงานของตนเข้ากับเหตุการณ์เมื่อเดือนพฤษภาคม 2553 แต่กลับไม่ได้ดัดแปลงบทละครให้สอดรับหรือต้านค้านกับบริบทสังคมร่วมสมัย ย่อมเป็นสิ่งที่น่าตั้งคำถาม
เรายังพบการ romanticize คนจนในลักษณะที่อีหลักอีเหลื่อพอสมควร ละครเสนอว่าที่คนจนต้องทำอะไรที่ถูกหมายรวมว่าเป็น ‘ความเลว’ (เช่น เสพยา, ปล้นจี้, ขายตัว หรือฆ่าคน) เป็นผลจากการที่ถูกคนที่อยู่ในสถานะทางสังคมเหนือกว่ากดขี่ข่มเหง ซึ่งมันแหลมคมและส่งผลรุนแรงกับผู้ชมได้ในบริบทของต้นฉบับ แต่ไม่ใช่ในปี 2554

ดูเหมือนศุภวัฒน์เองก็จะรู้ว่าการใส่ฉากคนจนถูกย่ำยีบีฑา เหยียดประนามหยามหมิ่น ใน พ.ศ. นี้เป็นอะไรที่ดูเชย ล้าสมัย และไร้พลัง (ลองนึกถึงฉากประเภทเจ้าแม่เงินกู้มาด่าคนสลัมว่า “ก็เพราะแกมันขี้เกียจถึงไม่มีเงินมาใช้หนี้ฉัน” ดูสิครับว่ามัน ‘ละครทีวี’ ขนาดไหน) ระหว่างที่เราดูละครก็ไม่พบฉากทำนองนี้ปรากฏอยู่ในเรื่องเลย ฟังดูเหมือนจะดีที่ละครลดทอนสิ่งที่ล้าสมัยและไม่จำเป็นออกไปเสีย แต่ผลสะท้อนของมันคือกลายเป็นว่า คนจนคนสลัมพวกนี้ก็ก้มหน้าด่าตัวเอง กดตัวเอง ดูถูกตัวเอง มโนไปเองว่าคนอื่นเขามองว่าตัวเองต่ำ dramatize ความยากจนของตัวเองไปเรื่อยๆ จนทุกอย่างเกิดจากการย้ำทัศนคติฝังหัวตัวเองทั้งสิ้น

ด้วยวิธีการเล่าและนำเสนอ กลายเป็นว่าชะตากรรมของตัวละครชาวสลัมทั้งหลายในเรื่องเกิดจากพวกเขาทำตัวเองทั้งสิ้น ไม่ได้เกิดจากปัจจัยภายนอก (อย่างที่ผู้กำกับตั้งใจ) เพราะเมื่อละครอ่อนพลังในการชูประเด็นรายรอบไป ขาดความละเอียดประณีตในทางประเด็นไป มันก็เลยเหลือสารเพียงเท่านี้ที่ส่งมาถึงคนดู เราไม่ได้เห็นอาการง่อยเปลี้ยเสียขาอันเกิดจากสถานะทางสังคมชัดเท่ากับการที่ตัวละครพูดกรอกหูตัวเอง (มีตัวละครถึง 3 ตัวที่มีหน้าที่เพียงแค่เดินเข้าฉากแล้วพูดประเด็นออกมาอย่างทื่อตรง โดยไม่ได้อยู่ในลักษณะ ‘ยั่วให้คิด’ แต่เป็น ‘พูดให้เชื่อ’) แม้กระทั่งฉากที่ตัวละครถูกประหารชีวิต แล้วโยงไปถึงการใช้ มาตรา 17 อันเป็นอำนาจประกาศิตในสังคมเผด็จการทหาร ก็ไม่ได้มีพลังพอที่จะให้เห็นโครงสร้างอำนาจรัฐที่กดทับประชาชน เนื่องด้วยสิ่งที่ตัวละครทำต่อให้ไม่ใช้มาตรานี้จัดการ ก็เข้าข่ายให้ถูกตัดสินประหารชีวิตได้อยู่ดี

พยอม แค้น ศุภวัฒน์ หงษา
พยอม (รับบทโดย เศรษฐินันท์ กนิกาจิรานันท์)

ฟังก์ชั่นของตัวละครไม่ถูกขับเน้นให้เห็นความเป็นมนุษย์มากนัก เพราะดูเหมือนผู้กำกับจะพึงใจกับลักษณะที่ตัวละครเป็นตัวแทนความคิดในจุดยืนต่างๆ มากกว่า (มีเพียงตัวละคร ‘พยอม’ เมียเก่าของพระเอกซึ่งกลายเป็นโสเภณีจีไอเท่านั้นที่ดูเป็นมนุษย์มีเลือดเนื้อในละครเรื่องนี้ ซึ่งไม่ใช่เพียงตัวหนังสือในบทละคร แต่ต้องยกประโยชน์ให้ผู้แสดงที่ตีความตัวละครได้ละเอียดน่ายกย่องด้วย) เราก็จะเห็นแม่จนๆ ที่รู้สึกต่ำต้อยในความจน พระเอกที่เพิ่งออกจากคุกและลืมตาอ้าปากไม่ได้เพราะความจน น้องสาวพระเอกที่ไม่มีอะไรทำเพราะความจนเลยต้องเป็นกะหรี่ตามเพื่อน เพื่อนพระเอกที่มีเงิน มีฐานะขึ้น เพราะขายของเถื่อน ฯลฯ

รวมถึงประเด็นเรื่อง ‘ความแค้น’ (ของชนชั้นล่าง ต่อชนชั้นที่สูงกว่า ซึ่งน่าจะเป็นแกนหลักของเรื่อง) ก็ไม่ได้ถูกเน้นให้เห็นชัดเจนมากไปกว่าบทพูดยาวๆ ใช้ศัพท์ซ้ายๆ การเมืองๆ (ประเภทว่า ‘เงินคือพระเจ้าในโลกทุนนิยม’ อะไรแบบนั้น) ไม่ได้เห็นความคับข้องเคียดแค้น น่าเห็นใจ หรือสภาวะที่ตัวละครต้องแบกรับอยู่ มากไปกว่าการบิลด์ให้ตัวเองแค้นแล้วก็ลงมือกระทำการอันโหดเหี้ยม ก่อนจะใช้ไดอะล็อกต่างๆ มาเป็นเครื่องมือเรียกร้องความน่าสงสารน่าเห็นใจ ซึ่งไม่ได้ผลเท่าที่ควร

บางที scope ของละครอาจดูกลมกล่อมลงตัวกว่านี้ในทางประเด็นตัวบทถ้าไม่พยายามพูดออกนอกเขตสลัมมากนัก และไปขับเน้นอารมณ์ให้ชัดๆ ดีกว่า เช่น เคี่ยวให้เห็นว่าอำนาจรัฐกดขี่ผู้คนอย่างไร ไม่ใช่นำเสนอเพียงบางๆ อย่างที่เป็น เพราะนอกจากตัวละครมากมายในสลัมแล้ว ละครยังพาเราไปให้เห็นทหารไทยปะทะคารมทางอุดมการณ์กับทหารคอมมิวนิสต์ลาวด้วย ซึ่งกลายเป็นว่าประเด็นเรื่องอำนาจรัฐยิ่งเบาบาง แตกกระจาย และไม่แหลมคมมากขึ้นไปอีก ผมลองคิดเล่นๆ ดูว่าทำไมไม่ให้เป็นบทสนทนาของทหารรัฐไทยกับคอมมิวนิสต์ไทยไปเลย เราอาจเห็นมุมที่รัฐกระทำต่อคนในชาติชัดเจนมากขึ้นด้วยซ้ำ และจะช่วยเสริมให้สารของเรื่องแข็งแรงขึ้น น่าคิดตามมากขึ้น (อย่างจุดประสงค์ของละครที่บอกว่าจะ ‘สะท้อนชนชั้น สะท้านอคติ’)

ผมไม่มีสิทธิ์ไปบอกผู้กำกับอยู่แล้วว่า เขาจะต้องคิดหรือเชื่อแบบเดียวกับที่ผมอยากให้เป็น การทำงานศิลปะไม่ได้หมายความว่าจะต้องแหลมคมหรือก้าวหน้า (ในความคิดของคนดู) เสมอไป แต่ข้อกังขาที่เกิดขึ้นกับตัวผมก็คือ ในสภาวะสังคมเช่นนี้ โดยเฉพาะหลังเหตุการณ์รัฐประหาร 2549 (หรือถ้าไกลไป ตีแคบเข้ามาเป็นหลังเหตุการณ์ความรุนแรงในปี 2552 ก็ได้) ผมไม่เชื่อว่าผู้กำกับจะยังเชื่อในชุดความคิดที่ใช้อธิบายสังคมในสมัยปี 2518 และไม่คิดว่าชุดความคิดดังกล่าวจะทาบทับซ้อนสนิทกับสิ่งที่เกิดขึ้นในปี 2553

จากภาพของละครที่เสนอออกมา ผมไม่รู้สึกว่าสิ่งที่สื่อสารออกมานั้นจะต่างกับวาทกรรม ‘โง่ จน เจ็บ’ ที่ระบาดอยู่ในสังคมไทยสักกี่มากน้อย (อีกทั้งวาทกรรมนี้ก็ถูกรื้อสร้าง ตั้งคำถาม นิยามใหม่ จากหลายฝั่งความคิดในปัจจุบัน) และเมื่อผนวกกับความเคลื่อนไหวอันฉับไวของความคิดทางสังคมการเมืองในประเทศไทยปัจจุบัน นั่นทำให้ละครเรื่องนี้ไม่มีพลังและไม่ได้ส่งผลสะท้านสะเทือนใดๆ นอกจากการเป็นเวอร์ชั่นรีเมคของละครดังเมื่อเกือบ 40 ปีก่อน ที่ถูกแช่แข็งอยู่เช่นนั้นในฐานะหลักฐานทางประวัติศาสตร์ มากกว่าที่จะเป็นบทวิพากษ์สังคมร่วมสมัยที่แหลมคม พลังของงานศิลปะทั้งการทำหน้าที่สะท้อนและสะท้านผู้ชมจึงไม่ได้ทำหน้าที่ เมื่อคำถามในละครนั้นตามหลังคำถามในโลกแห่งความเป็นจริงอยู่หลายก้าว

หากจะตอบคำถามที่ว่า “ทำไมคนจนถึงต้องทำแบบนั้น” ด้วยคำตอบแบบที่ ‘แค้น’ เสนอ ก็ไม่ใช่การอธิบายสถานการณ์ที่ทันสมัยเอาเสียเลย คำตอบทำนองว่า “เพราะคนจนถูกสถานภาพทางสังคมและอำนาจรัฐกดทับ ไม่เอื้อให้เขาลืมตาอ้าปากได้ในโครงสร้างสังคมไทยที่เป็นเช่นนี้” ได้กระจายไปทั่วสังคมไทยมานานแล้ว และคำตอบนี้ไม่ใช่ผลที่น่าพึงพอใจสำหรับคนที่ยังคงมีคำถามอยู่ ปัจจุบันคำถามที่ร่วมสมัยในประเด็นนี้คือ “การที่เราจนอยู่อย่างนี้ เป็นผลจากอะไร หรือจากใคร และใครเป็นผู้กำหนดโครงสร้างที่กดทับเราเช่นนี้” ต่างหาก

การพูดถึงเหตุการณ์ในอดีต ไม่ได้เป็นตัวบีบบังคับว่าเราจะต้องตั้งคำถามที่เป็นอดีตไปด้วย เรานำอดีตมาวิพากษ์ปัจจุบันได้ ใช้เป็นเครื่องมือในการตอบคำถามที่เป็นปัจจุบันได้ น่าสงสัยว่าที่ศุภวัฒน์ไม่ทำเช่นนี้เพราะเขาเชื่อจริงๆ ว่าเราสามารถใช้ชุดความคิดแบบ 37 ปีก่อนมาอธิบายปัจจุบันได้ หรือเพราะคำอธิบายของปี 2554 มันเป็นคำตอบที่นำมาใส่ในละครเวทีไม่ได้กันแน่?


[วิดีโอการแสดงทั้งเรื่อง, วันที่ 5 ตุลาคม 2554, มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์]

/////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันอังคารที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2554

วิษณุ.เล่าเรื่องน้ำทิพย์จาก 'ฟ้า' ซับน้ำตา ปู.. วันไร้คุณสมบัติผู้นำ !!?

ที่มา : มติชนรายวัน ฉบับวันที่ 18 ตุลาคม 2554



"..พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีพระมหากรุณาต่อรัฐบาลทุกรัฐบาลเท่าเทียมกัน ในความหมายที่ว่าต้องการให้ท่านช่วยอะไร ท่านช่วยเสมอเหมือนกัน และไม่ต้องไปดูว่าพรรคไหน ใคร มาจากไหน เรื่องอย่างนี้คนอย่างคุณทักษิณรู้แก่ใจ คนอย่างคุณบรรหาร คุณชวน พล.อ.ชวลิตรู้อยู่แก่ใจทั้งหมดว่าหากไม่ได้พระมหากรุณา รัฐบาลจะเป็นอย่างไร..."

"ในแวดวงการเมือง รักใครอย่ารักจนหมดหัวใจ และเกลียดใครก็อย่าเกลียดเขาจนหมด ทุกคนมีทั้งข้อดีและข้อเสียทั้งนั้น"

คือคำแนะนำถึงคนดู-คนฟัง-คนติดตามการเมือง ที่หลุดจากปากบุรุษผู้เคยอยุู่ทั้ง "เบื้องหน้า" และ "เบื้องหลัง" ม่านการเมือง

เคยสัมผัสบุคคลระดับ "เบื้องบน" และ "เบื้องล่าง"

จนสามารถเก็บรายละเอียด-ข้อเท็จจริง-บทสนทนาประวัติศาสตร์ ก่อนถ่ายทอด "เบื้องลึก" ในทุกแง่มุมผ่านหนังสือ "เรื่องเล่าจากเนติบริกร"

แม้ "วิษณุ เครืองาม" อดีตรองนายกรัฐมนตรี และอดีตเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (ครม.) จะไม่เคยร่วมงานกับ "นายกฯหญิง" นาม "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร"

แต่ประสบการณ์รับใช้ 7 นายกฯ 10 รัฐบาล ทำให้เขาอดติดตามลีลา-ท่วงท่าของ "นักแสดงนำ" บนเวทีการเมืองไม่ได้

"วิษณุ" เปิดปากรับสารภาพว่า รู้สึกเข้าใจ-เห็นใจ "ยิ่งลักษณ์" ที่ต้องขึ้นเป็น "นายกฯ คนที่ 28" ทั้งที่ไม่มีประสบการณ์ทางการเมือง

มิหนำซ้ำ เข้ามาไม่ทันไร ก็ต้องรับมือกับอุทกภัยครั้งรุนแรงที่สุดของประวัติศาสตร์ชาติไทย

"ถ้าจะให้ประเมิน ให้มอง อย่างไรเสียมันก็ดีไปไม่ได้หรอก ต้องให้เวลาหน่อย แต่ถ้าให้มองเฉพาะตัวคุณยิ่งลักษณ์คนเดียว เรื่องการปฏิบัติการในขีดความสามารถที่จำกัด หรือที่มีอยู่ ท่านทำได้ดีพอสมควร หรือเกินกว่าที่ผมคิดเอาไว้เยอะเลย ผมยังนึกว่าถ้าน้ำซัดมาตูมแรก คุณยิ่งลักษณ์คงนั่งร้องไห้ 7 วัน บังเอิญแกร้องอยู่วันเดียวแล้วจบ จากนั้นก็ก้มหน้าก้มตาทำงาน ใครแนะอะไรก็ทำ แต่บังเอิญคนแนะมันมีหลายคน แนะคนละอย่าง แกเลยทำอะไรไม่ถูก ก็ได้ทำไปดีเท่าที่คนคนหนึ่งจะพึงทำได้ในเวลาอันจำกัด และขีดความสามารถอันจำกัด ถ้าเป็นคนอื่น เขาอาจทำได้ดีกว่านี้ หรือถ้าเป็นคนอื่นแล้วดันทำได้เหมือนคุณยิ่งลักษณ์ ต้องโดนตำหนิมากแน่เพราะคุณเจนเวที นี่เขาทำได้แค่นี้ ผมถึงได้ให้คะแนนด้วยความเห็นใจ"

คือเสียงเชียร์จาก "วิษณุ" หลังสลัดบท "เนติบริกร" แล้วมานั่งชมละครการเมืองในฐานะ "คนดู" มาได้ 5 ปีแล้ว

ไม่ว่า "ยิ่งลักษณ์" จะแสดงดี-มีเรตติ้งหรือไม่ แต่ "วิษณุ" ยอมคารวะให้ในฐานะที่ "เธอ" คือ "ผู้นำ"

"เมืองไทยเราเสียอย่าง ใครเป็นผู้นำ เราไม่เรสเปก (เคารพนับถือ) มีแต่จะเหยียบย่ำทำลาย หรือเหยียดหยาม ซึ่งมันผิดทั้งมารยาทและผิดวัฒนธรรมไทย"

ในภาวะวิกฤตธรรมชาติ ผู้นำแบบไหนจะสามารถนำพาประเทศให้ก้าวพ้นภัยได้?

เขาบอกว่า นิยาม "ผู้นำ" ที่ง่ายที่สุดคือคนที่คนเขายอมตาม ใครที่ขึ้นมาแล้วคนไม่ยอมตาม แปลว่าคนคนนั้นสักแต่ว่าเป็นผู้นำเพราะมีคนตั้งให้เป็น แต่เมื่อคนไม่ตาม คุณก็นำใครไม่ได้ วัวก็เป็นผู้นำได้ ถ้าฝูงโคยอมตาม แต่ถ้าผู้นำโคจะเลี้ยวซ้าย ฝูงโคจะเลี้ยวขวา หัวหน้าโคก็นำไม่ได้ฉันใด ผู้นำจึงต้องยอมทำให้คนตามฉันนั้น เราจะเห็นเทคนิคของผู้นำหลากหลาย บางคนใช้เงินเพื่อจะให้คนตาม บางคนใช้สติปัญญา บางคนใช้ความกล้า บางคนใช้คุณธรรม ดังนั้น สไตล์ใคร ศักยภาพของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน

"หากใช้สไตล์คนอื่นมาเทียบกับคุณยิ่งลักษณ์ ก็เป็นการไม่ยุติธรรม ต้องใช้ที่คุณยิ่งลักษณ์เองว่าสามารถทำให้คนตามได้หรือไม่ ผ่านมา 2 เดือนเศษ ผมมองว่ายังไม่เต็มที่ ซึ่งอาจเป็นเพราะคนยังมองว่าเหนือคุณยิ่งลักษณ์มีคนอื่น ถ้าจะตามคือตามคนอื่นดูจะถูกเป้า และตรงประเด็นกว่า แต่คุณยิ่งลักษณ์เองก็พยายามอย่างเต็มที่ที่จะสร้างภาวะผู้นำของตัวขึ้นมา เท่าที่เห็นและเท่าที่ผมทราบมา มีหลายเรื่องที่ใครจะว่ายังไงก็ตาม แต่คุณยิ่งลักษณ์คิดว่าจะเป็นอย่างนี้ แล้วแกก็ชนะด้วย แกก็ได้ด้วย"

อดีตเสนาธิการ ครม.ชี้ว่าคุณสมบัติที่ "ผู้นำ" พึงมี-พึงเป็น มีอย่างน้อย 4 ประการ

1.มีเวลาในการทำงาน แต่ของไทยอยู่ 3 เดือน 6 เดือน เดี๋ยวก็ยุบสภา เดี๋ยวก็ลาออก ทำอะไรยังไม่ทันเห็นผลสำเร็จก็ไปแล้ว "พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร" อดีตนายกรัฐมนตรี ได้เปรียบเพราะเป็นผู้นำคนแรกที่อยู่ครบเทอม 4 ปี ชนิดไม่มีรัฐบาลไหนเสมอเหมือน จึงได้ประโยชน์จากเวลา

2.มีเสนาคือ มีลูกมือเอาไว้คอยช่วยงาน ผู้นำที่เก่งคนเดียว คิดคนเดียว เหนื่อยคนเดียว ก็บ้าอยู่คนเดียว นายกฯไทยหลายคนคิดแล้วไม่มีคนเอาไปทำต่อ แต่หลายคนคิดแล้วมีคนเอาไปทำต่อ อย่าง "พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์" ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ มีบุญตรงนี้ พอคิดก็จะมีคนเอาไปทำต่อ ถ้าเศรษฐกิจ "เสนาะ อูนากูล" เอาไปทำต่อ ถ้ากฎหมาย "มีชัย ฤชุพันธ์" เอาไปทำต่อ การเมืองมีอีกคนเอาไปทำต่อ ดังนั้น ไม่ต้องคิดจนจบ คิดสัก 2 ประโยค ก็จะมีคนมาต่อให้ 3, 4, 5

3.มีวิสัยทัศน์ ซึ่งต้องยกให้ "พ.ต.ท.ทักษิณ" ที่เห็นอะไรนิดเดียว คิดไปคืบหนึ่ง พอเห็นคืบ คิดไปศอก

4.มีธรรมะ ซึ่งผู้นำไทยหาไม่ค่อยเห็นในเรื่องนี้

"ถ้าผู้นำมีสิ่งเหล่านี้จะประสบความสำเร็จได้ง่าย จริงๆ นายกฯอย่างคุณชวน (หลีกภัย) คุณบรรหาร (ศิลปอาชา) คุณทักษิณ (ชินวัตร) ก็มีสิ่งเหล่านี้ แต่อาจจะยังไม่ครบ แต่คุณยิ่งลักษณ์อาจยังไม่มีเลยสักข้อ ก็ต้องใช้เวลาสร้างขึ้นมาให้ได้ ทำอย่างไรจะให้มีครบทุกข้อ หรือไม่ครบ แต่ทำได้สัก 2 ใน 4 ก็จะเป็นผู้นำที่นั่งอยู่ในใจคนได้"

นอกจาก "คุณสมบัติเฉพาะตัว" ซึ่งเป็นเรื่องที่ "ผู้นำ" แต่ละคนต้องสร้าง-สั่งสมขึ้นเองแล้ว หลายครั้งเมื่อต้องเผชิญวิกฤต พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงประทานกำลังใจให้รัฐบาล ดุจ "น้ำทิพย์ชโลมใจ"

ทว่าในช่วงที่ผ่านมาพระบรมราโชวาท พระราชดำรัส ที่รับสั่งกับคณะบุคคลต่างๆ มักถูกนำไปแปลความเข้าข้างตนเอง โดย "สุรเกียรติ์ เสถียรไทย" อดีตรองนายกฯ ใช้คำว่า "รู้สึกว่าเจ้านายท่านไม่กลับรับสั่งอะไรแล้ว?"

ในฐานะที่เคยทำงานใกล้ชิดราชสำนัก มีโอกาสเข้าเฝ้าฯพร้อมนายกฯหลายคน "วิษณุ" กล่าวยืนยันว่า "พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีพระมหากรุณาต่อรัฐบาลทุกรัฐบาลเท่าเทียมกัน ในความหมายที่ว่าต้องการให้ท่านช่วยอะไร ท่านช่วยเสมอเหมือนกัน และไม่ต้องไปดูว่าพรรคไหน ใคร มาจากไหน เรื่องอย่างนี้คนอย่างคุณทักษิณรู้แก่ใจ คนอย่างคุณบรรหาร คุณชวน พล.อ.ชวลิตรู้อยู่แก่ใจทั้งหมดว่าหากไม่ได้พระมหากรุณา รัฐบาลจะเป็นอย่างไร และในฐานะที่ท่านเป็นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เป็นผู้นำ ท่านมีอำนาจที่เราเปิดไม่เจอในรัฐธรรมนูญ แต่เขาพูดกันมาตั้งแต่โบราณ พูดมาตั้งแต่อังกฤษว่าพระมหากษัตริย์แม้จะอยู่ในระบอบประชาธิปไตย แต่ก็มีอำนาจตักเตือนรัฐบาล มีอำนาจจะให้กำลังใจรัฐบาล มีอำนาจจะแนะนำรัฐบาล เป็นอำนาจ ไม่ใช่หน้าที่ ดังนั้น ถ้าจะมาบอกว่าอ้าว! ทำไมไม่เห็นทรงแนะนำเลย ก็มันไม่ใช่หน้าที่ท่าน เมื่อเป็นอำนาจ ท่านจะทรงใช้ก็ได้ ไม่ใช้ก็ได้ ทางที่ดีเนี่ย รัฐบาลขอพระราชทานให้ทรงใช้อำนาจเสียเองสิ ถ้าไม่ขอ ท่านก็ไม่พูด เพราะเมื่อพูดไปแล้วก็ไม่รู้ใครจะเอาไปทำตามหรือเปล่า นายกฯหลายคนกล้ากราบบังคมทูลฯขอ แล้วได้รับสิ่งดีๆ กลับคืนมาทั้งนั้น"

ไม่ว่าจะเป็น "บรรหาร" ที่ก้มลงกราบพระบาท เมื่อได้เข้าเฝ้าฯ หลังมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นนายกฯ ในปี 2538 โดยบอกว่า "ข้าพเจ้าเกิดมาไม่เคยเป็นนายกฯ ข้าพเจ้าหนักใจเหลือเกินว่าจะไม่สามารถจัดการปกครองบ้านเมืองให้ดีได้ กลัวเหลือเกิน ไม่มั่นใจ" ท่านรับสั่งเลยว่า "ไม่ต้องคิดอะไรมาก คุณบรรหารทำสุพรรณบุรีได้ คุณบรรหารก็ทำกรุงเทพฯได้ คุณบรรหารทำกรุงเทพฯได้ ก็ทำประเทศไทยได้ ช่วยทำกับประเทศไทยเหมือนที่ทำกับสุพรรณฯน่ะพอแล้ว" แค่นี้ชื่นใจแล้ว

หรือในรัฐบาล "พล.อ.ชวลิต" ซึ่งเกิดเรื่องใหญ่ จะรบกับประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งรัฐบาลคิดว่าควรจะลงพระปรมาภิไธย พอถวายขึ้นไป รับสั่งว่านายกฯ กลับเมื่อไรให้มาพบ จากนั้นเมื่อนายกฯได้เข้าเฝ้าฯ หายไป 2 ชั่วโมง

"พอกลับออกมาทุกคนรุมถามท่านว่าทรงลงพระปรมาภิไธยหรือไม่ พล.อ.ชวลิตถือกระดาษเปล่าออกมา บอกว่าไม่ทรงลง แต่พระราชทานสิ่งที่ดีกว่านั้น เอาไปทำกันเถอะ แล้วก็มาจัดการทำกัน หายไป 1-2 เดือน วิกฤตการณ์ผ่านไปโดยเรียบร้อย ไม่มีเหตุเภทภัยใดๆ เกิดขึ้น พล.อ.ชวลิตจึงลงมือร่างหนังสือด้วยตนเอง กราบบังคมทูลฯว่า "ถ้าไม่ได้อาศัยพระมหากรุณาธิคุณ เหตุเภทภัยจะเกิดขึ้นกับประเทศชาติ ด้วยอาศัยพระมหากรุณาธิคุณในวันนั้น ภยันตรายจึงผ่านพ้นไปด้วยดี" ในเวลาต่อมาเมื่อนายกฯไปเฝ้าฯ ท่านทรงถือจดหมายนั้นแล้วถามว่าท่านนายกฯคิดอย่างนี้จริงๆ หรือ พล.อ.ชวลิตบอกว่าคิดอย่างนั้นจริงๆ ก็ทรงพระสรวลอย่างพอพระทัย

"ดังนั้น คนเป็นรัฐบาล ถ้าขอพระมหากรุณาก็จะได้มหากรุณา ในช่วง 3-4 วันนี้ เห็นภาพข่าวหนังสือพิมพ์ นายกฯยิ่งลักษณ์ก็ไปเข้าเฝ้าฯ ขอประทานพระราชกระแสเรื่องน้ำท่วม ก็กลับออกมาก็อิ่มเอิบยิ้มแย้มแจ่มใส รู้แล้วว่าควรต้องทำอย่างไร เรื่องอย่างนี้เวลาจะทรงแนะนำอะไร จะจบด้วยประโยคหนึ่งเสมอว่า "ก็แนะไปอย่างนั้น แต่เอาไปคิดดู ถ้าคิดว่าไม่ถูกก็ไม่ต้องทำตามนะ และถ้าคิดว่ามันไม่ถูกก็ช่วยมาบอกหน่อย คราวต่อไปฉันจะได้แก้ไขเสียใหม่ แต่ถ้าคิดว่าดีก็ลองทำเถิด" นี่คือพระเจ้าแผ่นดินในระบอบประชาธิปไตยครับ"

ท้ายที่สุดก่อนรูดม่านบนเวทีสนทนา "วิษณุ" ถูกถามถึงโอกาสหวนคืนเวทีทางการเมืองอีกครั้ง?

"คงได้เห็นผมบนเวทีที่มานั่งคุยเรื่องหนังสือ มานั่งเซ็นหนังสือแน่ เพราะเขียนไว้อีกหลายเล่ม ส่วนเวทีการเมืองนั้น ผมไม่ได้คิดอยากจะเข้าไปตั้งแต่ต้น แต่มีความจำเป็นต้องเข้าไป และเมื่อออกมาแล้วยังจะดันดิ้นรนกลับเข้าไป โดยไม่ได้มีความจำเป็นอีกเนี่ย ผมก็ไม่รู้จะหาเรื่องไปทำไม ทุกวันนี้ก็สบายดีอยู่แล้ว"

เป็นคำตอบที่ชัดเจนว่า "วิษณุ" ไม่สนใจรับบท "เนติบริกร" ให้รัฐบาลไหน เว้นแต่ "มีความจำเป็น"!!!

ที่มา - ส่วนหนึ่งของเนื้อหาบนเวทีเสวนาในงานมหกรรมหนังสือระดับชาติ ครั้งที่ 16 หัวข้อ "เรื่องเล่าจากเนติบริกร : ความลับและความจริงในทำเนียบที่ยังไม่เคยเปิดเผยมาก่อน" ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์
////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

บูรณาการน้ำท่วม..การเมืองน้ำเน่า+ราชการล้าหลัง !!?

ครั้งที่น้ำท่วมใหญ่ในปี 2553 ซึ่งเริ่มต้นที่ภาคอีสานและตาม มาด้วยภาคใต้ โดยเฉพาะที่อำเภอหาดใหญ่ ในสมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หลายฝ่ายระบุว่าเป็นอุทกภัยที่หนักที่สุดในรอบหลายสิบปี เนื่อง จากฝนตกหนักในหลายพื้นที่ตั้งแต่เดือนตุลาคมถึงพฤศจิกายน สถานการณ์ครั้งนั้นคลี่คลาย เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2553

กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทย ระบุว่า พื้นที่ประสบอุทกภัยในปี 2553 ในภาคอีสานมีทั้งสิ้น 39 จังหวัด 425 อำเภอ 3,098 ตำบล 26,226 หมู่บ้าน ราษฎรได้รับความเดือดร้อน 2 ล้านครัวเรือน 7 ล้านคน พื้นที่การเกษตรคาดว่าจะได้รับความเสียหายกว่า 7.7 ล้านไร่ มีผู้เสียชีวิตทั้งหมด 180 ราย

ส่วนภาคใต้มีจังหวัดประสบภัยทั้งสิ้น 12 จังหวัด 133 อำเภอ 874 ตำบล 6,197 หมู่บ้าน ราษฎรได้รับความเดือดร้อน 600,000 ครัวเรือน เกือบ 2 ล้านคน มีผู้เสียชีวิตทั้งสิ้น 80 คน

“อภิสิทธิ์” ใช้เงินกว่า 40,000 ล้าน

ปี 2553 รัฐบาลนายอภิสิทธิ์มีมติเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมออกมาจากการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) 42 นัด และปี 2554 รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ประชุม ครม. ทั้งสิ้น 24 ครั้ง ใช้งบกลางฉุกเฉินช่วยเหลือผู้ประสบภัยไปกว่า 40,000 ล้านบาท โดยใช้งบกลางของปี 2554 ช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมทั้งสิ้นประมาณ 28,000 ล้านบาท แยกเป็นช่วยเหลือภาคการเกษตรผ่านธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) 20,000 ล้านบาท และช่วยเหลือผู้ประสบภัยครัวเรือนละ 5,000 บาท จำนวน 8,000 ล้านบาท ผ่านธนาคารออมสิน ไม่รวมงบที่ส่วนราชการอื่นๆให้ความช่วยเหลือ และการเบิกจ่ายเงินทดรองจากกรมบัญชีกลางงบประมาณปี 2554 รวม 16,128 ล้านบาท

ทุกครั้งที่เกิดน้ำท่วมรัฐบาลจะถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าแก้ปัญหาช้า ไม่มีประสิทธิภาพและไม่ทั่วถึง โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ทั้งส่วนกลางและในพื้นที่ยังทำงานลักษณะต่างคนต่างทำ แม้แต่นายอภิสิทธิ์ยังถูกนำมา เปรียบเทียบกับนายสรยุทธ สุทัศนะจินดา พิธีกรข่าว ทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 3 ที่กลายเป็นขวัญใจผู้เดือด ร้อนจากน้ำท่วม และน่าจะเป็นนายกรัฐมนตรีมากกว่า

ขณะที่นายสมิทธ ธรรมสโรช ประธานกรรมการมูลนิธิสภาเตือนภัยพิบัติแห่งชาติ และอดีตอธิบดีกรมอุตุนิยมวิทยา กล่าวถึงปัญหาอุทกภัยที่รุนแรงในปี 2553 ว่าเกิดจากภาครัฐไม่มีนโยบายการเตือนภัยธรรมชาติที่ชัดเจน ทำให้หน่วยงานต่างๆไม่สนใจ หรือขาดการประสานงานกัน ทั้งที่มีข้อมูลทำนายล่วงหน้านับเดือนแต่กลับไม่นำไปใช้

“การเตือนภัยธรรมชาติหลักๆต้องมี 3 อย่างด้วยกันคือ ข้อมูลผู้ที่นำข้อมูลนี้ไปใช้ในการปฏิบัติและการเตือนภัย แต่ปัญหาคือต่างคนต่างทำ สุดท้ายก็ไม่เกิดประโยชน์อะไรขึ้นมา กรมอุตุนิยม วิทยาเตือนภัยมาแล้ว 20 กว่าฉบับ มีการบอกถึงขั้นฝนจะตกหนักตรงนั้นตรงนี้ ปริมาณแบบนี้จะทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน ถ้าคนที่ได้รับการเตือนถือไปปฏิบัติตาม เอาไปบอกผู้บริหารท้องถิ่นให้มีคำสั่งอพยพ หรือหาทางป้องกัน หากระสอบทราย ขุดลอกหนองบึงให้ทางน้ำไหลได้คล่อง รวมทั้งเตือนประชาชนให้ยกของไว้ล่วงหน้า หรือเตรียมอาหารกักตุนไว้ ความเสียหายก็จะน้อยลง”

ปี 54 น้ำท่วมรุนแรงในรอบ 100 ปี

แต่เมื่อเปรียบเทียบกับปัญหาอุทกภัยในรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ขณะนี้ทุกฝ่ายเห็นสอดคล้องกันว่ารุนแรงกว่าปี 2553 และถือเป็น วิกฤตน้ำท่วมที่หนักที่สุดในรอบ 50-100 ปี จากข้อมูลของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (วันที่ 11 ตุลาคม 2554) ระบุว่ามีจังหวัดที่ได้รับผลกระทบในภาคเหนือ ภาคอีสาน และภาคกลางรวม 60 จังหวัด 592 อําเภอ 4,246 ตําบล ประชาชนเดือดร้อนกว่า 2.4 ล้านครัวเรือน คิดเป็นจำนวนประชาชนกว่า 8.2 ล้านคน และเสียชีวิต 269 ราย

การแก้ปัญหาระยะแรกรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ก็ถูกโจมตีว่าล่าช้าและไม่มีประสิทธิภาพเช่นกัน แม้ทุกฝ่ายจะยอมรับว่าน้ำท่วมครั้งนี้รุนแรงและมาเร็วจนตั้งตัวไม่ทัน โดยเฉพาะปริมาณน้ำทุกเขื่อนล้นจนต้องระบายออก แต่กว่ารัฐบาลจะตั้งตัวติดโดยการตั้งศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (ศปภ.) ที่มี พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รัฐมนตรีว่า การกระทรวงยุติธรรม เป็นประธาน ถูกมองว่า “ช้าไป” หลังจากเกิดอุทกภัยมาแล้วถึง 1 เดือนเต็มๆ

“บางระกำ” ดีแต่โม้?

ที่สำคัญ น.ส.ยิ่งลักษณ์และเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้องประเมินภาวะน้ำ ทั้งปริมาณฝนที่ตกอย่างต่อเนื่อง และปริมาณน้ำในเขื่อนผิดพลาด ระยะแรกเหมือนรัฐบาลวิ่งตามปัญหาไม่ทันแล้ว ระยะหลังยังถูกปริมาณน้ำจำนวนมหาศาลถล่มในทุกจังหวัด โดยเฉพาะความประมาทของเจ้าหน้าที่รัฐทั้งในส่วนกลางและในพื้นที่ เขื่อนและคันกั้นน้ำหลายแห่งจึงพังทลาย จนหลายจังหวัดได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง ซึ่งไม่เคยปรากฏมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นนครสวรรค์ ลพบุรี พระนครศรีอยุธยา ชัยนาท อ่างทอง สิงห์บุรี ปทุมธานี นนทบุรี และกรุงเทพฯ ที่ต้องทำทุกวิธีเพื่อป้องกันไม่ให้น้ำท่วม แม้แต่การทำพิธีไล่น้ำหรือไล่เรือ

แต่ที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ผิดพลาดชัดเจนคือการมองปัญหาไม่ทะลุและหวังผลทางการเมืองมากเกินไป นั่นคือ “บางระกำโมเดล” บางระกำคือ 1 ใน 9 อำเภอของจังหวัดพิษณุโลกที่เป็นแหล่งรับน้ำจากแม่น้ำน่าน ยม และปิงบางส่วน ซึ่งทุกปีน้ำต้องท่วมอยู่แล้ว รัฐบาลจึงชูแผนต้นแบบที่จะแก้ปัญหาอย่างถาวร ทำให้กองทัพ สื่อมวลชน และหน่วยงานต่างๆกรูกันไปที่บางระกำ ทั้งที่ขณะนั้นน้ำยังท่วมหนัก แม้แต่ภาคประชาชนก็เปิดศูนย์ช่วยเหลือผู้ประสบภัย แต่น้ำก็ยังท่วมเหมือนเดิม เพราะรัฐบาลเองไม่มีแผนดำเนินการที่ชัดเจน และไม่ใช่การแก้ปัญหาได้ทันที แต่ต้องศึกษาก่อน

“บางระกำโมเดล” จึงทำให้รัฐบาลถูกตอกย้ำ จากฝ่ายค้านทันทีว่า “ดีแต่โม้” ทั้งยังเกิดวิวาทะระหว่างภาคประชาชนกับหน่วยงานรัฐในพื้นที่อีกด้วย เพราะกระทรวง ทบวง กรม ต่างเสนอนโยบาย และแผนงานแก้ปัญหาแบบรายวัน ขณะที่ประชาชนในพื้นที่ต่างคาดหวังว่าจะได้รับความช่วยเหลือจากรัฐบาลมากมาย และความเดือดร้อนจะได้รับการแก้ไข ทั้งที่ทั้งหมดเป็นแผนระยะยาว แต่รัฐบาลกลับพูดโดยไม่ได้คิดให้รอบคอบ

ข้าราชการล้าหลัง

ที่สำคัญ 2 เดือนที่ผ่านมาเห็นได้ชัดเจนว่า การทำงานของข้าราชการยังทำแบบของใครของมัน ไม่มีการประสานกันเหมือนที่ผ่านมาทุกครั้ง ทุกอย่างต้องรอ “เจ้านายสั่ง” จึงเป็นที่มาของการตั้ง ศปภ. ที่ต้องการระดมการแก้ปัญหาน้ำท่วมในระยะสั้น ไม่ใช่การแก้ไขปัญหาในระยะยาวอย่างยั่งยืนเป็นรูปธรรม ซึ่งหลายฝ่ายเรียกร้องให้รัฐบาลประกาศการแก้ปัญหาน้ำท่วม น้ำแล้ง เป็น “วาระแห่งชาติ” เพื่อให้มีหน่วยงานและงบประมาณชัดเจน เพราะปัญหาอุทกภัยเป็นปัญหาซ้ำซากและซับซ้อนที่เกิดขึ้นทุกปี และแต่ละปีต้องเสียเงินงบประมาณนับหมื่นล้านบาท จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะให้ข้าราชการเป็นแกนนำในการแก้ปัญหา

ส่วนรัฐบาลทำได้เพียงแก้ปัญหาเฉพาะหน้า อย่าง น.ส.ยิ่งลักษณ์ที่โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊คส่วนตัวหลังจากการประชุมวิดีโอคอนเฟอเรนซ์กับข้าราชการทุกฝ่ายเมื่อวันที่ 4 ตุลาคมที่ผ่านมา โดยเน้นนโยบายเชิงปฏิบัติการให้เห็นผลทันที 9 มาตรการ ซึ่งเป็นแค่นโยบายกว้างๆ ไม่ว่าจะเป็นการเร่งระบายน้ำที่ท่วมออกทะเลให้หมดโดยเร็วที่สุด การบริหารทางเทคนิคอย่างมีประสิทธิภาพ การให้กองทัพเข้ามาช่วยเหลือประชาชน การให้ข้อมูลข่าวสารตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริง การรักษาเขตตัวเมืองให้แข็งแรง ให้กรมชลประทานขุดลอกคันกั้นน้ำ และให้ภาคเอกชนมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการน้ำ โดยให้จังหวัดตั้งคณะกรรมการระดับจังหวัด โดยมีชุมชนทุกภาคส่วนและตัวแทนส่วนราชการระดับท้องถิ่นร่วมแก้ปัญหาอย่างเป็นรูปธรรมและเกิดผลในทางปฏิบัติทันที

“มือใหม่” แก้วิกฤตไม่ได้

แม้อุทกภัยน้ำท่วมครั้งนี้จะหนักหนาสาหัสและสร้างความเสียหายอย่างกว้างขวางกว่าค่อนประเทศ เพราะไม่ใช่แค่พื้นที่การเกษตร แต่ยังถล่มนิคมอุตสาหกรรมขนาดใหญ่อย่างน้อย 2 แห่ง ทำให้เสียหายนับแสนล้านบาท นอกจากนี้ยังทำให้คนว่างงานอีกนับแสน ซึ่งกว่าอุตสาหกรรมต่างๆจะกลับมาดำเนินการได้เหมือนเดิมต้องใช้เวลาฟื้นฟูอย่างน้อย 3-4 เดือนหลังน้ำลด ภาพรวมเศรษฐกิจปีนี้จึงลดลงอย่างแน่นอน

ส่วน น.ส.ยิ่งลักษณ์ที่เข้ามาทำงานได้ไม่ทันครบ 2 เดือน ถือเป็นความโชคร้ายอย่างมากที่ต้องแบกภาระอุทกภัยที่รุนแรงที่สุดในรอบ 100 ปี แต่จะอ้างว่าเป็น “มือใหม่” ไม่ได้ เพราะประชาชนหลายล้านคนต้องการความช่วยเหลือจากรัฐบาล

อย่างไรก็ตาม การแก้ไขปัญหาแบบบูรณาการตามนโยบาย 2P2R ที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ต้องการให้ทำงานแบบจุดเดียวเบ็ดเสร็จ (One Stop Service) โดยให้มีเจ้าภาพรับผิดชอบชัดเจนในแต่ละขั้นตอน และทำงานแบบบูรณาการรวม เพื่อให้มีความคล่องตัวและรวดเร็ว โดย P แรกคือ Preparation การเตรียมการ P สอง Prevention การป้องกันล่วงหน้า R แรก Response การเผชิญเหตุ และ R สุดท้าย Recovery การฟื้นฟู ยังเป็นแค่วาทกรรมที่ดูสวยหรูและถูกโจมตีว่า “ดีแต่โม้” รัฐบาลยังทำได้แค่วิ่งไล่ตามปัญหา เช่นเดียวกับข้าราชการในแต่ละพื้นที่ก็ทำได้แต่ตั้งรับ อีกทั้งบางพื้นที่ยังประมาทและประเมินสถานการณ์ผิดพลาดอย่างมากอีกด้วย

ในข้อเท็จจริงสถานการณ์น้ำท่วมเกือบทุกพื้นที่ขณะนี้เป็นการแก้ปัญหาแบบ “อัตตาหิ อัตตโน นาโถ” มากกว่า ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ หรือประชาชนที่ต้องช่วยเหลือตัวเองก่อนเป็นอันดับแรก เพราะพื้นที่น้ำท่วมรุนแรงและกว้างมาก แม้แต่นิคมอุตสาหกรรมโรจนะที่มีความพร้อมทั้งเงินและคนยังไม่สามารถรับมือได้

น.ส.ยิ่งลักษณ์จึงต้องยอมรับความจริงว่าการแก้ปัญหาน้ำท่วมครั้งนี้ทำได้ดีที่สุดคือทำให้ประชาชนเดือดร้อนน้อยที่สุด และเข้าถึงประชาชนในทุกพื้นที่ให้มากที่สุด ไม่ใช่ทำให้ประชาชนรู้สึกว่ารัฐบาลปกป้องเฉพาะพื้นที่เศรษฐกิจ โดยเฉพาะกรุงเทพฯ เพราะประชาชนทุกคนมีความเดือดร้อนและทนทุกข์แสนสาหัส ไม่ใช่แค่บ้านเรือนและทรัพย์ สินเสียหาย แม้แต่ที่นอนยังแทบไม่มี บางคนไม่มีอะไรจะกิน เพราะการช่วยเหลือเข้าไปไม่ถึง

ไร้บูรณาการ

แม้แต่นายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษากฎหมาย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งประชุมทีมยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทยเพื่อหารือถึงแนวทางการแก้ปัญหาน้ำท่วมยังเห็นว่าการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมนั้น น.ส.ยิ่งลักษณ์ต้องบูรณาการทุกหน่วยงานให้ทำงานร่วมกัน และต้องบอกถึงสถานการณ์น้ำท่วมให้ประชาชนรับรู้ข้อมูลความจริง ไม่กั๊กข้อมูล แม้จะทำให้รู้สึกเจ็บปวดก็ตาม เพื่อเป็นการแนะนำหรือเตือนประชาชนในพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมให้เตรียมพร้อมรับมือได้ทันท่วงที รวมถึงในพื้นที่กรุงเทพฯด้วย

นายนพดลยังตั้งข้อสงสัยว่าเหตุใดการแก้ปัญหาไม่เป็นระบบ และปล่อยให้ปัญหายืดเยื้อ รัฐมนตรีแต่ละกระทรวงไม่ได้รับความร่วมมือจากข้าราชการอย่างเต็มที่ รวมถึงช่วงแรกไม่ได้รับความร่วมมือจากกองทัพและกรุงเทพฯเท่าที่ควร การทำหน้าที่ของนายกรัฐมนตรีวันนี้ต้องยอมรับว่ายังไม่ดีเท่าที่ควร

ส่วน พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีไม่จำเป็นต้องสั่งให้รัฐมนตรีไปนอนกับชาวบ้าน เพราะได้แค่ภาพบนเรือ ตกน้ำตกท่ากันแล้วก็รีบกลับ ไม่เห็นมีอะไรเป็นเนื้องานได้ โดยเฉพาะตัวนายกรัฐมนตรีไม่ต้องวิ่งตามปัญหาและตระเวนไปดูน้ำท่วมให้มากนัก เพราะ สถานการณ์อุทกภัยทุกหน่วยงานทำงานอยู่แล้ว เพียงแต่ให้งบประมาณแล้วปล่อยให้เขาจัดการเอง อย่าคิดว่ารัฐบาลนี้จะต้องทำดีกว่ารัฐบาลที่แล้ว รัฐบาลต้องตั้งหลักให้ได้ว่าจะแก้ปัญหาในระยะยาวอย่างไร ทุกโครงการศึกษาไว้หมด ทั้งปัญหาเฉพาะหน้า ระยะกลาง และระยะยาว ไม่จำเป็นต้องมีโมเดลอะไรใหม่ๆขึ้นมาอีก ควรทุ่มเทกับการแก้ไขปัญหาในอนาคตจะเป็นประโยชน์มากกว่า และมอง หามาตรการแนวทางแก้ไขที่เป็นประโยชน์กับประชาชนโดยตรง ทั้งภาคเกษตรและภาคเศรษฐกิจของประเทศที่เสียหายไปกับอุทกภัยปีละหลายแสนล้านบาท โดยเฉพาะปีนี้ประชาชนได้รับความทุกข์มาก แม้แต่กรุงเทพฯก็อาจจะป้องกันไม่อยู่

คนไม่รู้เรื่องมาบริหารน้ำ

ด้านนักวิชาการ นายทวีวงศ์ ศรีบุรี ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยสภาวะแวดล้อม จุฬาลงกรณ์มหา วิทยาลัย เห็นว่า การบริหารจัดการน้ำที่ผ่านมาทุกรัฐบาลล้มเหลว เพราะพูดกันเฉพาะเรื่องทฤษฎี แต่พอเอาเข้าจริงกลับนำไปปฏิบัติไม่ได้ ไม่มีการประสานงานกันระหว่างหน่วยงาน ทั้งที่นักวิชาการศึกษาพื้นที่มากมาย และเสนอมาตรการกันมานานแล้ว แต่ไม่มีการนำเอามาใช้ให้เกิดผลขึ้นจริง

ไม่ว่าจะเป็น 2P2R หรือบางระกำโมเดลก็ไม่ได้นำเอามาใช้ประโยชน์จริงๆ ทุกรัฐบาลต่างแก้ไขปัญหาน้ำล้มเหลว การศึกษาเรื่องน้ำเกิดขึ้นมานานกว่า 50-60 ปี มีแผนปฏิบัติเสนอกันมาอย่างต่อเนื่อง แต่เวลาทำงานจริงกรมโยธาธิการก็แยกไปทำเฉพาะเรื่องชุมชน สร้างกำแพงกั้นน้ำในแต่ละเมือง การใช้ประโยชน์ที่ดินตามแผนการศึกษาไม่ได้ดำเนินการตามแผน ทั้งยังรื้อเอาแผนปฏิบัติการเก่าๆขึ้นมาดูแล แล้วจะสามารถที่ทำให้เกิดขึ้นได้จริงอย่างไรในการประสานงานของแต่ละหน่วยงาน

นายหาญณรงค์ เยาวเลิศ ประธานมูลนิธิเพื่อการบริหารจัดการน้ำแบบบูรณาการ (ประเทศไทย) กล่าวว่า ที่ผ่านมาไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลไหน คณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติที่ตั้งขึ้นยังไม่ได้ทำหน้าที่แก้ไขปัญหาใดๆเลย เนื่องจากส่วนหนึ่ง พ.ร.บ.น้ำยังไม่เกิด ทำให้บทบาทความรับผิดชอบยังไม่มีความ ชัดเจน กฎหมายฉบับนี้ยังค้างอยู่ ในสมัยที่นายสุวิทย์ คุณกิตติ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากร ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ก็ไม่มีการเสนอกฎหมายฉบับนี้ หากไม่จัดตั้งกระทรวงน้ำก็ไม่สามารถแก้ปัญหาได้ เพราะรัฐบาลมักเอาคนที่ไม่รู้เรื่องน้ำมาบริหาร ดังนั้น ปัญหาขณะนี้นอกจากฝนฟ้าอากาศที่ผิดปรกติแล้ว สิ่งที่ทำให้น้ำท่วมคือการจัดการน้ำไม่ได้ ซึ่งเป็นเรื่องหลักที่ต้องให้ความสำคัญ

“ที่ผ่านมากฎหมายไม่เดินหน้า แต่ถ้ามองในเชิงอำนาจเดิมมีหน่วยงานที่ดูแลเรื่องน้ำ 13 กระทรวง และ 30 กรม โครงสร้างใหญ่มาก ไม่สามารถ สั่งใครและกำกับใครได้ เวลาน้ำแล้งการไฟฟ้าฯจะปล่อยน้ำ ผู้ว่าราชการจังหวัดก็สั่งไม่ได้ เลยมองว่าถ้ามีอำนาจรวมที่หนึ่งที่ใดในการจัดการก็จะดีขึ้น”

น้ำท่วมกับน้ำเน่าการเมือง

ปัญหาน้ำไม่ว่าจะเป็นน้ำท่วมหรือน้ำแล้งจึงเป็นเรื่องใหญ่ที่ท้าทาย น.ส.ยิ่งลักษณ์ในฐานะผู้นำประเทศอย่างยิ่งด้วย เพราะปัญหาน้ำไม่ใช่แค่ปัญหาเศรษฐกิจและอุทกภัยที่ต้องไล่ตามแก้ปัญหาซ้ำซาก แต่ยังเป็นปัญหาการเมืองที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับเสถียรภาพของรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์จึงต้องทำ “วิกฤต” ให้เป็น “โอกาส” สร้างผลงานให้กับตัวเองและรัฐบาล แม้ที่ผ่านมาทุกรัฐบาลจะล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงก็ตาม

ความล้มเหลวไม่ใช่เพราะระบบราชการและข้าราชการที่ยังล้าหลัง ทำงานแบบเช้าชามเย็นชาม หรือผักชีโรยหน้าเท่านั้น แต่อีกส่วนหนึ่งต้องยอมรับว่าวันนี้มีแต่นักการเมือง “หางกะทิ” เพราะพวก “หัวกะทิ” ถูกดองไว้หมด และว่ายแหวกอยู่ในบ่อการเมือง “น้ำเน่า” ภายใต้ระบอบอำมาตยาธิปไตย หาใช่ระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริง

ดังนั้น น.ส.ยิ่งลักษณ์ต้องใช้โอกาสนี้ประกาศการแก้ปัญหาน้ำเป็น “วาระแห่งชาติ” อย่างจริงจัง ไม่ใช่แค่คำพูดสวยหรูว่า “บูรณาการ” แต่ต้องโละระบบข้าราชการที่ล้าหลัง และเอานักการเมืองระดับ “หัวกะทิ” มารับผิดชอบ ไม่ใช่ทำอะไรไม่ได้เลย แม้แต่จะแก้กฎหมายกลาโหมฉบับเดียวก็ยังผวากันไปทั้งรัฐบาล หลังประชาชนต้องผจญน้ำท่วมก็คงจะต้องผจญกับน้ำเน่าต่อไปอย่างแน่นอน

ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น วันนี้ประชาชนตาดำๆก็อย่าหวังพึ่งใครทั้งสิ้น ช่วยตัวเองได้ให้ช่วยก่อน ถ้ามีเหลือก็ช่วยคนอื่น แบ่งปันบรรเทาทุกข์กันไป

“อัตตาหิ อัตตโน นาโถ”

ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน...นั้นแล

ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข

/////////////////////////////////////////////////////////////////

วันจันทร์ที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ข่าวล่า มากับน้ำ !!?



ไม่ว่าจะอยู่กลางน้ำ เฉียดฉิวริมรั้ว หรือบริเวณที่น้ำยังเข้ามาไม่ถึง ต่างก็ดูเหมือนว่าทุกส่วนต้องต้านทานแรงกดดันจากกระแสข่าวเรื่องน้ำๆ กับคำถามที่ว่า เราจะรับมือและผ่านพ้นวิกฤติ "น้ำหลาก ข่าว(ลือ)ท่วม" นี้ไปได้อย่างไร

..น้ำท่วมนครสวรรค์ ข่าวลือจระเข้หลุดเกือบร้อย
..คนกรุง! ตื่นน้ำท่วมแห่ 'ตุน' อาหาร - กรุงเทพธุรกิจ
..'ตื่นน้ำ' ขนทรายหมดเกลี้ยง - INN
..กระแสข่าวลือน้ำท่วมทะลักล้น ความวิตกจริตสำลักเกินจริง - ผู้จัดการ
..กรมชลฯ โต้ข่าวลือน้ำท่วมเกาะเกร็ด - INN

ปฏิเสธไม่ได้ว่า ช่วง1-2 เดือนที่ผ่านมา "วิกฤติอุทกภัย" ที่พัฒนาความรุนแรงและการขยายตัวเป็นวงกว้าง จน "ส่งผลกระทบ" กันถ้วนหน้า ทั้ง "คนวงใน" และ "คนวงนอก"
จนตอนนี้ ไม่ว่าน้ำจะรุกคืบเข้าพื้นที่ใดหรือไม่ก็ตาม แต่ "ความกังวล" ก็ได้เข้าเกาะกุม "จิตใจ" ผู้คนทั่วไปเอาไว้อย่างแน่นหนาแล้ว
  • เมื่อ "น้ำ" กำลังมา
ตลอดระยะทางกว่า 2 กิโลเมตรเลียบ "คลองเจ็ก" คือแนวคันดิน และกระสอบทรายที่ชาวตลาดประตูน้ำพระอินทร์ จ.พระนครศรีอยุธยา ช่วยกันสร้างขึ้นมาเพื่อป้องกันน้ำที่กำลังทำท่าจะล้นตลิ่งอยู่
"ข้างหลังท่วมไปแล้วครับ" คิง - พุทธิพงศ์ วงเดือน หนึ่งในหัวเรี่ยวหัวแรงวัยรุ่นของชุมชนที่ขนมาช่วยกันสกัดน้ำบอกถึงสถานการณ์ในขณะนี้

"ข้างหลัง" ของเขาก็คือ น้ำที่ไหลมาจาก "คลองวังน้อย" เข้าสู่ "คลองเจ็ก" และ "คลองวัดอีแตก" ทำให้ตอนนี้ บริเวณด้านหลังของเทศบาล ระดับน้ำ "ขึ้นเข่า" ไปแล้ว
จากคำบอกเล่าของคนในพื้นที่ ทำให้พอเข้าใจได้ว่า เพราะพื้นที่ของพระอินทราชาถือเป็นจุด "รับน้ำ" จาก "วังน้อย" เมื่อวังน้อยต้านไม่อยู่ ปริมาณน้ำก้อนหนึ่งก็จะหนุนเข้ามาถึงบ้าน และชุมชนของเขาด้วยเช่นกัน

"ปีนี้เป็นครั้งแรกที่เห็นตลาดประตูน้ำพระอินทร์ท่วม ปี 38 ที่ว่าน้ำท่วมหนัก พระอินทร์ยังไม่ท่วมเลย" คิงเปรียบเทียบสถานการณ์

ข่าวสาร ตลอดจนข้อมูลน้ำจากจอโทรทัศน์ และเจ้าหน้าที่กู้ภัยของเทศบาลจึงกลายเป็น "หัวใจ" ของงานนี้ แต่ก็ไม่วายมี "ข่าวลือ" แว่วมาให้เสียวใจเล่น

"เขาก็บอกกันมาว่าท่วมแน่ เอาไม่อยู่หรอก เดี๋ยวจะมีพายุมาอีกลูก ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะยังไง ก็ต้องขนของขึ้นข้างบนก่อนน่ะครับ เพื่อความปลอดภัย"

ข้ามฝั่งมายังพื้นที่ปลายน้ำอย่าง ชุมชนริมคลองดำเนินสะดวก จ.สมุทรสาคร
ไม่ว่าจะสวนองุ่น หรือสวนมะพร้าว ที่บ้านของ ศิริลักษณ์ พวงระย้า ใน ต.บ้านแพ้ว เธอยืนยันว่า ถูกน้ำกลบโคนต้นไปแล้ว เรียบร้อย

ริมคลองตาปลั่งข้างบ้าน ที่เป็นคลองสาขาจากคลองดำเนินฯ ด้วยการปล่อยน้ำและฝนที่ตกลงมาอย่างต่อเนื่องจึงทำให้บ้านเธอ และชุมชนชาวสวนระแวกนั้น ได้รับความเดือดร้อนไม่ต่างกัน แต่ด้วยลักษณะของบ้านที่ปลูกเป็นยกพื้นสูงมีใต้ถุนบ้าน ทำให้ข้าวของที่จำเป็นต้องย้ายเพื่อเตรียมรับมือจึงมีไม่มากนัก
"พวกเครื่องใช้ไฟฟ้าก็ยกขึ้นข้างบนเตรียมรอเอาไว้แล้ว"

สิ่งที่เธอพะวงมากกว่าที่อยู่ก็คือ ที่ทำกิน ทั้งสวน ทั้งนา ที่ครอบครัวหวังจะเป็นช่องทางต่อทุนเพื่อเป็นเงินเก็บสำหรับยามฉุกเฉินต้องมาจมอยู่ใต้น้ำ

เท่าที่ทำได้ตอนนี้ คือได้แต่รอคอย และหวังว่าความเสียหายจากน้ำเหนือ จะไม่มากไปกว่านี้
เหมือนกับชุมชนประตูน้ำพระอินทร์ แหล่งข้อมูลน้ำของเธอก็คือ "ข่าวโทรทัศน์"
ในภาวะวิกฤติ การร่วมไม้ร่วมมือจากทุกภาคส่วนของสังคม ถือเป็นฟันเฟืองหลักในการช่วยหมุนให้ประเทศก้าวผ่านสถานการณ์เลวร้ายมาได้นักต่อนัก

น้ำท่วมปีนี้ก็ไม่ต่างกัน สถานีโทรทัศน์หลายช่องแปรสภาพกลายเป็นหน่วยแจ้งความช่วยเหลือ และการรับบริจาค ขณะที่คนจากฟากราชการก็ร่วมมือกับฟากประชาชนช่วยบรรเทาความเดือดร้อนกันคนละไม้คนละมือ

ฟากฝั่งออนไลน์ ก็มีบรรดากีคทั้งหลายก่อตั้งเครือข่ายอาสาเพื่อช่วยเป็นศูนย์รวมข่าวสาร อัพเดทสถานการณ์น้ำท่วมด้วยเช่นกัน อีกทั้งยังดูเหมือนจะ "ทรงพลัง" กว่าสื่อดั้งเดิมมากมายนัก ด้วยเพราะเป็นแหล่งรวมของข่าวสารทั้งที่มีคุณภาพ ไร้คุณภาพ กระทั่งขยะข้อมูล คละเคล้าปะปนกันไป

..บนโซเชียลเน็ตเวิร์ก

ภาพบริเวณหน้าหอสมุดปรีดี ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ กำลังถูกน้ำเซาะเหลือเพียงไม่กี่เซนติเมตรก็จะล้นแนวกำแพง สร้างความหวั่นวิตกให้กับคนที่พบเห็นอย่างมาก ขณะเดียวกันก็มีข้อสังเกตอีกฟากจากคนที่เพิ่งข้ามมาจากโรงพยาบาลศิริราชในวันเดียวกันถึง อากาศ ช่วงเวลา และลักษณะของภาพที่ดูเก่าจนไม่น่าจะเป็นเหตุการณ์ปัจจุบัน
กลายเป็นข้อสงสัย และถกเถียงกันมาจนถึงตอนนี้

..หรือกรณี โพสท์ภาพน้ำท่วมถนนหน้าเซ็นทรัลแจ้งวัฒนะ

ที่ระดับน้ำสูงขึ้นปริ่มฟุตบาธ กลายเป็นสถานการณ์วิกฤติที่หลายช่องต่างเอาไปเล่นเป็นข่าว ทั้งที่ความจริง ถ้าใครอยู่แถวนั้นจะทราบว่า นั่นคือเหตุการณ์ปกติที่มักเกิดขึ้นเมื่อฝนตกหนัก
การรวมเอากรณีน้ำท่วมขัง (ประจำ) กับสถานการณ์น้ำท่วมมาเป็นคนละเรื่องเดียวกันจึงกลายเป็นอีกประเด็นหนึ่ง ในแง่ของการคัดกรองข่าว อีกด้วย
  • ข่าว "ลือ" กำลังล้น
หลังจากตัดสินใจเปิดหน้าเพจบนเฟซบุ๊คได้แค่ 3 วัน (ณ เวลา 18.16 น. ของวันที่ 6 ตุลาคม 2554) ยอดสมาชิกชุมชน "น้ำขึ้น ให้รีบบอก" พุ่งขึ้นไปสูงถึง 8 หมื่นคน ก่อนจะทะลุ 1 แสนคนในวันรุ่งขึ้น
อัพเดทจำนวนล่าสุด เวลา 6โมงเย็นของวันที่ 13 ตุลาคม 2554 ชุมชนน้ำขึ้นฯ มีสมาชิกเพิ่มขึ้นไปอยู่ที่เฉียดๆ 13,500 คนขาดอยู่แค่ครึ่งร้อย

ขณะที่ความตั้งใจเดิม ตั้งเพจนี้ขึ้นเพื่ออัพเดทสถานการณ์น้ำ ที่ไหนท่วมแล้ว ที่ไหนยังแห้งอยู่ ประตูน้ำ คันกั้นน้ำที่ไหนเป็นอย่างไร แข็งแรงดีหรือไม่ แต่เมื่อจำนวนสมาชิกของเพจน้ำขึ้นฯ มากจนแอดมิน (ผู้ไม่ประสงค์ออกนาม) ซึ่งประจำการบนเพจแค่เพียงคนเดียว เริ่มรับมือกับข้อมูลล้นหลามและสมาชิกเรือนแสนไม่ไหว

สถานการณ์ของเพจน้ำขึ้นฯ จึงเข้าสู่ภาวะ "ท่วมท้นไปด้วยข้อมูล" ซึ่งมีคุณภาพอยู่ไม่มาก แถมยังถูกเบียดให้ตกไปด้วยการโพสท์ถามไถ่สถานการณ์ฝนตก น้ำท่วม น้ำขัง กระทั่งฟ้าคำราม
ความพยายามที่จะจัดระบบระเบียบ สร้างกติกาการใช้งานเพจจึงเริ่มต้นขึ้น วันต่อมาเริ่มเปิดห้องสนทนา สำหรับการพูดคุยซักถาม ที่ไม่ใช่การอัพเดทสถานการณ์ พร้อมชักชวนให้สมาชิกโพสท์รูปประกอบการรายงานสถานการณ์ เพื่อยืนยันความน่าเชื่อถือ พร้อมกำกับด้วยเวลาและสถานที่ของรูปที่ถ่ายให้ละเอียด หรือใครที่มีข้อมูล หรืออยู่ในพื้นที่ ขอให้ช่วยเข้ามายืนยันสถานการณ์ด้วยตัวเองอีกต่อหนึ่ง

นอกจากนี้ ยังสร้างกติกาการโพสต์ โดยคัดกรองความน่าเชื่อถือ ด้วยสัญลักษณ์ "# I" เพื่อหมายถึงการรายงานสถานการณ์ที่พบเจอด้วย "ตัวเอง" แต่ถ้าเป็นข่าวที่ได้ยินต่อมาอีกทีหนึ่ง ไม่ว่าจะเพื่อนบอก หรือ ฟังมาจากช่องทางข่าวสารใดก็ตาม ให้ใช้สัญลักษณ์ "#N" ก่อนจะตามด้วยเวลาและข้อความ
ที่สำคัญคือถ้ามี "ภาพจริง" ประกอบการรายงานได้จะยิ่งดี เพราะมีความน่าเชื่อถือยิ่งขึ้น

ขณะเดียวกัน แอดมินมือใหม่แต่ใจเต็มร้อย ซึ่งภายหลังมีผู้ช่วยแอดมินเข้ามาช่วยอีกหนึ่งแรง ก็ได้แยกการพูดคุย ถามไถ่ อัพเดทข้อมูลอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวกับน้ำท่วมโดยตรง ออกไปไว้ในกระดานข้อความ แยกเรื่องฝนออกจากน้ำ

5 วันต่อมา การจัดการข้อมูลของ "น้ำขึ้น ให้รีบบอก" จึงเข้าสู่การใช้งานได้อย่างมีระบบ
แต่สำหรับเวบมาสเตอร์มืออาชีพอย่าง ปรเมศวร์ มินศิริ ผู้ก่อตั้งเวบไซต์สนุกดอทคอม และในฐานะผู้จัดการศูนย์ข้อมูลช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม ThaiFlood.com ซึ่งก่อตั้งขึ้นเมื่อ 18 ตุลาคม 2553 รับมือกับอุทกภัยครั้งใหญ่เมื่อปีกลายต่อเนื่องมาจนถึงปีนี้ รวมเวลา 1 ขวบปีพอดิบพอดี เล่าถึงวิธีการจัดการ "ข้อมูล" ล้นหลามของพลเมืองดีที่อาสารายงานสถานการณ์น้ำ ที่จากแรกเริ่มทำหน้าที่เป็นศูนย์รวมข้อมูล เบอร์โทรติดต่อด่วนสำหรับแจ้งเหตุ ซึ่งทำไปทำมา เจ้าหน้าที่ของหน่วยงานที่รับผิดชอบดูแลไม่ไหว กระทั่งเกิดเป็นคอลเซ็นเตอร์อาสา นำทัพโดย "ผู้พิการ" ที่มาช่วยรับโทรศัพท์กันมือระวิงในปีก่อน

สำหรับปีนี้ ปรเมศวร์ บอกว่า ข้อมูลที่ต้องจัดการมีมากขึ้น มีทั้งการใส่แผนที่ศูนย์อพยพ, ศูนย์ที่พักพิง, จุดทำอาหาร และ จุดจอดรถ ซึ่งต้องได้รับการอัพเดทอยู่ตลอดเวลา
นอกจากนี้ ที่เห็นได้ชัด คือ ปริมาณ "ข้อมูล" ที่ทะลักมากับน้ำหลากปีนี้ดูเหมือนจะมากกว่าปีกลายชนิดเทียบกันไม่ติด

"ถ้าอยู่ดีๆ ในโรงหนังมีคนตะโกนขึ้นมาลอยๆ ว่าไฟไหม้ แน่นอนว่าความโกลาหลเกิดขึ้นแน่ กับสถานการณ์น้ำท่วมตอนนี้ก็เหมือนกัน ช่องทางการกระจายข้อมูลข่าวสารที่มีอยู่ ถึงแม้จะรวดเร็ว แต่ก็ต้องคัดกรองระดับหนึ่ง อย่างทวิตเตอร์ หรือ เฟซบุ๊ค ถึงเราจะคัดกรองได้ยาก แต่แย้งได้ อะไรที่ไม่ชัวร์ ก็ต้องเช็ค หรือบอกกล่าว ชี้แจงไป" ปรเมศวร์บอก

ขณะเดียวกัน เวบแอดมินก็จะพยายามคัดเอาข้อมูลที่เชื่อถือได้จากนักข่าวอาสาที่รายงานผ่านโซเชียลเน็ตเวิร์ค เข้าไปใส่ที่เวบ thaiflood.com อีกครั้งหนึ่ง เพื่อให้คนทั่วไปได้รับทราบด้วย แต่เจ้าตัวก็เอ่ยอย่างหนักใจด้วยว่า ถ้าจะให้ประเมินผลงานการอัพเดทข้อมูล ต้องถือว่ายัง "สอบไม่ผ่าน" ในโจทย์เรื่องความไว เพราะข้อจำกัดเรื่องกำลังคน นอกจากนี้ thaiflood ยังเป็นกลุ่มไม่แสวงหากำไร ขณะที่ทุนการจัดการเป็นทุนส่วนตัวล้วนๆ

เจ้าตัวจึงไม่พ้นการพ้อด้วยเสียงเหนื่อยอ่อนว่า
"ผมใช้พนักงานของบริษัทมาช่วย 3 คน อีก 7 คนเป็นอาสา ที่ผลัดกันเข้ามาทำงานตลอด 24 ชั่วโมง ส่วนผมไม่ได้ทำเต็มตัว แต่ต้องบอกว่าทำเกินตัวแล้วครับทุกวันนี้"

ข่าวน้ำตามที่ไหน

- ศูนย์ประสานการช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติ twitter @thaiflood, tag twitter #thaiflood และ Facebook Page ทาง facebook.com/thaiflood รายงานสถานการณ์ รับเรื่องขอความช่วยเหลือจากผู้ประสบอุทกภัย แสดงเป็นสีระดับเตือนภัย รวมเบอร์โทรศัพท์ของหน่วยงานต่างๆ เลขที่บัญชีบริจาคทรัพย์สิ่งของช่วยเหลือ
- Google Crisis Response ข้อมูลแผนที่และให้ความช่วยเหลือต่างๆเกี่ยวกับภัยธรรมชาติ โดยอ้างอิงข้อมูลล่าสุดจากเว็บไซต์ ThaiFlood.com
- ศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ http://www.ndwc.go.th เว็บไซต์รวมข่าวสารภัยพิบัติที่เกิดขึ้นในประเทศไทย
- กรมชลประทาน www.rid.go.th เว็บไซต์อีกแห่งที่สามารถติดตามข้อมูลสถานการณ์น้ำอย่างเป็นทางการ
- สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) Flood.gistda.or.th แสดงข้อมูลแผนที่รายงานคาดการณ์สถานการณ์น้ำท่วม
- น้ำขึ้นให้รีบบอก (http://www.facebook.com/room2680) รายงานสถานการณ์น้ำท่วม และแจ้งขอความช่วยเหลือ โดยชาวเฟซบุ๊คช่วยกันรายงานจากสถานที่จริง
- Twitter และ facebook ของ ศูนย์ป้องกันน้ำท่วม สำนักการระบายน้ำ กรุงเทพมหานคร (@bkk_best , facebook.com/bkk.best และ http://dds.bangkok.go.th/m) ใช้ติดตามสถานการณ์ โดยจะมีทั้งประกาศฉุกเฉินของทางกรุงเทพมหานคร รายงานสภาพระดับน้ำตามคลองต่างๆ สภาพอากาศทั่วกรุงเทพ
- กรมอุตุนิยมวิทยา ที่ www.tmd.go.th จะคอยรายงานสภาพอากาศ และประกาศเตือนภัยไปยังจังหวัดต่างๆ

ที่มา:กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
////////////////////////////////////////////////////////////

โต๊ะข่าวการเมือง แดงแตกเซลล์จากหมู่บ้านสู่อำเภอรากฐานประชาธิปไตยในมือประชาชน !!?

แม้จะคลาดเคลื่อนในเรื่องวันเวลา แต่ในท้ายที่สุด สมาพันธ์หมู่บ้านเสื้อแดงก็สามารถยกระดับหมู่บ้านคนเสื้อ แดง ตำบลคนเสื้อแดง ขึ้นเป็นอำเภอ คนเสื้อแดงจนได้ “ขณะนี้คนเสื้อแดง ยังไม่ได้ประชาธิปไตยมาเต็มใบ ยังคงมีฝ่ายอำมาตย์เข้ามาแทรกแซง เราจึงยืนยันที่จะร่วมต่อสู้ เพื่อให้ได้ประชาธิปไตยเต็มใบ โดยจะมีการยกระดับหมู่บ้าน ตำบลเสื้อแดง ขึ้นเป็นอำเภอเสื้อแดง เป็นการยกระดับการต่อสู้ขึ้น ในรูปแบบของหมู่บ้านเสื้อแดง ที่ใช้วิธีสันติอหิงสา โดยจะเปิดอำเภอเสื้อแดงแห่งแรกของจ.อุดรธานี ที่ อ.ประจักษ์ศิลปาคม ซึ่งต่อไปการเปิดหมู่บ้าน ตำบล และอำเภอเสื้อแดง จะมีการให้ความรู้เรื่องประชาธิปไตยกับประชาชนเพิ่มขึ้น ไม่เป็นการเปิดในรูปแบบเดิม”

“อานนท์ แสนน่าน” เลขานุการหมู่บ้านคนเสื้อแดง จังหวัดอุดรธานี ระบุถึงวัตถุประสงค์การยกระดับจากหมู่บ้านขึ้นเป็นอำเภอคนเสื้อแดงไว้ได้อย่างน่าสนใจยิ่งอย่างไรก็ดี ยังมีเสียงทัดทานเล็กๆ ออกมาจากคนกันเองที่เคยรบเคียงบ่าที่สมรภูมิราชประสงค์ อย่าง “ขวัญชัย ไพรพนา” ที่แสดงอาการไม่เห็นด้วย

“ผมไม่เห็นด้วยตั้งแต่ต้น ซึ่งความเป็นจริงชาวอุดรธานีมีในรักประชาธิปไตยอยู่แล้ว ไม่ควรที่จะไปบังคับเขาให้เป็นหมู่บ้านคนเสื้อแดงเหมือนเอาอะไรไปประทับตราเขาเอาไว้ ซึ่งที่ผ่านมากลุ่มคนเสื้อแดงที่เดินทางไปเปิดบ้านคนเสื้อแดง ก็เคยอยู่กับผมมาก่อน เคยต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยด้วยกัน แต่เนื่องจาก เรื่องผลประโยชน์ทำให้แยกตัวออกไปเปิดหมู่บ้านคนเสื้อแดง ซึ่งกำลังเป็นปัญหาให้หน่วยงานด้านความั่นคง จ้องเล่นงาน หากต้องการดำเนินกิจกรรมทางการเมือง ร่วมกับผม ก็พร้อมเปิดกว้างเพื่อความเป็นปึกแผ่นต่อไป”เป็นธรรมดาของคนหมู่มากที่ร่วมกันต่อสู้บนทฤษฎี “แสวงจุดร่วม สงวนจุดต่าง” ที่ภายหลังเสร็จศึกจะมีความเห็นต่างกันไปบ้าง ยิ่งหากย้อนภาพ กลับไปในอดีตเมื่อไม่นานเท่าไหร่ แกนนำชมรมคนรักอุดรผู้นี้ ก็มีความเห็นไม่ตรงกันกับ “ธิดา ถาวรเศรษฐ์” รักษาการประธาน นปช.

กระนั้น เมื่อคลื่นลมพายุฝนสงบ อำเภอเสื้อแดง ก็อุบัติขึ้นบนประวัติศาสตร์การเมืองไทย โดยเมื่อวันอังคารที่ 11 ตุลาคมที่ผ่านมา “จตุพร พรหมพันธุ์” แกนนำ นปช.ได้เดินทางมาเป็นประธานในพิธีเปิดอำเภอเสื้อแดงแห่งแรกของจังหวัดอุดรธานี ที่หอประชุมที่ว่าการอำเภอประจักษ์ศิลปาคมโดยมี “น.พ.ประสงค์ บูรณ์พงษ์” ประธานที่ปรึกษาบ้านเลขที่ 111 ไทยรักไทย “ร.ต.ต.กมลศิลป์ สิงหะสุริยะ” ประธานสมาพันธ์หมู่บ้านเสื้อแดงเพื่อประชาธิปไตยแห่งประเทศไทย “อานนท์ แสนน่าน” ผู้ริเริ่มก่อตั้งหมู่บ้านเสื้อแดงแห่งแรก พร้อมรองประธานสมาพันธ์ฯ ของภาคอีสาน และกรรมการสมาพันธ์ฯ นำสมาชิกกลุ่มหมู่บ้านเสื้อแดงในเขตอำเภอประจักษ์ศิลปาคม อำเภอและ จังหวัดใกล้เคียง มาร่วมงานกว่า 500 คน

สำหรับบรรยากาศภายในงาน “เดอะตู่” พร้อมแกนนำสมาพันธ์หมู่บ้านเสื้อแดง ได้เดินทางไปติดป้ายหมู่บ้านเสื้อแดง เพื่อประชาธิปไตย ที่เป็นรูป “พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี ชูภาษามือที่แปลว่า “รัก” ติดอยู่ ที่บ้านนาม่วง ต.นาม่วง อ.ประจักษ์ศิลปาคม เพื่อเป็นสัญลักษณ์ในการเปิดอำเภอเสื้อแดงแห่งแรกของ จ.อุดรธานี โดยหลังจาก เสร็จพิธีเปิด แกนนำหมู่บ้านเสื้อแดงแต่ละหมู่บ้าน จะรับป้ายหมู่บ้านเสื้อแดงไปติดตั้งในวันนี้ทั้งหมด “ขณะนี้หมู่บ้านเสื้อแดง เพื่อประชาธิปไตย คือฐานหลักของประชาชนที่ปกป้องระบอบประชาธิปไตย ผมเชื่อมั่นว่า ถ้าหมู่บ้านเสื้อแดงได้ขยายออกไปเต็มทั่วประเทศ จะทำให้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งอันชอบธรรม จะได้มีเสถียรภาพ และจะได้มีโอกาสแก้ไข ปัญหาให้กับพี่น้องประชาชน”

เสียงคำรามของ “เดอะตู่” ในวันงานเปิดอำเภอเสื้อแดงแห่งแรก ไม่ต่างจากการส่งสัญญาณไป ถึงฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกับวาระแดงทั้งแผ่นดิน ว่ากระบวน การการต่อยอด แตกเซลล์ ขยายผลหมู่บ้านคนเสื้อแดงที่แกนนำเชื่อมั่นถือมั่นว่านี่คือการสร้างรากฐานแห่งประชาธิปไตยจะไม่หยุดนิ่งอยู่เพียงแค่นี้ ยิ่งจับจากจังหวะการเคลื่อนไหวของคนระดับมันสมองอย่าง “ธิดา ถาวรเศรษฐ์” ที่เล็งผลเลิศถึงขั้นจะลงไปเจาะยางฐานที่มั่นของพรรคประชาธิปัตย์ในภาคใต้อย่างจริงจัง และเริ่มมีการเปิดหมู่บ้าน เสื้อแดงในภาคใต้ไปบ้างแล้ว ย่อมถือเป็นเรื่องท้าทายอำนาจพรรคเก่าแก่แบบเปิดหน้าชน 100 เปอร์เซ็นต์ และหากนับจำนวนการปูพรมเปิดหมู่บ้าน ตำบล และอำเภอเสื้อแดง ตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงปัจจุบัน นั่นก็ได้ก่อตั้งไปแล้วกว่า 4,000 แห่งทั่วประเทศไทย มันย่อมถือว่าเป็นปรากฏการณ์แห่งการแตกเซลล์ทาง การเมืองที่ไม่ธรรมดาเอาซะเลย

และนั่นก็เป็นธรรมดาอีกเช่นกัน ที่ฝ่ายที่ยืนอยู่ฝั่ง ตรงกันข้าม จะไม่เห็นดีเห็นงามกับปรากฏการณ์ประกาย ไฟไหม้ลามทุ่งรอบนี้ของหมู่บ้านคนเสื้อแดงเป็นแน่แท้

อีกทั้งในทางตรงกันข้าม การก่อเกิดของหมู่บ้าน คนเสื้อแดง มันล้วนค่อนข้างสุ่มเสี่ยงหากมีการตี ความกันในแง่มุมของกฎหมาย โดยเฉพาะกระบวน การเหล่านี้ หากต้องถูกสแกนถี่ยิบผ่านเซียน เชี่ยวเขี้ยวลากดินอย่างประชาธิปัตย์ มันก็ย่อมเป็น เรื่องที่แกนนำคนเสื้อแดงต้องตระเตรียมงานใหญ่ ใน การตอบข้อสงสัยของสังคมให้กระจ่างชัดอีกเช่นกัน เรื่องหลักๆ ที่เชื่อมั่นว่าคนเสื้อแดงต้องโดยพรรคเก่าแก่ทิ้งบอมบ์แน่ๆ คือ วาระหมู่บ้านคนเสื้อ แดงในมือซ้ายต้นตำรับอย่าง “ธิดา ถาวรเศรษฐ์” เป็นการปลุกผีคอมมิวนิสต์หรือไม่??? อีกคำถามหนึ่งที่ถูกเปิดแผลโดย “ขวัญชัย ไพรพนา” เกี่ยวกับเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน ก็เป็นอีกหนึ่งประเด็นที่ระดับแกนนำต้องแจกแจงต่อลูกบ้านหมู่บ้านคนเสื้อแดงให้เคลียร์เช่นกัน การรวมตัวของคนเสื้อแดง ในรูปแบบหมู่บ้าน ตำบล หรืออำเภอ ถือเป็นมิติใหม่ในการมีส่วนร่วมทางการเมืองของภาคประชาชน แต่จะจีรังยั่งยืนและเป็นหลักค้ำยันให้ประชาธิปไตยไทยที่คนเสื้อแดงเชื่อมั่นถือมั่นได้เนิ่นนานมากมายเพียงใด ในที่สุดมันก็ต้องขึ้นอยู่กับกระบวนการการจัดการ ซึ่งต้องอาศัยความโปร่งใสและจริงใจต่อประชาชนรากหญ้า

นั่นแหละจะเป็นวัคซีนชั้นเยี่ยมใน การเยียวยาหมู่บ้าน ตำบล และอำ เภอคนเสื้อแดงให้อยู่รอดปลอดภัย..ขอรับ!!!

ที่มา:สยามธุรกิจ
///////////////////////////////////////

ควายสองขา !!>

เพราะ...เราต้องรักษากรุงเทพให้พ้นน้ำในแต่ละปี ผู้คนในเมืองโดยรอบจึงต้องจมอยู่ในนรกครั้งละหลายๆ เดือนในแต่ละปี

กรุงเทพอยู่ต่ำสุดในประดาเมืองทั้งหลาย...กรุงเทพจึงเป็นหลุมใหญ่ที่น้ำพร้อมจะโถมใส่ กรุงเทพใช้เงินของประเทศไปมากมายหลายแสนล้าน เพื่อจะรักษามันไม่ให้จมน้ำ...และมันจะเป็นอย่างนี้ไปอีกเป็นร้อยเป็นพันปี ตราบเท่าที่ประเทศนี้ยังมีอยู่

ถึงเวลากันสักทีหรือยัง...ที่กรุงเทพจะต้องอยู่ให้ได้โดยที่ไม่ต้องพึ่งพาการเสียสละของใครหน้าไหน...ถึงคราวหรือยังที่วิทยาการสมัยใหม่จะเข้ามามีบทบาทแทนที่ทรายและกระสอบ...ที่หอบกันเข้ามาป้องกันกรุงเทพจากน้ำในแต่ละปี

ทำไม...ผู้รุกล้ำที่ดินริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาจะต้องได้รับการปกป้อง...โดยการนำน้ำจำนวนมหาศาลไปจมบ้านเรือนที่ตั้งอยู่บนที่ดินที่ถูกกฎหมายของคนอีกจำนวนหนึ่ง

มันจะเป็นเช่นนี้ไปอีกนานเท่าไหร่...

ทำไม...เราถึงไม่สร้างถนนกั้นแม่น้ำเจ้าพระยา...เพื่อให้น้ำมันไหลลงสู่ทะเลโดยที่ไม่ต้องไหลบ่าเข้ามาท่วมเมือง...เพราะผู้คนจำนวนหนึ่งไม่ยินยอม...ถอนตัวจากการอยู่อาศัยในบ้านที่ปักเสาลงไปในแม่น้ำ...

ทำไม...เราจึงไม่ยกให้ผู้คนเหล่านั้น...ทิ้งบ้านสลัมริมน้ำขึ้นมาอยู่ในอาคารสูงบนฝั่ง...แล้วทำถนนริมฝั่งเพื่อขังน้ำไว้ในแม่น้ำ...เหมือนอย่างที่เมืองริมแม่น้ำทั้งโลกเขาทำกัน

เราจะขุดคลองอีกพันสาย...เอาน้ำไหลไปสู่ทะเลตะวันออกทะเลตะวันตกได้อย่างไร...ในเมื่อกรุงเทพมันเป็นจุดต่ำสุดบนแม่น้ำสายนี้...มันมีอยู่หรือที่น้ำจะไหลขึ้นไปสู่ที่ที่สูงกว่า...ธรรมชาติเช่นว่ามีอยู่จริงหรือบนโลกใบนี้

ถึงเวลาหรือยัง...ที่ความจำเป็นของชาติจะอยู่เหนือการขัดขืนใดๆ ของ "ควายสองขา"

ถึงเวลาหรือยัง...ที่สติปัญญาจะเข้ามาเป็นผู้แก้ไขปัญหา ไม่ใช่กล้ามเนื้อแขนขาที่ซ้ำซากแก้ปัญหาในทุกๆ ปี

เราจะตามใจ "ควายสองขา" เพื่อจะพากันเป็น "ควายสองขา" กันทั้งแผ่นดิน กระนั้นหรือ

โดย:พญาไม้ทูเดย์,บางกอกทูเดย์
****************************************************

ใช้ไฟทะลุ300ล้านค่าใช้จ่ายกทม.ป้องกันน้ำท่วมกรุงเทพฯปีนี้เดินเครื่องสูบน้ำ24ชั่วโมงน้ำมากทุบสถิติ

รายงานข่าวจากสำนักการระบายน้ำ (สนน.) กรุงเทพมหานคร (กทม.) แจ้งว่า จากการบริหารจัดการป้องกันและแก้ไขปัญหาน้ำท่วมในพื้นที่กรุงเทพฯ ซึ่ง สนน.ใช้งานเครื่องสูบเพื่อเร่งระบายน้ำในพื้นที่ ทั้งจากน้ำฝนและสถานการณ์น้ำเหนือที่มีปริมาณมากเป็นประวัติการณ์ในขณะนี้คาดว่าจะส่งผลให้ค่ากระแสไฟฟ้าที่ใช้สำหรับการเดินเครื่องสูบน้ำทั่วกรุงเพิ่มสูงขึ้น โดยปกติจะมีค่าไฟฟ้าอยู่ที่เดือนละ 21–30 ล้านบาท ตามสถานการณ์ในช่วงเดือนนั้น ๆ ว่ามีปริมาณน้ำฝนตกในพื้นที่มากหรือไม่ ซึ่งจะมีค่ากระแสไฟฟ้ารวมอยู่ที่ปีละประมาณเกือบ 300 ล้านบาท โดยค่ากระแสไฟฟ้าสำหรับอุปกรณ์ที่ใช้ไฟมากคือ เครื่องสูบน้ำ ที่ติดตั้งอยู่บริเวณประตูระบายน้ำและสถานีสูบน้ำทั่วกรุงเทพฯ รวม 689 เครื่อง กำลังสูบกว่า 520 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที สำหรับอุโมงค์ยักษ์พระราม 9–รามคำแหง ที่เปิดใช้งานแล้วนั้น ติดตั้งเครื่องสูบน้ำขนาดใหญ่ มีกำลังสูบถึง 60 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อวินาที เดินเครื่องตลอด 24 ชั่วโมง มีค่ากระแสไฟฟ้าประมาณ 500,000 บาทต่อวัน

รายงานข่าวแจ้งอีกว่า การบริหารจัดการเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาน้ำท่วมในเขตกรุงเทพฯ ที่นอกจากการเร่งระบายน้ำฝนที่ขังอยู่ตามผิวการจราจรและจุดอ่อนน้ำท่วมในพื้นที่กรุงเทพฯ แล้ว ในภาวะน้ำเหนือปริมาณมากที่เกิดขึ้นในปัจจุบันทำให้ต้องเดินระบบการระบายน้ำอย่างต่อเนื่องโดยสถานีสูบน้ำหลักต้องเดินเครื่องตลอด 24 ชั่วโมงเพื่อเร่งระบายน้ำช่วยบรรเทาปริมาณน้ำที่ท่วมขังอยู่ในจังหวัดตอนบนของกรุงเทพฯ รวมทั้งรักษาระดับน้ำในคลองเพื่อรองรับกรณีฝนตกในพื้นที่ด้วย สำหรับสถิติปริมาณน้ำฝนที่ตกในกรุงเทพฯ ขณะนี้พบว่ามีปริมาณสูงกว่าค่าเฉลี่ยฝน 20 ปีซึ่งอยู่ที่ 1,458 มิลลิเมตร โดยในปีนี้ปริมาณฝนถึงแค่กลางเดือนต.ค. ฝนตกมาแล้วกว่า 2,130 มิลลิเมตร มากกว่าค่าเฉลี่ยคิดเป็น 46 เปอร์เซ็นต์ โดยปริมาณฝนมีแนวโน้มสูงขึ้นต่อเนื่องจากปี 2552 ปริมาณฝน 1,910 มิลลิเมตร ปี 2553 ปริมาณฝนอยู่ที่ 1,995 มิลลิเมตร ส่วนปริมาณน้ำเหนือ ที่ขณะนี้ ปริมาณน้ำจากเขื่อนเจ้าพระยาและเขื่อนพระราม 6 อยู่ที่ 4,430 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ซึ่งปริมาณน้ำที่เขื่อนปล่อยลงมาก็คาดว่าจะมีปริมาณสูงต่อเนื่องเป็นช่วงระยะเวลานานกว่าทุกปีเนื่องจากยังมีน้ำจำนวนมากที่ต้องเร่งระบายสู่ด้านล่าง.

ต้นฉบับ: http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=354&contentId=170200

ที่มา: เดลินิวส์
////////////////////////////////////////////////////

วันอาทิตย์ที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2554

นิคมฯ บางปะอิน.จมน้ำ คาดเสียหายหนัก !!?




น้ำทะลักท่วมนิคม'บางปะอิน'สูงกว่า 1 เมตร คาดมูลค่าความเสียหายหนัก เหตุมีโรงงานไฮเทคระดับโลก สั่งป้อง'นวนคร-บางกะดี'เหตุติดกลุ่มเสี่ยง

แม้เจ้าหน้าที่ทหารและฝ่ายพลเรือนจะพยายามป้องนิคมอุตสาหกรรมบางปะอิน อ.บางปะอิน จ.พระนครศรีอยุธยา อย่างเต็มกำลังตลอด 2 วันที่ผ่านมาก็ตาม แต่สุดท้ายก็ไม่สามารถทัดทานกระแสน้ำที่ไหลเชี่ยวอย่างรุนแรงทลายกำแพงดินทะลักเข้าไปในนิคมฯ เป็นแห่งที่ 4 แล้วเมื่อกลางดึกของคืนที่ผ่านมา

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ด้วยกระแสน้ำที่ได้ท่วมขังบริเวณรอบๆ นิคมอุตสาหกรรมบางปะอิน อ.บางปะอิน จ.พระนครศรีอยุธยา เพิ่มปริมาณสูงขึ้นและไหลทะลักเข้าไปภายในนิคมฯ เมื่อกลางดึกวันที่ 14 ต.ค.บริเวณคันกั้นน้ำฝั่งตะวันออกกว้าง 5 เมตร จำนวน 2 จุด ทำให้น้ำท่วมทันทีสูง 1 เมตร จึงต้องตัดกระแสไฟฟ้าและใช้เครื่องปั่นไฟเพื่อส่องสว่างให้เจ้าหน้าที่ทหารปฏิบัติหน้าที่ซ่อมรอยรั่ว ขณะที่เจ้าหน้าที่นิคมฯ และโรงงานต่างๆ ได้เร่งขนย้ายอุปกรณ์ต่างๆ ออก

น้ำทะลักนิคมฯ บางปะอินจม

นายณัฐพล ณัฏฐสมบูรณ์ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า ที่นิคมฯ บางปะอินน้ำได้ทะลักเข้าไปภายในนิคมฯ ด้านหน้าผ่านแนวคันดินที่พังทลายลงกว้างกว่า 40 เมตร ทางทิศใต้ 80 เมตร ทำให้มีน้ำท่วมขังกว่า 4 เมตร ส่วนน้ำบริเวณนอกนิคมฯ สูง 5.85 เมตร ล่าสุดได้นำดินและหินเข้ามาอุดรอยรั่วและเร่งซ่อมแซมรอยปริแนวเขื่อนกั้นน้ำด้านหลังนิคมฯ

ส่วนสถานการณ์น้ำท่วมนิคมฯ บ้านหว้า (ไฮเทค) น้ำเข้าท่วม 5 เมตร แต่การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) ยังไม่ยอมแพ้พยายามทำการกู้ อยู่ "ได้สั่งให้ทุกนิคมฯ ที่ถูกน้ำท่วมนำสารเคมีที่เป็นอันตรายไปเก็บไว้นอกนิคมฯ แล้ว มีเพียงบางส่วนที่ยังอยู่ในโรงงาน แต่ก็ได้ผนึกไว้แน่นหนา และนำไปเก็บบนชั้นดาดฟ้าจุดที่สูงสุด มั่นใจในความปลอดภัยอย่างเต็มที่ ส่วนที่กรณีเจ้าของโรงงานชาวญี่ปุ่น ได้ใช้เทียนไขส่องสว่างขณะที่เข้าไปตรวจภายในโรงงานแล้วเกิดการทำปฏิกิริยากับสารละลายจำพวกกาวที่ใช้ในการพิมพ์ ที่เป็นวัตถุไวไฟจึงเกิดไฟลุกไหม้ แต่ก็ไม่ได้เสียหายใดๆ" นายณัฐพล กล่าว

ห่วงนวนคร-บางกะดีคิวต่อไป

นายณัฐพล กล่าวว่า นิคมฯ ที่น่าเป็นห่วงขณะนี้คือเขตประกอบการอุตสาหกรรมนวนคร และบางกะดี เนื่องจากนวนครอยู่ไม่ห่างจากนิคมฯ บางปะอิน และอยู่ในแนวน้ำไหลผ่าน ห่างจากแม่น้ำเพียง 7 กม. ซึ่งน้ำภายนอกนิคมฯ มีความสูงต่ำกว่าแนวสันเขื่อนเพียง 50 เซนติเมตร แต่ได้เสริมแนวคันดินเพิ่มอีก 50 เซนติเมตร ทำให้แนวคันดินกั้นน้ำมีความสูง 5 เมตร นิคมฯ แห่งนี้เป็นฐานการผลิตชิ้นส่วนอุตสาหกรรมที่สำคัญ มีโรงงาน 227 โรง มีการลงทุน 40,000 ล้านบาท และมีแรงงาน 120,000 คน

วรรณรัตน์สั่งปกป้อง

นพ.วรรณรัตน์ ชาญนุกูล รมว.อุตสาหกรรม กล่าวว่า เมื่อวันที่ 15 ต.ค.2554 เวลา 18.30 น.น้ำได้เข้าท่วมนิคมอุตสาหกรรมบางปะอิน จ.พระนครศรีอยุธยา เต็มพื้นที่และบางจุดน้ำมีความสูง 2 เมตร ซึ่งกระทรวงอุตสาหกรรมได้สั่งการให้การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) พยายามป้องกันไม่ให้น้ำเข้ามากขึ้น โดยจะเสริมคันดินให้แข็งแรงมากขึ้นด้วยการนำแผ่นเหล็กมาเสริม และนำกระสอบทรายมาเสริมอีกชั้น เชื่อว่าวิธีนี้จะป้องกันความแรงของแรงดันน้ำได้ และจะสูบน้ำออกจากนิคม

ทั้งนี้ นิคมบางปะอิน มีโรงงาน 90 แห่ง ในพื้นที่ 1,962 ไร่ มีมูลค่าลงทุน 60,000 ล้านบาท และการจ้างงาน 60,000 คน ส่วนใหญ่เป็นกิจการของนักลงทุนญี่ปุ่น 38.89% สหรัฐ 14.81% มาเลเซีย 12.96% เป็นต้น โดยกลุ่มที่มีการลงทุนสูง เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องยนต์ เครื่องนุ่งห่ม

สำหรับนิคมบ้านหว้า (ไฮเทค) มีรอยรั่วของคันดินทิศใต้ 80 เมตร ซึ่งน้ำในนิคมฯ ไหลออกจากนิคมฯ ทางจุดนี้ก็จะปล่อยให้น้ำไหลออกไป และมีรอยรั่วของคันดินที่ทิศตะวันออก 40 เมตร ก็จะรอให้น้ำนิ่งแล้วใช้แผ่นเหล็กเข้าไปเสริมคันดินให้แข็งแรง และถ้าอุดรอยรั่วตรงนี้ได้ก็จะสูบน้ำออกจากนิคมฯ
ส่วนสวนอุตสาหกรรมนวนคร จ.ปทุมธานี ได้ประสานให้ผู้ประกอบการเสริมคันดินทั้ง 4 ด้าน ขึ้น 1.5 เมตร โดยได้ตรวจสอบทิศทางการไหลของน้ำพบว่ามีน้ำไหลจากทิศเหนือไปทิศใต้ ซึ่งเป็นน้ำจากพระนครศรีอยุธยาก็จะป้องกันส่วนที่ปะทะน้ำให้ดี เพราะน้ำจากเจ้าพระยายังมาไม่ถึง เพราะมีทางรถไฟกั้น สถานการณ์ปัจจุบันยังดูแลสวนอุตสาหกรรมโรจนะได้

ที่มา:กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
///////////////////////////////////////////////////////////////////////

อุตุเผยไทยตอนบนฝนยังหนัก !!?

อุตุนิยมวิทยา รายงานสภาพอากาศประจำวันี้ 16ต.ค. ว่า ร่องมรสุมพาดผ่านภาคกลาง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง และภาคตะวันออก ลักษณะเช่นนี้ทำให้บริเวณภาคกลาง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง และภาคตะวันออกของประเทศไทยยังคงมีฝนฟ้าคะนองกระจายถึงเกือบทั่วไป และมีฝนตกหนักได้บางแห่ง ขอให้ประชาชนบริเวณจังหวัดบุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ และอุบลราชธานี ระวังอันตรายจากสภาวะฝนที่ตกหนักอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันน้ำป่าไหลหลากได้ในระยะนี้

อนึ่ง ความกดอากาศสูงกำลังปานกลางจากประเทศจีนได้แผ่เข้าปกคลุมประเทศเวียดนามและลาวแล้ว คาดว่าจะแผ่เข้ามาปกคลุมภาคตะวันออกเฉียงเหนือในวันนี้(16ต.ค.) ลักษณะเช่นนี้จะทำให้บริเวณภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีฝนฟ้าคะนองในระยะแรก หลังจากนั้นอุณหภูมิจะลดลง 1-3 องศา

ภาคเหนือ มีฝนฟ้าคะนองเกือบทั่วไป ร้อยละ 70 ของพื้นที่ ส่วนมากบริเวณจังหวัดแพร่ อุตรดิตถ์ สุโขทัย กำแพงเพชร พิษณุโลก พิจิตร แพร่ และน่าน อุณหภูมิต่ำสุด 23-24 องศา อุณหภูมิสูงสุด 32-34 องศา ลมเหนือ ความเร็ว 10-30 กม./ชม.

ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีฝนฟ้าคะนองเกือบทั่วไป ร้อยละ 80 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง บริเวณจังหวัดชัยภูมิ กาฬสินธ์ ร้อยเอ็ด ยโสธร นครราชสีมา บุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ และอุบลราชธานี อุณหภูมิต่ำสุด 21-24 องศา อุณหภูมิสูงสุด 29-31 องศา ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 15-35 กม./ชม.

ภาคกลาง มีฝนฟ้าคะนองเกือบทั่วไป ร้อยละ 70 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง ส่วนมากบริเวณจังหวัดอุทัยธานี สิงห์บุรี อ่างทอง สระบุรี และพระนครศรีอยุธยา อุณหภูมิต่ำสุด 22-24 องศา อุณหภูมิสูงสุด 31-33 องศา ลมแปรปรวน ความเร็ว 15-30 กม./ชม.

ภาคตะวันออก มีฝนฟ้าคะนองเกือบทั่วไป ร้อยละ 80 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง บริเวณจังหวัดนครนายก สระแก้ว ชลบุรี ระยอง จันทบุรี และตราด

อุณหภูมิต่ำสุด 23-25 องศา อุณหภูมิสูงสุด 30-32 องศา

ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-30 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูง ประมาณ 1 เมตร บริเวณฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร

ภาคใต้ฝั่งตะวันออก มีฝนฟ้าคะนองเป็นแห่งๆ ร้อยละ 30 ของพื้นที่ ส่วนมากบริเวณจังหวัดเพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ และชุมพร อุณหภูมิต่ำสุด 22-25 องศา อุณหภูมิสูงสุด 31-33 องศา ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-30 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร บริเวณฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร

ภาคใต้ฝั่งตะวันตก มีฝนฟ้าคะนองเป็นแห่งๆ ร้อยละ 20 ของพื้นที่ ส่วนมากบริเวณจังหวัดระนอง และพังงา อุณหภูมิต่ำสุด 21-24 องศา อุณหภูมิสูงสุด 30-33 องศา ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-35 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูง 1-2 เมตร บริเวณฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร

กทม.-ปริมณฑล มีฝนฟ้าคะนองเกือบทั่วไป ร้อยละ 80 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง อุณหภูมิต่ำสุด 24-25 องศา อุณหภูมิสูงสุด 30-32 องศา ลมแปรปรวน ความเร็ว 15-30 กม./ชม.

ที่มา:เนชั่น
///////////////////////////////////////////////

วันเสาร์ที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2554

เปลือยใจ ปลอดประสพ. ผมพูดผิดแต่รักษาชีวิตคนไว้ดีกว่า..!!?


เปลือยใจ ปลอดประสพ "ผมพูดผิดแต่รักษาชีวิตคนไว้ดีกว่า.."

ทำชาวบ้านตกอกตกใจ อลเวง-อลม่าน กันเล็กน้อยเมื่อทีวีถ่ายทอดสดออกอากาศประกาศเตือน ให้ประชาชนเตรียมอพยพด่วนใน 7 ชั่วโมง หลังรัฐบาลไม่สามารถคุมประตูระบายน้ำบ้านคลองพร้าวที่เสียหายได้ แต่อีกไม่กี่อึดใจถัดมากลับได้ฟังแถลงใหม่อีกครั้งว่า สามารถควมคุมน้ำได้ สร้างความสับสนงงงวยแก่ชาวกรุงในนาทีเป็นนาทีตาย เฝ้าระวังน้ำท่วมอย่างใจจดใจจ่อในเวลานี้....

ภายหลัง นายปลอดประสพ สุรัสวดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ในฐานะหัวหน้าศูนย์ตรวจสอบ พื้นที่ศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม(ศปภ.) ออกอากาศยิงสดทีวีเมื่อหัวค่ำวันที่ 13 ต.ค. สร้างความตระหนกต่อคนที่อยู่ในพื้นที่ รังสิต-เชียงรากน้อย-สายไหม ไม่น้อย โดยภายหลังแถลงประกาศเตือนกลับมีคนใน ศปภ. ออกมาบลัฟข้อมูลกันเองโดยยืนยันว่าไม่ได้ร้ายแรงถึงขนาดอพยพผู้คนแต่อย่างใด

ไทยรัฐ ออนไลน์ มีโอกาสสัมภาษณ์นายปลอดประสพ ว่าอะไรและเหตุใดจึงตัดสินใจแถลงเช่นนั้น ในนาทีหน้าสิ่วหน้าขวาน ที่ต้องใช้ความเด็ดเดี่ยวในการตัดสินใจประกาศแจ้งเตือนประชาชนในพื้นที่...
“ถ้า ผมไม่พูดวันนี้จะมีคนมาเยอะมั้ย ถ้าผมไม่พูดทหารจะมากันเยอะมั้ย และถ้าผมไม่พูดวันนี้ มันจะคงจะพังไปหมดแล้วมั้ย แต่ไม่เป็นไร ที่เราพูดไปก็เพราะหวังดี ไม่น้อยใจ ผมแก่แล้ว และผมก็รักษาชีวิตคนไว้ได้...”


นายปลอดประสพ เล่าให้กับไทยรัฐออนไลน์ฟังถึงเหตุผลที่ต้องประกาศไปก็เพราะว่า ประตูระบายน้ำคลองบ้านพร้าวนั้น เพราะผมเป็นคนไปเห็นปัญหามาได้ 2-3 วันก่อนที่จะแถลงแล้ว แต่ว่าเมื่อวานสถานการณ์มันเลวร้ายที่สุด แตกยาว และบริษัทที่เข้าไปทำก็ถอนตัวออกมา เหลืออยู่แค่รถของนายก อบจ. และรถลูกน้องเขาเพียง10 กว่าคน และน้ำก็ไหลทะลักเข้ามาเยอะมาก ผมเห็นว่าทั้งคืนก็ยังไม่ได้ทำ น้ำก็ไหลลงมา เห็นมาแล้วก่อนหน้านั้นอีก รวมวันนี้(13 ต.ค.)ก็เข้าวันที่ 4 แล้ว และก็บังเอิญวิม (นายวิม รุ่งวัฒนจินดา โฆษกศปภ.) เขาก็เดินมาบอกผม บอกว่าพี่ๆเขาแจ้งมาว่ามันแตกแล้ว ผมรู้มานานแล้วแต่ไม่พูด รู้กันแค่กับทหารเท่านั้น

เมื่อถามว่า นายวิม เขารู้ได้อย่างไรว่ากั้นน้ำแตก นายปลอดประสพ กล่าวว่า วิมเขามีคนแจ้งเขาแล้วมาบอกว่ามันแตก สุดท้ายก็มาคิดว่าจะทำอย่างไรที่จะแจ้งข่าวให้ประชาชนได้ทราบ ก็เลยรีบชวนกันมาออกบอกกับสื่อและประชาชน แต่วิมเขาไม่ได้เห็น จุดประสงค์ของผมก็คือว่าเขื่อนมันแตก อยากจะมาเตือนและบอกความจริงกับประชาชน เพราะเขื่อนกันน้ำ มันแตกแล้ว และน้ำก็ไหลมาเยอะแยะ มีคนซ่อมอยู่เพียงนิดหน่อย มันก็ไหลและไม่ว่าจะไหลไปทางไหนน้ำมันก็ท่วมทั้งนั้น
“ผมพูดผิดแต่รักษาชีวิตคนไว้ดีกว่า…..”

ส่วน ใครอยู่ที่ในที่ต่ำก็ให้เก็บข้าวของออกมาในที่สูง มีรถก็นำขึ้นที่สูง บ้านชั้นสองก็ไม่เป็นปัญหา ถ้าบ้านชั้นเดียวแล้วยกสูงหน่อยก็ไม่มีปัญหาอย่างแน่นอน ก็นั่นแหละที่ผมบอกเพราะผมเห็นชีวิตคนน่ะสำคัญไม่เสี่ยง เมื่อถามว่า เป็นการพูดผิดหรือแถลงผิดไม่ นายปลอดประสพ กล่าวว่า ผมพูดผิดแต่รักษาชีวิตดีกว่า ถ้าผมไม่พูดแล้วเกิดความเสียหายขึ้นมานั่นมันก็ไม่ถูก ผมบอกไปเท่านั้นเอง แต่บังเอิญมีคนถามขึ้นมาเท่านั้นว่าถ้าเขามาแล้วจะอยู่ที่ไหน ผมก็เลยบอกไปว่าดอนเมืองแล้วกัน แล้วถามว่าเมื่อไหร่ ผมก็บอกไปเลยว่ามาเลยใน 7 ชั่วโมง ผมก็บอกไปอย่างไม่ระวังตัวเองเท่าไหร่หรอก ในเมืองนอกเขาก็ไม่มีใครเอาชีวิตคนไปเสี่ยงหรอกครับ สถานการณ์ในวันนี้ ผมก็อยู่ด้วยทั้งวัน มีรถตักดินมา 3 คัน มีของคุณขวัญชัย ไพรพนา ส่งมาช่วยจากอุดร และมีอีกคันหนึ่งของที่มีอยู่เดิม

และวันนี้มีทหาร มาเยอะ มาทำแนวคันดิน ถ้าผมไม่พูดวันนี้จะมีคนมาเยอะมั้ย ถ้าผมไม่พูดทหารจะมากันเยอะมั้ย และถ้าผมไม่พูดวันนี้ มันจะคงจะพังไปหมดแล้วมั้ย แต่ไม่เป็นไร ที่เราพูดไปก็เพราะหวังดี ไม่น้อยใจ ผมแก่แล้ว และผมก็รักษาชีวิตคนไว้ได้ ผมกลับภูมิใจเสียอีก บวกลบคูณหารแล้วผมรักษาชีวิตคนได้แล้วถูกด่านิดหน่อย ผม ถูกด่าก็ไม่เป็นไร แต่ก็มีคนส่งเอสเอ็มเอสมาให้กำลังใจผมเช่นกัน ไม่ชอบ อยากด่าก็เชิญ ด่าแล้วสบายใจหายเครียดก็เชิญ ผมรับได้ ยืนยันว่าที่ผมทำหน้าที่เพราะหวังดี ที่ทำไปเพราะเห็นคุณค่าชีวิตคน ความจริงถ้าเป็นเมืองนอก เตือนพลาดก็ไม่เป็นไร ดีกว่าปล่อยให้คนตาย ก็อย่างที่คุณวิมเดินมาเตือนครั้งที่แล้วคุณก็ได้ยินแล้วนี่ เชิญคนอื่นแล้วกัน ผมขอทำหน้าที่ตามที่ถนัดในเรื่องเทคนิคของผมดีกว่า
“จริงๆเจ้าของเรื่องคือกรมชลประทานและกระทรวงเกษตรและสหกรณ์โดยตรง ผมนี่ยุ่งไปเองแท้ๆ....”

เมื่อถามว่าคนมองว่าเกิดความขัดแย้งกันเรื่องข้อมูลภายในศปภ. นายปลอดประสพ กล่าวว่า ผมรู้สึกเฉยๆไม่มีอะไร ไม่มีภาระและผมก็ชัดเจน ผมพยายามที่จะหลีกเลี่ยงเรื่องวุ่นวายที่จะไม่ไปยุ่งในเรื่องที่ไม่ใช่ของผม ปลอดประสพไม่เอาอีกแล้ว เปลืองตัว ตอนนี้ผมก็ทำเรื่องผันน้ำหลัก 3 สาย ท่าจีน บางปะกง เจ้าพระยา และก็ดูแลแทนท่านนายกฯในการประสานงานในการระบายน้ำออก มาดูแลตรวจว่าทำตรงไหนบ้าง ผมไม่เข็ดหรอก ผมทำประโยชน์ให้แก่ส่วนรวม ถ้าผมไม่ทำผมก็แย่แล้ว ผมไม่ใช่คนขี้ขลาด ถ้าผมไม่พูดจริงๆก็ไม่รู้จะทำได้หรอไม่ ผมขี้เกียจพูดแล้ว ถ้าให้ไปแถลงอีกก็ไม่เอา ขี้เกียจ เบื่อ ไม่ถูกตำหนิอะไร คนที่เป็นรัฐมนตรีเท่าๆกันจะมาตำหนิอะไรผม ถามว่าเท่ากันหรือเปล่า? ผู้บังคับบัญชาผมคือนายกฯคนเดียว ไม่ว่าใครทั้งนั้นก็เป็นรัฐมนตรีเท่าๆกัน ใครจะมาตำหนิผม ท่านเข้าใจผมนะว่าหวังดีกับส่วนรวม


ถึงตอนนี้ก็ยัง ไม่มีใครกล้าบอกนะว่าประตูน้ำคลองบ้านพร้าว ก็ยังไม่เสร็จ นายปลอดประสพ กล่าวว่า ไม่รู้สิ คุณก็ไปบอกเองสิ ต้องไปดูเองและเขียนเอง ผมไม่บอกแล้ว ผมเห็นว่ามีอีกหลายประตูแต่จำไม่ได้จริงๆที่ยังไม่เสร็จ ไอ้นี่ผมแค้ไปดูแล้วเห็นโดยบังเอิญ เป็นห่วงก็เลยติดตาม จริงๆเจ้าของเรื่องคือกรมชลประทานและกระทรวงเกษตรและสหกรณ์โดยตรง ผมนี่ยุ่งไปเองแท้ๆ เมื่อถามว่าแล้วทำไมศปภ.บอกรายงานไม่ครบ นายปลอดประสพ กล่าวว่า ไม่รู้ เสร็จไม่เสร็จคุณต้องไปดูเอง ผมก็ไม่อยากมีอำนาจ ไม่จำเป็น ไม่อย่าล้วงลูกคนอื่น สังคมไทยละเอียดอ่อน ผมเอานิสัยฝรั่งมาใช้เยอะ ผมก็รู้เรื่องทรัพยากรเยอะ และสิ่งแวดล้อมก็รู้เยอะ แล้วที่ผ่านมาจากวันที่แถลงเมื่อวนก่อนมันเป็นจริงมั้ยละ

ส่วน กรุงเทพน้ำจะท่วมมั้ย นายปลอดประสพ กล่าวว่า ผมหวังว่าจะไม่เป็นอย่างนั้น คืองี้ที่เราคุยกันรอบๆกรุงเทพคงจะท่วมบ้าง ทั้งภาคตะวันออกและตะวันตก แต่กรุงเทพชั้นในก็คงจะปลอดภัยสัก 90 เปอร์เซ็นต์ แต่รอบๆชานเมือง ริมแม่น้ำเจ้าพระยาและชานเมืองก็มีบ้าง แต่อย่างไรก็ไม่ท่วมกรุง

*** สำหรับประวัติของนายปลอดประสพ สุรัสวดี นั้นไม่ธรรมดา ดีกรีปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาการประมง ม.เกษตรศาสตร์ - ปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาเทคโนโลยีการประมง ม.แม่โจ้ - ปริญญาเอก สาขานิเวศวิทยาแค่ 2 ปี 7 เดือน คนแรกและคนเดียวของ Mantoba University ประเทศแคนาดา - ปริญญาโท การบริหารการประมง มหาวิทยาลัยโอเรกอน สเตท Oregon State University ประเทศสหรัฐอเมริกา
ส่วนประสบการณ์ทำงานนั้นเคยดำรง ตำแหน่ง กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่ง แวดล้อม,เลขาธิการสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม,รองปลัดกระทรวง เกษตรและสหกรณ์เมษายน,อธิบดีกรมประมง


...เรียก ได้ว่าเป็นกูรูและเติบโตมาทางด้านทรัพยากรธรรมชาติการจัดการโดยแท้จริง ในสายงานอาชีพของตนเอง เมื่อคนเชี่ยวชาญและผ่านงานโดยตรงกล้าออกมาเตือนดังๆ สังคมก็ควรจะรับฟังและวิเคราะห์ประกอบตามด้วย จึงจะเหมาะในสถานการณ์ที่ช่วยอะไรได้ก็ควรช่วยกันดีกว่ามาจ้องเตะตัดขา กันเองในเวลาแบบนี้.

ไทยรัฐออนไลน์

ต้นฉบับ: http://www.thairath.co.th/content/pol/209407

ที่มา: ไทยรัฐ
////////////////////////////////////////////////////////////////////