--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันอาทิตย์ที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

Social Network กับการเมือง กรณีศึกษา อำมาตย์กินเบียร์ !!?

วิวาทะระหว่างกรณ์ จาติกวณิช และณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ กลายเป็นประเด็นร้อนทางการเมืองตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา สอดแทรกไปกับข่าวการเลือกตั้งที่แต่ละพรรคต่างเปิดตัวผู้สมัคร ส.ส. ออกมาเรื่อยๆ
เรื่องเริ่มมาจากนายกรณ์ ในฐานะ รมว. คลัง โพสต์ข้อความผ่าน Facebook ว่ามีคนเล่าให้ฟังว่าไปรับประทานอาหารที่ร้านเดียวกับนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำเสื้อแดง โดยมีข้อความดังนี้
“เมื่อสักครู่ ได้มาทานข้าวกับภรรยาที่ร้านอาหารแถวๆ ทองหล่อ คนที่นั่งอยู่โต๊ะข้างๆบอกว่า ณัฐวุฒิ ไสยเกื้อ กับครอบครัวเพิ่งลุกไปจากโต๊ะที่ผมนั่งอยู่ไม่ถึง 5 นาทีที่ผ่านมานี้เอง ทำให้เราอดนึกขำไม่ได้ว่า คนที่เรียกตัวเองว่า ′ไพร่′ ก็ไม่ได้ใช้ชีวิตแตกต่างไปจากคนที่เขาเรียกว่าเป็นพวก ′อำมาตย์′ สักเท่าใดนัก”
จากนั้นนายณัฐวุฒิก็ตอบโต้ผ่าน Facebook ของตัวเองเช่นกันว่า
“เพราะประเทศนี้มีคนคิดอย่างคุณ การกดขี่จึงดำรงอยู่…ทำไมไพร่มันจะกินข้าวร้านเดียวกับนายทุนไม่ได้…”
เท่านั้นยังไม่พอ เพราะภรรยาของกรณ์ “วรกร จาติกวณิช” ก็โพสต์ข้อความลงใน Facebook ของตัวเองเช่นกัน
“ณ ร้านอาหาร ในซอยทองหล่อคืนนี้ อำมาตย์และอำมาตย์หญิงแชร์เบียร์ไทย 1 ขวด ส่วน “ไพร่กับภรรยา” ดื่มไวน์ราคาแพง และมีพยาบาลตามมาดูแลลูก”
จากนั้นวิวาทะเรื่องชนชั้น ไพร่ vs อำมาตย์ และ เบียร์ vs ไวน์ ก็ปะทุขึ้นราวกับภูเขาไฟระเบิด จากผู้สนับสนุนทั้งสองฝ่าย แน่นอนว่า “พื้นที่” ของวิวาทะเหล่านี้ก็ย่อมเกิดใน Facebook อีกนั่นเอง ไม่ว่าจะเป็นในหน้าของกรณ์ วรกร ณัฐวุฒิ หรือพื้นที่ของผู้ใช้ Facebook แต่ละคนที่สามารถกด “แชร์” ข้อความต้นเรื่องมาบนหน้าวอลล์ของตัวเอง

ปก มติชน สุดสัปดาห์ กรณ์ ณัฐวุฒิ

ที่น่าสนใจไปกว่านั้นก็คือ วิวาทะครั้งนี้ถูกนำไปเป็นประเด็นข่าวลงในนิตยสารการเมืองอย่าง “มติชนสุดสัปดาห์” ฉบับล่าสุด ซึ่งนำภาพของกรณ์และณัฐวุฒิมาขึ้นปก พร้อมกับพาดหัวว่า “คนชั้นสูงดื่มเบียร์”
ในเล่มยังประกอบด้วยคอลัมน์ “จัดหนัก” ต้อนรับสถานะ Facebook ของนายกรณ์ถึง 3 คอลัมน์ (ซึ่งสามารถอ่านได้จากบนเว็บไซต์ของมติชน) ดังนี้
เมื่อเทียบ “โทน” ของเนื้อหาที่ตีพิมพ์ ก็ต้องบอกว่าเป็นผลเสียต่อคะแนนนิยมของนายกรณ์ไม่น้อย เมื่อพิจารณาจากอิทธิพลของ “มติชนสุดสัปดาห์” ในฐานะนิตยสารวิจารณ์การเมืองที่ขายดีเป็นอันดับต้นๆ ของประเทศ

เราคงยกเรื่องการวิจารณ์เนื้อหาทั้งฝั่งนายกรณ์และณัฐวุฒิให้กับนักเขียนของ “มติชนสุดสัปดาห์” ส่วนประเด็นที่ SIU อยากนำเสนอในวันนี้คือ “พื้นที่” ของวิวาทะทางการเมืองที่เกิดขึ้นบน Social Network ยอดนิยมอย่าง Facebook

กรณี “อำมาตย์กินเบียร์” ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ ถ้ามองด้วยกรอบของ “พื้นที่” ทั้งในโลกไซเบอร์สเปซและโลกความเป็นจริง ก็มีประเด็นที่น่าสนใจหลายข้อดังนี้

1) Social Network ในฐานะ “ช่องทางการสื่อสารโดยตรง” ของนักการเมือง
การที่นักการเมืองถกเถียงกันแล้วเป็นข่าวตามหน้าสื่อ เป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นมาช้านานในสังคมไทย
เพียงแต่ที่ผ่านมา การถกเถียงของนักการเมืองจะใช้สื่อกลางคือ “การให้สัมภาษณ์” ผ่านสื่อมวลชนแขนงต่างๆ จากนั้นนักการเมืองฝ่ายตรงข้ามจะตอบโต้ด้วยกระบวนการเดียวกัน ส่วนบรรดา “แฟนคลับ” ก็มีหน้าที่รออ่าน-ชมวิวาทะตามหน้าสื่อ แล้วค่อยวิจารณ์กันเองในภายหลัง

แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ คือ นักการเมืองทั้งสองฝ่าย ต่าง “โพสต์ข้อความ” ลงในพื้นที่ Facebook ส่วนตัวของตัวเอง จากนั้นสื่อมวลชนถึงนำมาเล่นเป็นประเด็นข่าวในภายหลัง ส่วน “แฟนคลับ” กลับเป็นผู้ที่เห็นข้อความเหล่านี้ก่อนใคร และสร้างบทสนทนาขึ้นรายล้อมในพื้นที่ Facebook ของนักการเมืองเหล่านั้น
เราปฏิเสธไม่ได้ว่าทั้งกรณ์และณัฐวุฒิ ต่างก็มี “แฟนคลับ” ที่เหนียวแน่นอยู่มาก และการ “โพสต์ข้อความ” ของทั้งคู่ ก็มุ่งเน้นการสื่อสารกับแฟนคลับเป็นหลัก มากกว่าจะสร้างประเด็นให้สื่อกระแสหลักนำไปเล่นเหมือนกับการให้สัมภาษณ์แบบเดิม ๆ (นายกรณ์ในฐานะต้นเรื่อง ก็คงไม่คิดว่าเพียงข้อความสถานะเดียวของตนเอง ถึงกับทำให้มติชนนำไปลงเป็นเรื่องปก)

กรณีที่คล้ายๆ กันเมื่อไม่นานที่ผ่านมา ก็คือ Twitter ของนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ (@pm_abhisit) ทักไปถึง @thaksinlive อดีตนายกรัฐมนตรีที่อยู่ในแดนไกลว่า “ขอให้ท่านเห็นดวงตาธรรม” ในวันเด็ก จนเป็นประเด็นข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์ทุกฉบับ

กรณี “อำมาตย์กินเบียร์” ก็คล้ายๆ กัน เพียงแต่เปลี่ยนจาก Twitter เป็น Facebook และเปลี่ยนคู่สนทนาจากนายกรัฐมนตรีสองคน มาเป็น รมว. คลังกับแกนนำเสื้อแดงเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม ด้วยกระแสความนิยมของ Facebook ที่เพิ่มขึ้นสูงมากในรอบ 1-2 ปีที่ผ่านมา ทำให้ดีกรีของวิวาทะแรงกว่าเดิมหลายเท่า และรูปแบบการสนทนาของ Facebook ที่รวมศูนย์กว่า Twitter ก็ทำให้บรรดาแฟนคลับเข้ามาวิพากษ์กันได้โดยง่ายมากขึ้น

ต่อจากนี้ไป Facebook ของนักการเมืองทั้งหลายจะถูกจับตาอย่างใกล้ชิดจากสื่อมวลชนกระแสหลัก เนื่องเพราะ “ข่าวเด็ด” เริ่มย้ายตัวเองจากปลายไมโครโฟนที่สื่อเคยเป็นคนควบคุมเบ็ดเสร็จ มาเป็น “วอลล์” บน Social Network ที่สื่อได้แต่เป็นเพียงผู้สังเกตการณ์ ดังเช่นประชาชนทั่วไป

2) ความเร็วในการกระจายสารของ Social Network

ลักษณะเฉพาะของ Social Network คือการ “แชร์” ข้อมูลไปให้ “เพื่อน” อ่านต่อ ไม่ว่าจะผ่านปุ่ม Like/Share ใน Facebook หรือวิธีการ Retweet ใน Twitter

เมื่อเจอข้อความที่โดนใจ ธรรมชาติของผู้ใช้ Social Network ก็มักจะแชร์ข้อความหรือรูปภาพไปให้เพื่อนๆ ได้อ่านกัน

ณ เวลาที่เขียนบทความนี้ Facebook ระบุว่ามีผู้ใช้ที่บอกว่า “อาศัยอยู่ในประเทศไทย” (ไม่รวมคนไทยที่อยู่ในต่างประเทศ และอาจรวมชาวต่างชาติที่อยู่ในไทย) จำนวน 9.3 ล้านคน (ประมาณ 1 ใน 7 ของประชากรทั้งประเทศ)

พฤติกรรมของผู้ใช้ Facebook มักจะติดตามอ่านสถานะและข้อความของเพื่อนๆ ตลอดเวลา ถ้าแอบดูจอมอนิเตอร์ของพนักงานกินเงินเดือนทั่วไป เรามักจะเห็น Facebook ถูกเปิดอยู่บนหน้าจอ (ถ้าไม่โดนบริษัทบล็อคเสียก่อน) นอกจากนี้ยังใช้ Facebook ผ่านทางมือถือเกือบทุกยี่ห้อได้ทุกที่ตลอดเวลา
ตัวเลข 9.3 ล้านคน (และเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ) บวกด้วยธรรมชาติของการแชร์ และพฤติกรรมการตามอ่านข้อความตลอดเวลา รวมๆ แล้วเป็น “สื่ออันทรงพลัง” เป็นอย่างยิ่ง

ประเด็นร้อนอย่างวิวาทะของกรณ์กับณัฐวุฒิ, คลิปสงกรานต์ที่สีลม, เรยาและดอกส้มสีทอง สามารถส่งต่อและแพร่กระจายไปยังชนชั้นกลางจำนวนมากได้ในเวลาอันรวดเร็วเป็นหลักนาที หรืออย่างมากก็หลักชั่วโมงเท่านั้น

ถ้าเป็นข่าวลบ ก็รับรองได้ว่านักการเมืองจะโดนรุมอัดเละชนิดตั้งตัวไม่ทัน ในทางกลับกัน ถ้าเป็นข่าวบวก กระแสอาจดีขึ้นผิดหูผิดตาโดยไม่รู้ว่าทำอะไรลงไปด้วยซ้ำ

นักการเมืองที่เคยสร้างปรากฏการณ์ระดับนี้ได้มีเพียง “ทักษิณ” กับบัญชี @thaksinlive ใน Twitter
แต่นั่นต้องไม่ลืมว่าเขาเป็น “ทักษิณ” ผู้ที่ใครๆ ก็สนใจ และเป็นผู้อยู่แดนไกลที่สื่อกระแสหลักไทยเข้าถึงตัวได้ยาก (หรือถ้าเข้าถึงได้ก็อาจจะโดนปลดจากสถานีแบบกรณีของจอม เพชรประดับกับช่อง 11) ทุกข้อความที่ทักษิณโพสต์จึงถูกจับตาจากสื่อ

แต่วิวาทะของนักการเมืองระดับรองๆ ลงมาอย่างกรณ์และณัฐวุฒิ ก็เปิดโอกาสกว้างให้กับนักการเมืองรุ่นใกล้เคียงกัน มาใช้ประโยชน์จาก Social Network กันได้มากขึ้น

ดังนั้นอีกไม่นาน เราคงได้เห็นนักการเมืองที่เข้าใจถึงธรรมชาติของ Social Network อย่างถ่องแท้ และสามารถสร้างประเด็นข่าว (set agenda) ด้วยเพียงข้อความไม่กี่บรรทัดใน Social Network ส่งผลสะเทือนกับเกมการเมืองของประเทศ

3) การเปลี่ยนพื้นที่ไซเบอร์ให้เป็นพื้นที่จริง ด้วย “เทศกาลอาหารไพร่ทองหล่อ”

วิวาทะของกรณ์และณัฐวุฒิ เป็นการเปลี่ยนเหตุการณ์บนโลกจริง (ร้านอาหารที่ซอยทองหล่อ) ที่มีคนอยู่ในเหตุการณ์เพียงหลักสิบ ให้เป็นเหตุการณ์เล่าซ้ำบนโลกไซเบอร์ (เล่าถึงทองหล่อบน Facebook) ที่มีผู้รับรู้จำนวนมหาศาล และผลิตซ้ำได้ตลอดเวลา (เป็นสัปดาห์แล้วกระแสยังไม่หมด)

แต่จุดที่น่าสนใจที่สุดในวิวาทะครั้งนี้ คือการเปลี่ยนวิวาทะบนพื้นที่ไซเบอร์ ให้กลับมาอยู่บนโลกจริงอีกครั้ง ด้วยตัวเชื่อมคือ “ซอยทองหล่อ” ซึ่งมีสถานะเป็นทั้งสถานที่จริง และสถานที่ในข้อความของกรณ์-ณัฐวุฒิ

ผู้ที่เปลี่ยนโลกไซเบอร์กลับมาเป็นโลกจริง ก็คือ “บก. ลายจุด” สมบัติ บุญงามอนงค์ นักกิจกรรมชื่อดังจาก “แกนนอนเสื้อแดง”

บก. ลายจุด กับ "เทศกาลอาหารไพร่" ที่ทองหล่อ (ภาพจากมติชน)

หลังจากข่าววิวาทะ “อำมาตย์กินเบียร์” แพร่กระจายออกไป บก. ลายจุดก็เสนอไอเดีย “ชวนไพร่ไปกินอาหารที่ทองหล่อ” ซึ่งมีภาพลักษณ์เสมอมาว่าเป็นพื้นที่ของคนชั้นสูง (หรือ “อำมาตย์” ถ้าจะใช้คำนิยามของกรณ์)

เท่านั้นยังไม่พอ บก. ลายจุด ยังเสนอว่า “อาหาร” ที่ไพร่ควรไปกินที่ทองหล่อ ไม่ควรเป็นร้านอาหารหรู สถานที่สร้างวิวาทะไซเบอร์ แต่เป็น “อาหารไพร่” อย่างหาบเร่แผงลอย ซึ่งมีผู้ประกอบการที่สนับสนุนเสื้อแดงอาสาไปขายทันทีที่ทราบข่าว

ถือเป็นการ “ท้าทาย” การแบ่งแยกทางชนชั้นอย่างแหลมคมยิ่ง เพราะเป็นการนำ “ไพร่เสื้อแดง” (ตามความหมายของสมบัติ) ไปบุก “พื้นที่อำมาตย์” อย่างซอยทองหล่อ ถือเป็นการแสดงออกสัญลักษณ์ด้วยการใช้พื้นที่อย่างน่าสนใจ

ถึงแม้วันที่จัดงานจริง (14 พ.ค. 54) จะประสบปัญหาฝนตกจนผู้ร่วมงานลดลงก็ตาม (ข่าวจากมติชน) แต่ทีมของ บก.ลายจุด ก็ประสบความสำเร็จในการ “ช่วงชิงพื้นที่” ซอยทองหล่อให้มาเป็น “พื้นที่ที่ไพร่ก็สามารถเข้าถึงได้”

น่าเสียดายว่า วิวาทะเรื่องชนชั้นแบบนี้ ฝ่ายอำมาตย์มีทางเลือกน้อยมากในการตอบโต้ (เพราะถือว่ามีฐานะทางสังคมเพียบพร้อมกว่า) มิฉะนั้นเราอาจได้เห็น “เทศกาลอาหารอำมาตย์” บุกไปยัง “พื้นที่ไพร่ๆ” บ้างเสียแล้ว และจะยิ่งทำให้พัฒนาการของโลกไซเบอร์-โลกจริง น่าสนใจยิ่งขึ้นไปอีก

ที่มา.Siam Intelligence Unit
/////////////////////////////////////////////////////////////////////

พุทธศาสนากับ ประชาธิปไตยหางด้วน !!?

โดย.สุรพศ ทวีศักดิ์

คำพูดที่ว่า พุทธศาสนาบริสุทธิ์จากการเมือง อยู่เหนือการเมือง ไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง อาจเป็นคำพูดที่ถูกต้องหากหมายถึงพุทธศาสนาส่วนที่เป็นสัจธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้คือ “อริยสัจ 4”

แต่หากหมายถึงพุทธศาสนาในความหมายที่ซับซ้อนกว่านั้น เช่น พุทธศาสนาที่มีคำสอนเกี่ยวกับมิติทางสังคมและการเมือง หรือการปรับใช้คำสอนของพุทธศาสนาเพื่อตอบสนองต่อบริบททางสังคม-การเมืองในยุคสมัยต่างๆ หรือพุทธศาสนาเชิงสถาบันที่ประกอบด้วยศาสดา พระสาวก องค์กรสงฆ์ พุทธบริษัท 4 พุทธศาสนาในความหมายที่ซับซ้อนดังกล่าวนี้ไม่เคยเป็นอิสระจากการเมืองอย่างสิ้นเชิง หากแต่มีมิติที่เกี่ยวข้องกับการเมืองเสมอมากบ้างน้อยบ้างตามเงื่อนไขทางประวัติศาสตร์สังคมและวัฒนธรรมที่พุทธศาสนาเข้าไปมีปฏิสัมพันธ์ด้วย

ความสัมพันธ์ระหว่างพุทธศาสนากับการเมืองในสมัยพุทธกาล ซึ่งบทบาททางศาสนาที่สำคัญในยุคนั้นขึ้นอยู่กับบทบาทของพระศาสดา และบทบาทสำคัญทางการเมืองขึ้นอยู่กับบทบาทของกษัตริย์ หากพระศาสดาและกษัตริย์มีปฏิสัมพันธ์ที่ดีต่อกันการเผยแผ่พุทธศาสนาย่อมประสบความสำเร็จได้ง่ายขึ้น

แน่นอนว่าความเจริญรุ่งเรืองของพุทธศาสนาในสมัยพุทธกาลก็อยู่ภายใต้เงื่อนไขดังกล่าวนี้ เพราะพระพุทธเจ้าเป็น “เพื่อนสนิท” กับกษัตริย์ในรัฐมหาอำนาจในชมพูทวีปถึงสองรัฐคือ รัฐมคธกับรัฐโกศล โดยสัมพันธภาพดังกล่าวย่อมส่งผลให้พุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองในสองรัฐใหญ่ และรัฐเมืองขึ้นอื่นๆ อีกจำนวนหนึ่ง

คำสอนของพุทธศาสนาที่เกี่ยวกับการเมือง เช่น ทศพิธราชธรรม จักรวรรดิวัตร วัชชีธรรมหรืออปริหานิยธรรม เป็นต้น ก็น่าจะเป็นที่รู้จักกันดีตั้งแต่ยุคนี้ แต่มีข้อสังเกตว่ากษัตริย์ที่เคร่งครัดในคุณธรรมของผู้ปกครองตามคำสอนของพุทธศาสนากลับเป็นกษัตริย์ที่อ่อนแอใน “เกมแห่งอำนาจ” ดังเช่นกษัตริย์ที่เป็นเพื่อนสนิทของพระพุทธเจ้าสองพระองค์คือ พระเจ้าพิมพิสาร และพระเจ้าปเสนทิ ต่างก็ถูกโอรสของตนเองทำรัฐประหาร

ต่อมาหลังสมัยพุทธกาล ยุคพระเจ้าอโศกมหาราชถือเป็นยุคแห่งการปรับ “อุดมการณ์ธรรมราชา” ตามคำสอนของพุทธศาสนาเป็นอุดมการณ์แห่งรัฐ ทำให้พระราชามีอำนาจในการปกครองทั้งอาณาจักรและศาสนจักร เช่น พระราชาเป็นแบบอย่างของผู้ปฏิบัติธรรม สอนธรรม มีพระบรมราชโองการให้พระสงฆ์และข้าราชการสอนธรรมเรื่องนั้นเรื่องนี้แก่พสกนิกร อุปถัมภ์บำรุงคณะสงฆ์และมีอำนาจเข้าไปจัดการปัญหาภายในของคณะสงฆ์ เช่นกรณีมีพระปลอม การแตกสามัคคีในวงการสงฆ์ มีการใช้อำนาจของพระราชาลงโทษประหารชีวิตพระสงฆ์จำนวนมาก เป็นต้น [1]

ทว่าในท้ายที่สุดพระเจ้าอโศกมหาราชผู้ซึ่งได้รับยกย่องว่าเป็นแบบอย่างของกษัตริย์ตามคติธรรมราชาของพุทธศาสนาที่โดดเด่นที่สุดในประวัติศาสตร์ ก็สิ้นสุดสถานะแห่งความเป็นกษัตริย์ลงด้วยการรัฐประหารโดยหลานของพระองค์เอง

ในยุคต่อมา เมื่อกษัตริย์ในภูมิภาคอุษาคเนย์หันมานับถือพุทธศาสนาต่างก็ปรารถนาที่จะเป็นธรรมราชาดังพระเจ้าอโศกมาหาราช และกษัตริย์แห่งนครรัฐต่างๆ ในแผ่นดินสยาม นับแต่พ่อขุนรามคำแหงเรื่อยมาถึงยุครัตนโกสินทร์ต่างก็ยืนยัน “ความชอบธรรม” แห่งสถานะความเป็นกษัตริย์โดยอ้างอิง “ทศพิธราชธรรม” เช่นพระเจ้าอโศก

อย่างไรก็ตาม การอ้างอิงทศพิธราชธรรมเพื่อสร้างความชอบธรรมแก่สถานะของกษัตริย์ในแผ่นดินสยาม โดยเฉพาะตั้งแต่ยุคกรุงศรีอยุธยาที่เริ่มมีการสมมติให้กษัตริย์เป็น “เทวดาบนแผ่นดิน” หรือ “สมมติเทพ” เป็นต้นมานั้น ทำให้เกิดภาวะขัดแย้งในตัวเองอย่างที่เรียกกว่า “หัวมงกุฏท้ายมังกร” อย่างมีนัยสำคัญ

กล่าวคือ กษัตริย์ตามคติพุทธศาสนานั้นไม่ใช่เทพ ไม่ใช่โอรสของเทพ หรือไม่ใช่ผู้ที่พระเจ้าสร้างมาและให้อำนาจศักดิ์สิทธิ์มาปกครองแผ่นดิน หากแต่กษัตริย์ตามคติพุทธคือ “คนธรรมดา” ที่ถูกคนส่วนใหญ่เลือกให้เป็นผู้ปกครอง (เรียกว่า “มหาชนสมมติ”) และให้ค่าตอบแทนในการทำหน้าที่ของผู้ปกครองตามความจำเป็น หรือได้ค่าตอบแทนเพียงเพื่อให้มีชีวิตอยู่แบบพอเพียง [2]

ซึ่งผู้ปกครองที่กินอยู่แบบพอเพียงแล้วทำหน้าที่ปกครองให้ราษฎรมีความสุข พุทธศาสนาเรียกผู้ปกครองเช่นนี้ว่า “ราชา” แปลว่า “ผู้ที่ทำให้ประชาชนรัก” ด้วยการมีคุณธรรมของผู้ปกครองคือ “ทศพิธราชธรรม”

แต่คำว่า “กษัตริย์” ที่แปลว่า “ผู้ยิ่งใหญ่แห่งเขตแดน” หรือผู้เป็นเจ้าที่ดิน ผู้ร่ำรวยที่สุดในแผ่นดิน บวกกับคติแบบเทวสิทธิ์ที่ว่ากษัตริย์เป็นเทพหรือเป็นผู้ที่ได้อำนาจศักดิ์สิทธิมาจากพระเจ้าเพื่อปกครองแผ่นดิน หากมองตามคติของพุทธศาสนาคำว่า “กษัตริย์” ตามคติดังกล่าวเป็นคำที่มีความหมายในทางลบ หรือเป็นคำที่ชาวบ้านตั้งขึ้นเพื่อปรับทุกข์กันว่า “ทำไมคนที่พวกเราเลือกให้ทำงานเพื่อพวกเราซึ่งสมควรอยู่อย่างสมถะเพราะเป็นคนแห่งธรรม จึงกลายเป็นผู้ที่ร่ำรวยที่สุดในแผ่นดินเช่นนี้” [3]

คำที่มีความหมายเชิงบวกตามคติพุทธคือ “ราชา” ซึ่งหมายถึงคนธรรมดาที่ถูกเลือกจากคนส่วนใหญ่ให้มาทำหน้าที่ปกครอง ได้ค่าตอบแทนในการทำหน้าที่เพียงเพื่อดำรงชีวิตอย่างพอเพียง และเป็นที่รักของประชาชนโดยการปฏิบัติตามหลักทศพิธราชธรรม

จะเห็นได้ว่า ปัญหา “หัวมงกุฏท้ายมังกร” ของคติกษัตริย์ในแผ่นดินสยามคือ คติเรื่องกษัตริย์เป็นการผสมผสานระหว่างทฤษฎีเทวสิทธิ์แบบพราหณ์กับคติธรรมราชาแบบพุทธ ผลก็คือ สถานะของกษัตริย์จึงไม่ชัดว่าเป็นโอรสของเทพ (แบบจักรพรรดิญี่ปุ่น ฟาร์โรของอียิปต์ ฯลฯ) หรือเป็นเทพ ทว่าเป็นกึ่งคนกึ่งเทพ ที่เรียกว่า “สมมติเทพ” ส่วนที่เป็นเทพคือส่วนที่เป็นสถานะและอำนาจของกษัตริย์ที่ศักดิ์สิทธิ์แตะต้องหรือล่วงละเมิดมิได้ ส่วนที่เป็นคนคือส่วนที่เป็นบทบาทหน้าที่ของผู้ปกครองที่ถูกคนส่วนใหญ่เลือกให้ทำงานแก่ผู้ใต้ปกครองตามครรลองของทศพิธราชธรรม

ทั้งสองส่วนนี้ขัดแย้งกันโดยพื้นฐาน กล่าวคือ “สาระ” (essence) ของความเป็นเทพเรียกร้องหรือต้องการภาวะ “อภิมนุษย์” ที่อยู่เหนือหรือห้ามการวิพากษ์วิจารณ์ตรวจสอบ แต่สาระของทศพิธราชธรรมเรียกร้องหรือต้องการการวิพากษ์วิจารณ์ตรวจสอบ (เพราะถ้าไม่มีการวิพากษ์วิจารณ์ตรวจสอบจะรู้ได้อย่างไรว่ามี หรือปฏิบัติตามหลักทศพิธราชธรรมได้สมบูรณ์หรือบกพร่องหรือไม่)

อย่างไรก็ตาม นั่นเป็นเพียงความขัดแย้งในเชิงทฤษฎี แต่ในทางปฏิบัติแล้ว ชนชั้นปกครองไทยกลับนำคติเรื่องทศพิธราชธรรมมาสนับสนุนสถานะความเป็นเทพของกษัตริย์ตามคติเทวสิทธิ์แบบพราหฒณ์ได้อย่างลงตัว (นี่อาจเป็นความสามารถพิเศษของชนชั้นปกครองไทย) โดยอ้างอิงคำสอนเรื่องกฎแห่งกรรมและการบำเพ็ญบุญบารมีมารองรับสถานะ “สมมติเทพ” ของกษัตริย์และความแตกต่าง ความเหลื่อมล้ำทางชนชั้นในสังคม ฉะนั้น “จินตภาพสังคมไทยภายใต้ร่มพระบารมี” จึงมีลักษณะเด่นชัดดังที่ ธงชัย วินิจจะกูล อธิบายว่า

“องค์รวมที่เรียกว่าประเทศไทย จึงเต็มไปด้วยหน่วยย่อยๆที่มีบุญบารมีไม่เท่ากัน ไม่ว่าจะพิจารณาหน่วยสังคมใดๆ เช่นครอบครัว ที่ทำงาน หมู่บ้าน ตำบล จังหวัด กระทรวงกรม โรงเรียน บริษัท โรงงาน ฯลฯ ก็จะพบผู้คนที่มีบุญบารมีไม่เท่ากัน และต้องยอมรับความสูงต่ำในความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล” [4]

ปัญญาคือ เมื่อสังคมไทยเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตย ตั้งแต่ 24 มิถุนายน 2475 จินตภาพสังคมไทยภายใต้ร่มพระบารมี ซึ่งมีสาระสำคัญคือ “การยอมรับความสูงต่ำในความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล” โดยอ้างอิงฐานคิดที่นิยาม “ความเป็นมนุษย์สูง-ต่ำตามบุญบารมีที่บำเพ็ญมาแตกต่างกัน” ยังคงเป็นจินตภาพที่ฝังลึกอยู่ในวัฒนธรรมทางความคิดความเชื่อของสังคมไทย

ซึ่งจินตภาพดังกล่าวขัดแย้งอย่างมีนัยสำคัญกับจินตภาพของสังคมประชาธิปไตยที่นิยามความเป็นมนุษย์บนฐานคิดเรื่องเสรีภาพและความเสมอภาค จึงทำให้สังคมประชาธิปไตยแบบไทยๆ มีลักษณะแบบ “หัวมงกุฎท้ายมังกร” คือหัวยังเป็นสมบูรณาญาสิทธิราชย์ขณะที่หางเป็นประชาธิปไตย (เช่นมีการเลือกตั้ง มีเสรีภาพในระดับที่จำกัด)

และโดยลักษณะ “หัวมงกุฏท้ายมังกร” ดังกล่าว บ่อยครั้งก็เกิดปรากฎการณ์ “หัวกินหาง” (และกินกลางตลอดตัว?) ทำให้กลายเป็น “ประชาธิปไตยหางด้วน” อย่างที่เห็นและเป็นอยู่!

อ้างอิง

[1] ดู ส. ศิวรักษ์ (แปลและเรียบเรียง).ความเข้าใจเรื่องพระเจ้าอโศกและอโศกาวทาร.(กรุงเทพฯ: เคล็ดไทย,2552). หน้า 26.
[2] ดู อัคคัญสูตร พระไตรปิฎกเล่มที่ 11
[3] สมภาร พรมทา.นิติปรัชญา.วารสารปัญญา ฉบับที่ 6 (มีนาคม 2554), หน้า 329
[4] ธงชัย วินิจจะกูล.พุทธศาสนา ความสัมพันธ์ทางสังคม ลัทธิประวัติศาสตร์ มรดกจากสมบูรณาญาสิทธิราชย์.(มติชนออนไลน์ 8 พ.ค.2554)

ที่มา.ประชาไท
/////////////////////////////////////////////////////////////

มาร์ค.. ไขปมเศรษฐกิจ สางไข้การเมือง ทิ้งทวน-ซ่อนมีด-ปักหลัง ยิ่งลักษณ์..

คอลัมน์ เลือกตั้งรัฐบาล2554

72 ชั่วโมง หลังรับสนองพระบรมราชโองการพระราชกฤษฎีกายุบสภา นายกรัฐมนตรีมีนัดอย่างเป็นทางการเพียง 2 นัด

1 คือ ประชุมคณะรัฐมนตรี "รักษาการ"

2 คือ ประชุมพรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะ "หัวหน้าพรรค"

นัดหมายที่ 3 คือ นัดสัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจประจำทำเนียบรัฐบาล

1 ชั่วโมงกับ 30 นาที มีเรื่องการเมืองที่นายกรัฐมนตรีปริปากเพียง 20 นาที

ที่เหลือเป็นการ "เคลียร์" ปมปัญหา-ข้อกังขาวาระเศรษฐกิจ

- อะไรคือผลงานเศรษฐกิจที่ทำให้คนจำนายกฯคนที่ 27 ได้

แล้วแต่ว่าเราไปถามใคร แต่สำหรับประชาชนที่เป็นเกษตรกร โครงการประกันรายได้ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เพราะมีเกษตรกรจำนวนมาก ซึ่งไม่เคยได้รับการชดเชยประกันรายได้แบบนี้ ไม่ว่าจะเป็นเกษตรกรที่ปลูกข้าวกินเอง เกษตรกรที่ไม่มีความสามารถในการจำนำข้าว เกษตรกรที่อาจจะปลูกข้าวไปแล้วมีความเสียหายจากภัยแล้ง น้ำท่วม ศัตรูพืชก็ยังได้รับการชดเชย ตรงนี้สำคัญกับเกษตรกรจำนวนมาก

แต่ถ้าพูดถึงภาพรวม ประวัติศาสตร์ทางเศรษฐกิจจะชัดเจนที่ประเทศไทยฟื้นตัวค่อนข้างเร็วจากวิกฤตโลกรอบนี้ หากถามคนเล่นหุ้นดัชนีก็สูงที่สุดในรอบ 13 ปี

- เศรษฐกิจที่ฟื้นตัวมาแล้ว จะแข็งแรงในระยะต่อไปหรือไม่
เราสามารถฟื้นเศรษฐกิจได้ตามเป้าหมาย บางเรื่องน่าจะเกินกว่าที่คาดการณ์ เช่น อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจสูงขึ้น ก่อนหน้านี้วิธีการฟื้นตัวด้วยการกระตุ้นเศรษฐกิจเช่นนี้ จะทำให้เกิดหนี้สาธารณะพุ่งสูง ก็ไม่เกิดขึ้น และช่วงรุนแรงในปี 2552 อัตราการว่างงานจะเพิ่มขึ้น ก็ไม่ได้เป็นเช่นนั้น

ต้องยอมรับว่าเศรษฐกิจฟื้นตัวแล้ว เรากลับเจอปัญหาใหม่คือ ราคาพลังงาน อาหารแพง ทำให้ประชาชนจำนวนมาก รู้สึกว่าผลประโยชน์จากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจยังไม่ตกถึงพวกเขา แต่ในแง่ภาพรวมระดับมหภาค ผมคิดว่าทุกคนยอมรับว่าเราฟื้นตัวแล้วและไม่มีปัญหาตกค้าง อย่าลืมว่าอเมริกามีการว่างงานตกค้าง ยุโรปมีหนี้สินตกค้าง แต่เรากลับเจอปัญหาใหม่ที่รุนแรงกว่าที่กระทบกับกระเป๋าเงินโดยตรง

- ภาพที่ตอกย้ำรัฐบาลคือเป็นยุคข้าวยากหมากแพง
เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ต้องยอมรับว่า คนกังวลกับสถานการณ์ปัจจุบัน และสิ่งที่มองไปข้างหน้า แต่หากนึกย้อนกลับไปปี 2551 สมัยท่านนายกฯสมัคร สุนทรเวช ก็เจอปัญหาเช่นนี้ ซึ่งเรากำลังพิสูจน์ว่าแนวทางของเราเป็นอย่างไร อย่างการตรึงราคาน้ำมันดีเซลไว้ที่ 30 บาทได้ เพราะการตัดสินใจในการเก็บเงินเข้ากองทุนช่วงปี 2552-2553 และการตัดสินใจตรึงราคาเช่นนี้ เพื่อไม่ให้ค่าขนส่งถีบตัวสูงขึ้น และการตัดสินใจเรื่องภาษีสรรพสามิต ก็ถูกตำหนิว่ารู้ได้อย่างไรว่าราคาน้ำมันจะไม่สูงขึ้นไปอีก ซึ่งขณะนั้นผมกล้ายืนยันว่า การวิเคราะห์ออกมานั้นไม่ใช่

ทุกวันนี้แสดงให้เห็นว่าเราตัดสินใจถูกต้อง แต่ทั้งนี้ก็ยังระมัดระวังในการใช้เงินของกองทุนน้ำมันฯอยู่เช่นเคย

- การตรึงราคาสินค้า คนมองว่าตั้งใจบิดเบือนกลไกการตลาด
ต้องพิจารณากรณีสินค้าที่เป็นพลังงาน จะพูดถึงกลไกการตลาดลำบาก แท้จริงการไม่มีภาษี ไม่เก็บเงินคือกลไก การตลาด หากถามว่าการเก็บภาษีบิดเบือนหรือไม่ ก็ต้อง บอกว่าบิดเบือน ประเด็นไม่ได้อยู่ที่ตรงนั้น แต่สินค้าที่เราพยายามดูแลเป็นพิเศษ คือสินค้าที่ประชาชนไม่ค่อยมีทางเลือก

กรณีก๊าซหุงต้ม รัฐบาลเห็นว่า อาจต้องยอมสูญเสียบ้างสำหรับคนที่ใช้รถยนต์ส่วนตัว สำหรับเอ็นจีวีก็เป็นนโยบายที่พยายามผลักดันให้คนมาใช้ เหล่านี้คือความจำเป็น หากผมตั้งใจบิดเบือนสินค้าทุกตัว ซึ่งคนมีทางเลือกที่จะประหยัดได้ อย่างก๊าซหุงต้ม มีคนกล่าวหาว่าผมบิดเบือนกลไกการตลาด ผมต้องถามกลับว่าประชาชนจะนำก๊าซไปจุดเล่นหรืออย่างไร

- มีนโยบายใดที่อยากทำ แต่ยังไปไม่ถึงเป้าหมาย
สำหรับภาพรวมเศรษฐกิจที่ต้องเร่งตัวเข้าไปอีก อาจได้รับผลกระทบจากวิกฤตหลายอย่าง ที่ทำให้จังหวะเวลาต้องช้า เช่น เรื่องโครงสร้างพื้นฐาน ระบบขนส่งระบบราง โครงการรถไฟไทย-จีน ใจผมอยากบรรลุข้อตกลงกับทางสาธารณรัฐประชาชนจีนได้ทันที แต่ขณะนี้ก็ต้องรอรัฐบาลชุดใหม่ แต่มันได้เริ่มต้นแล้ว

ยังมีเรื่องปฏิรูปเชิงโครงสร้างในเชิงกฎระเบียบกับภาษี ซึ่งที่ผ่านมาเป็นงานที่ยังไม่มีจังหวะ คาดว่าปลายปีนี้จะเริ่มทำได้ โดยมาพร้อมกับการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ

- ทำไมถึงตัดสินใจไม่เอาโครงการแลนด์บริดจ์
ผมว่ามันชัดเจนว่า ในที่สุดแล้วเราต้องตัดสินใจว่าจะเลือกอุตสาหกรรมหนักเข้ามาอยู่ตรงนั้นหรือไม่ การที่จะพัฒนาโดยไม่มีสิ่งเหล่านี้ ไม่สามารถเป็นจริงได้ ในการนำโครงการแลนด์บริดจ์เข้ามา เราได้คำนึงแล้วว่าจะมีผลกระทบกับประโยชน์ ส่วนรวม ทั้งการท่องเที่ยวและวิถีชีวิตของคน โดยข้อเท็จจริงคือ เราไม่มีความจำเป็นต้องมีอุตสาหกรรมทุกประเภทอยู่ในประเทศไทย ดังนั้นขึ้นอยู่ที่ว่าจะวางตำแหน่งประเทศเราอย่างไร

กรณีมาบตาพุด ยังต้องตอบโจทย์ในเรื่องความสามารถ การรองรับอุตสาหกรรมเพิ่มเติม ผมว่ามันหมดยุคแล้วที่ให้คนกรุงเทพฯตัดสินใจว่าประเทศไทยอยากได้อะไร และชี้นิ้วสั่ง ซึ่งมีปัญหาตามมาเยอะ ในหลักเศรษฐศาสตร์บอกชัดเจนว่า ไม่ใช่ความได้เปรียบอะไรหากมีอุตสาหกรรมทุกประเภทในประเทศ

- รัฐบาลรักษาการ จะทำให้ข้าราชการเกิดภาวะเกียร์ว่าง
ทุกคนมีหน้าที่ต้องทำ ใครไม่ทำหน้าที่อาจโดนเล่นงาน ขณะเดียวกันต้องรักษามารยาททางการเมือง ในการไม่ทำโครงการที่ผูกมัดกับรัฐบาลหน้า ซึ่งสิ่งที่กำหนดทิศทางไว้ ผมคิดว่ามันเพียงพอต่อการบริหารงานช่วงนี้

- การประชุม ครม.นัดสุดท้าย ต่อเนื่อง 2 วันคงจะเพียงพอ
การประชุมวันนั้นเป็นเรื่องค่อนข้างเทคนิค เนื่องจากกฎหมายรัฐธรรมนูญกำหนดว่า งานโครงการใด ๆ ที่ผูกพันถึงโครงการหน้าจะไม่สามารถทำได้ในช่วงรักษาการ ซึ่งมีอีกหลายเรื่องที่ต้องเร่งดำเนินการ เช่น เรื่องปุ๋ย ชดเชยเงินให้เกษตรกร น้ำท่วม ภัยแล้ง โรคที่เกิดขึ้นกับพืช หากไม่รีบ ขณะนั้น หมายความว่าเกษตรกรจะไม่ได้รับเงินชดเชยจนกว่าจะได้รัฐบาลใหม่อีก 3-4 เดือน

ซึ่งหลายเรื่องก็ไม่ได้ผ่านการอนุมัติ ครม.ได้ดูตามความจำเป็น งบฯกลาง สุดท้ายใช้ไปเพียง 13,000 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นงบประมาณการเลือกตั้ง 3,000 ล้านบาท จ่ายเงินค่าเงินเดือนหมอกับบุคลากรสาธารณสุข 4,200 ล้านบาท หักค่าน้ำท่วม ภัยพิบัติอีก 2,000 ล้านบาท ที่เหลือก็คือเพิ่มเบี้ยเลี้ยงให้ทหารพราน แล้วตรงไหนที่บอกว่าทิ้งทวน ทุจริตเทกระจาด

เราจะไม่ให้ กกต.มีเงินจัดการเลือกตั้ง จะไม่ให้หมอรับเงินเดือน ให้ทหารพรานรับเบี้ยเลี้ยง 15 บาทต่อวัน เกษตรกรไม่มีปุ๋ยใช้ และรอเงินชดเชยน้ำท่วม ภัยแล้ง เหล่านี้จะให้เขารอไปเพื่ออะไร ?

- กระทรวงไอซีทีก็เรียกค่าเสียหายจากกลุ่มชินคอร์ปไม่ได้
เรื่องนี้ยังไม่จบต้องรอรัฐบาลใหม่ หากผมเริ่มทำวันนั้นก็จะถูกกล่าวหาว่าทิ้งทวนอีก ซึ่งรายงานการเจรจาเพิ่งถูกส่งเข้ามาที่ ครม.เพียงไม่กี่วัน โดยขอให้เราตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง และคณะกรรมการที่ปรึกษาทางกฎหมาย ท้ายที่สุดหากวันนั้นเราตัดสินใจในเชิงเนื้อหาสาระคงถูกวิพากษ์วิจารณ์อีกมาก ซึ่งเรื่องนี้จะไม่ถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองในการจัดการกับพรรคคู่แข่ง เพราะทุกอย่างดำเนินการอย่างตรงไปตรงมา

- เรื่องนี้จะกลายเป็นดาบปักหลัง "คุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร"
ผมยังไม่ทราบว่าจะไปปักหลังอะไรใครได้ ในเมื่อมีคำพิพากษาจากศาล แล้ว ครม.จึงมอบหมายให้กระทรวงไอซีทีไปไล่ดูว่า ต้องทำให้ข้อมูลกลับมาถูกต้องอย่างไร กับ การเสาะหาว่ามีใครเป็นผู้เกี่ยวข้องบ้าง โดยจำเป็นต้องมีการแต่งตั้งคณะทำงานที่มีอำนาจในการตรวจสอบ ประกอบด้วยนักกฎหมาย และมีความแตกต่างจากคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จทั่วไป เพราะสามารถอาศัยกลไกของดีเอสไอและ ปปง. ในการดำเนินงานภายใต้กฎหมายที่กำหนดได้ แต่ในที่สุดแล้วการเรียกค่าเสียหายจะสำเร็จหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับรัฐบาลชุดต่อไป

สาเหตุที่ต้องยืดเยื้อ ผมต้องบอกตามตรงว่า คนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้มีมากมาย และแฝงตัวอยู่ในทุกหน่วยงาน ฉะนั้นลำพังการเดินหน้าต่อไปไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะที่ผ่านมามีหลายคนถูกข่มขู่ แต่ก็ยังยืนยันว่าจะต้องดำเนินการให้เสร็จสิ้น ก็จะตั้งใจทำต่อไปหากได้รับโอกาส

- การขับเคลื่อนนโยบาย 3G ทำให้ประชาชนผิดหวัง
ผมว่าตัวหลักคือวันที่ศาลปกครองมีคำสั่งไม่ให้ กทช.ดำเนินการต่อ แต่เราต้องเคารพกฎหมาย แม้หน่วยงานของรัฐจะเป็นผู้ยื่นฟ้องร้อง ก็เพื่อสร้างความชัดเจนตั้งแต่ต้นว่าดำเนินการไปแล้วจะไม่มีปัญหา ต้องยอมรับว่าโครงการขนาดใหญ่มักเกิดปัญหาการฟ้องร้องเป็นประจำ ในกรณีธุรกิจโทรคมนาคมก็มีความวุ่นวายซ้ำซ้อนจากมรดกโครงสร้างสัมปทาน ซึ่ง 3G เกิดไม่ได้เพราะกฎหมาย ไม่เกี่ยวกับรัฐบาลชุดนี้ เพราะเราพยายามผลักดันให้มีการเจรจา แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ซึ่งรัฐบาลพยายามทำให้เร็ว แต่ตามข้อกฎหมายเราเร่งดำเนินการไม่ได้

- ภาพรวมการขยายตัวทางเศรษฐกิจปีนี้จะเป็นอย่างไร
เศรษฐกิจโดยรวมยังมีทิศทางขยับขึ้น ซึ่งรัฐบาลพยายามทำให้ได้ใกล้กับเป้าหมายที่วางไว้ประมาณ 4% เพียงแต่ว่า ต้องบริหารจัดการด้วยความละเอียดอ่อน ยกตัวอย่างในไตรมาสแรก ที่เรากลัวว่าจะมีโอกาสติดลบ แต่เท่าที่เห็นตัวเลขเรื่องส่งออกและดัชนีอุตสาหกรรมแล้วน่าจะเป็นบวก

ขณะที่ไตรมาสสองเราเจอผลกระทบจากประเทศญี่ปุ่น อุตสาหกรรมยานยนต์หยุดชะงัก แต่ที่ผมพยายามตรึงราคาน้ำมันดีเซล เพราะไม่ต้องการให้ประชาชนเจอปัญหา 2 ต่อเนื่องจากว่าหากปล่อยสินค้าราคาขึ้นมาก ๆ ธนาคาร แห่งประเทศไทยก็ต้องเร่งขึ้นดอกเบี้ย ซึ่งส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในการจับจ่ายใช้สอย ทำให้ประเทศประสบปัญหาทั้งเงินฝืดและเฟ้อพร้อมกัน

- บรรยากาศการเลือกตั้งจะไม่ฉุดให้เศรษฐกิจแย่ลง
การเลือกตั้งจะคลายปัญหาความไม่แน่นอนทางการเมืองส่วนหนึ่ง ผมเชื่อว่าจะไม่มีผลกระทบอะไรกับเศรษฐกิจมากนัก แต่มีเรื่องเดียวที่เป็นปัญหาคือ งบประมาณปี 2555 จะล่าช้า โดยปกติ พ.ร.บ.งบประมาณจะถูกนำเสนอเข้าสภาประมาณปลายเดือนพฤษภาคม-เดือนมิถุนายน เมื่อเลือกตั้งเรียบร้อยในเดือนสิงหาคม หากรัฐบาลเข้ามาแบบทำงานได้เลย กฎหมายก็ดำเนินการในช่วงเดือนสิงหาคม แต่หากรัฐบาลที่เข้ามาแบบ รื้อทุกสิ่งทุกอย่าง อาจต้องใช้เวลานานกว่านั้น

- งบลงทุนเพียงพอต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจหรือไม่
ผมคิดว่าเพียงพอ สัดส่วนในงบฯลงทุนก็เพิ่มขึ้น อย่างโครงการไทยเข้มแข็งที่มีการอัดฉีดเงินเข้าไปในระบบกว่า 4 แสนล้านบาท ซึ่งในระดับมหภาคการกระตุ้นเศรษฐกิจส่งผลชัดเจน ส่วนที่สองในรายละเอียดของโครงการต้องดูเป็นราย ๆ ไป ในภาพรวมก็สามารถดำเนินการไปได้ตามเป้าหมาย แม้อาจจะมีข้อบกพร่องจุดอ่อนก็เป็นเรื่องปกติธรรมดา

แม้คนจะรู้จักกันแค่โครงการถนนปลอดฝุ่น แต่ความเป็นจริง มีโครงการนมโรงเรียน โรงพยาบาลที่ทำไว้ได้เยอะ แต่เกิดปัญหาในกระทรวงทำให้ขับเคลื่อนออกไปได้ช้า ในเมื่อมีปัญหาในกระทรวง เราก็ต้องตรวจสอบให้โปร่งใสก่อนที่จะขับเคลื่อน ผมเชื่อว่าในพื้นที่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง คนที่ได้ประโยชน์ก็มีมากมาย
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันเสาร์ที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

อยากได้อำนาจถึงกับต้องฆ่าคนเป็นความเลวร้ายที่เหมือนไม่ใช่คน

การแย่งชิงเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจทางการเมืองด้วยการสั่งฆ่าฝ่ายตรงข้ามนั้นเป็นเรื่องที่เลวร้ายและเป็นบาปหนักมาก การกระทำอย่างนี้เป็นการย้ำภาพว่าการเมืองโหดร้าย การเมืองไม่มีความปรานี

เสน่ห์ของอำนาจทำให้คนเรากล้าฆ่าคนเพื่อให้ได้มา ในแง่ความเป็นมนุษย์ควรมีจิตใจสูง มีจิตใจประเสริฐ หากอยากได้ตำแหน่งหรืออำนาจควรจะได้มาด้วยคุณธรรม ไม่ใช่ใช้กระสุน ใช้การคุกคาม ใช้ความโหดเหี้ยมเพื่อให้ตนได้ขึ้นสู่ตำแหน่ง

จริงๆแล้ว ส.ส. ไม่ใช่ตำแหน่งที่ใหญ่โตอะไรจนต้องเอาชีวิตคนอื่นมาแลก หากใครได้มาด้วยวิธีอย่างนี้อย่าคิดว่ามีเกียรติ เพราะเข้ามาแล้วทำอะไรไม่เป็น ถูกชาวบ้านด่าก็มีให้เห็นมากมาย ยุบสภาได้ไม่กี่วันก็เล่นกันแล้ว

การกระทำอย่างนี้ไม่ต่างจากวัวควายที่ไม่ใช้สมอง ใช้แต่กำลังเข้าขวิดกัน หวังให้ฝ่ายตรงข้ามตายสถานเดียว ประชาธิปไตยจะกลายเป็นประชาธิปตายกันไปแล้ว ต่อไปจะเป็นอย่างไร เพราะแค่เริ่มต้นก็ยิงกันแล้ว

ส่วนนายประชา ประสพดี อดีต ส.ส.พรรคเพื่อไทย ที่ถูกไล่ฆ่าบอกว่าอโหสิกรรมให้กับคนที่ทำร้ายตัวเองแล้ว ซึ่งมีความจริงใจแค่ไหน ถ้าจริงใจจริงๆถือว่าวิเศษมาก ส่วนผู้กระทำจะหยุดได้หรือยัง หรือยังจะก่อกรรมใหม่ต่อไปเรื่อยๆ ถ้าไม่หยุดจะกลายเป็นเวรกรรมที่ต้องตามชดใช้กันไปทุกชาติ

อีกหลายๆจังหวัดการแย่งชิงอำนาจก็มีความหวาดเสียวไม่แพ้กัน อาตมาเป็นพระอยู่จังหวัดนนทบุรี ทราบดีว่าเมืองนนท์ก็เป็นเขตหนึ่งที่อยู่ในข่ายความรุนแรง อยู่ในข่ายที่ต้องเฝ้าระวัง เพราะก่อนหน้านี้นายกเทศมนตรีบางบัวทอง นักการเมืองท้องถิ่น ก็ถูกดักยิงเสียชีวิตเพราะการเมืองเช่นกัน หากต้องมีการตายอีกเพราะการแย่งชิงอำนาจทางการเมือง แสดงว่าประชาธิปไตยไทยไม่ใช้สมอง ใช้แต่ความอัปรีย์มาไล่บี้ ไล่ฆ่า เพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจและตำแหน่ง

เมื่อไรประเทศไทยจะมีกฎกติกาว่าถ้านักการเมืองตระกูลไหนมีประวัติฆ่านักการเมืองฝ่ายตรงข้ามห้ามคนตระกูลนั้นยุ่งเกี่ยวกับการเมืองอีก เพื่อไม่ให้มาสร้างเคราะห์กรรมกับคนอื่นและตัวเอง

คนเราเกิดมาทั้งทีควรใช้โอกาสสร้างโชค ไม่ใช่คิดแต่จะเอาโอกาสมาสร้างเคราะห์ เราเคยได้ยินแต่คำว่าเปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาส แต่ตอนนี้บ้านเมืองวิกฤต การเลือกตั้งยังไม่ทันจะเริ่มต้นกลับมาสร้างวิกฤตซ้ำเข้าไปอีก เรียกว่าเป็นการทำลายโอกาสแห่งความก้าวหน้าทางสติปัญญาของมนุษย์ที่ควรมีคุณธรรม จริยธรรม และศีลธรรม

เราพูดกันเสมอว่าการเมืองสกปรก การเมืองโหดร้าย การเมืองไม่มีความปรานี ซึ่งเป็นความจริง นอกจากนี้ยังเป็นความเถื่อนและหายนะ ดังนั้น เราต้องช่วยกันแก้ไข อย่าปล่อยให้เป็นอย่างนี้ต่อไปอีก เพราะจะเป็นเคราะห์กรรม เป็นวิกฤตที่ตกมาถึงประชาชน ฉะนั้นเราต้องช่วยกันทำวิกฤตให้เป็นโอกาส ไม่ใช่เอาวิกฤตมาเป็นโอกาสฆ่ากัน หากเป็นอย่างนี้คงปล่อยไว้ไม่ได้ ถ้ายังจับไม่ได้ไล่ไม่ทัน ยังสกัดกั้นความชั่วร้ายทางการเมืองไม่ได้บ้านเมืองจะยุ่งเหยิงและไม่สงบต่อไป

หากเรื่องนี้เป็นเรื่องทางการเมืองอย่างที่นายประชาพูด ต้องถือว่าเป็นบาป เป็นความเลวที่เกิดขึ้นในทางการเมือง

ความคิดของผู้ที่เปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชมาเป็นการปกครองในระบอบประชาธิปไตยที่ต้องการให้ปวงชนปกครองกันเอง ตอนนั้นคงไม่คิดว่าพอเปลี่ยนแล้วปวงชนจะมาแย่งชิงอำนาจกันเอง ทำเยี่ยงกับบ้านป่าเมืองเถื่อน ทำให้ประชาธิปไตยกลายเป็นการปกครองที่ป่าเถื่อน ภาพพจน์ของประชาธิปไตยไทยถูกชาติอื่นมองว่าป่าเถื่อน เพราะเพียงแค่อยากได้ก็ใช้กำลังแย่งชิงเพื่อให้ตัวเองได้เป็นใหญ่เป็นโต ไม่สนว่าจะเหยียบหัวคนอื่นขึ้นมาเป็น ส.ส. เป็นนักการเมือง การเบิกทางให้ได้มาซึ่งอำนาจด้วยการหยุดลมหายใจคนอื่น หรือทำลายชีวิตคนอื่น ถามว่าสง่างามตรงไหน มีแต่คนความเลวทรามต่ำช้าเท่านั้นที่ทำอย่างนี้ได้

หากเป็นนักการเมืองแล้วมือต้องเปื้อนเลือด ใจเปื้อนบาป สมองคิดแต่เรื่องอำมหิตผิดมนุษย์ อย่างนี้ถือว่าไม่ใช่นักการเมืองในระบอบประชาธิปไตย

อยากให้นักการเมืองทั้งหลายเขียนเป็นกฎหมายออกมาเลยว่าหากนักการเมืองตระกูลไหนใช้วิธีแสวงหาอำนาจหรือตำแหน่งด้วยวิธีการฆ่าคนอื่นอย่าให้คนในตระกูลนั้นเล่นการเมืองอีก เพราะเดี๋ยวจะไม่มีใครเกรงกลัวกฎหมาย คิดจะยิงใครก็ยิง เรียกว่าหมดแล้วความเคารพยำเกรงในกฎหมาย ต่อไปจะได้ไม่ต้องเป็นเลือพล่าน เพราะนักการเมืองไม่ใช่วัวชน ไม่ใช่ไก่ชนที่ต้องตีกันตายไปข้างหนึ่ง หรือตีกันจนเลือดตกอย่างออก

เจริญพร

สำนัก(ข่าว)พระพยอม
จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้
**********************************************************************

กสทช.สั่งสอบ 3 จี ทรู-กสท. เน้นประเด็นพรบ.ร่วมทุนฯ

บอร์ดมีมติให้สำนักงาน กสทช. จัดทำเอกสารสรุปสัญญา กสท-ทรู ผิดมาตรา 46 ตามพ.ร.บ องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ฯหรืิอไม่ พร้อมวาง3ขั้นตอน

เผยต้องดูเรื่อง พ.ร.บ.ร่วมทุน เป็นหลัก หากสรุปว่าผิด ไม่ต้องดูประเด็นอื่น เผยบอร์ดไม่กล้าฟันธงสัญญา หวั่นมีผลผูกพันในอนาคต ซ้ำนักกฎหมาย กทช.ไม่เคยอยู่ร่วมประชุม

พ.อ.นที ศุกลรัตน์ กรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) ปฏิบัติหน้าที่กรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) กล่าวว่า ที่ประชุมคณะกรรมการ (บอร์ด) เมื่อวันที่ (12 พ.ค.) มีมติให้สำนักงาน กทช.ไปสรุปรายละเอียดในสัญญาการให้บริการโทรศัพท์มือถือเอชเอสพีเอระหว่าง บมจ. กสท โทรคมนาคม และ บมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น ว่าขัดต่อมาตรา 46 ตาม พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2553 (พ.ร.บ.กสทช.) ที่ระบุว่า ผู้รับใบอนุญาตใช้คลื่นความถี่เป็นสิทธิเฉพาะตัวต้องประกอบกิจการด้วยตัวเอง จะโอนหรือมอบหมายให้ผู้อื่นดำเนินการแทนไม่ได้

หากสำนักงาน กทช. มีข้อสรุปออกมาว่า ไม่ขัดต่อกฎหมายดังกล่าว ก็จะมาพิจารณาในขั้นที่ 2 คือ การให้บริการของบริษัท เรียลมูฟ ที่ได้รับสิทธิในการทำตลาดบริการขายส่งบริการ (โฮลเซล-รีเทล) เรียลมูฟถือเป็นเอ็มวีเอ็นโอให้ กสท ในระดับใด เพราะที่ประชุมบอร์ด มีการหยิบยกประเด็นดังกล่าวมาหารือ โดยระบุว่าหากเป็นเอ็มวีเอ็นโอระบบต่ำ (Thin MVNO) ก็สามารถดำเนินการได้ แต่หากเป็นระบบกลาง (Medium MVNO) หรือระบบสูง (Full MVNO) อาจต้องมีการตีความจากสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ว่า ดำเนินการได้หรือไม่ และหากสมมติว่าการ

กรณีสัญญา กสท และ กลุ่มทรู ที่ถกเถียงว่าผิดกฎหมายหรือไม่ ในเบื้องต้นต้องพิจารณาในแง่ว่า พ.ร.บ.ว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินงานในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2535 (พ.ร.บ.ร่วมทุน) หากศาลปกครอง หรือ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีคำสั่งหรือลงความเห็นว่าสัญญาฉบับดังกล่าวจำเป็นต้องเข้า พ.ร.บ.ร่วมทุน ก็ถือว่าผิดแล้วไม่จำเป็นต้องดูในประเด็นอื่น

"การประชุมวันนี้ ก็เถียงกันพอสมควร ว่าจะเอาอย่างไรกับสัญญา กสท และทรู ซึ่ง กทช.ไม่ได้นิ่งนอนใจ เรามีความเห็นอะไรออกมาบ้าง แต่ก็ต้องดูในประเด็นกฎหมายอื่นๆ ควบคู่กันไป ซึ่งกรณีนี้ประเด็นที่สำคัญที่พิจารณามีเพียงว่า สัญญาดังกล่าวเข้า พ.ร.บ.ร่วมทุน หรือไม่ แต่ในส่วนนี้เราไม่ได้มีสิทธิออกความเห็น"

แหล่งข่าวจาก กทช. กล่าวว่า แม้ที่ประชุมบอร์ดวานนี้ จะมีบรรจุวาระเรื่องการทำสัญญาให้บริการโทรศัพท์มือถือเอชเอสพีเอ ระหว่าง กสท และกลุ่มทรู แต่เรื่องดังกล่าว ยังไม่ได้หยิบยกขึ้นมาพิจารณา เนื่องจากบอร์ด กทช.รอดูท่าทีของศาลปกครองกลางก่อน ว่า ในวันที่ 18 พ.ค. นี้ คำสั่งของศาลฯ จะออกมาในลักษณะใด จะมีคำสั่งคุ้มครองฉุกเฉิน หรือกำหนดการบรรเทาทุกข์ให้กับ บมจ.โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น (ดีแทค) หรือไม่ หลังจากที่ดีแทคได้ยื่นฟ้อง กสท และพวก ในกรณีการเซ็นสัญญากับกลุ่มทรูไม่ชอบด้วยกฎหมาย ในคดีหมายเลขดำที่ 871/2554

อย่างไรก็ตาม พ.อ.นที ย้ำว่า กทช. ไม่ต้องการมีบทบาท หรือมีมติทางกฎหมายใดๆ เกี่ยวกับกรณีดังกล่าว เพราะจะถือเป็นผลผูกพัน และในอนาคตก็จะเปลี่ยนผ่านไปสู่ กสทช. อย่างเต็มรูปแบบ และปัจจัยที่สำคัญ คือ ประเด็นที่มีหยิบยกในกรณีสัญญา กสท กับกลุ่มทรู ว่าอาจขัดต่อกฎหมาย ล้วนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับ พ.ร.บ.กสทช. แต่เป็นประเด็นเกี่ยวกับ พ.ร.บ.ร่วมทุน นอกจากนี้ กทช.ก็ไม่เคยได้รับการติดต่อจากหน่วยงานที่ตรวจสอบสัญญา เพื่อประสานให้ กทช. ไปให้ข้อมูลเลย

"สำนักงาน กทช. ก็ได้หารือและรวบรวมรายละเอียดสัญญาทั้ง 6 ฉบับของ กสท และ ทรู มาตลอด แต่ก็ยังไม่เสร็จ หรือจริงๆ อาจจะเสร็จเรียบร้อยแล้ว แต่ก็ไม่ได้หยิบยกขึ้นมาพิจารณา เพราะเรื่องนี้ไม่มีบอร์ดคนใดอยากจะฟันธงว่าสัญญาผิดหรือถูก และนายสุธรรม อยู่ในธรรม กรรมการ กทช. ที่รับผิดชอบด้านกฎหมายโดยตรง ก็ไม่อยู่ ไปต่างประเทศ"

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
/////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

โตขึ้นหนูจะต้องเป็น เรยา : แด่ผู้ใหญ่ที่มีการศึกษาสูงส่งและเปี่ยมไปด้วยความปราถนาดี

โดย.จุลศักดิ์ แก้วกาญจน์


“…คุณพ่อคุณแม่บางคนอาจมีการศึกษาน้อย ไม่มีกำลังปัญญาที่จะสอนลูก แยกแยะถูกผิด ผิดชอบชั่วดีนะคะ เราต้องยอมรับว่ามีบุคคลพวกนั้นนะคะ ถ้าเป็นกลุ่มชนชั้นกลาง คุณพ่อคุณแม่จบปริญญาตรี ก็ไม่ต้องอะไรเยอะ ลูกก็คงต้องรู้ว่า สิ่งนี้ควร สิ่งนี้ไม่ควร…” [http://www.youtube.com/watch?v=NxBQ4QgaBgQ]

ลัดดา ตั้งสุภาชัย (ผู้อำนวยการกลุ่มเฝ้าระวังทางวัฒนธรรม) ได้กล่าวถ้อยคำเหล่านี้เอาไว้ เมื่อครั้งที่เธอได้รับเชิญไปแสดงความเห็นต่อปรากฏการณ์ดอกส้มสีทองบานสะพรั่งในรายการโทรทัศน์รายการหนึ่ง ว่าพ่อแม่ควรจะมีบทบาทอย่างไรกับการดูละครของเด็กและเยาวชนในสังคมไทย ความปราถนาดีครั้งนี้ของคนที่เรียกตัวเองว่าเปฌนผู้เฝ้าระวังทางวัฒนธรรม ซึ่งมีหน้าที่อันไม่มีขอบเขตท่านนี้ คงทำให้พ่อแม่หลายต่อหลายคนหน้าชาขึ้นมา ไม่มากก็น้อย

ทัศนคติที่เห็นชัดเจนที่สุด คือ การจำแนกแบ่งคนที่มีระดับสติปัญญาหรือจริยธรรมด้วยการศึกษาในระดับปริญญาตรี ความคิดที่ว่า การศึกษาในระดับปริญญาตรีจะเป็นดั่งยาครอบจักรวาล แก้ปัญหาได้ทุกอย่างในชีวิต รับมือได้กับทุกปัญหาที่เกิดขึ้นกับตนเอง ครอบครัว และสังคมนั้น ส่วนตัวผู้เขียน คิดว่าสิ้นสมัยของความเชื่อเช่นนี้ไปแล้วเสียด้วยซ้ำไป

เรื่องการดูละครถูกวกมาผูกติดกับชนชั้นและระดับสติปัญญาของสังคมอีกครั้ง แม้ก่อนถ้อยคำเหล่านี้ (ในคลิปเดียวกัน) ลัดดาจะออกตัวไว้ก่อนว่า สังคมเรามีความหลากหลาย มีทั้งผู้ที่เข้มแข็งและอ่อนแอ แต่คำพูดของลัดดาที่ยกมาข้างต้น เหมือนคำพิพากษาในที ที่กำลังส่งสารไปยังผู้รับฟังว่า ชนชั้นไหนมีระดับความสามารถในการแยกแยะความผิดชอบชั่วดีหรือความถูกผิดได้ดีกว่ากัน

ถ้าระดับการศึกษา, ชนชั้น และวุฒิภาวะที่พัฒนาขึ้นตามอายุ คือคำตอบของการวิเคราะห์สังเคราะห์ในสื่อประเภทต่างๆ ได้จริง ทำไมกระทรวงวัฒนธรรมยังคงต้องทำตัวเป็น ผู้ใหญ่แสนดีและรู้มากไปเสียทุกเรื่องอยู่อีก? ที่ย้อนแย้งที่สุด หากใช้ฐานความคิดชุดเดียวกัน ไปทาบทับเพื่อวิเคราะห์ในกรณีการห้ามฉายหนัง Insects in the backyard แล้ว นับว่าเป็นเรื่องตลกอย่างที่สุด ที่ฟ้องว่า เอาเข้าจริงๆ แล้วมาตรฐานการกำกับดูแลเนื้อหาสื่อและการจำกัดการเข้าถึงเนื้อหาสื่อในประเทศนี้ไม่เคยมี และหากใครสักคนยกอ้างคิดว่ามาตรฐานขึ้นมากล่าว มันก็คือวิธีคิดที่ล้นไปด้วยอัตวิสัยและอำนาจตามตำแหน่งที่ตนสวมบทบาทอยู่เท่านั้นเอง

หากย้อนกลับไปเมื่อปี 2547 มติคณะรัฐมนตรีฉบับหนึ่งได้กล่าวถึงการส่งเสริมให้มีรายการโทรทัศน์สำหรับเด็กและเยาวชนมากขึ้น และส่งต่อให้เกิดการทำงานของกรมประชาสัมพันธ์และหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ในการจำแนกประเภทรายการที่เหมาะสมกับผู้คนวัยต่างๆ ในสังคม จนกลายเป็น ฉลาก “เรต” แปะหน้ารายการโทรทัศน์อย่างเช่นทุกวันนี้

แต่มีอีกเรื่องหนึ่งที่ภาควิชาการด้านสื่อสารมวลชนพยายามจัดทำขึ้นมาตีคู่กับมติคณะรัฐมนตรีฉบับดังกล่าว นั่นคือ การจัดทำหลักสูตร “สื่อศึกษา” หรือ “Media Literacy” ให้เป็นรูปธรรมขึ้นมา ทั้งในหลักสูตรสถาบันการศึกษาและสำหรับการศึกษาแบบสาธารณะ แต่ดูเหมือนว่า งานที่วางโครงสร้างทางความคิดของอนุชนเช่นนี้กลับไม่ได้รับการผลักดันให้เกิดขึ้นจริงจากหน่วยงานที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ทั้งที่การสร้างให้อนุชนสามารถวิเคราะห์ สังเคราะห์ และรู้เท่าทันในสื่อประเภทต่างๆ ที่รายล้อมตัวตั้งแต่ลืมตาตื่นจนถึงเข้านอนคือสิ่งที่สำคัญมากกว่าการจะผูกขาดหน้าที่การเซนเซอร์ในเนื้อหาสื่อของคนเพียงไม่กี่คนในประเทศนี้เท่านั้น ที่จะต้องออกมาเสนอหน้าตัวเองออกมาเรื่อยๆ และชี้ถูกชี้ผิดว่าอะไรควรดู อะไรไม่ควรดู
เรามีผู้ใหญ่รู้ดีมากมายไปหมด แต่ในทางกลับกัน เรามีแต่เด็กและเยาวชนที่อ่อนแอจากระบบการศึกษาที่กลายเป็นเครื่องมือให้ผู้ใหญ่ในสังคม ต้องลำบากผัดหน้าผัดตาแต่งตัวเป็นลิเกตัวพระตัวนางมาช่วยเหลือเด็กตัวน้อยๆ ที่ได้รับผลกระทบจากสื่อน้ำเน่าไร้สาระกันเรื่อยไป เพราะว่าพ่อแม่แท้ๆ ของเด็กน้อยเหล่านี้ เป็นชนชั้นล่าง เป็นคนที่มีการศึกษาน้อย เป็นพวกทำมาหากินไปวันๆ

สิ่งที่คนชนชั้นกลางและมีการศึกษาอย่างต่ำที่สุดคือระดับปริญญาตรีต้องรักษาไว้ ก็คือโครงสร้างและสถานะของตัวเองในสังคม ผ่านการให้คุณค่าและมาตรฐานทางจริยธรรมที่แปรผกผันมาจากสถานะทางสังคมนั่นเอง

การที่ใครสักคนพยายามจะผูกขาดความดี ความงาม และจริยธรรมศีลธรรม เพื่อให้ดำรงไว้ซึ่งสถานะทางสังคมของตนเองและพรรคพวกของตน มันน่ากลัวมากกว่าการที่เด็กสักคนประกาศให้โลกรู้ว่า “โตขึ้นจะเป็นแบบเรยา” เสียด้วยซ้ำไป

ถ้าผู้ใหญ่รู้มากจำพวกนี้ เล็งเห็นจริงๆ ว่าการศึกษาจะแก้ไขปัญหาของเด็กและเยาวชนที่ได้รับผลกระทบจากสื่อที่เขาเห็นว่าเป็นของอันตราย ทำไมการจัดการศึกษาสำหรับการวิเคราะห์ สังเคราะห์สื่อสำหรับเด็กและเยาวชนจึงไม่สามารถเกิดขึ้นได้จริง?

หลังจากละครเรื่องดอกส้มสีทองจบไป เราจะต้องเห็นลัดดา ตั้งสุภาชัย หรือคนในกระทรวงวัฒนธรรม ออกมาสื่อสารกับสังคมในเรื่องซ้ำเดิมเช่นนี้กันอีกสักกี่ร้อยกี่พันครั้งกัน? ทั้งที่การแก้ปัญหาผลกระทบจากสื่อต่อเด็กและเยาวชนก็คือการติดตั้งเครื่องมือวิเคราะห์,สังเคราะห์สื่อให้ติดตัวเด็กและเยาวชนนั่นเอง
สิ่งที่ผู้ใหญ่รู้มากและเต็มเปี่ยมไปด้วยความปรารถนาดีทั้งหลายในสังคมเลือกที่จะ “ไม่ทำ” บอกใบ้ให้เรารู้อยู้ในทีแล้วว่าอะไรคือสิ่งที่เขาเหล่านี้หวาดกลัว

ผู้ใหญ่รู้มากพวกนี้อาจจะไม่ได้กลัวว่าเด็กจะโตขึ้นแล้วเป็นแบบเรยา

แต่การที่เด็กและเยาวชนรู้เท่าทันสื่อ , สามารถจำแนกแยกแยะ “สาร” รวมถึงประเมินคุณค่าของสื่อทุกประเภทได้ด้วยตนเอง คือ สิ่งที่ผู้ใหญ่รู้มากจำพวกนี้กลัวต่างหาก.

ที่มา.ประชาไท
///////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันพฤหัสบดีที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

อนาคตประเทศ

การประกาศยุบสภาอย่างเป็นทางการของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ถือเป็นการเริ่มต้นการหาเสียงอย่างเป็นทางการ ทุกพรรคการเมืองต้องประกาศรายชื่อผู้สมัครรับเลือกตั้งทั้งระบบแบ่งเขตและระบบบัญชีรายชื่อภายใต้กฎกติกาของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ที่จะทำหน้าที่ดูแลการเลือกตั้งทั้งระบบ หลังจากศาลรัฐธรรมนูญมีมติว่ากฎหมายลูกทั้ง 3 ฉบับถูกต้องตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ และไม่มีข้อความใดขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ

กกต. ได้กำหนดวันเลือกตั้งคือวันที่ 3 กรกฎาคม โดยพรรคการเมืองต้องส่งรายชื่อผู้สมัครรับเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อระหว่างวันที่ 19-23 พฤษภาคม ณ สนามกีฬาไทย-ญี่ปุ่นดินแดง และแบบแบ่งเขตระหว่างวันที่ 24-28 พฤษภาคม ณ เขตเลือกตั้งของแต่ละจังหวัดที่กำหนดไว้ ส่วนการลงคะแนนเลือกตั้งล่วงหน้ามีเพียง 1 วันคือ วันที่ 26 มิถุนายน

งบประมาณที่ใช้ในการเลือกตั้งครั้งนี้คือ 3,817 ล้านบาท แยกเป็นการจัดหน่วยเลือกตั้ง 94,000 หน่วย เขตเลือกตั้ง 375 หน่วย จากผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 48 ล้านคน โดยมีค่าตอบแทนให้แก่กรรมการหรือเจ้าหน้าที่แต่ละหน่วยวันละ 300 บาท ขณะเดียวกัน กกต. ต้องมีเจ้าหน้าที่ด้านกิจการสืบสวนสอบสวนและการประสานงานกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติในการรักษาความสงบเรียบร้อย ซึ่งหลายฝ่ายคาดว่าการเลือกตั้งครั้งนี้จะมีความรุนแรงและมีการทุจริตซื้อเสียงอย่างมาก

แม้หลายฝ่ายไม่เชื่อว่าการเลือกตั้งจะทำให้ความขัดแย้งในบ้านเมืองยุติ และอาจเกิดความรุนแรงมากกว่าเดิม แต่อย่างน้อยก็เป็นไปตามระบอบประชาธิปไตย ไม่ใช่การปฏิวัติรัฐประหารที่ยิ่งทำให้บ้านเมืองถอยหลังเข้าคลอง หรือทำให้บ้านเมืองเกิดกลียุคที่คนไทยจะเข่นฆ่ากันตายมากกว่าที่ผ่านมา

ดังนั้น ไม่ว่าการเลือกตั้งครั้งนี้จะมีปัญหาหรืออุปสรรคใดๆก็ตาม ประชาชนทุกคนจะเป็นผู้ตัดสินอนาคตของประเทศและชีวิตของตัวเองว่าจะเดินต่อไปอย่างไร แม้จะเป็นอำนาจเพียงแค่ไม่กี่วินาทีหรือนาทีในการใช้สิทธิ 1 คนต่อ 1 เสียง แต่มีความหมายอย่างยิ่งที่จะกำหนดทิศทางของประเทศ ไม่ว่าจะยากดีมีจน ไพร่หรืออำมาตย์ ทุกคนมี 1 เสียงเท่ากัน เพราะระบอบประชาธิปไตยถือว่าประชาชนทุกคนมีสิทธิเสรีภาพและความเสมอภาค สิทธิในความเป็นพลเมือง และสิทธิในความเป็นมนุษย์

ความขัดแย้งทางการเมืองจึงขึ้นอยู่กับประชาชน ขณะที่นักการเมืองต้องตระหนักว่าเป็นผู้แทนของประชาชนที่อาสามาทำงานให้กับประเทศชาติและประชาชน ไม่ใช่เป็นนายของประชาชนและคิดแต่จะกอบโกยผลประโยชน์ให้กับตนเองและพวกพ้องอย่างที่ผ่านมา ซึ่งในที่สุดจะหนีไม่พ้นวงจรอุบาทว์ หรือประชาชนลุกขึ้นมาขับไล่และล้างนักการเมืองชั่วออกจากระบบ

ที่มา.หนังสือพิมพ์โลกวันนี้รายวัน

**********************************************************************

วันพุธที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

นับถอยหลังเลือกตั้ง !!?

รู้รักสามัคคี แน่วแน่แก้ไขในสิ่งผิด

พลันที่การเมืองประเทศไทยเข้าสู่ทางตรงร้อยเมตรสุดท้ายของ ศึกเลือกตั้งใหญ่

นั่นก็เป็นที่ชัดเจนว่าบรรดาป้อมค่ายการเมืองต่างปล่อยแคมเปญคิกออฟเลือกตั้งออกมาขายฝันซื้อใจประชาชนให้เข้าคูหากากบาทให้กับพรรคนั้นๆ หลักชัยสำคัญนั่น คงไม่พ้นการมีเก้าอี้ ส.ส.ในสภา และการได้เข้าไปร่วมรถด่วนขบวนสุดท้ายเพื่อเข้าไปนั่งในหอคอยงาช้าง

แต่จะเข้าไปกระชับพื้นที่ครม.บนตำแหน่ง หัวโต๊ะหรือซีกเสนาบดี มันก็ต้องขึ้นอยู่กับจำนวนเสียงจำนวนมือที่ได้รับความไว้วางใจจากประชาชน

“นับถอยหลังเลือกตั้ง” ฉบับนี้ขอนำเสนอมุมมองนโยบายของพรรค “SME”น้องใหม่อย่างพรรคมาตุภูมิ ภายใต้การนำของ “บิ๊กบัง-พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน” อดีตประ ธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ หรือคมช.

ที่ล่าสุดพรรคเล็กอย่างพรรคมาตุภูมิ ได้ ออกมาชูนโยบายพรรค โดย “บิ๊กบัง” แสดงความมั่นใจว่า การเลือกตั้งที่จะถึงนี้จะได้จำนวน ส.ส.เกินคาดหมาย โดยตั้งเป้าไว้ที่ตัว เลขสองหลัก โดยเฉพาะในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่มี ส.ส.ลงทุกพื้นที่ รวมถึงภาคใต้ ภาคอีสาน และภาคกลางบางส่วน อีก ทั้งยังมี ส.ส.เก่าจำนวนหนึ่งแสดงเจตจำนงจะเข้าร่วมงานการเมืองกับพรรคมาตุภูมิ

โดยจุดมุ่งหมายของพรรคนั้น “บิ๊กบัง” ระบุว่า ต้องการคลื่นลูกใหม่มาทดแทนนัก การเมืองรุ่นเก่า และจะเน้นที่การศึกษา ความรู้ ความสามารถ ภายใต้การทำงานที่มีคุณธรรม จริยธรรม พร้อมกับปลูกฝังให้รักบ้านเมืองมากกว่าตัวเอง

กระนั้นหากพลิกมาดูนโยบายของมาตุภูมิ จะพบว่า แม้จะเป็นพรรคเล็กแต่นโยบายของพรรคมาตุภูมินั้นไม่เล็กเลย

โดยเริ่มต้นด้วยสโลแกนอันสวยหรูว่า “กล้ากล้าคิด กล้าทำ กล้าเปลี่ยนแปลง พัฒนาสังคมให้รู้รัก สามัคคี มีแต่รอยยิ้ม ชาติไทยต้องมีเกียรติ มีศักดิ์ศรี ยิ่งใหญ่และ เข้มแข็ง”

พร้อมกับยึดแนวทางการเป็นข้ารับใช้แผ่นดิน ทหารของพระราชา รับใช้ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และยึดมั่นในปณิธานที่ได้รับ การปลูกฝังมาตลอดชีวิตความเป็นทหารของ “บิ๊กบัง”ว่า “รู้รักสามัคคี” และ “จะแน่วแน่ แก้ไขในสิ่งผิด จะรักชาติจนชีวิตเป็นผุยผง จะยอมตายหมายให้เกียรติดำรง จะปิดทอง หลังองค์พระปฏิมา”

ส่วนนโยบายหลักๆ พรรคมาตุภูมิมุ่ง เป้าไปที่นโยบายเร่งด่วน โดยเฉพาะในเรื่องของการสมานรอยร้าวจากความแตกแยกทาง สังคม และความขัดแย้งทางความคิด ด้วยการ ชูนโยบายสร้างความรัก ความสามัคคีของคน ไทยทั้งชาติ ด้วยการปลูกฝังอุดมการณ์รักชาติ ความเป็นคนไทย ภายใต้แผ่นดินเดียวกัน การขจัดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ สังคม ชนชั้น เชื้อชาติ และศาสนา เพื่อให้สังคมอยู่ ร่วมกันอย่างหลากหลายวัฒนธรรมและประเพณี

นอกจากนั้น ยังยึดนโยบายความเป็น กลาง เพื่อประสานประโยชน์สุขของทุกภูมิภาค ทุกกลุ่ม ทุกสี ทุกความแตกต่าง เพื่อสร้างความรัก ความเข้าใจ บนรอยยิ้มแห่งสยามเดียวกัน รวมไปถึงการชูเรื่องของการพัฒนา ประเทศ ซึ่งต้องเกิดจากการกล้าคิด กล้าทำ กล้าเปลี่ยนแปลง อย่างรวดเร็ว และทันสมัย บนพื้นฐานของความซื่อสัตย์ สุจริต เพื่อให้ประเทศชาติมีความเจริญ และยิ่งใหญ่ ตามประชาธิปไตยแบบไทยๆ

สำหรับนโยบายเพื่อคนเมืองกรุง มาตุภูมิก็มุ่งเน้นที่การพัฒนากรุงเทพฯ เป็น “เวนิสตะวันออก” อย่างที่คนต่างชาติร่ำลือ พร้อมกับปั้นให้เป็น “เมืองฟ้าเมืองอมร” มีน้ำใส สะอาด อากาศดี ต้นไม้สีเขียว รถไม่ติด มีความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน และให้ความสำคัญกับการป้องกันภัยพิบัติตามธรรม ชาติในทุกภูมิภาคของประเทศ

ส่วนนโยบายแก้ปัญหายาเสพติด ซึ่งเป็นนโยบายที่ขาดไม่ได้ของทุกพรรค ก็จะเน้นในความเข้มงวดและจริงจัง ในขณะที่ผู้เสพก็จะได้รับการฟื้นฟูและสร้างภูมิคุ้มกัน เพื่อมุ่งหวังลดปัญหาอาชญากรรมที่จะตามมา เพื่อให้เกิดคุณภาพชีวิตและวิถีชีวิตที่ดีของคนไทยทั้งประเทศ

สำหรับไฮไลต์คงหนีไม่พ้นการแก้ ปัญหาในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ เนื่องจากพรรค มี ส.ส.ในพื้นที่ ก็จะใช้มาตรการการเมืองนำการทหาร ด้วยการส่งเสริมให้ภาคประชาชนเข้ามามี ส่วนร่วม และแก้ปัญหาของตนเองให้มาก ที่สุด โดยการบริหารทั้งหมดทั้งมวล จะรวม ศูนย์ภายใต้ไอเดีย “ทบวง 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้” เพื่อความเป็นอิสระในการบริหารการจัดการ

นอกจากนี้ ยังเน้นไปที่นโยบายในการให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ระหว่าง ประเทศ ซึ่งถือเป็นเรื่องเร่งด่วน หลังเกิดความขัดแย้งอย่างรุนแรงระหว่างไทยกับกัมพูชา รวมไปถึงต้องพัฒนาศักยภาพในการป้องกันประเทศให้มีความทันสมัย และกองทัพต้องมีส่วนร่วมสนับสนุนในการพัฒนาประเทศในทุกด้าน

ตบท้ายด้วยนโยบายเศรษฐกิจ ที่มุ่งเน้นพัฒนาเศรษฐกิจให้เป็นผู้นำในภูมิภาค และเป็นแหล่งอาหารโลก เพื่อนำไปสู่การสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจ และกระจายรายได้ เพื่อยกระดับฐานะ ความเป็นอยู่ของประชาชนให้มีความสุข และอยู่ดีกินดี

น้อยพรรคนักที่จะขายฝันนโยบายหาเสียงโดยปราศจากวาระประชานิยม แต่พรรคส่วนใหญ่เหล่านั้นไม่นับรวมพรรคมาตุภูมิ ที่เน้นในนโยบายภาพใหญ่

ส่วนจะเรียกคะแนนนิยมได้ มากมายเพียงใด ประชาชนเท่านั้นจะเป็นผู้พิสูจน์แรงศรัทธา

ที่มา.สยามธุรกิจ
///////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

เกมโอเว่อร์ !!?

แต่ “กลุ่มคุมอำนาจประเทศไทย” พยายามขึงพืด ยึดการปกครอง เอาไว้ให้ได้สิเธอ??

รู้เต็มอก “ยุบสภาฯ-เลือกตั้ง” ไม่มีทางที่ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ชนะ “พรรคเพื่อไทย”

ออกลูกยั่วยุ เร้าอารมณ์ ปั่นศรีษะ เพื่อให้ “แกนนำแดง” ยั๊วะให้ได้

ออกมาเที่ยวนี้, กะล้างบ้านล้างเมือง ส่งหัวโจกแดง ไปทัวร์สวรรค์กันให้เป็นแพ ..ครั้งก่อนที่ว่าร่วงผล็อยเป็นใบไม้ร่วง ครั้งนี้,จะรุนแรงกว่าหลายเท่า เสร็จสรรพ!!

พฤษภาคมทมิฬ....เริ่มโชยกลิ่น....หมิ่นเหม่กลับมาอีกครั้ง แล้วสิครับ??

....................................................

เน่าใน..อ่านว่า..เน่าใน!!

พรรคประชาธิปัตย์ ที่ออกมารุมขย่ม เขย่ากันเอง ..ล้วนเป็นเกมของผู้ใหญ่??

เป็นการคิดล้มอำนาจ คว่ำ “เทพเทือก” สุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรค ผู้จัดการรัฐบาล รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง

ทั้ง “บัญญัติ บรรทัดฐาน” และ “ชวน หลีกภัย” หวังเข่น ข่มขวัญ ฟาดสุเทพให้ลง

หลังจาก ๒ ผู้ยิ่งใหญ่ เคยเปิดมหากาพย์ รื้อเก้าอี้ เจาะยาง “พล.ต.สนั่น ขจรประศาสตร์” และ “วีระ มุสิกพงศ์” อดีตเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ จนตกเก้าอี้ หนีจากพรรคหัวซุน!!

แต่ “เทพเทือก”ไม่หมู...รับประกันเอาท่านไม่อยู่?..โดยเขาประกาศสู้ตายสิคุณ???

...................................................

“กฎเหล็ก” ยุ่ยเป็นแป้ง!!

คิวการเลือกตั้ง มีกลิ่นอภิมหาอมตะนิรันดร์กาล “โกงการเลือกตั้ง” ว่ามาแรง??

โดยเฉพาะ,เขตการเลือกตั้งใจกลางเมืองหลวงกรุงเทพเมืองฟ้าอมร ที่มีการตุกติก เต็มคราบ เต็มเหนี่ยว ที่เขตเลือกตั้งหลักสี่

๕ เสือ กกต. ของ “อภิชาต สุขขัคคานนท์” ปล่อยให้โกงโจ๋งครึ่ม เสียยี่ห้อนะคุณพี่

เมื่อมีการเอาถุงยังชีพ ช่วยพี่น้องชาวใต้ที่ถูกน้ำท่วม..มาปูพรมแจกกันตรึมในเขตเลือกตั้งนี้..ทำอย่างเย้ยฟ้าท้าดิน ไม่เปลี่ยนถุงยังชีพ แจกโชว์หรา ว่ามาจากระทรวงไหน เสียอีก!!!

“กกต.”อย่ารอช้า...รีบจัดการดีกว่า?..ก่อนที่หน้าท่านจะฉีก??

.........................................

รัก “พ่อ” ยิ่งกว่าชีวิต!!

“หนูกัญจนา ศิลปอาชา” บุตรสาวคนสวยแก้มป่อง “ท่านบรรหาร ศิลปอาชา”ยอดนักคิด

จาก “เด็กชายเซียง แซ่เบ๊” บัดนี้ กลายมาเป็น “ท่านบรรหาร ศิลปอาชา” วัย ๗๙ ฤดูฝน

ร่างกายที่ฟิตปั๋ง เดี๋ยวนี้ก็โรยชรา ไปตามสังขาร แห่งความเป็นคน

แต่ด้วย “สเต็มเซลล์” ..เซลล์ชีวิตชั้นดี ที่ฉีดเข้าไปปลูกถ่ายอวัยยะภายในให้ดูเป็นหนุ่มอีกคราว.. “หนูกัญจนา” จึงอยากหามาฉีดให้กับ “คุณเตี่ยบรรหาร” กระชุ่มกระชวย กระฉับกระเฉง!

“สเต็มเซลล์”จะฉีดให้คนดี ๆ ..คนที่ทำเพื่อชาติเต็มที่?..ฉีดให้ “บรรหาร”ครั้งนี้ ถือว่าเหมาะเหม็ง??

.....................................

“ปฏิบัติ”มาอย่างคงเส้นคงวา!!

“เดอะจู๋” พล.ต.ต.นิพนธ์ ภุมรินทร์ อดีต รองผบช.น. ที่เทิดทูนเจ้านาย อย่างขึ้นหน้าคุณตา

แม้นว่า, “นายเสมอ” พล.ต.ท.เสมอ ดามาพงศ์ อดีต รองอ.ตร. จะวายชนม์กลายเป็นพลเมืองอยู่บนแดนสวรรค์ ก็ตามที

โกศที่บรรจุกระดูก ไว้ที่วัดสระเกษ ภูเขาทอง..เมื่อมีเวลาท่านมักไปทำความสะอาดทุกปี

ดังนั้น,คนที่ซื่อสัตย์กับเจ้านาย จึงตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้ จึงมี “เดอะจู๋”ให้เห็นอยู่!!

“คุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์” ไปกราบคุณพ่อ...เห็นความสะอาดละออ..ร้องอ๋อ,ว่าเป็นฝีมือ “เดอะจู๋”???


คอลัมน์.ตอดนิดตอดหน่อย,บางกอกทูเดย์
//////////////////////////////////////////////////////////

วันอังคารที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

"ดร.ชัยวัฒน์ "เตือน อย่าดูถูก"ประชาธิปไตย4วินาที "ทำอย่างไรไม่ให้การรณรงค์หาเสียงเป็นที่ผลิตความเกลียดชัง

ถ้าไม่มี อุบัติเหตุทางการเมือง คนไทยน่าจะได้เลือกตั้ง ต้นกรกฎาคม 2554
แต่ใครอีกหลายคน เหลียวดู เหตุการณ์ใน อียิปต์ ตูนีเซีย เยเมน บาห์เรน แล้วนอนไม่ค่อยหลับ เพราะอดคิดไม่ได้ว่า สักวันอาจเกิดขึ้นในกรุงเทพ

ดร.ชัยวัฒน์ สถาอานันท์ ศาสตราจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์สันติวิธี นั่งสนทนากับนักข่าว ก่อนประเทศไทยปรับเข้าสู่โหมดเลือกตั้งในอีกไม่กี่วัน


สถานการณ์การเมืองไทยมีแนวโน้มจะเกิดสถานการณ์จลาจลแบบประเทศในตะวันออกกลางหรือไม่

ก่อนอื่นผมไม่อยากให้เรียกเหตุการณ์ในตะวันออกกลางว่าเป็นเหตุจลาจลเพราะคำเรียกก็มีความสำคัญ ผมจะเรียกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอียิปต์ ตูนีเซีย เยเมน บาห์เรน เหล่านี้ ว่าเป็นการลุกขึ้นเรียกร้องประชาธิปไตยของประชาชน ซึ่งเกือบจะทั้งหมด ยกเว้นกรณีของลิเบีย เป็นการลุกขึ้นสู้ โดยใช้สันติวิธีเป็นแกนกลางในการรณรงค์ เปลี่ยนแปลงทางการเมืองทั้งสิ้น

ประเด็นที่ 2 เวลาเรามองกรณีเหล่านี้ ต้องตระหนักว่าแต่ละกรณีไม่เหมือนกัน เพราะฉะนั้น คงไม่สามารถกล่าวเป็นการทั่วไปว่าทั้งหมดที่เกิดในตะวันออกกลาง เป็นก้อนเดียวกัน เช่น สิ่งที่เกิดขึ้นในอียิปต์ กับลิเบีย เป็นตัวอย่างที่น่าสนใจ เพราะมีความแตกต่างภายในระหว่างอียิปต์กับลิเบีย อย่างเห็นได้ชัดหลายประการ

เช่น ความยากจนกับความร่ำรวย ความใหญ่โตกับความเล็ก การมีหรือไม่มีทรัพยากร สถานะเหล่านี้เกี่ยวข้องกับเหตุที่เกิดขึ้น เช่น อียิปต์ มีประชากร 82 ล้านคน เป็นคนจนประมาณครึ่งประเทศ ขณะที่ลิเบียประชากรประมาณ 6.5 ล้าน เท่านั้น และสถานะชีวิตความเป็นอยู่ก็ดีทัดเทียมกับประเทศในโลกซีกเหนือ หรือความแตกต่างเรื่องน้ำมัน ลิเบียมีน้ำมัน แต่อียิปต์ไม่มีขณะที่ประชาชนส่วนใหญ่เป็นเกษตรกรและยากจน

ที่น่าสนใจต่อไปคือ ทหารมีความสำคัญในอียิปต์ เพราะฉะนั้น ตัวตัดสินประการสำคัญคือทหาร ฉะนั้นทหารที่ยึดอำนาจมาตั้งแต่สมัยก่อนประธานาธิบดี ฮอสนี มูบารัค ก็เป็นนายทหารที่ยึดอำนาจขึ้นมาก่อน มีบทบาทสำคัญ และอยู่ในอำนาจยาวนาน ส่วนกรณีของมูอัมมาร์ กัดดาฟี ถึงจะเป็นทหาร แต่ทหารในประเทศ ไม่มีคุณลักษณ์เป็นสถาบัน ฉะนั้น จึงต่างกันมาก

ยกตัวอย่าง 2ประเทศนี้ยังต้องดูด้วยว่า ผูกโยงแค่ไหนกับจักรวรรดิอเมริกัน ถ้าผูกโยงใกล้ชิด กับจักรวรรดิอเมริกันมาก โอกาสที่จะเปลี่ยนแปลงทางการเมืองจนเป็นไปอย่างที่โลกประชาธิปไตยอยากจะเห็น อาจจะเป็นไปได้เร็วและชัดขึ้นอย่างในอียิปต์ แต่ก็ไม่แน่ว่า สิ่งที่เกิดขึ้นในอียิปต์ จะเป็นภาพของประชาธิปไตยจริงๆ เพราะว่าสถาบันทหาร ซึ่ง เคยรับผิดชอบต่อการดูแลเสถียรภาพของอียิปต์ ยังดำรงอยู่ตลอด ส่วนที่หายไปก็มีเพียงครอบครัวและอาจจะพรรคพวกบางส่วนของมูบารัคเท่านั้น

ในขณะที่ลิเบีย ไม่ได้อยู่ในขอบวงอิทธิพลของสหรัฐอเมริกาหรืออังกฤษ อะไรทั้งสิ้น แต่ถูกจัดเป็นประเทศรอบนอกถูกสหรัฐฯและมิตรประเทศจัดมานานแล้วว่าเป็นรัฐที่สนับสนุนการก่อการร้าย ด้วยเหตุนี้โลกฝรั่งก็ไม่มีอิทธิพลต่อลิเบียมากนัก ยิ่งกว่านั้น ขณะนี้การต่อสู้ในลิเบีย ก็เป็นกองกำลังติดอาวุธ ต่อสู้กับรัฐบาล และนาโต้ก็ตัดสินใจกระโดดเข้าไป ก็เป็นอีกเรื่องจนทำให้มีผู้คนล้มตายกว่าหมื่นคนแล้ว ผมพูดเพื่อจะบอกว่าลักษณะ ทั้งหมดมีความหลากหลาย และเมื่อลงรายละเอียดเฉพาะ ก็จะมีลักษณะแตกต่างจากประเทศไทยอยู่มาก

ประเด็นที่ 3 คือ เราดูโลกรอบๆ ตัวได้ในแง่ขวัญกำลังใจการเปลี่ยนแปลงสู่เส้นทางประชาธิปไตย เพราะสิ่งที่กำลังเห็นขณะนี้คือ ไม่ว่าจะอย่างไร ประเทศเหล่านี้ซึ่งมีระบอบการปกครอง อยู่ภายใต้พรรคเดียว หรือทหารกลุ่มเดียว หรือฝ่ายราชาธิปไตยกลุ่มเดียว มาเป็นเวลานานกำลังเผชิญ กระแสประชาธิปไตย ที่เข้มแข็งขึ้น ซึ่งคงนำมาสู่ความเปลี่ยนแปลงทางสังคมการเมืองได้

 สถานะของไทยเป็นอย่างไรในกระแสโลก

 ถ้าพูดถึงประเทศไทยในบริบทของกระแสประชาธิปไตย ก็อาจจะพูดแบบนั้นได้ แต่ก็ต้องย้อนกลับไปคิดปัญหาทางทฤษฎีบางประการ มีคนเชื่อว่าในที่สุดการต่อสู้ทางความคิด ระหว่างรูปแบบการเมืองการปกครอง ในปลายคริสต์ศตวรรษที่ 20 หรือศตวรรษที่แล้ว เป็นยุคสมัยของชัยชนะของระบอบประชาธิปไตย เพราะฉะนั้น ความคิดอื่นก็จะพ่ายแพ้ไปในที่สุด ถึงแม้ยังมีระบอบเผด็จการ หรือประชาธิปไตยจำแลงรูปบางแบบ แต่ระบอบเหล่านั้นก็ไม่เที่ยงแท้ไม่คงทนและถูกความคิดประชาธิปไตยเอาชนะในที่สุด บางคนโดยเฉพาะ Francis Fukuyama ถึงกับบอกว่าเป็นจุดจบประวัติศาสตร์ไปแล้ว

 ฉะนั้น หมายความว่าถ้า ประเทศไทยอยู่ในกระแสนี้ ต้องแยกของ 2 อย่างระหว่าง ทิศทางของโลก กับสภาพเฉพาะของแต่ละสังคม แม้ทิศทางอาจจะไปในเส้นทางใกล้เคียงกัน แต่ลักษณะเฉพาะที่หน้าตา ท่าทาง สีสัน อาจจะไม่เหมือนกันก็ได้

 การเลือกตั้งจะตกอยู่ในฐานะอะไรในอนาคตเพราะมีกลุ่มที่ไม่ต้องการเลือกตั้งและกลุ่มที่พร้อมจะบอกว่าหากแพ้เลือกตั้งแปลว่าถูกโกง
ก่อนอื่นคงต้องกล่าวว่านิยามของประชาธิปไตยมีอย่างน้อย 300 กว่านิยาม แต่ไม่ว่าคุณจะนิยามอย่างไร การเลือกตั้ง ก็อยู่คู่กับระบอบประชาธิปไตย มองในมุมของคนที่สนใจความรุนแรงและความขัดแย้ง ผมคิดว่าการเลือกตั้งเป็น นวัตกรรมที่ยิ่งใหญ่

เพราะตอบปัญหาความขัดแย้งใหญ่ว่าใครจะเป็นคนครองอำนาจรัฐ สมัยก่อนเวลามีปัญหานี้ก็ดูว่าใครมีกำลังมากกกว่ากัน ใครมีทหารมากกว่ากัน ใครมีอาวุธมากกว่ากัน ที่พูดนี่หมายถึงระบอบอะไรก็ได้ ไม่ว่าจะราชาธิปไตย อภิชนาธิปไตย คณาธิปไตย หรือแม้กระทั่งระบบทหาร สมมุติว่าทหารซึ่งเคยคุมอำนาจเผด็จการในประเทศนั้นตายไป

ปัญหาคือใครในประเทศจะขึ้นมาแทน สมัยก่อนเมื่อไม่มีการเลือกตั้งก็ต่อสู้ฆ่ากันเพื่อตอบโจทย์ว่าใครจะเป็นผู้ครองรัฐ แม้ไม่ใช่ทุกครั้งต้องรบราฆ่าฟันกัน แต่ทุกครั้งก็ดูว่าใครมีกำลังมากกว่ากัน เหตุผลที่ไม่รบก็อาจจะเพราะเห็นว่าอีกฝ่ายยิ่งใหญ่กว่า มีกำลังมากกว่า ไม่รู้จะรบยังไง ก็ยอม หรือบางทีก็มีอำนาจประเพณีมากำกับเอาไว้ คุณูปการทางการเมืองของการเลือกตั้งคือย้ายการต่อสู้เพื่อตอบปัญหาการครองอำนาจรัฐด้วยกำลังด้วยความรุนแรง มาเป็นการตัดสินใจด้วยบัตรเลือกตั้ง

คือจาก bullets เป็น ballots กล่าวอีกอย่างหนึ่ง การเลือกตั้ง สามารถตอบคำถามว่า ใครจะครองอำนาจรัฐโดยไม่ต้องตัดสินกันด้วยกระสุนปืน แต่โดยบัตรเลือกตั้ง คำตอบนี้เป็นคำตอบยิ่งใหญ่ทางรัฐศาสตร์ ในการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองโดยสันติวิธี ฉะนั้น การเลือกตั้งจึงสำคัญอย่างยิ่งต่อประชาธิปไตยในความหมายนี้

ถ้าอยากให้เป็นสันติ ก็หมายความต่อไปว่า ต้องยอมรับ สิ่งที่จะได้จากการเลือกตั้ง โดยมีเกณฑ์ กระบวนการเลือกตั้งอย่าง free and fair เสรีและยุติธรรม คนมาลงคะแนนเสียงลงโดยไม่มีใครมาบังคับ ยิ่งกว่านั้นกระบวนการเลือกตั้งก็ต้องยุติธรรมไม่มีอำนาจภายนอกมาบงการ

นักการเมืองทุกฝ่ายมักนำสถาบันไปกล่าวอ้างทางการเมือง
ระบอบที่สังคมไทยเป็นในประวัติศาสตร์การเมืองระยะใกล้ คือประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัติริย์เป็นประมุข ซึ่งหมายความว่าสถาบันพระมหากษัตริย์ของไทยอยู่ใต้รัฐธรรมนูญ โดยพระมหากษัตริย์ทรงเป็นองค์พระประมุขของรัฐ แต่ไม่ใช่หัวหน้ารัฐบาลซึ่งอันนี้ใครๆ ก็ทราบ และการเมืองแบบที่มีการเลือกตั้ง ในที่สุดก็มีการแบ่งฝักแบ่งฝ่าย เพราะต้องยอมรับว่าประชาธิปไตยเป็นการเมืองของการอยู่กับความขัดแย้ง
 แต่สถาบันพระมหากษัติย์ อยู่เหนือความขัดแย้ง หรือควรจะอยู่เหนือความขัดแย้ง ซึ่งหมายความว่าพระมหากษัติย์หรือสถาบันพระมหากษัตริย์ของไทย ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ ของทุกฝ่าย ไม่ว่าเขาจะอยู่ฝ่ายไหนขัดแย้งกับใครสีอะไร ถืออุดมการณ์ใด จะเห็นได้ว่าในหลายประเทศประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขของรัฐ (head of state)

อย่างอังกฤษหรือสวีเดนหรือญี่ปุ่น อนุญาตให้มีพรรคคอมมิวนิสต์ ซึ่งไม่เห็นด้วยกับการมีพระมหากษัตริย์ แต่สถาบันพระมหากษัตริย์ก็ทำหน้าที่เป็นประมุขคือเป็นพระมหากษัตริย์ของทุกคนไม่ว่าประชาชนในรัฐนั้นจะสังกัดพรรคการเมืองใด ด้วยอุดมการณ์ใด ในความหมายนี้ก็หมายความว่าอำนาจบารมีปกแผ่ไปทั่วโดยไม่เลือกที่รักมักที่ชัง

กล่าวอีกอย่างหนึ่งในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข อาจมีผู้คนหรือพรรคการเมืองที่ไม่เห็นด้วยกับสถาบันกษัตริย์ แต่สถาบันกษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ต้อง มีพื้นที่อันปลอดภัยให้กับทุกคนทุกฝ่าย

ถ้าระบอบประชาธิปไตยเป็นระบอบของความขัดแย้ง จัดการความขัดแย้งด้วยการแบ่งเป็นพวกเป็นเหล่า ดำเนินชีวิตทางการเมืองอย่างขัดแย้งกัน แต่ไม่ต้องฆ่าฟันกัน การมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข แปลว่าทรงเป็นพระประมุขของทุกฝ่ายที่ขัดแย้งกันทั้งหมด นี่คือความหมายของการที่มักถือกันว่าทรงอยู่เหนือการเมือง

การเคลื่อนไหวในกลุ่มมวลชนที่เปรียบเปรยว่ารักลูกไม่เท่ากัน จะนำไปสู่ความไม่พอใจที่รุนแรงหรือไม่
ผมคิดว่าสังคมไทยก็ได้เดินมาถึงจุดหนึ่งซึ่งแต่ละคนก็มีความรู้สึกต่อเหตุการณ์ทางการเมืองที่เกิดขึ้นไม่เหมือนกัน ผมยังคิดแบบนี้ว่า สมมุติในครอบครัว ลูกน้อยใจพ่อแม่แล้วก็บอกว่า พ่อแม่ไม่เห็นรักลูกเท่ากันเลย ผมยังรู้สึกว่าเป็นสัญญาณ(sign)ที่ดีนะ เพราะแปลว่าลูกรักพ่อรักแม่เขานะ และเขาอยากให้พ่อแม่รักลูกให้เท่ากัน แต่สัญญาณที่ไม่ดีในครอบครัวก็คือว่า ลูกบอกว่าไม่สนใจแล้ว ไม่เอาด้วยแล้ว ไม่นับว่าตัวเองเป็นลูกแล้ว อันนั้นอันตรายกว่า
ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขมีปริศนาสองเรื่อง เรื่องแรกคือ ทำอย่างไรให้คนยังมามีส่วนร่วมในระบอบประชาธิปไตย และเรื่องที่สองคือ ทำอย่างไรให้สายสัมพันธ์ระหว่างประชาชนในรัฐกับสถาบันสูงสุดดำรงอยู่ ถึงแม้จะมีความรู้สึกในใจต่อสายสัมพันธ์ที่แตกต่างหลากหลายผันแปรไป ถึงจะเป็นสายสัมพันธ์แบบน้อยใจ ก็ยังแปลว่ามีความสัมพันธ์ แปลว่ามีความรักอยู่ ทำอย่างไรจะทะนุถนอมรักษาสายสัมพันธ์นี้ให้เหนียวแน่นยั่งยืนสืบไป เพราะหากสายสัมพันธ์นี้อ่อนแอลงเมื่อใดก็ย่อมเป็นปัญหาต่อระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นมุข
               
มีอีกคำที่บ่งบอกความรู้สึกบางอย่างของกลุ่มชุมนุมคือ ตาสว่าง
ทั้งหมดนี้ยังเป็นวาทกรรมในเชิงอารมณ์ความรู้สึกของผู้คนบางส่วน ที่การเมืองซับซ้อนน่าสนใจเพราะ การเมืองไม่ใช่ระบบเหตุผลทั้งหมดแต่กอปรขึ้นด้วยอารมณ์มนุษย์ซึ่งกำกับความสัมพันธ์ที่เรามีต่อหน่วยต่างๆ(unit)ของสังคม ที่อารมณ์เช่นนี้ดำรงอยู่อาจแสดงให้เห็นความรู้สึกที่ผูกพันกันอยู่ แต่ความผูกพันนี้ถูกกระทบกระเทือน เหมือนกับผู้หญิงโกรธแฟนเพราะไปทำไม่ถูกใจเขา มีคนอธิบายว่าถ้าเขายังโกรธอยู่ แปลว่าไม่เป็นไรนะ เพราะวันหนึ่งก็หายโกรธได้ ความสัมพันธ์ยังอยู่ ยังปรับปรุงได้ แต่ถ้าเธอคนนั้นไม่รู้สึกอะไรแล้ว ไม่มีเยื่อใยกันแล้ว นั่นย่อมเป็นปัญหาใหญ่หลวงต่อความสัมพันธ์

ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข เป็นระบอบที่มีสถาบันกลไก 2 อย่างที่ทำงานอยู่ด้วยกัน สถาบันการเมืองประชาธิปไตย เป็นกลไกการตัดสินว่าใครจะมาเป็นรัฐบาล แต่การมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข แปลว่าในรัฐ มีสายสัมพันธ์อีกอันหนึ่งซึ่งยังอยู่ แต่ก็อาจผันแปรแตกต่างเป็นธรรมดา เช่น ก็เหมือนในครอบครัวผู้คนปรกติ คงน้อยครับที่จะมีครอบครัวซึ่งรักกันยิ้มแย้มแจ่มใสตลอดปีตลอดชาติแบบครอบครัวพลาสติก น่าจะมีแต่ในโฆษณาทีวีเท่านั้น ไม่ใช่ในชีวิตจริง

ความน้อยใจหรือรู้สึกในทางลบขณะนี้ยังไงก็ยังห่างไกลจากสถานการณ์ในตะวันออกกลาง
อย่างที่เรียนไปว่า กรณีอียิปต์ ตูนีเซียอะไรทั้งหลาย เป็นการลุกฮือของประชาชน มาเรียกร้องสิทธิเสรีภาพในการที่เขาเป็นพลเมืองของรัฐ แต่ของเรามีประวัติศาสตร์ในการต่อสู้เพื่อเป็นประชาธิปไตยตลอดเวลา เป็นคนละโจทย์กัน เพียงแต่ตอนนี้เป็นประชาธิปไตยในบริบทที่ขัดแย้งกันมากในเรื่องเป้าหมายและวิธีการตัดสินปัญหาในสังคมการเมือง

บางคนคิดว่ากลัวการเลือกตั้ง บางคนคิดว่าพอผลการเลือกตั้งออกมา จะได้คนที่ตัวเองไม่ปรารถนาขึ้นมาเป็นรัฐบาล แล้วคนจำนวนหนึ่งก็จะทนไม่ได้ในสิ่งเหล่านี้ นี่ก็จำเป็นต้องหาวีธีเข้าใจให้ได้ เพราะถ้าพูดอย่างนี้ก็คือไม่ยอมรับกลไกสำคัญที่สุดในแง่การแก้ปัญหาใหญ่ที่สุดทางการเมือง แล้วคุณจะเอาอย่างไรในแง่การแก้ปัญหาความขัดแย้งเรื่องการครองอำนาจรัฐ ถ้าคุณไม่ยอมรับอันนี้ ก็แปลว่า คุณต้องยอมรับพลังอื่นที่เป็นตัวกำหนด ขณะนี้ก็มีพลังอื่นมากหลายที่ขัดแย้งกันอยู่ในสังคมไทย


หลังรัฐประหารปี49 รัฐบาลคมช.ระบุว่าตัวเองมีเนื้อหาเป็นประชาธิปไตยมากกว่ารัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งอย่างพรรคไทยรักไทย ในอนาคตเราจะอยู่กับปมความขัดแย้งทางความเชื่อแบบนี้อย่างไร
ประชาธิปไตยเป็นระบอบที่อยู่กันด้วยความขัดแย้ง คือต้องเข้าใจให้ได้ว่า ความขัดแย้งเป็นลมหายใจแห่งชีวิตของประชาธิปไตย


ตราบเท่าที่ยังไม่เอาปืนมายิงกันงั้นหรือ
ใช่ ผมมีสิทธิ์ ที่จะแสดงความคิดเห็นซึ่งแตกต่างจากคุณ ผมมีสิทธิ์ที่จะเลือกคนที่ผมชอบ มาดำเนินกิจการทางการเมืองแทนตัวผม ทีนี้คำถามมีว่า คนอีกส่วนหนึ่งกำลังบอกว่า ผมโง่เลยตัดสินใจผิด ถ้าคุณเริ่มแบบนี้ ก็เป็นการเริ่มจากหลักการที่คุณไม่ยอมรับประชาธิปไตยตั้งแต่ต้น คือคุณไปคิดว่าคนไม่เท่ากัน ที่จริงประชาธิปไตยมีพัฒนาการมานานพอสมควร แต่ก่อนก็อธิบายว่า คนไม่เท่ากันจึงไม่มีสิทธิทางการเมืองเท่ากัน

เช่นในสมัยหนึ่งกระทั่งเชื่อว่าคนสีผิวหนึ่งไม่มีสิทธิในการเลือกตั้ง เพราะคนสีผิวนี้ เป็นคนโง่เขลา ไม่มีความรู้ เป็นทาส เป็นคนต่ำ เป็นคนไม่มีภูมิปัญญา แม้กระทั่งผู้หญิง ในสมัยก่อนก็ถูกตัดสินว่าไม่มีสิทธิ์ในการเลือกตั้ง เพราะเคยคิดกันว่าผู้หญิงไม่ใช่คน หรือเป็นคนก็ไม่เท่ากับผู้ชาย แม้สตรีในสหรัฐฯก็มีสิทธิในการลงคะแนนเสียงเลือกตั้งเสมอกันทั่วประเทศในช่วงปี ค.ศ.1920 นี้เอง
กล่าวได้ว่านี่เป็นการเดินทางของประชาธิปไตย ซึ่งในที่สุดถือว่าเมื่อเกิดมาเป็นมนุษย์ จะมากจะน้อย ก็ตัดสินชีวิตของตนได้ หรือควรจะเป็นสิทธิ์ที่บอกว่าในที่สุด อยากได้ใคร มาทำหน้าที่ทางการเมืองแทนตัว ผมว่าเรื่องนี้เป็นส่วนสำคัญของประชาธิปไตยเพื่อแก้ปัญหาแรกที่ว่า พอเราเชื่อว่า แต่ละคนสามารถที่จะตัดสิน ชะตากรรมของตัวเองได้

ดังนั้น เราก็นับเสียงที่คนเหล่านี้ตัดสิน ฉะนั้น เวลาคนเดินเข้าไปในคูหาเลือกตั้งที่มักเรียกกันว่า “ประชาธิปไตย 4 วินาที” แต่ที่สำคัญคือควรเข้าใจว่า เวลานั้นเป็นช่วงขณะที่ยิ่งใหญ่มาก เพราะมนุษย์ในคูหาเลือกตั้งกลายเป็น Autonomous being เป็นปัจเจกชนที่มีอำนาจเต็มตัว

ด้วยเหตุนี้ คูหาเลือกตั้งจึงเป็นเรื่องส่วนตัว ณ เวลานั้นไม่ต้องสัมพันธ์กับคนอื่น แต่ให้คิดในฐานะที่ตัวคุณ เป็นปัจเจกบุคคลมีสติปัญญาและกำลังตัดสินใจในเรื่องสำคัญที่จะส่งผลต่อชีวิตทางสังคมการเมืองของตนไปอีกนาน ตามกฎหมายก็ประมาณ 4 ปี ว่าใครจะเป็นคนใช้อำนาจอธิปไตยแทนคุณ ใครที่ดูเบาการเลือกตั้งคงไม่ได้เข้าใจว่า การใช้อำนาจของบุคคลในฐานะมนุษย์ที่เป็นอิสระกำหนดชะตากรรมทางการเมืองของตนสำคัญอย่างไร ในฐานะสมาชิกของประชาคมที่เป็นประชาธิปไตย ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่เพราะระบอบประชาธิปไตย

เอาเข้าจริง ต้องอยู่บนฐานของการเคารพอีกคนหนึ่ง แต่การเคารพนี้ซับซ้อนพอควรเพราะต้องเคารพ 2 เรื่องคือ 1 เคารพคุณเพราะคุณเหมือนผมและ 2 เคารพคุณเพราะคุณก็ต่างจากผม
ปรากฎการณ์ 4-5ปีที่ผ่านมา ทั้ง 2 ขั้วในการเมืองไทย มีเครื่องมือทั้งรูปแบบที่เป็นพรรคการเมืองและอีกเครื่องมือคือกลุ่มผู้ชุมนุม สามารถสั่นคลอนฝ่ายบริหารได้ทุกรัฐบาลทำให้การเลือกตั้งแทบไม่มีความหมายหรือเปล่า
นี่เป็นมายาคติที่ประหลาดๆ อยู่ ถ้าจะบอกว่าการเลือกตั้งไม่มีความหมาย คุณก็ต้องอธิบายว่า แล้วทำไมแต่ละคนดิ้นรนจะกระโดดเข้ามาในการเลือกตั้ง เข้ามาตั้งพรรคการเมือง ย้ายพรรคโยกพวกกันเยอะแยะ นัดกินหูฉลาม รวมตัวกัน ยังอยากเป็นนายกฯ อยากเป็นรัฐบาล ซึ่งก็หมายความว่ามันสำคัญ ไม่ว่าจะมีพลังอะไรทำงานอย่างไรอยู่ภายนอกก็ตาม

ยิ่งกว่านั้น อาจกล่าวได้ว่า ที่มวลชนเสื้อเหลืองออกมาบนถนนในตอนแรกก็ด้วยไม่พอใจให้ผลการเลือกตั้งในครั้งนั้น ขณะที่มวลชนเสื้อแดงก็ออกมาบนถนนเพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลยุบสภา จัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ กล่าวได้ว่า ทั้งสองเรื่องสะท้อนความสำคัญของการเลือกตั้งทั้งคู่
เกรงว่าการเลือกตั้งรอบใหม่จะเปิดเกมใหม่เริ่มความรุนแรงระหว่างรัฐกับประชาชน
ก็ถ้าฝ่ายรัฐมาจากประชาชนจริง ก็อาจจะไม่ขัดกัน หมายความต่อไปว่า ใครก็ตามที่ดูเหตุการณ์เหล่านี้อยู่ภายนอก แล้วไม่กระโดดเข้ามาเล่นในกติกาการเลือกตั้ง ก็ไม่ควรมีบทบาทกำกับทิศทางว่าสังคมการเมืองควรจะไปทางไหน อาจจะมีบทบาทให้คำแนะนำสังคมได้บ้าง แต่ว่าคำแนะนำเหล่านั้น

ถ้าคนเขามาจากการเลือกตั้งผ่านระบบมาอย่างบริสุทธิ์ยุติธรรม ถ้าเขาขึ้นมาได้ เขาก็มีสิทธิ ที่จะฟังหรือไม่ฟังคุณก็ได้ คือคำแนะนำก็ควรจะมี ข้อวิพากษ์วิจารณ์ก็ควรจะมี ข้อที่บอกว่าไม่เห็นด้วยกับจุดอ่อนของการเลือกตั้งก็ควรปรากฎให้เห็น ไม่ได้หมายความว่าต้องโยนมันทิ้งไป
สิ่งที่ยังหักล้างอำนาจจากการเลือกตั้งคือการรัฐประหาร แล้วประเทศไทยมีวิธีการวัดกำลังนอกจากโหวตแล้วยังมีอำนาจจากรถถัง ซึ่งไม่มีอำนาจเด็ดขาดเลยสักฝ่าย
ที่น่าสนใจคือว่าอำนาจที่มาจากรถถังก็ไม่เด็ดขาดอีกเหมือนกัน ข้อดีของสังคมไทยคือไม่มีอะไรเด็ดขาด แม้แต่รัฐประหารคราวที่แล้ว ก็ไม่สามารถแก้ปัญหาอะไรได้ ฝ่ายที่สนับสนุนรัฐประหารหรือทำรัฐประหาร ไม่ได้อยากให้พรรคพลังประชาชนชนะ แต่พรรคนั้นก็ชนะได้ แล้วจะอธิบายมันว่าอะไร

 สิ่งที่น่าสนใจคือ ตัวสังคมไทยมันเปลี่ยนไปแล้วหรือยังและเมื่อเปิดให้มีการเลือกตั้ง ตัวระบบเลือกตั้งก็มีกระบวนการมีลักษณะอำนาจของมันเอง เมื่อเลือกตั้ง ก็นับโหวตย้ายการสู้รบมาที่บัตรเลือกตั้ง แต่ประธิปไตยยังมีอย่างอื่นนอกจากเลือกตั้งคือ การมีรัฐบาลที่ ไม่ได้มีอำนาจเบ็ดเสร็จ การมีรัฐบาลที่มีอำนาจจำกัด การมีรัฐบาลซึ่งในที่สุดสิทธิเสรีภาพเห็นต่างยังมีอย่างจริงจัง ปัญหาคือ จะสร้างพื้นที่ซึ่งปลอดภัยให้กับผู้คนที่เห็นต่างไปจากเสียงส่วนใหญ่ได้อย่างไร
ปัญหาการยอมรับผลการเลือกตั้ง ขณะที่พรรคใหญ่พร้อมโหมกระแสว่าถูกโกงเลือกตั้ง
ด้วยเหตุนี้ระบบประจักษ์พยาน (witnessing) จึงสำคัญทั้งพยานจากภายในและจากต่างประเทศ เพื่อยกสถานะการเลือกตั้ง ผู้ที่ผ่านการเลือกตั้งจะได้มีความชอบธรรมสูง ความมั่นคงของรัฐบาลก็อาจจะสูงตาม ลดปัญหาเงื่อนไขให้คนวิ่งออกไปข้างนอก(สภา) เพราะเรื่องความชอบธรรม ซึ่งมีหลายสาเหตุรวมทั้งเรื่องที่มาของรัฐบาลด้วย และผมกำลังคิดว่าฝ่ายประชาสังคมก็ดี ฝ่ายรัฐเองก็ดีคงไม่อยากเห็นความขัดแย้งดำรงอยู่โดยไม่มีที่ยุติ เพราะต้นทุนของประเทศก็สูงแต่ละปีผู้คนก็บาดเจ็บล้มตาย

แต่ปัญหาที่ผมเตือนตั้งแต่ปีกลายคือ เมื่อรัฐตัดสินใจใช้ความรุนแรงไปครั้งหนึ่ง ความรุนแรงเหมือนพันธนาการที่มีชีวิตของมันเอง มันจะมัดมือคุณ เค้นคอคุณ ทำให้อึดอัดขัดข้อง กลัวว่าเมื่อผลการเลือกตั้งไปอีกทางหนึ่ง กลุ่มคนที่เคยเกี่ยวข้องกับความรุนแรง เคยใช้ความรุนแรงกับคนอื่น ก็จมอยู่กับเงาแห่งความเดือนร้อนที่รออยู่ อันนี้ก็เป็นปัญหาสำคัญ
มีทางออกอย่างไร
บางทีสังคมไทยต้องคิดเรื่อง ทำอย่างไรถึงจะมีความปรองดองในสังคมอย่างจริงจังกับใคร่ครวญถึงผลที่จะเกิดขึ้นในระยะยาวได้
หมายถึงนิรโทษกรรมหรืออภัยโทษ
ผมไม่ได้พูดว่านิรโทษกรรมหรืออภัยโทษ การปรองดองสมานฉันท์ไม่ได้เริ่มต้นจากการนิรโทษกรรมหรือให้อภัย แต่เริ่มต้นจากคำถามว่า อนาคตของสังคมไทยที่เรามีร่วมกันจะเป็นอย่างไร ทำอย่างไรจะเป็นอิสระจากกับดักแห่งอดีตจัดการกับความทรงจำที่เจ็บปวดได้พอจะกำหนดชีวิตของสังคมการเมืองไทยได้
จะให้ความสำคัญกับอะไรระหว่างการให้อภัยกับการหาความจริง
การให้อภัยเช่นที่ผมเคยเขียนไว้ใน อภัยวิถีไม่ได้หมายความว่าจะไม่รื้อฟื้นไม่ทำความจริงให้ปรากฎ แต่มีเรื่องหนึ่งที่ต้องคิดคือ การให้อภัยอาจจะเป็นเงื่อนไขสำคัญที่พาเราหลุดจากปมแบบนี้ เพราะถ้าเราไม่ทำเช่นนั้น ในที่สุดเราจะอยู่กับอดีตไม่ได้
ถ้าเรารู้ความจริงแล้วจะให้อภัยกันไหวหรือเปล่า
ผมตอบไม่ได้... แต่ในหลายๆ กรณี บางทีเหยื่อของความรุนแรงตัวจริง เขาพร้อมที่จะให้อภัยยิ่งกว่าคนซึ่งไม่ได้สูญเสียจริงๆ แต่อยู่ในฟากฝ่ายเดียวกัน ผมว่าน่าสนใจที่จะลองฟังเสียงของคนเหล่านั้นดู ในฐานะที่เขาสูญเสียมาแล้วจริงๆ สิ่งที่สำคัญคือ เขาอยากเห็นความจริงปรากฎ เขาอยากเห็นว่าเกิดอะไรขึ้นจริงๆ ในปีที่แล้ว แต่ขณะเดียวกัน ผมคิดว่าคนจำนวนหนึ่งก็น่าจะรู้สึกเช่นเดียวกันว่าชะตากรรมที่เขาพบ เขาอาจจะไม่อยากให้เกิดกับคนอื่น แล้วผมคิดว่าสังคมไทยต้องเก็บบทเรียนพวกนั้นมาไม่ใช่เพื่อชำระความแค้น แต่เพื่อหาวิธีป้องกันไม่ให้เกิดแบบนี้กับคนอื่น
การจับมือของนักการเมืองต่างขั้ว เป็นสัญญาณที่ดีหรือแย่เหมือนไม่มีหลักการที่แน่นอน
ทำอย่างไรจะใช้จังหวะการเลือกตั้งคราวนี้สะท้อนความคิดที่แตกต่างในสังคมไทยแต่หาทางเอาความเกลียดชังออกไป คือการต่อสู้ทางการเมืองที่เราดูถูกดูแคลนคำกล่าวว่า “ไม่มีมิตรแท้และศัตรูที่ถาวร” แต่ ความน่าสนใจคือ คนที่ไม่เห็นด้วยในวันนี้ ต่อไปก็เป็นเพื่อนกันได้ ก็แปลว่าเราสู้กันแต่ไม่ต้องเกลียดกันเพราะวันหนึ่งเราจะกลับมาเป็นเพื่อนกันได้อีก ผมว่าอันนั้นน่าสนใจ เป็นอีกสาระของประชาธิปไตย
ความเป็นมิตรจะแปลว่ากลับกลอกไม่มีอุดมการณ์ที่แท้จริงหรือเปล่า
แล้วคำว่า “อุดมการณ์ที่แท้จริง” คืออะไร เวลาเรามีพรรคการเมืองที่รวมตัวของกลุ่มคนซึ่งในที่สุดเป็นการรวมตัวด้วยผลประโยชน์ด้วยความคิดความอ่านของเขา แล้วถามว่าทำไมเป็นพรรคการเมือง คำตอบที่ซื่อสัตย์คือก็เพราะอยากเป็นรัฐบาล แล้วถ้าการเป็นรัฐบาลหมายถึงการจับมืออีกฝ่ายหนึ่ง ถ้าเขารู้สึกว่าอยู่ในหนทางที่พอจะจับกันได้ เขาก็จับเพื่อทำให้นโยบายนั้นเป็นจริง แต่ถ้าเขารู้สึกว่านโยบายเป็นไปไม่ได้ เขาก็ไม่จับ

ฉะนั้น การเมือง เป็นสิ่งซึ่งอยู่ในบริบทที่เป็นไปได้ในทางปฏิบัติ เพราะเป็นศาสตร์แห่งการปฏิบัติ เป็น practical science ไม่ใช่เห็นต่างแล้วจะเห็นต่างไปจนสุดลิ่มทิ่มประตู ไม่ถึงขนาดนั้น
ถามว่ามีอุดมการณ์ไหม ก็มี แต่กระบวนการประชาธิปไตยในรูปแบบรัฐสภานี้เมื่อคุณเข้าไปในสภา คุณก็ต้องเคารพอีกฝ่ายหนึ่งในฐานะที่เขาเป็นสมาชิกสภาเหมือนกับคุณ แต่อยู่ตรงข้ามกับคุณ ดังนั้น สภาจึงเป็นที่พูดกันไม่ใช่แทงกัน เวลาคุณเข้าสภา เขาไม่อนุญาตให้เอาอาวุธเข้าสภา กฎระเบียบพวกนี้จะผลักของบางอย่างออกไป การเป็นสมาชิกสภาบังคับคุณให้ไปนั่งอยู่ในห้องเดียวกันกับคนที่คุณไมเห็นด้วย

ทั้งหมดนี้เป็นอำนาจวาทกรรมรัฐสภาที่น่าสนใจและกำหนดบังคับคุณ แม้เมื่อสมาชิกสภาฯจะกล่าวอะไรก็ต้องพูดผ่านประธานสภาฯ โดยเริ่มต้นคำพูดว่า “ท่านประธานที่เคารพ...” พิธีกรรมและแบบปฏิบัติพวกนี้อาจจะดูเหมือนว่าไม่สำคัญ แต่สิ่งเหล่านี้คือวาทกรรมที่กำกับคุณ ถ้าคุณชี้หน้าด่าหรือพูดหยาบคาย เขาก็ปิดไมโครโฟนคุณ พาคุณออกจากห้อง เพื่อบังคับให้พื้นที่นี้ เป็นพื้นที่อีกแบบหนึ่ง

มีการปลุกประเด็นให้เกลียดชังมือที่มองไม่เห็น ปรากฎการณ์นี้จะเป็นอันตรายถึงฝ่ายใดหรือไม่
การวิเคราะห์ว่ามีพลังอำนาจอะไรทำงานในสังคมไทยก็วิเคราะห์ไปเป็นเรื่องธรรมดา แต่การบอกว่าเราต้องเกลียดชังอีกฝ่ายจะสะสมความรุนแรงที่ตามมา แล้วที่สุดก็จะกลายเป็นปัญหากับทุกฝ่าย
ถ้าไม่จำแนกความเป็นฝ่ายด้วยความเกลียดชังฝั่งตรงข้าม แล้วจะหาวิธีการจำแนกความแตกต่างยังไง
ผมว่าความเกลียดเป็นปัญหาสำคัญ ทำอย่างไรไม่ให้การรณรงค์หาเสียงเป็นที่ผลิตความเกลียดชัง ทำอย่างไรเราถึงจะเรียกร้องสิทธิเสรีภาพ กระทั่งเรียกร้องความยุติธรรมแต่ไม่อยู่บนพื้นฐานของความเกลียดชัง เรื่องนี้น่าจะเป็นโจทย์สำหรับผู้คนที่กระโดดเข้ามารณรงค์ผ่านการเลือกตั้งในคราวนี้ ถ้าเราเห็นแก่อนาคตของสังคมไทย.
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันจันทร์ที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

นักวิชาการ บอกนายกฯแถลงยุบสภาแผ่นเสียงตกร่อง

ดร.ถวิลบุรี บุรีกุล ผอ.สำนักวิจัยและพัฒนา สถาบันพระปกเกล้า กล่าวว่า ได้ทำงานวิจับพบว่าอายุ 60 ปีขึ้นไปและกลุ่มคนลือกตั้งสมัยแรกชอบนายกอภิสิทธิ์ นายกฯพูดถึงสิ่งที่ทำอยู่และทำต่อไป แต่ก็ยังจับต้องไม่ได้คงยากจะได้เสียงตอนนี้แต่เหลือเวลาอีก 60 วันก็อาจทำอะไรที่ได้ใจประชาชนอยู่บ้าง ตนเชื่อมั่นในกระบวนการประชาธิไตย และทุกคนพอใจและเชื่อว่า ปชต.น่าจะฝั่งรากแต่ก็ถูกแทรกแซงแต่ขอให้ช่วยกันขัดขวางกระบวนการที่จะไม่ทำให้เกิดประชาธิปไตยหรือในรูปแบบอื่นที่จะตามมาส่วนการโหวตโนคิดว่าไม่มากเพราะประชาชนจะรู้อยู่แล้วว่าควรโหวตใคร เพราะกระบวนการปชต.ต้องมีผู้แทน

รส.สมชัย ศรีสุทธิยากร ผอ.ศูนย์วิจัยและติดตามนโยบายภาครัฐ ม.ศรีปทุม กล่าวว่า การแถลงยุบสภาไม่สมกับการรอคอย ไม่ได้ทำให้ได้คะแนนนิยมเพิ่ม หรือเป็นคำพูดที่ดีในการตัดสินใจ ประชาชนคงตัดสินใจเหตุการณ์ในอดีตมากกว่า การแถลงข่าวและมีการตอบคำถามอาจทำให้คนสนใจมากขึ้น หลายคนอาจกังวลว่าอาจไม่มีการเลือกตั้ง แต่ตนเชื่อว่าไม่มีอยากให้ทุกคนประคองเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่อาจทำให้ไม่มีการเลือกตั้งขอให้หลีกเลี่ยงการกระทำบางอย่าง

กรณีการเปรียบเทียบระหว่างนายอภิสิทธิ์และนส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นั้นประสบการณ์คงไม่มีปัญหาเพราะพรรคเพื่อไทยมีวิธีทางการตลาดในการสร้างคุณค่าให้กับคนของเขาเองได้ ส่วนการโฟนอินของพ.ต.ท.ทักษิณนั้น หลายคนอาจไม่ชอบเพระาผิดกฏหมายแต่คนที่เป็นแฟนคลับก็ชอบแต่ หลังมีพรฏ.ก็คงไม่กล้าเสี่ยง ซึ่งพ.ต.ท.ทักษิณควรยุติ สำหรับการหาตัวหน.พรรคนั้นก็อาาจเร็วไปหรือเจ็บเร็วหรืออยู่ระห่างการเจรจาต่อรอง แต่อาจเป็นผลบวกกับพรรคเพื่อไทยที่เราไม่สามารถทราบได้ว่าใครจะมาเป็นหน.พรรค หากไม่มีนส.ยิ่งลักษณ์ ก็จะเข้ามา เรียกว่ามีเถ้าแก่แน่นอน

ปกติการเลือกตั้งที่ผ่านมามีบัตรเสีย 2-3เปอร์เซ็นต์ โหวตโน 5 เปอร์เซ็นต์ ไม่คิดว่าจะทำให้เกิดตัวเลขมากนักในการเลือกตั้งครั้งนี้ แต่ควรมีการรณรงค์ให้โหวตให้เกินครึ่ง คนใช้สิทธิเลือกตั้งมี 70 เปออร์เซ็นต์ ในขณะนี้ โพลหลายแห่งบอกว่ากั้ากึ่งระหว่างสองพรรค หากยิ่งโหวตโนปชป.ยิ่งจะเสียเปรียบพรรคเพื่อไทยจะได้เปรียบ คนโหวตโนคือคนที่มีการศึกษาและติดตามข่าวสารและเป็นคนที่เลือกปชป.มาก่อนแต่ผิดหวังกับการบริหาร ทั้งนี้การกลับมาของ 111 หากกลับมาทำประโยชน์ก็ยินดีต้อนรับแต่หากไม่มีทำประโยชน์ก็คงจัดการภายหลัง

รศ.พรชัย เทพปัญญา คณะวิทยาการ กล่าวว่า การแถลงการยุบสภาของนายกฯ เหมือนเชื่อมั่นประทศไทยภาคสุดท้ายหรือแผ่นเสียงตกร่อง ซึ่งพูดในลักษณะนี้ตลอดเวลา ค่อนข้างไม่เป็นรูปธรรมชัดเจน การที่คนกังวลว่าอาจจะไม่มีการเลือกตั้งนั้นคงไม่มี เช่นการยึดอำนาจประชาชนคงไม่ได้ออกมาในรูปแบบรถถัง แต่มีวิธีการอื่นที่แยบยลอาทิเช่นเคยเกิดกรณีตุลาการภิวัฒน์เช่นการยุบพรรค ซึ่งอาจอยู่เบื้องหลังและประสบผลมากกว่าปฏิวัติที่เห็นได้จากปี 49 การปฏิวัติไม่ประสบผลสำเร็จ

ที่ผ่านมาคนไม่ใช้สิทธิ์มากถึง 40- 50 เปอร์เซ็นต์ คนโหวตโนส่วนมากยังไม่แน่นใจว่าจะเลือกใคร

ที่มา.เนชั่น
/////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

โปรดเกล้าฯยุบสภาแล้ว กำหนดวันเลือกตั้ง 3 กค.54

หลังจากที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี นำพระราชกฤษฎียุบสภาขึ้นทูลเกล้าฯ เมื่อวันศุกร์ที่ 7 พ.ค.ที่ผ่านมา ขณะที่นายกฯ ระบุว่า จะมีการแถลงข่าวในวันจันทร์ที่ 9 พ.ค. นั้น ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันจันทร์ที่ 9 พ.ค. บรรดาผู้สื่อข่าวทั้งไทยและต่างประเทศ ได้มารอทำข่าวการแถลงครั้งนี้ที่ทำเนียบรัฐบาล เป็นจำนวนมาก ต่อมาเมื่อเวลา 17.00 น. ตึกนารีสโมสร ทำเนียบรัฐบาล นายปณิธาน วัฒนายากร รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงว่า วันที่ 9 พฤษภาคม พุทธศักราช 2554 พระบาทสมเด็จปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการให้ตราพระราชกฤษฏีกายุบสภาผู้แทนราษฎร โดยให้มีนับมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 10 พฤษภาคม พุทธศักราช 2554 และให้มีการเลือกตั้งในวันที่ 3 กรกฎาคม 2554 ซึ่งคืนนี้นายกรัฐมนตรีจะชี้แจงผ่านสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย เพื่อแถลงการนยุบสภาในเวลา 20.30 น.เพื่อชี้แจงประชาชน




ที่มา. เนชั่น
///////////////////////////////////////////////////////