--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันอังคารที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2554

สื่อกัมพูชาระบุทหารไทยถล่มเป้าหมายพลเรือน-กราดยิงโบราณสถาน !!?

พนมเปญโพสต์เผยภาพบ้านเรือนประชาชนฝั่งกัมพูชาที่ได้รับความเสียหายจากเหตุปะทะกันระหว่างทหารไทย-กัมพูชารอบล่าสุด ด้านกลาโหมกัมพูชาระบุทหารไทยสาดกระสุนใส่ปราสาทตาเมือน ระหว่างพยามเข้ายึดพื้นที่ปราสาท ขณะที่ทหารกัมพูชาเผยทั้งสองฝ่ายยิงปืนใหญ่ตอบโต้กันเป็นพันนัดแล้ว


บ้านเรือนในอำเภอบ้านใต้อัมปืล หรือบ้านใต้มะขาม จังหวัดอุดรมีชัย ที่ได้รับความเสียหายจากกระสุนขนาด 155 มม. ที่ยิงมาจากฝั่งไทย (ที่มา: SOVAN PHILONG/Phnompenhpost)

เว็บไซต์พนมเปญโพสต์ รายงานเมื่อวานนี้ (25 เม.ย.) ว่า สถานการณ์สู้รบระหว่างทหารไทย - กัมพูชา ที่ชายแดนพื้นที่จังหวัดอุดรมีชัย โดยกองทัพกัมพูชา (RCAF) แถลงว่า การปะทะล่าสุดเมื่อวันที่ 24 เม.ย. ใกล้กับปราสาทตาเมือน มีการปะทะกันด้วยปืนเล็กก่อนที่จะเพิ่มขนาดเป็นการโจมตีกันด้วยปืนใหญ่ เสียงปืนใหญ่ได้ยินเข้าไปลึกถึง 20 กม. จากชายแดนที่อำเภอบ้านใต้อัมปืล (บ้านใต้มะขาม) จังหวัดอุดรมีชัย

พนมเปญโพสต์ยังอ้างถึงคำกล่าวของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีไทย ที่ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์เดอะเนชั่นว่า "มีเป้าหมายเฉพาะที่ตั้งทางทหารเท่านั้น" อย่างไรก็ตาม ที่บ้านกกมน ในอำเภอบ้านใต้อัมปืล ห่างจากชายแดน 21 กม. เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นกัมพูชารายงานว่ามีกระสุนปืนใหญ่ตกใส่ใกล้กับบ้านเรือนของประชาชนเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา (23 เม.ย.)
ทั้งนี้มีบ้านหลังหนึ่งพังลงหลังถูกกระสุนปืนใหญ่ โดยเจ้าหน้าที่ระบุว่าเป็นจรวด 2 ลูกขนาด 155 มม. จากฝั่งไทย

ซากจานดาวเทียมกองระเกะระกะอยู่ท่ามกลางซากปรักหักผังอื่นหน้าลานบ้านเมื่อเช้าวานนี้ (23 เม.ย.) ขณะที่ทหารกัมพูชาพยายามรวบรวมซากต่างๆ รวมทั้งเอาเศษกระสุนเงินมาแสดงต่อผู้สื่อข่าว ว่าเป็นหลักฐานจากการถูกโจมตีจากอีกฝั่ง

"เราไม่เคยประสบสงครามอย่างนี้มาก่อน และไม่เคยมีระเบิดมาลงบริเวณนี้มาก่อน" หัวหน้าหมู่บ้านกกมม นายอุน วี กล่าว อย่างไรก็ตามไม่มีชาวบ้านในพื้นที่ได้รับบาดเจ็บ "ที่ตรงนี้ไม่ควรมีการสู้รบ เพราะเป็นที่ชาวบ้าน และประชาชนไม่ได้มีอาวุธ
พนมเปญโพสต์ ยังรายงานคำแถลงของนายปณิธาน วัฒนายากร ปฏิบัติหน้าที่โฆษกสำนักนายกรัฐมนตรีของไทย ที่ระบุว่ามีพื้นที่ 7 แห่งซึ่งเป็นพื้นที่พลเรือนของไทย ถูกยิงด้วยกระสุนปืนใหญ่จากกัมพูชา และขณะนี้อยู่ระหว่างการรวบรวมข้อมูล
ส่วน รจ โสเพียพัน ทหารกัมพูชาที่ประจำการที่บ้านก็อกกโป อำเภอบ้านใต้อัมปืล รายงานว่า ทั้งสองฝ่ายยิงปืนใหญ่โต้กันมาแล้วเป็นพันลูก นับตั้งแต่เมื่อวันศุกร์ และช่วงเช้าวันอาทิตย์มีการยิงไปแล้วเกือบ 160 ลูก

นอกจากนี้ในแถลงการณ์ของกระทรวงกลาโหมกัมพูชาเมื่อวันอาทิตย์ยังระบุว่าระหว่างที่มีการปะทะกัน ทหารไทยได้ "กราดยิง" ใส่ปราสาทตาเมือนด้วย โดยเป็นพยายามของทหารไทยในการเข้ายึดพื้นที่ปราสาท

รจ โสเพียพัน กล่าวกับผู้สื่อข่าวเมื่อเย็นวันอาทิตย์ว่า ทั้งทหารไทยและกัมพูชายังคงประจำการอยู่รอบๆ ปราสาทตาเมือน และปราสาทตากระบือ (ปราสาทตาควาย) ซึ่งยังไม่มีฝ่ายใดสามารถควบคุมพื้นที่ดังกล่าว

ส่วนที่เมืองสำโรง ในจังหวัดอุดรมีชัย ห่างจากชายแดน 45 กม. มีผู้อพยพหลายสิบคนอยู่ภายนอกกองบัญชาการของทหารกัมพูชา เพื่อรอรับสิ่งของช่วยเหลือประกอบด้วย ข้าว เครื่องครัว และผ้าห่ม น้ำหนักรวม 20 กก. จากกาชาดกัมพูชา
นายทุน นอล นายอำเภอสำโรง จังหวัดอุดรมีชัย กล่าวว่า มีประชาชนอพยพออกจากชายแดนแล้วเกือบ 18,000 คน ด้านนายอุย ซัม อัด ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารจัดการภัยพิบัติ ของกาชาดกัมพูชา กล่าวว่ามีตัวเลขผู้อพยพโดยประมาณการ 9,867 ราย แต่น่าจะมีผู้อพยพมากกว่านี้อีก

ด้านโฆษกสำนักนายกรัฐมนตรีของกล่าวว่ามีผู้อพยพแล้วกว่า 25,000 รายในฝั่งไทย
ที่ด้านนอกสำนักงานกองทัพกัมพูชาในเมืองสำโรง นางเพียบ อายุ 53 ปี กล่าวว่าเธอต้องหนีออกจากหมู่บ้านปอทิวง ในอำเภอบ้านใต้อัมปืล ห่างจากชายแดน 6 กม. เมื่อเช้าวานนี้ (23 เม.ย.) "ฉันมาถึงที่นี่ได้ไม่กี่ชั่วโมง จากนั้นก็มีการยิงกันอีก" เธอกล่าว "ระเบิดหลายลูกตกใกล้หมู่บ้านฉัน และเราอยู่ด้วยความหวาดผวา"

ที่มา: แปลและเรียบเรียงจาก
"Many bombs landed ... we are living in fear", Phnompenhpost, Cheang Sokha and James O’Toole, ADDITIONAL REPORTING THOMAS MILLER Monday, 25 April 2011 15:02
http://www.phnompenhpost.com/index.php/2011042548689/National-news/qmany-bombs-landed-we-are-living-in-fearq.html
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////

ฮิลลารี คลินตัน..วอนไทย-เขมรหยุดยิง !!?

ชายแดนยังระอุ ไทย-กัมพูชา ปะทะทั้งคืน ทัพภาค 2 กร้าวไม่ต้องเจรจา “ฮิลลารี คลินตัน”วอนยุติการปะทะ

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า นางฮิลลารี คลินตัน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ออกคำแถลง เรียกร้องไทยและกัมพูชา อดทนอดกลั้นและดำเนินการต่างๆเพื่อลดความตึงเครียดในทันทีหลังเกิดเหตุปะทะตามแนวชายแดนครั้งเลวร้ายที่สุดในรอบหลายปีที่ผ่านมา โดยนางคลินตัน กล่าวว่าสหรัฐฯ ได้ประสานโดยตรงกับเจ้าหน้าที่ของไทยและกัมพูชาในความหวังยุติความรุนแรงครั้งนี้ที่ทำให้ทั้งสองฝ่ายเสียชีวิตไปแล้ว 12 นาย ขณะที่ชาวบ้านอีกหลายหมื่นคนต้องอพยพออกจากถิ่นฐาน สหรัฐฯ ยังคงกังวลอย่างยิ่งต่อเหตุปะทะระหว่างกองกำลังความมั่นคงตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา

"เราขอเรียกร้องให้ทั้งสองฝ่ายอดกลั้น ละเว้นพฤติกรรมยั่วยุใดๆและดำเนินการต่างๆเพื่อลดความตึงเครียดในทันที รวมถึงหลีกเลี่ยงความขัดแย้งที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตด้วย" เธอกล่าว "การสูญเสียชีวิต ไร้ถิ่นฐานของประชาชนและความเสียหายต่อทรัพย์สินต่างๆ เป็นสิ่งที่น่าเศร้าใจอย่างมาก"นางฮิลลารี กล่าวในถ้อยแถลงและว่า ยังสนับสนุนแนวทางคนกลางไกล่เกลี่ยโดยอินโดนีเซีย ซึ่งรัฐมนตรีต่างประเทศแดนอิเหนา นาย มาร์ตี เนตาเลกาวา มีกำหนดเดินทางเยือนทั้งสองประเทศในวันที่ 25 เม.ย. ทว่าได้เลื่อนออกไป

ที่ผ่านมาได้มีเสียงปืนใหญ่ดังอีกครั้งที่ปราสาทตาควาย ต.บักได อ.พนมดงรัก โดยฝ่ายกัมพูชาได้ระดมยิงปืนใหญ่มาฝั่งไทย โดยกระสุนปืนใหญ่บางส่วน ได้พลัดตกในหมู่บ้านไทยนิยมพัฒนา หมู่ 17 ต.บักได ทำให้ชาวบ้านหลายร้อยหลังคาเรือนอพยพไปอยู่ ที่ศูนย์ผู้อพยพ ขณะเดียวกัน ชุดผสมทหารพรานชุด ร.2606 และทหารราบ ร.พัน 2341 ได้ระดมยิงปืนใหญ่ 155 มม.และปืน ค.120 ตอบโต้ เป็นระลอก ทำให้ จ.ส.อ.พิจิตร น้อยเจริญ สังกัดกองร้อยทหารราบที่ 2342 ฐานปฎิบัติการตามเมือนธม และ จ.ส.อ.ด่วง โครตรศรีกุล สังกัดร้อยทหารพรานจู่โจมที่ 960 ฐานปฎิบัติการตาเมือนธม เจ้าหน้าที่เร่งลำเลียงส่ง รพ.พนมดงรัก อย่างโกลาหล และจากเหตุปะทะดังกล่าว ได้ลุกลามไปถึงการปะทะกันที่ชายแดนแถบปราสาทตาเมือนธม ต.ตาเมียง อ.พนมดงรัก โดยทั้ง 2 ฝ่ายได้ระดมยิงถล่มใส่กันอย่างต่อเนื่อง และกำลังฝ่ายไทยได้ยกพลประชิดติดชายแดนมากขึ้น

อย่างไรก็ตามกระทั่งเวลา 21.30น. ทั้งสองฝ่ายยังคงเปิดฉากยิงปะทะกันอย่างต่อเนื่อง และเครื่องบินตรวจการณ์ของไทยตรวจพบการเคลื่อนกำลังของกัมพูชา โดยมีทั้งปืนใหญ่ เครื่องยิงระเบิดแบบBM 21 ถูกส่งประชิดทางด้านทิศตะวันตกของตัวปราสาทตาควาย รวมทั้งการระดมกำลังผสมระหว่างทหารณานและทหารกัมพูชา

ส่วนผลจากการปะทะกันของทหารทั้ง 2 ฝ่าย ที่ผ่านมามีทหารไทยเสียชีวิตรวม 5 ราย บาดเจ็บ 33 ราย แหล่งข่าวทางทหารระบุว่าในขณะนี้ทางทหารกัมพูชามีการเคลื่อนไหวอย่างต่อ เนื่อง โดยเฉพาะการระดมกำลังทหารราบและกำลังผสมทหารเวียดนามกัมพูชา พร้อมอาวุธหนัก รถถัง ปืนยิงจรวดแบบ BM21 เข้าเสริมตลอดแนวชายแดนด้านปราสาทตาควาย จนถึงจังหวัดศรีสะเกษ จ.บุรรีรัมย์ คาดว่าคงเตรียมการเปิดศึกครั้งใหญ่ขั้นเด็ดขาดเพื่อยึดปราสาททั้งสองให้ได้ ตามคำบัญชาการของพลโท ฮุนมาเน็ต ที่สั่งการก่อนหน้านี้

สำหรับทหารไทยเสียชีวิตไปแล้ว 5 นาย ประกอบด้วย จ.ส.อ.ประเวช หาราช สังกัด ทพ.2606 จ.ส.อ.วิทยะ สวนชูผล สังกัด ทพ.960 จ.ส.อ.บุญรัตน์ สุขจิตร สังกัด ทพ.2606 พลทหารสมคิด สมศรี ทหารพรานสังกัดกองร้อยทหารพรานจู่โจมที่ 2606 และ อส.ทพ.อารี คงนาคเพนา สังกัดกองร้อยทหารพรานที่ 961

ด้านนายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศให้สัมภาษณ์ภายหลังเดินทางกลับจากการลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมสถานการณ์การปะทะระหว่างทหารไทย-กัมพูชาที่จ.สุรินทร์ว่า ถึงแม้จะยิงปะทะกันก็ไม่เป็นไร เพราะกัมพูชายังไม่เลิกและไม่ยอมรับข้อเสนอของไทยที่ต้องการให้มีการเจรจา2ฝ่ายทุกระดับ ซึ่งที่ผ่านมาเวลามีการปะทะกันแล้วหลังจากนั้น2วันจะมีการเจรจา แต่การปะทะกันครั้งนี้ทางไทยยังไม่ได้รับการติดต่อจากกัมพูชา เมื่อเขาปฏิเสธที่จะติดต่อกับเราทุกระดับก็แสดงว่าเขาไม่ต้องการพูดกับเราแล้ว ดังนั้นไทยต้องทบทวนนโยบายต่างๆที่ดำเนินการร่วมกับกัมพูชา เนื่องจากขณะนี้ประชาชนตามแนวชายแดนกว่า800กม.ทางด้านจ.สุรินทร์และจ.บุรีรัมย์กว่า3หมื่นคนต้องเดือดร้อน

นายกษิต กล่าวต่อว่า อย่างไรก็ตามในวันที่26 เม.ย. พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรณ รมว.กลาโหมจะลงพื้นที่จ.สุรินทร์ หลังจากนั้นจะกลับมาทบทวนนโยบายระหว่างไทย-กัมพูชาทั้งหมดว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป เพราะเราต้องเอาชีวิตและความเป็นอยู่ของประชาชนเป็นที่ตั้งและจะเอาศักดิ์ศรีของประเทศมาล้อเล่นไม่ได้ ที่ผ่านมาไทยพยายามไม่โยงเรื่องหนึ่งกับอีกเรื่องหนึ่ง เพราะปะทะกันทุกครั้ง2วันก็จบ แต่ครั้งนี้กัมพูชาจงใจรุกรานไทยก่อน ซึ่งเกินวิสัยที่จะเป็นมิตรได้เท่ากับทำตัวเป็นศัตรูแทนที่จะเป็นเพื่อนกัน รวมทั้งเรื่องนี้ต้องให้อาเซียนได้รับทราบด้วย

พ.อ.ประวิทย์ หูแห้ว โฆษกกองทัพภาคที่ 2 ให้สัมภาษณ์รายการเก็บตกจากเนชั่น ถึงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ว่า เมื่อเวลา 03.20น. วันที่ 26 เม.ย.ได้มีการยิงปะทะกันขึ้นอีกระลอกและเสียงปืนได้สงบลงเมื่อเวลา 05.00น. ตามข่าวกัมพูชาพยายามจะยึดปราสาทตาเมือนธม และปราสาทตาควาย และมีทหารกัมพูชาบางส่วนใช้ปราสาทตาควายเป็นโล่กำบัง แต่จากการตรวจสอบในช่วงเช้าพบว่าไม่มีอยู่แล้ว เราพยายามควบคุมพื้นที่ให้ให้ได้มากที่สุด ขอยืนยันว่าทหารพยายามปกป้องอธิปไตย แต่เมื่อเจรจาแล้วไม่สามารถหาข้อยุติได้ เพราะขึ้นอยู่ที่ฮุนเซ็นคนเดียวจึงไม่จำเป็นต้องเจรจา

ที่มา.เดลินิวส์
////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

สงครามชิงทำเนียบ ขมิ้นเจอปูน! “เพื่อไทย”จัดหนัก-ล้างตา ปชป.! เหลิม-ปลอดฯ-ประชา-ปาร์ตี้ลิสต์

ยังเป็นเรื่องที่น่าวิตกกังวลสำหรับประชาชนส่วนใหญ่...กับคำถามซ้ำๆ ซากๆ ว่าจะมีการเลือกตั้งเกิดขึ้นจริงหรือไม่?
โดยเฉพาะกระแสข่าวลือเกี่ยวกับการ “ปฏิวัติ” ซึ่งต้องยอมรับว่ามีทั้งกลุ่มคนที่ต้องการให้มี และกลุ่มคนที่ไม่ต้องการให้มี...แต่สำหรับประชาชนทุกคน คงจะเลือกคำตอบอย่างหลัง คือ ไม่อยากให้มีการปฏิวัติ และต้องจัดการเลือกตั้งให้เกิดขึ้นเร็วที่สุด
หากมองสภาพการเมืองในปัจจุบันว่าจะมีการเลือกตั้งเกิดขึ้นจริงหรือไม่...เชื่อว่า “จำเป็นต้องมี”!!...เพราะหากผู้มีอำนาจยังคงซื้อเวลาต่อไป....อนาคตก็รังแต่จะสร้างปัญหาเพิ่มพูนกลายเป็น “ดินพอกหางหมู” มากยิ่งขึ้น

เพราะประชาชนจะไม่มีความศรัทธาต่อ “ระบอบการเมือง” ที่เล่นกันแบบ “ไม่แฟร์” และใช้อำนาจกดขี่อยู่ข้างเดียว...และวันหนึ่งเมื่อเกิดความอัดอั้นสุดขีด...การต่อต้านด้วยการจับอาวุธลุกขึ้นสู้ก็จะเกิดขึ้น...เหมือนเช่นที่กำลังเกิดขึ้นในหลายๆ ประเทศทั่วโลก...ซึ่ง “ผู้มีอำนาจ” ถูกขับไล่ เพราะความต้องที่จะยึดโยง “ความสุข” ไว้กับกลุ่มคนเพียงกลุ่มหนึ่ง

สำหรับประเทศไทย...การเลือกตั้ง”จึงเป็นทางออกที่ดีที่สุด”!!...แม้ประชาชนจะรู้ตัวกันตั้งแต่เนิ่นๆ ว่า สิทธิ์และเสียงของตนอาจถูกผันไปเป็น “คะแนน” ของนักการเมืองและพรรคการเมืองที่ตนไม่ได้เลือก...แต่นั่นก็เป็นปัญหาที่ทุกฝ่ายต้องช่วยและร่วมมือกันแก้ไข...ไม่ใช่ “นิ่งดูดาย” และปล่อยให้มันเกิดขึ้น โดยมานั่งน้ำตาเช็ดหัวเข่าภายหลัง
แว่วว่า...หลังจากที่อดีตนายกฯ “พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร” โฟนอินมาวันแถลงบโยบาย
พรรคเพื่อไทยเมื่อวันเสาร์ที่ 23 ที่ผ่านมา และพรรคเพื่อไทยออกป้ายหาเสียงชุดใหม่ติดพรึ่บพรับไปทั่วกรุงเทพฯ
ไม่ทันข้ามคืนป้ายที่ท่านติดไว้ค่อยๆ หายไปที่ละอันสองอัน...ไม่เกิน 3 วันป้ายหายหมดเกลี้ยง
โดยไม่รู้ว่ามือดี หรือฝ่ายไหน มาช่วยเก็บและทำลายป้ายให้เสร็จสรรพ

ส่วนการแก้ไขเพื่อให้การเลือกตั้งเป็นไปอย่างยุติธรรมที่สุด และมีการโกงกันน้อยที่สุดจะแก้กันอย่างไรนั้น เป็นเรื่องที่ภาคประชาชนจะต้องช่วยกัน!!

เริ่มต้นที่ “ประชาชน” ต้องจับมือกับ “สถาบันการเมือง” โดยเฉพาะบรรดา “กรรมการการเลือกตั้ง” ที่มีกฎหมายอยู่ในมือทั้งหลาย เพื่อเกาะติดในทุกมิติทั้งก่อนและหลังวันเลือกตั้ง...

อย่างแรก คือ การตัดทหารออกจากวงจรการเลือกตั้ง อย่าปล่อยให้ทหารเข้ามามีเอี่ยวนับคะแนน ต่อมา...ต้องมีการตรวจสอบให้ชัด! กกต. พิมพ์บัตรเลือกตั้งกี่ใบ? ที่ไหนบ้าง?

สุดท้าย...เฝ้าจับตาการเลือกตั้ง, เก็บหีบบัตรฯ, การขนส่ง ฯลฯ เอากันแบบเกาะติดเป็นตาสัปปะรด เพราะเชื่อเหลือเกินว่า...กลโกงแบบ “สร้างปาฏิหาริย์” เหมือนวันที่ 23 ธันวาคม 2550 คงจะไม่เกิดขึ้น! หรือถ้าจะเกิดขึ้นก็คงจะน้อยกว่าการเลือกตั้งครั้งนั้นอย่างแน่นอน

สำคัญเหนือสิ่งอื่นใด ถ้าเมืองไทย...มีโอกาสจะจัดการเลือกตั้งทั่วไปในห้วงปลายเดือน มิถุนายน.-ต้น กรกฎาคมจริง! คนไทยจะต้องออกมาใช้สิทธิกันอย่างท่วมท้น เพราะหากมีคนใช้สิทธิเกินร้อยละ 80 ของผู้มีสิทธิเลือกตั้งกว่า 40 ล้านคน...การันตีได้ว่าโกงยังไง? ก็คงยากจะ “ชนะ”

เพราะหากพบคนมาใช้สิทธิได้ถึงร้อยละ 80 แล้วจู่ๆ ในหีบบัตรเลือกตั้ง...ดันมีบัตรเลือกตั้งเกินร้อยละ 100 สิ่งนี้...คงประจาน กกต. ยุคนี้ รวมถึง “อำนาจนอกระบบ” และ “มือที่มองไม่เห็น” ผู้คอยชักใยและกำหนดทิศทางในทางที่ผิดให้กับประเทศนี้
และเมื่อหันมามองการต่อสู้ของ “พรรคการเมือง” ประชาชนจะเห็นว่าคู่แข่งที่สำคัญก็ยังคงเป็นสองพรรคการเมืองใหญ่ คือ “พรรคเพื่อไทย” กับ “พรรคประชาธิปัตย์” ซึ่งต้องแข่งขันขับเคี่ยวกันอย่างเอาเป็นเอาตาย...โดยมี “บิ๊กพรรคร่วม” อย่าง “พรรคภูมิใจไทย” คอยสอดประสานรับกับ “ความน่าจะเป็น” ระหว่างสองพรรคการเมืองที่จะขึ้นมาจัดตั้งรัฐบาล

ทั้งนึ้ รายชื่อ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ “พรรคเพื่อไทย” รอบแรก จำนวน 140 คน ได้มีการประกาศออกมาเป็นที่แน่นอน โดยมีรายชื่อดังต่อไปนี้

พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก พล.อ.เชษฐา ฐานะจาโร ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา พล.อ.อ.สุเมธ โพธิ์มณี พล.อ.วัฒนา สรรพนิช พล.ท.มะ โพธิ์งาม พล.ต.ท.วิโรจน์ เปาอินทร์ พล.ท.ทวนทอง อินทรทัต พล.ร.ท.โรช วิภัติภูมิประเทศ

พล.ต.อ.จำลอง เอี่ยมแจ้งพันธุ์ พล.ต.ท.ชัชจ์ กุลดิลก พล.ต.ต.ธวัช บุญเฟื่อง พล.ต.ต.ไพบูลย์ เชิดมณี พล.ต.ต.เกษม รัตน
สุนทร นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ์ ดร.โอฬาร ไชยประวัติ นายปลอดประสพ สุรัสวดี นายสุชาติ ธาดาธำรงเวช นายพายัพ ชินวัตร นายพิชัย นริพทะพันธ์ุ นายคณวัฒน์ วสิงสังวร

นายกมล บันไดเพชร นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ น.ส.สุณีย์ เหลืองวิจิตร นายวัฒนา เมืองสุข อดีต รมว.พาณิชย์ นายพงศกร อรรณนพพร นายสุชน ชาลีเครือ อดีตประธานวุฒิสภา นายพิเชษฐ สถิรชวาล นายพิทยา พุกกะมาน

ในส่วนรายชื่อในส่วนของแกนนำ นปช. และ “คนเสื้อแดง” อาทิ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ นายก่อแก้ว พิกุลทอง นายพายัพ ปั้นเกตุ นพ.เหวง โตจิราการ นายวิภูแถลง พัฒนภูมิไทย นายวิสา คัญทัพ นายชนะศักดิ์ อัตถาวงศ์ ญาติ นายสุพร อัตถาวงศ์ นายอารี ไกรนรา นายพัศพงศ์ (ชูเกียรติ) พงศ์เรืองรอง นายวรวุฒิ วิชัยดิษฐ์ นายเพชรวรรต วัฒนพงศ์ศิริกุล แกนนำเสื้อแดง เชียงใหม่ 51

นายชินวัฒน์ หาบุญพาด นายพิชิต ชื่นบาน ทนายความของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายคารม ผลทพกลาง ทนายความคนเสื้อแดง นายศักดา นพสิทธิ์ อดีตโฆษกพรรคเพื่อไทย น.ส.ขัตติยา สวัสดิผล ลูกสาว เสธ.แดง พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล นอกจากนี้ได้มีชื่อนายอริสมันต์ พงศ์เรืองรอง ด้วย ขณะที่ยังไม่มีชื่อนายจตุพร พรหมพันธ์ แกนนำนปช.

ส่วนรายชื่อเครือญาติแกนนำนปช.และอดีต ส.ส. อาทิ นางเยาวนิตย์ เพียงเกษ ภริยา นายอดิศร เพียงเกษ นายวิเชียรชนินทร์ สินธุไพร ญาติ นายนิสิต สินธุไพร นางอุดมรัตน์ อาภรณ์รัตน์ ภริยา พ.ต.ท.ไวพจน์ อาภรณ์รัตน์ นางรังสิมา เจริญศิริ ภริยา
นายศรีเมือง เจริญศิริ ศ.ดร.ธเนศร์ ศรีเมือง น.ส.ดวงรัตน์ โล่ห์สุนทร ลูกสาว นายไพโรจน์ โล่ห์สุนทร นายศักดา บูรณพงศ์ น้องชาย นพ.ประสงค์ บูรณพงศ์ นายวิสิทธิ์ ใสกระจ่าง น้องชาย ร.ท.กุเทพ ใสกระจ่าง นางวราภรณ์ ตั้งภากรณ์ ภริยา พ.ต.ท.บรรยิน ตั้งภากรณ์

แต่สิ่งที่กำลังอยู่ในความสนใจของประชาชน...ไม่แพ้ประเด็นที่ว่าพรรคการเมืองใดจะได้ขึ้นมาเป็นรัฐบาล นั่นคือ นายกรัฐมนตรีคนต่อไปจะเป็นใคร?

เพราะถึงวันนี้ก็ยังไม่แน่ไม่นนอนว่า “ปาร์ตี้ลิสต์เบอร์หนึ่ง” ของพรรคเพื่อไทย...จะใช่ “ตัวเก็ง” ที่สื่อหลายสำนักเก็งกันไว้หรือไม่? ซึ่งยังอยู่ในขั้นตอนการตัดสินใจครั้งสุดท้ายของหัวหน้าพรรคตัวจริงอย่าง “พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร” ว่าจะให้ใครขึ้นมาดำรงตำแหน่งเป็น “นายกรัฐมนตรี” หากเพื่อไทยได้รับชัยชนะกับการเลือกตั้งครั้งนี้

แต่เห็นได้ชัดประการหนึ่งว่า ผู้ที่จะขึ้นไปเป็น”ปาร์ตี้ลิสต์” หรือ”บัญชีรายชื่อ” ระดับหัวแถวล้วนแต่เป็น”สายเหยี่ยว” ที่เป็นนักสู้ และจัดอยู่ในประเภท “กลัวไม่เป็น” อย่าง พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ปลอดประสพ สุระสวดี พล.อ.เชษฐา ฐานะจาโร พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา พล.อ.อ.สุเมธ โพธิ์มณี พล.อ.วัฒนา สรรพนิช พล.ท.มะ โพธิ์งาม พล.ต.ท.วิโรจน์ เปาอินทร์ พล.ท.ทวนทอง อินทรทัต พล.ร.ท.โรช วิภัติภูมิประเทศ

ส่วนความเคลื่อนไหวในส่วน “พรรคประชาธิปัตย์” ก็ยังมีความไม่แน่ไม่นอนเช่นเดียวกันว่า...นายกรัฐมนตรี “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” จะมีโอกาสได้กลับขึ้นมาเป็น “นายกรัฐมนตรีสมัยที่ 2” หรือไม่? เพราะต้องไม่ลืมว่า “นายกฯ อภิสิทธิ์” ยังมี “ชนักติดหลัง” กับการบริหารประเทศตลอดช่วงระยะ 2 ปีที่ผ่านมา

โดยเฉพาะคดีความสำคัญสำคัญของ “การสังหารประชาชนจำนวน 90 กว่า ศพ” ในเหตุสลายการชุมนุมเมื่อช่วงเดือน เม.ย. และ พ.ค. ปี 53...เรื่องดังกล่าว “รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์” ไม่สามารถ “พิสูจน์หลักฐาน” และให้คำตอบที่กระจ่างชัดต่องคนไทยและประชาคมโลก

ดังนั้น แคนดิเดตในประชาธิปัตย์คนอื่นๆ ที่จะขึ้นมาเป็น “หัวหน้าพรรค” และ “นายกรัฐมนตรี” ในลำดับต่อไป...แน่นอนว่า “พรรคประชาธิปัตย์” คงจะไม่หยิบเอา “กุมาร” ขึ้นมาทำหน้า “นอมินี” เพื่อบริหารประเทศนี้อีกครั้ง
เพราะการขาดความรู้ และประสบการณ์ของผู้ที่ขึ้นมาดำรงตำแหน่งเป็น “นายกรัฐมนตรี” ทำให้พรรคการเมืองเก่าแก่พรรคนี้ต้องพบกับปัญหาอย่างมากมาย...ดังนั้น ช่วงจังหวะต่อไปจึงเป็นโอกาสของบรรดา “ผู้อาวุโส” ทั้งหลาย...ที่รอเวลาออกมาแสดงฝีไม้ลายมือ

สุดท้ายการตัดสินใจก็คงอยู่ที่ผู้ใหญ่ในพรรคอย่าง “ชวน หลีกภัย” และ “บัญญัติ บรรทัดฐาน” ว่าจะเลือกใครขึ้นมาเพื่อสู้สึกชิงชัยตำแหน่งนายกรัฐมนตรีกับ “ปาร์ตี้ลิสต์เบอร์หนึ่ง” ของพรรเพื่อไทย
อย่างไรตาม...การเมืองไทยวันนี้ประชาชนจำเป็นต้องใช้การพินิจพิเคราะห์ถึง “ต้นเหตุแห่งปัญหา” ด้วยสายตาอันกว้างไกล...อย่าไปเชื่อหรือไปฟังบุคคลอื่นให้มาก...เพราะ “การโฆษณาชวนเชื่อ” ยังคงเป็นเครื่องมือสำคัญที่ทำให้ประชาชนตกอยู่ใน “ภวังค์”

แต่การเลือกตั้งครั้งนี้จะไม่มีแล้วกับคำพูดของนักการเมืองที่ว่า “แพ้เพื่อชนะ” เพราะประชาชนจะต้องเป็น “ผู้ชนะ” เท่านั้น!
ในอดีตเราได้เห็นสภาพบ้านเมืองและชีวิตประชาชนเมื่อ “ประชาชนเป็นใหญ่” และปัจจุบันเราได้เห็นสภาพบ้านเมืองและชีวิตของผู้คน เมื่อถูกคนกลุ่มหนึ่งเอาปืนมาจี้ “ปล้นอำนาจ” แล้วทำตัวเป็นใหญ่เหนือประชาชนในแผ่นดิน
ประเทศไทย...จะไม่มีวันเหมือนเก่า และทุกอย่างจะไม่เหมือนเดิม เพราะประชาชนคนไทยเกิดภาวะการณ์ตื่นรู้
อยากได้แบบไหน? ประชาชนต้องเลือกเอา!

ที่มา.บางกอกทูเดย์
///////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันจันทร์ที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2554

ลืมหน้าที่

โดย.เหล็กใน

กําลังสนุกสนานอยู่กับการ 'ตบเท้า'

จู่ๆ ก็ 'งานเข้า' แบบไม่ทันตั้งตัว เมื่อเกิดเหตุการณ์ทหารไทยปะทะกับทหารกัมพูชา ตามแนวชายแดนบริเวณปราสาทตาควาย และปราสาทตาเมือนธม อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์

เป็นการปะทะระลอกล่าสุดนับตั้งแต่เกิดการสู้รบด้านชายแดน จ.ศรีสะเกษ ใกล้ปราสาทเขาพระวิหาร เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา

ตามข่าวว่าทหารสองฝ่ายยิงถล่มกันด้วยกระสุนปืนใหญ่นับร้อยนัด

นอกจากพื้นที่ จ.สุรินทร์ อันเป็นศูนย์กลางการปะทะ กระสุนปืนใหญ่จากฝ่ายกัมพูชายังปลิวมาตกในพื้นที่ จ.บุรีรัมย์ ซึ่งอยู่ติดกันอีกด้วย

ทำให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงและเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง ต้องเร่งอพยพประชาชนหลายหมื่นคนออกจากพื้นที่ ให้พ้นจากรัศมีปืนใหญ่

เบื้องต้นผลจากการปะทะ 2 รอบเมื่อเช้าวันศุกร์ต่อเนื่องวันเสาร์ ทหารไทยพลีชีพแล้วอย่างน้อย 4 นาย และบาดเจ็บอีกจำนวนมาก

ยังไม่มีใครรู้ว่าการปะทะหนนี้จะกินเวลากี่วัน

แต่ถ้ายุติเร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดีเท่านั้น เพื่อไม่ให้ความสูญเสียของทั้งสองฝ่ายเพิ่มเติมมากไปกว่าที่เกิดขึ้นแล้ว

จากภาคอีสานย้ายลงมาที่ภาคใต้ ช่วงเวลาใกล้กันเกิดเหตุกลุ่มโจรใต้ลอบวางระเบิดถล่มรถปิกอัพทหาร ขณะออกลาดตระเวนในพื้นที่ อ.รามัน จ.ยะลา

ใช้อาวุธปืนสงครามกราดยิงซ้ำทำให้ทหารยศสิบเอก พลีชีพไป 1 นาย บาดเจ็บอีก 4 นาย

กรณีของสิบเอกภาคใต้ได้รับการนำเสนอเป็นข่าวแต่ไม่ใหญ่นัก อาจเพราะเป็นเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นรายวัน จนคนไทยไม่ว่าภาคไหนๆ ล้วนชาชิน

เพราะตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ไฟใต้ปะทุตั้งแต่ต้นปี 2547

8 ปีเต็มกับงบประมาณกว่า 1.45 แสนล้านบาท แต่สถานการณ์ยังไม่ดีขึ้น เกิดความรุนแรงสรุปรวมแล้วเกือบ 12,000 ครั้ง

มีผู้เสียชีวิตไปแล้วประมาณ 4,500 ราย

ในจำนวนนี้เป็นทหารราว 300 ราย ตำรวจในจำนวนใกล้เคียงกัน ส่วนที่เหลือเกือบ 4,000 ชีวิตเป็นของประชาชนในพื้นที่

ไม่มีใครรู้เช่นกันว่าตัวเลขสถิติความสูญเสียนี้จะจบลงตรงไหนและเมื่อไหร่

ในขณะที่ผู้รับผิดชอบในการแก้ไขปัญหามัวเอาเวลาไปแสดงออกทางการเมือง

ละเลยหน้าที่แท้จริงของตนเอง

ที่มา.ข่าวสด
/////////////////////////////////////////////////////////////////

สื่อนอกรายงานเหตุ"ไทย-เขมร"ปะทะ

ผู้สื่อข่าวของ AFP ที่อยู่ทางฝั่งของกัมพูชา รายงานว่า ทหารไทยและทหารกัมพูชา ใช้อาวุธหนักปะทะกันอย่างดุเดือดเป็นวันที่ 3 เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ส่งผลให้ทหารสองฝ่ายเสียชีวิตมากกว่า 10 นายพลเรือนหลายพันคน ต้องอพยพหนีการสู้รบบริเวณชายแดนที่เริ่มมาตั้งแต่วันศุกร์ และทำลายการหยุดยิงที่ดำเนินมานาน 2 เดือน ซึ่งทางฝั่งไทยยืนยันว่า มีการยิงกระสุนปืนใหญ่เข้าใส่กัน และกัมพูชาเป็นฝ่ายเริ่มก่อน

นายบัน คี มุน เลขาธิการสหประชาชาติ ระบุว่า เพื่อนบ้านทั้งสองควรใช้ความอดกลั้นอย่างสูงสุดและเรียกร้องให้ต่างหันหน้าเข้าเจรจากันอย่างจริงจัง เพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น ซึ่งเสียงปืนจากการปะทะกัน สามารถได้ยินไกลถึง 20 กิโลเมตร ทางฝั่งของกัมพูชา ขณะที่ผู้อพยพต่างหนีออกจากบ้านเรือน ไปอาศัยอยู่ตามโรงเรียนและวัดที่อยู่ห่างไกลจากพื้นที่ปะทะ

ฝ่ายกัมพูชายังคงอ้างว่า ไม่ได้เป็นฝ่ายเริ่มต้นก่อน และกล่าวหาฝ่ายไทยว่า พยายามจะล่วงล้ำเข้าไปในดินแดนของกัมพูชา และละเมิดหลักการของข้อตกลงร่วมกันที่ทำไว้ที่อินโดนีเซีย เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ที่สองฝ่ายยอมรับให้อินโดนีเซียส่งผู้สังเกตการณ์เข้าไปยังพื้นที่พิพาทบริเวณแนวชายแดน แต่ผู้สังเกตุการณ์ยังไม่ได้เข้าไปทำหน้าที่ เนื่องจากไทยยังไม่ได้อนุญาตในขั้นตอนสุดท้าย

ทางการไทยได้อพยพชาวบ้าน 7,500 คน ออกจากพื้นที่เสี่ยง ส่วนกัมพูชาอพยพชาวบ้าน 200 ครอบครัว ด้านทหารกัมพูชา ระบุว่า การปะทะกันไม่ได้ลุกลามไปถึงปราสาทพระวิหาร ด้านนายมาร์ตี้ นาตาเลกาว่า รัฐมนตรีต่างประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งประเทศของเขาเป็นประธานหมุนเวียนของสมาคมอาเซียนในปีนี้ ได้เรียกร้องให้ทั้งฝ่ายยุติการเป็นปฏิปักษ์ต่อกัน โดยกล่าวว่า เขาได้เรียกร้องให้ทั้งสองฝ่ายแก้ปัญหาความขัดแย้งโดยสันติวิธี การใช้กำลังไม่ได้ตั้งอยู่บนความสัมพันธ์ระหว่างชาติสมาชิกสมาคมอาเซียน ขณะที่นักวิเคราะห์บางคน มองว่า เป็นการง่ายที่จะทำลายการสื่อสารระหว่างกันในช่วงเวลาที่ความสัมพันธ์เขม็งเกรียว

ที่มา.เนชั่น
/////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

เสื้อแดงปรับยุทธศาสตร์เบี้ยแลกโคนรักษาองค์กรแดง

แหล่งข่าวจากพรรคเพื่อไทยแจ้งว่า ไม่นานมานี้วอร์รูมคณะยุทธศาสตร์คนเสื้อแดง ได้หารือถึงคำปราศรัยเมื่อคืนวันที่10เม.ย.ของนายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย และแกนนำนปช.กรณีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ เป็นเหตุให้ นายทหารพระธรรมนูญไปแจ้งจับนายจตุพรกับพวก เช่นเดียวกับนายธาริต เพ็งดิษฐ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) เตรียมที่จะยื่นถอนประกันตัวคนเสื้อแดง และล่าสุดก็มีความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจที่ต้องจับตาไม่น้อย เมื่อเขามอบหมายให้พ.ต.ท.ถวัล มั่งคั่ง หัวหน้าชุดปฏิบัติการที่ 1 คดีก่อการร้าย ส่งหนังสือถึงนายประกัน และทนายความของ นายพายัพ ปั้นเกตุ และนายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ แกนนำ นปช. ที่ได้รับการประกันตัวในชั้นสอบสวนจากดีเอสไอ เพื่อแจ้งถอนประกันทั้ง 2 คน เนื่องจากทำผิดเงื่อนไขการประกันตัวในชั้นสอบสวนที่ห้ามไม่ให้เข้าร่วมชุมนุมกับบุคคล หรือกลุ่มบุคคลตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป อันมิชอบด้วยกฎหมาย และนัดให้นายพายัพ นายสุภรณ์ มาพบพนักงานสอบสวนดีเอสไอ ในวันนี้ เพื่อนำตัวส่งอัยการ ซึ่งดีเอสไอ จะส่งตัวผู้ต้องหาพร้อมสำนวนคดีก่อการร้ายต่อพนักงานอัยการ หากผู้ต้องหาทั้ง 2 คน ไม่มาพบพนักงานสอบสวนตามกำหนด จะถูกยึดเงินประกันจำนวน 6 แสนบาท และดีเอสไอ จะดำเนินการขอหมายจับต่อไป

แหล่งข่าวเผยว่า กรณีดังกล่าวมีความเป็นไปได้มากแกนนำทั้ง2คนอาจถูกฝากขัง ทำให้ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา แกนนำเสื้อแดงได้เร่งปรับกลยุทธ์เป็นการด่วน โดยลดท่าทีลง ทั้งการ ประกาศไม่ตอบโต้กรณีหมิ่นสถาบัน โดยจะใช้ช่องกฎหมายดำเนินการแทนหากมีการกล่าวอ้างมาทำให้แกนนำคนเสื้อแดงเสียหาย รวมทั้งประโคมข่าว ถอน-ยุบ-ยึด ซึ่งแกนนำคนเสื้อแดงหลายคนทราบดีว่า แกนนำคนเสื้อแดงบางคนจะถูกถอนประกันแน่นอน เช่นเดียวกับคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพของนายจตุพร หากดำเนินไปตามกระบวนการยุติธรรมจริงๆ โอกาสที่นายจตุพร จะรอดพ้น เป็นไปได้น้อยมาก

‘ขณะนี้จึงมีการพูดคุยถึงทางเลือกสำรองเอาไว้เพื่อรักษาองค์กรแดงให้เดินต่อไป โดยใช้วิธี เบี้ยแลกโคน ยอมให้ นายสุภรณ์ นายพายัพ ถูกถอนประกัน เพื่อเป็นการส่งสัญญาณกลายๆว่ายอมรับในกระบวนการ และลดกระแสหมิ่นสถาบันลงฯ และที่คุยเป็นการภายในทั้ง2คน ก็ยินยอม เห็นด้วยกับยุทธศาสตร์ เบี้ยแลกโคน ส่วนตู่(นายจตุพร) ที่ถือเป็นกำลังหลักคนเสื้อแดง เหมือนจะรู้ตัว เห็นได้จากที่พูดว่า หากผิดจริงจะไม่อยู่เป็นภาระของเพื่อน ดังนั้นข้อเสนอหนึ่งที่มีการหยิบยกมาหารือคือ ถอยออกมา มีโอกาสเป็นไปได้มากที่จะถูกนำมาใช้ แต่ทั้งหมดขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของนายจตุพร เช่นเดียวกับสัญญาณจากดูไบ ที่จะถามมาเป็นรอบสุดท้ายว่า พร้อมจะอยู่หรือไม่’ แหล่งข่าวเผยแหล่งข่าว

ที่มา.เนชั่น
///////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันอาทิตย์ที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2554

พิศลึก-แลคำ-รำลึก "คึกฤทธิ์" วิจารณ์-ต่อต้านประชาธิปัตย์ และคุณสมบัติ "อภิสิทธิ์"

20 เมษายน 2554 วาระ 100 ปีชาตกาล วันได้รับเกียรติจากยูเนสโก ยกย่องพลตรี ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เป็น "บุคคลสำคัญของโลก"

วาระที่ทั้งปัญญาชน นักคิด นักเขียน นักหนังสือพิมพ์ และนักการเมืองไม่อาจไม่หวนรำลึกถึง "ม.ร.ว.คึกฤทธิ์"

ชื่อ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ปรากฏในสนามการเมืองอย่างจริงจัง ในวัย 33 ปี ในฐานะหัวหน้าพรรคก้าวหน้า ต่อด้วยการเป็นเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์

แม้ภาพของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์จะถูกมองเป็น "พวกประชาธิปัตย์" เพราะเป็น ผู้ก่อตั้งพรรค เป็นแกนนำพรรค และถูกเข้าใจว่าเป็นพวก "กษัตริย์นิยม" แต่สถานการณ์ทางการเมืองยุคจอมพล ป.ไม่เอื้อ ทำให้ "ม.ร.ว.คึกฤทธิ์" เป็นฝ่ายเดียวกับประชาธิปัตย์

แต่หลังรัฐประหาร 2494 "ม.ร.ว. คึกฤทธิ์" ถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มความคิดสาย "กษัตริย์นิยม"

บทบาทการเมืองในสภาผู้แทนฯของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์นั้น ท่านสร้างวีรกรรม ตั้งแต่วัยหนุ่ม ช่วง 2491 ด้วยการอภิปรายโจมตี ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ภายใต้การนำของ "นายควง" ในที่ประชุมรัฐสภา เพราะสภาลงมติขึ้นเงินเดือนให้ตัวเอง คนละ 1,000 บาท

ในคราวนั้นเล่ากันว่า ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ได้รับความนิยม-ยกย่องจากประชาชนเป็นจำนวนมาก บางคนถึงกับนำทองคำเปลวไปติดที่ตัวของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์เลยทีเดียว

มีข้อวิเคราะห์ของสำนักข่าวต่างประเทศในเมืองไทยขณะนั้นวิเคราะห์ด้วยว่า "เขาต้องการจะเป็นนายกรัฐมนตรีคนหนึ่งของเมืองไทย"

ผ่านช่วง 2492 ไม่นาน หลังจากนั้น ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ก็ถูกโดดเดี่ยว-และต้องยุติบทบาททางการเมืองไประยะหนึ่ง เพราะถูก "บีบ" ให้ลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์

เส้นทางการเมืองจากนั้น คึกฤทธิ์ปล่อยของ-สร้างฐานความรู้-ฐานการเมืองผ่านวรรณกรรมและคอลัมน์ส่วนตัวผ่านหนังสือพิมพ์สยามรัฐ ที่ ม.ร.ว. คึกฤทธิ์จงใจประกาศวันก่อตั้งวันที่ 25 มิถุนายน 2493 ล้อกับวันการเปลี่ยน แปลงการปกครอง 24 มิถุนายน 2475

หลังการเลือกตั้งทั่วไป 26 กุมภาพันธ์ 2500 ม.ร.ว.คึกฤทธิ์เขียนบทความในสยามรัฐว่า "...การต่อสู้นั้นต้องต่อสู้ด้วยอาวุธที่มีอยู่ไปก่อนคือปากกา เมื่อมีโอกาสที่จะต่อสู้ทางการเมืองได้ก็จะต่อสู้ต่อไปไม่ลดละ...ฉะนั้น ถ้าหากว่ามีการเลือกตั้งธรรมดาต่อไป ผมก็จะสมัคร..."

อ.สายชล สัตยานุรักษ์ วิเคราะห์ไว้ในหนังสือ "คึกฤทธิ์กับประดิษฐกรรมความเป็นไทย" ไว้ว่า ในครึ่งแรกของทศวรรษ 2510 ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ "แสดงความปรารถนาที่จะเป็นนายกรัฐมนตรี ทั้งอย่างตรงไปตรงมาและโดยนัยยะ เพราะเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญของประเทศไทย"

พร้อมกันนั้น ม.ร.ว.คึกฤทธิ์วิพากษ์ วิจารณ์พรรคประชาธิปัตย์อยู่เสมอ โดยหวังจะให้ประชาชนเห็นความอ่อนแอของพรรค และชี้ให้เห็นว่าประชาธิปัตย์ไม่ใช่ทางเลือกสำหรับคนไทย ทางเลือกที่ดีที่สุดคือ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์เอง ซึ่งพร้อมจะเป็นนายกรัฐมนตรี

ช่วง 2510-2514 ม.ร.ว.คึกฤทธิ์วิจารณ์รัฐบาลทั้งเรื่องภาพพจน์ การทุจริต ความล้มเหลวในการแก้ปัญหาให้คนจน ไปจนถึงราคาข้าว และมีข้อเสนอเรื่อง "ราชประชาสมาศัย" ที่ถูกตีความไปไกล และนำไปสู่การแต่งตั้ง "นายกรัฐมนตรีพระราชทาน" และสมัชชาแห่งชาติขึ้นในปี 2516

ในทศวรรษนั้น ม.ร.ว.คึกฤทธิ์วิจารณ์ประชาธิปัตย์ ในฐานะที่เป็นอุปสรรคในการก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของตนเอง สารพัด อาทิ...

"พรรคประชาธิปัตย์นั้นไม่เป็นโล้เป็นพายเอาเสียเลย..."

หรือ "พรรคประชาธิปัตย์แก่กฎหมาย เสียจนน่ากลุ้มใจ จะกระดิกตัวอะไรก็กลัวผิดกฎหมายไปหมด"

"ตัวบุคคลในทีมประชาธิปัตย์ไม่ได้เรื่อง เพราะเป็นคนแก่ศีล แก่ธรรม แก่อุดมคติ แก่อุดมการณ์ จนมีแต่ลมปาก ไม่แน่ใจว่าจะทันต่อเหตุการณ์ หรือมีไหวพริบเชิงนักเลงพอที่จะต่อสู้ผู้ทุจริต หรือผู้ที่ประชาชนไม่ไว้ใจ เพื่อประโยชน์ของประชาชนได้จริงจัง"

ในบทความส่วนตัวของ ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ คอลัมน์ "สยามรัฐหน้า ๕" วันที่ 31 สิงหาคม 2514 ท่านเขียนถึงประชาธิปัตย์ว่า

"...ดูเรื่องราวและความแตกแยก วุ่นวายในประชาธิปัตย์ ซึ่งเป็นข่าวขึ้นบ่อย ๆ แล้ว พอจะสรุปได้ว่า

พรรคประชาธิปัตย์มีแต่หัวหน้าพรรค

แต่ไม่มีพรรคประชาธิปัตย์ ไม่มีผู้นำ

เพราะพรรคประชาธิปัตย์คลั่งประชาธิปไตยจนขาดระเบียบ ถือเอา แต่เสียงข้างมากเป็นเกณฑ์

ไม่มีการวางแนว (direction)

ไม่มีการนำ (leadership)

เพราะเหตุนั้นจึงขาดการคิดริเริ่ม (innitiative)

แล้วก็ยกมือนับเสียงข้างมากกันในพรรค

พรรคประชาธิปัตย์ก็เลยเละเทะทุกที

ผมไม่แน่ใจเหมือนกันว่า ถ้าหากพรรคประชาธิปัตย์ได้เป็นรัฐบาล พรรค ประชาธิปัตย์จะมีเทวดากี่องค์..."

เมื่อถึงคราวที่ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์เสนอตัวเป็นนายกรัฐมนตรีในระบอบประชาธิปไตย มากกว่าหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ที่ยอมรับ "ประชาธิปไตยแบบไทย" ที่มีคำจำกัดความ 6 ข้อ คือ

1.บุคคลคณะหนึ่ง ซึ่งเป็นผู้ควบคุมกำลังทหารของประเทศ สามารถแต่งตั้งตนเองเป็นรัฐบาลปกครองประเทศได้

2.รัฐบาลที่ตั้งขึ้นด้วยวิธีการนี้คงจะเป็นรัฐบาลต่อไป ตราบใดที่ยังมีกำลังทหารสนับสนุนอยู่

3.การเลือกตั้งผู้แทนนั้นมีอยู่ในระบอบนี้ แต่ถึงแม้ประชาชนจะเลือกพรรคการเมืองใดเข้ามาเป็นเสียงข้างมากในรัฐสภา พรรคนั้นก็ไม่สามารถที่จะตั้งรัฐบาลได้ เพราะไม่มีกำลังทหารสนับสนุน

4.ประชาชนจึงไม่มีสิทธิอันแท้จริง ที่จะตั้งรัฐบาลของตนเองด้วยวิธีใด ๆ ทั้งสิ้น

5.ประชาชนจะเปลี่ยนรัฐบาลให้ถูกใจตนเองด้วยวิธีใด ๆ ก็ไม่ได้

6.พรรคการเมืองต่าง ๆ นั้นไม่เป็นทางเลือกให้แก่ประชาชนในอันที่จะเลือกเอารัฐบาลถูกใจตนเอง

เมื่อครั้งที่ "คุณชาย" เป็นนายกรัฐมนตรี ได้รับเชิญไปปราศรัยกับสมาชิกสมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศ ท่านบอกว่า "กระผมไม่ใช่นายกรัฐมนตรีในอุดม การณ์"

แต่นายกรัฐมนตรีในอุดมการณ์ของ "ม.ร.ว.คึกฤทธิ์" นั้นบังเอิญคล้ายคุณสมบัติของ "อภิสิทธิ์" อาทิ

"ต้องเป็นคนหนุ่ม อายุสัก 45 ปี จะได้มีพลังกายเข้มแข็ง สู้งานได้ 18 ชั่วโมงต่อวัน ควรเป็นคนสายตาแหลม คม มีวิจารณญาณดี รู้จักวินิจฉัยสิ่ง ต่าง ๆ โดยตลอดอย่างทั่วถึงถ้วนทุก แง่มุม ทั้งในด้านที่ผลจะเกิดขึ้นภายในบ้านเมืองเอง และในความสัมพันธ์ระหว่างชาติ"

"ควรเป็นคนที่สามารถทำให้กลุ่มพลังผลักดันทุกกลุ่มพอใจได้ โดยสามารถเกลี้ยกล่อมบุคคลที่คิดจะมาจองล้างทางการเมืองให้หันมาเห็นดีเห็นชอบด้วยได้"

"ในเวลาเดียวกัน นายกรัฐมนตรีต้องเก่งกาจในศิลปะทางการเมือง ถึงขนาดเล่นกลเรียกคะแนนเสียงมาช่วยให้ร่างพระราชบัญญัติที่สำคัญ ๆ ผ่านสภา ไปได้"

"ควรเป็นคนมีพรสวรรค์ชั้นพิเศษ มีบุคลิกที่สามารถดึงดูดใจชาวไทยส่วนใหญ่ให้เกิดศรัทธาในตัวเขา ในวิจารณญาณ และในความสุจริตของเขา โดยปราศจากข้อกังขา"

"ควรเป็นคนที่เคยตระเวนไปทั่วโลก และอ่านมาก รู้มาก จะได้เรียนรู้ว่าสิ่งใดเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในสกลจักรวาล แล้วนำสิ่งนั้นมาปรับให้ใช้ได้ในประเทศของเรา"

"ควรมีชีวิตส่วนตัวที่สะอาด บริสุทธิ์ ไร้มลทิน และจุดอ่อนที่จะทำให้เพลี่ยงพล้ำได้ง่าย"

"และต้องเป็นคนที่รักชาติ บ้านเมือง เป็นผู้มีมนุษยธรรม และการุณยกรรมสูง มีความเข้าใจในทุกข์ยากของมนุษยชาติ"

ไม่ควรลืมว่า ทั้ง "ม.ร.ว.คึกฤทธิ์" และ "อภิสิทธิ์" จบการศึกษาจากสถาบันเดียวกัน สาขาเดียวกัน คือ Oxford Philosophy., Politics and Economics. (PPE)

ทรรศนะ-วิธีคิด และการเคลื่อนไหวทางการเมือง ผ่านการสร้าง "ญัตติสาธารณะ" ของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์นั้น กลายเป็นแบบอย่าง ที่นักการเมือง- ราชนิกูลรุ่นหลังนำมาปรับใช้

อย่างน้อยก็มีคนอย่าง ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล ผู้มีสถานะเป็น "หลานน้า" ที่สร้างเครือข่ายการเมือง แทรกตัว อยู่ในวงการ-สถาบันที่เกี่ยวข้องกับประดิษฐกรรม "ความเป็นไทย"

อย่างน้อยก็มีบางพรรคการเมือง ที่ถึงกับประกาศนโยบาย แสดงตัว "ปกป้องสถาบัน"

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
///////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

ศพทหารเซ่นศึกปะทะชายแดนเขมร ถึงบุรีรัมย์แล้ว

ศพของ จ.ส.อ.บุญรัตน์ สุขจิตร์ อายุ 50 ปี ทหารสังกัด ร.23 พัน 4 ค่ายสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกบุรีรัมย์ ที่ปฏิบัติราชการกรมทหารพรานที่ 26 ในเหตุปะทะกันระหว่างกองกำลังทหารไทยกับฝ่ายกัมพูชา ที่บริเวณปราสาทตาควาย อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ เมื่อช่วงเช้าวันที่ 22 เม.ย.ได้กลับถึงภูมิลำเนาที่จ.บุรีรัมย์แล้ว

ทันทีที่ศพมาถึง กองทหารเกียรติยศทำพิธีรับศพอย่างสมเกียรติ ท่ามกลางความโศกเศร้าอาลัยของครอบครัว ญาติ ผู้บังคับบัญชา และเพื่อนๆ ทหาร ที่มาเฝ้ารอรับศพเป็นจำนวนมาก โดยศพของจ.ส.อ.บุญรัตน์ จะตั้งบำเพ็ญกุศลที่วัดกลางอารามหลวง ในเขตเทศบาลเมืองบุรีรัมย์ และจะประกอบพิธีพระราชทานเพลิงในวันที่ 28 เมษายน 2554 ที่จะถึงนี้ ส่วนการปูนบำเหน็จและเลื่อนชั้นยศขึ้นอยู่ที่ทางกองทัพจะพิจารณา

ทางด้านนางศิริชนม์ สุขจิตร์ อายุ 44 ปี ภรรยา จ.ส.อ.บุญรัตน์ กล่าวทั้งน้ำตาว่า เสียใจกับการเสียชีวิตของสามี แต่ก็ภาคภูมิใจที่สามีสละชีพเพื่อปกป้องอธิปไตยของชาติ และอยากให้ทางราชการช่วยเหลือครอบครัว โดยเฉพาะให้ส่งเสียบุตรชายบุตรสาวทั้ง 2 คนให้เรียนจบในระดับอุดมศึกษา และอยากให้เข้ารับราชการทหารเหมือนพ่อ เนื่องจากขณะนี้ตนขาดที่พึ่ง เพราะได้สูญเสียเสาหลักในครอบครัวไปแล้ว

ที่มา.ข่าวสดออนไลน์
/////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันเสาร์ที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2554

ทักษิณ.ลั่นรวยมาจากการทำกระดาษให้เป็นเงิน

ทักษิณ ชินวัตรโฟนอินในงานแถลงนโยบายเลือกตั้งพรรคเพื่อไทย รับถือสัญชาติมอนเตรเนโกร แต่จะไม่สละสัญชาติไทย ลั่นมีความจงรักภักดี และเพื่อไทยได้เป็นแกนนำตั้งรัฐบาลแน่

เช้าวันนี้ (23 เม.ย.) ที่ศูนย์ประชุม มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี เช้าวันนี้ (23 เม.ย.) มีการประชุมการแถลงนโยบายประกาศความพร้อมสู้ศึกเลือกตั้ง ของพรรคเพื่อไทย ได้มีคณะกรรมการบริหารพรรค ตลอดจนเจ้าหน้าที่พรรคเข้าร่วมประชุม โดยมีการกำหนดคำขวัญหาเสียงของพรรคว่า "ขอคิดใหม่ ทำใหม่ เพื่อไทยทุกคนอีกครั้ง" โดยจะชูแนวนโยบายว่า "ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ คนเคยทำสนับสนุน”

ในเวลา 11.35 น. พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร วีดีโอลิ้งค์ เข้ามาในงานแถลงเปิดตัวนโยบายของพรรค โดย พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่า พรรคเพื่อไทยจะได้เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลแน่นอน และยืนยันถึงความจงรักภักดี และจะไม่สละสัญชาติไทย

"ผมเป็นคนไทยที่ถูกบังคับให้ถือสัญชาติมอนเตเนโกร แต่จะไม่สละสัญชาติไทย วันนี้ผมจะมาแนะนำนโยบายให้แก่พรรคเพื่อไทย ผมเริ่มจากไม่มีอะไรจนมารวยจากการทำกระดาษให้เป็นเงิน และผมจะทำกระดาษให้เป็นเงินแก่ประชาชน ผมมีฐานะแล้วเข้ามาการเมือง แต่สุดท้ายเขาก็ปล้นทรัพย์ไป ผมเป็นคนกตัญญูขอยืนยันว่านอกจากความจงรักภักดีของทั้ง 2 พระองค์ไม่เคยเปลี่ยนแปลงจากใจผม"

พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่า ในปี 2549 เกิดการรัฐประหาร วันรุ่งขึ้นก็กล่าวหาผมไม่จงรักภักดี นี่คือการเมืองมันดุร้าย ความจงรักภักดีต่อในหลวงเป็นเรื่องอยู่ในใจทุกคนไม่ต้องแสดงออก ความวุ่นวายเกิดขึ้นเพราะหลายคนเอาความจงรักภักดีมาเกี่ยวการเมือง ตนเห็นด้วยกับการที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง เสนอให้ออกระเบียบการหาเสียงห้ามนำสถาบันมาเกี่ยวกับการเมือง นั่นคือนายประพันธ์ นัยโกวิทย์ กรรมการ กกต. ผู้จงรักภักดี ตนจะทำหน้าที่ด้วยความจงรักภักดี พระเจ้าอยู่หัวเป็นประมุข ตนถูกฝึกมาว่าคำสั่งของผู้บังคับบัญชาคือพรจากสวรรค์ จึงต้องเชื่อฟัง

พ.ต.ท.ทักษิณ ยังแสดงความมั่นใจว่าพรรคเพื่อไทยได้เป็นรัฐบาลแน่นอน และจะจัดงานเฉลิมฉลอง 84 พรรษายิ่งใหญ่ ส่วนเรื่องประชาธิปไตย เวลานี้ประเทศไทยรั้งท้ายชาวบ้านเพราะผลสำรวจค่านิยมประชาธิปไตย พบค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 52 % แต่ไทยได้อยู่ที่ 32.1%

"ตลอด 5 ปีที่ผ่านมาเราทำลายกันด้วยคำว่าไม่จงรักภักดี ผบ.ทบ.ออกพูดว่าอย่าบีบให้ต้องจับอาวุธ คุณออกมาพูดทำไมไม่มีใครกลัวใคร ผมกลับไปไม่มีใครทำร้ายราชบัลลังก์แน่นอน" พ.ต.ท.ทักษิณกล่าว

ที่มา: เรียบเรียงจากเอเอสทีวีผู้จัดการออนไลน์
/////////////////////////////////////////////////////////////////////

ทหารเขมรได้ยิงปะทะทหารไทยอีก ฝั่งปราสาทตาเมือนธม

23 เมษา. 2554 10:05 น.

ผู้สื่อข่าวรายงานด่วน ว่า ทหารเขมรได้ยิงปะทะกับทหารไทยอีก ฝั่งปราสาทตาเมือนธม ตั้งอยู่ในช่องเขาตาเมือน เทือกเขาพนมดงรัก บ้านหนองคันนาสามัคคี หมู่ 8 ต.ตาเมียง อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ เจ้าหน้าที่จึงเร่งอพยพชาวบ้านวุ่น

จ.ส.ต.ธวัชชัย รัตนสงคราม นายก อบต.ตาเมียง เผยว่า มีกระสุนปืนใหญ่ของฝ่ายกัมพูชาตกลงบริเวณทุ่งนาทิศตะวันตกบ้านหนองคันนา เบื้องต้น ไม่มีรายงานบ้านเรือน หรือที่ตั้งหน่วยราชการได้รับความเสียหาย รวมทั้งชาวบ้านทุกคนปลอดภัย ขณะที่ กำลังทหารในพื้นที่ได้เข้าคุ้มกันชาวบ้านบางส่วนที่เดินทางกลับมาดูแลทรัพย์สินตัวเองออกจากเขตพื้นที่สีแดงไปยังศูนย์อพยพโคกกลางแล้ว

ด้าน พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกกองทัพบก กล่าวว่า การปะทะกันครั้งใหม่เกิดขึ้นบริเวณจุดเดิม คือ พื้นที่ใกล้ปราสาทตาควาย โดยทหารเริ่มโจมตีกันด้วยปืนกลเล็ก ก่อนระดมยิงอาวุธหนักเข้าใส่กัน ทั้งนี้ เชื่อว่าวิถีอาวุธจะไม่มาถึงจุดอพยพ เนื่องจากอยู่นอกรัศมีทำการของอาวุธดังกล่าว ขณะที่ กำลังทหารไทยได้เตรียมพร้อมรับสถานการณ์อยู่ตลอดเวลา ส่วนสาเหตุการปะทะในครั้งนี้ เป็นปัญหาเดิมที่ฝ่ายกัมพูชาต้องการยั่วยุ ด้วยการยิงเข้ามาในจุดเริ่มต้น ตั้งแต่เมื่อวันที่ 22 เม.ย.ที่ผ่านมา เนื่องจากตามข้อตกลงระหว่างไทย-กัมพูชาทั้ง 2 ประเทศ จะไม่ปรับแต่งพื้นที่ที่ยังไม่มีความชัดเจน ซึ่งกัมพูชาได้ทำผิดข้อตกลง

ที่มา.เนชั่น
////////////////////////////////////////////////////////////////////

เพื่อไทยแพแตก พลเอกไป-พลตรีมา ?

พรรคใหญ่ หลายก๊ก-หลายมุ้ง ประวัติศาสตร์กำลังซ้ำรอย

คล้ายกับพรรคไทยรักไทย เมื่อคราวฤดูกาลเลือกตั้ง

ที่มีการควบรวมพรรคเล็ก พรรคน้อย กลุ่มก๊วนส.ส.เข้าสังกัด

แต่ยังไม่ทันลงสนาม ก็ถึงคราวแพแตก หัวหน้ามุ้งต้องแยกวง

ซ้ำวนกับสถานการณ์ปัจจุบัน ที่ทั้ง สุพล ฟองงาม เลขาธิการพรรค พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประธานพรรค และพันธมิตรเก่าอย่าง เสนาะ เทียนทอง ต้องพิจารณาวาระ "แยกทาง"

เหตุผลทางการเมือง ไม่มีนักการเมืองขาใหญ่คนไหนบอกชัด แต่ทางไปของ "ก๊กบิ๊กจิ๋ว" มีเพียง 3 ทาง

ทางแรก ไปรวมกับเสนาะ ที่พรรคประชาราช

ทางที่สอง ไปร่วมสังกัดกับ บรรหาร ศิลปอาชา ที่พรรคชาติไทยพัฒนา

ทางที่สาม โก่งราคา ค่างวด แล้วอยู่ต่อร่วมทางเดินเดิมกับเพื่อไทย ในสนามเลือกตั้ง

ทั้งนี้ปรากฏการณ์เขย่าพรรค มีมา ตั้งแต่ต้นปี ด้วยเหตุการณ์ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ทำทีทำท่าจะลาออกไปตั้งพรรคใหม่ แต่ประกาศกลับใจในค่ำคืนถัดมากลางงานสมรสของลูกชาย

ตามมาด้วยปฏิกิริยาส่ออาการราคาตก ของอดีตดาวสภา เมื่อพรรคและ "ทักษิณ" เฉยเมยไม่แสดงอาการทัดทาน ต่อการลาออกจาก ส.ส. แต่ขอไปปราศรัยช่วยหาเสียง

สลับกับบรรยากาศขาขึ้นให้ชื่นมื่นก่อนสงกรานต์ เมื่อพรรคเสื้อแดงแห่ขบวนพี่น้องตระกูลชินวัตร ไปจัดตั้งเวทีวีดีโอลิงค์ อวยพรวันเกิด "ป๋าเหนาะ" จาก "นายใหญ่" ถึงบ้านพักในสนามกอล์ฟอัลไพน์ ขอให้เข้าร่วมงานพรรค รองรับอนาคตเลือกตั้งครั้งที่กำลังจะมาถึง

ยังไม่ทันเห็นวันยุบสภา เหตุผลการเมืองก็ปรากฏ เมื่อ "บิ๊กจิ๋ว" ส่งสัญญาณ ไม่พอใจคำปราศรัยของ จตุพร ที่พาดพิงสถาบัน ทั้งที่ พล.อ.ชวลิต เองมักปราศรัยทุกเวทีด้วยประเด็นเนื้อหาเหตุการณ์ 2475 เวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงการปกครอง

นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย และแกนนำ นปช. เป้าที่ถูกปล่อยข่าวโจมตี มองว่า พล.อ.ชวลิต เป็นผู้ใหญ่พอ ไม่ใช่คนฟังไม่ได้ศัพท์แล้วจับมากระเดียด เมื่อฟังเสียงตนเองปราศรัยครบถ้วนแล้ว ก็คงรู้ว่าตนตำหนิคนที่สั่งทหารสลายการชุมนุม ถ้าทำผิดจริง จะไม่อยู่เป็นภาระของเพื่อนและของพรรคเพื่อไทย

จตุพร เชื่อว่า พล.อ.ชวลิต เป็นผู้ใหญ่เป็นลูกผู้ชายพอ ท่านก็เคยโดนคดีอย่างนี้ ตนไม่เชื่อว่าพล.อ.ชวลิต จะ ลาออกด้วยเหตุคำปราศรัยของตน

แต่ความเชื่อของ "จตุพร" ก็ไม่เป็นจริง แต่การลาออก-ลาจากของ "บิ๊กจิ๋ว" มีน้ำหนักมากขึ้น ด้วยการ "ลาประชุม" คณะกรรมการยุทธศาสตร์ของพรรค และยกเลิกการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรค ทำให้เกิดความสั่นคลอนภายในพรรค

พร้อม ๆ กับช่วงเวลาที่มีรายชื่อ แคนดิเดทนายกรัฐมนตรี จากพรรคเพื่อไทยปรากฏขึ้นมาไม่ว่าจะเป็นคนในบ้าน อย่าง ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร -มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ ก็ยังมีชื่อคนไกล อยู่นอกพรรค ให้เป็นที่ระแวงของคนในไปอีกทาง โดยเฉพาะชื่อ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ ที่แม้จะไม่ได้เข้ามาเป็นสมาชิกพรรค แต่ติดป้ายยี่ห้อแผนปรองดองเป็นเครื่องหมายการค้า

ขณะที่พรรคปั่นป่วนแพแตก-ไร้หัว- ไร้ทิศทาง หัวหน้าพรรค "ในนาม" ยงยุทธ วิชัยดิษฐ์ ทำได้เพียงอ่านแถลงการณ์ ยืนยันพรรคเพื่อไทยยึดมั่นการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขไม่เห็นด้วยกับการจาบจ้วงสถาบัน หรือการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ...

บนสถานการณ์อึมครึม ที่พรรคอันเป็นที่รวมกลุ่มมุ้งหลากหลาย ต้องตกอยู่ในที่นั่งลำบากเมื่อเดินร่วมกับแนวทางของ นปช.

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
/////////////////////////////////////////////////////////////////////////

คำพูดนายกฯ กับเท้าทหาร..

โดย สุริวงค์ เอื้อปฏิภาน

(ที่มา คอลัมน์สถานีคิดเลขที่ 12 หนังสือพิมพ์มติชนรายวัน)

ปกติเราไม่ควรเอาข่าวลือมาเป็นเรื่องจริงจัง ไม่ควรหยิบคำเล่าลือมาขยายให้ความสำคัญ แต่บรรยากาศความปั่นป่วนด้วยข่าวลือตลอดวันที่ 21 เมษายนนั้น ต้องขอเอามาพูดอย่างจริงจังเสียหน่อย

เพราะการลือระดับเขย่าบ้านเขย่าเมืองหลายริคเตอร์

ลือกันว่ามีปฏิวัติ อลหม่านไปทั่วประเทศ
เริ่มจากบรรยากาศทหารตบเท้า แล้วตามด้วยจอทีวีมืดไป 2 ชั่วโมงเพราะดาวเทียมขัดข้อง

ในสำนักงานหนังสือพิมพ์รับโทรศัพท์ชาวบ้านแทบสายไหม้ ส่วนใหญ่โทร.จากต่างจังหวัดด้วย

สะท้อนให้เห็นอะไร สะท้อนให้เห็นว่าประชาชนคนไทยตกอยู่ในความหวาดผวา

ปฏิเสธไม่ได้ว่ามาจากปัญหา ท่าทีที่ขึงขังจริงจังของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. กับนายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำเสื้อแดง ที่มีกรณีหมิ่นสถาบันเป็นชนวนเหตุ

แล้วหลังจากนั้น นายทหารใหญ่พากันออกมาขานรับ ผบ.ทบ.กันสะพรึบ

ตามด้วยประเพณีตบเท้าตามกรมกองต่างๆ เพื่อแสดงท่าทีสนับสนุน ผบ.ทบ.

พอเริ่มตบหลายหน่วย พร้อมกับการเริ่มพูดจาของผู้การผู้พันอันดุดัน ลักษณะพร้อมจะทำตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชา

แบบนี้บรรดาประชาชนเจ้าของเงินภาษีอากรจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์แต่ไม่มีสิทธิครอบครองอาวุธเหล่านั้น ก็ย่อมอยู่ในอาการหวั่นไหวเป็นธรรมดา

ด้วยการตบเท้าที่มีปริมาณเกินพอดี การพูดจาที่ทำให้สถานการณ์เขม็งเกลียวเกินไปทำให้เริ่มเกินเลยไปจากการแสดงจุดยืนปกป้องสถาบัน

แน่นอนว่าภาระหน้าที่หลักของกองทัพคือการปกป้องสถาบันสูงสุดของคนไทยทั้งชาติ

เมื่อมีการพาดพิงเบื้องสูงอันทำให้ทหารรู้สึกว่าไม่เหมาะสมก็สามารถแสดงท่าทีได้

แต่ถ้าการตบเท้านั้น ไม่อยู่เพียงแค่ขอบเขตป้องสถาบัน กลายเป็นตบเท้าแสดงพลัง แล้วยังบอกว่า ผบ.ทบ.สั่งอะไรก็ได้ พร้อมจะปฏิบัติทันทีภายในไม่กี่ชั่วโมง

แบบนี้การเคลื่อนไหวของทหารจะเริ่มถูกโยงไปยังสถานการณ์การเมือง

สถานการณ์ที่มีการมองกันมาตลอดว่า โอกาสเลือกตั้งยังไม่แน่นอน เพราะกลุ่มอำนาจบางกลุ่มหวั่นเกรงว่าพรรคการเมืองอีกขั้วจะเป็นฝ่ายชนะ

ก่อนหน้านี้ ผบ.สูงสุดถึงกับต้องนำ ผบ.ทุกเหล่ามายืนแถลงไม่มีการปฏิวัติ ไม่สนับสนุนนายกฯมาตรา 7 ในการเลือกตั้งก็จะไม่เข้าไปเกี่ยวข้อง ให้การเมืองว่ากันเอง

แต่การตบเท้าในขณะนี้ ทำให้ชาวบ้านลืมคำแถลงเดิมจากที่มองว่าทหารทำได้เพื่อปกป้องสถาบันสำคัญของคนไทย แต่ตอนนี้เริ่มรู้สึกว่าไปเกี่ยวกับจะเลือกตั้งไม่เลือกตั้งไหม

รัฐบาลอภิสิทธิ์ซึ่งแสดงท่าทีให้ประเทศเดินหน้าไปสู่การเลือกตั้ง กำหนดวันยุบสภาต้นเดือนพฤษภาคม เลือกตั้งปลายมิถุนายน ได้รัฐบาลใหม่สิงหาคม

ต้องถามว่าแล้วรู้สึกอย่างไรกับบรรยากาศในบ้านเมืองวันนี้ ที่มีคนทั้งประเทศผวาพร้อมกันอย่างไม่นัดหมาย

นโยบายจะให้มีเลือกตั้ง คืนอำนาจให้ประชาชนของนายกฯอภิสิทธิ์

ทำไมจึงไม่หนักแน่นเท่าเสียงตบเท้าของทหาร

คำพูดของนายกฯกับเสียงเท้าของทหาร ใครดังกว่ากัน


////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////