--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันพุธที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2553

จอมเสี้ยม

การพบปะกันระหว่างนางธิดา โตจิราการ รักษาการประธานนปช. กับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เมื่อวันก่อนดูแล้วไม่น่าใช่เรื่องปกติ

ไม่น่าจะเป็นแค่การพบกันโดยบังเอิญ

เพราะเกิดแอ๊กชั่นขึ้นมาทันที

คนเสื้อแดงบางกลุ่มออกมาต่อต้านการพบปะกันครั้งนี้

ไม่พอใจท่าทีของรักษาการประธานนปช.ที่ดูจะพินอบพิเทาจนเกินไป

มองว่าคนเสื้อแดงเป็นฝ่ายถูกกระทำ ทำไมต้องไปเจรจาอ้อนวอนรัฐบาลซึ่งเป็นผู้กระทำ

ความจริงแล้วไม่แปลกใจเลยที่นางธิดาใช้วิธีเจรจา

เพราะคงอยากให้เห็นว่าคนเสื้อแดงก็ยึดแนวทางสันติวิธี

ฉะนั้น การพูดคุยเพื่อให้ฝ่ายรัฐบาลยอมปลดปล่อยผู้บริสุทธิ์ออกจากเรือนจำก็เป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว

ไม่ใช่เรื่องเสียหน้าอะไร

กลับกันยิ่งตอกย้ำความเป็น 2 มาตรฐานและการละเมิด สิทธิมนุษยชนของรัฐบาลชุดนี้เข้าไปอีก !!

แต่ที่ดูไม่ปกติมาจากฝ่ายรัฐบาลมากกว่า !?

หลังการเจรจาครั้งนั้น มีผลทำให้เกิดการต่อต้านของเสื้อแดงบางกลุ่ม

เข้าทางรัฐบาล

พรรคประชาธิปัตย์ก็รีบออกมาขยายประเด็นความแตกร้าวภายในแกนนำคนเสื้อแดงทันที

ออกมากันหมดตั้งแต่นายกฯ รองนายกฯ โฆษกพรรค ระบุว่านปช.เริ่มสั่นคลอนแล้ว

เกิดปัญหาขัดแย้งกันระหว่างกลุ่มสันติวิธีกับกลุ่มฮาร์ดคอร์

แบบว่าคนเสื้อแดงไปไม่รอดแล้ว

จนสุดท้ายนายจตุพร พรหมพันธุ์ ต้องจับมือกับนางธิดาออกมาเปิดโปงว่าที่แท้นายอภิสิทธิ์นั่นแหละเป็นคนนัดเจรจาเอง !?

ไม่ใช่ฝ่ายเสื้อแดงเป็นคนเริ่มก่อน

อีกทั้งการชุมนุมรำลึกเหตุการณ์สลายม็อบราชประสงค์เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา คนเสื้อแดงมากันหลายหมื่น

เป็นการยืนยันแล้วว่าคนเสื้อแดงยังกลมเกลียว

ไม่ได้มีปัญหาภายใน

ดังนั้น น่าเชื่อว่าการนัดเจอกันครั้งนั้นเป็นอุบายการ เมือง

เป็นหลุมพรางที่รัฐบาลขุดดักไว้ !!

หวังให้เกิดความร้าวฉานขึ้นในกลุ่มคนเสื้อแดงกันเอง

หวังให้กลุ่มคนเสื้อแดงกับพรรคเพื่อไทยไม่ลงรอยกัน

นายอภิสิทธิ์อาจเล็งผลไปถึงหลังยุบสภาปีหน้า

แค่ประชานิยม หรือประชาวิวัฒน์ แจกดะแจกลูกเดียวคงไม่พอแล้ว

หากต้องการชนะการเลือกตั้ง

ก็ต้องเสี้ยมให้คนเสื้อแดงกับพรรคเพื่อไทยแตกหัก

ไม่งั้นก็หมดหวังกุมเสียงข้างมากในสภา

มีกลอุบายอะไรงัดมาใช้หมด

เข้าตำรา "ไม่ได้ด้วยเล่ห์ ก็ต้องเอาด้วยกล"


ข่าวสดรายวัน คอลัมน์เหล็กใน
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันอังคารที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2553

คำเตือนจากพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา

เมื่อวานนี้  ขณะที่คนเสื้อแดงนับหมื่นเดินทางมาร่วมการชุมนุมอย่างสงบที่บริเวณแยกราชประสงค์ สถานที่ที่หลายคนรู้ดีว่าเมื่อเดือนเมษายนและพฤษภาคมที่ผ่านมามีเหตุการณ์ฆ่าหมู่ประชาชนเกิดขึ้น และมีประชาชนคนไทยเสียชีวิตกว่า 90 ราย เหล่านายพลได้ประชุมวางแผนกันอย่างลับๆ

เมื่อเวลา 8.00 นาฬิกา (20 ธันวาคม) ไม่นานหลังจากคนเสื้อแดงสลายการชุมนุม ผู้บัญชาการทหารบกที่แข็งกร้าวอย่าง พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาได้ส่งข้อความที่กำกวมและน่าตกใจถึงประชาชนชาวไทย
ตามรายงานของหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ (หนังสือพิมพ์ที่ขายดีเป็นอันดับหนึ่งของประเทศไทย) นักข่าวสัมภาษณ์พลเอกประยุทธ์ว่าคิดอย่างไรเกี่ยวกับการที่คนเสื้อแดงจะยกระดับการชุมนุมประท้วง คำตอบของพลเอกประยุทธ์? “ทหารมีความพร้อม (เพราะฉะนั้นก็อย่าทำผิดกฎหมาย)”

เราขอส่งข้อความถึงพลเอกประยุทธ์ว่า หากพลเอกประยุทธ์หรือใครก็ตามคิดจะสั่งยิงประชาชนคนไทยอีกครั้ง บุคคลนั้นจะต้องรับผิดชอบต่อการกระทำของตน และการข่มขู่พลเมืองว่าจะใช้อาวุธและประทุษร้ายถึงชีวิตเป็นการย้ำเตือนประชาคมโลกว่ารัฐไทยไม่ลังเลใจที่จะชักปืนออกมายิงประชาชน แต่ชะลอท่าทีที่จะจัดการเลือกตั้งทั่วไป

ที่มา.Robert Amsterdam
***************************************************************

พท.หนาว"สุวัจน์"จับมือ"ไพโรจน์" เตรียมปรับองค์กรสู้เลือกตั้ง เผย ส.ส.หวั่นไหวรู้ว่าต้องสู้กับอะไร

นายสุพล ฟองงาม เลขาธิการพรรคเพื่อไทย(พท.) กล่าวถึงกรณี ว่าที่ ร.ต.ไพโรจน์ สุวรรณฉวี แกนนำพรรคเพื่อแผ่นดิน(พผ.) ประกาศจับมือกับนายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ แกนนำพรรครวมชาติพัฒนา(รช.) ว่า ถ้าหากแกนนำทั้งสองพรรคมีการปรับเปลี่ยนจริงแล้วดีขึ้นแน่นอน และต้องส่งผลกระทบต่อ พท.แน่ เพราะมีพื้นที่เลือกตั้งเดียวกัน โดยส่วนตัวคิดว่าทุกพรรค รวมถึง พท.คงต้องมีการปรับเปลี่ยนภายในองค์กรเพื่อเตรียมพร้อมเลือกตั้ง ไม่ว่าจะเป็นผู้สมัคร ส.ส. นโยบาย ผู้นำพรรค ต้องปรับเปลี่ยนให้เข้มแข็งกว่าเดิม

“แม้พรรคจะปรับโครงสร้างเมื่อไม่นาน แต่เมื่อเกิดสถานการณ์ต่างๆ ขึ้นมากมาย ส่งผลให้คนในพรรคค่อนข้างหวั่นไหว เพราะเป็นที่รู้กันดีว่าเราต่อสู้กับอะไร จึงต้องกลับมาทบทวน ตั้งสติและตั้งหลักกันใหม่ นับแต่เกิดรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน พท.เหมือนวิ่งชนกำแพงทุกครั้งแล้วก็บาดเจ็บกลับมาแล้วเราก็อ่อนแอลงเรื่อยๆ จึงต้องปรับวิธีการทำงานให้สอดคล้องกับสถานการณ์”

ผู้สื่อข่าวว่าถามถึงกรณี ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ประธาน ส.ส.พท.ประกาศว่าการเลือกตั้งครั้งหน้าเป็นสงครามครั้งสุดท้าย และชูธงนำ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กลับไทย เลขาธิการ พท.กล่าวว่า การชูธงนำ พ.ต.ท.ทักษิณกลับไทยมีทั้งผลดีและผลเสีย คือประชาชนที่ยังศรัทธา พ.ต.ท.ทักษิณก็จะเทคะแนนให้พรรค แต่กลุ่มอำนาจจะต่อต้านรุนแรง

ที่มา.มติชนออนไลน์
----------------------------------------------------------

“เทศาภิวัฒน์”: นวัตกรรมใหม่ในการปฏิรูปประเทศไทย

“โลกกำลังถลำเข้าไปสู่วิกฤตการณ์มากขึ้นเรื่อยๆ
เพราะไม่ได้เอาชีวิตและการอยู่ร่วมกันเป็นตัวตั้ง”

นายแพทย์ ประเวศ วะสี
วิกฤตประเทศไทยไม่อาจหลุดพ้นได้ด้วยวิธีคิดแบบเดิม (Old Paradigm) การแสวงหาทางปัญญาจึงเป็นเรื่องจำเป็นเร่งด่วนของทุกภาคส่วนในสังคม นี่จึงเป็น ภารกิจของสมัชชาปฏิรูป ที่มีนายแพทย์ ประเวศ วะสี เป็นผู้สนับสนุนสำคัญในการปรับเปลี่ยนประเทศไทย โดยประสบการณ์ยาวนานในงานพัฒนา ทำให้เข้าใจความละเอียดอ่อนของปัญหา ที่หากไม่มีการ “สร้างสรรค์” โลกทัศน์แบบใหม่ให้กับคนไทย ก็ย่อมไม่มีวันหลุดพ้นจากปัญหาเชิงโครงสร้างไปได้เลย

19 ธันวาคม 2553 จึงนับเป็นวันสำคัญทางประวัติศาสตร์ของประเทศไทย ที่ได้มีการเผยแพร่ “(ร่าง) ข้อเสนอปฏิรูปประเทศไทย” เพื่อปรึกษาหารือกับคนไทยในทุกภาคส่วน โดยมีสาระสำคัญคือ การเปลี่ยนวิธีคิดจากระบบบริหารประเทศแบบข้าราชการและกรมกองเป็นตัวตั้งมาเป็นพื้นที่และวิถีชีวิตของประชาชาติเป็นจุดเริ่มต้น


“เทศาภิวัฒน์” จึงนับเป็นนวัตกรรมใหม่ที่สร้างสรรค์ในการปฏิรูปประเทศไทย โดยเฉพาะการยึดพื้นที่เป็นตัวตั้ง ทำให้สามารถหลุดพ้นจากปัญหาเขาควาย (Dilemma) ที่เคยสร้างความขัดแย้งทางความคิดของสังคมไทยมายาวนาน นั่นคือ การบังคับเลือกระหว่างโลกาภิวัฒน์ที่เลิศหรูหรือท้องถิ่นชุมชนที่รุ่มรวย หากทว่าเทศาภิวัฒน์คือ บทสังเคราะห์ใหม่ (New Synthesis) ที่ทำให้ท้องถิ่นชุมชนและโลกาภิวัฒน์ สามารถก้าวเดินไปพร้อมกันได้อย่างสง่างาม

การพัฒนาแบบโลกาภิวัตน์ที่มีกรุงเทพมหานครเป็นศูนย์กลางนั้น แน่นอนว่าย่อมทำให้ประเทศไทยเจริญก้าวหน้าทางวัตถุ หากทว่าก็ต้องแลกมาด้วยต้นทุนมหาศาล นั่นคือ การแตกร้าวของชนบทไทย ที่วิถีชีวิตต้องถูกปรับเปลี่ยนเพื่อรับใช้ระบบทุนนิยมโลก โดยมีระบบราชการและการปกครองส่วนภูมิภาคเป็นผู้ใช้อำนาจในการควบคุมประชาชน

อย่างไรก็ตาม การพัฒนาแบบชุมชนท้องถิ่น ที่พยายามเริ่มต้นมาหลายสิบปี ก็ยังไม่สามารถเกิดดอกออกผล ส่วนหนึ่งก็เพราะว่าการปกครองจากส่วนกลางยังคงควบคุมครอบงำอย่างใกล้ชิด แต่ขณะเดียวกัน รูปแบบการพัฒนาแบบชุมชนท้องถิ่น ก็ยังมีข้อจำกัดในการบริหารจัดการ ตั้งแต่การระดมทรัพยากรทางการเงินไปจนกระทั่งถึงการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและความก้าวหน้าของโลกให้สอดคล้องกับลักษณะเฉพาะของแต่ละชุมชน

“พื้นที่” จึงเป็นการปฏิวัติทางความคิดครั้งใหญ่ ที่เปิดกว้างสำหรับแนวคิดชุมชนและแนวคิดโลกาภิวัฒน์ให้สามารถดำรงอยู่ร่วมกัน โดยเฉพาะเมื่อประชาชนไทยในแต่ละพื้นที่มีเสรีภาพในการคัดเลือกส่วนผสมที่ลงตัวระหว่างสองแนวคิดได้ จึงทำให้สอดประสานกับความต้องการของตนเองอย่างแท้จริง

การมีส่วนร่วมของประชาชน นับเป็นปัญหาสำคัญของประเทศประชาธิปไตยในศตวรรษที่ 21 โดยเฉพาะเมื่อแนวคิดแบบปัจเจกชนนิยมสุดขั้วได้หยั่งรากฝังลึกเป็นกระแสนิยมระดับโลก อย่างไรก็ตาม เทศาภิวัฒน์ที่เริ่มจากวิถีชีวิต วัฒนธรรม และรสนิยมของคนในแต่ละพื้นที่ ย่อมทำให้การร่วมคิดร่วมทำของคนในสังคมเกิดความรื่นรมย์ ไม่ได้เป็นเพียงภาระหน้าที่เหมือนกับในระบบการปกครองส่วนภูมิภาคที่ไม่สอดคล้องกับความต้องการที่ละเอียดอ่อนของประชาชนในแต่ละพื้นที่อีกต่อไป

ดังนั้น เมื่อประชาชนในแต่ละพื้นที่มีความสุขและความรับผิดชอบที่เหมาะสมกับตัวเองแล้ว ก็ย่อมสามารถขยายความร่วมมือกับพื้นที่อื่นทั่วประเทศไทย จึงนำไปสู่การแลกเปลี่ยนและสังเคราะห์ความรู้อย่างลึกซึ้ง ซึ่งย่อมต่อยอดไปสู่การเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจอย่างมีคุณภาพ ที่จะประสานเป็น “นวัตกรรม” ทางเศรษฐกิจใหม่ ในการเติบโตยั่งยืนท่ามกลางมหาวิกฤตและโอกาสของอภิทุนนิยมแห่งศตวรรษที่ 21

วิกฤตการเมืองไทยจึงไม่ใช่เป็นเพียงความฉ้อฉลของนักการเมืองไทย วิกฤตความเหลื่อมล้ำระหว่างเมืองและชนบท ย่อมไม่อาจแก้ได้ด้วยนโยบายประชานิยมหรือประชาวิวัฒน์ แต่ควรจะเริ่มต้นที่รากเหง้าของปัญหา นั่นคือ “อิสรภาพ” ประชาชนในแต่ละพื้นที่ของสังคมไทย ที่จะสามารถขบคิดและสร้างสรรค์อย่างเป็นตัวของตัวเอง โดยยกระดับไปสู่การร่วมมือและเรียนรู้อย่างมีวุฒิภาวะของทุกภาคส่วนในทุกพื้นที่ของประเทศไทย เพื่อจะได้ดำรงชีวิตอย่างเต็มเปี่ยมด้วยความสุขสมดังที่รอคอย

ที่มา.Siam Intelligence Unit

วันจันทร์ที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2553

สปีดความเร็วสูง-รถไฟจานร้อน ขบวน "สุเทพ-วีระชัย-กอร์ปศักดิ์" ปชป.เบียดภูมิใจไทยตกราง 1.8 แสน ล.

พรรคประชาธิปัตย์และภูมิใจไทย ยังเป็นคู่ขัดแย้งหลัก ทั้งในห้องประชุมคณะรัฐมนตรี และในวงอำนาจ 7 พรรคร่วมรัฐบาล

ทั้งโครงการการเมือง-โครงการเศรษฐกิจ และโครงการลงทุนขนาดใหญ่ ต่างฝ่ายต่างขัดแข้ง ขัดขา ข้องใจ

ทั้งโครงการเก่า-โครงการใหม่ ถูกดองอยู่นอกห้องประชุมคณะรัฐมนตรี ค้างคา-ข้ามปี

โครงการในประเทศ-ระหว่างประเทศ ถูกเบียดแทรก-แซงคิด-แย่งซีน อลหม่าน

การประชุมคณะรัฐมนตรีครั้งล่าสุด มีมติเป็น "วาระแทรก" เพื่อ "รับทราบ" ผลการเยือนจีนและผลประชุม "World Congress on High Speed Rails" หรือการประชุมนานาชาติว่าด้วยเรื่องรถไฟความเร็วสูง มีนัยสำคัญเกี่ยวพันการลงทุนในประเทศไทยไม่น้อยกว่า 1.8 แสนล้าน

วาระนี้นำเสนอโดย นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ผู้มีภารกิจปฏิบัติหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรีในการกระชับความสัมพันธ์ระหว่างไทย-จีนร่วมกับ นายวีระชัย วีระเมธีกุล รัฐมนตรีคู่ใจจากกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ

ก่อนที่คณะรัฐมนตรีจะมีมติแต่งตั้ง นายสุเทพ และ นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ให้เป็นกรรมการประสานงานโครงการรถไฟความเร็วสูงไทย-จีน มีข้อเสนอที่น่าสนใจ คือ นายสุเทพ-รายงานต่อนายกรัฐมนตรีในฐานะประธานคณะกรรมการกระชับความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจไทย-จีน ได้เดินทางเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีนระหว่างวันที่ 6-9 ธันวาคม 2553 ตามคำเชิญ ของกระทรวงรถไฟจีน เพื่อเข้าร่วมการประชุม "7th World Congress on High Speed Rails" พร้อมด้วย นายวีระชัย วีระเมธีกุล

วาระที่ได้มีโอกาสพบปะหารือกับ นายสมสะหวาด เล่งสะหวัด รอง นรม.สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว, นายหลิว จื้อจุน รมว.กระทรวงรถไฟจีน, นายหลู ชุนฝาง รมช.กระทรวงรถไฟจีน, นายอ้าย ผิง รมช.กระทรวงวิเทศสัมพันธ์ และ นายเฮ่อ จุน ผช.รมว.กระทรวงวิเทศสัมพันธ์ ถูกนายสุเทพรายงาน "ตรง" ต่อนายกรัฐมนตรี

การเจรจาเรื่อง "รถไฟ" ในกรุงปักกิ่ง กระทรวงรถไฟของจีนได้เชิญผู้แทนระดับสูงของรัฐบาล และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง กับการพัฒนากิจการรถไฟของประเทศ ต่าง ๆ รวมทั้งองค์การระหว่างประเทศ ด้านรถไฟ ผู้บริหารบริษัทรถไฟชั้นนำ ของโลก นักวิชาการ และผู้เชี่ยวชาญด้าน รถไฟ

การประชุมครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ ให้ผู้ที่เกี่ยวข้องได้มาร่วมกันหารือเกี่ยวกับประเด็นสำคัญในการพัฒนารถไฟความเร็วสูง รวมทั้งแลกเปลี่ยนประสบการณ์การก่อสร้าง และพัฒนากิจการรถไฟ ตลอดจนแสวงหาความร่วมมือและหุ้นส่วนความร่วมมือในแวดวงกิจการรถไฟ

นายสุเทพ-ในฐานะผู้แทนฝ่ายไทย แจ้งต่อฝ่ายจีนว่า ความสำคัญของโครงการความร่วมมือด้านรถไฟไทย-จีน ซึ่งเป็นประโยชน์ในการเพิ่มพูนการติดต่อไปมาหาสู่ของประชาชน การขยายตัวทางการค้า การลงทุน และด้านการท่องเที่ยวในภูมิภาคเอเชีย ซึ่งจะก่อให้เกิดความเชื่อมโยงในการพัฒนาทางกายภาพในภูมิภาคได้อย่างทั่วถึง และการขยายตัวทางเศรษฐกิจในภูมิภาคอย่างกว้างขวาง

หัวหน้าคณะฝ่ายไทย "ได้แสดงความหวังว่าจะสามารถเริ่มดำเนินการโครงการความร่วมมือเพื่อการพัฒนากิจการรถไฟไทย-จีนได้ในเร็ววัน" เอกสารร้อนเรื่องรถไฟ-ที่รายงานต่อนายกรัฐมนตรีระบุ

คำถามของคณะรัฐมนตรีฝ่ายภูมิใจไทย ในฐานะกำกับกระทรวงคมนาคม จึงเกิดขึ้น ว่า "โสภณ ซารัมย์" รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม อยู่ในโบกี้ใดของขบวนรถไฟสายร้อน

ข้อเสนอของ-สุเทพจึงระบุไว้กว้าง ๆ แต่เพียงว่า "คณะรัฐมนตรีน่าจะมอบหมายให้กระทรวงคมนาคมเป็นผู้ประสานงานหลัก"

แต่คณะรัฐมนตรีกลับมีมติแต่เพียง 2 ชื่อเท่านั้นให้เป็นผู้ประสานงานหลัก คือ นายสุเทพและนายกอร์ปศักดิ์

เพื่อดำเนินการตาม "สาระความร่วมมือด้านรถไฟความเร็วสูง" ดังนี้

ข้อแรก ไทย-จีน-ลาวเห็นชอบร่วมกันว่าเส้นทางรถไฟที่จะก่อสร้าง สร้างตามแนวคิด "ระบบรถไฟสายเอเชีย" คือ สร้างจากหนองคายผ่านกรุงเทพฯไปปาดังเบซาร์ เพื่อเชื่อมไปมาเลเซียและสิงคโปร์

ข้อ 2 รูปแบบในการดำเนินงานจะ ยึดหลักเดียวกับที่จีนได้ตกลงกับลาว ทั้งลักษณะร่วมลงทุน การกู้เงินในอัตรา ดอกเบี้ยเงินกู้พิเศษ และการบริหารจัดการแบบ BOT (Build Operate Transfer)

และ ข้อ 3 นายสุเทพได้เรียนเชิญ รมว.กระทรวงรถไฟจีน มาลงนามในข้อตกลง ณ ประเทศไทย ในช่วงเดือน มี.ค.-เม.ย. 54 โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานในพิธีการลงนาม

การเจรจา "ผลประโยชน์ร่วม" ระบุว่า ในโครงการสร้างทางรถไฟจากหนองคายไป ปาดังเบซาร์ จะส่งผลให้ประเทศมาเลเซียและสิงคโปร์ให้ความสนใจและเห็นความสำคัญของทางรถไฟ ซึ่งจะนำไปสู่ การเชื่อมโยงเส้นทางรถไฟคุนหมิง-สิงคโปร์ อันจะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศกลุ่ม ASEAN

ข้อมูลเชิงชิงเล่ห์-ชิงเหลี่ยมกับประเทศเพื่อนบ้าน ถูกเสิร์ฟในวงการเจรจาเมื่อประเทศไทยถูกแจ้งว่า "มีการติดต่อเจรจาความร่วมมือด้านการรถไฟระหว่าง กัมพูชาและจีน ซึ่งอาจเป็นช่องทางหนึ่งของไทยที่สามารถเชื่อมต่อทางรถไฟไปยังกัมพูชาได้"

โดยตัวแทนฝ่ายจีนยืนยันผ่าน นายสุเทพว่า "ตั้งใจที่จะก่อสร้างรถไฟ สายนี้ให้เสร็จภายใน 5 ปี และเร่งรัดให้ไทยจัดตั้งคณะทำงานที่สามารถประสานความร่วมมือกับหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องได้ในเชิงบูรณาการทำงานร่วมกัน เพื่อให้การทำงานเป็นเอกภาพยิ่งขึ้น"

ขณะที่ "การเมือง" ระหว่างไทย-จีน มีความพยายามที่จะ "แย่งซีน" จาก ฝ่ายค้าน โดย พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประธานพรรคเพื่อไทย และคณะ "นักการเมืองรุ่นใหม่" โดยเอ่ยชื่อ "จาตุรนต์ ฉายแสง" เป็นว่าที่นายกรัฐมนตรี

ฝ่ายรัฐบาลโดยนายสุเทพจึงต้องชิง ปูทางเข้าขบวนการทูตระหว่างประเทศ โดยจะมีการแลกเปลี่ยนการเยี่ยมเยือนพบปะกันระหว่างนักการเมืองรุ่นใหม่ ไทย-จีนไปสู่ความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกันยิ่งขึ้น

โดยนายสุเทพจะจัดขบวนนักการเมืองรุ่นใหม่ไปเยือนจีนในช่วงต้นปีหน้า และเตรียมเชิญผู้บริหารพรรคคอมมิวนิสต์จีนเข้าร่วมเป็นสักขีพยานในการลงนามบันทึกข้อตกลงโครงการรถไฟไทย-จีน ณ ประเทศไทยด้วย

หลังรับทราบข้อหารือร้อนจากเมืองจีน คณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2553 จึงมีมติ "ตั้งคณะกรรมการศึกษา รายละเอียดแผนร่วมทุนก่อสร้างโครงการพัฒนากิจการรถไฟฟ้าระหว่างประเทศไทยและจีน มี "กอร์ปศักดิ์ สภาวสุ" เลขาธิการนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน

เพื่อลงลึกรายละเอียดแผนร่วมลงทุน ทั้งเงื่อนไขการลงทุน (ทีโออาร์) รูปแบบการลงทุน ข้อปฏิบัติในแง่กฎหมาย การลงนามร่วมลงทุนกับจีน (MOU) นำเสนอเข้า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) และรัฐสภาต่อไปตามกฎหมายรัฐธรรมนูญในมาตรา 190 เพื่อขออนุมัติกรอบสำหรับเจรจากับจีน ต่อไป

ทั้งนี้ โครงการลงทุนรถไฟความเร็วสูงสายกรุงเทพฯ-หนองคาย ระยะทาง 615 กิโลเมตร ที่รัฐสภาผ่านความเห็นชอบให้เกิดกรอบการเจรจาลงทุนตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 190 นั้นประกอบด้วย

ตัวโครงการออกแบบก่อสร้างเป็น รางสแตนดาร์ดเก็จขนาด 1.435 เมตร เริ่มต้นที่สถานีบางซื่อผ่านสถานีพระนครศรีอยุธยา-สระบุรี-ปากช่อง-นครราชสีมา-บัวใหญ่-บ้านไผ่-ขอนแก่น-เขาสวนกวาง-อุดรธานี และปลายทางที่สถานีหนองคายรวม 600 กิโลเมตร รวมเวลาวิ่ง 3 ชั่วโมง 8 นาที

โครงการนี้คาดว่าจะใช้เวลาก่อสร้าง 5 ปี งบฯลงทุน 181,369 ล้านบาท แยกเป็นค่าก่อสร้าง 156,934 ล้านบาท ค่าศึกษาออกแบบรายละเอียด 2,354 ล้านบาท ค่าเวนคืนที่ดิน 3,000 ล้านบาท ค่าควบคุมการก่อสร้าง 2,746 ล้านบาท ค่ามาตรการด้านสิ่งแวดล้อม 785 ล้านบาท ค่าขบวนรถ 15,550 ล้านบาท

อนึ่ง โครงการถไฟความเร็วสูงที่เคย ถูกเสนอเพื่อ "พิจารณา" ในช่วงต้น วาระรัฐบาล "อภิสิทธิ์" ประกอบด้วย 4 สาย เช่น เส้นทางกรุงเทพฯ-เชียงใหม่ ลงทุน 209,396 ล้านบาท, เส้นทางกรุงเทพฯ-หนองคาย 180,379 ล้านบาท, เส้นทางกรุงเทพฯ-ฉะเชิงเทรา-ระยอง ลงทุน 56,601 ล้านบาท, เส้นทางกรุงเทพฯ-ปาดังเปซาร์ ลงทุน 247,855 ล้านบาท

แต่เมื่อรัฐบาลไทยเชื่องช้า ผลการเจรจาจึงเหลือเพียงเส้นทางเดียว คือ หนองคาย-กรุงเทพฯ-ปาดังเบซาร์

โดยมีเจ้าภาพ-เจ้ามือฝ่ายไทยเป็น ฝ่ายประชาธิปัตย์ที่สปีดความเร็ว เบียดแทรกขบวนของภูมิใจไทยตกราง ไปในช่วงโค้งสุดท้ายของการเป็นรัฐบาล

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

กก.ปฏิรูปอัดประชาวิวัฒน์แค่นโยบายหาเสียง

"ณรงค์" เผยกรรมการปฏิรูปวิพากษ์ "ประชาวิวัฒน์" แค่หาเสียง หวังสร้างกระแสทางการเมือง เมินแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง เตือนเสนอจัดลำดับก่อน-หลัง

นายณรงค์ เพ็ชรประเสริฐ อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในฐานะกรรมการปฏิรูป ในชุดที่มีนายอานันท์ ปันยารชุน เป็นประธาน วิเคราะห์ถึงโครงการ "ประชาวิวัฒน์" ของรัฐบาล ที่ออกมาว่านโยบายดังกล่าวไม่ต่างจากรัฐบาลชุดที่ผ่านมา ที่มีเป้าหมายและหลักการดี แต่วิธีการต้องทบทวน เพราะเป็นการทำในเรื่องที่จะให้ได้คะแนนเสียงมากกว่าที่จะแก้ไขปัญหาโครงสร้างในระยะยาว เช่น การแก้ปัญหา พ่อค้าแม่ค้า รถแท็กซี่ มอเตอร์ไซค์รับจ้าง เป็นนโยบายที่ออกมา เพื่อสร้างกระแสทางการเมืองมากเกินไป

"คำถามคือเมื่อออกมาตรการมาแล้ว เงินที่จะนำมาใช้ก็เป็นเงินภาษีของประชาชน ซึ่งตามหลักเศรษฐศาสตร์ทั่วไปการนำเงินภาษีของประชาชนมาใช้ต้องตรงเป้าหมาย ประหยัดและคุ้มค่ามากที่สุด ที่สำคัญ คือ จะต้องดูความจำเป็นก่อนและหลังด้วย อย่างปัจจุบันมี ลูกจ้าง คนในภาคเกษตร จำนวนมากที่ยังไม่มีที่ดินทำกิน ต้องเร่รับจ้างไปเรื่อย ไม่มีทั้งประกันสังคม และนายจ้างที่แท้จริงก็ไม่มี ทำไมรัฐบาลไม่เข้าไปดูแลตรงนี้ก่อน"

เขากล่าวว่า การประชุมในคณะกรรมการปฏิรูปช่วงที่ผ่านมา มีความเห็นตรงกันว่าจะต้องมีการจัดลำดับความสำคัญในการแก้ไขปัญหา และสิ่งแรกที่ต้องทำ คือ การเสริมพลังให้คนตัวเล็กมีอำนาจต่อรอง โดยต้องติดอาวุธทางความคิดให้กับคนกลุ่มนี้ แต่นโยบายของทุกรัฐบาลที่ทำออกมากลับเป็นไปในลักษณะหวังผลทางการเมืองในทางหาเสียงมากเกินไป ไม่ได้ทำให้เกิดความยั่งยืน ถ้าเป็นแบบนี้จะเอาเงินจากไหนมาใช้ เพราะภาษีรัฐบาลเองก็ไม่กล้าปฏิรูป

ชี้แจกอย่างเดียวคนไม่เข้าใจว่าต้องมีภาระ

เขากล่าวว่า การจัดทำนโยบายแต่ละครั้งก็ต้องมีงบประมาณ ซึ่งเป็นเงินภาษีของประชาชนมาใช้ดำเนินโครงการ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นภาษีที่มาจากคนทำงานที่เป็นคนชั้นกลาง จึงเห็นว่าถึงเวลาแล้วที่คนชั้นกลางจะต้องลุกขึ้นมา เพราะคนจนส่วนใหญ่จ่ายภาษีทางเดียว คือ ภาษีทางอ้อม ขณะที่คนชั้นกลางจ่ายทั้งภาษีทางตรงและภาษีทางอ้อม ส่วนก็นักธุรกิจกลับได้รับการลดหย่อนภาษีหลายด้าน

"ถ้าพูดถึงระบบสวัสดิการแล้วสิ่งแรก คือ ประชาชนที่ต้องการได้สวัสดิการจากรัฐ ต้องพร้อมที่จะซื้อบริการที่รัฐจัดให้ผ่านระบบภาษี คือ จะต้องยอมจ่ายภาษีแพง อย่างในยุโรปหลายประเทศเก็บภาษีสูงมาก แต่ของไทยเราไม่ได้ทำอย่างนั้น ทำให้คนเข้าใจว่าระบบสวัสดิการ คือ การที่รัฐบาลจะแจกอะไร ซึ่งตรงนี้ชาวบ้านยังไม่เข้าใจ" นายณรงค์กล่าว

เสนอรัฐหาช่องจัดเก็บภาษีใหม่

นายณรงค์ ระบุว่า ปัจจุบันมีผู้ยื่นแบบชำระภาษีประมาณ 8 ล้านคน แต่มีคนที่ต้องจ่ายภาษีประมาณ 3 ล้านคน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนชั้นกลางที่เป็นมนุษย์เงินเดือน และคนกลุ่มนี้เอง คือ คนที่เลี้ยงคนกว่า 60 ล้านคนของประเทศ หากเราต้องการช่วยเหลือคนจน ก็จะต้องยุติธรรมกับคนชั้นกลางที่จ่ายภาษีด้วย เพราะอย่าลืมว่าเกษตรกรบางคน เช่น ชาวสวนยาง ชาวสวนทุเรียนมีรายได้มากกว่าคนชั้นกลางเสียอีก แต่พวกเขาเหล่านั้นไม่ต้องเสียภาษี เช่นเดียวกับนักธุรกิจที่รัฐบาลก็ไม่กล้าไปแตะในเรื่องภาษี

นายณรงค์ มองว่าปัจจุบันมีภาษีหลายตัวที่รัฐบาลสามารถเพิ่มการจัดเก็บได้ เช่น ค่าภาคหลวงที่รัฐบาลจัดเก็บจากนักลงทุนต่างประเทศที่เข้ามารับสัมปทานปิโตรเลียม ปัจจุบันจัดเก็บในอัตรา 7-8% และเหมืองแร่ทองคำที่จัดเก็บ 2.5% ถือว่าต่ำมาก ทั้งๆ ที่ในต่างประเทศจะจัดเก็บในอัตรา 30% ถ้าเพิ่มการจัดเก็บตรงนี้ได้ก็จะมีรายได้เพิ่มขึ้นนับแสนล้านบาทต่อปี แต่รัฐบาลกลับไม่สนใจ

ขณะเดียวกัน ก็ควรทบทวนเรื่องสิทธิประโยชน์ภาษีในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการส่งเสริมการลงทุน เพราะนอกจากนักลงทุนต่างชาติได้รับการยกเว้นภาษีแล้ว นักลงทุนต่างชาติเหล่านี้ก็ยังอาศัยช่องว่างทางธุรกิจโอนเงินออกนอกประเทศ เช่น ซื้อวัตถุดิบจากบริษัทแม่เข้ามาผลิตในราคาสูง แล้วขายสินค้าที่ผลิตเสร็จให้บริษัทแม่ในราคาที่ต่ำกว่าราคาขายในประเทศ อย่างเช่น ตู้เย็นบางยี่ห้อขายให้บริษัทแม่ในต่างประเทศเครื่องละ 10,000 บาท แต่ขายในไทยเครื่องละ 40,000 บาท

"เชื่อว่าคงไม่มีรัฐบาลหรือพรรคการเมืองไหนกล้าทำ เพราะนักการเมืองเองก็ต้องอาศัยเงินจากนักธุรกิจ ที่ผ่านมา ก็ไม่เคยเห็นรัฐบาลไหนกล้าให้ความรู้กับประชาชน จะบอกอยู่อย่างเดียวนโยบายของตัวเองดีที่สุด เป็นแบบนี้เหมือนกันหมดทุกพรรค ทั้งฝ่ายค้านและรัฐบาล เพราะไม่กล้าที่จะให้ประชาชนเรียนรู้ เพราะกลัวว่าถ้าประชาชนรู้แล้วจะลุกขึ้นมาต่อสู้"

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันอาทิตย์ที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ซื้ออนาคตหรือ!!??


“กำลังจะเดินทางไปสู้ความสิ้นสุด หรือกำลังจะเดินทางไปสู่การเริ่มต้นใหม่ที่ดีกว่า” คือรัฐบาลชุดปัจจุบันของนายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เพราะหนทางที่กำลังเดินวันนี้ยังคาดการอะไรข้างหน้าไม่ได้ทั้งนั้น... มด คันไฟ ให้สังเกตอากัปกิริยาทางการเมือง ของ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ว่ากำลังก้าวเดินไปสู่จุดหมายอะไร....ที่ยังเดาไม่ได้เวลานี้คือ มือที่มองไม่เห็นจะยังช่วยประคับประคองหรือไล่ส่ง คงจะบอกได้เมื่อวารสุดท้ายมาถึงจริงๆ...0

มด คันไฟ แปลกใจเหมือนที่หลายคนคิดว่า อากัปกิริยาของ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เหมือนกับคนที่มั่นใจว่าซื้ออนาคตข้างหน้าไว้ล่วงหน้าแล้ว เพราะฉะนั้นการเปลี่ยนแปลงวันหน้าคงจะไม่มีวันกลับหลังหัน...ทั้งหมดเป็นเรื่องเดาใจ และเดาอนาคตจากคนข้างนอกมองเข้าไปที่ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ แต่ยังไม่มีใครรู้จริงว่า ตัวตนของอภิสิทธิ์ คิดอย่างไร?...0

หลังสุด อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ยังกล้าออกมาท้าทายมวลชนคนไทยทั้งหลายว่า "ถ้าเห็นว่า สส. ชุดนี้ไม่สมควรได้เงินเดือนใหม่ก็อย่าเลือกเข้ามา เปลี่ยนใหม่หมดทั้งสภาเลย เป็นสิทธิ์ของประชาชนที่จะทำได้" ใครบ้างจะรับคำท้า อีกไม่ช้าก็รู้ครับ...เรื่องการขึ้นเงินเดือนที่รัฐบาลเดินหน้าทำไปแล้วนั่น มด คันไฟ ไม่ได้คัดค้าน แต่เสียดายที่ไม่มีวิธีคิด และวิธีทำที่สมบูรณ์กว่านั้น ก็คือ ควรทำให้ครบทั้งระบบ ไม่เฉพราะแต่เงินเดือนข้าราชการ สส. สว. เท่านั้น...0

การคิด และการทำ ให้ครอบคลุมทั้งระบบคือ ต้องพิจารณาทั้งระบบของคนที่จะได้ส่วนใหญ่ของประเทศด้วย เช่น ชาวไร่ชาวนา ค่าประกันราคาข้าว ผู้ใช้แรงงานเรื่องค่าแรงขั้นต่ำ ฯลฯ ถ้าหากให้สภาพัฒน์ฯ ซึ่งรู้แผน 5 ปี 10 ปี ข้างหน้าไปคิดให้ครอบคลุม จะทำให้ผู้คนส่วนใหญ่ของประเทศได้รับประโยชน์ทั่วหน้ามากกว่านี้และประชาชนจะสรรเสริญเยินยอกันจนไม่ต้องหาเสียงเลือกตั้งครั้งต่อไปเลย เพียงแต่พวกท่านไม่ได้คิด และพวกท่านไม่ได้ทำ เท่านั้นแหละ มด คันไฟ พูดเพื่อประโยชน์ของคนส่วนใหญ่ที่จะได้ครอบคลุมมากกว่า และจะเป็นการแก้ปัญหาถาวรอีกด้วยนะครับ...0

เมืองไทยดังทางลบอีกแล้ว เมื่อนิตยสารไทม์สื่อยักษ์ใหญ่ของอเมริกา จัดอันดับ 10 ข่าวใหญ่แห่งปี 2553 ประเทศไทยได้รับเกียรติอันไม่อยากจะได้คือ ติดอันดับ 10 เรื่องการชุมนุมประท้วงทางการเมืองและสลายม็อบเสื้อแดง...ดังพอๆ กัน แต่ดังในทางดีนะครับ คือ นางอองซานซูจี ที่มีหลายคนยกตัวอย่างให้เป็นนักโทษทางความคิด หรือ PRISONER OF CONSCIENCE วันนี้เธอยังเป็นหนามยอกอกที่เอาออกไม่ได้ของรัฐบาลทหารพม่า...0

อีกเรื่องที่น่าพูดถึงคือ เรื่องจุดเปลี่ยนประชาคมอาเซียน หรือ ASEAN CONNECTIVITY คือแผนแม่บทที่สะท้อนถึงยุทธศาสตร์ระยะยาวเพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านกายภาพและการเชื่อมโยงในระดับประชาชน...นี่คือ เรื่องที่ยังมีความหวังที่ดีของประเทศไทยในฐานะหนึ่งในสหภาพอาเซียน...0

ที่มา.บางกอกทูเดย์
*********************************************************************

The Social Network กับความเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ของสังคม

อนรรฆ พิทักษ์ธานิน
นักวิชาการอิสระ

เผยแพร่ครั้งแรกใน คอลัมน์ มุมมองบ้านสามย่าน หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ, 17 ธันวาคม 2553

เมื่อต้นเดือนธันวาคม มีภาพยนตร์ที่น่าสนใจเรื่องหนึ่งได้เข้าฉายในบ้านเรา นั่นก็คือภาพยนตร์เรื่อง “The Social Network” ที่มีเนื้อหาเกือบทั้งหมดอิงอยู่กับเรื่องราว “ชีวิตจริง” ของ Mark Zuckerberg ผู้ก่อตั้ง “FACEBOOK”

เป็นเรื่องยากที่จะปฏิเสธนะครับว่า ในช่วงปีที่ผ่านมา facebook เป็นเวบไซด์อันหนึ่งที่ได้รับการพูดถึงและความสนใจมากที่สุดทั้งในสังคมไทย และอาจรวมถึงสังคมจำนวนมากในโลก โดยประเด็นการพูดถึงเจ้า facebook นี้ดูจะมีตั้งแต่เรื่องส่วนตัวหรือการ “gossip” เนื้อหาสาระที่ปรากฏในหน้าเวบไซด์อันมีลักษณะเป็น “Social Network” จนถึงประเด็นผลกระทบที่ facebook มีแต่สภาพความสัมพันธ์ในสังคม ดังจะเห็นได้จากเมื่อไม่นานมานี้หนังสือพิมพ์หลายฉบับได้ตีพิมพ์ข้อมูลที่ว่า (การใช้) facebook เป็นต้นเหตุสำคัญอันหนึ่งที่ทำให้เกิดการหย่าร้างในสหรัฐอเมริกา รวมถึงมีรายงานจำนวนหนึ่งได้ชี้ให้เห็นถึงลักษณะและเวลาการใช้ facebook ของคนชาติต่าง ๆ ที่สะท้อนให้เห็นลักษณะความสัมพันธ์ทางสังคมของแต่ละชาติ

ในมุมหนึ่งของข้อมูลที่ถูกนำเสนอผ่านสื่อต่าง ๆ นั้นจึงดูราวกับว่า facebook เป็นต้นเหตุอันหนึ่งที่อาจทำให้เกิดปัญหาสังคม ครอบครัว รวมถึงปัญหาทางเศรษฐกิจอันสืบเนื่องมาจากการใช้เวลาทำงานส่วนใหญ่ไปกับการเล่น facebook อันไม่เกิดประโยชน์แห่งการผลิตทางเศรษฐกิจ จนทำให้หลายบริษัทมีกฎหรือวางมาตรการห้ามพนักงานเล่น facebook ในเวลาทำงานกันเลยทีเดียว

อย่างไรก็ดี ผู้เขียนอยากจะเชิญชวนให้ท่านทั้งหลายหันมามอง facebook ในอีกมุมมองหนึ่ง อันอาจมิใช่การตัดสินว่าดี/ไม่ดี มี/ไม่มีประโยชน์ หรือถูก/ผิด หากแต่เป็นการมองในแง่ของส่วนหนึ่งแห่ง “ยุคสมัย” หรือในฐานะ “เทคโนโลยี” อันหนึ่งที่ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงรูปแบบความสัมพันธ์ในสังคม “จริง” เฉกเช่นเดียวกับ แบบแผนทางเศรษฐกิจ หรือเทคโนโลยีต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น รถไฟ รถยนต์ ไฟฟ้า นาฬิกา หรือโทรทัศน์ ที่ต่างล้วนทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงรูปแบบความสัมพันธ์ทางสังคม และประสบกับแรงต้านมากบ้างน้อยบ้างมาแล้วทั้งสิ้น

ความเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ทางสังคมที่สำคัญอันเนื่องมาจากการปรากฏตัวของ facebook หรือเวบไซด์จำพวก Social Network ก็คือการเปิดพื้นที่ทางสังคมแบบใหม่ขึ้น (อย่างที่หลายคนคงทราบกันดี) บนโลกออนไลน์หรือโลกเสมือนจริง โดยการพัฒนาเทคโนโลยีตลอด 10 ปีแห่งยุคอินเตอร์เน็ตดูจะทำให้ facebook สามารถกระทำการไม่แต่เพียงการตอบโต้ระหว่าง “เจ้าของ” กับ “ผู้เยี่ยมชม” เท่านั้น หากแต่ผู้ใช้ยังสามารถสร้าง application จำนวนหนึ่งขึ้นมาเพื่อให้ผู้ใช้งานคนอื่นสามารถเข้ามามีส่วนร่วมด้วย อาทิ แบบสอบถาม กลุ่มสังคม หรือการจัดงาน (Event) ต่าง ๆ

และเมื่อมีลักษณะเป็นพื้นที่ออนไลน์หรือพื้นที่เสมือนจริง ผู้ใช้งานจึงสามารถ “เข้าถึง” facebook ได้ทุกพื้นที่ (ที่ระบบอินเตอร์เน็ตเข้าถึง) ผ่านคอมพิวเตอร์และโทรศัพท์มือถือที่ปัจจุบันได้พัฒนาขึ้นเพื่อตอบสนองการใช้งานออนไลน์ ในแง่นี้จึงดูจะทำให้เกิดผลสำคัญประการหนึ่ง คือ การกลับมาพบเจอ (กันอีกครั้ง) ของบรรดา “เพื่อน” หรือ “คนรู้จัก” ในโลกจริง ที่ห่างหายไปนานแสนนาน ซึ่งเราจะไม่พบเหตุการณ์นี้เลยในโลกเมื่อ 30 ปีที่แล้ว ที่เพื่อนซึ่งมิได้ติดต่อก็จะหายหน้ากันไปเลย ในขณะที่เพื่อนใน facebook แม้จะมิได้ติดต่อแต่อย่างน้อยก็ยังรู้ถึงความเคลื่อนไหวและช่องทางในการติดต่อ

นอกจากการกลับมาพบเจอกับบรรดา “เพื่อนเก่า” แล้ว ในอีกมุมหนึ่ง facebook ดูจะทำให้รูปแบบความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนหรือคนรู้จักเป็นไปอย่างแนบแน่นและรวดเร็วขึ้นอีกเช่นกัน การติดต่อพูดคุยผ่านโลกออนไลน์ รวมถึงการติดต่อผ่านโลก “จริง” ที่สามารถทำได้อย่างสะดวกรวดเร็วและวงกว้าง – การนัดสังสรรค์ระหว่างเพื่อนสามารถบอกกล่าวในโลกออนไลน์ได้ในวงกว้างและมีประสิทธิภาพมากกว่าเทคโนโลยีก่อนหน้านี้

ในทางเดียวกัน โลกเสมือนจริงที่ facebook สร้างขึ้น ยังได้นำไปสู่การสร้าง “กลุ่มความสนใจ” จำนวนหนึ่งขึ้นด้วย ไม่ว่าจะเป็น กลุ่มผู้คลั่งไคล้นักร้อง/ศิลปิน (ที่มีสมาชิกจากหลายมุมของโลก) กลุ่มช่วยเหลือสังคม กลุ่มผู้สนในด้านอาหารและการกิน และกลุ่มผู้สนใจทางด้านหนังสือ เป็นต้น (นอกจากนี้ยังมีกลุ่มผู้สนใจทางการเมืองด้วย หากแต่ผู้เขียนจะไม่ขอกล่าวถึงในที่นี้) โดยกลุ่มต่าง ๆ เหล่านี้ดูจะมิได้ดำรงอยู่แต่บนโลกออนไลน์เท่านั้น สมาชิกหรือคนในกลุ่มเหล่านี้ยังได้มาพบปะสังสรรค์กันในโลกจริงด้วยเช่นกัน ตัวอย่างเช่น หนุ่มน้อยผู้ศรัทธาในการกินอาหารอร่อยคนหนึ่งได้เป็นตัวตั้งในการสร้างกลุ่มหรือเครือข่ายผู้รักการกินอาหารอร่อยขึ้นและได้จัด “ทริป” การกินอยู่เนือง ๆ โดยแต่ละทริปก็จะมีผู้ที่เข้าร่วมทั้งโดยรู้จักและไม่รู้จักกันมาก่อน อันทำให้เกิดเครือข่ายความสัมพันธ์ทางสังคมบนโลกจริงขึ้นใหม่จากทริปการกินที่มีจุดเริ่มในโลกออนไลน์ หรือในกลุ่มผู้สนใจในการช่วยเหลือสังคมก็ได้มีการนัดแนะกันไปทำงานเพื่อสังคมต่าง ๆ นานากันอยู่เนือง ๆ

ในแง่นี้จึงไม่เป็นการเกินเลยที่จะกล่าวว่า facebook (และอาจรวมถึงเวบไซด์ Social Network อื่นๆ ด้วยนั้น) เป็นเครื่องมือหรือกลไกสำคัญอันหนึ่งที่ทำให้เกิดรูปแบบหรือเครือข่ายความสัมพันธ์ทางสังคมใหม่ ๆ บนโลกแห่งความเป็นจริง โลกออนไลน์ที่ดูเหมือนจะทำให้คนเป็นปัจเจกชนเก็บตัวอยู่แต่ในพื้นที่ส่วนตัวมากขึ้น ในอีกด้านหนึ่งได้สร้างกลุ่ม (ความสนใจ) ทางสังคมอันหลากหลายขึ้นมานับไม่ถ้วน ลักษณะหรือสภาพที่ราวกับเป็นไปด้วยกันมิได้นี้ดูจะตรงกับสิ่งที่นักคิดฝรั่งคนหนึ่งเรียกว่า “Rhizome” อันเป็นสภาวะแห่งโลกสมัยใหม่หรือโลกแห่งยุคเทคโนโลยีที่ผู้คนมีลักษณะคล้าย “จุด” ที่เชื่อมโยงกับ “จุดอื่น ๆ” (สามารถมีได้มากกว่าหนึ่ง) ผ่านความสนใจที่อยู่นอกเหนือขอบเขตทางกายภาพของชุมชนหรือสังคม

นี่คือ ยุคสมัยใหม่ที่เปลี่ยนแปลงไปอันเป็นผลมาจากพัฒนาการทางเทคโนโลยีที่เราอาจจะต้องยอมรับและมองในฐานะปรากฏการหนึ่งหรือเหตุการณ์หนึ่งในประวัติศาสตร์ ไม่ว่าจะยินดี ชื่นชอบ หรือไม่ก็ตาม

ที่มา.ประชาไท
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันเสาร์ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2553

หยุดตกเขียว

การอนุมัติให้ปรับขึ้นเงินเดือน ส.ส. ส.ว. และข้าราชการฝ่ายการเมืองในอัตรา 14.3-14.7% ซึ่งต้องใช้งบประมาณถึง 13,000 ล้านบาท ซึ่งมาจากงบกลางและเป็นภาษีของประชาชนนั้น ยังมีกระแสต่อต้านอย่างต่อเนื่อง เพราะประชาชนส่วนใหญ่เห็นว่า ส.ส. และ ส.ว. ไม่มีคุณภาพเพียงพอที่จะได้รับค่าตอบแทน

อย่างนางสาวรสนา โตสิตระกูล ส.ว.กรุงเทพฯ ที่คัดค้านและไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง โดยให้เห็นผลว่า การขึ้นเงินเดือนดังกล่าวส่งผลกระทบต่องบประมาณรายจ่ายในปีหน้า และถือว่าเสียวินัยทางการคลัง ซึ่งตนเองจะทำหนังสือแสดงเจตจำนงไม่รับเงินส่วนที่เพิ่มขึ้นด้วย

นอกจากนี้นางสาวรสนายังเห็นว่า การตั้งกรอบงบประมาณไว้ล่วงหน้าแล้ว แต่ภายหลังนำมาจัดสรรเป็นเงินเดือนให้ ส.ส. และ ส.ว. มีลักษณะเหมือนเซ็นเช็คเปล่าเพื่ออนุญาตให้ใช้เงินล่วงหน้าแล้วกรอกตัวเลขภายหลัง ประชาชนเจ้าของภาษีสามารถฟ้องร้องต่อศาลปกครองว่าสิ่งที่รัฐบาลทำชอบด้วยกฎหมายหรือไม่

แม้การออกพระราชกฤษฎีกา (พ.ร.ฎ.) จะเป็นอำนาจของฝ่ายบริหาร แต่หากไม่ถูกต้องก็สามารถเพิกถอนได้เช่นกัน อย่างที่นางสาวรสนาเคยฟ้องต่อศาลปกครองให้เพิกถอน พ.ร.ฎ.การแปรรูปการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยของรัฐบาลก่อนหน้านี้ และสุดท้ายศาลปกครองก็ให้เพิกถอน

ขณะที่รัฐบาลที่พรรคประชาธิปัตย์เป็นแกนนำและเตรียมทุ่มงบประมาณที่อ้างว่าจะเป็นของขวัญปีใหม่ให้กับประชาชนนั้น ก็มีหลายฝ่ายตั้งคำถามว่าที่ผ่านมารัฐบาล ซึ่งมีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรีนั้น มีการโครงการลักษณะประชานิยมหรือกึ่งรัฐสวัสดิการมากมาย ส่วนใหญ่ไม่ได้เป็นการสร้างงานหรือทำให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืน แต่เป็นลักษณะการให้เปล่าหรือแจกฟรีกว่า 200,000 ล้านบาทแล้ว ไม่ใช่เฉพาะคนรากหญ้าเมืองและชนบท แต่ยังเอาใจทั้งข้าราชการประจำและข้าราชการการเมือง เหมือนการหาเสียงล่วงหน้าหรือ “ตกเขียว” ซึ่งอาจกระทบต่อเงินคงคลังและวินัยการคลัง

ส่วนพรรคร่วมรัฐบาลแต่ละพรรคก็มีการจัดสรรเงินงบประมาณในลักษณะต่างๆลงในพื้นที่ของตน ซึ่งไม่ได้แตกต่างจากในอดีตที่ฝ่ายการเมืองจะเอาเงินงบประมาณที่เป็นเงินภาษีของประชาชนไปหาเสียง โดยเฉพาะระยะใกล้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง

ขณะที่เศรษฐกิจโดยรวมของประเทศยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ และยังมีปัจจัยเสี่ยงมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาระหนี้สินใน 10 ปีข้างหน้าที่จะเพิ่มเป็น 3.3 ล้านล้านบาท ยังไม่เห็นรัฐบาลวางนโยบายทั้งระยะสั้นและระยะยาวเลย นอกจากใช้งบประมาณในลักษณะหาเสียงทางการเมืองล่วงหน้า ทั้งที่ประเทศไทยไม่ใช่ประเทศร่ำรวยที่จะทำนโยบายประชานิยมหรือรัฐสวัสดิการให้ครอบคลุมประชาชนทุกกลุ่มได้ รัฐบาลจึงต้องให้ความสำคัญกับเศรษฐกิจพื้นฐานให้มั่นคงก่อน อาทิ การศึกษา การรักษาพยาบาล คนชรา และแรงงานนอกระบบ ฯลฯ

ที่มา.หนังสือพิมพ์โลกวันนี้รายวัน

**********************************************************************

ใกล้เลือกตั้งแล้วใครขอก็จะให้

สำนัก(ข่าว)พระพยอม
จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้
โดย พระพยอม กัลยาโณ

กระแสการขอปรับขึ้นเงินเดือนกำลังเป็นที่นิยม พอหน่วยงานนี้เห็นหน่วยงานนั้นขอได้ก็ขอบ้าง สรุปว่าขอขึ้นกันเกือบทั้งหมด หากจะปรับขึ้นก็ไม่เป็นไร แต่อยากให้ดูผลงานที่ทำด้วยว่าควรขึ้นให้หรือไม่ หรือว่าใกล้เลือกตั้งแล้วใครขอก็จะให้

ในที่สุดก็ได้เห็นปรากฏการณ์ “ขี้ขอ” เกิดขึ้นตามมามากมายหลังคณะกรรมการค่าจ้างกลางอนุมัติให้ปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำทั่วประเทศ ขณะที่ ส.ส.-ส.ว. ก็ขอปรับขึ้นเงินเดือนด้วยเช่นกัน ตามด้วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยชง ครม. ขอให้กับ อบต. ทั่วประเทศ (ยังแป้ก) กลุ่มแรงงานรัฐวิสาหกิจก็ขอด้วย ส.ก.-ส.ข. กลัวตกขบวนรีบขอ อ้างว่า 17 ปีแล้วไม่ได้ขยับ ส่วนข้าราชการลอยตัวรัฐบาลปรับให้ก่อนแล้ว

มีคำกลอนบทหนึ่งกล่าวไว้ว่า “อยากได้ดีต้องทำดีอย่ารีรอ มัวแต่ขอรอแต่ดีไม่ดีเลย” หากทุกฝ่ายขอกันหมดและได้ตามที่ขอผลกระทบก็จะอยู่ที่ชาวบ้าน เพราะแทบจะเป็นธรรมเนียมไปแล้วที่เมื่อปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ ปรับเงินเดือนข้าราชการ ข้าวของก็มักจะปรับตัวขึ้นตามไปด้วย และการปรับขึ้นก็เป็นเรื่องประหลาดมากๆ อาตมาเคยพูดถึงเรื่องนี้มาก่อนแล้วหลายปีแต่ไม่มีใครฟัง ไม่มีใครเชื่อ คือคำว่าเหมือนกันหมด เช่น การปรับขึ้นเงินเดือนข้าราชการก็ปรับให้เหมือนกันหมด เป็นระนาบเดียวกันหมด ด้วยเหตุผลคำว่า “คนเหมือนกัน”

คำว่าคนเหมือนกันอาตมาขอเล่านิทานให้ฟังเรื่องหนึ่ง เรื่องมีอยู่ว่า พระราชาเมืองหนึ่งทรงเสด็จทางชลมารคเพื่อไปทำบุญที่วัดแห่งหนึ่ง ภายในเรือมีมหาดเล็กนั่งเคียงข้างเป็นที่ปรึกษา ฝีพายคนหนึ่งที่มีหน้าที่พายเรืออย่างเดียวก็นึกอิจฉามหาดเล็กที่นั่งเฉยๆ ไม่ต้องมาพายเรือเหมือนตน ซ้ำบางช่วงยังนั่งหลับอีกต่างหาก จึงเอ่ยวาจาเสียดสีว่า “คนเหมือนกันนี่หว่า” พระราชาได้ยินจึงรู้ว่าฝีพายกำลังอิจฉามหาดเล็ก พอถึงท่าน้ำเสด็จขึ้นฝั่งแล้วก็ไล่ให้มหาดเล็กขึ้นไปดูบนศาลา ปรากฏว่าพระราชาได้ยินเสียงลูกหมาร้องจึงเรียกให้ฝีพายขึ้นมาช่วยหาลูกหมา ฝีพายจึงก้มดูใต้แคร่แล้วรีบลุกขึ้นมากราบทูลตอบกลับไปว่า “หมาออกลูกพระเจ้าข้า” พระราชาก็ถามกลับไปอีกว่า “มีกี่ตัว” ฝีพายก็ก้มลงไปนับ “มี 4 ตัวพระเจ้าข้า” พระราชาถามอีก “แล้วตัวผู้กี่ตัว ตัวเมียกี่ตัว” ฝีพายก็ก้มลงไปนับอีกและตอบกลับมาว่า “ตัวเมีย 1 ตัว ตัวผู้ 3 ตัว พระเจ้าข้า” เรียกว่าฝีพายต้องก้มอยู่หลายครั้งตามคำสั่งของพระราชา

พระราชาจึงบอกให้ฝีพายนั่งอยู่ตรงนั้นแล้วเรียกมหาดเล็กมาหา พร้อมกับบอกให้ก้มไปดูว่ามีอะไรอยู่ตรงนั้น สิ้นคำสั่งพระราชามหาดเล็กจึงก้มลงไปสักอึดใจหนึ่งแล้วลุกขึ้นมาทูลให้ทราบว่า ใต้แคร่นั้นมีลูกหมาที่พึ่งคลอดอยู่ 4 ตัว ตัวเมีย 1 ตัว ตัวผู้ 3 ตัว มีสีนั้นสีนี้ เรียกว่ารายงานให้พระราชาทรงทราบในรายละเอียดที่เห็นจากการก้มเพียงครั้งเดียว พระราชาจึงพูดขึ้นว่า “คนเหมือนกัน” แล้วมองหน้าถามฝีพายกลับไปว่า “คิดว่าคนเหมือนกันหรือไม่”

นิทานเรื่องนี้สะท้อนว่าคนเราอย่างไรก็ไม่เหมือนกัน ฉะนั้นผลตอบแทนหรือค่าตอบแทนในการทำงานก็ควรไม่เหมือนกันด้วย เพราะคนเราไม่เหมือนกัน สติปัญญา ความสามารถมีไม่เท่ากัน หากนายจ้างจะขึ้นเงินเดือนให้ก็ต้องดูที่ความสามารถของแต่ละคน ดูที่ความขยัน ดูที่ความขี้เกียจของแต่ละคนในการพิจารณาขึ้นเงินเดือน

เพราะฉะนั้นการขึ้นเงินเดือนไม่ว่าจะตำแหน่งอะไร ทำงานอะไร อย่างไรก็ไม่สมควรขึ้นให้เท่ากัน คนงานที่วัดสวนแก้วบางคนให้ 50 บาท ยังไม่คุ้มเลย เพราะอู้ก็เก่ง หนีงานก็ที่หนึ่ง แล้วอย่างนี้จะให้เท่ากันได้อย่างไร ส.ส.-ส.ว. ก็ไม่ต่างกัน เวลาประชุมทำงานเพื่อบ้านเมืองก็มาบ้าง ไม่มาบ้าง บางคนไม่เคยมาเลยก็มี แล้วจะให้ขึ้นเท่ากันได้อย่างไร เป็นเรื่องสมควรหรือไม่

ถึงเวลาหรือยังที่การปรับขึ้นเงินเดือนในแต่ละครั้งควรให้โอกาสภาษีของประชาชนบ้าง ถ้าเป็นแรงงานภาคเอกชนก็ควรให้โอกาสเจ้าของกิจการบ้าง อาตมากล่าวอย่างนี้เพียงแค่ต้องการเตือนนายทุนทั้งหลายว่าถ้าแรงงานคนไหนทำงานให้คุณด้วยความทุ่มเท ทำให้บริษัท ห้างร้านของคุณก้าวหน้า ก็ควรให้โอกาสเขาด้วยเช่นกัน เขาจะได้ไม่รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจว่าเหนื่อยมาตั้งเยอะแต่ได้แค่นี้

ฉะนั้นแรงงานหรือนักการเมืองควรนำคำว่าดีมาคิดบ้าง เพราะถ้าดีไม่พอก็ไม่อยากจะขึ้นให้ แต่ถ้าดีพอก็ขึ้นให้แน่นอน จึงควรนำเรื่องเหล่านี้มาพิจารณากันบ้าง ไม่ว่าจะฝ่ายรัฐหรือเอกชน ไม่ใช่ใครขอมาก็ให้หมด มันจะพังกันไปทั้งประเทศ อยากให้ดูผลงานที่ทำด้วยว่าควรขึ้นให้หรือไม่ หรือว่าใกล้เลือกตั้งใครขออะไรก็ให้

เจริญพร

**********************************************************************

"แกนนำแดงในคุก"หวั่นแนวร่วมเข้าใจผิด คิดว่าก้มหัวให้รัฐบาล หลังมีข่าว"ธิดา-มาร์ค"หารือร่วมกัน

หลังการหารือระหว่างนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กับนางธิดา ถาวรเศรษฐ รักษาการประธาน นปช. และนายวีระ มุสิกพงศ์ อดีตประธาน นปช.เมื่อวันที่ 16 ธันวาคมที่ผ่านมา ก็มีปฏิกิริยาต่างๆ ออกมาจากคนเสื้อแดงภายในเรือนจำพิเศษ โดยแหล่งข่าวจากแกนนำคนเสื้อแดง เปิดเผยเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม ว่าแกนนำคนเสื้อแดงที่ถูกควบคุมตัวอยู่ในเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครได้รับรู้ข่าวการหารือกันแล้วต่างก็ตกใจ เพราะก่อนหน้านี้แกนนำคนเสื้อแดงที่ถูกควบคุมตัวอยู่ได้ตกลงกันว่าจะไม่มีการยอมเป็นฝ่ายเข้าพบนายอภิสิทธิ์ ก่อนเป็นอันขาด และจะยอมถูกควบคุมตัวจนกว่าจะได้รับการประกันตัวตามกฎหมาย นอกจากนี้ภาพข่าวที่ออกมาถูกสังคมมองว่า นางธิดาเป็นฝ่ายไปขอเจรจากับนายอภิสิทธิ์ ซึ่งสร้างผลกระทบด้านลบกับคนเสื้อแดงและแกนนำที่ถูกควบคุมตัว ทำให้แกนนำคนเสื้อแดงถูกมองว่า ถอดใจหลังถูกควบคุมตัวแล้ว

แหล่งข่าวจากแกนนำคนเสื้อแดง ระบุว่า นางธิดายังได้เล่าบรรยากาศในการหารือกับนายอภิสิทธิ์ ให้แกนนำคนเสื้อแดงและภรรยาแกนนำคนเสื้อแดงบางคนฟังว่า นายอภิสิทธิ์รับฟังข้อเรียกร้องให้รัฐบาลให้ความร่วมมือในการขอประกันตัวแกนนำคนเสื้อแดงเป็นอย่างดี และระหว่างการพูดคุยนายอภิสิทธิ์ได้โทรศัพท์สายตรงไปหานายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เพื่อสั่งการให้กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม เข้าไปดำเนินการพูดคุยกับแกนนำคนเสื้อแดง เพื่อดำเนินการอำนวยความสะดวกเรื่องการขอประกันตัว

"นายอภิสิทธิ์ได้กำกับนายพีระพันธุ์ไปว่า ให้กรมคุ้มครองสิทธิฯไปพิจารณาว่าแกนนำคนเสื้อแดงคนไหนมีทีท่าที่จะสามารถพูดคุยเรื่องการปรองดองได้ และไม่มีท่าทีที่จะใช้ความรุนแรงก็ให้ช่วยเหลือเรื่องประกันตัวออกมา" แหล่งข่าวอ้างคำพูดของนายอภิสิทธิ์ที่พูดคุยกับนางธิดา

ด้านนายวรวุฒิ วิชัยดิษฐ รักษาการโฆษก นปช. กล่าวว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นพวกตนไม่รู้เรื่องและนางธิดายืนยันว่าเป็นการพบกันโดยบังเอิญ ต้องยอมรับว่าสิ่งที่เกิดขึ้นได้สร้างคำถามให้กับมวลชนคนเสื้อแดง ในหลายพื้นที่เพราะทำให้สังคมมองว่าแกนนำคนเสื้อแดงที่อยู่ในเรือนจำเป็นฝ่ายยอม จนถึงขณะนี้ยังไม่รู้เลยว่าสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดเป็นแผนของรัฐบาลหรือไม่ แต่ได้ยืนยันไปว่าพวกตนไม่เคยยอมให้กับนายอภิสิทธิ์ และไม่เคยที่จะขอพบนายอภิสิทธิ์แม้แต่ครั้งเดียว หากนายอภิสิทธิ์ยังอยู่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี คนเสื้อแดงจะเดินหน้าขับไล่ต่อไป เพราะไม่เคยลืมว่านายอภิสิทธิ์มาจากค่ายทหาร

ที่มา.มติชน
*******************************************************

วารสารศาสตร์ข้อมูล: เราควรจะขอบคุณวิกิลีกส์ #wikileaks #opendata

(CNN) 30 ก.ค. 2553 – การโพสต์เอกสาร 92,000 ฉบับบนวิกิลีกส์ (WikiLeaks) เกี่ยวกับสงครามในอัฟกานิสถาน เป็นตัวแทนของการฉลองชัยของสิ่งที่ผมเรียกว่า “วารสารศาสตร์ข้อมูล” (data journalism)

แน่นอนว่ามันต้องมีแหล่งข่าวที่เป็นบุคคล ใครสักคนในที่ไหนสักแห่ง ส่งต่อข้อมูลเหล่านี้ไปยังเว็บไซต์วิกิลีกส์ แต่ไม่ว่าผู้แจ้งความไม่ชอบมาพากลคนนี้จะเป็นใคร มันก็ไม่ได้สำคัญเท่ากับว่า เนื้อหาของเอกสารเหล่านี้มันบอกอะไรกับเรา

ข้อมูลดิบดังกล่าว เป็นขุมทรัพย์ขนาดใหญ่สำหรับนักหนังสือพิมพ์ในสามสำนักข่าว – นิวยอร์กไทมส์ (New York Times สหัรฐอเมริกา), เดอะการ์เดียน (The Guardian สหราชอาณาจักร), และ แดร์ สปีเกล (Der Spiegel เยอรมนี) – ที่จะขุดค้นหาข่าวจากมัน อย่างไรก็ตาม ไม่ได้มีเฉพาะนักข่าวเหล่านั้นเท่านั้น บันทึกประจำวันจากสงครามอัฟกานิสถานนั้นอยู่บนอินเทอร์เน็ต ที่ใครก็เข้าไปขุดค้นสมบัติหาข้อมูลได้
เรื่องเหล่านี้จริง ๆ แล้วไม่ใช่เรื่องใหม่อะไร นักหนังสือพิมพ์ทำเรื่องเหล่านี้มานานแล้ว พวกเขาอ่านกองเอกสารทีละหน้าทีละหน้า เพื่อมองหาสิ่งผิดปกติ ข้อเท็จจริงเพียงหนึ่งหรือสองชิ้น ซึ่งจะนำไปสู่สกู๊ปสำคัญ

แต่ก็นั่นล่ะ เราต้องยอมรับว่า นักหนังสือพิมพ์ที่ทำงานดังที่กล่าวมา แทบจะไม่หลงเหลืออยู่แล้ว มันทั้งใช้เวลาและแรงงาน แล้วก็ไม่มีสีสันตื่นตาตื่นใจ มันไม่มีสเน่ห์ดึงดูด ด้วยแรงกดดันในองค์กรข่าวสมัยใหม่ ที่จำเป็นต้องทำงานให้มีประสิทธิภาพคุ้มราคา มันเป็นเรื่องยากที่บรรณาธิการข่าวจะอนุญาตให้นักข่าวใช้เวลามาก ๆ ไปกับกองเอกสารท่วมหัว

ความสำเร็จของ “วารสารศาสตร์ข้อมูล” หรือการทำข่าวจากข้อมูลดิบนั้นมักจะถูกลืม ตัวอย่างหนึ่งโดดเด่นก็คือ กรณีข่าวสืบสวนโดยหนังสือพิมพ์ซันเดย์ไทมส์ (Sunday Times) ที่ตามติดกรณียาระงับประสาทของบริษัทยาเยอรมันที่ถูกถอนออกจากตลาดในปี 1961 หลังจากพบว่ามีผลกระทบรุนแรงต่อทารก
ระหว่างการสืบสวนดังกล่าว ซันเดย์ไทมส์จ่ายเงินเพื่อซื้อเอกสารภายในจำนวนมากของบริษัทดังกล่าว และต้องแปลมันทั้งหมดเป็นภาษาอังกฤษ ซึ่ง ฟิลลิป ไนท์ลีย์ (Phillip Knightley) หนึ่งในทีมข่าวกล่าวว่าพวกเขาใช้เวลาเกือบหนึ่งปี ทำงานอย่างหนัก เพื่อทำความเข้าใจเอกสารเหล่านั้น

ถึงในปี 1968 จะยังเป็นสมัยที่ซันเดย์ไทมส์มีกำลังคนพร้อมเพรียง และยินดีที่จะจัดสรรทรัพยากรให้กับทีมนักข่าวสืบสวน ไนท์ลีย์ก็ยังบอกกับเราว่า คนก็ยังสงสัยอยู่ดี ว่ามันจะคุ้มค่าหรือ ที่จะทำข่าวที่ต้องใช้ทั้งเงินและเวลายาวนานขนาดนี้

แม้ในที่สุดข่าวสืบสวนชิ้นนี้จะประสบความสำเร็จ และนำไปสู่การจ่ายเงินชดเชยที่ดีขึ้นแก่ผู้เสียหาย แต่ดูเหมือนว่า ความสงสัยต่อความคุ้มค่าในการลงทุนทำ “วารสารศาสตร์ข้อมูล” ก็ยังคงฝังแน่นอยู่ในองค์กรข่าวส่วนใหญ่ของสหราชอาณาจักร โดยเฉพาะสำนักพิมพ์ที่กำลังจะตัดงบประมาณของกองบรรณาธิการ
แน่นอนว่า ข่าวสืบสวนคดีวอเตอร์เกต (Watergate) ในต้นทศวรรษ 1970 โดย Bob Woodward และ Carl Bernstein ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นสกู๊ปข่าวที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล นั้นมีความสำคัญ รายงานชิ้นดังกล่าวอาศัยแหล่งข่าวที่ปิดเป็นความลับ ที่รู้จักกันในชื่อ “Deep Throat” และตั้งแต่นั้นมา นักหนังสือพิมพ์ก็ตกเป็นทาสของแหล่งข่าวที่เปิดเผยไม่ได้เหล่านี้เสียเอง แต่ข่าวแบบนี้แหละที่มีสเน่ห์ดึงดูด

แหล่งข่าวที่เปิดเผยไม่ได้ ได้กลายเป็นวิถีชีวิตของวารสารศาสตร์สมัยใหม่ ผมเคยบอกกับนักศึกษาวารสารศาสตร์ของผมอย่างนั้นเสมอ ๆ แต่ตอนนี้ผมยอมรับแล้วว่า ผมให้ความสำคัญกับมันมากเกินไป จนให้ความสำคัญน้อยเกินไปกับการค้นหา อ่าน และวิเคราะห์ข้อมูลดิบ
ถ้าหนังสือพิมพ์นั้น เป็นร่างแรกของประวัติศาสตร์ อย่างที่เรานักหนังสือพิมพ์มักอ้างกัน เราก็ควรจะต้องทำงานให้ใกล้เคียงกับนักประวัติศาสตร์เสียหน่อย บรรดานักประวัติศาสตร์พยายามมองหาแหล่งข้อมูล
ชั้นต้น เพื่อที่จะสร้างความเข้าใจที่ดีขึ้นกับเหตุการณ์ในอดีต

สิ่งที่สำคัญมาก ๆ ของข้อมูลต่างๆ ในวิกิลีกส์นั้นคือ มันเป็นข้อมูลที่ทันสมัย มันทำให้นักหนังสือพิมพ์และสาธารณะเข้าใจชัดเจนขึ้น ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ในอัฟกานิสถาน ในแง่นี้ ข้อมูลเหล่านี้ที่ทุกคนเข้าไปอ่านได้ ช่วยมอบความเข้าใจที่มีค่ามหาศาลให้กับเรา

อย่างไรก็ตาม การโพสต์เอกสารขึ้นอินเทอร์เน็ตโดยตัวมันเองไม่ใช่การทำข่าว มันเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของกระบวนการข่าว มันยังต้องการการวิเคราะห์ วางบริบท และในบางกรณี การเซ็นเซอร์ที่จำเป็นเพื่อที่จะปกป้องปัจเจกบุคคลที่ถูกระบุในเอกสารดัง กล่าว

ผมทราบว่า นักข่าวอาชีพไม่ได้เป็นคนเพียงกลุ่มเดียวที่สามารถทำงานนี้ได้ แต่พวกเขาส่วนใหญ่ มีทักษะที่จำเป็นต่าง ๆ ดังกล่าว และมีความรู้ที่จะทำให้พวกเขาทำงานดังกล่าวได้ดี การรายงานโดย เดอะการ์เดียน และ นิวยอร์กไทมส์ แสดงให้เห็นอย่างชัดเจน

มันอาจจะไม่ได้นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงอะไรโดยทันที ไม่มีประธานาธิบดีต้องออกจากตำแหน่ง เหมือนกรณีวอเตอร์เกต แต่สิ่งที่ถูกทำให้ปรากฏจากเอกสาร คือการยืนยันสิ่งที่สื่อในสหราชอาณาจักรและสหรัฐอเมริกาสงสัยมาโดยตลอด เกี่ยวกับสถานการณ์ในอัฟกานิสถาน ว่ามันเลวร้ายและมีแต่จะแย่ลง ๆ นับตั้งแต่ปี 2004 มันตบหน้ารายงานประเมินอย่างเป็นทางการที่แสนสวยงาม

ข้อมูลดิบทั้งหมดดังกล่าวมานั้น เชื่อถือได้มากกว่า เพราะมันเป็นรายงานโดยทหารในสนามรบจริง ๆ ว่าพวกเขาพบเห็นและประสบอะไรบ้าง มันไม่มีการปั่นข่าว ตัวรายงานนั้นอาจไม่ได้เป็นวัตถุวิสัย – ซึ่งก็ไม่เคยมีอะไรที่เป็นเช่นนั้น – แต่รายงานเหล่านี้ก็ไม่ได้ถูกเขียนขึ้นเพื่อจะมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจทาง การเมือง

ใช่ เราอาจพูดได้ว่า การที่วิกิลีกส์โพสต์ข้อมูลอ่อนไหวดังกล่าวในพื้นที่สาธารณะ ในตัวมันเองนั้นก็ไม่ได้เป็นวัตถุวิสัยอยู่แล้ว แต่ผมขอสนับสนุนสิ่งที่ จูเลียน อัสซานจ์ (Julian Assange) หัวหน้าบรรณาธิการของวิกิลีกส์ เรียกร้องต่อองค์กรข่าวต่าง ๆ ให้เปิดเผยข้อมูลดิบออกสู่สาธารณะให้มากขึ้น

เขาเชื่อว่าการกระทำดังกล่าว จะทำให้กิจกรรมของงานข่าวโปร่งใสมากขึ้น ในการสัมภาษณ์เมื่อไม่นานนี้ เขายืนกรานว่า “วารสารศาสตร์ควรจะเป็นเหมือนวิทยาศาสตร์มากขึ้น” และเสริมว่า: “มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ข้อเท็จจริงต่าง ๆ จะต้องถูกตรวจสอบยืนยันได้ ถ้านักหนังสือพิมพ์ต้องการที่จะให้อาชีพของพวกเขามีความน่าเชื่อถือไว้วางใจ ได้มากขึ้น พวกเขาจำเป็นต้องเดินไปในทิศทางนั้น เคารพคนอ่านให้มากขึ้น”

โดยธรรมชาติของตัวมันเอง การทำข่าวจากแหล่งข่าวบุคคล (source journalism) ย่อมถูกปิดบังไม่ให้สาธารณะได้เห็น การทำข่าวจากข้อมูลดิบ (data journalism) นั้นเปิดเผยมากกว่า โดยเฉพาะเมื่อข้อมูลดิบนั้นถูกโพสต์ขึ้นอินเทอร์เน็ต เพราะในกรณีที่มีการวิเคราห์ข้อมูลชุดเดียวกันในแนวทางที่ต่างกัน ข้อมูลดิบเหล่านั้นมันอนุญาตให้สาธารณะตัดสินได้ว่าการวิเคราะห์อันไหนที่ น่าเชื่อถือกว่า

เรานักหนังสือพิมพ์ ควรจะต้องดีใจที่มีเว็บไซต์อย่างวิกิลีกส์อยู่ นั่นเพราะไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม หน้าที่ที่สำคัญที่สุดของเราก็คือการเปิดเผยข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับประโยชน์ สาธารณะ ที่คนที่มีความเชื่อเป็นอย่างอื่นต้องการจะเก็บมันเป็นความลับ

เว็บไซต์ดังกล่าวสมควรจะได้รับการสรรเสริญชื่นชมจากพวกเรา และมันจำเป็นจะต้องได้รับการปกป้องจากพลังฝ่ายขวา ที่หาทางจะหลีกเลี่ยงจากการถูกเปิดโปง

ที่มา.ประชาไท
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++