"ธิดา"เปิดใจฝากพี่น้องว่าการต่อสู้ของนปช. ไม่มีม้วนเดียวจบ มันมีจังหวะก้าว คุณไม่สามารถทำอะไรเกินความเป็นจริงได้
ผศ.ภญ.ธิดา ถาวรเศรษฐ์ รักษาการประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) กล่าวผ่านทีวีดาวเทียมช่อง Asiaupdate เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ด้วยความรู้สึกเป็นห่วงแนวความคิดที่ผิดในหมู่มวลสมาชิกคนเสื้อแดงทั้งประเทศ ความคิดที่ผิดนั้น มีทั้ง "ลัทธิสุ่มเสี่ยง" และ "ลัทธิยอมจำนน"
ด้วยเหตุนี้ "ธิดา" จึงอาสาเข้ามาจัดกระบวนทัพเสื้อแดง โดยเน้นเรื่อง "องค์ความรู้" หรือ "ติดอาวุธทางความคิด" ดังจะเห็นได้จากตอนหนึ่งของคำแถลงที่ห้างสรรพสินค้าอิมพีเรียล ลาดพร้าว
"นี่คือการยกระดับการต่อสู้ของประชาชน ด้วยองค์ความรู้ มิให้ลื่นไถลไปทางความคิดสุ่มเสี่ยง หรือความคิดยอมจำนนอย่างไร้หลักการ"
สิ่งที่ "ธิดา" ได้เปิดใจในวันนั้น สะท้อนว่า ขบวน นปช.แดงทั้งแผ่นดิน จะเคลื่อนไหวตามธรรมชาติแบบที่ "แกนนอน" สมบัติ งามบุญอนงค์ กำลังทำอยู่ คงเป็นไปไม่ได้แล้ว มันต้องมี "การจัดตั้ง" อย่างเป็นระบบ
จตุพร พรหมพันธุ์ ได้ทำการปรึกษาหารือกับแกนนำที่ติดคุกอยู่ รวมถึงแกนนำที่หลบหนีอยู่ในเขมร และลาว จึงได้ข้อสรุปออกมาว่า ต้องมีการเลือก "แกนนำ นปช.ชุดเฉพาะกิจ" ขึ้นมาโดยเร่งด่วน
ซึ่งผู้นำ นปช. ในสถานการณ์การต่อสู้ยืดเยื้อยาวนาน คงไม่มีเหมาะสมเท่ากับ "ธิดา" ครูใหญ่โรงเรียน นปช.
คนทั่วไปอาจคิดว่า "ธิดา" เป็นแค่ "เมียหมอเหวง" แต่ในกลุ่มคนเสื้อแดงรู้จักมักคุ้นกับบทบาท "นักวิชาการประจำ นปช." ของครูใหญ่คนนี้มานานแล้ว
ว่ากันว่า "ธิดา" ยังเป็นคนปั้น "เต้น" ณัฐวุฒิ ไสยเกื้อ จากนักจ้อแห่งสภาโจ๊ก ให้เป็น "ผู้ถ่ายทอด" ทฤษฎีว่าด้วยการต่อสู้ทางชนชั้น หรือเรื่องไพร่-อำมาตย์ ผ่านเวที นปช. ให้คนรากหญ้าได้เข้าใจด้วยภาษาง่ายๆ และกลายเป็น "ขวัญใจแม่ยก" คนเสื้อแดงไปโดยปริยาย
ฉะนั้น ยุทธวิธีของ นปช.ยุคแม่ทัพหญิงคือ ต่อสู้ด้วยภูมิความรู้และสติปัญญา โดยมีภาระหน้าที่สำคัญคือ
1.การรณรงค์เพื่อให้ปล่อยตัวแกนนำ มวลชนคนเสื้อแดง และผู้ถูกจับกุมคุมขังโดยมิชอบให้ได้รับอิสระภาพ การประกันตัวเพื่อดำเนินคดีอย่างมีนิติรัฐนิติธรรม
2.ช่วยเหลือเยียวยาผู้ถูกกระทำและครอบครัวตลอดจนการประกันตัวและต่อสู้คดี
3.เรียกร้องความยุติธรรมและการใช้กฎหมาย มาตรฐานเดียวกันและคำนึงถึงสิทธิมนุษยชนและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์
4.ยกระดับการต่อสู้ของประชาชนให้สูงขึ้นด้วยองค์ความรู้
การปรากฏตัวของครูใหญ่ธิดา ในฐานะประธาน นปช. ได้มีปฏิกิริยาจากคนเสื้อแดงบางกลุ่มทักท้วงว่า แนวทาง นปช.เปลี่ยนไปแล้วใช่ไหม? และภาระหน้าที่เป็นนโยบายหรือไม่?
อ.ธิดา จึงให้สัมภาษณ์ทีวีดาวเทียมช่องเอเชียอัพเดทเพิ่มเติมว่า "แนวทางนโยบาย นปช.ยังเหมือนเดิม คือเราทำงานแบบรวมหมู่ เรามีนโยบาย ยุทธศาสตร์ยุทธวิธีที่ผ่านการรับรอง และเปิดสอนในโรงเรียนมาตลอด พูดง่ายๆเรายังเหมือนเดิม"
ในวันแถลงข่าวที่อิมพีเรียล อ.ธิดา หยิบยกนโยบาย 2 ข้อจากนโยบายเฉพาะหน้าของ นปช. 6 ข้อคือ สร้างสรรค์ระบอบประชาธิปไตย ที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข และ ยึดแนวทางการต่อสู้สันติวิธี มาตอกย้ำให้รู้ว่า นปช.ยุคอดีตคอมมิวนิสต์ไทยเป็นผู้นำ ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ!
"เรายังไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ นอกจากจะจัดประชุมใหญ่อีกครั้งหนึ่ง การทำงานเฉพาะหน้า ไม่ว่าจะเป็นเรื่องยุทธวิธี หรือภาระหน้าที่ ให้สอดคล้องกับความเป็นจริง"
อ.ธิดารู้อยู่แก่ใจว่า คนเสื้อแดงบางกลุ่มไม่ค่อยพอใจนัก แต่จำเป็นต้องย้ำอีกหน
"ข้อที่ 1 สำคัญที่สุด เป้าหมายของเรา สร้างสรรค์ระบอบประชาธิปไตย เป้าหมายของเราคือร่วมกันเพื่อให้เกิดระบอบประชาธิปไตย ที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ที่อำนาจเป็นของปวงชนชาวไทยอย่างแท้จริง ฉะนั้นข้อนี้จะกล่าวหาว่าล้มเจ้าไม่ได้"
คนเสื้อแดงมักตกเป็นเป้าโจมตีว่า "ล้มเจ้า" อ.ธิดาก็ทราบดี จึงพยายามตักเตือนคนเหล่านั้นว่า "มีบางคนก็ไม่เห็นด้วย แต่เป็นคนส่วนน้อยนะ เช่นทำไมจะต้องห้อยยาวรุงรัง เราบอกว่านี่คือมตินะ คือคนบางส่วนชอบคิดในเชิงอัตวิสัยของตัวเอง...ความคิดฝันความใฝ่ฝันของคนมันมีได้ แต่ว่าบางครั้งมันไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง แล้วเราต้องรับผิดชอบคำพูดและการกระทำของเรา ว่าทำไปแล้ว มันเสียหายอย่างไร ต่อขบวน ไม่ใช่พูดเอามัน พูดไม่ต้องรับผิดชอบ มันต้องรับผิดชอบต่อขบวนด้วยนะ"
จุดอ่อนอีกประการหนึ่งของคนเสื้อแดงคือ การต่อสู้ด้วยความรุนแรง "การต่อสู้ของเรา ไม่ใช่การต่อสู้ด้วยอาวุธ เรายืนยันเรื่องนี้มาโดยตลอด มันจะเอาข้อหาก่อการร้ายมายัดเยียดให้เราไม่ได้ ในที่นี้ หนทางการต่อสู้ของเรา นอกจากจะไม่ใช้อาวุธแล้ว เราจะใช้องค์ความรู้ สติปัญญา เพื่อกดดันให้เขา เห็นคนเป็นคน เท่าเทียมกันให้ได้ เพราะนี่คือคำตอบเดียวของประเทศไทย ถ้าเห็นคนเป็นคนเท่าเทียมกัน มันแก้ปัญหาได้หมดทุกอย่างเลย"
ส่วนโรงเรียนการเมือง นปช.อันโด่งดัง และ ศอฉ.กำลังเฝ้าจับตามองอย่างใกล้ชิด อ.ธิดา ยืนยันว่า ต้องเปิดต่อแน่
"ในระยะยาวหากเป็นไปได้ เราจะรื้อฟื้นโรงเรียน นปช. ขึ้นมาอีกครั้ง และยืนยันว่าไม่ใช่โรงเรียนล้มเจ้าอย่างแน่นอน"
กล่าวโดยสรุป นปช.ยุค "ไม่ใช่แฟนทำแทนไม่ได้" ประธานคนใหม่ได้ชี้แนะไว้ชัดว่า ต้องกุมเข็มมุ่ง "2 ไม่" ให้มั่นคือ ไม่ล้มเจ้า และไม่ต่อสู้ด้วยอาวุธ
จากนี้ไปต้องจับตาดูว่า คนเสื้อแดงกลุ่มอื่นๆจะยึดกุมเข็มมุ่งนี้หรือไม่? เป็นสิ่งที่ท้าทายแม่ทัพหญิงคนใหม่อย่างน่าระทึกใจ
ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
--------------------------------------------------
วันจันทร์ที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2553
วิกิลี้คส์ ระบุ ฮิลลารี่ ชี้ว่าซาอุฯเป็นแหล่งทุนกลุ่มก่อการร้าย
เว็บไซท์วิกิลี้คส์ ซึ่งนำเอกสารลับทางการทูตของสหรัฐมาเผยแพร่ ระบุว่า นางฮิลลารี่ คลินตัน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐ เป็นแหล่งเงินทุนใหญ่ที่สุดในโลกของกลุ่มมุสลิมติดอาวุธ เช่น ตาลีบัน และลัชการ์ อี ไทบา แต่รัฐบาลทำอะไรไม่ได้ในการยับยั้งการไหลออกของเงินทุนเหล่านี้ ทั้งนี้จากเอกสารลับเมื่อเดือนธันวาคม 2552 ลงนามโดยนางคลินตันระบุว่า ยังมีสิ่งที่ต้องทำให้สำเร็จลุล่วง เพราะซาอุดิอาระเบียยังเป็นแหล่งสนับสนุนทางการเงินที่สำคัญ ของพวกอัล ไกดา , ตาลีบันและลัชการ์ อี ไทบ้า ซึ่งเอกสารลับฉบับนี้ส่งถึงบันถึงบรรดานักการทูตสหรัฐ เรียกร้องให้ใช้ความพยายามเป็นสองเท่า ในการขัดขวางไม่ให้เงินทุนจากซาอุดิอาระเบียถึงมือผู้ก่อการร้ายในปากีสถาน และอัฟกานิสถาน
เอกสารลับระบุอีกว่า ผู้บริจาคในซาอุดิอาระเบียเป็นแหล่งเงินทุนที่สำคัญที่สุดของกลุ่มก่อการร้ายมุสลิมนิกายสุหนี่ทั่วโลก ทั้งยังมีอีก 3 ประเทศอาหรับที่ถูกระบุว่าเป็นแหล่งเงินทุนของกลุ่มก่อการร้ายเช่นกัน ได้แก่ กาตาร์ , คูเวต และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ อันเป็นการเน้นให้เห็นปัจจัยที่ถูกละเลยในสงครามต่อต้านการก่อการร้ายที่ปากีสถาน และอัฟกานิสถานซึ่งก็คือ ความรุนแรงนี้ ส่วนหนึ่งมาจากการสนับสนุนทางการเงินของพวกผู้บริจาคที่ร่ำรวย และมีหัวอนุรักษ์นิยมในทะเลอาระเบียน ที่รัฐบาลขัดขวางแทบไม่ได้เลย
เอกสารลับยังระบุว่า กลุ่มลัชการ์ อี ไทบา ที่โจมตีนครมุมไบ ของอินเดีย เมื่อปี2551 อาศัยบริษัทในซาอุดิอาระเบียบังหน้า เพื่อระดมทุนเคลื่อนไหวมาตั้งแต่ปี 2548 และอาศัยการยักย้ายถ่ายเทเงินที่อ้างว่านำไปสร้างโรงเรียน ไปเป็นเงินทุนในปฏิบัติการก่อการร้าย และมักเกิดขึ้นในช่วงการประกอบพิธีฮัจญ์ เพราะทางการซาอุดิอาระเบียไม่สามารถปฏิเสธการเข้าประเทศในช่วงดังกล่าวได้ ทำให้กลุ่มลัชการ์ อี ไทบา ได้รับเงินทุนสนับสนุนตกปีละ 5.25 ล้านดอลล่าร์ หรือกว่า 150 ล้านบาท
สหรัฐตำหนิซาอุดิอาระเบียมานานแล้ว ที่ไม่ยอมห้ามการเคลื่อนไหวขององค์กรการกุศล 3 แห่งที่สหรัฐ ขึ้นบัญชีดำเป็นองค์กรก่อการร้าย และทั้ง 3 แห่ง ก็ยังส่งเงินไปสนับสนุนกลุ่มก่อการร้ายอย่างต่อเนื่อง แต่ก็มีความคืบหน้าอยู่บ้าง ในกรณีของอัล ไกดา ที่ความสามารถในการระดมทุนเสื่อมถอยลงไป นับตั้งแต่รัฐบาลกวาดล้างหนัก และทำให้อัล ไกดา อ่อนแอลง
ส่วนประเทศอื่นที่สร้างความปวดหัวให้สหรัฐ คือ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ หรือ UAE ซึ่งกลุ่มตาลีบันและหุ้นส่วนก่อการร้าย ต่างระดมเงินทุนผ่านทางธุรกิจใน UAE เพราะ UAE เป็นที่อยู่อาศัยของชาวปากีสถาน ที่เป็นปาชตุน หรือ ปาทาน จำนวน 1 ล้านคน และชาวอัฟกันอีก 150,000 คน ส่วนพวกที่ให้ทุน เป็นองค์กรอาชญากรรมที่ลักพาตัวนักธุรกิจปาชตุนและญาติ ๆ ในดูไบ ทำให้นักธุรกิจใน UAE ต้องหันไปพึ่งวิธีการซื้อตั๋วเครื่องบินในวันเดินทาง เพื่อป้องกันการถูกลักพาตัว
ด้านคูเวต ถูกระบุว่า เป็นทั้งแหล่งเงินทุนและจุดผ่านที่สำคัญของอัล ไกดา และกลุ่มติดอาวุธอื่น ๆ ขณะที่รัฐบาลดำเนินการเพียงแค่ป้องกันการโจมตีบนแผ่นดินของตนเอง แต่แทบจะไม่ดำเนินการใด ๆ ในการจัดการกับแหล่งเงินทุนและกลุ่มก่อการร้ายที่วางแผนโจมตีนอกประเทศ
ที่มา.เนชั่น
----------------------------------------------
เอกสารลับระบุอีกว่า ผู้บริจาคในซาอุดิอาระเบียเป็นแหล่งเงินทุนที่สำคัญที่สุดของกลุ่มก่อการร้ายมุสลิมนิกายสุหนี่ทั่วโลก ทั้งยังมีอีก 3 ประเทศอาหรับที่ถูกระบุว่าเป็นแหล่งเงินทุนของกลุ่มก่อการร้ายเช่นกัน ได้แก่ กาตาร์ , คูเวต และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ อันเป็นการเน้นให้เห็นปัจจัยที่ถูกละเลยในสงครามต่อต้านการก่อการร้ายที่ปากีสถาน และอัฟกานิสถานซึ่งก็คือ ความรุนแรงนี้ ส่วนหนึ่งมาจากการสนับสนุนทางการเงินของพวกผู้บริจาคที่ร่ำรวย และมีหัวอนุรักษ์นิยมในทะเลอาระเบียน ที่รัฐบาลขัดขวางแทบไม่ได้เลย
เอกสารลับยังระบุว่า กลุ่มลัชการ์ อี ไทบา ที่โจมตีนครมุมไบ ของอินเดีย เมื่อปี2551 อาศัยบริษัทในซาอุดิอาระเบียบังหน้า เพื่อระดมทุนเคลื่อนไหวมาตั้งแต่ปี 2548 และอาศัยการยักย้ายถ่ายเทเงินที่อ้างว่านำไปสร้างโรงเรียน ไปเป็นเงินทุนในปฏิบัติการก่อการร้าย และมักเกิดขึ้นในช่วงการประกอบพิธีฮัจญ์ เพราะทางการซาอุดิอาระเบียไม่สามารถปฏิเสธการเข้าประเทศในช่วงดังกล่าวได้ ทำให้กลุ่มลัชการ์ อี ไทบา ได้รับเงินทุนสนับสนุนตกปีละ 5.25 ล้านดอลล่าร์ หรือกว่า 150 ล้านบาท
สหรัฐตำหนิซาอุดิอาระเบียมานานแล้ว ที่ไม่ยอมห้ามการเคลื่อนไหวขององค์กรการกุศล 3 แห่งที่สหรัฐ ขึ้นบัญชีดำเป็นองค์กรก่อการร้าย และทั้ง 3 แห่ง ก็ยังส่งเงินไปสนับสนุนกลุ่มก่อการร้ายอย่างต่อเนื่อง แต่ก็มีความคืบหน้าอยู่บ้าง ในกรณีของอัล ไกดา ที่ความสามารถในการระดมทุนเสื่อมถอยลงไป นับตั้งแต่รัฐบาลกวาดล้างหนัก และทำให้อัล ไกดา อ่อนแอลง
ส่วนประเทศอื่นที่สร้างความปวดหัวให้สหรัฐ คือ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ หรือ UAE ซึ่งกลุ่มตาลีบันและหุ้นส่วนก่อการร้าย ต่างระดมเงินทุนผ่านทางธุรกิจใน UAE เพราะ UAE เป็นที่อยู่อาศัยของชาวปากีสถาน ที่เป็นปาชตุน หรือ ปาทาน จำนวน 1 ล้านคน และชาวอัฟกันอีก 150,000 คน ส่วนพวกที่ให้ทุน เป็นองค์กรอาชญากรรมที่ลักพาตัวนักธุรกิจปาชตุนและญาติ ๆ ในดูไบ ทำให้นักธุรกิจใน UAE ต้องหันไปพึ่งวิธีการซื้อตั๋วเครื่องบินในวันเดินทาง เพื่อป้องกันการถูกลักพาตัว
ด้านคูเวต ถูกระบุว่า เป็นทั้งแหล่งเงินทุนและจุดผ่านที่สำคัญของอัล ไกดา และกลุ่มติดอาวุธอื่น ๆ ขณะที่รัฐบาลดำเนินการเพียงแค่ป้องกันการโจมตีบนแผ่นดินของตนเอง แต่แทบจะไม่ดำเนินการใด ๆ ในการจัดการกับแหล่งเงินทุนและกลุ่มก่อการร้ายที่วางแผนโจมตีนอกประเทศ
ที่มา.เนชั่น
----------------------------------------------
"วิกิลีกส์" เขย่าวงการทูตสะเทือนโลก ถึงคิวแฉ "ความลับธุรกิจ" ภารกิจถัดไป
การแฉข้อมูลทางราชการของวิกิลีกส์เท่ากับส่งสัญญาณเตือนไปยังบริษัทยักษ์ใหญ่ว่า "คุณอาจเป็นรายต่อไป"
ประเด็นร้อนในช่วงสัปดาห์นี้หนีไม่พ้นกรณีที่ "วิกิลีกส์" (Wikileaks) เว็บไซต์จอมแฉออกมาเขย่าแวดวงการทูตด้วยการเปิดเผยเอกสารลับที่เรียกว่า "เคเบิล" หรือข้อมูลลับทางการทูตระหว่างสถานทูตสหรัฐที่อยู่ทั่วโลกกับกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐ ซึ่งรั่วไหลออกมาจากเครือข่ายคอมพิวเตอร์ภายในของกองทัพมะกัน
ข้อมูลที่ปรากฏสร้างความสั่นสะเทือนไปทั่วโลก เพราะได้เปลือยให้เห็นหลังฉากการทำงานด้านการทูตของสหรัฐ รวมถึงมุมมองแบบตรงไปตรงมาของบรรดานักการทูตอเมริกันที่มีต่อประเทศต่าง ๆ ทั้งมิตรและศัตรู ซึ่งบางครั้งก็ใช้ถ้อยคำแนวเสียดสีผู้นำของประเทศอื่น ไม่นับรวมคำสั่งที่ให้สอดแนมบุคคลระดับผู้นำและนักการทูต ซึ่งข้อมูลเหล่านี้สะท้อนถึงการดำเนินการของสหรัฐที่อาจกระทบต่อความสัมพันธ์กับประเทศอื่น ๆ
ด้านหนึ่งปรากฏการณ์นี้สะท้อนว่า "ความลับ" อาจไม่เป็นความลับในโลกยุคดิจิทัล ซึ่งประชาชนควรได้รู้ข้อมูลและการตัดสินใจด้านการต่างประเทศของรัฐบาล แต่อีกด้านหนึ่ง วิกิลีกส์อาจเป็นจุดเปลี่ยนวิถีทางการทูตไปจากเดิมที่ให้ความเห็นอย่างตรงไปตรงมา ซึ่งมีความจำเป็นต่อการทำงานด้านการทูตที่ต้องการการเปิดกว้างและเชื่อถือได้
"จูเลียน แอสเซนจ์" ผู้ก่อตั้งวิกิลีกส์นำเสนอข้อมูลลับที่ได้มาอย่างต่อเนื่อง โดยเริ่มจากการเปิดเผยการทำงานของกองทัพ ทั้งการเปิดปูมสงครามในอิรักและอัฟกานิสถาน จนมาถึงการแฉข้อมูลลับทางการทูต และล่าสุดมีข่าวว่าเว็บจอมแฉเตรียมจะเปิดโปงข้อมูลลับในภาคธุรกิจเป็นลำดับถัดไป
แอสเซนจ์กล่าวกับ "ฟอร์บส" ว่า เขาเตรียมจะแฉเอกสารของธนาคารยักษ์ใหญ่ของสหรัฐต้นปีหน้า ซึ่งจะให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับพฤติกรรมของบุคคลในระดับผู้บริหารของธนาคารที่จะนำไปสู่การตรวจสอบและปฏิรูป เหมือนที่เคยเกิดกับกรณีของ "เอนรอน" ยักษ์พลังงานที่ล้มไปแล้วจากการฉ้อโกงของผู้บริหาร
หลายธนาคารหนาว ๆ ร้อน ๆ กับคำสัมภาษณ์ของแอสเซนจ์ที่ออกมา ขณะที่หุ้นของ "แบงก์ออฟอเมริกา" ร่วงลงกว่า 3% เพราะนักลงทุนคาดการณ์ว่าธนาคารแห่งนี้อาจเป็นเป้าหมายของวิกิลีกส์ เนื่องจากเมื่อปีที่แล้วแอสเซนจ์เคยกล่าวว่า เขามีข้อมูลที่ได้จากฮาร์ดไดรฟ์ของผู้บริหารแบงก์ออฟอเมริกา
ขณะที่ "เอพี" ระบุว่า การแฉข้อมูลทางราชการของวิกิลีกส์เท่ากับส่งสัญญาณเตือนไปยังบริษัทยักษ์ใหญ่ว่า "คุณอาจเป็นรายต่อไป"
นอกจากนี้การกระทำของวิกิลีกส์ได้จุดให้เกิดความเร่งด่วนสำหรับบริษัทในการจัดหาระบบความปลอดภัยด้านข้อมูล รวมถึงจำกัดการเข้าถึงข้อมูลของคนภายในองค์กรซึ่งอาจนำข้อมูลไปปูดเมื่อเกิดความไม่พอใจ
โดยความเสี่ยงของบริษัท ได้แก่ ข้อมูลความลับที่อยู่ภายในองค์กร อาทิ อีเมล์ เอกสารต่าง ๆ ฐานข้อมูล และอินทราเน็ต ซึ่งบริษัทคิดว่าได้ล็อกไม่ให้รั่วออกไปภายนอกแล้ว บริษัทจึงเก็บข้อมูลการตัดสินใจต่าง ๆ ทั้งการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ ความสนใจที่จะควบรวมกิจการ กลยุทธ์ที่จะต่อกรกับคู่แข่ง หรือการให้ผู้บริหารขายหุ้น
บริษัทมีทางเลือกที่จะปกป้องความลับทางธุรกิจเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นการกำหนดเซิร์ฟเวอร์ในการส่งอีเมล์เพื่อจำกัดวงผู้ที่สามารถส่งเอกสารได้ การห้ามคัดลอกเอกสาร บล็อกการดาวน์โหลดลงซีดี-รอม และธัมบ์ไดรฟ์ รวมถึงเทคโนโลยีที่ตรวจสอบว่าข้อความในอีเมล์ของผู้บริหารถูกเช็กบ่อยครั้งเกินไปหรือไม่ แต่การปิดกั้นการเข้าถึงข้อมูลก็อาจส่งผลต่อขีดความสามารถในการผลิตที่ลดลงและต้นทุนที่เพิ่มขึ้นของบริษัท
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
************************************************************************
ประเด็นร้อนในช่วงสัปดาห์นี้หนีไม่พ้นกรณีที่ "วิกิลีกส์" (Wikileaks) เว็บไซต์จอมแฉออกมาเขย่าแวดวงการทูตด้วยการเปิดเผยเอกสารลับที่เรียกว่า "เคเบิล" หรือข้อมูลลับทางการทูตระหว่างสถานทูตสหรัฐที่อยู่ทั่วโลกกับกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐ ซึ่งรั่วไหลออกมาจากเครือข่ายคอมพิวเตอร์ภายในของกองทัพมะกัน
ข้อมูลที่ปรากฏสร้างความสั่นสะเทือนไปทั่วโลก เพราะได้เปลือยให้เห็นหลังฉากการทำงานด้านการทูตของสหรัฐ รวมถึงมุมมองแบบตรงไปตรงมาของบรรดานักการทูตอเมริกันที่มีต่อประเทศต่าง ๆ ทั้งมิตรและศัตรู ซึ่งบางครั้งก็ใช้ถ้อยคำแนวเสียดสีผู้นำของประเทศอื่น ไม่นับรวมคำสั่งที่ให้สอดแนมบุคคลระดับผู้นำและนักการทูต ซึ่งข้อมูลเหล่านี้สะท้อนถึงการดำเนินการของสหรัฐที่อาจกระทบต่อความสัมพันธ์กับประเทศอื่น ๆ
ด้านหนึ่งปรากฏการณ์นี้สะท้อนว่า "ความลับ" อาจไม่เป็นความลับในโลกยุคดิจิทัล ซึ่งประชาชนควรได้รู้ข้อมูลและการตัดสินใจด้านการต่างประเทศของรัฐบาล แต่อีกด้านหนึ่ง วิกิลีกส์อาจเป็นจุดเปลี่ยนวิถีทางการทูตไปจากเดิมที่ให้ความเห็นอย่างตรงไปตรงมา ซึ่งมีความจำเป็นต่อการทำงานด้านการทูตที่ต้องการการเปิดกว้างและเชื่อถือได้
"จูเลียน แอสเซนจ์" ผู้ก่อตั้งวิกิลีกส์นำเสนอข้อมูลลับที่ได้มาอย่างต่อเนื่อง โดยเริ่มจากการเปิดเผยการทำงานของกองทัพ ทั้งการเปิดปูมสงครามในอิรักและอัฟกานิสถาน จนมาถึงการแฉข้อมูลลับทางการทูต และล่าสุดมีข่าวว่าเว็บจอมแฉเตรียมจะเปิดโปงข้อมูลลับในภาคธุรกิจเป็นลำดับถัดไป
แอสเซนจ์กล่าวกับ "ฟอร์บส" ว่า เขาเตรียมจะแฉเอกสารของธนาคารยักษ์ใหญ่ของสหรัฐต้นปีหน้า ซึ่งจะให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับพฤติกรรมของบุคคลในระดับผู้บริหารของธนาคารที่จะนำไปสู่การตรวจสอบและปฏิรูป เหมือนที่เคยเกิดกับกรณีของ "เอนรอน" ยักษ์พลังงานที่ล้มไปแล้วจากการฉ้อโกงของผู้บริหาร
หลายธนาคารหนาว ๆ ร้อน ๆ กับคำสัมภาษณ์ของแอสเซนจ์ที่ออกมา ขณะที่หุ้นของ "แบงก์ออฟอเมริกา" ร่วงลงกว่า 3% เพราะนักลงทุนคาดการณ์ว่าธนาคารแห่งนี้อาจเป็นเป้าหมายของวิกิลีกส์ เนื่องจากเมื่อปีที่แล้วแอสเซนจ์เคยกล่าวว่า เขามีข้อมูลที่ได้จากฮาร์ดไดรฟ์ของผู้บริหารแบงก์ออฟอเมริกา
ขณะที่ "เอพี" ระบุว่า การแฉข้อมูลทางราชการของวิกิลีกส์เท่ากับส่งสัญญาณเตือนไปยังบริษัทยักษ์ใหญ่ว่า "คุณอาจเป็นรายต่อไป"
นอกจากนี้การกระทำของวิกิลีกส์ได้จุดให้เกิดความเร่งด่วนสำหรับบริษัทในการจัดหาระบบความปลอดภัยด้านข้อมูล รวมถึงจำกัดการเข้าถึงข้อมูลของคนภายในองค์กรซึ่งอาจนำข้อมูลไปปูดเมื่อเกิดความไม่พอใจ
โดยความเสี่ยงของบริษัท ได้แก่ ข้อมูลความลับที่อยู่ภายในองค์กร อาทิ อีเมล์ เอกสารต่าง ๆ ฐานข้อมูล และอินทราเน็ต ซึ่งบริษัทคิดว่าได้ล็อกไม่ให้รั่วออกไปภายนอกแล้ว บริษัทจึงเก็บข้อมูลการตัดสินใจต่าง ๆ ทั้งการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ ความสนใจที่จะควบรวมกิจการ กลยุทธ์ที่จะต่อกรกับคู่แข่ง หรือการให้ผู้บริหารขายหุ้น
บริษัทมีทางเลือกที่จะปกป้องความลับทางธุรกิจเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นการกำหนดเซิร์ฟเวอร์ในการส่งอีเมล์เพื่อจำกัดวงผู้ที่สามารถส่งเอกสารได้ การห้ามคัดลอกเอกสาร บล็อกการดาวน์โหลดลงซีดี-รอม และธัมบ์ไดรฟ์ รวมถึงเทคโนโลยีที่ตรวจสอบว่าข้อความในอีเมล์ของผู้บริหารถูกเช็กบ่อยครั้งเกินไปหรือไม่ แต่การปิดกั้นการเข้าถึงข้อมูลก็อาจส่งผลต่อขีดความสามารถในการผลิตที่ลดลงและต้นทุนที่เพิ่มขึ้นของบริษัท
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
************************************************************************
“สดศรี”เลิกทน ชน ปชป.!
“ดอกไม้เหล็กแห่ง กกต.”ของขึ้น!!
ปิดตำนาน “ศรีทนได้”!!
ถึงวันนี้ โฆษณา “ศรีทนได้” น่าจะใช้ไม่ได้สำหรับการเมืองไทยยุค อะไรก็เกิดขึ้นได้ภายใต้รัฐบาลมาร์ค ที่มี”ของแข็ง” คอยหนุนอยู่เบื้องหลัง
แม้ศาลรัฐธรรมนูญจะยกคำร้องไม่ยุบพรรคประชาธิปัตย์ ด้วยเหตุผลที่เหมือน”เส้นผมบังภูเขา แต่สงครามความคิดของคนที่เกี่ยวข้องและไม่เกี่ยวอะไรด้วย,,,,มันก็ไม่จบ!!
หนึ่งในจำนวนนั้น คือ กกต.ที่ชื่อ สดศรี สัตยธรรม ซึ่งออกมา”ชนดะ” กับประดาบิ๊ก ปชป. อันเป็นที่มาของ”หัวข่าว” ศรีเลิกทน หรือ”ศรีทนไม่ได้” ในวันนี้
เริ่มเปิดฉาก ....นิยายบู๊แนวชีวิตมีว่า....
เล่นกับใครอาจจะง่าย เพราะตลอดมานายชวน หลีกภัย ประธานที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์
ถูกยกให้เป็นมือวางอันดับ 1 ตลอดกาลของพรรคประชาธิปัตย์ไปแล้ว ในเรื่องของการใช้วาจาเชือดเฉือนคน จนเคยได้รับฉายาว่า “ใบมีดโกนอาบน้ำผึ้ง”
นายชวนถือเป็นไอดอลของคน ปชป. หลายคน แม้แต่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ก็ถือเป็นลูกศิษย์ก้นกุฏิ ที่ลอกเลียนแบบนายชวนมาทั้งดุ้น!!!
เพียงแต่ระยะหลัง พัฒนาการทาง DNA ปชป. มีปัญหา เนื่องจากติดเชื้อขั้วอำนาจพิเศษอย่างรุนแรง ทำให้เกิดการกลายพันธุ์ หลายคนก็เลยกลายเป็นแค่ “นายกองร้องด่าท้าทาย” ได้แค่นั้นจริงๆ ไม่ว่าจะเอาตำแหน่งอะไรมาสวมหัวโขนให้ก็ตาม
รวมทั้งแม้แต่นายชวน ต้นแบบเอง ระยะหลังๆ ด้วยความที่ต้องปกป้องพรรค ปชป. สุดชีวิต ก็เลยแกว่งไปเหมือนกัน พูดอะไรก็ทำให้สังคมตะลึง ว่านี่หรืออดีตนักการเมืองคุณภาพ???
แต่แน่นอนว่าไม่ว่าอย่างไร ชื่อชั้นบารมีของนายหัวชวน ยังคงขายได้ และเป็นเหมือนเกราะเหล็กผนังทองแดงให้กับนายอภิสิทธิ์ และพรรค ปชป. ได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะในศึกคดียุบพรรค ปชป. ที่ผ่านมา นายชวนทุ่มเทเกินร้อย เพียงเพื่อทำอย่างไรก็ได้ ขอเพียงแค่ไม่ให้พรรค ปชป. ถูกยุบเป็นพอ
ขนาดแถลงปิดคดีความผิดกรณีใช้เงินกองทุนการเมือง 29 ล้านบาทผิดวัตถุประสงค์ ที่ลุยแหลกเหมือนการอภิปรายในสภาเป็นชั่วโมงๆ จนงงกันทั้งสังคม ว่าเป้นการแถลงปิดคดีจริงๆหรือ
ยิ่งเมื่อตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ มีมติ 4 ต่อ 2 ให้ยกคำร้อง ชนิดที่สังคมทำตาปริบๆ เพราะในแง่ของข้อยุติทางคดี ก็ต้องยอมรับในอำนาจวินิจฉัยของตุลาการรัฐธรรมนูญ ว่าจบแค่นี้ก็คือจบแค่นี้
แต่ในแง่ของความรู้สึกของคนในสังคมนั้นช่วยไม่ได้ หากจะมองว่า ขั้วอำนาจพิเศษแหงๆ และ 2 มาตรฐานชัดเจนอีกแล้ว
จนกลายเป็นผลกระทบกับ ทั้งพรรค ปชป. ทั้งตุลาการรัฐธรรมนูญ และทั้งคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)
กระแทกกันอุตลุด เพื่อเบี่ยงหนีว่า การยกคำร้อง ไม่ต้องยุบพรรคปชป.เที่ยวนี้ ใครควรจะต้องเป็นหน่วยงานที่ต้องแสดงความรับผิดชอบ
งานนี้ กกต. ดูจะโดดเดี่ยวที่สุด เพราะ ปชป. กับ ตุลาการรัฐธรรมนูญ ดูจะขานรับกันเป็นลูกระนาด เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยได้ดีที่สุด
แต่เมื่อต้อนกันมากไป กกต.หลายคน ก็ทนไม่ไหวเหมือนกัน โดยเฉพาะนางสดศรี สัตยธรรม เจ้าของฉายา “ดอกไม้เหล็กแห่ง กกต.”
พยายามออกมายืนยันหลายรอบแล้ว แต่เมื่ออีกฝ่ายต้องการเบี่ยงเบนให้เป็นภาระรับผิดชอบของ กกต.ให้ได้ ก็ทำให้ กกต. หลายคนชักจะเริ่มทนไม่ไหว เพราะใครจะใจเย็นเป็นน้ำ เรื่อยๆเอื่อยๆได้เหมือนนายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธาน กกต.
ยิ่งเมื่อนายชวนออกมาระบุทำนองว่า นางสดศรีให้สัมภาษณ์ว่าถูกเสื้อแดงกดดันทำให้ต้องยุบพรรคประชาธิปัตย์
เท่านั้นก็ได้เรื่อง เพราะนางสดศรี สัตยธรรม กกต.ด้านกิจการพรรคการเมือง เลือกที่จะไม่ทนอีกแล้ว ถึงขนาดเดินตรงมายังห้องสื่อมวลชนก่อนที่จะร่วมพิธีถวายสัตย์ได้ร่วมปฏิญาณตนเป็นข้าราชการที่ดีและร้องเพลงสดุดีมหาราชา เนื่องในวันเฉลิมพระชนพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
เจตนาเพื่อชี้แจงข่าวที่นายชวนพาดพิงทันทีว่าไม่เคยพูดในลักษณะนั้น !!!
หากนายชวนมีเทปหรือมีหลักฐานก็ขอให้นำออกมาเผยแพร่
“เพราะคนดีๆ ที่มีสมอง ไม่วิกลจริตไม่มีทางที่จะพูดแบบนั้นแน่นอน”นายสดศรีกล่าว
พร้อมกับระบุด้วยว่า เรื่องการยุบพรรคจะต้องเป็นความเห็นของนายทะเบียนเท่านั้น กกต. 4 คนไม่มีอำนาจไปยุบพรรคได้ เพราะเป็นอำนาจของนายทะเบียน เรื่องนี้เป็นการกล่าวร้าย ในความเป็นจริงตนไม่เคยพูดแบบนั้น
นายชวนเป็นถึงอดีตนายกรัฐมนตรี ผู้ใหญ่ของบ้านเมือง ดังนั้น การที่จะพูดอะไรออกมาต้องมีหลักฐาน
“ถามว่า กกต.ตัวเล็กๆ จะเอาอะไรไปยุบพรรคการเมืองท่านได้ ถ้านายทะเบียนไม่ทำความเห็นมาให้ยุบ เรื่องนี้ควรจบได้แล้ว เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นการตีความข้อกฎหมาย เราไม่ได้เป็นศัตรูกับพรรคการเมือง หากไม่มีการร้องเรียนเข้ามาเราก็ไม่ทำ แต่เมื่อมีการร้องเข้ามาเราก็ต้องทำตามหน้าที่”นางสดศรี กล่าว
ส่วนกรณีให้นายทะเบียนพรรคการเมืองทำความเห็นส่งคดียุบพรรคประชาธิปัตย์จากข้อกล่าวหาเงิน 29 ล้านบาทซ้ำหรือไม่นั้น นางสดศรี กล่าวว่า การจะฟ้องซ้ำได้ ก็ต้องเป็นหน้าที่ของนายทะเบียนพรรคการเมืองเท่านั้น!!!
โดยส่วนตัวไม่มีความเห็นใดๆ เพราะขึ้นอยู่กับนายอภิชาต ประธาน กกต. ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมืองว่าจะฟ้องหรือไม่
ดังนั้นเรื่องนี้ขอให้ไปถามนายอภิชาตเอง
งานนี้ประกาศศักดิ์ศรี กกต.หญิง หนึ่งเดียวในคณะกรรมการการเลือกตั้งชุดปัจจุบันให้เป็นที่ประจักษ์ ว่า“เจ๊สด” ของน้องๆนักข่าวนั้น บทจะ ดื้อ บทจะดุ ขึ้นมาแล้ว อะไรก็เอาไม่อยู่ แม้แต่อดีตนายกรัฐมนตรีก็เถอะ
ซึ่งเชื่อว่างานนนี้นายชวนก็คงจะเลือกพลิ้ว ว่าผมเป็นผู้ใหญ่ ผมไม่คิดจะไปรังแกใครหรอก เป็นการเข้าใจผิดกันมากกว่า แล้วก็โยนกลองไปให้สื่อมวลชนตามฟอร์ม
เพราะขืนลุยต่อหรือสวนกลับ ก็จะเสียผู้ใหญ่เท่านั้น
แต่งานนี้ต้องยอมรับว่า นางสดศรีนั้นกล้าจริง!!!
แต่อย่างว่าเส้นทางของนางสดศรีนั้นธรรมดาที่ไหน จากอดีตผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา ก้าวมาสู่วงการเมืองในฐานะหนึ่งในคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ พุทธศักราช 2550 และกรรมการการเลือกตั้ง
ซ้ำยังมีบุคลิกนิสัยที่ชัดเจนตรงไปตรงมา อีกทั้งปากไวให้ สัมภาษณ์แสดงความคิดเห็นประเด็นร้อนๆ ที่อาจจะไม่โดนใจใครหลายๆคน ในหลายกรณีจึงกลายเป็นเป้าที่ถูกกระหน่ำทั้งซ้ายและขวา!!!
นางสดศรี ถือว่ามีสายเลือดนักกฎหมายอยู่ในตัวมาตั้งแต่เกิด เพราะมีคุณพ่อเป็นนักกฎหมาย แถมพี่ชายก็เป็นนักกฎหมายด้วย ที่สำคัญตัวเองก็จบปริญญาตรีจากคณะนิติศาสตร์ จุฬาฯ
“คุณพ่อและพี่ชายเป็นนักกฎหมาย แต่ตอนเด็กๆไม่ค่อยสนใจนะ เพียงแต่รู้ว่าตัวเองชอบเห็นความยุติธรรม เวลาเห็นอะไรไม่ยุติธรรม จะไม่ยอม ต้องแก้ให้ถูกต้อง ตอนอยู่กระทรวงยุติธรรม ก็เป็นหัวโจกร้องเรียนทุกเรื่อง เราเป็นผู้พิพากษาให้ความเป็นธรรมแก่ประชาชน ถ้าผู้พิพากษาไม่ได้รับความเป็นธรรม แล้วจะเรียกร้องกับใครได้ ความยุติธรรมต้องมีให้กับทุกคน”นางสดศรีเคยให้สัมภาษณ์เอาไว้
รวมถึงเรื่องในอนาคต คิดอยากเล่นการเมืองบ้างหรือไม่ นางสดศรีบอกไว้ชัดว่า ไม่เคยคิดเลย
“อยู่อย่างนี้ดีแล้ว อยากกลับไปวงการเดิม เพราะวงการศาลเป็นวงการที่สงบ ถึงไม่ดัง ไม่มีใครรู้จัก แต่เป็นที่ที่เราสงบ และปลอดภัยดี อยู่ที่นี่เหมือนอยู่ในป่า ไม่รู้ว่าจะโดนอะไรแค่ไหน ต้องระมัดระวังทุกฝีก้าว”
ดูแล้วก็เชื่อว่า ยิ่งคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ ออกมาให้สังคมวิพากษ์วิจารณ์กันสนั่นแบบนี้ และมีความพยายามที่จะหาแพะให้มาเป็นจำเลยสังคมแบบนี้ กกต.ก็คงต้องเหนื่อยอีกมาก
และนางสดศรี ก็คงต้องยิ่งระมัดระวังตัวทุกฝีก้าวให้มากกว่าเดิม
เพราะ ปชป.นั้นธรรมดาที่ไหน!?!
ที่มา.บางกอกทูเดย์
วิเคราะห์เกมคดีเงินบริจาค258ล.
คดีร้องยุบพรรคประชาธิปัตย์กรณีใช้จ่ายเงินกองทุนสนับสนุนพรรคการเมือง 29 ล้านบาทผิดวัตถุประสงค์ จบลงไปท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ตามมามากมาย
ส่งผลให้คดีพรรคประชาธิปัตย์รับเงินบริจาค 258 ล้านบาทจากบริษัท ทีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน) ผ่านบริษัท เมซไซอะ บิซิเนส แอนด์ คลีเอชั่น จำกัด ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญนัดพร้อมคู่ความในวันที่ 9 ธ.ค.นี้
เป็นที่จับตามองจากสังคมมากยิ่งขึ้น ว่าจะลงเอยในแบบเดียวกับคดี 29 ล้านบาท ที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัย 4 ต่อ 2 เสียงให้ยกคำร้อง
เนื่องจากข้อผิดพลาดทางเทคนิค 2 ข้อ คือ นายทะเบียนพรรคการเมืองยังไม่มีความเห็นว่ามีการกระทำความผิดและควรให้ยุบพรรค และเรื่องของการขาดอายุความ
นักวิชาการด้านกฎหมายที่ติดตามคดีนี้มาอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งอัยการผู้ทำคดีได้วิเคราะห์ไว้น่าสนใจ ดังนี้
สมชาย ปรีชาศิลปกุล
อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
ไม่รู้ว่าการตัดสินคดีการรับเงินบริจาคของพรรคประ ชาธิปัตย์ 258 ล้านบาท จะออกมารูปไหน เพราะการปฏิบัติหรือการอธิบายคดีสามารถออกอะไรก็ได้ไม่รู้จะคาดเดาอย่างไร
ที่ผ่านมาเกิดการตั้งคำถามว่าใช้หลักการอะไร ดูเหมือนว่าค้น หาหลักการได้ยากมาก การต่อสู้ของพรรคประชาธิปัตย์ด้วยประ เด็นว่านายทะเบียนพรรคการเมืองยังไม่มีความเห็นในคดี จึงเป็นไปได้ หรือเป็นไปไม่ได้ก็ได้ ไม่สามารถคาดเดาในทางวิชาการได้
อยู่ในภาวะที่เราไม่สามารถใช้มาตรฐานหรือเหตุผลทางวิชาการเข้าไปจับ มันอาจจะออกมาในรูปอื่นๆ ก็เป็นไปได้
ในหลักกฎหมายถ้าพรรคประชาธิปัตย์จะสู้ว่านายทะเบียนพรรคการเมืองยังไม่มีความเห็นในคดีนี้ เช่นเดียวกับคดีเงินกองทุนฯ 29 ล้านบาท
ศาลรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นศาลไต่สวน ถ้าประเด็นไหนไม่ชัดเจน ศาลฯ น่าจะเรียกข้อมูลข้อเท็จจริงมาดูให้มากขึ้น บางเรื่องถ้าไม่ใช่ประเด็นสำคัญในการพิจารณาคดี เช่น เรื่องระยะเวลาในการสั่งฟ้องก็มีสิทธิพิจารณาประเด็นหลักของคดีได้
โดยหลักการแล้วศาลรัฐธรรมนูญไม่ใช่ศาลยุติธรรม เรื่องระยะเวลาไม่จำเป็นต้องถือเคร่งครัด เพียงแต่กำชับให้เจ้าหน้าที่รัฐดำเนินการตาม
พอได้อ่านคำพิพากษาแล้ว ผมพบว่าเมื่อพิจารณาร่วมกับหลายคดี บางคดีมีการตีความอย่างเคร่งครัด แต่บางคดีตีความอย่างกว้างขวาง
เลยไม่รู้ ไม่กล้าคาดเดาอะไรทั้งสิ้น
วัยวุฒิ หล่อตระกูล
รองอัยการสูงสุด คณะทำงานอัยการ
ชุดพิจารณาสำนวนคดี 258 ล้านบาท
คดีดังกล่าวนายทะเบียนพรรคการ เมืองยื่นเรื่องมาที่อัยการสูงสุดเพื่อยุบพรรคประชาธิปัตย์
ซึ่งคณะทำงานของอัยการได้ปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมายที่ให้อำนาจพิจารณาและตั้งคณะทำงานเพื่อสรุปความเห็นยื่นภายใน 30 วัน
ยืนยันว่าได้ทำงานตามกรอบระยะเวลาที่กำหนดทุกอย่าง แต่ถ้าหากจะมีใครเอาคดีเงิน 29 ล้านบาทที่ศาลรัฐธรรมนูญยกคำร้องไปแล้วมาเทียบเคียง
คิดว่าข้อเท็จจริงคนละเรื่องกัน ต่างกรรมต่างวาระกัน การต่อสู้คนละแนวทางกัน ตัวบทกฎหมายก็ใช้ต่อสู้กันคนละมาตรา คือในคดี 29 ล้านเขาสู้ในมาตรา 93 แต่คดีเงินบริจาค 258 ล้านบาทสู้ในมาตรา 95-96
การทำงานของคณะทำงานอัยการเรามั่นใจว่าทำตามขั้นตอนกฎหมายที่วางไว้ แต่ถ้าใครเอาคดี 29 ล้านมาเทียบเคียงก็เป็นสิทธิ์ของเขา
แต่ทั้งหมดทั้งมวลกระบวนการตัดสินและคำวินิจฉัยอยู่ที่ศาลรัฐธรรมนูญจะเป็นผู้พิจารณา ผมไม่ทราบเหมือนกันว่าทิศทางของคดีนี้จะออกมาในรูปแบบไหน
ส่วนที่มีนักวิชาการเป็นห่วงในประเด็นที่เป็นจุดอ่อน ของ คดี 29 ล้านที่ยังไม่มีความเห็นของนายทะเบียนพรรคการเมืองว่าจะยุบพรรคหรือไม่ แต่ส่งเรื่องไปให้ศาลรัฐธรรมนูญตัดสิน และนำมาสู่การยกฟ้องในคดีดังกล่าว อาจเป็นช่องโหว่ในคดี 258 ล้านด้วยหรือไม่นั้น
ผมมองว่าคดี 258 ล้านน่าจะมีมติของนายทะเบียนฯ และ กกต.ออกมาแล้วว่าจะยุบพรรคประชาธิปัตย์
แต่ถ้าหากประเด็นนี้มีความผิดพลาดอีก นายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธาน กกต.ในฐานะนายทะเบียนพรรคการ เมือง ต้องเป็นผู้อธิบายกับสังคมให้ทราบเองว่าความผิดพลาดนั้นมาจากอะไร
ในวันที่ 9 ธ.ค. ทางศาลรัฐธรรมนูญได้นัดพร้อมคู่ความในคดีดังกล่าว โดยเราได้เตรียมข้อมูลไว้เรียบร้อยแล้ว แต่หากศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัยหรือตัดสินคดีเลยก็เป็นเรื่องของศาลรัฐธรรมนูญ
เราต้องรอดูกันในวันนั้น
คมสัน โพธิ์คง
อาจารย์คณะนิติศาสตร์
มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช
การที่ศาลรัฐธรรมนูญยกคำร้องคดียุบพรรคประชาธิปัตย์กรณีใช้จ่ายเงินกองทุนสนับสนุนพรรคการเมือง 29 ล้านบาท ผิดวัตถุประสงค์ หลายส่วนยังเข้าใจคลาดเคลื่อนอยู่พอสมควร
การยกคำร้องคดีนี้ไม่ใช่เพราะยื่นคำร้องเกินกำหนด 15 วันเท่านั้น
กกต.ไปวินิจฉัยโดยที่นายทะเบียนพรรคการเมืองยังไม่วินิจฉัยเรื่องนี้ตามเงื่อนไข มาตรา 93
ส่วนคดีเงินบริจาค 258 ล้านบาท เกี่ยวข้องกับมาตรา 94 และมาตรา 95 ของพ.ร.บ. ประกอบพรรคการเมือง 2550 ซึ่งเป็นคนละส่วนกัน ฉะนั้นเรื่องระยะเวลา เรื่องอายุความจึงต่างกัน
เพราะมาตรา 93 เป็นเรื่องการทำบัญชี ซึ่งกฎหมายให้อำนาจนายทะเบียนฯ ยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญได้โดยตรง ไม่ต้องผ่านอัยการสูงสุด
แต่กรณีมาตรา 95 โยงกับมาตรา 68 ของรัฐธรรมนูญ ดังนั้น การยื่นเพื่อขอยุบพรรคกรณีนี้ ซึ่งเป็นไปตามวรรค 2 วรรค 3 ของมาตรา 68 ประกอบกับมาตรา 95 ต้องให้อัยการสูงสุดเป็นผู้ยื่น
และอายุความในการฟ้องคดีจึงไม่ใช่ 15 วันนับแต่นายทะเบียนฯ ทราบ แต่คือภายใน 30 วัน นับแต่วันที่อัยการสูงสุดได้รับเรื่อง อายุความจึงไม่ใช่ปัญหาสำหรับกรณีนี้
เรื่องที่เป็นปัญหา คือ การข้ามขั้นตอน เพราะตามกฎหมายระบุว่า เมื่อมีคนร้องหรือปรากฏต่อนายทะเบียนฯ ว่ามีเหตุให้มีการยุบพรรค ตามมาตรา 94 ให้นายทะเบียนฯ สอบสวนหาข้อเท็จจริงโดยพลัน
เมื่อนายทะเบียนฯ เห็นว่ามีเหตุให้ควรยุบพรรค ก็ให้นายทะเบียนฯ โดยความเห็นชอบของ กกต.เสนอต่ออัยการสูงสุด เพื่อมีคำร้องขอให้ยุบพรรค
แสดงว่าอำนาจในการยื่นเป็นอำนาจของนายทะเบียนฯ และหมายความว่านายทะเบียนฯ ต้องเห็นควรให้ยุบพรรคก่อน
คดีเงินบริจาค 258 ล้าน มีการส่งเรื่องเข้ากกต. 2 ครั้ง ครั้งแรก กกต.เห็นว่านายทะเบียนฯ ยังไม่ทำความเห็น ก็มีมติให้นายทะเบียนฯ กลับไปทำความเห็นก่อน นายทะเบียนฯ ก็กลับไปทำความเห็นแล้วบอกว่าไม่ยุบ เรื่องอยู่ที่นายทะเบียนฯ
แต่พอมีเสื้อแดงมากดดัน กกต.ก็เอาเรื่องนี้มาพิจารณา ซึ่งนายทะเบียนฯ ยังไม่เสนอความเห็นอีก ก็สันนิษฐานว่านายทะเบียนฯ ยังยืนยันว่าไม่ยุบ
เมื่อ กกต.ไปวินิจฉัยว่าให้ยุบ เท่ากับทำข้ามขั้นตอนและเป็นคนสั่งให้พิจารณายุบพรรคเสียเองเข้าไปใช้อำนาจของนายทะเบียนฯ เสียเอง
คดี 258 ล้าน จึงน่าจะมีปัญหาเช่นเดียวกับกรณี 29 ล้านในเรื่องการกระทำข้ามขั้นตอน และการเข้าไปใช้อำนาจนายทะเบียนฯ โดยมิชอบ
ถ้าประชาธิปัตย์จะนำประเด็นนี้มาต่อสู้ เป็นไปได้ที่เขาจะชนะ
คดีนี้ศาลรัฐธรรมนูญยังไม่ได้สืบพยาน ยังไม่ได้ไต่สวน ถ้ากระบวน การเบื้องต้นไม่ถูกต้องเสียแล้วถือว่าคดีจบไปเลย ไม่ต้องไปพูดถึงกระบวนการขั้นต่อไปอีก
ส่วนที่มีกระแสข่าว กกต.จะนำคดี 29 ล้าน กลับไปยื่นต่อศาลใหม่อีกครั้ง ต้องระวังว่าจะโดนเล่นงานกลับเรื่องปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพราะศาลรัฐธรรมนูญบอกแล้วว่า กกต.ทำงานข้ามขั้นตอน
กกต.จึงต้องระวังผลที่จะได้รับจากการทำหน้าที่ของตัวเอง และโดยหลักการก็เป็นไปไม่ได้ เพราะกฎหมายบัญญัติไว้แล้วว่าคนจะไม่ถูกฟ้องคดี เดียวกัน ในข้อเท็จจริงอันเดียวกัน
ข้อสำคัญคือถ้าจะฟ้องใหม่ อย่างไรต้องถือว่า กกต.ยื่นเรื่องเกิน 15 วันอยู่ดี
ข่าวสดรายวัน.คอลัมน์ รายงานพิเศษ
----------------------------------------------------------
ส่งผลให้คดีพรรคประชาธิปัตย์รับเงินบริจาค 258 ล้านบาทจากบริษัท ทีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน) ผ่านบริษัท เมซไซอะ บิซิเนส แอนด์ คลีเอชั่น จำกัด ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญนัดพร้อมคู่ความในวันที่ 9 ธ.ค.นี้
เป็นที่จับตามองจากสังคมมากยิ่งขึ้น ว่าจะลงเอยในแบบเดียวกับคดี 29 ล้านบาท ที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัย 4 ต่อ 2 เสียงให้ยกคำร้อง
เนื่องจากข้อผิดพลาดทางเทคนิค 2 ข้อ คือ นายทะเบียนพรรคการเมืองยังไม่มีความเห็นว่ามีการกระทำความผิดและควรให้ยุบพรรค และเรื่องของการขาดอายุความ
นักวิชาการด้านกฎหมายที่ติดตามคดีนี้มาอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งอัยการผู้ทำคดีได้วิเคราะห์ไว้น่าสนใจ ดังนี้
สมชาย ปรีชาศิลปกุล
อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
ไม่รู้ว่าการตัดสินคดีการรับเงินบริจาคของพรรคประ ชาธิปัตย์ 258 ล้านบาท จะออกมารูปไหน เพราะการปฏิบัติหรือการอธิบายคดีสามารถออกอะไรก็ได้ไม่รู้จะคาดเดาอย่างไร
ที่ผ่านมาเกิดการตั้งคำถามว่าใช้หลักการอะไร ดูเหมือนว่าค้น หาหลักการได้ยากมาก การต่อสู้ของพรรคประชาธิปัตย์ด้วยประ เด็นว่านายทะเบียนพรรคการเมืองยังไม่มีความเห็นในคดี จึงเป็นไปได้ หรือเป็นไปไม่ได้ก็ได้ ไม่สามารถคาดเดาในทางวิชาการได้
อยู่ในภาวะที่เราไม่สามารถใช้มาตรฐานหรือเหตุผลทางวิชาการเข้าไปจับ มันอาจจะออกมาในรูปอื่นๆ ก็เป็นไปได้
ในหลักกฎหมายถ้าพรรคประชาธิปัตย์จะสู้ว่านายทะเบียนพรรคการเมืองยังไม่มีความเห็นในคดีนี้ เช่นเดียวกับคดีเงินกองทุนฯ 29 ล้านบาท
ศาลรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นศาลไต่สวน ถ้าประเด็นไหนไม่ชัดเจน ศาลฯ น่าจะเรียกข้อมูลข้อเท็จจริงมาดูให้มากขึ้น บางเรื่องถ้าไม่ใช่ประเด็นสำคัญในการพิจารณาคดี เช่น เรื่องระยะเวลาในการสั่งฟ้องก็มีสิทธิพิจารณาประเด็นหลักของคดีได้
โดยหลักการแล้วศาลรัฐธรรมนูญไม่ใช่ศาลยุติธรรม เรื่องระยะเวลาไม่จำเป็นต้องถือเคร่งครัด เพียงแต่กำชับให้เจ้าหน้าที่รัฐดำเนินการตาม
พอได้อ่านคำพิพากษาแล้ว ผมพบว่าเมื่อพิจารณาร่วมกับหลายคดี บางคดีมีการตีความอย่างเคร่งครัด แต่บางคดีตีความอย่างกว้างขวาง
เลยไม่รู้ ไม่กล้าคาดเดาอะไรทั้งสิ้น
วัยวุฒิ หล่อตระกูล
รองอัยการสูงสุด คณะทำงานอัยการ
ชุดพิจารณาสำนวนคดี 258 ล้านบาท
คดีดังกล่าวนายทะเบียนพรรคการ เมืองยื่นเรื่องมาที่อัยการสูงสุดเพื่อยุบพรรคประชาธิปัตย์
ซึ่งคณะทำงานของอัยการได้ปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมายที่ให้อำนาจพิจารณาและตั้งคณะทำงานเพื่อสรุปความเห็นยื่นภายใน 30 วัน
ยืนยันว่าได้ทำงานตามกรอบระยะเวลาที่กำหนดทุกอย่าง แต่ถ้าหากจะมีใครเอาคดีเงิน 29 ล้านบาทที่ศาลรัฐธรรมนูญยกคำร้องไปแล้วมาเทียบเคียง
คิดว่าข้อเท็จจริงคนละเรื่องกัน ต่างกรรมต่างวาระกัน การต่อสู้คนละแนวทางกัน ตัวบทกฎหมายก็ใช้ต่อสู้กันคนละมาตรา คือในคดี 29 ล้านเขาสู้ในมาตรา 93 แต่คดีเงินบริจาค 258 ล้านบาทสู้ในมาตรา 95-96
การทำงานของคณะทำงานอัยการเรามั่นใจว่าทำตามขั้นตอนกฎหมายที่วางไว้ แต่ถ้าใครเอาคดี 29 ล้านมาเทียบเคียงก็เป็นสิทธิ์ของเขา
แต่ทั้งหมดทั้งมวลกระบวนการตัดสินและคำวินิจฉัยอยู่ที่ศาลรัฐธรรมนูญจะเป็นผู้พิจารณา ผมไม่ทราบเหมือนกันว่าทิศทางของคดีนี้จะออกมาในรูปแบบไหน
ส่วนที่มีนักวิชาการเป็นห่วงในประเด็นที่เป็นจุดอ่อน ของ คดี 29 ล้านที่ยังไม่มีความเห็นของนายทะเบียนพรรคการเมืองว่าจะยุบพรรคหรือไม่ แต่ส่งเรื่องไปให้ศาลรัฐธรรมนูญตัดสิน และนำมาสู่การยกฟ้องในคดีดังกล่าว อาจเป็นช่องโหว่ในคดี 258 ล้านด้วยหรือไม่นั้น
ผมมองว่าคดี 258 ล้านน่าจะมีมติของนายทะเบียนฯ และ กกต.ออกมาแล้วว่าจะยุบพรรคประชาธิปัตย์
แต่ถ้าหากประเด็นนี้มีความผิดพลาดอีก นายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธาน กกต.ในฐานะนายทะเบียนพรรคการ เมือง ต้องเป็นผู้อธิบายกับสังคมให้ทราบเองว่าความผิดพลาดนั้นมาจากอะไร
ในวันที่ 9 ธ.ค. ทางศาลรัฐธรรมนูญได้นัดพร้อมคู่ความในคดีดังกล่าว โดยเราได้เตรียมข้อมูลไว้เรียบร้อยแล้ว แต่หากศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัยหรือตัดสินคดีเลยก็เป็นเรื่องของศาลรัฐธรรมนูญ
เราต้องรอดูกันในวันนั้น
คมสัน โพธิ์คง
อาจารย์คณะนิติศาสตร์
มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช
การที่ศาลรัฐธรรมนูญยกคำร้องคดียุบพรรคประชาธิปัตย์กรณีใช้จ่ายเงินกองทุนสนับสนุนพรรคการเมือง 29 ล้านบาท ผิดวัตถุประสงค์ หลายส่วนยังเข้าใจคลาดเคลื่อนอยู่พอสมควร
การยกคำร้องคดีนี้ไม่ใช่เพราะยื่นคำร้องเกินกำหนด 15 วันเท่านั้น
กกต.ไปวินิจฉัยโดยที่นายทะเบียนพรรคการเมืองยังไม่วินิจฉัยเรื่องนี้ตามเงื่อนไข มาตรา 93
ส่วนคดีเงินบริจาค 258 ล้านบาท เกี่ยวข้องกับมาตรา 94 และมาตรา 95 ของพ.ร.บ. ประกอบพรรคการเมือง 2550 ซึ่งเป็นคนละส่วนกัน ฉะนั้นเรื่องระยะเวลา เรื่องอายุความจึงต่างกัน
เพราะมาตรา 93 เป็นเรื่องการทำบัญชี ซึ่งกฎหมายให้อำนาจนายทะเบียนฯ ยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญได้โดยตรง ไม่ต้องผ่านอัยการสูงสุด
แต่กรณีมาตรา 95 โยงกับมาตรา 68 ของรัฐธรรมนูญ ดังนั้น การยื่นเพื่อขอยุบพรรคกรณีนี้ ซึ่งเป็นไปตามวรรค 2 วรรค 3 ของมาตรา 68 ประกอบกับมาตรา 95 ต้องให้อัยการสูงสุดเป็นผู้ยื่น
และอายุความในการฟ้องคดีจึงไม่ใช่ 15 วันนับแต่นายทะเบียนฯ ทราบ แต่คือภายใน 30 วัน นับแต่วันที่อัยการสูงสุดได้รับเรื่อง อายุความจึงไม่ใช่ปัญหาสำหรับกรณีนี้
เรื่องที่เป็นปัญหา คือ การข้ามขั้นตอน เพราะตามกฎหมายระบุว่า เมื่อมีคนร้องหรือปรากฏต่อนายทะเบียนฯ ว่ามีเหตุให้มีการยุบพรรค ตามมาตรา 94 ให้นายทะเบียนฯ สอบสวนหาข้อเท็จจริงโดยพลัน
เมื่อนายทะเบียนฯ เห็นว่ามีเหตุให้ควรยุบพรรค ก็ให้นายทะเบียนฯ โดยความเห็นชอบของ กกต.เสนอต่ออัยการสูงสุด เพื่อมีคำร้องขอให้ยุบพรรค
แสดงว่าอำนาจในการยื่นเป็นอำนาจของนายทะเบียนฯ และหมายความว่านายทะเบียนฯ ต้องเห็นควรให้ยุบพรรคก่อน
คดีเงินบริจาค 258 ล้าน มีการส่งเรื่องเข้ากกต. 2 ครั้ง ครั้งแรก กกต.เห็นว่านายทะเบียนฯ ยังไม่ทำความเห็น ก็มีมติให้นายทะเบียนฯ กลับไปทำความเห็นก่อน นายทะเบียนฯ ก็กลับไปทำความเห็นแล้วบอกว่าไม่ยุบ เรื่องอยู่ที่นายทะเบียนฯ
แต่พอมีเสื้อแดงมากดดัน กกต.ก็เอาเรื่องนี้มาพิจารณา ซึ่งนายทะเบียนฯ ยังไม่เสนอความเห็นอีก ก็สันนิษฐานว่านายทะเบียนฯ ยังยืนยันว่าไม่ยุบ
เมื่อ กกต.ไปวินิจฉัยว่าให้ยุบ เท่ากับทำข้ามขั้นตอนและเป็นคนสั่งให้พิจารณายุบพรรคเสียเองเข้าไปใช้อำนาจของนายทะเบียนฯ เสียเอง
คดี 258 ล้าน จึงน่าจะมีปัญหาเช่นเดียวกับกรณี 29 ล้านในเรื่องการกระทำข้ามขั้นตอน และการเข้าไปใช้อำนาจนายทะเบียนฯ โดยมิชอบ
ถ้าประชาธิปัตย์จะนำประเด็นนี้มาต่อสู้ เป็นไปได้ที่เขาจะชนะ
คดีนี้ศาลรัฐธรรมนูญยังไม่ได้สืบพยาน ยังไม่ได้ไต่สวน ถ้ากระบวน การเบื้องต้นไม่ถูกต้องเสียแล้วถือว่าคดีจบไปเลย ไม่ต้องไปพูดถึงกระบวนการขั้นต่อไปอีก
ส่วนที่มีกระแสข่าว กกต.จะนำคดี 29 ล้าน กลับไปยื่นต่อศาลใหม่อีกครั้ง ต้องระวังว่าจะโดนเล่นงานกลับเรื่องปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพราะศาลรัฐธรรมนูญบอกแล้วว่า กกต.ทำงานข้ามขั้นตอน
กกต.จึงต้องระวังผลที่จะได้รับจากการทำหน้าที่ของตัวเอง และโดยหลักการก็เป็นไปไม่ได้ เพราะกฎหมายบัญญัติไว้แล้วว่าคนจะไม่ถูกฟ้องคดี เดียวกัน ในข้อเท็จจริงอันเดียวกัน
ข้อสำคัญคือถ้าจะฟ้องใหม่ อย่างไรต้องถือว่า กกต.ยื่นเรื่องเกิน 15 วันอยู่ดี
ข่าวสดรายวัน.คอลัมน์ รายงานพิเศษ
----------------------------------------------------------
วันเสาร์ที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2553
แก้ด้วยความจริง
ไม่มีอะไรแก้ปัญหาได้เท่ากับ..การยอมรับความจริง..โลกทั้งใบพัฒนาไปบนความเป็นวิทยาศาสตร์.. ปรากฏการณ์ธรรมชาติเป็นสิ่งอธิบายได้..อิทธิฤทธิ์ของพระ ผู้เป็นเจ้านั้น เป็นเพียงความเชื่อ..
หลายพันศพของเด็กที่ถูกทำลายก่อนที่จะได้ลืมตาดูโลก..มีคำตอบทางวิทยาศาสตร์และอธิบายได้ด้วยธรรมชาติ มันจึงมีอำนาจเหนือกว่ากฎเกณฑ์และกติกาใดๆ ที่มนุษย์ร่างขึ้น
ธรรมชาติของการสมสู่..สัตว์ทั้งโลกและมนุษย์ยอมตายกันเพื่อสิ่งนี้..
ธรรมชาติพึ่งพาการสมสู่เพื่อการปฏิสนธิ..เพื่อยังโลกที่เต็มไปด้วยชีวิตโลกนี้ ให้ชีวิตดำรงคงอยู่..การปฏิเสธจึงเป็น ปรากฏการณ์หนีแรงดึงดูด..มันจึงไม่ใช่เรื่องง่าย
เมื่อแม่ไม่พร้อมสำหรับการอุ้มท้อง..เมื่อผู้ให้กำเนิดทั้ง สอง..ปฏิเสธการปฏิสนธิ..ผู้มาใหม่จึงกลายเป็นปัญหาของ ผู้ให้กำเนิดเป็นปฐม..เป็นภาระแหล่งให้กำเนิดเป็นมัธยมและปัญหาของสังคมในชั้นอุดมศึกษา..
จำนวนมากในผู้มาใหม่..คือกำเนิดของอาชญากร สตรีผู้ให้กำเนิดบุตร..ร้อยละเก้าสิบเก้าจุดเก้า..ต้องมา จากความรัก..แต่สตรีผู้ยังชีพอยู่ด้วยกามารมณ์..ผู้สร้างรายได้ จากการสังวาส..จะปฏิเสธทุกน้ำรักที่ปฏิสนธิ
เธอและเขา..เขาและเธอ..จะสุมหัวกันเพื่อขจัด.. เมื่อกฎหมายไม่อนุญาตมันก็ต้องพึ่งอาชญากรรม..
เชื่อกันมานานแล้วว่า..อาชญากรรมที่เกิดจากการสมยอม นั้น..ป้องกันลำบาก..การทำแท้งรีดลูกก็เช่นเดียวกัน..มันเกือบ จะหมดหนทางป้องกันไม่ว่าที่ใดๆ ในโลก..มันต่างกันแค่ราคา..
ธรรมชาติจึงกำเนิดสัตว์แต่ละชีวิต..ให้จำนวนที่สร้าง ชีวิตแตกต่างกัน..ถ้าช้างและปลาวาฬออกลูกได้เหมือน หนูอะไรจะเกิดขึ้นกับโลกใบนี้ ถ้าเด็กที่เกิดจากพ่อแม่ที่มีปัญหาทุกชีวิตไม่ถูกฆ่าทำลายลงบ้าง..รั้วบ้านแต่ละ หลังคงต้องสูงกว่ากำแพงคุก
บาป บุญ คุณ โทษ..เป็นเรื่องดี..แต่ปัญหาต้องแก้ด้วย ความจริงเป็นจริงมีอยู่จริงและเกิดขึ้นจริง..ไม่มีวันที่ใครจะ หยุด..โรคทำแท้งและการทำแท้งได้..นอกจากการให้คู่สมสู่ มีความรู้ที่จะหยุดการปฏิสนธิ
หยุดสร้างเด็กมีปัญหา..รัฐสภาอาจจะมีคนดีเพิ่มขึ้น
ที่มา.สยามธุรกิจ
หลายพันศพของเด็กที่ถูกทำลายก่อนที่จะได้ลืมตาดูโลก..มีคำตอบทางวิทยาศาสตร์และอธิบายได้ด้วยธรรมชาติ มันจึงมีอำนาจเหนือกว่ากฎเกณฑ์และกติกาใดๆ ที่มนุษย์ร่างขึ้น
ธรรมชาติของการสมสู่..สัตว์ทั้งโลกและมนุษย์ยอมตายกันเพื่อสิ่งนี้..
ธรรมชาติพึ่งพาการสมสู่เพื่อการปฏิสนธิ..เพื่อยังโลกที่เต็มไปด้วยชีวิตโลกนี้ ให้ชีวิตดำรงคงอยู่..การปฏิเสธจึงเป็น ปรากฏการณ์หนีแรงดึงดูด..มันจึงไม่ใช่เรื่องง่าย
เมื่อแม่ไม่พร้อมสำหรับการอุ้มท้อง..เมื่อผู้ให้กำเนิดทั้ง สอง..ปฏิเสธการปฏิสนธิ..ผู้มาใหม่จึงกลายเป็นปัญหาของ ผู้ให้กำเนิดเป็นปฐม..เป็นภาระแหล่งให้กำเนิดเป็นมัธยมและปัญหาของสังคมในชั้นอุดมศึกษา..
จำนวนมากในผู้มาใหม่..คือกำเนิดของอาชญากร สตรีผู้ให้กำเนิดบุตร..ร้อยละเก้าสิบเก้าจุดเก้า..ต้องมา จากความรัก..แต่สตรีผู้ยังชีพอยู่ด้วยกามารมณ์..ผู้สร้างรายได้ จากการสังวาส..จะปฏิเสธทุกน้ำรักที่ปฏิสนธิ
เธอและเขา..เขาและเธอ..จะสุมหัวกันเพื่อขจัด.. เมื่อกฎหมายไม่อนุญาตมันก็ต้องพึ่งอาชญากรรม..
เชื่อกันมานานแล้วว่า..อาชญากรรมที่เกิดจากการสมยอม นั้น..ป้องกันลำบาก..การทำแท้งรีดลูกก็เช่นเดียวกัน..มันเกือบ จะหมดหนทางป้องกันไม่ว่าที่ใดๆ ในโลก..มันต่างกันแค่ราคา..
ธรรมชาติจึงกำเนิดสัตว์แต่ละชีวิต..ให้จำนวนที่สร้าง ชีวิตแตกต่างกัน..ถ้าช้างและปลาวาฬออกลูกได้เหมือน หนูอะไรจะเกิดขึ้นกับโลกใบนี้ ถ้าเด็กที่เกิดจากพ่อแม่ที่มีปัญหาทุกชีวิตไม่ถูกฆ่าทำลายลงบ้าง..รั้วบ้านแต่ละ หลังคงต้องสูงกว่ากำแพงคุก
บาป บุญ คุณ โทษ..เป็นเรื่องดี..แต่ปัญหาต้องแก้ด้วย ความจริงเป็นจริงมีอยู่จริงและเกิดขึ้นจริง..ไม่มีวันที่ใครจะ หยุด..โรคทำแท้งและการทำแท้งได้..นอกจากการให้คู่สมสู่ มีความรู้ที่จะหยุดการปฏิสนธิ
หยุดสร้างเด็กมีปัญหา..รัฐสภาอาจจะมีคนดีเพิ่มขึ้น
ที่มา.สยามธุรกิจ
ความหวังใหม่จะได้บัตร ปชช.!!!
เมื่อวันก่อนเห็นข่าวแล้วก็อดดีใจไม่ได้ เหมือนแสงสว่างปลายอุโมงค์เมื่อทราบว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มอบหมาย ให้กระทรวงไอซีที กระทรวงมหาดไทย และคณะกรรมการกฤษฎีกา เร่งสะสางปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนเรื่องบัตรประจำตัวประชาชนแบบอเนกประสงค์ หรือสมาร์ทการ์ด
ก็แหม...ขนาดตัวอีฉันเองอายุอานาม ก็ป่านนี้แล้ว ยังไม่มีบัตรประชาชนเป็นของ ตัวเองเลยนี่เจ้าคะ จะไปไหนมาไหนทีก็ต้อง พกใบเหลืองเหมือนเมื่อสมัยกว่า 20 ปีที่แล้ว แลย้อนยุคอย่างไรก็ไม่ทราบ ออกแนว บัตร “retro”
ส่วนไอ้ปัญหาคาราคาซังก็อย่างที่ทราบ กันดีอยู่แล้วว่า ผู้ใหญ่เล่นแง่กันจนประชาชน เดือดร้อนกันทั้งประเทศ แต่รอบนี้จะดึงเช็ง อยู่ก็ใช่ที่ เพราะประชาชนที่ประสบเคราะห์ กรรมจากอุทกภัยมีกันให้เกลื่อนเมือง เอกสารอะไรต่อมิอะไรก็แทบไม่เหลือ เอาชีวิตรอด มาได้ก็ถือว่าบุญโขแล้วเจ้าค่ะ หากรัฐบาล ไม่รีบแก้ไขมีหวังเรตติ้งตกอีกโข
ความอึดอัดของฝั่งไอซีทีเองก็หาใช่ น้อยอยู่ เพราะหากเลิกการผลิต เอกชน (บริษัท วี-สมาร์ท จำกัด) รับรองโดนฟ้องไม่มีชิ้นดี ตอนนี้โครงการนี้ก็อยู่ในภาวะลูกผีลูกคนก็ว่าได้ มืดแปดด้าน ทั้งที่เอกสารที่มีอยู่ทั้งหมดถูกต้องทุกอย่าง แต่มองว่าเป็น การทะเลาะกันเองของมหาดไทย แต่ไม่ยอมรับว่ามีปัญหาภายในกันเอง...งานนี้พี่น้อง จากกระทรวงไฮเทคครวญให้ฟังแบบสิ้นหวัง
ด้านปู่จิ้นเองกลับปฏิเสธเสียงแข็งว่า อย่างไรก็จะไม่แก้กฎ เพื่อรับ Smart Card ของ ICT แน่นอน เพราะทำผิดสเปก แก้ไขไม่ได้ เพราะผิดกฎหมาย เรื่องนี้กระทรวง มหาดไทยได้ทำหนังสือไปยังไอซีที และเลขาธิการคณะรัฐมนตรี แล้วที่ผ่านมาได้มีการหารือกับ นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงไอซีทีไปแล้ว ซึ่งนายจุติ เข้าใจแนวทางของกระทรวงมหาดไทย และรับปากจะหาทางออกด้วยวิธีอื่น
งานนี้แม้ผู้นำสั่งตีธงมา แต่ในทางปฏิบัติแล้วหาได้ง่ายอย่างใจหวัง แต่ก็ไม่น่า แปลกใจอะไร เพราะตอนนี้นายกฯ จะพูด อะไรก็แลจะไม่ค่อยมีใครฟังเสียเท่าไหร่ขนาดคนในพรรคประชาธิปัตย์เองยังชอบ ทำตัวเป็นเด็กดื้อแลย...นับประสาอะไรจะ ให้พรรคอื่นมาเชื่อฟัง
อย่างไรก็แล้วแต่ ประชาชนก็ยังรอความหวังกันอยู่อีกตั้งครึ่งประเทศ หากยัง มัวเล่นเกมกันอยู่ ไม่คิดจะแก้ไขกันจริงๆ จังๆ เสียที งานนี้ท่าจะแย่ความปรารถนาดีต่อคนอื่นต้องแฝงความจริงใจไว้ด้วย ความปรารถนาที่เสแสร้ง ย่อมได้รับผลตอบแทนคือความปรารถนาดี ตอบ...อย่างเสแสร้งด้วยเช่นกัน
ที่มา.สยามธุรกิจ
ก็แหม...ขนาดตัวอีฉันเองอายุอานาม ก็ป่านนี้แล้ว ยังไม่มีบัตรประชาชนเป็นของ ตัวเองเลยนี่เจ้าคะ จะไปไหนมาไหนทีก็ต้อง พกใบเหลืองเหมือนเมื่อสมัยกว่า 20 ปีที่แล้ว แลย้อนยุคอย่างไรก็ไม่ทราบ ออกแนว บัตร “retro”
ส่วนไอ้ปัญหาคาราคาซังก็อย่างที่ทราบ กันดีอยู่แล้วว่า ผู้ใหญ่เล่นแง่กันจนประชาชน เดือดร้อนกันทั้งประเทศ แต่รอบนี้จะดึงเช็ง อยู่ก็ใช่ที่ เพราะประชาชนที่ประสบเคราะห์ กรรมจากอุทกภัยมีกันให้เกลื่อนเมือง เอกสารอะไรต่อมิอะไรก็แทบไม่เหลือ เอาชีวิตรอด มาได้ก็ถือว่าบุญโขแล้วเจ้าค่ะ หากรัฐบาล ไม่รีบแก้ไขมีหวังเรตติ้งตกอีกโข
ความอึดอัดของฝั่งไอซีทีเองก็หาใช่ น้อยอยู่ เพราะหากเลิกการผลิต เอกชน (บริษัท วี-สมาร์ท จำกัด) รับรองโดนฟ้องไม่มีชิ้นดี ตอนนี้โครงการนี้ก็อยู่ในภาวะลูกผีลูกคนก็ว่าได้ มืดแปดด้าน ทั้งที่เอกสารที่มีอยู่ทั้งหมดถูกต้องทุกอย่าง แต่มองว่าเป็น การทะเลาะกันเองของมหาดไทย แต่ไม่ยอมรับว่ามีปัญหาภายในกันเอง...งานนี้พี่น้อง จากกระทรวงไฮเทคครวญให้ฟังแบบสิ้นหวัง
ด้านปู่จิ้นเองกลับปฏิเสธเสียงแข็งว่า อย่างไรก็จะไม่แก้กฎ เพื่อรับ Smart Card ของ ICT แน่นอน เพราะทำผิดสเปก แก้ไขไม่ได้ เพราะผิดกฎหมาย เรื่องนี้กระทรวง มหาดไทยได้ทำหนังสือไปยังไอซีที และเลขาธิการคณะรัฐมนตรี แล้วที่ผ่านมาได้มีการหารือกับ นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงไอซีทีไปแล้ว ซึ่งนายจุติ เข้าใจแนวทางของกระทรวงมหาดไทย และรับปากจะหาทางออกด้วยวิธีอื่น
งานนี้แม้ผู้นำสั่งตีธงมา แต่ในทางปฏิบัติแล้วหาได้ง่ายอย่างใจหวัง แต่ก็ไม่น่า แปลกใจอะไร เพราะตอนนี้นายกฯ จะพูด อะไรก็แลจะไม่ค่อยมีใครฟังเสียเท่าไหร่ขนาดคนในพรรคประชาธิปัตย์เองยังชอบ ทำตัวเป็นเด็กดื้อแลย...นับประสาอะไรจะ ให้พรรคอื่นมาเชื่อฟัง
อย่างไรก็แล้วแต่ ประชาชนก็ยังรอความหวังกันอยู่อีกตั้งครึ่งประเทศ หากยัง มัวเล่นเกมกันอยู่ ไม่คิดจะแก้ไขกันจริงๆ จังๆ เสียที งานนี้ท่าจะแย่ความปรารถนาดีต่อคนอื่นต้องแฝงความจริงใจไว้ด้วย ความปรารถนาที่เสแสร้ง ย่อมได้รับผลตอบแทนคือความปรารถนาดี ตอบ...อย่างเสแสร้งด้วยเช่นกัน
ที่มา.สยามธุรกิจ
สิ้นสัมพันธ์ ‘หมีขาว’
กว่า 113 ปีแห่งความสัมพันธ์ของ 2 ราชอาณาจักรไทยกับรัสเซีย ตั้งแต่ยุคสมัยของสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง ได้สานสัมพันธ์กับราชวงศ์โรมานอฟ ในยุคแห่งพระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 ของรัสเซีย
แม้ว่าในช่วงระยะเวลา 113 ปีที่ผ่านมา อาจจะมีบางช่วงบางเวลาที่ห่างเหินกันบ้างด้วยเงื่อนไขของระบบการปกครองที่เปลี่ยนไปตามยุคตามสมัยให้สอดรับกับกระแสการเมืองภาย ในของแต่ละประเทศ และสภาวะแวดล้อมระหว่างประเทศ ซึ่งกล่าวได้ว่า เป็นภาพของความสัมพันธ์ทวิภาคีระหว่างสองรัฐ
คือในช่วงที่ต่างฝ่ายต่างเปลี่ยนแปลง การปกครอง คือในช่วงปี 2460 เมื่อรัสเซีย เกิดการปฏิวัติสังคมนิยม และสถาปนาประเทศสหภาพโซเวียต ก่อนที่เราจะเปลี่ยน ตัวเองมาเป็นประชาธิปไตย 15 ปี ไทยได้ถอนการมีผู้แทนทางการทูตที่ดูแลรัสเซีย และยุติความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกัน ลงชั่วคราว หลังจากนั้นทั้งสองฝ่ายต่างดำเนิน ความสัมพันธ์ระหว่างกันด้วยความระมัดระวัง
แม้ว่าในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 คือช่วงปี 2482 จะมีความพยายามฟื้นฟูความสัมพันธ์ของทั้ง 2 ประเทศ แต่ด้วยเรื่องของสงครามเย็นระหว่าง 2 ประเทศมหาอำนาจทางโลกเสรี และคอมมิวนิสต์บีบบังคับให้กลุ่มโลกที่ 3 อย่างเราต้องเลือก ฝ่าย และมันก็ชัดเจนในคำตอบอยู่แล้วที่ประเทศไทยต้องยืนอยู่มุมขวา
แต่ภายหลังการล่มสลายของสหภาพ โซเวียต ความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทย-รัสเซียกลับเจริญงอกงามขึ้นตามลำดับ มาจนถึงปัจจุบันลักษณะของความสัมพันธ์ระหว่างไทย-รัสเซียในปัจจุบัน เป็นความสัมพันธ์ในรูปแบบ “หุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์” ซึ่งงานนี้ต้องยกผลประโยชน์ให้อดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร โดยมีการเยือนรัสเซียอย่างเป็นทางการเมื่อ 2545
การเยือนรัสเซียของคุณทักษิณในครั้งนั้นก่อให้เกิดการกระชับความร่วมมือในทุกมิติและทุกสาขาในเวลาต่อมา โดยมีกลไกความสัมพันธ์ทวิภาคีด้านการเมืองเป็น เครื่องผลักดัน และนำไปสู่การพัฒนาความร่วมมือในสาขาอื่นๆ ที่ลึกและรอบด้านยิ่งขึ้น
ก่อนที่จะเกิดข้อพิพาทของ “ลอร์ด ออฟ วอร์”....มร.วิคเตอร์ บูต อดีตสายลับ KGB ผู้กุมความลับขององค์กร ชายที่ได้ชื่อว่า “พ่อค้าแห่งความตาย” เชื่อกันว่าชายผู้นี้สามารถค้าขายได้กับทุกๆ คนที่พร้อม จะควักสตางค์จ่าย โดยไม่คำนึงถึงแนวคิด ทางการเมือง แม้กระทั่งกับกลุ่มที่ไม่น่าคบค้าอย่างตาลีบัน และชาร์ลส์ เทเลอร์ แห่งไลบีเรีย ยูเอ็น และสหรัฐ ก็เคยใช้ บริการการบินของลอร์ด ออฟ วอร์ ผู้นี้
และด้วยเหตุและผลนี้ ทำให้สหรัฐ อยากได้ตัว และต้องการตัวนายคนนี้มาก แต่ทว่า รัสเซียก็ต้องการนายคนนี้กลับ ไปที่รัสเซีย เพราะเชื่อได้ว่าหากสหรัฐได้ตัวไป สหรัฐจะเค้นข้อมูลทุกสิ่งอย่าง จากนายบูต ในเรื่องขององค์กรลับๆ หรือหน่วยงานในรัสเซียที่หนุนหลังอยู่ อย่างแน่นอน
และหลังจากที่ประเทศไทยตัดสินใจส่งตัวนายวิคเตอร์ บูต ให้กับ สหรัฐอเมริกา แน่นอนว่าทางรัสเซีย ต้องไม่พอใจเป็นอย่างมาก ถึงขนาดคำรามข้ามโลกมาว่าจะลดระดับความสัมพันธ์ทางการทูตกับไทย และยกเลิก โครงการร่วมมือทางวิทยาศาสตร์ทั้งหมด นอกจากนี้ ยังมีรายงานว่าเรื่องนี้ไม่จบ ง่ายๆ เพียงเท่านี้แน่ ทางรัสเซียต้องมีมาตรการตอบโต้ไทยให้ถึงที่สุดแน่
แม้ข่าวนี้จะเงียบหายไปจากกระแส ข่าวบ้านเราไปแล้ว...แต่อย่าลืมว่ายังมี นักลงทุนชาวไทยอีกหลายคนที่เข้าไปลงทุนในรัสเซีย และเชื่อว่างานนี้เขาเหล่านั้นอาจต้องตกเป็นเหยื่อของการ เมืองอย่างยากที่จะหนีพ้น...
ที่มา.สยามธุรกิจ
แม้ว่าในช่วงระยะเวลา 113 ปีที่ผ่านมา อาจจะมีบางช่วงบางเวลาที่ห่างเหินกันบ้างด้วยเงื่อนไขของระบบการปกครองที่เปลี่ยนไปตามยุคตามสมัยให้สอดรับกับกระแสการเมืองภาย ในของแต่ละประเทศ และสภาวะแวดล้อมระหว่างประเทศ ซึ่งกล่าวได้ว่า เป็นภาพของความสัมพันธ์ทวิภาคีระหว่างสองรัฐ
คือในช่วงที่ต่างฝ่ายต่างเปลี่ยนแปลง การปกครอง คือในช่วงปี 2460 เมื่อรัสเซีย เกิดการปฏิวัติสังคมนิยม และสถาปนาประเทศสหภาพโซเวียต ก่อนที่เราจะเปลี่ยน ตัวเองมาเป็นประชาธิปไตย 15 ปี ไทยได้ถอนการมีผู้แทนทางการทูตที่ดูแลรัสเซีย และยุติความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกัน ลงชั่วคราว หลังจากนั้นทั้งสองฝ่ายต่างดำเนิน ความสัมพันธ์ระหว่างกันด้วยความระมัดระวัง
แม้ว่าในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 คือช่วงปี 2482 จะมีความพยายามฟื้นฟูความสัมพันธ์ของทั้ง 2 ประเทศ แต่ด้วยเรื่องของสงครามเย็นระหว่าง 2 ประเทศมหาอำนาจทางโลกเสรี และคอมมิวนิสต์บีบบังคับให้กลุ่มโลกที่ 3 อย่างเราต้องเลือก ฝ่าย และมันก็ชัดเจนในคำตอบอยู่แล้วที่ประเทศไทยต้องยืนอยู่มุมขวา
แต่ภายหลังการล่มสลายของสหภาพ โซเวียต ความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทย-รัสเซียกลับเจริญงอกงามขึ้นตามลำดับ มาจนถึงปัจจุบันลักษณะของความสัมพันธ์ระหว่างไทย-รัสเซียในปัจจุบัน เป็นความสัมพันธ์ในรูปแบบ “หุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์” ซึ่งงานนี้ต้องยกผลประโยชน์ให้อดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร โดยมีการเยือนรัสเซียอย่างเป็นทางการเมื่อ 2545
การเยือนรัสเซียของคุณทักษิณในครั้งนั้นก่อให้เกิดการกระชับความร่วมมือในทุกมิติและทุกสาขาในเวลาต่อมา โดยมีกลไกความสัมพันธ์ทวิภาคีด้านการเมืองเป็น เครื่องผลักดัน และนำไปสู่การพัฒนาความร่วมมือในสาขาอื่นๆ ที่ลึกและรอบด้านยิ่งขึ้น
ก่อนที่จะเกิดข้อพิพาทของ “ลอร์ด ออฟ วอร์”....มร.วิคเตอร์ บูต อดีตสายลับ KGB ผู้กุมความลับขององค์กร ชายที่ได้ชื่อว่า “พ่อค้าแห่งความตาย” เชื่อกันว่าชายผู้นี้สามารถค้าขายได้กับทุกๆ คนที่พร้อม จะควักสตางค์จ่าย โดยไม่คำนึงถึงแนวคิด ทางการเมือง แม้กระทั่งกับกลุ่มที่ไม่น่าคบค้าอย่างตาลีบัน และชาร์ลส์ เทเลอร์ แห่งไลบีเรีย ยูเอ็น และสหรัฐ ก็เคยใช้ บริการการบินของลอร์ด ออฟ วอร์ ผู้นี้
และด้วยเหตุและผลนี้ ทำให้สหรัฐ อยากได้ตัว และต้องการตัวนายคนนี้มาก แต่ทว่า รัสเซียก็ต้องการนายคนนี้กลับ ไปที่รัสเซีย เพราะเชื่อได้ว่าหากสหรัฐได้ตัวไป สหรัฐจะเค้นข้อมูลทุกสิ่งอย่าง จากนายบูต ในเรื่องขององค์กรลับๆ หรือหน่วยงานในรัสเซียที่หนุนหลังอยู่ อย่างแน่นอน
และหลังจากที่ประเทศไทยตัดสินใจส่งตัวนายวิคเตอร์ บูต ให้กับ สหรัฐอเมริกา แน่นอนว่าทางรัสเซีย ต้องไม่พอใจเป็นอย่างมาก ถึงขนาดคำรามข้ามโลกมาว่าจะลดระดับความสัมพันธ์ทางการทูตกับไทย และยกเลิก โครงการร่วมมือทางวิทยาศาสตร์ทั้งหมด นอกจากนี้ ยังมีรายงานว่าเรื่องนี้ไม่จบ ง่ายๆ เพียงเท่านี้แน่ ทางรัสเซียต้องมีมาตรการตอบโต้ไทยให้ถึงที่สุดแน่
แม้ข่าวนี้จะเงียบหายไปจากกระแส ข่าวบ้านเราไปแล้ว...แต่อย่าลืมว่ายังมี นักลงทุนชาวไทยอีกหลายคนที่เข้าไปลงทุนในรัสเซีย และเชื่อว่างานนี้เขาเหล่านั้นอาจต้องตกเป็นเหยื่อของการ เมืองอย่างยากที่จะหนีพ้น...
ที่มา.สยามธุรกิจ
พี่สาวช่างภาพอิตาลีประณามทางการไทยฐานใช้เงินปิดปาก
จากเวปไซต์ข่าวมติชน
สำนัก ข่าวเอเอฟพีรายงานว่า พี่สาวของช่างภาพชาวอิตาเลี่ยน ซึ่งเสียชีวิตในเหตุการณ์ความวุ่นวายในกรุงเทพฯเมื่อช่วงเดือน เมษายน-พฤษภาคม ที่ผ่านมา กล่าวหาทางการไทยต่อความพยายามในการ “ยัดเยียดเงิน” เพื่อ “ปิดปาก”ตนเอง ในจดหมายซึ่งมีการเปิดเผยในวันนี้ (3 ธค.)
น.ส.เอลิซาเบทต้า โปเลนกี พี่สาวของนายฟาบิโอ โปเลนกี ซึ่งเป็นช่างภาพอิสระ ที่ถูกยิงเสียชีวิตเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคมที่ผ่านมา จากเหตุการสลายการชุมนุมของกลุ่ม “คนเสื้อแดง” ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก เขียนในจดหมายฉบับดังกล่าวว่า
“แน่นอนที่สุด สถาบันต่างๆในประเทศไทยได้เสนอเงินช่วยเหลือเราอย่างที่ทุกคนรู้กัน” นส.เอลิซาเบทต้า กล่าวในจดหมายซึ่งจ่าหน้าถึงนายสมศักดิ์ สุริยวงศ์ เอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงโรม โดยเธออธิบายเพิ่มเติมว่า คนเหล่านั้นได้เสนอเงินให้เธอ “อย่างไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง” และกล่าวว่า “เราเชื่อว่านี่เป็นความพยายามอย่างชัดเจนในการปิดปากของเรา และตอบแทนศักดิ์ศรีให้กับฟาบิโอของเราด้วยเงินเพียงเล็กน้อย”
นายฟาบิโอ โปเลนชี ถูกยิงเสียชีวิตระหว่างทำงานในฐานะช่างภาพ อิสระ ในระหว่างการชุมนุมประท้วงโดยกลุ่ม “คนเสื้อแดง” ในย่านใจกลางกรุงเทพมหานคร ซึ่งกินเวลานานถึง 2 เดือน ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 90 ราย และบาดเจ็บอีกเกือบ 1,900 ราย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นพลเรือน
โดยกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ได้กล่าวว่า กองทัพน่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเสียชีวิตของประชาชนจำนวน 13 ราย ซึ่งรวมถึงนายฮิโร มุราโมโตะ ช่างภาพจากสำนักข่าวรอยเตอร์ แต่รายละเอียดเกี่ยวกับผู้เสียชีวิตรายอื่นๆยังคงมีข้อมูลที่ไม่เพียงพอ
จดหมายของนส.เอลิซาเบทต้า โปเลนชี ซึ่งถูกส่งไปยังสถานทูตไทยในกรุงโรม หลังที่เธอได้รับจดหมายเชิญให้เข้าร่วมงานเฉลิมฉลองเนื่องในวันคล้ายวันพระ ราชสมภพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในประเทศไทย กล่าวในตอนหนึ่งว่า ทางการไทย “ไม่แม้แต่เพียงนิดเดียวที่จะตระหนักถึงความร้ายแรงของสถานการณ์” ที่เกิดขึ้นกับครอบครัวของเธอ
“หลังจากผ่านมามากกว่า 6 เดือน เราก็ยังคงไม่ทราบถึงเหตุการณ์การเสียชีวิตของฟาบิโอ และผลการสืบสวนโดยทางการไทยแต่อย่างใด”
“ความพยายามของทางการไทย ในความรู้สึกของฉัน ยังไม่นับว่าเป็นที่น่าพอใจ และละเอียดถี่ถ้วนพอ” นส.เอลิซาเบทต้ากล่าว
อย่างไรก็ตาม เธอได้ถวายพระพรแด่องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ในโอกาสเนื่องในวันที่ 5 ธันวาคมด้วย
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
น.ส.เอลิซาเบทต้า โปเลนกี พี่สาวของนายฟาบิโอ โปเลนกี ซึ่งเป็นช่างภาพอิสระ ที่ถูกยิงเสียชีวิตเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคมที่ผ่านมา จากเหตุการสลายการชุมนุมของกลุ่ม “คนเสื้อแดง” ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก เขียนในจดหมายฉบับดังกล่าวว่า
“แน่นอนที่สุด สถาบันต่างๆในประเทศไทยได้เสนอเงินช่วยเหลือเราอย่างที่ทุกคนรู้กัน” นส.เอลิซาเบทต้า กล่าวในจดหมายซึ่งจ่าหน้าถึงนายสมศักดิ์ สุริยวงศ์ เอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงโรม โดยเธออธิบายเพิ่มเติมว่า คนเหล่านั้นได้เสนอเงินให้เธอ “อย่างไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง” และกล่าวว่า “เราเชื่อว่านี่เป็นความพยายามอย่างชัดเจนในการปิดปากของเรา และตอบแทนศักดิ์ศรีให้กับฟาบิโอของเราด้วยเงินเพียงเล็กน้อย”
นายฟาบิโอ โปเลนชี ถูกยิงเสียชีวิตระหว่างทำงานในฐานะช่างภาพ อิสระ ในระหว่างการชุมนุมประท้วงโดยกลุ่ม “คนเสื้อแดง” ในย่านใจกลางกรุงเทพมหานคร ซึ่งกินเวลานานถึง 2 เดือน ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 90 ราย และบาดเจ็บอีกเกือบ 1,900 ราย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นพลเรือน
โดยกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ได้กล่าวว่า กองทัพน่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเสียชีวิตของประชาชนจำนวน 13 ราย ซึ่งรวมถึงนายฮิโร มุราโมโตะ ช่างภาพจากสำนักข่าวรอยเตอร์ แต่รายละเอียดเกี่ยวกับผู้เสียชีวิตรายอื่นๆยังคงมีข้อมูลที่ไม่เพียงพอ
จดหมายของนส.เอลิซาเบทต้า โปเลนชี ซึ่งถูกส่งไปยังสถานทูตไทยในกรุงโรม หลังที่เธอได้รับจดหมายเชิญให้เข้าร่วมงานเฉลิมฉลองเนื่องในวันคล้ายวันพระ ราชสมภพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในประเทศไทย กล่าวในตอนหนึ่งว่า ทางการไทย “ไม่แม้แต่เพียงนิดเดียวที่จะตระหนักถึงความร้ายแรงของสถานการณ์” ที่เกิดขึ้นกับครอบครัวของเธอ
“หลังจากผ่านมามากกว่า 6 เดือน เราก็ยังคงไม่ทราบถึงเหตุการณ์การเสียชีวิตของฟาบิโอ และผลการสืบสวนโดยทางการไทยแต่อย่างใด”
“ความพยายามของทางการไทย ในความรู้สึกของฉัน ยังไม่นับว่าเป็นที่น่าพอใจ และละเอียดถี่ถ้วนพอ” นส.เอลิซาเบทต้ากล่าว
อย่างไรก็ตาม เธอได้ถวายพระพรแด่องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ในโอกาสเนื่องในวันที่ 5 ธันวาคมด้วย
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
วันศุกร์ที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2553
4 ปัจจัยบวก 4 ปัจจัยฉุด การพัฒนาระบอบประชาธิปไตยไทย ในสายตา "ดร.โกร่ง" วีรพงษ์ รามางกูร
"อย่าคิดว่าเรามีแต่ปัจจัยลบ ทั้งที่เรามีปัจจัยบวกที่ดีกว่าประเทศอื่นอยู่มาก"
เมื่อวันที่ 1 ธันวาคมโรงแรมสยามซิตี้ นายวีรพงษ์ รามางกูร อดีรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้กล่าวปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ “นักการเมืองรุ่นใหม่-กับแนวทางพัฒนาประชาธิปไตยในอนาคต” ซึ่งจัดขึ้นโดยสถาบันศึกษาการพัฒนาประชาธิปไตย ซึ่งมีนายจาตุรนต์ ฉายแสง เป็นประธาน และมูลนิธิคอนราด อเดนาวร์
นายวีรพงษ์ หรือ ดร.โกร่ง กล่าวถึงความสำคัญในส่วนของการเมืองที่เป็นปัจจัยในการพัฒนาประเทศไปสู่ระบบประชาธิปไตย ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นเพราะกระแสความเปลี่ยนแปลงของโลก ทั้งในด้านการผลิต การโทรคมนาคม และสื่อสารมวลชน ที่ได้ทำลายกำแพงของระบอบประชาธิปไตยแบบปิด และทำให้สังคมที่พยายามฝืนกระแสโลกาภิวัฒน์จะประสบกับปัญหาต่างๆ ทั้งในเรื่องการชะงักงันทางเศรษฐกิจ และการต่อต้านจากสังคมโลก จึงไม่แปลกที่จะรู้สึกว่าทั่วโลกมีความตระหนักถึงความสำคัญของระบอบประชาธิปไตย
นายวีรพงษ์ กล่าวถึงกระแสวิพากษ์วิจารณ์ที่มีอย่างต่อเนื่องตั้งแต่มีการเปลี่ยนระบอบการปกครองของไทย จากสมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นระบอบประชาธิปไตย ในปี 2475 ซึ่งถูกต่อต้านมาโดยตลอดว่า “สังคมไทยไม่สามารถพัฒนาประเทศตามแนวทางประชาธิปไตย” ซึ่งในความเห็นส่วนตัว นายวีระพงษ์ ยืนยันว่า การเปลี่ยนแปลงทางสังคมไทยในขณะนั้น “เอื้อ” ต่อการพัฒนาประชาธิปไตยไม่แพ้ชาติอื่นๆในโลก นั่นคือคุณลักษณะ 4 ประการที่คนไทยไม่เหมือนชาติ
1) ความอดทนอดกลั้น ซึ่งเป็นเครื่องยืนยันความเป็นคนไทยที่ไม่มีความขัดแย้งในเรื่องเชื้อชาติ ภูมิภาค เช่นคนจีนที่เข้ามาในเมืองไทยและได้รับการยอมรับ ความอดทนต่อความหลากหลายในเรื่องเชื้อชาติ และภาษา รวมทั้งการยอมรับในคำตัดสินของศาลโดยปราศจากกาสรต่อต้าน
2) คนไทยรู้จักประสานผลประโยชน์ เพราะในยุคที่มีการล่าอาณานิคม สิ่งที่คนไทยทำคือเราพยายามสร้างความประนีประนอมต่อต่างชาติ ในขณะที่ชาติประเทศเพื่อนบ้านของเราและอีกหลายประเทศทั่วโลกจับอาวุธขึ้นต่อต้าน จึงทำให้ไม่เกิดความรุนแรงขึ้นง่ายๆในสังคมไทย นอกเสียจากว่าสถานการณ์จะมีความสุกงอมจริงๆ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้มีเขียนไว้ในแบบเรียนของประเทศเพื่อนบ้านของเราว่า “ประเทศไทยเป็นประเทศที่เดินตามมหาอำนาจ” คือเวลาที่จีนเป็นใหญ่ เราก็เดินตามจีน สหรัฐเป็นใหญ่ เราก็เดินตามสหรัฐ ซึ่งเราทำเช่นนั้นมาโดยตลอด แม้ว่าทุกวันนี้เราจะยังไม่แน่ใจว่าควรจะเดินตามใครก็ตาม
3) ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ซึ่งสิ่งที่สะท้อนออกมาชัดเจนที่สุดคือ ความแตกต่างทางเชื้อชาติ ศาสนา และความคิดการใช้เวลาไม่ถึง 100 ปี ก็มีความกลมกลืนกันมากในประเทศ ซึ่งต่างจากประเทศเพื่อนของเราหลายๆประเทศที่ยังมีการแบ่งเขตภูมิภาค และการสู้รบตามแนวชายแดน รวมทั้งการไต่เต้าในสังคมด้วยการศึกษาและระบบอาชีพที่ไม่ได้ขึ้นอยู่กับชนชั้นปกครองเท่านั้น จึงทำให้สังคมไทยเป็นสังคมที่เปิดโอกาสให้คนทุกระดับได้สร้างทางเดินให้ตัวเอง แม้ว่าจะมีการใช้ฐานะและลักษณะอาชีพเป็นตัวแบ่ง แต่ก็ยังไม่สร้างความเสียหายรุนแรง ยกเว้นจะมีการปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรม หรือมีเรื่องที่เป่าให้ฟุ้งขึ้นมาจนรู้ถึงความไม่ชอบธรรม แต่ที่ผ่านมาก็ไม่ถูกโหมจนรุนแรงและลุกลาม เหมือนกับการ เหยียดสีผิวหรือศาสนาในต่างประเทศ
4) สังคมไทยเป็นสังคมที่เปิดตัวต่อวัฒนธรรมของโลก ที่จะเห็นได้จากการทำสนธิสัญญาเบาว์ริง ที่ทำให้เราได้เปิดหู เปิดตา และโอนอ่อนต่อวัฒนธรรมต่างๆที่เข้ามา จึงทำให้เราสามารถเทียบตัวเองให้เท่ากับนานาอารยประเทศ และหมายความว่าเราเองไม่ได้ยึดติดกับสิ่งต่างมากนักซึ่งจะส่งผลให้การปิดกั้นทางความคิด ข้อมูลข่าวสาร และการจำกัดสิทธิเสรีภาพ ทำได้ยาก หรือทำไม้ได้นาน เพราะสังคมไทยเปลี่ยนตัวเองเป็นสังคมเปิดแล้ว
ทั้งนี้ นายวีระพงษ์ รามางกูร ยืนยันว่า ปัจจัยด้านคุณลักษณะทั้ง 4 ประการนั้น เป็นปัจจัยที่มีอยู่จริง และเป็นสิ่งที่ยืนยันความเหมาะต่อการพัฒนาสังคมไทยไปสู่ระบอบประชาธิปไตย
ปัจจัยต่อมาที่นายวีระพงษ์ ชี้ให้เราเห็นคือ การพัฒนาการเมืองที่เราทำได้ง่ายกว่าประเทศอื่น เพราะเป็นการพัฒนาทางด้านเศรษฐกิจและสังคม โดยได้ชี้ให้เห็นถึงเหตุการณ์หลังการปฏิวัติของจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ที่หลายคนมองว่าเป็นการทำให้การเมืองไทยเดินถอยหลัง แต่ในข้อเท็จจริงคือ การปฏิวัติครั้งนั้นทำให้การพัฒนาด้านเศรษฐกิจของประเทศไทยพัฒนาอย่างก้าวกระโดด และมีการแบ่งแยกไม่ให้รัฐกับเอกชนแข่งขันกันเอง เพื่อรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ รวมทั้งการยกเว้นภาษีขาออกในสมัยรัฐบาลพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ทำให้สินค้าเกษตรของไทยมีราคาเพิ่มขึ้น เนื่องจากการอิงราคาตลาดโลก รวมทั้งการส่งเสริมการลงทุนให้เกิดการเปลี่ยนในชนบทซึ่งเป็นผลจากการทำงานของ 4 กระทรวงในสมัยนั้น โดยเฉพาะกระทรวงสาธารณสุขที่มีบทบาทมากที่ในการพัฒนาด้านความเป็นอยู่ต่างๆ ในขณะที่กระทรวงมหาดไทยและกระทรวงศึกษาธิการ ที่มีความล่าช้าและไม่สามารถทำตามเป้าประสงค์ต่างๆที่วางไว้ได้ แต่ถึงอย่างนั้นการส่งเสริมการลงทุนให้เกิดเปลี่ยนแปลงในชนบทครั้งนั้น ทำให้พื้นที่ชนบทหายไปกว่า 90% รวมทั้งการนำไฟฟ้าเข้าไปสู่ชนบท ทำให้การไหลของข้อมูลเริ่มกระจายมากขึ้น การขนส่งต่างๆมีความทันสมัย และนำไปสู่การล่มสลายของชีวิตชนบทแบบเดิม โดยเฉพาะการใช้โทรศัพท์มือถือที่เข้ามามีบทบาทในชีวิตมากขึ้นในภาคธุรกิจและการค้าขาย
นอกจากนี้ นายวีระพงษ์ ยังกล่าวถึงเหตุการณ์ในปี พ.ศ.2475 ว่าการปกครองในขณะนั้นยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง อีกทั้งสภาในยุคนั้นยังถูกครอบงำโดยคณะราษฎร แม้ว่าสิ่งที่คณะราษฎรพยายามทำในขณะนั้นคือการทำให้คนไทยมีความยึดมั่นในรัฐธรรมนูญ อย่างเป็นขั้นเป็นตอน แต่ก็มาถูกจอมพลผิน ชุณหะวัณ ยึดอำนาจอีกครั้ง จนต้องกลับไปเริ่มต้นกันใหม่ แม้ว่าจะยังมีรัฐธรรมนูญแต่ก็เหมือนไม่มี และแม้แต่ว่าในสมัยพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เราก็ยังมีรัฐธรรมนูญแบบครึ่งใบ เพื่อคานอำนาจระหว่างรัฐบาลและทหาร จนกระทั้งเกิดการปฏิวัติขึ้นอีกครั้งในปี พ.ศ. 2535 ที่หลายคนคิดว่าจะเป็นครั้งซสุดท้าย แต่ในวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2549 เหตุการณ์เดิมก็เกิดขึ้นอีก
สิ่งที่นายวีระพงษ์ รามางกูรตั้งข้อสังเกตไว้คือ "ทั้งที่เรามีความพร้อมทุกอย่าง ทั้งการเมือง สังคม เศรษฐกิจ แต่ทำไมเราจึงยังไม่สามารถพัฒนาระบอบประชาธิปไตยในประเทศไทยได้"?
นายวีระพงษ์ไขข้อสงสัยดังกล่าว โดยปัจจัยที่เป็นเหมือนตัวฉุดการพัฒนาประชาธิปไตยของประเทศไทยว่า ประกอบด้วย
1) กลุ่มปัญญาชน ซึ่งถ้าพูดถึงปัญญาชนในอดีตนั้น เป็นเหมือนผู้กล้า เป็นผู้นำทางความคิดและจิตวิญญาณของประชาธิปไตย แต่หลังจากในปี พ.ศ. 2475 จนถึงปัจจุบัน ปัญญาชนของเรามีความอ่อนแอลง ไม่มีความกล้าและขาดจริยธรรมทางความคิดที่ต้องมีการทบทวนถึงบทบาทของตนเองอีกครั้ง
2) พรรคการเมือง ที่เป็นเฟืองจักรสำคัญในการพัฒนาและผลักดันกลไกของประชาธิปไตย แต่ที่ผ่านมาพรรคการเมืองไทยนั้นล้มลุกคลุกคลานมาโดยตลอด ส่วนที่ไม่ล้มไม่ลุกก็เป็นพรรคที่ไม่มีความกล้าที่จะแสดงออกทางการเมือง อีกทั้งการใช้ระบบการเมืองเพื่อทำลายกันเอง ส่งผลให้วัฒนธรรมทางการเมืองที่เชื่อมโยงกับการพัฒนาการเมืองและประชาธิปไตยอ่อนแอลง
3) สื่อมวลชน ที่เป็นผู้ถ่ายทอดความคิดของปัญญาชนและนโยบายของฝ่ายการเมืองให้ประชาชนรับรู้ แต่ที่ผ่านมาเราไม่เห็นบทบาทดังกล่าวของสื่อในปัจจุบัน ยิ่งเมื่อเทียบกับสื่อในสมัยรัฐกาลที่ 6-7 ที่มีความกล้าหาญและมีอุดมการณ์มากกว่านี้
4) กองทัพ ในปัจจุบันที่มีความอนุรักษ์นิยมมากเกินไป มองอนาคตใกล้เกินไป ทั้งในเรื่องการเมืองและสังคม ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากการอบรม หล่อหลอมทางการศึกษา
นายวีระพงษ์ รามางกูร ได้กล่าวทิ้งท้ายถึงการพัฒนาการเมืองในกระแสประชาธิปไตยว่า อย่าคิดว่าเรามีแต่ปัจจัยลบ ทั้งที่เรามีปัจจัยบวกที่ดีกว่าประเทศอื่นอยู่มาก แต่ด้วยกลไกต่างๆที่กล่าวมา คนรุ่นใหม่ต้องรับรู้ในบทบาทเหล่านี้ และนำประสบการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตมาปรับเพื่อการพัฒนาและผลักดันระบอบประชาธิปไตยในประเทศ
ทีามา.ประชาชาติธุรกิจ
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
เมื่อวันที่ 1 ธันวาคมโรงแรมสยามซิตี้ นายวีรพงษ์ รามางกูร อดีรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้กล่าวปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ “นักการเมืองรุ่นใหม่-กับแนวทางพัฒนาประชาธิปไตยในอนาคต” ซึ่งจัดขึ้นโดยสถาบันศึกษาการพัฒนาประชาธิปไตย ซึ่งมีนายจาตุรนต์ ฉายแสง เป็นประธาน และมูลนิธิคอนราด อเดนาวร์
นายวีรพงษ์ หรือ ดร.โกร่ง กล่าวถึงความสำคัญในส่วนของการเมืองที่เป็นปัจจัยในการพัฒนาประเทศไปสู่ระบบประชาธิปไตย ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นเพราะกระแสความเปลี่ยนแปลงของโลก ทั้งในด้านการผลิต การโทรคมนาคม และสื่อสารมวลชน ที่ได้ทำลายกำแพงของระบอบประชาธิปไตยแบบปิด และทำให้สังคมที่พยายามฝืนกระแสโลกาภิวัฒน์จะประสบกับปัญหาต่างๆ ทั้งในเรื่องการชะงักงันทางเศรษฐกิจ และการต่อต้านจากสังคมโลก จึงไม่แปลกที่จะรู้สึกว่าทั่วโลกมีความตระหนักถึงความสำคัญของระบอบประชาธิปไตย
นายวีรพงษ์ กล่าวถึงกระแสวิพากษ์วิจารณ์ที่มีอย่างต่อเนื่องตั้งแต่มีการเปลี่ยนระบอบการปกครองของไทย จากสมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นระบอบประชาธิปไตย ในปี 2475 ซึ่งถูกต่อต้านมาโดยตลอดว่า “สังคมไทยไม่สามารถพัฒนาประเทศตามแนวทางประชาธิปไตย” ซึ่งในความเห็นส่วนตัว นายวีระพงษ์ ยืนยันว่า การเปลี่ยนแปลงทางสังคมไทยในขณะนั้น “เอื้อ” ต่อการพัฒนาประชาธิปไตยไม่แพ้ชาติอื่นๆในโลก นั่นคือคุณลักษณะ 4 ประการที่คนไทยไม่เหมือนชาติ
1) ความอดทนอดกลั้น ซึ่งเป็นเครื่องยืนยันความเป็นคนไทยที่ไม่มีความขัดแย้งในเรื่องเชื้อชาติ ภูมิภาค เช่นคนจีนที่เข้ามาในเมืองไทยและได้รับการยอมรับ ความอดทนต่อความหลากหลายในเรื่องเชื้อชาติ และภาษา รวมทั้งการยอมรับในคำตัดสินของศาลโดยปราศจากกาสรต่อต้าน
2) คนไทยรู้จักประสานผลประโยชน์ เพราะในยุคที่มีการล่าอาณานิคม สิ่งที่คนไทยทำคือเราพยายามสร้างความประนีประนอมต่อต่างชาติ ในขณะที่ชาติประเทศเพื่อนบ้านของเราและอีกหลายประเทศทั่วโลกจับอาวุธขึ้นต่อต้าน จึงทำให้ไม่เกิดความรุนแรงขึ้นง่ายๆในสังคมไทย นอกเสียจากว่าสถานการณ์จะมีความสุกงอมจริงๆ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้มีเขียนไว้ในแบบเรียนของประเทศเพื่อนบ้านของเราว่า “ประเทศไทยเป็นประเทศที่เดินตามมหาอำนาจ” คือเวลาที่จีนเป็นใหญ่ เราก็เดินตามจีน สหรัฐเป็นใหญ่ เราก็เดินตามสหรัฐ ซึ่งเราทำเช่นนั้นมาโดยตลอด แม้ว่าทุกวันนี้เราจะยังไม่แน่ใจว่าควรจะเดินตามใครก็ตาม
3) ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ซึ่งสิ่งที่สะท้อนออกมาชัดเจนที่สุดคือ ความแตกต่างทางเชื้อชาติ ศาสนา และความคิดการใช้เวลาไม่ถึง 100 ปี ก็มีความกลมกลืนกันมากในประเทศ ซึ่งต่างจากประเทศเพื่อนของเราหลายๆประเทศที่ยังมีการแบ่งเขตภูมิภาค และการสู้รบตามแนวชายแดน รวมทั้งการไต่เต้าในสังคมด้วยการศึกษาและระบบอาชีพที่ไม่ได้ขึ้นอยู่กับชนชั้นปกครองเท่านั้น จึงทำให้สังคมไทยเป็นสังคมที่เปิดโอกาสให้คนทุกระดับได้สร้างทางเดินให้ตัวเอง แม้ว่าจะมีการใช้ฐานะและลักษณะอาชีพเป็นตัวแบ่ง แต่ก็ยังไม่สร้างความเสียหายรุนแรง ยกเว้นจะมีการปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรม หรือมีเรื่องที่เป่าให้ฟุ้งขึ้นมาจนรู้ถึงความไม่ชอบธรรม แต่ที่ผ่านมาก็ไม่ถูกโหมจนรุนแรงและลุกลาม เหมือนกับการ เหยียดสีผิวหรือศาสนาในต่างประเทศ
4) สังคมไทยเป็นสังคมที่เปิดตัวต่อวัฒนธรรมของโลก ที่จะเห็นได้จากการทำสนธิสัญญาเบาว์ริง ที่ทำให้เราได้เปิดหู เปิดตา และโอนอ่อนต่อวัฒนธรรมต่างๆที่เข้ามา จึงทำให้เราสามารถเทียบตัวเองให้เท่ากับนานาอารยประเทศ และหมายความว่าเราเองไม่ได้ยึดติดกับสิ่งต่างมากนักซึ่งจะส่งผลให้การปิดกั้นทางความคิด ข้อมูลข่าวสาร และการจำกัดสิทธิเสรีภาพ ทำได้ยาก หรือทำไม้ได้นาน เพราะสังคมไทยเปลี่ยนตัวเองเป็นสังคมเปิดแล้ว
ทั้งนี้ นายวีระพงษ์ รามางกูร ยืนยันว่า ปัจจัยด้านคุณลักษณะทั้ง 4 ประการนั้น เป็นปัจจัยที่มีอยู่จริง และเป็นสิ่งที่ยืนยันความเหมาะต่อการพัฒนาสังคมไทยไปสู่ระบอบประชาธิปไตย
ปัจจัยต่อมาที่นายวีระพงษ์ ชี้ให้เราเห็นคือ การพัฒนาการเมืองที่เราทำได้ง่ายกว่าประเทศอื่น เพราะเป็นการพัฒนาทางด้านเศรษฐกิจและสังคม โดยได้ชี้ให้เห็นถึงเหตุการณ์หลังการปฏิวัติของจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ที่หลายคนมองว่าเป็นการทำให้การเมืองไทยเดินถอยหลัง แต่ในข้อเท็จจริงคือ การปฏิวัติครั้งนั้นทำให้การพัฒนาด้านเศรษฐกิจของประเทศไทยพัฒนาอย่างก้าวกระโดด และมีการแบ่งแยกไม่ให้รัฐกับเอกชนแข่งขันกันเอง เพื่อรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ รวมทั้งการยกเว้นภาษีขาออกในสมัยรัฐบาลพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ทำให้สินค้าเกษตรของไทยมีราคาเพิ่มขึ้น เนื่องจากการอิงราคาตลาดโลก รวมทั้งการส่งเสริมการลงทุนให้เกิดการเปลี่ยนในชนบทซึ่งเป็นผลจากการทำงานของ 4 กระทรวงในสมัยนั้น โดยเฉพาะกระทรวงสาธารณสุขที่มีบทบาทมากที่ในการพัฒนาด้านความเป็นอยู่ต่างๆ ในขณะที่กระทรวงมหาดไทยและกระทรวงศึกษาธิการ ที่มีความล่าช้าและไม่สามารถทำตามเป้าประสงค์ต่างๆที่วางไว้ได้ แต่ถึงอย่างนั้นการส่งเสริมการลงทุนให้เกิดเปลี่ยนแปลงในชนบทครั้งนั้น ทำให้พื้นที่ชนบทหายไปกว่า 90% รวมทั้งการนำไฟฟ้าเข้าไปสู่ชนบท ทำให้การไหลของข้อมูลเริ่มกระจายมากขึ้น การขนส่งต่างๆมีความทันสมัย และนำไปสู่การล่มสลายของชีวิตชนบทแบบเดิม โดยเฉพาะการใช้โทรศัพท์มือถือที่เข้ามามีบทบาทในชีวิตมากขึ้นในภาคธุรกิจและการค้าขาย
นอกจากนี้ นายวีระพงษ์ ยังกล่าวถึงเหตุการณ์ในปี พ.ศ.2475 ว่าการปกครองในขณะนั้นยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง อีกทั้งสภาในยุคนั้นยังถูกครอบงำโดยคณะราษฎร แม้ว่าสิ่งที่คณะราษฎรพยายามทำในขณะนั้นคือการทำให้คนไทยมีความยึดมั่นในรัฐธรรมนูญ อย่างเป็นขั้นเป็นตอน แต่ก็มาถูกจอมพลผิน ชุณหะวัณ ยึดอำนาจอีกครั้ง จนต้องกลับไปเริ่มต้นกันใหม่ แม้ว่าจะยังมีรัฐธรรมนูญแต่ก็เหมือนไม่มี และแม้แต่ว่าในสมัยพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เราก็ยังมีรัฐธรรมนูญแบบครึ่งใบ เพื่อคานอำนาจระหว่างรัฐบาลและทหาร จนกระทั้งเกิดการปฏิวัติขึ้นอีกครั้งในปี พ.ศ. 2535 ที่หลายคนคิดว่าจะเป็นครั้งซสุดท้าย แต่ในวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2549 เหตุการณ์เดิมก็เกิดขึ้นอีก
สิ่งที่นายวีระพงษ์ รามางกูรตั้งข้อสังเกตไว้คือ "ทั้งที่เรามีความพร้อมทุกอย่าง ทั้งการเมือง สังคม เศรษฐกิจ แต่ทำไมเราจึงยังไม่สามารถพัฒนาระบอบประชาธิปไตยในประเทศไทยได้"?
นายวีระพงษ์ไขข้อสงสัยดังกล่าว โดยปัจจัยที่เป็นเหมือนตัวฉุดการพัฒนาประชาธิปไตยของประเทศไทยว่า ประกอบด้วย
1) กลุ่มปัญญาชน ซึ่งถ้าพูดถึงปัญญาชนในอดีตนั้น เป็นเหมือนผู้กล้า เป็นผู้นำทางความคิดและจิตวิญญาณของประชาธิปไตย แต่หลังจากในปี พ.ศ. 2475 จนถึงปัจจุบัน ปัญญาชนของเรามีความอ่อนแอลง ไม่มีความกล้าและขาดจริยธรรมทางความคิดที่ต้องมีการทบทวนถึงบทบาทของตนเองอีกครั้ง
2) พรรคการเมือง ที่เป็นเฟืองจักรสำคัญในการพัฒนาและผลักดันกลไกของประชาธิปไตย แต่ที่ผ่านมาพรรคการเมืองไทยนั้นล้มลุกคลุกคลานมาโดยตลอด ส่วนที่ไม่ล้มไม่ลุกก็เป็นพรรคที่ไม่มีความกล้าที่จะแสดงออกทางการเมือง อีกทั้งการใช้ระบบการเมืองเพื่อทำลายกันเอง ส่งผลให้วัฒนธรรมทางการเมืองที่เชื่อมโยงกับการพัฒนาการเมืองและประชาธิปไตยอ่อนแอลง
3) สื่อมวลชน ที่เป็นผู้ถ่ายทอดความคิดของปัญญาชนและนโยบายของฝ่ายการเมืองให้ประชาชนรับรู้ แต่ที่ผ่านมาเราไม่เห็นบทบาทดังกล่าวของสื่อในปัจจุบัน ยิ่งเมื่อเทียบกับสื่อในสมัยรัฐกาลที่ 6-7 ที่มีความกล้าหาญและมีอุดมการณ์มากกว่านี้
4) กองทัพ ในปัจจุบันที่มีความอนุรักษ์นิยมมากเกินไป มองอนาคตใกล้เกินไป ทั้งในเรื่องการเมืองและสังคม ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากการอบรม หล่อหลอมทางการศึกษา
นายวีระพงษ์ รามางกูร ได้กล่าวทิ้งท้ายถึงการพัฒนาการเมืองในกระแสประชาธิปไตยว่า อย่าคิดว่าเรามีแต่ปัจจัยลบ ทั้งที่เรามีปัจจัยบวกที่ดีกว่าประเทศอื่นอยู่มาก แต่ด้วยกลไกต่างๆที่กล่าวมา คนรุ่นใหม่ต้องรับรู้ในบทบาทเหล่านี้ และนำประสบการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตมาปรับเพื่อการพัฒนาและผลักดันระบอบประชาธิปไตยในประเทศ
ทีามา.ประชาชาติธุรกิจ
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
"บัญญัติ"ปูดแผน"คนบางกลุ่ม"บี้ตุลาการถอนตัวคดี258ล้าน ยกปมดีเอสไอสั่งไม่ฟ้อง"ไซฟ่อนเงิน"สู้
"บัญญัติ"รับคดี258ล.ไม่ง่าย
นายบัญญัติ บรรทัดฐาน กรรมการสภาที่ปรึกษาพรรค กล่าวถึงกระแสข่าวเปลี่ยนแปลงหัวหน้าทีมกฎหมายเพื่อต่อสู้คดียุบพรรคว่า ไม่มี คิดว่านายชวนเหมาะสมกว่าใคร มีความรอบรู้ในเรื่องนี้อย่างดี จึงไม่มีเหตุเปลี่ยนตัวแต่อย่างใด เมื่อถามถึงแนวทางสู้คดี 258 ล้านบาท นายบัญญัติกล่าวว่า ต้องรอฟังศาลวันที่ 9 ธันวาคมนี้ ซึ่งจะกำหนดประเด็นของคดี รวมถึงพยาน หลักฐานใครจะสืบประเด็นใด เข้าใจว่าคดี 258 ล้านบาท พยานหลักฐานมีส่วนเกี่ยวพันกับคดี 29 ล้านบาทอยู่แล้ว แต่ก็คงไม่ได้ช่วยให้การทำคดีง่าย แต่อาจทำให้ระยะเวลาของคดีสั้นลง เพราะหลายเรื่องมีการนำสืบพยานบางส่วนไปแล้ว
แจงแทนศาลรธน.รีบชี้ข้อกม.
นายบัญญัติยังกล่าวถึงที่มีการพูดว่าทำไมศาลถึงรีบรวบรัดตัดความวินิจฉัยประเด็นปัญหาเรื่องข้อกฎหมายเสียก่อน อยากทำความเข้าใจว่าศาลจะวินิจฉัยข้อกฎหมายก่อน เพราะจะช่วยร่นระยะเวลา ส่วนที่บางคนสงสัยว่าในเมื่อข้อกฎหมายมีอยู่แล้ว ทำไมไม่เร่งวินิจฉัยตั้งแต่ต้น เรื่องนี้ศาลจำเป็นที่จะต้องเปิดโอกาสให้การชี้แจงข้อเท็จจริงก่อน ก็จะไม่ทราบว่ามีความเกี่ยวข้องกับอายุความอย่างไร ซึ่งจะเห็นได้ชัดว่าประเด็นเรื่องข้อเท็จจริงที่มีการนำสืบกัน นายทะเบียนพรรคการเมืองให้ความเห็นแล้วหรือยัง แล้วเห็นว่ามีความผิดตั้งแต่เมื่อใด กรณีเช่นนี้ถ้าไม่สืบข้อเท็จจริงก่อน ศาลก็ไม่มีทางทราบ ดังนั้น จึงไม่อยากให้ไปตำหนิศาล เพราะถ้าไปทำให้ประชาชนไม่เข้าใจก็จะเป็นการซ้ำเติมสถานการณ์ทางการเมือง
ปูดแผนคนบี้ตุลาการถอนตัว
นายบัญญัติยังกล่าวว่า ความรู้สึกของ กกต.ลักษณะลงโทษซึ่งกันและกัน เรื่องแบบนี้ไม่เป็นประโยชน์ ทำไม กกต.ไม่มีความรู้สึกว่าตัวเองกำลังทำหน้าที่คล้ายกับพนักงานอัยการคือคนที่มีหน้าที่ฟ้องคดีอาญาต่อศาล ซึ่งแน่นอนว่าทุกคดีที่ฟ้องไม่ได้ชนะทุกคดี คือถ้าคิดว่าตัวเองทำดีแล้ว เมื่อศาลไม่เห็นด้วยก็ต้องจบกัน ซึ่งดีกว่าการมานั่งตีโพยตีพาย เพราะนอกเหนือจะมีปัญหากันเองแล้ว ยังทำให้คนสับสนมากขึ้น และดีไม่ดีอาจกระทบไปถึงสถานะของ กกต.ในฐานะที่เป็นองค์กรอิสระเองด้วย
เมื่อถามว่า มีกระแสข่าวกดดันตุลาการที่ตัดสินคดี 29 ล้านบาทถอนตัวออกจากคดี 258 ล้านบาท นายบัญญัติกล่าวว่า ตราบใดที่คดียังไม่จบ การเรียกร้องให้ตุลาการถอนตัว บางส่วนอาจจะมีความคิดในทางสุจริตอยู่บ้าง ส่วนหนึ่งต้องยอมรับว่าเป็นแผนการทางการเมืองของคนบางกลุ่ม ซึ่งมีความพยายามที่จะให้ตุลาการถอนตัวตั้งแต่ต้น อยากให้ระมัดระวัง
ยกปมดีเอสไอไม่ฟ้องไซฟ่อนสู้
เมื่อถามว่า ที่ผ่านมากรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เคยสั่งไม่ฟ้องคดีบริษัท ทีพีไอฯ ไซฟ่อนเงิน จะเป็นโอกาสที่ ปชป.ชนะคดีได้หรือไม่ นายบัญญัติกล่าวว่า จะบอกว่าชนะเสียทีเดียวคงพูดไม่ได้ จนกว่าศาลจะวินิจฉัย แต่ในทางคดีถือว่ามีน้ำหนักเหมือนกัน ส่วนพรรคจะใช้ประเด็นไหนไปสู้ ตนขอให้คณะผู้ว่าคดีได้คุยกันเสียก่อน ที่สำคัญต้องรอศาลวันที่ 9 ธันวาคมนี้
ที่มา.มติชน
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
นายบัญญัติ บรรทัดฐาน กรรมการสภาที่ปรึกษาพรรค กล่าวถึงกระแสข่าวเปลี่ยนแปลงหัวหน้าทีมกฎหมายเพื่อต่อสู้คดียุบพรรคว่า ไม่มี คิดว่านายชวนเหมาะสมกว่าใคร มีความรอบรู้ในเรื่องนี้อย่างดี จึงไม่มีเหตุเปลี่ยนตัวแต่อย่างใด เมื่อถามถึงแนวทางสู้คดี 258 ล้านบาท นายบัญญัติกล่าวว่า ต้องรอฟังศาลวันที่ 9 ธันวาคมนี้ ซึ่งจะกำหนดประเด็นของคดี รวมถึงพยาน หลักฐานใครจะสืบประเด็นใด เข้าใจว่าคดี 258 ล้านบาท พยานหลักฐานมีส่วนเกี่ยวพันกับคดี 29 ล้านบาทอยู่แล้ว แต่ก็คงไม่ได้ช่วยให้การทำคดีง่าย แต่อาจทำให้ระยะเวลาของคดีสั้นลง เพราะหลายเรื่องมีการนำสืบพยานบางส่วนไปแล้ว
แจงแทนศาลรธน.รีบชี้ข้อกม.
นายบัญญัติยังกล่าวถึงที่มีการพูดว่าทำไมศาลถึงรีบรวบรัดตัดความวินิจฉัยประเด็นปัญหาเรื่องข้อกฎหมายเสียก่อน อยากทำความเข้าใจว่าศาลจะวินิจฉัยข้อกฎหมายก่อน เพราะจะช่วยร่นระยะเวลา ส่วนที่บางคนสงสัยว่าในเมื่อข้อกฎหมายมีอยู่แล้ว ทำไมไม่เร่งวินิจฉัยตั้งแต่ต้น เรื่องนี้ศาลจำเป็นที่จะต้องเปิดโอกาสให้การชี้แจงข้อเท็จจริงก่อน ก็จะไม่ทราบว่ามีความเกี่ยวข้องกับอายุความอย่างไร ซึ่งจะเห็นได้ชัดว่าประเด็นเรื่องข้อเท็จจริงที่มีการนำสืบกัน นายทะเบียนพรรคการเมืองให้ความเห็นแล้วหรือยัง แล้วเห็นว่ามีความผิดตั้งแต่เมื่อใด กรณีเช่นนี้ถ้าไม่สืบข้อเท็จจริงก่อน ศาลก็ไม่มีทางทราบ ดังนั้น จึงไม่อยากให้ไปตำหนิศาล เพราะถ้าไปทำให้ประชาชนไม่เข้าใจก็จะเป็นการซ้ำเติมสถานการณ์ทางการเมือง
ปูดแผนคนบี้ตุลาการถอนตัว
นายบัญญัติยังกล่าวว่า ความรู้สึกของ กกต.ลักษณะลงโทษซึ่งกันและกัน เรื่องแบบนี้ไม่เป็นประโยชน์ ทำไม กกต.ไม่มีความรู้สึกว่าตัวเองกำลังทำหน้าที่คล้ายกับพนักงานอัยการคือคนที่มีหน้าที่ฟ้องคดีอาญาต่อศาล ซึ่งแน่นอนว่าทุกคดีที่ฟ้องไม่ได้ชนะทุกคดี คือถ้าคิดว่าตัวเองทำดีแล้ว เมื่อศาลไม่เห็นด้วยก็ต้องจบกัน ซึ่งดีกว่าการมานั่งตีโพยตีพาย เพราะนอกเหนือจะมีปัญหากันเองแล้ว ยังทำให้คนสับสนมากขึ้น และดีไม่ดีอาจกระทบไปถึงสถานะของ กกต.ในฐานะที่เป็นองค์กรอิสระเองด้วย
เมื่อถามว่า มีกระแสข่าวกดดันตุลาการที่ตัดสินคดี 29 ล้านบาทถอนตัวออกจากคดี 258 ล้านบาท นายบัญญัติกล่าวว่า ตราบใดที่คดียังไม่จบ การเรียกร้องให้ตุลาการถอนตัว บางส่วนอาจจะมีความคิดในทางสุจริตอยู่บ้าง ส่วนหนึ่งต้องยอมรับว่าเป็นแผนการทางการเมืองของคนบางกลุ่ม ซึ่งมีความพยายามที่จะให้ตุลาการถอนตัวตั้งแต่ต้น อยากให้ระมัดระวัง
ยกปมดีเอสไอไม่ฟ้องไซฟ่อนสู้
เมื่อถามว่า ที่ผ่านมากรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เคยสั่งไม่ฟ้องคดีบริษัท ทีพีไอฯ ไซฟ่อนเงิน จะเป็นโอกาสที่ ปชป.ชนะคดีได้หรือไม่ นายบัญญัติกล่าวว่า จะบอกว่าชนะเสียทีเดียวคงพูดไม่ได้ จนกว่าศาลจะวินิจฉัย แต่ในทางคดีถือว่ามีน้ำหนักเหมือนกัน ส่วนพรรคจะใช้ประเด็นไหนไปสู้ ตนขอให้คณะผู้ว่าคดีได้คุยกันเสียก่อน ที่สำคัญต้องรอศาลวันที่ 9 ธันวาคมนี้
ที่มา.มติชน
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
วันพฤหัสบดีที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2553
ศาลรัฐธรรมนูญกับมาตรฐานมโนสำนึก
วีรพัฒน์ ปริยวงศ์
นิติศาสตร์มหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยฮาวาร์ด (รางวัลทุนฟุลไบรท์และวิทยานิพนธ์เกียรตินิยม)
นิติศาสตร์บัณฑิต เกียรตินิยมอันดับหนึ่ง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
หมายเหตุจากผู้เขียน:
ความเห็นฉบับนี้เขียนขึ้นช่วงข้ามคืน ยังพร่องในความสมบูรณ์และหวังจะได้ปรับปรุงต่อไปในอนาคต หากผู้อ่านมีข้อคิดเห็น คำแนะนำ หรือข้อติติง ขอน้อมรับฟังที่ verapat@post.harvard.edu. ประเด็นวิชาการบางส่วนความเห็นในฉบับนี้ ได้เคยนำเสนอไว้แล้วในวิทยานิพนธ์ สืบค้นได้ที่ Google: “Verapat Harvard Paper” อนึ่ง “มาตรา” และ “กฎหมาย” ที่กล่าวถึงในความเห็นนี้ หมายถึง พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. ๒๕๕๐ (สำเนาดูได้ที่ http://www.parliament.go.th/mp2550/asset/law_party.pdf) เว้นแต่บริบทจะแสดงเป็นอื่น
บทความนี้เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๕๓ ณ http://sites.google.com/site/verapat/ (ดูฉบับเต็มและภาคผนวกในเว็บไซต์นี้)
บทนำ
ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยโดยเสียงข้างมาก โดยมติ ๔ ต่อ ๒ เสียงให้ยกคำร้องที่นายทะเบียนพรรคการเมืองขอให้มีคำสั่งยุบพรรคประชาธิปัตย์ กรณีการใช้เงินสนับสนุนพรรคการเมืองไม่เป็นไปตามกฎหมาย และรายงานการใช้เงินไม่ตรงตามความเป็นจริง (“กรณีเงิน ๒๙ ล้านบาท”) โดยให้เหตุผลว่า กระบวนการยื่นคำร้องขอให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ชอบด้วยกฎหมาย โดยขณะที่ทำความเห็นนี้ ศาลได้เผยแพร่คำวินิจฉัยเป็นลายลักษณ์อักษรต่อประชาชนอย่างไม่เป็นทางการ บนเว็บไซต์ศาลรัฐธรรมนูญ (http://www.constitutionalcourt.or.th/) มีทั้งสิ้น ๑๕ หน้า ซึ่งมีใจความตรงกับคำวินิจฉัยที่ศาลได้อ่าน และสื่อมวลชนได้รายงานต่อประชาชนไปเมื่อวันที่ ๒๙ พ.ย. ๒๕๕๓ แล้ว ต่อมาในวันที่ ๓๐ พ.ย. ๒๕๕๓ สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญได้เผยแพร่ข่าวที่ ๒๔/๒๕๕๓ โดยอธิบายถึงวิธีการลงมติของตุลาการเสียงข้างมากมีความเห็นเป็นสองกลุ่ม ซึ่งมิได้มีการระบุไว้ในคำวินิจฉัยอย่างไม่เป็นทางการ
ด้วยความอัศจรรย์ใจในคำวินิจฉัยและความเคารพอย่างแท้จริงต่อกฎหมายรัฐธรรมนูญ ผู้ทำความเห็นน้อมและยอมรับคำวินิจฉัยดังกล่าว อีกด้วยสำนึกในสิทธิและหน้าที่ตามมาตรา ๔๕, ๖๙ และ ๗๐ แห่งรัฐธรรมนูญ จึงได้ทำความเห็น ดังมีประการต่อไปนี้
๑. วิธีการกำหนดประเด็นเพื่อลงมติเป็นที่กังขา
ศาลวินิจฉัยโดยเสียงข้างมาก โดยมติ ๔ ต่อ ๒ เสียงให้ยกคำร้องที่นายทะเบียนพรรคการเมืองขอให้มีคำสั่งยุบพรรคประชาธิปัตย์ กรณีการใช้เงินสนับสนุนพรรคการเมืองไม่เป็นไปตามกฎหมาย และรายงานการใช้เงินไม่ตรงตามความเป็นจริง โดยให้เหตุผลว่า กระบวนการยื่นคำร้องขอให้ยุบพรรคพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่ที่มาจองตุลาการเสียงข้างมากนั้นมีแยกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มแรก ๓ เสียง เห็นว่า นายทะเบียนพรรคการเมืองยังไม่มีความเห็นให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์ และกลุ่มที่สอง ๑ เสียง เห็นว่า นายทะเบียนพรรคการเมืองได้ยื่นคำร้องต่อศาลเมื่อพ้นระยะเวลาสิบห้าวันตามที่กฎหมายกำหนด
หากเราพิจารณาในสาระของเหตุผลของตุลาการเสียงข้างมากกลุ่มแรกแล้ว จะเห็นว่าตุลาการทั้งสามมิได้ติดใจที่จะรับหรือปฏิเสธเรื่องการพ้นระยะเวลาสิบห้าวัน เพราะมองว่านายทะเบียนพรรคการเมืองยังไม่มีความเห็นให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์ ในทางกลับกัน สาระของเหตุผลของตุลาการเสียงข้างมากกลุ่มที่สองมีความเห็นชัดเจนว่านายทะเบียนพรรคการเมืองได้มีความเห็นให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์ นับตั้งแต่วันที่ ๑๗ ธันวาคม ๒๕๕๒ ไปแล้ว หากพิจารณา ตุลาการทั้งหกที่ลงมติอย่างระเอียด จะพบข้อสังเกตว่ามีตุลาการถึง ๓ เสียงที่เห็นว่า นายทะเบียนพรรคการเมืองได้มีความเห็นให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์ไปเรียบร้อยแล้ว ได้แก่ตุลาการเสียงข้างมากกลุ่มที่สอง ๑ เสียงบวกกับตุลาการเสียงข้างน้อยอีก ๒ เสียง ซึ่งเป็นผลทำให้มีเสียงมติที่ค้านกับเหตุผลของเท่ากับตุลาการเสียงข้างมากกลุ่มแรกอีก ๓ เสียงที่เห็น ว่านายทะเบียนพรรคการเมืองยังไม่มีความเห็นให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์
ในทางหนึ่งอาจมีผู้ให้เหตุผลว่า การกำหนดวิธีการลงมติเป็นไปถูกต้องแล้ว เพราะไม่จำเป็นต้องเข้าไปดูรายละเอียดของเหตุผล แต่ควรพิจารณาถึงผลสุดท้ายของการลงมติ ดังนั้น เมื่อตุลาการเสียงข้างมากทั้งสองกลุ่ม แม้จะมีเหตุผลต่างกัน แต่ท้ายที่สุดตุลาการทั้งสี่ก็ได้ข้อสรุปเดียวกันว่า กระบวนการยื่นคำร้องขอให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงเป็นมติข้างมากที่ชอบแล้วไม่ ผู้ทำความเห็นขอไม่ทักถ้วงถึงปัญหาเชิงตรรกะของการให้เหตุผลลักษณะดังกล่าวในรายละเอียด การกำหนดวิธีการลงมติที่น่ากังขาเช่นนี้ เคยมีนักวิชาการแสดงความเห็นถ้วงไว้แล้ว เช่น ในคดีซุกหุ้นที่ศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยไว้ในปี ๒๕๔๔
ผู้ทำความเห็นเพียงแต่จะย้อนถามว่า หากเราอาศัยตรรกะเดียวกันนี้เอง ที่ว่าแม้สาระแห่งเหตุผลต่างกันแต่หากสุดท้ายได้ข้อสรุปตรงกัน ก็นับรวมกันได้แล้วฉันใด ข้อสรุปที่ได้จากตุลาการเสียงข้างมาก ๑ เสียงบวกกับตุลาการเสียงข้างน้อยอีก ๒ เสียง ก็คือข้อสรุปที่ว่านายทะเบียนพรรคการเมืองได้มีความเห็นให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์ไปแล้ว อันจะหักล้างตุลาการเสียงข้างมากกลุ่มแรกอีก ๓ เสียง โดยมติที่เท่ากัน โดยฉันนั้น มิใช่หรือ?
หากจะลองเปลี่ยนจากตรรกะที่ยึดข้อสรุป มาเป็นตรรกะที่ยึดสาระแล้ว ผู้ทำความเห็นจะแสดงให้เห็นต่อไปว่า สาระแห่งเหตุผลของตุลาการเสียงข้างมากทั้งสี่ที่มีความเห็นเป็นสองกลุ่ม แม้จะอ้างว่าเป็นเหตุผลในการวินิจฉัยอีกทางหนึ่งก็ตาม ก็ยังขัดแย้งและหักล้างกันเองโดยสิ้นเชิง จนมิอาจถือได้ว่าเป็นมติตุลาการเสียงข้างมากที่ชอบธรรมได้
อนึ่ง มีข้อสังเกตเพิ่มเติมว่า จากการสำรวจข่าวสารที่สื่อมวลชนรายงานหลังจากมีการอ่านคำวินิจฉัยไปแล้ว ข้อวิพากษ์วิจารณ์ส่วนใหญ่ ดูจะเกี่ยวข้องกับประเด็นมติตุลาการ ๑ เสียง ที่เห็นว่าการยื่นคำร้องต่อศาลพ้นระยะเวลาสิบห้าวันตามที่กฎหมายกำหนดก่อน โดยประชาชนทั่วไปไม่ได้ทราบมาก่อนว่าเรื่องระยะเวลาเป็นเพียงมติ ๑ เสียง อีกทั้งคำวินิจฉัยลายลักษณ์อักษร อย่างไม่เป็นทางการที่ศาลได้เผยแพร่ต่อประชาชน บนเว็บไซต์ศาลรัฐธรรมนูญ ก็มิได้กล่าวไว้ชัด จนกระทั่งวันต่อมาได้มีการเผยแพร่ข่าวโดยสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญและมีการให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อมวลชนโดยตุลาการท่านหนึ่งเพื่อขยายความ คงหวังแต่เพียงว่าในอนาคต คำวินิจฉัยที่เผยแพร่ก็ดี หรือที่อ่านก็ดี คงจะชัดเจนขึ้น นอกจากนี้ คำวินิจฉัยส่วนตนของตุลาการแต่ละคนซึ่งรัฐธรรมนูญกำหนดให้ต้องทำให้เสร็จสิ้นและแถลงเป็นวาจาก่อนลงมติในคำวินิจฉัยกลางนั้น ก็น่าจะเผยแพร่ในเอกสารไปพร้อมกัน เพื่อช่วยให้ตุลาการไม่ต้องลำบากใจ ถูกเข้าใจผิดว่ามติใดเป็นของใคร อีกทั้งเพื่อให้ตุลาการไม่ต้องถูกตั้งคำถามว่า แรงตอบรับของสังคมต่อคำวินิจฉัยกลาง ได้กระทบต่อคำวินิจฉัยส่วนตนที่เปิดเผยเป็นลายลักษณ์อักษรภายหลังหรือไม่ อย่างไร
๒. เหตุผลทางกฎหมายไม่เป็นที่กระจ่างชัด
ไม่ว่าวิธีการลงมติเสียงข้างมากที่ปรากฏจะชอบธรรมหรือไม่ เหตุผลของตุลาการเสียงข้างมากทั้งสองกลุ่ม ก็ยังไม่เป็นที่กระจ่างชัดอีกทั้งขัดแย้งกันโดยสิ้นเชิง โดยผู้ทำความเห็นจะแสดงข้อคิดเห็นต่อเหตุผลของตุลาการ ๑ เสียงที่เห็นว่า ระยะเวลายื่นคำร้องต่อศาลต้องนับจากวันที่ ๑๗ ธันวาคม ๒๕๕๒ ก่อน จากนั้นจึงจะแสดงข้อคิดเห็นต่อเหตุผลของตุลาการเสียงข้างมากอีก ๓ เสียง ที่เห็นว่าในวันที่ ๑๒ เมษายน ๒๕๕๓ นายทะเบียนพรรคการเมืองยังไม่มีความเห็นให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์
๒.๑ เหตุผลเรื่องระยะเวลายื่นคำร้อง
ประเด็นหนึ่งที่ศาลใช้วินิจฉัยการยกคำร้องในคดีนี้คือ เหตุความผิดที่จะนำไปสู่การยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญตามมาตรา ๙๓ วรรคสองนั้น ได้ปรากฏต่อนายอภิชาต สุขัคคานนท์ ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมืองเมื่อใด
มาตรา ๙๓ วรรคสองบัญญัติว่า “เมื่อปรากฏต่อนายทะเบียนว่าพรรคการเมืองใดมีเหตุตามวรรคหนึ่ง” (เหตุในคดีนี้คือมาตรา ๘๒ กรณีการได้รับเงินและจัดทำรายงานการใช้จ่ายเงินสนับสนุนของพรรคการเมืองอย่างไม่ถูกต้อง) “ให้นายทะเบียนโดยความ
เห็นชอบของคณะกรรมการการเลือกตั้งยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่ความปรากฏต่อนายทะเบียน”
ศาลวินิจฉัยว่า เหตุความผิดได้ปรากฏต่อนายอภิชาต ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมืองเมื่อวันที่ ๑๗ ธันวาคม ๒๕๕๒ ดังนั้นเมื่อนายทะเบียนพรรคการเมืองได้ยื่นคำร้องคดีนี้ต่อศาลเมื่อวันที่ ๒๖ เมษายน ๒๕๕๓ จึงเป็นการยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญเกินระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด
คำถามคือ ศาลนำหลักหรืออะไรมาสรุปว่าระยะเวลาที่ต้องยื่นคำร้องต้องเริ่มนับตั้งแต่วันที่ ๑๗ ธันวาคม ๒๕๕๒
หากพิจารณาคำวินิจฉัย หน้า ๑๒-๑๓ ศาลอธิบายว่า เมื่อวันที่ ๑๗ ธันวาคม ๒๕๕๒ ในการประชุมคณะกรรมการการเลือกตั้งครั้งที่ ๑๔๔/ ๒๕๕๒ ในส่วนกรณีข้อกล่าวหาเกี่ยวกับคดีนี้ (กรณีเงิน ๒๙ ล้านบาท) คณะกรรมการการเลือกตั้งมีมติเสียงข้างมากสั่งตามรวมกันไปกับอีกข้อหา (กรณีเงิน ๒๕๘ ล้านบาท) ว่า ให้นายทะเบียนพรรคการเมืองมีความเห็นก่อนว่า แล้วจึงเสนอคณะกรรมการการเลือกตั้งนั้น เป็นความไม่ชัดเจนในการปรับบทบังคับใช้กฎหมายในองค์กรขณะนั้นเท่านั้น
ศาลอธิบายต่อว่า ในการประชุมครั้งที่ ๔ ๑/๒๕๕๓ วันที่ ๑๒ เมษายน ๒๕๕๓ คณะกรรมการการเลือกตั้งเสียงข้างมากให้เหตุผลว่า ข้อเท็จจริงทั้งสองข้อกล่าวหาเกี่ยวพันกัน จึงยังคงมีมติให้แจ้งนายทะเบียนพรรคการเมืองดำเนินการตามมาตรา ๙๕ (กรณีเงิน ๒๕๘ ล้านบาท) เช่นเดิม โดยนายทะเบียนพรรคการเมืองและนายวิสุทธิ์ โพธิแท่น กรรมการการเลือกตั้ง มีความเห็นให้นายทะเบียนพรรคการเมืองยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญตามมาตรา ๙๓ วรรคสอง (กรณีเงิน ๒๙ ล้านบาท) และต่อมาในการประชุมครั้งที่ ๔๓/ ๒๕๕๓ วันที่ ๒๑ เมษายน ๒๕๕๓ คณะกรรมการการเลือกตั้งมีมติเอกฉันท์ (นายอภิชาต มิได้เข้าประชุม) ยืนยันเห็นชอบให้นายทะเบียนพรรคการเมืองยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ ตามมาตรา ๙๓ วรรคสอง
ศาลอธิบายต่อว่า เหตุการณ์เหล่านี้ แสดงให้เห็นว่า มติเสียงข้างมากของคณะกรรมการการเลือกตั้งนั้น เห็นชอบให้นายทะเบียนพรรคการเมืองยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ ตามมาตรา ๙๓ วรรคสอง ตั้งแต่วันที่ ๑๗ ธันวาคม ๒๕๕๒ แล้ว โดยนายทะเบียนพรรคการเมืองไม่จำต้องเสนอความเห็นก่อนอย่างใด กรณีถือได้ว่าคดีนี้ ความได้ปรากฏต่อนายทะเบียนพรรคการเมืองว่า พรรคประชาธิปัตย์มีกรณีตามมาตรา ๙๓ วรรคแรกแล้ว และคณะกรรมการการเลือกตั้งเห็นชอบให้ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญได้แล้ว และระยะเวลาที่ต้องยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญภายในสิบห้าวัน จึงต้องเริ่มนับตั้งแต่วันที่ ๑๗ ธันวาคม ๒๕๕๒ อันเป็นวันที่คณะกรรมการการเลือกตั้งมีมติดังกล่าว
นอกจากนี้ ในคำวินิจฉัยหน้า ๑๔ ศาลกล่าวต่อว่า วันที่ ๑๗ ธันวาคม ๒๕๕๒ เป็นวันที่คณะกรรมการการเลือกตั้งมีมติเสียงข้างมากในการพิจารณารายงานของคณะกรรมการสืบสวนสอบสวนชุดที่นายอิสระ ลิ้มศิริวงศ์ เป็นประธาน ในครั้งแรก และถือเป็นวันที่ความปรากฏต่อนายทะเบียนพรรคการเมือง
จากการให้เหตุผลของศาล ผู้ทำความเห็นตั้งข้อสังเกตดังนี้
๒.๑.๑ ผู้ทำความเห็นเข้าใจว่า ระยะเวลาสิบห้าวันจะเริ่มนับได้ต่อเมื่อนายทะเบียนพรรคการเมืองได้เห็นว่าเหตุความผิดปรากฏต่อตัวนายทะเบียน แล้วจึงอาศัยความเห็นชอบของคณะกรรมการการเลือกตั้งยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ ในฐานะประชาชนที่ไม่อาจเข้าถึงเอกสารแห่งคดีได้ทั้งหมด ผู้ทำความเห็นย่อมต้องอาศัยข้อเท็๋จจริงที่ศาลอธิบายในคำวินิจฉัย แต่หากอ่านจากคำวินิจฉัยแล้ว ไม่มีส่วนใดเลยที่ศาลยกพยานหลักฐานมาแสดงอย่างชัดเจนว่า ณ วันที่ ๑๗ ธันวาคม ๒๕๕๒ นายอภิชาต ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมือง ได้ให้การรับว่าตนได้เห็นเหตุความผิดปรากฏขึ้นต่อตนแล้วหรือยัง
๒.๑.๒ ในทางตรงกันข้าม ข้อเท็จจริงที่ศาลรับฟังในคำวินิจฉัย หน้า ๖ ระบุว่า เมื่อวันที่ ๑๗ ธันวาคม ๒๕๕๒ นายอภิชาตในฐานะประธาน กรรมการการเลือกตั้ง มีความเห็นว่า จากการตรวจสอบรายงานเอกสารการใช้จ่ายเงินของพรรคประชาธิปัตย์ ไม่พบความผิดปกติในระบบเอกสารแต่อย่างใด และในวันเดียวกันนั้นเอง ย่อมหมายความว่า นายอภิชาตในฐานะประธานกรรมการการเลือกตั้งมิได้เห็นเหตุความผิดปรากฏขึ้นต่อตน (ในฐานะประธาน กรรมการการเลือกตั้ง) แต่อย่างใด
จริงอยู่ ศาลควรพิจารณาข้อกฎหมายที่กำหนดให้นายอภิชาต ประธานกรรมการการเลือกตั้งเป็นนายทะเบียนพรรคการเมืองในเวลาเดียวกัน ดังนั้นแม้เป็นคนเดียวกันแต่มีบทบาทหน้าที่ต่างกัน ซึ่งศาลก็ได้อธิบายไว้ในคำวินิจฉัยอย่างดี เช่น ในหน้า ๑๐-๑๑ ว่า การลงมติในที่ประชุมคณะกรรมการการเลือกตั้งซึ่งนายอภิชาตเข้าร่วมด้วยในฐานะประธานกรรมการการเลือกตั้ง นายทะเบียนพรรคการเมืองไม่มีอำนาจที่จะร่วมลงมติในการประชุมของคณะกรรมการการเลือกตั้งได้ การลงมติดังกล่าวจึงแตกต่างจากการสั่งที่ให้นำเรื่องเข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการการเลือกตั้งในฐานะของนายทะเบียนพรรคการเมือง หรือที่ว่า การที่กฎหมายให้นายทะเบียนพรรคการเมืองเป็นผู้ยื่นคำร้องในคดีนี้ต่อศาลย่อมหมายความว่า ประธานกรรมการการเลือกตั้งไม่มีอำนาจยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญเป็นคดีนี้ฉันใด การทำความเห็นส่วนตนของนายอภิชาตในการประชุมคณะกรรมการการเลือกตั้ง ในฐานะประธานกรรมการการเลือกตั้งเมื่อวันที่ ๑๒ เมษายน ๒๕๕๓ จึงมิใช่การทำความเห็นของนายทะเบียนพรรคการเมืองฉันนั้น
แต่คำอธิบายอันฟังสละสลวยดังกล่าวก็เพียงแต่คำอธิบายในเรื่องบทบาทหน้าที่ โดยศาลพยายามจะอธิบายว่าวันที่ ๑๒ เมษายน ๒๕๕๓ นายอภิชาตในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมืองมิได้ให้ความเห็น (และไม่สามารถให้ความเห็น) ในที่ประชุมคณะกรรมการการเลือกตั้งเท่านั้น ซึ่งเป็นคนละประเด็นกับเรื่องว่าเหตุความผิดปรากฏต่อนายทะเบียนในวันที่ ๑๗ ธันวาคม ๒๕๕๒ แล้วหรือไม่แต่อย่างใด ทั้งนี้เพราะมาตรา ๙๓ วรรคสอง เองก็ได้บัญญัติให้นายทะเบียนพรรคการเมืองต้องได้รับความเห็นชอบด้วยกันในเรื่องเดียวกันจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง แม้บทบาทหน้าที่จะต่างกัน แต่ กฎหมายก็ให้ตัวนายทะเบียน และประธานกรรมการการเลือกตั้งผู้เป็นส่วนหนึ่งของคณะกรรมการการเลือกตั้ง มีบทบาทในการพิจารณาประเด็นในเรื่องเดียวกัน กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือต้องอาศัยมโนสำนึกในทางกฎหมายของนักนิติศาสตร์คนหนึ่งที่เป็นมาตรฐานเดียวกัน
ท้ายที่สุด ศาลก็สรุปว่าเหตุความผิดปรากฏต่อนายทะเบียนในวันที่ ๑๗ ธันวาคม ๒๕๕๒ แล้ว การวินิจฉัยของศาลลักษณะนี้ ทำให้เกิดความแปลกประหลาด กล่าวคือ นายอภิชาต ผู้เคยเป็นถึงประธานแผนกคดีในศาลฎีกา ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา ซึ่งเป็นนักนิติศาสตร์ที่กฎหมายให้ความไว้วางใจสวมหมวกสำคัญสองใบในเวลาเดียวกันเพื่อสามารถดำเนินภารกิจขององค์กรให้มีประสิทธิภาพไปพร้อมกัน สามารถมีมโนสำนึกในทางกฎหมายแยกเป็นสองมาตรฐาน มาใช้วินิจฉัยข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายกรณีเดียวกัน ให้ปรากฏผลต่างกันในเวลาเดียวกันได้ กล่าวคือ ในวันที่ ๑๗ ธันวาคม ๒๕๕๒ ศาลรับฟังว่า นายอภิชาตในฐานะประธานกรรมการการเลือกตั้ง มีความเห็นว่า จากการตรวจสอบรายงานเอกสารการใช้จ่ายเงินของพรรคประชาธิปัตย์ ไม่พบความผิดปกติในระบบเอกสารแต่อย่างใด และในวันเดียวกันนั้นเอง ศาลกำลังบอกว่า นายอภิชาต ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมือง ได้มีมโนสำนึกแยกเป็นอีกหนึ่งมาตรฐาน โดยเห็นว่า เหตุความผิดกรณีพรรคประชาธิปัตย์ ได้รับเงินและจัดทำรายงานการใช้จ่ายเงินสนับสนุนของพรรคการเมืองไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ได้ปรากฏขึ้นให้ตนเห็นแล้ว กระนั้นหรือ?
๒.๑.๔ ที่น่าอัศจรรย์ใจยิ่งกว่านั้น คือตุลาการเสียงข้างมากผู้ทำคำวินิจฉัยเอง ก็ดูเหมือนจะมีมโนสำนึกในทางกฎหมายที่แยกเป็นสองมาตรฐานในวันเดียวกันที่เขียนคำวินิจฉัยเดียวกัน แม้จะร่วมกันเป็นเสียงข้างมากศาลจะสวมหมวกแต่เพียงใบเดียวในฐานะศาลรัฐธรรมนูญก็ตาม ดังนี้
ในช่วงแรกของคำวินิจฉัย ในส่วนที่เกี่ยวกับตุลาการเสียงข้างมาก ๓ เสียง ที่เห็นว่า นายทะเบียนพรรคการเมืองยังไม่มีความเห็นให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์ (หน้า ๘-๑๐) ศาลได้อธิบายว่า กฎหมายบัญญัติให้ประธานกรรมการการเลือกตั้งเป็นนายทะเบียนพรรคการเมือง แต่ในส่วนมาตรา ๙๓ วรรคสอง ที่เป็นประเด็นในคดีนี้ กฎหมายได้บัญญัติให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (ซึ่งรวมถึงประธานกรรมการการเลือกตั้ง) และนายทะเบียนพรรคการเมือง ใช้อำนาจหน้าที่ในลักษณะร่วมมือ หรือถ่วงดุลกัน กฎหมายบัญญัติให้นายทะเบียนพรรคการเมืองเป็นผู้วินิจฉัยว่า มีการกระทำความผิดตามมาตรา ๘๒ แห่งพระราชบัญญติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.๒๕๕๐ หรือไม่ เนื่องมาจากนายทะเบียนพรรคการเมืองมีหน้าที่ดูแลการปฏิบัติพรรคการเมืองให้เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนดและเป็นผู้ที่ทราบรายละเอียดการปฏิบัติของพรรคการเมืองเป็นอย่างดี กล่าวคือ ศาลได้อธิบายหลักว่าแม้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (ซึ่งรวมถึงนายอภิชาตในฐานะประธานด้วย) ไม่สามารถบังคับให้นายอภิชาตในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมืองให้ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญได้ ตราบใดที่นายอภิชาตในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมืองไม่พบเหตุการกระทำความผิด (เช่น ตามมาตรา ๘๒) คณะกรรมการการเลือกตั้งย่อมไม่สามารถมีมติให้ยื่นคำร้องตามมาตรา ๙๓ วรรคสองได้
ผู้ทำความเห็นก็เห็นพ้องด้วยกับหลักที่ศาลได้อธิบายไว้ในส่วนนี้ อีกทั้งหากพิจารณามาตรา ๘๒ ประกอบกับ มาตรา ๔๒ วรรคสอง ซึ่งเป็นขั้นตอนสำคัญก่อนจะไปสู่การยื่นเรื่องในมาตรา ๙๓ วรรคสองแล้ว จะเห็นว่ากฎหมาย บัญญัติให้พรรคการเมืองไม่ได้รายงานการใช้จ่ายเงินสนับสนุนให้ถูกต้องตามความเป็นจริงภายในเดือนมีนาคมของปีถัดไปแล้ว ก็ให้นายทะเบียนพรรคการเมือง มีอำนาจสั่งให้หัวหน้าพรรคการเมืองรายงานภายในระยะเวลาที่กำหนด ถ้าพ้นกำหนดระยะเวลาแล้วยังมิได้รายงาน โดยไม่มีเหตุผลอันสมควร ให้นายทะเบียนพรรคการเมืองโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการการเลือกตั้งดำเนินการเพื่อให้มีการยุบพรรคการเมืองนั้น จึงเห็นได้ว่ากฎหมายได้ให้ความสำคัญกับนายทะเบียนพรรคการเมือง เป็นผู้มีดุลยพินิจพิจารณาระยะเวลากับเหตุผลอันสมควร ซึ่งอาจเป็นเพราะนายทะเบียนต้องอาศัยการพินิจพิเคราะห์ ตรวจสอบข้อมูลเพิ่มเติม ก่อนจะวินิจฉัยว่ามีเหตุปรากฏอย่างแท้จริงอันนำไปสู่ขั้นตอนการยื่นคำร้องตามมาตรา ๙๓ วรรคสองได้ มิเช่นนั้นแล้ว ก็อาจมี ผู้อ้างได้โดยง่ายว่า ตนได้ส่งข้อมูลแสดงเหตุความผิดให้นายทะเบียนพรรคการเมืองได้รับทราบไปเมื่อสิบห้าวันก่อน และถือว่าเหตุได้ปรากฏต่อนายทะเบียนแล้ว
อย่างไรก็ดี ในช่วงหลังของคำวินิจฉัยในส่วนที่เกี่ยวกับเหตุผลของตุลาการ ๑ เสียง (หน้า ๑๑) ศาลกลับอธิบายทำนองเป็นเหตุผลทางเลือกว่า คณะกรรมการการเลือกตั้งมีอำนาจที่จะควบคุมและกำกับการดูแลการปฏิบัติหน้าที่ของนายทะเบียนพรรคการเมืองได้ นายทะเบียนพรรคการเมืองจะต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามมติของคณะกรรมการการเลือกตั้งและนายทะเบียนพรรคการเมืองต้องยื่นคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งยุบพรรคการเมืองตามขั้นตอนและระยะเวลาที่กำหนด และต่อมา (หน้า ๑๓) ว่ามติเสียงข้างมากของคณะกรรมการการเลือกตั้ง ในวันที่ ๑๗ ธันวาคม ๒๕๕๒ (โดยมีนายอภิชาตในฐานะประธานกรรมการการเลือกตั้ง เป็นเสียงข้างน้อยที่ไม่เห็นด้วย) ที่เห็นชอบให้อภิชาตในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมืองยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง เป็นกรณีที่ถือได้ว่า เหตุได้ปรากฏต่อนายทะเบียนพรรคการเมืองว่าตาม มาตรา ๙๓ แล้ว และต่อมา (หน้า ๑๔) ว่าวันที่ ๑๗ ธันวาคม ๒๕๕๒ เป็นวันที่คณะกรรมการการเลือกตั้งมีมติเสียงข้างมากในการพิจารณารายงานของคณะกรรมการสืบสวนสอบสวนชุดที่นายอิสระ ลิ้มศิริวงศ์ เป็นประธาน ในครั้งแรกและถือเป็นวันที่ความปรากฏต่อนายทะเบียนพรรคการเมืองแล้ว
การให้เหตุผลเช่นนี้ ฟังประหนึ่งว่า นายอภิชาตในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมืองจะเห็นเหตุตามมาตรา ๙๓ วรรคสองปรากฏต่อตนเมื่อใด ย่อมต้องพิจาราณาตามเวลาที่มีมติเสียงข้างมากของคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือตามวันที่ได้มีการพิจารณารายงานของคณะกรรมการสืบสวนสอบสวน ถึงแม้ในเวลานั้น มโนสำนึกในทางกฎหมายของนายอภิชาตในฐานะนักนิติศาสตร์คนหนึ่งขณะนั้น เองจะไม่เห็นเหตุปรากฏต่อตนก็ตาม หากเป็นเช่นนี้แล้ว การใช้อำนาจหน้าที่ในลักษณะร่วมมือหรือถ่วงดุลกันระหว่างคณะกรรมการการเลือกตั้งและนายทะเบียนพรรคการเมือง ดังที่ศาลเองได้อธิบายไว้ ในช่วงแรกของคำวินิจฉัย (หน้า ๘-๑๐) ก็จะไม่เกิดขึ้น ส่งผลที่แปลกประหลาดคือนายทะเบียนพรรคการเมืองต้องยอม ตามมติหรือความเห็นของผู้อื่น ทั้งที่กฎหมายจะบัญญัติบทบาท หน้าที่ อำนาจและดุลยพินิจหลายประการให้แก่นายทะเบียนพรรคการเมืองก็ตาม
อีกทั้งหากกลับไปพิจารณาตรรกะของวิธิในการลงมติแล้ว โดยพิจารณาสาระของเหตุผลของตุลาการเสียงข้างมากมีความเห็นเป็นสองกลุ่ม ที่หักล้างกันเองเสียแล้ว แม้จะอ้างว่าเป็นเหตุผลในการวินิจฉัยอีกทางหนึ่งก็ตาม ก็ยังขัดแย้งและหักล้างกันเองโดยสิ้นเชิง
๒.๑.๕ หากเราเห็นด้วยว่าการยื่นคำร้องในคดีนี้พ้นระยะเวลาตามที่กฎหมายกำหนดจริง มโนสำนึกในทางกฎหมายย่อมนำพาให้พิเคราะห์ว่า ระยะเวลาสิบห้าวันดังกล่าว มีเจตนารมณ์และความมุ่งหมายเพื่อการใด
หากลองเปรียบเทียบข้อกฎหมายเกี่ยวกับระยะเวลาที่พอคุ้นเคย เช่นอายุความการฟ้องคดีแพ่ง หากผู้เสียหายไม่ฟ้องในระยะเวลาที่กำหนด เช่นภาย ๑ ปีก็ดี หรือใน ๑๐ ปีก็ดี แล้วแต่กรณี และคู่ความอีกฝ่ายยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ ผู้ฟ้องคดีย่อมเสียสิทธิ ทั้งนี้เพราะเจตนารมณ์ของกฎหมายแพ่งส่วนหนึ่งก็เพื่อสนับสนุนให้ผู้เสียหายระมัดระวังและไม่เพิกเฉยดูดายต่อความเสียหายต่อสิทธิของตน รีบหาทางป้องกัน เยียวยาแก้ปัญหา ไม่ใช่สะสมความเสียหายไว้มาตั้งเป็นคดีหากได้เปรียบภายหลัง อีกทั้งเมื่อเวลาผ่านไปนาน พยานหลักฐานอาจสูญหายยากต่อการพิสูจน์
หากพิจารณาในบริบทคดีปกครองทั่วไป กฎหมายปกครองกำหนดระยะเวลาฟ้องคดีที่กระชับพอเหมาะ เช่น ต้องยื่นฟ้องภายในเก้าสิบวันนับแต่วันที่รู้หรือควรรู้ถึงเหตุแห่งการฟ้องคดี เพราะการเพิกถอนการกระทำทางปกครองที่ดำเนินการไปนานและมีผลเป็นการทั่วไปแล้วอาจเกิดความวุ่นวายได้ กระนั้นก็ดี ในบางกรณีที่ยื่นฟ้องเมื่อพ้นกำหนดเวลาการฟ้องคดีแล้ว ถ้าศาลปกครองเห็นว่าคดีที่ยื่นฟ้องนั้นจะเป็นประโยชน์แก่ส่วนรวมหรือมีเหตุจำเป็นอื่น ศาลปกครองจะรับไว้พิจารณาก็ได้ ทั้งนี้เพราะเจตนารมณ์และความมุ่งหมายสำคัญของกฎหมายปกครองก็คือการคุ้มครองประโยชน์สาธารณะ
หากพิจารณาในบริบทวิธีบัญญัติทั่วไป ข้อกฎหมายที่บังคับให้คู่ความในคดีต้องยื่นเอกสารให้ศาลและคู่ความอีกฝ่ายภายในเวลาที่กำหนด ก็เพื่อให้ศาลและคู่ความอีกฝ่ายสามารถมีเวลาตรวจสอบเอกสารและเตรียมตัวได้ทันการ มิใช่นำหลักฐานหรือข้อหาใหม่มากล่าวหาโดยอีกฝ่ายมิได้ตั้งตัว เป็นต้น
หรือหากจะพิจารณาในบริบทของหลักความชอบแห่งกระบวนการทางกฎหมาย (due process of law) ซึ่งเป็นองค์ประกอบหนึ่งของหลักนิติธรรมที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญแล้ว กฎหมายย่อมป้องกันมิให้ผู้ใช้อำนาจสามารถใช้อำนาจละเมิดกระบวนการที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายเพื่อได้มาซึ้งเป้าหมายที่อาจจะชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ก็ตาม เช่น การลักลอบนำหลักฐานการกระทำผิดที่ตำรวจได้มาโดยการใช้อำนาจตรวจค้นที่ผิดกฎหมาย เพื่อมาดำเนินคดีกับผู้ต้องหาแม้ผู้ต้องหาจะกระทำผิดจริงก็ตาม เพราะหากปล่อยให้วิธีการที่ผิดนำไปสู่ผลที่อาจจะถูกแล้ว ก็จะเปิดช่องให้มีการใช้อำนาจริดรอนสิทธิเสรีภาพได้ไม่จำกัด เพียงแค่อ้างในเป้าหมายเป็นสำคัญ
จากตัวอย่างเหล่านี้ หากหันมาพิจารณาเจตนารมณ์และความมุ่งหมายของระยะเวลาสิบห้าวันในบริบทกฎหมายว่าด้วยพรรคการเมืองที่ศาลวินิจฉัยในคดีนี้แล้ว พิเคราะห์ได้ว่า การสอดส่องติดตามกิจกรรมและการเงินของพรรคการเมืองเป็นเรื่องสำคัญของการปกครองในระบอบประชาธิปไตย กฎหมายจึงกำหนดระยะเวลาให้นายทะเบียนพรรคการเมืองและคณะกรรมการการเลือกตั้ง ต้องเร่งรัดดำเนินการตรวจสอบ หากพบว่ามีเหตุความผิดปรากฏต่อนายทะเบียน นายทะเบียนย่อมต้องหารือกับคณะกรรมการการเลือกตั้ง พิจารณายื่นคำร้องต่อศาลโดยไม่ชักช้า เช่น จะอ้างว่ากรรมการการเลือกตั้งติดธุระไม่ได้
ดั้งนั้น ระยะเวลาสิบห้าวันซึ่งสั้นมากจึงมุ่งบังคับให้กระบวนการตรวจสอบอันสำคัญต่อกระบวนการประชาธิปไตยและประโยชน์ส่วนรวมเกิดขึ้น ซึ่งต่างจากลักษณะของอายุความที่มีระยะเวลาเป็นปีในคดีแพ่ง หรือระยะเวลาในบริบทกฎหมายอื่น และที่สำคัญย่อมไม่ใช่ กรณีที่ความชอบแห่งกระบวนการทางกฎหมายจะเสียไป เพราะแม้ นายทะเบียนพรรคการเมืองจะยื่นคำร้องเกินไปอีกเดือน หรือ อีกปี ก็มิได้เป็นกรณีที่ นายทะเบียนและคณะกรรมการการเลือกตั้ง ใช้อำนาจโดยมิชอบต่อพรรคประชาธิปัตย์เพื่อได้มาซึ่งการเอาผิด แต่เป็นการทำผิดพลาดภายในองค์กรเสียเอง เว้นเสียแต่จะมีข้อเสียเปรียบที่ปรากฏ เช่น ยื่นคำร้องเกินไปสิบปีจนพรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้เก็บหลักฐานไว้สู้คดีแล้ว จริงอยู่ว่าผลของการยื่นคำร้องเกินกำหนดสิบห้าวันอาจนำไปสู่การต้องรับผิดของผู้มีหน้าที่ยื่นคำร้องตามกฎหมาย แต่ก็จากข้อเท็จจริงที่ปรากฏว่าพรรคประชาธิปัตย์ก็ได้สู้คดีโดยสง่างามอย่างเต็มที่ ก็ไม่สมควรเป็นเหตุให้ศาลต้องล้มเลิกกระบวนการเพื่อวินิจฉัยข้อเท็จจริงอันเป็นสาระสำคัญของระบอบประชาธิปไตย ซึ่งเป็นเป้าหมายที่ระยะเวลาสิบห้าพยายามทำให้เกิดเสียแต่แรก
ในทางกลับกัน หากเรายึดระยะเวลาสิบห้าวันดังที่ปรากฏในคำวินิจฉัยแล้ว อาจเกิดข้อโต้เถียงในอนาคตว่า แท้จริงแล้ว เหตุตามมาตรา ๙๓ วรรคแรก ได้ปรากฏต่อนายทะเบียนพรรคการเมืองเมื่อใด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในคดีที่มีปริมาณพยานหลักฐานมาก ซ้ำร้ายยังจะเป็นการกดดันให้นายทะเบียนและ คณะกรรมการการเลือกตั้ง ลังเลที่จะใช้เวลาเพื่อพิจารณาเหตุความผิดโดยละเอียดในที่สุด
๒.๒ เหตุผลเรื่องนายทะเบียนพรรคการเมืองยังไม่มีความเห็นให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์
ศาลอธิบายในคำวินิจฉัย (หน้า ๙-๑๑) ว่า เมื่อวันที่ ๑๗ ธันวาคม ๒๕๕๒ ในการประชุมคณะกรรมการการเลือกตั้งครั้งที่ ๑๔๔/ ๒๕๕๒ ในส่วนกรณีข้อกล่าวหาเกี่ยวกับคดีนี้ (กรณีเงิน ๒๙ ล้านบาท) คณะกรรมการการเลือกตั้งมีมติเสียงข้างมากสั่งตามรวมกันไปกับอีกข้อหา (กรณีเงิน ๒๕๘ ล้านบาท) ว่า ให้นายทะเบียนพรรคการเมืองมีความเห็นก่อนว่า แล้วจึงเสนอคณะกรรมการการเลือกตั้งนั้น เป็นความไม่ชัดเจนในการปรับบทบังคับใช้กฎหมายในองค์กรขณะนั้นเท่านั้น การที่นายอภิชาตได้ทำความเห็นส่วนตนในการลงมติเมื่อวันที่ ๑๒ เมษายน ๒๕๕๓ เป็นการกระทำในฐานะประธานกรรมการการเลือกตั้ง ความเห็นของนายอภิชาตในการลงมติดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของมติที่ประชุมคณะกรรมการการเลือกตั้ง ซึ่งนายทะเบียนพรรคการเมืองไม่มีอำนาจใดๆ ที่จะร่วมลงมติในการประชุมของคณะกรรมการการเลือกตั้ง
ศาลอธิบายต่อว่าการลงมติดังกล่าวแตกต่างจากการสั่งที่ให้นำเรื่องเข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการการเลือกตั้งในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมือง ที่ได้มีความเห็น เช่นนั้นก่อนแล้ว จึงเสนอความเห็นให้คณะกรรมการการเลือกตั้งพิจารณาให้ความเห็นชอบความเห็นของนายอภิชาตในการลงมติ ในฐานะประธานกรรมการการเลือกตั้งเมื่อวันที่ ๑๒ เมษายน ๒๕๕๓ จึงไม่อาจถือได้ว่า เป็นความเห็นของนายทะเบียนพรรคการเมือง
ศาลสรุปว่า เมื่อนายทะเบียนพรรรคการเมืองยังมิได้มีความเห็นให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์ ตามมาตรา ๙๓ การให้ความเห็นชอบของคณะกรรมการการเลือกตั้งเมื่อวันที่ ๒๑ เมษายน ๒๕๕๓ จึงเป็นการกระทำที่ผิดขั้นตอนของกฎหมายในส่วนสาระสำคัญ จึงไม่มีผลทางกฎหมายที่จะให้นายทะเบียนพรรคการเมืองมีอำนาจยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์ ได้
ผู้ทำความเห็นตั้งข้อสังเกตดังนี้
๒.๒.๑ การให้เหตุผลดังกล่าว แท้จริงแล้วเป็นการเพิ่มกฎเกณฑ์อันเข้มงวดที่ยึดรูปแบบมากกว่าสาระ
ศาลให้เหตุผลว่า นายอภิชาตในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมือง ต้องแสดงความเห็นในรูปแบบที่เฉพาะที่แยกชัดเจนจากการลงมติในฐานะประธานกรรมการการเลือกตั้ง ผู้ทำความเห็นไม่แน่ใจว่าศาลนำหลักอะไรมาตีความว่า มาตรา ๙๓ วรรคสองที่บัญญัติว่า “ให้นายทะเบียนโดยความ เห็นชอบของคณะกรรมการการเลือกตั้งยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่ความปรากฏต่อนายทะเบียน” หมายความว่า นายอภิชาต ต้องสวมสถานะนายทะเบียนพรรคการเมืองในรูปแบบเฉพาะที่ศาลพอใจ เพื่อแจ้งความเห็นต่อที่ประชุมคณะกรรมการการเลือกตั้งก่อน โดยศาลก็มิได้ระบุว่ารูปแบบมีกฎเกณฑ์อย่างไร เช่นต้องทำเป็นหนังสือ หรือกล่าวโดยวาจาในที่ประชุมโดยแจ้งให้ทราบว่าตนกำลังแสดงความเห็นใน ฐานะนายทะเบียนพรรคการเมือง จากนั้นจึงกลับไปสนทนาในฐานะประธานกรรมการการเลือกตั้ง
ข้อเท็จจริงสำคัญในคำวินิจฉัย (หน้า ๗-๘) ศาลรับฟังว่า ในวันที่ ๑๒ เมษายน ๒๕๕๓ ที่ประชุมคณะกรรมการการเลือกตั้ง มีมติสำหรับกรณีคำร้องในคดีนี้ โดยมีมติเป็นเอกฉันท์ (มีนายอภิชาตในฐานะประธานกรรมการการเลือกตั้งรวมอยู่ด้วย) ให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์ โดยนายอภิชาต ในฐานะประธานกรรมการการเลือกตั้งมีความเห็นส่วนตนตามที่ลงมติว่า ให้นายทะเบียนพรรคการเมือง โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการการเลือกตั้ง ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญภายในสิบห้าวัน ตามมาตรา ๙๓ วรรคสอง ศาลอธิบายต่อว่า ๒๑ เมษายน ๒๕๕๓ คณะกรรมการการเลือกตั้งได้ประชุมกันอีกครั้งหนึ่ง โดยนายทะเบียนพรรคการเมืองในฐานะประธานกรรมการการเลือกตั้ง มิได้เข้าประชุมด้วย ที่ประชุมมีมติเป็นเอกฉันท์เห็นชอบให้นายทะเบียนพรรคการเมืองยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์ตามมาตรา ๙๓ โดยถือว่าความเห็นส่วนตนของนายอภิชาตที่ลงมติไว้ในการประชุมคณะกรรมการการเลือกตั้ง เมื่อวันที่ ๑๒ เมษายน ๒๕๕๓ เป็นความเห็นของนายทะเบียนพรรคการเมือง
ผู้ทำความเห็นจำต้องนำประเด็นเรื่องมโนสำนึกในทางกฎหมายกลับมาถามว่า นายอภิชาตซึ่งเป็นนักนิติศาสตร์ที่กฎหมายให้ความไว้วางใจสวมหมวกสำคัญสองใบในเวลาเดียวกันเพื่อสามารถดำเนินภารกิจขององค์กรให้มีประสิทธิภาพไปพร้อมกัน สามารถมีมโนสำนึกในทางกฎหมายแยกเป็นสองมาตรฐาน มาใช้วินิจฉัยข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายกรณีเดียวกัน ให้ปรากฏผลต่างกันในเวลาเดียวกันได้ กล่าวคือ ในวันที่ ๑๒ เมษายน ๒๕๕๓ ศาลรับฟังว่า นายอภิชาตในฐานะประธานกรรมการการเลือกตั้ง มีความเห็นส่วนตนตามที่ลงมติว่า ให้นายทะเบียนพรรคการเมือง โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการการเลือกตั้ง ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญภายในสิบห้าวัน ตามมาตรา ๙๓ วรรคสอง และในวันเดียวกันนั้นเอง ศาลกำลังบอกว่า นายอภิชาต ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมือง ได้มีมโนสำนึกแยกเป็นอีกหนึ่งมาตรฐาน โดยเห็นว่า นายอภิชาต ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมือง ยังไม่มีความเห็นให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์ กระนั้นหรือ?
๒.๒.๒ การเพิ่มกฎเกณฑ์อันเข้มงวดที่ยึดรูปแบบมากกว่าสาระ นอกจากจะก่อให้เกิดผลประหลาดแล้ว ยังเป็นการใช้อำนาจตุลาการเข้าไปกำหนดการทำงานภายในของคณะกรรมการการเลือกตั้งซึ่งถูกออกแบบมาให้เป็นองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ ทั้งที่ระบบปฎิบติภายในองค์กรก็เพียงพอที่จะเข้าเงื่อนไขตามมาตรา ๙๓ วรรคสองแล้ว กล่าวคือ นายทะเบียนพรรคการเมืองและคณะกรรมการการเลือกตั้ง มีความเห็นตรงกัน โดยมโนสำนึกของนายทะเบียนพรรคการเมืองปรากฎชัดต่อคณะกรรมการการเลือกตั้งตั้งแต่วันที่ ๑๒ เมษายน ๒๕๕๓ แล้ว และต่อมาในวันที่ ๒๑ เมษายน ๒๕๕๓ คณะกรรมการการเลือกตั้งได้ประชุมกันอีกครั้งหนึ่ง มีมติเห็นชอบยืนยันอีกครั้ง
๒.๒.๓ ในขณะเดียวกัน ศาลไม่ได้ให้คำอธิบายเลยว่า หากปล่อยให้การดำเนินการดังกล่าวดำเนินต่อไปแล้ว จึงถือเป็นการกระทำที่ผิดขั้นตอนของกฎหมายในส่วนสาระสำคัญด้วยเหตุใด เช่น หากพิจารณาตามหลักความชอบแห่งกระบวนการทางกฎหมาย (due process of law) แล้วการดำเนินการดังกล่าวโดยผู้ใช้อำนาจคือ นายทะเบียนพรรคการเมืองและคณะกรรมการการเลือกตั้ง ได้ใช้อำนาจละเมิดกระบวนการที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายเพื่อได้มาซึ้งเป้าหมายที่อาจจะชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ก็ตาม โดยริดรอนสิทธิเสรีภาพ สร้างความไม่เป็นธรรมให้แก่พรรคประชาธิปัตย์ อย่างไร หรือ การดำเนินการดังกล่าวได้สร้างความเสียหายต่อระบบการใช้อำนาจระหว่างนายทะเบียนพรรคการเมืองและคณะกรรมการการเลือกตั้งอย่างไร และที่สำคัญเมื่อพิจารณาตามหลักความได้สัดส่วน (proptionality principle) แล้ว การนำข้อขัดข้องที่ศาลพบเห็นและไม่ได้มีระบุไว้ชัดในกฎหมาย มาเป็นเหตุให้กระบวนการยุติธรรมชะงักงันและเดินต่อไปไม่ได้ ดูประหนึ่งเป็นการทอดทิ้งเจตนารมณ์ของกฎหมายที่มุ่งหวังให้มีการตรวจสอบพรรคการเมืองยิ่งนัก
๒.๒.๔ สมมติว่าเรายอมรับตรรกะของตุลาการเสียงข้างมากกลุ่มแรก ๓ เสียง ที่เน้นความเข้มงวดในทางรูปแบบมากกว่าสาระนี้ ผู้ทำความเห็นก็อดคิดไม่ได้ว่า ณ วันนี้ นายทะเบียนพรรคการเมืองจะอาศัยเหตุผลที่เข้มงวดในทางรูปแบบดังกล่าวกลับไปให้ความเห็นให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์อีกครั้งได้หรือไม่ โดยตีความตามคำวินิจฉัยของศาลว่า ตลอดเวลาที่ผ่านมา นายทะเบียนพรรคการเมืองยังไม่มีความเห็นให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์ เพราะ นายทะเบียนพรรคการเมืองเอง ก็ยังไม่เคยแจ้งให้ใครทราบโดยชัดเจนว่า เหตุที่ให้ยุบพรรคพรรคประชาธิปัตย์ได้ปรากฏต่อตัวนายทะเบียนแล้ว หรือไม่ เมื่อใด มีแต่แสดงออกผ่านการลงมติและความเห็นในฐานะประธานกรรมการการเลือกตั้ง อีกทั้งการยื่นคำร้องให้ศาลในคดีนี้ ศาลเองก็วินิจฉัยว่ากระบวนการไม่ชอบ ก็ย่อมต้องตีความโดยเน้นความเข้มงวดในทางรูปแบบว่า เหตุที่ให้ยุบพรรคพรรคประชาธิปัตย์แม้อาจจะได้ปรากฏต่อตัวนายทะเบียนในทางสาระ แต่ก็มิได้ปรากฏโดยชอบในทางรูปแบบ ดังนั้น นายทะเบียนพรรคการเมืองและคณะกรรมการการเลือกตั้งย่อมกลับไปเริ่มกระบวนการใหม่ ได้หรือไม่?
๒.๒.๕ สิ่งน่าอัศจรรย์ปรากฏอีกครั้งเมื่อตุลาการเสียงข้างมากผู้ทำคำวินิจฉัยเองได้มีมโนสำนึกในทางกฎหมายที่แยกเป็นสองมาตรฐานในคำวินิจฉัยเดียวกัน เพราะตุลาการเสียงข้างมาก ๓ เสียง เห็นว่านายอภิชาตในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมืองต้องแสดงความเห็นเป็นรูปแบบเฉพาะนั้น ต่อมาในการให้เหตุผลในส่วนตุลาการเสียงข้างมาก ๑ เสียง ที่เห็นว่า นายทะเบียนพรรคการเมืองได้ยื่นคำร้องต่อศาลเมื่อพ้นระยะเวลาสิบห้าวันตามที่กฎหมายกำหนด กลับให้เหตุผลที่ขัดแย้งกันอย่างสิ้นเชิง ดังนี้
ในคำวินิจฉัยหน้า ๑๑-๑๒ ศาลกล่าวว่า มีเหตุผลให้วินิจฉัยอีกทางหนึ่ง กล่าวคือกรณีข้อกล่าวหาตามมาตรา ๙๓ วรรคแรกนั้น มาตรา ๙๓ วรรคสอง มิได้บัญญัติให้นายทะเบียนพรรคการเมืองเข้าเสนอความเห็นด้วยว่า พรรคการเมืองใดมีเหตุตามวรรคแรกต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง เพื่อขอความเห็นชอบของคณะกรรมการการเลือกตั้ง ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้ยุบพรรคการเมือง ต่างจากกรณีข้อกล่าวหาตามมาตรา ๙๔ ที่มาตรา ๙๕ บัญญัติว่า เรื่องปรากฏต่อนายทะเบียน พรรคการเมืองและนายทะเบียนได้ตรวจสอบแล้ว กล่าวคือนายทะเบียนต้องตรวจสอบ แล้วจึงเสนอต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง พร้อมความเห็นว่า พรรคการเมืองใดกระทำตามมาตรา ๙๔ หรือไม่
สมควรเน้นอีกครั้งว่า หากกลับไปพิจารณาตรรกะของวิธิในการลงมติแล้ว หากเราลองพิจารณาสาระของเหตุผลของตุลาการเสียงข้างมากมีความเห็นเป็นสองกลุ่ม แม้จะอ้างว่าเป็นเหตุผลในการวินิจฉัยอีกทางหนึ่งก็ตาม แต่สาระในทางเหตุผลไม่ใช่แค่ไม่ตรงกันบางประเด็น แต่กลับหักล้างกันเองในทุกประเด็นหลักเสียแล้ว มติทั้งสี่เสียงอันขัดแย้งกันในสาระอย่างสิ้นเชิงเช่นนี้ ยากที่จะถือว่าเป็นมติเสียงข้างมากโดยชอบธรรมได้
๓. ศาลควรปรับปรุงระบบการบริหารคดี
ไม่ว่าเราจะเห็นด้วยกับคำวินิจฉัยหรือไม่ ผลจากคำวินิจฉัยก็เป็นตัวอย่างอันดีให้ผู้เกี่ยวข้องควรหันมาทบทวนระบบการบริหารคดีของศาลว่า พอจะมีวิธีใดที่สามารถประหยัดเวลาและทรัพยากรของชาติที่ทุ่มเทไปกับกระบวนการทั้งหมดได้หรือไม่ เช่น การพิจารณาคดีอาจแยกเป็นส่วน ส่วนแรกเรื่องเขตอำนาจและความชอบของกระบวนการยื่นคำร้อง ซึ่งพึงพิจารณาให้เสร็จก่อนที่จะทุ่มเวลากับการสืบพยานหลักฐานที่เป็นเนื้อหาสาระของคดี แน่นอนว่าการบริหารคดีที่มีความซับซ้อนเช่นนี้ ศาลเองย่อมอาศัยความช่วยเหลือจากบรรดาเลขานุการและนิติกรที่มีความรู้กฎหมายและมาทำงานประจำได้เป็นแน่ อนึ่ง ผู้ทำความเห็นอดคิดไม่ได้ว่า ในอนาคตอันใกล้ หากนายทะเบียนพรรคการเมืองได้สืบสวนหรือค้นพบข้อมูลเพิ่มเติมที่อาจทำให้ปรากฏซึ่งเหตุอันเป็นความผิด แต่เผอญข้อมูลดังกล่าวไม่ได้อยู่รวมเป็นส่วนหนึ่งในสำนวนของคดีที่ฟ้องอยู่ทั้งสองคดีเสียแล้ว ก็อาจมีการเริ่มกระบวนการให้ถูกต้องเสียใหม่ โดยอาศัยบทบัญญัติตามมาตรา ๘๒ ก็ดี ๙๔ (๔) ก็ดี ซึ่งกินความกว้างพอสมควร
๔. คู่ความต้องมีโอกาสในการสู้คดีอย่างเต็มที่
ผู้ทำความเห็นไม่ติดใจว่าประเด็นระยะเวลาสิบห้าวัน ศาลยกขึ้นพิจารณาเองได้หรือไม่ แต่ที่สำคัญคือ การพิจารณาประเด็นดังกล่าวควรเป็นกรณีศึกษาว่า เมื่อศาลไม่ได้เปิดโอกาสให้คู่ความในคดีทราบได้แน่ชัดว่าในใจตุลาการแต่ละท่านคิดเห็นหรือสงสัยถึงประเด็นใดอยู่เป็นพิเศษ อีกทั้งการพิจารณาคดีโดยตุลาการตั้งคำถามสดก็มิอาจพบเห็นบ่อยนัก จึงน่าพิเคราะห์ว่า คู่ความในคดี ได้มีโอกาสนำเสนอข้อต่อสู้และตรวจสอบพยานหลักฐานในประเด็นเฉพาะเจาะจงที่อยู่ในใจตุลาการอันเป็นประเด็นตัดสินคดีมากน้อยเพียงใด เพราะหากสุดท้ายกระบวนการยุติธรรมที่ดำเนินมาทั้งหมดติดอยู่กับเพียงประเด็นว่า สิ่งหนึ่งสิ่งใดได้ปรากฏต่อนายทะเบียนพรรคการเมืองหรือไม่และเมื่อเวลาใด หรือทำไปในฐานะใด ศาลก็สมควรให้คู่ความได้ทราบถึงความสำคัญของประเด็นเฉพาะเจาะจงดังกล่าว และคู่ความก็สมควรได้ซักถามนายทะเบียนพรรคการเมืองผู้นั้นต่อหน้าศาลอย่างละเอียด และนำเสนอข้อโต้แย้งในการตีความกฎหมายเรื่องระยะเวลาที่เกี่ยวข้อง พร้อมกับประชาชนที่จะได้ติดตามรับฟัง เพื่อสุดท้ายศาลสามารถรับฟังความอย่างรอบด้านและนำความจริงในห้องเปิดมาอธิบายให้ปรากฏ
แต่หากสุดท้ายความยุติธรรมคือกรณีที่หารือถือเอาได้แต่เพียงในห้องปิด ซ้ำโดยอาศัยพยานสำคัญที่ตัวไม่ปรากฏแต่ส่งมาเพียงเอกสารเสียแล้ว ก็คงเป็นชะตากรรมของเรา ประชาชนชาวไทย ที่ต้องเลือกระหว่างการยอมรับสภาพที่เป็นอยู่ หรือเรียกร้องสังคมที่ไม่เขินอายต่อความจริง
ไม่แน่ คดียุบพรรคประชาธิปัตย์ภาคต่อไป เราอาจได้เห็นกัน!
บทส่งท้าย
เหตุแห่งกระแสความใส่ใจในความเป็นกลางและจริยธรรมของตุลาการนั้น ปรากฏพบเป็นครั้งคราว แต่เหตุอันพึงปรากฏโดยมิต้องอาศัยกระแส คือเรื่องความละเอียด แม่นยำ และแยบยลในนิติวิธีและหลักกฎหมาย ฝ่ายบริหาร นิติบัญญัติ และตุลาการต่างเป็นผู้ใช้อำนาจของเรา แต่เราไม่อาจอาศัยกระบวนการทางการเมืองเพื่อคัดเลือก สนับสนุนหรือลงโทษตุลาการได้ดั่งที่เราพึงทำต่อนักการเมืองได้ อีกทั้ง การตรวจสอบตุลาการที่ผ่านมาปรากฏไม่ชัด ส่วนหนึ่งอาจด้วยเหตุที่รัฐธรรมนูญให้ตุลาการมีบทบาทสำคัญในการได้มาซึ่งส่วนหนึ่งของสมาชิกวุฒิสภาที่รัฐธรรมนูญมอบหมายให้ทำหน้าที่ตรวจสอบตุลาการเสียเอง
สิ่งที่เราประชาชนพึงทำได้ คือติดตาม ใคร่ครวญ และกล้าหาญที่จะหวงแหนในเหตุผลและความยุติธรรมของคำวินิจฉัย เพราะความยุติธรรมในระบอบประชาธิปไตยมิอาจดำรงได้ด้วยมาตรฐานทางเหตุผลหรือคุณธรรมจำเพาะของคนบางกลุ่ม แต่ต้องฟูมฟักและงอกเงยจากสำนึกและประสบการณ์ของปวงชนที่สะท้อนผ่านกระบวนการและกฎหมายที่เรามีส่วนร่วมอย่างเท่าเทียมกัน
ครอบครัว คุณครู และมิตรสหาย ต้องร่วมกันกระตุ้นสำนึกดังกล่าวผ่านเหตุการณ์ในชีวิตประจำวัน อย่างน้อยก็โดยปฎิเสธความมักง่ายที่จะนิ่งเฉยดูดายภายใต้เงาของความเป็นกลางอันว่างเปล่า เราต้องเรียกร้องสถาบันวิชาการและสื่อมวลชนให้ยึดมั่นและกล้าหาญในการทำหน้าที่เพื่อสังคม และต่อต้านการนำเสนอที่มอมเมาหรือตื้นเขิน พร้อมสนับสนุนการถ่ายถอดหลักการและสิ่งที่ปรากฏจากคำวินิจฉัยผ่านผลงานในระดับนานาชาติ ให้ทราบไปถึงบรรดาผู้นำทางความคิด อาจารย์นิติศาสตร์ หรือ ผู้พิพากษาในต่างประเทศ ซึ่งอาจเป็นการช่วยสร้างกระบวนการแลกเปลี่ยนและเรียนรู้ที่ดีสำหรับตุลาการไทยอีกทางหนึ่ง
เราต้องจดจำใบหน้าของผู้แทนที่พร้อมจะเชื่อมโยงมโนสำนึกที่เรามีต่อคำวินิจฉัยไปสู่ศาลและตัวบทกฎหมาย ไม่ว่าจะผ่านการตรวจสอบทางรัฐสภา การแก้กฎหมาย หรือการรณรงค์ทางการเมือง และไม่ลืมชื่อหรือนามสกุลของผู้แทนที่พร้อมทอดทิ้งหลักการ เพื่อรักษาความสัมพันธ์ส่วนตัวและผลประโยชน์ของตนเอง
และสุดท้าย เราต้องร่วมกันจรรโลงความหวังและเป็นกำลังใจให้ตุลาการผู้เปี่ยมด้วยใจอันเป็นธรรม รวมไปถึงผู้พิพากษาในศาลอื่น ที่อาจพลอยต้องพิจารณาคดีที่เป็นผลพวงจากคดีนี้ ให้คงใจที่เปิดกว้างและรับฟังเสียงของปวงชน ให้สมดั่งเป็นตุลาการที่มาจากปวงชน โดยปวงชน และเพื่อปวงชน
ที่มา.ประชาไท
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
นิติศาสตร์มหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยฮาวาร์ด (รางวัลทุนฟุลไบรท์และวิทยานิพนธ์เกียรตินิยม)
นิติศาสตร์บัณฑิต เกียรตินิยมอันดับหนึ่ง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
หมายเหตุจากผู้เขียน:
ความเห็นฉบับนี้เขียนขึ้นช่วงข้ามคืน ยังพร่องในความสมบูรณ์และหวังจะได้ปรับปรุงต่อไปในอนาคต หากผู้อ่านมีข้อคิดเห็น คำแนะนำ หรือข้อติติง ขอน้อมรับฟังที่ verapat@post.harvard.edu. ประเด็นวิชาการบางส่วนความเห็นในฉบับนี้ ได้เคยนำเสนอไว้แล้วในวิทยานิพนธ์ สืบค้นได้ที่ Google: “Verapat Harvard Paper” อนึ่ง “มาตรา” และ “กฎหมาย” ที่กล่าวถึงในความเห็นนี้ หมายถึง พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. ๒๕๕๐ (สำเนาดูได้ที่ http://www.parliament.go.th/mp2550/asset/law_party.pdf) เว้นแต่บริบทจะแสดงเป็นอื่น
บทความนี้เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๕๓ ณ http://sites.google.com/site/verapat/ (ดูฉบับเต็มและภาคผนวกในเว็บไซต์นี้)
บทนำ
ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยโดยเสียงข้างมาก โดยมติ ๔ ต่อ ๒ เสียงให้ยกคำร้องที่นายทะเบียนพรรคการเมืองขอให้มีคำสั่งยุบพรรคประชาธิปัตย์ กรณีการใช้เงินสนับสนุนพรรคการเมืองไม่เป็นไปตามกฎหมาย และรายงานการใช้เงินไม่ตรงตามความเป็นจริง (“กรณีเงิน ๒๙ ล้านบาท”) โดยให้เหตุผลว่า กระบวนการยื่นคำร้องขอให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ชอบด้วยกฎหมาย โดยขณะที่ทำความเห็นนี้ ศาลได้เผยแพร่คำวินิจฉัยเป็นลายลักษณ์อักษรต่อประชาชนอย่างไม่เป็นทางการ บนเว็บไซต์ศาลรัฐธรรมนูญ (http://www.constitutionalcourt.or.th/) มีทั้งสิ้น ๑๕ หน้า ซึ่งมีใจความตรงกับคำวินิจฉัยที่ศาลได้อ่าน และสื่อมวลชนได้รายงานต่อประชาชนไปเมื่อวันที่ ๒๙ พ.ย. ๒๕๕๓ แล้ว ต่อมาในวันที่ ๓๐ พ.ย. ๒๕๕๓ สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญได้เผยแพร่ข่าวที่ ๒๔/๒๕๕๓ โดยอธิบายถึงวิธีการลงมติของตุลาการเสียงข้างมากมีความเห็นเป็นสองกลุ่ม ซึ่งมิได้มีการระบุไว้ในคำวินิจฉัยอย่างไม่เป็นทางการ
ด้วยความอัศจรรย์ใจในคำวินิจฉัยและความเคารพอย่างแท้จริงต่อกฎหมายรัฐธรรมนูญ ผู้ทำความเห็นน้อมและยอมรับคำวินิจฉัยดังกล่าว อีกด้วยสำนึกในสิทธิและหน้าที่ตามมาตรา ๔๕, ๖๙ และ ๗๐ แห่งรัฐธรรมนูญ จึงได้ทำความเห็น ดังมีประการต่อไปนี้
๑. วิธีการกำหนดประเด็นเพื่อลงมติเป็นที่กังขา
ศาลวินิจฉัยโดยเสียงข้างมาก โดยมติ ๔ ต่อ ๒ เสียงให้ยกคำร้องที่นายทะเบียนพรรคการเมืองขอให้มีคำสั่งยุบพรรคประชาธิปัตย์ กรณีการใช้เงินสนับสนุนพรรคการเมืองไม่เป็นไปตามกฎหมาย และรายงานการใช้เงินไม่ตรงตามความเป็นจริง โดยให้เหตุผลว่า กระบวนการยื่นคำร้องขอให้ยุบพรรคพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่ที่มาจองตุลาการเสียงข้างมากนั้นมีแยกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มแรก ๓ เสียง เห็นว่า นายทะเบียนพรรคการเมืองยังไม่มีความเห็นให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์ และกลุ่มที่สอง ๑ เสียง เห็นว่า นายทะเบียนพรรคการเมืองได้ยื่นคำร้องต่อศาลเมื่อพ้นระยะเวลาสิบห้าวันตามที่กฎหมายกำหนด
หากเราพิจารณาในสาระของเหตุผลของตุลาการเสียงข้างมากกลุ่มแรกแล้ว จะเห็นว่าตุลาการทั้งสามมิได้ติดใจที่จะรับหรือปฏิเสธเรื่องการพ้นระยะเวลาสิบห้าวัน เพราะมองว่านายทะเบียนพรรคการเมืองยังไม่มีความเห็นให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์ ในทางกลับกัน สาระของเหตุผลของตุลาการเสียงข้างมากกลุ่มที่สองมีความเห็นชัดเจนว่านายทะเบียนพรรคการเมืองได้มีความเห็นให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์ นับตั้งแต่วันที่ ๑๗ ธันวาคม ๒๕๕๒ ไปแล้ว หากพิจารณา ตุลาการทั้งหกที่ลงมติอย่างระเอียด จะพบข้อสังเกตว่ามีตุลาการถึง ๓ เสียงที่เห็นว่า นายทะเบียนพรรคการเมืองได้มีความเห็นให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์ไปเรียบร้อยแล้ว ได้แก่ตุลาการเสียงข้างมากกลุ่มที่สอง ๑ เสียงบวกกับตุลาการเสียงข้างน้อยอีก ๒ เสียง ซึ่งเป็นผลทำให้มีเสียงมติที่ค้านกับเหตุผลของเท่ากับตุลาการเสียงข้างมากกลุ่มแรกอีก ๓ เสียงที่เห็น ว่านายทะเบียนพรรคการเมืองยังไม่มีความเห็นให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์
ในทางหนึ่งอาจมีผู้ให้เหตุผลว่า การกำหนดวิธีการลงมติเป็นไปถูกต้องแล้ว เพราะไม่จำเป็นต้องเข้าไปดูรายละเอียดของเหตุผล แต่ควรพิจารณาถึงผลสุดท้ายของการลงมติ ดังนั้น เมื่อตุลาการเสียงข้างมากทั้งสองกลุ่ม แม้จะมีเหตุผลต่างกัน แต่ท้ายที่สุดตุลาการทั้งสี่ก็ได้ข้อสรุปเดียวกันว่า กระบวนการยื่นคำร้องขอให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงเป็นมติข้างมากที่ชอบแล้วไม่ ผู้ทำความเห็นขอไม่ทักถ้วงถึงปัญหาเชิงตรรกะของการให้เหตุผลลักษณะดังกล่าวในรายละเอียด การกำหนดวิธีการลงมติที่น่ากังขาเช่นนี้ เคยมีนักวิชาการแสดงความเห็นถ้วงไว้แล้ว เช่น ในคดีซุกหุ้นที่ศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยไว้ในปี ๒๕๔๔
ผู้ทำความเห็นเพียงแต่จะย้อนถามว่า หากเราอาศัยตรรกะเดียวกันนี้เอง ที่ว่าแม้สาระแห่งเหตุผลต่างกันแต่หากสุดท้ายได้ข้อสรุปตรงกัน ก็นับรวมกันได้แล้วฉันใด ข้อสรุปที่ได้จากตุลาการเสียงข้างมาก ๑ เสียงบวกกับตุลาการเสียงข้างน้อยอีก ๒ เสียง ก็คือข้อสรุปที่ว่านายทะเบียนพรรคการเมืองได้มีความเห็นให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์ไปแล้ว อันจะหักล้างตุลาการเสียงข้างมากกลุ่มแรกอีก ๓ เสียง โดยมติที่เท่ากัน โดยฉันนั้น มิใช่หรือ?
หากจะลองเปลี่ยนจากตรรกะที่ยึดข้อสรุป มาเป็นตรรกะที่ยึดสาระแล้ว ผู้ทำความเห็นจะแสดงให้เห็นต่อไปว่า สาระแห่งเหตุผลของตุลาการเสียงข้างมากทั้งสี่ที่มีความเห็นเป็นสองกลุ่ม แม้จะอ้างว่าเป็นเหตุผลในการวินิจฉัยอีกทางหนึ่งก็ตาม ก็ยังขัดแย้งและหักล้างกันเองโดยสิ้นเชิง จนมิอาจถือได้ว่าเป็นมติตุลาการเสียงข้างมากที่ชอบธรรมได้
อนึ่ง มีข้อสังเกตเพิ่มเติมว่า จากการสำรวจข่าวสารที่สื่อมวลชนรายงานหลังจากมีการอ่านคำวินิจฉัยไปแล้ว ข้อวิพากษ์วิจารณ์ส่วนใหญ่ ดูจะเกี่ยวข้องกับประเด็นมติตุลาการ ๑ เสียง ที่เห็นว่าการยื่นคำร้องต่อศาลพ้นระยะเวลาสิบห้าวันตามที่กฎหมายกำหนดก่อน โดยประชาชนทั่วไปไม่ได้ทราบมาก่อนว่าเรื่องระยะเวลาเป็นเพียงมติ ๑ เสียง อีกทั้งคำวินิจฉัยลายลักษณ์อักษร อย่างไม่เป็นทางการที่ศาลได้เผยแพร่ต่อประชาชน บนเว็บไซต์ศาลรัฐธรรมนูญ ก็มิได้กล่าวไว้ชัด จนกระทั่งวันต่อมาได้มีการเผยแพร่ข่าวโดยสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญและมีการให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อมวลชนโดยตุลาการท่านหนึ่งเพื่อขยายความ คงหวังแต่เพียงว่าในอนาคต คำวินิจฉัยที่เผยแพร่ก็ดี หรือที่อ่านก็ดี คงจะชัดเจนขึ้น นอกจากนี้ คำวินิจฉัยส่วนตนของตุลาการแต่ละคนซึ่งรัฐธรรมนูญกำหนดให้ต้องทำให้เสร็จสิ้นและแถลงเป็นวาจาก่อนลงมติในคำวินิจฉัยกลางนั้น ก็น่าจะเผยแพร่ในเอกสารไปพร้อมกัน เพื่อช่วยให้ตุลาการไม่ต้องลำบากใจ ถูกเข้าใจผิดว่ามติใดเป็นของใคร อีกทั้งเพื่อให้ตุลาการไม่ต้องถูกตั้งคำถามว่า แรงตอบรับของสังคมต่อคำวินิจฉัยกลาง ได้กระทบต่อคำวินิจฉัยส่วนตนที่เปิดเผยเป็นลายลักษณ์อักษรภายหลังหรือไม่ อย่างไร
๒. เหตุผลทางกฎหมายไม่เป็นที่กระจ่างชัด
ไม่ว่าวิธีการลงมติเสียงข้างมากที่ปรากฏจะชอบธรรมหรือไม่ เหตุผลของตุลาการเสียงข้างมากทั้งสองกลุ่ม ก็ยังไม่เป็นที่กระจ่างชัดอีกทั้งขัดแย้งกันโดยสิ้นเชิง โดยผู้ทำความเห็นจะแสดงข้อคิดเห็นต่อเหตุผลของตุลาการ ๑ เสียงที่เห็นว่า ระยะเวลายื่นคำร้องต่อศาลต้องนับจากวันที่ ๑๗ ธันวาคม ๒๕๕๒ ก่อน จากนั้นจึงจะแสดงข้อคิดเห็นต่อเหตุผลของตุลาการเสียงข้างมากอีก ๓ เสียง ที่เห็นว่าในวันที่ ๑๒ เมษายน ๒๕๕๓ นายทะเบียนพรรคการเมืองยังไม่มีความเห็นให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์
๒.๑ เหตุผลเรื่องระยะเวลายื่นคำร้อง
ประเด็นหนึ่งที่ศาลใช้วินิจฉัยการยกคำร้องในคดีนี้คือ เหตุความผิดที่จะนำไปสู่การยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญตามมาตรา ๙๓ วรรคสองนั้น ได้ปรากฏต่อนายอภิชาต สุขัคคานนท์ ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมืองเมื่อใด
มาตรา ๙๓ วรรคสองบัญญัติว่า “เมื่อปรากฏต่อนายทะเบียนว่าพรรคการเมืองใดมีเหตุตามวรรคหนึ่ง” (เหตุในคดีนี้คือมาตรา ๘๒ กรณีการได้รับเงินและจัดทำรายงานการใช้จ่ายเงินสนับสนุนของพรรคการเมืองอย่างไม่ถูกต้อง) “ให้นายทะเบียนโดยความ
เห็นชอบของคณะกรรมการการเลือกตั้งยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่ความปรากฏต่อนายทะเบียน”
ศาลวินิจฉัยว่า เหตุความผิดได้ปรากฏต่อนายอภิชาต ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมืองเมื่อวันที่ ๑๗ ธันวาคม ๒๕๕๒ ดังนั้นเมื่อนายทะเบียนพรรคการเมืองได้ยื่นคำร้องคดีนี้ต่อศาลเมื่อวันที่ ๒๖ เมษายน ๒๕๕๓ จึงเป็นการยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญเกินระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด
คำถามคือ ศาลนำหลักหรืออะไรมาสรุปว่าระยะเวลาที่ต้องยื่นคำร้องต้องเริ่มนับตั้งแต่วันที่ ๑๗ ธันวาคม ๒๕๕๒
หากพิจารณาคำวินิจฉัย หน้า ๑๒-๑๓ ศาลอธิบายว่า เมื่อวันที่ ๑๗ ธันวาคม ๒๕๕๒ ในการประชุมคณะกรรมการการเลือกตั้งครั้งที่ ๑๔๔/ ๒๕๕๒ ในส่วนกรณีข้อกล่าวหาเกี่ยวกับคดีนี้ (กรณีเงิน ๒๙ ล้านบาท) คณะกรรมการการเลือกตั้งมีมติเสียงข้างมากสั่งตามรวมกันไปกับอีกข้อหา (กรณีเงิน ๒๕๘ ล้านบาท) ว่า ให้นายทะเบียนพรรคการเมืองมีความเห็นก่อนว่า แล้วจึงเสนอคณะกรรมการการเลือกตั้งนั้น เป็นความไม่ชัดเจนในการปรับบทบังคับใช้กฎหมายในองค์กรขณะนั้นเท่านั้น
ศาลอธิบายต่อว่า ในการประชุมครั้งที่ ๔ ๑/๒๕๕๓ วันที่ ๑๒ เมษายน ๒๕๕๓ คณะกรรมการการเลือกตั้งเสียงข้างมากให้เหตุผลว่า ข้อเท็จจริงทั้งสองข้อกล่าวหาเกี่ยวพันกัน จึงยังคงมีมติให้แจ้งนายทะเบียนพรรคการเมืองดำเนินการตามมาตรา ๙๕ (กรณีเงิน ๒๕๘ ล้านบาท) เช่นเดิม โดยนายทะเบียนพรรคการเมืองและนายวิสุทธิ์ โพธิแท่น กรรมการการเลือกตั้ง มีความเห็นให้นายทะเบียนพรรคการเมืองยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญตามมาตรา ๙๓ วรรคสอง (กรณีเงิน ๒๙ ล้านบาท) และต่อมาในการประชุมครั้งที่ ๔๓/ ๒๕๕๓ วันที่ ๒๑ เมษายน ๒๕๕๓ คณะกรรมการการเลือกตั้งมีมติเอกฉันท์ (นายอภิชาต มิได้เข้าประชุม) ยืนยันเห็นชอบให้นายทะเบียนพรรคการเมืองยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ ตามมาตรา ๙๓ วรรคสอง
ศาลอธิบายต่อว่า เหตุการณ์เหล่านี้ แสดงให้เห็นว่า มติเสียงข้างมากของคณะกรรมการการเลือกตั้งนั้น เห็นชอบให้นายทะเบียนพรรคการเมืองยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ ตามมาตรา ๙๓ วรรคสอง ตั้งแต่วันที่ ๑๗ ธันวาคม ๒๕๕๒ แล้ว โดยนายทะเบียนพรรคการเมืองไม่จำต้องเสนอความเห็นก่อนอย่างใด กรณีถือได้ว่าคดีนี้ ความได้ปรากฏต่อนายทะเบียนพรรคการเมืองว่า พรรคประชาธิปัตย์มีกรณีตามมาตรา ๙๓ วรรคแรกแล้ว และคณะกรรมการการเลือกตั้งเห็นชอบให้ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญได้แล้ว และระยะเวลาที่ต้องยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญภายในสิบห้าวัน จึงต้องเริ่มนับตั้งแต่วันที่ ๑๗ ธันวาคม ๒๕๕๒ อันเป็นวันที่คณะกรรมการการเลือกตั้งมีมติดังกล่าว
นอกจากนี้ ในคำวินิจฉัยหน้า ๑๔ ศาลกล่าวต่อว่า วันที่ ๑๗ ธันวาคม ๒๕๕๒ เป็นวันที่คณะกรรมการการเลือกตั้งมีมติเสียงข้างมากในการพิจารณารายงานของคณะกรรมการสืบสวนสอบสวนชุดที่นายอิสระ ลิ้มศิริวงศ์ เป็นประธาน ในครั้งแรก และถือเป็นวันที่ความปรากฏต่อนายทะเบียนพรรคการเมือง
จากการให้เหตุผลของศาล ผู้ทำความเห็นตั้งข้อสังเกตดังนี้
๒.๑.๑ ผู้ทำความเห็นเข้าใจว่า ระยะเวลาสิบห้าวันจะเริ่มนับได้ต่อเมื่อนายทะเบียนพรรคการเมืองได้เห็นว่าเหตุความผิดปรากฏต่อตัวนายทะเบียน แล้วจึงอาศัยความเห็นชอบของคณะกรรมการการเลือกตั้งยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ ในฐานะประชาชนที่ไม่อาจเข้าถึงเอกสารแห่งคดีได้ทั้งหมด ผู้ทำความเห็นย่อมต้องอาศัยข้อเท็๋จจริงที่ศาลอธิบายในคำวินิจฉัย แต่หากอ่านจากคำวินิจฉัยแล้ว ไม่มีส่วนใดเลยที่ศาลยกพยานหลักฐานมาแสดงอย่างชัดเจนว่า ณ วันที่ ๑๗ ธันวาคม ๒๕๕๒ นายอภิชาต ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมือง ได้ให้การรับว่าตนได้เห็นเหตุความผิดปรากฏขึ้นต่อตนแล้วหรือยัง
๒.๑.๒ ในทางตรงกันข้าม ข้อเท็จจริงที่ศาลรับฟังในคำวินิจฉัย หน้า ๖ ระบุว่า เมื่อวันที่ ๑๗ ธันวาคม ๒๕๕๒ นายอภิชาตในฐานะประธาน กรรมการการเลือกตั้ง มีความเห็นว่า จากการตรวจสอบรายงานเอกสารการใช้จ่ายเงินของพรรคประชาธิปัตย์ ไม่พบความผิดปกติในระบบเอกสารแต่อย่างใด และในวันเดียวกันนั้นเอง ย่อมหมายความว่า นายอภิชาตในฐานะประธานกรรมการการเลือกตั้งมิได้เห็นเหตุความผิดปรากฏขึ้นต่อตน (ในฐานะประธาน กรรมการการเลือกตั้ง) แต่อย่างใด
จริงอยู่ ศาลควรพิจารณาข้อกฎหมายที่กำหนดให้นายอภิชาต ประธานกรรมการการเลือกตั้งเป็นนายทะเบียนพรรคการเมืองในเวลาเดียวกัน ดังนั้นแม้เป็นคนเดียวกันแต่มีบทบาทหน้าที่ต่างกัน ซึ่งศาลก็ได้อธิบายไว้ในคำวินิจฉัยอย่างดี เช่น ในหน้า ๑๐-๑๑ ว่า การลงมติในที่ประชุมคณะกรรมการการเลือกตั้งซึ่งนายอภิชาตเข้าร่วมด้วยในฐานะประธานกรรมการการเลือกตั้ง นายทะเบียนพรรคการเมืองไม่มีอำนาจที่จะร่วมลงมติในการประชุมของคณะกรรมการการเลือกตั้งได้ การลงมติดังกล่าวจึงแตกต่างจากการสั่งที่ให้นำเรื่องเข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการการเลือกตั้งในฐานะของนายทะเบียนพรรคการเมือง หรือที่ว่า การที่กฎหมายให้นายทะเบียนพรรคการเมืองเป็นผู้ยื่นคำร้องในคดีนี้ต่อศาลย่อมหมายความว่า ประธานกรรมการการเลือกตั้งไม่มีอำนาจยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญเป็นคดีนี้ฉันใด การทำความเห็นส่วนตนของนายอภิชาตในการประชุมคณะกรรมการการเลือกตั้ง ในฐานะประธานกรรมการการเลือกตั้งเมื่อวันที่ ๑๒ เมษายน ๒๕๕๓ จึงมิใช่การทำความเห็นของนายทะเบียนพรรคการเมืองฉันนั้น
แต่คำอธิบายอันฟังสละสลวยดังกล่าวก็เพียงแต่คำอธิบายในเรื่องบทบาทหน้าที่ โดยศาลพยายามจะอธิบายว่าวันที่ ๑๒ เมษายน ๒๕๕๓ นายอภิชาตในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมืองมิได้ให้ความเห็น (และไม่สามารถให้ความเห็น) ในที่ประชุมคณะกรรมการการเลือกตั้งเท่านั้น ซึ่งเป็นคนละประเด็นกับเรื่องว่าเหตุความผิดปรากฏต่อนายทะเบียนในวันที่ ๑๗ ธันวาคม ๒๕๕๒ แล้วหรือไม่แต่อย่างใด ทั้งนี้เพราะมาตรา ๙๓ วรรคสอง เองก็ได้บัญญัติให้นายทะเบียนพรรคการเมืองต้องได้รับความเห็นชอบด้วยกันในเรื่องเดียวกันจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง แม้บทบาทหน้าที่จะต่างกัน แต่ กฎหมายก็ให้ตัวนายทะเบียน และประธานกรรมการการเลือกตั้งผู้เป็นส่วนหนึ่งของคณะกรรมการการเลือกตั้ง มีบทบาทในการพิจารณาประเด็นในเรื่องเดียวกัน กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือต้องอาศัยมโนสำนึกในทางกฎหมายของนักนิติศาสตร์คนหนึ่งที่เป็นมาตรฐานเดียวกัน
ท้ายที่สุด ศาลก็สรุปว่าเหตุความผิดปรากฏต่อนายทะเบียนในวันที่ ๑๗ ธันวาคม ๒๕๕๒ แล้ว การวินิจฉัยของศาลลักษณะนี้ ทำให้เกิดความแปลกประหลาด กล่าวคือ นายอภิชาต ผู้เคยเป็นถึงประธานแผนกคดีในศาลฎีกา ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา ซึ่งเป็นนักนิติศาสตร์ที่กฎหมายให้ความไว้วางใจสวมหมวกสำคัญสองใบในเวลาเดียวกันเพื่อสามารถดำเนินภารกิจขององค์กรให้มีประสิทธิภาพไปพร้อมกัน สามารถมีมโนสำนึกในทางกฎหมายแยกเป็นสองมาตรฐาน มาใช้วินิจฉัยข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายกรณีเดียวกัน ให้ปรากฏผลต่างกันในเวลาเดียวกันได้ กล่าวคือ ในวันที่ ๑๗ ธันวาคม ๒๕๕๒ ศาลรับฟังว่า นายอภิชาตในฐานะประธานกรรมการการเลือกตั้ง มีความเห็นว่า จากการตรวจสอบรายงานเอกสารการใช้จ่ายเงินของพรรคประชาธิปัตย์ ไม่พบความผิดปกติในระบบเอกสารแต่อย่างใด และในวันเดียวกันนั้นเอง ศาลกำลังบอกว่า นายอภิชาต ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมือง ได้มีมโนสำนึกแยกเป็นอีกหนึ่งมาตรฐาน โดยเห็นว่า เหตุความผิดกรณีพรรคประชาธิปัตย์ ได้รับเงินและจัดทำรายงานการใช้จ่ายเงินสนับสนุนของพรรคการเมืองไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ได้ปรากฏขึ้นให้ตนเห็นแล้ว กระนั้นหรือ?
๒.๑.๔ ที่น่าอัศจรรย์ใจยิ่งกว่านั้น คือตุลาการเสียงข้างมากผู้ทำคำวินิจฉัยเอง ก็ดูเหมือนจะมีมโนสำนึกในทางกฎหมายที่แยกเป็นสองมาตรฐานในวันเดียวกันที่เขียนคำวินิจฉัยเดียวกัน แม้จะร่วมกันเป็นเสียงข้างมากศาลจะสวมหมวกแต่เพียงใบเดียวในฐานะศาลรัฐธรรมนูญก็ตาม ดังนี้
ในช่วงแรกของคำวินิจฉัย ในส่วนที่เกี่ยวกับตุลาการเสียงข้างมาก ๓ เสียง ที่เห็นว่า นายทะเบียนพรรคการเมืองยังไม่มีความเห็นให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์ (หน้า ๘-๑๐) ศาลได้อธิบายว่า กฎหมายบัญญัติให้ประธานกรรมการการเลือกตั้งเป็นนายทะเบียนพรรคการเมือง แต่ในส่วนมาตรา ๙๓ วรรคสอง ที่เป็นประเด็นในคดีนี้ กฎหมายได้บัญญัติให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (ซึ่งรวมถึงประธานกรรมการการเลือกตั้ง) และนายทะเบียนพรรคการเมือง ใช้อำนาจหน้าที่ในลักษณะร่วมมือ หรือถ่วงดุลกัน กฎหมายบัญญัติให้นายทะเบียนพรรคการเมืองเป็นผู้วินิจฉัยว่า มีการกระทำความผิดตามมาตรา ๘๒ แห่งพระราชบัญญติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.๒๕๕๐ หรือไม่ เนื่องมาจากนายทะเบียนพรรคการเมืองมีหน้าที่ดูแลการปฏิบัติพรรคการเมืองให้เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนดและเป็นผู้ที่ทราบรายละเอียดการปฏิบัติของพรรคการเมืองเป็นอย่างดี กล่าวคือ ศาลได้อธิบายหลักว่าแม้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (ซึ่งรวมถึงนายอภิชาตในฐานะประธานด้วย) ไม่สามารถบังคับให้นายอภิชาตในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมืองให้ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญได้ ตราบใดที่นายอภิชาตในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมืองไม่พบเหตุการกระทำความผิด (เช่น ตามมาตรา ๘๒) คณะกรรมการการเลือกตั้งย่อมไม่สามารถมีมติให้ยื่นคำร้องตามมาตรา ๙๓ วรรคสองได้
ผู้ทำความเห็นก็เห็นพ้องด้วยกับหลักที่ศาลได้อธิบายไว้ในส่วนนี้ อีกทั้งหากพิจารณามาตรา ๘๒ ประกอบกับ มาตรา ๔๒ วรรคสอง ซึ่งเป็นขั้นตอนสำคัญก่อนจะไปสู่การยื่นเรื่องในมาตรา ๙๓ วรรคสองแล้ว จะเห็นว่ากฎหมาย บัญญัติให้พรรคการเมืองไม่ได้รายงานการใช้จ่ายเงินสนับสนุนให้ถูกต้องตามความเป็นจริงภายในเดือนมีนาคมของปีถัดไปแล้ว ก็ให้นายทะเบียนพรรคการเมือง มีอำนาจสั่งให้หัวหน้าพรรคการเมืองรายงานภายในระยะเวลาที่กำหนด ถ้าพ้นกำหนดระยะเวลาแล้วยังมิได้รายงาน โดยไม่มีเหตุผลอันสมควร ให้นายทะเบียนพรรคการเมืองโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการการเลือกตั้งดำเนินการเพื่อให้มีการยุบพรรคการเมืองนั้น จึงเห็นได้ว่ากฎหมายได้ให้ความสำคัญกับนายทะเบียนพรรคการเมือง เป็นผู้มีดุลยพินิจพิจารณาระยะเวลากับเหตุผลอันสมควร ซึ่งอาจเป็นเพราะนายทะเบียนต้องอาศัยการพินิจพิเคราะห์ ตรวจสอบข้อมูลเพิ่มเติม ก่อนจะวินิจฉัยว่ามีเหตุปรากฏอย่างแท้จริงอันนำไปสู่ขั้นตอนการยื่นคำร้องตามมาตรา ๙๓ วรรคสองได้ มิเช่นนั้นแล้ว ก็อาจมี ผู้อ้างได้โดยง่ายว่า ตนได้ส่งข้อมูลแสดงเหตุความผิดให้นายทะเบียนพรรคการเมืองได้รับทราบไปเมื่อสิบห้าวันก่อน และถือว่าเหตุได้ปรากฏต่อนายทะเบียนแล้ว
อย่างไรก็ดี ในช่วงหลังของคำวินิจฉัยในส่วนที่เกี่ยวกับเหตุผลของตุลาการ ๑ เสียง (หน้า ๑๑) ศาลกลับอธิบายทำนองเป็นเหตุผลทางเลือกว่า คณะกรรมการการเลือกตั้งมีอำนาจที่จะควบคุมและกำกับการดูแลการปฏิบัติหน้าที่ของนายทะเบียนพรรคการเมืองได้ นายทะเบียนพรรคการเมืองจะต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามมติของคณะกรรมการการเลือกตั้งและนายทะเบียนพรรคการเมืองต้องยื่นคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งยุบพรรคการเมืองตามขั้นตอนและระยะเวลาที่กำหนด และต่อมา (หน้า ๑๓) ว่ามติเสียงข้างมากของคณะกรรมการการเลือกตั้ง ในวันที่ ๑๗ ธันวาคม ๒๕๕๒ (โดยมีนายอภิชาตในฐานะประธานกรรมการการเลือกตั้ง เป็นเสียงข้างน้อยที่ไม่เห็นด้วย) ที่เห็นชอบให้อภิชาตในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมืองยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง เป็นกรณีที่ถือได้ว่า เหตุได้ปรากฏต่อนายทะเบียนพรรคการเมืองว่าตาม มาตรา ๙๓ แล้ว และต่อมา (หน้า ๑๔) ว่าวันที่ ๑๗ ธันวาคม ๒๕๕๒ เป็นวันที่คณะกรรมการการเลือกตั้งมีมติเสียงข้างมากในการพิจารณารายงานของคณะกรรมการสืบสวนสอบสวนชุดที่นายอิสระ ลิ้มศิริวงศ์ เป็นประธาน ในครั้งแรกและถือเป็นวันที่ความปรากฏต่อนายทะเบียนพรรคการเมืองแล้ว
การให้เหตุผลเช่นนี้ ฟังประหนึ่งว่า นายอภิชาตในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมืองจะเห็นเหตุตามมาตรา ๙๓ วรรคสองปรากฏต่อตนเมื่อใด ย่อมต้องพิจาราณาตามเวลาที่มีมติเสียงข้างมากของคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือตามวันที่ได้มีการพิจารณารายงานของคณะกรรมการสืบสวนสอบสวน ถึงแม้ในเวลานั้น มโนสำนึกในทางกฎหมายของนายอภิชาตในฐานะนักนิติศาสตร์คนหนึ่งขณะนั้น เองจะไม่เห็นเหตุปรากฏต่อตนก็ตาม หากเป็นเช่นนี้แล้ว การใช้อำนาจหน้าที่ในลักษณะร่วมมือหรือถ่วงดุลกันระหว่างคณะกรรมการการเลือกตั้งและนายทะเบียนพรรคการเมือง ดังที่ศาลเองได้อธิบายไว้ ในช่วงแรกของคำวินิจฉัย (หน้า ๘-๑๐) ก็จะไม่เกิดขึ้น ส่งผลที่แปลกประหลาดคือนายทะเบียนพรรคการเมืองต้องยอม ตามมติหรือความเห็นของผู้อื่น ทั้งที่กฎหมายจะบัญญัติบทบาท หน้าที่ อำนาจและดุลยพินิจหลายประการให้แก่นายทะเบียนพรรคการเมืองก็ตาม
อีกทั้งหากกลับไปพิจารณาตรรกะของวิธิในการลงมติแล้ว โดยพิจารณาสาระของเหตุผลของตุลาการเสียงข้างมากมีความเห็นเป็นสองกลุ่ม ที่หักล้างกันเองเสียแล้ว แม้จะอ้างว่าเป็นเหตุผลในการวินิจฉัยอีกทางหนึ่งก็ตาม ก็ยังขัดแย้งและหักล้างกันเองโดยสิ้นเชิง
๒.๑.๕ หากเราเห็นด้วยว่าการยื่นคำร้องในคดีนี้พ้นระยะเวลาตามที่กฎหมายกำหนดจริง มโนสำนึกในทางกฎหมายย่อมนำพาให้พิเคราะห์ว่า ระยะเวลาสิบห้าวันดังกล่าว มีเจตนารมณ์และความมุ่งหมายเพื่อการใด
หากลองเปรียบเทียบข้อกฎหมายเกี่ยวกับระยะเวลาที่พอคุ้นเคย เช่นอายุความการฟ้องคดีแพ่ง หากผู้เสียหายไม่ฟ้องในระยะเวลาที่กำหนด เช่นภาย ๑ ปีก็ดี หรือใน ๑๐ ปีก็ดี แล้วแต่กรณี และคู่ความอีกฝ่ายยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ ผู้ฟ้องคดีย่อมเสียสิทธิ ทั้งนี้เพราะเจตนารมณ์ของกฎหมายแพ่งส่วนหนึ่งก็เพื่อสนับสนุนให้ผู้เสียหายระมัดระวังและไม่เพิกเฉยดูดายต่อความเสียหายต่อสิทธิของตน รีบหาทางป้องกัน เยียวยาแก้ปัญหา ไม่ใช่สะสมความเสียหายไว้มาตั้งเป็นคดีหากได้เปรียบภายหลัง อีกทั้งเมื่อเวลาผ่านไปนาน พยานหลักฐานอาจสูญหายยากต่อการพิสูจน์
หากพิจารณาในบริบทคดีปกครองทั่วไป กฎหมายปกครองกำหนดระยะเวลาฟ้องคดีที่กระชับพอเหมาะ เช่น ต้องยื่นฟ้องภายในเก้าสิบวันนับแต่วันที่รู้หรือควรรู้ถึงเหตุแห่งการฟ้องคดี เพราะการเพิกถอนการกระทำทางปกครองที่ดำเนินการไปนานและมีผลเป็นการทั่วไปแล้วอาจเกิดความวุ่นวายได้ กระนั้นก็ดี ในบางกรณีที่ยื่นฟ้องเมื่อพ้นกำหนดเวลาการฟ้องคดีแล้ว ถ้าศาลปกครองเห็นว่าคดีที่ยื่นฟ้องนั้นจะเป็นประโยชน์แก่ส่วนรวมหรือมีเหตุจำเป็นอื่น ศาลปกครองจะรับไว้พิจารณาก็ได้ ทั้งนี้เพราะเจตนารมณ์และความมุ่งหมายสำคัญของกฎหมายปกครองก็คือการคุ้มครองประโยชน์สาธารณะ
หากพิจารณาในบริบทวิธีบัญญัติทั่วไป ข้อกฎหมายที่บังคับให้คู่ความในคดีต้องยื่นเอกสารให้ศาลและคู่ความอีกฝ่ายภายในเวลาที่กำหนด ก็เพื่อให้ศาลและคู่ความอีกฝ่ายสามารถมีเวลาตรวจสอบเอกสารและเตรียมตัวได้ทันการ มิใช่นำหลักฐานหรือข้อหาใหม่มากล่าวหาโดยอีกฝ่ายมิได้ตั้งตัว เป็นต้น
หรือหากจะพิจารณาในบริบทของหลักความชอบแห่งกระบวนการทางกฎหมาย (due process of law) ซึ่งเป็นองค์ประกอบหนึ่งของหลักนิติธรรมที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญแล้ว กฎหมายย่อมป้องกันมิให้ผู้ใช้อำนาจสามารถใช้อำนาจละเมิดกระบวนการที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายเพื่อได้มาซึ้งเป้าหมายที่อาจจะชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ก็ตาม เช่น การลักลอบนำหลักฐานการกระทำผิดที่ตำรวจได้มาโดยการใช้อำนาจตรวจค้นที่ผิดกฎหมาย เพื่อมาดำเนินคดีกับผู้ต้องหาแม้ผู้ต้องหาจะกระทำผิดจริงก็ตาม เพราะหากปล่อยให้วิธีการที่ผิดนำไปสู่ผลที่อาจจะถูกแล้ว ก็จะเปิดช่องให้มีการใช้อำนาจริดรอนสิทธิเสรีภาพได้ไม่จำกัด เพียงแค่อ้างในเป้าหมายเป็นสำคัญ
จากตัวอย่างเหล่านี้ หากหันมาพิจารณาเจตนารมณ์และความมุ่งหมายของระยะเวลาสิบห้าวันในบริบทกฎหมายว่าด้วยพรรคการเมืองที่ศาลวินิจฉัยในคดีนี้แล้ว พิเคราะห์ได้ว่า การสอดส่องติดตามกิจกรรมและการเงินของพรรคการเมืองเป็นเรื่องสำคัญของการปกครองในระบอบประชาธิปไตย กฎหมายจึงกำหนดระยะเวลาให้นายทะเบียนพรรคการเมืองและคณะกรรมการการเลือกตั้ง ต้องเร่งรัดดำเนินการตรวจสอบ หากพบว่ามีเหตุความผิดปรากฏต่อนายทะเบียน นายทะเบียนย่อมต้องหารือกับคณะกรรมการการเลือกตั้ง พิจารณายื่นคำร้องต่อศาลโดยไม่ชักช้า เช่น จะอ้างว่ากรรมการการเลือกตั้งติดธุระไม่ได้
ดั้งนั้น ระยะเวลาสิบห้าวันซึ่งสั้นมากจึงมุ่งบังคับให้กระบวนการตรวจสอบอันสำคัญต่อกระบวนการประชาธิปไตยและประโยชน์ส่วนรวมเกิดขึ้น ซึ่งต่างจากลักษณะของอายุความที่มีระยะเวลาเป็นปีในคดีแพ่ง หรือระยะเวลาในบริบทกฎหมายอื่น และที่สำคัญย่อมไม่ใช่ กรณีที่ความชอบแห่งกระบวนการทางกฎหมายจะเสียไป เพราะแม้ นายทะเบียนพรรคการเมืองจะยื่นคำร้องเกินไปอีกเดือน หรือ อีกปี ก็มิได้เป็นกรณีที่ นายทะเบียนและคณะกรรมการการเลือกตั้ง ใช้อำนาจโดยมิชอบต่อพรรคประชาธิปัตย์เพื่อได้มาซึ่งการเอาผิด แต่เป็นการทำผิดพลาดภายในองค์กรเสียเอง เว้นเสียแต่จะมีข้อเสียเปรียบที่ปรากฏ เช่น ยื่นคำร้องเกินไปสิบปีจนพรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้เก็บหลักฐานไว้สู้คดีแล้ว จริงอยู่ว่าผลของการยื่นคำร้องเกินกำหนดสิบห้าวันอาจนำไปสู่การต้องรับผิดของผู้มีหน้าที่ยื่นคำร้องตามกฎหมาย แต่ก็จากข้อเท็จจริงที่ปรากฏว่าพรรคประชาธิปัตย์ก็ได้สู้คดีโดยสง่างามอย่างเต็มที่ ก็ไม่สมควรเป็นเหตุให้ศาลต้องล้มเลิกกระบวนการเพื่อวินิจฉัยข้อเท็จจริงอันเป็นสาระสำคัญของระบอบประชาธิปไตย ซึ่งเป็นเป้าหมายที่ระยะเวลาสิบห้าพยายามทำให้เกิดเสียแต่แรก
ในทางกลับกัน หากเรายึดระยะเวลาสิบห้าวันดังที่ปรากฏในคำวินิจฉัยแล้ว อาจเกิดข้อโต้เถียงในอนาคตว่า แท้จริงแล้ว เหตุตามมาตรา ๙๓ วรรคแรก ได้ปรากฏต่อนายทะเบียนพรรคการเมืองเมื่อใด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในคดีที่มีปริมาณพยานหลักฐานมาก ซ้ำร้ายยังจะเป็นการกดดันให้นายทะเบียนและ คณะกรรมการการเลือกตั้ง ลังเลที่จะใช้เวลาเพื่อพิจารณาเหตุความผิดโดยละเอียดในที่สุด
๒.๒ เหตุผลเรื่องนายทะเบียนพรรคการเมืองยังไม่มีความเห็นให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์
ศาลอธิบายในคำวินิจฉัย (หน้า ๙-๑๑) ว่า เมื่อวันที่ ๑๗ ธันวาคม ๒๕๕๒ ในการประชุมคณะกรรมการการเลือกตั้งครั้งที่ ๑๔๔/ ๒๕๕๒ ในส่วนกรณีข้อกล่าวหาเกี่ยวกับคดีนี้ (กรณีเงิน ๒๙ ล้านบาท) คณะกรรมการการเลือกตั้งมีมติเสียงข้างมากสั่งตามรวมกันไปกับอีกข้อหา (กรณีเงิน ๒๕๘ ล้านบาท) ว่า ให้นายทะเบียนพรรคการเมืองมีความเห็นก่อนว่า แล้วจึงเสนอคณะกรรมการการเลือกตั้งนั้น เป็นความไม่ชัดเจนในการปรับบทบังคับใช้กฎหมายในองค์กรขณะนั้นเท่านั้น การที่นายอภิชาตได้ทำความเห็นส่วนตนในการลงมติเมื่อวันที่ ๑๒ เมษายน ๒๕๕๓ เป็นการกระทำในฐานะประธานกรรมการการเลือกตั้ง ความเห็นของนายอภิชาตในการลงมติดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของมติที่ประชุมคณะกรรมการการเลือกตั้ง ซึ่งนายทะเบียนพรรคการเมืองไม่มีอำนาจใดๆ ที่จะร่วมลงมติในการประชุมของคณะกรรมการการเลือกตั้ง
ศาลอธิบายต่อว่าการลงมติดังกล่าวแตกต่างจากการสั่งที่ให้นำเรื่องเข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการการเลือกตั้งในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมือง ที่ได้มีความเห็น เช่นนั้นก่อนแล้ว จึงเสนอความเห็นให้คณะกรรมการการเลือกตั้งพิจารณาให้ความเห็นชอบความเห็นของนายอภิชาตในการลงมติ ในฐานะประธานกรรมการการเลือกตั้งเมื่อวันที่ ๑๒ เมษายน ๒๕๕๓ จึงไม่อาจถือได้ว่า เป็นความเห็นของนายทะเบียนพรรคการเมือง
ศาลสรุปว่า เมื่อนายทะเบียนพรรรคการเมืองยังมิได้มีความเห็นให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์ ตามมาตรา ๙๓ การให้ความเห็นชอบของคณะกรรมการการเลือกตั้งเมื่อวันที่ ๒๑ เมษายน ๒๕๕๓ จึงเป็นการกระทำที่ผิดขั้นตอนของกฎหมายในส่วนสาระสำคัญ จึงไม่มีผลทางกฎหมายที่จะให้นายทะเบียนพรรคการเมืองมีอำนาจยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์ ได้
ผู้ทำความเห็นตั้งข้อสังเกตดังนี้
๒.๒.๑ การให้เหตุผลดังกล่าว แท้จริงแล้วเป็นการเพิ่มกฎเกณฑ์อันเข้มงวดที่ยึดรูปแบบมากกว่าสาระ
ศาลให้เหตุผลว่า นายอภิชาตในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมือง ต้องแสดงความเห็นในรูปแบบที่เฉพาะที่แยกชัดเจนจากการลงมติในฐานะประธานกรรมการการเลือกตั้ง ผู้ทำความเห็นไม่แน่ใจว่าศาลนำหลักอะไรมาตีความว่า มาตรา ๙๓ วรรคสองที่บัญญัติว่า “ให้นายทะเบียนโดยความ เห็นชอบของคณะกรรมการการเลือกตั้งยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่ความปรากฏต่อนายทะเบียน” หมายความว่า นายอภิชาต ต้องสวมสถานะนายทะเบียนพรรคการเมืองในรูปแบบเฉพาะที่ศาลพอใจ เพื่อแจ้งความเห็นต่อที่ประชุมคณะกรรมการการเลือกตั้งก่อน โดยศาลก็มิได้ระบุว่ารูปแบบมีกฎเกณฑ์อย่างไร เช่นต้องทำเป็นหนังสือ หรือกล่าวโดยวาจาในที่ประชุมโดยแจ้งให้ทราบว่าตนกำลังแสดงความเห็นใน ฐานะนายทะเบียนพรรคการเมือง จากนั้นจึงกลับไปสนทนาในฐานะประธานกรรมการการเลือกตั้ง
ข้อเท็จจริงสำคัญในคำวินิจฉัย (หน้า ๗-๘) ศาลรับฟังว่า ในวันที่ ๑๒ เมษายน ๒๕๕๓ ที่ประชุมคณะกรรมการการเลือกตั้ง มีมติสำหรับกรณีคำร้องในคดีนี้ โดยมีมติเป็นเอกฉันท์ (มีนายอภิชาตในฐานะประธานกรรมการการเลือกตั้งรวมอยู่ด้วย) ให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์ โดยนายอภิชาต ในฐานะประธานกรรมการการเลือกตั้งมีความเห็นส่วนตนตามที่ลงมติว่า ให้นายทะเบียนพรรคการเมือง โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการการเลือกตั้ง ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญภายในสิบห้าวัน ตามมาตรา ๙๓ วรรคสอง ศาลอธิบายต่อว่า ๒๑ เมษายน ๒๕๕๓ คณะกรรมการการเลือกตั้งได้ประชุมกันอีกครั้งหนึ่ง โดยนายทะเบียนพรรคการเมืองในฐานะประธานกรรมการการเลือกตั้ง มิได้เข้าประชุมด้วย ที่ประชุมมีมติเป็นเอกฉันท์เห็นชอบให้นายทะเบียนพรรคการเมืองยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์ตามมาตรา ๙๓ โดยถือว่าความเห็นส่วนตนของนายอภิชาตที่ลงมติไว้ในการประชุมคณะกรรมการการเลือกตั้ง เมื่อวันที่ ๑๒ เมษายน ๒๕๕๓ เป็นความเห็นของนายทะเบียนพรรคการเมือง
ผู้ทำความเห็นจำต้องนำประเด็นเรื่องมโนสำนึกในทางกฎหมายกลับมาถามว่า นายอภิชาตซึ่งเป็นนักนิติศาสตร์ที่กฎหมายให้ความไว้วางใจสวมหมวกสำคัญสองใบในเวลาเดียวกันเพื่อสามารถดำเนินภารกิจขององค์กรให้มีประสิทธิภาพไปพร้อมกัน สามารถมีมโนสำนึกในทางกฎหมายแยกเป็นสองมาตรฐาน มาใช้วินิจฉัยข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายกรณีเดียวกัน ให้ปรากฏผลต่างกันในเวลาเดียวกันได้ กล่าวคือ ในวันที่ ๑๒ เมษายน ๒๕๕๓ ศาลรับฟังว่า นายอภิชาตในฐานะประธานกรรมการการเลือกตั้ง มีความเห็นส่วนตนตามที่ลงมติว่า ให้นายทะเบียนพรรคการเมือง โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการการเลือกตั้ง ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญภายในสิบห้าวัน ตามมาตรา ๙๓ วรรคสอง และในวันเดียวกันนั้นเอง ศาลกำลังบอกว่า นายอภิชาต ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมือง ได้มีมโนสำนึกแยกเป็นอีกหนึ่งมาตรฐาน โดยเห็นว่า นายอภิชาต ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมือง ยังไม่มีความเห็นให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์ กระนั้นหรือ?
๒.๒.๒ การเพิ่มกฎเกณฑ์อันเข้มงวดที่ยึดรูปแบบมากกว่าสาระ นอกจากจะก่อให้เกิดผลประหลาดแล้ว ยังเป็นการใช้อำนาจตุลาการเข้าไปกำหนดการทำงานภายในของคณะกรรมการการเลือกตั้งซึ่งถูกออกแบบมาให้เป็นองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ ทั้งที่ระบบปฎิบติภายในองค์กรก็เพียงพอที่จะเข้าเงื่อนไขตามมาตรา ๙๓ วรรคสองแล้ว กล่าวคือ นายทะเบียนพรรคการเมืองและคณะกรรมการการเลือกตั้ง มีความเห็นตรงกัน โดยมโนสำนึกของนายทะเบียนพรรคการเมืองปรากฎชัดต่อคณะกรรมการการเลือกตั้งตั้งแต่วันที่ ๑๒ เมษายน ๒๕๕๓ แล้ว และต่อมาในวันที่ ๒๑ เมษายน ๒๕๕๓ คณะกรรมการการเลือกตั้งได้ประชุมกันอีกครั้งหนึ่ง มีมติเห็นชอบยืนยันอีกครั้ง
๒.๒.๓ ในขณะเดียวกัน ศาลไม่ได้ให้คำอธิบายเลยว่า หากปล่อยให้การดำเนินการดังกล่าวดำเนินต่อไปแล้ว จึงถือเป็นการกระทำที่ผิดขั้นตอนของกฎหมายในส่วนสาระสำคัญด้วยเหตุใด เช่น หากพิจารณาตามหลักความชอบแห่งกระบวนการทางกฎหมาย (due process of law) แล้วการดำเนินการดังกล่าวโดยผู้ใช้อำนาจคือ นายทะเบียนพรรคการเมืองและคณะกรรมการการเลือกตั้ง ได้ใช้อำนาจละเมิดกระบวนการที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายเพื่อได้มาซึ้งเป้าหมายที่อาจจะชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ก็ตาม โดยริดรอนสิทธิเสรีภาพ สร้างความไม่เป็นธรรมให้แก่พรรคประชาธิปัตย์ อย่างไร หรือ การดำเนินการดังกล่าวได้สร้างความเสียหายต่อระบบการใช้อำนาจระหว่างนายทะเบียนพรรคการเมืองและคณะกรรมการการเลือกตั้งอย่างไร และที่สำคัญเมื่อพิจารณาตามหลักความได้สัดส่วน (proptionality principle) แล้ว การนำข้อขัดข้องที่ศาลพบเห็นและไม่ได้มีระบุไว้ชัดในกฎหมาย มาเป็นเหตุให้กระบวนการยุติธรรมชะงักงันและเดินต่อไปไม่ได้ ดูประหนึ่งเป็นการทอดทิ้งเจตนารมณ์ของกฎหมายที่มุ่งหวังให้มีการตรวจสอบพรรคการเมืองยิ่งนัก
๒.๒.๔ สมมติว่าเรายอมรับตรรกะของตุลาการเสียงข้างมากกลุ่มแรก ๓ เสียง ที่เน้นความเข้มงวดในทางรูปแบบมากกว่าสาระนี้ ผู้ทำความเห็นก็อดคิดไม่ได้ว่า ณ วันนี้ นายทะเบียนพรรคการเมืองจะอาศัยเหตุผลที่เข้มงวดในทางรูปแบบดังกล่าวกลับไปให้ความเห็นให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์อีกครั้งได้หรือไม่ โดยตีความตามคำวินิจฉัยของศาลว่า ตลอดเวลาที่ผ่านมา นายทะเบียนพรรคการเมืองยังไม่มีความเห็นให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์ เพราะ นายทะเบียนพรรคการเมืองเอง ก็ยังไม่เคยแจ้งให้ใครทราบโดยชัดเจนว่า เหตุที่ให้ยุบพรรคพรรคประชาธิปัตย์ได้ปรากฏต่อตัวนายทะเบียนแล้ว หรือไม่ เมื่อใด มีแต่แสดงออกผ่านการลงมติและความเห็นในฐานะประธานกรรมการการเลือกตั้ง อีกทั้งการยื่นคำร้องให้ศาลในคดีนี้ ศาลเองก็วินิจฉัยว่ากระบวนการไม่ชอบ ก็ย่อมต้องตีความโดยเน้นความเข้มงวดในทางรูปแบบว่า เหตุที่ให้ยุบพรรคพรรคประชาธิปัตย์แม้อาจจะได้ปรากฏต่อตัวนายทะเบียนในทางสาระ แต่ก็มิได้ปรากฏโดยชอบในทางรูปแบบ ดังนั้น นายทะเบียนพรรคการเมืองและคณะกรรมการการเลือกตั้งย่อมกลับไปเริ่มกระบวนการใหม่ ได้หรือไม่?
๒.๒.๕ สิ่งน่าอัศจรรย์ปรากฏอีกครั้งเมื่อตุลาการเสียงข้างมากผู้ทำคำวินิจฉัยเองได้มีมโนสำนึกในทางกฎหมายที่แยกเป็นสองมาตรฐานในคำวินิจฉัยเดียวกัน เพราะตุลาการเสียงข้างมาก ๓ เสียง เห็นว่านายอภิชาตในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมืองต้องแสดงความเห็นเป็นรูปแบบเฉพาะนั้น ต่อมาในการให้เหตุผลในส่วนตุลาการเสียงข้างมาก ๑ เสียง ที่เห็นว่า นายทะเบียนพรรคการเมืองได้ยื่นคำร้องต่อศาลเมื่อพ้นระยะเวลาสิบห้าวันตามที่กฎหมายกำหนด กลับให้เหตุผลที่ขัดแย้งกันอย่างสิ้นเชิง ดังนี้
ในคำวินิจฉัยหน้า ๑๑-๑๒ ศาลกล่าวว่า มีเหตุผลให้วินิจฉัยอีกทางหนึ่ง กล่าวคือกรณีข้อกล่าวหาตามมาตรา ๙๓ วรรคแรกนั้น มาตรา ๙๓ วรรคสอง มิได้บัญญัติให้นายทะเบียนพรรคการเมืองเข้าเสนอความเห็นด้วยว่า พรรคการเมืองใดมีเหตุตามวรรคแรกต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง เพื่อขอความเห็นชอบของคณะกรรมการการเลือกตั้ง ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้ยุบพรรคการเมือง ต่างจากกรณีข้อกล่าวหาตามมาตรา ๙๔ ที่มาตรา ๙๕ บัญญัติว่า เรื่องปรากฏต่อนายทะเบียน พรรคการเมืองและนายทะเบียนได้ตรวจสอบแล้ว กล่าวคือนายทะเบียนต้องตรวจสอบ แล้วจึงเสนอต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง พร้อมความเห็นว่า พรรคการเมืองใดกระทำตามมาตรา ๙๔ หรือไม่
สมควรเน้นอีกครั้งว่า หากกลับไปพิจารณาตรรกะของวิธิในการลงมติแล้ว หากเราลองพิจารณาสาระของเหตุผลของตุลาการเสียงข้างมากมีความเห็นเป็นสองกลุ่ม แม้จะอ้างว่าเป็นเหตุผลในการวินิจฉัยอีกทางหนึ่งก็ตาม แต่สาระในทางเหตุผลไม่ใช่แค่ไม่ตรงกันบางประเด็น แต่กลับหักล้างกันเองในทุกประเด็นหลักเสียแล้ว มติทั้งสี่เสียงอันขัดแย้งกันในสาระอย่างสิ้นเชิงเช่นนี้ ยากที่จะถือว่าเป็นมติเสียงข้างมากโดยชอบธรรมได้
๓. ศาลควรปรับปรุงระบบการบริหารคดี
ไม่ว่าเราจะเห็นด้วยกับคำวินิจฉัยหรือไม่ ผลจากคำวินิจฉัยก็เป็นตัวอย่างอันดีให้ผู้เกี่ยวข้องควรหันมาทบทวนระบบการบริหารคดีของศาลว่า พอจะมีวิธีใดที่สามารถประหยัดเวลาและทรัพยากรของชาติที่ทุ่มเทไปกับกระบวนการทั้งหมดได้หรือไม่ เช่น การพิจารณาคดีอาจแยกเป็นส่วน ส่วนแรกเรื่องเขตอำนาจและความชอบของกระบวนการยื่นคำร้อง ซึ่งพึงพิจารณาให้เสร็จก่อนที่จะทุ่มเวลากับการสืบพยานหลักฐานที่เป็นเนื้อหาสาระของคดี แน่นอนว่าการบริหารคดีที่มีความซับซ้อนเช่นนี้ ศาลเองย่อมอาศัยความช่วยเหลือจากบรรดาเลขานุการและนิติกรที่มีความรู้กฎหมายและมาทำงานประจำได้เป็นแน่ อนึ่ง ผู้ทำความเห็นอดคิดไม่ได้ว่า ในอนาคตอันใกล้ หากนายทะเบียนพรรคการเมืองได้สืบสวนหรือค้นพบข้อมูลเพิ่มเติมที่อาจทำให้ปรากฏซึ่งเหตุอันเป็นความผิด แต่เผอญข้อมูลดังกล่าวไม่ได้อยู่รวมเป็นส่วนหนึ่งในสำนวนของคดีที่ฟ้องอยู่ทั้งสองคดีเสียแล้ว ก็อาจมีการเริ่มกระบวนการให้ถูกต้องเสียใหม่ โดยอาศัยบทบัญญัติตามมาตรา ๘๒ ก็ดี ๙๔ (๔) ก็ดี ซึ่งกินความกว้างพอสมควร
๔. คู่ความต้องมีโอกาสในการสู้คดีอย่างเต็มที่
ผู้ทำความเห็นไม่ติดใจว่าประเด็นระยะเวลาสิบห้าวัน ศาลยกขึ้นพิจารณาเองได้หรือไม่ แต่ที่สำคัญคือ การพิจารณาประเด็นดังกล่าวควรเป็นกรณีศึกษาว่า เมื่อศาลไม่ได้เปิดโอกาสให้คู่ความในคดีทราบได้แน่ชัดว่าในใจตุลาการแต่ละท่านคิดเห็นหรือสงสัยถึงประเด็นใดอยู่เป็นพิเศษ อีกทั้งการพิจารณาคดีโดยตุลาการตั้งคำถามสดก็มิอาจพบเห็นบ่อยนัก จึงน่าพิเคราะห์ว่า คู่ความในคดี ได้มีโอกาสนำเสนอข้อต่อสู้และตรวจสอบพยานหลักฐานในประเด็นเฉพาะเจาะจงที่อยู่ในใจตุลาการอันเป็นประเด็นตัดสินคดีมากน้อยเพียงใด เพราะหากสุดท้ายกระบวนการยุติธรรมที่ดำเนินมาทั้งหมดติดอยู่กับเพียงประเด็นว่า สิ่งหนึ่งสิ่งใดได้ปรากฏต่อนายทะเบียนพรรคการเมืองหรือไม่และเมื่อเวลาใด หรือทำไปในฐานะใด ศาลก็สมควรให้คู่ความได้ทราบถึงความสำคัญของประเด็นเฉพาะเจาะจงดังกล่าว และคู่ความก็สมควรได้ซักถามนายทะเบียนพรรคการเมืองผู้นั้นต่อหน้าศาลอย่างละเอียด และนำเสนอข้อโต้แย้งในการตีความกฎหมายเรื่องระยะเวลาที่เกี่ยวข้อง พร้อมกับประชาชนที่จะได้ติดตามรับฟัง เพื่อสุดท้ายศาลสามารถรับฟังความอย่างรอบด้านและนำความจริงในห้องเปิดมาอธิบายให้ปรากฏ
แต่หากสุดท้ายความยุติธรรมคือกรณีที่หารือถือเอาได้แต่เพียงในห้องปิด ซ้ำโดยอาศัยพยานสำคัญที่ตัวไม่ปรากฏแต่ส่งมาเพียงเอกสารเสียแล้ว ก็คงเป็นชะตากรรมของเรา ประชาชนชาวไทย ที่ต้องเลือกระหว่างการยอมรับสภาพที่เป็นอยู่ หรือเรียกร้องสังคมที่ไม่เขินอายต่อความจริง
ไม่แน่ คดียุบพรรคประชาธิปัตย์ภาคต่อไป เราอาจได้เห็นกัน!
บทส่งท้าย
เหตุแห่งกระแสความใส่ใจในความเป็นกลางและจริยธรรมของตุลาการนั้น ปรากฏพบเป็นครั้งคราว แต่เหตุอันพึงปรากฏโดยมิต้องอาศัยกระแส คือเรื่องความละเอียด แม่นยำ และแยบยลในนิติวิธีและหลักกฎหมาย ฝ่ายบริหาร นิติบัญญัติ และตุลาการต่างเป็นผู้ใช้อำนาจของเรา แต่เราไม่อาจอาศัยกระบวนการทางการเมืองเพื่อคัดเลือก สนับสนุนหรือลงโทษตุลาการได้ดั่งที่เราพึงทำต่อนักการเมืองได้ อีกทั้ง การตรวจสอบตุลาการที่ผ่านมาปรากฏไม่ชัด ส่วนหนึ่งอาจด้วยเหตุที่รัฐธรรมนูญให้ตุลาการมีบทบาทสำคัญในการได้มาซึ่งส่วนหนึ่งของสมาชิกวุฒิสภาที่รัฐธรรมนูญมอบหมายให้ทำหน้าที่ตรวจสอบตุลาการเสียเอง
สิ่งที่เราประชาชนพึงทำได้ คือติดตาม ใคร่ครวญ และกล้าหาญที่จะหวงแหนในเหตุผลและความยุติธรรมของคำวินิจฉัย เพราะความยุติธรรมในระบอบประชาธิปไตยมิอาจดำรงได้ด้วยมาตรฐานทางเหตุผลหรือคุณธรรมจำเพาะของคนบางกลุ่ม แต่ต้องฟูมฟักและงอกเงยจากสำนึกและประสบการณ์ของปวงชนที่สะท้อนผ่านกระบวนการและกฎหมายที่เรามีส่วนร่วมอย่างเท่าเทียมกัน
ครอบครัว คุณครู และมิตรสหาย ต้องร่วมกันกระตุ้นสำนึกดังกล่าวผ่านเหตุการณ์ในชีวิตประจำวัน อย่างน้อยก็โดยปฎิเสธความมักง่ายที่จะนิ่งเฉยดูดายภายใต้เงาของความเป็นกลางอันว่างเปล่า เราต้องเรียกร้องสถาบันวิชาการและสื่อมวลชนให้ยึดมั่นและกล้าหาญในการทำหน้าที่เพื่อสังคม และต่อต้านการนำเสนอที่มอมเมาหรือตื้นเขิน พร้อมสนับสนุนการถ่ายถอดหลักการและสิ่งที่ปรากฏจากคำวินิจฉัยผ่านผลงานในระดับนานาชาติ ให้ทราบไปถึงบรรดาผู้นำทางความคิด อาจารย์นิติศาสตร์ หรือ ผู้พิพากษาในต่างประเทศ ซึ่งอาจเป็นการช่วยสร้างกระบวนการแลกเปลี่ยนและเรียนรู้ที่ดีสำหรับตุลาการไทยอีกทางหนึ่ง
เราต้องจดจำใบหน้าของผู้แทนที่พร้อมจะเชื่อมโยงมโนสำนึกที่เรามีต่อคำวินิจฉัยไปสู่ศาลและตัวบทกฎหมาย ไม่ว่าจะผ่านการตรวจสอบทางรัฐสภา การแก้กฎหมาย หรือการรณรงค์ทางการเมือง และไม่ลืมชื่อหรือนามสกุลของผู้แทนที่พร้อมทอดทิ้งหลักการ เพื่อรักษาความสัมพันธ์ส่วนตัวและผลประโยชน์ของตนเอง
และสุดท้าย เราต้องร่วมกันจรรโลงความหวังและเป็นกำลังใจให้ตุลาการผู้เปี่ยมด้วยใจอันเป็นธรรม รวมไปถึงผู้พิพากษาในศาลอื่น ที่อาจพลอยต้องพิจารณาคดีที่เป็นผลพวงจากคดีนี้ ให้คงใจที่เปิดกว้างและรับฟังเสียงของปวงชน ให้สมดั่งเป็นตุลาการที่มาจากปวงชน โดยปวงชน และเพื่อปวงชน
ที่มา.ประชาไท
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)