"พล.อ.เตีย บัน"งงกับคำกล่าวของ"ธาริต"เอาข้อมูลมาจากไหนถึงได้กล่าวหาว่ากัมพูชาให้ใช้พื้นที่ฝึกกองกำลังติดอาวุธเพื่อต่อต้านรัฐบาลไทย
จากกรณีที่เจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เปิดเผยถึงข้อมูลจากการสืบสวนขยายผลจากการให้ปากคำของ 11 นักรบแดง อ้างว่าแกนนำ นปช. ชักชวนชายฉกรรจ์จำนวน 39 คน หลบหนีไปฝึกอาวุธในค่ายทหารประเทศกัมพูชา แล้วเข้ามาก่อเหตุในเมืองไทย
พล.อ.เตีย บัน รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้สัมภาษณ์พิเศษ หลังจากการกลับประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนอย่างไม่เป็นทางการ (ADMM Retreat) และการประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนกับรัฐมนตรีกลาโหมจากประเทศคู่เจรจา ครั้งที่ 1 (ADMM-Plus 1st) ณ กรุงฮานอย ประเทศเวียดนาม ในระหว่างวันที่ 10-12 ตุลาคม ที่ผ่านมา
พล.อ.เตีย บัน กล่าวว่า กัมพูชางงกับคำแถลงข่าวของกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ ว่าไปเอาข้อมูลมาจากไหนถึงได้กล่าวหาว่ากัมพูชาว่าให้ใช้พื้นที่ฝึกกองกำลังติดอาวุธเพื่อต่อต้านรัฐบาลไทย และไม่ทราบเหมือนกันว่าใครเป็นคนให้ข้อมูล หรือข้อมูลหลุดมาจากที่ไหน
@ กัมพูชายืนยันได้หรือไม่ว่า กัมพูชาจะไม่ยอมให้ใช้แผ่นดินกัมพูชาในการซ่องสุ่มฝึกกองกำลังติดอาวุธเพื่อโจมตีประเทศไทย
เรื่องนี้ทำไมผมจะต้องไปยืนยัน เพราะกัมพูชาไม่ได้มีการฝึกกองกำลังติดอาวุธอะไรทั้งสิ้น และในฐานะที่ดูแลงานด้านความมั่นคงในกัมพูชา ผมก็อยากยืนยันให้ชัดเจนว่า ไม่มีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นแน่ในกัมพูชา ผมมองว่าสิ่งที่เกิดขึ้นคงจะมีจุดประสงค์อันใดอันหนึ่งเท่านั้น อย่าเอากัมพูชาเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้
"ดีเอสไอ ไม่น่าจะเอากัมพูชาเข้าไปเกี่ยวข้องกับสถานการณ์ของประเทศไทย ส่วนดีเอสไอ หรือประเทศไทย จะดำเนินการจัดการเรื่องนี้อย่างไรก็แล้วแต่ อย่านำกัมพูชาเข้าไปเกี่ยวข้อง การแก้ไขปัญหาทางประเทศจะต้องแก้ไขปัญหาหรือจัดการกันไปเอง ทำไมถึงต้องเอากัมพูชาเข้าไปเกี่ยวข้อง ผมอยากรู้อยากทราบเหมือนกันว่าทำไมอยู่ดีๆ ถึงเอากัมพูชาเข้าไปเกี่ยวข้อง เพราะจริงๆ แล้วมันไม่เคยมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นเลย"
@ หลังจากที่มีข่าวในลักษณะแบบนี้เกิดขึ้นทางกัมพูชา หรือหน่วยงานด้านความมั่นคงของกัมพูชา ได้มีการตรวจสอบว่ามีการฝึกกองกำลังติดอาวุธหรือไม่
ทำไมจะต้องไปตรวจสอบ เพราะกัมพูชาไม่ได้ให้ใครมาใช้พื้นที่ในการฝึกกองกำลังติดอาวุธ
@ จะมีการลักลอบในการฝึกหรือไม่
กล่าวพร้อมกับหัวเราะว่า จะต้องไปตรวจสอบอะไร เพียงแต่ผมแปลกใจว่าข่าวในลักษณะดังกล่าวเกิดขึ้นได้อย่างไร มันเป็นเรื่องที่แปลก และประหลาดใจมาก ดีเอสไอจะแก้ไขปัญหาหรือสะสางปัญหาเรื่องนี้อย่างไรก็ว่ากันไป แต่ทำไมถึงเอากัมพูชาไปเชื่อมโยงด้วย ผมประหลาดใจมาก
@ได้มีการพูดคุยกับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม หรือไม่
เรื่องนี้ไม่เป็นไร แต่ความสัมพันธ์ทางด้านทหารระหว่างกองทัพกัมพูชากับกองทัพไทย โดยเฉพาะ พล.อ.ประวิตรพูดคุยกันมาตลอด ด้านการทหารมีความเข้าใจกันดี ทุกอย่างพยายามยับยั้งไม่ให้เรื่องบานปลายกลายเป็นเรื่องเป็นราว เราเข้าใจกัน และคุยกันตลอด ไม่มีปัญหาอะไร
@ สมเด็จฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา เข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นหรือไม่
จะไม่เข้าใจอย่างไร เพราะเรื่องทั้งหมดมันไม่มี และไม่เคยเกิดขึ้น แต่สิ่งที่เกิดขึ้น ดีเอสไอคงจัดฉากขึ้นมา และพูดกันขึ้นมาเอง ไม่อยากจะไปวิพากษ์วิจารณ์ เพราะมันไม่เกี่ยวอะไรกับกัมพูชา ขออย่างเดียวขออย่าได้เอากัมพูชา หรือคนของกัมพูชาเข้าไปเกี่ยวกับปัญหาสถานการณ์บ้านเมืองของประเทศไทย เป็นเรื่องภายในของประเทศที่จะต้องสะสางกันเอง อย่าเอากัมพูชาเข้าไปเกี่ยวข้องเพราะมันจะยิ่งทำให้เกิดปัญหามากขึ้น และจะมองภาพไม่สวย ที่ผ่านมาไม่มีเหตุการณ์แบบนี้
"สิ่งที่เกิดขึ้นทางกัมพูชาคงไม่ต้องเรียกร้องอะไร แต่สิ่งที่กัมพูชาพยายามทำตลอดคืออยากให้กัมพูชา และประเทศไทย เข้าคืนสู่สภาพดี และมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันเหมือนในอดีต สามารถเดินทางเข้าออกของทั้งสองประเทศได้เหมือนเดิม พยายามทำทุกสิ่งทุกอย่าง ทุกวิถีทางเพื่อให้รักกันเหมือนเดิม เพราะเป็นสิ่งที่ไม่มีประโยชน์ที่จะมาทะเลาะกัน และให้คนใดคนหนึ่งมาได้ผลประโยชน์ที่ทั้งสองประเทศทะเลาะกัน หรือมาจับผิด กระทบกระทั่งกัน มันจะทำให้เกิดความเสียหาย"
ดังนั้นมีสิ่งเดียวคือจะต้องคืนดีกัน และทำมาหากิน และแก้ไขปัญหาร่วมกันที่ทั่วโลกได้รับอยู่ในขณะนี้ การที่บ้านใกล้เรือนเคียงกันไม่มีอะไรที่จะสามารถแยกออกจากกันได้ แต่หนทางที่ดีคือพูดคุยกัน
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจะบานปลายทำให้เกิดปัญหาขัดแย้งเหมือนที่ผ่านมาหรือไม่
ผมว่าคงไม่ถึงขนาดนั้น และเหตุการณ์คงไม่บานปลายไปถึงเหนือถึงใต้ได้ เพราะเรื่องมันไม่เป็นเรื่อง เรื่องปากท้องของทั้งสองประเทศสำคัญกว่า
ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
วันอาทิตย์ที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2553
'แม้ว'ทุ่มสุดตัว สงครามสุดท้าย
คดียุบพรรคประชาธิปัตย์งวดเข้ามาทุกขณะ
นายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มีคิวขึ้นเบิกความวันจันทร์นี้ ในการไต่ สวนพยานนัดสุดท้าย
จากนั้นศาลรัฐธรรมนูญต้องใช้เวลาพิจารณาและเขียนคำวินิจฉัยประมาณ 1 เดือน กว่าจะรู้ผลคงเป็นช่วงกลางเดือนถึงปลายเดือน พ.ย.
เป็นที่จับตาของทุกฝ่ายเนื่องจากผลของคดีนี้จะมีผลต่อโฉมหน้าการ เมืองไทยอย่างใหญ่หลวง
ถ้าศาลตัดสินให้ยุบพรรคและตัดสิทธิ์กรรมการบริหารพรรค เบาะๆ ก็ต้องเปลี่ยนตัวนายกฯจากนายอภิสิทธิ์ ไปเป็นคนอื่นในพรรคประชาธิปัตย์ แต่เป็นใครระหว่าง 'ชวน-กรณ์-สุเทพ' ต้องไปว่ากันเมื่อถึงเวลา
หรือถ้ากระทบรุนแรงขึ้นมาอีกหน่อยคือเกิดการ'เปลี่ยนขั้ว'การ เมืองกันอีกตลบ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าสุดท้ายอำนาจจะตกอยู่ในมือใคร
และทางเลือกที่สาม คือนายกฯ ชิงตัดตอนปัญหาด้วยการยุบสภาเลือกตั้งใหม่
ทั้งสามทางเลือกอยู่บนเงื่อนไขว่า พรรคประชาธิปัตย์ถูกยุบและกรรม การบริหารถูกตัดสิทธิ์เท่านั้น
เพราะหากคดี'พลิกล็อก'อย่างที่ฝ่ายค้านระบุว่ามีคนจำนวนหนึ่งกำลังคิดหาทางช่วยเหลือประชาธิปัตย์ให้พ้นผิด ความวุ่นวายที่ตามมาก็จะเป็นอีกรูปแบบหนึ่ง
อย่างไรก็ตามไม่เพียงคดียุบพรรคที่ยังไม่รู้ลูกผีลูกคน
สถานการณ์อื่นโดยรอบรัฐบาลทั้งเรื่องทุจริตภายในพรรคร่วม ปัญหาเงินบาทที่แข็งค่าต่อเนื่องจนอาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในภาพใหญ่
ยังเป็นปัจจัยหนุนเสริมความเชื่อที่ว่ารัฐบาลอภิสิทธิ์ อาจอยู่ไม่ครบเทอมปลายปีหน้าอย่างที่ตั้งใจ
ตรงนี้เองทำให้บรรยากาศพรรคเพื่อไทยที่ซบเซามานาน กระปรี้กระเปร่าขึ้นมาทันตา โดยเฉพาะหลังการวิดีโอลิงก์ของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
เจ้าของพรรคตัวจริงเมื่อช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา
นอกจากประกาศให้การเลือกตั้งครั้งหน้าเป็นสงครามครั้งสุดท้าย
พ.ต.ท.ทักษิณยังจะนำทัพเพื่อไทยเข้าสู่สมรภูมิด้วยตัวเอง เป้าหมายคือต้องชนะเลือกตั้งให้ได้ด้วยเสียงเกินครึ่ง
จัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียวเพื่อออกกฎหมายนิรโทษกรรม และอภัยโทษให้กับทุกฝ่าย เดินหน้าสู่การ ปรองดองทั้งประเทศ
ซึ่งเป็นเงื่อนไขสำคัญในการเดินทางกลับบ้านเกิด
พ.ต.ท.ทักษิณ ยังทำหน้าที่คิดค้นนโยบายหาเสียงด้วยตัวเอง อย่างที่ปล่อยออกมาเรียกน้ำย่อยแล้ว 3 เรื่อง
1.ค่าแรงขั้นต่ำวันละ 300 บาท 2.คนที่จบปริญ ญาตรีมีเงินเดือนเริ่มต้นที่ 15,000 บาท 3.รับจำนำราคาข้าวที่ 15,000 บาทต่อเกวียน โดยจะนำราคาข้าวไปผูกติดกับราคาน้ำมัน
ยังเป็นแค่นโยบายลอยๆ ที่ขาดรายละเอียดให้เห็นว่าสามารถทำได้จริง
แต่อย่าลืมว่าพ.ต.ท.ทักษิณ นั้นได้ชื่อเป็นต้นตำรับ'เจ้าพ่อประชานิยม'ตัวจริงเสียงจริง ทั้งยังมีผลงานสมัยเป็นรัฐบาลเมื่อปี 2544 ถึง 2549 เป็นเครื่องรับประกัน
ส่วนเรื่องท่อน้ำเลี้ยงที่มีปัญหาไหลๆ หยุดๆ
จนกลายเป็นช่องโหว่ให้แกนนำบางคนในพรรคฉวยโอกาสเปิดท่อใหม่ สร้างกลุ่มก้อนของตนเองขึ้นมา กลายเป็นเรื่องหวาดระแวงกันเองในหมู่แกนนำอยู่พักใหญ่
พ.ต.ท.ทักษิณได้พูดชัดเจนให้ลูกพรรคอุ่นใจว่า ใกล้เลือกตั้งพรรคจะทำหน้าที่ดูแลใกล้ชิดเป็นพิเศษ
ใครกังวลเรื่องที่ตนเองโดนยึดทรัพย์ไปเป็นหมื่นๆ ล้าน ก็ไม่ต้องกังวล เพราะเทียบกับเงินที่นำไปหมุนลงทุนทำธุรกิจในเมืองนอกแล้ว ที่โดนยึดไปแค่เศษสตางค์
สรุปคือไม่ว่านโยบายประชานิยม 3 เรื่องที่ปล่อยออกมา พร้อมกับคำยืนยันเรื่องการเปิดวาล์วท่อน้ำเลี้ยงแบบสุดเกลียว ไม่เพียงลูกพรรคเพื่อไทยที่หูผึ่ง
พรรคฝ่ายตรงข้ามอย่างประชาธิปัตย์หรือแม้แต่ภูมิใจไทยก็ยังหูผึ่งตาม
แต่ด้วยอารมณ์ที่แตกต่างกัน
มีการอ่านเกมว่าการที่พ.ต.ท. ทักษิณ เปลี่ยนแนวเคลื่อนไหวแสดงความพร้อมกลับสู่เกมเลือกตั้ง
ก็เพราะการเคลื่อนไหวผ่านการชุมนุมคนเสื้อแดง ไม่ประสบผลตามต้องการ
เหตุการณ์เดือนพฤษภาฯ คนเสื้อแดงพ่ายแพ้ยับเยิน ทั้งนำมาสู่ความสูญเสียครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์ การเมืองไทย
ซึ่งสังคมของคนที่เป็นกลางมองว่า พ.ต.ท.ทักษิณ มีส่วนต้องรับผิดชอบกับสิ่งที่เกิดขึ้นเช่นกัน
กระนั้นก็ตามสิ่งที่เห็นได้ขณะนี้ก็คือการกลับสู่กติกาของพ.ต.ท. ทักษิณ สร้างบรรยากาศความ หวาด หวั่นให้กลุ่มอำนาจฝ่ายตรงข้ามไม่น้อย
พ.ต.ท.ทักษิณ นั้นเปิดตัวชัดผ่านการกำหนดนโยบายหาเสียง ทุน รอนในการเลือกตั้ง หรือแม้แต่อาคารสถานที่ทำการพรรค ว่าตน เองคือเจ้าของพรรคตัวจริง
แต่จุดอ่อนของพ.ต.ท.ทักษิณ คือยังมีความหวาดระแวงต่อคนในพรรค ทำให้ไม่กล้าประกาศชัดว่าจะให้ใครเป็น 'นอมินี' ถือธงนำพรรคกลับสู่อำนาจ
ท่ามกลางกระแสความแตกแยกของสมาชิกพรรคซึ่งพยายามผลักดันหัวหน้ากลุ่มตนเองเข้าประกวด เช่น นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ พล.อ. ชวลิต ยงใจยุทธ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง เป็นต้น
เพราะทักษิณ พรรคเพื่อไทยเลยยังติดอยู่กับปัญหาเดิมๆ คือหา'หัว'ไม่ได้
พ.ต.ท.ทักษิณประกาศนำทัพเองก็จริง แต่ในทางปฏิบัติเมื่อถึงเวลาตะลุมบอนกันในสนามเลือกตั้ง แค่การหาเสียงผ่านวิดีโอลิงก์อาจยังไม่พอต่อเป้าหมายในการกวาดส.ส.ให้ได้เกินครึ่ง
แต่นั่นไม่ใช่เรื่องที่รัฐบาลและกลุ่มอำนาจที่อยู่เบื้องหลังจะวางใจได้
สิ่งที่ต้องจำเป็นบทเรียนคือการเลือกตั้งเดือน ธ.ค.2550 ที่พ.ต.ท.ทักษิณ อยู่ในต่างประเทศ แต่ก็แสดงศักยภาพผ่านนอมินีอย่างนายสมัคร สุนทรเวช
จนพรรคพลังประชาชนชนะเลือกตั้ง ได้เป็นแกน นำจัดตั้งรัฐบาล
ผลที่ตามมาคือ'กลุ่มอำนาจพิเศษ'ทั้งที่มองเห็นและมองไม่เห็น ต้องลงทุนลงแรงไปไม่น้อยกว่าจะช่วยให้นายอภิสิทธิ์ และพรรคประชาธิปัตย์มีวันนี้ได้
การกลับมาของพ.ต.ท.ทักษิณครั้งนี้
จึงต้องดูว่าจะทำให้ฝ่ายที่คอยอุ้มชูรัฐบาล ต้องออกแรงหนักกว่าเดิมหรือไม่
ที่มา.ข่าวสดออนไลน์
นายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มีคิวขึ้นเบิกความวันจันทร์นี้ ในการไต่ สวนพยานนัดสุดท้าย
จากนั้นศาลรัฐธรรมนูญต้องใช้เวลาพิจารณาและเขียนคำวินิจฉัยประมาณ 1 เดือน กว่าจะรู้ผลคงเป็นช่วงกลางเดือนถึงปลายเดือน พ.ย.
เป็นที่จับตาของทุกฝ่ายเนื่องจากผลของคดีนี้จะมีผลต่อโฉมหน้าการ เมืองไทยอย่างใหญ่หลวง
ถ้าศาลตัดสินให้ยุบพรรคและตัดสิทธิ์กรรมการบริหารพรรค เบาะๆ ก็ต้องเปลี่ยนตัวนายกฯจากนายอภิสิทธิ์ ไปเป็นคนอื่นในพรรคประชาธิปัตย์ แต่เป็นใครระหว่าง 'ชวน-กรณ์-สุเทพ' ต้องไปว่ากันเมื่อถึงเวลา
หรือถ้ากระทบรุนแรงขึ้นมาอีกหน่อยคือเกิดการ'เปลี่ยนขั้ว'การ เมืองกันอีกตลบ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าสุดท้ายอำนาจจะตกอยู่ในมือใคร
และทางเลือกที่สาม คือนายกฯ ชิงตัดตอนปัญหาด้วยการยุบสภาเลือกตั้งใหม่
ทั้งสามทางเลือกอยู่บนเงื่อนไขว่า พรรคประชาธิปัตย์ถูกยุบและกรรม การบริหารถูกตัดสิทธิ์เท่านั้น
เพราะหากคดี'พลิกล็อก'อย่างที่ฝ่ายค้านระบุว่ามีคนจำนวนหนึ่งกำลังคิดหาทางช่วยเหลือประชาธิปัตย์ให้พ้นผิด ความวุ่นวายที่ตามมาก็จะเป็นอีกรูปแบบหนึ่ง
อย่างไรก็ตามไม่เพียงคดียุบพรรคที่ยังไม่รู้ลูกผีลูกคน
สถานการณ์อื่นโดยรอบรัฐบาลทั้งเรื่องทุจริตภายในพรรคร่วม ปัญหาเงินบาทที่แข็งค่าต่อเนื่องจนอาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในภาพใหญ่
ยังเป็นปัจจัยหนุนเสริมความเชื่อที่ว่ารัฐบาลอภิสิทธิ์ อาจอยู่ไม่ครบเทอมปลายปีหน้าอย่างที่ตั้งใจ
ตรงนี้เองทำให้บรรยากาศพรรคเพื่อไทยที่ซบเซามานาน กระปรี้กระเปร่าขึ้นมาทันตา โดยเฉพาะหลังการวิดีโอลิงก์ของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
เจ้าของพรรคตัวจริงเมื่อช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา
นอกจากประกาศให้การเลือกตั้งครั้งหน้าเป็นสงครามครั้งสุดท้าย
พ.ต.ท.ทักษิณยังจะนำทัพเพื่อไทยเข้าสู่สมรภูมิด้วยตัวเอง เป้าหมายคือต้องชนะเลือกตั้งให้ได้ด้วยเสียงเกินครึ่ง
จัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียวเพื่อออกกฎหมายนิรโทษกรรม และอภัยโทษให้กับทุกฝ่าย เดินหน้าสู่การ ปรองดองทั้งประเทศ
ซึ่งเป็นเงื่อนไขสำคัญในการเดินทางกลับบ้านเกิด
พ.ต.ท.ทักษิณ ยังทำหน้าที่คิดค้นนโยบายหาเสียงด้วยตัวเอง อย่างที่ปล่อยออกมาเรียกน้ำย่อยแล้ว 3 เรื่อง
1.ค่าแรงขั้นต่ำวันละ 300 บาท 2.คนที่จบปริญ ญาตรีมีเงินเดือนเริ่มต้นที่ 15,000 บาท 3.รับจำนำราคาข้าวที่ 15,000 บาทต่อเกวียน โดยจะนำราคาข้าวไปผูกติดกับราคาน้ำมัน
ยังเป็นแค่นโยบายลอยๆ ที่ขาดรายละเอียดให้เห็นว่าสามารถทำได้จริง
แต่อย่าลืมว่าพ.ต.ท.ทักษิณ นั้นได้ชื่อเป็นต้นตำรับ'เจ้าพ่อประชานิยม'ตัวจริงเสียงจริง ทั้งยังมีผลงานสมัยเป็นรัฐบาลเมื่อปี 2544 ถึง 2549 เป็นเครื่องรับประกัน
ส่วนเรื่องท่อน้ำเลี้ยงที่มีปัญหาไหลๆ หยุดๆ
จนกลายเป็นช่องโหว่ให้แกนนำบางคนในพรรคฉวยโอกาสเปิดท่อใหม่ สร้างกลุ่มก้อนของตนเองขึ้นมา กลายเป็นเรื่องหวาดระแวงกันเองในหมู่แกนนำอยู่พักใหญ่
พ.ต.ท.ทักษิณได้พูดชัดเจนให้ลูกพรรคอุ่นใจว่า ใกล้เลือกตั้งพรรคจะทำหน้าที่ดูแลใกล้ชิดเป็นพิเศษ
ใครกังวลเรื่องที่ตนเองโดนยึดทรัพย์ไปเป็นหมื่นๆ ล้าน ก็ไม่ต้องกังวล เพราะเทียบกับเงินที่นำไปหมุนลงทุนทำธุรกิจในเมืองนอกแล้ว ที่โดนยึดไปแค่เศษสตางค์
สรุปคือไม่ว่านโยบายประชานิยม 3 เรื่องที่ปล่อยออกมา พร้อมกับคำยืนยันเรื่องการเปิดวาล์วท่อน้ำเลี้ยงแบบสุดเกลียว ไม่เพียงลูกพรรคเพื่อไทยที่หูผึ่ง
พรรคฝ่ายตรงข้ามอย่างประชาธิปัตย์หรือแม้แต่ภูมิใจไทยก็ยังหูผึ่งตาม
แต่ด้วยอารมณ์ที่แตกต่างกัน
มีการอ่านเกมว่าการที่พ.ต.ท. ทักษิณ เปลี่ยนแนวเคลื่อนไหวแสดงความพร้อมกลับสู่เกมเลือกตั้ง
ก็เพราะการเคลื่อนไหวผ่านการชุมนุมคนเสื้อแดง ไม่ประสบผลตามต้องการ
เหตุการณ์เดือนพฤษภาฯ คนเสื้อแดงพ่ายแพ้ยับเยิน ทั้งนำมาสู่ความสูญเสียครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์ การเมืองไทย
ซึ่งสังคมของคนที่เป็นกลางมองว่า พ.ต.ท.ทักษิณ มีส่วนต้องรับผิดชอบกับสิ่งที่เกิดขึ้นเช่นกัน
กระนั้นก็ตามสิ่งที่เห็นได้ขณะนี้ก็คือการกลับสู่กติกาของพ.ต.ท. ทักษิณ สร้างบรรยากาศความ หวาด หวั่นให้กลุ่มอำนาจฝ่ายตรงข้ามไม่น้อย
พ.ต.ท.ทักษิณ นั้นเปิดตัวชัดผ่านการกำหนดนโยบายหาเสียง ทุน รอนในการเลือกตั้ง หรือแม้แต่อาคารสถานที่ทำการพรรค ว่าตน เองคือเจ้าของพรรคตัวจริง
แต่จุดอ่อนของพ.ต.ท.ทักษิณ คือยังมีความหวาดระแวงต่อคนในพรรค ทำให้ไม่กล้าประกาศชัดว่าจะให้ใครเป็น 'นอมินี' ถือธงนำพรรคกลับสู่อำนาจ
ท่ามกลางกระแสความแตกแยกของสมาชิกพรรคซึ่งพยายามผลักดันหัวหน้ากลุ่มตนเองเข้าประกวด เช่น นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ พล.อ. ชวลิต ยงใจยุทธ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง เป็นต้น
เพราะทักษิณ พรรคเพื่อไทยเลยยังติดอยู่กับปัญหาเดิมๆ คือหา'หัว'ไม่ได้
พ.ต.ท.ทักษิณประกาศนำทัพเองก็จริง แต่ในทางปฏิบัติเมื่อถึงเวลาตะลุมบอนกันในสนามเลือกตั้ง แค่การหาเสียงผ่านวิดีโอลิงก์อาจยังไม่พอต่อเป้าหมายในการกวาดส.ส.ให้ได้เกินครึ่ง
แต่นั่นไม่ใช่เรื่องที่รัฐบาลและกลุ่มอำนาจที่อยู่เบื้องหลังจะวางใจได้
สิ่งที่ต้องจำเป็นบทเรียนคือการเลือกตั้งเดือน ธ.ค.2550 ที่พ.ต.ท.ทักษิณ อยู่ในต่างประเทศ แต่ก็แสดงศักยภาพผ่านนอมินีอย่างนายสมัคร สุนทรเวช
จนพรรคพลังประชาชนชนะเลือกตั้ง ได้เป็นแกน นำจัดตั้งรัฐบาล
ผลที่ตามมาคือ'กลุ่มอำนาจพิเศษ'ทั้งที่มองเห็นและมองไม่เห็น ต้องลงทุนลงแรงไปไม่น้อยกว่าจะช่วยให้นายอภิสิทธิ์ และพรรคประชาธิปัตย์มีวันนี้ได้
การกลับมาของพ.ต.ท.ทักษิณครั้งนี้
จึงต้องดูว่าจะทำให้ฝ่ายที่คอยอุ้มชูรัฐบาล ต้องออกแรงหนักกว่าเดิมหรือไม่
ที่มา.ข่าวสดออนไลน์
วันเสาร์ที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2553
เสนอรื้อโควตายี่ปั๊วสังคายนาบอร์ดกองสลาก
นายปราโมทย์ โชติมงคล ประธานคณะกรรมการผู้ตรวจการแผ่นดิน กล่าวว่า ช่วงเวลาเกือบ 2 ปี ได้ประสานกับสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล และอนุกรรมการแก้ไขปัญหาสลากเกินราคา ผลจากการติดตามปรากฏว่าสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลไม่ได้ดำเนินการตามข้อเสนอแนะของผู้ตรวจการแผ่นดิน โดยอ้างว่าได้ดำเนินการตามข้อเสนอบางส่วนแล้ว ดังนั้นผู้ตรวจการแผ่นดินจึงอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 32 วรรคแรก และ 33 วรรคแรก แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยผู้ตรวจการแผ่นดิน พ.ศ.2552 เสนอแนะให้นายกรัฐมนตรี ดำเนินการ ดังนี้ 1.ขอให้แก้ปัญหาสลากเกินราคาตามแนวทางที่สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินเคยเสนอแนะไปแล้ว คือ สำนักงานสลากฯ ทำความตกลงกับผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติก่อน ว่าเมื่อมีการแจ้งความเกี่ยวกับการจำหน่ายสลากเกินราคาแล้ว ขอให้สถานีตำรวจที่รับแจ้งความส่งเรื่องที่รับแจ้งความดังกล่าวไปยังสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลและสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินพร้อมๆ กัน เพื่อทางสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินจะได้ตรวจสอบการดำเนินการของสำนักงานสลากฯ ว่าได้ทำตามกฎ ระเบียบ กติกา หรือไม่ เพื่อที่จะพิจารณายกเลิกโควตาต้นตอของผู้ที่จำหน่ายสลากเกินราคาทั้งสาย
นายปราโมทย์ กล่าวด้วยว่า ส่วนการที่ผู้อำนวยการสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลอ้างว่าได้ดำเนินการตามข้อเสนอแนะของสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินแล้วนั้น ยืนยันไม่ใช่เป็นการดำเนินการตามที่สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินได้เสนอแนะไป แต่เป็นเพียงการตักเตือนผู้ที่จำหน่ายสลากเกินราคาเสมือนหนึ่งว่าได้จัดการกับผู้ที่จำหน่ายสลากเกินราคาไปแล้ว ซึ่งเป็นการหลีกเลี่ยงปัญหาไปเรื่อยๆ เพื่อให้ตนเองสามารถดำรงตำแหน่งอยู่ได้ต่อไปเท่านั้น
2.การแก้ไขปัญหาสลากเกินราคาที่จะเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพจะต้องแก้ที่ต้นเหตุของปัญหาที่แท้จริง คือ การได้มาซึ่งคณะกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาล ซึ่งควรจะมาจากบุคคลภายนอกที่ประชาชนมีความเชื่อมั่นว่าเป็นผู้ที่มีความซื่อสัตย์สุจริตและยึดมั่นในการรักษาผลประโยชน์ของรัฐเป็นที่ประจักษ์ มากไปกว่าคนของราชการที่ถูกนักการเมืองครอบงำ หรือคนที่นักการเมืองส่งมาเพื่อแสวงหาประโยชน์โดยตรง ซึ่งหากจะต้องมีการแก้ไขพระราชบัญญัติในเรื่ององค์ประกอบและวิธีการได้มาซึ่งคณะกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาล ก็ต้องเร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จโดยเร็ว
นายปราโมทย์ กล่าวต่อว่า 3.เห็นควรให้มีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงผู้บริหารของสำนักงานสลากกินแบ่งรฐบาลที่ทำตัวเป็นส่วนหนึ่งของระบบการจัดจำหน่ายสลากโดยประสานประโยชน์ ด้วยการแก้ไขระเบียบที่เอื้อต่อการดำเนินการของบุคคลผู้มีอิทธิพลต่อการจัดสรรโควตาในการจัดจำหน่าย และ 4.เห็นควรทบทวนสัดส่วนการจำหน่ายสลาก เช่น โควตาจังหวัด เป็นต้น โดยให้จัดสรรใหม่ให้เหมาะสมและพิจารณาให้โควตาในส่วนที่จะช่วยตรึงราคาให้แก่หน่วยงานของรัฐ เช่น บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด เป็นต้น หรือควรเปิดโอกาสให้คนชราที่มีรายได้น้อยไม่เพียงพอต่อการดำรงชีพมีโอกาสที่จะมีรายได้เพื่อยังชีพเพิ่มมากขึ้น โดยการดำเนินการผ่านทางหน่วยงานราชการ เช่น สำนักงานพัฒนาชุมชนอำเภอต่างๆ ในสังกัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ให้กระจายโอกาสและรายได้ในการจำหน่ายสลากไปทุกอำเภอทั่วประเทศ ซึ่งก็น่าจะเป็นการช่วยให้มีสวัสดิการแก่คนชราที่มีรายได้น้อยไม่พอเพียงแก่การยังชีพได้ด้วย
นายปราโมทย์ กล่าวด้วยว่า หากมีการดำเนินการตามที่ผู้ตรวจการแผ่นดินเสนอแนะ ก็จะทำให้มีการกระจายโควตาการจำหน่ายสลากออกไปยังประชาชน อันจะทำให้ประชาชนได้เข้าถึงโอกาสที่จะขจัดความยากแค้นได้มากยิ่งขึ้น ซึ่งวิธีการดังกล่าวเป็นวิธีการที่ดีกว่าการให้โควตาแก่นิติบุคคลเอกชนที่เป็นผู้ผูกขาดผลประโยชน์มาเป็นเวลานานเป็นสิบๆ ปีแล้ว ทั้งวิธีการให้โควตาแก่นิติบุคคลเอกชนยังเป็นวิธีการที่เอื้อประโยชน์ให้นักการเมืองบางคนที่ต้องการใช้อำนาจมาแสวงหาผลประโยชน์จากโควตาดังกล่าว ซึ่งในแต่ละเดือนคาดว่าจะได้ผลประโยชน์เป็นเงินหลายร้อยล้านบาท หากรัฐบาลมีความจริงใจที่จะแก้ไขปัญหาการจำหน่ายสลากเกินราคา โดยได้ดำเนินการตามที่ผู้ตรวจการแผ่นดินเสนอแนะไว้ ก็จะเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชนโดยส่วนรวม
ประธานคณะกรรมการผู้ตรวจการแผ่นดิน กล่าวต่อว่า ในทางกลับกัน ถ้ารัฐบาลไม่ดำเนินการก็จะทำให้ปัญหาการจำหน่ายสลากเกินราคายังคงมีอยู่หรืออาจจะยิ่งทวีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น จึงขอให้นายกรัฐมนตรีเร่งรีบดำเนินการตามคำเสนอแนะของผู้ตรวจการแผ่นดิน แล้วรายงานผลการดำเนินงานให้สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินทราบโดยเร็ว ตามความในมาตรา 33 วรรคแรก แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยผู้ตรวจการแผ่นดิน พ.ศ.2552
ที่มา.เนชั่น
นายปราโมทย์ กล่าวด้วยว่า ส่วนการที่ผู้อำนวยการสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลอ้างว่าได้ดำเนินการตามข้อเสนอแนะของสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินแล้วนั้น ยืนยันไม่ใช่เป็นการดำเนินการตามที่สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินได้เสนอแนะไป แต่เป็นเพียงการตักเตือนผู้ที่จำหน่ายสลากเกินราคาเสมือนหนึ่งว่าได้จัดการกับผู้ที่จำหน่ายสลากเกินราคาไปแล้ว ซึ่งเป็นการหลีกเลี่ยงปัญหาไปเรื่อยๆ เพื่อให้ตนเองสามารถดำรงตำแหน่งอยู่ได้ต่อไปเท่านั้น
2.การแก้ไขปัญหาสลากเกินราคาที่จะเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพจะต้องแก้ที่ต้นเหตุของปัญหาที่แท้จริง คือ การได้มาซึ่งคณะกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาล ซึ่งควรจะมาจากบุคคลภายนอกที่ประชาชนมีความเชื่อมั่นว่าเป็นผู้ที่มีความซื่อสัตย์สุจริตและยึดมั่นในการรักษาผลประโยชน์ของรัฐเป็นที่ประจักษ์ มากไปกว่าคนของราชการที่ถูกนักการเมืองครอบงำ หรือคนที่นักการเมืองส่งมาเพื่อแสวงหาประโยชน์โดยตรง ซึ่งหากจะต้องมีการแก้ไขพระราชบัญญัติในเรื่ององค์ประกอบและวิธีการได้มาซึ่งคณะกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาล ก็ต้องเร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จโดยเร็ว
นายปราโมทย์ กล่าวต่อว่า 3.เห็นควรให้มีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงผู้บริหารของสำนักงานสลากกินแบ่งรฐบาลที่ทำตัวเป็นส่วนหนึ่งของระบบการจัดจำหน่ายสลากโดยประสานประโยชน์ ด้วยการแก้ไขระเบียบที่เอื้อต่อการดำเนินการของบุคคลผู้มีอิทธิพลต่อการจัดสรรโควตาในการจัดจำหน่าย และ 4.เห็นควรทบทวนสัดส่วนการจำหน่ายสลาก เช่น โควตาจังหวัด เป็นต้น โดยให้จัดสรรใหม่ให้เหมาะสมและพิจารณาให้โควตาในส่วนที่จะช่วยตรึงราคาให้แก่หน่วยงานของรัฐ เช่น บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด เป็นต้น หรือควรเปิดโอกาสให้คนชราที่มีรายได้น้อยไม่เพียงพอต่อการดำรงชีพมีโอกาสที่จะมีรายได้เพื่อยังชีพเพิ่มมากขึ้น โดยการดำเนินการผ่านทางหน่วยงานราชการ เช่น สำนักงานพัฒนาชุมชนอำเภอต่างๆ ในสังกัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ให้กระจายโอกาสและรายได้ในการจำหน่ายสลากไปทุกอำเภอทั่วประเทศ ซึ่งก็น่าจะเป็นการช่วยให้มีสวัสดิการแก่คนชราที่มีรายได้น้อยไม่พอเพียงแก่การยังชีพได้ด้วย
นายปราโมทย์ กล่าวด้วยว่า หากมีการดำเนินการตามที่ผู้ตรวจการแผ่นดินเสนอแนะ ก็จะทำให้มีการกระจายโควตาการจำหน่ายสลากออกไปยังประชาชน อันจะทำให้ประชาชนได้เข้าถึงโอกาสที่จะขจัดความยากแค้นได้มากยิ่งขึ้น ซึ่งวิธีการดังกล่าวเป็นวิธีการที่ดีกว่าการให้โควตาแก่นิติบุคคลเอกชนที่เป็นผู้ผูกขาดผลประโยชน์มาเป็นเวลานานเป็นสิบๆ ปีแล้ว ทั้งวิธีการให้โควตาแก่นิติบุคคลเอกชนยังเป็นวิธีการที่เอื้อประโยชน์ให้นักการเมืองบางคนที่ต้องการใช้อำนาจมาแสวงหาผลประโยชน์จากโควตาดังกล่าว ซึ่งในแต่ละเดือนคาดว่าจะได้ผลประโยชน์เป็นเงินหลายร้อยล้านบาท หากรัฐบาลมีความจริงใจที่จะแก้ไขปัญหาการจำหน่ายสลากเกินราคา โดยได้ดำเนินการตามที่ผู้ตรวจการแผ่นดินเสนอแนะไว้ ก็จะเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชนโดยส่วนรวม
ประธานคณะกรรมการผู้ตรวจการแผ่นดิน กล่าวต่อว่า ในทางกลับกัน ถ้ารัฐบาลไม่ดำเนินการก็จะทำให้ปัญหาการจำหน่ายสลากเกินราคายังคงมีอยู่หรืออาจจะยิ่งทวีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น จึงขอให้นายกรัฐมนตรีเร่งรีบดำเนินการตามคำเสนอแนะของผู้ตรวจการแผ่นดิน แล้วรายงานผลการดำเนินงานให้สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินทราบโดยเร็ว ตามความในมาตรา 33 วรรคแรก แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยผู้ตรวจการแผ่นดิน พ.ศ.2552
ที่มา.เนชั่น
“โกร่ง”อัดแบงก์ชาติ จี้”มาร์ค”ลาออก!!
ดร.วีรพงษ์ รามางกูร - กรณ์ จาติกวณิช
เงินบาทแข็งพ่นพิษ
เศรษฐกิจไทยวินาศ!
ในโลกประชาธิปไตย การมีความเห็นต่างไม่ใช่รื่องแปลก และเป็นสิ่งที่สามารถเกิดขึ้นได้
เช่นกันกับในโลกเศรษฐศาสตร์ ที่บรรดานักเศรษฐศาสตร์ทั่วโลก จะถูกสั่งสอนมาเหมือนๆกันว่า เหรียญย่อมมี 2 ด้านเสมอ ดังนั้นเศรษฐศาสตร์ก็มี 2 ด้านให้มองต่างมุมได้เช่นกัน
แต่หากการเมืองที่แบ่งแยกแตกต่างสีกันอย่างเข้มข้น จนยากที่จะปรองดอง แล้วดันลากเอาการมองต่างมุมทางด้านเศรษฐศาสตร์เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย... จึงกลายเป็นเรื่องที่ดูไม่จืด
เป็นที่น่าสังเกคุว่าในขณะที่รัฐบาลพยายามที่จะบอกว่าเศรษฐกิจกำลังไปได้ดี แม้ว่าค่าเงินบาทจะแข็งค่าขึ้นมากกว่าประเทศอื่นๆในภูมิภาคก็ตาม แต่ก็ยืนยันว่าไม่มีปัญหา ซึ่งเป้นการบริหารประเทศสไตล์ถนัดของพรรคประชาธิปัตย์ยุคที่มี 2 เกลอ อย่างนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และนายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการประทรวงการคลัง จับมือเข้าขากันตลอด
แม้ว่าที่ผ่านมาผู้ประกอบการ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย หอการค้าไทย และโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ส่งออก จะออกมาวิพากษ์วิจารณ์และเรียกร้องให้รัฐบาลแก้ไขปัญหาผลกระทบค่าเงินบาทแข็งอย่างต่อเนื่อง
แต่ก็ไม่มีรายการตีแสกหน้าตรงๆให้รัฐบาลต้องหงุดหงิดอย่างหนัก
เหมือนกับกรณีที่ ดร.วีรพงษ์ รามางกูร ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ตรงๆอย่างรุนแรง
ไม่ว่าจะเป็นการเตือนว่าในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.)ในวันที่ 20 ตุลาคมนี้ ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ควรจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.75% จากปัจจุบันที่อยู่ที่ 1.75 %เพื่อให้ค่าเงินอ่อนค่าลง ไม่ใช่คงอัตราดอกเบี้ย
“ต้องลดอย่างรวดเร็ว อย่ากลัวเสียหน้า แม้จะมีคนได้คนเสียแต่ให้นึกถึงประเทศชาติไว้ก่อน”
ขณะเดียวกันธปท.ต้องประกาศกำหนดเป้าหมายอัตราแลกเปลี่ยน ถ้าแข็งกว่าระดับนี้ประกาศไปเลยว่าจะซื้อหมด อย่าไปกลัวสหรัฐฯเพราะอยากเป็นเด็กดีขององค์การระหว่างประเทศ ธปท.ต้องลดมิจฉาทิฐิ ลดความอวดดี เลิกหลอกลวงประชาชน อย่าแล้งน้ำใจกับประเทศชาติ
“อาจจะเกิดวิกฤตรอบสองได้ เพราะความโง่เขลาของธปท.เพราะขณะนี้การเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทไม่ได้เป็นไปตามพื้นฐานทางเศรษฐกิจ การส่งออกที่ดีขึ้นก็ไม่ได้ดีจริง 3-6 เดือนข้างหน้าก็เห็นว่าเป็นอย่างไร เมื่อถึงจุดหนึ่งนักลงทุนต่างชาติรู้ว่าค่าเงินบาทแข็งเกินพื้นฐานของประเทศ แต่พวกเราไม่รู้ ถึงจุดนั้นนักลงทุนเหล่านั้นก็จะทุ่มโจมตีค่าเงินบาทให้อ่อนค่าลง อาจจะกลับมาถึงระดับ 35บาทต่อดอลลาร์ก็ได้ ค่าเงินบาทกำลังจะถูกปั่น ถ้าหากบาทแข็งไปถึง 25 บาทต่อดอลลาร์อาจจะไปถึงวิกฤตต้มยำกุ้งได้”
มุมมองของนายวีระพงษ์ กรณีเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นนั้น ถือเป็นเรื่องความเห็นแก่ตัวของธปท.ที่ใจดำ รู้ทั้งรู้ว่ากระแสโลกถูกสหรัฐฯบีบคั้นให้เงินหลายสกุลแข็งค่า เพื่อให้เงินดอลลาร์อ่อนค่าลง ฉนั้นองค์กรระหว่างประเทศทั้ง ไอเอ็มเอฟ และธนาคารโลกต่างอยู่ภายใต้สหรัฐฯทั้งสิ้น ธนาคารกลางใดที่ปฏิบัติตามองค์กรระหว่างประเทศเหล่านี้ ก็จะได้รับการสรรเสริญเยินยอว่าเป็นธนาคารกลางที่ดี เป็นผู้ว่าการที่ดี ธปท.ก็คงอยากเป็นอย่างนั้น แทนที่จะให้ประชาชนคนไทยสรรเสริญ
ดังนั้นจึงได้บอกว่าธปท.เห็นแก่ตัวและใจดำกับประชาชนคนไทยและประเทศชาติ เพราะผลกระทบจากค่าเงินบาทกำลังส่งผลกระทบไปทุกภาคส่วนทางเศรษฐกิจ แม้แต่ภาคอุตสาหกรรมเพราะไม่มีอุตสาหกรรมใดที่จะไม่ผลิตเพื่อการส่งออก เพราะส่งออกที่นำเข้าสินค้าจากต่างประเทศถึง 90% ก็ยังได้รับผลกระทบ ขณะที่ธปท.ก็เสนอให้ซื้อขายอัตราแลกเปลี่ยนล่วงหน้า ไม่ใช่เอกชนไม่รู้ แต่ราคาถูกกำหนดโดยต่างประเทศ
ที่หนักคือภาคการเกษตร ไม่เฉพาะอุตสาหกรรมต่อเนื่องจากภาคเกษตรเท่านั้นยังส่งผลกระทบไปถึงภาคท่องเที่ยวและบริการ วิกฤตครั้งนี้อาจจะหนักกว่าต้มยำกุ้งด้วยซ้ำ เพราะครั้งนี้ลำบากกันท้วนหน้า และเชื่อว่าการขยายตัวทางเศรษฐกิจอาจจะไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์กันไว้ หรือแม้ว่าจะเป็นไปตามที่คาดการณ์กัน แต่เชื่อว่าปี 2554 จะเจอปัญหาหนักกว่านี้แน่ เพราะผลกระทบไม่ได้เกิดทันที แต่คาดว่าจะเกิดขึ้นภายใน 3-6 เดือนข้างหน้า แม้แต่ผู้นำเข้าก็อาจจะได้รับผลกระทบด้วย
ทุกคนรู้ ยกเว้นพวกธปท.ที่ไม่รู้
“เมื่อเป็นอย่างนี้คนขายมากก็เจ๊งมาก ขายน้อยเจ๊งน้อย ก็คงจะต้องชะลอการผลิตลงในที่สุดก็จะกระทบต่อแรงงานและจ้างงาน เงินปันผล และค่าแรงที่จะปรับขึ้นก็มีปัญหา”
ปัญหาที่น่าห่วงอีกประการหนึ่งในมุมมองของนายวีรพงษ์ก็คือ ค่าเงินบาทที่แข็งค่าเร็วอาจทำให้เกิดภาวะฟองสบู่ตลาดทุนและตลาดหุ้น เพราะจะเห็นว่าราคาหุ้นกลุ่มพลังงานพุ่งสูงขึ้น ประเด็นนี้ต้องระวังเพราะราคาหุ้นที่มีกำไรทางบัญชีมาจากอัตราแลกเปลี่ยนที่แข็งค่าขึ้นจึงเป็นเพียงภาพลวงตา ไม่ใช่ของจริง ขณะที่ราคาตราสารหนี้ก็ถูกบิดเบือนไป การขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธปท. 2 ครั้งที่ผ่านมา คือความผิดพลาดอย่างใหญ่หลวงเพราะสหรัฐยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายส่งผลให้ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น
การที่ ธปท.ต้องการจะปัดความรับผิดชอบ ที่จริงไม่ทำอะไรยังจะเสียหายยิ่งกว่าทำผิดเสียอีก ที่สุดเราคงคงต้องระวังตัวเอง เพราะว่าธปท.พูดไม่รู้เรื่องแล้วมีมิจฉาทิฐิ มีอวิชาเข้าสิงการที่ ธปท.ส่งสัญญาณ
ดอกเบี้ยขาขึ้นคงเพราะต้องการรักษาหน้าของตัวเองมากกกว่าประเทศชาติ จะคอยดูหน้าของธปท.กับความฉิบหายยับเยินของประเทศธปท.จะเลือกอย่างไหน เท่าที่ดูผู้ว่าการฯคนใหม่ยิ่งหนักกว่าผู้ว่าฯคนเก่าอีก หยุดพูดได้แล้วว่าค่าเงินบาทเป็นไปตามภูมิภาค แต่ทำไมสิงคโปร์ และอินโดนีเซียเข้าแทรกแซงอย่างหนัก ความจริงคือ เงินบาทแข็งค่าเร็วมากกว่าคนอื่น ไม่ควรจะไปอ้างใครควรจะดูตัวเอง ดูว่าโครงสร้างเศรษฐกิจเราเป็นอย่างไร และทำไมจะต้องเป็นไปตามภูมิภาคยกเว้น จีนกับฮ่องกงหรือยังไง ธปท.บอกว่าบาทแข็งแล้วจะดี จะได้มีการลงทุนเพิ่มขึ้น ไม่จริงเลยเพราะคนกำลังจะเจ๊งจะไปขยายการลงทุนอะไรได้
“5-6 มาตรการที่ธปท.ออกมายังเกาไม่ถูกที่คัน ที่เจ็บใจคือ ธปท.บอกว่า บาทแข็งค่าไม่กระทบส่งออก มีผู้ได้ประโยชน์ ถ้าไม่ต้องการเป็นผู้ว่าดีเด่น ธนาคารกลางดีเด่นขอให้เป็นรางวัลที่คนไทยให้ไม่ได้รางวัลจากต่างชาติ ถ้าคิดได้ ปัญญาก็จะเกิด อวิชชาก็จะหายไป คนไทยไม่ได้กินหญ้าที่ธปท.แนะให้คนไทยเอาเงินไปซื้อดอลลาร์ไปลงทุนในสหรัฐ ขณะที่ตัวเองก็ยังเอาตัวไม่รอดจะให้ไปลงทุนที่ไหน”
อะไรไม่สำคัญเท่ากับการทิ้งท้ายของนายวีรพงษ์ที่ว่า
“ผมขอให้ทุกคนเตรียมตัว ถ้าเปลี่ยนผู้ว่าฯไม่ได้ก็ควรจะเปลี่ยนนายกรัฐมนตรี”
เล่นตอกกันตรงๆขนาดนี้ โดนกันเป็นลูกระนาดตั้งแต่นายกรัฐมนตรี มารัฐมนตรีคลัง ไปจนถึงแบงก์ชาติ จะไม่สะดุ้งกันอย่างไรไหว
ดังนั้นจึงไม่แปลกที่ทั้งแบงก์ชาติ กระทรวงการคลัง และนายกรัฐมนตรี จะดาหน้ากันออกมารุมนายวีรพงษ์ พร้อมๆกัน
อย่าง ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล ประธานคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) กล่าวถึงถึงข้อเสนอที่ให้ธปท.ใช้อัตราแลกเปลี่ยนคงที่ว่าคงทำไม่ได้เหมือนปี2540
ส่วนเรื่องของดอกเบี้ยนโยบายที่ปรับขึ้นมา2ครั้งก่อนหน้านี้เพื่อดูแลตัวเลขเงินเฟ้อตามเศรษฐกิจที่ขยายตัว แต่ในการประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.)ในสัปดาห์หน้ามีเรื่องของอัตราแลกเปลี่ยนที่แข็งค่าเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย เพราะฉนั้นการขึ้นดอกเบี้ยจะมีความจำเป็นน้อยลง แต่คงไม่สามารถลดได้ หรือไม่ก็คงไว้ ไม่ขึ้น
“สำหรับข้อเสนอของ ดร.โกร่ง นั้น ท่านเป็นนักเศรษฐศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ แต่ก็ต้องพิจารณาดูว่าผิดหรือถูกด้วย”
เช่นกันกับนายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวถึงงกรณีที่นายวีรพงษ์ตำหนิการทำงานของรัฐบาลว่า ยินดีรับทุกความคิดเห็นของนายวีรพงษ์ แต่สถานการณ์ปัจจุบันไม่มีมาตรการใดๆ ทำให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงได้ จากภาวะเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น เพราะเมื่อรัฐบาลสหรัฐส่งสัญญาณชัดเจนว่ายังคงใช้นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ ด้วยการเพิ่มเงินดอลลาร์ในตลาด และจะไม่เพิ่มอัตราดอกเบี้ย ค่าเงินดอลลาร์ย่อมอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับทุกสกุล ดังนั้น ค่าเงินบาทต้องแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
“ในเมื่อเราไม่สามารถฝืนที่จะให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงได้มากกว่านี้ สิ่งที่ทำได้คือเราต้องปรับตัว”
ส่วนนายประสาร ไตรรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ขณะนี้เงินบางยังคงแข็งค่าขึ้น และไม่มีจุดดุลยภาพ เนื่องจากเศรษฐกิจสหรัฐ และยุโรปยังมีปัญหา ดังนั้นการดำเนินการใดๆ ในขณะนี้ต่อเงินบาทอาจเป็นการสุ่มเสี่ยงและอันตราย โดยเฉพาะข้อเสนอการใช้นโยบายอัตราแลกเปลี่ยนคงที่ซึ่งมีความเสี่ยงสูง เพราะจะเป็นการไปสร้างสมดุลที่เป็นดุลยภาพเทียม ซึ่งธปท.คงทำไม่ได้ทั้ง 3 เรื่อง ทั้ง1.ดูแลเสถียรภาพด้านราคา 2.การเคลื่อนย้ายเงินทุน และ3.ใช้นโยบายอัตราแลกเปลี่ยนคงที่
“ปัญหาใหญ่มาจากอเมริกาและยุโรปเศรษฐกิจไม่ดี ขณะที่เศรษฐกิจเอเชียดี ซึ่งไม่รู้ว่าจุดดุลยภาพอยู่ตรงไหน การใช้อัตราแลกเปลี่ยนแบบคงที่จะสร้างปัญหา ตลาดไม่ได้เชื่อดุลยภาพเทียมที่เกิดขึ้นมา และทำให้มีต้นทุนสูง และอาจจะมีความเสียหาย ซึ่งเรามีบทเรียนในปี 40”
ผู้ว่าธปท.กล่าวว่า สำหรับเงินบาทแข็งค่าเร็ว ยอมรับว่ามีผลกระทบต่อการท่องเที่ยวและส่งออก แต่ในขณะเดียวกันก็มีผู้นำเข้าที่ได้ประโยชน์ ซึ่งขณะนี้ธปท.ก็ดูแลอยู่ โดยเงินบาทยังเกาะกลุ่มภูมิภาคตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบันแข็งค่าขึ้นมา 11% ถือว่าเป็นระดับกลาง ๆ และธปท.ยังติดตามความเคลื่อนไหวอย่างใกล้ชิดเช่นเดียวกับเศรษฐกิจ
และแน่นอนว่านายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ก็ระบุว่าจะใช้เวทีการหารือในระดับอาเซียนหรือกลุ่มประเทศ จี 20 จะมีมาตรการออกมาแก้ไขปัญหาค่าเงินที่หลายประเทศกำลังประสบอยู่
“ข้อสำคัญที่สุดที่คิดว่าไม่น่าจะมีใครปฏิเสธได้ คือสภาพพื้นฐานของเศรษฐกิจ อัตราแลกเปลี่ยนของประเทศในเอเชียภูมิภาคนี้และของไทย อย่างไรก็ยากที่จะอ่อนตัวลงในขณะนี้ อันนี้คือความเป็นจริงที่ฝืนยาก”
นั่นคงจะหมายความว่าให้ผู้ส่งออก และบรรดาผู้ที่ได้รับผลกระทบทั้งหลาย ต้องอดทนและปรับตัวเอาเอง
ซึ่งก็ไม่รู้ว่าบรรดาผู้ประกอบการจะอดทนได้นานแค่ไหน
เพราะแม้แต่นายศุภชัย พานิชภักดิ์ เลขาธิการของการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการค้าและการพัฒนา (อังค์ถัด) อดีตมือเศรษฐกิจของพรรคประชาธิปัตย์เอง ก็ยังยอมรับว่า ปัญหาเงินบาทแข็งค่า เป็นสิ่งที่รัฐบาลต้องให้ความสำคัญด้วย
และยังยอมรับว่า ตราบใดที่เศรษฐกิจภูมิภาคเอเชียยังแข็งแกร่ง ก็ไม่สามารถสกัดเงินไหลเข้าได้ แน่นอนว่าจะทำให้สกุลเงินในภูมิภาคเอเชียแข็งค่าต่อไป วิธีการที่ดีที่สุด คือการบริหารค่าเงินให้มีเสถียรภาพ
“การแข็งค่าของเงินบาทเป็นการแข็งค่าตามภาวะเศรษฐกิจ ซึ่งรัฐบาลจะต้องจับตาดู และไม่ควรปล่อยให้ค่าบาทแข็งค่ามากเกินไป”นายศุภชัยระบุ
ก็คงต้องจับตาดูว่า ระหว่างค่าเงินบาทแข็งขึ้น กับ ผู้ส่งออกและธุรกิจท่องเที่ยว สุดท้ายแล้วรัฐบาลจะเลือกดูแลด้านไหนมากกว่ากัน
ที่มา.บางกอกทูเดย์
"จารุวรรณ"เดี้ยง!รีบขนของกลับบ้าน ศาลปค.สั่งชั่วคราวให้"พิศิษฐ์"รักษาการผู้ว่า สตง.ก่อนตัดสิน19ต.ค.
ศาลปกครองกลางมีคำสั่งเมื่อบ่ายวันที่ 15 ตุลาคม 2553ให้ทุเลาการบังคับตามคำสั่งสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน(สตง.) ที่ 184/2553 ของคุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา อดีตผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินผู้ถูกฟ้องคดี เรื่องยกเลิกคำสั่งแต่งตั้งรองผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน(นายพิศิษฐ์ ลีลาวชิโรภาส)ให้รักษาราชการแทนผู้ว่าการฯลงวันที่ 18 สิงหาคม 2553 ไว้เป็นการชั่วคราวก่อนการพิพากษา จนกว่าศาลจะมีคำพิพากษาหรือมีคำสั่งเป็นอย่างอื่นซึ่งทำให้นายพิศิษฐ์ มีอำนาจในการรักษาราชการแทนผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินต่อไป
คดีดังกล่าวนายพิศิษฐ์ ในฐานะผู้ร้องสอดในคดีที่ผู้ตรวจการแผ่นดิน ยื่นฟ้องคุณหญิงจารุวรรณ ในฐานะผู้ปฏิบัติหน้าที่ผู้ว่าการฯว่า ออกคำสั่งยกเลิกการแต่งตั้งรองผู้ว่าการฯไม่ชอบด้วยกฎหมายเนื่องจากคุณหญิงจารุวรรณออกคำสั่งดังกล่าวภายหลังจากที่มีอายุครบ 65 ปีต้องพ้นจากตำแหน่งตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดิน พ.ศ.2542 ซึ่งจากบทบัญญัติดังกล่าวประกอบกับความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกา ศาลเห็นว่า การออกคำสั่งดังกล่าวของคุณหญิงจารุวรรณน่าจะมีปัญหาความชอบด้วยกฎหมาย
นอกจากนั้นคถุณหญิงจารุวรรณและผู้ร้องสอดได้ออกคำสั่งต่างๆออกมาหลายคำสั่งซึ่งจากการกระทำของคุณหญิงจารุวรรณและผู้ร้องสอดดังกล่าวย่อมสร้างความสับสนทั้งแก้ข้าราชการและลูกจ้างของ สตง.และทำให้หน่วยงานรับตรวจและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเกิดความสับสนในอำนาจหน้าที่ของผู้ปฏิบัติงานใน สตง.ไปด้วย อันเป็นอุปสรรคทำให้ภาระหน้าที่ในการตรวจสอบการใช้จ่ายของแผ่นดินขาดประสิทธิภาพเพราะข้าราชการ ใน สตง.ตลอกดจนหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องไม่ทราบว่า จะต้องถือปฏิบัติตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชาคนใด หากปล่อยให้สถานการณ์เช่นนี้ดำรงต่อไปย่อมทำให้การตรวจสอบการมใช้จ่ายเงินของแผ่นดินต้องเนิ่นช้าส่งผลกระทบหรือเกิดความเสียหายที่จะตามอีกนานับประการอาจร้ายแรงมากยากแก่การแก้ไขเยียวยาในภายหลัง อีกทั้งการทุเลาการบังคับตามคำสั่งดังกล่าว ไม่เป็นอุปสรรคแก่การบริหารงานรัฐหรือแก่สาธารณแต่อย่างใด
จึงควรมีคำสั่งทุเลาการบังคับตามคำสั่ง สตง.เรื่องแต่งตั้งรองผู้ว่าการฯให้รักษาราชการแทน
เมื่อศาลมีคำสั่งทุเลาการบังคับตามคำสั่งดังกล่าวแล้ว ผู้ร้องสอด(นายพิศิษฐ์)ย่อมมีอำนาจในการรักษาราชการแทนผู้ว่าการฯที่จะมีคำสั่งตามอำนาจในฐานะผู้รักาารากชารแทนที่จะมีคำสั่งตามอำนาจหน้าที่ของผู้ว่าการฯเพื่อแก้ไขปัญหาต่างๆที่มีมาตลอดจนปัญหาที่จะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคตได้เองโดยศาลไม่จำเป็นต้องมีคำสั่งตามคำขอของผู้ร้องสอด จึงยกคำสั่งขอบรรเทาทุกข์ชั่วคราวของผู้ร้องสอด
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า การที่ศาลปกครองกลางมีคำสั่งให้ทุเลาการบังคับตามคำสั่ง สตง.ของคุณหญิงจารุวรรณ ดังกล่าวจนกว่าศาลจะมีคำพิพากษาหรือมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น ทั้งๆที่ศาลได้นัดฟังคำพิพากษาในวันอังคารที่ 19 ตุลาคมนี้ เท่ากับเป็นการป้องกันไม่ให้คุณหญิงจารุวรรณเข้าไปใช้อำนาจในการบริหารงาน สตง. ได้จนกว่าคดีจะถึงที่สุดหรือศาลมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น เพราะถ้าศาลปกครองกลางมีคำพิพากษาให้คุณหญิงจารุวรรณแพ้คดี คำพิพากษาจะมีผลบังคับหลังจาก 30 วันล่วงพ้นไปแล้วกรณีที่คุณหญิงจารุวรรณไม่อุทธรณ์คำพิพากษาต่อศาลปกครองสูงสุด
แต่ถ้าคุณหญิงจารุวรรณอุทธรณ์คำพิพากษาต่อศาลปกครองสูงสุด คำพิพากษาของศาลปกครองกลางจะไม่มีผลบังคับใช้จนกว่าคดีจะถึงที่สุด แต่การที่ศาลปกครองกลาง มีคำสั่งให้ทุเลาการบังคับตามคำสั่ง สตง.ของคุณหญิงจารุวรรณ เป็นการชั่วคราว จะมีผลบังคับใช้ได้ทันที เว้นแต่คุณหญิงจารุวรรณอุทธรณ์คำสั่งและศาลปกครองสูงสุดจะมีคำสั่งกลับคำสั่งของศาลปกครองกลาง
ด้านคุณหญิงจารุวรรณกล่าวว่า "ได้รับทราบคำสั่งของศาลแล้วค่ะ"
เมื่อถามว่า จะมีการยื่นเรื่องอุทธรณ์ต่อหรือไม่ นั้น คุณหญิงจารุวรรณ กล่าวว่า "คงจะปล่อยให้เป็นหน้าที่ของทนายความส่วนตัวจัดการ"
เมื่อถามย้ำว่า หลังจากนี้จะยังเข้าปฎิบัติหน้าที่ที่ สตง.ต่อไปหรือไม่ คุณหญิงจารุวรรณ อ้างว่า "ติดสายโทรศัพท์อื่นอยู่" แล้วรีบตัดสายโทรศัพท์ทิ้ง
ผู้สื่อข่าวรายงาน สำหรับคำสั่งศาลปกครองดังกล่าว สำนักงานศาลปกครองได้ส่งให้คู่กรณีในช่วงบ่ายซึ่งหลังจากที่นายพิศิษฐ์ได้รับคำสั่งของศาล ได้รีบทำหนังสือเวียนแจ้งไปยังทุกหน่วยงานใน สตง.และยังนำคำสั่งของศาลไปติดไว้ที่หน้าอาคารสำนักงานของ สตง.ด้วย
นายพิศิษฐ์กล่าวว่า ก่อนที่ศาลจะส่งคำสั่งดังกล่าวมาให้ตนทางโทรสารในช่วงบ่าย คุณหญิงจารุวรรณพร้อมกับลูกๆได้เข้ามาขนของใช้ส่วนตัวออกจากออกทำงานเป็นจำนวนมากไม่น้อยกว่า 2 เที่ยว อย่างไรก็ตามหลังจากนี้จะให้เจ้าหน้าที่เข้าไปตรวจสอบในห้องทำงานของคุณหญิงจารุวรรณว่า มีอะไรเสียหายหรือไม่
ที่มา.มติชนออนไลน์
คดีดังกล่าวนายพิศิษฐ์ ในฐานะผู้ร้องสอดในคดีที่ผู้ตรวจการแผ่นดิน ยื่นฟ้องคุณหญิงจารุวรรณ ในฐานะผู้ปฏิบัติหน้าที่ผู้ว่าการฯว่า ออกคำสั่งยกเลิกการแต่งตั้งรองผู้ว่าการฯไม่ชอบด้วยกฎหมายเนื่องจากคุณหญิงจารุวรรณออกคำสั่งดังกล่าวภายหลังจากที่มีอายุครบ 65 ปีต้องพ้นจากตำแหน่งตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดิน พ.ศ.2542 ซึ่งจากบทบัญญัติดังกล่าวประกอบกับความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกา ศาลเห็นว่า การออกคำสั่งดังกล่าวของคุณหญิงจารุวรรณน่าจะมีปัญหาความชอบด้วยกฎหมาย
นอกจากนั้นคถุณหญิงจารุวรรณและผู้ร้องสอดได้ออกคำสั่งต่างๆออกมาหลายคำสั่งซึ่งจากการกระทำของคุณหญิงจารุวรรณและผู้ร้องสอดดังกล่าวย่อมสร้างความสับสนทั้งแก้ข้าราชการและลูกจ้างของ สตง.และทำให้หน่วยงานรับตรวจและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเกิดความสับสนในอำนาจหน้าที่ของผู้ปฏิบัติงานใน สตง.ไปด้วย อันเป็นอุปสรรคทำให้ภาระหน้าที่ในการตรวจสอบการใช้จ่ายของแผ่นดินขาดประสิทธิภาพเพราะข้าราชการ ใน สตง.ตลอกดจนหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องไม่ทราบว่า จะต้องถือปฏิบัติตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชาคนใด หากปล่อยให้สถานการณ์เช่นนี้ดำรงต่อไปย่อมทำให้การตรวจสอบการมใช้จ่ายเงินของแผ่นดินต้องเนิ่นช้าส่งผลกระทบหรือเกิดความเสียหายที่จะตามอีกนานับประการอาจร้ายแรงมากยากแก่การแก้ไขเยียวยาในภายหลัง อีกทั้งการทุเลาการบังคับตามคำสั่งดังกล่าว ไม่เป็นอุปสรรคแก่การบริหารงานรัฐหรือแก่สาธารณแต่อย่างใด
จึงควรมีคำสั่งทุเลาการบังคับตามคำสั่ง สตง.เรื่องแต่งตั้งรองผู้ว่าการฯให้รักษาราชการแทน
เมื่อศาลมีคำสั่งทุเลาการบังคับตามคำสั่งดังกล่าวแล้ว ผู้ร้องสอด(นายพิศิษฐ์)ย่อมมีอำนาจในการรักษาราชการแทนผู้ว่าการฯที่จะมีคำสั่งตามอำนาจในฐานะผู้รักาารากชารแทนที่จะมีคำสั่งตามอำนาจหน้าที่ของผู้ว่าการฯเพื่อแก้ไขปัญหาต่างๆที่มีมาตลอดจนปัญหาที่จะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคตได้เองโดยศาลไม่จำเป็นต้องมีคำสั่งตามคำขอของผู้ร้องสอด จึงยกคำสั่งขอบรรเทาทุกข์ชั่วคราวของผู้ร้องสอด
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า การที่ศาลปกครองกลางมีคำสั่งให้ทุเลาการบังคับตามคำสั่ง สตง.ของคุณหญิงจารุวรรณ ดังกล่าวจนกว่าศาลจะมีคำพิพากษาหรือมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น ทั้งๆที่ศาลได้นัดฟังคำพิพากษาในวันอังคารที่ 19 ตุลาคมนี้ เท่ากับเป็นการป้องกันไม่ให้คุณหญิงจารุวรรณเข้าไปใช้อำนาจในการบริหารงาน สตง. ได้จนกว่าคดีจะถึงที่สุดหรือศาลมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น เพราะถ้าศาลปกครองกลางมีคำพิพากษาให้คุณหญิงจารุวรรณแพ้คดี คำพิพากษาจะมีผลบังคับหลังจาก 30 วันล่วงพ้นไปแล้วกรณีที่คุณหญิงจารุวรรณไม่อุทธรณ์คำพิพากษาต่อศาลปกครองสูงสุด
แต่ถ้าคุณหญิงจารุวรรณอุทธรณ์คำพิพากษาต่อศาลปกครองสูงสุด คำพิพากษาของศาลปกครองกลางจะไม่มีผลบังคับใช้จนกว่าคดีจะถึงที่สุด แต่การที่ศาลปกครองกลาง มีคำสั่งให้ทุเลาการบังคับตามคำสั่ง สตง.ของคุณหญิงจารุวรรณ เป็นการชั่วคราว จะมีผลบังคับใช้ได้ทันที เว้นแต่คุณหญิงจารุวรรณอุทธรณ์คำสั่งและศาลปกครองสูงสุดจะมีคำสั่งกลับคำสั่งของศาลปกครองกลาง
ด้านคุณหญิงจารุวรรณกล่าวว่า "ได้รับทราบคำสั่งของศาลแล้วค่ะ"
เมื่อถามว่า จะมีการยื่นเรื่องอุทธรณ์ต่อหรือไม่ นั้น คุณหญิงจารุวรรณ กล่าวว่า "คงจะปล่อยให้เป็นหน้าที่ของทนายความส่วนตัวจัดการ"
เมื่อถามย้ำว่า หลังจากนี้จะยังเข้าปฎิบัติหน้าที่ที่ สตง.ต่อไปหรือไม่ คุณหญิงจารุวรรณ อ้างว่า "ติดสายโทรศัพท์อื่นอยู่" แล้วรีบตัดสายโทรศัพท์ทิ้ง
ผู้สื่อข่าวรายงาน สำหรับคำสั่งศาลปกครองดังกล่าว สำนักงานศาลปกครองได้ส่งให้คู่กรณีในช่วงบ่ายซึ่งหลังจากที่นายพิศิษฐ์ได้รับคำสั่งของศาล ได้รีบทำหนังสือเวียนแจ้งไปยังทุกหน่วยงานใน สตง.และยังนำคำสั่งของศาลไปติดไว้ที่หน้าอาคารสำนักงานของ สตง.ด้วย
นายพิศิษฐ์กล่าวว่า ก่อนที่ศาลจะส่งคำสั่งดังกล่าวมาให้ตนทางโทรสารในช่วงบ่าย คุณหญิงจารุวรรณพร้อมกับลูกๆได้เข้ามาขนของใช้ส่วนตัวออกจากออกทำงานเป็นจำนวนมากไม่น้อยกว่า 2 เที่ยว อย่างไรก็ตามหลังจากนี้จะให้เจ้าหน้าที่เข้าไปตรวจสอบในห้องทำงานของคุณหญิงจารุวรรณว่า มีอะไรเสียหายหรือไม่
ที่มา.มติชนออนไลน์
ข้อโต้แย้งนายมีชัย ฤชุพันธุ์ : ความรับผิดของเจ้าของปั๊มน้ำมัน ต่อข้อความหมิ่นกษัตริย์ตามผนังห้องน้ำ
พุฒิพงศ์ พงศ์เอนกกุล นักศึกษาคณะนิติศาสตร์ ชั้นปีที่3 มหาวิทยาลัยรามคำแหง
เดิมผู้เขียนไม่เห็นว่า ปัญหานี้ยุ่งยากเกินสติปัญญาของนักศึกษาคณะนิติศาสตร์ จะใช้ความสามารถวินิจฉัยอย่างตรงไปตรงมา ภายหลังพบว่า การณ์หาเป็นเช่นนั้นไม่ โดยการสอบปลายภาคที่จะผ่านพ้นไป และเป็นประเด็นที่สังคมควรกระจ่างชัดในความมั่นคงแน่นอนแห่งกฎหมายในแต่ละคน และเกิดเป็นข้อเขียนโต้แย้งความคลาดเคลื่อนดังกล่าวไว้บ้าง จึงได้เขียนบทความนี้ขึ้น
ประมาณ 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ข้อความเห็นเกี่ยวกับคดีหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ [1] ของ นายมีชัย ฤชุพันธุ์ อดีตอาจารย์สอนกฎหมายและนิติกร เป็นที่แพร่หลายกันมาก เริ่มเรื่องนายไกรวัลย์ เกษมศิลป์ โพสต์ถามในเว็บไซต์ของนายมีชัย ว่า “ ผมได้เข้าไปใช้ห้องน้ำในปั๊มน้ำมัน พบเห็นการเขียนข้อความให้ร้ายต่อสถาบันกษัตริย์ อยากจะถามว่าเจ้าของสถานที่จะมีความผิดไหมครับที่ปล่อยให้มีข้อความอย่างนี้ ถ้าหากจะเอาผิดกับเจ้าของสถานที่หรือให้เจ้าของสถานที่เขาลบข้อความเหล่านี้เสีย จะทำอย่างไรครับ ถ้าหากว่าเจ้าของสถานที่ไม่ทำอะไรเลยแล้วก็ปล่อยให้มีข้อความอย่างนี้อยู่ต่อไป จะไปแจ้งความเอาผิดกับเจ้าของสถานที่ได้ไหมครับ”
ตามข่าว นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ตอบคำถามว่า “ ถ้าเจ้าของเขารู้เห็นข้อความนั้นแล้วยังไม่ลบทิ้งเจ้าของสถานที่ก็อาจมีความผิดเสียเองได้ ถ้าใครพบเห็นก็ควรช่วยกันแจ้งให้เจ้าของเขาลบทิ้ง หรือแจ้งกับตำรวจให้ไปดู”
การวินิจฉัยปัญหากฎหมาย ในเบื้องต้นสามารถแยก “โครงสร้าง” เพื่อสามารถใช้ความคิดได้อย่างเป็นระเบียบ ในการให้เหตุผลหรือตรรกะทางกฎหมาย เราเรียกบรรทัดฐานดังกล่าวว่า “โครงสร้างบรรทัดฐานทางกฎหมาย”[2] จำแนกได้ดังนี้
นักกฎหมายและนักนิติศาสตร์ จะใช้ “โครงสร้างบรรทัดฐานทางกฎหมาย” เป็นฐานคิดในทุกกรณี ปรับวินิจฉัยปัญหาทางกฎหมาย สำหรับกรณีคำถามของนายไกรวัลย์ฯ ในเว็บไซต์ของนายมีชัยฯ เป็นประเด็นปัญหาเกี่ยวกับความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา112 ผู้เขียนจะเริ่มพิเคราะห์ ดังนี้
ประเด็นที่1.องค์ประกอบส่วนเหตุในทางกฎหมาย
เมื่อชัดแจ้งแล้วว่า วัตถุแห่งการพิจารณา คือ กฎหมายลายลักษณ์อักษร จึงต้องพิจารณาต่อไปว่า ตามบทบัญญัติกฎหมายลายลักษณ์อักษร บัญญัติไว้อย่างไร เพื่อพิจารณาประเด็นที่1 ให้ได้ยุติ
ประมวลกฎหมายอาญา แบ่งออกเป็น 3 ภาค คือ ภาค1.เป็น “บทบัญญัติทั่วไป” (มาตรา1 ถึง มาตรา106) ที่จะนำไปใช้เป็น “พื้นฐาน” เพื่อพิจารณา “ องค์ประกอบส่วนเหตุในทางกฎหมาย” แก่ ภาค2และภาค3 รวมถึงกฎหมายอาญาที่ปรากฎในกฎหมายฉบับอื่นๆทั้งปวง ตราบที่กฎหมายฉบับอื่นๆนั้นไม่บัญญัติกฎเกณฑ์ไว้เป็นการเฉพาะ ตามนิตินโยบายขององค์กรนิติบัญญัติ , ภาค2.เป็น “ความผิด” ในทางอาญา (มาตรา 107 ถึง มาตรา 366) , ภาค3.เป็น “ความผิดลหุโทษ” ความผิดที่บัญญัติโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับไม่เกิน 1 พันบาท (มาตรา 367 ถึง มาตรา 398)
ความผิดฐานหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา112 ใน “ภาค2”ว่าด้วยความผิด บัญญัติว่า “ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปีถึงสิบห้าปี” เมื่อบทบัญญัติมาตรา112 มิใช่ “บทบัญญัติทั่วไป” (หลักเกณฑ์ในการใช้กฎหมายอาญา)ในประมวลกฎหมายอาญา โดยบัญญัติไว้ใน “ภาค2” เราจึงต้องนำหลักเกณฑ์ทางกฎหมายที่บัญญัติไว้ใน “ภาค1” (มาตรา 1 ถึง มาตรา106) มาพิจารณา “องค์ประกอบส่วนเหตุ” ตามมาตรา 112 ด้วย
อาศัยหลักเกณฑ์ดังกล่าว จะนำมาประกอบการกระจาย “องค์ประกอบส่วนเหตุในทางกฎหมาย” มาตรา 112 (อธิบายถึงเฉพาะส่วนที่ทำให้องค์ประกอบส่วนเหตุในทางกฎหมายได้ขาดตอนลง) ได้ดังนี้
“การกระทำ” เป็นถ้อยคำทางกฎหมาย และเป็นประเด็นสำคัญทางกฎหมายต่อกรณีความเห็นของนายมีชัย ฤชุพันธุ์ ที่ว่า “ถ้าเจ้าของเขารู้เห็นข้อความนั้นแล้วยังไม่ลบทิ้งเจ้าของสถานที่ก็อาจมีความผิดเสียเองได้” จึงต้องพิจารณาว่า “อย่างไรคือ การกระทำ”
ในระบบกฎหมาย ได้ปรากฎถ้อยคำว่า “การกระทำ” , “กระทำการ” , “ทำ” อยู่ทั่วไปในปริมาณฑลแห่งบทบัญญัติกฎหมาย ทั้งกฎหมายแพ่ง , กฎหมายอาญา , หรือในแดนกฎหมายมหาชน เช่น กฎหมายปกครอง ก็ล้วนใช้ในความหมายอย่างเดียวกันเป็นที่ยุติว่า หมายถึง การเคลื่อนไหวในอิริยาบถโดยรู้สึกนึกในขณะเคลื่อนไหวและผู้เคลื่อนไหวสามารถบังคับการเคลื่อนไหวได้ด้วย [5] หากพิจารณาประมวลกฎหมายอาญา อาจปรากฎทำนองเดียวกันนี้ในมาตรา59 วรรค2 “กระทำ...ได้แก่กระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำ” นอกจากนี้ ยังหมายรวมถึง การงดเว้นการที่จะต้องกระทำด้วย[6] ซึ่งมีลักษณะของการไม่เคลื่อนไหวร่างกาย และเรื่องนี้เป็น “ประเด็นสำคัญ” จุดประกายความคลาดเคลื่อนทางกฎหมายของนายมีชัย ฤชุพันธุ์ ต่อกรณีตีความมาตรา112
โดยเหตุที่ “การไม่เคลื่อนไหวร่างกาย” ก็ยังสามารถถูกจัดเป็น “การกระทำ” ได้ ซึ่งเป็น “ข้อยกเว้น”ของ “การกระทำ” ดังนั้น ในระบบกฎหมาย จึงจัด “ประเภท” ของการไม่เคลื่อนไหวร่างกาย ออกเป็น 2 ประเภท ซึ่งส่งผลในทางกฎหมายแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
ประเภทที่1.การ “ไม่กระทำ” ซึ่งถือว่าเป็นความผิด ตามถ้อยคำในมาตรา 59 วรรคท้ายที่ว่า “งดเว้นที่จักต้องกระทำ” หมายความว่า งดเว้นกระทำในสิ่งที่ตนมีหน้าที่ต้องกระทำ โดยรู้สึกนึกในการไม่เคลื่อนไหวร่างกายของ “ผู้มีหน้าที่ต้องกระทำ” แต่งดเว้นเสีย จึงต้องพิจารณาต่อไปว่า “หน้าที่ นั้น เกิดขึ้นโดยเหตุใดได้บ้าง” เพราะหากไม่มี “หน้าที่” ในอันจักต้อง “กระทำ” ก็ย่อมเข้าลักษณะ “หลักทั่วไป” ที่ว่า การ “ไม่กระทำ” ไม่ถือว่าเป็นความผิด สิ่งที่ต้องพิจารณาต่อไปคือ “หน้าที่”อาจเกิดได้หลายกรณีสามารถสกัดบรรดากรณีที่ปรากฎอยู่ มีดังนี้
ประการที่2.การ “ไม่กระทำ” ซึ่งไม่ถือว่าเป็นความผิด เว้นแต่มีกฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิด ในทางกฎหมายเรียก “ละเว้น” เป็นเรื่องการละเว้นกระทำการซึ่งกฎหมายบังคับให้กระทำในฐานะพลเมืองดี เช่น เห็นเด็กกำลังจะจมน้ำตายโห่ร้องให้ตนช่วย ทั้งที่ตนเป็นนักกีฬาว่ายน้ำทีมชาติ เห็นผู้อื่นประสบภยันตรายแห่งชีวิต แต่กลับไม่ช่วยตามความสามารถของตน เป็นการละเว้นการกระทำในฐานะพลเมืองดี ตามมาตรา 374
เห็นได้ว่า “หน้าที่” อันจะต้องกระทำแต่ไม่กระทำ ที่เรียก “งดเว้น” นั้น ต้องมิใช่หน้าที่โดยทั่วๆ ไป แต่เป็นหน้าที่โดยเฉพาะที่ต้องทำเพื่อป้องกันมิให้เกิดผลเช่นที่เกิดนั้น[8] แต่ถ้าเป็นเพียงหน้าที่โดยทั่วๆไป ทางศีลธรรมหรือในฐานะพลเมืองดี ย่อมไม่ใช่ “งดเว้น”แต่จะเป็น “ละเว้น”การกระทำ
เมื่อพิเคราะห์องค์ประกอบส่วนเหตุในทางกฎหมาย “การกระทำ” ทั้ง “งดเว้น”และ “ละเว้น” แล้ว การตามมาตรา59 วรรคท้าย แห่งประมวลกฎหมายอาญา บัญญัติให้การไม่เคลื่อนไหวร่างกาย นั้นรวมถึง “การงดเว้น” ด้วย โดยเหตุนี้หากไม่มีบทบัญญัติเฉพาะในกฎหมายเป็นการเฉพาะ “การละเว้นการกระทำ” ย่อมไม่เป็นความผิดตามกฎหมาย
ประเด็นที่2.ข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น
[8] จิตติ ติงศภัทิย์ , กฎหมายอาญาภาค 1 , (กรุงเทพฯ : สำนักอบรมศึกษากฎหมายแห่งเนติบัณฑิตยสภา , 2546) หน้า 175-176
เดิมผู้เขียนไม่เห็นว่า ปัญหานี้ยุ่งยากเกินสติปัญญาของนักศึกษาคณะนิติศาสตร์ จะใช้ความสามารถวินิจฉัยอย่างตรงไปตรงมา ภายหลังพบว่า การณ์หาเป็นเช่นนั้นไม่ โดยการสอบปลายภาคที่จะผ่านพ้นไป และเป็นประเด็นที่สังคมควรกระจ่างชัดในความมั่นคงแน่นอนแห่งกฎหมายในแต่ละคน และเกิดเป็นข้อเขียนโต้แย้งความคลาดเคลื่อนดังกล่าวไว้บ้าง จึงได้เขียนบทความนี้ขึ้น
ประมาณ 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ข้อความเห็นเกี่ยวกับคดีหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ [1] ของ นายมีชัย ฤชุพันธุ์ อดีตอาจารย์สอนกฎหมายและนิติกร เป็นที่แพร่หลายกันมาก เริ่มเรื่องนายไกรวัลย์ เกษมศิลป์ โพสต์ถามในเว็บไซต์ของนายมีชัย ว่า “ ผมได้เข้าไปใช้ห้องน้ำในปั๊มน้ำมัน พบเห็นการเขียนข้อความให้ร้ายต่อสถาบันกษัตริย์ อยากจะถามว่าเจ้าของสถานที่จะมีความผิดไหมครับที่ปล่อยให้มีข้อความอย่างนี้ ถ้าหากจะเอาผิดกับเจ้าของสถานที่หรือให้เจ้าของสถานที่เขาลบข้อความเหล่านี้เสีย จะทำอย่างไรครับ ถ้าหากว่าเจ้าของสถานที่ไม่ทำอะไรเลยแล้วก็ปล่อยให้มีข้อความอย่างนี้อยู่ต่อไป จะไปแจ้งความเอาผิดกับเจ้าของสถานที่ได้ไหมครับ”
ตามข่าว นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ตอบคำถามว่า “ ถ้าเจ้าของเขารู้เห็นข้อความนั้นแล้วยังไม่ลบทิ้งเจ้าของสถานที่ก็อาจมีความผิดเสียเองได้ ถ้าใครพบเห็นก็ควรช่วยกันแจ้งให้เจ้าของเขาลบทิ้ง หรือแจ้งกับตำรวจให้ไปดู”
การวินิจฉัยปัญหากฎหมาย ในเบื้องต้นสามารถแยก “โครงสร้าง” เพื่อสามารถใช้ความคิดได้อย่างเป็นระเบียบ ในการให้เหตุผลหรือตรรกะทางกฎหมาย เราเรียกบรรทัดฐานดังกล่าวว่า “โครงสร้างบรรทัดฐานทางกฎหมาย”[2] จำแนกได้ดังนี้
1.องค์ประกอบส่วนเหตุในทางกฎหมาย คืออะไร
2.ข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น เป็นอย่างไร
3.ผลในทางกฎหมาย เป็นเช่นไร
นักกฎหมายและนักนิติศาสตร์ จะใช้ “โครงสร้างบรรทัดฐานทางกฎหมาย” เป็นฐานคิดในทุกกรณี ปรับวินิจฉัยปัญหาทางกฎหมาย สำหรับกรณีคำถามของนายไกรวัลย์ฯ ในเว็บไซต์ของนายมีชัยฯ เป็นประเด็นปัญหาเกี่ยวกับความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา112 ผู้เขียนจะเริ่มพิเคราะห์ ดังนี้
ประเด็นที่1.องค์ประกอบส่วนเหตุในทางกฎหมาย
เราทำความเข้าใจก่อนว่า องค์ประกอบส่วนเหตุในทางกฎหมาย จะหมายถึงเฉพาะ “กฎหมาย(ที่บัญญัติเป็น)ลายลักษณ์อักษร” เท่านั้น เราจะไม่ใช้ประเพณีวัฒนธรรมจารีตหรือค่านิยมทางสังคมพระไตรปิฎกหรือกฎเกณ์อื่น มาเป็นมาตรวัดในฐานะ “บ่อเกิดแห่งกฎหมาย” เนื่องจากการบังคับใช้กฎหมายที่มีโทษในทางอาญา [3] จะต้องตั้งอยู่บนหลักการที่ว่า กฎหมายอาญาต้องบัญญัติให้ชัดเจนแน่นอน (nullum poeana sine lege stricta) ทั้งนี้รวมถึงบทบัญญัติที่ไม่ใช่โทษทางอาญาแต่อาจก่อผลในทางกระทบกระเทือนต่อสิทธิเสรีภาพของประชาชนด้วย
เมื่อชัดแจ้งแล้วว่า วัตถุแห่งการพิจารณา คือ กฎหมายลายลักษณ์อักษร จึงต้องพิจารณาต่อไปว่า ตามบทบัญญัติกฎหมายลายลักษณ์อักษร บัญญัติไว้อย่างไร เพื่อพิจารณาประเด็นที่1 ให้ได้ยุติ
ประมวลกฎหมายอาญา แบ่งออกเป็น 3 ภาค คือ ภาค1.เป็น “บทบัญญัติทั่วไป” (มาตรา1 ถึง มาตรา106) ที่จะนำไปใช้เป็น “พื้นฐาน” เพื่อพิจารณา “ องค์ประกอบส่วนเหตุในทางกฎหมาย” แก่ ภาค2และภาค3 รวมถึงกฎหมายอาญาที่ปรากฎในกฎหมายฉบับอื่นๆทั้งปวง ตราบที่กฎหมายฉบับอื่นๆนั้นไม่บัญญัติกฎเกณฑ์ไว้เป็นการเฉพาะ ตามนิตินโยบายขององค์กรนิติบัญญัติ , ภาค2.เป็น “ความผิด” ในทางอาญา (มาตรา 107 ถึง มาตรา 366) , ภาค3.เป็น “ความผิดลหุโทษ” ความผิดที่บัญญัติโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับไม่เกิน 1 พันบาท (มาตรา 367 ถึง มาตรา 398)
ความผิดฐานหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา112 ใน “ภาค2”ว่าด้วยความผิด บัญญัติว่า “ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปีถึงสิบห้าปี” เมื่อบทบัญญัติมาตรา112 มิใช่ “บทบัญญัติทั่วไป” (หลักเกณฑ์ในการใช้กฎหมายอาญา)ในประมวลกฎหมายอาญา โดยบัญญัติไว้ใน “ภาค2” เราจึงต้องนำหลักเกณฑ์ทางกฎหมายที่บัญญัติไว้ใน “ภาค1” (มาตรา 1 ถึง มาตรา106) มาพิจารณา “องค์ประกอบส่วนเหตุ” ตามมาตรา 112 ด้วย
อาศัยหลักเกณฑ์ดังกล่าว จะนำมาประกอบการกระจาย “องค์ประกอบส่วนเหตุในทางกฎหมาย” มาตรา 112 (อธิบายถึงเฉพาะส่วนที่ทำให้องค์ประกอบส่วนเหตุในทางกฎหมายได้ขาดตอนลง) ได้ดังนี้
1.ผู้ใด หมายถึง จะต้องเป็น “บุคคล” ซึ่งในระบบกฎหมายได้รับรองสถานภาพของความเป็น “บุคคล” ไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ สามารถแบ่งได้ 2 ประเภท คือ ก.บุคคลธรรมดาได้แก่ สิ่งมีชีวิตซึ่งตามหลักชีววิทยาหรือชัดแจ้งโดยกายภาพก็ดี เป็น “มนุษย์” ซึ่งตามมาตรา15 เริ่มแต่เมื่อคลอดแล้ว อยู่รอดเป็นทารกและสิ้นสุดลงเมื่อตาย ข.นิติบุคคล ได้แก่ บุคคลที่เกิดโดยกฎหมายสมมติขึ้นให้มีเป็น “บุคคล” เพื่อสะดวกแก่การฟ้องร้องคดีแพ่ง,อาญา หรือคดีปกครอง เช่น บริษัท , ห้างหุ้นส่วนต่างๆ รวมถึงนิติบุคคลซึ่งจัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติอื่น
2.มีการกระทำ แม้ว่าตามมาตรา 112 มิได้บัญญัติถ้อยคำนี้ แต่ตามมาตรา 59 วรรค1 “บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทำ...” อันบัญญัติไว้ในภาค1 บทบัญญัติทั่วไป ซึ่งจะต้องนำมาบังคับใช้แก่ บทบัญญัติใน ภาค2 ,ภาค3 และกฎหมายอาญาอื่น ด้วย[4] กล่าวได้ว่า หากไม่มี “การกระทำ” แล้ว ย่อมส่งผลให้ ไม่จำต้องพิเคราะห์ “องค์ประกอบส่วนเหตุประการอื่นๆ” อีกเลย ในทาง “โครงสร้างบรรทัดฐานทางกฎหมาย” เมื่อขาด “องค์ประกอบส่วนเหตุทางกฎหมาย”เพียงประการใดประการหนึ่ง ย่อมบังคับ “ผลในทางกฎหมาย”มิได้ หลักการนี้สืบสาวมาจากหลัก “ไม่มีโทษ โดยปราศจากกฎหมาย” (nulla poena sine lege) ในนิติรัฐ
“การกระทำ” เป็นถ้อยคำทางกฎหมาย และเป็นประเด็นสำคัญทางกฎหมายต่อกรณีความเห็นของนายมีชัย ฤชุพันธุ์ ที่ว่า “ถ้าเจ้าของเขารู้เห็นข้อความนั้นแล้วยังไม่ลบทิ้งเจ้าของสถานที่ก็อาจมีความผิดเสียเองได้” จึงต้องพิจารณาว่า “อย่างไรคือ การกระทำ”
ในระบบกฎหมาย ได้ปรากฎถ้อยคำว่า “การกระทำ” , “กระทำการ” , “ทำ” อยู่ทั่วไปในปริมาณฑลแห่งบทบัญญัติกฎหมาย ทั้งกฎหมายแพ่ง , กฎหมายอาญา , หรือในแดนกฎหมายมหาชน เช่น กฎหมายปกครอง ก็ล้วนใช้ในความหมายอย่างเดียวกันเป็นที่ยุติว่า หมายถึง การเคลื่อนไหวในอิริยาบถโดยรู้สึกนึกในขณะเคลื่อนไหวและผู้เคลื่อนไหวสามารถบังคับการเคลื่อนไหวได้ด้วย [5] หากพิจารณาประมวลกฎหมายอาญา อาจปรากฎทำนองเดียวกันนี้ในมาตรา59 วรรค2 “กระทำ...ได้แก่กระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำ” นอกจากนี้ ยังหมายรวมถึง การงดเว้นการที่จะต้องกระทำด้วย[6] ซึ่งมีลักษณะของการไม่เคลื่อนไหวร่างกาย และเรื่องนี้เป็น “ประเด็นสำคัญ” จุดประกายความคลาดเคลื่อนทางกฎหมายของนายมีชัย ฤชุพันธุ์ ต่อกรณีตีความมาตรา112
โดยเหตุที่ “การไม่เคลื่อนไหวร่างกาย” ก็ยังสามารถถูกจัดเป็น “การกระทำ” ได้ ซึ่งเป็น “ข้อยกเว้น”ของ “การกระทำ” ดังนั้น ในระบบกฎหมาย จึงจัด “ประเภท” ของการไม่เคลื่อนไหวร่างกาย ออกเป็น 2 ประเภท ซึ่งส่งผลในทางกฎหมายแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
ประเภทที่1.การ “ไม่กระทำ” ซึ่งถือว่าเป็นความผิด ตามถ้อยคำในมาตรา 59 วรรคท้ายที่ว่า “งดเว้นที่จักต้องกระทำ” หมายความว่า งดเว้นกระทำในสิ่งที่ตนมีหน้าที่ต้องกระทำ โดยรู้สึกนึกในการไม่เคลื่อนไหวร่างกายของ “ผู้มีหน้าที่ต้องกระทำ” แต่งดเว้นเสีย จึงต้องพิจารณาต่อไปว่า “หน้าที่ นั้น เกิดขึ้นโดยเหตุใดได้บ้าง” เพราะหากไม่มี “หน้าที่” ในอันจักต้อง “กระทำ” ก็ย่อมเข้าลักษณะ “หลักทั่วไป” ที่ว่า การ “ไม่กระทำ” ไม่ถือว่าเป็นความผิด สิ่งที่ต้องพิจารณาต่อไปคือ “หน้าที่”อาจเกิดได้หลายกรณีสามารถสกัดบรรดากรณีที่ปรากฎอยู่ มีดังนี้
1.หน้าที่อันเกิดจากรัฐธรรมนูญกำหนดโดยตรงในฐานะที่เป็นองค์กรของรัฐ เช่น พระมหากษัตริย์ทรงมีหน้าที่เคารพและพิทักษ์ปกป้องรัฐธรรมนูญ [7] ตัวอย่าง -
2.หน้าที่อันเกิดจากกฎหมายกำหนดโดยตรง เช่น บิดามารดาจำต้องอุปการะเลี้ยงดูบุตร (ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา1564) ตัวอย่าง นางแดง ไม่ยอมให้ลูกทารกกินนม จนลูกอดนมตาย เป็นการ “งดเว้น”กระทำตามหน้าที่ที่กฎหมายกำหนด ผิดฐานฆ่าผู้อื่น
3.หน้าที่ที่เกิดจากการยอมรับภาระบางประการ ได้แก่
3.1.หน้าที่โดยสัญญา เช่น รับจ้างคอยช่วยเหลือผู้ที่หัดว่ายน้ำแต่งดเว้นไม่ช่วยเหลือเมื่อมีคนจมน้ำในสระตามหน้าที่นั้น , เป็นลูกจ้างของการรถไฟมีหน้าที่ควบคุมสัญญาณห้ามรถผ่าน แต่เผลองีบหลับไป จนรถไฟชนคนตาย เช่นนี้ ลูกจ้างคนนั้นมีการกระทำโดยงดเว้น ผิดฐานฆ่า ส่วนจะเจตนาหรือประมาท ต้องพิจารณาเป็นคนละส่วน เป็นต้น
3.2โดยอัชฌาศัย เช่น อาสาดูแลลูกของเพื่อนบ้าน เป็นต้น
4.หน้าที่จากการกระทำก่อนๆของตน เช่น จูงคนตาบอดข้ามถนน ก็ต้องพาข้ามให้พ้นถนน ถ้าจูงมาถึงกลางถนนแล้วทิ้งคนตาบอดไว้กลางถนน เพราะกลัวไปทำงานไม่ทัน รีบข้ามถนนไปก่อน เช่นนี้เป็นการ“งดเว้น” ไม่กระทำเพื่อป้องกันผลร้ายอันจะเกิดแก่คนตาบอด(ช่วยไม่ตลอดรอดฝั่ง)
ประการที่2.การ “ไม่กระทำ” ซึ่งไม่ถือว่าเป็นความผิด เว้นแต่มีกฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิด ในทางกฎหมายเรียก “ละเว้น” เป็นเรื่องการละเว้นกระทำการซึ่งกฎหมายบังคับให้กระทำในฐานะพลเมืองดี เช่น เห็นเด็กกำลังจะจมน้ำตายโห่ร้องให้ตนช่วย ทั้งที่ตนเป็นนักกีฬาว่ายน้ำทีมชาติ เห็นผู้อื่นประสบภยันตรายแห่งชีวิต แต่กลับไม่ช่วยตามความสามารถของตน เป็นการละเว้นการกระทำในฐานะพลเมืองดี ตามมาตรา 374
เห็นได้ว่า “หน้าที่” อันจะต้องกระทำแต่ไม่กระทำ ที่เรียก “งดเว้น” นั้น ต้องมิใช่หน้าที่โดยทั่วๆ ไป แต่เป็นหน้าที่โดยเฉพาะที่ต้องทำเพื่อป้องกันมิให้เกิดผลเช่นที่เกิดนั้น[8] แต่ถ้าเป็นเพียงหน้าที่โดยทั่วๆไป ทางศีลธรรมหรือในฐานะพลเมืองดี ย่อมไม่ใช่ “งดเว้น”แต่จะเป็น “ละเว้น”การกระทำ
เมื่อพิเคราะห์องค์ประกอบส่วนเหตุในทางกฎหมาย “การกระทำ” ทั้ง “งดเว้น”และ “ละเว้น” แล้ว การตามมาตรา59 วรรคท้าย แห่งประมวลกฎหมายอาญา บัญญัติให้การไม่เคลื่อนไหวร่างกาย นั้นรวมถึง “การงดเว้น” ด้วย โดยเหตุนี้หากไม่มีบทบัญญัติเฉพาะในกฎหมายเป็นการเฉพาะ “การละเว้นการกระทำ” ย่อมไม่เป็นความผิดตามกฎหมาย
ประเด็นที่2.ข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น
กรณีที่ห้องน้ำปั้มน้ำมัน มีคนเขียนข้อความซึ่งนายไกรวัลย์ฯ อ้างว่า เป็นข้อความ“ให้ร้ายพระมหากษัตริย์” แล้วเจ้าของปั๊มน้ำมัน “เห็น” แต่ไม่ได้ “ลบทิ้ง” ก็ต้องพิจารณาว่า การ “ไม่กระทำการ” ของ เจ้าของปั้มน้ำมันแห่งนั้น มี “หน้าที่” จำต้องกระทำ(ลบข้อความดังกล่าว)หรือไม่ หากว่า “มีกฎหมายกำหนดหน้าที่ดังกล่าวให้กระทำการเช่นนั้น” แต่ไม่กระทำ ย่อมเป็นการงดเว้น เป็นความผิดมาตรา112ได้
ประเด็นที่3.ผลในทางกฎหมาย
ตามที่ปรากฎเป็นกฎหมายลายลักษณ์อักษรขณะนี้ ไม่มีบทบัญญัติกฎหมายใด กำหนดหน้าที่ให้บุคคลกระทำการขจัด “สิ่งอื่นใด” ที่ “ผู้อื่นกระทำ” ขึ้นโดยผิดกฎหมายกระทบกระเทือนความเลื่อมใสในสถาบันพระมหากษัตริย์ หากแต่เป็นหน้าที่ทางศีลธรรมหรือหน้าที่ในฐานะพลเมืองดีหรือหน้าที่ทางการเมือง เช่นเดียวกับ หน้าที่รักษาโบราณวัตถุ , หน้าที่ไปเลือกตั้ง , หน้าที่ป้องกันประเทศ , หน้าที่ปฏิบัติตามกฎหมาย เป็นต้น การไม่ลบข้อความดังกล่าวของ “เจ้าของปั้มน้ำมัน” เป็นการไม่เคลื่อนไหวร่างกาย โดยรู้สำนึก ปราศจากหน้าที่บังคับ จึงเป็น “ละเว้นการกระทำ” ซึ่งไม่มีบทกฎหมายบัญญัติให้เป็นความผิด ไม่เป็นผิดมาตรา112 โดยมิพักต้องพิจารณาต่อไปว่าข้อความนั้นๆเข้าองค์ประกอบอื่นๆอีกหรือไม่ เพราะตราบเมื่อ “องค์ประกอบส่วนเหตุ” ได้ “สะดุดขาดตอนลง” ผลในทางกฎหมายย่อมไม่เกิดขึ้นดุจกัน
----------------------
เชิงอรรถ
[1] มติชน [ออนไลน์],“หมิ่นสถาบันกษัตริย์ ในห้องน้ำปั๊มน้ำมัน “มีชัย ฤชุพันธุ์” เตือน ถ้าเจ้าของไม่ลบทิ้งอาจมีความผิดเสียเอง แนะแจ้งตำรวจ”ใน http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1285774283&catid=no [เข้าถึงวันที่ 15 ตุลาคม 2553] และโปรดดูสิ่งพิมพ์อื่น.
[2] โปรดดูรายละเอียดเพิ่มเติมใน วรเจตน์ ภาคีรัตน์ , รพี’42 [วารสาร] , “ระบบแห่งบรรทัดฐานทางกฎหมาย” , (กรุงเทพ : คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์) หน้า 35 – 44.
[3] โทษในทางอาญา บัญญัติไว้ใน ภาค1 บทบัญญัติทั่วไป มาตรา 18 มีดังนี้ 1.ประหารชีวิต , 2.จำคุก , 3.กักขัง , 4.ปรับ , 5.ริบทรัพย์สิน หาก “ผลในทางกฎหมาย” ตาม “องค์ประกอบส่วนเหตุทางกฎหมาย” ใด มีสภาพบังคับ (sanction) อย่างใดอย่างหนึ่งที่กล่าวมาในมาตรา 18 นี้ ย่อมเป็นความผิดทางอาญาทั้งสิ้น ไม่ว่าบทบัญญัติดังกล่าว จะปรากฎตัวในประมวลกฎหมายอาญาหรือกฎหมายอื่น ก็ตาม.
[4] ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา17 บัญญัติว่า “บทบัญญัติในภาค1แห่งประมวลกฎหมายนี้ ให้ใช้ในกรณีแห่งความผิดตามกฎหมายอื่นด้วย”.
[5] ไพจิตร ปุญญพันธุ์ , คำอธิบายประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ลักษณะละเมิด , พิมพ์ครั้งที่ 12 , (กรุงเทพฯ : นิติบรรณการ , 2551) หน้า 6-8.
[6] ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา59 วรรคท้าย บัญญัติว่า “การกระทำ ให้หมายความรวมถึงการให้เกิดผลอันใดขึ้นโดยงดเว้นการที่จักต้องกระทำเพื่อป้องกันผลนั้นด้วย”
[7] ในบทบัญญัติรัฐธรรมนูญของรัฐที่มีอารยะ โดยบังคับแห่งรัฐธรรมนูญ พระมหากษัตริมีพันธะให้มีหน้าที่เป็นผู้ปกป้องหรือเคารพรัฐธรรมนูญ ทั้งในรูปของคำสาบาน(Oath) เช่น รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรเบลเยี่ยม มาตรา91(2) บัญญัติว่า พระมหากษัตริย์จะขึ้นครองราชบัลลังค์ได้ต่อเมื่อได้สาบานตนต่อสภา ว่า “ข้าพเจ้าสาบานว่า จะเคารพรักษารัฐธรรมนูญและกฎหมายของประชาชนชาวเบลเยี่ยม จะปกป้องอิสรภาพของชาติ และบูรณภาพแห่งอาณาเขตของผองเรา” , ทั้งในรูปของข้อบังคับโดยตรง เช่น รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรบาร์เรน มาตรา 33 ข้อบี บัญญัติว่า “พระมหากษัตริย์(มีหน้าที่)พิทักษ์รัฐบาลที่ชอบด้วยกฎหมาย และพิทักษ์ความสูงสุดแห่งรัฐธรรมนูญและกฎหมาย...” ฯลฯ “การไม่กระทำ”ตามหน้าที่ดังกล่าวของพระมหากษัตริย์ ย่อมเป็นการ “งดเว้นการกระทำ” ผลคือ การนั้นๆ มิได้ทรงกระทำในฐานะพระมหากษัตริย์ เป็นต้น
[8] จิตติ ติงศภัทิย์ , กฎหมายอาญาภาค 1 , (กรุงเทพฯ : สำนักอบรมศึกษากฎหมายแห่งเนติบัณฑิตยสภา , 2546) หน้า 175-176
วันศุกร์ที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2553
"คอป."พบ"ศอฉ."แจงเหตุพฤษภาเลือด รอบ2
นายสมชาย หอมละออ ประธานกรรมการสิทธิมนุษย์ชน สภาทนายความ ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อความปรองดองแห่งชาติ(คอป.) ที่เกิดขึ้นช่วงเดือน เม.ย.-พ.ค.2553 พล.ท.พีระพงษ์ มานะกิจ คณะอนุกรรมการ และผู้ที่เกี่ยวข้อง ได้เดินทางเข้าพบพล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ เสนาธิการทหารบก ในฐานะผู้แทนศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) เพื่อขอรับทราบข้อมูลข้อเท็จจริงเพิ่มเติมเป็นครั้งที่สอง หลังจากเคยเดินทางเข้าพบแล้ว 1 ครั้งเมื่อวันที่ 27 ก.ย.ที่ผ่านมา โดยใช้เวลาในการหารือ 3 ชั่วโมง
จากนั้นนายสมชาย กล่าวถึงผลการหารือว่า พล.อ.ดาว์พงษ์ได้ชี้แจงตอบคำถามจากหนังสือที่คณะอนุกรรมการได้ส่งแนวทางและประเด็นการสอบถามเหตุการณ์ความไม่สงบรวม 17 คำถาม จากการเข้าพบสองครั้งได้รับความร่วมมือจากศอฉ.เป็นอย่างดีในการให้ข้อมูล แต่ยังมีข้อมูลบางอย่างที่ศอฉ.จะต้องตอบมาเป็นลายลักษณ์อักษรเช่น นโยบาย การปฏิบัติการ การจำกัดสิทธิ การปิดสื่อว่า มีหลักการการปฏิบัติโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ รวมถึงผู้ที่ถูกจับกุมที่ดีเอสไอไม่ได้รับผิดชอบ เราจะได้ติดตามตามว่า มีการดำเนินคดีต่อบุคคลเหล่านี้โดยถูกต้องและชอบด้วยกฎหมายหรือไม่
โดยให้บุคคลเหล่านี้ต่อสู้คดีอย่างเต็มที่ตามหลักสิทธิมนุษยชนหรือไม่ ซึ่งจากการที่พล.ท.พีระพงษ์ได้เดินทางไปเยี่ยมกลุ่มคนเสื้อในต่างจังหวัด และเยี่ยมผู้ที่ถูกกล่าวหาว่า ร่วมชุมนุมแล้วถูกดำเนินคดีที่จ.อุดรธานี และจ.ขอนแก่นด้วย ทำให้ได้รับข้อมูลข่าวสารพอสมควรเพื่อจะได้ดำเนินการให้เกิดความเป็นธรรมต่อไป
“จากเหตุการณ์ช่วงเดือนเม.ย.ที่มีความซับซ้อน มีระยะเวลายาวนาน ซึ่งการเข้าพบครั้งนี้เป็นเพียงข้อมูลกว้างๆ จึงได้ตกลงกับศอฉ.ในการแสวงหาข้อมูลพยานหลักฐานที่เป็นกรณีเฉพาะในการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่จำนวน 10 กรณี อาทิ เหตุการณ์กลุ่มเสื้อแดงยึดสถานีดาวเทียมไทยคม ลาดหลุมแก้ว เหตุการณ์กระชับพื้นที่สี่แยกคอกวัว เหตุการณ์ที่อนุสรณ์สถานแห่งชาติ เหตุการณ์นักข่าวอิตาลีถูกยิงเสียชีวิต เหตุการณ์ที่บ่อนไก่ ซอยรางน้ำ ราชปรารภ วัดปทุมวนาราม และสามเหลี่ยมดินแดง เพื่อสอบถามเจ้าหน้าที่ถึงเรื่องที่เกิดขึ้น โดยจะมีคณะกรรมการแต่ละชุดลงไปสอบแต่ละเหตุการณ์ คาดว่า จะใช้เวลา 1 - 2 เดือน โดยจะเจาะลึกลงไปเรื่อยๆ และจะมีคำถามมายังศอฉ.เป็นระยะๆต่อไป เพื่อให้ศอฉ.ชี้แจงมาเป็นลายลักษณ์อักษร ซึ่งภายในปีนี้คอป.จะเข้าพบศอฉ.อีก 1 - 2 ครั้ง”นายสมชายกล่าว
ที่มา.เนชั่น
จากนั้นนายสมชาย กล่าวถึงผลการหารือว่า พล.อ.ดาว์พงษ์ได้ชี้แจงตอบคำถามจากหนังสือที่คณะอนุกรรมการได้ส่งแนวทางและประเด็นการสอบถามเหตุการณ์ความไม่สงบรวม 17 คำถาม จากการเข้าพบสองครั้งได้รับความร่วมมือจากศอฉ.เป็นอย่างดีในการให้ข้อมูล แต่ยังมีข้อมูลบางอย่างที่ศอฉ.จะต้องตอบมาเป็นลายลักษณ์อักษรเช่น นโยบาย การปฏิบัติการ การจำกัดสิทธิ การปิดสื่อว่า มีหลักการการปฏิบัติโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ รวมถึงผู้ที่ถูกจับกุมที่ดีเอสไอไม่ได้รับผิดชอบ เราจะได้ติดตามตามว่า มีการดำเนินคดีต่อบุคคลเหล่านี้โดยถูกต้องและชอบด้วยกฎหมายหรือไม่
โดยให้บุคคลเหล่านี้ต่อสู้คดีอย่างเต็มที่ตามหลักสิทธิมนุษยชนหรือไม่ ซึ่งจากการที่พล.ท.พีระพงษ์ได้เดินทางไปเยี่ยมกลุ่มคนเสื้อในต่างจังหวัด และเยี่ยมผู้ที่ถูกกล่าวหาว่า ร่วมชุมนุมแล้วถูกดำเนินคดีที่จ.อุดรธานี และจ.ขอนแก่นด้วย ทำให้ได้รับข้อมูลข่าวสารพอสมควรเพื่อจะได้ดำเนินการให้เกิดความเป็นธรรมต่อไป
“จากเหตุการณ์ช่วงเดือนเม.ย.ที่มีความซับซ้อน มีระยะเวลายาวนาน ซึ่งการเข้าพบครั้งนี้เป็นเพียงข้อมูลกว้างๆ จึงได้ตกลงกับศอฉ.ในการแสวงหาข้อมูลพยานหลักฐานที่เป็นกรณีเฉพาะในการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่จำนวน 10 กรณี อาทิ เหตุการณ์กลุ่มเสื้อแดงยึดสถานีดาวเทียมไทยคม ลาดหลุมแก้ว เหตุการณ์กระชับพื้นที่สี่แยกคอกวัว เหตุการณ์ที่อนุสรณ์สถานแห่งชาติ เหตุการณ์นักข่าวอิตาลีถูกยิงเสียชีวิต เหตุการณ์ที่บ่อนไก่ ซอยรางน้ำ ราชปรารภ วัดปทุมวนาราม และสามเหลี่ยมดินแดง เพื่อสอบถามเจ้าหน้าที่ถึงเรื่องที่เกิดขึ้น โดยจะมีคณะกรรมการแต่ละชุดลงไปสอบแต่ละเหตุการณ์ คาดว่า จะใช้เวลา 1 - 2 เดือน โดยจะเจาะลึกลงไปเรื่อยๆ และจะมีคำถามมายังศอฉ.เป็นระยะๆต่อไป เพื่อให้ศอฉ.ชี้แจงมาเป็นลายลักษณ์อักษร ซึ่งภายในปีนี้คอป.จะเข้าพบศอฉ.อีก 1 - 2 ครั้ง”นายสมชายกล่าว
ที่มา.เนชั่น
‘อภิสิทธิ์’กล้าคุยยึดกฎเหล็ก9ข้อสกัดรัฐมนตรีโกง
จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้
“อภิสิทธิ์” ฟุ้งกลางสภายึดถือกฎเหล็ก 9 ข้อขจัดรัฐมนตรีทุจริตโกงกิน แต่อ้างการตัดสินใจจะใช้ความรู้สึกไม่ได้ต้องรอผลการสอบสวนก่อน คุยถือผลประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าความมั่นคงของรัฐบาล ส.ส.เพื่อไทยระบุหากเห็นการทุจริตแล้วนิ่งเฉยเข้าข่ายผิดมาตรา 157 สงสัยข่าวรัฐมนตรีร่วมรัฐบาลอื้อฉาวมากมายแต่ไม่ทำอะไรเลย
การประชุมสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวันที่ 14 ต.ค. ที่ผ่านมา ที่ประชุมพิจารณากระทู้ถามของนายชวลิต วิชยสุทธิ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย ที่ถามนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เรื่องการบริหารราชการแผ่นดินที่ไร้ธรรมาภิบาล
นายชวลิตกล่าวว่า ขณะนี้มีข้อกล่าวหาเรื่องทุจริตในรัฐบาลหลายเรื่องแต่นายกรัฐมนตรีกลับไม่ดำเนินการอะไรเลย อาจเข้าข่ายความผิดตามมาตรา 157 ในอดีตนายกรัฐมนตรีได้ประกาศกฎเหล็ก 9 ข้อให้คณะรัฐมนตรียึดถือปฏิบัติ และรัฐมนตรีต้องเข้าเฝ้าฯถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนทำหน้าที่ว่าจะปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต แต่วันนี้กลับปรากฏข้อเท็จจริงว่ามีการทุจริตเกิดขึ้นมากหมายหลายโครงการ โดยเฉพาะกระทรวงมหาดไทย เช่น การสอบเข้าโรงเรียนนายอำเภอ การเช่าซื้อคอมพิวเตอร์ การประมูลบัตรสมาร์ทการ์ด จึงอยากถามว่านายกรัฐมนตรีจะดำเนินการเรื่องเหล่านี้อย่างไร ยังคงยึดกฎเหล็ก 9 ข้อที่ประกาศเอาไว้ตอนเข้ารับตำแหน่งใหม่ๆหรือไม่
“นายกรัฐมนตรีเคยอภิปรายไว้ในสภาว่าความรับผิดชอบทางการเมืองย่อมมาก่อนกฎหมาย ไม่รู้ว่าอะไรที่ทำให้ท่านเปลี่ยนแปลงไปจึงไม่ยึดถือตามคำพูดที่ได้ประกาศเอาไว้” นายชวลิตกล่าว
ด้านนายอภิสิทธิ์กล่าวว่า การทำงานที่ผ่านมายังคงยึดกฎเหล็ก 9 ข้อที่ประกาศไปสม่ำเสมอ ไม่เคยคิดเอาเรื่องเสถียรภาพของรัฐบาลเป็นตัวตั้งในการตัดสินใจ แต่หลายโครงการที่ระบุมานั้นยังอยู่ระหว่างการตรวจสอบข้อเท็จจริง หากได้ข้อเท็จจริงออกมาเมื่อไรจะตัดสินใจดำเนินการอย่างแน่นอน ส่วนคำพูดที่ว่าความรับผิดชอบทางการเมืองต้องมาก่อนความรับผิดชอบทางกฎหมายนั้นก็ยังยึดถือปฏิบัติเหมือนเดิม แต่การตัดสินใจเรื่องใดนั้นจะเอาความรู้สึกมาตัดสินไม่ได้ ต้องดูตามข้อเท็จจริง
“ความเชื่อที่ว่ามีการทุจริตหรือไม่ไม่สำคัญเท่าข้อเท็จจริง คงไม่เหมาะที่ผมจะพูดว่าความเชื่อของผมต่อเรื่องต่างๆเป็นอย่างไร” นายอภิสิทธิ์กล่าว
นายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย จากพรรคภูมิใจไทย ชี้แจงในที่ประชุมว่า ข้อกล่าวหาต่างๆ เช่น การสอบเข้าโรงเรียนนายอำเภอ ขณะนี้ข้าราชการ 145 คน ไปรับทราบข้อกล่าวหาจากคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) แล้ว เมื่อเข้าสู่กระบวนการแล้วก็ต้องปล่อยให้ ป.ป.ช. ทำงานไป เรื่องการเช่าซื้อคอมพิวเตอร์ก็มีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสอบข้อเท็จจริง ซึ่งจะรู้ผลใน 30 วัน ส่วนเรื่องสมาร์ทการ์ดก็ได้ข้อสรุปเมื่อวันที่ 11 ต.ค. ที่ผ่านมาว่าส่งเรื่องให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) เป็นผู้ดำเนินการ ไม่เกิน 60 วันประชาชนจะได้สมาร์ทการ์ดแทนใบเหลืองที่ถืออยู่แน่นอน
**********************************************************************
“อภิสิทธิ์” ฟุ้งกลางสภายึดถือกฎเหล็ก 9 ข้อขจัดรัฐมนตรีทุจริตโกงกิน แต่อ้างการตัดสินใจจะใช้ความรู้สึกไม่ได้ต้องรอผลการสอบสวนก่อน คุยถือผลประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าความมั่นคงของรัฐบาล ส.ส.เพื่อไทยระบุหากเห็นการทุจริตแล้วนิ่งเฉยเข้าข่ายผิดมาตรา 157 สงสัยข่าวรัฐมนตรีร่วมรัฐบาลอื้อฉาวมากมายแต่ไม่ทำอะไรเลย
การประชุมสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวันที่ 14 ต.ค. ที่ผ่านมา ที่ประชุมพิจารณากระทู้ถามของนายชวลิต วิชยสุทธิ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย ที่ถามนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เรื่องการบริหารราชการแผ่นดินที่ไร้ธรรมาภิบาล
นายชวลิตกล่าวว่า ขณะนี้มีข้อกล่าวหาเรื่องทุจริตในรัฐบาลหลายเรื่องแต่นายกรัฐมนตรีกลับไม่ดำเนินการอะไรเลย อาจเข้าข่ายความผิดตามมาตรา 157 ในอดีตนายกรัฐมนตรีได้ประกาศกฎเหล็ก 9 ข้อให้คณะรัฐมนตรียึดถือปฏิบัติ และรัฐมนตรีต้องเข้าเฝ้าฯถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนทำหน้าที่ว่าจะปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต แต่วันนี้กลับปรากฏข้อเท็จจริงว่ามีการทุจริตเกิดขึ้นมากหมายหลายโครงการ โดยเฉพาะกระทรวงมหาดไทย เช่น การสอบเข้าโรงเรียนนายอำเภอ การเช่าซื้อคอมพิวเตอร์ การประมูลบัตรสมาร์ทการ์ด จึงอยากถามว่านายกรัฐมนตรีจะดำเนินการเรื่องเหล่านี้อย่างไร ยังคงยึดกฎเหล็ก 9 ข้อที่ประกาศเอาไว้ตอนเข้ารับตำแหน่งใหม่ๆหรือไม่
“นายกรัฐมนตรีเคยอภิปรายไว้ในสภาว่าความรับผิดชอบทางการเมืองย่อมมาก่อนกฎหมาย ไม่รู้ว่าอะไรที่ทำให้ท่านเปลี่ยนแปลงไปจึงไม่ยึดถือตามคำพูดที่ได้ประกาศเอาไว้” นายชวลิตกล่าว
ด้านนายอภิสิทธิ์กล่าวว่า การทำงานที่ผ่านมายังคงยึดกฎเหล็ก 9 ข้อที่ประกาศไปสม่ำเสมอ ไม่เคยคิดเอาเรื่องเสถียรภาพของรัฐบาลเป็นตัวตั้งในการตัดสินใจ แต่หลายโครงการที่ระบุมานั้นยังอยู่ระหว่างการตรวจสอบข้อเท็จจริง หากได้ข้อเท็จจริงออกมาเมื่อไรจะตัดสินใจดำเนินการอย่างแน่นอน ส่วนคำพูดที่ว่าความรับผิดชอบทางการเมืองต้องมาก่อนความรับผิดชอบทางกฎหมายนั้นก็ยังยึดถือปฏิบัติเหมือนเดิม แต่การตัดสินใจเรื่องใดนั้นจะเอาความรู้สึกมาตัดสินไม่ได้ ต้องดูตามข้อเท็จจริง
“ความเชื่อที่ว่ามีการทุจริตหรือไม่ไม่สำคัญเท่าข้อเท็จจริง คงไม่เหมาะที่ผมจะพูดว่าความเชื่อของผมต่อเรื่องต่างๆเป็นอย่างไร” นายอภิสิทธิ์กล่าว
นายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย จากพรรคภูมิใจไทย ชี้แจงในที่ประชุมว่า ข้อกล่าวหาต่างๆ เช่น การสอบเข้าโรงเรียนนายอำเภอ ขณะนี้ข้าราชการ 145 คน ไปรับทราบข้อกล่าวหาจากคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) แล้ว เมื่อเข้าสู่กระบวนการแล้วก็ต้องปล่อยให้ ป.ป.ช. ทำงานไป เรื่องการเช่าซื้อคอมพิวเตอร์ก็มีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสอบข้อเท็จจริง ซึ่งจะรู้ผลใน 30 วัน ส่วนเรื่องสมาร์ทการ์ดก็ได้ข้อสรุปเมื่อวันที่ 11 ต.ค. ที่ผ่านมาว่าส่งเรื่องให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) เป็นผู้ดำเนินการ ไม่เกิน 60 วันประชาชนจะได้สมาร์ทการ์ดแทนใบเหลืองที่ถืออยู่แน่นอน
**********************************************************************
ลางร้ายสำหรับรัฐบาลไทย
ย้อนกลับไปในเดือนกรกฎาคม ปี 2553 นายกอภิสิทธิ์ได้คุยโวถึง “กระบวนการสมานฉันท์ปรองดอง” โดยองค์กรที่มีชื่อเสียงอย่างICG (International Crisis Group) ได้กล่าวถึงแผนการดังกล่าวว่า
“…. “แผนการ” ปรองดองสมานฉันท์แห่งชาติซึ่งเป็นข้อเสนอฝ่ายเดียวจากนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ไม่มีทางสัมฤทธิ์ผลหากฝ่ายตรงข้าม รวมถึงผู้นำที่ถูกขับไล่ลงจากตำแหน่งคนก่อนไม่มีส่วนร่วม การสอบสวนที่น่าเชื่อถือถึงเหตุการณ์ความรุนแรง การปฎิรูปกฎหมาย และการอภิปรายถึงความไม่เท่าเทียวไม่สามารถสมเร็จได้โดยปราศจากกลุ่มคนเสื้อแดงแนวร่วมทักษิณ สิ่งเหล่านี้ไม่มีทางเกิดขึ้นได้เลยหากแกนนำคนเสื้อแดงยังถูกกักขัง เพิกเฉย และหลบหนี ”
ICG ยังได้เผยแพร่ข้อแนะนำแนะนำ 16 ประการ เพื่อเป็นแนวทาง โดยข้อหนึ่งได้กล่าวอย่างชัดเจนว่ามีความจำเป็นที่ต้องให้ถอนกำลังทหารออกจากการดำเนินชีวิตของพลเรือนอย่างสิ้นเชิง คำแนะนำของ ICG ได้กล่าวถึงรัฐบาลไทยชุดปัจจุบันว่า
“ต้องมีการปฏิรูปเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ดูแลความปลอดภัยขั้นพื้นฐาน โดยมีการฝึกฝนเจ้าหน้าอย่างต่อเนื่อง และให้ค่าตอบแทนที่เหมาะสม ซึ่งจะทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจมีศักยภาพในการดูแลความปลอดภัยภายใน รวมถึงการควบคุมและดูแลผู้ชุมนุม โดยต้องมีการจำกัดหน้าที่ของกองทัพให้รับผิดชอบการปกป้องประเทศจากภายนอกเท่านั้น”
และเป็นที่แน่ชัดว่า นายกอภิสิทธิ์เพิกเฉยต่อคำแนะนำนี้ และทำให้หลายคนคิดว่าแผนการดังกล่าวเป็นแค่กระบวนการสมานฉันท์จอมปลอมที่ใช้ปกปิดความจริง ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการสลายการชุมนุมคนเสื้อแดงอันอำมหิตในเดือนเมษายนและพฤษภาคมซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 90ราย ได้รับการปูนบำเหน็จ ในขณะที่จำนวนคนเสื้อแดงที่ถูกปฏิบัติอย่างไร้ความเป็นธรรมและถูกกักขังเพิ่มมากขึ้น
วันนี้ ดูเหมือนว่าความดิ้นรนพยายามสร้าง “กระบวนการปรองดองสมานฉันท์” ของนายอภิสิทธิ์ดูจะท่าจะไม่เป็นผล เพราะ ICG องค์กรนิรโทษกรรมสากล และ Human Rights Watch ได้ถอนตัวจากการมีส่วนร่วมกับกระบวนการสมานฉันท์จอมปลอมในศรีลังกา และได้ยังเผยแพร่แถลงการณ์ตักเตือนว่า
“ICG องค์การนิรโทษกรรมสากล และ Human Rights Watch ได้ปฏิเสธคำเชิญของคณะกรรมการเรียนรู้จากบทเรียนและสร้างความสมานฉันท์ปรองดอง (LLRC) แห่งศรีลังกา รัฐบาลศรีลังกาได้ตั้งคณะกรรมการดังกล่าวเพื่อเป็นเครื่องมือในการสร้างความสมานฉันท์และนำความยุติธรรมกลับคืนสู่ประเทศหลังจากสงครามการเมืองที่ยาวนานระหว่างรัฐบาลและกลุ่ม the Liberation Tigers of Tamil Eelam (LTTE) แต่กระนั้นคณะกรรมการล้มเหลวปฏิบัติตามมาตรฐานเบื้องต้น และยังทำลายโครงสร้างพื้นฐานและหลักการปฏิบัติ ”
สิ่งสำคัญคือคณะกรรมการไม่มีความจำเป็นที่จะต้องสอบสวนถึงข้อกล่าวหาอันน่าเชื่อถือหลายข้อที่มีต่อหน่วยความมั่นคงและกลุ่ม LTTE ว่าทั้งสองกลุ่มกระทำความผิดอาชญากรรมสงคราม กระบวนการพิจารณารับฟังที่มีขึ้นสองเดือนที่แล้วจนกระทั่งวันนี้ สมาชิกคณะกรรมการหลายคนที่ได้เกษียณอายุราชการไปแล้วไม่ได้พยายามจะตั้งคำถามถึงเหตุการณ์ความรุนแรงที่เล่าโดยฝ่ายรัฐบาล และยังปล่อยให้สมาชิกคณะกรรมการใหม่เข้าใจผิดถึงข้อเท็จจริงดังกล่าว
ความล้มเหลวนี้เกิดขึ้นจากการไม่มีกระบวนการคุ้มครองพยาน และความล้มเหลวที่ชัดเจนคือหากประชาชนคนไหนอ้างหรือยื่นหลักฐานการละเมิดกฎหมายมนุษยชนระหว่างประเทศก็จะถูกรัฐบาลประณามว่าเป็น “กบฏ” ”
สงครามกลางเมืองอันน่ากลัวอาจจะเลวร้ายกว่าที่เป็น เหมือนที่กำลังเกิดขึ้นในประเทศไทย แผนการปรองดองสมานฉันท์ของรัฐบาลศรีลังกาดูไม่ต่างจากแผนการปรองดองสมานฉันท์ของอภิสิทธิ์
ค่อนข้างจะแน่ชัดว่าเจ้าหน้าที่รัฐไทยกำลังเพิ่มภาระให้กับตนเองโดยการพยายามปกปิดความจริงและคุกคามระบอบประชาธิปไตย
และถึงเวลาแล้วที่เราจะร่วมกันประณามการกระทำของรัฐบาลไทย
ที่มา.Robert Amsterdam
“…. “แผนการ” ปรองดองสมานฉันท์แห่งชาติซึ่งเป็นข้อเสนอฝ่ายเดียวจากนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ไม่มีทางสัมฤทธิ์ผลหากฝ่ายตรงข้าม รวมถึงผู้นำที่ถูกขับไล่ลงจากตำแหน่งคนก่อนไม่มีส่วนร่วม การสอบสวนที่น่าเชื่อถือถึงเหตุการณ์ความรุนแรง การปฎิรูปกฎหมาย และการอภิปรายถึงความไม่เท่าเทียวไม่สามารถสมเร็จได้โดยปราศจากกลุ่มคนเสื้อแดงแนวร่วมทักษิณ สิ่งเหล่านี้ไม่มีทางเกิดขึ้นได้เลยหากแกนนำคนเสื้อแดงยังถูกกักขัง เพิกเฉย และหลบหนี ”
ICG ยังได้เผยแพร่ข้อแนะนำแนะนำ 16 ประการ เพื่อเป็นแนวทาง โดยข้อหนึ่งได้กล่าวอย่างชัดเจนว่ามีความจำเป็นที่ต้องให้ถอนกำลังทหารออกจากการดำเนินชีวิตของพลเรือนอย่างสิ้นเชิง คำแนะนำของ ICG ได้กล่าวถึงรัฐบาลไทยชุดปัจจุบันว่า
“ต้องมีการปฏิรูปเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ดูแลความปลอดภัยขั้นพื้นฐาน โดยมีการฝึกฝนเจ้าหน้าอย่างต่อเนื่อง และให้ค่าตอบแทนที่เหมาะสม ซึ่งจะทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจมีศักยภาพในการดูแลความปลอดภัยภายใน รวมถึงการควบคุมและดูแลผู้ชุมนุม โดยต้องมีการจำกัดหน้าที่ของกองทัพให้รับผิดชอบการปกป้องประเทศจากภายนอกเท่านั้น”
และเป็นที่แน่ชัดว่า นายกอภิสิทธิ์เพิกเฉยต่อคำแนะนำนี้ และทำให้หลายคนคิดว่าแผนการดังกล่าวเป็นแค่กระบวนการสมานฉันท์จอมปลอมที่ใช้ปกปิดความจริง ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการสลายการชุมนุมคนเสื้อแดงอันอำมหิตในเดือนเมษายนและพฤษภาคมซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 90ราย ได้รับการปูนบำเหน็จ ในขณะที่จำนวนคนเสื้อแดงที่ถูกปฏิบัติอย่างไร้ความเป็นธรรมและถูกกักขังเพิ่มมากขึ้น
วันนี้ ดูเหมือนว่าความดิ้นรนพยายามสร้าง “กระบวนการปรองดองสมานฉันท์” ของนายอภิสิทธิ์ดูจะท่าจะไม่เป็นผล เพราะ ICG องค์กรนิรโทษกรรมสากล และ Human Rights Watch ได้ถอนตัวจากการมีส่วนร่วมกับกระบวนการสมานฉันท์จอมปลอมในศรีลังกา และได้ยังเผยแพร่แถลงการณ์ตักเตือนว่า
“ICG องค์การนิรโทษกรรมสากล และ Human Rights Watch ได้ปฏิเสธคำเชิญของคณะกรรมการเรียนรู้จากบทเรียนและสร้างความสมานฉันท์ปรองดอง (LLRC) แห่งศรีลังกา รัฐบาลศรีลังกาได้ตั้งคณะกรรมการดังกล่าวเพื่อเป็นเครื่องมือในการสร้างความสมานฉันท์และนำความยุติธรรมกลับคืนสู่ประเทศหลังจากสงครามการเมืองที่ยาวนานระหว่างรัฐบาลและกลุ่ม the Liberation Tigers of Tamil Eelam (LTTE) แต่กระนั้นคณะกรรมการล้มเหลวปฏิบัติตามมาตรฐานเบื้องต้น และยังทำลายโครงสร้างพื้นฐานและหลักการปฏิบัติ ”
สิ่งสำคัญคือคณะกรรมการไม่มีความจำเป็นที่จะต้องสอบสวนถึงข้อกล่าวหาอันน่าเชื่อถือหลายข้อที่มีต่อหน่วยความมั่นคงและกลุ่ม LTTE ว่าทั้งสองกลุ่มกระทำความผิดอาชญากรรมสงคราม กระบวนการพิจารณารับฟังที่มีขึ้นสองเดือนที่แล้วจนกระทั่งวันนี้ สมาชิกคณะกรรมการหลายคนที่ได้เกษียณอายุราชการไปแล้วไม่ได้พยายามจะตั้งคำถามถึงเหตุการณ์ความรุนแรงที่เล่าโดยฝ่ายรัฐบาล และยังปล่อยให้สมาชิกคณะกรรมการใหม่เข้าใจผิดถึงข้อเท็จจริงดังกล่าว
ความล้มเหลวนี้เกิดขึ้นจากการไม่มีกระบวนการคุ้มครองพยาน และความล้มเหลวที่ชัดเจนคือหากประชาชนคนไหนอ้างหรือยื่นหลักฐานการละเมิดกฎหมายมนุษยชนระหว่างประเทศก็จะถูกรัฐบาลประณามว่าเป็น “กบฏ” ”
สงครามกลางเมืองอันน่ากลัวอาจจะเลวร้ายกว่าที่เป็น เหมือนที่กำลังเกิดขึ้นในประเทศไทย แผนการปรองดองสมานฉันท์ของรัฐบาลศรีลังกาดูไม่ต่างจากแผนการปรองดองสมานฉันท์ของอภิสิทธิ์
ค่อนข้างจะแน่ชัดว่าเจ้าหน้าที่รัฐไทยกำลังเพิ่มภาระให้กับตนเองโดยการพยายามปกปิดความจริงและคุกคามระบอบประชาธิปไตย
และถึงเวลาแล้วที่เราจะร่วมกันประณามการกระทำของรัฐบาลไทย
ที่มา.Robert Amsterdam
ทวงเงิน'สองพันล้าน'!สหายเก่าเขย่า'มาร์ค'ไม่จ่าย-ไม่จบ!ไฟจะลามทุ่ง
แม้นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จะเซ็นอนุมัติ "จ่ายเงินชดเชย" ช่วยเหลือเยียวยา "ผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย" (ผรท.) หรือ "อดีตสหาย" ทั่วประเทศไปแล้ว
แต่จวบจนถึงบัดนี้ "เงินสองพันล้าน" ที่รัฐบาลจะต้องจ่ายเข้า "บัญชี ผรท." กว่า 9 พันคน ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะได้รับเงินก้อนนั้นเสียที
ร้อนถึง ผรท.ภาคอีสานหลายกลุ่ม เริ่มขยับทวงถามสัญญาจากรัฐบาลอภิสิทธิ์!
หากไม่มีเงินไหลเข้าบัญชีธนาคาร ผรท.อีสาน ภายใน 15 ตุลาคมนี้ จะประสานกับ ผรท.ภาคเหนือ ภาคใต้ และภาคกลาง ยกพลเข้ามาที่หน้าทำเนียบแน่นอน
หลังจาก ผรท.เฝ้ารอคอยความช่วยเหลือตามเงื่อนไขการมอบตัว อันเนื่องมาจาก คำสั่ง 66/2523 หรือนโยบายการเมืองนำการทหาร ซึ่งเงื่อนไขการวางปืนเข้ามอบตัวของอดีตสหายมีอยู่หลายข้อ
ข้อหนึ่งคือ การดูแลชีวิตความเป็นอยู่ของพวกเขา จึงทำให้เกิดโครงการช่วยเหลือ ผรท.รุ่นแล้วรุ่นเล่าในหลายรัฐบาล ซึ่งรัฐบาลอภิสิทธิ์ ก็มีนโยบายช่วยเหลือ ผรท.อีก ทั้งที่เหตุการณ์มันผ่านมานานกว่า 30 ปีแล้ว
เนื่องจากมี ผรท.อีสานหลายกลุ่ม ได้เคลื่อนไหวเรียกร้องการช่วยเหลือตามพันธสัญญา 66/2523 ในช่วงต้นปี 2552
บังเอิญสถานการณ์ความเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดงในชนบท ได้เติบใหญ่ขยายตัว จนทำให้รัฐบาลอภิสิทธิ์หวั่นวิตกว่า อดีตสหายดาวแดง จะถูกดึงให้เข้าร่วมขบวนการคนเสื้อแดง
"อภิสิทธิ์" จึงลงนามในคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 190/52 ลงวันที่ 18 สิงหาคม 2552 ให้มีการแต่งตั้ง "คณะกรรมการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของ ผรท." โดยมี สุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯขณะนั้น เป็นประธาน
พ่วงด้วย กอ.รมน.ทั้ง 4 ภาค ร่วมเป็นกรรมการพิจารณาตรวจสอบคุณสมบัติ ผรท. ใช้เวลาเกือบปี พบว่า
มี ผรท.เกือบหมื่นคนทั่วประเทศ ที่อยู่ในเงื่อนไขที่รัฐบาลต้องให้ความช่วยเหลือ
โดยรัฐบาลมีกรอบแนวทางการให้ความช่วยเหลือ ผรท. เป็นรายครอบครัวคือ รัฐให้ที่ดิน 5 ไร่ และวัว 5 ตัว แต่จะจ่ายเป็นเงินสดแทนที่ดินและวัว
คณะกรรมการชุดดังกล่าว ประเมินราคาที่ดินไร่ละ 35,000 บาท และวัวตัวละ 10,000 บาท รวมแล้วรัฐจ่ายเงินให้ ผรท. ครอบครัวละ 225,000 บาท
มาถึงวันนี้ ยอดตัวเลข ผรท.ที่สมควรได้รับเงินรับจากรัฐบาลอภิสิทธิ์ แยกเป็นรายภาคมีดังนี้
กองทัพภาคที่ 1 จำนวน 316 คน รวม 71 ล้านบาท
กองทัพภาคที่ 2 จำนวน 5,802 คน รวม 1,300 ล้านบาท
กองทัพภาคที่ 3 จำนวน 1,529 คน รวม 344 ล้านบาท
กองทัพภาคที่ 4 จำนวน 1,532 คน รวม 345 ล้านบาท
เบ็ดเสร็จที่รัฐบาลต้องจ่ายเงินเยียวยาแก่ ผรท. จำนวน 9,181 คน ประมาณ 2,000 ล้านบาท
นี่เป็นอีกบทหนึ่งของความปรองดองแห่งชาติ อันเป็นมรดกตกค้างมาจากรัฐบาลเปรม!
หลังจบยุทธการแดงป่วนเมือง ราวกลางเดือนมิถุนายนศกนี้ นายกฯอภิสิทธิ์ ก็เซ็นอนุมัติความช่วยเหลือ ผรท. โดยมอบให้สำนักงบประมาณ ไปจัดสรรงบฯมาจ่ายชดเชยให้อดีตสหายทันที
เนื่องจากในช่วงการชุมนุมใหญ่แดงทั้งแผ่นดิน บรรดา ผรท.ที่มีรายชื่อจะได้รับการช่วยเหลือ ต่างสงบนิ่ง ไม่ร่วมเคลื่อนไหวกับฝ่ายใด
ซึ่ง กอ.รมน.ภาคต่างๆ คอยสอดส่องพฤติกรรมอย่างใกล้ชิด และแกนนำ ผรท.บางพื้นที่ ออกลูกขู่สมาชิกว่า "ใครไปร่วมพวกแดง จะตัดรายชื่อ"
สรุปว่า ตลอดการชุมนุมใหญ่ที่ราชดำเนิน และราชประสงค์ ผรท.เกือบหมื่นคน ต่างให้ความร่วมมือกับรัฐบาล โดยไม่แตกแถวมาร่วมชุมนุมที่กรุงเทพฯ
ยกเว้นกลุ่ม ผรท.ที่ได้รับความช่วยเหลือไปบางส่วนก่อนหน้านี้ ที่เข้าร่วมขบวนการคนเสื้อแดง
อย่างไรก็ตาม จนถึงบัดนี้ การดำเนินการจ่ายเงินยังทำไม่ได้ ซึ่ง กอ.รมน.บอกว่า ได้มีการร้องเรียนเรื่อง "สหายตัวปลอม" ในหลายจังหวัดภาคอีสาน
กรณีการแอบอ้างนำคนที่ไม่เคยเข้าป่า และยัดไส้ว่าเป็นสหายคอมมิวนิสต์ ซึ่งมีการกระทำกันอย่างเป็นขบวนการ โดยความร่วมมือของเจ้าหน้าที่รัฐบางจังหวัด กับ "ผรท." บางคนที่ตั้งตัวเป็น "แกนนำ" ในแต่ละท้องถิ่น
ด้วยเหตุนี้ คณะกรรมการช่วยเหลือ ผรท. และ กอ.รมน.ทุกภาค จึงเรียกประชุมกันเมื่อวันที่ 24 สิงหาคม เพื่อหาทางแก้ไขปัญหาสหายตัวปลอม
มีความเห็นในเบื้องต้นว่า ให้ กอ.รมน.จังหวัด และฝ่ายปกครองลงไปตรวจสอบคำร้องของ ผรท.ที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม? และทำเรื่องสรุปขึ้นมาภายในเดือนกันยายนศกนี้
เมื่อผ่านกระบวนตรวจสอบสหายตัวปลอม รัฐบาลอภิสิทธิ์ ก็จะจ่ายเงิน 2 แสนกว่าบาท ให้ ผรท.ในแต่ละภาค และย่างเข้ากลางเดือนตุลาคม ก็ยังไม่มีข่าวว่าจะโอนเงินเข้าบัญชีได้เมื่อใด?
รายงานข่าวแจ้ง สำนักงบประมาณได้แจ้งให้นายกฯ อภิสิทธิ์ ทราบว่า งบฯกลางไม่มีแล้ว คงต้องรองบฯใหม่ ซึ่งฝ่ายการเมืองก็อยากจะจ่ายเงินให้เร็วที่สุด เพราะตกปากรับคำกับกลุ่ม ผรท.ไว้แล้ว
อีกด้านหนึ่ง สำนักงบประมาณพยายามอ้างหลักเกณฑ์การชดเชยผู้ที่ได้รับความเดือดร้อน ซึ่ง ผรท.พวกนี้ มิได้อยู่ในระเบียบการจ่ายเงิน แต่ฝ่ายการเมืองก็มองอีกมุมหนึ่ง
ที่สำคัญ รัฐบาลสุรยุทธ์ เคยจ่ายช่วยเหลือ ผรท.แบบนี้มาก่อน โดยครั้งนั้นจ่ายไป 70 ล้านบาท แต่ครั้งนี้ตัวเลขสูงถึง 2 พันล้านบาท
"อภิสิทธิ์" ก็ประเมินว่า ยอดรวมเงินชดเชยอาจสูง แต่ครั้งนี้จะจ่ายเป็นครั้งสุดท้าย จึงสั่งการให้ กอ.รมน.แต่ละภาคได้คัดกรองมาให้หมด อย่ามีตกหล่นอีก
ถึงเวลานี้ รัฐบาลคงไม่มีทางเลือกมากนัก เพราะโครงการช่วยเหลืออดีตสหายมาไกลเกินกว่าจะกลับไปนับหนึ่งใหม่
หาก "ล้มโต๊ะ" รัฐบาลก็ดูจะประมาท "อดีตนักรบดาวแดง" ซึ่งในสถานการณ์ "เกมใต้ดิน" ระอุคุกรุ่น.. ประกายไฟเล็กๆ อาจลามทุ่งได้ทุกเวลา!
ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
แต่จวบจนถึงบัดนี้ "เงินสองพันล้าน" ที่รัฐบาลจะต้องจ่ายเข้า "บัญชี ผรท." กว่า 9 พันคน ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะได้รับเงินก้อนนั้นเสียที
ร้อนถึง ผรท.ภาคอีสานหลายกลุ่ม เริ่มขยับทวงถามสัญญาจากรัฐบาลอภิสิทธิ์!
หากไม่มีเงินไหลเข้าบัญชีธนาคาร ผรท.อีสาน ภายใน 15 ตุลาคมนี้ จะประสานกับ ผรท.ภาคเหนือ ภาคใต้ และภาคกลาง ยกพลเข้ามาที่หน้าทำเนียบแน่นอน
หลังจาก ผรท.เฝ้ารอคอยความช่วยเหลือตามเงื่อนไขการมอบตัว อันเนื่องมาจาก คำสั่ง 66/2523 หรือนโยบายการเมืองนำการทหาร ซึ่งเงื่อนไขการวางปืนเข้ามอบตัวของอดีตสหายมีอยู่หลายข้อ
ข้อหนึ่งคือ การดูแลชีวิตความเป็นอยู่ของพวกเขา จึงทำให้เกิดโครงการช่วยเหลือ ผรท.รุ่นแล้วรุ่นเล่าในหลายรัฐบาล ซึ่งรัฐบาลอภิสิทธิ์ ก็มีนโยบายช่วยเหลือ ผรท.อีก ทั้งที่เหตุการณ์มันผ่านมานานกว่า 30 ปีแล้ว
เนื่องจากมี ผรท.อีสานหลายกลุ่ม ได้เคลื่อนไหวเรียกร้องการช่วยเหลือตามพันธสัญญา 66/2523 ในช่วงต้นปี 2552
บังเอิญสถานการณ์ความเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดงในชนบท ได้เติบใหญ่ขยายตัว จนทำให้รัฐบาลอภิสิทธิ์หวั่นวิตกว่า อดีตสหายดาวแดง จะถูกดึงให้เข้าร่วมขบวนการคนเสื้อแดง
"อภิสิทธิ์" จึงลงนามในคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 190/52 ลงวันที่ 18 สิงหาคม 2552 ให้มีการแต่งตั้ง "คณะกรรมการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของ ผรท." โดยมี สุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯขณะนั้น เป็นประธาน
พ่วงด้วย กอ.รมน.ทั้ง 4 ภาค ร่วมเป็นกรรมการพิจารณาตรวจสอบคุณสมบัติ ผรท. ใช้เวลาเกือบปี พบว่า
มี ผรท.เกือบหมื่นคนทั่วประเทศ ที่อยู่ในเงื่อนไขที่รัฐบาลต้องให้ความช่วยเหลือ
โดยรัฐบาลมีกรอบแนวทางการให้ความช่วยเหลือ ผรท. เป็นรายครอบครัวคือ รัฐให้ที่ดิน 5 ไร่ และวัว 5 ตัว แต่จะจ่ายเป็นเงินสดแทนที่ดินและวัว
คณะกรรมการชุดดังกล่าว ประเมินราคาที่ดินไร่ละ 35,000 บาท และวัวตัวละ 10,000 บาท รวมแล้วรัฐจ่ายเงินให้ ผรท. ครอบครัวละ 225,000 บาท
มาถึงวันนี้ ยอดตัวเลข ผรท.ที่สมควรได้รับเงินรับจากรัฐบาลอภิสิทธิ์ แยกเป็นรายภาคมีดังนี้
กองทัพภาคที่ 1 จำนวน 316 คน รวม 71 ล้านบาท
กองทัพภาคที่ 2 จำนวน 5,802 คน รวม 1,300 ล้านบาท
กองทัพภาคที่ 3 จำนวน 1,529 คน รวม 344 ล้านบาท
กองทัพภาคที่ 4 จำนวน 1,532 คน รวม 345 ล้านบาท
เบ็ดเสร็จที่รัฐบาลต้องจ่ายเงินเยียวยาแก่ ผรท. จำนวน 9,181 คน ประมาณ 2,000 ล้านบาท
นี่เป็นอีกบทหนึ่งของความปรองดองแห่งชาติ อันเป็นมรดกตกค้างมาจากรัฐบาลเปรม!
หลังจบยุทธการแดงป่วนเมือง ราวกลางเดือนมิถุนายนศกนี้ นายกฯอภิสิทธิ์ ก็เซ็นอนุมัติความช่วยเหลือ ผรท. โดยมอบให้สำนักงบประมาณ ไปจัดสรรงบฯมาจ่ายชดเชยให้อดีตสหายทันที
เนื่องจากในช่วงการชุมนุมใหญ่แดงทั้งแผ่นดิน บรรดา ผรท.ที่มีรายชื่อจะได้รับการช่วยเหลือ ต่างสงบนิ่ง ไม่ร่วมเคลื่อนไหวกับฝ่ายใด
ซึ่ง กอ.รมน.ภาคต่างๆ คอยสอดส่องพฤติกรรมอย่างใกล้ชิด และแกนนำ ผรท.บางพื้นที่ ออกลูกขู่สมาชิกว่า "ใครไปร่วมพวกแดง จะตัดรายชื่อ"
สรุปว่า ตลอดการชุมนุมใหญ่ที่ราชดำเนิน และราชประสงค์ ผรท.เกือบหมื่นคน ต่างให้ความร่วมมือกับรัฐบาล โดยไม่แตกแถวมาร่วมชุมนุมที่กรุงเทพฯ
ยกเว้นกลุ่ม ผรท.ที่ได้รับความช่วยเหลือไปบางส่วนก่อนหน้านี้ ที่เข้าร่วมขบวนการคนเสื้อแดง
อย่างไรก็ตาม จนถึงบัดนี้ การดำเนินการจ่ายเงินยังทำไม่ได้ ซึ่ง กอ.รมน.บอกว่า ได้มีการร้องเรียนเรื่อง "สหายตัวปลอม" ในหลายจังหวัดภาคอีสาน
กรณีการแอบอ้างนำคนที่ไม่เคยเข้าป่า และยัดไส้ว่าเป็นสหายคอมมิวนิสต์ ซึ่งมีการกระทำกันอย่างเป็นขบวนการ โดยความร่วมมือของเจ้าหน้าที่รัฐบางจังหวัด กับ "ผรท." บางคนที่ตั้งตัวเป็น "แกนนำ" ในแต่ละท้องถิ่น
ด้วยเหตุนี้ คณะกรรมการช่วยเหลือ ผรท. และ กอ.รมน.ทุกภาค จึงเรียกประชุมกันเมื่อวันที่ 24 สิงหาคม เพื่อหาทางแก้ไขปัญหาสหายตัวปลอม
มีความเห็นในเบื้องต้นว่า ให้ กอ.รมน.จังหวัด และฝ่ายปกครองลงไปตรวจสอบคำร้องของ ผรท.ที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม? และทำเรื่องสรุปขึ้นมาภายในเดือนกันยายนศกนี้
เมื่อผ่านกระบวนตรวจสอบสหายตัวปลอม รัฐบาลอภิสิทธิ์ ก็จะจ่ายเงิน 2 แสนกว่าบาท ให้ ผรท.ในแต่ละภาค และย่างเข้ากลางเดือนตุลาคม ก็ยังไม่มีข่าวว่าจะโอนเงินเข้าบัญชีได้เมื่อใด?
รายงานข่าวแจ้ง สำนักงบประมาณได้แจ้งให้นายกฯ อภิสิทธิ์ ทราบว่า งบฯกลางไม่มีแล้ว คงต้องรองบฯใหม่ ซึ่งฝ่ายการเมืองก็อยากจะจ่ายเงินให้เร็วที่สุด เพราะตกปากรับคำกับกลุ่ม ผรท.ไว้แล้ว
อีกด้านหนึ่ง สำนักงบประมาณพยายามอ้างหลักเกณฑ์การชดเชยผู้ที่ได้รับความเดือดร้อน ซึ่ง ผรท.พวกนี้ มิได้อยู่ในระเบียบการจ่ายเงิน แต่ฝ่ายการเมืองก็มองอีกมุมหนึ่ง
ที่สำคัญ รัฐบาลสุรยุทธ์ เคยจ่ายช่วยเหลือ ผรท.แบบนี้มาก่อน โดยครั้งนั้นจ่ายไป 70 ล้านบาท แต่ครั้งนี้ตัวเลขสูงถึง 2 พันล้านบาท
"อภิสิทธิ์" ก็ประเมินว่า ยอดรวมเงินชดเชยอาจสูง แต่ครั้งนี้จะจ่ายเป็นครั้งสุดท้าย จึงสั่งการให้ กอ.รมน.แต่ละภาคได้คัดกรองมาให้หมด อย่ามีตกหล่นอีก
ถึงเวลานี้ รัฐบาลคงไม่มีทางเลือกมากนัก เพราะโครงการช่วยเหลืออดีตสหายมาไกลเกินกว่าจะกลับไปนับหนึ่งใหม่
หาก "ล้มโต๊ะ" รัฐบาลก็ดูจะประมาท "อดีตนักรบดาวแดง" ซึ่งในสถานการณ์ "เกมใต้ดิน" ระอุคุกรุ่น.. ประกายไฟเล็กๆ อาจลามทุ่งได้ทุกเวลา!
ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
วันพฤหัสบดีที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2553
ถนนประชาธิปไตยไทย หลุมบ่อ+สิงห์สาราสัตว์
37 ปี... เหตุการณ์เลือด “14 ตุลา”
นับย้อนหลังไปเมื่อ 37 ปีที่แล้ว วันนี้ในอดีตคือวันที่ 14 ตุลาคม 2516 เป็นวันแห่งการต่อสู้เพื่อเรียกร้องซึ่งประชาธิปไตยที่แท้จริง จากรัฐบาลทหารที่ถูกมองว่าเป็นรัฐบาลเผด็จการในขณะนั้น
พลังนักศึกษาซึ่งเป็นแกนนำ ได้รับชัยชนะ แต่ก็ต้องแลกมาด้วยความบอบช้ำของพลังนักศึกษาพอสมควร
แต่นั่นก็คือ สัจจธรรมที่แท้จริงบนถนนประชาธิปไตย
การจะได้มาซึ่งประชาธิปไตยที่แท้จริง เป็นเรื่องยากที่จะให้ผู้กุมอำนาจทางการเมือง นักการเมืองที่ครองอำนาจ หรือแม้แต่กระทั่งเหล่านายทหารที่ร่วมอำนาจกับนักการเมืองทั้งหลายนั้น ไม่มีทางที่จะปล่อยอำนาจในมือโดยง่าย
ไม่ว่ายุคใดสมัยใด
การเรียกร้องประชาธิปไตยทั่วโลก จึงต้องอาศัยพลังของนิสิต นักศึกษา และประชาชนร่วมมือกัน
14 ตุลาคม 2516 เรื่อยมาจนกระทั่ง 6 ตุลาคม 2519 แม้ดูเหมือนว่าประเทศไทยจะเดินเข้าสู่ระบอบประชาธิปไตย แต่นักการเมือง และขั้วอำนาจทหารยังไม่เคยยอมแพ้ ไม่เคยศิโรราบอย่างแท้จริง
ดังนั้นแม้ว่าเดือนตุลาคม จะถูกมองว่าเป็นเดือนแห่งการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองของไทย
เป็นเดือนที่สร้างนักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย ที่เรียกว่า “คนเดือนตุลา”
แต่ในความเป็นจริงกลไกของอำนาจทางการเมืองยังคงวนเวียนอยู่กับกลุ่มผลประโยชน์
37 ปี ไม่เคยเปลี่ยนแปลง เพียงแต่เวียนเปลี่ยนกลุ่มอำนาจ เป็นสมบัติที่ผลัดกันชมแค่นั้น
ประเทศไทยไม่เคยห่างหายจากการปฏิวัติรัฐประหาร โดยคณะนายทหาร วนเวียนซ้ำซาก
ในขณะที่วิญญาณเสรีประชาธิปไตยที่แท้จริงก็พยายามที่จะต่อสู้กับเผด็จการทหารและกลไกของกลุ่มอำนาจการเมือง
ไม่เช่นนั้นคงไม่เกิดเหตุการณ์พฤษภาทมิฬปี 2535 ขึ้นมา
รวมทั้งคงไม่เกิดเหตุการณ์ 10 เมษายน และเหตุการณ์ พฤษภาอำมหิต 2553 ขึ้นมาด้วยเช่นกัน
ซ้ำยังเป็นความรุนแรงที่ปรากฏภาพออกไปทั่วโลก ผ่านสำนักข่าวต่างประเทศ ที่รายงานถึงการเสียชีวิตของประชาชน 90 คน บาดเจ็บกว่า 2,000 คน หายสาบสูญอีกจำนวนหนึ่ง
ซึ่งทำให้เหตุการณ์ 14 ตุลาคม หรือ 6 ตุลาคม ในอดีต แทบจะกลายเป็นเรื่องเล็กไปเลย
เพราะจนวันนี้ทุกอย่างยังเป็นปริศนาที่ดำมืด คดีไม่มีความคืบหน้าว่า ใครหรือกลุ่มใดเป็นคนฆ่าประชาชน ... ใครเป็นคนบงการ ... ใครเป็นคนสั่งฆ่า
แม้แต่กระทั่งคณะกรรมการชุดสะสางเรื่องราวของนายคณิต ณ นคร ที่รัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ตั้งขึ้นมา จนขณะนี้ก็ยังไม่มีรายงานความคืบหน้าแต่อย่างใด
หรือคณะกรรมการชุดของ นายแพทย์ประเวศ วะสี ล่าสุดก็ยังต้องออกมายอมรับว่า เข้ามาทำหน้าที่ได้เพียงวางแนวทางในการปฏิรูปประเทศเท่านั้น
แต่ไม่ได้เข้ามาเพื่อแก้ปัญหาของประเทศ
ยอมรับกันตรงๆ เลยว่า ทำได้เพียแค่นั้นจริงๆ
ซึ่งก็คงไม่ผิดไปจากความคาดหมายของบรรดานักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยทั้งหลายเท่าใดนัก เพราะรู้อยู่แล้วว่า กลไกอำนาจในขณะนี้ ยังคงถูกกุมชะตาอยู่โดยกลุ่มขั้วอำนาจหลายกลุ่ม
ในขณะที่นักการเมืองที่มักกล่าวอ้างว่ามาจากการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตย ก็ยังคงแตกแยก แบ่งขั้ว และเออออกับกลุ่มขั้วอำนาจต่างๆ ทำให้กลไกในการทำลายล้างนักการเมืองยังคงเดินหน้าไปได้เรื่อยๆ
และทำให้ประเทศไทยในสายตาของสังคมโลกกลายเป็นเรื่องตลก
จนถึงวันนี้ ประชาธิปไตยของประเทศไทยยังคงลุ่มๆ ดอนๆ
ใครจะเชื่อว่า กรุงเทพมหานครและปริมณฑล ในปี 2553 ห่างจากปี 2516 ถึง 37 ปี แต่วันนี้ ยังมีการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ยังมีหน่วยงาน ศอฉ. คอยกำชับตรวจตราแม้ว่าจะไม่มีการประกาศเคอร์ฟิวส์เหมือนในอดีต แต่ก็ไม่ได้ต่างกันที่ตรงไหนเลย
เสียงสะท้อนประชาธิปไตย ยังถูกกระบวนการตรวจสอบของกลไกอำนาจต่างๆ พยายามจำกัดขอบเขตอย่างเห็นได้ชัดเจน
ล่าสุดเมื่อวันที่ 13 ตุลาคม ศูนย์ศึกษานโยบายสื่อ คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกับ คณะกรรมการรณรงค์เพื่อการปฏิรูปสื่อ(คปส.) ได้มีการจัดงานสัมมนาเรื่อง “กฎหมายกับสื่อทางเลือกภายใต้สถานการณ์ทางการเมือง : จากเว็บไซต์ประชาไทถึงวิทยุชุมชนแปลงยาว”
น.ส.จีรนุช เปรมชัยพร ผู้อำนวยการเว็บไซต์ประชาไท พูดถึงปัญหาในฐานะสื่อที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากพ.ร.ก.ฉุกเฉิน ปิดเว็บไซต์ประชาไท และการถูกจับกุมเมื่อวันที่ 24 กันยายน หลังจากเดินทางกลับจากต่างประเทศเป็นเหตุที่ไม่คาดฝัน จนถึงวันนี้ทุกครั้งที่เดินทางออกนอกประเทศแล้วกลับเข้ามาประเทศที่เราคิดว่ากลับบ้านเกิด ความระทึกขวัญล่าสุดที่เดินทางกลับจากต่างประเทศรู้สึกกังวลที่ต้องระแวดระวัง แต่ประสบการณ์ถูกจับกุมที่สนามบินเป็นประสบการล้ำค่า เพียงเพราะมีคนโพสต์ข้อความในเว็บไซต์ประชาไทเมื่อ 2 ปีที่แล้วมีคนไปร้องทุกข์กล่าวโทษไว้ที่ สภอ.ข่อนแก่น มีหมายจับเมื่อหนึ่งปีที่ผ่านมา และถูกจับกุมหลังเหตุการณ์เกิดไปแล้ว 2 ปี
ทั้งๆ ที่บทสัมภาษณ์ที่ประชาไทลงเผยแพร่ไม่มีปัญหา แต่มีปัญหาเรื่องคนโพสต์ข้อความ ซึ่งกฎหมายระบุต้องดำเนินคดีกับตัวการไม่ใช่ตัวกลาง !!!
“ส่วนตัวคิดว่ามันมีกฎหมายที่มีลักษณะการบังคับใช้ออกมาในลักษณะควบคุมปราบปรามมากกว่าแต่ที่บังคับใช้เพื่อการคุ้มครองไม่ค่อยได้ผล ซึ่งเว็บไซต์ประชาไทยึดมั่นและทำหน้าที่คือ ยึดมั่นในการทำหน้าที่อิสระไม่ได้มีนักการเมืองแอบแฝง เรื่องความเป็นกลางเรื่องความรอบด้านคิดว่าเป็นมหากาพย์เรื่องยาวของสื่อ เมื่อเวลาผ่านไปมาพูดถึงความเป็นกลางไม่สามารถวัดได้ เพราะเรายังไม่รู้ว่าปลายแต่ละด้านอยู่ตรงไหน เพราะสังคมยังไม่มีเส้นตรงกลาง” น.ส.จีรนุช กล่าว
ไม่น่าเชื่อว่านี่คือชะตากรรมของสื่อในปี พ.ศ.2553 ที่ดูไปแล้วยังแทบไม่ต่างจากในอดีต
การช่วงชิงอำนาจทางการเมืองของกลุ่มผลประโยชน์ และขั้วอำนาจยังคงวนเวียนอยู่ในสังคมไทย ดัง
นั้น หากจะบอกว่า เดือนตุลาอาถรรพ์
ก็อย่าโทษอาถรรพ์อะไรเลย โทษขั้วอำนาจที่ยังคงเน่าสนิทมา 37 ปี ไม่เปลี่ยนแปลงจะดีกว่า
ที่มา.บางกอกทูเดย์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
นับย้อนหลังไปเมื่อ 37 ปีที่แล้ว วันนี้ในอดีตคือวันที่ 14 ตุลาคม 2516 เป็นวันแห่งการต่อสู้เพื่อเรียกร้องซึ่งประชาธิปไตยที่แท้จริง จากรัฐบาลทหารที่ถูกมองว่าเป็นรัฐบาลเผด็จการในขณะนั้น
พลังนักศึกษาซึ่งเป็นแกนนำ ได้รับชัยชนะ แต่ก็ต้องแลกมาด้วยความบอบช้ำของพลังนักศึกษาพอสมควร
แต่นั่นก็คือ สัจจธรรมที่แท้จริงบนถนนประชาธิปไตย
การจะได้มาซึ่งประชาธิปไตยที่แท้จริง เป็นเรื่องยากที่จะให้ผู้กุมอำนาจทางการเมือง นักการเมืองที่ครองอำนาจ หรือแม้แต่กระทั่งเหล่านายทหารที่ร่วมอำนาจกับนักการเมืองทั้งหลายนั้น ไม่มีทางที่จะปล่อยอำนาจในมือโดยง่าย
ไม่ว่ายุคใดสมัยใด
การเรียกร้องประชาธิปไตยทั่วโลก จึงต้องอาศัยพลังของนิสิต นักศึกษา และประชาชนร่วมมือกัน
14 ตุลาคม 2516 เรื่อยมาจนกระทั่ง 6 ตุลาคม 2519 แม้ดูเหมือนว่าประเทศไทยจะเดินเข้าสู่ระบอบประชาธิปไตย แต่นักการเมือง และขั้วอำนาจทหารยังไม่เคยยอมแพ้ ไม่เคยศิโรราบอย่างแท้จริง
ดังนั้นแม้ว่าเดือนตุลาคม จะถูกมองว่าเป็นเดือนแห่งการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองของไทย
เป็นเดือนที่สร้างนักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย ที่เรียกว่า “คนเดือนตุลา”
แต่ในความเป็นจริงกลไกของอำนาจทางการเมืองยังคงวนเวียนอยู่กับกลุ่มผลประโยชน์
37 ปี ไม่เคยเปลี่ยนแปลง เพียงแต่เวียนเปลี่ยนกลุ่มอำนาจ เป็นสมบัติที่ผลัดกันชมแค่นั้น
ประเทศไทยไม่เคยห่างหายจากการปฏิวัติรัฐประหาร โดยคณะนายทหาร วนเวียนซ้ำซาก
ในขณะที่วิญญาณเสรีประชาธิปไตยที่แท้จริงก็พยายามที่จะต่อสู้กับเผด็จการทหารและกลไกของกลุ่มอำนาจการเมือง
ไม่เช่นนั้นคงไม่เกิดเหตุการณ์พฤษภาทมิฬปี 2535 ขึ้นมา
รวมทั้งคงไม่เกิดเหตุการณ์ 10 เมษายน และเหตุการณ์ พฤษภาอำมหิต 2553 ขึ้นมาด้วยเช่นกัน
ซ้ำยังเป็นความรุนแรงที่ปรากฏภาพออกไปทั่วโลก ผ่านสำนักข่าวต่างประเทศ ที่รายงานถึงการเสียชีวิตของประชาชน 90 คน บาดเจ็บกว่า 2,000 คน หายสาบสูญอีกจำนวนหนึ่ง
ซึ่งทำให้เหตุการณ์ 14 ตุลาคม หรือ 6 ตุลาคม ในอดีต แทบจะกลายเป็นเรื่องเล็กไปเลย
เพราะจนวันนี้ทุกอย่างยังเป็นปริศนาที่ดำมืด คดีไม่มีความคืบหน้าว่า ใครหรือกลุ่มใดเป็นคนฆ่าประชาชน ... ใครเป็นคนบงการ ... ใครเป็นคนสั่งฆ่า
แม้แต่กระทั่งคณะกรรมการชุดสะสางเรื่องราวของนายคณิต ณ นคร ที่รัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ตั้งขึ้นมา จนขณะนี้ก็ยังไม่มีรายงานความคืบหน้าแต่อย่างใด
หรือคณะกรรมการชุดของ นายแพทย์ประเวศ วะสี ล่าสุดก็ยังต้องออกมายอมรับว่า เข้ามาทำหน้าที่ได้เพียงวางแนวทางในการปฏิรูปประเทศเท่านั้น
แต่ไม่ได้เข้ามาเพื่อแก้ปัญหาของประเทศ
ยอมรับกันตรงๆ เลยว่า ทำได้เพียแค่นั้นจริงๆ
ซึ่งก็คงไม่ผิดไปจากความคาดหมายของบรรดานักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยทั้งหลายเท่าใดนัก เพราะรู้อยู่แล้วว่า กลไกอำนาจในขณะนี้ ยังคงถูกกุมชะตาอยู่โดยกลุ่มขั้วอำนาจหลายกลุ่ม
ในขณะที่นักการเมืองที่มักกล่าวอ้างว่ามาจากการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตย ก็ยังคงแตกแยก แบ่งขั้ว และเออออกับกลุ่มขั้วอำนาจต่างๆ ทำให้กลไกในการทำลายล้างนักการเมืองยังคงเดินหน้าไปได้เรื่อยๆ
และทำให้ประเทศไทยในสายตาของสังคมโลกกลายเป็นเรื่องตลก
จนถึงวันนี้ ประชาธิปไตยของประเทศไทยยังคงลุ่มๆ ดอนๆ
ใครจะเชื่อว่า กรุงเทพมหานครและปริมณฑล ในปี 2553 ห่างจากปี 2516 ถึง 37 ปี แต่วันนี้ ยังมีการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ยังมีหน่วยงาน ศอฉ. คอยกำชับตรวจตราแม้ว่าจะไม่มีการประกาศเคอร์ฟิวส์เหมือนในอดีต แต่ก็ไม่ได้ต่างกันที่ตรงไหนเลย
เสียงสะท้อนประชาธิปไตย ยังถูกกระบวนการตรวจสอบของกลไกอำนาจต่างๆ พยายามจำกัดขอบเขตอย่างเห็นได้ชัดเจน
ล่าสุดเมื่อวันที่ 13 ตุลาคม ศูนย์ศึกษานโยบายสื่อ คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกับ คณะกรรมการรณรงค์เพื่อการปฏิรูปสื่อ(คปส.) ได้มีการจัดงานสัมมนาเรื่อง “กฎหมายกับสื่อทางเลือกภายใต้สถานการณ์ทางการเมือง : จากเว็บไซต์ประชาไทถึงวิทยุชุมชนแปลงยาว”
น.ส.จีรนุช เปรมชัยพร ผู้อำนวยการเว็บไซต์ประชาไท พูดถึงปัญหาในฐานะสื่อที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากพ.ร.ก.ฉุกเฉิน ปิดเว็บไซต์ประชาไท และการถูกจับกุมเมื่อวันที่ 24 กันยายน หลังจากเดินทางกลับจากต่างประเทศเป็นเหตุที่ไม่คาดฝัน จนถึงวันนี้ทุกครั้งที่เดินทางออกนอกประเทศแล้วกลับเข้ามาประเทศที่เราคิดว่ากลับบ้านเกิด ความระทึกขวัญล่าสุดที่เดินทางกลับจากต่างประเทศรู้สึกกังวลที่ต้องระแวดระวัง แต่ประสบการณ์ถูกจับกุมที่สนามบินเป็นประสบการล้ำค่า เพียงเพราะมีคนโพสต์ข้อความในเว็บไซต์ประชาไทเมื่อ 2 ปีที่แล้วมีคนไปร้องทุกข์กล่าวโทษไว้ที่ สภอ.ข่อนแก่น มีหมายจับเมื่อหนึ่งปีที่ผ่านมา และถูกจับกุมหลังเหตุการณ์เกิดไปแล้ว 2 ปี
ทั้งๆ ที่บทสัมภาษณ์ที่ประชาไทลงเผยแพร่ไม่มีปัญหา แต่มีปัญหาเรื่องคนโพสต์ข้อความ ซึ่งกฎหมายระบุต้องดำเนินคดีกับตัวการไม่ใช่ตัวกลาง !!!
“ส่วนตัวคิดว่ามันมีกฎหมายที่มีลักษณะการบังคับใช้ออกมาในลักษณะควบคุมปราบปรามมากกว่าแต่ที่บังคับใช้เพื่อการคุ้มครองไม่ค่อยได้ผล ซึ่งเว็บไซต์ประชาไทยึดมั่นและทำหน้าที่คือ ยึดมั่นในการทำหน้าที่อิสระไม่ได้มีนักการเมืองแอบแฝง เรื่องความเป็นกลางเรื่องความรอบด้านคิดว่าเป็นมหากาพย์เรื่องยาวของสื่อ เมื่อเวลาผ่านไปมาพูดถึงความเป็นกลางไม่สามารถวัดได้ เพราะเรายังไม่รู้ว่าปลายแต่ละด้านอยู่ตรงไหน เพราะสังคมยังไม่มีเส้นตรงกลาง” น.ส.จีรนุช กล่าว
ไม่น่าเชื่อว่านี่คือชะตากรรมของสื่อในปี พ.ศ.2553 ที่ดูไปแล้วยังแทบไม่ต่างจากในอดีต
การช่วงชิงอำนาจทางการเมืองของกลุ่มผลประโยชน์ และขั้วอำนาจยังคงวนเวียนอยู่ในสังคมไทย ดัง
นั้น หากจะบอกว่า เดือนตุลาอาถรรพ์
ก็อย่าโทษอาถรรพ์อะไรเลย โทษขั้วอำนาจที่ยังคงเน่าสนิทมา 37 ปี ไม่เปลี่ยนแปลงจะดีกว่า
ที่มา.บางกอกทูเดย์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
หมายเหตุเดือนตุลาฯ
บทเรียนความรุนแรง..อำนาจรัฐ!
วันเวลาเวียนมาบรรจบห้วงตุลาฯเดือนแห่งหน้าประวัติศาสตร์การเมืองไทยประชาชน ประชาธิปไตย เผด็จการ ความรุนแรงและอำนาจรัฐถูกบรรยายผ่านภาพเหตุการณ์เดือนตุลาคมไว้ได้อย่างน่าครุ่นคิดนัก
ขอลำดับเรียบเรียงวันเวลาผ่านมุมมองของ “ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์” นักวิชาการด้านรัฐศาสตร์ ที่ได้นำเสนอไว้ในงาน 34 ปี 6 ตุลาฯ เมื่อไม่นานมานี้ “ความรุนแรงและอำนาจรัฐ” นั่นคือหัวข้อที่ ถูกนำมาถ่ายทอดโดยการวิพากษ์อย่างวิพากษ์ไว้ได้อย่างแหลมคมยิ่ง
นิยามความรุนแรง
“โดยพื้นฐานแล้วเรามักเข้าใจว่าความรุนแรง คือการทำร้ายร่างกาย การฆ่าฟัน ทำลายชีวิตผู้อื่น แต่ว่าหากเรามองความรุนแรงในแง่ที่กว้างกว่านั้น นั่นก็คือการทำให้มนุษย์หมดโอกาสหรือสูญเสียโอกาสในการพัฒนาศักยภาพของเขาที่จะเป็นมนุษย์ อย่างสมบูรณ์ที่สุด ความรุนแรงในแง่นี้มีความหมาย กว้างขวางกว่าการทำร้ายร่างกายกว่าการทุบตี หรือฆ่าชีวิตผู้อื่น ซึ่งอาจจะหมายถึงความรุนแรงในแง่เศรษฐกิจ การเมือง การทหาร”
ความรุนแรงทางเศรษฐกิจ
“ประเทศเราเป็นประเทศที่มีปัญหาช่องว่าง ในเรื่องการพัฒนาทางเศรษฐกิจค่อนข้างสูง มีดัชนี ตัวเลขทางเศรษฐกิจมากมาย จะเห็นได้ว่า นับตั้งแต่ มีการพัฒนาเศรษฐกิจในประเทศช่วงทศวรรษ 1960 คนจำนวนมากมีช่องว่างทางรายได้ โดยเปรียบเทียบ กับคนที่มีฐานะดี จะไม่ค่อยดีขึ้นเท่าไหร่ ในช่วง 1960-2005 มีตัวเลขของสหประชาชาติที่น่าสนใจมากๆ ที่จะได้เห็นว่า เมื่อเริ่มมีการพัฒนาประเทศ ไทยในช่วงทศวรรรษ 1960 ช่องว่างทางรายได้ของ คนจนกับคนรวยในสังคมไทย ถ้าเทียบเป็นดัชนีประมาณ 0.3 เมื่อพัฒนามาถึงปี 2005 ช่องว่างห่างเพิ่มขึ้นถึง 0.4 แต่ในช่วงที่พัฒนาช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจนยิ่งมากขึ้น ซึ่งตัวเลขสวนทางกับ การพัฒนาเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น ในเวลาเดียวกันของ ประเทศที่อยู่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย ที่พัฒนานานขึ้น ช่องว่างทางรายได้ระหว่างคนจนกับคนรวยลดลง”
“ตัวเลขที่สองที่น่าสนใจ คือ รายได้ของคนภาคเกษตร มีงานศึกษาจำนวนมากที่แสดงให้เห็น ว่า รายได้ของคนในภาคเกษตรในรอบ 30-40 ปีที่ผ่านมา เทียบเคียงแล้วจะไม่เคยเพิ่มขึ้นเลยอยู่ในอัตราที่คงตัวตลอดเวลา ผลของการที่รายได้ของคนในภาคเกษตรไม่เพิ่มขึ้นเลย ส่งผลให้คนในภาคเกษตรต้องออกมาทำงานเป็นคนงาน หรือแรงงาน รับจ้างในเขตเมือง เป็นคนงานภาคอุตสาหกรรม”
“นอกจากนี้ ยังมีตัวเลขทางสถิติจำนวนมากที่น่าสนใจ ซึ่งบ่งบอกถึงรายได้ของคนงานภาคอุตสาหกรรม รายได้ของคนจนในเมืองรอบ 30-40 ปี รายได้ที่เป็นตัวเงินเพิ่มขึ้น แต่รายได้ที่แท้จริงไม่เพิ่ม ขึ้นเลย หมายความว่า ในรอบ 30-40 ปีที่ผ่านมา คนงานไทยอาจมีรายได้ขั้นต่ำสูงขึ้น แต่เมื่อเทียบกับ อัตราเงินเฟ้อหรืออัตราค่าครองชีพที่สูงขึ้นทุกๆ ปี ตัวเงินที่คนงานไทยมีในรอบ 30-40 ปีไม่เพิ่มขึ้นเลย นี่คือตัวอย่างความรุนแรงทางเศรษฐกิจ”
“ความรุนแรงทางเศรษฐกิจแบบนี้เป็นสาเหตุ ของปัญหาอื่นๆ ตามมาอีกมากมาย เช่น ปัญหาคน ไม่มีที่อยู่อาศัยในเมือง กรุงเทพฯ เป็นมหานครอันดับ ต้นๆ ของโลกที่มีคนที่ไร้บ้านอยู่มากที่สุด ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีโสเภณีมากที่สุดในโลก นี่คือ ข้อเท็จจริงที่ทุกคนคงจะรู้กันอยู่แล้ว ตัวเลขของสหประชาชาติบอกว่าประเทศไทยมีโสเภณี 2 ล้านคน มีลักษณะต่างๆ อย่างที่เราเรียกว่า ไซด์ไลน์ ไม่ไซด์ไลน์ ทางตรง ทางอ้อม ทั้งหมดอะไรก็ตามแต่ทั้งหมดมี 2 ล้านคน นี่คงไม่ใช่ตัวเลขที่ปกติแน่นอน นี่คือตัวอย่างความรุนแรงทางเศรษฐกิจ”
ความรุนแรงทางกฎหมาย
“กฎหมายเป็นความรุนแรงชนิดหนึ่ง ซึ่งคนไม่ ค่อยเห็นว่ากฎหมายคือความรุนแรง เรื่องนี้อาจจะ เป็นเรื่องที่ง่ายต่อการทำความเข้าใจ เพราะว่าเราอยู่ในประเทศที่ปกครองด้วย พ.ร.ก.ฉุกเฉินมา ค่อนข้างจะนานแล้ว แต่หลายท่านก็เข้าใจว่า พ.ร.ก. ฉุกเฉินเป็นกฎหมายปกติ ที่รัฐบาลออกมาเพราะว่า มีความจำเป็นต้องออก เนื่องจากมีเหตุบางอย่าง แต่ว่า พ.ร.ก.ฉุกเฉินมีลักษณะพิเศษหลายข้อ ข้อหนึ่ง ที่สำคัญมาก คือ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ทำให้การกระทำหลายๆ เรื่อง ซึ่งในสภาวะปกติแล้วไม่ผิด กลายเป็น การกระทำที่ผิด ลองนึกตัวอย่างของคนที่ถูกจับเนื่อง จาก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ในเดือนพฤษภาคม 2553 ได้ปรากฏแล้วว่ามีแม่ค้าคนหนึ่งขนข้าวกล่องจากตลาดไทยไปให้ผู้ชุมนุม ถึงตอนนี้แม่ค้าคนนี้ยังคงติดคุกอยู่ คำถามการขนข้าวกล่องเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายตั้งแต่เมื่อไหร่”
“คำตอบคือโดยตัวการกระทำไม่ใช่เรื่องผิด แต่ว่าพอเกิดการกระทำนี้ในเวลาที่กฎหมายบอกว่า กระทำแบบนี้ผิด เลยกลายเป็นความผิดขึ้นมา ลองใช้สามัญสำนึกคิดดูว่า การเอาข้าวมาให้คนกินมันผิด กฎหมายตรงไหน คำตอบคือมันไม่ผิด คนจำนวนมากที่ถูกยิงตายหรือบาดเจ็บ ในช่วงเมษายน-พฤษภาคม 2553 เป็นคนที่โดยปกติการกระทำของ เขาไม่ได้ผิดกฎหมาย เป็นคนที่ใช้สิทธิในการชุมนุมตามปกติ บางคนไม่มีส่วนในการชุมนุมโดยตรง ในหลายๆ พื้นที่ คนที่ถูกจับ อย่างเช่นที่อุบลฯ คนจำนวนหนึ่งถูกจับโดยไม่ได้ทำอะไรผิดเลย แต่ถูกกฎหมายลงโทษว่าอยู่ผิดที่ผิดเวลา ในสถานการณ์ที่กฎหมายบอกว่าการกระทำแบบนั้นผิด ฉะนั้น พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เป็นตัวอย่างความรุนแรง ที่ทำให้การ กระทำโดยตัวมันเองแล้วไม่ผิดกลายเป็นผิด
และผลจากการกระทำแบบนี้ทำให้คนจำนวนมากติดคุก ตายหรือบาดเจ็บ โดยที่ไม่มีใครรับผิดชอบเลยจนถึงปัจจุบัน”
ความรุนแรงทางอุดมการณ์
“ในช่วงที่สังคมไทยเกิดความขัดแย้ง อย่างมาก ในปี พ.ศ.2549 เป็นต้นมา ก็จะ เห็นได้ว่าความรุนแรงทางวาทกรรม ความรุนแรงทางอุดมการณ์กลายเป็นข้อขัดแย้ง ในกลุ่มคนต่างๆ อย่างกว้างขวาง อาทิเช่น 112 กรณีโดยจับคนในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ซึ่งโดยส่วนใหญ่เกี่ยวพันกับความเชื่อความคิดว่า การเมืองไทยหรือ การปกครองไทย คือการปกครองแบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข เรื่องนี้เป็นเรื่องที่น่าสนใจว่า ในสังคมไทยปัจจุบันนี้ การนิยามว่าประชาธิปไตยคืออะไร ซึ่งหลายๆ กรณีอาจไม่มีความผิด หลายๆ กรณีอาจเป็นการถูกกลั่นแกล้งทางการเมือง หรือหลายๆ กรณีอาจเป็นการถูกลงโทษเกินกว่าเหตุก็ได้”
“ประชาธิปไตยคือการเมืองการ ปกครองที่มีสิทธิมนุษยชนเป็นแกนกลาง นอกจากจะมีประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขแล้ว อาจจะต้องมี องค์ประกอบอื่นๆ เช่น เป็นการเมืองการปกครองที่เคารพสิทธิเสรีภาพประชาชนขั้นพื้นฐาน เป็นการเมืองการปกครองที่เคารพสิทธิเสรีภาพหรือความเท่าเทียม ทางเศรษฐกิจ ความยุติธรรมต่างๆ ทางสังคมอย่างสมบูรณ์ นี่คือตัวอย่างความรุนแรงทางวาทกรรมว่า ถ้าเราดูประชาธิปไตยในประเทศต่างๆ ทั่วโลก มีวิธีการนิยามประชาธิปไตยต่างๆ มากมาย ในบ้านเราประชาธิปไตยถูกนิยามผ่านกรอบ บางเรื่อง ซึ่งในที่สุดสร้างปัญหาบางอย่าง ซึ่งทำให้คนได้รับความเดือดร้อนโดยที่อาจจะไม่มีเหตุอันควร”
ความรุนแรงยุคจอมพลสฤษดิ์
“งานวิจัยของนักวิชาการชาวต่าง ประเทศ ท่านหนึ่ง พูดถึงความรุนแรงได้น่าสนใจมากๆ โดยเฉพาะการจับคนไปขังในบ้านเรา หรือการหน่วงเหนี่ยวสิทธิเสรีภาพของคนโดยพลการ ท่านได้ศึกษาปรากฏการณ์แบบนี้บางช่วง ช่วงแรกคือสมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ช่วงที่สองคือสมัย 6 ตุลาฯ 2519 และช่วงที่สามคือเรื่องของคนที่ถูกกล่าวหาในเรื่องของการ ค้ายาเสพติดในสมัย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ความรุนแรงในสามช่วงนี้มีลักษณะคล้ายๆ กันคือว่า คนจำนวนมากถูกจับกุม กักขังโดยพลการเป็นเวลายาวนานก่อนที่ศาลจะวินิจฉัยว่าเขาทำผิดอะไร”
“ในกรณีจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ช่วง พ.ศ.2501 คนจำนวนมากถูกจับกุมโดยไม่มีการแจ้งข้อกล่าวหา โดยเฉพาะคน ที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นภัยสังคม ตามที่จอมพล สฤษดิ์ เห็นว่าเขาเป็น คนจำนวนมากถูกจับกุมโดยข้อกล่าวหาว่า เขาเป็นผู้ก่อการร้าย คอมมิวนิสต์ คำสั่งสำนักนายกฯ ในสมัยจอมพลสฤษดิ์ บางฉบับ อนุญาตให้เจ้าหน้าที่ กักขังผู้ต้องสงสัยได้ภายใน 30 วัน และการต่ออายุทำได้โดยไม่ต้องผ่านการพิจารณาของศาลโดยไม่มีกำหนดเวลา อันนี้ก็น่าสนใจเหมือนในกรณีที่คนเสื้อแดงโดนจับ โดยที่เจ้าหน้าที่สามารถจับกุมหรือกักขังคน เหล่านี้ได้ เพียงแต่ว่าในกรณีของประเทศ ไทยในปัจจุบันมีวิธีการที่ซับซ้อนก็คือว่า ในการจับกุมและกักขังโดยทางการพิจารณา ของศาล ซึ่งไม่ทราบว่าเป็นวิวัฒนาการที่ดีขึ้นหรือแย่ลง เพียงแต่ว่าในยุคของจอมพล สฤษดิ์ กักขังโดยไม่ผ่านการพิจารณาของ ศาล แต่ในปัจจุบันศาลพิจารณาให้กักขังได้”
“น่าสนใจว่าคำสั่งที่ให้จับกุมคนแบบ นี้ในสมัยจอมพลสฤษดิ์ ถูกยกเลิกไปใน สมัยหลัง 14 ตุลาฯ 2516 ซึ่งหมายความว่า เราเป็นประเทศที่มีคนที่ถูกจับกุมกักขังโดย ไม่ต้องแจ้งข้อกล่าวหา และไม่ต้องผ่านการ พิจารณาของศาลถึง 16 ปี คำถามที่น่าจะ พิจารณาก็คือว่า ในการยกเลิกคำสั่งนี้ในปี 2516 เกิดขึ้นเพราะเห็นว่าคำสังนี้ขัดกับหลักประชาธิปไตย แล้วคนที่ถูกจับไปในช่วง ที่จอมพลสฤษดิ์ มีอำนาจเป็นเวลา 16 ปีนั้นเป็นร้อยๆ คน จนถึงบัดนี้มีใครชดเชยความสูญเสีย หรือความยุติธรรมให้พวกเขา หรือยัง อย่าลืมว่าเรากำลังพูดถึงกฎหมาย ซึ่งถูกยกเลิกด้วยเหตุผลว่า ขัดกับหลักประชาธิปไตย แสดงว่าในเวลาต่อมาเรารู้ว่ากฎหมายแบบนี้ผิด เมื่อเรารู้ว่ากฎหมายแบบนี้ผิดคนที่ถูกจับไปฟรีๆ ได้มีการชดเชย ความยุติธรรมให้พวกเขาแล้วหรือยัง”
บทเรียน 6 ตุลาฯ มหาวิปโยค
“ในกรณี 6 ตุลาฯ ก็มีเหตุการณ์คล้ายๆ กันก็คือว่า มีคำสั่งคณะปฏิรูปให้อำนาจเจ้าหน้าที่จับกุม และต่ออายุการจับกุมไปเรื่อยๆ โดยอ้างว่า เพื่อให้คนเป็น พลเมืองดี คนที่มีอำนาจจับกุมมีกว้างขวาง มาก ผู้บัญชาการทหารก็จับได้ ผู้บัญชาการตำรวจก็จับได้ ผู้ว่าราชการก็จับได้ ตัวเลข คนที่ถูกจับกุมในช่วง 6 ตุลาฯ ก็ค่อนข้างหลากหลายบางตัวเลขบอกว่า 2,000 บางตัวเลขบอกว่า 10,000 กอ.รมน.บอกว่า บุคคลที่ต้องการจับกุมในช่วย 6 ตุลาฯ อยู่ที่ 60,000 คน ซึ่งไม่ทราบตัวเลขที่แท้จริงของคนที่ถูกจับกุมหลัง 6 ตุลาฯ เท่าไหร่แน่ แต่นี่คือ สภาพของสังคมที่รัฐให้อำนาจคนบางกลุ่ม จับกุมคนอื่นได้อย่างอิสระเสรี ซึ่งเคยเกิด ขึ้นกับประเทศไทยมาแล้วช่วง 6 ตุลาฯ”
“นอกจากนี้ นักวิชาการท่านดังกล่าว ได้พูดถึงการอบรมคนให้เป็นพลเมืองดีไว้น่าสนใจเหมือนกันว่า ถูกทำอะไรบ้างเพื่อให้เป็นพลเมืองดี น่าสนใจตรงที่ผู้ถูกจับกุม บอกว่า เขาไม่ได้ถูกซ้อมหรือทรมาน หมาย ความว่า เขาไม่ได้มองว่าการซ้อม หรือการ ทรมานเป็นปัญหาที่คุกคามเขามากเท่ากับ การถูกอบรมในเรื่องซ้ำๆ ซากๆ คนจำนวน มากที่ถูกจับกุมในช่วงหลัง 6 ตุลาฯ เป็นแค่ครูสอนสังคมศึกษาก็มี เป็นแค่คนที่มีหนังสือบางเล่มที่ในยุคนั้นถือว่าผิดกฎหมายก็มี ที่น่าสนใจไปกว่านั้นคือ แม้ผู้ถูกจับกุม ทั้งหมดไม่เผชิญปัญหาจากการซ้อมหรือทรมาน แต่ทุกคนกลับรู้สึกกลัวว่าอาจถูกซ้อมหรือถูกทรมานได้ทุกเมื่อ อันนี้ก็เป็นที่น่าสนใจว่าความรุนแรงทำงานอย่างไร”
คุกคามทางความเชื่อ
“ในด้านหนึ่งความรุนแรงทำให้คนรู้สึกกลัวว่าจะถูกทำร้ายถึงไม่มีการทำร้าย จริงๆ แต่ความรู้สึกกลัวก็ถือเป็นการคุกคาม อยู่อย่างไม่ปกติสุข นอกจากนั้น ก็เป็น การคุกคามด้านความเชื่อ ด้านอุดมการณ์ การถ่ายทอดความเชื่อ หรือความคิดบางอย่างให้คนรู้สึกว่าตัวเองจะต้องเปลี่ยนเพื่อ ให้เป็นพลเมืองดีแห่งชาติอยู่ตลอดเวลา”
“เรื่องแบบนี้คล้ายๆ กับสิ่งที่เกิดขึ้น กับประเทศไทยยุคปัจจุบันนี้ ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้เหมือนกัน ก็มีการจับคนในลักษณะแบบนี้ มีการจับคนมารับการฝึกใน ศูนย์ที่ทางราชการจัดไว้ พร้อมทั้งได้รับการ อบรม ว่าการเป็นพลเมืองดีคืออะไร ประวัติศาสตร์ชาติไทยที่ถูกต้องคืออะไร ศาสนาอิสลามที่ถูกต้องคืออะไร ส่วนใหญ่จะได้รับ การอบรมเป็นเวลา 30-45 วัน จนกว่าทหารที่เป็นผู้อบรมเห็นว่าคนเหล่านี้พร้อม แล้วที่จะกลับไปสู่สังคมใหม่และใช้ชีวิตอย่างพลเมืองดีของไทยอีกครั้งหนึ่ง นี่คือวิธีการที่คล้ายๆ กับ 6 ตุลาฯ ซึ่งเรื่องแบบนี้ ยังเกิดขึ้นอยู่ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้”
เผด็จการเร่งปฏิกิริยาต่อต้าน
“การปราบปรามโดยรัฐในที่สุดมัน เป็นเรื่องใหญ่ เพราะมันส่งผลต่อพฤติกรรม ทางการเมืองของคนกลุ่มต่างๆ เพราะทำ ให้คนคิดมากขึ้นในการใช้สิทธิเสรีภาพ ระวังตัวมากขึ้นในการพูดและคิด ทำให้รู้สึก ว่าความเคลื่อนไหวทางการเมืองต่างๆ เป็นเรื่องที่ต้องระวัง หรือถ้าการข่มขู่มีระดับรุนแรงมากขึ้น ซึ่งอาจเป็นความรุนแรงโดย ใช้กฎหมาย หรือไม่ใช้กฎหมายก็ได้ การข่มขู่ก็อาจทำให้คนตัดสินใจปิดปากเงียบเพื่อป้องกันความเดือดร้อน ฉะนั้น การ ข่มขู่หรือปราบปรามโดยรัฐในลักษณะแบบ นี้ ที่สุดแล้วมันคือศัตรูของสิทธิเสรีภาพโดยตรง เรื่องที่รัฐไม่ค่อยได้คิดคือการข่มขู่ หรือการปราบปรามแบบนี้ ในสังคมที่มีความขัดแย้งทางการเมืองสูง การปราบปราม หรือการข่มขู่แบบนี้จะส่งผลให้ประชาชนต่อต้านรัฐ”
“เรื่องนี้เป็นเรื่องที่สำคัญเพราะอันนี้คือปัญหาใหญ่ของประเทศในปัจจุบัน ว่าเราเป็นสังคมที่รัฐมีการใช้ความรุนแรงกับ ประชาชนอย่างสูงโดยเฉพาะหลังปี 2549 เป็นต้นมา ความรุนแรงด้านต่างๆ เพิ่มขึ้น อย่างมากมาย ความรุนแรงทางกฎหมาย การทหาร การเมืองมีเพิ่มขึ้น และแนวโน้ม จะมีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทีนี้โจทย์ที่รัฐควรคิดคือ รัฐต้องคิดว่าเมื่อรัฐใช้ความรุนแรง รัฐจะสามารถควบคุมสถานการณ์ ควบคุมความ เคลื่อนไหว ควบคุมพฤติกรรมทางการเมืองของประชาชนได้ทั้งหมด ซึ่งถ้าไปดูแบบแผนการต่อสู้ทางการเมืองของคนใน สังคมต่างๆ เราจะเห็นว่าสิ่งที่รัฐเข้าใจในเรื่องนี้มันผิด”
“การควบคุมโดยรัฐ หรือการปราบปรามโดยรัฐ เป็นตัวแปรหนึ่งที่ส่งผลต่อการใช้สิทธิเสรีภาพของประชาชนจริง ในขณะเดียวกัน ก็เป็นอีกตัวแปรหนึ่งที่ทำให้ประชาชน ซึ่งอยู่ภายใต้อำนาจรัฐแบบเผด็จการสูงต้องหยุดคิดเพื่อพัฒนาวิธีการ แบบต่างๆ ในการตอบโต้รัฐออกมาด้วย ซึ่งเรื่องนี้ผู้มีอำนาจไม่ค่อยคิดเรื่องดังกล่าว กลับคิดว่าการใช้อำนาจในแบบเผด็จการแล้วจะทำให้คนในสังคมเงียบหรือคนในสังคมจะไม่กล้าพูดอะไรมากขึ้น”
“ลองนึกถึงสังคมไทยช่วงหลัง 6 ตุลาฯ 2519 ซึ่งความรุนแรงทำให้พรรคคอมมิวนิสต์ขยายตัว การต่อต้านอำนาจรัฐขยายตัวไปอย่างกว้างขวาง สงครามใน เขตป่าเขาขยายตัวขึ้นมีความหมายครอบคลุมไปถึงการทำร้ายทางกายภาพก็โดยใช้ความรุนแรงดักใจเขา มวลชนที่ทำ งานให้พรรคคอมมิวนิสต์ในเขตเมืองมีมาก ขึ้น เนื่องจากคนที่ไม่ถูกปราบ หรือผู้ที่ไม่มี ส่วนเกี่ยวข้อง เมื่อได้เห็นถึงความรุนแรงในการปราบก็เกิดต่อต้านขึ้น ฉะนั้น หลัง ความรุนแรงจึงได้มีการพื้นตัว และส่งผลถึงการเมืองและสังคมไทยอย่างรุนแรง”
“ในกรณีพฤษภาคม 2553 ก็อาจจะ คล้ายกันคือ เชื่อว่าเมื่อปราบปรามประชาชนที่ราชประสงค์ไปได้แล้ว การต่อต้าน อำนาจรัฐจะยุติลง แต่สิ่งที่เกิดขึ้นมันกลับ ตรงกันข้าม หลังการปราบปรามในช่วงพฤษภาคม 2553 มันมีระยะหนึ่งที่ฝ่ายเสื้อ แดงออกมาพูดอะไร แต่ที่สุดแล้ว มันก็เป็น ประสบการณ์ของฝ่ายที่ถูกปราบให้มีพัฒนาการในรูปแบบของการต่อต้านออกมา”
การฆ่าทางการเมือง
“นอกจากนี้ ยังมีประเด็นความรุนแรง กับการฆ่าทางการเมือง ซึ่งเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์สำคัญหลายเหตุการณ์ การฆ่าทางการเมืองจะเกิดในสังคม ที่มีความเห็นแตกต่าง ฝ่ายฆ่ากับฝ่ายถูกฆ่า มักมีอำนาจแตกต่างกันมาก ฉะนั้น การฆ่า ทางการเมืองเกิดขึ้นและเกี่ยวข้องอย่างมากกับการเป็นสังคม ซึ่งโครงสร้างอำนาจ ทางสังคมมีความไม่เข้ากันสูง ถ้าเป็นสังคม ที่มีความเท่าเทียมทางอำนาจการฆ่าจะไม่ เกิด ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม การฆ่าทางการเมืองเกิดขึ้นเมื่อ ฝ่ายที่รู้สึกว่าตัวเองถูกกดขี่หรือรู้สึกว่าตัวเองต่ำต้อยกว่ามากๆ เห็นว่า การต่อสู้อย่างสันติไม่มี ทางทำให้ชีวิตเขาดีขึ้นต่อไปได้แล้ว ก็อาจ จะเกิดการฆ่าทางการเมืองขึ้นมาได้ ทั้งนี้ การฆ่าทางการเมืองเกิดได้จากหลายฝ่าย ฝ่ายที่มีอำนาจมากกว่าทำก็ได้ ฝ่ายที่มีอำนาจน้อยกว่าทำก็ได้ เพียงแต่ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นฝ่ายที่มีอำนาจมากกว่าเป็นคน ทำก่อน มีไม่กี่สังคมที่ฝ่ายที่มีอำนาจน้อยเป็นคนทำ แต่ก็ต้องยอมรับว่ามันมี”
“ฉะนั้น การป้องกันไม่ให้เกิดการฆ่า หรือป้องกันไม่ให้เกิดความรุนแรงทาง การเมืองที่ดีที่สุดคือการขจัดเงื่อนไขที่ทำ ให้คู่กรณีทั้งสองฝ่ายเห็นว่า มันไม่มีทาง ออกจากสถานการณ์ที่เขาเผชิญอยู่เลย การขจัดเงื่อนไขแบบนี้เป็นเรื่องที่จำเป็น เพราะหมายถึงว่า เมื่อคู่กรณีทุกฝ่ายเห็นว่า มันมีทางอื่นที่จะออกจากโจทย์ความขัดแย้ง โดยไม่ต้องใช้กำลัง คือทำอย่างไรในสังคม ที่อาจจะเกิดการฆ่า เกิดความรุนแรงทาง การเมือง ให้คู่กรณีทั้งสองฝ่ายเห็นว่า การไม่ใช้พละกำลังเป็นเครื่องมือในการออกจาก โจทย์ที่เขาเผชิญหน้าได้นี่เป็นเรื่องสำคัญ”
“สุดท้าย ในขณะที่เราพูดถึงความรุนแรงทางการเมืองจำนวนมาก เรื่องหนึ่ง ที่ต้องยอมรับคือ คนจำนวนมากพูดถึงความ รุนแรง เพื่อเป็นคู่มือในการพูดเรื่องอะไรบางอย่างที่เราพูดไม่ได้ในปัจจุบัน คิดว่าเป็นปัญหาที่ท้าทายว่า ทำอย่างไรเราจะเป็น สังคมซึ่งเดินไปสู่จุดที่เห็นว่า ความรุนแรง ทางการเมืองทุกรูปแบบเป็นเรื่องที่ยอมรับ ไม่ได้”
“ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในสังคมไทย ในช่วง 10 กว่าปี ไม่ว่าจะเกิดขึ้นในรัฐบาล ใดก็ตาม คิดว่าเป็นโจทย์ที่ท้าทายว่า เราสามารถพูดถึงความรุนแรงโดยหลุดไปจาก กรอบทางการเมือง หลุดไปจากเหตุผลทาง การเมือง หลุดไปจากอคติทางการเมืองที่มีอยู่รอบตัวเราในปัจจุบันได้หรือเปล่า เพราะตราบใดที่เราหลุดออกจากกรอบนี้ไม่ได้ โจทย์ที่เป็นโจทย์ของสังคมไทยจะไม่ใช่โจทย์ความรุนแรงทางการเมืองเป็นเรื่องผิดถูก แต่กลายเป็นโจทย์ว่าความรุนแรงทางการเมืองถูกใช้โดยใคร ถ้าถูกใช้ในฝ่าย ที่เราเห็นด้วยความรุนแรงนั้นถูก แต่ถ้าความรุนแรงถูกใช้ในฝ่ายที่เราไม่เห็นด้วยความรุนแรงนั้นผิด ตรงนี้ผมคิดว่า มันเป็น ปัญหาที่ท้าทายไม่ใช่เรื่องทางการเมืองอย่างเดียว แต่เป็นเรื่องทางจริยธรรมด้วย”
จากเหตุการณ์ในอดีตจวบจนปัจจุบัน ภาพความรุนแรงและการใช้อำนาจรัฐ ยังคงเป็นโจทย์ข้อใหญ่ที่สังคมทุกภาคส่วนต้องร่วมกันตีความและบูรณาการปัญหา เพื่อนำไปสู่บทสรุป แห่งทางออกที่เท่าเทียม
ที่มา.สยามธุรกิจ
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
วันเวลาเวียนมาบรรจบห้วงตุลาฯเดือนแห่งหน้าประวัติศาสตร์การเมืองไทยประชาชน ประชาธิปไตย เผด็จการ ความรุนแรงและอำนาจรัฐถูกบรรยายผ่านภาพเหตุการณ์เดือนตุลาคมไว้ได้อย่างน่าครุ่นคิดนัก
ขอลำดับเรียบเรียงวันเวลาผ่านมุมมองของ “ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์” นักวิชาการด้านรัฐศาสตร์ ที่ได้นำเสนอไว้ในงาน 34 ปี 6 ตุลาฯ เมื่อไม่นานมานี้ “ความรุนแรงและอำนาจรัฐ” นั่นคือหัวข้อที่ ถูกนำมาถ่ายทอดโดยการวิพากษ์อย่างวิพากษ์ไว้ได้อย่างแหลมคมยิ่ง
นิยามความรุนแรง
“โดยพื้นฐานแล้วเรามักเข้าใจว่าความรุนแรง คือการทำร้ายร่างกาย การฆ่าฟัน ทำลายชีวิตผู้อื่น แต่ว่าหากเรามองความรุนแรงในแง่ที่กว้างกว่านั้น นั่นก็คือการทำให้มนุษย์หมดโอกาสหรือสูญเสียโอกาสในการพัฒนาศักยภาพของเขาที่จะเป็นมนุษย์ อย่างสมบูรณ์ที่สุด ความรุนแรงในแง่นี้มีความหมาย กว้างขวางกว่าการทำร้ายร่างกายกว่าการทุบตี หรือฆ่าชีวิตผู้อื่น ซึ่งอาจจะหมายถึงความรุนแรงในแง่เศรษฐกิจ การเมือง การทหาร”
ความรุนแรงทางเศรษฐกิจ
“ประเทศเราเป็นประเทศที่มีปัญหาช่องว่าง ในเรื่องการพัฒนาทางเศรษฐกิจค่อนข้างสูง มีดัชนี ตัวเลขทางเศรษฐกิจมากมาย จะเห็นได้ว่า นับตั้งแต่ มีการพัฒนาเศรษฐกิจในประเทศช่วงทศวรรษ 1960 คนจำนวนมากมีช่องว่างทางรายได้ โดยเปรียบเทียบ กับคนที่มีฐานะดี จะไม่ค่อยดีขึ้นเท่าไหร่ ในช่วง 1960-2005 มีตัวเลขของสหประชาชาติที่น่าสนใจมากๆ ที่จะได้เห็นว่า เมื่อเริ่มมีการพัฒนาประเทศ ไทยในช่วงทศวรรรษ 1960 ช่องว่างทางรายได้ของ คนจนกับคนรวยในสังคมไทย ถ้าเทียบเป็นดัชนีประมาณ 0.3 เมื่อพัฒนามาถึงปี 2005 ช่องว่างห่างเพิ่มขึ้นถึง 0.4 แต่ในช่วงที่พัฒนาช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจนยิ่งมากขึ้น ซึ่งตัวเลขสวนทางกับ การพัฒนาเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น ในเวลาเดียวกันของ ประเทศที่อยู่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย ที่พัฒนานานขึ้น ช่องว่างทางรายได้ระหว่างคนจนกับคนรวยลดลง”
“ตัวเลขที่สองที่น่าสนใจ คือ รายได้ของคนภาคเกษตร มีงานศึกษาจำนวนมากที่แสดงให้เห็น ว่า รายได้ของคนในภาคเกษตรในรอบ 30-40 ปีที่ผ่านมา เทียบเคียงแล้วจะไม่เคยเพิ่มขึ้นเลยอยู่ในอัตราที่คงตัวตลอดเวลา ผลของการที่รายได้ของคนในภาคเกษตรไม่เพิ่มขึ้นเลย ส่งผลให้คนในภาคเกษตรต้องออกมาทำงานเป็นคนงาน หรือแรงงาน รับจ้างในเขตเมือง เป็นคนงานภาคอุตสาหกรรม”
“นอกจากนี้ ยังมีตัวเลขทางสถิติจำนวนมากที่น่าสนใจ ซึ่งบ่งบอกถึงรายได้ของคนงานภาคอุตสาหกรรม รายได้ของคนจนในเมืองรอบ 30-40 ปี รายได้ที่เป็นตัวเงินเพิ่มขึ้น แต่รายได้ที่แท้จริงไม่เพิ่ม ขึ้นเลย หมายความว่า ในรอบ 30-40 ปีที่ผ่านมา คนงานไทยอาจมีรายได้ขั้นต่ำสูงขึ้น แต่เมื่อเทียบกับ อัตราเงินเฟ้อหรืออัตราค่าครองชีพที่สูงขึ้นทุกๆ ปี ตัวเงินที่คนงานไทยมีในรอบ 30-40 ปีไม่เพิ่มขึ้นเลย นี่คือตัวอย่างความรุนแรงทางเศรษฐกิจ”
“ความรุนแรงทางเศรษฐกิจแบบนี้เป็นสาเหตุ ของปัญหาอื่นๆ ตามมาอีกมากมาย เช่น ปัญหาคน ไม่มีที่อยู่อาศัยในเมือง กรุงเทพฯ เป็นมหานครอันดับ ต้นๆ ของโลกที่มีคนที่ไร้บ้านอยู่มากที่สุด ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีโสเภณีมากที่สุดในโลก นี่คือ ข้อเท็จจริงที่ทุกคนคงจะรู้กันอยู่แล้ว ตัวเลขของสหประชาชาติบอกว่าประเทศไทยมีโสเภณี 2 ล้านคน มีลักษณะต่างๆ อย่างที่เราเรียกว่า ไซด์ไลน์ ไม่ไซด์ไลน์ ทางตรง ทางอ้อม ทั้งหมดอะไรก็ตามแต่ทั้งหมดมี 2 ล้านคน นี่คงไม่ใช่ตัวเลขที่ปกติแน่นอน นี่คือตัวอย่างความรุนแรงทางเศรษฐกิจ”
ความรุนแรงทางกฎหมาย
“กฎหมายเป็นความรุนแรงชนิดหนึ่ง ซึ่งคนไม่ ค่อยเห็นว่ากฎหมายคือความรุนแรง เรื่องนี้อาจจะ เป็นเรื่องที่ง่ายต่อการทำความเข้าใจ เพราะว่าเราอยู่ในประเทศที่ปกครองด้วย พ.ร.ก.ฉุกเฉินมา ค่อนข้างจะนานแล้ว แต่หลายท่านก็เข้าใจว่า พ.ร.ก. ฉุกเฉินเป็นกฎหมายปกติ ที่รัฐบาลออกมาเพราะว่า มีความจำเป็นต้องออก เนื่องจากมีเหตุบางอย่าง แต่ว่า พ.ร.ก.ฉุกเฉินมีลักษณะพิเศษหลายข้อ ข้อหนึ่ง ที่สำคัญมาก คือ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ทำให้การกระทำหลายๆ เรื่อง ซึ่งในสภาวะปกติแล้วไม่ผิด กลายเป็น การกระทำที่ผิด ลองนึกตัวอย่างของคนที่ถูกจับเนื่อง จาก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ในเดือนพฤษภาคม 2553 ได้ปรากฏแล้วว่ามีแม่ค้าคนหนึ่งขนข้าวกล่องจากตลาดไทยไปให้ผู้ชุมนุม ถึงตอนนี้แม่ค้าคนนี้ยังคงติดคุกอยู่ คำถามการขนข้าวกล่องเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายตั้งแต่เมื่อไหร่”
“คำตอบคือโดยตัวการกระทำไม่ใช่เรื่องผิด แต่ว่าพอเกิดการกระทำนี้ในเวลาที่กฎหมายบอกว่า กระทำแบบนี้ผิด เลยกลายเป็นความผิดขึ้นมา ลองใช้สามัญสำนึกคิดดูว่า การเอาข้าวมาให้คนกินมันผิด กฎหมายตรงไหน คำตอบคือมันไม่ผิด คนจำนวนมากที่ถูกยิงตายหรือบาดเจ็บ ในช่วงเมษายน-พฤษภาคม 2553 เป็นคนที่โดยปกติการกระทำของ เขาไม่ได้ผิดกฎหมาย เป็นคนที่ใช้สิทธิในการชุมนุมตามปกติ บางคนไม่มีส่วนในการชุมนุมโดยตรง ในหลายๆ พื้นที่ คนที่ถูกจับ อย่างเช่นที่อุบลฯ คนจำนวนหนึ่งถูกจับโดยไม่ได้ทำอะไรผิดเลย แต่ถูกกฎหมายลงโทษว่าอยู่ผิดที่ผิดเวลา ในสถานการณ์ที่กฎหมายบอกว่าการกระทำแบบนั้นผิด ฉะนั้น พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เป็นตัวอย่างความรุนแรง ที่ทำให้การ กระทำโดยตัวมันเองแล้วไม่ผิดกลายเป็นผิด
และผลจากการกระทำแบบนี้ทำให้คนจำนวนมากติดคุก ตายหรือบาดเจ็บ โดยที่ไม่มีใครรับผิดชอบเลยจนถึงปัจจุบัน”
ความรุนแรงทางอุดมการณ์
“ในช่วงที่สังคมไทยเกิดความขัดแย้ง อย่างมาก ในปี พ.ศ.2549 เป็นต้นมา ก็จะ เห็นได้ว่าความรุนแรงทางวาทกรรม ความรุนแรงทางอุดมการณ์กลายเป็นข้อขัดแย้ง ในกลุ่มคนต่างๆ อย่างกว้างขวาง อาทิเช่น 112 กรณีโดยจับคนในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ซึ่งโดยส่วนใหญ่เกี่ยวพันกับความเชื่อความคิดว่า การเมืองไทยหรือ การปกครองไทย คือการปกครองแบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข เรื่องนี้เป็นเรื่องที่น่าสนใจว่า ในสังคมไทยปัจจุบันนี้ การนิยามว่าประชาธิปไตยคืออะไร ซึ่งหลายๆ กรณีอาจไม่มีความผิด หลายๆ กรณีอาจเป็นการถูกกลั่นแกล้งทางการเมือง หรือหลายๆ กรณีอาจเป็นการถูกลงโทษเกินกว่าเหตุก็ได้”
“ประชาธิปไตยคือการเมืองการ ปกครองที่มีสิทธิมนุษยชนเป็นแกนกลาง นอกจากจะมีประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขแล้ว อาจจะต้องมี องค์ประกอบอื่นๆ เช่น เป็นการเมืองการปกครองที่เคารพสิทธิเสรีภาพประชาชนขั้นพื้นฐาน เป็นการเมืองการปกครองที่เคารพสิทธิเสรีภาพหรือความเท่าเทียม ทางเศรษฐกิจ ความยุติธรรมต่างๆ ทางสังคมอย่างสมบูรณ์ นี่คือตัวอย่างความรุนแรงทางวาทกรรมว่า ถ้าเราดูประชาธิปไตยในประเทศต่างๆ ทั่วโลก มีวิธีการนิยามประชาธิปไตยต่างๆ มากมาย ในบ้านเราประชาธิปไตยถูกนิยามผ่านกรอบ บางเรื่อง ซึ่งในที่สุดสร้างปัญหาบางอย่าง ซึ่งทำให้คนได้รับความเดือดร้อนโดยที่อาจจะไม่มีเหตุอันควร”
ความรุนแรงยุคจอมพลสฤษดิ์
“งานวิจัยของนักวิชาการชาวต่าง ประเทศ ท่านหนึ่ง พูดถึงความรุนแรงได้น่าสนใจมากๆ โดยเฉพาะการจับคนไปขังในบ้านเรา หรือการหน่วงเหนี่ยวสิทธิเสรีภาพของคนโดยพลการ ท่านได้ศึกษาปรากฏการณ์แบบนี้บางช่วง ช่วงแรกคือสมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ช่วงที่สองคือสมัย 6 ตุลาฯ 2519 และช่วงที่สามคือเรื่องของคนที่ถูกกล่าวหาในเรื่องของการ ค้ายาเสพติดในสมัย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ความรุนแรงในสามช่วงนี้มีลักษณะคล้ายๆ กันคือว่า คนจำนวนมากถูกจับกุม กักขังโดยพลการเป็นเวลายาวนานก่อนที่ศาลจะวินิจฉัยว่าเขาทำผิดอะไร”
“ในกรณีจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ช่วง พ.ศ.2501 คนจำนวนมากถูกจับกุมโดยไม่มีการแจ้งข้อกล่าวหา โดยเฉพาะคน ที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นภัยสังคม ตามที่จอมพล สฤษดิ์ เห็นว่าเขาเป็น คนจำนวนมากถูกจับกุมโดยข้อกล่าวหาว่า เขาเป็นผู้ก่อการร้าย คอมมิวนิสต์ คำสั่งสำนักนายกฯ ในสมัยจอมพลสฤษดิ์ บางฉบับ อนุญาตให้เจ้าหน้าที่ กักขังผู้ต้องสงสัยได้ภายใน 30 วัน และการต่ออายุทำได้โดยไม่ต้องผ่านการพิจารณาของศาลโดยไม่มีกำหนดเวลา อันนี้ก็น่าสนใจเหมือนในกรณีที่คนเสื้อแดงโดนจับ โดยที่เจ้าหน้าที่สามารถจับกุมหรือกักขังคน เหล่านี้ได้ เพียงแต่ว่าในกรณีของประเทศ ไทยในปัจจุบันมีวิธีการที่ซับซ้อนก็คือว่า ในการจับกุมและกักขังโดยทางการพิจารณา ของศาล ซึ่งไม่ทราบว่าเป็นวิวัฒนาการที่ดีขึ้นหรือแย่ลง เพียงแต่ว่าในยุคของจอมพล สฤษดิ์ กักขังโดยไม่ผ่านการพิจารณาของ ศาล แต่ในปัจจุบันศาลพิจารณาให้กักขังได้”
“น่าสนใจว่าคำสั่งที่ให้จับกุมคนแบบ นี้ในสมัยจอมพลสฤษดิ์ ถูกยกเลิกไปใน สมัยหลัง 14 ตุลาฯ 2516 ซึ่งหมายความว่า เราเป็นประเทศที่มีคนที่ถูกจับกุมกักขังโดย ไม่ต้องแจ้งข้อกล่าวหา และไม่ต้องผ่านการ พิจารณาของศาลถึง 16 ปี คำถามที่น่าจะ พิจารณาก็คือว่า ในการยกเลิกคำสั่งนี้ในปี 2516 เกิดขึ้นเพราะเห็นว่าคำสังนี้ขัดกับหลักประชาธิปไตย แล้วคนที่ถูกจับไปในช่วง ที่จอมพลสฤษดิ์ มีอำนาจเป็นเวลา 16 ปีนั้นเป็นร้อยๆ คน จนถึงบัดนี้มีใครชดเชยความสูญเสีย หรือความยุติธรรมให้พวกเขา หรือยัง อย่าลืมว่าเรากำลังพูดถึงกฎหมาย ซึ่งถูกยกเลิกด้วยเหตุผลว่า ขัดกับหลักประชาธิปไตย แสดงว่าในเวลาต่อมาเรารู้ว่ากฎหมายแบบนี้ผิด เมื่อเรารู้ว่ากฎหมายแบบนี้ผิดคนที่ถูกจับไปฟรีๆ ได้มีการชดเชย ความยุติธรรมให้พวกเขาแล้วหรือยัง”
บทเรียน 6 ตุลาฯ มหาวิปโยค
“ในกรณี 6 ตุลาฯ ก็มีเหตุการณ์คล้ายๆ กันก็คือว่า มีคำสั่งคณะปฏิรูปให้อำนาจเจ้าหน้าที่จับกุม และต่ออายุการจับกุมไปเรื่อยๆ โดยอ้างว่า เพื่อให้คนเป็น พลเมืองดี คนที่มีอำนาจจับกุมมีกว้างขวาง มาก ผู้บัญชาการทหารก็จับได้ ผู้บัญชาการตำรวจก็จับได้ ผู้ว่าราชการก็จับได้ ตัวเลข คนที่ถูกจับกุมในช่วง 6 ตุลาฯ ก็ค่อนข้างหลากหลายบางตัวเลขบอกว่า 2,000 บางตัวเลขบอกว่า 10,000 กอ.รมน.บอกว่า บุคคลที่ต้องการจับกุมในช่วย 6 ตุลาฯ อยู่ที่ 60,000 คน ซึ่งไม่ทราบตัวเลขที่แท้จริงของคนที่ถูกจับกุมหลัง 6 ตุลาฯ เท่าไหร่แน่ แต่นี่คือ สภาพของสังคมที่รัฐให้อำนาจคนบางกลุ่ม จับกุมคนอื่นได้อย่างอิสระเสรี ซึ่งเคยเกิด ขึ้นกับประเทศไทยมาแล้วช่วง 6 ตุลาฯ”
“นอกจากนี้ นักวิชาการท่านดังกล่าว ได้พูดถึงการอบรมคนให้เป็นพลเมืองดีไว้น่าสนใจเหมือนกันว่า ถูกทำอะไรบ้างเพื่อให้เป็นพลเมืองดี น่าสนใจตรงที่ผู้ถูกจับกุม บอกว่า เขาไม่ได้ถูกซ้อมหรือทรมาน หมาย ความว่า เขาไม่ได้มองว่าการซ้อม หรือการ ทรมานเป็นปัญหาที่คุกคามเขามากเท่ากับ การถูกอบรมในเรื่องซ้ำๆ ซากๆ คนจำนวน มากที่ถูกจับกุมในช่วงหลัง 6 ตุลาฯ เป็นแค่ครูสอนสังคมศึกษาก็มี เป็นแค่คนที่มีหนังสือบางเล่มที่ในยุคนั้นถือว่าผิดกฎหมายก็มี ที่น่าสนใจไปกว่านั้นคือ แม้ผู้ถูกจับกุม ทั้งหมดไม่เผชิญปัญหาจากการซ้อมหรือทรมาน แต่ทุกคนกลับรู้สึกกลัวว่าอาจถูกซ้อมหรือถูกทรมานได้ทุกเมื่อ อันนี้ก็เป็นที่น่าสนใจว่าความรุนแรงทำงานอย่างไร”
คุกคามทางความเชื่อ
“ในด้านหนึ่งความรุนแรงทำให้คนรู้สึกกลัวว่าจะถูกทำร้ายถึงไม่มีการทำร้าย จริงๆ แต่ความรู้สึกกลัวก็ถือเป็นการคุกคาม อยู่อย่างไม่ปกติสุข นอกจากนั้น ก็เป็น การคุกคามด้านความเชื่อ ด้านอุดมการณ์ การถ่ายทอดความเชื่อ หรือความคิดบางอย่างให้คนรู้สึกว่าตัวเองจะต้องเปลี่ยนเพื่อ ให้เป็นพลเมืองดีแห่งชาติอยู่ตลอดเวลา”
“เรื่องแบบนี้คล้ายๆ กับสิ่งที่เกิดขึ้น กับประเทศไทยยุคปัจจุบันนี้ ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้เหมือนกัน ก็มีการจับคนในลักษณะแบบนี้ มีการจับคนมารับการฝึกใน ศูนย์ที่ทางราชการจัดไว้ พร้อมทั้งได้รับการ อบรม ว่าการเป็นพลเมืองดีคืออะไร ประวัติศาสตร์ชาติไทยที่ถูกต้องคืออะไร ศาสนาอิสลามที่ถูกต้องคืออะไร ส่วนใหญ่จะได้รับ การอบรมเป็นเวลา 30-45 วัน จนกว่าทหารที่เป็นผู้อบรมเห็นว่าคนเหล่านี้พร้อม แล้วที่จะกลับไปสู่สังคมใหม่และใช้ชีวิตอย่างพลเมืองดีของไทยอีกครั้งหนึ่ง นี่คือวิธีการที่คล้ายๆ กับ 6 ตุลาฯ ซึ่งเรื่องแบบนี้ ยังเกิดขึ้นอยู่ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้”
เผด็จการเร่งปฏิกิริยาต่อต้าน
“การปราบปรามโดยรัฐในที่สุดมัน เป็นเรื่องใหญ่ เพราะมันส่งผลต่อพฤติกรรม ทางการเมืองของคนกลุ่มต่างๆ เพราะทำ ให้คนคิดมากขึ้นในการใช้สิทธิเสรีภาพ ระวังตัวมากขึ้นในการพูดและคิด ทำให้รู้สึก ว่าความเคลื่อนไหวทางการเมืองต่างๆ เป็นเรื่องที่ต้องระวัง หรือถ้าการข่มขู่มีระดับรุนแรงมากขึ้น ซึ่งอาจเป็นความรุนแรงโดย ใช้กฎหมาย หรือไม่ใช้กฎหมายก็ได้ การข่มขู่ก็อาจทำให้คนตัดสินใจปิดปากเงียบเพื่อป้องกันความเดือดร้อน ฉะนั้น การ ข่มขู่หรือปราบปรามโดยรัฐในลักษณะแบบ นี้ ที่สุดแล้วมันคือศัตรูของสิทธิเสรีภาพโดยตรง เรื่องที่รัฐไม่ค่อยได้คิดคือการข่มขู่ หรือการปราบปรามแบบนี้ ในสังคมที่มีความขัดแย้งทางการเมืองสูง การปราบปราม หรือการข่มขู่แบบนี้จะส่งผลให้ประชาชนต่อต้านรัฐ”
“เรื่องนี้เป็นเรื่องที่สำคัญเพราะอันนี้คือปัญหาใหญ่ของประเทศในปัจจุบัน ว่าเราเป็นสังคมที่รัฐมีการใช้ความรุนแรงกับ ประชาชนอย่างสูงโดยเฉพาะหลังปี 2549 เป็นต้นมา ความรุนแรงด้านต่างๆ เพิ่มขึ้น อย่างมากมาย ความรุนแรงทางกฎหมาย การทหาร การเมืองมีเพิ่มขึ้น และแนวโน้ม จะมีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทีนี้โจทย์ที่รัฐควรคิดคือ รัฐต้องคิดว่าเมื่อรัฐใช้ความรุนแรง รัฐจะสามารถควบคุมสถานการณ์ ควบคุมความ เคลื่อนไหว ควบคุมพฤติกรรมทางการเมืองของประชาชนได้ทั้งหมด ซึ่งถ้าไปดูแบบแผนการต่อสู้ทางการเมืองของคนใน สังคมต่างๆ เราจะเห็นว่าสิ่งที่รัฐเข้าใจในเรื่องนี้มันผิด”
“การควบคุมโดยรัฐ หรือการปราบปรามโดยรัฐ เป็นตัวแปรหนึ่งที่ส่งผลต่อการใช้สิทธิเสรีภาพของประชาชนจริง ในขณะเดียวกัน ก็เป็นอีกตัวแปรหนึ่งที่ทำให้ประชาชน ซึ่งอยู่ภายใต้อำนาจรัฐแบบเผด็จการสูงต้องหยุดคิดเพื่อพัฒนาวิธีการ แบบต่างๆ ในการตอบโต้รัฐออกมาด้วย ซึ่งเรื่องนี้ผู้มีอำนาจไม่ค่อยคิดเรื่องดังกล่าว กลับคิดว่าการใช้อำนาจในแบบเผด็จการแล้วจะทำให้คนในสังคมเงียบหรือคนในสังคมจะไม่กล้าพูดอะไรมากขึ้น”
“ลองนึกถึงสังคมไทยช่วงหลัง 6 ตุลาฯ 2519 ซึ่งความรุนแรงทำให้พรรคคอมมิวนิสต์ขยายตัว การต่อต้านอำนาจรัฐขยายตัวไปอย่างกว้างขวาง สงครามใน เขตป่าเขาขยายตัวขึ้นมีความหมายครอบคลุมไปถึงการทำร้ายทางกายภาพก็โดยใช้ความรุนแรงดักใจเขา มวลชนที่ทำ งานให้พรรคคอมมิวนิสต์ในเขตเมืองมีมาก ขึ้น เนื่องจากคนที่ไม่ถูกปราบ หรือผู้ที่ไม่มี ส่วนเกี่ยวข้อง เมื่อได้เห็นถึงความรุนแรงในการปราบก็เกิดต่อต้านขึ้น ฉะนั้น หลัง ความรุนแรงจึงได้มีการพื้นตัว และส่งผลถึงการเมืองและสังคมไทยอย่างรุนแรง”
“ในกรณีพฤษภาคม 2553 ก็อาจจะ คล้ายกันคือ เชื่อว่าเมื่อปราบปรามประชาชนที่ราชประสงค์ไปได้แล้ว การต่อต้าน อำนาจรัฐจะยุติลง แต่สิ่งที่เกิดขึ้นมันกลับ ตรงกันข้าม หลังการปราบปรามในช่วงพฤษภาคม 2553 มันมีระยะหนึ่งที่ฝ่ายเสื้อ แดงออกมาพูดอะไร แต่ที่สุดแล้ว มันก็เป็น ประสบการณ์ของฝ่ายที่ถูกปราบให้มีพัฒนาการในรูปแบบของการต่อต้านออกมา”
การฆ่าทางการเมือง
“นอกจากนี้ ยังมีประเด็นความรุนแรง กับการฆ่าทางการเมือง ซึ่งเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์สำคัญหลายเหตุการณ์ การฆ่าทางการเมืองจะเกิดในสังคม ที่มีความเห็นแตกต่าง ฝ่ายฆ่ากับฝ่ายถูกฆ่า มักมีอำนาจแตกต่างกันมาก ฉะนั้น การฆ่า ทางการเมืองเกิดขึ้นและเกี่ยวข้องอย่างมากกับการเป็นสังคม ซึ่งโครงสร้างอำนาจ ทางสังคมมีความไม่เข้ากันสูง ถ้าเป็นสังคม ที่มีความเท่าเทียมทางอำนาจการฆ่าจะไม่ เกิด ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม การฆ่าทางการเมืองเกิดขึ้นเมื่อ ฝ่ายที่รู้สึกว่าตัวเองถูกกดขี่หรือรู้สึกว่าตัวเองต่ำต้อยกว่ามากๆ เห็นว่า การต่อสู้อย่างสันติไม่มี ทางทำให้ชีวิตเขาดีขึ้นต่อไปได้แล้ว ก็อาจ จะเกิดการฆ่าทางการเมืองขึ้นมาได้ ทั้งนี้ การฆ่าทางการเมืองเกิดได้จากหลายฝ่าย ฝ่ายที่มีอำนาจมากกว่าทำก็ได้ ฝ่ายที่มีอำนาจน้อยกว่าทำก็ได้ เพียงแต่ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นฝ่ายที่มีอำนาจมากกว่าเป็นคน ทำก่อน มีไม่กี่สังคมที่ฝ่ายที่มีอำนาจน้อยเป็นคนทำ แต่ก็ต้องยอมรับว่ามันมี”
“ฉะนั้น การป้องกันไม่ให้เกิดการฆ่า หรือป้องกันไม่ให้เกิดความรุนแรงทาง การเมืองที่ดีที่สุดคือการขจัดเงื่อนไขที่ทำ ให้คู่กรณีทั้งสองฝ่ายเห็นว่า มันไม่มีทาง ออกจากสถานการณ์ที่เขาเผชิญอยู่เลย การขจัดเงื่อนไขแบบนี้เป็นเรื่องที่จำเป็น เพราะหมายถึงว่า เมื่อคู่กรณีทุกฝ่ายเห็นว่า มันมีทางอื่นที่จะออกจากโจทย์ความขัดแย้ง โดยไม่ต้องใช้กำลัง คือทำอย่างไรในสังคม ที่อาจจะเกิดการฆ่า เกิดความรุนแรงทาง การเมือง ให้คู่กรณีทั้งสองฝ่ายเห็นว่า การไม่ใช้พละกำลังเป็นเครื่องมือในการออกจาก โจทย์ที่เขาเผชิญหน้าได้นี่เป็นเรื่องสำคัญ”
“สุดท้าย ในขณะที่เราพูดถึงความรุนแรงทางการเมืองจำนวนมาก เรื่องหนึ่ง ที่ต้องยอมรับคือ คนจำนวนมากพูดถึงความ รุนแรง เพื่อเป็นคู่มือในการพูดเรื่องอะไรบางอย่างที่เราพูดไม่ได้ในปัจจุบัน คิดว่าเป็นปัญหาที่ท้าทายว่า ทำอย่างไรเราจะเป็น สังคมซึ่งเดินไปสู่จุดที่เห็นว่า ความรุนแรง ทางการเมืองทุกรูปแบบเป็นเรื่องที่ยอมรับ ไม่ได้”
“ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในสังคมไทย ในช่วง 10 กว่าปี ไม่ว่าจะเกิดขึ้นในรัฐบาล ใดก็ตาม คิดว่าเป็นโจทย์ที่ท้าทายว่า เราสามารถพูดถึงความรุนแรงโดยหลุดไปจาก กรอบทางการเมือง หลุดไปจากเหตุผลทาง การเมือง หลุดไปจากอคติทางการเมืองที่มีอยู่รอบตัวเราในปัจจุบันได้หรือเปล่า เพราะตราบใดที่เราหลุดออกจากกรอบนี้ไม่ได้ โจทย์ที่เป็นโจทย์ของสังคมไทยจะไม่ใช่โจทย์ความรุนแรงทางการเมืองเป็นเรื่องผิดถูก แต่กลายเป็นโจทย์ว่าความรุนแรงทางการเมืองถูกใช้โดยใคร ถ้าถูกใช้ในฝ่าย ที่เราเห็นด้วยความรุนแรงนั้นถูก แต่ถ้าความรุนแรงถูกใช้ในฝ่ายที่เราไม่เห็นด้วยความรุนแรงนั้นผิด ตรงนี้ผมคิดว่า มันเป็น ปัญหาที่ท้าทายไม่ใช่เรื่องทางการเมืองอย่างเดียว แต่เป็นเรื่องทางจริยธรรมด้วย”
จากเหตุการณ์ในอดีตจวบจนปัจจุบัน ภาพความรุนแรงและการใช้อำนาจรัฐ ยังคงเป็นโจทย์ข้อใหญ่ที่สังคมทุกภาคส่วนต้องร่วมกันตีความและบูรณาการปัญหา เพื่อนำไปสู่บทสรุป แห่งทางออกที่เท่าเทียม
ที่มา.สยามธุรกิจ
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)