“ผู้ก่อเหตุระเบิดน่าจะไม่เกิน 4 กลุ่มคือ 1.ฝ่ายตรงข้ามรัฐบาล 2.ฝ่ายที่ได้ประโยชน์จาก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และไม่อยากให้ยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน 3.กลุ่มการเมืองที่ไม่ต้องการให้มีการเลือกตั้ง โดยร่วมมือกับผู้มีอำนาจในบ้านเมือง เพื่อรักษาอำนาจของตัวเอง และ 4.กลุ่มที่ต้องการนำประเทศไปสู่การปฏิวัติรัฐประหาร โดยทำให้เห็นว่ารัฐบาลไม่มีน้ำยาสร้างความสงบให้บ้านเมือง ผู้ก่อเหตุระเบิดน่าจะไม่เกิน 4 กลุ่มนี้”
พ.ต.ท.สมชาย เพศประเสริฐ ส.ส.นครราชสีมา พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การทหาร สภาผู้แทนราษฎร ให้ความเห็นกรณีระเบิดอพาร์ตเมนต์ย่านบางบัวทอง จ.นนทบุรี ทั้งตั้งข้อสังเกตว่าที่ผ่านมามีเหตุระเบิดถึง 114 ครั้ง แต่แทบจับผู้ต้องสงสัยไม่ได้เลย สะท้อนให้เห็นถึงความล้มเหลวของรัฐบาลที่ไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้ แม้จะมี พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ก็อ่อนแอ แก้ไขปัญหาไม่ได้ ทำให้ภาพลักษณ์ของประเทศเสียหาย
กรณีอพาร์ตเมนต์ย่านบางบัวทองอาจเป็นเหตุผลที่ดีของการต่ออายุ พ.ร.ก.ฉุกเฉินในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑลอีก 3 เดือนจนถึงสิ้นปี และเชื่อว่าจะยังมีการต่อ พ.ร.ก.ฉุกเฉินไปถึงตรุษจีนและสงกรานต์ หรือจนกระทั่งหมดอายุรัฐบาลอภิสิทธิ์
พ.ร.ก.ฉุกเฉินล้มเหลว
เหตุระเบิดกว่าร้อยครั้งจึงเป็นคำถามที่ค้างคาใจประชาชนทั่วไป โดยเฉพาะช่วงที่จะมีการพิจารณาต่ออายุ พ.ร.ก.ฉุกเฉินมักเกิดเหตุระเบิด หรือพบระเบิดข่มขู่ตามสถานที่ต่างๆ หรือเจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคงจะออกมาให้ข่าวความเคลื่อนไหวของกลุ่มผู้ไม่หวังดีต่างๆ อย่างกรณีการจับกุม 11 ชายฉกรรจ์ที่รีสอร์ตแห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเจ้าหน้าที่ระบุว่าเป็น “นักรบแดง” ที่ฝ่ายความมั่นคงสืบทราบมาว่ามีการฝึกอาวุธจากกัมพูชารวมทั้งสิ้น 30 คน และยังฝึกอาวุธบริเวณชายแดนด้านพม่าด้วย เพื่อเตรียมการก่อความไม่สงบและลอบสังหารระดับแกนนำรัฐบาลและฝ่ายการเมือง
ด้านนายประสพสุข บุญเดช ประธานวุฒิสภา ตั้งข้อสังเกตว่า จังหวัดที่มี พ.ร.ก.ฉุกเฉินยังเกิดระเบิดขึ้น แสดงว่า พ.ร.ก.ฉุกเฉินไม่สามารถป้องปรามได้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินจะมีหรือไม่มี ผู้ก่อเหตุก็มีช่องทางทำให้เกิดความวุ่นวายอยู่ดี ฉะนั้นรัฐบาลต้องหามาตรการอื่นสกัด
“พ.ร.ก.ฉุกเฉินจะมีหรือไม่ไม่ใช่จุดใหญ่ จุดใหญ่คือการปรองดองโดยสุจริตใจ ทุกฝ่ายต้องเห็นแก่ประโยชน์ของประเทศชาติโดยสุจริตใจด้วย”
เช่นเดียวกับนายชัย ชิดชอบ ประธานสภาผู้แทนราษฎร ไม่เชื่อว่าเหตุระเบิดจะเกี่ยวกับการสร้างสถานการณ์ และได้ตั้งคำถามกรณีหน่วยงานด้านความมั่นคงระบุว่าทราบมาก่อนว่ามีการซ่องสุมและเป็นแหล่งประกอบระเบิด แต่ไม่สามารถป้องกันเหตุได้นั้น เป็นการสะท้อนว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่มีสมรรถภาพในการทำงานและไม่สามารถป้องกันได้ จึงต้องปรับปรุงการทำงานตั้งแต่ผู้บังคับการลงไป รวมถึงเจ้าหน้าที่ในพื้นที่
ปล่อยข่าว-สร้างสถานการณ์?
อย่างไรก็ตาม หน่วยงานด้านความมั่นคง ไม่ว่าจะเป็นศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) หรือสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ประสานเสียงเรื่องการเคลื่อนไหวของกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบหรือผู้ก่อการร้ายที่ยังพุ่งเป้าไปที่คนเสื้อแดง ทั้งที่ไม่มีหลักฐานชัดเจน นอกจากอ้างข้อมูลด้านการข่าว อย่างกรณีระเบิดที่เกิดขึ้นในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลจนกลายเป็นเรื่องปรกติเหมือนในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ทั้ง ศอฉ. ดีเอสไอ และ สมช. ต่างแถลงเป็นเสียงเดียวกันว่าจะมีระเบิดป่วนเมืองต่อเนื่องไปจนถึงสิ้นปี ซึ่งเป็นเหตุผลสำคัญที่รัฐบาลอ้างความจำเป็นในการต่ออายุ พ.ร.ก.ฉุกเฉินต่อไปอีก 3 เดือน
ขณะเดียวกันมีข่าวการจับกุมกลุ่มชายฉกรรจ์และผู้ต้องสงสัยในรูปแบบต่างๆหลังจากวาทกรรม “ไอ้โม่งชุดดำ” ที่ก่อนหน้านี้ไม่สามารถจับกุมได้เลยแม้แต่คนเดียว ก็เกิดวาทกรรมใหม่เป็น “ไอ้โม่งชุดแดง” หรือ “นักรบแดง” ที่ระบุว่ามีการซ่องสุมและฝึกอาวุธตามชายแดนประเทศเพื่อนบ้านคือกัมพูชาและพม่า ซึ่งรัฐบาลกัมพูชาออกมาปฏิเสธทุกครั้งที่มีข่าวจากเจ้าหน้าที่ไทยว่าไม่เป็นความจริง หรือฉีกหน้าเจ้าหน้าที่ไทยว่าเป็นพวกหากินกับการสร้างข่าวเพื่อความดีความชอบ
อย่างกรณีจับ 11 ชายฉกรรจ์ที่รีสอร์ตภูฟ้า จังหวัดเชียงใหม่ พล.ต.ต.ชัยยะ ศิริอัมพันธ์กุล รักษาการผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 (รรท.ผบช.ภ. 5) ระบุว่า พบหลักฐานล้มสถาบันและเหตุระเบิดป่วนเมือง หลายจุด นอกจากนี้ยังได้กันเป็นพยานเชื่อมคดีก่อการร้ายอีกด้วย
แต่ พล.ต.ต.สมหมาย กองวิสัยสุข ผบก.ภ.จว.เชียงใหม่ กลับยืนยันว่าไม่เกี่ยวกับการเมือง ไม่ใช่ “นักรบแดง” อย่าไปเชื่อ และไม่ได้จับกุมตัว เพราะยังไม่ได้กระทำความผิด เพียงแค่มีคนมาแจ้งว่าสงสัยเลยเข้าไปตรวจสอบ แค่เชิญมานั่งคุยเฉยๆ เรื่องนี้เป็นเรื่องความมั่นคง ยังไม่รู้ว่าเป็นพวกไหน กำลังตรวจสอบว่าเป็นคนไทยหรือเปล่า
อุปโลกน์ “ไอ้โม่งชุดดำ”?
เช่นเดียวกับกรณีก่อนหน้านี้ที่มีการจับกุมนายสุรชัย หรือหรั่ง เทวรัตน์ คนสนิท พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือ เสธ.แดง ตามหมายจับคดีก่อการร้าย หลังเดินทางกลับ จากกัมพูชา ซึ่งดีเอสไออ้างว่านายสุรชัยรับสารภาพว่าเป็นหนึ่งในทีมร่วมยิงเอ็ม 79 ใส่แฟลตตำรวจที่ลุมพินี และยิงอาวุธปืนเอ็ม 16 ใส่ด่านตรวจบริเวณแยกศาลาแดงตามคำสั่งของ เสธ.แดง ทั้งยังเป็นคนนำตนไปฝึกการใช้อาวุธที่ไต้หวัน ต่อมาไม่เพียงนายสุรชัยจะปฏิเสธว่าไม่เคยสารภาพใดๆแล้ว ทางไต้หวันยังฉีกหน้ากลับมาอีกว่าไม่เคยออกวีซ่าให้แก่นายสุรชัยเลย แต่กว่า 2 เดือนแล้วคดีของนายสุรชัยยังไม่มีอะไรคืบหน้า
ส่วนการจับกุมนายจักรชลัช หรือพล คงสุวรรณ อดีตนาวิกโยธิน หนึ่งในลูกน้องของ เสธ.แดง ที่ดีเอสไอระบุว่าให้การเป็นประโยชน์อย่างมาก โดยซัดทอดถึงตัวการสำคัญที่ร่วมวางแผนก่อการร้าย นอกจากนี้ยังอ้างว่าผู้ต้องหารู้เรื่องเงินที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ส่งให้กับ เสธ.แดงเพื่อนำไปใช้ในด้านต่างๆอีก และให้การว่า เสธ.แดงรับเงินจากใคร รวมทั้งการระบุจุดนัดพบ ซึ่งถูกกำหนดให้ใช้เป็นสถานที่ส่งต่อเงินเพื่อสนับสนุนการก่อความไม่สงบ โดยนายจักรชลัชสมัครใจขอรับการคุ้มครองจึงนำตัวไปไว้ที่ค่ายทหารแห่งหนึ่ง เพราะไม่มั่นใจในความปลอดภัย กลัวถูกฝ่ายตรงข้ามฆ่าปิดปาก
แต่ทั้ง 2 คดีที่ ศอฉ. และดีเอสไอมั่นใจว่าเป็นหลักฐานสำคัญที่จะนำไปถึง “ไอ้โม่งชุดดำ” หรือ “ผู้ก่อการร้าย” นั้นยังเป็นการใช้อำนาจจาก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ไม่ใช่ผ่านกระบวนการยุติธรรมตามปรกติที่เปิดเผยให้ประชาชนรับรู้และหายข้องใจว่าทุกอย่างเป็นไปด้วยความยุติธรรมและโปร่งใส ไม่ใช่การอุปโลกน์ให้เป็น “ไอ้โม่งชุดดำ” เพื่อผลทางการเมือง อย่างกรณีแกนนำคนเสื้อแดงที่เหมือน “ถูกขังฟรี” อยู่ในเรือนจำขณะนี้
ส่วนการชันสูตรศพผู้เสียชีวิต 91 ศพที่จะทำให้รู้ชัดเจนว่าเสียชีวิตอย่างไร จากกระสุนชนิดใด จากปืนประเภทไหน ใครยิง ใครเป็นฆาตกร ยังมืดมน ขณะที่ ศอฉ. และผู้นำกองทัพกลับออกมาระบุว่าไม่เคยมีคำสั่งให้ทหารยิงประชาชนและไม่มีสไนเปอร์ ทั้งที่มีพยานหลักฐานมากมาย ไม่ว่าจะเป็นพยานบุคคล ภาพถ่าย และคลิปวิดีโอว่าทหารยิงปืนใส่ประชาชนและมีสไนเปอร์ชัดเจน
ต่อต้าน-ขับไล่ทั่วโลก
โดยเฉพาะนายอภิสิทธิ์ในฐานะผู้ออกคำสั่งสลายการชุมนุมคนเสื้อแดงจนมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บมากที่สุดในประวัติศาสตร์ นายอภิสิทธิ์จะอ้างว่าตัวเองบริสุทธิ์ผุดผ่องอย่างไรก็ต้องแสดงความรับผิดชอบทางการเมือง ไม่ใช่ลอยหน้าลอยตาใช้วาทกรรมสร้างความชอบธรรม หรือสร้างความปรองดองกำมะลอที่ถูกประณามเป็น “การปรองดองแบบขี้ขลาด” เพื่อให้ตัวเองและพวกอยู่รอด ซึ่งไม่เกิดประโยชน์ใดๆต่อประเทศชาติและประชาชนเลย
นายอภิสิทธิ์จึงยังหนีไม่พ้นตราบาปและถูกกล่าวหาว่าเป็น “ฆาตกร 100 ศพ” ตราบใดที่ยังไม่มีผลการสอบสวนที่ประชาชนและประชาคมโลกยอมรับกรณี 91 ศพ และยังใช้อำนาจ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน แม้มีวาทกรรมสวยหรูเพียงใดก็ตามจะมีแต่การต่อต้านและขับไล่ อย่างการเดินทางไปประชุมเอเปกที่สหรัฐ หรือประชุมอาเซมที่เบลเยียม จะเห็นคนไทยและคนต่างชาติมาชุมนุมประท้วงขับไล่และต่อต้านนายอภิสิทธิ์
91 ศพที่ไม่มีคำตอบ
แม้แต่นายโฮเซ มานูเอล บาร์โรโซ ประธานคณะกรรมาธิการสหภาพยุโรป (อียู) ยังกล่าวกับนายอภิสิทธิ์ ที่เดินทางไปร่วมประชุมอาเซมที่บรัสเซลส์ ประเทศเบลเยียม และแถลงกับสื่อมวลชนว่าสหภาพยุโรปมีความเป็นห่วงต่อสถานการณ์ขัดแย้งในไทย และปรารถนาจะเห็นการปรองดองในชาติ รวมทั้งการมีระบอบประชาธิปไตยที่เคารพสิทธิมนุษยชน
เพราะ 1 ใน 91 ศพที่เสียชีวิตนั้นเป็นช่างภาพอิสระชาวอิตาลี นายฟาบิโอ โปเลงกี ถูกยิงที่ช่องท้องจนเสียชีวิตเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 ขณะทำข่าวการชุมนุมกลุ่มคนเสื้อแดง แม้อลิซาเบธ โปเลงกี พี่สาวนายฟาบิโอ จะพยายามประสานงานกับสถานทูตอิตาลีในประเทศเพื่อกดดันให้รัฐบาลไทยเปิดเผยข้อมูลและการสอบสวน แต่กลับไม่ได้รับความคืบหน้าใดๆ
ขณะที่นายเดวิด ลิปแมน เอกอัครราชทูตอิตาลีประจำประเทศไทย กล่าวกับสื่อไทยว่า สหภาพยุโรปต้อง การเห็นคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงชุดนายคณิต ณ นคร เป็นประธาน และคณะกรรมการปฏิรูปประเทศที่มีนายอานันท์ ปันยารชุน เป็นประธาน รวมถึงคณะกรรมการสมัชชาปฏิรูปประเทศที่ นพ.ประเวศ วะสี เป็นประธาน ปฏิบัติหน้าที่อย่างอิสระและจริงจัง
นอกจากนี้คนเสื้อแดงในสหรัฐยังจัดทำโปสเตอร์ One World One Poster-RED USA เป็นภาษาอังกฤษ เพื่อเผยแพร่และประจานต่อชาวโลกในเหตุการณ์ “เมษา-พฤษภาอำมหิต” โดยให้เครือข่ายแดงทั่วโลก (RED AROUND THE WORLD) นำไปแปะตามเว็บไซต์ต่างๆ เพื่อเป็น One World One Poster ประจานความโหดเหี้ยมและป่าเถื่อนของรัฐบาลที่ไล่ล่าเข่นฆ่าประชาชน
มาตรฐานพิเศษ
ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นการปรองดองแบบ “แม้ว” หรือ ปรองดองแบบ “มาร์ค” ต้องยุติการละเมิดสิทธิมนุษยชนและความเป็นมนุษย์ของรัฐบาลอภิสิทธิ์ด้วยการยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินทันที และต้องปล่อยแกนนำคนเสื้อแดงและคนเสื้อแดงหลายร้อยคนที่ถูกคุมขังมานานกว่า 6 เดือน และมีแนวโน้มจะถูกขังฟรีต่อไปอีกนานทั้งที่ไม่มีความผิดจากการกล่าวหาของ ศอฉ. และ ดีเอสไอโดยไม่มีหลักฐานหรือข้อเท็จจริงมายืนยันความ ผิดตามกระบวนการยุติธรรม ซึ่งประชาคมโลกประณามว่ารัฐบาลไทยมีการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง
การปรองดองจึงเป็นไปไม่ได้ตราบใดที่ยังไม่มีความยุติธรรม หรือยังใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินที่กลายเป็น “มาตรฐานพิเศษ” ยิ่งกว่า “2 มาตรฐาน” เพราะ พ.ร.ก.ฉุกเฉินกลายเป็นเครื่องมือสร้างพยานและปั้นหลักฐานเพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองที่แม้แต่ฝ่ายตุลาการยังไม่กล้าตรวจสอบ ทั้งที่เป็นการใช้อำนาจที่ขัดกับรัฐธรรมนูญอย่างชัดเจนก็ตาม
รองเท้าแตะเป็นภัยต่อความมั่นคง?
นิติรัฐและความยุติธรรมของรัฐบาลอภิสิทธิ์จึงเป็นมาตรฐานของผู้มีอำนาจที่หากใครย้ายมาอยู่ข้างตนเองก็จะสามารถเสกให้ “ทำอะไรก็ไม่ผิด” เหมือนกรณีดารานักแสดงชายที่ถูกจับข้อหาก่อการร้าย แต่วันนี้กลับเดินปร๋อในฐานะพยานของดีเอสไอแล้วไล่ด่าและประจานผู้หญิงที่เคยมีความสัมพันธ์กันในอดีตมานานกว่า 10 ปีแล้วอย่างหน้าด้านไม่ละอาย “กินในที่ลับ ไขในที่แจ้ง” เพื่อสร้างกระแสให้แก่ตัวเองจนถูกฝ่ายหญิงและสังคมด่าว่า “เลว”
ขณะที่แม่ค้าขายรองเท้าแตะพิมพ์รูปหน้าคล้ายนายอภิสิทธิ์และนายสุเทพ ซึ่งแม้อาจถูกมองว่าไม่เหมาะสม ยังถูกจับข้อหาร่วมกันจำหน่ายหรือทำให้แพร่หลายซึ่งหนังสือพิมพ์ หรือสิ่งพิมพ์ หรือสิ่งอื่นใดที่มีข้อความอันอาจทำให้ประชาชนเกิดความหวาดกลัว หรือทำให้เกิดความเข้าใจผิดในสถานการณ์ฉุกเฉินและกระทบต่อความมั่นคงของรัฐ หรือความสงบเรียบร้อย หรือศีลธรรมอันดีของประชาชนในทั่วราชอาณาจักรตามมาตรา 9 (3) แห่ง พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 และมาตรา 9 (3) ข้อ 2
ความหมายเชิงสัญลักษณ์ผ่าน “รองเท้าแตะ” สามารถเป็นสื่อโฆษณาที่เป็นภัยร้ายแรงต่อความมั่นคงของชาติเลยทีเดียว??
ขณะที่ก่อนหน้านี้กลุ่มพันธมิตรฯก็เคยทำแบบเดียวกันแต่ต่างนายกฯ กลับถูกมองว่าเป็นเพียงสีสันการแสดงออกในการต่อสู้เท่านั้น
เช่นเดียวกับคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ขณะนี้ถูกนำมาเปรียบเทียบกับคดียุบพรรคการเมืองก่อนหน้านี้ ไม่ว่าจะเป็นพรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน พรรคชาติไทย ฯลฯ ที่ถูกตัดสินรวดเร็วอย่างกับจรวด หรือกรณีการดำเนินคดีผู้ก่อการร้ายยึดสนามบินของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่คลานเป็นเต่าเดินถอยหลัง เทียบไม่ได้กับกรณีแกนนำคนเสื้อแดงที่ “ให้ติดคุกไว้ก่อน...พ่อสอนไว้” ส่วนความจริงจะเป็นอย่างไรไม่ต้องรีบร้อน เหมือนจะรอให้จบวาระเป็นรัฐบาลเสียก่อนหรืออย่างไร?
การดำเนินคดีกับคนเสื้อแดงภายใต้อำนาจ พ.ร.ก. ฉุกเฉิน โดยรัฐบาลตะแบงว่าเป็นไปตามกระบวนการยุติธรรมแล้วนั้น กลับไม่ได้เป็นไปตามกระบวนการยุติธรรมปรกติ มีเพียงเจตนาเพื่อคุมขัง “นักโทษการเมือง” ฝ่ายตรงข้ามให้นานที่สุด
ตรงกับภาษาที่ว่า “Justice delayed is justice denied” หมายถึง “ความยุติธรรมที่มาล่าช้า” ก็คือ “ความอยุติธรรม”
รัฐบาลต้องเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินทันที! ต้องปล่อยนักโทษการเมืองให้เป็นอิสระ! เพื่อสู่กระบวนการยุติธรรมมาตรฐานเดียวกัน
ความปรองดอง ที่แท้จริง...ถึงจะมีโอกาสเริ่มต้น!
ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข
วันอังคารที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2553
ซุกข้อเท็จจริง
ข่าวสดรายวัน
คอลัมน์ เหล็กใน
แม้จะเหมือนช้าแต่ก็ยังดีกว่าไม่ทำอะไร เมื่อมีการตั้งคณะกรรมการร่วมระหว่างกรมคุ้มครองสิทธิเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม ดีเอสไอ กรมราชทัณฑ์ ตำรวจ และคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนฯ เพื่อเข้าไปตรวจสอบในเรือนจำรวม 17 แห่งทั่วประเทศ
เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงผู้ชุมนุมเสื้อแดง หรือแม้กระทั่งคนไม่เกี่ยวข้องรวม 175 ราย ที่ถูกคุมขังหลังถูกจับในช่วงการชุมนุมของเสื้อแดง ว่าถูกต้องและชอบธรรมเพียงใด!??
เนื่องจากที่ผ่านมามีเสียงร้องเรียนของญาติและผู้เกี่ยว ข้องจำนวนมากว่า 'ทหาร'ที่ในช่วงชุมนุมมีอำนาจล้นฟ้าจากพ.ร.ก.ฉุกเฉิน กวาดต้อนคนจำนวนมากยัดห้องขังโดยไม่สอบข้อเท็จจริงอย่างรอบด้าน!??
ไม่กี่วันก่อน ได้เสนอเรื่องราวของเหยื่อหลายรายที่ถูกขังคุกโดยยังมีข้อสงสัย ไม่ว่าจะเป็น 'ส.ต.รชต วงศ์ยอด' หนึ่งในผู้ต้องหาคดีก่อการร้าย ที่ดีเอสไอควบคุม และฝากขังไว้เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ตั้งแต่วันที่ 23 ก.ค. ที่ผ่านมา จนถึงปัจจุบัน
นายกฤษณะ ธัญชยพงศ์ และนายสุระชัย พริ้งพงศ์ ที่เข้าร่วมการชุมนุม แล้วถูกจับกุมศาลตัดสินจำคุกคนละ 1 ปี ตอนนี้อยู่ที่เรือนจำกลางคลองเปรม
ส.ต.รชต ถูกระบุว่าเป็นมือขวาของ'เสธ.แดง' โดย ดีเอสไอ อ้างว่ามีบทบาทอย่างมากระหว่างการชุมนุม!??
แต่ฝ่ายส.ต.รชต ซึ่งเข้าพบตำรวจหลังถูกออกหมายจับยืนยันว่าช่วงชุมนุม เขาฝึกอยู่ในค่ายทหารที่ปราจีนบุรี สลับกับการลงพื้นที่ภาคใต้ โดยมีหลักฐานทั้งหนังสือรับรองจากต้นสังกัด หลักฐานบันทึกการเข้าเวร และอื่นๆ
น่าตกใจว่าจากวันที่ถูกควบคุมตัวจนถึงวันนี้เกือบ 3 เดือนแล้ว แต่ดีเอสไอที่เป็นเจ้าของคดี ยังไม่เคย ไปสอบปากคำพยานของฝ่ายส.ต.รชต แม้แต่ปากเดียว!??
พี่สาวของทหารนายนี้ต้องมาร้องเรียน เพราะน้องชายติดคุกฟรีมานานหลายเดือน
เช่นเดียวกับนายกฤษณะและนายสุระชัย ซึ่งเปิดใจถึงวันที่ถูกจับว่ามีทหารตั้งด่านเรียกตรวจ ก่อนควบคุมตัวพาไปสอบสวนอย่างดุดัน และบังคับให้รับสารภาพ
ทั้งคู่ระบุว่าต้องยอมทำทุกอย่างที่สั่งเพราะกลัวตาย
ผลที่ตามมาก็คือทุกวันนี้ทั้ง 2 คนถูกจองจำอยู่ ในคุก
เชื่อว่าในเรือนจำทั่วประเทศมีเหยื่อแบบนี้อีกจำนวนมาก จึงเป็นการดีที่คณะกรรมการร่วมฯ จะเข้าไปสอบข้อเท็จจริง
โดยเฉพาะกับเหยื่อที่ผู้มีอำนาจทั้งทหาร ดีเอสไอ หรือกระทั่งตำรวจ ไม่ได้สอบสวนอย่างรอบด้าน มองเพียงว่าพวกนี้คือกลุ่มเสื้อแดง
จึงจงใจละเลยข้อเท็จจริง หรือถึงขั้นซุกข้อเท็จจริงเอาไว้ ต้องรีบช่วยเหลือโดยเร็วที่สุด
เพราะเท่ากับส่งผู้บริสุทธิ์เข้าคุก!!!
คอลัมน์ เหล็กใน
แม้จะเหมือนช้าแต่ก็ยังดีกว่าไม่ทำอะไร เมื่อมีการตั้งคณะกรรมการร่วมระหว่างกรมคุ้มครองสิทธิเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม ดีเอสไอ กรมราชทัณฑ์ ตำรวจ และคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนฯ เพื่อเข้าไปตรวจสอบในเรือนจำรวม 17 แห่งทั่วประเทศ
เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงผู้ชุมนุมเสื้อแดง หรือแม้กระทั่งคนไม่เกี่ยวข้องรวม 175 ราย ที่ถูกคุมขังหลังถูกจับในช่วงการชุมนุมของเสื้อแดง ว่าถูกต้องและชอบธรรมเพียงใด!??
เนื่องจากที่ผ่านมามีเสียงร้องเรียนของญาติและผู้เกี่ยว ข้องจำนวนมากว่า 'ทหาร'ที่ในช่วงชุมนุมมีอำนาจล้นฟ้าจากพ.ร.ก.ฉุกเฉิน กวาดต้อนคนจำนวนมากยัดห้องขังโดยไม่สอบข้อเท็จจริงอย่างรอบด้าน!??
ไม่กี่วันก่อน ได้เสนอเรื่องราวของเหยื่อหลายรายที่ถูกขังคุกโดยยังมีข้อสงสัย ไม่ว่าจะเป็น 'ส.ต.รชต วงศ์ยอด' หนึ่งในผู้ต้องหาคดีก่อการร้าย ที่ดีเอสไอควบคุม และฝากขังไว้เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ตั้งแต่วันที่ 23 ก.ค. ที่ผ่านมา จนถึงปัจจุบัน
นายกฤษณะ ธัญชยพงศ์ และนายสุระชัย พริ้งพงศ์ ที่เข้าร่วมการชุมนุม แล้วถูกจับกุมศาลตัดสินจำคุกคนละ 1 ปี ตอนนี้อยู่ที่เรือนจำกลางคลองเปรม
ส.ต.รชต ถูกระบุว่าเป็นมือขวาของ'เสธ.แดง' โดย ดีเอสไอ อ้างว่ามีบทบาทอย่างมากระหว่างการชุมนุม!??
แต่ฝ่ายส.ต.รชต ซึ่งเข้าพบตำรวจหลังถูกออกหมายจับยืนยันว่าช่วงชุมนุม เขาฝึกอยู่ในค่ายทหารที่ปราจีนบุรี สลับกับการลงพื้นที่ภาคใต้ โดยมีหลักฐานทั้งหนังสือรับรองจากต้นสังกัด หลักฐานบันทึกการเข้าเวร และอื่นๆ
น่าตกใจว่าจากวันที่ถูกควบคุมตัวจนถึงวันนี้เกือบ 3 เดือนแล้ว แต่ดีเอสไอที่เป็นเจ้าของคดี ยังไม่เคย ไปสอบปากคำพยานของฝ่ายส.ต.รชต แม้แต่ปากเดียว!??
พี่สาวของทหารนายนี้ต้องมาร้องเรียน เพราะน้องชายติดคุกฟรีมานานหลายเดือน
เช่นเดียวกับนายกฤษณะและนายสุระชัย ซึ่งเปิดใจถึงวันที่ถูกจับว่ามีทหารตั้งด่านเรียกตรวจ ก่อนควบคุมตัวพาไปสอบสวนอย่างดุดัน และบังคับให้รับสารภาพ
ทั้งคู่ระบุว่าต้องยอมทำทุกอย่างที่สั่งเพราะกลัวตาย
ผลที่ตามมาก็คือทุกวันนี้ทั้ง 2 คนถูกจองจำอยู่ ในคุก
เชื่อว่าในเรือนจำทั่วประเทศมีเหยื่อแบบนี้อีกจำนวนมาก จึงเป็นการดีที่คณะกรรมการร่วมฯ จะเข้าไปสอบข้อเท็จจริง
โดยเฉพาะกับเหยื่อที่ผู้มีอำนาจทั้งทหาร ดีเอสไอ หรือกระทั่งตำรวจ ไม่ได้สอบสวนอย่างรอบด้าน มองเพียงว่าพวกนี้คือกลุ่มเสื้อแดง
จึงจงใจละเลยข้อเท็จจริง หรือถึงขั้นซุกข้อเท็จจริงเอาไว้ ต้องรีบช่วยเหลือโดยเร็วที่สุด
เพราะเท่ากับส่งผู้บริสุทธิ์เข้าคุก!!!
เปิดหลักฐานทักษิณ “ถูกห้ามเข้าไปอยู่ในเยอรมัน”
หลังการรัฐประหาร 49 เป็นต้นมา อดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร ได้กลายเป็นผู้ลี้ภัยคดีทางการเมือง ตลอด4 ปีต้องร่อนเร่พเนจรไปตามประเทศต่างๆตั้งแต่อังกฤษ ดูไบ ฮ่องกง กัมพูชา มอนเตเนโกร หรือแม้แต่ในแอฟริกาหลายประเทศ จนล่าสุดก็มีอีกประเทศหนึ่งที่ถูกเผยขึ้นมาโดยนิตยสาร Foreign Policy ซึ่งอยู่ในเครือวอชิงตันโพสต์ (Washington Post) ได้ออกบทความ ”อดีตผู้นำที่เลว” (Bad Exes) เขียนโดย Joshua E.Keating ได้ออกมาระบุว่าอดีตนายกทักษิณได้เข้าไปพำนักในเยอรมันนับปีโดยใช้ชื่ออื่น
จากการตรวจสอบของ SIU พบว่าการเข้าไปพำนักในประเทศเยอรมันของอดีตนายกทักษิณได้เข้าไปตั้งแต่เมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2008 ซึงเป็นช่วงต้นรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ที่เวลานั้นซึ่งยังไม่มีนโยบายการไล่ล่าอดีตนายก โดยการใช้ เชงเก้นวีซ่า (Schengen visa) ที่ออกจากประเทศฝรั่งเศส ซึ่งวีซ่าประเภทนี้สามารถเดินทางเข้าและออกประเทศในสหภาพยุโรปได้ 15 ประเทศในยุโรปที่เป็นสมาชิกสหภาพยุโรปได้แก่ประเทศ เยอรมัน ฝรั่งเศส อิตาลี สเปน สวีเดน เนเธอร์แลนด์ กรีซ ลักเซมเบิร์ก ไอซ์แลนด์ เป็นต้น โดยพำนักได้ตั้งแต่ 90 วัน ถึง 6 เดือน2
ทั้งนี้ จากการให้สัมภาษณ์ของเอกอัครราชทูตเยอรมันประจำประเทศไทย ฯพณฯ ฮาน ชูมัคเกอร์ (Hanns Schumacher) เมื่อวันที่ 11 ตุลาคมแก่สำนักข่าวรอยเตอร์ว่า ได้สอบถามหน่วยงานรัฐบาลท้องถิ่นในกรุงบอนน์ (Bonn) ซึ่งเป็นผู้อนุมัติการให้พำนักในกรุงบอนน์ ประเทศเยอรมันแก่อดีตนายกทักษิณ และได้มีการตอบกลับมาพบว่าทางรัฐบาลท้องถิ่นในกรุงบอนน์ (Bonn) ได้อนุมัติการเข้ามาพำนักให้แก่พตท.ทักษิณจริงตั้งแต่ปลายปี 2008 แล้ว โดยใช้ที่อยู่ของทนายชาวเยอรมันที่มีชื่อเสียงคนหนึ่ง ได้ถูกรัฐบาลกลางของเยอรมันได้กดดันอย่างหนักจนในที่สุด พตท. ทักษิณก็ได้ออกจากเยอรมันเมื่อ 28 พฤษภาคม ปี 2009
ทางเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นในกรุงบอนน์ออกมากล่าวว่า ในช่วงเวลาดังกล่าว3 ชื่อของอดีตนายกทักษิณไม่ได้อยู่ในรายชื่อผู้ต้องห้ามในการเข้ามายังประเทศเยอรมันแต่อย่างใด คาดว่าทางอดีตนายกทักษิณได้ให้ทนายความชาวเยอรมันยื่นเอกสารต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง ที่พำนักในเยอรมัน จำนวนเงินที่จะนำเข้ามาใช้ในประเทศ ตลอดจนใบรับรองจากหน่วยงานด้านยุติธรรมในเยอรมันว่าไม่มีประวัติอาชญากรรม จนทำให้สามารถเข้าไปพำนักในประเทศเยอรมันได้ซึ่งไม่น่าเกิน 6 เดือนตามรูปแบบของเชงเก้นวีซ่า (Schengen visa)
โดยระบบของการห้ามเข้าประเทศของผู้มีรายชื่อต้องห้ามนั้น รายชื่อผู้ที่ถูกห้ามเข้าประเทศเยอรมันจะต้องอยู่ในระบบฐานข้อมูลคนเข้าเมืองของกระทรวงการต่างประเทศโดยเจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศต้องเป็นผู้กรอกลงในฐานข้อมูล ซึ่งย่อมเป็นคนละส่วนกับผู้ที่อนุมัติให้เข้ามาพำนักซึ่งเป็นส่วนของรัฐบาลท้องถิ่น เนื่องจากว่าประเทศเยอรมันได้แบ่งการปกครองออกเป็นมณฑลมีรัฐบาลท้องถิ่นเป็นของตนเองซึ่งมีอำนาจอนุมัติในระดับหนึ่งโดยไม่ต้องผ่านรัฐบาลกลาง และยิ่งใช้เชงเก้นวีซ่า (Schengen visa) ที่ออกจากประเทศฝรั่งเศสด้วยแล้วประกอบกับหลักฐานที่มีความน่าเชื่อถือ ย่อมไม่ยากที่จะผ่านการอนุมัติให้เข้ามาพำนักในกรุงบอนน์ได้
แต่ล่าสุดจากการให้สัมภาษณ์ของ ฯพณฯ ฮาน ชูมัคเกอร์ (Hanns Schumacher) แก่สำนักข่าวรอยเตอร์ได้บอกว่า ทางการเยอรมันได้แจ้งแก่ทนายที่ได้ให้ที่พำนักแก่อดีตนายกทักษิณจะถูกถอดใบอนุญาตและอาจมีความผิดกฎหมายถ้ายังให้อดีตนายกฯ พำนักอยู่ต่อไปและอาจถึงขั้นติดคุกก็เป็นได้
Germany Revokes Residence Permit for Thaksinการเข้าไปพำนักในประเทศต่างๆ ของอดีตนายกทักษิณโดยเฉพาะประเทศตะวันตก ต้องเผชิญกับแรงกดดันจากรัฐบาลของประเทศต่างๆ ตั้งแต่ไปอยู่ในประเทศอังกฤษในช่วงแรกๆ ก็ถูกรัฐบาลอังกฤษกดดันและถอดวีซ่าในการเข้าอังกฤษออกไป หลังจากเคลื่อนไหวทางการเมืองในเวลานั้น หรือช่วงที่ไปอยู่ในดูไบและมีการเคลื่อนไหวทางการเมืองที่รุนแรงมากๆ ก็ถูกรัฐบาลของดูไบสั่งห้ามเคลื่อนไหวทางการเมือง ในรูปการนี้การเดินทางไปประเทศตะวันตกที่เป็นประชาธิปไตยเข้มข้นของอดีตนายกทักษิณกลับเป็นไปด้วยความลำบากพอสมควร ต้องเดินทางไปยังประเทศเกิดใหม่หลายประเทศแทนซึ่งยังไม่มีความสัมพันธ์ในการส่งผู้ร้ายข้ามแดนมายังประเทศไทย หรือเข้าไปพำนักในประเทศที่มีความสัมพันธ์ในเจ้าหน้าที่หรือนักการเมืองระดับสูงในรัฐบาลนั้นๆ เช่น ในรัสเซีย มอนเตเนโกร หรือบรูไน เป็นต้น
Germany revokes residence permit for Thaksin
Thailand's former prime minister, Thaksin Shinawatra, is no longer welcome in Germany. A
bureaucratic blunder had allowed him to reside legally in Bonn for half a year, despite his name
being on a blacklist.
Former Thai Prime Minister Thaksin Shinawatra spent six months almost unnoticed in the former German
capital Bonn.
Though declared a persona non grata, Thaksin managed to enter Germany on December 29, 2008 using
a Schengen visa issued in France. It allows a person to travel through much of the European Union on a
single visa.
Bonn authorities then issued the residence permit for Thaksin, who used his German lawyer's address.
Federal officials only learned about it in April and ordered it revoked.
"We asked Bonn to revoke the permit and they responded immediately," Hanns Schumacher, Germany's
ambassador to Thailand, told Reuters on Wednesday.
Bonn authorities said Thaksin's name had not been on a list of people barred from Germany and he had
presented all the necessary documents. This included a certificate from a German federal justice agency
saying he had no criminal record. He had also proved he had adequate funds to live and a valid passport.
Officials said the absence of his name from the list of barred persons was the result of a data-entry
oversight by staff of the German foreign ministry.
"We informed the lawyer that the permit was revoked and should Thaksin still be in Germany, his stay
would be illegal and he would face detention," Schumacher said.
Options are waning
The former telecoms tycoon, who led Thailand for close to six years, was ousted from Thailand in a
military coup in 2006. He was convicted in absentia of corruption and has fled a two-year jail term at
home.
Germany is the latest country to shun the former leader, who continues to roam the globe with a variety
of passports and elude Thai authorities who say they are trying to extradite him. Britain revoked his visa
last year.
Bangkok has sought extradition agreements with the United Arab Emirates and Hong Kong, where
Thaksin has spent time since fleeing the country while on bail. His current whereabouts are unknown.
The German newspaper Sueddeutsche Zeitung said the former leader was now traveling on a
Nicaraguan diplomatic passport. A Thai foreign ministry official said Thaksin would be arrested if he
returned to Thailand. His Thai passport has been revoked.
sac/Reuters/AP/dpa
จากการที่บทความของนายโจชัว คีตติ้งได้เขียนถึงอดีตนายกทักษิณล่าสุด โดยเฉพาะเรื่องการเข้าไปพำนักในเยอรมันและถูกห้ามเข้าไปพำนักในเยอรมันนั้นต้องถือว่าเป็นเกมส์ที่เหนือเกินการคาดเดายิ่งนัก เพราะเรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องตั้งแต่ปลายปี 2008 จนถึงช่วงกลางปี 2009 ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นข่าวที่เงียบมากในเวลานั้น เพราะทุกคนหันไปให้ความสนใจเรื่องเสื้อแดงในเวลานั้นเป็นหลัก แต่กลับถูกออกมาเปิดเผยอีกครั้งและท่าทีตอบกลับของทักษิณในครั้งนี้กลับนิ่มนวลเป็นอย่างมาก ไม่มีการฟ้องร้องผู้ใด เพียงแต่จะเขียนจดหมายชี้แจงไปยังสำนักพิมพ์และผู้ขียนบทความเท่านั้น ไม่มีการออกมาตอบผ่านทางทวิตเตอร์เหมือนอย่างครั้งก่อนๆแต่อย่างใด
และเมื่อดูการเคลื่อนไหวของทางอดีตนายกทักษิณในเวลานี้กลับเงียบเชียบเป็นอย่างยิ่ง ไม่มีการออกมาปรากฎตัวแต่อย่างใดแม้แต่ใน twitter ก็ตามที ประกอบกับการที่ นาย นพดล ปัทมะ กล้าออกมายื่นข้อเสนอเงินถึง 1 ล้านบาท ถ้าใครหาหลักฐานมาได้ ยิ่งเป็นที่น่าสงสัยเป็นอย่างยิ่งว่าเกมส์ต่อรองในครั้งนี้ จะไปจบลงที่ตรงไหนกันแน่และใครจะได้เงิน 1 ล้านนี้ไป ผู้ที่อยากได้เงินล้าน อาจต้องหาหลักฐานมายืนยันให้ชัดแจ้ง เพื่อตอบปัญหาข้อสงสัยต่างๆที่ผุดขึ้นมาในเวลานี้
- เข้าไปดูบทความอื่นของ Joshua E. Keating ได้ใน http://blog.foreignpolicy.com/jkeating [↩]
- สามารถเข้าไปดูรายละเอียดการสมัครSchengen visaได้ใน http://www.schengenvisa.cc/ [↩]
- เมื่อปี 2008 ซึ่งเป็นช่วงยื่นเข้าไปพำนักในเยอรมัน เป็นช่วงเปลี่ยนรัฐบาลจากรัฐบาลนายสมชายมาเป็นรัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในช่วงนั้นยังไม่มีการไล่ล่าอดีตนายกทักษิณ [↩]
ที่มา Siam Intelligence Unit
วันจันทร์ที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2553
สงครามพรรค
เลือกตั้งซ่อมสุราษฎร์ธานี..ดูจะเป็นเลือกตั้งซ่อม ธรรมดา แต่กลับไม่ธรรมดาขึ้นมา เพราะเมื่อระดับ สุเทพ เทือกสุบรรณ ลงสนามเองแล้วก็เป็นเดิมพันใหญ่ขนาดที่ ชวน หลีกภัย และอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ยังเห็นพ้องต้องกันให้ผู้สมัครต้องลาออกจากตำแหน่ง รองนายกรัฐมนตรีแถมยังกันท่าหากจะกลับมาเป็นรองนายกฯ อีกที ก็ต้องว่ากันอีกที
แต่ที่สาหัสที่สุดก็กับวาจาของ ชวน หลีกภัย ที่ตอบ คำถามนักข่าวเรื่องตัวสำรองนายกรัฐมนตรีว่า หากว่า สุเทพ เทือกสุบรรณ จะได้รับเป็นตัวเลือก ก็ต้องเป็นไข้หวัดตายยกพรรคซะก่อน
ก็เลยไม่รู้ว่า เลือกตั้งซ่อมหนนี้ พรรคประชาธิปัตย์ จะยังสนับสนุน สุเทพ เทือกสุบรรณ อย่างเก่าหรือเปล่า.. สานุศิษย์ของ ชวน หลีกภัย ในสุราษฎร์ จะยังเป็นหัวคะแนนให้กับ สุเทพ หรือเปล่า
ลาออกจากความเป็นผู้แทนของสุเทพ เทือกสุบรรณ หนที่แล้ว..สุเทพ เทือกสุบรรณ บอกว่า..จะได้เลิกระแวง ผมซะที ประโยคนี้ สุเทพ พูดให้ใครฟัง ชวน หลีกภัย หรืออภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
กลับเข้ามาสู้เส้นทางนายกรัฐมนตรีของ สุเทพ เทือกสุบรรณ หนนี้..ปรารถนาสิ่งใดผู้จัดการรัฐบาล ที่เปิด ทางเก้าอี้นายกรัฐมนตรีให้กับ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จะสามารถผันตนเองเข้ามาสู่เก้าอี้ตัวนี้ได้หรือไม่
ทักษิณ ชินวัตร จะให้เก้าอี้นายกรัฐมนตรีกับใครระหว่าง สุเทพ เทือกสุบรรณ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และ สนั่น ขจรประศาสน์ หากว่า พรรคเพื่อไทยจะเป็นผู้ชี้ขาด
ดังนั้น เลือกตั้งซ่อมคราวนี้ จึงมีความสำคัญมากกว่า เลือกตั้งธรรมดา สำหรับทุกพรรคและสำคัญที่สุดสำหรับพรรคภูมิใจไทย แนวร่วมข้างกายของ สุเทพ เทือกสุบรรณ.. กับขบวนการจัดสรรอำนาจนอกรัฐสภาของประเทศไทย
ถ้า สุเทพ แพ้เลือกตั้ง ก็เพราะถูกหักหลัง จากพรรคประชาธิปัตย์ด้วยกัน พรรคประชาธิปัตย์แตก ก็เป็น เรื่องหลีกเลี่ยงไม่ได้ สุเทพ เทือกสุบรรณ แพ้เลือกตั้ง ที่สุราษฎร์ธานี เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้หมาย ความว่ามันจะเกิดขึ้นมาไม่ได้
ในวันที่ประชาธิปัตย์ กำลังระอุด้วยไฟแห่งความแตกแยกแต่ไม่ว่าจะแพ้หรือชนะ..วันเวลาของ สุเทพ เทือกสุบรรณ กับพรรคประชาธิปัตย์ได้สิ้นสุดลงแล้วเป็นไปตามอาถรรพ์ของพรรคประชาธิปัตย์ที่ว่าเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ไม่เคยเป็นหัวหน้าและไม่ เคยจบสวย
ที่มา.สยามธุรกิจ
แต่ที่สาหัสที่สุดก็กับวาจาของ ชวน หลีกภัย ที่ตอบ คำถามนักข่าวเรื่องตัวสำรองนายกรัฐมนตรีว่า หากว่า สุเทพ เทือกสุบรรณ จะได้รับเป็นตัวเลือก ก็ต้องเป็นไข้หวัดตายยกพรรคซะก่อน
ก็เลยไม่รู้ว่า เลือกตั้งซ่อมหนนี้ พรรคประชาธิปัตย์ จะยังสนับสนุน สุเทพ เทือกสุบรรณ อย่างเก่าหรือเปล่า.. สานุศิษย์ของ ชวน หลีกภัย ในสุราษฎร์ จะยังเป็นหัวคะแนนให้กับ สุเทพ หรือเปล่า
ลาออกจากความเป็นผู้แทนของสุเทพ เทือกสุบรรณ หนที่แล้ว..สุเทพ เทือกสุบรรณ บอกว่า..จะได้เลิกระแวง ผมซะที ประโยคนี้ สุเทพ พูดให้ใครฟัง ชวน หลีกภัย หรืออภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
กลับเข้ามาสู้เส้นทางนายกรัฐมนตรีของ สุเทพ เทือกสุบรรณ หนนี้..ปรารถนาสิ่งใดผู้จัดการรัฐบาล ที่เปิด ทางเก้าอี้นายกรัฐมนตรีให้กับ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จะสามารถผันตนเองเข้ามาสู่เก้าอี้ตัวนี้ได้หรือไม่
ทักษิณ ชินวัตร จะให้เก้าอี้นายกรัฐมนตรีกับใครระหว่าง สุเทพ เทือกสุบรรณ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และ สนั่น ขจรประศาสน์ หากว่า พรรคเพื่อไทยจะเป็นผู้ชี้ขาด
ดังนั้น เลือกตั้งซ่อมคราวนี้ จึงมีความสำคัญมากกว่า เลือกตั้งธรรมดา สำหรับทุกพรรคและสำคัญที่สุดสำหรับพรรคภูมิใจไทย แนวร่วมข้างกายของ สุเทพ เทือกสุบรรณ.. กับขบวนการจัดสรรอำนาจนอกรัฐสภาของประเทศไทย
ถ้า สุเทพ แพ้เลือกตั้ง ก็เพราะถูกหักหลัง จากพรรคประชาธิปัตย์ด้วยกัน พรรคประชาธิปัตย์แตก ก็เป็น เรื่องหลีกเลี่ยงไม่ได้ สุเทพ เทือกสุบรรณ แพ้เลือกตั้ง ที่สุราษฎร์ธานี เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้หมาย ความว่ามันจะเกิดขึ้นมาไม่ได้
ในวันที่ประชาธิปัตย์ กำลังระอุด้วยไฟแห่งความแตกแยกแต่ไม่ว่าจะแพ้หรือชนะ..วันเวลาของ สุเทพ เทือกสุบรรณ กับพรรคประชาธิปัตย์ได้สิ้นสุดลงแล้วเป็นไปตามอาถรรพ์ของพรรคประชาธิปัตย์ที่ว่าเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ไม่เคยเป็นหัวหน้าและไม่ เคยจบสวย
ที่มา.สยามธุรกิจ
ภท.ม้าตีนต้นถึงเวลา ‘3พี’ เอาคืน
การเคลื่อนไหวของพรรคเพื่อแผ่นดิน ภายใต้การนำทัพของ “3P” ที่อักษร “พ” นำหน้าแกนนำ ประกอบไปด้วย พินิจ จารุสมบัติ, ปรีชา เลาหพงศ์ชนะ และว่าที่ ร.ต.ไพโรจน์ สุวรรณฉวี ได้นำมาซึ่งความสั่นไหวทาง การเมืองที่น่าสนใจอย่างยิ่ง โดยเฉพาะ กระแส “การจับขั้วรัฐบาลใหม่” ที่ถูกยึดโยงกับการตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญในคดียุบพรรคประชาธิปัตย์
สอดรับกับอาการเคลื่อนไหวของมติพรรคประชาธิปัตย์ที่ส่ง “สุเทพ เทือกสุบรรณ” ลงสมัครรับเลือกตั้งซ่อมส.ส.สุราษฎร์ธานี อย่างมีนัยสำคัญ บ้างวิเคราะห์ไปว่าเป็นการ “แต่งตัวนายกฯ สำรอง” ทางกลับกันก็คือการ “ฆ่าตัดตอน” สายสัมพันธ์ที่ดูจะสุก งอมจนออกนอกหน้าระหว่าง “สุเทพ” และ “เนวิน ชิดชอบ” แกนนำพรรคภูมิใจไทย
ชั่วโมงสุญญากาศระหว่างที่นายกฯ อภิสิทธิ์ปฏิบัติภารกิจอยู่ในต่างแดน ณ กรุงบรัสเซลส์ กระแสการจับขั้วรัฐบาล ใหม่ดูช่างคึกคักเป็นพิเศษ โดยแกนนำ พรรคเพื่อแผ่นดินต่างดาหน้าออกมาแสดงจุดยืนและท่าทีในการร่วมรัฐบาล ประชาธิปัตย์อย่างเปิดเผยตรงไปตรงมา
ไล่เรียงจาก ธีระทัศน์ เตียวเจริญโสภา ส.ส.สุรินทร์ หัวหน้ากลุ่มสุรินทร์ พรรคเพื่อแผ่นดิน วิเคราะห์พร้อมตอกย้ำกรณีพรรคประชาธิปัตย์ไม่ถูกยุบ นายกรัฐมนตรีคงไม่เกรงใจพรรคภูมิใจไทย อีกต่อไปแล้ว และอาจ ดึงพรรคเพื่อแผ่นดิน เข้าร่วมรัฐบาลอีกครั้งว่า เรื่องนี้นายชาญชัย ชัยรุ่งเรือง หัวหน้าพรรคเพื่อแผ่นดิน เคยให้สัมภาษณ์ ชัดเจนแล้วว่าจะไม่พายเรือให้โจรนั่ง ดังนั้น ถ้ารัฐบาลปรับภูมิใจไทยออก ก็เป็นไปได้ว่าเพื่อแผ่นดินจะเข้าร่วมรัฐบาลอีกครั้ง
“พวกเรามีมติไม่ไว้วางใจ 2 รัฐมนตรีของภูมิใจไทย จนถูกปรับออกจากการเป็นพรรคร่วมรัฐบาล ดังนั้น ถ้ารัฐมนตรีของภูมิใจไทยยังอยู่ร่วมรัฐบาล แล้วเราจะไปร่วมรัฐบาล ได้อย่างไร ถ้ารัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ปรับ ครม.เพื่อให้มีภาพลักษณ์ที่ดีขึ้น ก็คงจะอยู่ครบเทอมยาก โดยเฉพาะกระทรวงมหาดไทย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการแต่งตั้งปลัด การสอบเข้าโรงเรียนนายอำเภอหรือแม้ แต่เรื่องการเช่าซื้อคอมพ์ฉาว ชาวบ้าน ก็วิจารณ์กันมาก”
ในขณะที่ตำบลกระสุนตกอย่าง พรรคภูมิใจไทย “อนุทิน ชาญวีรกูล” แกนนำคนสำคัญ ชิงออกมาตัดกระแส ร้อนแรงในการจับขั้วรัฐบาลใหม่ทันควัน พร้อมถามหาสปิริตพรรคประชาธิปัตย์ หากปรับพรรคภูมิใจไทยออกจากพรรคร่วมรัฐบาล นัยว่าจะตอบคำถาม สังคมได้อย่างไร พร้อมยืนยันว่า ความสัมพันธ์ระหว่างพรรคภูมิใจไทยกับพรรคประชาธิปัตย์ยังคงแน่นแฟ้น ไม่มีปัญหาอะไรบ่งชี้ว่าจะต้องปรับภูมิใจไทยออกจากรัฐบาล ขณะเดียว กัน ยังมั่นใจว่า “ปู่จิ้น” จะไม่ถูกเตะตัด ขาตกเก้าอี้ มท.1 ตามข้อเรียกร้องของ พรรคเพื่อแผ่นดิน
ดูเหมือนว่า ความอหังการของ ภูมิใจไทยที่ร้อนแรงจะลดอุณหภูมิอย่างฉับพลัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อ สาทิตย์ วงศ์หนองเตย แกนนำพรรคประชาธิปัตย์ออกมาสอดรับความเห็นจากพรรคเพื่อแผ่นดิน โดยยอมรับว่ารัฐบาลต้องการเสียงเพิ่ม
มวยชกกัน 12 ยก ยกต้นๆ 1-7 ดูเหมือนว่าพรรคภูมิใจไทยที่มีกุนซือ ใหญ่ชักใย อย่างเนวิน ชิดชอบ ที่แอบ แย่งซีนและฉลาดในการฉีกหน้าพรรค แกนนำรัฐบาล โดยมองข้ามหัวนายกฯ ทั้งเรื่องการแต่งตั้ง ผบ.ตร.ที่ผ่านมา และการเปิดศึกงัดข้อแสดงพลัง จน นายกฯ อภิสิทธิ์กลายเป็นเด็กในโอวาท ของเนวินไปเสียฉิบ
ทว่ายืนระยะแล้วยกปลาย เราอาจได้เห็นอาการแผ่วของพรรคภูมิใจไทยที่อาจตกที่นั่งลำบากเป็น “ศัตรูกับ ทุกพรรคการเมือง” ดังการวิเคราะห์ของ “สนธิ ลิ้มทองกุล” ก็เป็นได้
สอดรับกับอาการเคลื่อนไหวของมติพรรคประชาธิปัตย์ที่ส่ง “สุเทพ เทือกสุบรรณ” ลงสมัครรับเลือกตั้งซ่อมส.ส.สุราษฎร์ธานี อย่างมีนัยสำคัญ บ้างวิเคราะห์ไปว่าเป็นการ “แต่งตัวนายกฯ สำรอง” ทางกลับกันก็คือการ “ฆ่าตัดตอน” สายสัมพันธ์ที่ดูจะสุก งอมจนออกนอกหน้าระหว่าง “สุเทพ” และ “เนวิน ชิดชอบ” แกนนำพรรคภูมิใจไทย
ชั่วโมงสุญญากาศระหว่างที่นายกฯ อภิสิทธิ์ปฏิบัติภารกิจอยู่ในต่างแดน ณ กรุงบรัสเซลส์ กระแสการจับขั้วรัฐบาล ใหม่ดูช่างคึกคักเป็นพิเศษ โดยแกนนำ พรรคเพื่อแผ่นดินต่างดาหน้าออกมาแสดงจุดยืนและท่าทีในการร่วมรัฐบาล ประชาธิปัตย์อย่างเปิดเผยตรงไปตรงมา
ไล่เรียงจาก ธีระทัศน์ เตียวเจริญโสภา ส.ส.สุรินทร์ หัวหน้ากลุ่มสุรินทร์ พรรคเพื่อแผ่นดิน วิเคราะห์พร้อมตอกย้ำกรณีพรรคประชาธิปัตย์ไม่ถูกยุบ นายกรัฐมนตรีคงไม่เกรงใจพรรคภูมิใจไทย อีกต่อไปแล้ว และอาจ ดึงพรรคเพื่อแผ่นดิน เข้าร่วมรัฐบาลอีกครั้งว่า เรื่องนี้นายชาญชัย ชัยรุ่งเรือง หัวหน้าพรรคเพื่อแผ่นดิน เคยให้สัมภาษณ์ ชัดเจนแล้วว่าจะไม่พายเรือให้โจรนั่ง ดังนั้น ถ้ารัฐบาลปรับภูมิใจไทยออก ก็เป็นไปได้ว่าเพื่อแผ่นดินจะเข้าร่วมรัฐบาลอีกครั้ง
“พวกเรามีมติไม่ไว้วางใจ 2 รัฐมนตรีของภูมิใจไทย จนถูกปรับออกจากการเป็นพรรคร่วมรัฐบาล ดังนั้น ถ้ารัฐมนตรีของภูมิใจไทยยังอยู่ร่วมรัฐบาล แล้วเราจะไปร่วมรัฐบาล ได้อย่างไร ถ้ารัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ปรับ ครม.เพื่อให้มีภาพลักษณ์ที่ดีขึ้น ก็คงจะอยู่ครบเทอมยาก โดยเฉพาะกระทรวงมหาดไทย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการแต่งตั้งปลัด การสอบเข้าโรงเรียนนายอำเภอหรือแม้ แต่เรื่องการเช่าซื้อคอมพ์ฉาว ชาวบ้าน ก็วิจารณ์กันมาก”
ในขณะที่ตำบลกระสุนตกอย่าง พรรคภูมิใจไทย “อนุทิน ชาญวีรกูล” แกนนำคนสำคัญ ชิงออกมาตัดกระแส ร้อนแรงในการจับขั้วรัฐบาลใหม่ทันควัน พร้อมถามหาสปิริตพรรคประชาธิปัตย์ หากปรับพรรคภูมิใจไทยออกจากพรรคร่วมรัฐบาล นัยว่าจะตอบคำถาม สังคมได้อย่างไร พร้อมยืนยันว่า ความสัมพันธ์ระหว่างพรรคภูมิใจไทยกับพรรคประชาธิปัตย์ยังคงแน่นแฟ้น ไม่มีปัญหาอะไรบ่งชี้ว่าจะต้องปรับภูมิใจไทยออกจากรัฐบาล ขณะเดียว กัน ยังมั่นใจว่า “ปู่จิ้น” จะไม่ถูกเตะตัด ขาตกเก้าอี้ มท.1 ตามข้อเรียกร้องของ พรรคเพื่อแผ่นดิน
ดูเหมือนว่า ความอหังการของ ภูมิใจไทยที่ร้อนแรงจะลดอุณหภูมิอย่างฉับพลัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อ สาทิตย์ วงศ์หนองเตย แกนนำพรรคประชาธิปัตย์ออกมาสอดรับความเห็นจากพรรคเพื่อแผ่นดิน โดยยอมรับว่ารัฐบาลต้องการเสียงเพิ่ม
มวยชกกัน 12 ยก ยกต้นๆ 1-7 ดูเหมือนว่าพรรคภูมิใจไทยที่มีกุนซือ ใหญ่ชักใย อย่างเนวิน ชิดชอบ ที่แอบ แย่งซีนและฉลาดในการฉีกหน้าพรรค แกนนำรัฐบาล โดยมองข้ามหัวนายกฯ ทั้งเรื่องการแต่งตั้ง ผบ.ตร.ที่ผ่านมา และการเปิดศึกงัดข้อแสดงพลัง จน นายกฯ อภิสิทธิ์กลายเป็นเด็กในโอวาท ของเนวินไปเสียฉิบ
ทว่ายืนระยะแล้วยกปลาย เราอาจได้เห็นอาการแผ่วของพรรคภูมิใจไทยที่อาจตกที่นั่งลำบากเป็น “ศัตรูกับ ทุกพรรคการเมือง” ดังการวิเคราะห์ของ “สนธิ ลิ้มทองกุล” ก็เป็นได้
ปรับพฤติกรรมแหล่งข่าวทางการเมือง
กล่าวกันว่า สิ่งที่คุณมองเห็น สิ่งที่คุณได้ยิน อาจไม่ใช่ความจริงเหมือนกับที่เห็นและได้ยินเสมอไป มันอาจเป็นความจริงทั้งหมด หรือเป็นเพียงความจริงเพียงครึ่งเดียวก็ได้ หรือเป็นความจริงฉาบหน้าอยู่ แต่ข้างหลังอาจเป็นสิ่งโกหกหลอกลวง
ด้วยเหตุนี้ วงการข่าวกรองจึงให้ความสำคัญกับการประเมินค่าแหล่งข่าวบุคคลอย่างมาก โดยเฉพาะการประเมินความน่าเชื่อถือของแหล่งข่าว อาทิ แหล่งข่าวเข้าถึงข่าวโดยตรงหรือโดยอ้อม เขาได้พบเห็นมาด้วยตนเองหรือได้ฟังมากี่ต่อ รายงานที่ผ่านมาถูกต้องมากน้อยเพียงใด หรือนี่เป็นรายงานครั้งแรก เจ้าหน้าที่คุมข่ายจะบันทึกผลงานที่ผ่านมาทุกครั้งเพื่อประโยชน์ในการประเมินความน่าเชื่อถือของแหล่งข่าว
คนไทยผู้บริโภคข่าวทุกวันนี้อยู่ท่ามกลางข่าวปล่อย ข่าวลือ ข่าวลวง โดยเฉพาะจากนักการเมือง เพราะฉนั้น สิ่งที่นักการเมืองพูดอาจไม่ใช่ความจริงทั้งหมดอย่างที่เราได้ยิน ข่าวนั้นอาจเป็นความจริงครึ่งหนึ่ง ความเท็จครึ่งหนึ่ง หรือเป็นข่าวลวง ข่าวปล่อยเพื่อให้เราหลงไปตามกระแสหรือเป้าหมายที่พวกเขาต้องการ ภายใต้สถานการณ์ความขัดแย้งสองสามปีที่ผ่านมาจนถึงวันนี้ มีข่าวปล่อยมากมายจากนักการเมืองทั้งฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาล กลุ่มขัดแย้งทางการเมืองนอกสภา ฯลฯ จนทำให้คนไทยสับสนไปหมดว่าข่าวไหนจริงข่าวไหนลวง ข่าวจริงกี่เปอร์เซ็นต์และข่าวลวงกี่เปอร์เซ็นต์
การประเมินความน่าเชื่อถือของแหล่งข่าวหรือผู้ให้ข่าวนั้น ไม่ใช่พูดวันนี้แล้วประเมินกันได้เลย แต่ต้องทำอย่างเป็นระบบ แหล่งข่าวบางคนพูดแล้วเชื่อถือได้ เพราะที่ผ่านมา คำพูดนั้นปรากฎว่าเป็นจริงทั้งหมดหรือเป็นส่วนใหญ่ หรือพิศูจน์ในภายหลังแล้วว่าเป็นความจริง แต่นักการเมืองอีกหลายคนเป็นแหล่งข่าวที่เชื่อถือไม่ได้ คำพูดที่ผ่านมามีทั้งโกหกหลอกลวงที่สังคมพิศูจน์ได้ ดังนั้น คำพูดของนักการเมืองประเภทนี้จึงไม่มีค่าแก่การรับฟังเลย เพราะเป็นคำพูดเท็จ หรือจริงครึ่งเท็จครึ่ง เป็นข่าวปล่อย ข่าวลวง เพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองของตนและพวกเท่านั้น
แต่สื่อหลายสำนักก็ยังยินดีที่จะรายงานในสิ่งที่รู้ทั้งรู้ว่าเป็นข่าวเท็จ ข่าวปล่อย ข่าวลวง ไม่มีค่าแก่การรับฟัง โดยอ้างหลักการว่าต้องมีความเป็นกลาง ด้วยการรายงานทั้งสองด้านทั้งที่สื่อควรนำเสนอความจริงเท่านั้นไปยังผู้บริโภคข่าว สิ่งหนึ่งที่สื่อควรตระหนักก็คือ สื่อไม่ใช่เป็นตัวกลางในการแพร่กระจายข่าวเท็จ ข่าวปล่อย ข่าวลวง ไปยังประชาชนโดยอ้างว่าเพื่อให้ประชาชนใช้วิจารณญานในการตัดสินด้วยตนเองว่าควรจะเชื่อใคร เพราะไม่ใช่ทุกคนที่สามารถวิเคราะห์แยกแยะว่าอะไรถูกอะไรผิดได้ ดังนั้น ประชาชนส่วนหนึ่งจึงอาจตกเป็นเหยื่อของนักการเมืองไปด้วย
มองอีกด้านหนึ่ง ก็เหมือนกับเป็นการส่งเสริมให้นักการเมืองบางคนใช้ประโยชน์จากสื่อช่วยโฆษณาประชาสัมพันธ์ตัวเอง ดังจะเห็นว่า นักการเมืองบางคนออกข่าวรายวันเพื่อแย่งพื้นที่ข่าว บางคนมีข่าวได้ทุกวันโดยขอให้เป็นข่าวแค่ย่อหน้าเดียวก็ยังดี ทั้งที่พื้นที่ข่าวบนสื่อ ไม่ว่าจะเป็นสื่อสิ่งพิมพ์ สื่อวิทยุ สื่อโทรทัศน์ก็ดีมีคุณค่าอย่างยิ่งที่ควรบรรจุข่าวที่มีเนื้อหาสาระเป็นประโยชน์กับผู้บริโภคข่าวมากกว่า
ผู้สื่อข่าวมีหน้าที่ต้องรายงานข่าวเข้าไปยังกองบรรณาธิการ ผู้สื่อข่าวบางรายได้รับคำสั่งว่าต้องรายงานข่าววันละกี่ชิ้น ซึ่งอาจเป็นกลยุทธหนึ่งของกองบรรณาธิการที่ต้องการกระตุ้นให้ผู้สื่อข่าวตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา สิ่งที่ดูเหมือนว่านักข่าวจะกลัวมากที่สุดคือการตกข่าว เพราะอาจถูกตำหนิจากบรรณาธิการได้ แม้ตระหนักดีว่าข่าวนั้นอาจไม่มีคุณค่าทางการข่าวหรือมีประโยชน์ต่อประชาชนแต่อย่างใด อีกทั้งแหล่งข่าวก็เป็นคนที่เชื่อถือไม่ได้ แต่ถ้าตัวเองไม่ส่ง เพื่อนสำนักอื่นก็ส่ง ดีไม่ดีตนเองอาจถูกตำหนิว่าตกข่าวเสียอีก จึงผลักให้เป็นภาระของกองบรรณาธิการซึ่งทำหน้าที่คัดเลือกข่าวนำเสนอต่อประชาชนเอง
สื่อโทรทัศน์เสรีแห่งหนึ่งได้ปรับวิธีการนำเสนอข่าวนักการเมืองบางคนที่มีพฤติกรรมพูดจาเชื่อถือไม่ได้ พิธีกรจะสรุปคำพูดของคน ๆ นั้นแบบสั้น ๆ เช่นเดียวกับคู่กรณี และปล่อยให้มีภาพข่าวแหล่งข่าวอ้าปากพูดพะงาบ ๆ โดยไม่มีเสียง เพื่อไม่ตกเป็นเหยื่อของนักการเมืองบางคน ขณะเดียวกันก็ไม่ตกข่าวด้วย นี่เป็นวิธีการหนึ่งในการสั่งสอนหรือช่วยพัฒนานักการเมือง ถ้าใครพูดไม่ดีก็ไม่ต้องเสนอข่าว
ถ้าสื่อทั้งหลายร่วมมือร่วมใจกันในการช่วยพัฒนาแหล่งข่าวให้เป็นบุคคลที่มีคุณภาพขึ้น โดยเลือกที่จะสัมภาษณ์บุคคลที่คิดว่ามีคุณค่าเพียงพอ มีความน่าเชื่อถือได้ ข่าวที่ออกจากปากแหล่งข่าวมีประโยชน์ต่อสังคม โดยปฏิเสธที่จะตกเป็นเหยื่อของนักการเมืองบางประเภทที่มุ่งแต่จะเป็นข่าวทุกวันหรือมุ่งยึดพื้นที่ข่าวเพื่อหาเสียงหรือให้ประชาชนจำชื่อได้ แต่ข่าวที่ได้นั้นไม่มีคุณค่าเพียงพอต่อการรับฟังเลยแม้แต่น้อย เท่ากับเป็นการสั่งสอนให้แหล่งข่าวตระหนักรู้ว่าต้องพัฒนาตัวอย่างไรบ้างหากต้องกาเป็นข่าว
สื่อบางรายแย้งว่า หากไม่เสนอคำพูดของแหล่งข่าวแล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าแหล่งข่าวโกหก ซึ่งเป็นความจริงส่วนหนึ่ง แต่ถ้า แหล่งข่าวคนนั้นสื่อนำเสนอหลายครั้งแล้วและพิศูจน์ได้ว่า เขาพูดเท็จบ้างจริงบ้างเป็นประจำ แล้วสื่อยังจะตกเป็นเครื่องมือให้นักการเมืองแสวงประโยชน์อีกหรือ
ประชาชนกลุ่มหนึ่งได้เริ่มปรับบทบาทของตนในการแซงชั่นแหล่งข่าวประเภทนี้ หลายคนใช้วิธีปิดโทรทัศน์พอเห็นหน้านักการเมืองคนนี้ทางโทรทัศน์ หรือเปลี่ยนไปดูช่องอื่นทันทีเพราะทนไม่ได้กับคำพูดยะโสโอหัง หรือทนเห็นหน้าตาอัปลักษณ์ของแหล่งข่าวไม่ได้ บางคนใช้วิธีปิดเสียงทันที เพราะรู้แล้วว่าแหล่งข่าวจะพูดอะไรบนพฤติกรรมที่ซ้ำซาก หรือรู้ว่าจะด่าอะไรกันระหว่างฝ่ายค้านกับฝ่ายรัฐบาล บางคนยอมรับว่าไม่ค่อยได้เดูการถ่ายทอดการประชุมสภาเพราะเห็นพฤติกรรมนักการเมืองบางคนแล้วทนไม่ไหว หรือถ้าดูก็ใช้วิธีลุกเข้าห้องน้ำหรือปิดเสียงชั่วคราวแทน เพื่อไม่ให้เสียสุขภาพจิตที่ต้องมาฟังหรือทนเห็นพฤติกรรมของนักการเมืองบางคน
เครือข่ายสังคมผ่านสื่ออีเล็คโทรนิกส์ได้เริ่มมีบทบาทในการแชงชั่นแหล่งข่าวการเมืองประเภทนี้มากขึ้น โดยมีการส่งข่าวถึงกันในเครือข่ายทั้งผ่านทางทวิตเตอร์ เฟซบุ๊ค เอสเอ็มเอส. ดังนั้น สื่อสิ่งพิมพ์ สื่อวิทยุและโทรทัศน์ ซึ่งเป็นสื่อพื้นฐานและเป็นสื่อตั้งต้นควรเริ่มคิดได้แล้ว
ภายใต้สถานการณ์ความขัดแย้งในปัจจุบัน ที่เป็นการต่อสู้อย่างแหลมคม ทั้งสองฝ่ายต่างงัดเอากลยุทธทุกรูปแบบมาทำ “สงครามข่าวสาร” ซึ่งกันและกันโดยมีสื่อและประชาชนเป็นเครื่องมือ ดังนั้น สื่อที่นำเสนอข่าวและประชาชนผู้บริโภคข่าวจึงต้องตั้งสติ ใช้ดุลยพินิจและวิจารณญานในการบริโภคข้อมูลข่าวสาร ประชาชนผู้บริโภคข่าวต้องไม่ตกเป็นเหยื่อและต้องรู้ทันเกมทางการเมืองของนักการเมือง
ที่มา.ไทยนิวส์
ด้วยเหตุนี้ วงการข่าวกรองจึงให้ความสำคัญกับการประเมินค่าแหล่งข่าวบุคคลอย่างมาก โดยเฉพาะการประเมินความน่าเชื่อถือของแหล่งข่าว อาทิ แหล่งข่าวเข้าถึงข่าวโดยตรงหรือโดยอ้อม เขาได้พบเห็นมาด้วยตนเองหรือได้ฟังมากี่ต่อ รายงานที่ผ่านมาถูกต้องมากน้อยเพียงใด หรือนี่เป็นรายงานครั้งแรก เจ้าหน้าที่คุมข่ายจะบันทึกผลงานที่ผ่านมาทุกครั้งเพื่อประโยชน์ในการประเมินความน่าเชื่อถือของแหล่งข่าว
คนไทยผู้บริโภคข่าวทุกวันนี้อยู่ท่ามกลางข่าวปล่อย ข่าวลือ ข่าวลวง โดยเฉพาะจากนักการเมือง เพราะฉนั้น สิ่งที่นักการเมืองพูดอาจไม่ใช่ความจริงทั้งหมดอย่างที่เราได้ยิน ข่าวนั้นอาจเป็นความจริงครึ่งหนึ่ง ความเท็จครึ่งหนึ่ง หรือเป็นข่าวลวง ข่าวปล่อยเพื่อให้เราหลงไปตามกระแสหรือเป้าหมายที่พวกเขาต้องการ ภายใต้สถานการณ์ความขัดแย้งสองสามปีที่ผ่านมาจนถึงวันนี้ มีข่าวปล่อยมากมายจากนักการเมืองทั้งฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาล กลุ่มขัดแย้งทางการเมืองนอกสภา ฯลฯ จนทำให้คนไทยสับสนไปหมดว่าข่าวไหนจริงข่าวไหนลวง ข่าวจริงกี่เปอร์เซ็นต์และข่าวลวงกี่เปอร์เซ็นต์
การประเมินความน่าเชื่อถือของแหล่งข่าวหรือผู้ให้ข่าวนั้น ไม่ใช่พูดวันนี้แล้วประเมินกันได้เลย แต่ต้องทำอย่างเป็นระบบ แหล่งข่าวบางคนพูดแล้วเชื่อถือได้ เพราะที่ผ่านมา คำพูดนั้นปรากฎว่าเป็นจริงทั้งหมดหรือเป็นส่วนใหญ่ หรือพิศูจน์ในภายหลังแล้วว่าเป็นความจริง แต่นักการเมืองอีกหลายคนเป็นแหล่งข่าวที่เชื่อถือไม่ได้ คำพูดที่ผ่านมามีทั้งโกหกหลอกลวงที่สังคมพิศูจน์ได้ ดังนั้น คำพูดของนักการเมืองประเภทนี้จึงไม่มีค่าแก่การรับฟังเลย เพราะเป็นคำพูดเท็จ หรือจริงครึ่งเท็จครึ่ง เป็นข่าวปล่อย ข่าวลวง เพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองของตนและพวกเท่านั้น
แต่สื่อหลายสำนักก็ยังยินดีที่จะรายงานในสิ่งที่รู้ทั้งรู้ว่าเป็นข่าวเท็จ ข่าวปล่อย ข่าวลวง ไม่มีค่าแก่การรับฟัง โดยอ้างหลักการว่าต้องมีความเป็นกลาง ด้วยการรายงานทั้งสองด้านทั้งที่สื่อควรนำเสนอความจริงเท่านั้นไปยังผู้บริโภคข่าว สิ่งหนึ่งที่สื่อควรตระหนักก็คือ สื่อไม่ใช่เป็นตัวกลางในการแพร่กระจายข่าวเท็จ ข่าวปล่อย ข่าวลวง ไปยังประชาชนโดยอ้างว่าเพื่อให้ประชาชนใช้วิจารณญานในการตัดสินด้วยตนเองว่าควรจะเชื่อใคร เพราะไม่ใช่ทุกคนที่สามารถวิเคราะห์แยกแยะว่าอะไรถูกอะไรผิดได้ ดังนั้น ประชาชนส่วนหนึ่งจึงอาจตกเป็นเหยื่อของนักการเมืองไปด้วย
มองอีกด้านหนึ่ง ก็เหมือนกับเป็นการส่งเสริมให้นักการเมืองบางคนใช้ประโยชน์จากสื่อช่วยโฆษณาประชาสัมพันธ์ตัวเอง ดังจะเห็นว่า นักการเมืองบางคนออกข่าวรายวันเพื่อแย่งพื้นที่ข่าว บางคนมีข่าวได้ทุกวันโดยขอให้เป็นข่าวแค่ย่อหน้าเดียวก็ยังดี ทั้งที่พื้นที่ข่าวบนสื่อ ไม่ว่าจะเป็นสื่อสิ่งพิมพ์ สื่อวิทยุ สื่อโทรทัศน์ก็ดีมีคุณค่าอย่างยิ่งที่ควรบรรจุข่าวที่มีเนื้อหาสาระเป็นประโยชน์กับผู้บริโภคข่าวมากกว่า
ผู้สื่อข่าวมีหน้าที่ต้องรายงานข่าวเข้าไปยังกองบรรณาธิการ ผู้สื่อข่าวบางรายได้รับคำสั่งว่าต้องรายงานข่าววันละกี่ชิ้น ซึ่งอาจเป็นกลยุทธหนึ่งของกองบรรณาธิการที่ต้องการกระตุ้นให้ผู้สื่อข่าวตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา สิ่งที่ดูเหมือนว่านักข่าวจะกลัวมากที่สุดคือการตกข่าว เพราะอาจถูกตำหนิจากบรรณาธิการได้ แม้ตระหนักดีว่าข่าวนั้นอาจไม่มีคุณค่าทางการข่าวหรือมีประโยชน์ต่อประชาชนแต่อย่างใด อีกทั้งแหล่งข่าวก็เป็นคนที่เชื่อถือไม่ได้ แต่ถ้าตัวเองไม่ส่ง เพื่อนสำนักอื่นก็ส่ง ดีไม่ดีตนเองอาจถูกตำหนิว่าตกข่าวเสียอีก จึงผลักให้เป็นภาระของกองบรรณาธิการซึ่งทำหน้าที่คัดเลือกข่าวนำเสนอต่อประชาชนเอง
สื่อโทรทัศน์เสรีแห่งหนึ่งได้ปรับวิธีการนำเสนอข่าวนักการเมืองบางคนที่มีพฤติกรรมพูดจาเชื่อถือไม่ได้ พิธีกรจะสรุปคำพูดของคน ๆ นั้นแบบสั้น ๆ เช่นเดียวกับคู่กรณี และปล่อยให้มีภาพข่าวแหล่งข่าวอ้าปากพูดพะงาบ ๆ โดยไม่มีเสียง เพื่อไม่ตกเป็นเหยื่อของนักการเมืองบางคน ขณะเดียวกันก็ไม่ตกข่าวด้วย นี่เป็นวิธีการหนึ่งในการสั่งสอนหรือช่วยพัฒนานักการเมือง ถ้าใครพูดไม่ดีก็ไม่ต้องเสนอข่าว
ถ้าสื่อทั้งหลายร่วมมือร่วมใจกันในการช่วยพัฒนาแหล่งข่าวให้เป็นบุคคลที่มีคุณภาพขึ้น โดยเลือกที่จะสัมภาษณ์บุคคลที่คิดว่ามีคุณค่าเพียงพอ มีความน่าเชื่อถือได้ ข่าวที่ออกจากปากแหล่งข่าวมีประโยชน์ต่อสังคม โดยปฏิเสธที่จะตกเป็นเหยื่อของนักการเมืองบางประเภทที่มุ่งแต่จะเป็นข่าวทุกวันหรือมุ่งยึดพื้นที่ข่าวเพื่อหาเสียงหรือให้ประชาชนจำชื่อได้ แต่ข่าวที่ได้นั้นไม่มีคุณค่าเพียงพอต่อการรับฟังเลยแม้แต่น้อย เท่ากับเป็นการสั่งสอนให้แหล่งข่าวตระหนักรู้ว่าต้องพัฒนาตัวอย่างไรบ้างหากต้องกาเป็นข่าว
สื่อบางรายแย้งว่า หากไม่เสนอคำพูดของแหล่งข่าวแล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าแหล่งข่าวโกหก ซึ่งเป็นความจริงส่วนหนึ่ง แต่ถ้า แหล่งข่าวคนนั้นสื่อนำเสนอหลายครั้งแล้วและพิศูจน์ได้ว่า เขาพูดเท็จบ้างจริงบ้างเป็นประจำ แล้วสื่อยังจะตกเป็นเครื่องมือให้นักการเมืองแสวงประโยชน์อีกหรือ
ประชาชนกลุ่มหนึ่งได้เริ่มปรับบทบาทของตนในการแซงชั่นแหล่งข่าวประเภทนี้ หลายคนใช้วิธีปิดโทรทัศน์พอเห็นหน้านักการเมืองคนนี้ทางโทรทัศน์ หรือเปลี่ยนไปดูช่องอื่นทันทีเพราะทนไม่ได้กับคำพูดยะโสโอหัง หรือทนเห็นหน้าตาอัปลักษณ์ของแหล่งข่าวไม่ได้ บางคนใช้วิธีปิดเสียงทันที เพราะรู้แล้วว่าแหล่งข่าวจะพูดอะไรบนพฤติกรรมที่ซ้ำซาก หรือรู้ว่าจะด่าอะไรกันระหว่างฝ่ายค้านกับฝ่ายรัฐบาล บางคนยอมรับว่าไม่ค่อยได้เดูการถ่ายทอดการประชุมสภาเพราะเห็นพฤติกรรมนักการเมืองบางคนแล้วทนไม่ไหว หรือถ้าดูก็ใช้วิธีลุกเข้าห้องน้ำหรือปิดเสียงชั่วคราวแทน เพื่อไม่ให้เสียสุขภาพจิตที่ต้องมาฟังหรือทนเห็นพฤติกรรมของนักการเมืองบางคน
เครือข่ายสังคมผ่านสื่ออีเล็คโทรนิกส์ได้เริ่มมีบทบาทในการแชงชั่นแหล่งข่าวการเมืองประเภทนี้มากขึ้น โดยมีการส่งข่าวถึงกันในเครือข่ายทั้งผ่านทางทวิตเตอร์ เฟซบุ๊ค เอสเอ็มเอส. ดังนั้น สื่อสิ่งพิมพ์ สื่อวิทยุและโทรทัศน์ ซึ่งเป็นสื่อพื้นฐานและเป็นสื่อตั้งต้นควรเริ่มคิดได้แล้ว
ภายใต้สถานการณ์ความขัดแย้งในปัจจุบัน ที่เป็นการต่อสู้อย่างแหลมคม ทั้งสองฝ่ายต่างงัดเอากลยุทธทุกรูปแบบมาทำ “สงครามข่าวสาร” ซึ่งกันและกันโดยมีสื่อและประชาชนเป็นเครื่องมือ ดังนั้น สื่อที่นำเสนอข่าวและประชาชนผู้บริโภคข่าวจึงต้องตั้งสติ ใช้ดุลยพินิจและวิจารณญานในการบริโภคข้อมูลข่าวสาร ประชาชนผู้บริโภคข่าวต้องไม่ตกเป็นเหยื่อและต้องรู้ทันเกมทางการเมืองของนักการเมือง
ที่มา.ไทยนิวส์
อาคม เติมพิทยาไพสิฐ เสนาธิการฝ่ายเศรษฐกิจ คนที่ 14 รับมือค่าเงิน-โครงการร้อนและปรัชญาพอเพียง
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
สัมภาษณ์พิเศษ
เป็นครั้งแรกในรอบทศวรรษ ที่ "ลูกหม้อ-คนใน" ได้ขึ้นเป็นหมายเลข 1 ที่สำนักเสนาธิการ ฝ่ายเศรษฐกิจของรัฐบาล
เมื่อชื่อ "อาคม เติมพิทยาไพสิฐ" ถูกโปรดเกล้าฯแต่งตั้งเป็น "เลขาธิการ" สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือสภาพัฒน์
ภาระ-พันธะ-แผนชาติ-การลงทุนของประเทศ ตกอยู่บนบ่า
เขาบอก "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า งานของสภาพัฒน์ อยู่นิ่งไม่ได้ ต้องคิดตลอด
ต้องคิด เมื่อเจอวิกฤต จะทำอย่างไร ?
เขาพบว่า หลายคำถาม มีคำตอบที่เป็น "ของดี"
"คือพระราชดำรัส เรื่องเศรษฐกิจพอเพียง เป็นการพัฒนาแบบ Back to the Basic"
เขาออกตัว-ถ่อมตนว่า "ผมเป็นคนไม่เก่ง ไม่มีสีสัน" เมื่อต้องเปรียบเทียบกับเลขาธิการคนเก่า
"แต่ละคนมีสไตล์การทำงานของตัวเอง ดร.อำพน กิตติอำพน อดีตเลขาธิการ อาจมีสไตล์ที่จับประเด็นเร็ว แต่สไตล์ผม ทำงานบนพื้นฐานที่ต้องมีความมั่นใจเรื่องข้อมูล เพราะผมเติบโตโดยตรงมาจากการเก็บข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูล สังเคราะห์ข้อมูล"
"เพราะฉะนั้น ผมจึงทำงานบนพื้นฐาน 3 ข้อ คือข้อมูลต้องถูกต้อง บนพื้นฐานสร้างความเชื่อมั่น และเป็นการนำเสนอ เชิงนโยบายและข้อวิเคราะห์"
"คนสภาพัฒน์ถูกอบรมสั่งสอนมาลักษณะอย่างนี้ คือต้องทำงานบนพื้นฐานหลักวิชาการ"
"สำหรับผม เคยทำงาน Support-สนับสนุนอดีตเลขาธิการทุกคน ตั้งแต่สมัยอาจารย์เสนาะ อูนากูล ต่อมาก็สมัย ดร.พิสิษฐ ภัคเกษม สมัยนั้นเรียกกันว่าเป็นกลุ่ม Young blood เขาก็ให้โอกาสทำงาน ได้แสดงฝืมือ โดยมีภารกิจสำคัญ คือวิเคราะห์เศรษฐกิจ ซึ่งเป็นงานพื้นฐานสำคัญของสภาพัฒน์ หลังจากนั้นก็ Support เลขาธิการทุกคน"
"สมัยที่ผ่านมา ยุค ดร.อำพน เมื่อท่านเข้ามาใหม่ ๆ ท่านก็เกร็ง ว่าเป็นคนจากกระทรวงมา ไม่ใช่ลูกหม้อ แต่ที่สภาพัฒน์ ใครมาเป็นเลขาธิการ ก็มีทีม Support ตลอดเวลา ไม่ใช่แค่แปดโมงเช้าถึงสี่โมงเย็น แต่ต้อง Support 24 ชั่วโมง"
เขาเคยทำงานร่วมกับเลขาธิการหลายคน คำถามจึงมีว่า จะนำจุดอ่อนจุดแข็งของอดีตเลขาธิการมาปรับปรุงกับการพัฒนา ในตำแหน่งตัวเองอย่างไร เขาตอบว่า "งานสำคัญของสภาพัฒน์ คือนโยบายและแผนพัฒนาประเทศ หัวใจของงาน คือทำอย่างไร ให้ประเทศก้าวย่างอย่างมั่นคง มีเสถียรภาพ มีอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจอย่างมีคุณภาพ"
"จุดอ่อนในอดีต ถามว่า เห็นอะไรบ้าง ในแง่นโยบาย ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงมากมาย เพียงแต่นโยบายต้องมีการปรับปรุงให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของโลก ที่ชัดเจน ในสมัย ดร.อำพน คือเรื่องการปรับตัวเข้าสู่ยุคการเปลี่ยนแปลง 3 ด้าน คือเข้าสู่ยุคสังคม ผู้สูงอายุ การเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยี และการเปลี่ยนแปลงอัตราแลกเปลี่ยน"
เขาเคยรับภาระกับวาทะของ "ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล" อดีตเลขาธิการมากบารมี ที่ว่า "เห็นชอบมอบรอง เห็นด้วยผู้ช่วยทำ คนรับกรรมเป็น ผอ." แต่เขาเห็นว่า นั่นเป็น "หลัก" ในการทำงานแบบ "มีส่วนร่วม"
"ยุค ดร.สุเมธ ท่านเห็นความสำคัญ ของการมีส่วนร่วม ในการจัดทำแผน 8 ที่ไม่ใช่ Top down แบบเดิม จุดนี้เป็นจุดแข็ง และพิสูจน์ว่า สมัยนี้ สังคมจะ ก้าวผ่านความขัดแย้งได้ ต้องใช้การมี ส่วนร่วมเท่านั้น และจะต้องมีการเดินไปด้วยกันระหว่าง National Agenda and National objective"
เลขาธิการ-ลูกหม้อบอกบทบาท สภาพัฒน์ "ยังให้ความสำคัญกับการประสานงาน และขับเคลื่อนนโยบายลงสู่การปฏิบัติ ซึ่งความยากของการทำงาน คือต้องประสานกับส่วนราชการรัฐวิสาหกิจ และภาคเอกชนด้วย"
เมื่อกุมบังเหียนในตำแหน่งเลขาธิการหมายเลข 1 ของสภาพัฒน์ มีงานที่ตั้งใจทำให้เข้มแข็งเข้มข้นยิ่งขึ้น คือเรื่องขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ
"เท่าที่ดูจาก Ranging-การจัดอันดับ เรามองในแง่ Trend-ทิศทาง ยังไม่ดีขึ้นมาก เพราะปัญหาพื้นฐานของสังคมไทยที่อ่อนด้อยทางด้านโครงสร้างพื้นฐาน ด้านวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี และคุณภาพของคน"
"ที่จะให้ความสำคัญ คือระบบ Logistics ของประเทศ ต้องลงสู่การปฏิบัติ สร้างความมั่นใจให้เอกชน ว่านโยบายแผนพัฒนา ต้องมีความต่อเนื่อง-ชัดเจน เปลี่ยนแปลงน้อยที่สุด"
"การปรับแผน ต้องปรับเพื่อให้ดีขึ้น หรือปรับเพราะมีสถานการณ์ภายนอกมากระทบ การลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน หากยังไม่มีความพร้อม เงินไม่มี ก็ต้อง ปรับ แต่เราไม่อยากมีการปรับแผนบ่อย ๆ และการปรับก็ควรมีเหตุผล ไม่ใช่ปรับกลางอากาศ"
"เราเข้าใจได้ว่า แต่ละรัฐบาลที่เข้ามา ย่อมอยากมีนโยบายของตัวเอง สภาพัฒน์ก็อยากให้มีความชัดเจน ให้มีการพัฒนาตามแผนแม่บท เพราะภาพรวมการพัฒนา ไม่ใช่แค่ประเทศเราประเทศเดียว แต่เราต้องพึ่งพาทุนจากภายนอก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นักลงทุนจากต่างประเทศ เพราะฉะนั้น เอกชนก็ต้องได้รับความมั่นใจ ว่าแผนไม่เปลี่ยนแปลง"
"เมื่อรัฐบาลให้เอกชนลงทุน ก็ต้องไม่เปลี่ยน นี่คือประเด็นที่สภาพัฒน์เห็นว่าสำคัญ"
"ขอขยายความเรื่องขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศว่า หากเราต้องพัฒนาไปอีกระดับ ประเทศเราจะผลิตสินค้า บริการแบบเดิมไม่ได้ ต้องผลิต และสร้าง Brand ของตัวเอง"
"ในเรื่องการพัฒนาคุณภาพคน เป็นเรื่องสำคัญ หากเราพูดจากระบบการศึกษา ซึ่งท่านนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ให้ความสำคัญ จึงมีแผนการปฏิรูปการศึกษารอบ 2 แต่หัวใจอยู่ที่การวางพื้นฐานให้เด็กรุ่นใหม่มีความสามารถ มีคุณภาพ มีการคิด วิเคราะห์เป็น"
ระบบการศึกษาแบบจ่ายครบ จบแน่ ไม่ตอบโจทย์การพัฒนาคนอีกต่อไป
"การพัฒนาระบบ Logistics ที่บุคลากรขาดแคลน แต่ในขณะนี้ หลักสูตรพาณิชย์มีเยอะมาก ซึ่งผลิตนักศึกษาได้เร็วมาก แต่ไม่สามารถเข้าสู่ตลาดแรงงานได้ ดังนั้น จะทำอย่างไรให้โรงเรียน มหาวิทยาลัยอยู่กับความจริง อยู่กับโรงงาน ภาคบริการ ภาคเกษตรของประเทศ"
"เมื่อเราพูดถึงการเรียนรู้ตลอดชีวิต ทั้งใน-นอกระบบ มหาวิทยาลัย จึงต้องสร้างพื้นฐาน สนับสนุนทางปัญญานอกระบบ เช่น ห้องสมุดนอกโรงเรียนการมีองค์กรแบบ TCDC"
ไม่ว่าโลกจะหมุนเร็ว-แรงปานใด แต่ภารกิจหลัก-หนักแน่นของ "สำนักคิด" หน่วยงาน "ที่ปรึกษา" ของรัฐบาล ยังยึด "ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง"
"ในแผน 10 ได้มีการนำปรัชญาลงสู่การปฏิบัติ แต่วันนี้ เรามีคนเข้าใจปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง มากพอแล้วหรือยัง ผมคิดว่ายังไม่พอ เพราะวันนี้ เรายังมีเรื่องค่าเงิน มีกฎ กติกา ที่ต้องนำมาเกี่ยวข้อง"
คำถามร้อน เรื่องสงครามค่าเงินบาทแข็ง และผลกระทบต่อเศรษฐกิจของชาติ ถูกเสนาธิการฝ่ายเศรษฐกิจอธิบายให้เห็นภาพ
"ปัญหาเรื่องค่าเงินบาทแข็ง คนเดือดร้อนมีก็จริง แต่คนไม่เดือดร้อนก็มี เพราะเขามีองค์ความรู้ มีความพอเพียง มีเหตุผล เตรียมความพร้อม เขาศึกษา แนวโน้ม เขาวางแผนเรื่อง Stock มีการวางแผนจังหวะเวลาในการซื้อเครื่องจักรใหม่ ที่สอดคล้องกับภาวะค่าเงิน ทำให้เขารอดพ้นจากวิกฤตค่าบาทแข็งได้"
เพราะฉะนั้น เรื่องค่าเงินบาทแข็ง ก็มีความเห็น ความคิดที่หลากหลาย แล้วแต่ว่าใครจะเสียงดัง"
"คำถาม ว่าค่าเงินบาทจะแข็งค่าขึ้นตลอดไปหรือไม่ คำตอบ คือดูจากเศรษฐกิจปีนี้ตั้งแต่ต้นปี ค่าเงินบาทก็แข็งค่าขึ้นเรื่อย ๆ เพราะต่างประเทศเขาเห็นพื้นฐานเศรษฐกิจที่มีอัตราการขยายตัวในอัตราสูง มีการฟื้นตัวเร็ว เขาเชื่อมั่น แต่เขาจะเชื่อใจภาครัฐบาลหรือไม่ ก็อีกเรื่องหนึ่ง"
"ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในฐาะนะผู้กำกับดูแลห่าง ๆ ไม่ให้สะวิง และต้องมีเสถียรภาพระดับหนึ่ง นักลงทุน นักธุรกิจ ทุกคนเห็นข้อมูลเหมือนกัน Treading ในตลาด เขารู้ว่าเวลานี้เป็นอย่างไร เราให้ข้อมูล แนวโน้ม ผิด-ถูก อยู่ที่ว่า คนจะเชื่อ หรือไม่เชื่อ ถ้าไม่เชื่อ ก็ต้องทำประกันความเสี่ยงไว้"
ข้อวิเคราะห์เรื่องผลกระทบต่อเนื่อง และแนวทางตั้งรับด้วยปรัชญาเศรษฐกิจ "พอเพียง"
"การฟื้นตัวของเศรษฐกิจปีนี้ ถ้าถามเอกชน ผู้ส่งออก ก็ไม่มีปัญหา เขามี Order-คำสั่งซื้อเต็ม ภาคสิ่งทอ ผลิตไม่ทัน แม้ค่าเงินบาทจะแข็งค่า แต่ Order ก็ไม่เปลี่ยนแปลง ในครึ่งปีหลัง อัตราการขยายตัวของการส่งออก ก็คงไม่เท่ากับ ปีที่แล้ว เพราะฐานปีที่แล้ว อัตราเติบโตสูง ภาพรวมอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจก็ยังคงไว้ที่อัตราเดิม คือ 7-7.5%"
ภาพการลงทุนโครงการขนาดใหญ่ ทุกโครงการของประเทศ ที่สภาพัฒน์ยังเป็นองค์กรชี้ขาด ในทัศนะของ "เลขาธิการคนใหม่" เขาบอกว่า โครงการหลายแสนล้าน "ได้เกิด" ในแง่ที่ ครม. มีการ "เห็นชอบ" แผนไว้แล้ว ทั้งโครงการรถไฟสายสีม่วง โครงการรถเมล์ 4,000 คัน การปรับปรุงรางรถไฟทั่วประเทศ โครงการรถไฟรางคู่ และโครงการรถไฟความเร็วสูง
"แต่โครงการจะเกิดขึ้นจริง ต้องประสานงานกับกระทรวงเจ้าของโครงการ ทุกอย่างต้องทำตามขั้นตอนอย่างถูกต้อง"
"หากเกิดการปรับเปลี่ยนโครงการ กลางอากาศ สภาพัฒน์ก็ต้องสร้างความเข้าใจ ชี้ให้เขาเห็นโอกาสการพัฒนา เราต้องยืนยัน และเชื่อว่ารัฐบาลจะเข้าใจ"
"เครดิตของสภาพัฒน์ คือหลักวิชาการ อธิบายให้รัฐบาลฟังได้ ว่าเราทำงานโดยระบบสำนักงาน ที่เป็นเลขานุการของบอร์ด สุดท้าย บอร์ดต้องให้ความเห็นต่อคณะรัฐมนตรี เลขาธิการสภาพัฒน์ไม่สามารถบอก 1 ให้เป็น 2 ได้ ต้องมีกรอบวิชาการ ทฤษฎี มี Scenario ในการวิเคราะห์ พร้อมบอกปัจจัยเสี่ยง"
บทบาทเสนาธิการฝ่ายเศรษฐกิจที่ต้องทำงานกับรัฐบาลทั้งองคาพยพ 7 พรรค 35 รัฐมนตรี มีคำถามสุดท้าย ของการสัมภาษณ์-สนทนาครั้งแรกกับผู้สื่อข่าวว่าหนักใจ ที่ต้องสู้กับฝ่ายการเมืองหรือไม่
คำตอบไม่เร้าใจ แต่ได้ "หลักการ- หลักคิด" คือ
"สภาพัฒน์ทำงานกับรัฐบาลมาตลอด เราเป็น Staff ที่ผ่านมาในช่วง ปี 2545-2546 มีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลหลายครั้ง แต่เราก็ทำงาน ให้ข้อมูลวิชาการเหมือนเดิม"
สัมภาษณ์พิเศษ
เป็นครั้งแรกในรอบทศวรรษ ที่ "ลูกหม้อ-คนใน" ได้ขึ้นเป็นหมายเลข 1 ที่สำนักเสนาธิการ ฝ่ายเศรษฐกิจของรัฐบาล
เมื่อชื่อ "อาคม เติมพิทยาไพสิฐ" ถูกโปรดเกล้าฯแต่งตั้งเป็น "เลขาธิการ" สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือสภาพัฒน์
ภาระ-พันธะ-แผนชาติ-การลงทุนของประเทศ ตกอยู่บนบ่า
เขาบอก "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า งานของสภาพัฒน์ อยู่นิ่งไม่ได้ ต้องคิดตลอด
ต้องคิด เมื่อเจอวิกฤต จะทำอย่างไร ?
เขาพบว่า หลายคำถาม มีคำตอบที่เป็น "ของดี"
"คือพระราชดำรัส เรื่องเศรษฐกิจพอเพียง เป็นการพัฒนาแบบ Back to the Basic"
เขาออกตัว-ถ่อมตนว่า "ผมเป็นคนไม่เก่ง ไม่มีสีสัน" เมื่อต้องเปรียบเทียบกับเลขาธิการคนเก่า
"แต่ละคนมีสไตล์การทำงานของตัวเอง ดร.อำพน กิตติอำพน อดีตเลขาธิการ อาจมีสไตล์ที่จับประเด็นเร็ว แต่สไตล์ผม ทำงานบนพื้นฐานที่ต้องมีความมั่นใจเรื่องข้อมูล เพราะผมเติบโตโดยตรงมาจากการเก็บข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูล สังเคราะห์ข้อมูล"
"เพราะฉะนั้น ผมจึงทำงานบนพื้นฐาน 3 ข้อ คือข้อมูลต้องถูกต้อง บนพื้นฐานสร้างความเชื่อมั่น และเป็นการนำเสนอ เชิงนโยบายและข้อวิเคราะห์"
"คนสภาพัฒน์ถูกอบรมสั่งสอนมาลักษณะอย่างนี้ คือต้องทำงานบนพื้นฐานหลักวิชาการ"
"สำหรับผม เคยทำงาน Support-สนับสนุนอดีตเลขาธิการทุกคน ตั้งแต่สมัยอาจารย์เสนาะ อูนากูล ต่อมาก็สมัย ดร.พิสิษฐ ภัคเกษม สมัยนั้นเรียกกันว่าเป็นกลุ่ม Young blood เขาก็ให้โอกาสทำงาน ได้แสดงฝืมือ โดยมีภารกิจสำคัญ คือวิเคราะห์เศรษฐกิจ ซึ่งเป็นงานพื้นฐานสำคัญของสภาพัฒน์ หลังจากนั้นก็ Support เลขาธิการทุกคน"
"สมัยที่ผ่านมา ยุค ดร.อำพน เมื่อท่านเข้ามาใหม่ ๆ ท่านก็เกร็ง ว่าเป็นคนจากกระทรวงมา ไม่ใช่ลูกหม้อ แต่ที่สภาพัฒน์ ใครมาเป็นเลขาธิการ ก็มีทีม Support ตลอดเวลา ไม่ใช่แค่แปดโมงเช้าถึงสี่โมงเย็น แต่ต้อง Support 24 ชั่วโมง"
เขาเคยทำงานร่วมกับเลขาธิการหลายคน คำถามจึงมีว่า จะนำจุดอ่อนจุดแข็งของอดีตเลขาธิการมาปรับปรุงกับการพัฒนา ในตำแหน่งตัวเองอย่างไร เขาตอบว่า "งานสำคัญของสภาพัฒน์ คือนโยบายและแผนพัฒนาประเทศ หัวใจของงาน คือทำอย่างไร ให้ประเทศก้าวย่างอย่างมั่นคง มีเสถียรภาพ มีอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจอย่างมีคุณภาพ"
"จุดอ่อนในอดีต ถามว่า เห็นอะไรบ้าง ในแง่นโยบาย ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงมากมาย เพียงแต่นโยบายต้องมีการปรับปรุงให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของโลก ที่ชัดเจน ในสมัย ดร.อำพน คือเรื่องการปรับตัวเข้าสู่ยุคการเปลี่ยนแปลง 3 ด้าน คือเข้าสู่ยุคสังคม ผู้สูงอายุ การเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยี และการเปลี่ยนแปลงอัตราแลกเปลี่ยน"
เขาเคยรับภาระกับวาทะของ "ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล" อดีตเลขาธิการมากบารมี ที่ว่า "เห็นชอบมอบรอง เห็นด้วยผู้ช่วยทำ คนรับกรรมเป็น ผอ." แต่เขาเห็นว่า นั่นเป็น "หลัก" ในการทำงานแบบ "มีส่วนร่วม"
"ยุค ดร.สุเมธ ท่านเห็นความสำคัญ ของการมีส่วนร่วม ในการจัดทำแผน 8 ที่ไม่ใช่ Top down แบบเดิม จุดนี้เป็นจุดแข็ง และพิสูจน์ว่า สมัยนี้ สังคมจะ ก้าวผ่านความขัดแย้งได้ ต้องใช้การมี ส่วนร่วมเท่านั้น และจะต้องมีการเดินไปด้วยกันระหว่าง National Agenda and National objective"
เลขาธิการ-ลูกหม้อบอกบทบาท สภาพัฒน์ "ยังให้ความสำคัญกับการประสานงาน และขับเคลื่อนนโยบายลงสู่การปฏิบัติ ซึ่งความยากของการทำงาน คือต้องประสานกับส่วนราชการรัฐวิสาหกิจ และภาคเอกชนด้วย"
เมื่อกุมบังเหียนในตำแหน่งเลขาธิการหมายเลข 1 ของสภาพัฒน์ มีงานที่ตั้งใจทำให้เข้มแข็งเข้มข้นยิ่งขึ้น คือเรื่องขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ
"เท่าที่ดูจาก Ranging-การจัดอันดับ เรามองในแง่ Trend-ทิศทาง ยังไม่ดีขึ้นมาก เพราะปัญหาพื้นฐานของสังคมไทยที่อ่อนด้อยทางด้านโครงสร้างพื้นฐาน ด้านวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี และคุณภาพของคน"
"ที่จะให้ความสำคัญ คือระบบ Logistics ของประเทศ ต้องลงสู่การปฏิบัติ สร้างความมั่นใจให้เอกชน ว่านโยบายแผนพัฒนา ต้องมีความต่อเนื่อง-ชัดเจน เปลี่ยนแปลงน้อยที่สุด"
"การปรับแผน ต้องปรับเพื่อให้ดีขึ้น หรือปรับเพราะมีสถานการณ์ภายนอกมากระทบ การลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน หากยังไม่มีความพร้อม เงินไม่มี ก็ต้อง ปรับ แต่เราไม่อยากมีการปรับแผนบ่อย ๆ และการปรับก็ควรมีเหตุผล ไม่ใช่ปรับกลางอากาศ"
"เราเข้าใจได้ว่า แต่ละรัฐบาลที่เข้ามา ย่อมอยากมีนโยบายของตัวเอง สภาพัฒน์ก็อยากให้มีความชัดเจน ให้มีการพัฒนาตามแผนแม่บท เพราะภาพรวมการพัฒนา ไม่ใช่แค่ประเทศเราประเทศเดียว แต่เราต้องพึ่งพาทุนจากภายนอก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นักลงทุนจากต่างประเทศ เพราะฉะนั้น เอกชนก็ต้องได้รับความมั่นใจ ว่าแผนไม่เปลี่ยนแปลง"
"เมื่อรัฐบาลให้เอกชนลงทุน ก็ต้องไม่เปลี่ยน นี่คือประเด็นที่สภาพัฒน์เห็นว่าสำคัญ"
"ขอขยายความเรื่องขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศว่า หากเราต้องพัฒนาไปอีกระดับ ประเทศเราจะผลิตสินค้า บริการแบบเดิมไม่ได้ ต้องผลิต และสร้าง Brand ของตัวเอง"
"ในเรื่องการพัฒนาคุณภาพคน เป็นเรื่องสำคัญ หากเราพูดจากระบบการศึกษา ซึ่งท่านนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ให้ความสำคัญ จึงมีแผนการปฏิรูปการศึกษารอบ 2 แต่หัวใจอยู่ที่การวางพื้นฐานให้เด็กรุ่นใหม่มีความสามารถ มีคุณภาพ มีการคิด วิเคราะห์เป็น"
ระบบการศึกษาแบบจ่ายครบ จบแน่ ไม่ตอบโจทย์การพัฒนาคนอีกต่อไป
"การพัฒนาระบบ Logistics ที่บุคลากรขาดแคลน แต่ในขณะนี้ หลักสูตรพาณิชย์มีเยอะมาก ซึ่งผลิตนักศึกษาได้เร็วมาก แต่ไม่สามารถเข้าสู่ตลาดแรงงานได้ ดังนั้น จะทำอย่างไรให้โรงเรียน มหาวิทยาลัยอยู่กับความจริง อยู่กับโรงงาน ภาคบริการ ภาคเกษตรของประเทศ"
"เมื่อเราพูดถึงการเรียนรู้ตลอดชีวิต ทั้งใน-นอกระบบ มหาวิทยาลัย จึงต้องสร้างพื้นฐาน สนับสนุนทางปัญญานอกระบบ เช่น ห้องสมุดนอกโรงเรียนการมีองค์กรแบบ TCDC"
ไม่ว่าโลกจะหมุนเร็ว-แรงปานใด แต่ภารกิจหลัก-หนักแน่นของ "สำนักคิด" หน่วยงาน "ที่ปรึกษา" ของรัฐบาล ยังยึด "ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง"
"ในแผน 10 ได้มีการนำปรัชญาลงสู่การปฏิบัติ แต่วันนี้ เรามีคนเข้าใจปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง มากพอแล้วหรือยัง ผมคิดว่ายังไม่พอ เพราะวันนี้ เรายังมีเรื่องค่าเงิน มีกฎ กติกา ที่ต้องนำมาเกี่ยวข้อง"
คำถามร้อน เรื่องสงครามค่าเงินบาทแข็ง และผลกระทบต่อเศรษฐกิจของชาติ ถูกเสนาธิการฝ่ายเศรษฐกิจอธิบายให้เห็นภาพ
"ปัญหาเรื่องค่าเงินบาทแข็ง คนเดือดร้อนมีก็จริง แต่คนไม่เดือดร้อนก็มี เพราะเขามีองค์ความรู้ มีความพอเพียง มีเหตุผล เตรียมความพร้อม เขาศึกษา แนวโน้ม เขาวางแผนเรื่อง Stock มีการวางแผนจังหวะเวลาในการซื้อเครื่องจักรใหม่ ที่สอดคล้องกับภาวะค่าเงิน ทำให้เขารอดพ้นจากวิกฤตค่าบาทแข็งได้"
เพราะฉะนั้น เรื่องค่าเงินบาทแข็ง ก็มีความเห็น ความคิดที่หลากหลาย แล้วแต่ว่าใครจะเสียงดัง"
"คำถาม ว่าค่าเงินบาทจะแข็งค่าขึ้นตลอดไปหรือไม่ คำตอบ คือดูจากเศรษฐกิจปีนี้ตั้งแต่ต้นปี ค่าเงินบาทก็แข็งค่าขึ้นเรื่อย ๆ เพราะต่างประเทศเขาเห็นพื้นฐานเศรษฐกิจที่มีอัตราการขยายตัวในอัตราสูง มีการฟื้นตัวเร็ว เขาเชื่อมั่น แต่เขาจะเชื่อใจภาครัฐบาลหรือไม่ ก็อีกเรื่องหนึ่ง"
"ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในฐาะนะผู้กำกับดูแลห่าง ๆ ไม่ให้สะวิง และต้องมีเสถียรภาพระดับหนึ่ง นักลงทุน นักธุรกิจ ทุกคนเห็นข้อมูลเหมือนกัน Treading ในตลาด เขารู้ว่าเวลานี้เป็นอย่างไร เราให้ข้อมูล แนวโน้ม ผิด-ถูก อยู่ที่ว่า คนจะเชื่อ หรือไม่เชื่อ ถ้าไม่เชื่อ ก็ต้องทำประกันความเสี่ยงไว้"
ข้อวิเคราะห์เรื่องผลกระทบต่อเนื่อง และแนวทางตั้งรับด้วยปรัชญาเศรษฐกิจ "พอเพียง"
"การฟื้นตัวของเศรษฐกิจปีนี้ ถ้าถามเอกชน ผู้ส่งออก ก็ไม่มีปัญหา เขามี Order-คำสั่งซื้อเต็ม ภาคสิ่งทอ ผลิตไม่ทัน แม้ค่าเงินบาทจะแข็งค่า แต่ Order ก็ไม่เปลี่ยนแปลง ในครึ่งปีหลัง อัตราการขยายตัวของการส่งออก ก็คงไม่เท่ากับ ปีที่แล้ว เพราะฐานปีที่แล้ว อัตราเติบโตสูง ภาพรวมอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจก็ยังคงไว้ที่อัตราเดิม คือ 7-7.5%"
ภาพการลงทุนโครงการขนาดใหญ่ ทุกโครงการของประเทศ ที่สภาพัฒน์ยังเป็นองค์กรชี้ขาด ในทัศนะของ "เลขาธิการคนใหม่" เขาบอกว่า โครงการหลายแสนล้าน "ได้เกิด" ในแง่ที่ ครม. มีการ "เห็นชอบ" แผนไว้แล้ว ทั้งโครงการรถไฟสายสีม่วง โครงการรถเมล์ 4,000 คัน การปรับปรุงรางรถไฟทั่วประเทศ โครงการรถไฟรางคู่ และโครงการรถไฟความเร็วสูง
"แต่โครงการจะเกิดขึ้นจริง ต้องประสานงานกับกระทรวงเจ้าของโครงการ ทุกอย่างต้องทำตามขั้นตอนอย่างถูกต้อง"
"หากเกิดการปรับเปลี่ยนโครงการ กลางอากาศ สภาพัฒน์ก็ต้องสร้างความเข้าใจ ชี้ให้เขาเห็นโอกาสการพัฒนา เราต้องยืนยัน และเชื่อว่ารัฐบาลจะเข้าใจ"
"เครดิตของสภาพัฒน์ คือหลักวิชาการ อธิบายให้รัฐบาลฟังได้ ว่าเราทำงานโดยระบบสำนักงาน ที่เป็นเลขานุการของบอร์ด สุดท้าย บอร์ดต้องให้ความเห็นต่อคณะรัฐมนตรี เลขาธิการสภาพัฒน์ไม่สามารถบอก 1 ให้เป็น 2 ได้ ต้องมีกรอบวิชาการ ทฤษฎี มี Scenario ในการวิเคราะห์ พร้อมบอกปัจจัยเสี่ยง"
บทบาทเสนาธิการฝ่ายเศรษฐกิจที่ต้องทำงานกับรัฐบาลทั้งองคาพยพ 7 พรรค 35 รัฐมนตรี มีคำถามสุดท้าย ของการสัมภาษณ์-สนทนาครั้งแรกกับผู้สื่อข่าวว่าหนักใจ ที่ต้องสู้กับฝ่ายการเมืองหรือไม่
คำตอบไม่เร้าใจ แต่ได้ "หลักการ- หลักคิด" คือ
"สภาพัฒน์ทำงานกับรัฐบาลมาตลอด เราเป็น Staff ที่ผ่านมาในช่วง ปี 2545-2546 มีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลหลายครั้ง แต่เราก็ทำงาน ให้ข้อมูลวิชาการเหมือนเดิม"
รัฐบาลยุคไร้ผู้จัดการ
ข่าวสดรายวัน
เหล็กใน
ไม่ทันที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ จะก้าวพ้นเก้าอี้รองนายกฯ ไปไหนไกล
ลูกพรรคประชาธิปัตย์ ก็ขยับเล่นเกมการเมืองภายในกับพรรคร่วมทันควัน
มีการจุดพลุเรื่องความสามารถของนายชวรัตน์ ชาญวีรกูล ว่าเหมาะสมกับมท.1 มากน้อยแค่ไหน
สมควรต้องเปลี่ยนตัวได้แล้ว?
เป็นอย่างที่มีการวิเคราะห์กันไว้ก่อนหน้าว่านอกเหนือจากหน้าที่เป็นผู้จัดการรัฐบาลแล้ว
นายสุเทพยังเหมือนเป็น "กันชน" ระหว่างนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กับซีกภูมิใจไทยของนายเนวิน ชิดชอบ
ซึ่งความสัมพันธ์ระหว่างกัน ไม่ค่อยหวานชื่น เหมือนเมื่อครั้งก่อตั้งรัฐบาล
นายอภิสิทธิ์-นายเนวินกอดกันกลม หัวเราะเอิ๊กอ๊าก ให้สื่อมวลชนถ่ายภาพ
แค่เรื่องรถเมล์เช่า 4 พันคันเรื่องเดียว ระดับรัฐมนตรีร่วมรัฐบาลยังแสดงอาการฉุนขาดมาแล้ว
ในแง่ที่ครหากันว่าประชาธิปัตย์คบยาก จะเห็นว่าพฤติการณ์ต่างๆ มันก็เข้าเค้า
แต่หากมองในมุมของคนที่เป็นห่วงในเรื่องความโปร่งใสของโครงการ ก็อาจมองว่า
จะคบยากบ้าง ก็ไม่เห็นเป็นไร
นาทีนี้ รัฐบาลกำลังอยู่ในช่วงสุญญากาศ ขาด "ผู้จัดการรัฐบาล"
จะหาใครมีบารมีในหมู่นักการเมืองอาชีพด้วยกัน ตลอดจนลูกล่อลูกชนแพรวพราวอย่าง "เทพเทือก" ก็นับว่ายาก
ที่ผ่านมา ท่ามกลางมรสุมการเมืองสารพัดเรื่อง
หากปล่อยแต่นายกฯ อายุน้อยอย่างอภิสิทธิ์รับมือคนเดียว จะเอาอยู่หรือเปล่า ยังน่าสงสัย?
คล้อยหลังนายสุเทพ ยังมีข่าวลือเรื่องนายกรณ์ จาติกวณิช ไปต่อสายกับพรรคเพื่อแผ่นดิน
จะดึงมาเสียบแทนภูมิใจไทย
ซึ่งล้วนแต่เป็นข่าวที่บั่นทอนความสัมพันธ์ ระหว่างประชาธิปัตย์-ภูมิใจไทย
จะเห็นว่าพอนายสุเทพขอลาชั่วคราว ไปหาตำแหน่งส.ส. แต่งตัวรอเป็นหนึ่งในกลุ่ม "นายกฯ สำรอง"
หัวหน้าพรรคเหมือนไม่ยินดียินร้ายเท่าใด
ทั้งบีบให้ลาออกจากตำแหน่งในรัฐบาล ก่อนจะไปทำอะไร
ซึ่งว่าไปแล้ว ก็ต้องบอกว่าตามหลักการ ถือว่าถูกต้องแล้ว
ภาพมันคงพิลึก หากคนที่ยังมีตำแหน่งเป็นรองนายกรัฐมนตรี จะไปลงสมัครส.ส.
นอกจากปล่อยให้ตีนลอยแล้ว นายอภิสิทธิ์ก็ไม่การันตีด้วย
จะยอมให้นายสุเทพ กลับมาเป็นรองนายกรัฐมนตรีต่อหรือไม่?
ทางหนึ่งอาจเหมือนนายอภิสิทธิ์พอใจ ที่นายสุเทพหลุดจากวงโคจรไปเสียที
มั่นใจว่าประคองรัฐนาวาด้วยตัวเองได้
แต่อีกทางหนึ่ง นายอภิสิทธิ์อาจยึดตามตำรานักการเมืองเขี้ยวลากดิน
ไม่ปล่อยให้คำพูดเป็นนาย
สิ่งที่ต้องจับตานับจากนี้ ไม่แคล้วเป็นความระหองระแหง ระหว่างประชาธิปัตย์-ภูมิใจไทย
ขาดกันชนเก๋าเกม จะมีอะไรปะทุหรือไม่?
เหล็กใน
ไม่ทันที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ จะก้าวพ้นเก้าอี้รองนายกฯ ไปไหนไกล
ลูกพรรคประชาธิปัตย์ ก็ขยับเล่นเกมการเมืองภายในกับพรรคร่วมทันควัน
มีการจุดพลุเรื่องความสามารถของนายชวรัตน์ ชาญวีรกูล ว่าเหมาะสมกับมท.1 มากน้อยแค่ไหน
สมควรต้องเปลี่ยนตัวได้แล้ว?
เป็นอย่างที่มีการวิเคราะห์กันไว้ก่อนหน้าว่านอกเหนือจากหน้าที่เป็นผู้จัดการรัฐบาลแล้ว
นายสุเทพยังเหมือนเป็น "กันชน" ระหว่างนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กับซีกภูมิใจไทยของนายเนวิน ชิดชอบ
ซึ่งความสัมพันธ์ระหว่างกัน ไม่ค่อยหวานชื่น เหมือนเมื่อครั้งก่อตั้งรัฐบาล
นายอภิสิทธิ์-นายเนวินกอดกันกลม หัวเราะเอิ๊กอ๊าก ให้สื่อมวลชนถ่ายภาพ
แค่เรื่องรถเมล์เช่า 4 พันคันเรื่องเดียว ระดับรัฐมนตรีร่วมรัฐบาลยังแสดงอาการฉุนขาดมาแล้ว
ในแง่ที่ครหากันว่าประชาธิปัตย์คบยาก จะเห็นว่าพฤติการณ์ต่างๆ มันก็เข้าเค้า
แต่หากมองในมุมของคนที่เป็นห่วงในเรื่องความโปร่งใสของโครงการ ก็อาจมองว่า
จะคบยากบ้าง ก็ไม่เห็นเป็นไร
นาทีนี้ รัฐบาลกำลังอยู่ในช่วงสุญญากาศ ขาด "ผู้จัดการรัฐบาล"
จะหาใครมีบารมีในหมู่นักการเมืองอาชีพด้วยกัน ตลอดจนลูกล่อลูกชนแพรวพราวอย่าง "เทพเทือก" ก็นับว่ายาก
ที่ผ่านมา ท่ามกลางมรสุมการเมืองสารพัดเรื่อง
หากปล่อยแต่นายกฯ อายุน้อยอย่างอภิสิทธิ์รับมือคนเดียว จะเอาอยู่หรือเปล่า ยังน่าสงสัย?
คล้อยหลังนายสุเทพ ยังมีข่าวลือเรื่องนายกรณ์ จาติกวณิช ไปต่อสายกับพรรคเพื่อแผ่นดิน
จะดึงมาเสียบแทนภูมิใจไทย
ซึ่งล้วนแต่เป็นข่าวที่บั่นทอนความสัมพันธ์ ระหว่างประชาธิปัตย์-ภูมิใจไทย
จะเห็นว่าพอนายสุเทพขอลาชั่วคราว ไปหาตำแหน่งส.ส. แต่งตัวรอเป็นหนึ่งในกลุ่ม "นายกฯ สำรอง"
หัวหน้าพรรคเหมือนไม่ยินดียินร้ายเท่าใด
ทั้งบีบให้ลาออกจากตำแหน่งในรัฐบาล ก่อนจะไปทำอะไร
ซึ่งว่าไปแล้ว ก็ต้องบอกว่าตามหลักการ ถือว่าถูกต้องแล้ว
ภาพมันคงพิลึก หากคนที่ยังมีตำแหน่งเป็นรองนายกรัฐมนตรี จะไปลงสมัครส.ส.
นอกจากปล่อยให้ตีนลอยแล้ว นายอภิสิทธิ์ก็ไม่การันตีด้วย
จะยอมให้นายสุเทพ กลับมาเป็นรองนายกรัฐมนตรีต่อหรือไม่?
ทางหนึ่งอาจเหมือนนายอภิสิทธิ์พอใจ ที่นายสุเทพหลุดจากวงโคจรไปเสียที
มั่นใจว่าประคองรัฐนาวาด้วยตัวเองได้
แต่อีกทางหนึ่ง นายอภิสิทธิ์อาจยึดตามตำรานักการเมืองเขี้ยวลากดิน
ไม่ปล่อยให้คำพูดเป็นนาย
สิ่งที่ต้องจับตานับจากนี้ ไม่แคล้วเป็นความระหองระแหง ระหว่างประชาธิปัตย์-ภูมิใจไทย
ขาดกันชนเก๋าเกม จะมีอะไรปะทุหรือไม่?
วันอาทิตย์ที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2553
รัสเซียงัดมะกัน ไทยเจ็บสาหัส!
คดี ‘บูท’ ทำ ‘มาร์ค’มึนตึ๊บ
ต้องถือว่าขณะนี้รัฐบาลไทยตกอยู่ในสภาพระหว่างเขาควายที่สาหัสสากรรจ์ที่สุด
เพราะเป็นเขาควายของระดับมหาอำนาจโลก รัสเซีย และสหรัฐอเมริกา
จากเหตุเพียงแค่เรื่องของการส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดน กรณีของคดีนายวิคเตอร์ บูท ที่ทางรัฐบาลสหรัฐต้องการให้ประเทศไทยส่งตัวไปให้ในฐานะผู้ร้ายข้ามแดน
ในขณะที่รัฐบาลรัสเซีย ไม่ต้องการให้มีการส่งตัวไปให้สหรัฐอเมริกา
แต่เพราะรัฐบาลไทยที่มีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี และมีนายกษิต ภิรมย์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งตลอดระยะเวลาที่เป็นรัฐบาล ดูเหมือนว่ากระบวนการทางการทูต และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของไทยกับมิตรประเทศต่างๆ นั้น
มีลักษณะขาดๆ เกินๆ มาโดยตลอด
จะเพราะความไม่ประสีประสา เพราะการทำงานไม่เป็น หรือเพราะใครบางคนมุ่งแต่จะใช้อำนาจหน้าที่เพื่อให้บรรลุ Hidden Agenda ของตนเองก็แล้วแต่
แต่ที่แน่ๆคือประเทศไทยตกอยู่ในสถานการณ์ Weak point อยู่เป็นประจำ อย่างเช่นกรณีของนายวิคเตอร์ บูท ในขณะนี้นั่นเอง
วิคเตอร์ บูท ถูกเรียกขานว่า เป็น “พ่อค้าขายความตาย” หรือ Merchant of Death ซึ่งเป็นชื่อหนังสือที่เขียนโดย ดักลาส ฟาราห์ และสตีเฟ่น บราวน์
บูทถูกกล่าวหาจากองค์การสหประชาชาติ สหรัฐอเมริกาและยุโรปว่า เป็นผู้ขายอาวุธสงครามรายใหญ่ที่สุดของโลก ที่ขายอาวุธให้กับ “ลูกค้า” ที่เป็นกลุ่มก่อการร้ายทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นอาฟกานิสถาน โคลัมเบียหรือเลบานอน และขายอาวุธให้กับประเทศในอาฟริกาหลายประเทศ เช่น เซียร่า ลีโอน ไลบีเรีย ซูดาน คองโก รวันดา ฯลฯ ซึ่งอาวุธเหล่านี้ ถูกนำไปใช้ในลักษณะของความรุนแรงและการก่อการร้าย
และเพราะนายบูทเคยเป็นเคจีบี มาก่อน จึงทำให้มีการตั้งข้อสังเกตุว่า นี่เป็นเหตุผลลึกๆเหตุผลหนึ่งที่ทำให้รัฐบาลสหรัฐต้องการตัวนายบูท มาเป็นพิเศษใช่หรือไม่?
แม้ว่านายบูทอาจจะไม่ได้เป็นเคจีบีแล้ว เพราะหลังสหภาพโซเวียตล่มสลาย เขาซื้อเครื่องบินแอนโตนอฟ- 8 สี่ลำ จากกองทัพ มาดัดแปลงเป็นเครื่องบินขนส่งสินค้าทางอากาศ และตั้งบริษัท Aircess ขึ้น โดยมีสำนักงานใหญ่อยุ่ที่ สหรัฐอาหรับอามิเรสต์ หรือ ยู.เอ.อี.
แต่แน่นอนว่า ข้อมูลต่างๆที่นายบูทเคยมี ย่อมยังคงมีอยู่ในตัวของนายบูท
ที่สำคัญบริการขนส่งทางอากาศของบูทเหนือกว่า เฟดเดกซ์ ดีเอชแอล หรือยูพีเอส ตรงที่ต้นทุนต่ำกว่า ไม่มีข้อจำกัดว่าห้ามขนสินค้าประเภทไหน และส่งถึงทุกที่ ที่ลูกค้าต้องการ ไม่ว่าจะทุรกันดาร และเสี่ยงภัยแค่ไหน
และที่ไม่ธรรมดาก็คือ บริการของนายบูทไม่เลือกฝ่ายเลือกข้าง แม้แต่องค์กรสหประชาชาติ แม้แต่รัฐบาลสหรัฐ หรือแม้แต่คนระดับรองประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาบางคนก็เคยใช้บริการขนส่งทางอากาศของนายบูทมาแล้วทั้งนั้น
อย่างไรก็ตามสุดท้ายนายบูทก็ยังคงถูกกล่าวหาว่า นอกจากจะรับจ้างขนสินค้าแล้ว ยังรับจัดหาสินค้าคือ อาวุธสงครามด้วย นั่นเป็นที่มาของสมญานาม พ่อค้าขายความตาย และถูกล่าตัวจากรัฐบาลสหรัฐฯ และหลายประเทศในยุโรป
ถึงขนาดที่เรื่องราวของบูทถูกฮอลลีวู้ด นำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ชื่อ Lord of War ซึ่งนิโคลัส เคจ รับบทเป็นพ่อค้าอาวุธสงคราม ชื่อ ยูริ โอลอฟ ออกฉายเมื่อปี 2005
และฟาราห์ ผู้เขียนหนังสือพ่อค้าขายความตาย เคยให้สัมภาษณ์ว่า การที่บูท สามารถขนอาวุธจำนวนมาก บินออกจารัสเซียได้ น่าจะต้องมีการรู้เห็นเป็นใจจากผู้มีอำนาจหรือ กลไกของรัฐ เพราะจะเป็นไปได้หรือที่ทางรัฐบาลรัสเซียจะไม่รู้เรื่องรู้ราวเกี่ยวกับนายบูท
ในเมื่อทั่วโลกรู้เรื่องของบูทขนาดเอาไปสร้างเป็นหนังฮอลีวูดฉายไปทั่วโลกขนาดนั้น
อย่างไรก็ตามในเว็บไซต์ victorbout.com บูทระบุว่า เขาถูกใส่ร้ายจากคู่แข่งในธุรกิจขนส่งทางอากาศซึ่งไม่สามารถแข่งขันกับเขาได้ เขาบอกว่า ไม่ได้เป็นเคจีบี แต่รับราชการในกองทัพ ในฐานะล่าม และการที่ธุรกิจส่วนใหญ่ของเขาอยู่ที่อาฟริกา เพราะแองโกลา เป็นประเทศเดียวที่ยอมออกใบอนุญาตการบินพาณิชย์ให้กับเครื่องบินของเขาซึ่งเป็นเครื่องบินทหาร
ประเทศไทยเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องราวของนายบูท ก็เพราะว่านายบูทถูกจับที่โรงแรมโซฟีเทล สีลม เมื่อวันที่ 6 มีนาคม ปีที่แล้ว โดยถูกเจ้าหน้าที่หน่วยปราบปรามยาเสพย์ติดของ สหรัฐฯ หรือ DEA ส่งสายลับ 2 คนอ้างตัวว่า เป็นสมาชิกขบวนการ ฟาร์กในโคลอมเบีย ซึ่งหาเงินจากการขายโคเคน แล้วเอาเงินไปซื้ออาวุธ ต่อสู้กับรัฐบาลโคลอมเบีย ไปล่อซื้ออาวุธจากบูท
การติดต่อล่อซื้อนี้ ทำกันมาตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2007 ผ่านทางโทรศัพท์ สายลับทั้งสอง พยายามล่อให้บูทออกจากมอสโคว์มาพบกัน เพราะตั้งแต่สหประชาชาติเผยแพร่รายงานเมื่อเดือนธันวาคม ปี 2000 ที่ระบุว่า เขาคือ ผู้ค้าอาวุธรายใหญ่ของโลก และขึ้นบัญชีเป็นผู้ต้องห้ามในการเดินทางข้ามประเทศ บูทก็ระมัดระวังตัว ไม่เดินทางไปไหน จะใช้ชีวิตอยู่แต่ในรัสเซีย
แต่ครั้งนี้ เหมือนจะเป็นชะตาลิจขิตเพราะบูทยอมางมาพบสายลับทั้ง 2 คนที่กรุงเทพ จนถูกจับตัวในที่สุด
ในเอกสารที่อัยการสหรัฐฯยื่นฟ้องต่อ ศาล นิวยอร์ก หลังบูทถูกจับ ระบุว่า ในระหว่างการพบกับสายลับ DEA ที่ปลอมตัวเป็นสมาชิกฟาร์ก เป็นเวลา 2 ชั่วโมง บูทบอกกับสายลับทั้งสองว่า จะขายจรวดแซมให้ 700-800 ลูก กระสุนปืนอีกนับล้านๆนัด ปืน อาร์ก้า -47 เครื่องบินขนส่ง 2 ลำ และเครื่องบินที่บังคับด้วยคอมพิวเตอร์ โดยไม่ต้องใช้นักบิน เพื่อทิ้งระเบิดทำลายสถานีเรดาร์ที่สหรัฐฯสร้างไว้ในโคลอมเบีย
ซึ่งบูทต่อสู้ว่า เขาเป็นนักธุรกิจ เดินทางเข้าไทยเพื่อเจรจาขายเครื่องบิน และถูกเข้าหน้าที่สหรัฐฯและไทยหลายคนเข้าจับกุม และแจ้งข้อหาก่อการร้าย เขาถูกเกลี้ยกล่อมให้เดินทางไปขึ้นศาลที่สหรับฯ แต่ไม่ยอม ส่วนข้อหาที่ว่า เขาขายอาวุธให้กับขบวนการ ฟาร์ก ก็ไม่เป็นความจริง
ในเว็บไซต์ของเขา บูทยังอ้างว่า ตอนที่เจ้าหน้าที่ DEA จับตัวเขานั้น ไม่มีหมายจับมาด้วย หมายจับเพิ่งจะมาถึงหลังจากนั้น 4 วัน
ศาลชั้นต้นตัดสินเมื่อวันที่ 11 สิงหาคมปีที่แล้ว ว่า คดีนี้เป็นคดีการเมือง เพราะขบวนการ ฟาร์ก เป็นขบวนการทางการเมือ งจึงต้องห้าม ตาม พรบ.ส่งผู้ร้ายข้ามแดน พ.ศ. 2472 นอกจากนี้ ฝ่ายโจทก์ไม่มีหลักฐานมายืนยันว่า จำเลยร่วมมือกับขบวนการฟาร์ก มีแต่เพียงข้อกล่าวหาลอยๆ จึงยกคำร้อง
เมื่อสหรัฐฯไม่พอใจ แรงกดดันจึงเกิดขึ้นกับประเทศไทยทันที
โดยมีรายงานข่าวว่า สหรัฐฯ ได้มีการส่งหนังสือถีงนายดอน ปรมัตถ์วินัย เอกกอัครราชทูตไทยประจำสหรัฐฯ ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของการนำตัวนายบูทไปดำเนินคดี
ขณะที่สมาชิกรัฐสภาสหรัฐ ฯกลุ่มหนึ่งเตือนนายดอนว่า ถ้าไทยไม่ส่งตัวนายบูทกลับไป อาจจะกระทบกระเทือนความสมัมพัน์ของทั้งสองประเทศ
แน่นอนว่านั่นคือบุคลิกของสหรัฐฯที่ชอบแสดงท่าที่คุกคามชาติที่เล็กกว่า เพื่อปกป้องประโยชน์ของตน แต่มักจะใช้การกระทำต่อฝ่ายบริหาร โดยจะไม่ใช่การแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมหรือกระบวนการศาลของประเทศนั้นๆโดยตรง
อย่างไรก็ตาม เมื่อขึ้นสู่ในชั้นของอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์มีคำวินิจฉัยเห็นว่า ไม่ใช่คดีการเมือง แต่เป็นคดีอาญา เพราะนายบุทไม่ใช่สมาชิกขบวนการฟาร์ค ซึ่งเป็นกลุ่มการเมืองที่ติดอาวุธต่อสู้กับรัฐบาลโคลอมเบีย แต่นายบูทถูกตั้งข้อหาว่า ขายอาวุธให้ขบวนการฟาร์ค
นอกจากนั้น รัฐบาลโคลอมเบีย ซึ่งเป็นคู่ขัดแย้งกับขบวนการฟาร์ก ไม่ได้เป็นผู้ขอให้สังตัว แต่เป็นรัฐบาลสหรัฐฯ ซึ่งไม่ใช่คู่กรณีของฟาร์ก จึงไม่เข้าข่ายต้องห้ามตามกฎหมายส่งผู้ร้ายข้ามแดน
อารมณ์ของ 2 ประเทศพลิกกลับทันที โดยครั้งนี้กลายเป็นฝ่ายรัสเซียที่ผิดหวังบ้าง และฝ่ายสหรัฐฯ กลับมาเป็นฝ่ายดีใจแทนบ้าง
แต่ประเทศไทยกลับซวย เพราะก่อนหน้าเกิดกรณีนายศิริโชค โสภา ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ มุดคุกไปหานายบูท จนกลายเป็นเรื่องอื้อฉาว
ซ้ำร้ายสหรัฐฯได้มีการส่งเครื่องบินมารอรับตัวนายบูทในวันที่จะมีการตัดสินคดี จนถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่า สหรัฐฯรู้ได้อย่างไร จึงมีการส่งเครื่องบินมารอ
ยิ่งเมื่อศาลอาญามีคำสั่งยกคำร้องสำนวนคดีที่ 2 ที่พนักงานอัยการขอให้ส่งตัวนายบูท พ่อค้าอาวุธชาวรัสเซีย เป็นผู้ร้ายข้ามแดนไปดำเนินคดีที่สหรัฐอเมริกา ส่งผลให้นายบูท ต้องถูกส่งตัวไปดำเนินคดีที่สหรัฐในฐานะผู้ร้ายข้ามแดน ตามคำพิพากษาของศาลอาญาในสำนวนคดีที่ 1 นั้น
รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ ก็ยิ่งเข้าสู่สภาวะ Dilemma หรือเขาควายของ 2 มหาอำนาจมากขึ้นไปอีก
เพราะสำนักข่าวเอเอฟพีรายงานเมื่อวันที่ 6 ตุลาคม ว่า นายเซรเกย์ ลาฟรอฟ รัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซีย เปิดเผยว่า รัสเซียไว้วางใจในฝ่ายตุลาการของประเทศไทยในการดูแลคดีของวิคเตอร์ บูท และไม่ต้องการที่จะเข้าไปแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมของไทย และเชื่อว่า จะไม่มีใครพยายามที่จะเข้าไปโน้มน้าวเรื่องดังกล่าว
นอกจากนี้นายลาฟรอฟ ยังหวังว่า ข้อความที่สหรัฐส่งถึงนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี จะไม่ส่งผลต่อชะตากรรมของนายวิคเตอร์ บูท และนายลาฟรอฟ ยังได้ปฏิเสธข่าวที่ว่า มีการตกลงแลกเปลี่ยนกันระหว่างรัฐบาลสหรัฐกับรัสเซียกรณีที่สหรัฐต้องการตัวนายวิคเตอร์ บูท ไปดำเนินคดีก่อการร้าย โดยยืนยันว่า ความคิดที่ว่า รัสเซียและสหรัฐได้ตกลงกันบางอย่างเกี่ยวกับกรณีนี้นั้น ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับกระบวนการยุติธรรมเลย
ส่วน นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ซึ่งอยู่ระหว่างการร่วมประชุมผู้นำเอเชีย-ยุโรป (อาเซม) ครั้งที่ 8 ที่กรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยี่ยม กล่าวว่า ได้มีโอกาสพบกับ รัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซีย และได้แจ้งถึงกระบวนการพิจารณาคดีและข้อกฎหมายคดีที่สหรัฐฟ้องนายวิคเตอร์ บูท ในสำนวนคดีที่ 2 ข้อหาฉ้อโกงและฟอกเงิน ซึ่งศาลได้ยกคำร้อง ดังนั้นต้องดูว่ากระบวนการอุทธรณ์จะใช้เวลานานแค่ไหน หากเกินวันที่ 20 พฤศจิกายนนี้ ซึ่งครบกำหนด 3 เดือนที่จะต้องส่งตัวนายวิคเตอร์ บูท ไปให้สหรัฐฯ ตามคำพิพากษาของศาลในคดีแรก ก็ต้องยื่นต่อศาลเพื่อขอขยายเวลาในการส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดน
“รัสเซียไม่พอใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น และไม่เกี่ยวกับประเทศไทย เพราะทราบถึงการตัดสินใจเรื่องนี้ว่า ได้ดำเนินการบนพื้นฐานของข้อกฎหมายและคำนึงถึงความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ยืนยันว่า รัฐบาลไทยจะทำให้ดีที่สุด เพื่อไม่ให้กระทบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และการที่มีหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ ถ้าเลือกได้ ก็คงไม่มีใครอยากอยู่ในสถานการณ์แบบนี้" นายอภิสิทธิ์ กล่าว
เรื่องของวิคเตอร์ บูท ที่ถูกศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ส่งตัวกลับไปให้ สหรัฐฯ สุดท้ายจะจบลงอย่างไร เป็นเรื่องที่ต้องติดตามกันต่อไป เพราะไม่ว่าอย่างไรข้อสังเกตที่ว่า อาจะเป็นเรื่องการเมืองระหว่างประทเศ ที่ รัฐบาลไทยถูก รัฐบาลอเมิรกันกดดัน และทำให้รัฐบาลรัสเซียไม่พอใจ เป็นเรื่องที่ยากจะปฏิเสธ
งานนี้ที่เจ็บตัวก็คือประเทศไทย
ที่มา.บางกอกทูเดย์
ต้องถือว่าขณะนี้รัฐบาลไทยตกอยู่ในสภาพระหว่างเขาควายที่สาหัสสากรรจ์ที่สุด
เพราะเป็นเขาควายของระดับมหาอำนาจโลก รัสเซีย และสหรัฐอเมริกา
จากเหตุเพียงแค่เรื่องของการส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดน กรณีของคดีนายวิคเตอร์ บูท ที่ทางรัฐบาลสหรัฐต้องการให้ประเทศไทยส่งตัวไปให้ในฐานะผู้ร้ายข้ามแดน
ในขณะที่รัฐบาลรัสเซีย ไม่ต้องการให้มีการส่งตัวไปให้สหรัฐอเมริกา
แต่เพราะรัฐบาลไทยที่มีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี และมีนายกษิต ภิรมย์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งตลอดระยะเวลาที่เป็นรัฐบาล ดูเหมือนว่ากระบวนการทางการทูต และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของไทยกับมิตรประเทศต่างๆ นั้น
มีลักษณะขาดๆ เกินๆ มาโดยตลอด
จะเพราะความไม่ประสีประสา เพราะการทำงานไม่เป็น หรือเพราะใครบางคนมุ่งแต่จะใช้อำนาจหน้าที่เพื่อให้บรรลุ Hidden Agenda ของตนเองก็แล้วแต่
แต่ที่แน่ๆคือประเทศไทยตกอยู่ในสถานการณ์ Weak point อยู่เป็นประจำ อย่างเช่นกรณีของนายวิคเตอร์ บูท ในขณะนี้นั่นเอง
วิคเตอร์ บูท ถูกเรียกขานว่า เป็น “พ่อค้าขายความตาย” หรือ Merchant of Death ซึ่งเป็นชื่อหนังสือที่เขียนโดย ดักลาส ฟาราห์ และสตีเฟ่น บราวน์
บูทถูกกล่าวหาจากองค์การสหประชาชาติ สหรัฐอเมริกาและยุโรปว่า เป็นผู้ขายอาวุธสงครามรายใหญ่ที่สุดของโลก ที่ขายอาวุธให้กับ “ลูกค้า” ที่เป็นกลุ่มก่อการร้ายทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นอาฟกานิสถาน โคลัมเบียหรือเลบานอน และขายอาวุธให้กับประเทศในอาฟริกาหลายประเทศ เช่น เซียร่า ลีโอน ไลบีเรีย ซูดาน คองโก รวันดา ฯลฯ ซึ่งอาวุธเหล่านี้ ถูกนำไปใช้ในลักษณะของความรุนแรงและการก่อการร้าย
และเพราะนายบูทเคยเป็นเคจีบี มาก่อน จึงทำให้มีการตั้งข้อสังเกตุว่า นี่เป็นเหตุผลลึกๆเหตุผลหนึ่งที่ทำให้รัฐบาลสหรัฐต้องการตัวนายบูท มาเป็นพิเศษใช่หรือไม่?
แม้ว่านายบูทอาจจะไม่ได้เป็นเคจีบีแล้ว เพราะหลังสหภาพโซเวียตล่มสลาย เขาซื้อเครื่องบินแอนโตนอฟ- 8 สี่ลำ จากกองทัพ มาดัดแปลงเป็นเครื่องบินขนส่งสินค้าทางอากาศ และตั้งบริษัท Aircess ขึ้น โดยมีสำนักงานใหญ่อยุ่ที่ สหรัฐอาหรับอามิเรสต์ หรือ ยู.เอ.อี.
แต่แน่นอนว่า ข้อมูลต่างๆที่นายบูทเคยมี ย่อมยังคงมีอยู่ในตัวของนายบูท
ที่สำคัญบริการขนส่งทางอากาศของบูทเหนือกว่า เฟดเดกซ์ ดีเอชแอล หรือยูพีเอส ตรงที่ต้นทุนต่ำกว่า ไม่มีข้อจำกัดว่าห้ามขนสินค้าประเภทไหน และส่งถึงทุกที่ ที่ลูกค้าต้องการ ไม่ว่าจะทุรกันดาร และเสี่ยงภัยแค่ไหน
และที่ไม่ธรรมดาก็คือ บริการของนายบูทไม่เลือกฝ่ายเลือกข้าง แม้แต่องค์กรสหประชาชาติ แม้แต่รัฐบาลสหรัฐ หรือแม้แต่คนระดับรองประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาบางคนก็เคยใช้บริการขนส่งทางอากาศของนายบูทมาแล้วทั้งนั้น
อย่างไรก็ตามสุดท้ายนายบูทก็ยังคงถูกกล่าวหาว่า นอกจากจะรับจ้างขนสินค้าแล้ว ยังรับจัดหาสินค้าคือ อาวุธสงครามด้วย นั่นเป็นที่มาของสมญานาม พ่อค้าขายความตาย และถูกล่าตัวจากรัฐบาลสหรัฐฯ และหลายประเทศในยุโรป
ถึงขนาดที่เรื่องราวของบูทถูกฮอลลีวู้ด นำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ชื่อ Lord of War ซึ่งนิโคลัส เคจ รับบทเป็นพ่อค้าอาวุธสงคราม ชื่อ ยูริ โอลอฟ ออกฉายเมื่อปี 2005
และฟาราห์ ผู้เขียนหนังสือพ่อค้าขายความตาย เคยให้สัมภาษณ์ว่า การที่บูท สามารถขนอาวุธจำนวนมาก บินออกจารัสเซียได้ น่าจะต้องมีการรู้เห็นเป็นใจจากผู้มีอำนาจหรือ กลไกของรัฐ เพราะจะเป็นไปได้หรือที่ทางรัฐบาลรัสเซียจะไม่รู้เรื่องรู้ราวเกี่ยวกับนายบูท
ในเมื่อทั่วโลกรู้เรื่องของบูทขนาดเอาไปสร้างเป็นหนังฮอลีวูดฉายไปทั่วโลกขนาดนั้น
อย่างไรก็ตามในเว็บไซต์ victorbout.com บูทระบุว่า เขาถูกใส่ร้ายจากคู่แข่งในธุรกิจขนส่งทางอากาศซึ่งไม่สามารถแข่งขันกับเขาได้ เขาบอกว่า ไม่ได้เป็นเคจีบี แต่รับราชการในกองทัพ ในฐานะล่าม และการที่ธุรกิจส่วนใหญ่ของเขาอยู่ที่อาฟริกา เพราะแองโกลา เป็นประเทศเดียวที่ยอมออกใบอนุญาตการบินพาณิชย์ให้กับเครื่องบินของเขาซึ่งเป็นเครื่องบินทหาร
ประเทศไทยเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องราวของนายบูท ก็เพราะว่านายบูทถูกจับที่โรงแรมโซฟีเทล สีลม เมื่อวันที่ 6 มีนาคม ปีที่แล้ว โดยถูกเจ้าหน้าที่หน่วยปราบปรามยาเสพย์ติดของ สหรัฐฯ หรือ DEA ส่งสายลับ 2 คนอ้างตัวว่า เป็นสมาชิกขบวนการ ฟาร์กในโคลอมเบีย ซึ่งหาเงินจากการขายโคเคน แล้วเอาเงินไปซื้ออาวุธ ต่อสู้กับรัฐบาลโคลอมเบีย ไปล่อซื้ออาวุธจากบูท
การติดต่อล่อซื้อนี้ ทำกันมาตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2007 ผ่านทางโทรศัพท์ สายลับทั้งสอง พยายามล่อให้บูทออกจากมอสโคว์มาพบกัน เพราะตั้งแต่สหประชาชาติเผยแพร่รายงานเมื่อเดือนธันวาคม ปี 2000 ที่ระบุว่า เขาคือ ผู้ค้าอาวุธรายใหญ่ของโลก และขึ้นบัญชีเป็นผู้ต้องห้ามในการเดินทางข้ามประเทศ บูทก็ระมัดระวังตัว ไม่เดินทางไปไหน จะใช้ชีวิตอยู่แต่ในรัสเซีย
แต่ครั้งนี้ เหมือนจะเป็นชะตาลิจขิตเพราะบูทยอมางมาพบสายลับทั้ง 2 คนที่กรุงเทพ จนถูกจับตัวในที่สุด
ในเอกสารที่อัยการสหรัฐฯยื่นฟ้องต่อ ศาล นิวยอร์ก หลังบูทถูกจับ ระบุว่า ในระหว่างการพบกับสายลับ DEA ที่ปลอมตัวเป็นสมาชิกฟาร์ก เป็นเวลา 2 ชั่วโมง บูทบอกกับสายลับทั้งสองว่า จะขายจรวดแซมให้ 700-800 ลูก กระสุนปืนอีกนับล้านๆนัด ปืน อาร์ก้า -47 เครื่องบินขนส่ง 2 ลำ และเครื่องบินที่บังคับด้วยคอมพิวเตอร์ โดยไม่ต้องใช้นักบิน เพื่อทิ้งระเบิดทำลายสถานีเรดาร์ที่สหรัฐฯสร้างไว้ในโคลอมเบีย
ซึ่งบูทต่อสู้ว่า เขาเป็นนักธุรกิจ เดินทางเข้าไทยเพื่อเจรจาขายเครื่องบิน และถูกเข้าหน้าที่สหรัฐฯและไทยหลายคนเข้าจับกุม และแจ้งข้อหาก่อการร้าย เขาถูกเกลี้ยกล่อมให้เดินทางไปขึ้นศาลที่สหรับฯ แต่ไม่ยอม ส่วนข้อหาที่ว่า เขาขายอาวุธให้กับขบวนการ ฟาร์ก ก็ไม่เป็นความจริง
ในเว็บไซต์ของเขา บูทยังอ้างว่า ตอนที่เจ้าหน้าที่ DEA จับตัวเขานั้น ไม่มีหมายจับมาด้วย หมายจับเพิ่งจะมาถึงหลังจากนั้น 4 วัน
ศาลชั้นต้นตัดสินเมื่อวันที่ 11 สิงหาคมปีที่แล้ว ว่า คดีนี้เป็นคดีการเมือง เพราะขบวนการ ฟาร์ก เป็นขบวนการทางการเมือ งจึงต้องห้าม ตาม พรบ.ส่งผู้ร้ายข้ามแดน พ.ศ. 2472 นอกจากนี้ ฝ่ายโจทก์ไม่มีหลักฐานมายืนยันว่า จำเลยร่วมมือกับขบวนการฟาร์ก มีแต่เพียงข้อกล่าวหาลอยๆ จึงยกคำร้อง
เมื่อสหรัฐฯไม่พอใจ แรงกดดันจึงเกิดขึ้นกับประเทศไทยทันที
โดยมีรายงานข่าวว่า สหรัฐฯ ได้มีการส่งหนังสือถีงนายดอน ปรมัตถ์วินัย เอกกอัครราชทูตไทยประจำสหรัฐฯ ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของการนำตัวนายบูทไปดำเนินคดี
ขณะที่สมาชิกรัฐสภาสหรัฐ ฯกลุ่มหนึ่งเตือนนายดอนว่า ถ้าไทยไม่ส่งตัวนายบูทกลับไป อาจจะกระทบกระเทือนความสมัมพัน์ของทั้งสองประเทศ
แน่นอนว่านั่นคือบุคลิกของสหรัฐฯที่ชอบแสดงท่าที่คุกคามชาติที่เล็กกว่า เพื่อปกป้องประโยชน์ของตน แต่มักจะใช้การกระทำต่อฝ่ายบริหาร โดยจะไม่ใช่การแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมหรือกระบวนการศาลของประเทศนั้นๆโดยตรง
อย่างไรก็ตาม เมื่อขึ้นสู่ในชั้นของอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์มีคำวินิจฉัยเห็นว่า ไม่ใช่คดีการเมือง แต่เป็นคดีอาญา เพราะนายบุทไม่ใช่สมาชิกขบวนการฟาร์ค ซึ่งเป็นกลุ่มการเมืองที่ติดอาวุธต่อสู้กับรัฐบาลโคลอมเบีย แต่นายบูทถูกตั้งข้อหาว่า ขายอาวุธให้ขบวนการฟาร์ค
นอกจากนั้น รัฐบาลโคลอมเบีย ซึ่งเป็นคู่ขัดแย้งกับขบวนการฟาร์ก ไม่ได้เป็นผู้ขอให้สังตัว แต่เป็นรัฐบาลสหรัฐฯ ซึ่งไม่ใช่คู่กรณีของฟาร์ก จึงไม่เข้าข่ายต้องห้ามตามกฎหมายส่งผู้ร้ายข้ามแดน
อารมณ์ของ 2 ประเทศพลิกกลับทันที โดยครั้งนี้กลายเป็นฝ่ายรัสเซียที่ผิดหวังบ้าง และฝ่ายสหรัฐฯ กลับมาเป็นฝ่ายดีใจแทนบ้าง
แต่ประเทศไทยกลับซวย เพราะก่อนหน้าเกิดกรณีนายศิริโชค โสภา ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ มุดคุกไปหานายบูท จนกลายเป็นเรื่องอื้อฉาว
ซ้ำร้ายสหรัฐฯได้มีการส่งเครื่องบินมารอรับตัวนายบูทในวันที่จะมีการตัดสินคดี จนถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่า สหรัฐฯรู้ได้อย่างไร จึงมีการส่งเครื่องบินมารอ
ยิ่งเมื่อศาลอาญามีคำสั่งยกคำร้องสำนวนคดีที่ 2 ที่พนักงานอัยการขอให้ส่งตัวนายบูท พ่อค้าอาวุธชาวรัสเซีย เป็นผู้ร้ายข้ามแดนไปดำเนินคดีที่สหรัฐอเมริกา ส่งผลให้นายบูท ต้องถูกส่งตัวไปดำเนินคดีที่สหรัฐในฐานะผู้ร้ายข้ามแดน ตามคำพิพากษาของศาลอาญาในสำนวนคดีที่ 1 นั้น
รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ ก็ยิ่งเข้าสู่สภาวะ Dilemma หรือเขาควายของ 2 มหาอำนาจมากขึ้นไปอีก
เพราะสำนักข่าวเอเอฟพีรายงานเมื่อวันที่ 6 ตุลาคม ว่า นายเซรเกย์ ลาฟรอฟ รัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซีย เปิดเผยว่า รัสเซียไว้วางใจในฝ่ายตุลาการของประเทศไทยในการดูแลคดีของวิคเตอร์ บูท และไม่ต้องการที่จะเข้าไปแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมของไทย และเชื่อว่า จะไม่มีใครพยายามที่จะเข้าไปโน้มน้าวเรื่องดังกล่าว
นอกจากนี้นายลาฟรอฟ ยังหวังว่า ข้อความที่สหรัฐส่งถึงนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี จะไม่ส่งผลต่อชะตากรรมของนายวิคเตอร์ บูท และนายลาฟรอฟ ยังได้ปฏิเสธข่าวที่ว่า มีการตกลงแลกเปลี่ยนกันระหว่างรัฐบาลสหรัฐกับรัสเซียกรณีที่สหรัฐต้องการตัวนายวิคเตอร์ บูท ไปดำเนินคดีก่อการร้าย โดยยืนยันว่า ความคิดที่ว่า รัสเซียและสหรัฐได้ตกลงกันบางอย่างเกี่ยวกับกรณีนี้นั้น ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับกระบวนการยุติธรรมเลย
ส่วน นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ซึ่งอยู่ระหว่างการร่วมประชุมผู้นำเอเชีย-ยุโรป (อาเซม) ครั้งที่ 8 ที่กรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยี่ยม กล่าวว่า ได้มีโอกาสพบกับ รัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซีย และได้แจ้งถึงกระบวนการพิจารณาคดีและข้อกฎหมายคดีที่สหรัฐฟ้องนายวิคเตอร์ บูท ในสำนวนคดีที่ 2 ข้อหาฉ้อโกงและฟอกเงิน ซึ่งศาลได้ยกคำร้อง ดังนั้นต้องดูว่ากระบวนการอุทธรณ์จะใช้เวลานานแค่ไหน หากเกินวันที่ 20 พฤศจิกายนนี้ ซึ่งครบกำหนด 3 เดือนที่จะต้องส่งตัวนายวิคเตอร์ บูท ไปให้สหรัฐฯ ตามคำพิพากษาของศาลในคดีแรก ก็ต้องยื่นต่อศาลเพื่อขอขยายเวลาในการส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดน
“รัสเซียไม่พอใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น และไม่เกี่ยวกับประเทศไทย เพราะทราบถึงการตัดสินใจเรื่องนี้ว่า ได้ดำเนินการบนพื้นฐานของข้อกฎหมายและคำนึงถึงความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ยืนยันว่า รัฐบาลไทยจะทำให้ดีที่สุด เพื่อไม่ให้กระทบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และการที่มีหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ ถ้าเลือกได้ ก็คงไม่มีใครอยากอยู่ในสถานการณ์แบบนี้" นายอภิสิทธิ์ กล่าว
เรื่องของวิคเตอร์ บูท ที่ถูกศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ส่งตัวกลับไปให้ สหรัฐฯ สุดท้ายจะจบลงอย่างไร เป็นเรื่องที่ต้องติดตามกันต่อไป เพราะไม่ว่าอย่างไรข้อสังเกตที่ว่า อาจะเป็นเรื่องการเมืองระหว่างประทเศ ที่ รัฐบาลไทยถูก รัฐบาลอเมิรกันกดดัน และทำให้รัฐบาลรัสเซียไม่พอใจ เป็นเรื่องที่ยากจะปฏิเสธ
งานนี้ที่เจ็บตัวก็คือประเทศไทย
ที่มา.บางกอกทูเดย์
วันเสาร์ที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2553
นอก – ใน แยกกันไม่ออก
ในสัปดาห์นี้ มีสองเรื่องที่ต้องนำมาวิเคราะห์เพราะเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของชาติ เรื่องหนึ่งคือกรณีศาลอุทรณ์มีคำพิพากษาสุดท้ายให้ส่ง นายวิคเตอร์ บูท ชาวรัสเซีย นักค้าอาวุธสงครามข้ามชาติ หรือ “นายหน้าค้าความตาย” ให้สหรัฐตามที่ร้องขอ ในฐานะเป็นคดีอาชญากรรม ไม่ใช่เป็นเรื่องการเมือง กับเรื่องที่สองคือ กรณีฮุนเซนประกาศว่า ทักษิณถอนตัวออกจากการเป็นที่ปรึกษาของรัฐบาลกัมพูชาและที่ปรึกษาส่วนตัวของฮุนเซน ทำให้บรรยากาศทางการเมืองระหว่างสองประเทศดีขึ้น บางคนอาจมองว่า สองเหตุการณ์เป็นคนละเรื่อง แต่ในเชิงการเมืองระหว่างประเทศ ไม่มีอะไรที่แยกจากกันอย่างเด็ดขาด สิ่งที่เกิดขึ้นอาจเป็นคนละเรื่องเดียวกันก็ได้
ในกรณีของนายวิคเตอร์ บูทนั้น แม้เป็นคดีอาชญากรรมข้ามชาติ แต่กลายเป็นเกมศักดิ์ศรีระหว่างสหรัฐอเมริกาและรัสเซีย ไทยเป็นประเทศเล็ก ๆ อยู่ระหว่างเขาควายซี่งถูกกดดันจากยักษ์ใหญ่ทั้งสอง ไทยจะทำอย่างไร วิธีที่ดีที่สุดคือปล่อยให้กระบวนการยุติธรรมดำเนินการไปจนคดีสิ้นสุด แน่นอน ไม่ว่าศาลจะตัดสินสุดท้ายออกมาอย่างไร ย่อมมีฝ่ายหนึ่งพอใจและอีกฝ่ายไม่พอใจ แต่ทุกฝายต้องเคารพคำตัดสินของศาลสถิตยุติธรรมของไทยซึ่งมีมาตรฐานสากลที่ไม่มีใครสามารถแทรกแซง หรือกดดันได้
เป็นที่น่าสังเกตว่า ในระยะหลังนี้ รัสเซียค่อนข้างเอาใจประเทศไทยและมีความใกล้ชิดกับไทยมาก เพราะรัสเซียต้องการมี “ที่ยืน” ในภูมิภาคนี้ รัสเซียต้องการกลับมามีบทบาทในภูมิภาคนี้อีกครั้งหลังจัดการปัญหาภายในประเทศได้เรียบร้อยพอสมควรแล้ว รัสเซียแสวงหาการสนับสนุนจากไทยโดยเฉพาะช่วงที่ไทยเป็นประธานอาเซียน นี่เป็นผลประโยชน์สำคัญยิ่งกว่ากรณีของนายบูท แต่ สิ่งที่ต้องวิเคราะห์กันต่อไปคือ เมื่อรัสเซียเสียหน้าเช่นนี้ รัสเซียจะทำอะไรกับไทยหรือไม่อย่างไร
บางคนอาจตั้งคำถามว่า รัสเซียจะใช้คุณทักษิณซึ่งบินไปรัสเซียบ่อยครั้งและมีความใกล้ชิดกับรัสเซียระดับหนึ่ง เป็นเบี้ยกดดันรัฐบาลไทยได้หรือไม่ วิเคราะห์แล้วเห็นว่า รัสเซียไม่น่าทำเพราะรัสเซียน่าจะให้ความสำคัญกับรัฐบาลไทยมากกว่าคุณทักษิณที่โอกาสจะกลับมายิ่งใหญ่ในไทยนั้นน้อยมาก ดีไม่ดีถ้ารัสเซียดีดลูกคิดแล้วตกลงใจว่า ต้องเอารัฐบาลอภิสิทธิ์มากกว่าคุณทักษิณ รัสเซียอาจกดดันไม่ให้คุณทักษิณก่อกวนรัฐบาลไทยต่อไปหากยังคิดทำธุรกิจหรือไปรักษาตัวในรัสเซียด้วยซ้ำ ในด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ แต่ละประเทศรวมทั้งรัสเซียมีทางเลือกหลายทาง ผู้นำจะคิดถึงผลประโยชน์ที่ได้มากกว่า และผลเสียที่น้อยกว่า ทั้งที่เกิดขึ้นในปัจจุบันและในอนาคต
สำหรับปัญหาระหว่างไทยกับกัมพูชานั้น มีสองเรื่องหลัก คือ (1) ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับกัมพูชา (2) ปัญหาปราสาทพระวิหาร ในเรื่องแรกนั้น ปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับกัมพูชาสมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์เกิดขึ้นเมื่อฮุนเซนแต่งตั้งคุณทักษิณเป็นที่ปรึกษาและไม่ยอมส่งตัวคุณทักษิณตามกฎหมายส่งผู้ร้ายข้ามแดน ซึ่งรัฐบาลไทยถือว่า รัฐบาลกัมพูชาไม่เคารพต่อกระบวนการยุติธรรมของไทย ดังนั้น รัฐบาลไทยจึงเรียกเอกอัครราชทูตไทยประจำพนมเปญกลับกรุงเทพ รัฐบาลไทยได้ตั้งเงื่อนไขไว้ว่า หากต้องการให้ไทยส่งทูตกลับพนมเปญ ฮุนเซนต้องเลิกการแต่งตั้งคุณทักษิณเป็นที่ปรึกษา การที่คุณทักษิณไม่ได้เป็นที่ปรึกษารัฐบาลกัมพูชาและฮุนเซนอีกต่อไปจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นการริเริ่มโดยฮุนเซนหรือคุณทักษิณก่อนก็ตาม แต่สุดท้ายทั้งสองคนก็เห็นพ้องกัน เท่ากับทำให้เงื่อนไขของรัฐบาลไทยหมดไป ความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศกำลังได้รับการฟื้นฟูเข้าสู่ระดับปกติ
มีความเป็นไปได้มากว่า ฮุนเซนน่าจะถูกกดดันจากชาติมหาอำนาจที่มีอิทธิพลต่อกัมพูชาไม่มากก็น้อย และเป็นมหาอำนาจที่ฮุนเซนหรือคุณทักษิณ หรือทั้งสองคนต้องให้ความเกรงใจ เพราะการที่คุณทักษิณเงียบหายไปเป็นเวลานานซึ่งผิดปกติ กับการที่ฮุนเซนประกาศให้ทักษิณพ้นจากตำแหน่งที่ปรึกษา เกิดขึ้นในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน มหาอำนาจที่ว่านั้นอาจเป็นชาติเดียวหรือมากกว่าหนึ่งชาติ และอาจเป็นมหาอำนาจในภูมิภาคหรือนอกภูมิภาคที่ได้ประโยชน์จากความร่วมมือของรัฐบาลไทยในการปราบปรามกลุ่มอาชญากรรมของประเทศนั้นที่มาใช้ไทยเป็นฐานและสร้างความเสียหายให้กับประเทศของเขา ย่อมคิดช่วยเหลือไทยไม่มากก็น้อยในประเด็นที่เป็นปัญหาของไทยหรือที่ไทยร้องขอเป็นการตอบแทน
ดังนั้น ปัญหาระหว่างรัฐบาลอภิสิทธิ์และฮุนเซนจึงเหลืออยู่เพียงเรื่องเดียว คือ ปัญหาปราสาทพระวิหาร หากคุณอภิสิทธิ์และฮุนเซนซึ่งจะไปประชุมสุดยอดอาเซมที่กรุงบรัสเซล มีโอกาสที่จะพบปะเจรจากันสองต่อสอง เราหวังว่า ความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศน่าจะดีขึ้นอีก หากฮุนเซนมีความจริงใจที่จะฟื้นฟูความสัมพันธ์ให้ดีขึ้นจริง ฮุนเซนต้องเคารพต่อกระบวนการยุติธรรมของไทยด้วยการส่งตัวผู้ก่อการร้ายที่ถูกออกหมายจับโดยศาลไทยและหลบหนีไปอยู่กัมพูชากลับมาดำเนินคดีในไทย หรือผลักดันให้ออกจากเขมร
สำหรับเขาพระวิหารนั้น รัฐบาลและคนไทยต้องมีจุดยืนเดียวกัน เขาพระวิหารเป็น “มรดกบาป” ที่ตกทอดมาจากยุคล่าอาณานิคมของฝรั่งเศส จุดยืนของรัฐบาลไทยและคนไทย คือ (1) ประเทศไทยและประชาชนไม่เคยยอมรับว่า ปราสาทพระวิหารเป็นของกัมพูชา ไทยเพียงยอมปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลโลกในฐานะที่ไทยเป็นสมาชิกสหประชาชาติที่จะต้องปฏิบัติตามพันธะกรณีในกฎบัตรสหประชาชาติเท่านั้น (2) ไทยต้องไม่ละทิ้งข้อสงวนสิทธิ์อันชอบธรรมในเรื่องนี้ ที่จะดำเนินการตามกฎหมายที่จำเป็นที่อาจจะมีขึ้นในภายหน้าเพื่อให้ได้กรรมสิทธิ์ตัวปราสาทกลับมาอีกในโอกาสอันควร (3) ไม่มีพื้นที่ทับซ้อนเพราะไม่มีการทับซ้อนของอำนาจอธิปไตย ไทยยืนยันว่า พื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรเป็นของไทย (4) หาทางผลักดันชุมชนเขมรออกจากพื้นที่ 4.6 ตร.กม. (5) ไม่ยอมรับแผนที่ 1 ต่อ 200,000 ที่ฝรั่งเศสจัดทำขึ้นแต่ฝ่ายเดียว ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเขตแดนทางบกอื่น ๆ และเขตแดนทางทะเล (6) ยืนยันการแก้ไขปัญหาโดยสันติวิธีในรูปแบบทวิภาคี (6) เผยแพร่ข้อเท็จจริงและจุดยืนให้คนไทยได้รับทราบ โดยเฉพาะประวัติศาสตร์ช่วงฝรั่งเศสคุกคามประเทศไทยแบบหมาป่ากับลูกแกะ อันส่งผลมายังความอยุติธรรมที่ตามมาหลายประการ
คนไทยควรตระหนักว่า ไทยไม่ได้สู้กับเขมร แต่เราสู้กับฝรั่งเศส และเจ้าลัทธิอาณานิคมทั้งหลายตั้งแต่ปี 2505 และปี 2553 ที่ศาลโลกตัดสินในทางที่เป็นประโยชน์แก่เขมรก็เป็นฝีมือของฝรั่งเศสและนักล่าอาณานิคมทั้งหลาย ภาคประชาชนต้องเปิดโปงพฤติกรรมของฝรั่งเศสซึ่งรังแกไทย ข่มขู่ไทยชนิดที่มหาอำนาจยุโรปอื่นในขณะนั้นยังรับไม่ได้ ให้โลกได้รับรู้ และเรียกร้องให้ฝรั่งเศสขอโทษคนไทย เหมือนที่ญี่ปุ่นขอโทษประชาชนเกาหลีใต้และจีน ที่ได้ฆ่า ข่มขืนคนเกาหลีและคนจีนอย่างเหี้ยมโหดระหว่างสงคราม หรือคล้ายกับออสเตรเลียขอโทษพวกอะบอริจิน แม้ฝรั่งเศสไม่ได้ฆ่าคนไทยอย่างเหี้ยมโหด แต่ฝรั่งเศสข่มขืนใจคนไทยอย่างเหี้ยมโหดโดยเอาดินแดนไปจากคนไทยตามอำเภอใจ
ที่มา.ไทยนิวส์
ในกรณีของนายวิคเตอร์ บูทนั้น แม้เป็นคดีอาชญากรรมข้ามชาติ แต่กลายเป็นเกมศักดิ์ศรีระหว่างสหรัฐอเมริกาและรัสเซีย ไทยเป็นประเทศเล็ก ๆ อยู่ระหว่างเขาควายซี่งถูกกดดันจากยักษ์ใหญ่ทั้งสอง ไทยจะทำอย่างไร วิธีที่ดีที่สุดคือปล่อยให้กระบวนการยุติธรรมดำเนินการไปจนคดีสิ้นสุด แน่นอน ไม่ว่าศาลจะตัดสินสุดท้ายออกมาอย่างไร ย่อมมีฝ่ายหนึ่งพอใจและอีกฝ่ายไม่พอใจ แต่ทุกฝายต้องเคารพคำตัดสินของศาลสถิตยุติธรรมของไทยซึ่งมีมาตรฐานสากลที่ไม่มีใครสามารถแทรกแซง หรือกดดันได้
เป็นที่น่าสังเกตว่า ในระยะหลังนี้ รัสเซียค่อนข้างเอาใจประเทศไทยและมีความใกล้ชิดกับไทยมาก เพราะรัสเซียต้องการมี “ที่ยืน” ในภูมิภาคนี้ รัสเซียต้องการกลับมามีบทบาทในภูมิภาคนี้อีกครั้งหลังจัดการปัญหาภายในประเทศได้เรียบร้อยพอสมควรแล้ว รัสเซียแสวงหาการสนับสนุนจากไทยโดยเฉพาะช่วงที่ไทยเป็นประธานอาเซียน นี่เป็นผลประโยชน์สำคัญยิ่งกว่ากรณีของนายบูท แต่ สิ่งที่ต้องวิเคราะห์กันต่อไปคือ เมื่อรัสเซียเสียหน้าเช่นนี้ รัสเซียจะทำอะไรกับไทยหรือไม่อย่างไร
บางคนอาจตั้งคำถามว่า รัสเซียจะใช้คุณทักษิณซึ่งบินไปรัสเซียบ่อยครั้งและมีความใกล้ชิดกับรัสเซียระดับหนึ่ง เป็นเบี้ยกดดันรัฐบาลไทยได้หรือไม่ วิเคราะห์แล้วเห็นว่า รัสเซียไม่น่าทำเพราะรัสเซียน่าจะให้ความสำคัญกับรัฐบาลไทยมากกว่าคุณทักษิณที่โอกาสจะกลับมายิ่งใหญ่ในไทยนั้นน้อยมาก ดีไม่ดีถ้ารัสเซียดีดลูกคิดแล้วตกลงใจว่า ต้องเอารัฐบาลอภิสิทธิ์มากกว่าคุณทักษิณ รัสเซียอาจกดดันไม่ให้คุณทักษิณก่อกวนรัฐบาลไทยต่อไปหากยังคิดทำธุรกิจหรือไปรักษาตัวในรัสเซียด้วยซ้ำ ในด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ แต่ละประเทศรวมทั้งรัสเซียมีทางเลือกหลายทาง ผู้นำจะคิดถึงผลประโยชน์ที่ได้มากกว่า และผลเสียที่น้อยกว่า ทั้งที่เกิดขึ้นในปัจจุบันและในอนาคต
สำหรับปัญหาระหว่างไทยกับกัมพูชานั้น มีสองเรื่องหลัก คือ (1) ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับกัมพูชา (2) ปัญหาปราสาทพระวิหาร ในเรื่องแรกนั้น ปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับกัมพูชาสมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์เกิดขึ้นเมื่อฮุนเซนแต่งตั้งคุณทักษิณเป็นที่ปรึกษาและไม่ยอมส่งตัวคุณทักษิณตามกฎหมายส่งผู้ร้ายข้ามแดน ซึ่งรัฐบาลไทยถือว่า รัฐบาลกัมพูชาไม่เคารพต่อกระบวนการยุติธรรมของไทย ดังนั้น รัฐบาลไทยจึงเรียกเอกอัครราชทูตไทยประจำพนมเปญกลับกรุงเทพ รัฐบาลไทยได้ตั้งเงื่อนไขไว้ว่า หากต้องการให้ไทยส่งทูตกลับพนมเปญ ฮุนเซนต้องเลิกการแต่งตั้งคุณทักษิณเป็นที่ปรึกษา การที่คุณทักษิณไม่ได้เป็นที่ปรึกษารัฐบาลกัมพูชาและฮุนเซนอีกต่อไปจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นการริเริ่มโดยฮุนเซนหรือคุณทักษิณก่อนก็ตาม แต่สุดท้ายทั้งสองคนก็เห็นพ้องกัน เท่ากับทำให้เงื่อนไขของรัฐบาลไทยหมดไป ความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศกำลังได้รับการฟื้นฟูเข้าสู่ระดับปกติ
มีความเป็นไปได้มากว่า ฮุนเซนน่าจะถูกกดดันจากชาติมหาอำนาจที่มีอิทธิพลต่อกัมพูชาไม่มากก็น้อย และเป็นมหาอำนาจที่ฮุนเซนหรือคุณทักษิณ หรือทั้งสองคนต้องให้ความเกรงใจ เพราะการที่คุณทักษิณเงียบหายไปเป็นเวลานานซึ่งผิดปกติ กับการที่ฮุนเซนประกาศให้ทักษิณพ้นจากตำแหน่งที่ปรึกษา เกิดขึ้นในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน มหาอำนาจที่ว่านั้นอาจเป็นชาติเดียวหรือมากกว่าหนึ่งชาติ และอาจเป็นมหาอำนาจในภูมิภาคหรือนอกภูมิภาคที่ได้ประโยชน์จากความร่วมมือของรัฐบาลไทยในการปราบปรามกลุ่มอาชญากรรมของประเทศนั้นที่มาใช้ไทยเป็นฐานและสร้างความเสียหายให้กับประเทศของเขา ย่อมคิดช่วยเหลือไทยไม่มากก็น้อยในประเด็นที่เป็นปัญหาของไทยหรือที่ไทยร้องขอเป็นการตอบแทน
ดังนั้น ปัญหาระหว่างรัฐบาลอภิสิทธิ์และฮุนเซนจึงเหลืออยู่เพียงเรื่องเดียว คือ ปัญหาปราสาทพระวิหาร หากคุณอภิสิทธิ์และฮุนเซนซึ่งจะไปประชุมสุดยอดอาเซมที่กรุงบรัสเซล มีโอกาสที่จะพบปะเจรจากันสองต่อสอง เราหวังว่า ความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศน่าจะดีขึ้นอีก หากฮุนเซนมีความจริงใจที่จะฟื้นฟูความสัมพันธ์ให้ดีขึ้นจริง ฮุนเซนต้องเคารพต่อกระบวนการยุติธรรมของไทยด้วยการส่งตัวผู้ก่อการร้ายที่ถูกออกหมายจับโดยศาลไทยและหลบหนีไปอยู่กัมพูชากลับมาดำเนินคดีในไทย หรือผลักดันให้ออกจากเขมร
สำหรับเขาพระวิหารนั้น รัฐบาลและคนไทยต้องมีจุดยืนเดียวกัน เขาพระวิหารเป็น “มรดกบาป” ที่ตกทอดมาจากยุคล่าอาณานิคมของฝรั่งเศส จุดยืนของรัฐบาลไทยและคนไทย คือ (1) ประเทศไทยและประชาชนไม่เคยยอมรับว่า ปราสาทพระวิหารเป็นของกัมพูชา ไทยเพียงยอมปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลโลกในฐานะที่ไทยเป็นสมาชิกสหประชาชาติที่จะต้องปฏิบัติตามพันธะกรณีในกฎบัตรสหประชาชาติเท่านั้น (2) ไทยต้องไม่ละทิ้งข้อสงวนสิทธิ์อันชอบธรรมในเรื่องนี้ ที่จะดำเนินการตามกฎหมายที่จำเป็นที่อาจจะมีขึ้นในภายหน้าเพื่อให้ได้กรรมสิทธิ์ตัวปราสาทกลับมาอีกในโอกาสอันควร (3) ไม่มีพื้นที่ทับซ้อนเพราะไม่มีการทับซ้อนของอำนาจอธิปไตย ไทยยืนยันว่า พื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรเป็นของไทย (4) หาทางผลักดันชุมชนเขมรออกจากพื้นที่ 4.6 ตร.กม. (5) ไม่ยอมรับแผนที่ 1 ต่อ 200,000 ที่ฝรั่งเศสจัดทำขึ้นแต่ฝ่ายเดียว ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเขตแดนทางบกอื่น ๆ และเขตแดนทางทะเล (6) ยืนยันการแก้ไขปัญหาโดยสันติวิธีในรูปแบบทวิภาคี (6) เผยแพร่ข้อเท็จจริงและจุดยืนให้คนไทยได้รับทราบ โดยเฉพาะประวัติศาสตร์ช่วงฝรั่งเศสคุกคามประเทศไทยแบบหมาป่ากับลูกแกะ อันส่งผลมายังความอยุติธรรมที่ตามมาหลายประการ
คนไทยควรตระหนักว่า ไทยไม่ได้สู้กับเขมร แต่เราสู้กับฝรั่งเศส และเจ้าลัทธิอาณานิคมทั้งหลายตั้งแต่ปี 2505 และปี 2553 ที่ศาลโลกตัดสินในทางที่เป็นประโยชน์แก่เขมรก็เป็นฝีมือของฝรั่งเศสและนักล่าอาณานิคมทั้งหลาย ภาคประชาชนต้องเปิดโปงพฤติกรรมของฝรั่งเศสซึ่งรังแกไทย ข่มขู่ไทยชนิดที่มหาอำนาจยุโรปอื่นในขณะนั้นยังรับไม่ได้ ให้โลกได้รับรู้ และเรียกร้องให้ฝรั่งเศสขอโทษคนไทย เหมือนที่ญี่ปุ่นขอโทษประชาชนเกาหลีใต้และจีน ที่ได้ฆ่า ข่มขืนคนเกาหลีและคนจีนอย่างเหี้ยมโหดระหว่างสงคราม หรือคล้ายกับออสเตรเลียขอโทษพวกอะบอริจิน แม้ฝรั่งเศสไม่ได้ฆ่าคนไทยอย่างเหี้ยมโหด แต่ฝรั่งเศสข่มขืนใจคนไทยอย่างเหี้ยมโหดโดยเอาดินแดนไปจากคนไทยตามอำเภอใจ
ที่มา.ไทยนิวส์
ฆาตกรรมอำพราง.....สมัย...วงศ์สุวรรน....เสื้อแดงต้องระวัง..
ที่มา.DemocraticThai News

เหตุเกิดที่....สมานเมตตาแมนชั่น.....บางบัวทอง....5 ตค 53 ประมาณ 18.00น
ชั้น2....ห้อง 201 มีชายชาวไทย-มุสลิม อาศัยอยู่ เข้าออกเป็นประจำ
ชั้น2....ห้อง 202...ติดกับ 201 มีนายสมัย วงศ์สุวรรน เป็นผู้เช่าอาศัย
ชั้น2....ห้อง 203...ติดกับห้อง 202...ไม่มีการพูดถึงและรายงานความเสียหาย............
ห้อง 202...ของนายสมัย...ถูกตั้งข้อกล่าวหาจากเจ้าหน้ารัฐและสื่อต่างๆว่าเป็นต้นเหตุ
ของการระเบิดอย่างรุนแรง...บ้างบอกว่าเป็น ทีเอ็นที 10 กก...หรือซีโฟร...ซี่งมีอานุภาค
ร้ายแรงอย่างที่เห็น...ยังมีหลักฐาน ซีดี รัฐไทยใหม่ และหลักฐานอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับเสื้อแดง
พูดง่ายๆโยนความผิดให้คุณสมัยเสื้อแดง...........ทั้งหมดเร็วปานจรวด
จับโกหกได้เต็มๆ.....ระเบิดเทวดาหรือบังคับทิศทางได้....ดันจากห้อง 202 ไป 201 และ
ต่อออกไปถึงภายนอกอาคาร...ทำให้แพปลา ทาวน์เฮ้าส์ และรถยนต์เสียหายยับเยิน..........
แต่ห้องติดกัน 203 กลับไม่เป็นไร.....??? ดูหลักฐานจากรูปจากคลิป...ห้องต้นเหตุเป็นอื่นไม่ได้
คือ ห้อง 201...มีชายชาวไทย-มุสลิม อาศัยแน่น่อน...เพราะจะมีแรงดันทำลายห้อง 202
ส่วนอีกด้านออกไปทำลายด้านนอกเสียหายยับเยิน....โง่เสียอย่างนี้จึงโอนคดีไปให้ DSI ว่าต่อ
จึงวิเคราะห์ได้ว่า..........น่าจะเป็นฆาตกรรมอำพราง.............ดังนี้
1..ได้มีการสะกดรอยติดตามนายสมัย ซื่งเป็นฮาร์ดคอร์เสื้อแดงและยังมีคดีติดตัวอยู่
2. เพื่อให้เนียนน่าจะมีการว่าจ้างนักฆ่ามืออาชีพมือระเบิดโจรใต้ ซึ่งมีความชำนาญใน
การใช้ระเบิดเป็นอย่างดี
3.เป็นการจุดชนวนด้วย รีโมทมือถือ...กำหนดเวลาตายได้แน่นอน ต่างจากระเบิดเวลา
อาจพลาดได้เพราะความไม่แน่นอนของคน
4.เป็นการฆาตกรรมตามเก็บคนเสื้อแดงแบบเทคนิคชั่วชั้นสูง ให้สิ้นซาก
5.ปรองดองเป็นภาพหลอกเพื่อดูดีชอบธรรม.....แต่ตามเก็บลูกเดียว
6.เพื่ออ้างขยาย..พรก...เลยไปถึงรัฐประหาร...ปิดประเทศ...เพราะสถานการณ์ปกติ
เอาเสื้อแดงไว้ไม่อยู่แล้ว
7.แผนปิดประเทศคือ กวาดล้างเสื้อแดงให้สิ้นซาก จัดระเบียบประเทศใหม่ เมื่อทุกอย่าง
นิ่งตามเป้าหมาย.....แล้วเปิดประเทศ.......เริ่มต้นระบอบอำมาตย์ใหม่อีกครั้ง
สรุป...1 กวาดล้างเสื้อแดง...2. ใส่ร้ายร้ายเสื้อแดง 3.ทำลายเครือข่ายทักษิณ
เพราะฉะนั้นเครือข่ายเสื้อแดงที่อ่อนแอมาก...ไม่มีการจัดตั้งที่ดี...ไร้ผู้นำ..ไม่มีทุนสนับ
สนุน...ก็ขอให้ทุกท่านระวังตัว ประคองตัวให้ปลอดภัยจากการตามล่า และรักษาแนวทางไว้
ขยายแนวร่วมให้เร็วและมากที่สุด...และเมื่อถึงเวลาระบอบอำมาตย์จะล่มสลาย
โดยน้ำมือของประชาชนคนเสื้อแดงเอง......ระยะทางยังเหลืออีก 50 % อดทนไว้...
โดย. คุณอบอริจิ้น
เรื่องฉาวโฉ่สนามบินสุวรรณภูมิ ผลประโยชน์อยู่ไหน ทุจริตอยู่ที่นั่น
ปัญหาเรื่องผลประโยชน์ในการจัดเก็บค่าจอดรถของสนามบินสุวรรณภูมิ-สนามบินแห่งชาติของประเทศไทย ที่มีผลประโยชน์เฉลี่ยวันละเกือบ 5 แสนบาทถึงหนึ่งล้านบาท และมีรายได้เฉลี่ยต่อเดือนเกือบ 25 ล้านบาท อันถือเป็นผลประโยชน์จำนวนมาก จึงไม่แปลกที่ผลประโยชน์ดังกล่าวจะทำให้เกิดภาพชายฉกรรจ์จำนวนมากพร้อมอาวุธบุกเข้ายึดพื้นที่บริเวณลานจอดรถเมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา อันถือเป็นเรื่องฉาวโฉ่อย่างมากที่เกิดภาพเช่นนี้ขึ้นในสนามบินสุวรรณภูมิที่เป็นด่านแรกในการเข้าสู่ประเทศไทย
โดยล่าสุด มีคำให้สัมภาษณ์ของนายโสภณ ซารัมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ออกมาบอกว่า รู้สึกไม่พอใจที่ตลอดเวลาที่ผ่านมาในการแย่งชิงผลประโยชน์ของการจัดเก็บเงินค่าที่จอดรถสนามบินสุวรรณภูมิ ในฐานะเป็น รมว.คมนาคม กำกับดูแล บริษัท ท่าอากาศยานไทย (ทอท.) กลับไม่เคยรู้เรื่อง และไม่เคยได้รับรายงานเรื่องนี้ว่ามีปัญหาเกิดขึ้น จนถึงกับมีการแจ้งความ-ฟ้องร้องกันไปมาของบริษัทเอกชนกับทาง ทอท. แต่นายโสภณก็ได้ตั้งกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงเรื่องที่เกิดขึ้นโดยให้นายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม ปลัดกระทรวงคมนาคมเป็นประธาน
เรื่องที่เกิดขึ้นถือเป็นความบกพร่องของนายโสภณอย่างเห็นได้ชัด และไม่ควรออกมาปัดเรื่องนี้พ้นตัวง่ายๆ ว่าไม่เคยได้รับรายงาน ยิ่งเมื่อมีการเปิดเผยข้อมูลจากคนในบริษัท ทอท.ออกมาว่า นับแต่มีการให้บริษัทเอกชนรับสัมปทาน ปรากฏว่ามีการจัดเก็บเงินได้น้อยกว่าตอนที่ทาง ทอท.เป็นผู้จัดเก็บเอง จึงจะมีการเสนอให้ ทอท.เป็นผู้บริหารการจัดเก็บเงินค่าที่จอดรถเสียเอง โดยใช้เงินลงทุน 100 ล้านบาท และคาดว่าเพียงแค่หนึ่งปีก็สามารถคุ้มทุนได้แล้ว
สิ่งนี้เป็นอีกครั้งหนึ่งที่แสดงให้เห็นว่า ผลประโยชน์ในสนามบินสุวรรณภูมิมีมากมายมหาศาล จึงไม่แปลกที่นับแต่มีการคิดโครงการก่อสร้างสนามบินสุวรรณภูมิ หรือหนองงูเห่า ในตอนแรกจนกระทั่งถึงเริ่มมีการก่อสร้าง การประมูลงานโครงการต่างๆ จนมีการเปิดใช้สนามบินสุวรรณภูมิมาหลายปี ก็มีแต่ข่าวในทางลบ การทุจริตคอรัปชั่น การแสวงหาผลประโยชน์จากโครงการหลายต่อหลายโครงการ ไม่ว่าจะเป็นโครงการถมทรายสนามบินสุวรรณภูมิ การประมูลก่อสร้างสนามบินสุวรรณภูมิ โครงการจัดซื้อเครื่องตรวจวัตถุระเบิดซีทีเอ็กซ์ โครงการท่อร้อยสายภายในสนามบินสุวรรณภูมิ การประมูลพื้นที่เชิงพาณิชย์ในสนามบินสุวรรณภูมิ ปัญหาการให้บริการของแท็กซี่ภายในสนามบินสุวรรณภูมิ และยังมีอีกหลายสิบเรื่องที่ล้วนแต่มีเรื่องในทางลบออกมาอย่างต่อเนื่อง
อันเป็นความอื้อฉาวที่มีทั้งนักการเมือง บริษัทเอกชนทั้งของไทยและต่างชาติ ข้าราชการ รวมถึงพวกกลุ่มผู้มีอิทธิพลทั้งทหาร ตำรวจ เข้ามามีส่วนพัวพันกับเรื่องนี้ ซึ่งส่วนใหญ่สุดท้ายก็ไม่สามารถเอาผิดหรือจัดการกับคนที่มาแสวงหาผลประโยชน์ในสนามบินสุวรรณภูมิได้ โดยการตักตวงเอาผลประโยชน็ในทางมิชอบดังกล่าวจากโครงการสนามบินสุวรรณภูมิโครงการแล้วโครงการเล่า ได้เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้การก่อสร้างและเปิดใช้สนามบินสุวรรณภูมิล่าช้ากว่าที่ควรจะเป็นถึงหลายปี
ดังนั้น ปัญหาที่เกิดขึ้นกับเรื่องการเก็บเงินค่าที่จอดรถสนามบินสุวรรณภูมิ จึงเป็นบทสะท้อนให้เห็นอีกครั้งว่า ยังคงมีกลุ่มจ้องเอาผลประโยชน์จากโครงการและการบริหารงานต่างๆ ในสนามบินอยู่อย่างต่อเนื่อง และคาดว่ายังมีอีกหลายโครงการที่คงต้องมีความไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้นเพียงแต่มันได้ถูกปกปิดไว้ จึงควรที่ทางกระทรวงคมนาคม ทอท. รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กรรมการ ป.ป.ช.จะต้องมีการจับตาและเข้าตรวจสอบเพื่อไม่ให้ผลประโยชน์ของชาติไปเข้ากระเป๋าเงินคนไม่กี่คนที่จ้องจะกินทุกอย่างที่กินได้ในสนามบินแห่งนี้.
ที่มา.ไทยโพสต์
โดยล่าสุด มีคำให้สัมภาษณ์ของนายโสภณ ซารัมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ออกมาบอกว่า รู้สึกไม่พอใจที่ตลอดเวลาที่ผ่านมาในการแย่งชิงผลประโยชน์ของการจัดเก็บเงินค่าที่จอดรถสนามบินสุวรรณภูมิ ในฐานะเป็น รมว.คมนาคม กำกับดูแล บริษัท ท่าอากาศยานไทย (ทอท.) กลับไม่เคยรู้เรื่อง และไม่เคยได้รับรายงานเรื่องนี้ว่ามีปัญหาเกิดขึ้น จนถึงกับมีการแจ้งความ-ฟ้องร้องกันไปมาของบริษัทเอกชนกับทาง ทอท. แต่นายโสภณก็ได้ตั้งกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงเรื่องที่เกิดขึ้นโดยให้นายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม ปลัดกระทรวงคมนาคมเป็นประธาน
เรื่องที่เกิดขึ้นถือเป็นความบกพร่องของนายโสภณอย่างเห็นได้ชัด และไม่ควรออกมาปัดเรื่องนี้พ้นตัวง่ายๆ ว่าไม่เคยได้รับรายงาน ยิ่งเมื่อมีการเปิดเผยข้อมูลจากคนในบริษัท ทอท.ออกมาว่า นับแต่มีการให้บริษัทเอกชนรับสัมปทาน ปรากฏว่ามีการจัดเก็บเงินได้น้อยกว่าตอนที่ทาง ทอท.เป็นผู้จัดเก็บเอง จึงจะมีการเสนอให้ ทอท.เป็นผู้บริหารการจัดเก็บเงินค่าที่จอดรถเสียเอง โดยใช้เงินลงทุน 100 ล้านบาท และคาดว่าเพียงแค่หนึ่งปีก็สามารถคุ้มทุนได้แล้ว
สิ่งนี้เป็นอีกครั้งหนึ่งที่แสดงให้เห็นว่า ผลประโยชน์ในสนามบินสุวรรณภูมิมีมากมายมหาศาล จึงไม่แปลกที่นับแต่มีการคิดโครงการก่อสร้างสนามบินสุวรรณภูมิ หรือหนองงูเห่า ในตอนแรกจนกระทั่งถึงเริ่มมีการก่อสร้าง การประมูลงานโครงการต่างๆ จนมีการเปิดใช้สนามบินสุวรรณภูมิมาหลายปี ก็มีแต่ข่าวในทางลบ การทุจริตคอรัปชั่น การแสวงหาผลประโยชน์จากโครงการหลายต่อหลายโครงการ ไม่ว่าจะเป็นโครงการถมทรายสนามบินสุวรรณภูมิ การประมูลก่อสร้างสนามบินสุวรรณภูมิ โครงการจัดซื้อเครื่องตรวจวัตถุระเบิดซีทีเอ็กซ์ โครงการท่อร้อยสายภายในสนามบินสุวรรณภูมิ การประมูลพื้นที่เชิงพาณิชย์ในสนามบินสุวรรณภูมิ ปัญหาการให้บริการของแท็กซี่ภายในสนามบินสุวรรณภูมิ และยังมีอีกหลายสิบเรื่องที่ล้วนแต่มีเรื่องในทางลบออกมาอย่างต่อเนื่อง
อันเป็นความอื้อฉาวที่มีทั้งนักการเมือง บริษัทเอกชนทั้งของไทยและต่างชาติ ข้าราชการ รวมถึงพวกกลุ่มผู้มีอิทธิพลทั้งทหาร ตำรวจ เข้ามามีส่วนพัวพันกับเรื่องนี้ ซึ่งส่วนใหญ่สุดท้ายก็ไม่สามารถเอาผิดหรือจัดการกับคนที่มาแสวงหาผลประโยชน์ในสนามบินสุวรรณภูมิได้ โดยการตักตวงเอาผลประโยชน็ในทางมิชอบดังกล่าวจากโครงการสนามบินสุวรรณภูมิโครงการแล้วโครงการเล่า ได้เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้การก่อสร้างและเปิดใช้สนามบินสุวรรณภูมิล่าช้ากว่าที่ควรจะเป็นถึงหลายปี
ดังนั้น ปัญหาที่เกิดขึ้นกับเรื่องการเก็บเงินค่าที่จอดรถสนามบินสุวรรณภูมิ จึงเป็นบทสะท้อนให้เห็นอีกครั้งว่า ยังคงมีกลุ่มจ้องเอาผลประโยชน์จากโครงการและการบริหารงานต่างๆ ในสนามบินอยู่อย่างต่อเนื่อง และคาดว่ายังมีอีกหลายโครงการที่คงต้องมีความไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้นเพียงแต่มันได้ถูกปกปิดไว้ จึงควรที่ทางกระทรวงคมนาคม ทอท. รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กรรมการ ป.ป.ช.จะต้องมีการจับตาและเข้าตรวจสอบเพื่อไม่ให้ผลประโยชน์ของชาติไปเข้ากระเป๋าเงินคนไม่กี่คนที่จ้องจะกินทุกอย่างที่กินได้ในสนามบินแห่งนี้.
ที่มา.ไทยโพสต์
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)