พล.อ.ปฐมพงษ์ เกษรศุกร์ อดีตประธานที่ปรึกษากองบัญชาการกองทัพไทย ระบุว่า ไม่รู้สึกหวั่นไหว หลังศาลออกหมายจับ พร้อมกับ จอย-ศิริลักษณ์ ผ่องโชค ดารานักแสดง ในข้อหามั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คน ขึ้นไป กรณีปิดล้อมท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ และท่าอากาศยานดอนเมือง เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม - 3 ธันวาคม 2551 พร้อมท้าให้มาจับตนที่บ้านพักได้เลยเพราะตนไม่กลัว เนื่องจากในชีวิตทหารเคยผ่านสนามรบมาแล้ว ซึ่งถือว่าหนักกว่านี้ หลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ ระบุว่า หากพบตัวที่ใดจะทำการจับกุมทันที
ขณะเดียวกัน ก็ตั้งขอสังเกตด้วยว่า ทำไมจึงมีการออกหมายจับในช่วงที่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย มีการจัดกิจกรรมรำลึกเหตุการณ์ 7 ตุลา และแปลกใจว่า ทำไมจึงออกหมายจับแค่ตนกับ จอย-ศิริลักษณ์ เท่านั้น เพราะคนที่ไปร่วมชุมนุมมีเป็นจำนวนมาก ทั้งนี้ ตนยังไม่ได้หารือเรื่องนี้กับ จอย-ศิริลักษณ์
อย่างไรก็ตาม สำหรับกิจกรรมรำลึกเหตุการณ์ 7 ตุลา ที่จัดขึ้น ณ ลานพระบรมรูปทรงม้า และที่สถานีโทรทัศน์ ASTV นั้น ยังไม่สามารถบอกได้ว่า จะเดินทางไปร่วมงานหรือไม่ โดยจะขอประเมินสถานการณ์ก่อน
ด้าน จอย-ศิริลักษณ์ กล่าวว่า ขณะนี้ กำลังงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ส่วนกิจกรรมในวันนี้คงไม่ไปร่วมงาน โดยจะขอปรึกษาทนายความก่อนว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป
ที่มา.เนชั่น
วันพฤหัสบดีที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2553
วันพุธที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2553
ข่าวลวง...
โดย.นักวิชาการ ลูกพ่อขุน
หลังการให้สัมภาษณ์นักข่าวต่างประเทศของนายกสุดหล่อขวัญใจแม่ยก ที่กล่าวหาคนเสื้อแดงว่าเป็นผู้ก่อการร้าย ที่ทำเอานักข่าวต่างประเทศบางรายแอบอมยิ้มไม่ได้ ซึ่งก็ทำให้นายกของเราหน้าเจื่อนไปพอสมควรแต่ยังกัดฟันฟันธงต่อว่าทุกอย่างเป็นเพราะนายกทักษิณ
จากคำบอกเล่าของนักข่าวต่างประเทศก็ออกมาในทำนองที่ว่าไม่มีใครให้น้ำหนักกับคำกล่าวอ้างครั้งนี้ และที่ร้ายไปกว่านั้นส่วนใหญ่กลับคิดว่าเป็นเพียงการแก้ตัวเพื่อให้พ้นข้อหาฆ่าประชาชนผู้บริสุทธิ์
หลังจากเหตุการร์ครั้งนั้นนำมาสู่การจับชายชุดดำ 11 คนที่รีสอร์ทภาคเหนือ และยังไม่ทันจะได้สืบสวนสอบสวนแต่ประการใดทางฝ่ายความมั่นคงออกมาตีตราว่าเป็นคนเสื้อแดง ใส่บทบาทกลุ่มคนชุดดำที่สังคมโลกเคยสงสัยให้หมดไปว่าเป็นคนเสื้อแดง พร้อมตั้งชื่อเสร็จศัพท์ว่าเป็น "กลุ่มนักรบแดง"
แต่ทว่าการจับกุมก็ไม่ได้สร้างผลต่อกระแสความเชื่อมั่นของสังคมโลกมากมายอย่างที่ฝ่ายความมั่นคงคาดหวังไว้ ด้วยการที่พื้นที่ที่ถุกจัดฉากว่าเป็นที่ซ่องสุมกำลังของนักรบแดงตามคำกล่าวนั้น เป็นที่ในโครงการพระราชดำรัสของสมเด็จฯท่าน แถมรีสอร์ทนั้นก็เป็นศูนย์การเรียนรู้ที่มีองค์มนตรีเป็นผูดูแลอยู่ด้วย คำถามจึงเกิดขึ้นว่ามันสมควรจะเป็นพื้นที่ซ้อมรบหรือฝึกยุทธวิธีการลอบฆ่าตรงไหน
มาวันนี้มีการระเบิดที่บางบัวทอง มีผู้จากภูมิใจไทยออกมาโยงใยว่านี่คือสิ่งที่ถูกวางแผนไว้แล้วโดยคนเสื้อแดง สุดท้ายถึงกับอ้างว่ามีชาวตะวันออกกลางเข้าออกห้องที่เกิดเหตุระเบิดหลายครั้ง
เหมือนจะเป็นการจงใจให้เกิดเหตุการ์ทั้งสองเพื่อสร้างน้ำหนักและหลักฐานในเวทีโลก แต่ความเดือดร้อนกลับลงเต็มๆกับประชาชน ไม่ว่าจะเป็นเจ้าของรีสอร์ทหรือลุกจ้างที่ต้องนั่งตบยุงเพราะไม่มีใครกล้าไปเที่ยว
หรือแม้แต่ผู้อาศัยในแมนชั่นที่ต้องจบชีวิตลงไปทั้งๆที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร รวมถึงชาวบ้านที่ต้องอกสั่นขวัยหายกับเหตุการณ์ร้ายที่ไม่ควรเกิดขึ้นในแผนดินนี้
หลายคนอาจกล่าวหาฝั่งตรงข้ามกันไปต่างๆนานา แต่สิ่งหนึ่งที่ผมอยากให้ทุกคนทำคือการร่วมกันหยุดกล่าวหาใส่ร้าย แล้วลองนไข้อมูลที่มีมาแบกันบนโต๊ะ ถกเถียงด้วยสติปัญญาและหลักฐาน
วันนี้เรากำลังโดนต้มอยู่หรือไม่มันขึ้นอยู่กับผู้รับสารว่าเลือกจะคิดเช่นไร เพราะหากมองกันตามความเป็นจริงแล้วการกระทำเช่นนี้ไม่สามารถล้มรัฐบาลนี้ได้ ที่สำคัญยังเป็นการยืดเวลาให้รัฐบาลอยู่ได้อย่างราบรื่นสบายใจอีกต่างหาก
ผิดกับคนเสื้อแดงที่กลายเป็นจำเลยสังคม ผมแค่อยากสื่อว่าหากวันนี้แค่คนเสื้อแดงรวมพลังกันบอกเล่าความจริงที่ถุกบิดเบือน เลิกคิดว่าคนอื่นไม่ใช่พวกและไม่ยอมพยายามอธิบายความจริงให้คนที่ไม่เชื่อเรา พวกคนเสื้อแดงก็จะเป็นจำเลยสังคมด้อยปัญญาอย่างนี้ต่อไป
หลังการให้สัมภาษณ์นักข่าวต่างประเทศของนายกสุดหล่อขวัญใจแม่ยก ที่กล่าวหาคนเสื้อแดงว่าเป็นผู้ก่อการร้าย ที่ทำเอานักข่าวต่างประเทศบางรายแอบอมยิ้มไม่ได้ ซึ่งก็ทำให้นายกของเราหน้าเจื่อนไปพอสมควรแต่ยังกัดฟันฟันธงต่อว่าทุกอย่างเป็นเพราะนายกทักษิณ
จากคำบอกเล่าของนักข่าวต่างประเทศก็ออกมาในทำนองที่ว่าไม่มีใครให้น้ำหนักกับคำกล่าวอ้างครั้งนี้ และที่ร้ายไปกว่านั้นส่วนใหญ่กลับคิดว่าเป็นเพียงการแก้ตัวเพื่อให้พ้นข้อหาฆ่าประชาชนผู้บริสุทธิ์
หลังจากเหตุการร์ครั้งนั้นนำมาสู่การจับชายชุดดำ 11 คนที่รีสอร์ทภาคเหนือ และยังไม่ทันจะได้สืบสวนสอบสวนแต่ประการใดทางฝ่ายความมั่นคงออกมาตีตราว่าเป็นคนเสื้อแดง ใส่บทบาทกลุ่มคนชุดดำที่สังคมโลกเคยสงสัยให้หมดไปว่าเป็นคนเสื้อแดง พร้อมตั้งชื่อเสร็จศัพท์ว่าเป็น "กลุ่มนักรบแดง"
แต่ทว่าการจับกุมก็ไม่ได้สร้างผลต่อกระแสความเชื่อมั่นของสังคมโลกมากมายอย่างที่ฝ่ายความมั่นคงคาดหวังไว้ ด้วยการที่พื้นที่ที่ถุกจัดฉากว่าเป็นที่ซ่องสุมกำลังของนักรบแดงตามคำกล่าวนั้น เป็นที่ในโครงการพระราชดำรัสของสมเด็จฯท่าน แถมรีสอร์ทนั้นก็เป็นศูนย์การเรียนรู้ที่มีองค์มนตรีเป็นผูดูแลอยู่ด้วย คำถามจึงเกิดขึ้นว่ามันสมควรจะเป็นพื้นที่ซ้อมรบหรือฝึกยุทธวิธีการลอบฆ่าตรงไหน
มาวันนี้มีการระเบิดที่บางบัวทอง มีผู้จากภูมิใจไทยออกมาโยงใยว่านี่คือสิ่งที่ถูกวางแผนไว้แล้วโดยคนเสื้อแดง สุดท้ายถึงกับอ้างว่ามีชาวตะวันออกกลางเข้าออกห้องที่เกิดเหตุระเบิดหลายครั้ง
เหมือนจะเป็นการจงใจให้เกิดเหตุการ์ทั้งสองเพื่อสร้างน้ำหนักและหลักฐานในเวทีโลก แต่ความเดือดร้อนกลับลงเต็มๆกับประชาชน ไม่ว่าจะเป็นเจ้าของรีสอร์ทหรือลุกจ้างที่ต้องนั่งตบยุงเพราะไม่มีใครกล้าไปเที่ยว
หรือแม้แต่ผู้อาศัยในแมนชั่นที่ต้องจบชีวิตลงไปทั้งๆที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร รวมถึงชาวบ้านที่ต้องอกสั่นขวัยหายกับเหตุการณ์ร้ายที่ไม่ควรเกิดขึ้นในแผนดินนี้
หลายคนอาจกล่าวหาฝั่งตรงข้ามกันไปต่างๆนานา แต่สิ่งหนึ่งที่ผมอยากให้ทุกคนทำคือการร่วมกันหยุดกล่าวหาใส่ร้าย แล้วลองนไข้อมูลที่มีมาแบกันบนโต๊ะ ถกเถียงด้วยสติปัญญาและหลักฐาน
วันนี้เรากำลังโดนต้มอยู่หรือไม่มันขึ้นอยู่กับผู้รับสารว่าเลือกจะคิดเช่นไร เพราะหากมองกันตามความเป็นจริงแล้วการกระทำเช่นนี้ไม่สามารถล้มรัฐบาลนี้ได้ ที่สำคัญยังเป็นการยืดเวลาให้รัฐบาลอยู่ได้อย่างราบรื่นสบายใจอีกต่างหาก
ผิดกับคนเสื้อแดงที่กลายเป็นจำเลยสังคม ผมแค่อยากสื่อว่าหากวันนี้แค่คนเสื้อแดงรวมพลังกันบอกเล่าความจริงที่ถุกบิดเบือน เลิกคิดว่าคนอื่นไม่ใช่พวกและไม่ยอมพยายามอธิบายความจริงให้คนที่ไม่เชื่อเรา พวกคนเสื้อแดงก็จะเป็นจำเลยสังคมด้อยปัญญาอย่างนี้ต่อไป
ปราปต์ บุนปาน สุดท้ายแล้วคนรุ่นเราก็ต้องเลือกชนหรือเดินไปบนทางแยกสักทางในสักวันหนึ่งอยู่แล้ว
ขายฝัน
ข่าวสดรายวัน
คอลัมน์ เหล็กใน
เป็นประเด็นร้อนขึ้นมาจากการจุดพลุของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ ที่ประกาศจะขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 250 บาทเท่ากันทั่วประเทศ
นายอภิสิทธิ์เปรยเรื่องนี้เมื่อครั้งประกาศขึ้นเงินเดือนราชการ และเงินเดือนครู
แนวคิดเหมือน (จะ) ดี แต่กลายเป็นสร้างความปั่นป่วนให้ผู้เกี่ยวข้องทั้งนายจ้าง ลูกจ้าง รวมไปถึงคนกลางอย่างคณะกรรมการเอกชน 3 สถาบัน (กกร.)
กกร.ต้องรีบแถลงว่าไม่ได้เห็นชอบกับการประกาศของนายกฯ เพราะมีหลายปัจจัยมาเกี่ยวข้อง
และแนะว่ารัฐไม่ควรแทรกแซง ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของคณะค่าจ้างกลาง (ไตรภาคี) ซึ่งประกอบด้วย ผู้แทนจากภาครัฐ ผู้แทนฝ่ายนายจ้าง และผู้แทนฝ่ายลูกจ้าง ซึ่งมีหน้าที่ตามกฎหมายในการพิจารณาค่าแรง
นอกจากนี้ ที่ผ่านมาค่าแรงของแรงงานไร้ฝีมือจะไม่เท่ากันทั่วประเทศ โดยในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล จะได้สูงสุด คือ 206 บาท/วัน และลดหลั่นกันไปตามพื้นที่ต่างๆ
ต่ำสุดที่พิจิตร, พะเยา, แพร่ และแม่ฮ่องสอน อยู่ที่วันละ 151 บาท
นึกภาพง่ายๆ ว่าจังหวัดที่มีรายได้ขั้นต่ำ 151 บาท/ วัน/คน แต่ต้องปรับขึ้นถึงเกือบๆ 100 บาท/วัน/คน มันจะเป็นอย่างไร!?
ไม่ใช่เพียงการปรับค่าแรงขั้นต่ำเท่านั้น หากแต่ต้องปรับค่าแรงแรงงานมีฝีมือหนีขึ้นไปอีกเป็นทอดๆ
นี่ยังไม่นับสินค้าและบริการต่างๆ ต้องปรับราคาขึ้น เพราะต้นทุนที่เพิ่มอย่างมหาศาลนั่นเอง
เห็นภาพชัดเจนที่สุดต้องนายสมมาต ขุนเศษฐ เลขา ธิการสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ที่ฟันธงว่าหากปรับขึ้นค่าแรงเท่าที่นายอภิสิทธิ์ ต้องการ
สิ่งที่จะตามมาคือการล่มสลายของภาคอุตสาหกรรม และปัญหาคนตกงาน!!
แน่นอนว่าการให้แรงงานมีรายได้มากขึ้นย่อมเป็น การดี เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตและอื่นๆ
แต่ก็ต้องอยู่บนพื้นฐานของความเหมาะสม และไม่ส่งผลกระทบในทางลบด้วย
กูรูด้านการเมืองเชื่อว่าที่นายอภิสิทธิ์ ประกาศไปเช่นนั้นเพื่อซื้อใจชนชั้นแรงงาน หรือรากหญ้าในภาคอีสาน เพราะเป็นกลุ่มคนที่ขายแรงงานมากที่สุด
บุคคลเหล่านี้เป็นฐานเสียงใหญ่สุดที่พรรคประชาธิปัตย์ ยังเจาะไม่เข้า!?
แต่ดูแนวโน้มแล้วยากที่จะเป็นไปได้ เพราะที่ผ่านๆ มาการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำจะเป็นเลขแค่หลักเดียว เท่านั้น
แม้แต่ตัวแทนลูกจ้าง ซึ่งต้องการค่าจ้างสูงสุดยังไม่กล้าเสนอขอปรับเยอะขนาดนี้เลย
เพราะรู้ดีถึงสิ่งที่จะตามมาหากมีการปรับค่าแรงมากเกินไป
สุดท้ายแล้วเชื่อว่าค่าแรงขั้นต่ำ 250 บาท เท่ากันทั่วประเทศ เป็นเพียงการ 'ขายฝัน' ของนายอภิสิทธิ์เท่านั้น!?
คอลัมน์ เหล็กใน
เป็นประเด็นร้อนขึ้นมาจากการจุดพลุของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ ที่ประกาศจะขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 250 บาทเท่ากันทั่วประเทศ
นายอภิสิทธิ์เปรยเรื่องนี้เมื่อครั้งประกาศขึ้นเงินเดือนราชการ และเงินเดือนครู
แนวคิดเหมือน (จะ) ดี แต่กลายเป็นสร้างความปั่นป่วนให้ผู้เกี่ยวข้องทั้งนายจ้าง ลูกจ้าง รวมไปถึงคนกลางอย่างคณะกรรมการเอกชน 3 สถาบัน (กกร.)
กกร.ต้องรีบแถลงว่าไม่ได้เห็นชอบกับการประกาศของนายกฯ เพราะมีหลายปัจจัยมาเกี่ยวข้อง
และแนะว่ารัฐไม่ควรแทรกแซง ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของคณะค่าจ้างกลาง (ไตรภาคี) ซึ่งประกอบด้วย ผู้แทนจากภาครัฐ ผู้แทนฝ่ายนายจ้าง และผู้แทนฝ่ายลูกจ้าง ซึ่งมีหน้าที่ตามกฎหมายในการพิจารณาค่าแรง
นอกจากนี้ ที่ผ่านมาค่าแรงของแรงงานไร้ฝีมือจะไม่เท่ากันทั่วประเทศ โดยในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล จะได้สูงสุด คือ 206 บาท/วัน และลดหลั่นกันไปตามพื้นที่ต่างๆ
ต่ำสุดที่พิจิตร, พะเยา, แพร่ และแม่ฮ่องสอน อยู่ที่วันละ 151 บาท
นึกภาพง่ายๆ ว่าจังหวัดที่มีรายได้ขั้นต่ำ 151 บาท/ วัน/คน แต่ต้องปรับขึ้นถึงเกือบๆ 100 บาท/วัน/คน มันจะเป็นอย่างไร!?
ไม่ใช่เพียงการปรับค่าแรงขั้นต่ำเท่านั้น หากแต่ต้องปรับค่าแรงแรงงานมีฝีมือหนีขึ้นไปอีกเป็นทอดๆ
นี่ยังไม่นับสินค้าและบริการต่างๆ ต้องปรับราคาขึ้น เพราะต้นทุนที่เพิ่มอย่างมหาศาลนั่นเอง
เห็นภาพชัดเจนที่สุดต้องนายสมมาต ขุนเศษฐ เลขา ธิการสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ที่ฟันธงว่าหากปรับขึ้นค่าแรงเท่าที่นายอภิสิทธิ์ ต้องการ
สิ่งที่จะตามมาคือการล่มสลายของภาคอุตสาหกรรม และปัญหาคนตกงาน!!
แน่นอนว่าการให้แรงงานมีรายได้มากขึ้นย่อมเป็น การดี เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตและอื่นๆ
แต่ก็ต้องอยู่บนพื้นฐานของความเหมาะสม และไม่ส่งผลกระทบในทางลบด้วย
กูรูด้านการเมืองเชื่อว่าที่นายอภิสิทธิ์ ประกาศไปเช่นนั้นเพื่อซื้อใจชนชั้นแรงงาน หรือรากหญ้าในภาคอีสาน เพราะเป็นกลุ่มคนที่ขายแรงงานมากที่สุด
บุคคลเหล่านี้เป็นฐานเสียงใหญ่สุดที่พรรคประชาธิปัตย์ ยังเจาะไม่เข้า!?
แต่ดูแนวโน้มแล้วยากที่จะเป็นไปได้ เพราะที่ผ่านๆ มาการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำจะเป็นเลขแค่หลักเดียว เท่านั้น
แม้แต่ตัวแทนลูกจ้าง ซึ่งต้องการค่าจ้างสูงสุดยังไม่กล้าเสนอขอปรับเยอะขนาดนี้เลย
เพราะรู้ดีถึงสิ่งที่จะตามมาหากมีการปรับค่าแรงมากเกินไป
สุดท้ายแล้วเชื่อว่าค่าแรงขั้นต่ำ 250 บาท เท่ากันทั่วประเทศ เป็นเพียงการ 'ขายฝัน' ของนายอภิสิทธิ์เท่านั้น!?
ระวัง “ยิ้มสยาม” ของรัฐบาลไทย
โรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม
ในสัปดาห์นี้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีแห่งประเทศไทย ได้เดินทางเยือนกรุงบรัสเซลล์เพื่อร่วมการประชุมเอเชีย-ยุโรป ครั้งที่ 8 โดยจะมีการอภิปรายเรื่องความเท่าเทียมและการเติบโตทางเศรษฐกิจร่วมกับผู้นำร่วมภูมิภาค นายอภิสิทธิ์จะมีโอกาสเข้าพบกับนายกรัฐมนตรีเยอรมันนาง Angela Merkel นาย Herman Van Rompuy และนาย José Manuel Durao Barroso รวมถึงผู้นำประเทศอื่นในยุโรป
สำหรับบุคคลภายนอก การเยือนครั้งนี้อาจดูเหมือนการสานสัมพันธ์ทางการทูตทั่วไป แต่สำหรับรัฐบาลอภิสิทธิ์ การเยือนครั้งนี้เป็นโอกาสสำคัญอย่างยิ่งที่รัฐบาลไทยจะหาความชอบธรรมให้กับตนเองจากกลุ่มประเทศยุโรป
แน่นอนว่าไม่มีใครที่ทำหน้าในการหว่านเสน่ห์ใช้คำพูดหว่านล้อมโน้มน้าวผู้นำเหล่านี้โดยใช้ภาษาแห่งสันติภาพและความสมานฉันท์ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้นำเหล่านั้นอยากจะได้ยินได้ดีเท่านายอภิสิทธิ์ นายกผู้เฉลียวฉลาดและได้รับการศึกษาจากมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด
อย่างไรก็ตาม ผมขอแนะนำผู้แทนประเทศยุโรปที่ได้มีโอกาสพูดคุยทำความรู้จักกับนายกอภิสิทธิ์ไม่ควรที่จะเชื่อสิ่งที่นายกอภิสิทธิ์นำเสนอพร้อมกับรอยยิ้มมากนัก เพราะเราควรจะกังขาในจริยธรรมของผู้นำประเทศที่มีส่วนรู้เห็นกับการฆ่าหมู่กลุ่มผู้ชุมนุมเกือบ 90 ราย และคุมขังฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองอีกนับร้อย การสานความสัมพันธ์กับประชาชนชาวไทยจะสำเร็จได้นั้น ตัวแทนประเทศยุโรปมีหน้าที่ที่จะถามคำถาม 2-3คำถามต่อนายอภิสิทธิ์
คำถามแรกคือ เหตุใดประเทศจึงยังคงกฎหมายทีเคร่งครัดอย่าง “พระราชกำหนดบริหารราชการแผ่นดินฉุกเฉิน” หลายเดือนหลังจากการชุมนุม เพราะคำนิยามทางกฎหมายดังกล่าวคือกฎหมายที่ประกาศใช้ชั่วคราว และจะต้องมีภัยร้ายแรงคุกคามประเทศเท่านั้น สัปดาห์ที่แล้วองค์การนิรโทษกรรมระหว่างประเทศได้ออกแถลงการณ์ประณามรัฐบาลอภิสิทธิ์อย่างรุนแรงถึงการใช้พรก.ฉุกเฉิน ในแถลงการณ์ระบุว่า “รัฐบาลจะต้องยกเลิกการบิดเบือนการใช้กฎหมายฉุกเฉินที่ละเมิดกฎหมายสิทธิมนุษยชน”
คำถามต่อมาคือ แทนที่จะลงโทษทหารที่เกี่ยวข้องกับการสังหารประชาชน เหตุใดรัฐบาลไทยจึงเลื่อนตำแหน่งให้บุคคลเหล่านั้น? พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายทหารหัวเก่าและเป็นหนึ่งในสถาปนิกผู้ร่างแผนการการสลายการชุมนุมซึ่งนำไปสู่การนองเลือด ได้รับการเลื่อนตำแหน่งให้ขึ้นเป็นผู้บังคับบัญชาการทหารบก นอกจากนี้พล.ท.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณผู้ซึ่งหลายคนเชื่อว่าเป็นผู้สั่งการให้มือปืนซุ่มยิงทหารขึ้นไปยังดาดฟ้าของอาคารต่างๆเพื่อที่จะซุ่มยิงประชาชน (ซึ่งรวมถึงผู้ชุมนุม นักข่าว และอาสาพยาบาลผู้ซึ่งหลบภัยอยู่ในวัด) ในระหว่างการสลายการชุมนุม ยังได้รับการเลื่อนตำแหน่ง รวมถึงภริยาของพล.ท.ดาว์พงษ์ด้วย
ผู้แทนกลุ่มประเทศยุโรปควรจะถามนายอภิสิทธิ์ว่า เหตุใดรัฐบาลไทยยังคงทำลายเสรีภาพในการแลดงออกและคุกคามชีวิตนักข่าว แม้ข้อความที่ตีพิมพ์เหล่านั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับสถาบันกษัตริย์แต่อย่างใด นอกจากนี้นายกอภิสิทธิ์อาจจะบรรยายด้วยคำพูดที่สวยงามเกี่ยวกับวิธีการพูดคุยและการค้นหาความจริงหลังปัญหาความขัดแย้งในการประชุมอาเซ็ม แต่ผู้นำเหล่านั้นควรจะถามนายอภิสิทธิ์ว่าเหตุในรัฐบาลของเขาถึงปิดเวปไซต์กว่า 100,000เวปไซต์ และจับกุมบรรณาธิการเวปไซต์ข่าวอย่างประชาไท ซึ่งกลุ่มนักข่าวไร้พรมแดนเอ็นจีโอในกรุงปารีสกล่าวว่าการจับกุมดังกล่าวเป็นสิ่งที่ “รับไม่ได้” และ “ไม่ต่างจากประเทศพม่า”
อย่างไรก็ตามความรับผิดชอบหลักของผู้นำประเทศยุโรปคือการตั้งคำถามในที่ประชุมถึงความคืบหน้าของการสอบสวนของการเสียชีวิตของช่างภาพอิสระชาวอิตาลีนายฟาบิโอ โปเลงกี ซึ่งถูกยิงที่ช่องท้องจนเสียชีวิตในวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 ในขณะที่ทำข่าวการชุมนุมของคนเสื้อแดง แม้ว่าอลิซาเบธ โปเลงกี พี่สาวผู้ปวดร้าวจากสูญเสียน้องชายอย่างนายฟาบิโอจะพยายามประสานงานกับสถานทูตอิตาลีในประเทศเพื่อกดดันในเจ้าหน้าที่รัฐไทยเปิดเผยข้อมูลและการสอบสวน แต่ความคืบหน้าของการสอบสวนถึงการเสียชีวิตของพลเมืองสัญชาติยุโรปนายฟาปิโอนั้นเป็นที่น่าผิดหวัง อลิซาเบธ โปเลงกีสมควรที่จะได้รับความช่วยเหลือจากผู้นำประเทศยุโรปในการทวงถามความคืบหน้าของการสอบสวน
ตัวแทนของกรรมาธิการยุโรปอาจจะทราบว่าการสอบสวนดังกล่าวนั้นได้เดินทางมาถึงทางตันและมีการปกปิดหลักฐานเกี่ยวกับความรุนแรงที่เกิดขึ้นในเดือนเมษายนและพฤษภาคม หนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ได้อ้างคำกล่าวของเอกอรรคราชทูตนายเดวิด ลิปแมน ที่กล่าวว่า “สหภาพยุโรบต้องการที่เห็นคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงที่มีนายคณิต ณ นครเป็นประธาน และคณะกรรมการปฏิรูปประเทศที่มีนายอนันต์ ปันยารชุนเป็นประธาน รวมถึงคณะกรรมการสมัชชาปฏิรูปที่มีนายประเวศ วสีเป็นประธาน ปฏิบัติหน้าที่อย่างเป็นอิสระและจริงจัง”
อย่างไรก็ตาม นายคณิต ณ นคร ประธานคณะกรรมการดังกล่าวได้กล่าวอย่างชัดเจนต่อสื่อมวลชนว่าการสอบสวนดังกล่าวจะไม่มีการกล่าวโทษฟ้องร้องใคร ซึ่งถือว่าเป็นความล้มเหลวในหน้าที่ของรัฐบาลไทยที่มีพันธกรณีในการสอบสวนถึงเหตุการณ์ดังกล่าวตามสนธิสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเรือนและสิทธิทางการเมืองขององค์การสหประชาชาติ (ICCPR) แต่กระนั้นรัฐบาลไทยยังคงดำเนินคดีที่น่าเคลือบแคลงต่อฝ่ายตรงข้าม รวมถึงการดำเนินคดีต่อผู้นำนปช.ทั้ง 19คน ในข้อหาที่ไร้สาระอย่างข้อหาก่อการร้าย โดยโทษว่าบุคคลดังกล่าวทำให้เพื่อนร่วมชาติเสียชีวิต ในการดำเนินคดีดังกล่าว ผู้ถูกกล่าวหาทั้งหมดถูกปฏิเสธสิทธิพื้นฐานในการเข้าถึงและตรวจสอบพยานหลักฐานอย่างเป็นอิสระ โดยศาลได้ปฏิเสธคำร้องขอให้มีการชันสูตรศพที่เป็นอิสระ หากรัฐบาลไทยสนใจที่จะแสวงหาความจริง รัฐบาลไทยควรเปิดให้มีการเข้าถึงพยานหลักฐานอย่างกว้างขวาง
นายอภิสิทธิ์และพรรคพวกขึ้นสู่อำนาจโดยการทำรัฐประหารของทหารหนุนหลังเดินทางเยือนประเทศยุโรปเพื่อที่จะเดินเกมที่พวกเขาได้วางไว้ พวกเขาทราบดีว่าผู้นำประเทศยุโรปมักเลือกที่จะหลีกเลี่ยงการสร้างปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และสิ่งที่ผู้นำเหล่านี้ต้องการได้ยินคือคำมั่นสัญญาในการดำเนินกระบวนการปรองดองสมานฉันท์ และการจัดให้มีการเลือกตั้งในที่สุด เราจึงได้เพียงแต่หวังว่าผู้นำประเทศยุโรปที่เข้าร่วมการประชุมจะมองเห็นความจริงที่ซ่อนอยู่ภายใต้รอยยิ้มอันน่าหลงใหลของรัฐบาลไทย
***********************************************
ในสัปดาห์นี้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีแห่งประเทศไทย ได้เดินทางเยือนกรุงบรัสเซลล์เพื่อร่วมการประชุมเอเชีย-ยุโรป ครั้งที่ 8 โดยจะมีการอภิปรายเรื่องความเท่าเทียมและการเติบโตทางเศรษฐกิจร่วมกับผู้นำร่วมภูมิภาค นายอภิสิทธิ์จะมีโอกาสเข้าพบกับนายกรัฐมนตรีเยอรมันนาง Angela Merkel นาย Herman Van Rompuy และนาย José Manuel Durao Barroso รวมถึงผู้นำประเทศอื่นในยุโรป
สำหรับบุคคลภายนอก การเยือนครั้งนี้อาจดูเหมือนการสานสัมพันธ์ทางการทูตทั่วไป แต่สำหรับรัฐบาลอภิสิทธิ์ การเยือนครั้งนี้เป็นโอกาสสำคัญอย่างยิ่งที่รัฐบาลไทยจะหาความชอบธรรมให้กับตนเองจากกลุ่มประเทศยุโรป
แน่นอนว่าไม่มีใครที่ทำหน้าในการหว่านเสน่ห์ใช้คำพูดหว่านล้อมโน้มน้าวผู้นำเหล่านี้โดยใช้ภาษาแห่งสันติภาพและความสมานฉันท์ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้นำเหล่านั้นอยากจะได้ยินได้ดีเท่านายอภิสิทธิ์ นายกผู้เฉลียวฉลาดและได้รับการศึกษาจากมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด
อย่างไรก็ตาม ผมขอแนะนำผู้แทนประเทศยุโรปที่ได้มีโอกาสพูดคุยทำความรู้จักกับนายกอภิสิทธิ์ไม่ควรที่จะเชื่อสิ่งที่นายกอภิสิทธิ์นำเสนอพร้อมกับรอยยิ้มมากนัก เพราะเราควรจะกังขาในจริยธรรมของผู้นำประเทศที่มีส่วนรู้เห็นกับการฆ่าหมู่กลุ่มผู้ชุมนุมเกือบ 90 ราย และคุมขังฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองอีกนับร้อย การสานความสัมพันธ์กับประชาชนชาวไทยจะสำเร็จได้นั้น ตัวแทนประเทศยุโรปมีหน้าที่ที่จะถามคำถาม 2-3คำถามต่อนายอภิสิทธิ์
คำถามแรกคือ เหตุใดประเทศจึงยังคงกฎหมายทีเคร่งครัดอย่าง “พระราชกำหนดบริหารราชการแผ่นดินฉุกเฉิน” หลายเดือนหลังจากการชุมนุม เพราะคำนิยามทางกฎหมายดังกล่าวคือกฎหมายที่ประกาศใช้ชั่วคราว และจะต้องมีภัยร้ายแรงคุกคามประเทศเท่านั้น สัปดาห์ที่แล้วองค์การนิรโทษกรรมระหว่างประเทศได้ออกแถลงการณ์ประณามรัฐบาลอภิสิทธิ์อย่างรุนแรงถึงการใช้พรก.ฉุกเฉิน ในแถลงการณ์ระบุว่า “รัฐบาลจะต้องยกเลิกการบิดเบือนการใช้กฎหมายฉุกเฉินที่ละเมิดกฎหมายสิทธิมนุษยชน”
คำถามต่อมาคือ แทนที่จะลงโทษทหารที่เกี่ยวข้องกับการสังหารประชาชน เหตุใดรัฐบาลไทยจึงเลื่อนตำแหน่งให้บุคคลเหล่านั้น? พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายทหารหัวเก่าและเป็นหนึ่งในสถาปนิกผู้ร่างแผนการการสลายการชุมนุมซึ่งนำไปสู่การนองเลือด ได้รับการเลื่อนตำแหน่งให้ขึ้นเป็นผู้บังคับบัญชาการทหารบก นอกจากนี้พล.ท.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณผู้ซึ่งหลายคนเชื่อว่าเป็นผู้สั่งการให้มือปืนซุ่มยิงทหารขึ้นไปยังดาดฟ้าของอาคารต่างๆเพื่อที่จะซุ่มยิงประชาชน (ซึ่งรวมถึงผู้ชุมนุม นักข่าว และอาสาพยาบาลผู้ซึ่งหลบภัยอยู่ในวัด) ในระหว่างการสลายการชุมนุม ยังได้รับการเลื่อนตำแหน่ง รวมถึงภริยาของพล.ท.ดาว์พงษ์ด้วย
ผู้แทนกลุ่มประเทศยุโรปควรจะถามนายอภิสิทธิ์ว่า เหตุใดรัฐบาลไทยยังคงทำลายเสรีภาพในการแลดงออกและคุกคามชีวิตนักข่าว แม้ข้อความที่ตีพิมพ์เหล่านั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับสถาบันกษัตริย์แต่อย่างใด นอกจากนี้นายกอภิสิทธิ์อาจจะบรรยายด้วยคำพูดที่สวยงามเกี่ยวกับวิธีการพูดคุยและการค้นหาความจริงหลังปัญหาความขัดแย้งในการประชุมอาเซ็ม แต่ผู้นำเหล่านั้นควรจะถามนายอภิสิทธิ์ว่าเหตุในรัฐบาลของเขาถึงปิดเวปไซต์กว่า 100,000เวปไซต์ และจับกุมบรรณาธิการเวปไซต์ข่าวอย่างประชาไท ซึ่งกลุ่มนักข่าวไร้พรมแดนเอ็นจีโอในกรุงปารีสกล่าวว่าการจับกุมดังกล่าวเป็นสิ่งที่ “รับไม่ได้” และ “ไม่ต่างจากประเทศพม่า”
อย่างไรก็ตามความรับผิดชอบหลักของผู้นำประเทศยุโรปคือการตั้งคำถามในที่ประชุมถึงความคืบหน้าของการสอบสวนของการเสียชีวิตของช่างภาพอิสระชาวอิตาลีนายฟาบิโอ โปเลงกี ซึ่งถูกยิงที่ช่องท้องจนเสียชีวิตในวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 ในขณะที่ทำข่าวการชุมนุมของคนเสื้อแดง แม้ว่าอลิซาเบธ โปเลงกี พี่สาวผู้ปวดร้าวจากสูญเสียน้องชายอย่างนายฟาบิโอจะพยายามประสานงานกับสถานทูตอิตาลีในประเทศเพื่อกดดันในเจ้าหน้าที่รัฐไทยเปิดเผยข้อมูลและการสอบสวน แต่ความคืบหน้าของการสอบสวนถึงการเสียชีวิตของพลเมืองสัญชาติยุโรปนายฟาปิโอนั้นเป็นที่น่าผิดหวัง อลิซาเบธ โปเลงกีสมควรที่จะได้รับความช่วยเหลือจากผู้นำประเทศยุโรปในการทวงถามความคืบหน้าของการสอบสวน
ตัวแทนของกรรมาธิการยุโรปอาจจะทราบว่าการสอบสวนดังกล่าวนั้นได้เดินทางมาถึงทางตันและมีการปกปิดหลักฐานเกี่ยวกับความรุนแรงที่เกิดขึ้นในเดือนเมษายนและพฤษภาคม หนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ได้อ้างคำกล่าวของเอกอรรคราชทูตนายเดวิด ลิปแมน ที่กล่าวว่า “สหภาพยุโรบต้องการที่เห็นคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงที่มีนายคณิต ณ นครเป็นประธาน และคณะกรรมการปฏิรูปประเทศที่มีนายอนันต์ ปันยารชุนเป็นประธาน รวมถึงคณะกรรมการสมัชชาปฏิรูปที่มีนายประเวศ วสีเป็นประธาน ปฏิบัติหน้าที่อย่างเป็นอิสระและจริงจัง”
อย่างไรก็ตาม นายคณิต ณ นคร ประธานคณะกรรมการดังกล่าวได้กล่าวอย่างชัดเจนต่อสื่อมวลชนว่าการสอบสวนดังกล่าวจะไม่มีการกล่าวโทษฟ้องร้องใคร ซึ่งถือว่าเป็นความล้มเหลวในหน้าที่ของรัฐบาลไทยที่มีพันธกรณีในการสอบสวนถึงเหตุการณ์ดังกล่าวตามสนธิสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเรือนและสิทธิทางการเมืองขององค์การสหประชาชาติ (ICCPR) แต่กระนั้นรัฐบาลไทยยังคงดำเนินคดีที่น่าเคลือบแคลงต่อฝ่ายตรงข้าม รวมถึงการดำเนินคดีต่อผู้นำนปช.ทั้ง 19คน ในข้อหาที่ไร้สาระอย่างข้อหาก่อการร้าย โดยโทษว่าบุคคลดังกล่าวทำให้เพื่อนร่วมชาติเสียชีวิต ในการดำเนินคดีดังกล่าว ผู้ถูกกล่าวหาทั้งหมดถูกปฏิเสธสิทธิพื้นฐานในการเข้าถึงและตรวจสอบพยานหลักฐานอย่างเป็นอิสระ โดยศาลได้ปฏิเสธคำร้องขอให้มีการชันสูตรศพที่เป็นอิสระ หากรัฐบาลไทยสนใจที่จะแสวงหาความจริง รัฐบาลไทยควรเปิดให้มีการเข้าถึงพยานหลักฐานอย่างกว้างขวาง
นายอภิสิทธิ์และพรรคพวกขึ้นสู่อำนาจโดยการทำรัฐประหารของทหารหนุนหลังเดินทางเยือนประเทศยุโรปเพื่อที่จะเดินเกมที่พวกเขาได้วางไว้ พวกเขาทราบดีว่าผู้นำประเทศยุโรปมักเลือกที่จะหลีกเลี่ยงการสร้างปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และสิ่งที่ผู้นำเหล่านี้ต้องการได้ยินคือคำมั่นสัญญาในการดำเนินกระบวนการปรองดองสมานฉันท์ และการจัดให้มีการเลือกตั้งในที่สุด เราจึงได้เพียงแต่หวังว่าผู้นำประเทศยุโรปที่เข้าร่วมการประชุมจะมองเห็นความจริงที่ซ่อนอยู่ภายใต้รอยยิ้มอันน่าหลงใหลของรัฐบาลไทย
***********************************************
วันอังคารที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2553
แจ้งจางปาง
แค่...ประโยคเดียว
ประโยคของ ชวน หลีกภัย...ที่อุปมาอุปมัยกันกับคำถามของนักข่าว...เกี่ยวกับการ...ขอลงสมัครเข้ารับการเลือกตั้งในจังหวัดสุราษฎร์ธานี...นักข่าวถามว่า...เป็นการสำรองตัวนายกรัฐมนตรี ใช่หรือไม่...หากพรรคประชาธิปัตย์ถูกยุบและนายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ถูกแขวน...
สมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ต้องเป็นไข้หวัดนกตายยกพรรคซะก่อน...
ประโยคนี้ประโยคเดียว...ก็ยืนยันได้ว่า...ความแตกแยกในสมาชิกระดับสูงของพรรคประชาธิปัตย์ในวันนี้นั้น
ยากจะเยียวยา
ยังไม่นับกรณีที่...เสียดสีกันระหว่าง เสาชิงช้า กับตึกไทยคู่ฟ้า...เมื่อฝ่ายหนึ่งปลดคนนามสกุลเวชชาชีวะออก อีกฝ่ายก็รับปลัดกรุงเทพเข้าไปเป็นที่ปรึกษา พร้อมกับมอบงานสำคัญให้ทำ
ประเมินกันว่า...ในพรรคประชาธิปัตย์วันนี้...มีสมาชิกที่พร้อมจะอยู่พร้อมจะไปกับ สุเทพ เทือกสุบรรณ มากกว่า 40 คน...
หากนำ 40 คนนี้ไปรวมกับพรรคภูมิใจไทย...ก็จะเกิดพรรคใหญ่หมายเลข 3 หรืออาจจะขึ้นถึงหมายเลข 2 เมื่อรวมกับปาร์ตี้ลิส
ประชาธิปัตย์เคยผ่านการแตกแยกและแยกพรรคมาแล้วหลายครั้ง...แต่ครั้งนี้น่าจะเป็นครั้งที่เลวร้ายที่สุด...เพราะ สุเทพ เทือกสุบรรณ...นั้นไม่ธรรมดา
และประชาธิปัตย์ยามนี้...ความเข้มข้นในภาคใต้ก็ไม่เหมือนเก่า...การเมืองท้องถิ่นมีส่วนแปลกปลอมมากขึ้น
ถ้า สุเทพ เทือกสุบรรณ กับพลพรรคของเขา...เดินจากประชาธิปัตย์มารวมกับพรรคภูมิใจไทย...พรรคใหญ่จะเกิดขึ้น...และมีโอกาสที่จะเป็นแกนจัดตั้ง...
การเมืองเรื่องเลือกตั้งข้างหน้า...จึงเป็นเรื่องคาดหมายไม่ได้...
แต่ที่แน่ๆ นั้น...โอกาสที่ประชาธิปัตย์จะเป็นฝ่ายค้าน...มีโอกาสสูงยิ่ง
โดย.พญาไม้ทูเดย์พญาไม้
ที่มา.บางกอกทูเดย์
ประโยคของ ชวน หลีกภัย...ที่อุปมาอุปมัยกันกับคำถามของนักข่าว...เกี่ยวกับการ...ขอลงสมัครเข้ารับการเลือกตั้งในจังหวัดสุราษฎร์ธานี...นักข่าวถามว่า...เป็นการสำรองตัวนายกรัฐมนตรี ใช่หรือไม่...หากพรรคประชาธิปัตย์ถูกยุบและนายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ถูกแขวน...
สมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ต้องเป็นไข้หวัดนกตายยกพรรคซะก่อน...
ประโยคนี้ประโยคเดียว...ก็ยืนยันได้ว่า...ความแตกแยกในสมาชิกระดับสูงของพรรคประชาธิปัตย์ในวันนี้นั้น
ยากจะเยียวยา
ยังไม่นับกรณีที่...เสียดสีกันระหว่าง เสาชิงช้า กับตึกไทยคู่ฟ้า...เมื่อฝ่ายหนึ่งปลดคนนามสกุลเวชชาชีวะออก อีกฝ่ายก็รับปลัดกรุงเทพเข้าไปเป็นที่ปรึกษา พร้อมกับมอบงานสำคัญให้ทำ
ประเมินกันว่า...ในพรรคประชาธิปัตย์วันนี้...มีสมาชิกที่พร้อมจะอยู่พร้อมจะไปกับ สุเทพ เทือกสุบรรณ มากกว่า 40 คน...
หากนำ 40 คนนี้ไปรวมกับพรรคภูมิใจไทย...ก็จะเกิดพรรคใหญ่หมายเลข 3 หรืออาจจะขึ้นถึงหมายเลข 2 เมื่อรวมกับปาร์ตี้ลิส
ประชาธิปัตย์เคยผ่านการแตกแยกและแยกพรรคมาแล้วหลายครั้ง...แต่ครั้งนี้น่าจะเป็นครั้งที่เลวร้ายที่สุด...เพราะ สุเทพ เทือกสุบรรณ...นั้นไม่ธรรมดา
และประชาธิปัตย์ยามนี้...ความเข้มข้นในภาคใต้ก็ไม่เหมือนเก่า...การเมืองท้องถิ่นมีส่วนแปลกปลอมมากขึ้น
ถ้า สุเทพ เทือกสุบรรณ กับพลพรรคของเขา...เดินจากประชาธิปัตย์มารวมกับพรรคภูมิใจไทย...พรรคใหญ่จะเกิดขึ้น...และมีโอกาสที่จะเป็นแกนจัดตั้ง...
การเมืองเรื่องเลือกตั้งข้างหน้า...จึงเป็นเรื่องคาดหมายไม่ได้...
แต่ที่แน่ๆ นั้น...โอกาสที่ประชาธิปัตย์จะเป็นฝ่ายค้าน...มีโอกาสสูงยิ่ง
โดย.พญาไม้ทูเดย์พญาไม้
ที่มา.บางกอกทูเดย์
๒ มาตรฐาน ขาดคุณธรรม!!
ไฉนกลืนน้ำลายลงคอเอื๊อกๆ โดยที่ “ฯพณฯ ทั่นนายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ไม่จดไม่จำ??
ท่านตั้งเกณฑ์สูงเพอร์เฟค ข้าราชการผู้ใหญ่ ที่จะไต่บันไดลิง ขึ้นไปเถลิงอำนาจกินตำแหน่ง ต้องดีครบบริบูรณ์ปาล์ม..ถึงขั้นที่เบรกหัวทิ่ม คนพรรคภูมิใจไทย “มงคล สุระสัจจะ” ไม่ให้เป็น “ปลัดกระทรวงมหาดไทย” เพราะประมูลคอมฯฉาว วงเงินกว่า ๓ พันล้าน
ทีกับ “กระทรวงไอซีที” ของ “รัฐมนตรีจุติ ไกรฤกษ์” ที่ท่านคุมบังเหียน ขี่หลัง สั่งการเอง กับ แต่งตั้ง “ต่อศักดิ์ วานิชขจร” เป็นอธิบดีกรมอุตุฯ ด้วยชนักที่ติดหลัง ท่านกลับให้ปล่อยผ่าน
อย่าลืม หรือเป็นอัลไซเมอร์ ช่วง “ต่อศักดิ์” นั่งเขมือบ ขย้อน “รักษาการอธิบดีกรมอุตุฯ” เกิดเรื่องฉาว ประมูลติดตั้งสถานีตรวจอากาศอัตโนมัติ ๘๗ แห่ง วงเงิน ๑๘๕ ล้าน มีกลิ่นโชย ..เพราะประมูลแพงสุดเหยียด!!
กับภูมิใจไทยด่าเขาป่นปี้..แต่ตัวเองลักหลับทำเองเสียนี่?..ทีหยั่งงี้ บอกว่า ไม่น่าเกลียด???
_______________________________
ทุบ‘หลักการ’บุบบี้!!
แท้จริง การตั้ง “อธิบดีกรมอุตุฯ”.. “รัฐมนตรีจุติ ไกรฤกษ์” ตั้งคณะกรรมการสรรหา ขึ้นมาเลือกเฟ้น เค้น เน้นหาคนดี มีคุณภาพคับแก้ว..โดยได้ “สมพล เกียรติไพบูลย์” อดีตปลัดกระทรวงพาณิชย์ มาเป็นประธานใหญ่ ในฐานะผู้ทรงคุณวุฒิ ชั้นดี
โดยมีมติเอกฉันท์ เสียงเอกเทศ ให้ “คุณพี่สมชาย ใบม่วง” โชติช่วงรับตำแหน่ง เป็น “อธิบดี” เพราะเกียรติประวัติ ขาวผุดผ่อง เป็นยองใย
พอนำเสนอ ครม. “รัฐมนตรีจุติ” กลับแปลงสาร เปลี่ยนตัวปุบปับ ให้ “ต่อศักดิ์” โซ้ยตำแหน่งแทนซะงั้น.. โดยที่ “กก.สรรหาอธิบดีกรมอุตุฯ” ท่านตั้งมากับมือ แต่กลับมาลบด้วยปลายเท้า คนจึงพากันข้องใจ
ทำให้ “คุณพี่สมชาย” เฮิร์ตฟิลลิ่งที่ถูกแป้ก ไม่ได้เป็นอธิบดี ตามที่สรรหา.. จึงฟ้อง “ศาลปกครอง” เรียกร้องความเป็นธรรม..ว่าไปแล้ว ได้แต่เห็นใจ คนกระทรวงไอซีที ใครคิดจะใหญ่ ต้องพินอบพิเทา เดินตัวลีบไปพะเน้าพะนอ กับ “แม่เลี้ยง ต. เต่า?” ถึงจะได้ดี และมีอำนาจ!!
แม้ผลงานไม่เข้าตากรรมการ..หากมีเงินจ่ายมา ๓๐ ล้าน?..รับประกันได้ตำแหน่ง ไม่มีพลาด
________________________________
‘ตาแดง’ขี้อิจฉา เป็นไฟ!!!
เปิดใจให้กว้างเป็นทางช้างเผือกเสียหน่อย..จะไม่ได้เชียวหรือ? “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” นายกรัฐมนตรี ผู้ยิ่งใหญ่???
ทำตัวเป็น จระเข้ขวางคลอง ออกอาการขึงขัง ขึงพืด พฤติการณ์ ขัดขวาง “การปรองดอง” ที่ “เสธ.หนั่น” พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ ขงเบ้งประจำพรรค ของ “บรรหาร ศิลปอาชา” ที่เดินหน้าฉลุย ผ่านฉลิว ไปด้วย ความฉลวย อย่างงดงาม
แทนที่ นายกฯ มาร์ค จะให้โอสถทิพย์เป็นกำลังใจ..หางเครื่องท่าน กลับแว้งกัด ระวังเป็น “กิ้งกือตกท่อ” ลงมานอนคว่ำ
หนำซ้ำ “นายกฯ อภิสิทธิ์” ยัง เจี๊ยวจ๊าว เจ่าจุก จวกและจ้วง “เสธ.หนั่น” จนมิดด้าม...จะไปพบกับ “อดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร” ที่ต่างแดน ใช้อำนาจอะไรไปประสาน!!
ผลงานปรองดองท่านไม่ค่อยมี...แต่ที่เห็นอยู่ตลอดนี้?..มีแต่ความ ขี้อิจฉา” เป็นตัน??
___________________________
คำพูดเป็นนายของเรา!!!
จะพูดต่อหน้าธารกำนัล หรือกล่าวสุนทรพจน์อะไร.. อย่าให้ผูกมัดลูกกระเดือก ประเดี๋ยวจะเสียสัจจะ กันเปล่าๆ??
มีคนเขาทวง สัญญาสุภาพบุรุษ จาก “มังกรเติ้ง” ท่านบรรหาร ศิลปอาชา ก็อดฟาเธอร์แห่งพรรคชาติไทยพัฒนา ว่า จำคำพูด ได้หรือไม่??
ถ้ารัฐบาลเทพประทาน ของ “นายกฯ มาร์ค” ใช้กำลังเข้าปราบชุมนุม ที่ราชประสงค์ โดยมีประชาชนพลีชีพ แล้วล่ะก้อ.. “พรรคชาติไทยพัฒนา” จะวอล์กเอาท์ตบเท้าออกจากรัฐบาลไป
ผ่านไป ๓ เดือนเศษ ไวเหมือนโกหก มีประชาชนตายเป็นใบไม้ร่วง ๙๑ ศพ บาดเจ็บป่วยพิการ กว่า ๒ พันชีวิต ..แต่ “อดีตนายกฯ บรรหาร” เงียบกริบ นิ่งเป็นเป่าสาก!!!
จนแล้วจนรอด....ท่านทั้งซุกทั้งกอด?...หอมฟอดๆ อยู่กับ “รัฐบาลมาร์ค”??
____________________________________
ไม่ใช่ตะเกียงที่ขาดไส้!!
ถือสเปโต พร้อมน็อคมือได้ทุกเมื่อ?.. “เทพเทือก” สุเทพ เทือกสุบรรณ ผู้จัดการรัฐบาล จึงไม่แคร์ หรือ วอรี่ ว่าจะได้กลับมา เป็น “รองนายกรัฐมนตรีคุมฝ่ายความมั่นคง” หรือไม่???
เพราะมั่นใจ ถึงตีนลอย เท้าจะไม่ได้เหยียบบัลลังก์อำนาจ เป็น “ผู้อำนวยการ ศอฉ.”..แต่ก็ยังถือไพ่ในมือเหนือกว่า “นายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” อยู่หลายตัว
ขาด “สุเทพ” คอยประสานกับ “เนวิน ชิดชอบ” .. “นายกฯ มาร์ค” ก็เป็นมังกร ที่ไร้หัว
ถึงในพรรคประชาธิปัตย์ จะมี ส.ส.เขต และ ส.ส.สัดส่วน ตั้ง ๑๗๒ คน..แต่หาทูตสันติภาพเจรจาภาษาดอกไม้กับ “ติงลี่ห้อยเนวิน” ไม่มี..คงมีแต่สุเทพ ที่ผูกมัดเนวิน เอาไว้ได้กลมเกลียว!
อำนาจยังอยู่กับ “สุเทพ” อื้อ..“อภิสิทธิ์” แค่ลูกไก่ในกำมือ?..จะบีบหรือก็ ตายสถานเดียว
------------------------------------
คอลัมน์.ตอดนิดตอดหน่อยการบูร
ที่มา.บางกอกทูเดย์
ท่านตั้งเกณฑ์สูงเพอร์เฟค ข้าราชการผู้ใหญ่ ที่จะไต่บันไดลิง ขึ้นไปเถลิงอำนาจกินตำแหน่ง ต้องดีครบบริบูรณ์ปาล์ม..ถึงขั้นที่เบรกหัวทิ่ม คนพรรคภูมิใจไทย “มงคล สุระสัจจะ” ไม่ให้เป็น “ปลัดกระทรวงมหาดไทย” เพราะประมูลคอมฯฉาว วงเงินกว่า ๓ พันล้าน
ทีกับ “กระทรวงไอซีที” ของ “รัฐมนตรีจุติ ไกรฤกษ์” ที่ท่านคุมบังเหียน ขี่หลัง สั่งการเอง กับ แต่งตั้ง “ต่อศักดิ์ วานิชขจร” เป็นอธิบดีกรมอุตุฯ ด้วยชนักที่ติดหลัง ท่านกลับให้ปล่อยผ่าน
อย่าลืม หรือเป็นอัลไซเมอร์ ช่วง “ต่อศักดิ์” นั่งเขมือบ ขย้อน “รักษาการอธิบดีกรมอุตุฯ” เกิดเรื่องฉาว ประมูลติดตั้งสถานีตรวจอากาศอัตโนมัติ ๘๗ แห่ง วงเงิน ๑๘๕ ล้าน มีกลิ่นโชย ..เพราะประมูลแพงสุดเหยียด!!
กับภูมิใจไทยด่าเขาป่นปี้..แต่ตัวเองลักหลับทำเองเสียนี่?..ทีหยั่งงี้ บอกว่า ไม่น่าเกลียด???
_______________________________
ทุบ‘หลักการ’บุบบี้!!
แท้จริง การตั้ง “อธิบดีกรมอุตุฯ”.. “รัฐมนตรีจุติ ไกรฤกษ์” ตั้งคณะกรรมการสรรหา ขึ้นมาเลือกเฟ้น เค้น เน้นหาคนดี มีคุณภาพคับแก้ว..โดยได้ “สมพล เกียรติไพบูลย์” อดีตปลัดกระทรวงพาณิชย์ มาเป็นประธานใหญ่ ในฐานะผู้ทรงคุณวุฒิ ชั้นดี
โดยมีมติเอกฉันท์ เสียงเอกเทศ ให้ “คุณพี่สมชาย ใบม่วง” โชติช่วงรับตำแหน่ง เป็น “อธิบดี” เพราะเกียรติประวัติ ขาวผุดผ่อง เป็นยองใย
พอนำเสนอ ครม. “รัฐมนตรีจุติ” กลับแปลงสาร เปลี่ยนตัวปุบปับ ให้ “ต่อศักดิ์” โซ้ยตำแหน่งแทนซะงั้น.. โดยที่ “กก.สรรหาอธิบดีกรมอุตุฯ” ท่านตั้งมากับมือ แต่กลับมาลบด้วยปลายเท้า คนจึงพากันข้องใจ
ทำให้ “คุณพี่สมชาย” เฮิร์ตฟิลลิ่งที่ถูกแป้ก ไม่ได้เป็นอธิบดี ตามที่สรรหา.. จึงฟ้อง “ศาลปกครอง” เรียกร้องความเป็นธรรม..ว่าไปแล้ว ได้แต่เห็นใจ คนกระทรวงไอซีที ใครคิดจะใหญ่ ต้องพินอบพิเทา เดินตัวลีบไปพะเน้าพะนอ กับ “แม่เลี้ยง ต. เต่า?” ถึงจะได้ดี และมีอำนาจ!!
แม้ผลงานไม่เข้าตากรรมการ..หากมีเงินจ่ายมา ๓๐ ล้าน?..รับประกันได้ตำแหน่ง ไม่มีพลาด
________________________________
‘ตาแดง’ขี้อิจฉา เป็นไฟ!!!
เปิดใจให้กว้างเป็นทางช้างเผือกเสียหน่อย..จะไม่ได้เชียวหรือ? “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” นายกรัฐมนตรี ผู้ยิ่งใหญ่???
ทำตัวเป็น จระเข้ขวางคลอง ออกอาการขึงขัง ขึงพืด พฤติการณ์ ขัดขวาง “การปรองดอง” ที่ “เสธ.หนั่น” พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ ขงเบ้งประจำพรรค ของ “บรรหาร ศิลปอาชา” ที่เดินหน้าฉลุย ผ่านฉลิว ไปด้วย ความฉลวย อย่างงดงาม
แทนที่ นายกฯ มาร์ค จะให้โอสถทิพย์เป็นกำลังใจ..หางเครื่องท่าน กลับแว้งกัด ระวังเป็น “กิ้งกือตกท่อ” ลงมานอนคว่ำ
หนำซ้ำ “นายกฯ อภิสิทธิ์” ยัง เจี๊ยวจ๊าว เจ่าจุก จวกและจ้วง “เสธ.หนั่น” จนมิดด้าม...จะไปพบกับ “อดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร” ที่ต่างแดน ใช้อำนาจอะไรไปประสาน!!
ผลงานปรองดองท่านไม่ค่อยมี...แต่ที่เห็นอยู่ตลอดนี้?..มีแต่ความ ขี้อิจฉา” เป็นตัน??
___________________________
คำพูดเป็นนายของเรา!!!
จะพูดต่อหน้าธารกำนัล หรือกล่าวสุนทรพจน์อะไร.. อย่าให้ผูกมัดลูกกระเดือก ประเดี๋ยวจะเสียสัจจะ กันเปล่าๆ??
มีคนเขาทวง สัญญาสุภาพบุรุษ จาก “มังกรเติ้ง” ท่านบรรหาร ศิลปอาชา ก็อดฟาเธอร์แห่งพรรคชาติไทยพัฒนา ว่า จำคำพูด ได้หรือไม่??
ถ้ารัฐบาลเทพประทาน ของ “นายกฯ มาร์ค” ใช้กำลังเข้าปราบชุมนุม ที่ราชประสงค์ โดยมีประชาชนพลีชีพ แล้วล่ะก้อ.. “พรรคชาติไทยพัฒนา” จะวอล์กเอาท์ตบเท้าออกจากรัฐบาลไป
ผ่านไป ๓ เดือนเศษ ไวเหมือนโกหก มีประชาชนตายเป็นใบไม้ร่วง ๙๑ ศพ บาดเจ็บป่วยพิการ กว่า ๒ พันชีวิต ..แต่ “อดีตนายกฯ บรรหาร” เงียบกริบ นิ่งเป็นเป่าสาก!!!
จนแล้วจนรอด....ท่านทั้งซุกทั้งกอด?...หอมฟอดๆ อยู่กับ “รัฐบาลมาร์ค”??
____________________________________
ไม่ใช่ตะเกียงที่ขาดไส้!!
ถือสเปโต พร้อมน็อคมือได้ทุกเมื่อ?.. “เทพเทือก” สุเทพ เทือกสุบรรณ ผู้จัดการรัฐบาล จึงไม่แคร์ หรือ วอรี่ ว่าจะได้กลับมา เป็น “รองนายกรัฐมนตรีคุมฝ่ายความมั่นคง” หรือไม่???
เพราะมั่นใจ ถึงตีนลอย เท้าจะไม่ได้เหยียบบัลลังก์อำนาจ เป็น “ผู้อำนวยการ ศอฉ.”..แต่ก็ยังถือไพ่ในมือเหนือกว่า “นายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” อยู่หลายตัว
ขาด “สุเทพ” คอยประสานกับ “เนวิน ชิดชอบ” .. “นายกฯ มาร์ค” ก็เป็นมังกร ที่ไร้หัว
ถึงในพรรคประชาธิปัตย์ จะมี ส.ส.เขต และ ส.ส.สัดส่วน ตั้ง ๑๗๒ คน..แต่หาทูตสันติภาพเจรจาภาษาดอกไม้กับ “ติงลี่ห้อยเนวิน” ไม่มี..คงมีแต่สุเทพ ที่ผูกมัดเนวิน เอาไว้ได้กลมเกลียว!
อำนาจยังอยู่กับ “สุเทพ” อื้อ..“อภิสิทธิ์” แค่ลูกไก่ในกำมือ?..จะบีบหรือก็ ตายสถานเดียว
------------------------------------
คอลัมน์.ตอดนิดตอดหน่อยการบูร
ที่มา.บางกอกทูเดย์
ตอกย้ำน้ำเน่า
โดย. หนังสือพิมพ์โลกวันนี้รายวัน
ไม่ว่าจะมีการสำรวจกี่ครั้งถึงเรื่องการเมืองและพฤติกรรมของนักการเมืองไทย ก็จะได้ผลออกมาไม่แตกต่างกัน คือประชาชนเบื่อหน่ายการเมืองและพฤติกรรมของนักการเมืองไทยที่ถูกมองว่ามีแนวโน้มในทางที่ไม่ดีมากกว่าดี โดยเฉพาะเรื่องการทุจริตคอร์รัปชัน จึงทำให้ทหารใช้เป็นเหตุผลในการทำรัฐประหารทุกครั้งตลอด 78 ปีที่ผ่านมา
อย่างล่าสุดศูนย์เครือข่ายวิชาการเพื่อสังเกตการณ์และวิจัยความสุขชุมชน หรือศูนย์วิจัยความสุขชุมชน มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ เปิดเผยผลวิจัยเรื่องแนวโน้มความสุขมวลรวม GDH ของคนไทยภายในประเทศประจำเดือนกันยายน 2553 กรณีศึกษาตัวอย่างประชาชนผู้พักอาศัยอยู่ใน 28 จังหวัดของประเทศ จำนวนทั้งสิ้น 5,059 คน พบว่าดัชนีความสุขของคนไทยภายในประเทศเดือนกันยายนปีนี้ “ลดต่ำลง” จากระดับความสุขที่เคยสำรวจในเดือนกรกฎาคม คือจาก 6.77 มาอยู่ที่ 6.57 จากคะแนนความสุขเต็ม 10 คะแนน แม้จะสูงกว่าช่วงเดียวกันของเมื่อปีที่แล้วก็ตาม
ที่น่าเป็นห่วงคือ สถานการณ์การเมือง ความไม่เป็นธรรมทางสังคม สภาวะเศรษฐกิจของประเทศ และภาพลักษณ์ของประเทศไทย ที่เป็นปัจจัยสำคัญให้ระดับความสุขมวลรวมของประชาชนภายในประเทศลดต่ำลง โดยเฉพาะประชาชนในกรุงเทพฯที่มีค่าคะแนนความสุขระดับที่ “น่าเป็นห่วงมากที่สุด” เพราะต่ำกว่าทุกภาค
ขณะที่การสัมภาษณ์เจาะลึกเชิงคุณภาพกับคนกรุงเทพฯ ส่วนใหญ่ระบุว่า นักการเมืองมีแต่เรื่องวุ่นวาย น่าเบื่อหน่าย มองหานักการเมือดีๆได้ยาก มีแต่ทุจริตคอร์รัปชัน แก่งแย่งผลประโยชน์และอำนาจ ไม่มีใครจริงใจจริงจังเพื่อบ้านเมือง พูดเอาดีใส่ตัว เอาชั่วใส่ผู้อื่น ความวุ่นวายจึงไม่จบสิ้น
ส่วนเรื่องแผนปรองดองที่ฝ่ายการเมืองต่างก็ชูมาหาเสียงนั้น ถูกประชาชนย้อนกลับว่า แม้แต่นักการเมืองยังปรองดองกันไม่ได้เลย แล้วจะให้ประชาชนปรองดองกันได้อย่างไร ซึ่งไม่มีประชาชนคนใดที่ไม่ต้องการให้เกิดความปรองดอง เพราะประชาชนทุกคนต้องการมีความสุข ไม่ใช่ดีแต่พูด หรือเป็นพวกกะล่อนลิ้นทอง โกหกตอแหล
ประชาชนส่วนใหญ่จึงไม่เชื่อเรื่องนิรโทษกรรมว่านักการเมืองจะมีความจริงใจทำเพื่อประชาชน ทั้งที่ประชาชนส่วนใหญ่ต้องการเห็นความสามัคคีปรองดองและให้อภัยกัน
แต่ประชาชนอีกส่วนหนึ่งก็ต้องการให้ว่ากันไปตามครรลองของกฎหมายบ้านเมือง ใครทำผิดก็ว่าไปตามผิด ใครถูกต้องก็ให้เป็นไปตามกฎหมายบ้านเมือง ไม่เช่นนั้นความขัดแย้งก็ไม่จบหรือจะกลับมาทะเลาะกันใหม่
โดยเฉพาะเหตุกาณณ์ “เมษา-พฤษภาอำมหิต” ที่มีผู้เสียชีวิตถึง 91 ศพ และบาดเจ็บพิการเกือบ 2,000 คนนั้น ประชาชนคนไทยทั้งประเทศต้องถามตัวเอง ถามรัฐบาล และคนในกองทัพเช่นกันว่า ถ้าจะให้ทุกอย่างผ่านไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยนั้น สังคมไทยจะสงบและดำรงอยู่ได้อย่างมีความสุขจริงหรือ
**********************************************************************
ไม่ว่าจะมีการสำรวจกี่ครั้งถึงเรื่องการเมืองและพฤติกรรมของนักการเมืองไทย ก็จะได้ผลออกมาไม่แตกต่างกัน คือประชาชนเบื่อหน่ายการเมืองและพฤติกรรมของนักการเมืองไทยที่ถูกมองว่ามีแนวโน้มในทางที่ไม่ดีมากกว่าดี โดยเฉพาะเรื่องการทุจริตคอร์รัปชัน จึงทำให้ทหารใช้เป็นเหตุผลในการทำรัฐประหารทุกครั้งตลอด 78 ปีที่ผ่านมา
อย่างล่าสุดศูนย์เครือข่ายวิชาการเพื่อสังเกตการณ์และวิจัยความสุขชุมชน หรือศูนย์วิจัยความสุขชุมชน มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ เปิดเผยผลวิจัยเรื่องแนวโน้มความสุขมวลรวม GDH ของคนไทยภายในประเทศประจำเดือนกันยายน 2553 กรณีศึกษาตัวอย่างประชาชนผู้พักอาศัยอยู่ใน 28 จังหวัดของประเทศ จำนวนทั้งสิ้น 5,059 คน พบว่าดัชนีความสุขของคนไทยภายในประเทศเดือนกันยายนปีนี้ “ลดต่ำลง” จากระดับความสุขที่เคยสำรวจในเดือนกรกฎาคม คือจาก 6.77 มาอยู่ที่ 6.57 จากคะแนนความสุขเต็ม 10 คะแนน แม้จะสูงกว่าช่วงเดียวกันของเมื่อปีที่แล้วก็ตาม
ที่น่าเป็นห่วงคือ สถานการณ์การเมือง ความไม่เป็นธรรมทางสังคม สภาวะเศรษฐกิจของประเทศ และภาพลักษณ์ของประเทศไทย ที่เป็นปัจจัยสำคัญให้ระดับความสุขมวลรวมของประชาชนภายในประเทศลดต่ำลง โดยเฉพาะประชาชนในกรุงเทพฯที่มีค่าคะแนนความสุขระดับที่ “น่าเป็นห่วงมากที่สุด” เพราะต่ำกว่าทุกภาค
ขณะที่การสัมภาษณ์เจาะลึกเชิงคุณภาพกับคนกรุงเทพฯ ส่วนใหญ่ระบุว่า นักการเมืองมีแต่เรื่องวุ่นวาย น่าเบื่อหน่าย มองหานักการเมือดีๆได้ยาก มีแต่ทุจริตคอร์รัปชัน แก่งแย่งผลประโยชน์และอำนาจ ไม่มีใครจริงใจจริงจังเพื่อบ้านเมือง พูดเอาดีใส่ตัว เอาชั่วใส่ผู้อื่น ความวุ่นวายจึงไม่จบสิ้น
ส่วนเรื่องแผนปรองดองที่ฝ่ายการเมืองต่างก็ชูมาหาเสียงนั้น ถูกประชาชนย้อนกลับว่า แม้แต่นักการเมืองยังปรองดองกันไม่ได้เลย แล้วจะให้ประชาชนปรองดองกันได้อย่างไร ซึ่งไม่มีประชาชนคนใดที่ไม่ต้องการให้เกิดความปรองดอง เพราะประชาชนทุกคนต้องการมีความสุข ไม่ใช่ดีแต่พูด หรือเป็นพวกกะล่อนลิ้นทอง โกหกตอแหล
ประชาชนส่วนใหญ่จึงไม่เชื่อเรื่องนิรโทษกรรมว่านักการเมืองจะมีความจริงใจทำเพื่อประชาชน ทั้งที่ประชาชนส่วนใหญ่ต้องการเห็นความสามัคคีปรองดองและให้อภัยกัน
แต่ประชาชนอีกส่วนหนึ่งก็ต้องการให้ว่ากันไปตามครรลองของกฎหมายบ้านเมือง ใครทำผิดก็ว่าไปตามผิด ใครถูกต้องก็ให้เป็นไปตามกฎหมายบ้านเมือง ไม่เช่นนั้นความขัดแย้งก็ไม่จบหรือจะกลับมาทะเลาะกันใหม่
โดยเฉพาะเหตุกาณณ์ “เมษา-พฤษภาอำมหิต” ที่มีผู้เสียชีวิตถึง 91 ศพ และบาดเจ็บพิการเกือบ 2,000 คนนั้น ประชาชนคนไทยทั้งประเทศต้องถามตัวเอง ถามรัฐบาล และคนในกองทัพเช่นกันว่า ถ้าจะให้ทุกอย่างผ่านไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยนั้น สังคมไทยจะสงบและดำรงอยู่ได้อย่างมีความสุขจริงหรือ
**********************************************************************
เดิมพัน..ใจนักเลง!
นายกรัฐมนตรี ถือเป็นตำแหน่งอันทรงเกียรติเพราะถือเป็นประมุขฝ่ายบริหารแต่ในห้วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาดูเหมือนประเทศไทยจะใช้นายกรัฐมนตรีเปลืองเป็นพิเศษอันเป็นที่มาแห่งเสียงวิพากษ์ว่า“นายกฯ ประเทศไทยใครก็เป็นได้”
นั่นคงจะเป็นเพราะการก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดบนชีวิต การเมืองอย่างคาดไม่ถึงของ “สมัคร สุนทรเวช” อดีตนายกฯ ผู้ล่วงลับ “สมชาย วงศ์สวัสดิ์” ผู้นำส้มหล่น หรือแม้กระทั่ง “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” เองที่หลายฝ่ายเคยปรามาสไว้ว่า “เร็วเกินไปสำหรับการขึ้นดำรงตำแหน่งนายกฯ”
เมื่อใช้อะไหล่ตัวใดก็ได้ ส่งผลให้เก้าอี้นายกฯ ของไทยคลายความขลังลงไปทุกขณะจิต ประจวบเหมาะ กับสายป่านของ “รัฐบาลเทพประทาน” ดำเนินเข้า มาจวบจนจะถึงปลายทาง ชื่อของนายกฯ ภายใต้เงื่อนไข “ใครก็เป็นได้” จึงพรั่งพรูออกสู่โสตประสาท ของประชาชน จนกลายเป็นอาการกระเหี้ยนกระหือรือ ของนักเลือกตั้งผู้ลุ่มหลงอำนาจไปโดยอัตโนมัติ โดยที่ไม่มีใครทราบว่า ชื่อที่ถูกพาดพิงคิดเห็นเป็นประการใด
“พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์” เดินสายปรองดอง สังคมก็มองว่าเป็นการเดินเกมกั๊กเก้าอี้นายกฯ คนกลาง “เนวิน ชิดชอบ” เดินลุยไฟฝ่าดงบาทาล่าชื่อนิรโทษกรรม สังคมก็มองว่าปลุกผี “สมคิด จาตุศรีพิทักษ์” ขึ้นมาเป็นนายกฯ ฝ่าวิกฤติ
ในระยะเผาขน “สุเทพ เทือกสุบรรณ” ทิ้งเก้าอี้รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง โดดลงสนามเลือกตั้งซ่อมเมืองสุราษฎร์ธานี สังคมก็มองว่า “เทพเทือก” กระชับพื้นที่ภายในพรรครอเสียบแทน “นายกฯ อภิสิทธิ์” หากพรรคประชาธิปัตย์ต้องประสบอุบัติเหตุจากคดียุบพรรค 2 ใน 3 คนที่ระบุถึง แม้จะมีการออกมาเคลียร์ ตัวเองต่อสาธารณชน แต่ก็ยังไม่มีน้ำหนักเพียงพอที่จะทำให้บรรดาคอการเมืองปักใจเชื่อแต่หากพิเคราะห์อย่างสังเคราะห์ โดยลบชุดความคิดที่ว่า “นักการเมืองชั่วทั้งหมด” ออกจากสมอง และเข้าให้ถึงตัวตนที่แท้จริงของ “เสธ.หนั่น” จะพบว่าสิ่งที่นักการเมืองผู้นี้ระบุ “ในสมองไม่เคยคิดเรื่องเหล่านี้ เพราะอายุใกล้ 76 ปี แล้ว” มันก็น่าจะเพียงพอที่จะทำให้เชื่อได้ว่า “แผนปรองดองฉบับชาละวัน” ไม่ได้ล้ำลึกถึงขั้นแผนจองกฐินเก้าอี้ “นายกฯ คนกลาง”
เสียงวิพากษ์ในลักษณะเดียวกันที่ดังขึ้นมาจาก การเคลื่อนของ “เทพเทือก” และดูเหมือนว่าจะกระหึ่มดังยิ่งเสียกว่า การเคลื่อนของ “เสธ.หนั่น” ซะอีก เพราะด้วยชัยภูมิที่ยืน บวกรวมกับสถานะอันสุ่มเสี่ยงของพรรคประชาธิปัตย์ มันย่อมทำให้น่าเชื่อได้ว่า นี่ไม่ต่างจากแผนวางตัว “นายกฯ สำรอง”
กระนั้น ในเสียงวิพากษ์แห่งวิพากษ์ และครุ่นคิด ในสมมติฐานเดียวกันกับ “เสธ.หนั่น” ย่อมพบว่า ด้วยสภาพที่แผลเหวอะหวะเต็มตัว และด้วยอุปนิสัยใจนักเลงปักษ์ใต้ของ “เทพเทือก” หากไม่มีอคติ เหตุและผลที่เกิดจากเสียงวิพากษ์ มันล้วนดูขัดแย้งกับสิ่งที่สังคมกำลังจับจ้องนักการเมืองผู้นี้
และยิ่งหากมองลงไปให้ลึกในเงื่อนไขที่กำลังเกิดขึ้นกับ “เทพเทือก” โดยเฉพาะความสัมพันธ์ภาย ในพรรคที่ยิ่งดูห่างเหินและห่างไกลจาก “นายหัวชวน หลีกภัย” มากและมากขึ้นทุกวัน
การตัดสินใจโยนเสื้อคลุมรองนายกฯ และเปลี่ยนมาเป็นราษฎรเต็มขั้น มันย่อมไม่มีอะไรรับประกันได้เลยว่า เขาจะได้รีเทิร์นกลับมานั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวเก่า ยิ่งจังหวะการขยับของ “บัญญัติ บรรทัดฐาน” ที่ประกาศพร้อมเสียบตำแหน่งรองนายกฯ อย่างเปิดเผย มันย่อมสะท้อนให้เห็นเกมการเมืองภายในประชาธิปัตย์ได้อย่างถนัดถนี่ลูกตาเสียนี่กระไร
และนั่นคือมุมมองที่ต้องยอมรับโดยดุษณีว่า นี่ แหละคือการเมืองฉบับประชาธิปัตย์ตัวจริง!!!แต่ถ้าหากคิดในสมมติฐานเดียวกันในความเป็น การเมืองฉบับประชาธิปัตย์ บนตรรกะ “ยามศึกเรารบ ยามสงบเราฟัดกันเอง” และยึดโยงไปผูกติดกับสถานการณ์อันสุ่มเสี่ยงจากคดียุบพรรค มันย่อมน่าเชื่อเหลือเกินว่า การทิ้งเก้าอี้ของ “เทพเทือก” หรือแม้กระทั่ง กรณีการเสียบของ “น้าหยัด” รวมไปถึงวลี “หวัดนกถล่มประชาธิปัตย์” ของ “นายหัวชวน” มันย่อมมีอะไรแยบคายไปกว่า มิติแห่ง “นายกฯ สำรอง” ที่กำลังดำเนินอยู่
สมมติว่า การลาออกของ “เทพเทือก” เพื่อเปิดทางให้มีการปรับ ครม. ตัดหาง “ภูมิใจไทย” และเสริมหล่อสร้างภาพสีขาวให้ประชาธิปัตย์ ก่อนประกาศ ยุบสภา การสลับให้คู่กัดอย่าง “น้าหยัด” มานั่งเสียบ แทนในเก้าอี้รองนายกฯ มันย่อมดูประนีประนอมกว่า ใช่หรือไม่???
สมมติว่า คิวเดินทางไปต่างประเทศถึง 3 ไฟลต์ติดๆ ในระยะเวลาอันใกล้ อุบัติอาถรรพ์เดือนตุลาฯ การให้ “น้าหยัด” ที่ไม่ค่อยอี๋อ๋อกับกองทัพสักเท่าไร มาปฏิบัติหน้าที่รักษาการนายกฯ ก่อนประกาศยุบสภา ในกรณีฉุกเฉิน อาถรรพ์ดังกล่าวจะมีสิทธิ์เฮี้ยนขึ้นมา อีกครั้งใช่หรือไม่???
สมมติว่า ศาลรัฐธรรมนูญไม่ยุบพรรคหรือยุบพรรค แต่เผอิญมีการชี้ผิดชี้ถูกในลักษณะต่างกรรม ต่างวาระ และไม่เข้าข่ายเดียวกันกับพรรคที่โกงเลือกตั้งและถูกยุบไปก่อนหน้านี้ เหล้าเก่าในขวดใหม่แห่งพระแม่ธรณีบีบมวยผม จะยังจำเป็นต้องใช้ “นายกฯ สำรอง” อีกต่อไปใช่หรือไม่???
ที่สำคัญ ต้องไม่ลืมว่า ในอดีตแม้ “เทพเทือก” จะสนิทสนมกับ “อดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร” สักปานใด แต่ก็ไม่เคยมีสักครั้งที่บุรุษผู้นี้ คิดจะเอาใจออก ห่างสถาบันการเมืองที่ปลุกปั้นเขาขึ้นมา และด้วยเหตุฉะนี้ ลำพังเพียงความสัมพันธ์ระดับกิ๊กครั้งใหม่ที่ เกิดกับ “เนวิน ชิดชอบ” มันจะทำให้ “เทพเทือก” เปลี่ยนใจได้กระนั้นหรือ
การเมือง “ไม่มีมิตรแท้ ไม่มีศัตรูถาวร” ก็จริง แต่สิ่งหนึ่งที่ต้องไม่ลืมเช่นกันว่า คนอย่าง “สุเทพ เทือกสุบรรณ” แม้จะดีจะชั่วมาร้อยเอ็ดเจ็ดย่านสมุทร แต่อดีตกำนันผู้นี้ก็ไม่เคยทิ้งดีเอ็นเอสายพันธุ์นักการเมืองใจนักเลงตัวจริง!!!
ที่มา.สยามธุรกิจ
นั่นคงจะเป็นเพราะการก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดบนชีวิต การเมืองอย่างคาดไม่ถึงของ “สมัคร สุนทรเวช” อดีตนายกฯ ผู้ล่วงลับ “สมชาย วงศ์สวัสดิ์” ผู้นำส้มหล่น หรือแม้กระทั่ง “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” เองที่หลายฝ่ายเคยปรามาสไว้ว่า “เร็วเกินไปสำหรับการขึ้นดำรงตำแหน่งนายกฯ”
เมื่อใช้อะไหล่ตัวใดก็ได้ ส่งผลให้เก้าอี้นายกฯ ของไทยคลายความขลังลงไปทุกขณะจิต ประจวบเหมาะ กับสายป่านของ “รัฐบาลเทพประทาน” ดำเนินเข้า มาจวบจนจะถึงปลายทาง ชื่อของนายกฯ ภายใต้เงื่อนไข “ใครก็เป็นได้” จึงพรั่งพรูออกสู่โสตประสาท ของประชาชน จนกลายเป็นอาการกระเหี้ยนกระหือรือ ของนักเลือกตั้งผู้ลุ่มหลงอำนาจไปโดยอัตโนมัติ โดยที่ไม่มีใครทราบว่า ชื่อที่ถูกพาดพิงคิดเห็นเป็นประการใด
“พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์” เดินสายปรองดอง สังคมก็มองว่าเป็นการเดินเกมกั๊กเก้าอี้นายกฯ คนกลาง “เนวิน ชิดชอบ” เดินลุยไฟฝ่าดงบาทาล่าชื่อนิรโทษกรรม สังคมก็มองว่าปลุกผี “สมคิด จาตุศรีพิทักษ์” ขึ้นมาเป็นนายกฯ ฝ่าวิกฤติ
ในระยะเผาขน “สุเทพ เทือกสุบรรณ” ทิ้งเก้าอี้รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง โดดลงสนามเลือกตั้งซ่อมเมืองสุราษฎร์ธานี สังคมก็มองว่า “เทพเทือก” กระชับพื้นที่ภายในพรรครอเสียบแทน “นายกฯ อภิสิทธิ์” หากพรรคประชาธิปัตย์ต้องประสบอุบัติเหตุจากคดียุบพรรค 2 ใน 3 คนที่ระบุถึง แม้จะมีการออกมาเคลียร์ ตัวเองต่อสาธารณชน แต่ก็ยังไม่มีน้ำหนักเพียงพอที่จะทำให้บรรดาคอการเมืองปักใจเชื่อแต่หากพิเคราะห์อย่างสังเคราะห์ โดยลบชุดความคิดที่ว่า “นักการเมืองชั่วทั้งหมด” ออกจากสมอง และเข้าให้ถึงตัวตนที่แท้จริงของ “เสธ.หนั่น” จะพบว่าสิ่งที่นักการเมืองผู้นี้ระบุ “ในสมองไม่เคยคิดเรื่องเหล่านี้ เพราะอายุใกล้ 76 ปี แล้ว” มันก็น่าจะเพียงพอที่จะทำให้เชื่อได้ว่า “แผนปรองดองฉบับชาละวัน” ไม่ได้ล้ำลึกถึงขั้นแผนจองกฐินเก้าอี้ “นายกฯ คนกลาง”
เสียงวิพากษ์ในลักษณะเดียวกันที่ดังขึ้นมาจาก การเคลื่อนของ “เทพเทือก” และดูเหมือนว่าจะกระหึ่มดังยิ่งเสียกว่า การเคลื่อนของ “เสธ.หนั่น” ซะอีก เพราะด้วยชัยภูมิที่ยืน บวกรวมกับสถานะอันสุ่มเสี่ยงของพรรคประชาธิปัตย์ มันย่อมทำให้น่าเชื่อได้ว่า นี่ไม่ต่างจากแผนวางตัว “นายกฯ สำรอง”
กระนั้น ในเสียงวิพากษ์แห่งวิพากษ์ และครุ่นคิด ในสมมติฐานเดียวกันกับ “เสธ.หนั่น” ย่อมพบว่า ด้วยสภาพที่แผลเหวอะหวะเต็มตัว และด้วยอุปนิสัยใจนักเลงปักษ์ใต้ของ “เทพเทือก” หากไม่มีอคติ เหตุและผลที่เกิดจากเสียงวิพากษ์ มันล้วนดูขัดแย้งกับสิ่งที่สังคมกำลังจับจ้องนักการเมืองผู้นี้
และยิ่งหากมองลงไปให้ลึกในเงื่อนไขที่กำลังเกิดขึ้นกับ “เทพเทือก” โดยเฉพาะความสัมพันธ์ภาย ในพรรคที่ยิ่งดูห่างเหินและห่างไกลจาก “นายหัวชวน หลีกภัย” มากและมากขึ้นทุกวัน
การตัดสินใจโยนเสื้อคลุมรองนายกฯ และเปลี่ยนมาเป็นราษฎรเต็มขั้น มันย่อมไม่มีอะไรรับประกันได้เลยว่า เขาจะได้รีเทิร์นกลับมานั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวเก่า ยิ่งจังหวะการขยับของ “บัญญัติ บรรทัดฐาน” ที่ประกาศพร้อมเสียบตำแหน่งรองนายกฯ อย่างเปิดเผย มันย่อมสะท้อนให้เห็นเกมการเมืองภายในประชาธิปัตย์ได้อย่างถนัดถนี่ลูกตาเสียนี่กระไร
และนั่นคือมุมมองที่ต้องยอมรับโดยดุษณีว่า นี่ แหละคือการเมืองฉบับประชาธิปัตย์ตัวจริง!!!แต่ถ้าหากคิดในสมมติฐานเดียวกันในความเป็น การเมืองฉบับประชาธิปัตย์ บนตรรกะ “ยามศึกเรารบ ยามสงบเราฟัดกันเอง” และยึดโยงไปผูกติดกับสถานการณ์อันสุ่มเสี่ยงจากคดียุบพรรค มันย่อมน่าเชื่อเหลือเกินว่า การทิ้งเก้าอี้ของ “เทพเทือก” หรือแม้กระทั่ง กรณีการเสียบของ “น้าหยัด” รวมไปถึงวลี “หวัดนกถล่มประชาธิปัตย์” ของ “นายหัวชวน” มันย่อมมีอะไรแยบคายไปกว่า มิติแห่ง “นายกฯ สำรอง” ที่กำลังดำเนินอยู่
สมมติว่า การลาออกของ “เทพเทือก” เพื่อเปิดทางให้มีการปรับ ครม. ตัดหาง “ภูมิใจไทย” และเสริมหล่อสร้างภาพสีขาวให้ประชาธิปัตย์ ก่อนประกาศ ยุบสภา การสลับให้คู่กัดอย่าง “น้าหยัด” มานั่งเสียบ แทนในเก้าอี้รองนายกฯ มันย่อมดูประนีประนอมกว่า ใช่หรือไม่???
สมมติว่า คิวเดินทางไปต่างประเทศถึง 3 ไฟลต์ติดๆ ในระยะเวลาอันใกล้ อุบัติอาถรรพ์เดือนตุลาฯ การให้ “น้าหยัด” ที่ไม่ค่อยอี๋อ๋อกับกองทัพสักเท่าไร มาปฏิบัติหน้าที่รักษาการนายกฯ ก่อนประกาศยุบสภา ในกรณีฉุกเฉิน อาถรรพ์ดังกล่าวจะมีสิทธิ์เฮี้ยนขึ้นมา อีกครั้งใช่หรือไม่???
สมมติว่า ศาลรัฐธรรมนูญไม่ยุบพรรคหรือยุบพรรค แต่เผอิญมีการชี้ผิดชี้ถูกในลักษณะต่างกรรม ต่างวาระ และไม่เข้าข่ายเดียวกันกับพรรคที่โกงเลือกตั้งและถูกยุบไปก่อนหน้านี้ เหล้าเก่าในขวดใหม่แห่งพระแม่ธรณีบีบมวยผม จะยังจำเป็นต้องใช้ “นายกฯ สำรอง” อีกต่อไปใช่หรือไม่???
ที่สำคัญ ต้องไม่ลืมว่า ในอดีตแม้ “เทพเทือก” จะสนิทสนมกับ “อดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร” สักปานใด แต่ก็ไม่เคยมีสักครั้งที่บุรุษผู้นี้ คิดจะเอาใจออก ห่างสถาบันการเมืองที่ปลุกปั้นเขาขึ้นมา และด้วยเหตุฉะนี้ ลำพังเพียงความสัมพันธ์ระดับกิ๊กครั้งใหม่ที่ เกิดกับ “เนวิน ชิดชอบ” มันจะทำให้ “เทพเทือก” เปลี่ยนใจได้กระนั้นหรือ
การเมือง “ไม่มีมิตรแท้ ไม่มีศัตรูถาวร” ก็จริง แต่สิ่งหนึ่งที่ต้องไม่ลืมเช่นกันว่า คนอย่าง “สุเทพ เทือกสุบรรณ” แม้จะดีจะชั่วมาร้อยเอ็ดเจ็ดย่านสมุทร แต่อดีตกำนันผู้นี้ก็ไม่เคยทิ้งดีเอ็นเอสายพันธุ์นักการเมืองใจนักเลงตัวจริง!!!
ที่มา.สยามธุรกิจ
มองการณ์ไกล..
เห็นข่าว “ธนาคารแห่งประเทศไทย” หรือ ธปท. หรือ “แบงก์ชาติ” โดยฝีมือของ “ธาริษา วัฒนเกส” ผู้ว่าฯ ที่ออก โรงหารือถึงเรื่อง “การปรับโครงสร้างค่าธรรมเนียมการให้ บริการทางการเงินผ่านเครื่องเอทีเอ็ม” หรือที่นิยามกันว่า “ค่าต๋ง”
ซึ่ง “ธาริษา” ได้ร่วมถกหาทางออกกับสมาคมธนาคารไทย ก่อนจะลาตำแหน่ง จนเป็นที่มาของการยอมลดค่าธรรมเนียมการโอนเงิน...ตามสัดส่วนที่แตกต่างกันไป แต่กว่าจะเริ่มก็ต้อง โน่น “ปีหน้า”
งานนี้ไม่รู้ว่า “ธาริษา” ความรู้สึกช้า...เพิ่งจะเห็นวิธีเอารัดเอาเปรียบ และเริ่มแก้ปัญหา...ก่อนตัวเองเกษียณ...ทั้งๆ ที่ เรื่องแบบนี้ คนที่คลุกอยู่ในธุรกิจการเงิน ต่างรู้กันดีว่า คือหนทาง “ทำรายได้” เป็นกอบเป็นกำ...ของพวกเสือนอนกิน!!! แต่ทำช้าก็ยัง ดีกว่า “ไม่ทำ”
และอย่างน้อยก็เป็นการตอกย้ำให้เห็นถึง “นายทุนศักดินา” ที่ครอบงำเศรษฐกิจไทย...และคิดแต่เอารัดเอาเปรียบสังคม และประชาชน...โดยอ้างเรื่อง “การแข่งขันทางการค้าอย่างเสรี”
เห็นชัดเจนสุดคือ “นายทุนศักดินาภาคธนาคาร” นี่แหละ... คือตัวดี ที่ทำลายระบบเศรษฐกิจมาอย่างยาวนาน ในอดีตที่ผ่านมา หากมี “ตระกูลใด” ทำผิดพลาด...รัฐบาลก็ต้องเข้าไปโอบอุ้ม...ทั้งๆ ที่ “ตระกูลเหล่านั้น” ก็ร่ำรวยมาได้ ด้วยวิธีการ “เสือนอนกิน” และมีวิธีบริหารจัดการที่ใช้ไม่ได้ หรือไม่ได้เรื่องต่างหาก แล้วทำไมต้องเข้าไปโอบอุ้ม ด้วยคำอ้าง...“เพราะไม่ต้องการให้กระทบเศรษฐกิจ โดยรวม” ซึ่งเป็นข้ออ้างที่เห็นแก่ตัวอย่างยิ่ง
เหมือนกับ “นายทุนศักดินาภาคที่ดิน” ที่เอารัดเอาเปรียบชาวบ้าน จนได้ที่ดินมากมาย มีทั้งบุกรุกป่าสงวนแห่งชาติ สร้างรีสอร์ต เพื่อความร่ำรวยให้ตระกูลตัวเอง แต่พอเกิดปัญหาตรวจสอบ ก็จะใช้ “มวลชน” ที่ตัวเองเลี้ยงไว้มากดดัน รวมถึงคัดค้านการจัดเก็บภาษี ที่ดิน เพราะถ้าเกิดขึ้นได้จริงๆ “นายทุนศักดินาภาคที่ดิน” ก็จะเสียเปรียบ
งานนี้เป็นอีกหนึ่งบทพิสูจน์คนหนุ่มรุ่นใหม่ ทั้ง “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” นายกรัฐมนตรี และ “กรณ์ จาติกวณิช” รมว.คลัง มี “น้ำยา” ว่าจะ “กล้าเข้าไปแตะของร้อน” อย่างเต็มรูปแบบและจัดการให้มีประสิทธิภาพหรือไม่
เพราะเศรษฐกิจจะดีได้ “รัฐ” ต้องเป็นฝ่ายเข้าไปกำหนดเกม กำหนดกติกา กำหนดเงื่อนไข เพื่อความเสมอภาคแก่ทุกฝ่าย ไม่ใช่ปล่อยให้เกิดความร่ำรวยเพียง “ไม่กี่ตระกูล” และเวลาคิดจะทำอะไร ก็จะมีการอ้างสารพัด รวมถึงการล็อบบี้ใต้ดิน... ไม่เช่นนั้นจะไม่สนับสนุน???...ให้เติบโตทางการเมือง
“เหลือบนายทุนศักดินา”...เหล่านี้ ดูไปแล้ว ก็ไม่ต่างจาก “เหลือบข้าราชการนักการเมือง” ที่จ้องแทะ จ้องเกาะกิน จ้องผลาญงบประมาณชาติ แบบเมามันส์ ทั้งการโกงกินคอร์รัปชั่น ในสารพัดอภิมหาโปรเจกต์ทั้งหลาย
แต่ที่น่าอดสูก็คือ การเดินทางไปดูงานต่างประเทศ ที่ร้อย ทั้งร้อยจะอ้างเรื่อง “งาน” เพื่อจะนำกลับมาใช้พัฒนา แต่ “คนไม่โง่” ต่างก็รู้ดีว่า คือการไปเที่ยว ไปหาความสุขส่วนตัวแบบร้อยแปด ทั้งเรื่องผู้หญิงและการพนัน จะมีน้อยรายน้อยคณะ มาก...ที่เดินทางไปแล้ว กลับนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์แบบเต็มเม็ดเต็มหน่วย
เห็นอย่างนี้แล้ว....อยากมีส่วนร่วมกำจัดเหลือบกากเดน เหล่านี้ ไม่ให้เป็นตัวถ่วงความเจริญของประเทศ...จริงๆ
ที่มา.สยามธุรกิจ
ซึ่ง “ธาริษา” ได้ร่วมถกหาทางออกกับสมาคมธนาคารไทย ก่อนจะลาตำแหน่ง จนเป็นที่มาของการยอมลดค่าธรรมเนียมการโอนเงิน...ตามสัดส่วนที่แตกต่างกันไป แต่กว่าจะเริ่มก็ต้อง โน่น “ปีหน้า”
งานนี้ไม่รู้ว่า “ธาริษา” ความรู้สึกช้า...เพิ่งจะเห็นวิธีเอารัดเอาเปรียบ และเริ่มแก้ปัญหา...ก่อนตัวเองเกษียณ...ทั้งๆ ที่ เรื่องแบบนี้ คนที่คลุกอยู่ในธุรกิจการเงิน ต่างรู้กันดีว่า คือหนทาง “ทำรายได้” เป็นกอบเป็นกำ...ของพวกเสือนอนกิน!!! แต่ทำช้าก็ยัง ดีกว่า “ไม่ทำ”
และอย่างน้อยก็เป็นการตอกย้ำให้เห็นถึง “นายทุนศักดินา” ที่ครอบงำเศรษฐกิจไทย...และคิดแต่เอารัดเอาเปรียบสังคม และประชาชน...โดยอ้างเรื่อง “การแข่งขันทางการค้าอย่างเสรี”
เห็นชัดเจนสุดคือ “นายทุนศักดินาภาคธนาคาร” นี่แหละ... คือตัวดี ที่ทำลายระบบเศรษฐกิจมาอย่างยาวนาน ในอดีตที่ผ่านมา หากมี “ตระกูลใด” ทำผิดพลาด...รัฐบาลก็ต้องเข้าไปโอบอุ้ม...ทั้งๆ ที่ “ตระกูลเหล่านั้น” ก็ร่ำรวยมาได้ ด้วยวิธีการ “เสือนอนกิน” และมีวิธีบริหารจัดการที่ใช้ไม่ได้ หรือไม่ได้เรื่องต่างหาก แล้วทำไมต้องเข้าไปโอบอุ้ม ด้วยคำอ้าง...“เพราะไม่ต้องการให้กระทบเศรษฐกิจ โดยรวม” ซึ่งเป็นข้ออ้างที่เห็นแก่ตัวอย่างยิ่ง
เหมือนกับ “นายทุนศักดินาภาคที่ดิน” ที่เอารัดเอาเปรียบชาวบ้าน จนได้ที่ดินมากมาย มีทั้งบุกรุกป่าสงวนแห่งชาติ สร้างรีสอร์ต เพื่อความร่ำรวยให้ตระกูลตัวเอง แต่พอเกิดปัญหาตรวจสอบ ก็จะใช้ “มวลชน” ที่ตัวเองเลี้ยงไว้มากดดัน รวมถึงคัดค้านการจัดเก็บภาษี ที่ดิน เพราะถ้าเกิดขึ้นได้จริงๆ “นายทุนศักดินาภาคที่ดิน” ก็จะเสียเปรียบ
งานนี้เป็นอีกหนึ่งบทพิสูจน์คนหนุ่มรุ่นใหม่ ทั้ง “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” นายกรัฐมนตรี และ “กรณ์ จาติกวณิช” รมว.คลัง มี “น้ำยา” ว่าจะ “กล้าเข้าไปแตะของร้อน” อย่างเต็มรูปแบบและจัดการให้มีประสิทธิภาพหรือไม่
เพราะเศรษฐกิจจะดีได้ “รัฐ” ต้องเป็นฝ่ายเข้าไปกำหนดเกม กำหนดกติกา กำหนดเงื่อนไข เพื่อความเสมอภาคแก่ทุกฝ่าย ไม่ใช่ปล่อยให้เกิดความร่ำรวยเพียง “ไม่กี่ตระกูล” และเวลาคิดจะทำอะไร ก็จะมีการอ้างสารพัด รวมถึงการล็อบบี้ใต้ดิน... ไม่เช่นนั้นจะไม่สนับสนุน???...ให้เติบโตทางการเมือง
“เหลือบนายทุนศักดินา”...เหล่านี้ ดูไปแล้ว ก็ไม่ต่างจาก “เหลือบข้าราชการนักการเมือง” ที่จ้องแทะ จ้องเกาะกิน จ้องผลาญงบประมาณชาติ แบบเมามันส์ ทั้งการโกงกินคอร์รัปชั่น ในสารพัดอภิมหาโปรเจกต์ทั้งหลาย
แต่ที่น่าอดสูก็คือ การเดินทางไปดูงานต่างประเทศ ที่ร้อย ทั้งร้อยจะอ้างเรื่อง “งาน” เพื่อจะนำกลับมาใช้พัฒนา แต่ “คนไม่โง่” ต่างก็รู้ดีว่า คือการไปเที่ยว ไปหาความสุขส่วนตัวแบบร้อยแปด ทั้งเรื่องผู้หญิงและการพนัน จะมีน้อยรายน้อยคณะ มาก...ที่เดินทางไปแล้ว กลับนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์แบบเต็มเม็ดเต็มหน่วย
เห็นอย่างนี้แล้ว....อยากมีส่วนร่วมกำจัดเหลือบกากเดน เหล่านี้ ไม่ให้เป็นตัวถ่วงความเจริญของประเทศ...จริงๆ
ที่มา.สยามธุรกิจ
ไอโอดีนและการปฏิรูป
ที่มา. มติชนออนไลน์
โดย. นิธิ เอียวศรีวงศ์
ตามสถิติขององค์การอนามัยโลกใน พ.ศ.2550 มีประชากรเกือบ 2 พันล้านคนทั่วโลก ได้รับไอโอดีนน้อยเกินไป หนึ่งในสามของจำนวนนี้เป็นเด็กในวัยเรียน ทั้งๆ ที่สภาพการขาดสารไอโอดีนจนทำให้สมองบกพร่องนี้ เป็นสิ่งที่ป้องกันได้ง่ายมาก
คุณอานันท์ ปันยารชุน นายกรัฐมนตรีซึ่งพ้นตำแหน่งได้กล่าวในปาฐกถาอารี วัลยะเสวีในวันที่ 10 กันยายนว่า "ข้อมูลจากกรมอนามัยพบว่า หญิงมีครรภ์กว่าร้อยละ 70 ในประเทศไทยไม่ได้รับสารไอโอดีนอย่างเพียงพอ ... ยิ่งไปกว่านั้น... เด็กแรกเกิดทุกจังหวัดในประเทศไทยมีภาวะขาดสารไอโอดีนในจำนวนที่สูงกว่าเกณฑ์"
การขาดสารไอโอดีนเป็นสาเหตุสำคัญของโรคคอพอกดังที่ทราบกันอยู่แล้ว แต่ผลอีกอย่างหนึ่งซึ่งเกิดจากการขาดสารดังกล่าวและจากโรคคอพอกก็คือ เด็กที่ขาดสาร อาจมีตัวแกร็นและ/หรือมีความบกพร่องด้านสมอง คุณอานันท์ได้ชี้ให้เห็นสถิติอีกชุดหนึ่ง ซึ่งมีส่วนบ่งบอกให้รู้ว่า ภาวะขาดสารไอโอดีนอย่างกว้างขวางในประเทศไทยนำมาซึ่งผลลัพธ์อะไร
จากสถิติของกรมอนามัย เด็กที่มีอายุต่ำกว่า 5 ปี มีระดับพัฒนาการต่ำลงเรื่อยๆ ทั้งทางร่างกายและสติปัญญา งานวิจัยของโรงพยาบาลรามาธิบดีพบว่า ค่าเฉลี่ยของเด็กไทยลดลงจาก 91 จุดใน พ.ศ.2540 เหลือ 88 จุดใน พ.ศ.2545 ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือลดลงเหลือเพียง 85.9 จุดเท่านั้น ต่ำกว่าเกณฑ์สากลที่ 90-110 จุด
อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ใช่เรื่องใหม่ ทั้งในระดับโลกและระดับประเทศ โลกได้พบความสำคัญของไอโอดีนในการเจริญเติบโตของเด็กมากว่า 100 ปีแล้ว ในประเทศไทยมีการพูดถึงเรื่องนี้ไม่ต่ำกว่า 60 หรือ 70 ปี และกว่า 30 ปีมาแล้วที่ได้มีการย้ำให้เห็นถึงภยันตรายด้านสมรรถภาพทางสมองของการขาดสารไอโอดีน แม้แต่หนทางแก้ไขก็ได้ริเริ่มและดำเนินการไปแล้ว เพียงแต่ไม่ได้ใช้บังคับกันอย่างถ้วนทั่วเท่านั้น
หนทางแก้ไขที่ใช้ได้ผลมาในทุกสังคมคือการผสมโซเดียมไอโอไดต์, โปแตสเซียมไอโอไดต์ หรือไอโอเดตลงไปในเกลือที่ใช้บริโภค เรียกว่าเกลือไอโอดีน เกลือเป็นธาตุอาหารที่ขาดไม่ได้ แม้ในบางสังคมไม่ได้บริโภคเกลือในรูปของเกลือโดยตรง แต่ก็ต้องผสมไปในเครื่องปรุงชนิดต่างๆ ในประเทศที่ภาวะขาดไอโอดีนมีสูงมาก อาจต้องผสมลงในอาหารอื่นๆ ด้วย เช่น แป้งสาลี, น้ำ และนม เป็นต้น
การผสมสารไอโอดีนลงในเกลือจึงเป็นวิธีที่ถูกที่สุด (ประมาณกันว่าจะต้องลงทุนเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยคือ "ไม่กี่เซ็นต์ต่อเกลือ 1 ตัน") และเป็นวิธีที่ให้ผลคุ้มต่อการลงทุนที่สุด
อย่างไรก็ตาม ต้นทุนไม่ได้อยู่ที่เงินเพียงอย่างเดียว เพราะต้องให้การศึกษาแก่ผู้ผลิตและผู้บริโภคเกลือ หรือต้องเข้าไปกำกับควบคุมการผลิตและจำหน่าย ต้องมีการรณรงค์กับสาธารณะ กลุ่มพ่อค้า นักการเมืองและผู้กำหนดนโยบายต่างๆ หากคิดจะลงทุนเพียงการผลิตเกลือไอโอดีนเพียงอย่างเดียว ผลก็จะได้เพียงน้อยนิด ดังกรณีประเทศไทยซึ่งได้ชักจูงการผสมสารไอโอดีนลงในเกลือมานานหลายสิบปีแล้ว แต่ตัวเลขของสำนักงานสถิติแห่งชาติชี้ว่า ใน พ.ศ.2548-9 ครัวเรือนไทยเพียง 58 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่บริโภคเกลือผสมไอโอดีน ในภาคอีสานกลับน้อยกว่านี้เกินครึ่ง
(และซ้ำยังต้องเตือนด้วยว่า อาหารไทยใช้เกลือในรูปของเกลือโดยตรงน้อยมาก แต่ใช้เกลือผสมลงในเครื่องปรุงซึ่งมักซื้อหาที่ผลิตสำเร็จรูปมาแล้ว ฉะนั้นแม้แต่ครอบครัวที่ใช้เกลือไอโอดีนแล้ว ก็อาจไม่ได้บริโภคเข้าไปในปริมาณที่เพียงพอ เพราะน้ำปลาไม่ได้ผสมไอโอดีน)
ควรกล่าวด้วยว่า สภาพขาดสารไอโอดีนที่เพียงพอนี้ นอกจากเกิดในประเทศโลกที่สามเป็นส่วนใหญ่แล้ว แม้ในประเทศพัฒนาแล้ว ก็เริ่มมีปัญหาเช่นเดียวกัน เพราะคำแนะนำของแพทย์ด้านโรคหัวใจให้ลดการบริโภคเกลือลง ทำให้ได้รับสารไอโอดีนจากอาหาร (ที่ไม่ใช่อาหารทะเล) น้อยลง ในขณะที่ความนิยมบริโภคอาหารสำเร็จรูปซึ่งจำนวนมากนำเข้าจากต่างประเทศ ก็เป็นอาหารที่เครื่องปรุงไม่ได้ผสมไอโอดีนเช่นกัน
ประเทศไทยซึ่งนับถือศาสนาส่งออก จึงควรคิดเรื่องนี้ไว้แต่เนิ่นๆ ด้วย เพราะหลังจากข้อเท็จจริงนี้ปรากฏในประเทศผู้นำเข้าผลิตภัณฑ์อาหารจากไทยสำนึกเกี่ยวกับเรื่องนี้เพิ่มขึ้น ก็คงมีกฎหมายที่บังคับให้ต้องผสมไอโอดีนในอาหารนำเข้าอยู่ดี ถึงตอนนั้นไทยก็จะตื่นตัวและหันมาออกกฎหมายบังคับให้เกลือที่ขายในประเทศต้องผสมไอโอดีน แต่กว่าจะได้ผลจนสามารถส่งออกได้อีก ก็ต้องเสียเวลาในการสักการบูชาศาสนาส่งออกไประยะหนึ่ง
นับเป็นเวลานานแล้วเช่นกัน ที่หน่วยงานบางแห่งของไทยได้พยายามผลักดันให้ออกกฎหมายบังคับให้ต้องผสมไอโอดีนลงในเกลือที่ขายในท้องตลาด รวมทั้งสร้างสมรรถนะในการตรวจสอบให้เป็นไปตามกฎหมาย แต่ความพยายามนี้ไม่เคยบังเกิดผลเลย
น่าอัศจรรย์ที่อนาคตของประเทศที่มีความสำคัญเช่นนี้ กลับถูกละเลยตลอดมา ทั้งๆ ที่เกลือไอโอดีนไม่ได้เพิ่มต้นทุนการผลิตอีกกี่มากน้อย ซ้ำกระบวนการยังทำได้ง่ายจนกระทั่งผู้ผลิตเกลือรายย่อยก็สามารถทำเองได้ (หรืออย่างน้อยก็ลงทุนร่วมกันในราคาที่ไม่แพงนัก)
ต้นทุนที่อาจเพิ่มขึ้นเล็กน้อยคือการผลิตเครื่องปรุงต่างๆ ซึ่งใช้ในครัวไทยเป็นอันมาก เช่น น้ำปลา การใช้เกลือไอโอดีนไม่ได้ทำให้ต้นทุนการผลิตเพิ่มมากขึ้นนักก็จริง แต่ผู้ผลิตเชื่อว่าเกลือไอโอดีนจะทำให้กลิ่นของเครื่องปรุงเปลี่ยนไป การลงทุนจึงไปอยู่ที่ต้องแต่งกลิ่นให้กลับมาเหมือนเดิม แม้กระนั้นทุนที่ต้องลงตรงนี้ก็คงไม่มากนัก ที่มากกว่าก็คือการโฆษณาเพื่อสร้างความเชื่อถือในหมู่ผู้บริโภค
แม้กระนั้น เมื่อดูโรงน้ำปลาซีอิ๊ว ในเมืองไทยแล้ว ก็ให้น่าสงสัยว่า การผลักดันล้มเหลวลงไม่น่าจะเป็นเพราะอิทธิพลทางการเมืองของนายทุนเจ้าของโรงน้ำปลา-ซีอิ๊ว เพราะคนเหล่านี้ไม่มีอิทธิพลทางการเมืองมากนัก (ผู้นำเข้าเครื่องปรุงจากต่างประเทศหรือซื้อสิทธิการผลิตเข้ามาผลิตเองในเมืองไทย แม้มีอิทธิพลทางการเมืองมากกว่า แต่ผลกำไรจากส่วนนี้ไม่สู้จะมากนักเมื่อเปรียบเทียบกับผลิตภัณฑ์นม หรือเครื่องดื่มอื่นๆ) ผลกำไรหลักน่าจะมาจากเครื่องดื่มชูกำลัง และเครื่องดื่มเสริมเกลือแร่ของนักกีฬา ซึ่งส่วนหนึ่งต้องผสมเกลือลงด้วย
เหตุใดความรู้ที่ใครๆ ก็รู้อยู่แล้วในเมืองไทยจึงเป็นหมัน แม้ว่าการไม่ใช้ความรู้ทำให้บ้านเมืองไร้อนาคต เพราะเรากำลังทำให้เกือบครึ่งของลูกหลานของเราไร้สติปัญญาที่จะเรียนรู้อะไรได้ ทั้งๆ ที่หนทางจะแก้ไขเรื่องนี้ทำได้ง่ายมาก คือการออกกฎหมายบังคับให้เกลือที่ผลิตหรือนำเข้าและจำหน่ายในประเทศไทย ต้องเป็นเกลือผสมไอโอดีนทั้งหมด
แต่การกระทำง่ายเพียงเท่านี้กลับไม่ประสบความสำเร็จ โดยที่แรงต่อต้านทางการเมืองไม่ได้มีมากเท่าไรนัก
ในระบบการเมืองซึ่งนโยบายระดับชาติมักไม่ได้เกิดจากการผลักดันในสังคม แต่เกิดขึ้นจากการผลักดันของหน่วยราชการ หรือการผลักดันของกลุ่มการเมืองท้องถิ่น นโยบายที่ไม่ให้ผลประโยชน์แก่ข้าราชการและนักการเมือง ไม่ว่าจะเป็นผลประโยชน์ทางอำนาจ, ทางธุรกิจ หรือทางคะแนนเสียงมักถูกละเลย แม้ว่านโยบายสาธารณะเช่นนั้นมีความสำคัญอย่างไรก็ตาม
การผลักดันของผู้ที่ห่วงใยต่อปัญหาที่เกิดขึ้น แม้ทำกันมาเป็นเวลานาน ก็อาจไม่บังเกิดผลเป็นพลังเพียงพอ ที่จะทำให้สังคมเคลื่อนไหวเพื่อผลักดันร่วมด้วย จนกระทั่งนักการเมืองต้องตอบสนองเพื่อหาเสียง โดยเฉพาะหากประเด็นที่ผลักดันนั้น เป็นเรื่องที่ไม่น่าตื่นเต้น เช่นภาวะขาดสารไอโอดีนดังที่กล่าวแล้วนี้ เพราะสื่อไม่สนใจนำเสนอต่อสังคม จึงไม่เป็นที่สนใจกว้างขวางนัก และพลังขับเคลื่อนสังคมก็ยิ่งน้อยลง
ความรู้ใดๆ ก็เป็นเพียงรู้ไว้ใช่ว่า ใส่บ่าแบกหาม ไม่มีผลต่อการปรับเปลี่ยนสังคมได้
เช่นเดียวกับความสำเร็จในการปฏิรูปใดๆ ก็ตาม ไม่ได้อยู่ที่จะผลักดันรัฐบาลชุดใดๆ รับภารกิจการปฏิรูปไปดำเนินการ แต่อยู่ที่ว่าจะสามารถสื่อสารกับสังคมได้มากน้อยและต่อเนื่องเพียงไร และอยู่ที่ว่าแนวทางการปฏิรูปนั้น จะมีพลังพอขับเคลื่อนให้สังคมร่วมเคลื่อนไหวเป็นพลังทางการเมืองได้หรือไม่
หากทำไม่สำเร็จ ไม่ว่าแนวทางการปฏิรูปจะดีวิเศษอย่างไร ก็จะเป็นความรู้ที่เป็นหมัน อย่างเดียวกับความรู้อีกมากที่เป็นหมันในสังคมไทยตลอดมา
เรื่องที่แก้ได้ง่ายๆ อย่างภาวะขาดสารไอโอดีนในหมู่ประชากร จึงเป็นตัวอย่างอันดีของการแก้ปัญหาด้วยความรู้ แต่ขาดพลังของสังคมหนุนหลัง
โดย. นิธิ เอียวศรีวงศ์
ตามสถิติขององค์การอนามัยโลกใน พ.ศ.2550 มีประชากรเกือบ 2 พันล้านคนทั่วโลก ได้รับไอโอดีนน้อยเกินไป หนึ่งในสามของจำนวนนี้เป็นเด็กในวัยเรียน ทั้งๆ ที่สภาพการขาดสารไอโอดีนจนทำให้สมองบกพร่องนี้ เป็นสิ่งที่ป้องกันได้ง่ายมาก
คุณอานันท์ ปันยารชุน นายกรัฐมนตรีซึ่งพ้นตำแหน่งได้กล่าวในปาฐกถาอารี วัลยะเสวีในวันที่ 10 กันยายนว่า "ข้อมูลจากกรมอนามัยพบว่า หญิงมีครรภ์กว่าร้อยละ 70 ในประเทศไทยไม่ได้รับสารไอโอดีนอย่างเพียงพอ ... ยิ่งไปกว่านั้น... เด็กแรกเกิดทุกจังหวัดในประเทศไทยมีภาวะขาดสารไอโอดีนในจำนวนที่สูงกว่าเกณฑ์"
การขาดสารไอโอดีนเป็นสาเหตุสำคัญของโรคคอพอกดังที่ทราบกันอยู่แล้ว แต่ผลอีกอย่างหนึ่งซึ่งเกิดจากการขาดสารดังกล่าวและจากโรคคอพอกก็คือ เด็กที่ขาดสาร อาจมีตัวแกร็นและ/หรือมีความบกพร่องด้านสมอง คุณอานันท์ได้ชี้ให้เห็นสถิติอีกชุดหนึ่ง ซึ่งมีส่วนบ่งบอกให้รู้ว่า ภาวะขาดสารไอโอดีนอย่างกว้างขวางในประเทศไทยนำมาซึ่งผลลัพธ์อะไร
จากสถิติของกรมอนามัย เด็กที่มีอายุต่ำกว่า 5 ปี มีระดับพัฒนาการต่ำลงเรื่อยๆ ทั้งทางร่างกายและสติปัญญา งานวิจัยของโรงพยาบาลรามาธิบดีพบว่า ค่าเฉลี่ยของเด็กไทยลดลงจาก 91 จุดใน พ.ศ.2540 เหลือ 88 จุดใน พ.ศ.2545 ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือลดลงเหลือเพียง 85.9 จุดเท่านั้น ต่ำกว่าเกณฑ์สากลที่ 90-110 จุด
อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ใช่เรื่องใหม่ ทั้งในระดับโลกและระดับประเทศ โลกได้พบความสำคัญของไอโอดีนในการเจริญเติบโตของเด็กมากว่า 100 ปีแล้ว ในประเทศไทยมีการพูดถึงเรื่องนี้ไม่ต่ำกว่า 60 หรือ 70 ปี และกว่า 30 ปีมาแล้วที่ได้มีการย้ำให้เห็นถึงภยันตรายด้านสมรรถภาพทางสมองของการขาดสารไอโอดีน แม้แต่หนทางแก้ไขก็ได้ริเริ่มและดำเนินการไปแล้ว เพียงแต่ไม่ได้ใช้บังคับกันอย่างถ้วนทั่วเท่านั้น
หนทางแก้ไขที่ใช้ได้ผลมาในทุกสังคมคือการผสมโซเดียมไอโอไดต์, โปแตสเซียมไอโอไดต์ หรือไอโอเดตลงไปในเกลือที่ใช้บริโภค เรียกว่าเกลือไอโอดีน เกลือเป็นธาตุอาหารที่ขาดไม่ได้ แม้ในบางสังคมไม่ได้บริโภคเกลือในรูปของเกลือโดยตรง แต่ก็ต้องผสมไปในเครื่องปรุงชนิดต่างๆ ในประเทศที่ภาวะขาดไอโอดีนมีสูงมาก อาจต้องผสมลงในอาหารอื่นๆ ด้วย เช่น แป้งสาลี, น้ำ และนม เป็นต้น
การผสมสารไอโอดีนลงในเกลือจึงเป็นวิธีที่ถูกที่สุด (ประมาณกันว่าจะต้องลงทุนเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยคือ "ไม่กี่เซ็นต์ต่อเกลือ 1 ตัน") และเป็นวิธีที่ให้ผลคุ้มต่อการลงทุนที่สุด
อย่างไรก็ตาม ต้นทุนไม่ได้อยู่ที่เงินเพียงอย่างเดียว เพราะต้องให้การศึกษาแก่ผู้ผลิตและผู้บริโภคเกลือ หรือต้องเข้าไปกำกับควบคุมการผลิตและจำหน่าย ต้องมีการรณรงค์กับสาธารณะ กลุ่มพ่อค้า นักการเมืองและผู้กำหนดนโยบายต่างๆ หากคิดจะลงทุนเพียงการผลิตเกลือไอโอดีนเพียงอย่างเดียว ผลก็จะได้เพียงน้อยนิด ดังกรณีประเทศไทยซึ่งได้ชักจูงการผสมสารไอโอดีนลงในเกลือมานานหลายสิบปีแล้ว แต่ตัวเลขของสำนักงานสถิติแห่งชาติชี้ว่า ใน พ.ศ.2548-9 ครัวเรือนไทยเพียง 58 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่บริโภคเกลือผสมไอโอดีน ในภาคอีสานกลับน้อยกว่านี้เกินครึ่ง
(และซ้ำยังต้องเตือนด้วยว่า อาหารไทยใช้เกลือในรูปของเกลือโดยตรงน้อยมาก แต่ใช้เกลือผสมลงในเครื่องปรุงซึ่งมักซื้อหาที่ผลิตสำเร็จรูปมาแล้ว ฉะนั้นแม้แต่ครอบครัวที่ใช้เกลือไอโอดีนแล้ว ก็อาจไม่ได้บริโภคเข้าไปในปริมาณที่เพียงพอ เพราะน้ำปลาไม่ได้ผสมไอโอดีน)
ควรกล่าวด้วยว่า สภาพขาดสารไอโอดีนที่เพียงพอนี้ นอกจากเกิดในประเทศโลกที่สามเป็นส่วนใหญ่แล้ว แม้ในประเทศพัฒนาแล้ว ก็เริ่มมีปัญหาเช่นเดียวกัน เพราะคำแนะนำของแพทย์ด้านโรคหัวใจให้ลดการบริโภคเกลือลง ทำให้ได้รับสารไอโอดีนจากอาหาร (ที่ไม่ใช่อาหารทะเล) น้อยลง ในขณะที่ความนิยมบริโภคอาหารสำเร็จรูปซึ่งจำนวนมากนำเข้าจากต่างประเทศ ก็เป็นอาหารที่เครื่องปรุงไม่ได้ผสมไอโอดีนเช่นกัน
ประเทศไทยซึ่งนับถือศาสนาส่งออก จึงควรคิดเรื่องนี้ไว้แต่เนิ่นๆ ด้วย เพราะหลังจากข้อเท็จจริงนี้ปรากฏในประเทศผู้นำเข้าผลิตภัณฑ์อาหารจากไทยสำนึกเกี่ยวกับเรื่องนี้เพิ่มขึ้น ก็คงมีกฎหมายที่บังคับให้ต้องผสมไอโอดีนในอาหารนำเข้าอยู่ดี ถึงตอนนั้นไทยก็จะตื่นตัวและหันมาออกกฎหมายบังคับให้เกลือที่ขายในประเทศต้องผสมไอโอดีน แต่กว่าจะได้ผลจนสามารถส่งออกได้อีก ก็ต้องเสียเวลาในการสักการบูชาศาสนาส่งออกไประยะหนึ่ง
นับเป็นเวลานานแล้วเช่นกัน ที่หน่วยงานบางแห่งของไทยได้พยายามผลักดันให้ออกกฎหมายบังคับให้ต้องผสมไอโอดีนลงในเกลือที่ขายในท้องตลาด รวมทั้งสร้างสมรรถนะในการตรวจสอบให้เป็นไปตามกฎหมาย แต่ความพยายามนี้ไม่เคยบังเกิดผลเลย
น่าอัศจรรย์ที่อนาคตของประเทศที่มีความสำคัญเช่นนี้ กลับถูกละเลยตลอดมา ทั้งๆ ที่เกลือไอโอดีนไม่ได้เพิ่มต้นทุนการผลิตอีกกี่มากน้อย ซ้ำกระบวนการยังทำได้ง่ายจนกระทั่งผู้ผลิตเกลือรายย่อยก็สามารถทำเองได้ (หรืออย่างน้อยก็ลงทุนร่วมกันในราคาที่ไม่แพงนัก)
ต้นทุนที่อาจเพิ่มขึ้นเล็กน้อยคือการผลิตเครื่องปรุงต่างๆ ซึ่งใช้ในครัวไทยเป็นอันมาก เช่น น้ำปลา การใช้เกลือไอโอดีนไม่ได้ทำให้ต้นทุนการผลิตเพิ่มมากขึ้นนักก็จริง แต่ผู้ผลิตเชื่อว่าเกลือไอโอดีนจะทำให้กลิ่นของเครื่องปรุงเปลี่ยนไป การลงทุนจึงไปอยู่ที่ต้องแต่งกลิ่นให้กลับมาเหมือนเดิม แม้กระนั้นทุนที่ต้องลงตรงนี้ก็คงไม่มากนัก ที่มากกว่าก็คือการโฆษณาเพื่อสร้างความเชื่อถือในหมู่ผู้บริโภค
แม้กระนั้น เมื่อดูโรงน้ำปลาซีอิ๊ว ในเมืองไทยแล้ว ก็ให้น่าสงสัยว่า การผลักดันล้มเหลวลงไม่น่าจะเป็นเพราะอิทธิพลทางการเมืองของนายทุนเจ้าของโรงน้ำปลา-ซีอิ๊ว เพราะคนเหล่านี้ไม่มีอิทธิพลทางการเมืองมากนัก (ผู้นำเข้าเครื่องปรุงจากต่างประเทศหรือซื้อสิทธิการผลิตเข้ามาผลิตเองในเมืองไทย แม้มีอิทธิพลทางการเมืองมากกว่า แต่ผลกำไรจากส่วนนี้ไม่สู้จะมากนักเมื่อเปรียบเทียบกับผลิตภัณฑ์นม หรือเครื่องดื่มอื่นๆ) ผลกำไรหลักน่าจะมาจากเครื่องดื่มชูกำลัง และเครื่องดื่มเสริมเกลือแร่ของนักกีฬา ซึ่งส่วนหนึ่งต้องผสมเกลือลงด้วย
เหตุใดความรู้ที่ใครๆ ก็รู้อยู่แล้วในเมืองไทยจึงเป็นหมัน แม้ว่าการไม่ใช้ความรู้ทำให้บ้านเมืองไร้อนาคต เพราะเรากำลังทำให้เกือบครึ่งของลูกหลานของเราไร้สติปัญญาที่จะเรียนรู้อะไรได้ ทั้งๆ ที่หนทางจะแก้ไขเรื่องนี้ทำได้ง่ายมาก คือการออกกฎหมายบังคับให้เกลือที่ผลิตหรือนำเข้าและจำหน่ายในประเทศไทย ต้องเป็นเกลือผสมไอโอดีนทั้งหมด
แต่การกระทำง่ายเพียงเท่านี้กลับไม่ประสบความสำเร็จ โดยที่แรงต่อต้านทางการเมืองไม่ได้มีมากเท่าไรนัก
ในระบบการเมืองซึ่งนโยบายระดับชาติมักไม่ได้เกิดจากการผลักดันในสังคม แต่เกิดขึ้นจากการผลักดันของหน่วยราชการ หรือการผลักดันของกลุ่มการเมืองท้องถิ่น นโยบายที่ไม่ให้ผลประโยชน์แก่ข้าราชการและนักการเมือง ไม่ว่าจะเป็นผลประโยชน์ทางอำนาจ, ทางธุรกิจ หรือทางคะแนนเสียงมักถูกละเลย แม้ว่านโยบายสาธารณะเช่นนั้นมีความสำคัญอย่างไรก็ตาม
การผลักดันของผู้ที่ห่วงใยต่อปัญหาที่เกิดขึ้น แม้ทำกันมาเป็นเวลานาน ก็อาจไม่บังเกิดผลเป็นพลังเพียงพอ ที่จะทำให้สังคมเคลื่อนไหวเพื่อผลักดันร่วมด้วย จนกระทั่งนักการเมืองต้องตอบสนองเพื่อหาเสียง โดยเฉพาะหากประเด็นที่ผลักดันนั้น เป็นเรื่องที่ไม่น่าตื่นเต้น เช่นภาวะขาดสารไอโอดีนดังที่กล่าวแล้วนี้ เพราะสื่อไม่สนใจนำเสนอต่อสังคม จึงไม่เป็นที่สนใจกว้างขวางนัก และพลังขับเคลื่อนสังคมก็ยิ่งน้อยลง
ความรู้ใดๆ ก็เป็นเพียงรู้ไว้ใช่ว่า ใส่บ่าแบกหาม ไม่มีผลต่อการปรับเปลี่ยนสังคมได้
เช่นเดียวกับความสำเร็จในการปฏิรูปใดๆ ก็ตาม ไม่ได้อยู่ที่จะผลักดันรัฐบาลชุดใดๆ รับภารกิจการปฏิรูปไปดำเนินการ แต่อยู่ที่ว่าจะสามารถสื่อสารกับสังคมได้มากน้อยและต่อเนื่องเพียงไร และอยู่ที่ว่าแนวทางการปฏิรูปนั้น จะมีพลังพอขับเคลื่อนให้สังคมร่วมเคลื่อนไหวเป็นพลังทางการเมืองได้หรือไม่
หากทำไม่สำเร็จ ไม่ว่าแนวทางการปฏิรูปจะดีวิเศษอย่างไร ก็จะเป็นความรู้ที่เป็นหมัน อย่างเดียวกับความรู้อีกมากที่เป็นหมันในสังคมไทยตลอดมา
เรื่องที่แก้ได้ง่ายๆ อย่างภาวะขาดสารไอโอดีนในหมู่ประชากร จึงเป็นตัวอย่างอันดีของการแก้ปัญหาด้วยความรู้ แต่ขาดพลังของสังคมหนุนหลัง
'สุเทพ' วางไมค์-ไม่วางมือ ปฏิบัติการ 'ลมใต้ปีก' ประชาธิปัตย์ 'ถ้าปฏิเสธสมัคร ส.ส.คงรู้สึกไม่จริงใจ ดัดจริต'
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
ชื่อ สุเทพ เทือกสุบรรณ กลายเป็นหนังหน้าไฟและสายล่อฟ้า
ในฐานะเลขาธิการพรรค เขาต้องเป็นผู้ประสานผลประโยชน์กับทุกฝ่ายทั้งใน-นอกพรรค
ในฐานะผู้จัดการรัฐบาล เขาต้องเป็นคนกลางกับทั้ง 7 พรรคร่วมรัฐบาล
ในฐานะนักการเมืองที่มีความฝัน ปั้น "อภิสิทธิ์" ให้เป็นนายกรัฐมนตรีให้ได้ เขาจึงเป็นทั้งลมใต้ปีก และเป็น "เงา" ที่มีแสงของ "อภิสิทธิ์" ทอดทับ
ในฐานะรองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง เขาเดินสายเจรจากับนายพลทุก เหล่าทัพ ตำรวจทั่วประเทศหลายหมื่นนาย อยู่ภายใต้การกำกับของเขา
ในฐานะปฏิบัติหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรี บางทีเขาลงนามในเอกสารว่า "รักษาการนายกรัฐมนตรี"
ที่ตึกบัญชาการ ทำเนียบรัฐบาล เขาเป็นรองนายกรัฐมนตรี หมายเลข 1 รหัส "สร.2" รองจากอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
เกือบ 2 ปี มีการปรับคณะรัฐมนตรี 5 ครั้ง แต่ชื่อ "สุเทพ" ยังอยู่ที่เดิมในฐานะศูนย์กลางขององคาพยพอำนาจใหม่
แต่ในคราว "อภิสิทธิ์ 6" ชื่อ "สุเทพ" จะกลายเป็นผู้รับสมัครเลือกตั้งซ่อม ส.ส.เขต 1 ที่ จ.สุราษฎร์ธานี
ด้วยเหตุผลเฉพาะหน้า 5 ข้อ อาทิ 1.ระยะเวลาหาเสียงจำกัดเพียง 30 วัน ต้องใช้คนระดับเอ่ยชื่อมีคนรู้จักทั้งจังหวัด ครอบคลุมเขตเลือกตั้ง
2.วาระของสภาผู้แทนฯเหลือเพียง 15 เดือน ต้องใช้ตัวแทนพรรคที่มีบารมีในพื้นที่ ทดแทนบารมี "ชุมพล กาญจนะ"
3.หากต้องใช้ผู้สมัครหน้าใหม่ อาจไม่มีความพร้อมทั้งกระแส กระสุน
4.การว่างเว้นจากตำแหน่ง ส.ส.ไปทำหน้าที่ฝ่ายบริหารในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา มี ส.ส.ในพรรค "อ้าง" ว่าขาดการประสานระหว่างสาขาพรรค
เหตุผลเหนือสิ่งอื่นใด คือ "มติพรรค" ที่เป็นเอกฉันท์ตามสไตล์พรรคประชาธิปัตย์ ที่มีแต่ต้องยอมรับด้วยข้อเสนอที่มิอาจปฏิเสธ
"สุเทพ" ปิดปาก-งดสัมภาษณ์ทั้ง หน้าไมค์-หลังไมค์ ในและนอกทำเนียบรัฐบาล จนกว่าจะถึงวันรับสมัครรับเลือกตั้ง เขาจะเปิดปากอีกครั้งวันที่ 9 ตุลาคม 2553 เพื่อปราศรัยหาเสียง
"ประชาชาติธุรกิจ" นำคำสัมภาษณ์-สนทนาพิเศษกับ "สุเทพ" ทั้งใน-นอก ชั่วโมงทำงาน หลายสถานที่ มาเรียบเรียง
เริ่มที่เรื่อง "สุเทพ" วิพากษ์พรรคตัวเอง และวิเคราะห์พรรคคู่แข่ง
เขาบอกว่า จุดแข็งของพรรค ประชาธิปัตย์ต่างไปจากพรรคของ "ทักษิณ ชินวัตร"
"พรรคนั้นอยู่ที่คุณทักษิณคนเดียว คิด ทำ และสั่งการคนเดียว แต่พรรคประชาธิปัตย์เป็นพรรคของทุกคน ทุกคนคิดผ่านกระบวนการมา หน้าที่ของผมคือ ทำอย่างไรให้พรรคคิดเร็วกว่านี้ ทำเร็วกว่านี้ ให้ใกล้เคียงกับที่คนเดียวคิด แต่ประสิทธิภาพ ความฉับไวและแม่นยำต้องมี"
ดังนั้นช่วงที่พรรคประชาธิปัตย์เป็นฝ่ายค้าน "สุเทพ" จึงเป็นคนต้นเรื่อง-ค้นคิดเรื่อง "สมัชชาประชาธิปัตย์"
"สมัชชาประชาชนครั้งนั้นเราจะใช้วิธีการที่เรียกว่า Appreciative Inquiry ที่แปลว่า กระบวนการสืบค้นพลังชื่นชม ชื่ออาจจะโรแมนติกนิดหน่อย เป็นวิธีการระดมความคิดเห็นที่จะนำพลังทางบวกด้านความคิดสร้างสรรค์มาหลอมรวมกัน มาสร้างความฝันแชร์กับคนอื่น ๆ"
หลักการกล่อมเกลาคนการเมือง "สุเทพ" ใช้กระบวนการแนว "ปฏิรูป-ปฏิวัติความคิด" ที่ "อ้างถึง" ป๋วย อึ๊งภากรณ์
"การจัดประชุมสมัชชาพรรค จะทำเหมือนครั้งหนึ่งที่อาจารย์ป๋วย อึ๊งภากรณ์ เขียนจดหมายถึงนายเข้ม เย็นยิ่ง หรือจอมพลถนอม กิตติขจร ว่าผมอยากเห็นประเทศไทยเป็นอย่างไร บอกมาเลยไม่มีการตีกรอบ"
เมื่อพรรคก้าวข้ามถนนราชดำเนินใน- ไปถึงทำเนียบรัฐบาล พรรคส่อแตก-ร้าว "สุเทพ" เป็นทั้งรอยร้าวและเป็นคนร่วมประสานให้แผลสมานสนิท
"ผมยืนยันว่าไม่มี เราหลอมรวมกันเป็นอันหนึ่งเดียวกัน และต้องหลอมรวมกับประชาชนด้วย นี่คือความคิดร่วมกันของ คนทั้งพรรค น่ามหัศจรรย์มาก" สุเทพ-บอกวัฒนธรรมพรรค
รัฐบาล "อภิสิทธิ์" ผ่าน "เส้นแดง" ผ่านความเสี่ยงเป็น-เสี่ยงตายหลายรอบ ในช่วง 2 ปี
แต่ทั้ง "อภิสิทธิ์-สุเทพ" ยังหล่อ-หลอมเป็นเนื้อเดียว
แม้มีเหตุปัจจัย-เงื่อนไขจากกลุ่มการเมืองภายในพรรค จะผลักให้ "สุเทพ" พ้นทาง "อภิสิทธิ์"
ด้วยการริบตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี หมายเลข 1 คืนชั่วคราว
ด้วยการริบงาน-เงิน และริบอำนาจ ในการครอบครองของ "สุเทพ" กลับสู่มือ "อภิสิทธิ์"
อย่างน้อยช่วงรณรงค์เลือกตั้งซ่อม 30 วัน คณะกรรมการระดับชาติที่ "สุเทพ" เคยนั่งเป็นประธานก็ต้องยุติ
อย่างน้อยตำแหน่งประธานคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) และตำแหน่งในศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ก็ต้องถูก ปล่อยมือจาก "สุเทพ"
และทันทีที่กรรมการบริหารพรรคมีมติเป็นเอกฉันท์ "สุเทพ" จึงประกาศ "วางมือ-วางไมค์" กลับไปสู่สามัญ
"คนเป็นนักการเมือง จุดเริ่มต้นคือ การเป็น ส.ส. ทำหน้าที่ในสภา ถ้าจะปฏิเสธการลงสมัคร ส.ส.คงรู้สึกว่าไม่จริงใจ ดัดจริต" สุเทพบอก
ข้อโต้-แย้งเสียดสีกระทบกระเทียบว่าเขาเคยเป็น ส.ส.แล้วลาออกไปรับตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี "สุเทพ" อธิบายใหม่-ด้วยข้อมูลเก่าว่า
"คนอาจจะลืมเร็วไป ผมลาออกเพราะคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ตัดสินว่ามีความผิดจากหุ้นที่ซื้อไว้ในปี 2536 โดยใช้กฎหมายที่ออกในปี 2550 ซึ่งผม ไม่เห็นด้วยจึงต้องลาออก แต่ถ้าไป เถียงกับ กกต.ก็ต้องไปสู้ในศาล ก็ไม่อยากไป"
แต่ภารกิจติดตัวของ "สุเทพ" ทั้งก่อน ลงรับสมัครเลือกตั้ง และหลังเลือกตั้งที่ยังคงต้องรับผิดชอบคือเรื่อง "สถาบัน" ในฐานะประธานคณะกรรมการฝ่ายพิธีงาน เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้า อยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 7 รอบ 5 ธ.ค. 2554
ยามเผชิญหน้าปัญหาการเมือง ภายใน-นอกพรรค "สุเทพ" ยึด พระราชดำรัสเป็นแนวทาง
"เวลาได้ยินพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ต้องใส่ใจไว้ตลอด คือ ที่พระองค์ท่านรับสั่งให้ทุกคนปฏิบัติหน้าที่เพื่อชาติบ้านเมือง รับผิดชอบอย่างเต็มที่ ผมจำใส่เกล้าฯไว้เสมอ และยึดเป็นแนวในการดำรงชีวิต ไม่มีอะไรที่เป็นอารมณ์ การเมืองก็มีธรรมชาติของการเมือง ดังนั้นต้องทำใจ"
แม้ยามถูกเสี้ยมจากฝ่ายตรงข้าม เรื่องความหมาง-เมิน กินใจกับ "อภิสิทธิ์" แต่ "สุเทพ" ไม่เคยหวั่นไหว ยังแสดงความรักอย่างไม่มีเงื่อนไข และปรารถนาดีกับ "อภิสิทธิ์" ทั้งต่อหน้า-ลับหลัง
"ผมมีความเชื่อมั่นว่า อภิสิทธิ์จะเป็นนายกรัฐมนตรีที่ดี และเขาเหมาะที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทยในขณะนี้ ดังนั้นผมจะต้องให้การสนับสนุนเขาทุกด้าน ทุกเรื่อง"
แม้ "ชวน" คือ "สัญลักษณ์" ความคิด "ฝ่ายนำ" ของพรรคประชาธิปัตย์ แม้พิมพ์นิยมทางการเมืองของ "อภิสิทธิ์" จะมีแต่ "ชวน หลีกภัย" คนเดียว
แม้ "อภิสิทธิ์" จำลองแบบ "สัญลักษณ์" ของ "ชวน" มาเป็นสไตล์ตัวเอง
แต่ทั้ง "ชวน" และ "อภิสิทธิ์" มีมิตรแท้-ตลอดกาลชื่อ "สุเทพ เทือกสุบรรณ" นักเลง-ลูกกำนันจากจังหวัดสุราษฎร์ธานี
เพราะในทุกวิกฤตการเมืองของ "ชวน" มี "สุเทพ" เคียงข้าง
ทุกวิกฤตการเมืองของ "อภิสิทธิ์" มี "สุเทพ" เคียงข้าง
"พรรคประชาธิปัตย์มีวัฒนธรรมทางการเมือง ทุกคนแสดงความคิดเห็นอย่างเสรี นี่คือประชาธิปไตย...นี่คือ ต้นแบบ ดังนั้นไม่ใช่เรื่องใครมาหักใคร"
สุดท้าย "สุเทพ" บอกว่า "ผมต้องพยายามชี้แจงให้พรรคร่วมรัฐบาลเข้าใจวัฒนธรรมแบบประชาธิปัตย์ และหากเป็นงานที่ง่ายเขาก็คงให้คนอื่นทำไปแล้ว เพราะเป็นงานที่ยากจึงเป็นงานที่เรา ต้องทำ"
และการเลือกตั้งซ่อมที่จังหวัดสุราษฎร ธานี คืออีก 1 งานยากที่พรรคประชาธิปัตย์มอบหมายให้เป็นภาระ-พันธะของ "สุเทพ เทือกสุบรรณ"
ชื่อ สุเทพ เทือกสุบรรณ กลายเป็นหนังหน้าไฟและสายล่อฟ้า
ในฐานะเลขาธิการพรรค เขาต้องเป็นผู้ประสานผลประโยชน์กับทุกฝ่ายทั้งใน-นอกพรรค
ในฐานะผู้จัดการรัฐบาล เขาต้องเป็นคนกลางกับทั้ง 7 พรรคร่วมรัฐบาล
ในฐานะนักการเมืองที่มีความฝัน ปั้น "อภิสิทธิ์" ให้เป็นนายกรัฐมนตรีให้ได้ เขาจึงเป็นทั้งลมใต้ปีก และเป็น "เงา" ที่มีแสงของ "อภิสิทธิ์" ทอดทับ
ในฐานะรองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง เขาเดินสายเจรจากับนายพลทุก เหล่าทัพ ตำรวจทั่วประเทศหลายหมื่นนาย อยู่ภายใต้การกำกับของเขา
ในฐานะปฏิบัติหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรี บางทีเขาลงนามในเอกสารว่า "รักษาการนายกรัฐมนตรี"
ที่ตึกบัญชาการ ทำเนียบรัฐบาล เขาเป็นรองนายกรัฐมนตรี หมายเลข 1 รหัส "สร.2" รองจากอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
เกือบ 2 ปี มีการปรับคณะรัฐมนตรี 5 ครั้ง แต่ชื่อ "สุเทพ" ยังอยู่ที่เดิมในฐานะศูนย์กลางขององคาพยพอำนาจใหม่
แต่ในคราว "อภิสิทธิ์ 6" ชื่อ "สุเทพ" จะกลายเป็นผู้รับสมัครเลือกตั้งซ่อม ส.ส.เขต 1 ที่ จ.สุราษฎร์ธานี
ด้วยเหตุผลเฉพาะหน้า 5 ข้อ อาทิ 1.ระยะเวลาหาเสียงจำกัดเพียง 30 วัน ต้องใช้คนระดับเอ่ยชื่อมีคนรู้จักทั้งจังหวัด ครอบคลุมเขตเลือกตั้ง
2.วาระของสภาผู้แทนฯเหลือเพียง 15 เดือน ต้องใช้ตัวแทนพรรคที่มีบารมีในพื้นที่ ทดแทนบารมี "ชุมพล กาญจนะ"
3.หากต้องใช้ผู้สมัครหน้าใหม่ อาจไม่มีความพร้อมทั้งกระแส กระสุน
4.การว่างเว้นจากตำแหน่ง ส.ส.ไปทำหน้าที่ฝ่ายบริหารในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา มี ส.ส.ในพรรค "อ้าง" ว่าขาดการประสานระหว่างสาขาพรรค
เหตุผลเหนือสิ่งอื่นใด คือ "มติพรรค" ที่เป็นเอกฉันท์ตามสไตล์พรรคประชาธิปัตย์ ที่มีแต่ต้องยอมรับด้วยข้อเสนอที่มิอาจปฏิเสธ
"สุเทพ" ปิดปาก-งดสัมภาษณ์ทั้ง หน้าไมค์-หลังไมค์ ในและนอกทำเนียบรัฐบาล จนกว่าจะถึงวันรับสมัครรับเลือกตั้ง เขาจะเปิดปากอีกครั้งวันที่ 9 ตุลาคม 2553 เพื่อปราศรัยหาเสียง
"ประชาชาติธุรกิจ" นำคำสัมภาษณ์-สนทนาพิเศษกับ "สุเทพ" ทั้งใน-นอก ชั่วโมงทำงาน หลายสถานที่ มาเรียบเรียง
เริ่มที่เรื่อง "สุเทพ" วิพากษ์พรรคตัวเอง และวิเคราะห์พรรคคู่แข่ง
เขาบอกว่า จุดแข็งของพรรค ประชาธิปัตย์ต่างไปจากพรรคของ "ทักษิณ ชินวัตร"
"พรรคนั้นอยู่ที่คุณทักษิณคนเดียว คิด ทำ และสั่งการคนเดียว แต่พรรคประชาธิปัตย์เป็นพรรคของทุกคน ทุกคนคิดผ่านกระบวนการมา หน้าที่ของผมคือ ทำอย่างไรให้พรรคคิดเร็วกว่านี้ ทำเร็วกว่านี้ ให้ใกล้เคียงกับที่คนเดียวคิด แต่ประสิทธิภาพ ความฉับไวและแม่นยำต้องมี"
ดังนั้นช่วงที่พรรคประชาธิปัตย์เป็นฝ่ายค้าน "สุเทพ" จึงเป็นคนต้นเรื่อง-ค้นคิดเรื่อง "สมัชชาประชาธิปัตย์"
"สมัชชาประชาชนครั้งนั้นเราจะใช้วิธีการที่เรียกว่า Appreciative Inquiry ที่แปลว่า กระบวนการสืบค้นพลังชื่นชม ชื่ออาจจะโรแมนติกนิดหน่อย เป็นวิธีการระดมความคิดเห็นที่จะนำพลังทางบวกด้านความคิดสร้างสรรค์มาหลอมรวมกัน มาสร้างความฝันแชร์กับคนอื่น ๆ"
หลักการกล่อมเกลาคนการเมือง "สุเทพ" ใช้กระบวนการแนว "ปฏิรูป-ปฏิวัติความคิด" ที่ "อ้างถึง" ป๋วย อึ๊งภากรณ์
"การจัดประชุมสมัชชาพรรค จะทำเหมือนครั้งหนึ่งที่อาจารย์ป๋วย อึ๊งภากรณ์ เขียนจดหมายถึงนายเข้ม เย็นยิ่ง หรือจอมพลถนอม กิตติขจร ว่าผมอยากเห็นประเทศไทยเป็นอย่างไร บอกมาเลยไม่มีการตีกรอบ"
เมื่อพรรคก้าวข้ามถนนราชดำเนินใน- ไปถึงทำเนียบรัฐบาล พรรคส่อแตก-ร้าว "สุเทพ" เป็นทั้งรอยร้าวและเป็นคนร่วมประสานให้แผลสมานสนิท
"ผมยืนยันว่าไม่มี เราหลอมรวมกันเป็นอันหนึ่งเดียวกัน และต้องหลอมรวมกับประชาชนด้วย นี่คือความคิดร่วมกันของ คนทั้งพรรค น่ามหัศจรรย์มาก" สุเทพ-บอกวัฒนธรรมพรรค
รัฐบาล "อภิสิทธิ์" ผ่าน "เส้นแดง" ผ่านความเสี่ยงเป็น-เสี่ยงตายหลายรอบ ในช่วง 2 ปี
แต่ทั้ง "อภิสิทธิ์-สุเทพ" ยังหล่อ-หลอมเป็นเนื้อเดียว
แม้มีเหตุปัจจัย-เงื่อนไขจากกลุ่มการเมืองภายในพรรค จะผลักให้ "สุเทพ" พ้นทาง "อภิสิทธิ์"
ด้วยการริบตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี หมายเลข 1 คืนชั่วคราว
ด้วยการริบงาน-เงิน และริบอำนาจ ในการครอบครองของ "สุเทพ" กลับสู่มือ "อภิสิทธิ์"
อย่างน้อยช่วงรณรงค์เลือกตั้งซ่อม 30 วัน คณะกรรมการระดับชาติที่ "สุเทพ" เคยนั่งเป็นประธานก็ต้องยุติ
อย่างน้อยตำแหน่งประธานคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) และตำแหน่งในศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ก็ต้องถูก ปล่อยมือจาก "สุเทพ"
และทันทีที่กรรมการบริหารพรรคมีมติเป็นเอกฉันท์ "สุเทพ" จึงประกาศ "วางมือ-วางไมค์" กลับไปสู่สามัญ
"คนเป็นนักการเมือง จุดเริ่มต้นคือ การเป็น ส.ส. ทำหน้าที่ในสภา ถ้าจะปฏิเสธการลงสมัคร ส.ส.คงรู้สึกว่าไม่จริงใจ ดัดจริต" สุเทพบอก
ข้อโต้-แย้งเสียดสีกระทบกระเทียบว่าเขาเคยเป็น ส.ส.แล้วลาออกไปรับตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี "สุเทพ" อธิบายใหม่-ด้วยข้อมูลเก่าว่า
"คนอาจจะลืมเร็วไป ผมลาออกเพราะคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ตัดสินว่ามีความผิดจากหุ้นที่ซื้อไว้ในปี 2536 โดยใช้กฎหมายที่ออกในปี 2550 ซึ่งผม ไม่เห็นด้วยจึงต้องลาออก แต่ถ้าไป เถียงกับ กกต.ก็ต้องไปสู้ในศาล ก็ไม่อยากไป"
แต่ภารกิจติดตัวของ "สุเทพ" ทั้งก่อน ลงรับสมัครเลือกตั้ง และหลังเลือกตั้งที่ยังคงต้องรับผิดชอบคือเรื่อง "สถาบัน" ในฐานะประธานคณะกรรมการฝ่ายพิธีงาน เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้า อยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 7 รอบ 5 ธ.ค. 2554
ยามเผชิญหน้าปัญหาการเมือง ภายใน-นอกพรรค "สุเทพ" ยึด พระราชดำรัสเป็นแนวทาง
"เวลาได้ยินพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ต้องใส่ใจไว้ตลอด คือ ที่พระองค์ท่านรับสั่งให้ทุกคนปฏิบัติหน้าที่เพื่อชาติบ้านเมือง รับผิดชอบอย่างเต็มที่ ผมจำใส่เกล้าฯไว้เสมอ และยึดเป็นแนวในการดำรงชีวิต ไม่มีอะไรที่เป็นอารมณ์ การเมืองก็มีธรรมชาติของการเมือง ดังนั้นต้องทำใจ"
แม้ยามถูกเสี้ยมจากฝ่ายตรงข้าม เรื่องความหมาง-เมิน กินใจกับ "อภิสิทธิ์" แต่ "สุเทพ" ไม่เคยหวั่นไหว ยังแสดงความรักอย่างไม่มีเงื่อนไข และปรารถนาดีกับ "อภิสิทธิ์" ทั้งต่อหน้า-ลับหลัง
"ผมมีความเชื่อมั่นว่า อภิสิทธิ์จะเป็นนายกรัฐมนตรีที่ดี และเขาเหมาะที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทยในขณะนี้ ดังนั้นผมจะต้องให้การสนับสนุนเขาทุกด้าน ทุกเรื่อง"
แม้ "ชวน" คือ "สัญลักษณ์" ความคิด "ฝ่ายนำ" ของพรรคประชาธิปัตย์ แม้พิมพ์นิยมทางการเมืองของ "อภิสิทธิ์" จะมีแต่ "ชวน หลีกภัย" คนเดียว
แม้ "อภิสิทธิ์" จำลองแบบ "สัญลักษณ์" ของ "ชวน" มาเป็นสไตล์ตัวเอง
แต่ทั้ง "ชวน" และ "อภิสิทธิ์" มีมิตรแท้-ตลอดกาลชื่อ "สุเทพ เทือกสุบรรณ" นักเลง-ลูกกำนันจากจังหวัดสุราษฎร์ธานี
เพราะในทุกวิกฤตการเมืองของ "ชวน" มี "สุเทพ" เคียงข้าง
ทุกวิกฤตการเมืองของ "อภิสิทธิ์" มี "สุเทพ" เคียงข้าง
"พรรคประชาธิปัตย์มีวัฒนธรรมทางการเมือง ทุกคนแสดงความคิดเห็นอย่างเสรี นี่คือประชาธิปไตย...นี่คือ ต้นแบบ ดังนั้นไม่ใช่เรื่องใครมาหักใคร"
สุดท้าย "สุเทพ" บอกว่า "ผมต้องพยายามชี้แจงให้พรรคร่วมรัฐบาลเข้าใจวัฒนธรรมแบบประชาธิปัตย์ และหากเป็นงานที่ง่ายเขาก็คงให้คนอื่นทำไปแล้ว เพราะเป็นงานที่ยากจึงเป็นงานที่เรา ต้องทำ"
และการเลือกตั้งซ่อมที่จังหวัดสุราษฎร ธานี คืออีก 1 งานยากที่พรรคประชาธิปัตย์มอบหมายให้เป็นภาระ-พันธะของ "สุเทพ เทือกสุบรรณ"
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)