โดย. หนังสือพิมพ์โลกวันนี้รายวัน
ไม่ว่าจะมีการสำรวจกี่ครั้งถึงเรื่องการเมืองและพฤติกรรมของนักการเมืองไทย ก็จะได้ผลออกมาไม่แตกต่างกัน คือประชาชนเบื่อหน่ายการเมืองและพฤติกรรมของนักการเมืองไทยที่ถูกมองว่ามีแนวโน้มในทางที่ไม่ดีมากกว่าดี โดยเฉพาะเรื่องการทุจริตคอร์รัปชัน จึงทำให้ทหารใช้เป็นเหตุผลในการทำรัฐประหารทุกครั้งตลอด 78 ปีที่ผ่านมา
อย่างล่าสุดศูนย์เครือข่ายวิชาการเพื่อสังเกตการณ์และวิจัยความสุขชุมชน หรือศูนย์วิจัยความสุขชุมชน มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ เปิดเผยผลวิจัยเรื่องแนวโน้มความสุขมวลรวม GDH ของคนไทยภายในประเทศประจำเดือนกันยายน 2553 กรณีศึกษาตัวอย่างประชาชนผู้พักอาศัยอยู่ใน 28 จังหวัดของประเทศ จำนวนทั้งสิ้น 5,059 คน พบว่าดัชนีความสุขของคนไทยภายในประเทศเดือนกันยายนปีนี้ “ลดต่ำลง” จากระดับความสุขที่เคยสำรวจในเดือนกรกฎาคม คือจาก 6.77 มาอยู่ที่ 6.57 จากคะแนนความสุขเต็ม 10 คะแนน แม้จะสูงกว่าช่วงเดียวกันของเมื่อปีที่แล้วก็ตาม
ที่น่าเป็นห่วงคือ สถานการณ์การเมือง ความไม่เป็นธรรมทางสังคม สภาวะเศรษฐกิจของประเทศ และภาพลักษณ์ของประเทศไทย ที่เป็นปัจจัยสำคัญให้ระดับความสุขมวลรวมของประชาชนภายในประเทศลดต่ำลง โดยเฉพาะประชาชนในกรุงเทพฯที่มีค่าคะแนนความสุขระดับที่ “น่าเป็นห่วงมากที่สุด” เพราะต่ำกว่าทุกภาค
ขณะที่การสัมภาษณ์เจาะลึกเชิงคุณภาพกับคนกรุงเทพฯ ส่วนใหญ่ระบุว่า นักการเมืองมีแต่เรื่องวุ่นวาย น่าเบื่อหน่าย มองหานักการเมือดีๆได้ยาก มีแต่ทุจริตคอร์รัปชัน แก่งแย่งผลประโยชน์และอำนาจ ไม่มีใครจริงใจจริงจังเพื่อบ้านเมือง พูดเอาดีใส่ตัว เอาชั่วใส่ผู้อื่น ความวุ่นวายจึงไม่จบสิ้น
ส่วนเรื่องแผนปรองดองที่ฝ่ายการเมืองต่างก็ชูมาหาเสียงนั้น ถูกประชาชนย้อนกลับว่า แม้แต่นักการเมืองยังปรองดองกันไม่ได้เลย แล้วจะให้ประชาชนปรองดองกันได้อย่างไร ซึ่งไม่มีประชาชนคนใดที่ไม่ต้องการให้เกิดความปรองดอง เพราะประชาชนทุกคนต้องการมีความสุข ไม่ใช่ดีแต่พูด หรือเป็นพวกกะล่อนลิ้นทอง โกหกตอแหล
ประชาชนส่วนใหญ่จึงไม่เชื่อเรื่องนิรโทษกรรมว่านักการเมืองจะมีความจริงใจทำเพื่อประชาชน ทั้งที่ประชาชนส่วนใหญ่ต้องการเห็นความสามัคคีปรองดองและให้อภัยกัน
แต่ประชาชนอีกส่วนหนึ่งก็ต้องการให้ว่ากันไปตามครรลองของกฎหมายบ้านเมือง ใครทำผิดก็ว่าไปตามผิด ใครถูกต้องก็ให้เป็นไปตามกฎหมายบ้านเมือง ไม่เช่นนั้นความขัดแย้งก็ไม่จบหรือจะกลับมาทะเลาะกันใหม่
โดยเฉพาะเหตุกาณณ์ “เมษา-พฤษภาอำมหิต” ที่มีผู้เสียชีวิตถึง 91 ศพ และบาดเจ็บพิการเกือบ 2,000 คนนั้น ประชาชนคนไทยทั้งประเทศต้องถามตัวเอง ถามรัฐบาล และคนในกองทัพเช่นกันว่า ถ้าจะให้ทุกอย่างผ่านไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยนั้น สังคมไทยจะสงบและดำรงอยู่ได้อย่างมีความสุขจริงหรือ
**********************************************************************
วันอังคารที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2553
เดิมพัน..ใจนักเลง!
นายกรัฐมนตรี ถือเป็นตำแหน่งอันทรงเกียรติเพราะถือเป็นประมุขฝ่ายบริหารแต่ในห้วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาดูเหมือนประเทศไทยจะใช้นายกรัฐมนตรีเปลืองเป็นพิเศษอันเป็นที่มาแห่งเสียงวิพากษ์ว่า“นายกฯ ประเทศไทยใครก็เป็นได้”
นั่นคงจะเป็นเพราะการก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดบนชีวิต การเมืองอย่างคาดไม่ถึงของ “สมัคร สุนทรเวช” อดีตนายกฯ ผู้ล่วงลับ “สมชาย วงศ์สวัสดิ์” ผู้นำส้มหล่น หรือแม้กระทั่ง “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” เองที่หลายฝ่ายเคยปรามาสไว้ว่า “เร็วเกินไปสำหรับการขึ้นดำรงตำแหน่งนายกฯ”
เมื่อใช้อะไหล่ตัวใดก็ได้ ส่งผลให้เก้าอี้นายกฯ ของไทยคลายความขลังลงไปทุกขณะจิต ประจวบเหมาะ กับสายป่านของ “รัฐบาลเทพประทาน” ดำเนินเข้า มาจวบจนจะถึงปลายทาง ชื่อของนายกฯ ภายใต้เงื่อนไข “ใครก็เป็นได้” จึงพรั่งพรูออกสู่โสตประสาท ของประชาชน จนกลายเป็นอาการกระเหี้ยนกระหือรือ ของนักเลือกตั้งผู้ลุ่มหลงอำนาจไปโดยอัตโนมัติ โดยที่ไม่มีใครทราบว่า ชื่อที่ถูกพาดพิงคิดเห็นเป็นประการใด
“พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์” เดินสายปรองดอง สังคมก็มองว่าเป็นการเดินเกมกั๊กเก้าอี้นายกฯ คนกลาง “เนวิน ชิดชอบ” เดินลุยไฟฝ่าดงบาทาล่าชื่อนิรโทษกรรม สังคมก็มองว่าปลุกผี “สมคิด จาตุศรีพิทักษ์” ขึ้นมาเป็นนายกฯ ฝ่าวิกฤติ
ในระยะเผาขน “สุเทพ เทือกสุบรรณ” ทิ้งเก้าอี้รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง โดดลงสนามเลือกตั้งซ่อมเมืองสุราษฎร์ธานี สังคมก็มองว่า “เทพเทือก” กระชับพื้นที่ภายในพรรครอเสียบแทน “นายกฯ อภิสิทธิ์” หากพรรคประชาธิปัตย์ต้องประสบอุบัติเหตุจากคดียุบพรรค 2 ใน 3 คนที่ระบุถึง แม้จะมีการออกมาเคลียร์ ตัวเองต่อสาธารณชน แต่ก็ยังไม่มีน้ำหนักเพียงพอที่จะทำให้บรรดาคอการเมืองปักใจเชื่อแต่หากพิเคราะห์อย่างสังเคราะห์ โดยลบชุดความคิดที่ว่า “นักการเมืองชั่วทั้งหมด” ออกจากสมอง และเข้าให้ถึงตัวตนที่แท้จริงของ “เสธ.หนั่น” จะพบว่าสิ่งที่นักการเมืองผู้นี้ระบุ “ในสมองไม่เคยคิดเรื่องเหล่านี้ เพราะอายุใกล้ 76 ปี แล้ว” มันก็น่าจะเพียงพอที่จะทำให้เชื่อได้ว่า “แผนปรองดองฉบับชาละวัน” ไม่ได้ล้ำลึกถึงขั้นแผนจองกฐินเก้าอี้ “นายกฯ คนกลาง”
เสียงวิพากษ์ในลักษณะเดียวกันที่ดังขึ้นมาจาก การเคลื่อนของ “เทพเทือก” และดูเหมือนว่าจะกระหึ่มดังยิ่งเสียกว่า การเคลื่อนของ “เสธ.หนั่น” ซะอีก เพราะด้วยชัยภูมิที่ยืน บวกรวมกับสถานะอันสุ่มเสี่ยงของพรรคประชาธิปัตย์ มันย่อมทำให้น่าเชื่อได้ว่า นี่ไม่ต่างจากแผนวางตัว “นายกฯ สำรอง”
กระนั้น ในเสียงวิพากษ์แห่งวิพากษ์ และครุ่นคิด ในสมมติฐานเดียวกันกับ “เสธ.หนั่น” ย่อมพบว่า ด้วยสภาพที่แผลเหวอะหวะเต็มตัว และด้วยอุปนิสัยใจนักเลงปักษ์ใต้ของ “เทพเทือก” หากไม่มีอคติ เหตุและผลที่เกิดจากเสียงวิพากษ์ มันล้วนดูขัดแย้งกับสิ่งที่สังคมกำลังจับจ้องนักการเมืองผู้นี้
และยิ่งหากมองลงไปให้ลึกในเงื่อนไขที่กำลังเกิดขึ้นกับ “เทพเทือก” โดยเฉพาะความสัมพันธ์ภาย ในพรรคที่ยิ่งดูห่างเหินและห่างไกลจาก “นายหัวชวน หลีกภัย” มากและมากขึ้นทุกวัน
การตัดสินใจโยนเสื้อคลุมรองนายกฯ และเปลี่ยนมาเป็นราษฎรเต็มขั้น มันย่อมไม่มีอะไรรับประกันได้เลยว่า เขาจะได้รีเทิร์นกลับมานั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวเก่า ยิ่งจังหวะการขยับของ “บัญญัติ บรรทัดฐาน” ที่ประกาศพร้อมเสียบตำแหน่งรองนายกฯ อย่างเปิดเผย มันย่อมสะท้อนให้เห็นเกมการเมืองภายในประชาธิปัตย์ได้อย่างถนัดถนี่ลูกตาเสียนี่กระไร
และนั่นคือมุมมองที่ต้องยอมรับโดยดุษณีว่า นี่ แหละคือการเมืองฉบับประชาธิปัตย์ตัวจริง!!!แต่ถ้าหากคิดในสมมติฐานเดียวกันในความเป็น การเมืองฉบับประชาธิปัตย์ บนตรรกะ “ยามศึกเรารบ ยามสงบเราฟัดกันเอง” และยึดโยงไปผูกติดกับสถานการณ์อันสุ่มเสี่ยงจากคดียุบพรรค มันย่อมน่าเชื่อเหลือเกินว่า การทิ้งเก้าอี้ของ “เทพเทือก” หรือแม้กระทั่ง กรณีการเสียบของ “น้าหยัด” รวมไปถึงวลี “หวัดนกถล่มประชาธิปัตย์” ของ “นายหัวชวน” มันย่อมมีอะไรแยบคายไปกว่า มิติแห่ง “นายกฯ สำรอง” ที่กำลังดำเนินอยู่
สมมติว่า การลาออกของ “เทพเทือก” เพื่อเปิดทางให้มีการปรับ ครม. ตัดหาง “ภูมิใจไทย” และเสริมหล่อสร้างภาพสีขาวให้ประชาธิปัตย์ ก่อนประกาศ ยุบสภา การสลับให้คู่กัดอย่าง “น้าหยัด” มานั่งเสียบ แทนในเก้าอี้รองนายกฯ มันย่อมดูประนีประนอมกว่า ใช่หรือไม่???
สมมติว่า คิวเดินทางไปต่างประเทศถึง 3 ไฟลต์ติดๆ ในระยะเวลาอันใกล้ อุบัติอาถรรพ์เดือนตุลาฯ การให้ “น้าหยัด” ที่ไม่ค่อยอี๋อ๋อกับกองทัพสักเท่าไร มาปฏิบัติหน้าที่รักษาการนายกฯ ก่อนประกาศยุบสภา ในกรณีฉุกเฉิน อาถรรพ์ดังกล่าวจะมีสิทธิ์เฮี้ยนขึ้นมา อีกครั้งใช่หรือไม่???
สมมติว่า ศาลรัฐธรรมนูญไม่ยุบพรรคหรือยุบพรรค แต่เผอิญมีการชี้ผิดชี้ถูกในลักษณะต่างกรรม ต่างวาระ และไม่เข้าข่ายเดียวกันกับพรรคที่โกงเลือกตั้งและถูกยุบไปก่อนหน้านี้ เหล้าเก่าในขวดใหม่แห่งพระแม่ธรณีบีบมวยผม จะยังจำเป็นต้องใช้ “นายกฯ สำรอง” อีกต่อไปใช่หรือไม่???
ที่สำคัญ ต้องไม่ลืมว่า ในอดีตแม้ “เทพเทือก” จะสนิทสนมกับ “อดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร” สักปานใด แต่ก็ไม่เคยมีสักครั้งที่บุรุษผู้นี้ คิดจะเอาใจออก ห่างสถาบันการเมืองที่ปลุกปั้นเขาขึ้นมา และด้วยเหตุฉะนี้ ลำพังเพียงความสัมพันธ์ระดับกิ๊กครั้งใหม่ที่ เกิดกับ “เนวิน ชิดชอบ” มันจะทำให้ “เทพเทือก” เปลี่ยนใจได้กระนั้นหรือ
การเมือง “ไม่มีมิตรแท้ ไม่มีศัตรูถาวร” ก็จริง แต่สิ่งหนึ่งที่ต้องไม่ลืมเช่นกันว่า คนอย่าง “สุเทพ เทือกสุบรรณ” แม้จะดีจะชั่วมาร้อยเอ็ดเจ็ดย่านสมุทร แต่อดีตกำนันผู้นี้ก็ไม่เคยทิ้งดีเอ็นเอสายพันธุ์นักการเมืองใจนักเลงตัวจริง!!!
ที่มา.สยามธุรกิจ
นั่นคงจะเป็นเพราะการก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดบนชีวิต การเมืองอย่างคาดไม่ถึงของ “สมัคร สุนทรเวช” อดีตนายกฯ ผู้ล่วงลับ “สมชาย วงศ์สวัสดิ์” ผู้นำส้มหล่น หรือแม้กระทั่ง “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” เองที่หลายฝ่ายเคยปรามาสไว้ว่า “เร็วเกินไปสำหรับการขึ้นดำรงตำแหน่งนายกฯ”
เมื่อใช้อะไหล่ตัวใดก็ได้ ส่งผลให้เก้าอี้นายกฯ ของไทยคลายความขลังลงไปทุกขณะจิต ประจวบเหมาะ กับสายป่านของ “รัฐบาลเทพประทาน” ดำเนินเข้า มาจวบจนจะถึงปลายทาง ชื่อของนายกฯ ภายใต้เงื่อนไข “ใครก็เป็นได้” จึงพรั่งพรูออกสู่โสตประสาท ของประชาชน จนกลายเป็นอาการกระเหี้ยนกระหือรือ ของนักเลือกตั้งผู้ลุ่มหลงอำนาจไปโดยอัตโนมัติ โดยที่ไม่มีใครทราบว่า ชื่อที่ถูกพาดพิงคิดเห็นเป็นประการใด
“พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์” เดินสายปรองดอง สังคมก็มองว่าเป็นการเดินเกมกั๊กเก้าอี้นายกฯ คนกลาง “เนวิน ชิดชอบ” เดินลุยไฟฝ่าดงบาทาล่าชื่อนิรโทษกรรม สังคมก็มองว่าปลุกผี “สมคิด จาตุศรีพิทักษ์” ขึ้นมาเป็นนายกฯ ฝ่าวิกฤติ
ในระยะเผาขน “สุเทพ เทือกสุบรรณ” ทิ้งเก้าอี้รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง โดดลงสนามเลือกตั้งซ่อมเมืองสุราษฎร์ธานี สังคมก็มองว่า “เทพเทือก” กระชับพื้นที่ภายในพรรครอเสียบแทน “นายกฯ อภิสิทธิ์” หากพรรคประชาธิปัตย์ต้องประสบอุบัติเหตุจากคดียุบพรรค 2 ใน 3 คนที่ระบุถึง แม้จะมีการออกมาเคลียร์ ตัวเองต่อสาธารณชน แต่ก็ยังไม่มีน้ำหนักเพียงพอที่จะทำให้บรรดาคอการเมืองปักใจเชื่อแต่หากพิเคราะห์อย่างสังเคราะห์ โดยลบชุดความคิดที่ว่า “นักการเมืองชั่วทั้งหมด” ออกจากสมอง และเข้าให้ถึงตัวตนที่แท้จริงของ “เสธ.หนั่น” จะพบว่าสิ่งที่นักการเมืองผู้นี้ระบุ “ในสมองไม่เคยคิดเรื่องเหล่านี้ เพราะอายุใกล้ 76 ปี แล้ว” มันก็น่าจะเพียงพอที่จะทำให้เชื่อได้ว่า “แผนปรองดองฉบับชาละวัน” ไม่ได้ล้ำลึกถึงขั้นแผนจองกฐินเก้าอี้ “นายกฯ คนกลาง”
เสียงวิพากษ์ในลักษณะเดียวกันที่ดังขึ้นมาจาก การเคลื่อนของ “เทพเทือก” และดูเหมือนว่าจะกระหึ่มดังยิ่งเสียกว่า การเคลื่อนของ “เสธ.หนั่น” ซะอีก เพราะด้วยชัยภูมิที่ยืน บวกรวมกับสถานะอันสุ่มเสี่ยงของพรรคประชาธิปัตย์ มันย่อมทำให้น่าเชื่อได้ว่า นี่ไม่ต่างจากแผนวางตัว “นายกฯ สำรอง”
กระนั้น ในเสียงวิพากษ์แห่งวิพากษ์ และครุ่นคิด ในสมมติฐานเดียวกันกับ “เสธ.หนั่น” ย่อมพบว่า ด้วยสภาพที่แผลเหวอะหวะเต็มตัว และด้วยอุปนิสัยใจนักเลงปักษ์ใต้ของ “เทพเทือก” หากไม่มีอคติ เหตุและผลที่เกิดจากเสียงวิพากษ์ มันล้วนดูขัดแย้งกับสิ่งที่สังคมกำลังจับจ้องนักการเมืองผู้นี้
และยิ่งหากมองลงไปให้ลึกในเงื่อนไขที่กำลังเกิดขึ้นกับ “เทพเทือก” โดยเฉพาะความสัมพันธ์ภาย ในพรรคที่ยิ่งดูห่างเหินและห่างไกลจาก “นายหัวชวน หลีกภัย” มากและมากขึ้นทุกวัน
การตัดสินใจโยนเสื้อคลุมรองนายกฯ และเปลี่ยนมาเป็นราษฎรเต็มขั้น มันย่อมไม่มีอะไรรับประกันได้เลยว่า เขาจะได้รีเทิร์นกลับมานั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวเก่า ยิ่งจังหวะการขยับของ “บัญญัติ บรรทัดฐาน” ที่ประกาศพร้อมเสียบตำแหน่งรองนายกฯ อย่างเปิดเผย มันย่อมสะท้อนให้เห็นเกมการเมืองภายในประชาธิปัตย์ได้อย่างถนัดถนี่ลูกตาเสียนี่กระไร
และนั่นคือมุมมองที่ต้องยอมรับโดยดุษณีว่า นี่ แหละคือการเมืองฉบับประชาธิปัตย์ตัวจริง!!!แต่ถ้าหากคิดในสมมติฐานเดียวกันในความเป็น การเมืองฉบับประชาธิปัตย์ บนตรรกะ “ยามศึกเรารบ ยามสงบเราฟัดกันเอง” และยึดโยงไปผูกติดกับสถานการณ์อันสุ่มเสี่ยงจากคดียุบพรรค มันย่อมน่าเชื่อเหลือเกินว่า การทิ้งเก้าอี้ของ “เทพเทือก” หรือแม้กระทั่ง กรณีการเสียบของ “น้าหยัด” รวมไปถึงวลี “หวัดนกถล่มประชาธิปัตย์” ของ “นายหัวชวน” มันย่อมมีอะไรแยบคายไปกว่า มิติแห่ง “นายกฯ สำรอง” ที่กำลังดำเนินอยู่
สมมติว่า การลาออกของ “เทพเทือก” เพื่อเปิดทางให้มีการปรับ ครม. ตัดหาง “ภูมิใจไทย” และเสริมหล่อสร้างภาพสีขาวให้ประชาธิปัตย์ ก่อนประกาศ ยุบสภา การสลับให้คู่กัดอย่าง “น้าหยัด” มานั่งเสียบ แทนในเก้าอี้รองนายกฯ มันย่อมดูประนีประนอมกว่า ใช่หรือไม่???
สมมติว่า คิวเดินทางไปต่างประเทศถึง 3 ไฟลต์ติดๆ ในระยะเวลาอันใกล้ อุบัติอาถรรพ์เดือนตุลาฯ การให้ “น้าหยัด” ที่ไม่ค่อยอี๋อ๋อกับกองทัพสักเท่าไร มาปฏิบัติหน้าที่รักษาการนายกฯ ก่อนประกาศยุบสภา ในกรณีฉุกเฉิน อาถรรพ์ดังกล่าวจะมีสิทธิ์เฮี้ยนขึ้นมา อีกครั้งใช่หรือไม่???
สมมติว่า ศาลรัฐธรรมนูญไม่ยุบพรรคหรือยุบพรรค แต่เผอิญมีการชี้ผิดชี้ถูกในลักษณะต่างกรรม ต่างวาระ และไม่เข้าข่ายเดียวกันกับพรรคที่โกงเลือกตั้งและถูกยุบไปก่อนหน้านี้ เหล้าเก่าในขวดใหม่แห่งพระแม่ธรณีบีบมวยผม จะยังจำเป็นต้องใช้ “นายกฯ สำรอง” อีกต่อไปใช่หรือไม่???
ที่สำคัญ ต้องไม่ลืมว่า ในอดีตแม้ “เทพเทือก” จะสนิทสนมกับ “อดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร” สักปานใด แต่ก็ไม่เคยมีสักครั้งที่บุรุษผู้นี้ คิดจะเอาใจออก ห่างสถาบันการเมืองที่ปลุกปั้นเขาขึ้นมา และด้วยเหตุฉะนี้ ลำพังเพียงความสัมพันธ์ระดับกิ๊กครั้งใหม่ที่ เกิดกับ “เนวิน ชิดชอบ” มันจะทำให้ “เทพเทือก” เปลี่ยนใจได้กระนั้นหรือ
การเมือง “ไม่มีมิตรแท้ ไม่มีศัตรูถาวร” ก็จริง แต่สิ่งหนึ่งที่ต้องไม่ลืมเช่นกันว่า คนอย่าง “สุเทพ เทือกสุบรรณ” แม้จะดีจะชั่วมาร้อยเอ็ดเจ็ดย่านสมุทร แต่อดีตกำนันผู้นี้ก็ไม่เคยทิ้งดีเอ็นเอสายพันธุ์นักการเมืองใจนักเลงตัวจริง!!!
ที่มา.สยามธุรกิจ
มองการณ์ไกล..
เห็นข่าว “ธนาคารแห่งประเทศไทย” หรือ ธปท. หรือ “แบงก์ชาติ” โดยฝีมือของ “ธาริษา วัฒนเกส” ผู้ว่าฯ ที่ออก โรงหารือถึงเรื่อง “การปรับโครงสร้างค่าธรรมเนียมการให้ บริการทางการเงินผ่านเครื่องเอทีเอ็ม” หรือที่นิยามกันว่า “ค่าต๋ง”
ซึ่ง “ธาริษา” ได้ร่วมถกหาทางออกกับสมาคมธนาคารไทย ก่อนจะลาตำแหน่ง จนเป็นที่มาของการยอมลดค่าธรรมเนียมการโอนเงิน...ตามสัดส่วนที่แตกต่างกันไป แต่กว่าจะเริ่มก็ต้อง โน่น “ปีหน้า”
งานนี้ไม่รู้ว่า “ธาริษา” ความรู้สึกช้า...เพิ่งจะเห็นวิธีเอารัดเอาเปรียบ และเริ่มแก้ปัญหา...ก่อนตัวเองเกษียณ...ทั้งๆ ที่ เรื่องแบบนี้ คนที่คลุกอยู่ในธุรกิจการเงิน ต่างรู้กันดีว่า คือหนทาง “ทำรายได้” เป็นกอบเป็นกำ...ของพวกเสือนอนกิน!!! แต่ทำช้าก็ยัง ดีกว่า “ไม่ทำ”
และอย่างน้อยก็เป็นการตอกย้ำให้เห็นถึง “นายทุนศักดินา” ที่ครอบงำเศรษฐกิจไทย...และคิดแต่เอารัดเอาเปรียบสังคม และประชาชน...โดยอ้างเรื่อง “การแข่งขันทางการค้าอย่างเสรี”
เห็นชัดเจนสุดคือ “นายทุนศักดินาภาคธนาคาร” นี่แหละ... คือตัวดี ที่ทำลายระบบเศรษฐกิจมาอย่างยาวนาน ในอดีตที่ผ่านมา หากมี “ตระกูลใด” ทำผิดพลาด...รัฐบาลก็ต้องเข้าไปโอบอุ้ม...ทั้งๆ ที่ “ตระกูลเหล่านั้น” ก็ร่ำรวยมาได้ ด้วยวิธีการ “เสือนอนกิน” และมีวิธีบริหารจัดการที่ใช้ไม่ได้ หรือไม่ได้เรื่องต่างหาก แล้วทำไมต้องเข้าไปโอบอุ้ม ด้วยคำอ้าง...“เพราะไม่ต้องการให้กระทบเศรษฐกิจ โดยรวม” ซึ่งเป็นข้ออ้างที่เห็นแก่ตัวอย่างยิ่ง
เหมือนกับ “นายทุนศักดินาภาคที่ดิน” ที่เอารัดเอาเปรียบชาวบ้าน จนได้ที่ดินมากมาย มีทั้งบุกรุกป่าสงวนแห่งชาติ สร้างรีสอร์ต เพื่อความร่ำรวยให้ตระกูลตัวเอง แต่พอเกิดปัญหาตรวจสอบ ก็จะใช้ “มวลชน” ที่ตัวเองเลี้ยงไว้มากดดัน รวมถึงคัดค้านการจัดเก็บภาษี ที่ดิน เพราะถ้าเกิดขึ้นได้จริงๆ “นายทุนศักดินาภาคที่ดิน” ก็จะเสียเปรียบ
งานนี้เป็นอีกหนึ่งบทพิสูจน์คนหนุ่มรุ่นใหม่ ทั้ง “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” นายกรัฐมนตรี และ “กรณ์ จาติกวณิช” รมว.คลัง มี “น้ำยา” ว่าจะ “กล้าเข้าไปแตะของร้อน” อย่างเต็มรูปแบบและจัดการให้มีประสิทธิภาพหรือไม่
เพราะเศรษฐกิจจะดีได้ “รัฐ” ต้องเป็นฝ่ายเข้าไปกำหนดเกม กำหนดกติกา กำหนดเงื่อนไข เพื่อความเสมอภาคแก่ทุกฝ่าย ไม่ใช่ปล่อยให้เกิดความร่ำรวยเพียง “ไม่กี่ตระกูล” และเวลาคิดจะทำอะไร ก็จะมีการอ้างสารพัด รวมถึงการล็อบบี้ใต้ดิน... ไม่เช่นนั้นจะไม่สนับสนุน???...ให้เติบโตทางการเมือง
“เหลือบนายทุนศักดินา”...เหล่านี้ ดูไปแล้ว ก็ไม่ต่างจาก “เหลือบข้าราชการนักการเมือง” ที่จ้องแทะ จ้องเกาะกิน จ้องผลาญงบประมาณชาติ แบบเมามันส์ ทั้งการโกงกินคอร์รัปชั่น ในสารพัดอภิมหาโปรเจกต์ทั้งหลาย
แต่ที่น่าอดสูก็คือ การเดินทางไปดูงานต่างประเทศ ที่ร้อย ทั้งร้อยจะอ้างเรื่อง “งาน” เพื่อจะนำกลับมาใช้พัฒนา แต่ “คนไม่โง่” ต่างก็รู้ดีว่า คือการไปเที่ยว ไปหาความสุขส่วนตัวแบบร้อยแปด ทั้งเรื่องผู้หญิงและการพนัน จะมีน้อยรายน้อยคณะ มาก...ที่เดินทางไปแล้ว กลับนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์แบบเต็มเม็ดเต็มหน่วย
เห็นอย่างนี้แล้ว....อยากมีส่วนร่วมกำจัดเหลือบกากเดน เหล่านี้ ไม่ให้เป็นตัวถ่วงความเจริญของประเทศ...จริงๆ
ที่มา.สยามธุรกิจ
ซึ่ง “ธาริษา” ได้ร่วมถกหาทางออกกับสมาคมธนาคารไทย ก่อนจะลาตำแหน่ง จนเป็นที่มาของการยอมลดค่าธรรมเนียมการโอนเงิน...ตามสัดส่วนที่แตกต่างกันไป แต่กว่าจะเริ่มก็ต้อง โน่น “ปีหน้า”
งานนี้ไม่รู้ว่า “ธาริษา” ความรู้สึกช้า...เพิ่งจะเห็นวิธีเอารัดเอาเปรียบ และเริ่มแก้ปัญหา...ก่อนตัวเองเกษียณ...ทั้งๆ ที่ เรื่องแบบนี้ คนที่คลุกอยู่ในธุรกิจการเงิน ต่างรู้กันดีว่า คือหนทาง “ทำรายได้” เป็นกอบเป็นกำ...ของพวกเสือนอนกิน!!! แต่ทำช้าก็ยัง ดีกว่า “ไม่ทำ”
และอย่างน้อยก็เป็นการตอกย้ำให้เห็นถึง “นายทุนศักดินา” ที่ครอบงำเศรษฐกิจไทย...และคิดแต่เอารัดเอาเปรียบสังคม และประชาชน...โดยอ้างเรื่อง “การแข่งขันทางการค้าอย่างเสรี”
เห็นชัดเจนสุดคือ “นายทุนศักดินาภาคธนาคาร” นี่แหละ... คือตัวดี ที่ทำลายระบบเศรษฐกิจมาอย่างยาวนาน ในอดีตที่ผ่านมา หากมี “ตระกูลใด” ทำผิดพลาด...รัฐบาลก็ต้องเข้าไปโอบอุ้ม...ทั้งๆ ที่ “ตระกูลเหล่านั้น” ก็ร่ำรวยมาได้ ด้วยวิธีการ “เสือนอนกิน” และมีวิธีบริหารจัดการที่ใช้ไม่ได้ หรือไม่ได้เรื่องต่างหาก แล้วทำไมต้องเข้าไปโอบอุ้ม ด้วยคำอ้าง...“เพราะไม่ต้องการให้กระทบเศรษฐกิจ โดยรวม” ซึ่งเป็นข้ออ้างที่เห็นแก่ตัวอย่างยิ่ง
เหมือนกับ “นายทุนศักดินาภาคที่ดิน” ที่เอารัดเอาเปรียบชาวบ้าน จนได้ที่ดินมากมาย มีทั้งบุกรุกป่าสงวนแห่งชาติ สร้างรีสอร์ต เพื่อความร่ำรวยให้ตระกูลตัวเอง แต่พอเกิดปัญหาตรวจสอบ ก็จะใช้ “มวลชน” ที่ตัวเองเลี้ยงไว้มากดดัน รวมถึงคัดค้านการจัดเก็บภาษี ที่ดิน เพราะถ้าเกิดขึ้นได้จริงๆ “นายทุนศักดินาภาคที่ดิน” ก็จะเสียเปรียบ
งานนี้เป็นอีกหนึ่งบทพิสูจน์คนหนุ่มรุ่นใหม่ ทั้ง “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” นายกรัฐมนตรี และ “กรณ์ จาติกวณิช” รมว.คลัง มี “น้ำยา” ว่าจะ “กล้าเข้าไปแตะของร้อน” อย่างเต็มรูปแบบและจัดการให้มีประสิทธิภาพหรือไม่
เพราะเศรษฐกิจจะดีได้ “รัฐ” ต้องเป็นฝ่ายเข้าไปกำหนดเกม กำหนดกติกา กำหนดเงื่อนไข เพื่อความเสมอภาคแก่ทุกฝ่าย ไม่ใช่ปล่อยให้เกิดความร่ำรวยเพียง “ไม่กี่ตระกูล” และเวลาคิดจะทำอะไร ก็จะมีการอ้างสารพัด รวมถึงการล็อบบี้ใต้ดิน... ไม่เช่นนั้นจะไม่สนับสนุน???...ให้เติบโตทางการเมือง
“เหลือบนายทุนศักดินา”...เหล่านี้ ดูไปแล้ว ก็ไม่ต่างจาก “เหลือบข้าราชการนักการเมือง” ที่จ้องแทะ จ้องเกาะกิน จ้องผลาญงบประมาณชาติ แบบเมามันส์ ทั้งการโกงกินคอร์รัปชั่น ในสารพัดอภิมหาโปรเจกต์ทั้งหลาย
แต่ที่น่าอดสูก็คือ การเดินทางไปดูงานต่างประเทศ ที่ร้อย ทั้งร้อยจะอ้างเรื่อง “งาน” เพื่อจะนำกลับมาใช้พัฒนา แต่ “คนไม่โง่” ต่างก็รู้ดีว่า คือการไปเที่ยว ไปหาความสุขส่วนตัวแบบร้อยแปด ทั้งเรื่องผู้หญิงและการพนัน จะมีน้อยรายน้อยคณะ มาก...ที่เดินทางไปแล้ว กลับนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์แบบเต็มเม็ดเต็มหน่วย
เห็นอย่างนี้แล้ว....อยากมีส่วนร่วมกำจัดเหลือบกากเดน เหล่านี้ ไม่ให้เป็นตัวถ่วงความเจริญของประเทศ...จริงๆ
ที่มา.สยามธุรกิจ
ไอโอดีนและการปฏิรูป
ที่มา. มติชนออนไลน์
โดย. นิธิ เอียวศรีวงศ์
ตามสถิติขององค์การอนามัยโลกใน พ.ศ.2550 มีประชากรเกือบ 2 พันล้านคนทั่วโลก ได้รับไอโอดีนน้อยเกินไป หนึ่งในสามของจำนวนนี้เป็นเด็กในวัยเรียน ทั้งๆ ที่สภาพการขาดสารไอโอดีนจนทำให้สมองบกพร่องนี้ เป็นสิ่งที่ป้องกันได้ง่ายมาก
คุณอานันท์ ปันยารชุน นายกรัฐมนตรีซึ่งพ้นตำแหน่งได้กล่าวในปาฐกถาอารี วัลยะเสวีในวันที่ 10 กันยายนว่า "ข้อมูลจากกรมอนามัยพบว่า หญิงมีครรภ์กว่าร้อยละ 70 ในประเทศไทยไม่ได้รับสารไอโอดีนอย่างเพียงพอ ... ยิ่งไปกว่านั้น... เด็กแรกเกิดทุกจังหวัดในประเทศไทยมีภาวะขาดสารไอโอดีนในจำนวนที่สูงกว่าเกณฑ์"
การขาดสารไอโอดีนเป็นสาเหตุสำคัญของโรคคอพอกดังที่ทราบกันอยู่แล้ว แต่ผลอีกอย่างหนึ่งซึ่งเกิดจากการขาดสารดังกล่าวและจากโรคคอพอกก็คือ เด็กที่ขาดสาร อาจมีตัวแกร็นและ/หรือมีความบกพร่องด้านสมอง คุณอานันท์ได้ชี้ให้เห็นสถิติอีกชุดหนึ่ง ซึ่งมีส่วนบ่งบอกให้รู้ว่า ภาวะขาดสารไอโอดีนอย่างกว้างขวางในประเทศไทยนำมาซึ่งผลลัพธ์อะไร
จากสถิติของกรมอนามัย เด็กที่มีอายุต่ำกว่า 5 ปี มีระดับพัฒนาการต่ำลงเรื่อยๆ ทั้งทางร่างกายและสติปัญญา งานวิจัยของโรงพยาบาลรามาธิบดีพบว่า ค่าเฉลี่ยของเด็กไทยลดลงจาก 91 จุดใน พ.ศ.2540 เหลือ 88 จุดใน พ.ศ.2545 ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือลดลงเหลือเพียง 85.9 จุดเท่านั้น ต่ำกว่าเกณฑ์สากลที่ 90-110 จุด
อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ใช่เรื่องใหม่ ทั้งในระดับโลกและระดับประเทศ โลกได้พบความสำคัญของไอโอดีนในการเจริญเติบโตของเด็กมากว่า 100 ปีแล้ว ในประเทศไทยมีการพูดถึงเรื่องนี้ไม่ต่ำกว่า 60 หรือ 70 ปี และกว่า 30 ปีมาแล้วที่ได้มีการย้ำให้เห็นถึงภยันตรายด้านสมรรถภาพทางสมองของการขาดสารไอโอดีน แม้แต่หนทางแก้ไขก็ได้ริเริ่มและดำเนินการไปแล้ว เพียงแต่ไม่ได้ใช้บังคับกันอย่างถ้วนทั่วเท่านั้น
หนทางแก้ไขที่ใช้ได้ผลมาในทุกสังคมคือการผสมโซเดียมไอโอไดต์, โปแตสเซียมไอโอไดต์ หรือไอโอเดตลงไปในเกลือที่ใช้บริโภค เรียกว่าเกลือไอโอดีน เกลือเป็นธาตุอาหารที่ขาดไม่ได้ แม้ในบางสังคมไม่ได้บริโภคเกลือในรูปของเกลือโดยตรง แต่ก็ต้องผสมไปในเครื่องปรุงชนิดต่างๆ ในประเทศที่ภาวะขาดไอโอดีนมีสูงมาก อาจต้องผสมลงในอาหารอื่นๆ ด้วย เช่น แป้งสาลี, น้ำ และนม เป็นต้น
การผสมสารไอโอดีนลงในเกลือจึงเป็นวิธีที่ถูกที่สุด (ประมาณกันว่าจะต้องลงทุนเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยคือ "ไม่กี่เซ็นต์ต่อเกลือ 1 ตัน") และเป็นวิธีที่ให้ผลคุ้มต่อการลงทุนที่สุด
อย่างไรก็ตาม ต้นทุนไม่ได้อยู่ที่เงินเพียงอย่างเดียว เพราะต้องให้การศึกษาแก่ผู้ผลิตและผู้บริโภคเกลือ หรือต้องเข้าไปกำกับควบคุมการผลิตและจำหน่าย ต้องมีการรณรงค์กับสาธารณะ กลุ่มพ่อค้า นักการเมืองและผู้กำหนดนโยบายต่างๆ หากคิดจะลงทุนเพียงการผลิตเกลือไอโอดีนเพียงอย่างเดียว ผลก็จะได้เพียงน้อยนิด ดังกรณีประเทศไทยซึ่งได้ชักจูงการผสมสารไอโอดีนลงในเกลือมานานหลายสิบปีแล้ว แต่ตัวเลขของสำนักงานสถิติแห่งชาติชี้ว่า ใน พ.ศ.2548-9 ครัวเรือนไทยเพียง 58 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่บริโภคเกลือผสมไอโอดีน ในภาคอีสานกลับน้อยกว่านี้เกินครึ่ง
(และซ้ำยังต้องเตือนด้วยว่า อาหารไทยใช้เกลือในรูปของเกลือโดยตรงน้อยมาก แต่ใช้เกลือผสมลงในเครื่องปรุงซึ่งมักซื้อหาที่ผลิตสำเร็จรูปมาแล้ว ฉะนั้นแม้แต่ครอบครัวที่ใช้เกลือไอโอดีนแล้ว ก็อาจไม่ได้บริโภคเข้าไปในปริมาณที่เพียงพอ เพราะน้ำปลาไม่ได้ผสมไอโอดีน)
ควรกล่าวด้วยว่า สภาพขาดสารไอโอดีนที่เพียงพอนี้ นอกจากเกิดในประเทศโลกที่สามเป็นส่วนใหญ่แล้ว แม้ในประเทศพัฒนาแล้ว ก็เริ่มมีปัญหาเช่นเดียวกัน เพราะคำแนะนำของแพทย์ด้านโรคหัวใจให้ลดการบริโภคเกลือลง ทำให้ได้รับสารไอโอดีนจากอาหาร (ที่ไม่ใช่อาหารทะเล) น้อยลง ในขณะที่ความนิยมบริโภคอาหารสำเร็จรูปซึ่งจำนวนมากนำเข้าจากต่างประเทศ ก็เป็นอาหารที่เครื่องปรุงไม่ได้ผสมไอโอดีนเช่นกัน
ประเทศไทยซึ่งนับถือศาสนาส่งออก จึงควรคิดเรื่องนี้ไว้แต่เนิ่นๆ ด้วย เพราะหลังจากข้อเท็จจริงนี้ปรากฏในประเทศผู้นำเข้าผลิตภัณฑ์อาหารจากไทยสำนึกเกี่ยวกับเรื่องนี้เพิ่มขึ้น ก็คงมีกฎหมายที่บังคับให้ต้องผสมไอโอดีนในอาหารนำเข้าอยู่ดี ถึงตอนนั้นไทยก็จะตื่นตัวและหันมาออกกฎหมายบังคับให้เกลือที่ขายในประเทศต้องผสมไอโอดีน แต่กว่าจะได้ผลจนสามารถส่งออกได้อีก ก็ต้องเสียเวลาในการสักการบูชาศาสนาส่งออกไประยะหนึ่ง
นับเป็นเวลานานแล้วเช่นกัน ที่หน่วยงานบางแห่งของไทยได้พยายามผลักดันให้ออกกฎหมายบังคับให้ต้องผสมไอโอดีนลงในเกลือที่ขายในท้องตลาด รวมทั้งสร้างสมรรถนะในการตรวจสอบให้เป็นไปตามกฎหมาย แต่ความพยายามนี้ไม่เคยบังเกิดผลเลย
น่าอัศจรรย์ที่อนาคตของประเทศที่มีความสำคัญเช่นนี้ กลับถูกละเลยตลอดมา ทั้งๆ ที่เกลือไอโอดีนไม่ได้เพิ่มต้นทุนการผลิตอีกกี่มากน้อย ซ้ำกระบวนการยังทำได้ง่ายจนกระทั่งผู้ผลิตเกลือรายย่อยก็สามารถทำเองได้ (หรืออย่างน้อยก็ลงทุนร่วมกันในราคาที่ไม่แพงนัก)
ต้นทุนที่อาจเพิ่มขึ้นเล็กน้อยคือการผลิตเครื่องปรุงต่างๆ ซึ่งใช้ในครัวไทยเป็นอันมาก เช่น น้ำปลา การใช้เกลือไอโอดีนไม่ได้ทำให้ต้นทุนการผลิตเพิ่มมากขึ้นนักก็จริง แต่ผู้ผลิตเชื่อว่าเกลือไอโอดีนจะทำให้กลิ่นของเครื่องปรุงเปลี่ยนไป การลงทุนจึงไปอยู่ที่ต้องแต่งกลิ่นให้กลับมาเหมือนเดิม แม้กระนั้นทุนที่ต้องลงตรงนี้ก็คงไม่มากนัก ที่มากกว่าก็คือการโฆษณาเพื่อสร้างความเชื่อถือในหมู่ผู้บริโภค
แม้กระนั้น เมื่อดูโรงน้ำปลาซีอิ๊ว ในเมืองไทยแล้ว ก็ให้น่าสงสัยว่า การผลักดันล้มเหลวลงไม่น่าจะเป็นเพราะอิทธิพลทางการเมืองของนายทุนเจ้าของโรงน้ำปลา-ซีอิ๊ว เพราะคนเหล่านี้ไม่มีอิทธิพลทางการเมืองมากนัก (ผู้นำเข้าเครื่องปรุงจากต่างประเทศหรือซื้อสิทธิการผลิตเข้ามาผลิตเองในเมืองไทย แม้มีอิทธิพลทางการเมืองมากกว่า แต่ผลกำไรจากส่วนนี้ไม่สู้จะมากนักเมื่อเปรียบเทียบกับผลิตภัณฑ์นม หรือเครื่องดื่มอื่นๆ) ผลกำไรหลักน่าจะมาจากเครื่องดื่มชูกำลัง และเครื่องดื่มเสริมเกลือแร่ของนักกีฬา ซึ่งส่วนหนึ่งต้องผสมเกลือลงด้วย
เหตุใดความรู้ที่ใครๆ ก็รู้อยู่แล้วในเมืองไทยจึงเป็นหมัน แม้ว่าการไม่ใช้ความรู้ทำให้บ้านเมืองไร้อนาคต เพราะเรากำลังทำให้เกือบครึ่งของลูกหลานของเราไร้สติปัญญาที่จะเรียนรู้อะไรได้ ทั้งๆ ที่หนทางจะแก้ไขเรื่องนี้ทำได้ง่ายมาก คือการออกกฎหมายบังคับให้เกลือที่ผลิตหรือนำเข้าและจำหน่ายในประเทศไทย ต้องเป็นเกลือผสมไอโอดีนทั้งหมด
แต่การกระทำง่ายเพียงเท่านี้กลับไม่ประสบความสำเร็จ โดยที่แรงต่อต้านทางการเมืองไม่ได้มีมากเท่าไรนัก
ในระบบการเมืองซึ่งนโยบายระดับชาติมักไม่ได้เกิดจากการผลักดันในสังคม แต่เกิดขึ้นจากการผลักดันของหน่วยราชการ หรือการผลักดันของกลุ่มการเมืองท้องถิ่น นโยบายที่ไม่ให้ผลประโยชน์แก่ข้าราชการและนักการเมือง ไม่ว่าจะเป็นผลประโยชน์ทางอำนาจ, ทางธุรกิจ หรือทางคะแนนเสียงมักถูกละเลย แม้ว่านโยบายสาธารณะเช่นนั้นมีความสำคัญอย่างไรก็ตาม
การผลักดันของผู้ที่ห่วงใยต่อปัญหาที่เกิดขึ้น แม้ทำกันมาเป็นเวลานาน ก็อาจไม่บังเกิดผลเป็นพลังเพียงพอ ที่จะทำให้สังคมเคลื่อนไหวเพื่อผลักดันร่วมด้วย จนกระทั่งนักการเมืองต้องตอบสนองเพื่อหาเสียง โดยเฉพาะหากประเด็นที่ผลักดันนั้น เป็นเรื่องที่ไม่น่าตื่นเต้น เช่นภาวะขาดสารไอโอดีนดังที่กล่าวแล้วนี้ เพราะสื่อไม่สนใจนำเสนอต่อสังคม จึงไม่เป็นที่สนใจกว้างขวางนัก และพลังขับเคลื่อนสังคมก็ยิ่งน้อยลง
ความรู้ใดๆ ก็เป็นเพียงรู้ไว้ใช่ว่า ใส่บ่าแบกหาม ไม่มีผลต่อการปรับเปลี่ยนสังคมได้
เช่นเดียวกับความสำเร็จในการปฏิรูปใดๆ ก็ตาม ไม่ได้อยู่ที่จะผลักดันรัฐบาลชุดใดๆ รับภารกิจการปฏิรูปไปดำเนินการ แต่อยู่ที่ว่าจะสามารถสื่อสารกับสังคมได้มากน้อยและต่อเนื่องเพียงไร และอยู่ที่ว่าแนวทางการปฏิรูปนั้น จะมีพลังพอขับเคลื่อนให้สังคมร่วมเคลื่อนไหวเป็นพลังทางการเมืองได้หรือไม่
หากทำไม่สำเร็จ ไม่ว่าแนวทางการปฏิรูปจะดีวิเศษอย่างไร ก็จะเป็นความรู้ที่เป็นหมัน อย่างเดียวกับความรู้อีกมากที่เป็นหมันในสังคมไทยตลอดมา
เรื่องที่แก้ได้ง่ายๆ อย่างภาวะขาดสารไอโอดีนในหมู่ประชากร จึงเป็นตัวอย่างอันดีของการแก้ปัญหาด้วยความรู้ แต่ขาดพลังของสังคมหนุนหลัง
โดย. นิธิ เอียวศรีวงศ์
ตามสถิติขององค์การอนามัยโลกใน พ.ศ.2550 มีประชากรเกือบ 2 พันล้านคนทั่วโลก ได้รับไอโอดีนน้อยเกินไป หนึ่งในสามของจำนวนนี้เป็นเด็กในวัยเรียน ทั้งๆ ที่สภาพการขาดสารไอโอดีนจนทำให้สมองบกพร่องนี้ เป็นสิ่งที่ป้องกันได้ง่ายมาก
คุณอานันท์ ปันยารชุน นายกรัฐมนตรีซึ่งพ้นตำแหน่งได้กล่าวในปาฐกถาอารี วัลยะเสวีในวันที่ 10 กันยายนว่า "ข้อมูลจากกรมอนามัยพบว่า หญิงมีครรภ์กว่าร้อยละ 70 ในประเทศไทยไม่ได้รับสารไอโอดีนอย่างเพียงพอ ... ยิ่งไปกว่านั้น... เด็กแรกเกิดทุกจังหวัดในประเทศไทยมีภาวะขาดสารไอโอดีนในจำนวนที่สูงกว่าเกณฑ์"
การขาดสารไอโอดีนเป็นสาเหตุสำคัญของโรคคอพอกดังที่ทราบกันอยู่แล้ว แต่ผลอีกอย่างหนึ่งซึ่งเกิดจากการขาดสารดังกล่าวและจากโรคคอพอกก็คือ เด็กที่ขาดสาร อาจมีตัวแกร็นและ/หรือมีความบกพร่องด้านสมอง คุณอานันท์ได้ชี้ให้เห็นสถิติอีกชุดหนึ่ง ซึ่งมีส่วนบ่งบอกให้รู้ว่า ภาวะขาดสารไอโอดีนอย่างกว้างขวางในประเทศไทยนำมาซึ่งผลลัพธ์อะไร
จากสถิติของกรมอนามัย เด็กที่มีอายุต่ำกว่า 5 ปี มีระดับพัฒนาการต่ำลงเรื่อยๆ ทั้งทางร่างกายและสติปัญญา งานวิจัยของโรงพยาบาลรามาธิบดีพบว่า ค่าเฉลี่ยของเด็กไทยลดลงจาก 91 จุดใน พ.ศ.2540 เหลือ 88 จุดใน พ.ศ.2545 ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือลดลงเหลือเพียง 85.9 จุดเท่านั้น ต่ำกว่าเกณฑ์สากลที่ 90-110 จุด
อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ใช่เรื่องใหม่ ทั้งในระดับโลกและระดับประเทศ โลกได้พบความสำคัญของไอโอดีนในการเจริญเติบโตของเด็กมากว่า 100 ปีแล้ว ในประเทศไทยมีการพูดถึงเรื่องนี้ไม่ต่ำกว่า 60 หรือ 70 ปี และกว่า 30 ปีมาแล้วที่ได้มีการย้ำให้เห็นถึงภยันตรายด้านสมรรถภาพทางสมองของการขาดสารไอโอดีน แม้แต่หนทางแก้ไขก็ได้ริเริ่มและดำเนินการไปแล้ว เพียงแต่ไม่ได้ใช้บังคับกันอย่างถ้วนทั่วเท่านั้น
หนทางแก้ไขที่ใช้ได้ผลมาในทุกสังคมคือการผสมโซเดียมไอโอไดต์, โปแตสเซียมไอโอไดต์ หรือไอโอเดตลงไปในเกลือที่ใช้บริโภค เรียกว่าเกลือไอโอดีน เกลือเป็นธาตุอาหารที่ขาดไม่ได้ แม้ในบางสังคมไม่ได้บริโภคเกลือในรูปของเกลือโดยตรง แต่ก็ต้องผสมไปในเครื่องปรุงชนิดต่างๆ ในประเทศที่ภาวะขาดไอโอดีนมีสูงมาก อาจต้องผสมลงในอาหารอื่นๆ ด้วย เช่น แป้งสาลี, น้ำ และนม เป็นต้น
การผสมสารไอโอดีนลงในเกลือจึงเป็นวิธีที่ถูกที่สุด (ประมาณกันว่าจะต้องลงทุนเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยคือ "ไม่กี่เซ็นต์ต่อเกลือ 1 ตัน") และเป็นวิธีที่ให้ผลคุ้มต่อการลงทุนที่สุด
อย่างไรก็ตาม ต้นทุนไม่ได้อยู่ที่เงินเพียงอย่างเดียว เพราะต้องให้การศึกษาแก่ผู้ผลิตและผู้บริโภคเกลือ หรือต้องเข้าไปกำกับควบคุมการผลิตและจำหน่าย ต้องมีการรณรงค์กับสาธารณะ กลุ่มพ่อค้า นักการเมืองและผู้กำหนดนโยบายต่างๆ หากคิดจะลงทุนเพียงการผลิตเกลือไอโอดีนเพียงอย่างเดียว ผลก็จะได้เพียงน้อยนิด ดังกรณีประเทศไทยซึ่งได้ชักจูงการผสมสารไอโอดีนลงในเกลือมานานหลายสิบปีแล้ว แต่ตัวเลขของสำนักงานสถิติแห่งชาติชี้ว่า ใน พ.ศ.2548-9 ครัวเรือนไทยเพียง 58 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่บริโภคเกลือผสมไอโอดีน ในภาคอีสานกลับน้อยกว่านี้เกินครึ่ง
(และซ้ำยังต้องเตือนด้วยว่า อาหารไทยใช้เกลือในรูปของเกลือโดยตรงน้อยมาก แต่ใช้เกลือผสมลงในเครื่องปรุงซึ่งมักซื้อหาที่ผลิตสำเร็จรูปมาแล้ว ฉะนั้นแม้แต่ครอบครัวที่ใช้เกลือไอโอดีนแล้ว ก็อาจไม่ได้บริโภคเข้าไปในปริมาณที่เพียงพอ เพราะน้ำปลาไม่ได้ผสมไอโอดีน)
ควรกล่าวด้วยว่า สภาพขาดสารไอโอดีนที่เพียงพอนี้ นอกจากเกิดในประเทศโลกที่สามเป็นส่วนใหญ่แล้ว แม้ในประเทศพัฒนาแล้ว ก็เริ่มมีปัญหาเช่นเดียวกัน เพราะคำแนะนำของแพทย์ด้านโรคหัวใจให้ลดการบริโภคเกลือลง ทำให้ได้รับสารไอโอดีนจากอาหาร (ที่ไม่ใช่อาหารทะเล) น้อยลง ในขณะที่ความนิยมบริโภคอาหารสำเร็จรูปซึ่งจำนวนมากนำเข้าจากต่างประเทศ ก็เป็นอาหารที่เครื่องปรุงไม่ได้ผสมไอโอดีนเช่นกัน
ประเทศไทยซึ่งนับถือศาสนาส่งออก จึงควรคิดเรื่องนี้ไว้แต่เนิ่นๆ ด้วย เพราะหลังจากข้อเท็จจริงนี้ปรากฏในประเทศผู้นำเข้าผลิตภัณฑ์อาหารจากไทยสำนึกเกี่ยวกับเรื่องนี้เพิ่มขึ้น ก็คงมีกฎหมายที่บังคับให้ต้องผสมไอโอดีนในอาหารนำเข้าอยู่ดี ถึงตอนนั้นไทยก็จะตื่นตัวและหันมาออกกฎหมายบังคับให้เกลือที่ขายในประเทศต้องผสมไอโอดีน แต่กว่าจะได้ผลจนสามารถส่งออกได้อีก ก็ต้องเสียเวลาในการสักการบูชาศาสนาส่งออกไประยะหนึ่ง
นับเป็นเวลานานแล้วเช่นกัน ที่หน่วยงานบางแห่งของไทยได้พยายามผลักดันให้ออกกฎหมายบังคับให้ต้องผสมไอโอดีนลงในเกลือที่ขายในท้องตลาด รวมทั้งสร้างสมรรถนะในการตรวจสอบให้เป็นไปตามกฎหมาย แต่ความพยายามนี้ไม่เคยบังเกิดผลเลย
น่าอัศจรรย์ที่อนาคตของประเทศที่มีความสำคัญเช่นนี้ กลับถูกละเลยตลอดมา ทั้งๆ ที่เกลือไอโอดีนไม่ได้เพิ่มต้นทุนการผลิตอีกกี่มากน้อย ซ้ำกระบวนการยังทำได้ง่ายจนกระทั่งผู้ผลิตเกลือรายย่อยก็สามารถทำเองได้ (หรืออย่างน้อยก็ลงทุนร่วมกันในราคาที่ไม่แพงนัก)
ต้นทุนที่อาจเพิ่มขึ้นเล็กน้อยคือการผลิตเครื่องปรุงต่างๆ ซึ่งใช้ในครัวไทยเป็นอันมาก เช่น น้ำปลา การใช้เกลือไอโอดีนไม่ได้ทำให้ต้นทุนการผลิตเพิ่มมากขึ้นนักก็จริง แต่ผู้ผลิตเชื่อว่าเกลือไอโอดีนจะทำให้กลิ่นของเครื่องปรุงเปลี่ยนไป การลงทุนจึงไปอยู่ที่ต้องแต่งกลิ่นให้กลับมาเหมือนเดิม แม้กระนั้นทุนที่ต้องลงตรงนี้ก็คงไม่มากนัก ที่มากกว่าก็คือการโฆษณาเพื่อสร้างความเชื่อถือในหมู่ผู้บริโภค
แม้กระนั้น เมื่อดูโรงน้ำปลาซีอิ๊ว ในเมืองไทยแล้ว ก็ให้น่าสงสัยว่า การผลักดันล้มเหลวลงไม่น่าจะเป็นเพราะอิทธิพลทางการเมืองของนายทุนเจ้าของโรงน้ำปลา-ซีอิ๊ว เพราะคนเหล่านี้ไม่มีอิทธิพลทางการเมืองมากนัก (ผู้นำเข้าเครื่องปรุงจากต่างประเทศหรือซื้อสิทธิการผลิตเข้ามาผลิตเองในเมืองไทย แม้มีอิทธิพลทางการเมืองมากกว่า แต่ผลกำไรจากส่วนนี้ไม่สู้จะมากนักเมื่อเปรียบเทียบกับผลิตภัณฑ์นม หรือเครื่องดื่มอื่นๆ) ผลกำไรหลักน่าจะมาจากเครื่องดื่มชูกำลัง และเครื่องดื่มเสริมเกลือแร่ของนักกีฬา ซึ่งส่วนหนึ่งต้องผสมเกลือลงด้วย
เหตุใดความรู้ที่ใครๆ ก็รู้อยู่แล้วในเมืองไทยจึงเป็นหมัน แม้ว่าการไม่ใช้ความรู้ทำให้บ้านเมืองไร้อนาคต เพราะเรากำลังทำให้เกือบครึ่งของลูกหลานของเราไร้สติปัญญาที่จะเรียนรู้อะไรได้ ทั้งๆ ที่หนทางจะแก้ไขเรื่องนี้ทำได้ง่ายมาก คือการออกกฎหมายบังคับให้เกลือที่ผลิตหรือนำเข้าและจำหน่ายในประเทศไทย ต้องเป็นเกลือผสมไอโอดีนทั้งหมด
แต่การกระทำง่ายเพียงเท่านี้กลับไม่ประสบความสำเร็จ โดยที่แรงต่อต้านทางการเมืองไม่ได้มีมากเท่าไรนัก
ในระบบการเมืองซึ่งนโยบายระดับชาติมักไม่ได้เกิดจากการผลักดันในสังคม แต่เกิดขึ้นจากการผลักดันของหน่วยราชการ หรือการผลักดันของกลุ่มการเมืองท้องถิ่น นโยบายที่ไม่ให้ผลประโยชน์แก่ข้าราชการและนักการเมือง ไม่ว่าจะเป็นผลประโยชน์ทางอำนาจ, ทางธุรกิจ หรือทางคะแนนเสียงมักถูกละเลย แม้ว่านโยบายสาธารณะเช่นนั้นมีความสำคัญอย่างไรก็ตาม
การผลักดันของผู้ที่ห่วงใยต่อปัญหาที่เกิดขึ้น แม้ทำกันมาเป็นเวลานาน ก็อาจไม่บังเกิดผลเป็นพลังเพียงพอ ที่จะทำให้สังคมเคลื่อนไหวเพื่อผลักดันร่วมด้วย จนกระทั่งนักการเมืองต้องตอบสนองเพื่อหาเสียง โดยเฉพาะหากประเด็นที่ผลักดันนั้น เป็นเรื่องที่ไม่น่าตื่นเต้น เช่นภาวะขาดสารไอโอดีนดังที่กล่าวแล้วนี้ เพราะสื่อไม่สนใจนำเสนอต่อสังคม จึงไม่เป็นที่สนใจกว้างขวางนัก และพลังขับเคลื่อนสังคมก็ยิ่งน้อยลง
ความรู้ใดๆ ก็เป็นเพียงรู้ไว้ใช่ว่า ใส่บ่าแบกหาม ไม่มีผลต่อการปรับเปลี่ยนสังคมได้
เช่นเดียวกับความสำเร็จในการปฏิรูปใดๆ ก็ตาม ไม่ได้อยู่ที่จะผลักดันรัฐบาลชุดใดๆ รับภารกิจการปฏิรูปไปดำเนินการ แต่อยู่ที่ว่าจะสามารถสื่อสารกับสังคมได้มากน้อยและต่อเนื่องเพียงไร และอยู่ที่ว่าแนวทางการปฏิรูปนั้น จะมีพลังพอขับเคลื่อนให้สังคมร่วมเคลื่อนไหวเป็นพลังทางการเมืองได้หรือไม่
หากทำไม่สำเร็จ ไม่ว่าแนวทางการปฏิรูปจะดีวิเศษอย่างไร ก็จะเป็นความรู้ที่เป็นหมัน อย่างเดียวกับความรู้อีกมากที่เป็นหมันในสังคมไทยตลอดมา
เรื่องที่แก้ได้ง่ายๆ อย่างภาวะขาดสารไอโอดีนในหมู่ประชากร จึงเป็นตัวอย่างอันดีของการแก้ปัญหาด้วยความรู้ แต่ขาดพลังของสังคมหนุนหลัง
'สุเทพ' วางไมค์-ไม่วางมือ ปฏิบัติการ 'ลมใต้ปีก' ประชาธิปัตย์ 'ถ้าปฏิเสธสมัคร ส.ส.คงรู้สึกไม่จริงใจ ดัดจริต'
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
ชื่อ สุเทพ เทือกสุบรรณ กลายเป็นหนังหน้าไฟและสายล่อฟ้า
ในฐานะเลขาธิการพรรค เขาต้องเป็นผู้ประสานผลประโยชน์กับทุกฝ่ายทั้งใน-นอกพรรค
ในฐานะผู้จัดการรัฐบาล เขาต้องเป็นคนกลางกับทั้ง 7 พรรคร่วมรัฐบาล
ในฐานะนักการเมืองที่มีความฝัน ปั้น "อภิสิทธิ์" ให้เป็นนายกรัฐมนตรีให้ได้ เขาจึงเป็นทั้งลมใต้ปีก และเป็น "เงา" ที่มีแสงของ "อภิสิทธิ์" ทอดทับ
ในฐานะรองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง เขาเดินสายเจรจากับนายพลทุก เหล่าทัพ ตำรวจทั่วประเทศหลายหมื่นนาย อยู่ภายใต้การกำกับของเขา
ในฐานะปฏิบัติหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรี บางทีเขาลงนามในเอกสารว่า "รักษาการนายกรัฐมนตรี"
ที่ตึกบัญชาการ ทำเนียบรัฐบาล เขาเป็นรองนายกรัฐมนตรี หมายเลข 1 รหัส "สร.2" รองจากอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
เกือบ 2 ปี มีการปรับคณะรัฐมนตรี 5 ครั้ง แต่ชื่อ "สุเทพ" ยังอยู่ที่เดิมในฐานะศูนย์กลางขององคาพยพอำนาจใหม่
แต่ในคราว "อภิสิทธิ์ 6" ชื่อ "สุเทพ" จะกลายเป็นผู้รับสมัครเลือกตั้งซ่อม ส.ส.เขต 1 ที่ จ.สุราษฎร์ธานี
ด้วยเหตุผลเฉพาะหน้า 5 ข้อ อาทิ 1.ระยะเวลาหาเสียงจำกัดเพียง 30 วัน ต้องใช้คนระดับเอ่ยชื่อมีคนรู้จักทั้งจังหวัด ครอบคลุมเขตเลือกตั้ง
2.วาระของสภาผู้แทนฯเหลือเพียง 15 เดือน ต้องใช้ตัวแทนพรรคที่มีบารมีในพื้นที่ ทดแทนบารมี "ชุมพล กาญจนะ"
3.หากต้องใช้ผู้สมัครหน้าใหม่ อาจไม่มีความพร้อมทั้งกระแส กระสุน
4.การว่างเว้นจากตำแหน่ง ส.ส.ไปทำหน้าที่ฝ่ายบริหารในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา มี ส.ส.ในพรรค "อ้าง" ว่าขาดการประสานระหว่างสาขาพรรค
เหตุผลเหนือสิ่งอื่นใด คือ "มติพรรค" ที่เป็นเอกฉันท์ตามสไตล์พรรคประชาธิปัตย์ ที่มีแต่ต้องยอมรับด้วยข้อเสนอที่มิอาจปฏิเสธ
"สุเทพ" ปิดปาก-งดสัมภาษณ์ทั้ง หน้าไมค์-หลังไมค์ ในและนอกทำเนียบรัฐบาล จนกว่าจะถึงวันรับสมัครรับเลือกตั้ง เขาจะเปิดปากอีกครั้งวันที่ 9 ตุลาคม 2553 เพื่อปราศรัยหาเสียง
"ประชาชาติธุรกิจ" นำคำสัมภาษณ์-สนทนาพิเศษกับ "สุเทพ" ทั้งใน-นอก ชั่วโมงทำงาน หลายสถานที่ มาเรียบเรียง
เริ่มที่เรื่อง "สุเทพ" วิพากษ์พรรคตัวเอง และวิเคราะห์พรรคคู่แข่ง
เขาบอกว่า จุดแข็งของพรรค ประชาธิปัตย์ต่างไปจากพรรคของ "ทักษิณ ชินวัตร"
"พรรคนั้นอยู่ที่คุณทักษิณคนเดียว คิด ทำ และสั่งการคนเดียว แต่พรรคประชาธิปัตย์เป็นพรรคของทุกคน ทุกคนคิดผ่านกระบวนการมา หน้าที่ของผมคือ ทำอย่างไรให้พรรคคิดเร็วกว่านี้ ทำเร็วกว่านี้ ให้ใกล้เคียงกับที่คนเดียวคิด แต่ประสิทธิภาพ ความฉับไวและแม่นยำต้องมี"
ดังนั้นช่วงที่พรรคประชาธิปัตย์เป็นฝ่ายค้าน "สุเทพ" จึงเป็นคนต้นเรื่อง-ค้นคิดเรื่อง "สมัชชาประชาธิปัตย์"
"สมัชชาประชาชนครั้งนั้นเราจะใช้วิธีการที่เรียกว่า Appreciative Inquiry ที่แปลว่า กระบวนการสืบค้นพลังชื่นชม ชื่ออาจจะโรแมนติกนิดหน่อย เป็นวิธีการระดมความคิดเห็นที่จะนำพลังทางบวกด้านความคิดสร้างสรรค์มาหลอมรวมกัน มาสร้างความฝันแชร์กับคนอื่น ๆ"
หลักการกล่อมเกลาคนการเมือง "สุเทพ" ใช้กระบวนการแนว "ปฏิรูป-ปฏิวัติความคิด" ที่ "อ้างถึง" ป๋วย อึ๊งภากรณ์
"การจัดประชุมสมัชชาพรรค จะทำเหมือนครั้งหนึ่งที่อาจารย์ป๋วย อึ๊งภากรณ์ เขียนจดหมายถึงนายเข้ม เย็นยิ่ง หรือจอมพลถนอม กิตติขจร ว่าผมอยากเห็นประเทศไทยเป็นอย่างไร บอกมาเลยไม่มีการตีกรอบ"
เมื่อพรรคก้าวข้ามถนนราชดำเนินใน- ไปถึงทำเนียบรัฐบาล พรรคส่อแตก-ร้าว "สุเทพ" เป็นทั้งรอยร้าวและเป็นคนร่วมประสานให้แผลสมานสนิท
"ผมยืนยันว่าไม่มี เราหลอมรวมกันเป็นอันหนึ่งเดียวกัน และต้องหลอมรวมกับประชาชนด้วย นี่คือความคิดร่วมกันของ คนทั้งพรรค น่ามหัศจรรย์มาก" สุเทพ-บอกวัฒนธรรมพรรค
รัฐบาล "อภิสิทธิ์" ผ่าน "เส้นแดง" ผ่านความเสี่ยงเป็น-เสี่ยงตายหลายรอบ ในช่วง 2 ปี
แต่ทั้ง "อภิสิทธิ์-สุเทพ" ยังหล่อ-หลอมเป็นเนื้อเดียว
แม้มีเหตุปัจจัย-เงื่อนไขจากกลุ่มการเมืองภายในพรรค จะผลักให้ "สุเทพ" พ้นทาง "อภิสิทธิ์"
ด้วยการริบตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี หมายเลข 1 คืนชั่วคราว
ด้วยการริบงาน-เงิน และริบอำนาจ ในการครอบครองของ "สุเทพ" กลับสู่มือ "อภิสิทธิ์"
อย่างน้อยช่วงรณรงค์เลือกตั้งซ่อม 30 วัน คณะกรรมการระดับชาติที่ "สุเทพ" เคยนั่งเป็นประธานก็ต้องยุติ
อย่างน้อยตำแหน่งประธานคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) และตำแหน่งในศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ก็ต้องถูก ปล่อยมือจาก "สุเทพ"
และทันทีที่กรรมการบริหารพรรคมีมติเป็นเอกฉันท์ "สุเทพ" จึงประกาศ "วางมือ-วางไมค์" กลับไปสู่สามัญ
"คนเป็นนักการเมือง จุดเริ่มต้นคือ การเป็น ส.ส. ทำหน้าที่ในสภา ถ้าจะปฏิเสธการลงสมัคร ส.ส.คงรู้สึกว่าไม่จริงใจ ดัดจริต" สุเทพบอก
ข้อโต้-แย้งเสียดสีกระทบกระเทียบว่าเขาเคยเป็น ส.ส.แล้วลาออกไปรับตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี "สุเทพ" อธิบายใหม่-ด้วยข้อมูลเก่าว่า
"คนอาจจะลืมเร็วไป ผมลาออกเพราะคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ตัดสินว่ามีความผิดจากหุ้นที่ซื้อไว้ในปี 2536 โดยใช้กฎหมายที่ออกในปี 2550 ซึ่งผม ไม่เห็นด้วยจึงต้องลาออก แต่ถ้าไป เถียงกับ กกต.ก็ต้องไปสู้ในศาล ก็ไม่อยากไป"
แต่ภารกิจติดตัวของ "สุเทพ" ทั้งก่อน ลงรับสมัครเลือกตั้ง และหลังเลือกตั้งที่ยังคงต้องรับผิดชอบคือเรื่อง "สถาบัน" ในฐานะประธานคณะกรรมการฝ่ายพิธีงาน เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้า อยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 7 รอบ 5 ธ.ค. 2554
ยามเผชิญหน้าปัญหาการเมือง ภายใน-นอกพรรค "สุเทพ" ยึด พระราชดำรัสเป็นแนวทาง
"เวลาได้ยินพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ต้องใส่ใจไว้ตลอด คือ ที่พระองค์ท่านรับสั่งให้ทุกคนปฏิบัติหน้าที่เพื่อชาติบ้านเมือง รับผิดชอบอย่างเต็มที่ ผมจำใส่เกล้าฯไว้เสมอ และยึดเป็นแนวในการดำรงชีวิต ไม่มีอะไรที่เป็นอารมณ์ การเมืองก็มีธรรมชาติของการเมือง ดังนั้นต้องทำใจ"
แม้ยามถูกเสี้ยมจากฝ่ายตรงข้าม เรื่องความหมาง-เมิน กินใจกับ "อภิสิทธิ์" แต่ "สุเทพ" ไม่เคยหวั่นไหว ยังแสดงความรักอย่างไม่มีเงื่อนไข และปรารถนาดีกับ "อภิสิทธิ์" ทั้งต่อหน้า-ลับหลัง
"ผมมีความเชื่อมั่นว่า อภิสิทธิ์จะเป็นนายกรัฐมนตรีที่ดี และเขาเหมาะที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทยในขณะนี้ ดังนั้นผมจะต้องให้การสนับสนุนเขาทุกด้าน ทุกเรื่อง"
แม้ "ชวน" คือ "สัญลักษณ์" ความคิด "ฝ่ายนำ" ของพรรคประชาธิปัตย์ แม้พิมพ์นิยมทางการเมืองของ "อภิสิทธิ์" จะมีแต่ "ชวน หลีกภัย" คนเดียว
แม้ "อภิสิทธิ์" จำลองแบบ "สัญลักษณ์" ของ "ชวน" มาเป็นสไตล์ตัวเอง
แต่ทั้ง "ชวน" และ "อภิสิทธิ์" มีมิตรแท้-ตลอดกาลชื่อ "สุเทพ เทือกสุบรรณ" นักเลง-ลูกกำนันจากจังหวัดสุราษฎร์ธานี
เพราะในทุกวิกฤตการเมืองของ "ชวน" มี "สุเทพ" เคียงข้าง
ทุกวิกฤตการเมืองของ "อภิสิทธิ์" มี "สุเทพ" เคียงข้าง
"พรรคประชาธิปัตย์มีวัฒนธรรมทางการเมือง ทุกคนแสดงความคิดเห็นอย่างเสรี นี่คือประชาธิปไตย...นี่คือ ต้นแบบ ดังนั้นไม่ใช่เรื่องใครมาหักใคร"
สุดท้าย "สุเทพ" บอกว่า "ผมต้องพยายามชี้แจงให้พรรคร่วมรัฐบาลเข้าใจวัฒนธรรมแบบประชาธิปัตย์ และหากเป็นงานที่ง่ายเขาก็คงให้คนอื่นทำไปแล้ว เพราะเป็นงานที่ยากจึงเป็นงานที่เรา ต้องทำ"
และการเลือกตั้งซ่อมที่จังหวัดสุราษฎรŒ ธานี คืออีก 1 งานยากที่พรรคประชาธิปัตย์มอบหมายให้เป็นภาระ-พันธะของ "สุเทพ เทือกสุบรรณ"
ชื่อ สุเทพ เทือกสุบรรณ กลายเป็นหนังหน้าไฟและสายล่อฟ้า
ในฐานะเลขาธิการพรรค เขาต้องเป็นผู้ประสานผลประโยชน์กับทุกฝ่ายทั้งใน-นอกพรรค
ในฐานะผู้จัดการรัฐบาล เขาต้องเป็นคนกลางกับทั้ง 7 พรรคร่วมรัฐบาล
ในฐานะนักการเมืองที่มีความฝัน ปั้น "อภิสิทธิ์" ให้เป็นนายกรัฐมนตรีให้ได้ เขาจึงเป็นทั้งลมใต้ปีก และเป็น "เงา" ที่มีแสงของ "อภิสิทธิ์" ทอดทับ
ในฐานะรองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง เขาเดินสายเจรจากับนายพลทุก เหล่าทัพ ตำรวจทั่วประเทศหลายหมื่นนาย อยู่ภายใต้การกำกับของเขา
ในฐานะปฏิบัติหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรี บางทีเขาลงนามในเอกสารว่า "รักษาการนายกรัฐมนตรี"
ที่ตึกบัญชาการ ทำเนียบรัฐบาล เขาเป็นรองนายกรัฐมนตรี หมายเลข 1 รหัส "สร.2" รองจากอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
เกือบ 2 ปี มีการปรับคณะรัฐมนตรี 5 ครั้ง แต่ชื่อ "สุเทพ" ยังอยู่ที่เดิมในฐานะศูนย์กลางขององคาพยพอำนาจใหม่
แต่ในคราว "อภิสิทธิ์ 6" ชื่อ "สุเทพ" จะกลายเป็นผู้รับสมัครเลือกตั้งซ่อม ส.ส.เขต 1 ที่ จ.สุราษฎร์ธานี
ด้วยเหตุผลเฉพาะหน้า 5 ข้อ อาทิ 1.ระยะเวลาหาเสียงจำกัดเพียง 30 วัน ต้องใช้คนระดับเอ่ยชื่อมีคนรู้จักทั้งจังหวัด ครอบคลุมเขตเลือกตั้ง
2.วาระของสภาผู้แทนฯเหลือเพียง 15 เดือน ต้องใช้ตัวแทนพรรคที่มีบารมีในพื้นที่ ทดแทนบารมี "ชุมพล กาญจนะ"
3.หากต้องใช้ผู้สมัครหน้าใหม่ อาจไม่มีความพร้อมทั้งกระแส กระสุน
4.การว่างเว้นจากตำแหน่ง ส.ส.ไปทำหน้าที่ฝ่ายบริหารในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา มี ส.ส.ในพรรค "อ้าง" ว่าขาดการประสานระหว่างสาขาพรรค
เหตุผลเหนือสิ่งอื่นใด คือ "มติพรรค" ที่เป็นเอกฉันท์ตามสไตล์พรรคประชาธิปัตย์ ที่มีแต่ต้องยอมรับด้วยข้อเสนอที่มิอาจปฏิเสธ
"สุเทพ" ปิดปาก-งดสัมภาษณ์ทั้ง หน้าไมค์-หลังไมค์ ในและนอกทำเนียบรัฐบาล จนกว่าจะถึงวันรับสมัครรับเลือกตั้ง เขาจะเปิดปากอีกครั้งวันที่ 9 ตุลาคม 2553 เพื่อปราศรัยหาเสียง
"ประชาชาติธุรกิจ" นำคำสัมภาษณ์-สนทนาพิเศษกับ "สุเทพ" ทั้งใน-นอก ชั่วโมงทำงาน หลายสถานที่ มาเรียบเรียง
เริ่มที่เรื่อง "สุเทพ" วิพากษ์พรรคตัวเอง และวิเคราะห์พรรคคู่แข่ง
เขาบอกว่า จุดแข็งของพรรค ประชาธิปัตย์ต่างไปจากพรรคของ "ทักษิณ ชินวัตร"
"พรรคนั้นอยู่ที่คุณทักษิณคนเดียว คิด ทำ และสั่งการคนเดียว แต่พรรคประชาธิปัตย์เป็นพรรคของทุกคน ทุกคนคิดผ่านกระบวนการมา หน้าที่ของผมคือ ทำอย่างไรให้พรรคคิดเร็วกว่านี้ ทำเร็วกว่านี้ ให้ใกล้เคียงกับที่คนเดียวคิด แต่ประสิทธิภาพ ความฉับไวและแม่นยำต้องมี"
ดังนั้นช่วงที่พรรคประชาธิปัตย์เป็นฝ่ายค้าน "สุเทพ" จึงเป็นคนต้นเรื่อง-ค้นคิดเรื่อง "สมัชชาประชาธิปัตย์"
"สมัชชาประชาชนครั้งนั้นเราจะใช้วิธีการที่เรียกว่า Appreciative Inquiry ที่แปลว่า กระบวนการสืบค้นพลังชื่นชม ชื่ออาจจะโรแมนติกนิดหน่อย เป็นวิธีการระดมความคิดเห็นที่จะนำพลังทางบวกด้านความคิดสร้างสรรค์มาหลอมรวมกัน มาสร้างความฝันแชร์กับคนอื่น ๆ"
หลักการกล่อมเกลาคนการเมือง "สุเทพ" ใช้กระบวนการแนว "ปฏิรูป-ปฏิวัติความคิด" ที่ "อ้างถึง" ป๋วย อึ๊งภากรณ์
"การจัดประชุมสมัชชาพรรค จะทำเหมือนครั้งหนึ่งที่อาจารย์ป๋วย อึ๊งภากรณ์ เขียนจดหมายถึงนายเข้ม เย็นยิ่ง หรือจอมพลถนอม กิตติขจร ว่าผมอยากเห็นประเทศไทยเป็นอย่างไร บอกมาเลยไม่มีการตีกรอบ"
เมื่อพรรคก้าวข้ามถนนราชดำเนินใน- ไปถึงทำเนียบรัฐบาล พรรคส่อแตก-ร้าว "สุเทพ" เป็นทั้งรอยร้าวและเป็นคนร่วมประสานให้แผลสมานสนิท
"ผมยืนยันว่าไม่มี เราหลอมรวมกันเป็นอันหนึ่งเดียวกัน และต้องหลอมรวมกับประชาชนด้วย นี่คือความคิดร่วมกันของ คนทั้งพรรค น่ามหัศจรรย์มาก" สุเทพ-บอกวัฒนธรรมพรรค
รัฐบาล "อภิสิทธิ์" ผ่าน "เส้นแดง" ผ่านความเสี่ยงเป็น-เสี่ยงตายหลายรอบ ในช่วง 2 ปี
แต่ทั้ง "อภิสิทธิ์-สุเทพ" ยังหล่อ-หลอมเป็นเนื้อเดียว
แม้มีเหตุปัจจัย-เงื่อนไขจากกลุ่มการเมืองภายในพรรค จะผลักให้ "สุเทพ" พ้นทาง "อภิสิทธิ์"
ด้วยการริบตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี หมายเลข 1 คืนชั่วคราว
ด้วยการริบงาน-เงิน และริบอำนาจ ในการครอบครองของ "สุเทพ" กลับสู่มือ "อภิสิทธิ์"
อย่างน้อยช่วงรณรงค์เลือกตั้งซ่อม 30 วัน คณะกรรมการระดับชาติที่ "สุเทพ" เคยนั่งเป็นประธานก็ต้องยุติ
อย่างน้อยตำแหน่งประธานคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) และตำแหน่งในศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ก็ต้องถูก ปล่อยมือจาก "สุเทพ"
และทันทีที่กรรมการบริหารพรรคมีมติเป็นเอกฉันท์ "สุเทพ" จึงประกาศ "วางมือ-วางไมค์" กลับไปสู่สามัญ
"คนเป็นนักการเมือง จุดเริ่มต้นคือ การเป็น ส.ส. ทำหน้าที่ในสภา ถ้าจะปฏิเสธการลงสมัคร ส.ส.คงรู้สึกว่าไม่จริงใจ ดัดจริต" สุเทพบอก
ข้อโต้-แย้งเสียดสีกระทบกระเทียบว่าเขาเคยเป็น ส.ส.แล้วลาออกไปรับตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี "สุเทพ" อธิบายใหม่-ด้วยข้อมูลเก่าว่า
"คนอาจจะลืมเร็วไป ผมลาออกเพราะคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ตัดสินว่ามีความผิดจากหุ้นที่ซื้อไว้ในปี 2536 โดยใช้กฎหมายที่ออกในปี 2550 ซึ่งผม ไม่เห็นด้วยจึงต้องลาออก แต่ถ้าไป เถียงกับ กกต.ก็ต้องไปสู้ในศาล ก็ไม่อยากไป"
แต่ภารกิจติดตัวของ "สุเทพ" ทั้งก่อน ลงรับสมัครเลือกตั้ง และหลังเลือกตั้งที่ยังคงต้องรับผิดชอบคือเรื่อง "สถาบัน" ในฐานะประธานคณะกรรมการฝ่ายพิธีงาน เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้า อยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 7 รอบ 5 ธ.ค. 2554
ยามเผชิญหน้าปัญหาการเมือง ภายใน-นอกพรรค "สุเทพ" ยึด พระราชดำรัสเป็นแนวทาง
"เวลาได้ยินพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ต้องใส่ใจไว้ตลอด คือ ที่พระองค์ท่านรับสั่งให้ทุกคนปฏิบัติหน้าที่เพื่อชาติบ้านเมือง รับผิดชอบอย่างเต็มที่ ผมจำใส่เกล้าฯไว้เสมอ และยึดเป็นแนวในการดำรงชีวิต ไม่มีอะไรที่เป็นอารมณ์ การเมืองก็มีธรรมชาติของการเมือง ดังนั้นต้องทำใจ"
แม้ยามถูกเสี้ยมจากฝ่ายตรงข้าม เรื่องความหมาง-เมิน กินใจกับ "อภิสิทธิ์" แต่ "สุเทพ" ไม่เคยหวั่นไหว ยังแสดงความรักอย่างไม่มีเงื่อนไข และปรารถนาดีกับ "อภิสิทธิ์" ทั้งต่อหน้า-ลับหลัง
"ผมมีความเชื่อมั่นว่า อภิสิทธิ์จะเป็นนายกรัฐมนตรีที่ดี และเขาเหมาะที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทยในขณะนี้ ดังนั้นผมจะต้องให้การสนับสนุนเขาทุกด้าน ทุกเรื่อง"
แม้ "ชวน" คือ "สัญลักษณ์" ความคิด "ฝ่ายนำ" ของพรรคประชาธิปัตย์ แม้พิมพ์นิยมทางการเมืองของ "อภิสิทธิ์" จะมีแต่ "ชวน หลีกภัย" คนเดียว
แม้ "อภิสิทธิ์" จำลองแบบ "สัญลักษณ์" ของ "ชวน" มาเป็นสไตล์ตัวเอง
แต่ทั้ง "ชวน" และ "อภิสิทธิ์" มีมิตรแท้-ตลอดกาลชื่อ "สุเทพ เทือกสุบรรณ" นักเลง-ลูกกำนันจากจังหวัดสุราษฎร์ธานี
เพราะในทุกวิกฤตการเมืองของ "ชวน" มี "สุเทพ" เคียงข้าง
ทุกวิกฤตการเมืองของ "อภิสิทธิ์" มี "สุเทพ" เคียงข้าง
"พรรคประชาธิปัตย์มีวัฒนธรรมทางการเมือง ทุกคนแสดงความคิดเห็นอย่างเสรี นี่คือประชาธิปไตย...นี่คือ ต้นแบบ ดังนั้นไม่ใช่เรื่องใครมาหักใคร"
สุดท้าย "สุเทพ" บอกว่า "ผมต้องพยายามชี้แจงให้พรรคร่วมรัฐบาลเข้าใจวัฒนธรรมแบบประชาธิปัตย์ และหากเป็นงานที่ง่ายเขาก็คงให้คนอื่นทำไปแล้ว เพราะเป็นงานที่ยากจึงเป็นงานที่เรา ต้องทำ"
และการเลือกตั้งซ่อมที่จังหวัดสุราษฎรŒ ธานี คืออีก 1 งานยากที่พรรคประชาธิปัตย์มอบหมายให้เป็นภาระ-พันธะของ "สุเทพ เทือกสุบรรณ"
อัปมงคล
ข่าวสดรายวัน
เหล็กใน
ทําเนียบรัฐบาลยุค นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ครองเมือง มีการเล่นไสยศาสตร์มาหลายครั้ง
ทั้งนำกระถางโกศล 6 กระถางมาตั้งแก้เคล็ด อัญเชิญพระสังกัจจายน์ประดิษฐานบนดาดฟ้า เหนือห้องทำงานนายกฯ
รวมถึงการนำเอาดวงแก้วมาตั้งไว้หลายจุดในตึกไทยคู่ฟ้า
เพื่อเสริมดวงเสริมบารมีให้นายอภิสิทธิ์
ล่าสุด ก็เรียกใช้บริการแชมป์จัดสวนโลกมาจัดสวน ไถพื้นที่ ปลูกต้นไม้ ปรับภูมิทัศน์เสริมฮวงจุ้ยเป็นการใหญ่
ซื้อต้นปาล์มยะวาจากชวาจำนวน 70 ต้น พร้อมกับต้น ไทรอังกฤษ 11 พุ่มมาปลูก
เฉพาะต้นปาล์มนั้น เจ้าของสวนนงนุชระบุเองว่าราคา ต้นละ 35,000 บาท
รวมค่าจัดสวนเมื่อเดือนกันยายน ตกประมาณ 6 ล้านบาท
นายกัมพล ตันสัจจา อ้างว่าทำให้ฟรี ไม่คิดค่าจ้าง
หลังจากเนรมิตบรรยากาศใหม่ให้ทำเนียบเสร็จสมใจ
ก็เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ว่าภูมิทัศน์ใหม่นี้เหมือนกับจูราสสิค ปาร์ก
บ้างก็ว่าถ้าต้นปาล์มดลบันดาลให้เกิดความสุขสงบจริง
ป่านนี้ 4 จังหวัดภาคใต้ก็คงไม่มีเหตุรุนแรงรายวันไปแล้ว
หลังจากลงต้นปาล์มปลูกไทรอังกฤษ
ทำไมเสียงระเบิดยังคงกัมปนาทอย่างต่อเนื่องในเมืองหลวง
ทำไมนายกฯ และคณะรัฐมนตรี จึงอยู่ในสภาวะเดินทางไปไหมมาไหนอย่างหวาดระแวง
ต้องระดมอารักขากันยิ่งกว่าไข่ในหิน
สิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายมากมายขนาดไหน ในแต่ละวัน
ยิ่งมีเสียงทักจากปรมาจารย์ฮวงจุ้ยว่าการตกแต่งจัดสวนในครั้งนี้ล้วนแต่เป็นสิ่งอัปมงคล
นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ เลขาธิการนายกฯ ต้องเรียกเจ้าของสวนนงนุชมาปรับแก้ใหม่
ถอนต้นปาล์ม ต้นไทรอังกฤษออกไป
ทั้งๆ ที่ปลูกได้ไม่ถึงเดือน
ความจริงทำเนียบรัฐบาล ได้เกิดสิ่งอัปมงคลตั้งแต่การปฏิวัติวันที่ 19 ก.ย.2549 แล้ว
ประชาธิปไตยเสียหายตั้งแต่บัดนั้น
ยิ่งต่อมามีบางกลุ่มบุกเข้าไปปักหลักยึดทำเนียบ กินอยู่นับเดือน ก็ยิ่งเสียหาย
เพราะจนถึงบัดนี้ การชำระความผิดเหล่านั้นก็ยังคงเดินไปอย่างช้าๆ
นายอภิสิทธิ์ และพรรคร่วมรัฐบาลในขณะนี้ ถือว่าเกิดขึ้นมาด้วยวิธีพิเศษ
แม้จะได้เข้าไปทำงานในทำเนียบรัฐบาล
แต่เป็นนายกฯ และรัฐบาลที่อยู่ห่างไกลจากประชาชนอย่างมาก
ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นของคนบางกลุ่มเท่านั้น ไม่ใช่ของ ประชาชนทั้งประเทศ
ยิ่งเกิดความรุนแรงต่อการชุมนุมของประชาชนในวันที่ 10 เม.ย. และวันที่ 19 พ.ค.
จนทำให้มีผู้เสียชีวิตเกือบ 100 ศพ บาดเจ็บอีกกว่า 2,000 ชีวิต
แต่ความเป็นธรรมกับคนตายและคนเจ็บยังไม่ปรากฏ
โดยอยู่ในความรับผิดชอบของรัฐบาลนี้เต็มๆ
ต่อให้ปรับแต่งฮวงจุ้ย แก้เคล็ดวันละหลายๆ ครั้ง
ก็ไม่มีทางจะเกิดสิริมงคลได้เลย
เหล็กใน
ทําเนียบรัฐบาลยุค นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ครองเมือง มีการเล่นไสยศาสตร์มาหลายครั้ง
ทั้งนำกระถางโกศล 6 กระถางมาตั้งแก้เคล็ด อัญเชิญพระสังกัจจายน์ประดิษฐานบนดาดฟ้า เหนือห้องทำงานนายกฯ
รวมถึงการนำเอาดวงแก้วมาตั้งไว้หลายจุดในตึกไทยคู่ฟ้า
เพื่อเสริมดวงเสริมบารมีให้นายอภิสิทธิ์
ล่าสุด ก็เรียกใช้บริการแชมป์จัดสวนโลกมาจัดสวน ไถพื้นที่ ปลูกต้นไม้ ปรับภูมิทัศน์เสริมฮวงจุ้ยเป็นการใหญ่
ซื้อต้นปาล์มยะวาจากชวาจำนวน 70 ต้น พร้อมกับต้น ไทรอังกฤษ 11 พุ่มมาปลูก
เฉพาะต้นปาล์มนั้น เจ้าของสวนนงนุชระบุเองว่าราคา ต้นละ 35,000 บาท
รวมค่าจัดสวนเมื่อเดือนกันยายน ตกประมาณ 6 ล้านบาท
นายกัมพล ตันสัจจา อ้างว่าทำให้ฟรี ไม่คิดค่าจ้าง
หลังจากเนรมิตบรรยากาศใหม่ให้ทำเนียบเสร็จสมใจ
ก็เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ว่าภูมิทัศน์ใหม่นี้เหมือนกับจูราสสิค ปาร์ก
บ้างก็ว่าถ้าต้นปาล์มดลบันดาลให้เกิดความสุขสงบจริง
ป่านนี้ 4 จังหวัดภาคใต้ก็คงไม่มีเหตุรุนแรงรายวันไปแล้ว
หลังจากลงต้นปาล์มปลูกไทรอังกฤษ
ทำไมเสียงระเบิดยังคงกัมปนาทอย่างต่อเนื่องในเมืองหลวง
ทำไมนายกฯ และคณะรัฐมนตรี จึงอยู่ในสภาวะเดินทางไปไหมมาไหนอย่างหวาดระแวง
ต้องระดมอารักขากันยิ่งกว่าไข่ในหิน
สิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายมากมายขนาดไหน ในแต่ละวัน
ยิ่งมีเสียงทักจากปรมาจารย์ฮวงจุ้ยว่าการตกแต่งจัดสวนในครั้งนี้ล้วนแต่เป็นสิ่งอัปมงคล
นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ เลขาธิการนายกฯ ต้องเรียกเจ้าของสวนนงนุชมาปรับแก้ใหม่
ถอนต้นปาล์ม ต้นไทรอังกฤษออกไป
ทั้งๆ ที่ปลูกได้ไม่ถึงเดือน
ความจริงทำเนียบรัฐบาล ได้เกิดสิ่งอัปมงคลตั้งแต่การปฏิวัติวันที่ 19 ก.ย.2549 แล้ว
ประชาธิปไตยเสียหายตั้งแต่บัดนั้น
ยิ่งต่อมามีบางกลุ่มบุกเข้าไปปักหลักยึดทำเนียบ กินอยู่นับเดือน ก็ยิ่งเสียหาย
เพราะจนถึงบัดนี้ การชำระความผิดเหล่านั้นก็ยังคงเดินไปอย่างช้าๆ
นายอภิสิทธิ์ และพรรคร่วมรัฐบาลในขณะนี้ ถือว่าเกิดขึ้นมาด้วยวิธีพิเศษ
แม้จะได้เข้าไปทำงานในทำเนียบรัฐบาล
แต่เป็นนายกฯ และรัฐบาลที่อยู่ห่างไกลจากประชาชนอย่างมาก
ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นของคนบางกลุ่มเท่านั้น ไม่ใช่ของ ประชาชนทั้งประเทศ
ยิ่งเกิดความรุนแรงต่อการชุมนุมของประชาชนในวันที่ 10 เม.ย. และวันที่ 19 พ.ค.
จนทำให้มีผู้เสียชีวิตเกือบ 100 ศพ บาดเจ็บอีกกว่า 2,000 ชีวิต
แต่ความเป็นธรรมกับคนตายและคนเจ็บยังไม่ปรากฏ
โดยอยู่ในความรับผิดชอบของรัฐบาลนี้เต็มๆ
ต่อให้ปรับแต่งฮวงจุ้ย แก้เคล็ดวันละหลายๆ ครั้ง
ก็ไม่มีทางจะเกิดสิริมงคลได้เลย
วันจันทร์ที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2553
เชื่อจิ้งจกหรือเชื่อหมอดู!!
กอร์ปศักดิ์ สภาวสุ
ผมเพิ่งรู้ว่า คนใหญ่คนโตอย่าง กอร์ปศักดิ์ สภาวสุ เป็นคนที่เกรงใจแม้กระทั่ง “จิ้งจก” เพราะคุณกอร์ปศักดิ์ แสดงเหตุผลในการรื้อต้นไม้หน้าตึกไทยคู่ฟ้าที่เพิ่งเสียตังค์ไปหยกๆ ว่า....
เมื่อมีคนทักมากเข้าเราก็ต้องทำ เหมือนจิ้งจกทัก!! เพราะไม่ใช่บ้านเรา ถ้าเป็นบ้านผมเองใครจะมายุ่งผมก็ไม่ยอม!!
แต่คุณกอร์ปศักดิ์ ก็ไม่ทิ้งลายประชาธิปัตย์ที่จะ “ทิ้งท้าย” ไว้ให้ฟังดูเก๋ว่า....
การรื้อถอนครั้งนี้ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องของฮวงจุ้ย เพราะคนอย่างเขาไม่ได้สนใจอยู่แล้ว!!
เลยจับตัวกันไม่ได้จนบัดนี้ว่า ใครเป็นเจ้าของความคิดในการ “ปรับฮวงจุ้ย” และจ้างสวนนงนุชให้หาต้นปาล์มที่สูงยังกับเปรตมาปลูกหน้าตึกไทยคู่ฟ้า รกรุงรังไปหมด??
กอร์ปศักดิ์ ก็ปฏิเสธ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็คงปฏิเสธ?
แล้วใครสั่ง??
กอร์ปศักดิ์ ชี้แจงถึงเหตุที่ต้องรื้อถอนเพราะมีคนทักว่า บดบังทัศนียภาพของตึก แต่ก็ย้ำว่า ต้องดำเนินการให้เสร็จสิ้นในระหว่างที่นายกรัฐมนตรีเดินทางไปต่างประเทศ เมื่อกลับมาทุกอย่างก็จะสวยงามเรียบร้อย
และการรื้อถอนครั้งนี้ตนไม่ได้รายงานให้นายกฯ รับทราบ เพราะเห็นว่าเป็นเรื่องไร้สาระ
คำว่า ต้องรีบดำเนินการรื้อถอนต้นไม้ที่เพิ่งเอามาปลูกหน้าตึกไทยคู่ฟ้าออกให้หมด มันคงเกี่ยวกับความเชื่ออะไรบางอย่าง หรือมีซินแสรายอื่นมาทายทักค้านซินแสคนเก่าทำนองว่า...
ถ้าไม่เอาต้นไม้ที่รกรุงรังอายเขาไปทั้งโลกออกเสียก่อนนายกรัฐมนตรีกลับจากการประชุมต่างประเทศ เผลอๆ ความอาถรรพ์ของมันอาจทำให้ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ไม่ได้กลับไทย!!
ถ้ามีใครแอบนินทาหรือพูดอย่างนี้ คุณกอร์ปศักดิ์ ก็ไปตำหนิเขาไม่ได้!! เพราะพวกคุณทำให้เขาคิดอย่างนั้นกันเอง
การเอาเงินหลวงมาปลูกต้นไม้ให้รกทำเนียบฯ เพียงแค่จะเแก้ฮวงจุ้ย แต่..ไม่กี่อึดใจ ก็มีคำสั่งใหม่ให้ถอน “ต้นปาล์ม” และต้นไม้ราคาโคตรแพงทิ้งให้หมดให้หมด ตาม “คำทักของหมอดู”(อีกคน) มันแสดงให้เห็นถึงการขาดความมั่นใจในการบริหารประเทศด้วยสติปัญญาและฝีมือ
แต่มุ่งมั่นในการพึ่งโหราศาสตร์ และเชื่อซินแสที่(อ้างว่า)เชี่ยวชาญเรื่องฮวงจุ้ย มันเข้าทำนอง “รำไม่ดี โทษปี่โทษกลอง” หรือ นักแบดมินตัน ตีลูกเสียแล้วหันไปมอง “แร็กเก็ต” เหมือนจะโยนความผิดพลาดไปให้ไม้ตี!!
ต้นปาล์มดังกล่าวนี้ เพิ่งนำมาปลูกเมื่อต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมา เมื่อครั้งปรับภูมิทัศน์และฮวงจุ้ยครั้งใหญ่ของทำเนียบรัฐบาล แต่นายวรธนัท อัศกุลโกวิท หรือ “หมอหม่า” โหรประจำพรรคประชาธิปัตย์ ติติงว่า เป็นอัปมงคล จะทำให้รัฐบาลตกต่ำ
และอาจมีหมอดูอีกเป็นทิวแถวที่เฮกันเข้ามาทำนายเชิงข่มขวัญให้รีบรื้อถอนต้นไม้พวกนั้นทิ้งเสียโดยเร็ว ไม่อย่างนั้น รัฐบาลจะเจอวิกฤติการณ์ที่คาดไม่ถึง ก็เลยเกิดปฏิบัติการฉุกเฉินในการ “รื้อถอนด่วน”ขึ้นอย่างที่เห็นๆ กัน
เรื่องรัฐบาลมาร์คชอบบ้าจี้เชื่อแต่โหราศาสตร์และเชื่อหมอดูมากกว่าความจริง มันทำให้หนักใจแทนคนไทย 63 ล้าน!! ถ้า “รัฐบาลประชาธิปัตย์” ยังบริหารประเทศด้วยโหราศาสตร์ และ ไสยศาสตร์ เชื่อ “ซินแสแก้ฮวงจุ้ย” กับ ยึดมั่นในคำพยากรณ์ประดาหมอดู และ โหรต่องแต่ง ประเทศนี้ก็สิ้นหวัง.....
สำหรับ กอร์ปศักดิ์ สภาวสุ ก็ขอติงว่า....ที “จิ้งจักทัก” คุณยังเชื่อ แต่คนตัวเป็นๆ จำนวนหลายล้านเตือนเรื่องให้เลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และ รื้อ ศอฉ.ทิ้งซะ!! พวกคุณกลับไม่ยอมเชื่อ!!
คอลัมน์.ปัญหาโลกแตก.สองคม
ที่มา.บางกอกทูเดย์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ผมเพิ่งรู้ว่า คนใหญ่คนโตอย่าง กอร์ปศักดิ์ สภาวสุ เป็นคนที่เกรงใจแม้กระทั่ง “จิ้งจก” เพราะคุณกอร์ปศักดิ์ แสดงเหตุผลในการรื้อต้นไม้หน้าตึกไทยคู่ฟ้าที่เพิ่งเสียตังค์ไปหยกๆ ว่า....
เมื่อมีคนทักมากเข้าเราก็ต้องทำ เหมือนจิ้งจกทัก!! เพราะไม่ใช่บ้านเรา ถ้าเป็นบ้านผมเองใครจะมายุ่งผมก็ไม่ยอม!!
แต่คุณกอร์ปศักดิ์ ก็ไม่ทิ้งลายประชาธิปัตย์ที่จะ “ทิ้งท้าย” ไว้ให้ฟังดูเก๋ว่า....
การรื้อถอนครั้งนี้ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องของฮวงจุ้ย เพราะคนอย่างเขาไม่ได้สนใจอยู่แล้ว!!
เลยจับตัวกันไม่ได้จนบัดนี้ว่า ใครเป็นเจ้าของความคิดในการ “ปรับฮวงจุ้ย” และจ้างสวนนงนุชให้หาต้นปาล์มที่สูงยังกับเปรตมาปลูกหน้าตึกไทยคู่ฟ้า รกรุงรังไปหมด??
กอร์ปศักดิ์ ก็ปฏิเสธ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็คงปฏิเสธ?
แล้วใครสั่ง??
กอร์ปศักดิ์ ชี้แจงถึงเหตุที่ต้องรื้อถอนเพราะมีคนทักว่า บดบังทัศนียภาพของตึก แต่ก็ย้ำว่า ต้องดำเนินการให้เสร็จสิ้นในระหว่างที่นายกรัฐมนตรีเดินทางไปต่างประเทศ เมื่อกลับมาทุกอย่างก็จะสวยงามเรียบร้อย
และการรื้อถอนครั้งนี้ตนไม่ได้รายงานให้นายกฯ รับทราบ เพราะเห็นว่าเป็นเรื่องไร้สาระ
คำว่า ต้องรีบดำเนินการรื้อถอนต้นไม้ที่เพิ่งเอามาปลูกหน้าตึกไทยคู่ฟ้าออกให้หมด มันคงเกี่ยวกับความเชื่ออะไรบางอย่าง หรือมีซินแสรายอื่นมาทายทักค้านซินแสคนเก่าทำนองว่า...
ถ้าไม่เอาต้นไม้ที่รกรุงรังอายเขาไปทั้งโลกออกเสียก่อนนายกรัฐมนตรีกลับจากการประชุมต่างประเทศ เผลอๆ ความอาถรรพ์ของมันอาจทำให้ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ไม่ได้กลับไทย!!
ถ้ามีใครแอบนินทาหรือพูดอย่างนี้ คุณกอร์ปศักดิ์ ก็ไปตำหนิเขาไม่ได้!! เพราะพวกคุณทำให้เขาคิดอย่างนั้นกันเอง
การเอาเงินหลวงมาปลูกต้นไม้ให้รกทำเนียบฯ เพียงแค่จะเแก้ฮวงจุ้ย แต่..ไม่กี่อึดใจ ก็มีคำสั่งใหม่ให้ถอน “ต้นปาล์ม” และต้นไม้ราคาโคตรแพงทิ้งให้หมดให้หมด ตาม “คำทักของหมอดู”(อีกคน) มันแสดงให้เห็นถึงการขาดความมั่นใจในการบริหารประเทศด้วยสติปัญญาและฝีมือ
แต่มุ่งมั่นในการพึ่งโหราศาสตร์ และเชื่อซินแสที่(อ้างว่า)เชี่ยวชาญเรื่องฮวงจุ้ย มันเข้าทำนอง “รำไม่ดี โทษปี่โทษกลอง” หรือ นักแบดมินตัน ตีลูกเสียแล้วหันไปมอง “แร็กเก็ต” เหมือนจะโยนความผิดพลาดไปให้ไม้ตี!!
ต้นปาล์มดังกล่าวนี้ เพิ่งนำมาปลูกเมื่อต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมา เมื่อครั้งปรับภูมิทัศน์และฮวงจุ้ยครั้งใหญ่ของทำเนียบรัฐบาล แต่นายวรธนัท อัศกุลโกวิท หรือ “หมอหม่า” โหรประจำพรรคประชาธิปัตย์ ติติงว่า เป็นอัปมงคล จะทำให้รัฐบาลตกต่ำ
และอาจมีหมอดูอีกเป็นทิวแถวที่เฮกันเข้ามาทำนายเชิงข่มขวัญให้รีบรื้อถอนต้นไม้พวกนั้นทิ้งเสียโดยเร็ว ไม่อย่างนั้น รัฐบาลจะเจอวิกฤติการณ์ที่คาดไม่ถึง ก็เลยเกิดปฏิบัติการฉุกเฉินในการ “รื้อถอนด่วน”ขึ้นอย่างที่เห็นๆ กัน
เรื่องรัฐบาลมาร์คชอบบ้าจี้เชื่อแต่โหราศาสตร์และเชื่อหมอดูมากกว่าความจริง มันทำให้หนักใจแทนคนไทย 63 ล้าน!! ถ้า “รัฐบาลประชาธิปัตย์” ยังบริหารประเทศด้วยโหราศาสตร์ และ ไสยศาสตร์ เชื่อ “ซินแสแก้ฮวงจุ้ย” กับ ยึดมั่นในคำพยากรณ์ประดาหมอดู และ โหรต่องแต่ง ประเทศนี้ก็สิ้นหวัง.....
สำหรับ กอร์ปศักดิ์ สภาวสุ ก็ขอติงว่า....ที “จิ้งจักทัก” คุณยังเชื่อ แต่คนตัวเป็นๆ จำนวนหลายล้านเตือนเรื่องให้เลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และ รื้อ ศอฉ.ทิ้งซะ!! พวกคุณกลับไม่ยอมเชื่อ!!
คอลัมน์.ปัญหาโลกแตก.สองคม
ที่มา.บางกอกทูเดย์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ราชทัณฑ์ดูแล"วิคเตอร์ บูท"ในฐานะผู้ต้องขังต่อ
นายชาติชาย สุทธิกลม อธิบดีกรมราชทัณฑ์ กล่าวภายหลังศาลอาญามีคำสั่งยกคำร้องของอัยการในการขอถอนฟ้องในความผิดฐานฉ้อโกงและฟอกเงินทางอิเลคทรอนิคส์ของนายวิคเตอร์ บูท นักค้าอาวุธสงครามชาวรัสเซีย ว่า เมื่อศาลยกคำร้องก็ถือว่านายวิคเตอร์ บูท ยังคงต้องเป็นผู้ต้องขังในเรือนจำที่กรมราชทัณฑ์จะต้องให้การดูแลต่อไป โดยการดูแลนายวิคเตอร์ บูท จะยังคงใช้มาตรการรักษาความปลอดภัยขั้นสูงสุด ในฐานะผู้ต้องขังคดีที่อยู่ระหว่างการพิจารณา ซึ่งจะต้องถูกคุมขังอยู่แดนความมั่นคงสูงของเรือนจำกลางบางขวางเช่นเดิมเพราะถือเป็นเรือนจำความมั่นคงสูง โดยจะจัดเจ้าหน้าที่ดูแลความปลอดภัยในเรือนจำอย่างเข้มงวด
นายชาติชาย กล่าวอีกว่า สำหรับการเข้าเยี่ยมนายวิคเตอร์ บูท ก็เป็นไปตามระเบียบเช่นเดียวกับผู้ต้องขังรายอื่น ส่วนทนายและภรรยาของนายวิคเตอร์ บูท สามารถเข้าเยี่ยมได้ตามปกติ พร้อมย้ำว่าส่วนตัวไม่รู้สึกหนักใจและจะพยายามให้การดูแลนายวิคเตอร์ บูท อย่างเต็มที่จนกว่าคดีจะสิ้นสุด
ที่มา.เนชั่น
*************************************
นายชาติชาย กล่าวอีกว่า สำหรับการเข้าเยี่ยมนายวิคเตอร์ บูท ก็เป็นไปตามระเบียบเช่นเดียวกับผู้ต้องขังรายอื่น ส่วนทนายและภรรยาของนายวิคเตอร์ บูท สามารถเข้าเยี่ยมได้ตามปกติ พร้อมย้ำว่าส่วนตัวไม่รู้สึกหนักใจและจะพยายามให้การดูแลนายวิคเตอร์ บูท อย่างเต็มที่จนกว่าคดีจะสิ้นสุด
ที่มา.เนชั่น
*************************************
ผบ.สส. ปัดทหารเอี่ยวกองกำลังแดงซ้อมอาวุธ
พล.อ.ทรงกิตติ จักกาบาตร์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ให้สัมภาษณ์ถึงผลการประชุมผบ.เหล่าทัพครั้งที่ 1 / 54 เพื่อมอบนโยบายการปฏิบัติงานของกองทัพไทยในปี 2554 ว่า สิ่งที่กองทัพจะดำเนินการในห้วงระยะเวลาข้างหน้า และเป็นพื้นฐานในอนาคตสร้างความเข้มแข็งให้กับกองทัพ เพื่อให้เกิดความศรัทธาทั้งภายใน และภายนอกประเทศ งานสำคัญ คือ การปกปกป้องอธิปไตยและดินแดน รวมถึงรักษาผลประโยชน์ของชาติ ทั้งในอาณาเขตทางทะเลและอากาศ ที่สำคัญที่สุด คือ การเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ และน้อมนำแนวทางตามพระราชดำรัสลงมาปฏิบัติ ส่วนด้านการเมือง กองทัพยืนยันว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง กองทัพเป็นองค์กรหนึ่งของรัฐในด้านความมั่นคง เราทำตามรัฐธรรมนูญ เราทำนอกจากนี้ไม่ได้ เพราะถือว่าผิดกติกา เราทำตามนโยบายของรัฐและปฏิบัติตามแนวทางของรัฐบาล
เมื่อถามถึงกรณีที่กองกำลังกลุ่มคนเสื้อแดงจำนวน 11 คนที่ถูกตำรวจจับในข้อหามีการฝึกซ้อมใช้อาวุธที่ จ.เชียงใหม่ พล.อ.ทรงกิตติ กล่าวว่า ยังไม่ได้รับรายงาน แต่หากตำรวจเป็นผู้จับคงไม่ได้รายงานมายังตน
ส่วนกรณีที่มีข่าวว่ามีทหารเข้าไปพัวพันเหตุการณ์ที่สนามบินสุวรรณภูมินั้น หากมีรายงานว่า ทหารเข้ามาเกี่ยวข้องต้องทำตามระเบียบ กฎหมาย ข้อบังคับ ซึ่งขณะนี้ยังไม่ได้รับรายงานยืนยันในเรื่องตัวบุคคล แต่เจ้าหน้าที่ได้รายงานให้ตนทราบแล้วว่า เป็นใคร หากเกี่ยวข้องกับหน่วยงานไหน ให้หน่วยงานนั้นสอบสวนแล้วรายงานขึ้นมา ซึ่งเป็นเรื่องของบุคคลที่ต้องรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่ใช่กองทัพทำ หากเป็นกองทัพแสดงว่า ผู้บัญชาการทหารสูงสุดให้นโยบายผบ.เหล่าทัพลงไปทำ ส่วนงานด้านการข่าว เขาจะไม่นำการข่าวมาพูดในทางสาธารณะ การจะติดตามใครไม่จำเป็นต้องมาบอกว่าติดตามใคร
ที่มา.เนชั่น
---------------------------------------------------------------------
เมื่อถามถึงกรณีที่กองกำลังกลุ่มคนเสื้อแดงจำนวน 11 คนที่ถูกตำรวจจับในข้อหามีการฝึกซ้อมใช้อาวุธที่ จ.เชียงใหม่ พล.อ.ทรงกิตติ กล่าวว่า ยังไม่ได้รับรายงาน แต่หากตำรวจเป็นผู้จับคงไม่ได้รายงานมายังตน
ส่วนกรณีที่มีข่าวว่ามีทหารเข้าไปพัวพันเหตุการณ์ที่สนามบินสุวรรณภูมินั้น หากมีรายงานว่า ทหารเข้ามาเกี่ยวข้องต้องทำตามระเบียบ กฎหมาย ข้อบังคับ ซึ่งขณะนี้ยังไม่ได้รับรายงานยืนยันในเรื่องตัวบุคคล แต่เจ้าหน้าที่ได้รายงานให้ตนทราบแล้วว่า เป็นใคร หากเกี่ยวข้องกับหน่วยงานไหน ให้หน่วยงานนั้นสอบสวนแล้วรายงานขึ้นมา ซึ่งเป็นเรื่องของบุคคลที่ต้องรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่ใช่กองทัพทำ หากเป็นกองทัพแสดงว่า ผู้บัญชาการทหารสูงสุดให้นโยบายผบ.เหล่าทัพลงไปทำ ส่วนงานด้านการข่าว เขาจะไม่นำการข่าวมาพูดในทางสาธารณะ การจะติดตามใครไม่จำเป็นต้องมาบอกว่าติดตามใคร
ที่มา.เนชั่น
---------------------------------------------------------------------
‘เป็ด’ไม่หยุด!! อีก 2 วันก็รู้
ยิ่งดิ้นยิ่งเจ๊ง!!
จากรุ่งเรืองกลายเป็นรุ่งริ่ง!!
ทั้งๆ ที่นับวันสังคมไทยจะตื่นตัวกับการรับข้อมูลข่าวสารมากขึ้นทุกที และพิจารณาบุคคลหรือเรื่องราวต่างๆตามเนื้อผ้า
แต่ไม่น่าเชื่อว่าบุคคลที่น่าจะเป็นผู้ใหญ่หลายๆคน กลับยังคงทำตัวให้กระทบกับภาพลักษณ์ได้อย่างไม่น่าเชื่อ
ง่ายๆแค่เรื่องระหว่าง ฟิล์ม รัฐภูมิ โตคงทรัพย์ กับ แอนนี่ บรู๊ก ซึ่งสังคมอยู่ระหว่างพิจารณาว่าอะไรจริง อะไรเท็จ และใครบ้างที่พูดโกหก
แต่กลายเป็นว่าคนที่ถูกด่า ถูกตำหนิมากที่สุดในเรื่องนี้ ก็คือ เฮียฮ้อ สุรชัย เชษฐโชติศักดิ์ เพราะดันออกมาพูดจาในรอบหลังนอกจากจะไม่รักษาฟอร์มความเป้นผู้ใหญ่แล้ว
ยังถูกมองว่าพูดในสิ่งที่ลูกผู้ชายจะไม่ทำกัน
เลยกลายเป็นว่าตอนนี้ ฟิล์ม หรือ แอนนี่ ก็ยังถูกด่าน้อยกว่าเฮียฮ้อเสียอีก... พลิกกลับตาลปัด ก็เพราะการกระทำของเฮียฮ้อนั่นเอง
เช่นเดียวกับกรณีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับหน่วยงานที่จะต้องมีความน่าเชื่อถือ มีภาพลักษณ์ที่ดี เพื่อให้เกิดการยอมรับจากสังคม อย่างสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ซึ่งต้องยอมรับว่าบทบาทในอดีตของ สตง.สามารถทำได้ดีมาโดยตลอด
แต่เวลานี้ เพราะการกระทำของคุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา กลับทำให้ สตง.ปั่นป่วนวุ่นวายไปหมด
แม้กระทั่งภาพลักษณ์ของตัวคุณหญิงเป็ดเอง หากเทียบกับในอดีตก่อนหน้านี้ กับเวลานี้ก็พลิกหน้ามือเป็นหลังมือไปเสียแล้ว
เหตุเพราะการดิ้นรนพยายามที่จะอยู่ในตำแหน่งผู้ว่าการ สตง.ต่อไป โดยไม่สนใจว่าอายุครบ 65 ปีแล้ว
การพยายามอ้างเหตุผลอำนาจคณะรัฐประหาร 19 กันยา 49 รวมทั้งการกระทำต่างๆ ไม่สามารถที่จะสร้างการยอมรับให้กับสังคมได้เลย
กับยิ่งกลายเป็นข้อสงสัยของประชาชนมากขึ้น... 65 แล้วยังไม่พออีกหรือ... นั่งทับอะไรไว้หรือเปล่าจึงไม่ยอมลุก... มีเงื่อนงำเบื้องลึกอะไร แฝงเจตนาอะไรกันแน่...
เหล่านี้คือคำถามที่เกิดขึ้นในสังคม
เพราะตลอดมาสังคมไทยรับรู้ว่า ข้าราชการไทย 60 ปี ก็ต้องเกษียณแล้ว นี่ได้กรณีพิเศษเพราะเป็น สตง. จึงได้เป็นถึง 65 ปี ซึ่งก็ถือว่ามากที่สุดแล้ว ทำไมยังไม่พออีก??
นี่คือมุมมองของชาวบ้านที่มองในตรรกะง่ายๆ ไม่ซับซ้อน
แน่นอนว่าถ้าเป็นการแย่งชิงตำแหน่ง โดยที่คุณหญิงเป็ดอายุยังไม่ถึง 60 ปี รับรองได้ว่ามีประเด็นแน่ เพราะจะมีคนไม่น้อยที่จะรู้สึกหรือคิดว่าคุณหญิงเป็ดโดนรังแก
แต่กรณีนี้ คุณหญิงเป็ดอายุ 65 ปีแล้ว ไม่มีใครคิดว่าถูกรังแก มีแต่คิดว่ายังไม่พออีกหรือกันทั้งนั้น!!
ถือเป็นบุคคลที่เคยได้รับความเชื่อถือ และอุตส่าห์สร้างภาพลักษณ์ที่ขายได้มานาน กลับมาล่มเอาง่ายๆตอนบั้นปลาย
และยิ่งความพยายามที่ดิ้นรนจำทำทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการเข้าไปแย่งพูด เข้าไปแย่งที่นั่ง เข้าไปคว้าไมโครโฟนพูดทั้งๆที่ถูกคนใน สตง. วอล์คเอาท์ และปิดไฟห้องไปแล้วด้วยซ้ำนั้น
ภาพเหล่านี้บอกเลยว่ายิ่งทำให้ต้นทุนทางสังคมที่เคยมีหดหายไปหมด
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในช่วงโค้งสุดท้าย ที่นายพิศิษฐ์ ลีลาวชิโรภาส รองผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน รักษาราชการการแทนผู้ว่การตรวจเงินแผ่นดินยื่นคำร้องต่อศาลปกครองกลางเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2553 ในฐานะผู้ร้องสอดในคดีที่ผู้ตรวจการแผ่นดินขอให้ศาลพิพากษาเพิกถอนคำสั่งของคุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา อดีตผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน ลงวันที่ 18 สิงหาคม 2553 ยกเลิกคำสั่งแต่งตั้งนายพิศิษฐ์ รักษาราชการแทนผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินรวมทั้งห้ามผู้ถูกฟ้องคดีกระทำการใดอันมิชอบด้วยกฎหมายอีกต่อไป
และศาลปกครองก็ได้มีการสรุปวันที่จะสอบข้อเท็จจริงจากคุณหญิงเป็ดในวันที่ 5 ตุลาคมนี้ แล้วก็จะปิดการพิสูจน์ข้อเท็จริง และวินิจฉัยคดีในวันที่ 6 ตุลาคมนี้แล้ว
ปรากฏว่าคุณหญิงเป็ด แทนที่จะทำใจทำอารมณ์ให้นิ่งลง แล้วรอฟังผลคดีจากทางศาลแกครองสูงสุดอย่างสุขุมเยือกเย็น เพื่อรักษาภาพลักษณ์ที่รุ่งริ่งหมดแล้ว ให้ดูดีขึ้นมาบ้าง แต่กลับไม่ทำ
กลับยังคงดิ้นรนให้สังคมได้เห็นต่อไปอีก โดยยังคงพยายามที่จะใช้อำนาจของผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินต่อไปเรื่อยๆ ซึ่งกระทบต่อการปฏิบัติหน้าที่ราชการของนายพิศิษฐ์ และถูกมองว่าก่อให้เกิดความเสียหายต่อการบริหาราชการของ สตง.
โดยประการแรกคุณหญิงเป็ดได้ลงนามในบันทึกข้อความ สตง. ลงวันที่ 29 กันยายน 2553 เรื่อง แผนงานเพื่อความก้าวหน้าของ สตง. แจ้งเพื่อข้าราชการและลูกจ้างทุกระดับทราบโดยทั่วกันถึงนโยบายการบริหารงานบุคคล และการปรับโครงสร้างของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินคำร้อง
ประการที่ 2. ลงนามในคำสั่ง สตง. ที่ 225/2553 ลงวันที่ 29 กันยายน 2553 เรื่อง ยกเลิกบรรดาคำสั่งทุกคำสั่ง บันทึกข้อความต่างๆ ของนายพิศิษฐ์ โดยอ้างว่าคดียังอยู่ระหว่างศาลนัดไต่สวน ดังนั้น คำสั่ง สตง. ที่ 184/2553 ลงวันที่ 18 สิงหาคม 2553 ที่ยกเลิกมิให้ผู้ร้องสอด(นายพิศิษฐ์)รักษาราชการแทน จึงมีผลอยู่ตามข้อ 69 ของระเบียบของที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุดว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2543
ประการที่ 3 ลงนามในคำสั่ง สตง. ที่ 226/2553 ลงวันที่ 29 กันยายน 2553 เรื่อง มอบหมายให้รองผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน และผู้ตรวจเงินแผ่นดิน 11 ปฏิบัติราชการแทนผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน เพื่อแจ้งการมอบหมาย มอบอำนาจ ในการสั่งการอนุญาต อนุมัติ ปฏิบัติราชการแทน หรือดำเนินการอื่นแทนผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน
สุดท้ายประการที่ 4 ผู้ถูกฟ้องคดีอ้างอำนาจเจ้าหน้าที่ของรัฐในตำแหน่งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน กระทำการอันเป็นการรบกวน ขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ราชการของผู้ร้องสอดในฐานะผู้รักษาราชการแทนผู้ว่าการฯ
แน่นอนว่าเจอแบบนี้นนายพิศิษฐ์ย่อมไม่ยอมนิ่งแน่ เพราะถือว่าสร้างความสับสนให้กับหน่วยรับตรวจ ข้าราชการและลูกจ้าง สตง.ก่อให้เกิดความเสียหายแก่งานการตรวจเงินแผ่นดินและการบริหารราชการของรัฐโดยรวม
ที่สำคัญนายพิศิษฐ์นั้นไม่สามารถบริหารราชการได้โดยปกติสุข นับเป็นความเสียหายทีเกิดขึ้นแก่ผู้ร้องสอดและ สตง.ที่ยากแก่การเยียวยาแก้ไขได้ในภายหลัง
แม้ข้อเท็จจริงยังไม่มีจุดสรุป แต่การดิ้นรนไม่เลิกของคุณหญิงเป็ด ได้ทำให้เกิดภาพลบกับตัวคุณหญิงเป็ดเองมากขึ้นเรื่อยๆ
น่าเสียดายภาพที่เคยสร้างเอาไว้ให้สังคมเห็นในอดีตชะมัด
นี่ถ้ายอมรับเสียว่าคนเราทุกคนต้องมีแก่มีร่วงโรย ถึงเวลาก็ต้องรูดม่านลาโรงออกไป... ภาพวันนี้ก็คไม่เละเป็นวุ้นขนาดนี้แน่
อนิจจา คุณหญิงเป็ด!!!
ที่มา.บางกอกทูเดย์
จากรุ่งเรืองกลายเป็นรุ่งริ่ง!!
ทั้งๆ ที่นับวันสังคมไทยจะตื่นตัวกับการรับข้อมูลข่าวสารมากขึ้นทุกที และพิจารณาบุคคลหรือเรื่องราวต่างๆตามเนื้อผ้า
แต่ไม่น่าเชื่อว่าบุคคลที่น่าจะเป็นผู้ใหญ่หลายๆคน กลับยังคงทำตัวให้กระทบกับภาพลักษณ์ได้อย่างไม่น่าเชื่อ
ง่ายๆแค่เรื่องระหว่าง ฟิล์ม รัฐภูมิ โตคงทรัพย์ กับ แอนนี่ บรู๊ก ซึ่งสังคมอยู่ระหว่างพิจารณาว่าอะไรจริง อะไรเท็จ และใครบ้างที่พูดโกหก
แต่กลายเป็นว่าคนที่ถูกด่า ถูกตำหนิมากที่สุดในเรื่องนี้ ก็คือ เฮียฮ้อ สุรชัย เชษฐโชติศักดิ์ เพราะดันออกมาพูดจาในรอบหลังนอกจากจะไม่รักษาฟอร์มความเป้นผู้ใหญ่แล้ว
ยังถูกมองว่าพูดในสิ่งที่ลูกผู้ชายจะไม่ทำกัน
เลยกลายเป็นว่าตอนนี้ ฟิล์ม หรือ แอนนี่ ก็ยังถูกด่าน้อยกว่าเฮียฮ้อเสียอีก... พลิกกลับตาลปัด ก็เพราะการกระทำของเฮียฮ้อนั่นเอง
เช่นเดียวกับกรณีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับหน่วยงานที่จะต้องมีความน่าเชื่อถือ มีภาพลักษณ์ที่ดี เพื่อให้เกิดการยอมรับจากสังคม อย่างสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ซึ่งต้องยอมรับว่าบทบาทในอดีตของ สตง.สามารถทำได้ดีมาโดยตลอด
แต่เวลานี้ เพราะการกระทำของคุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา กลับทำให้ สตง.ปั่นป่วนวุ่นวายไปหมด
แม้กระทั่งภาพลักษณ์ของตัวคุณหญิงเป็ดเอง หากเทียบกับในอดีตก่อนหน้านี้ กับเวลานี้ก็พลิกหน้ามือเป็นหลังมือไปเสียแล้ว
เหตุเพราะการดิ้นรนพยายามที่จะอยู่ในตำแหน่งผู้ว่าการ สตง.ต่อไป โดยไม่สนใจว่าอายุครบ 65 ปีแล้ว
การพยายามอ้างเหตุผลอำนาจคณะรัฐประหาร 19 กันยา 49 รวมทั้งการกระทำต่างๆ ไม่สามารถที่จะสร้างการยอมรับให้กับสังคมได้เลย
กับยิ่งกลายเป็นข้อสงสัยของประชาชนมากขึ้น... 65 แล้วยังไม่พออีกหรือ... นั่งทับอะไรไว้หรือเปล่าจึงไม่ยอมลุก... มีเงื่อนงำเบื้องลึกอะไร แฝงเจตนาอะไรกันแน่...
เหล่านี้คือคำถามที่เกิดขึ้นในสังคม
เพราะตลอดมาสังคมไทยรับรู้ว่า ข้าราชการไทย 60 ปี ก็ต้องเกษียณแล้ว นี่ได้กรณีพิเศษเพราะเป็น สตง. จึงได้เป็นถึง 65 ปี ซึ่งก็ถือว่ามากที่สุดแล้ว ทำไมยังไม่พออีก??
นี่คือมุมมองของชาวบ้านที่มองในตรรกะง่ายๆ ไม่ซับซ้อน
แน่นอนว่าถ้าเป็นการแย่งชิงตำแหน่ง โดยที่คุณหญิงเป็ดอายุยังไม่ถึง 60 ปี รับรองได้ว่ามีประเด็นแน่ เพราะจะมีคนไม่น้อยที่จะรู้สึกหรือคิดว่าคุณหญิงเป็ดโดนรังแก
แต่กรณีนี้ คุณหญิงเป็ดอายุ 65 ปีแล้ว ไม่มีใครคิดว่าถูกรังแก มีแต่คิดว่ายังไม่พออีกหรือกันทั้งนั้น!!
ถือเป็นบุคคลที่เคยได้รับความเชื่อถือ และอุตส่าห์สร้างภาพลักษณ์ที่ขายได้มานาน กลับมาล่มเอาง่ายๆตอนบั้นปลาย
และยิ่งความพยายามที่ดิ้นรนจำทำทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการเข้าไปแย่งพูด เข้าไปแย่งที่นั่ง เข้าไปคว้าไมโครโฟนพูดทั้งๆที่ถูกคนใน สตง. วอล์คเอาท์ และปิดไฟห้องไปแล้วด้วยซ้ำนั้น
ภาพเหล่านี้บอกเลยว่ายิ่งทำให้ต้นทุนทางสังคมที่เคยมีหดหายไปหมด
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในช่วงโค้งสุดท้าย ที่นายพิศิษฐ์ ลีลาวชิโรภาส รองผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน รักษาราชการการแทนผู้ว่การตรวจเงินแผ่นดินยื่นคำร้องต่อศาลปกครองกลางเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2553 ในฐานะผู้ร้องสอดในคดีที่ผู้ตรวจการแผ่นดินขอให้ศาลพิพากษาเพิกถอนคำสั่งของคุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา อดีตผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน ลงวันที่ 18 สิงหาคม 2553 ยกเลิกคำสั่งแต่งตั้งนายพิศิษฐ์ รักษาราชการแทนผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินรวมทั้งห้ามผู้ถูกฟ้องคดีกระทำการใดอันมิชอบด้วยกฎหมายอีกต่อไป
และศาลปกครองก็ได้มีการสรุปวันที่จะสอบข้อเท็จจริงจากคุณหญิงเป็ดในวันที่ 5 ตุลาคมนี้ แล้วก็จะปิดการพิสูจน์ข้อเท็จริง และวินิจฉัยคดีในวันที่ 6 ตุลาคมนี้แล้ว
ปรากฏว่าคุณหญิงเป็ด แทนที่จะทำใจทำอารมณ์ให้นิ่งลง แล้วรอฟังผลคดีจากทางศาลแกครองสูงสุดอย่างสุขุมเยือกเย็น เพื่อรักษาภาพลักษณ์ที่รุ่งริ่งหมดแล้ว ให้ดูดีขึ้นมาบ้าง แต่กลับไม่ทำ
กลับยังคงดิ้นรนให้สังคมได้เห็นต่อไปอีก โดยยังคงพยายามที่จะใช้อำนาจของผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินต่อไปเรื่อยๆ ซึ่งกระทบต่อการปฏิบัติหน้าที่ราชการของนายพิศิษฐ์ และถูกมองว่าก่อให้เกิดความเสียหายต่อการบริหาราชการของ สตง.
โดยประการแรกคุณหญิงเป็ดได้ลงนามในบันทึกข้อความ สตง. ลงวันที่ 29 กันยายน 2553 เรื่อง แผนงานเพื่อความก้าวหน้าของ สตง. แจ้งเพื่อข้าราชการและลูกจ้างทุกระดับทราบโดยทั่วกันถึงนโยบายการบริหารงานบุคคล และการปรับโครงสร้างของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินคำร้อง
ประการที่ 2. ลงนามในคำสั่ง สตง. ที่ 225/2553 ลงวันที่ 29 กันยายน 2553 เรื่อง ยกเลิกบรรดาคำสั่งทุกคำสั่ง บันทึกข้อความต่างๆ ของนายพิศิษฐ์ โดยอ้างว่าคดียังอยู่ระหว่างศาลนัดไต่สวน ดังนั้น คำสั่ง สตง. ที่ 184/2553 ลงวันที่ 18 สิงหาคม 2553 ที่ยกเลิกมิให้ผู้ร้องสอด(นายพิศิษฐ์)รักษาราชการแทน จึงมีผลอยู่ตามข้อ 69 ของระเบียบของที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุดว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2543
ประการที่ 3 ลงนามในคำสั่ง สตง. ที่ 226/2553 ลงวันที่ 29 กันยายน 2553 เรื่อง มอบหมายให้รองผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน และผู้ตรวจเงินแผ่นดิน 11 ปฏิบัติราชการแทนผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน เพื่อแจ้งการมอบหมาย มอบอำนาจ ในการสั่งการอนุญาต อนุมัติ ปฏิบัติราชการแทน หรือดำเนินการอื่นแทนผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน
สุดท้ายประการที่ 4 ผู้ถูกฟ้องคดีอ้างอำนาจเจ้าหน้าที่ของรัฐในตำแหน่งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน กระทำการอันเป็นการรบกวน ขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ราชการของผู้ร้องสอดในฐานะผู้รักษาราชการแทนผู้ว่าการฯ
แน่นอนว่าเจอแบบนี้นนายพิศิษฐ์ย่อมไม่ยอมนิ่งแน่ เพราะถือว่าสร้างความสับสนให้กับหน่วยรับตรวจ ข้าราชการและลูกจ้าง สตง.ก่อให้เกิดความเสียหายแก่งานการตรวจเงินแผ่นดินและการบริหารราชการของรัฐโดยรวม
ที่สำคัญนายพิศิษฐ์นั้นไม่สามารถบริหารราชการได้โดยปกติสุข นับเป็นความเสียหายทีเกิดขึ้นแก่ผู้ร้องสอดและ สตง.ที่ยากแก่การเยียวยาแก้ไขได้ในภายหลัง
แม้ข้อเท็จจริงยังไม่มีจุดสรุป แต่การดิ้นรนไม่เลิกของคุณหญิงเป็ด ได้ทำให้เกิดภาพลบกับตัวคุณหญิงเป็ดเองมากขึ้นเรื่อยๆ
น่าเสียดายภาพที่เคยสร้างเอาไว้ให้สังคมเห็นในอดีตชะมัด
นี่ถ้ายอมรับเสียว่าคนเราทุกคนต้องมีแก่มีร่วงโรย ถึงเวลาก็ต้องรูดม่านลาโรงออกไป... ภาพวันนี้ก็คไม่เละเป็นวุ้นขนาดนี้แน่
อนิจจา คุณหญิงเป็ด!!!
ที่มา.บางกอกทูเดย์
โรดแมป 'สมคิด จาตุศรีพิทักษ์' ถ้าไม่ทำวันนี้ไทยไม่ใช่ 'Winner' แต่จะเป็น 'Loser'
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
ชื่อ "ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์" กลับมาอีกครั้ง เมื่อการเมืองเริ่มเตรียมตัวจับขั้วกันใหม่ ถ้าหาก "ประชาธิปัตย์" ถูกยุบพรรค
ที่ผ่านมาระหว่างเว้นวรรค 5 ปี "สมคิด จาตุศรีพิทักษ์" อดีตรองนายกรัฐมนตรี อดีตรัฐมนตรีกระทรวงการคลัง อดีตรัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์ มักจะปรากฏตัวบนเวทีต่าง ๆ โดยเฉพาะเวทีระดับผู้ปฏิบัติงานเพื่อต้องการสร้างแรง "ขับเคลื่อน" ปลุกกระแสให้คนตื่นตัว ว่าจะต้องเผชิญหน้ากับอะไร และต้องรับมืออย่างไรบ้าง แต่ละเวที ตั้งแต่รากหญ้า เวทีผู้นำท้องถิ่น เวทีนักธุรกิจ เพื่อชี้ให้เห็นยุทธศาสตร์ประเทศจะต้องทำอะไร ทำอย่างไร
ในงานสัมมนา "Asia Rising : Thai Enterpreur's Roadmap to New Investment Opportunities and Growth in the New Landscape" ดร.สมคิดได้ปาฐกถาพิเศษโดยเล่าว่า เมื่อประมาณ 30 ปีมาแล้ว มีหนังสือเล่มหนึ่งเขียนโดยศาสตราจารย์ มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดได้บอกเล่าให้คนทั้งโลกได้รับรู้และติดตามความหัศจรรย์ของประเทศเล็ก ๆ ในเอเชีย โดยกล่าวถึงเบื้องหลังความสำเร็จของญี่ปุ่นที่สร้างความตื่นตะลึงให้กับทั้งโลก
"ตอนนั้นผมเรียนอยู่ที่นอร์ทเวสตัน ผมบอกอาจารย์ว่า สนใจเรื่องนี้มาก แต่ผมขอศึกษาเรื่องแต่ในประเด็นการตลาด เชื่อว่าเป็นปัจจัยหนึ่งในการสำเร็จของญี่ปุ่น ต่อมาได้กลายเป็นหนังสือ The New Competition Lesson From Japan...การแข่งขันใหม่ บทเรียนจากญี่ปุ่น ผมเชื่อว่าในไม่ช้าความสำเร็จของญี่ปุ่นจะเป็นต้นแบบทำให้ประเทศในเอเชียขับเคลื่อนตามญี่ปุ่น จากนั้นก็มี 4 เสือแห่งเอเชีย ไต้หวัน ฮ่องกง เกาหลี สิงคโปร์ ทะยานตามขึ้นมา จากนั้นไม่นานในอาเซียนมีไทย อินโดนีเซีย มาเลเซียตามมา"
ความสำเร็จ 3 ระลอกนี้ทำได้ระดับหนึ่ง แต่ไม่สามารถสั่นสะเทือนโลกได้ โลกยังสนใจอเมริกา ยุโรป จนเมื่อ 10 ปีที่ผ่านมานี้คลื่นระลอก 4 ที่นำโดยจีน อินเดียเกิดขึ้น
ดร.สมคิดตั้งข้อสังเกตไว้ 3 ประการ ว่า ในการทะยาน ระลอกที่ 4 โดยจีนและอินเดีย เกิดขึ้นพร้อม ๆ กับพลังการ ขับเคลื่อนของ 4 เสือแห่งเอเชียและอาเซียนซึ่งยังไม่ชะลอตัวลง ฉะนั้นคลื่นทั้ง 4 นี้ทำให้เกิด "ยุคสมัยแห่งเอเชียแท้จริง" ที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน และสั่นสะเทือนโลกทั้งโลก ไม่ว่าเชิงเศรษฐกิจหรือภูมิรัฐศาสตร์
ในขณะที่เอเชียกำลังทะยานขึ้น มีบางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้นพร้อมกัน คือการเชื่อมโยงของประเทศภายในเอเชีย ซึ่งเป็น การเชื่อมโยงที่น่าประหลาดใจ โดยปกติประเทศใหญ่จะเป็นฮับหรือเป็น "ดุมล้อ" ประเทศเล็กจะเป็น "ซี่ล้อ" มาเสริม แต่ในเอเชียกลายเป็นว่าอาเซียนเป็นดุมล้อ ประเทศใหญ่ ๆ เป็นซี่ล้อเสียบเข้ามา
เมื่อมีการเชื่อมโยง การขับเคลื่อนเชิงนโยบายต่างประเทศในประเทศเอเชีย ทั้งเชิงเศรษฐกิจ มุมมองทางการเมืองเพื่อถ่วงดุลอำนาจในเอเชียกันเอง ภายใต้การขับเคลื่อนนี้เป็นนัยที่เราควรศึกษา ทั้งเชิงนโยบายประเทศ การบริหารเศรษฐกิจ การบริหารธุรกิจ
ในเชิงภูมิรัฐศาสตร์ ดร.สมคิดกล่าวว่า จีนเป็นเป้าใหญ่ที่คนมองดูอยู่ เรารู้ว่าจีนเป็นประเทศที่ถ่อมตน จีนรู้ว่าความสำเร็จนั้นอันตราย ฉะนั้นผู้ใหญ่ของจีนพยายามบอกผู้บริหารประเทศให้บอกชาวโลกว่า จีนยังพัฒนาอีกเยอะ เราขอพัฒนาเงียบ ๆ แต่ความสำเร็จที่เกิดขึ้นที่ผ่านมามันเป็นประกายเจิดจ้ามาก จนเก็บงำไม่อยู่
ดังนั้นการก้าวทะยานของจีนนั้นเป็นการทะยานโดยสันติ โดยใช้กลยุทธ์ "อำนาจที่อ่อนหยุ่น" หรือซอฟต์พาวเวอร์ ในการดำเนินนโยบายต่างประเทศ และจีนประกาศว่า เป้าหมายของจีนคือ อยู่ที่การทำให้คุณภาพคนจีนดีขึ้นและเท่าเทียมให้มากขึ้น แต่การจะทำได้ต้องทำภายในจีนให้มีเสถียรภาพและภายนอกรอบ ๆ จีนต้องมีสันติภาพ
"ภายนอก" จะมีสันติภาพได้ จีนประกาศชัดเจนว่า หัวใจสำคัญคือ หลีกเลี่ยงการเผชิญหน้า และพยายามสร้างมิตร โดยเฉพาะประเทศเพื่อนบ้านสำคัญต้องดูแลกัน สร้างความเข้าใจกัน ประเทศที่ห่างไกลในการพัฒนาจะเป็นแหล่งผลิตวัตถุดิบ ส่วนเวทีพหุภาคีเป็นแหล่งที่จีนจะสื่อความกับโลกได้ นั่นคือ เหตุผลจีนเข้า WTO
ในประเด็นของประเทศเพื่อนบ้านที่จีนให้ความสำคัญมาก หากดูในเอกสารจีนเขาพูดชัดเจนว่า ทางเหนือเข้มแข็งเกินไป ตะวันตกวุ่นวายเกินไป ตะวันออกดุร้ายเกินไป ทางใต้สันติ ฉะนั้นจีนจึงมองมาทางใต้ คือ "อาเซียน" ที่สำคัญไม่ใช่เพราะมีประชากร 500 ล้านคน และมีพรมแดนติดกัน แต่อาเซียนครอบคลุมหลายประเทศ มีเส้นทางลำเลียงผ่านช่องแคบมะละกาออกสู่ทะเลจีนตะวันออก
การที่จีนเติบโตแรง บริโภคน้ำมันอันดับสองของโลก หรือ 20% ของน้ำมันโลก นำเข้ากว่า 51% ของน้ำมันโลก และวัตถุดิบนานาประการที่นำเข้าไปจีน หากตรงนี้ไม่สงบ จีนลำบาก จีนจะเติบโตไม่ได้ เพราะภายในประเทศมีปัญหาแน่นอน เนื่องจากจีนมีคนจนจำนวนมาก
ดร.สมคิดมองว่า การทะยานของจีน การมีอำนาจของจีน ทำให้ญี่ปุ่นค่อนข้างอึดอัดพอสมควร ญี่ปุ่นเคยโดมิเนตเอเชีย และญี่ปุ่นกับจีนมีภูมิหลังกันเยอะ พยายามถ่วงดุลดึงอินเดีย ดึงอเมริกา ออสเตรเลียเข้ามา เพื่อถ่วงดุลกับจีน ขณะเดียวกันญี่ปุ่นต้องการค้ากับจีน และต้องการถ่วงดุลอำนาจจีนด้วย
ดร.สมคิดกล่าวว่า ไม่เพียงญี่ปุน ทางอเมริกาต้องการถ่วงดุล แต่เมื่อจีนมาแรงก็เริ่มหันกลับมา เงินลงทุนอเมริกาที่ลงในอาเซียนมากกว่าลงทุนในจีน 3 เท่า ที่อเมริกาเข้ามาเพราะเกิดจากการผลักดันของนักธุรกิจ นักวิชาการ ที่มองว่าหากอเมริกาไม่เข้ามาในภูมิภาคนี้ ดุลอำนาจจะเปลี่ยนแปลง มีการแต่งตั้งทูตประจำอาเซียน มีการประชุมทูตร่วมกัน มีการประชุมในกลุ่มกระทรวงกลาโหม และที่สำคัญที่สุดเริ่มอุ้มอินโดนีเซีย เวียดนาม เกาหลีใต้ เพื่อเป็นตัวถ่วงดุลกับอำนาจจีนที่กำลังเข้ามา ใช้คำว่า "ไชน่า แฟ็กเตอร์" เป็นตัวปิดล้อม
"ยังไม่พอ...ดึงอินเดียเข้ามา ซึ่งอินเดียมีความเจริญมาก อยากมีบทบาทในเวทีต่างประเทศ เข้ามาในอาเซียนบวก 6 ซึ่งเราต้องศึกษาให้เข้าใจและศึกษาและใช้ประโยชน์จากมัน ดูอย่างอินโดนีเซียเข้าใกล้อเมริกามากไม่ได้ มุสลิมมีปัญหาได้ แต่เขาเล่นเกมเป็น มีสัญญาร่วมกันทางด้านเศรษฐกิจ ดูแลความมั่นคง ผู้ก่อการร้าย งบฯการพัฒนาวิจัย การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน อเมริกาส่งให้เต็มที่ แถมประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกากำลังมาเยือนอินโดนีเซีย"
ขณะที่เวียดนามเคยรบกับสหรัฐอเมริกา วันนี้มองไปที่จีน ใช้ปัจจัยจีนให้เป็นประโยชน์ แต่รับไมตรีอเมริกา กระชับสัมพันธ์อินเดีย ซึ่งเป็นสหายเก่ารัสเซีย ทุกหมากที่เขาเดินเป็นการปกป้องเวียดนาม ใช้เวทีแชร์แมนของอาเซียน ในฐานะประธานอาเซียนเป็นกำลังเสริมเวียดนาม วันนี้เวียดนามได้รับเต็ม ๆ
ประเด็นอยู่ที่ "เมืองไทย" เราต้องใช้เวลาให้มากกว่านี้ในการดำเนินโยบายต่างประเทศ ไม่ใช่ใช้เวลาในการทะเลาะ คุณต้องคิดให้ได้ว่า คุณกำลังจะเล่นไพ่อะไรในระหว่างไพ่ 3 ใบ "อเมริกา ญี่ปุ่น จีน" ประเทศนั้นจะมีความหมายในสายตาเขา ไม่ใช่แค่มิตรสนิทที่อยู่ใกล้ ๆ...ไม่ใช่ อยู่ที่ว่าคุณจะทำให้เขาเห็นความสำคัญในสายตาเขาได้อย่างไร
จีนต้องการเมืองไทยมาก เพราะเขาต้องการลงมาอาเซียน ขณะที่ประเทศอื่น ๆ ต่างมีภูมิหลังกันมาก่อน ฉะนั้นนี่คือเหตุผลที่จีนวางโครงข่ายโครงสร้างพื้นฐาน ถนนทุกสายกำลังเชื่อมโยงจีนไปสิงคโปร์ผ่านประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นเส้นทาง R3A, R3B จากคุนหมิงมาไทย หรือ R8-R9-R12 จากพม่าออกดานังผ่านไทย โครงข่ายรถไฟ โครงข่ายการค้าทางน้ำ ซึ่งทางการจีนเรียกว่า "เส้นไข่มุก" จีนวาดภาพว่า การค้าขนส่งจากทะเลอันดามันเข้าสู่พม่า ทะลุเข้าไทยได้กี่สายที่ไม่ต้องผ่านช่องแคบมะละกา นี่คือสิ่งที่จีนต้องการ
นโยบายของจีนที่บอกว่า ถึงเวลาที่คนจีนต้องก้าวเดินออกไป นักธุรกิจก้าวเดินออกไป เป้าหมายคือ ประเทศไทย จีนอยากเป็นมิตรกับไทย โอกาสนี้อย่าให้เสียไป เขาประกาศให้มีกองทุนพัฒนาร่วมกัน 10 พันล้านดอลลาร์ กองทุนเงินกู้เพื่อพัฒนาร่วมกันอีก 15 พันล้านดอลลาร์
ไทยมีความสัมพันธ์ล้ำลึก ทั้งสายเลือด ประวัติศาสตร์ หากไม่ใช้ให้เกิดประโยชน์ไม่รู้จะว่าอย่างไร !!!
ขณะที่สหรัฐอเมริกากับเราเริ่มห่างออกไป อินโดนีเซีย เวียดนาม ฟิลิปปินส์นั้น ไทยต้องหาประเด็น ต้องเปิดเกมเชิงรุก ญี่ปุ่นมีผลประโยชน์มหาศาลอยู่ในไทย ไม่ทิ้งเราแน่ แต่จะทำอย่างไรให้เขาสนใจเรา ถ้าสังเกตจีนสนใจจีเอ็มเอส ลุ่มน้ำโขง 4-5 ประเทศ อเมริกาก็สนใจแต่ตัดจีนออกไป
ขณะเดียวกันไทยเราเชื่อมกับญี่ปุ่นที่จะพัฒนาจีเอ็มเอส ฉะนั้นน่าจะใช้ประเด็นนี้เดินเครื่องทางการเมือง ใช้ประเด็นนี้ Raise Profile ของเราในตลาดโลกให้สูงขึ้น ในแง่การต่างประเทศต้องรู้จักใช้ประเด็นเหล่านั้นในการเล่นเกมระดับโลก อินโดนีเซียเล่นเป็น เขมรเล่นเป็น ไทยเคยเล่นเป็น แต่วันนี้ไทยเรานิยมมาเล่นกีฬาสีมากกว่านโยบายต่างประเทศ
ส่วนนัยทางเศรษฐกิจ ดร.สมคิดกล่าวว่า มีตัวเลขง่าย ๆ ให้ ดูว่าอะไรจะเกิดขึ้น ปี 2009 ส่งออกจากไทย 60.8% อยู่ในเอเชีย สหรัฐอเมริกา 10.9% อียู 10.5% นั่นคือ เอเชียคือตลาดใหญ่มากของไทยในอนาคต
จากการขอส่งเสริมการลงทุนปีที่ผ่านมาจำนวน 3.5 แสนล้านบาท ประมาณ 50% เป็นการลงทุนจาก กลุ่มประเทศในเอเชีย ทางโกลด์แมน แซกส์ บอกว่า ใน 10-20 ปีข้างหน้าชนชั้นกลางจะเพิ่มขึ้นประมาณ 2 พันล้านคน ในจีน อินเดีย อินโดนีเซีย เวียดนาม ซึ่ง 4 ประเทศนี้คนจนมาก แต่อีก 10 ปีจะขึ้นมาเป็นชนชั้นกลาง อำนาจซื้อมากขึ้นจะอยู่ที่เอเชีย นั่นหมายถึงเขาต้องการอาหารที่ดี ต้องการ สิ่งอำนวยความสะดวก ต้องการบ้าน รถยนต์ สิ่งบริการทั้งหลาย ฯลฯ สิ่งเหล่านี้ไทยมีพร้อมที่จะสนอง
แต่สิ่งสำคัญคืออะไร..สิ่งเหล่านี้ไม่ได้มาฟรี ๆ เราต้องมีการสร้าง สร้างโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งสำคัญมาก ถ้าหากนอร์ทเวสต์กับนอร์ทเซาท์คอร์ริดอร์ตัดกัน แถบนี้ทั้งแถบที่จะมีการพัฒนามหาศาล เพราะฉะนั้น..."ทำซะ"
ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาคน เทคโนโลยี..สำคัญมาก หากคนเราไม่มีความรู้ ไม่มีเทคโนโลยี ไม่มีนักวิทยาศาสตร์ ไม่มีวิศวกร ไม่มีนักวิจัย มีแต่เอ็มบีเอ จะเอาอะไรไปแข่งกับเขา คุณธนินท์ (เจียรวนนท์) บอกว่า สินค้าเกษตรมีแนวโน้มจะแพงขึ้น ผมว่า อีกหน่อยจะแพงกว่านี้อีก เพราะ 1.การเติบโตของจีนมหาศาลมาก การบริโภคน้ำมันระดับนี้จะทำให้การผลิต เอทานอลมากมาย 2.บวกกับภาวะโลกร้อน 2 ปัจจัยนี้รับรอง เลยว่าต้องแพงขึ้น
แต่ผลผลิตเราต่ำมาก อย่างข้าวเป็นที่โหล่ 400 กว่า ก.ก./ไร่ เวียดนาม 800 กว่า ก.ก./ไร่ เหตุเพราะเขาลงทุนในชลประทาน แต่ของเรากลับข้างกัน 70% พึ่งพาเทวดา 30% พึ่งพาชลประทาน คนอื่นเขาลงทุนงานวิจัยเพื่อให้มีมูลค่าสูงขึ้น แต่ไทยเราไม่สนใจการพัฒนา ผลคืออีสานไม่สามารถสร้างผลผลิตที่มีพรีเมี่ยม แทนที่เราจะได้ประโยชน์เรากลับเสียโอกาส
"ผมบอกว่า โอกาสไม่ได้มาฟรี ๆ เราต้องสร้างขึ้นมา ตัวอย่างการเคลื่อนย้ายการผลิตรองเท้าไนกี้ไปเวียดนาม การเคลื่อนย้ายฐานอิเล็กทรอนิกส์จากไทยไปมาเลเซีย ผมกำลังบอกว่า การทะยานของเอเชียมันจะมีการไปและกลับ หากคุณ ทำไม่ดี มีแต่จะไป..."
นอกจากนี้ต้องดูตัวอย่างบริษัทเอกชน เช่น บริษัท ไทยยูเนี่ยน โฟรเซ่น โปรดักส์ เกมของเขาคือ มีฐานผลิตในอินโดนีเซีย เวียดนาม นอกเหนือจากไทย เกมของเขาไปเทกโอเวอร์บริษัท ในอเมริกา เพื่อใช้แบรนด์และผลิตสินค้าเพื่อป้อนเข้าสู่ตลาดโลก เขาเปลี่ยนกลยุทธ์เป็นสมัยใหม่ในการค้าการขาย บริษัทใหญ่ ๆ ต้องเปลี่ยนแปลงมุมมอง ความคิด เพื่อก้าวไปสู่การค้าในเอเชีย
ส่วนบริษัทเล็ก ตอนนี้ค่าเงินแข็ง เอสเอ็มอีร้องว่า จะย่ำแย่ ซึ่งเอสเอ็มอีน่าเป็นห่วงมากเพราะอ่อนแอ กลุ่มพวกนี้ต้องสร้างเขาขึ้นมา แต่ต้องคนละมาตรฐานกับบริษัทใหญ่ ทางการต้องทำหน้าที่สร้างเขา ขณะนี้แบงก์ไม่กล้าปล่อยกู้เอสเอ็มอี ฉะนั้นรัฐต้องมองจุดนี้ ในแง่มาตรการการเงินการคลังซึ่งมีสองด้าน 1.สร้างการเติบโต เสถียรภาพ 2.อีกด้านการสร้างประเทศ ถ้าทำอย่างญี่ปุ่นเขาเริ่มสร้างเอสเอ็มอีเริ่มตั้งแต่เล็กจนเป็นยักษ์ เมืองไทยมีครบ ตั้งแต่ สสว. เอสเอ็มอีแบงก์มีเต็มไปหมด แต่เมืองไทยทำตัวเป็นม้าลำปาง ต่างคนต่างวิ่ง แทนที่เชื่อมโยง มีคนกุมโชคชะตา ชี้นิ้วว่าจะไปทางไหน สิ่งนี้ต้องแก้ไข
ในแง่การพัฒนาอุตสาหกรรมเราบิดเบี้ยว เราไม่ลงทุนเลย 5-6 ปีมาแล้ว เรามีทุนสำรองระหว่างประเทศแค่ 60,000 ล้านเหรียญดอลลาร์ ตอนนี้ 150,000 ล้านดอลลาร์ แต่คนไม่ลงทุน ตรงนี้ต้องแก้ให้ได้ ต้องส่งเสริมเขาไปลงทุนแทนที่จะลงทุนซื้อหุ้น ต้องลงทุนในการค้าการขาย สร้างเน็ตเวิร์กกิ้งอย่างน้อยที่สุดในอาเซียน นับวันเงินยิ่งเข้ามาในอาเซียน ต้องคิดทั้งระบบ ว่าจะทำอย่างไรไม่ให้เงินมีปัญหา
เมื่อเอเชียทะยานขึ้น ผมเชื่อว่าความแตกต่างในการพัฒนาประเทศในเอเชียจะถ่างมากขึ้น ประเทศที่ฉลาด ว่องไว จะทะยานขี่คลื่นนี้ไปได้ มันจะมีผู้ได้และผู้เสีย ถ้าคุณไม่เดินหน้าจริง ๆ การบริหารต้องจริง ๆ จัง ๆ ไม่ใช่บริหารแบบไม่บริหาร
วันนี้ไม่ว่าจะวัดในเรื่องอะไร อันดับของไทยตกหมด อาทิ ขีดความสามารถในการแข่งขัน ล่าสุดไทยหล่นจาก 36 มาอยู่ที่ 38 อินโดนีเซียกระโดดจาก 54 มาที่ 44 เวียดนามจาก 75 มา 59 คุณภาพการศึกษาเวียดนามอันดับ 61 ไทย 66 เรื่องความสามารถกำลังในการผลิตนวัตกรรมใหม่ ๆ เวียดนาม 32 อินโดนีเซีย 30 มาเลเซีย 25 ไทย 56 เรื่องจริยธรรมไทยมาที่โหล่ 71 เวียดนาม 61 สิงคโปร์ 1 มาเลเซีย 44 อินโดนีเซีย 65 ความเชื่อมั่นของ พับลิกต่อนักการเมือง สิงคโปร์ 1 มาเลเซีย 35 อินโดนีเซีย 51 เวียดนาม 32 ไทย 83
ดังนั้นเมื่อเอเชียทะยาน ประเทศที่จะได้ประโยชน์ 1.คุณต้องมี Respect จากต่างประเทศ นานาชาติต้องให้เกียรติคุณ ประเทศ ที่ไม่มีเอกภาพ ไม่มีใครเขาแคร์ ฉะนั้นหยุดเล่นกีฬาสี 2. "การสร้าง" จำเป็นมาก ไม่มีอะไรได้มาฟรี ฉะนั้นต้องสร้างเดี๋ยวนี้ ถ้าไม่ทำวันนี้เราไม่ใช่ "Winner" เราจะเป็น "Loser" เป็นคนที่ถูกละทิ้งในอนาคต
"ผมคิดว่าเราต้องเริ่มตั้งแต่วันนี้" !!!
ชื่อ "ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์" กลับมาอีกครั้ง เมื่อการเมืองเริ่มเตรียมตัวจับขั้วกันใหม่ ถ้าหาก "ประชาธิปัตย์" ถูกยุบพรรค
ที่ผ่านมาระหว่างเว้นวรรค 5 ปี "สมคิด จาตุศรีพิทักษ์" อดีตรองนายกรัฐมนตรี อดีตรัฐมนตรีกระทรวงการคลัง อดีตรัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์ มักจะปรากฏตัวบนเวทีต่าง ๆ โดยเฉพาะเวทีระดับผู้ปฏิบัติงานเพื่อต้องการสร้างแรง "ขับเคลื่อน" ปลุกกระแสให้คนตื่นตัว ว่าจะต้องเผชิญหน้ากับอะไร และต้องรับมืออย่างไรบ้าง แต่ละเวที ตั้งแต่รากหญ้า เวทีผู้นำท้องถิ่น เวทีนักธุรกิจ เพื่อชี้ให้เห็นยุทธศาสตร์ประเทศจะต้องทำอะไร ทำอย่างไร
ในงานสัมมนา "Asia Rising : Thai Enterpreur's Roadmap to New Investment Opportunities and Growth in the New Landscape" ดร.สมคิดได้ปาฐกถาพิเศษโดยเล่าว่า เมื่อประมาณ 30 ปีมาแล้ว มีหนังสือเล่มหนึ่งเขียนโดยศาสตราจารย์ มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดได้บอกเล่าให้คนทั้งโลกได้รับรู้และติดตามความหัศจรรย์ของประเทศเล็ก ๆ ในเอเชีย โดยกล่าวถึงเบื้องหลังความสำเร็จของญี่ปุ่นที่สร้างความตื่นตะลึงให้กับทั้งโลก
"ตอนนั้นผมเรียนอยู่ที่นอร์ทเวสตัน ผมบอกอาจารย์ว่า สนใจเรื่องนี้มาก แต่ผมขอศึกษาเรื่องแต่ในประเด็นการตลาด เชื่อว่าเป็นปัจจัยหนึ่งในการสำเร็จของญี่ปุ่น ต่อมาได้กลายเป็นหนังสือ The New Competition Lesson From Japan...การแข่งขันใหม่ บทเรียนจากญี่ปุ่น ผมเชื่อว่าในไม่ช้าความสำเร็จของญี่ปุ่นจะเป็นต้นแบบทำให้ประเทศในเอเชียขับเคลื่อนตามญี่ปุ่น จากนั้นก็มี 4 เสือแห่งเอเชีย ไต้หวัน ฮ่องกง เกาหลี สิงคโปร์ ทะยานตามขึ้นมา จากนั้นไม่นานในอาเซียนมีไทย อินโดนีเซีย มาเลเซียตามมา"
ความสำเร็จ 3 ระลอกนี้ทำได้ระดับหนึ่ง แต่ไม่สามารถสั่นสะเทือนโลกได้ โลกยังสนใจอเมริกา ยุโรป จนเมื่อ 10 ปีที่ผ่านมานี้คลื่นระลอก 4 ที่นำโดยจีน อินเดียเกิดขึ้น
ดร.สมคิดตั้งข้อสังเกตไว้ 3 ประการ ว่า ในการทะยาน ระลอกที่ 4 โดยจีนและอินเดีย เกิดขึ้นพร้อม ๆ กับพลังการ ขับเคลื่อนของ 4 เสือแห่งเอเชียและอาเซียนซึ่งยังไม่ชะลอตัวลง ฉะนั้นคลื่นทั้ง 4 นี้ทำให้เกิด "ยุคสมัยแห่งเอเชียแท้จริง" ที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน และสั่นสะเทือนโลกทั้งโลก ไม่ว่าเชิงเศรษฐกิจหรือภูมิรัฐศาสตร์
ในขณะที่เอเชียกำลังทะยานขึ้น มีบางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้นพร้อมกัน คือการเชื่อมโยงของประเทศภายในเอเชีย ซึ่งเป็น การเชื่อมโยงที่น่าประหลาดใจ โดยปกติประเทศใหญ่จะเป็นฮับหรือเป็น "ดุมล้อ" ประเทศเล็กจะเป็น "ซี่ล้อ" มาเสริม แต่ในเอเชียกลายเป็นว่าอาเซียนเป็นดุมล้อ ประเทศใหญ่ ๆ เป็นซี่ล้อเสียบเข้ามา
เมื่อมีการเชื่อมโยง การขับเคลื่อนเชิงนโยบายต่างประเทศในประเทศเอเชีย ทั้งเชิงเศรษฐกิจ มุมมองทางการเมืองเพื่อถ่วงดุลอำนาจในเอเชียกันเอง ภายใต้การขับเคลื่อนนี้เป็นนัยที่เราควรศึกษา ทั้งเชิงนโยบายประเทศ การบริหารเศรษฐกิจ การบริหารธุรกิจ
ในเชิงภูมิรัฐศาสตร์ ดร.สมคิดกล่าวว่า จีนเป็นเป้าใหญ่ที่คนมองดูอยู่ เรารู้ว่าจีนเป็นประเทศที่ถ่อมตน จีนรู้ว่าความสำเร็จนั้นอันตราย ฉะนั้นผู้ใหญ่ของจีนพยายามบอกผู้บริหารประเทศให้บอกชาวโลกว่า จีนยังพัฒนาอีกเยอะ เราขอพัฒนาเงียบ ๆ แต่ความสำเร็จที่เกิดขึ้นที่ผ่านมามันเป็นประกายเจิดจ้ามาก จนเก็บงำไม่อยู่
ดังนั้นการก้าวทะยานของจีนนั้นเป็นการทะยานโดยสันติ โดยใช้กลยุทธ์ "อำนาจที่อ่อนหยุ่น" หรือซอฟต์พาวเวอร์ ในการดำเนินนโยบายต่างประเทศ และจีนประกาศว่า เป้าหมายของจีนคือ อยู่ที่การทำให้คุณภาพคนจีนดีขึ้นและเท่าเทียมให้มากขึ้น แต่การจะทำได้ต้องทำภายในจีนให้มีเสถียรภาพและภายนอกรอบ ๆ จีนต้องมีสันติภาพ
"ภายนอก" จะมีสันติภาพได้ จีนประกาศชัดเจนว่า หัวใจสำคัญคือ หลีกเลี่ยงการเผชิญหน้า และพยายามสร้างมิตร โดยเฉพาะประเทศเพื่อนบ้านสำคัญต้องดูแลกัน สร้างความเข้าใจกัน ประเทศที่ห่างไกลในการพัฒนาจะเป็นแหล่งผลิตวัตถุดิบ ส่วนเวทีพหุภาคีเป็นแหล่งที่จีนจะสื่อความกับโลกได้ นั่นคือ เหตุผลจีนเข้า WTO
ในประเด็นของประเทศเพื่อนบ้านที่จีนให้ความสำคัญมาก หากดูในเอกสารจีนเขาพูดชัดเจนว่า ทางเหนือเข้มแข็งเกินไป ตะวันตกวุ่นวายเกินไป ตะวันออกดุร้ายเกินไป ทางใต้สันติ ฉะนั้นจีนจึงมองมาทางใต้ คือ "อาเซียน" ที่สำคัญไม่ใช่เพราะมีประชากร 500 ล้านคน และมีพรมแดนติดกัน แต่อาเซียนครอบคลุมหลายประเทศ มีเส้นทางลำเลียงผ่านช่องแคบมะละกาออกสู่ทะเลจีนตะวันออก
การที่จีนเติบโตแรง บริโภคน้ำมันอันดับสองของโลก หรือ 20% ของน้ำมันโลก นำเข้ากว่า 51% ของน้ำมันโลก และวัตถุดิบนานาประการที่นำเข้าไปจีน หากตรงนี้ไม่สงบ จีนลำบาก จีนจะเติบโตไม่ได้ เพราะภายในประเทศมีปัญหาแน่นอน เนื่องจากจีนมีคนจนจำนวนมาก
ดร.สมคิดมองว่า การทะยานของจีน การมีอำนาจของจีน ทำให้ญี่ปุ่นค่อนข้างอึดอัดพอสมควร ญี่ปุ่นเคยโดมิเนตเอเชีย และญี่ปุ่นกับจีนมีภูมิหลังกันเยอะ พยายามถ่วงดุลดึงอินเดีย ดึงอเมริกา ออสเตรเลียเข้ามา เพื่อถ่วงดุลกับจีน ขณะเดียวกันญี่ปุ่นต้องการค้ากับจีน และต้องการถ่วงดุลอำนาจจีนด้วย
ดร.สมคิดกล่าวว่า ไม่เพียงญี่ปุน ทางอเมริกาต้องการถ่วงดุล แต่เมื่อจีนมาแรงก็เริ่มหันกลับมา เงินลงทุนอเมริกาที่ลงในอาเซียนมากกว่าลงทุนในจีน 3 เท่า ที่อเมริกาเข้ามาเพราะเกิดจากการผลักดันของนักธุรกิจ นักวิชาการ ที่มองว่าหากอเมริกาไม่เข้ามาในภูมิภาคนี้ ดุลอำนาจจะเปลี่ยนแปลง มีการแต่งตั้งทูตประจำอาเซียน มีการประชุมทูตร่วมกัน มีการประชุมในกลุ่มกระทรวงกลาโหม และที่สำคัญที่สุดเริ่มอุ้มอินโดนีเซีย เวียดนาม เกาหลีใต้ เพื่อเป็นตัวถ่วงดุลกับอำนาจจีนที่กำลังเข้ามา ใช้คำว่า "ไชน่า แฟ็กเตอร์" เป็นตัวปิดล้อม
"ยังไม่พอ...ดึงอินเดียเข้ามา ซึ่งอินเดียมีความเจริญมาก อยากมีบทบาทในเวทีต่างประเทศ เข้ามาในอาเซียนบวก 6 ซึ่งเราต้องศึกษาให้เข้าใจและศึกษาและใช้ประโยชน์จากมัน ดูอย่างอินโดนีเซียเข้าใกล้อเมริกามากไม่ได้ มุสลิมมีปัญหาได้ แต่เขาเล่นเกมเป็น มีสัญญาร่วมกันทางด้านเศรษฐกิจ ดูแลความมั่นคง ผู้ก่อการร้าย งบฯการพัฒนาวิจัย การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน อเมริกาส่งให้เต็มที่ แถมประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกากำลังมาเยือนอินโดนีเซีย"
ขณะที่เวียดนามเคยรบกับสหรัฐอเมริกา วันนี้มองไปที่จีน ใช้ปัจจัยจีนให้เป็นประโยชน์ แต่รับไมตรีอเมริกา กระชับสัมพันธ์อินเดีย ซึ่งเป็นสหายเก่ารัสเซีย ทุกหมากที่เขาเดินเป็นการปกป้องเวียดนาม ใช้เวทีแชร์แมนของอาเซียน ในฐานะประธานอาเซียนเป็นกำลังเสริมเวียดนาม วันนี้เวียดนามได้รับเต็ม ๆ
ประเด็นอยู่ที่ "เมืองไทย" เราต้องใช้เวลาให้มากกว่านี้ในการดำเนินโยบายต่างประเทศ ไม่ใช่ใช้เวลาในการทะเลาะ คุณต้องคิดให้ได้ว่า คุณกำลังจะเล่นไพ่อะไรในระหว่างไพ่ 3 ใบ "อเมริกา ญี่ปุ่น จีน" ประเทศนั้นจะมีความหมายในสายตาเขา ไม่ใช่แค่มิตรสนิทที่อยู่ใกล้ ๆ...ไม่ใช่ อยู่ที่ว่าคุณจะทำให้เขาเห็นความสำคัญในสายตาเขาได้อย่างไร
จีนต้องการเมืองไทยมาก เพราะเขาต้องการลงมาอาเซียน ขณะที่ประเทศอื่น ๆ ต่างมีภูมิหลังกันมาก่อน ฉะนั้นนี่คือเหตุผลที่จีนวางโครงข่ายโครงสร้างพื้นฐาน ถนนทุกสายกำลังเชื่อมโยงจีนไปสิงคโปร์ผ่านประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นเส้นทาง R3A, R3B จากคุนหมิงมาไทย หรือ R8-R9-R12 จากพม่าออกดานังผ่านไทย โครงข่ายรถไฟ โครงข่ายการค้าทางน้ำ ซึ่งทางการจีนเรียกว่า "เส้นไข่มุก" จีนวาดภาพว่า การค้าขนส่งจากทะเลอันดามันเข้าสู่พม่า ทะลุเข้าไทยได้กี่สายที่ไม่ต้องผ่านช่องแคบมะละกา นี่คือสิ่งที่จีนต้องการ
นโยบายของจีนที่บอกว่า ถึงเวลาที่คนจีนต้องก้าวเดินออกไป นักธุรกิจก้าวเดินออกไป เป้าหมายคือ ประเทศไทย จีนอยากเป็นมิตรกับไทย โอกาสนี้อย่าให้เสียไป เขาประกาศให้มีกองทุนพัฒนาร่วมกัน 10 พันล้านดอลลาร์ กองทุนเงินกู้เพื่อพัฒนาร่วมกันอีก 15 พันล้านดอลลาร์
ไทยมีความสัมพันธ์ล้ำลึก ทั้งสายเลือด ประวัติศาสตร์ หากไม่ใช้ให้เกิดประโยชน์ไม่รู้จะว่าอย่างไร !!!
ขณะที่สหรัฐอเมริกากับเราเริ่มห่างออกไป อินโดนีเซีย เวียดนาม ฟิลิปปินส์นั้น ไทยต้องหาประเด็น ต้องเปิดเกมเชิงรุก ญี่ปุ่นมีผลประโยชน์มหาศาลอยู่ในไทย ไม่ทิ้งเราแน่ แต่จะทำอย่างไรให้เขาสนใจเรา ถ้าสังเกตจีนสนใจจีเอ็มเอส ลุ่มน้ำโขง 4-5 ประเทศ อเมริกาก็สนใจแต่ตัดจีนออกไป
ขณะเดียวกันไทยเราเชื่อมกับญี่ปุ่นที่จะพัฒนาจีเอ็มเอส ฉะนั้นน่าจะใช้ประเด็นนี้เดินเครื่องทางการเมือง ใช้ประเด็นนี้ Raise Profile ของเราในตลาดโลกให้สูงขึ้น ในแง่การต่างประเทศต้องรู้จักใช้ประเด็นเหล่านั้นในการเล่นเกมระดับโลก อินโดนีเซียเล่นเป็น เขมรเล่นเป็น ไทยเคยเล่นเป็น แต่วันนี้ไทยเรานิยมมาเล่นกีฬาสีมากกว่านโยบายต่างประเทศ
ส่วนนัยทางเศรษฐกิจ ดร.สมคิดกล่าวว่า มีตัวเลขง่าย ๆ ให้ ดูว่าอะไรจะเกิดขึ้น ปี 2009 ส่งออกจากไทย 60.8% อยู่ในเอเชีย สหรัฐอเมริกา 10.9% อียู 10.5% นั่นคือ เอเชียคือตลาดใหญ่มากของไทยในอนาคต
จากการขอส่งเสริมการลงทุนปีที่ผ่านมาจำนวน 3.5 แสนล้านบาท ประมาณ 50% เป็นการลงทุนจาก กลุ่มประเทศในเอเชีย ทางโกลด์แมน แซกส์ บอกว่า ใน 10-20 ปีข้างหน้าชนชั้นกลางจะเพิ่มขึ้นประมาณ 2 พันล้านคน ในจีน อินเดีย อินโดนีเซีย เวียดนาม ซึ่ง 4 ประเทศนี้คนจนมาก แต่อีก 10 ปีจะขึ้นมาเป็นชนชั้นกลาง อำนาจซื้อมากขึ้นจะอยู่ที่เอเชีย นั่นหมายถึงเขาต้องการอาหารที่ดี ต้องการ สิ่งอำนวยความสะดวก ต้องการบ้าน รถยนต์ สิ่งบริการทั้งหลาย ฯลฯ สิ่งเหล่านี้ไทยมีพร้อมที่จะสนอง
แต่สิ่งสำคัญคืออะไร..สิ่งเหล่านี้ไม่ได้มาฟรี ๆ เราต้องมีการสร้าง สร้างโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งสำคัญมาก ถ้าหากนอร์ทเวสต์กับนอร์ทเซาท์คอร์ริดอร์ตัดกัน แถบนี้ทั้งแถบที่จะมีการพัฒนามหาศาล เพราะฉะนั้น..."ทำซะ"
ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาคน เทคโนโลยี..สำคัญมาก หากคนเราไม่มีความรู้ ไม่มีเทคโนโลยี ไม่มีนักวิทยาศาสตร์ ไม่มีวิศวกร ไม่มีนักวิจัย มีแต่เอ็มบีเอ จะเอาอะไรไปแข่งกับเขา คุณธนินท์ (เจียรวนนท์) บอกว่า สินค้าเกษตรมีแนวโน้มจะแพงขึ้น ผมว่า อีกหน่อยจะแพงกว่านี้อีก เพราะ 1.การเติบโตของจีนมหาศาลมาก การบริโภคน้ำมันระดับนี้จะทำให้การผลิต เอทานอลมากมาย 2.บวกกับภาวะโลกร้อน 2 ปัจจัยนี้รับรอง เลยว่าต้องแพงขึ้น
แต่ผลผลิตเราต่ำมาก อย่างข้าวเป็นที่โหล่ 400 กว่า ก.ก./ไร่ เวียดนาม 800 กว่า ก.ก./ไร่ เหตุเพราะเขาลงทุนในชลประทาน แต่ของเรากลับข้างกัน 70% พึ่งพาเทวดา 30% พึ่งพาชลประทาน คนอื่นเขาลงทุนงานวิจัยเพื่อให้มีมูลค่าสูงขึ้น แต่ไทยเราไม่สนใจการพัฒนา ผลคืออีสานไม่สามารถสร้างผลผลิตที่มีพรีเมี่ยม แทนที่เราจะได้ประโยชน์เรากลับเสียโอกาส
"ผมบอกว่า โอกาสไม่ได้มาฟรี ๆ เราต้องสร้างขึ้นมา ตัวอย่างการเคลื่อนย้ายการผลิตรองเท้าไนกี้ไปเวียดนาม การเคลื่อนย้ายฐานอิเล็กทรอนิกส์จากไทยไปมาเลเซีย ผมกำลังบอกว่า การทะยานของเอเชียมันจะมีการไปและกลับ หากคุณ ทำไม่ดี มีแต่จะไป..."
นอกจากนี้ต้องดูตัวอย่างบริษัทเอกชน เช่น บริษัท ไทยยูเนี่ยน โฟรเซ่น โปรดักส์ เกมของเขาคือ มีฐานผลิตในอินโดนีเซีย เวียดนาม นอกเหนือจากไทย เกมของเขาไปเทกโอเวอร์บริษัท ในอเมริกา เพื่อใช้แบรนด์และผลิตสินค้าเพื่อป้อนเข้าสู่ตลาดโลก เขาเปลี่ยนกลยุทธ์เป็นสมัยใหม่ในการค้าการขาย บริษัทใหญ่ ๆ ต้องเปลี่ยนแปลงมุมมอง ความคิด เพื่อก้าวไปสู่การค้าในเอเชีย
ส่วนบริษัทเล็ก ตอนนี้ค่าเงินแข็ง เอสเอ็มอีร้องว่า จะย่ำแย่ ซึ่งเอสเอ็มอีน่าเป็นห่วงมากเพราะอ่อนแอ กลุ่มพวกนี้ต้องสร้างเขาขึ้นมา แต่ต้องคนละมาตรฐานกับบริษัทใหญ่ ทางการต้องทำหน้าที่สร้างเขา ขณะนี้แบงก์ไม่กล้าปล่อยกู้เอสเอ็มอี ฉะนั้นรัฐต้องมองจุดนี้ ในแง่มาตรการการเงินการคลังซึ่งมีสองด้าน 1.สร้างการเติบโต เสถียรภาพ 2.อีกด้านการสร้างประเทศ ถ้าทำอย่างญี่ปุ่นเขาเริ่มสร้างเอสเอ็มอีเริ่มตั้งแต่เล็กจนเป็นยักษ์ เมืองไทยมีครบ ตั้งแต่ สสว. เอสเอ็มอีแบงก์มีเต็มไปหมด แต่เมืองไทยทำตัวเป็นม้าลำปาง ต่างคนต่างวิ่ง แทนที่เชื่อมโยง มีคนกุมโชคชะตา ชี้นิ้วว่าจะไปทางไหน สิ่งนี้ต้องแก้ไข
ในแง่การพัฒนาอุตสาหกรรมเราบิดเบี้ยว เราไม่ลงทุนเลย 5-6 ปีมาแล้ว เรามีทุนสำรองระหว่างประเทศแค่ 60,000 ล้านเหรียญดอลลาร์ ตอนนี้ 150,000 ล้านดอลลาร์ แต่คนไม่ลงทุน ตรงนี้ต้องแก้ให้ได้ ต้องส่งเสริมเขาไปลงทุนแทนที่จะลงทุนซื้อหุ้น ต้องลงทุนในการค้าการขาย สร้างเน็ตเวิร์กกิ้งอย่างน้อยที่สุดในอาเซียน นับวันเงินยิ่งเข้ามาในอาเซียน ต้องคิดทั้งระบบ ว่าจะทำอย่างไรไม่ให้เงินมีปัญหา
เมื่อเอเชียทะยานขึ้น ผมเชื่อว่าความแตกต่างในการพัฒนาประเทศในเอเชียจะถ่างมากขึ้น ประเทศที่ฉลาด ว่องไว จะทะยานขี่คลื่นนี้ไปได้ มันจะมีผู้ได้และผู้เสีย ถ้าคุณไม่เดินหน้าจริง ๆ การบริหารต้องจริง ๆ จัง ๆ ไม่ใช่บริหารแบบไม่บริหาร
วันนี้ไม่ว่าจะวัดในเรื่องอะไร อันดับของไทยตกหมด อาทิ ขีดความสามารถในการแข่งขัน ล่าสุดไทยหล่นจาก 36 มาอยู่ที่ 38 อินโดนีเซียกระโดดจาก 54 มาที่ 44 เวียดนามจาก 75 มา 59 คุณภาพการศึกษาเวียดนามอันดับ 61 ไทย 66 เรื่องความสามารถกำลังในการผลิตนวัตกรรมใหม่ ๆ เวียดนาม 32 อินโดนีเซีย 30 มาเลเซีย 25 ไทย 56 เรื่องจริยธรรมไทยมาที่โหล่ 71 เวียดนาม 61 สิงคโปร์ 1 มาเลเซีย 44 อินโดนีเซีย 65 ความเชื่อมั่นของ พับลิกต่อนักการเมือง สิงคโปร์ 1 มาเลเซีย 35 อินโดนีเซีย 51 เวียดนาม 32 ไทย 83
ดังนั้นเมื่อเอเชียทะยาน ประเทศที่จะได้ประโยชน์ 1.คุณต้องมี Respect จากต่างประเทศ นานาชาติต้องให้เกียรติคุณ ประเทศ ที่ไม่มีเอกภาพ ไม่มีใครเขาแคร์ ฉะนั้นหยุดเล่นกีฬาสี 2. "การสร้าง" จำเป็นมาก ไม่มีอะไรได้มาฟรี ฉะนั้นต้องสร้างเดี๋ยวนี้ ถ้าไม่ทำวันนี้เราไม่ใช่ "Winner" เราจะเป็น "Loser" เป็นคนที่ถูกละทิ้งในอนาคต
"ผมคิดว่าเราต้องเริ่มตั้งแต่วันนี้" !!!
อย่าลบหลู่
ข่าวสดรายวัน
เหล็กใน
ชักจะเข้าเค้าเรื่องที่ 'อาจารย์หม่า' ปรมาจารย์ ด้านฮวงจุ้ย
ทักท้วงการปรับแต่งฮวงจุ้ยทำเนียบรัฐบาลด้วยต้นปาล์มและต้นไทรจะทำให้บ้านเมืองเสียหาย
มีการลอบสังหารหรือวางระเบิด
ที่ว่าเข้าเค้าก็เพราะหลังการทักท้วงไม่นานก็เกิดเสียงระเบิดดังถี่ยิบ
เหิมเกริมถึงขั้นโทรศัพท์ขู่วางระเบิดโรงพยาบาลศิริราช
ไม่รู้ว่าตำรวจชุดเฉพาะกิจสืบสวนติดตามคดีระเบิดที่เกิดขึ้น ซึ่งมีพล.ต.อ.ภาณุพงศ์ สิงหรา ณ อยุธยา เป็นหัวหน้าจะทำงานประสบผล
หยุดเสียงระเบิดได้มากน้อยแค่ไหนโดยเฉพาะระเบิดที่มีส่วนเชื่อมโยงถึงการเมือง
เพราะถ้าการเมืองยังคงขัดแย้งรุนแรง
ก็เป็นไปได้ว่าเหตุระเบิดทำนองเดียวกับที่หน้าสนามม้านางเลิ้งและสำนักงานอัยการสูงสุดน่าจะยังมีอยู่ต่อไป
ต่อให้รู้ว่าใครมีส่วนเกี่ยวข้องอยู่เบื้องหลัง ก็อยู่นอกเหนือความสามารถของฝ่ายตำรวจที่จะเข้าไปจัดการอะไรได้
นอกจากปัญหาบึ้มป่วนเมืองที่ส่งผลสะเทือนความน่าเชื่อถือของรัฐบาล ที่ไม่สามารถควบคุมสถานการณ์บ้านเมืองให้อยู่ในความสงบเรียบร้อยได้แล้ว
ล่าสุดมีระเบิดเวลาโผล่มาอีก 1 ลูก
คือเรื่องที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ลาออกจากรองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง เพื่อไปลงสมัครเลือกตั้งซ่อมส.ส.สุราษฎร์ธานี
ตอนแรกมีการวิเคราะห์กันว่านายสุเทพ ต้องการปูทางเป็นนายกฯ สำรอง
หากประชาธิปัตย์เกิดถูกตัดสินยุบพรรค ขั้วการเมืองจะได้ไม่พลิก
ประชาธิปัตย์จะยังอยู่ในฐานะแกนนำรัฐบาลต่อไปถึงจะต้องเปลี่ยนตัวนายกฯ ก็ตาม
แต่ปรากฏไปๆ มาๆ มีข่าวเบื้องลึกออกมาทำนองว่าทุกอย่างคือเกมการเมืองภายในพรรคประชาธิปัตย์ ที่แบ่งออกเป็นก๊กเป็นเหล่า จ้องฟาดฟันกันเอง
โดยมี 'มือที่มองไม่เห็น' จากข้างนอกเข้ามาช่วยแจม
จนกลายเป็นว่าผลเลือกตั้งซ่อมส.ส.สุราษฎร์ฯ ไม่น่าตื่นเต้นเท่ากับการลุ้นว่านายสุเทพ จะได้รับแต่งตั้งกลับเข้ามาเป็นรองนายกฯ อีกหรือไม่
ถ้าไม่ ก็อาจเป็นจุดเปลี่ยนดุลอำนาจสำคัญในรัฐบาล
ปัญหาต่างๆ เหล่านี้ ไม่มีใครรู้ว่าเป็นผลจากการปรับแต่งฮวงจุ้ยทำเนียบแบบผิดหลักตามที่อาจารย์หม่าทักท้วงหรือไม่
แต่ล่าสุดเห็นมีข่าวเลขาธิการนายกฯ กอร์ปศักดิ์ สภาวสุ สั่งให้ทางสวนนงนุช
รีบมาขุดถอนต้นปาล์มออกไปแล้ว
เหล็กใน
ชักจะเข้าเค้าเรื่องที่ 'อาจารย์หม่า' ปรมาจารย์ ด้านฮวงจุ้ย
ทักท้วงการปรับแต่งฮวงจุ้ยทำเนียบรัฐบาลด้วยต้นปาล์มและต้นไทรจะทำให้บ้านเมืองเสียหาย
มีการลอบสังหารหรือวางระเบิด
ที่ว่าเข้าเค้าก็เพราะหลังการทักท้วงไม่นานก็เกิดเสียงระเบิดดังถี่ยิบ
เหิมเกริมถึงขั้นโทรศัพท์ขู่วางระเบิดโรงพยาบาลศิริราช
ไม่รู้ว่าตำรวจชุดเฉพาะกิจสืบสวนติดตามคดีระเบิดที่เกิดขึ้น ซึ่งมีพล.ต.อ.ภาณุพงศ์ สิงหรา ณ อยุธยา เป็นหัวหน้าจะทำงานประสบผล
หยุดเสียงระเบิดได้มากน้อยแค่ไหนโดยเฉพาะระเบิดที่มีส่วนเชื่อมโยงถึงการเมือง
เพราะถ้าการเมืองยังคงขัดแย้งรุนแรง
ก็เป็นไปได้ว่าเหตุระเบิดทำนองเดียวกับที่หน้าสนามม้านางเลิ้งและสำนักงานอัยการสูงสุดน่าจะยังมีอยู่ต่อไป
ต่อให้รู้ว่าใครมีส่วนเกี่ยวข้องอยู่เบื้องหลัง ก็อยู่นอกเหนือความสามารถของฝ่ายตำรวจที่จะเข้าไปจัดการอะไรได้
นอกจากปัญหาบึ้มป่วนเมืองที่ส่งผลสะเทือนความน่าเชื่อถือของรัฐบาล ที่ไม่สามารถควบคุมสถานการณ์บ้านเมืองให้อยู่ในความสงบเรียบร้อยได้แล้ว
ล่าสุดมีระเบิดเวลาโผล่มาอีก 1 ลูก
คือเรื่องที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ลาออกจากรองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง เพื่อไปลงสมัครเลือกตั้งซ่อมส.ส.สุราษฎร์ธานี
ตอนแรกมีการวิเคราะห์กันว่านายสุเทพ ต้องการปูทางเป็นนายกฯ สำรอง
หากประชาธิปัตย์เกิดถูกตัดสินยุบพรรค ขั้วการเมืองจะได้ไม่พลิก
ประชาธิปัตย์จะยังอยู่ในฐานะแกนนำรัฐบาลต่อไปถึงจะต้องเปลี่ยนตัวนายกฯ ก็ตาม
แต่ปรากฏไปๆ มาๆ มีข่าวเบื้องลึกออกมาทำนองว่าทุกอย่างคือเกมการเมืองภายในพรรคประชาธิปัตย์ ที่แบ่งออกเป็นก๊กเป็นเหล่า จ้องฟาดฟันกันเอง
โดยมี 'มือที่มองไม่เห็น' จากข้างนอกเข้ามาช่วยแจม
จนกลายเป็นว่าผลเลือกตั้งซ่อมส.ส.สุราษฎร์ฯ ไม่น่าตื่นเต้นเท่ากับการลุ้นว่านายสุเทพ จะได้รับแต่งตั้งกลับเข้ามาเป็นรองนายกฯ อีกหรือไม่
ถ้าไม่ ก็อาจเป็นจุดเปลี่ยนดุลอำนาจสำคัญในรัฐบาล
ปัญหาต่างๆ เหล่านี้ ไม่มีใครรู้ว่าเป็นผลจากการปรับแต่งฮวงจุ้ยทำเนียบแบบผิดหลักตามที่อาจารย์หม่าทักท้วงหรือไม่
แต่ล่าสุดเห็นมีข่าวเลขาธิการนายกฯ กอร์ปศักดิ์ สภาวสุ สั่งให้ทางสวนนงนุช
รีบมาขุดถอนต้นปาล์มออกไปแล้ว
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)