--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันศุกร์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2553

อาชญากรโลก

ข่าวสดรายวัน

คอลัมน์ เหล็กใน

ถึงวันนี้รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จะนิ่งเฉยต่อการสูญเสียชีวิตของประชาชน 91 ศพ เหยื่อสลายการชุมนุมคนเสื้อแดงไม่ได้แล้ว

หลังปล่อยให้คดีอืดอาดล่าช้ามานาน 4-5 เดือน

เมื่อนายโรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม สำนักงานทนายความอัมเตอร์ดัม แอนด์ เปรอฟ เตรียมยื่นฟ้องต่อศาลโลกให้สอบสวนเอาผิดนายกฯอภิสิทธิ์ และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯฝ่ายความมั่นคง

ในข้อหาอาชญากรรมฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ในการสลายการชุมนุมคนเสื้อแดง ตั้งแต่วันที่ 10 เม.ย.-19 พ.ค. 2553

การยื่นฟ้องศาลโลกครั้งนี้ถูกมองจากฝ่ายรัฐบาลว่ามีเบื้องหน้าเบื้องหลัง

เพราะนายโรเบิร์ตเป็นทนายความส่วนตัวของพ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร

มองว่าเป็นเกมการเมืองของพรรคเพื่อไทย และแกนนำคนเสื้อแดง

มีจุดมุ่งหมายเพื่อทำลายความน่าเชื่อถือของรัฐบาลชุดนี้

จะมีเบื้องหน้าเบื้องหลังหรือเปล่าก็เป็นประเด็นหนึ่ง

แต่การนำคดี 91 ศพเข้าสู่กระบวนการสอบสวนหาตัวผู้กระทำผิดที่แท้จริง

ถือว่าเป็นเรื่องที่เหมาะสมและสมควรแล้ว

เพราะที่ผ่านมา กระบวนการตรวจสอบและสอบสวนในไทยเองไม่ได้สร้างความเชื่อมั่นให้กับญาติพี่น้องของผู้สูญเสีย

ญาติผู้เสียชีวิตที่เป็นชาวต่างชาติ ทั้งนักข่าวญี่ปุ่นและอิตาลี ทวงถามความคืบหน้าในการสืบสวนสอบสวนหาตัวผู้กระทำผิดจากรัฐบาลไทย

คำตอบของกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ กลับบอกแค่ว่าไม่มีความคืบหน้า

ยังไม่รู้ว่าใครเป็นคนฆ่า!!

คณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อความปรองดองแห่งชาติ หรือคอป. ซึ่งแต่งตั้งโดยรัฐบาล และมีหน้าที่หลักในการตรวจสอบหาสาเหตุการเสียชีวิต 91 ศพ

ก็กีดกันไม่ให้องค์กรนานาชาติเข้าร่วมตรวจสอบด้วย

องค์กรสิทธิมนุษยชนโลกและอีกหลายๆ องค์กรพยายามส่งผู้เชี่ยวชาญเข้าร่วมสอบสวน เพื่อให้เกิดความโปร่งใส

ก็ไม่ได้รับการตอบสนองจากรัฐบาล

ที่มองว่าเป็นการก้าวก่ายกิจกรรมภายในของไทย

ถึงเวลานี้จะกล่าวหาว่าคนเสื้อแดงเดินเกมดิสเครดิตรัฐบาลเพียงอย่างเดียวคงไม่ได้

เพราะว่ากันตามความจริงแล้ว ผู้ที่สูญเสียจากเหตุสลายม็อบก็เป็นคนเสื้อแดงเอง

คนเสื้อแดงยิ่งต้องการให้เกิดความโปร่งใส และให้ความจริงปรากฏ

ไม่ใช่การสอบเองเออเองแบบที่ดีเอสไอกำลังทำอยู่

เมื่อกระบวนการสอบสวนในไทย ไม่เป็นที่ยอมรับจากผู้สูญเสีย ก็ต้องพึ่งพากระบวนการที่น่าเชื่อถือกว่า

ถ้ารัฐบาลคิดว่าไม่ใช่ต้นเหตุทำให้เกิดการสังหาร 91 ศพ นายกฯอภิสิทธิ์มั่นใจว่าไม่ใช่อาชญากร

ก็ควรปล่อยให้คดีนี้เข้าสู่กระบวนการสอบสวนศาลโลก

ไม่มีเหตุผลเลยที่จะไปขัดขวาง

นอกเสียจาก...?

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันพฤหัสบดีที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2553

ชั่วฟ้า ดินสลาย

สถานการณ์ภายใต้เสื้อคลุม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ในจังหวัด ชายแดนภาคใต้ช่างแตกต่างจากภัยมืดกลางกรุงยิ่งนัก แตกต่างสุดขั้วราวฟ้ากับเหว ระเบิดในเมืองกรุงเรดาร์จะจับจ้องไปยังสถานที่ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งการช่วงชิงอำนาจ แต่ระเบิดในจังหวัดชายแดนภาคใต้กลับไร้ซึ่งความปราณี..

ปราศจากความเมตตาและไม่มีตา..มันจึงดังสนั่นหวั่นไหวได้ทุกพื้นที่และทุกหย่อม หญ้า นั่นก็เป็นปัญหาที่คาราคาซังมาตั้งแต่ปี 2547 หลังวาทกรรม “โจรกระจอก” ถูกเปล่ง ออกมาจากลมปากนักการเมือง

แต่จะว่าไปแล้ว คงไปโทษ “พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี แต่เพียงผู้เดียวมันคงไม่ถูกต้องทั้งหมด เพราะปัญหาที่สุดเขตด้ามขวานทอง มันดำรง อยู่บนการแบ่งเค้กของกลุ่มผลประโยชน์ในพื้นที่มาอย่างยืดเยื้อยาวนาน ผิดเพียง แต่ว่า การถอดสมการ ของ “อดีตนายกฯ ทักษิณ” เป็นไปใน เชิงพาณิชย์ คือมีการสลายขั้วผลประโยชน์เพื่อผลประโยชน์ของคนกลุ่มใหม่

ส่งผลให้สถานการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ยุ่งอินุงตุงนังมาจนเท่าทุกวันนี้ สดๆ ร้อนๆ บึ้ม 30 จุด ในห้วงแห่งเดือนรอมฎอน ร้อนฉ่าทวีคูณองศาเดือดขึ้นมาอย่างน่าใจหายยิ่ง!!!

เสียงระเบิดที่ปัตตานี ยะลา นราธิวาส และ อีก 4 อำเภอในสงขลา ทำไมถึงสะเทือน เลื่อนลั่นมาถึงกรุงเทพเมืองฟ้าอมร และทำไม หลายเหตุผล มากมายข้อสังเกต ถึงถูกยึดโยงเข้ากับการตัดสินใจของคนระดับบิ๊กในหอคอยงาช้าง

3 เงื่อนปมร้อนชนวนไฟใต้ถูกเชื่อมโยง เอาไว้อย่างน่าสนใจยิ่ง???

ระดับปฏิบัติการในพื้นที่ มองไปในทิศทางเดียวกันว่าเหตุคุโชนมีสารตั้งต้นมาจากกรณีที่เจ้าพนักงานสอบสวนสั่ง ไม่ฟ้อง “สุทธิรักษ์ คงสุวรรณ” อดีตทหารพราน ที่ยิงกราดใส่ชาวบ้านขณะกำลัง ประกอบพิธีละหมาด ภายในมัสยิดอัลฟุรกอน บ้านไอปาแย ตายสิบ 10 ราย เจ็บอีกเพียบ

หลักฐานมีให้เห็นประจักษ์ชัดถนัดถนี่ มัดแน่นด้วย 3 คดีที่พ่วงเข้ามาเป็นพวงเดียว กัน สุดท้ายผู้ต้องหากลับอยู่รอดปลอดภัย มหกรรมล้างแค้นจึงเป็น 1 ในชนวนเหตุบึ้มป่วนใต้???

ปมร้อนที่สองถูกเชื่อมโยงไปถึงข้อเสนอของ “น.พ.ประเวศ วะสี” ราษฎรอาวุโส งดเว้น พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ไม่ต่างจากการเหยียบตาปลาคน ในกองทัพแบบเต็มๆ และเต็มบาทา

และนั่นมันย่อมสอดคล้องคาบเกี่ยวกับงบประมาณปี 54 จำนวนมหึมาที่กำลังจะไหลลงใต้ แม้ข้อสังเกตนี้จะยังไม่สามารถจับมือใครดมได้อย่างเป็นรูปธรรม แต่กรณีศึกษาเหตุระเบิดที่มักจะดังโครมครามก่อนเค้ก งบประมาณคลอด ล้วนสะท้อนนัยไว้อย่างน่าขบคิด ยิ่งหากมองในตรรกะระดับปฏิบัติการป่วนใต้มืออาชีพ ที่ส่วนใหญ่ช่วงเดือนรอมดอนจะไปแสวงบุญที่เมือง “มักกะห์” นั่นจึงกลายเป็นข้อสงสัยที่แหลมคมยิ่งนักว่า..

ไร้ซึ่งระดับแกนนำแล้วมันปูพรมบึ้มกัน ได้อย่างไรถึง 30 จุด???

ขมวดมาที่ปมร้อนสุดท้าย กรณีแต่งตั้ง ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีอุ้มฆ่าอัลรูไวลี่อย่าง พล.ต.ท.สมคิด บุญถนอม ขึ้นดำรงตำแหน่งผู้ช่วย ผบ.ตร. ท่ามกลางการคัดค้านของซาอุดีอาระเบีย เพราะหากลองต่อจิ๊กซอว์เชื่อมโยงกับความเคลื่อนไหวแบบลับๆ ในโลกอาหรับ..

มันย่อมไม่เป็นผลดีต่อสถานการณ์ในจังหวัดชายแดนใต้เป็นแน่แท้!!!

ถอดสมการจาก 3 ปมร้อน หากสมมติฐานดังกล่าวเกิดขึ้นจริง นั่นจะเท่ากับว่า ไฟฟอนที่สุมขอนอยู่ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ล้วนมีที่มาที่ไปทั้งจากโจรตัวจริง โจรในเครื่องแบบ และนักการเมืองโลภ

เมื่อร่วมด้วยช่วยกันสหบาทาประชาชนตาดำๆ แบบบูรณาการกันได้ถึงเพียงนี้ คงไม่ต้องอรรถาธิบายความอะไรมากมายว่ารอยเลือดและคราบน้ำตา ของคนในพื้นที่ จะยังคงอยู่คู่บ้านเมืองนี้ ตราบชั่วฟ้าดินสลาย!!!

ที่มา.สยามธุรกิจ
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

การก้าวลงบัลลังก์ของท่านอักขราทร

มติชนออนไลน์

10 ปีมาแล้วที่ดร.อักขราทร จุฬารัตน นั่งเป็นประธานศาลปกครองสูงสุด จากตึกเอ็มซิมแบงก์ย่านพหลโยธิน สู่"อาคารเอ็มไพร์"ย่านสาทร จนมาปักหลักเป็นศาลปกครองที่ยิ่งใหญ่อลังการบนถนนแจ้งวัฒนะ แต่อีกไม่นาน ประมุขศาลปกครองคนแรกของประเทศไทย จะก้าวลงจากบัลลังก์ ในวัย 70 ปี

เปิดทางให้ผู้สืบต่อ คือ "หัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล" ขับเคลื่อนศาลปกครองต่อไป

เอาเข้าจริง ผมน่าจะเป็นนักข่าวที่เห็นเส้นทางของอาจารย์อักขราทร มายาวนานกว่านักข่าวคนอื่นๆ เพราะผมเรียนกฎหมายวิชา "นิติกรรม" กับอาจารย์หนุ่มจากอิตาลีเมื่อปี 2526

ดร.อักขราทร เล่าว่า สมัยเป็นหนุ่มต้องเลือกระหว่าง ไปเรียนที่อังกฤษ กับ อิตาลี ถ้าไปเรียนที่อังกฤษกลับมาก็เป็นแค่ครูสอนวิชาภาษาอังกฤษ จึงเลือกไปเรียนอิตาลี เพื่อกลับมาเป็นอาจารย์สอนกฎหมาย นี่เป็นเหตุที่ผมได้ฟังเลกเชอร์ของอาจารย์อักขราทร ตั้งแต่ยังเป็นเด็กๆ

เมื่อผมมาเป็นนักข่าว ผมก็ไปหาข่าวที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เดินเข้าออกอยู่ 2 ห้องคือ ห้องรองเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา "ชัยวัฒน์ วงศ์วัฒนศานต์" กับห้องเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา ดร.อักขราทร จุฬารัตน

ยังจำได้ว่า มองออกจากหน้าต่างห้องเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา จะเห็นแม่น้ำเจ้าพระยาในมุมที่สวยที่สุด เชื่อว่า สวยกว่า มุมมองจากกรมการค้าภายใน และโรงแรมโอเรียนเต็ล

ตอนขับเคลื่อน"ศาลปกครอง" ผมเป็นเสียงหนึ่งที่เปิดพื้นที่ให้กับระบบศาลคู่ เพราะอยากเห็นศาลปกครองเกิดขึ้นในประเทศไทย จนคนในศาลเดี่ยวไม่ค่อยพอใจ

คนที่เป็นหัวเรือใหญ่ของระบบศาลคู่ คือ ดร. อมร จันทรสมบูรณ์ แต่คนที่ได้เป็นประธานศาลปกครองสูงสุดคือ ดร.อักขราทร

ผมคิดเอาเองว่า เส้นทางชีวิตจากอาจารย์สอนกฎหมาย มาสู่เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา และสูงสุดในตำแหน่งประมุขศาลปกครอง

ไม่ใช่แค่ กึ๋นอย่างเดียว แต่ต้องเป็น"โชควาสนา" อย่างแน่นอน ที่เดินทางมาในกาละและเทศะที่เหมาะสม ทำให้ไม่ต้องออกแรงมาก เหมือนคนอื่นๆ

หรืออย่าง ดร.โภคิน พลกุล รองประธานศาลปกครองสูงสุด แทนที่จะได้เป็นเบอร์หนึ่งก็กระโดดลงเล่นการเมือง โยนทิ้งอนาคตไปเสียอย่างนั้น

ผมถาม อาจารย์อักขราทร ว่า ครบ 70 ปีแล้ว อยากจะทำอะไรที่ยังไม่ได้ทำ คำตอบคือ อยากเล่นเปียโน และเข้าครัวทำอาหาร เพราะซื้อตำราทำอาหารไว้เยอะมาก

"จะสนุกอะไร ไปยกร่างรัฐธรรมนูญกับอาจารย์อมร จันทรสมบูรณ์ ไม่ดีกว่าหรือ " ผมถามอาจารย์อักขราทร เมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา

คำตอบคือ ไม่สนใจ เพราะต่อให้เขียนรัฐธรรมนูญดีอย่างไร นักการเมืองมันไม่เอาก็เป็นแค่กระดาษ เสียเวลาเปล่า

ดร.อักขราทร เชื่อว่า โอกาสจะปฎิรูปการเมืองจะเกิดขึ้นได้ต่อเมื่อมี Stateman ที่เป็นคนดีและคนกล้า เท่านั้น กระโดดเข้ามาเขียนกติกาใหม่เพื่อประโยชน์ของส่วนรวม

นี่ก็เป็นประเด็นหนึ่งที่ผมไม่ค่อยเห็นด้วยกับ ศ. ดร. อักขราทร

เพราะผมเองไม่เชื่อใน Stateman เพราะ Stateman ตัวเป็นๆ ที่ปลอดจากความโลภความหลง อัตตาส่วนตัว และปลอดจากพวกพ้อง

ผมไม่เคยเห็น และไม่คิดว่าในอนาคตจะมี Stateman โผล่ขึ้นมา เอาเวลาคิดเรื่อง Stateman ไปทำเรื่องอื่นดีกว่า

ผมเชื่อว่า สังคมไทยต้องเรียนรู้และผ่านบททดสอบประชาธิปไตยกันไปอย่างนี้แหละครับ จนกว่าจะแบ่งปันผลประโยชน์และอำนาจกันลงตัวของทุกสถาบัน

และแม้ว่าจะต้องตายกันอีกเป็นเบือ ดังนั้นสำหรับผมแล้ว ไม่มีทางลัด ไม่มี Stateman ไม่มี ปาฎิหารย์ อะไรทั้งสิ้น !!!

เช่นเดียวกับเรื่อง การทำหน้าที่ของสื่อ ผมเคยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเรื่องนี้กับท่านประมุขศาลปกครอง ท่านบอกว่า สื่อไม่จำเป็นต้องเป็นกลาง ขอให้มีจุดยืนที่ถูกต้องก็เพียงพอ

ผมค้านว่า ไม่ดีแน่ ถ้าสื่อไม่เป็นกลาง นำเสนอความจริงเพียงครึ่งเดียว อันตรายที่สุด เพราะสื่อพวกนี้จะนำสังคมเข้ารกเข้าพงได้โดยง่าย อย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้

" สู้ให้สื่อนำเสนอความจริงทั้งสองด้าน แล้วให้คนอ่าน ตัดสินใจเอาเองว่า จะเลือกเชื่อใครดีกว่ากัน ? " ผมบอกท่านไปอย่างนั้น

ผมเชื่อของผมเองว่า สื่อที่เสนอความจริงด้านเดียว แย่ยิ่งกว่า นักข่าวเขียนข่าวเท็จ เสียอีก เพราะเขียนข่าวเท็จ ชาวบ้านทั้งตลาดก็รู้ว่า มันโกหก

แต่สื่อพวกที่เสนอความจริง ด้านเดียว มันคือยาพิษ ดีๆ นี่เอง (ครับ) เสพข่าวเท็จโดยไม่รู้ตัว

จริงๆ แล้ว ผมสัมภาษณ์ ท่านอักขราทร นับครั้งไม่ถ้วน ส่วนใหญ่แล้วเห็นพ้องด้วยในหลักวิชาการและหลักกฎหมายทุกเรื่องทุกประเด็น

มีเพียงเรื่อง สื่อ กับ เรื่องตุลาการภิวัตน์ เท่านั้นเอง ที่ผมเห็นต่าง (ครับ)

แต่ทั้งหมด ผมฟันธงว่า ท่านเป็นตุลาการศาลปกครองสูงสุด ที่กราบไหว้ได้สนิทใจ (ครับ)

ทั้งในฐานะอาจารย์สอนกฎหมาย เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา และประมุขศาล .

ขุนสำราญภักดี

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

เสื้อแดงเชิญ‘ป๋าเปรม’ฟังอภิปรายความเสียหายจากรัฐประหาร

ที่มา.หนังสือพิมพ์ โลกวันนี้

เสื้อแดงคึกคักแยกจัดกิจกรรมรำลึก 4 ปีรัฐประหาร 4 เดือนราชประสงค์ ภายใต้สโลแกน “19 กันยาตาสว่างทั้งแผ่นดิน” ในหลายพื้นที่ โดยมีจุดหลักอยู่ที่ราชประสงค์กับเชียงใหม่ เอ่ยปากเชิญ “ป๋าเปรม” ร่วมฟังการอภิปรายผลเสียจากการรัฐประหารที่ทำให้บ้านเมืองแตกแยกมาจนถึงปัจจุบัน ยันชุมนุมสงบ ไม่ใช้ความรุนแรง อธิบดีดีเอสไอสะกิดตำรวจมี พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ชุมนุมเกิน 5 คนไม่ได้ ระบุวางดอกไม้หน้าเรือนจำละเมิดอำนาจศาล เพราะแสดงออกถึงการต่อต้านคำสั่งคุมขังแกนนำ ผบช.น. ปูดกลุ่มชุดดำที่ผ่านมาฝึกยุทธวิธีเข้าฝังตัวใน กทม. เช่าคอนโดฯอยู่ใกล้บ้านนายกฯ เพิ่มกำลังรักษาความปลอดภัย “จตุพร” เย้ยกุข่าว ย้ำคนเสื้อแดงไม่คิดฆ่าใคร รอกฎแห่งกรรมจัดการ

นายสมยศ พฤกษาเกษมสุข แกนนำกลุ่ม 24 มิถุนาประชาธิปไตย และแนวร่วมคนเสื้อแดง แถลงจัดชุมนุมใหญ่ในโอกาสครบรอบ 4 ปีรัฐประหาร และครบรอบ 4 เดือนเหตุการณ์นองเลือดที่ราชประสงค์ ภายใต้สโลแกน “19 กันยาตาสว่างทั้งแผ่นดิน” โดยงานจะจัดขึ้นที่จังหวัดเชียงใหม่ในวันที่ 19 ก.ย. นี้

เชิญ “ป๋าเปรม” ฟังอภิปราย

“ในโอกาสนี้ผมขอเชิญชวน พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ในฐานะที่เคยให้การสนับสนุนการทำรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 ก.ย. 2549 เป็นเหตุให้เกิดความแตกแยกในบ้านเมืองจนถึงทุกวันนี้เข้าร่วมฟังการปราศรัยด้วย เพื่อจะได้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างในประเทศนี้หลังการรัฐประหาร” นายสมยศกล่าวพร้อมยืนยันว่า คนเสื้อแดงที่แยกกันจัดงานรำลึกหลายสถานที่จะชุมนุมอย่างสงบและสันติ ไม่มีอะไรต้องกังวลเรื่องความรุนแรงอย่างที่รัฐบาลพยายามสร้างข่าวอยู่ในตอนนี้

เสนอแนวคิดหลายข้อสร้างปรองดอง

นายสมยศยังเสนอแนวทางการสร้างความปรองดอง โดยให้ปล่อยตัวนักโทษการเมืองทุกคน ปฏิรูปศาลยุติธรรมให้เชื่อมโยงกับประชาชนและนำคณะลูกขุนมาใช้ปฏิรูปเศรษฐกิจด้วยการยกเลิกการเก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมัน ลดภาษีมูลค่าเพิ่มจาก 7% เหลือ 5% จัดเก็บภาษีอัตราก้าวหน้า ภาษีมรดก ภาษีที่ดินเพื่อเอาภาษีจากคนรวยมาช่วยคนจน ปฏิรูปที่ดินโดยกระจายการถือครองที่ดิน ประกันรายได้ให้เกษตร และเพิ่มค่าจ้างให้ผู้ใช้แรงงาน

งานที่เชียงใหม่เริ่มตั้งแต่บ่ายโมง

สำหรับกำหนดการจัดงานที่เชียงใหม่ในวันที่ 19 ก.ย. จะเริ่มตั้งแต่เวลา 13.00 น. โดยจะมีขบวนพาเหรดล้อเลียนการเมืองเดินไปรอบเมืองเชียงใหม่ เวลา 17.00-23.00 น. ปราศรัยที่สนามกีฬาเทศบาลเชียงใหม่ ผู้ร่วมปราศรัยบนเวที เช่น นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี นายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำคนเสื้อแดง นายสุนัย จุลพงศธร ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย การโฟนอินจากนายจรัล ดิษฐาอภิชัย นางดาริณี กฤติบุญญาลัย และนายอริสมันต์ พงศ์เรืองรอง แกนนำและแนวร่วมคนเสื้อแดง

ผูกผ้าแดงแสนชิ้นที่ราชประสงค์

ส่วนกิจกรรมที่แยกราชประสงค์จะนำโดยนายสมบัติ บุญงามอนงค์ แกนนำกลุ่มวันอาทิตย์สีแดง จะจัดกิจกรรมผูกผ้าแดง 100,000 ชิ้นที่แยกราชประสงค์ ปล่อยลูกโป่งสีแดง และเขียนจดหมายถึงฟ้า

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายสมยศในฐานะบรรณาธิการผู้พิมพ์ ผู้โฆษณานิตยสารเรดเพาเวอร์ ได้เดินทางไปยื่นหนังสือร้องเรียนต่อนางอมรา พงศาพิชญ์ ประธานกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) และนายปริญญา ศิริสารการ กรรมการสิทธิฯ กรณีรัฐบาลสั่งให้ตำรวจตรวจค้นบริษัทโกลเด้น เพาเวอร์ พริ้นติ้ง ซึ่งเป็นโรงพิมพ์รับจ้างพิมพ์นิตยสารเรดเพาเวอร์ และอายัดเครื่องพิมพ์ 11 เครื่อง รวมทั้งเข้าตรวจค้นบริษัทเค เค พับลิชชิ่ง ซึ่งเป็นบริษัทผู้จัดจำหน่ายนิตยสารเรดเพาเวอร์ โดยสั่งให้ยุติการจำหน่าย พร้อมสั่งปรับ 10,000 บาท

อัดรัฐบาลทำ 2 บริษัทเสียหาย

“การกระทำของรัฐบาลนอกจากจะใช้อำนาจคุกคามกันแล้ว ยังทำให้ทั้ง 2 บริษัทเดือดร้อนคิดเป็นมูลค่ากว่า 10 ล้านบาท เพราะทั้ง2 บริษัทไม่ได้ทำธุรกิจกับนิตยสารเรดเพาเวอร์เท่านั้น จึงอยากให้กรรมการสิทธิฯพิจารณาเรื่องนี้โดยด่วน เพื่อให้ทั้ง 2 บริษัทได้ทำธุรกิจต่อ หยุดยั้งพฤติกรรมลุแก่อำนาจของรัฐบาล หยุดการคุกคามสื่อเพื่อปกป้องสิทธิมนุษยชน สิทธิการรับรู้ข่าวสาร สิทธิการประกอบอาชีพและธุรกิจ สิทธิการแสดงเสรีภาพและความคิดเห็นตามครรลองประชาธิปไตย” นายสมยศกล่าว

นางอมรากล่าวว่า จะรับเรื่องไว้พิจารณาตามกระบวนการ โดยจะเชิญผู้เกี่ยวข้องมาให้ข้อมูลต่อไป

“สุเทพ” เซ็ง ส.ส. ปูดข่าวรุนแรง

นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีและผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) แสดงความไม่พอใจกรณีที่ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ออกมาพูดทำนองจะเกิดความรุนแรงในช่วงงานรำลึก 4 ปีรัฐประหาร โดยอาจมีการก่อวินาศกรรม ลอบสังหารบุคคลสำคัญ โดยระบุว่า การพูดที่ไม่ระมัดระวังทำให้ประชาชนเกิดความวิตกกังวล

ผู้สื่อขาวถามว่า ส.ส. อ้างข่าวจากหน่วยข่าวกรองรายงานในที่ประชุมพรรค นายสุเทพกล่าวว่า “ไม่ล่ะครับ ข่าวกรองไม่มีข่าวอย่างนี้”

ส่วนการดูแลความปลอดภัยให้กับนายกรัฐมนตรีนั้น นายสุเทพกล่าวว่า ดูแลเหมือนที่ทำอยู่ทุกวันนี้ ไม่ต้องมีอะไรเป็นพิเศษ

วางดอกไม้หน้าเรือนจำละเมิดศาล

นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) กล่าวว่า การที่คนเสื้อแดงจะไปวางดอกไม้ที่หน้าเรือนจำ ปล่อยลูกโป่ง เขียนจดหมายถึงฟ้า เป็นกิจกรรมที่ไม่เหมาะสม เพราะแกนนำที่อยู่ในเรือนจำถูกคุมขังตามคำสั่งศาล การไปวางดอกไม้จึงเป็นการแสดงออกถึงการไม่เห็นด้วยหรือต่อต้านศาล

“การเขียนจดหมายถึงฟ้าเป็นกิจกรรมที่ไม่เหมาะสม เพราะเรารู้ดีว่าเขาต้องการสื่อถึงอะไร ที่สำคัญตอนนี้ยังอยู่ในช่วงใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินที่ห้ามชุมนุมเกิน 5 คน ตำรวจต้องพิจารณาเรื่องนี้” นายธาริตกล่าว

มั่นใจคดี 91 ศพฟ้องศาลโลกไม่ได้

อธิบดีดีเอสไอยังกล่าวถึงกรณีนายจตุพรจะนำคดีสังหารผู้ชุมนุมฟ้องศาลโลกว่า หากดูตามกฎหมายคงฟ้องไม่ได้ เพราะเป็นเรื่องภายในประเทศที่มีกฎหมายที่เกี่ยวข้องอยู่แล้ว

“ไม่ใช่เรื่องการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ หรือการกระทำอันเนื่องมาจากปัญหาเชื้อชาติ จึงไม่เข้าเกณฑ์ที่จะฟ้องได้แน่นอน” นายธาริตกล่าว

พล.ต.ท.สัณฐาน ชยนนท์ ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) กล่าวหลังการประชุมร่วมกับผู้บังคับการตำรวจนครบาล 1-9 ว่าจะควบคุมการชุมนุมของคนเสื้อแดงไม่ให้ละเมิดกฎหมาย หากมีการกระทำอะไรเกินเลยต้องเข้าไปดูแล

ปูดชุดดำเช่าคอนโดฯใกล้บ้านนายกฯ

“มีรายงานเรื่องกลุ่มชายชุดดำเดินทางเข้ากรุงเทพฯแล้ว ซึ่งคนกลุ่มนี้ไปฝึกยุทธวิธีมาจากกัมพูชาและกำลังจะทำบางอย่าง ขณะนี้พบว่าคนกลุ่มนี้ไปเช่าคอนโดมิเนียมใกล้กับบ้านพักนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ที่ซอยสุขุมวิท 31 จึงได้สั่งการให้เฝ้าจับตาเอาไว้แล้ว อย่างไรก็ตาม ขณะนี้เขารู้ตัวเลยยุติเคลื่อนไหว แต่เราไม่ประมาทเด็ดขาด” พล.ต.ท.สัณฐานกล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานจากการข่าวพบความเคลื่อนไหวของชายชุดดำ ทำให้มีการเพิ่มกำลังอารักขาความปลอดภัยที่บ้านพักนายกรัฐมนตรีมากขึ้น

“จตุพร” ซัดกุข่าวลอบสังหาร

นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย และแกนนำคนเสื้อแดง ยืนยันว่า ในกลุ่มคนเสื้อแดงไม่มีใครคิดสังหารนายกรัฐมนตรี หรือนายสุเทพ เทือกสุบรรณ แน่นอน

“เรื่องนี้เป็นการกุข่าวของตำรวจ พวกเราไม่คิดไปทำอะไรใคร เพราะจะรอดูกฎแห่งกรรม”

**********************************************************************

อุปทูตซาอุฯมีหลักฐานหักล้างแต่งตั้ง‘สมคิด’

จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้

อุปทูตซาอุฯแฉกลางที่ประชุมคณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร ยังไม่เคยได้รับคำชี้แจงการแต่งตั้ง “สมคิด” นั่งผู้ช่วย ผบ.ตร. อย่างเป็นทางการจากรัฐบาลไทย เผยรับไม่ได้กับข้ออ้างของสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่ยกรัฐธรรมนูญมาตรา 95 พ.ร.บ.ตำรวจ ที่ระบุผู้ต้องหายังเป็นผู้บริสุทธิ์หากศาลยังไม่ตัดสินว่าผิดมาหักล้าง ย้อนถามหากไม่ผิดทำไมต้องใช้กฎหมายล้างมลทินช่วยเหลือ ยืนยันไม่คิดก้าวก่ายกิจการภายในของไทย แต่มีหลักฐานในมือหักล้างได้แน่หากยังดันทุรังแต่งตั้งต่อไป

ที่รัฐสภา วันที่ 15 ก.ย. 2553 การประชุมคณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายประชา ประสพดี ส.ส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย เป็นประธาน ได้เชิญนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) เข้าชี้แจงการแต่งตั้ง พล.ต.ท.สมคิด บุญถนอม ผู้ตกเป็นต้องหาคดีการหายตัวของนักธุรกิจชาวซาอุดีอาระเบีย ขึ้นเป็นผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผช.ผบ.ตร.) นอกจากนี้ยังได้เชิญนายนาบิล ฮัสเซอรี อุปทูตซาอุฯ พล.ต.ท.อาจิณ โชติวงษ์ เลขานุการ ก.ตร. และ พล.ต.ต.วิชัย รัตนยศ ผู้บังคับการกองคดีอาญา สำนักงานตำรวจแห่งชาติ นายอิศร ปกมนตรี เลขาธิการทูตประจำกระทรวงการต่างประเทศ และนายฐิติวัตรน์ สุขสวัสดิ์ ณ อยุธยา นักการทูตปฏิบัติการ เข้ารับฟังการชี้แจง ซึ่งการประชุมครั้งนี้ไม่อนุญาตให้สื่อมวลชนร่วมรังฟังเหมือนปรกติ

นายประชาเปิดเผยหลังการประชุมว่า อุปทูตซาอุฯยืนยันว่าไม่ต้องการแทรกแซงกิจการภายในของไทย แต่เรื่องนี้มีผลต่อความสัมพันธ์ของ 2 ประเทศ ซึ่งตั้งแต่แสดงท่าทีคัดค้านมีโอกาสได้คุยกับผู้เกี่ยวข้องหลายคน แต่ยังไม่เคยได้รับคำชี้แจงอย่างเป็นทางการจากรัฐบาลไทย

“อุปทูตซาอุฯยืนยันว่ายังไม่เข้าใจว่าทำไมผู้ที่ถูกดำเนินคดีอาญาจึงได้เลื่อนตำแหน่งสูงขึ้น ทำไมรัฐบาลไทยต้องแต่งตั้งทั้งที่ไม่แต่งตั้งก็ได้ หากเป็นการแต่งตั้งหลังคดีสิ้นสุดแล้วและศาลบอกว่า พล.ต.ท.สมคิดไม่ผิดก็ไม่มีปัญหา แต่นี่คดียังไม่ทันเริ่มพิจารณา โดยศาลนัดสืบพยานครั้งแรกวันที่ 25 พ.ย. นี้ นอกจากนี้เขายังสงสัยว่าก่อนหน้านี้อัยการมีคำสั่งไม่ฟ้องคดีแต่ทำไมต้องนำ พ.ร.บ.ล้างมลทินมาใช้ ซึ่งกรณีนี้นายสุเทพชี้แจงว่าเพื่อไม่ให้มีปัญหาเรื่องโทษทางวินัย” นายประชากล่าว

นายประชากล่าวว่า อุปทูตซาอุฯตั้งคำถามเรื่อง พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2547 มาตรา 95 ที่ระบุว่าข้าราชการตำรวจผู้ใดมีกรณีถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรงจนถูกตั้งกรรมการสอบสวน หรือต้องหาว่ากระทำความผิดอาญาหรือถูกฟ้องคดีอาญา จะต้องถูกสั่งพักราชการจน กว่าการพิจารณาคดีเสร็จสิ้นโดยสมบูรณ์ แต่ทำไมยังแต่งตั้ง พล.ต.ท.สมคิด และเขารับไม่ได้กับคำชี้แจงของสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่อ้างกฎหมายรัฐธรรมนูญว่าผู้ถูกกล่าวหายังถือเป็นผู้บริสุทธิ์จนกว่าศาลจะตัดสินว่าผิด เพราะเห็นว่าเป็นคนละประเด็นกัน

“นายสุเทพบอกว่าข้อสงสัยทั้งหมดจะได้รับการชี้แจงอย่างเป็นทางการจากรัฐบาลไทยภายใน 1-2 วันนี้ หากยังมีข้อสงสัยอีกก็ให้ทำคำโต้แย้งกลับมาที่กระทรวงการต่างประเทศ ในส่วนคณะกรรมาธิการจะตั้งคณะทำงานฝ่ายกฎหมายเฉพาะกิจขึ้นมาพิจารณาว่ามีอำนาจตามกฎหมายใดหักล้างบทบัญญัติมาตรา 95 ของ พ.ร.บ.ตำรวจได้ โดยจะศึกษาให้เสร็จใน 15 วัน” นายประชากล่าว

นายประชากล่าวอีกว่า อุปทูตซาอุฯยืนยันว่าเรื่องนี้มีความสำคัญ เพราะคนของเขาถูกทารุณกรรมอย่างโหดเหี้ยมรุนแรง โดยยืนยันว่ามีหลักฐานอยู่ในมือที่จะหักล้างกับรัฐบาลไทยในการแต่งตั้ง พล.ต.ท.สมคิดได้ แต่เขาไม่ได้บอกว่าจะมีมาตรการใดๆตามออกมาอีกหรือไม่

“อุปทูตซาอุฯไม่ได้พูดเรื่องความสัมพันธ์ระหว่าง 2 ประเทศหลังจากนี้ เพียงแต่แสดงความหวังว่าเราจะมีความจริงใจในเรื่องนี้ หากทำเรื่องให้เกิดความกระจ่างชัดได้ความสัมพันธ์ก็จะกลับมาดีเหมือนเดิม”

**********************************************************************

ปมฉาว...ลานจอดรถสุวรรณภูมิ ทอท.ชวดรายได้ 180 ล้าน แถมโดนฟ้อง 20 ล้าน

ชนวนบานปลายโครงการสัมปทาน "ลานจอดรถสนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิ" ในยุค "นิรันดร์ ธีรนาถสิน" นั่งเป็นผู้อำนวยการสุวรรณภูมิ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) "ทอท." ถูก นายปิยะพันธุ์ จัมปาสุต ประธานคณะกรรมการ (บอร์ด) ขอมติที่ประชุมบอร์ด 6 กันยายน 2553 ย้ายฟ้าผ่าออกจากพื้นที่ข้ามฝั่งไปประจำดอนเมือง

1 ตุลาคม 2553 เป็นต้นไป เช่นเดียวกับ "นางดวงใจ คอนดี" รองผู้อำนวยการสุวรรณภูมิ ถูกแขวนเป็นผู้เชี่ยวชาญพร้อม ๆ กัน

ช่วงรอถึงวันย้ายออกจากสุวรรณภูมิ "ผอ.นิรันดร์" ถูกมรสุมกระหน่ำโดนกรรมการ บริษัท ปาร์คกิ้ง แมเนจเมนท์ จำกัด เจ้าของสัมปทานลานจอดรถสุวรรณภูมิอาคารเอและบีพื้นที่ 1.6 แสนตารางเมตร รุมฟ้องแบบแยกกันตีแบ่งเป็น 2 ขั้ว

ขั้วแรก โดยนายธนกฤต เจตกิตติโชค 1 ในกรรมการ ฟ้องร้องทั้งหมด 3 คดี คือ คดีที่ 1 ฟ้องนายนิรันดร์ ธีรนาถสิน ด้วยวิธีทำหนังสือร้องเรียนส่งถึงปลัดและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เมื่อ 29 สิงหาคม 2553 ขอให้ลงโทษนายนิรันดร์ฐานละเลยการปฏิบัติหน้าที่ ในเหตุการณ์ที่ปล่อยให้นายธรรศน์ พจนประพันธ์ และพวกรวม 10 คน บุกรุกขึ้นไปค้นสำนักงานบริษัท ปาร์คกิ้งฯ ตอนกลางคืนวันที่ 30 เมษายน 2553

คดีที่ 2 นายธนกฤตได้แจ้งความดำเนินคดีหุ้นส่วนคือนายธรรศและพวก ที่ศาลแพ่ง เรื่องละเมิดและเรียกค่าเสียหาย 52 ล้านบาท

คดีที่ 3 ฟ้องพ่วงนายนิรันดร์เข้าไปด้วย กรณีเมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม 2553 ทำหนังสือไปยังธนาคารกสิกรไทย สาขาสยามสแควร์ ในฐานะผู้ค้ำประกันเงินโครงการลานจอดรถสุวรรณภูมิให้โอนเงินจากบัญชีธนาคารเลขที่ ๕๓-๕๒-๐๐๐๘-๐ จ่ายชำระเป็นเงินรายได้รายเดือนแก่ ทอท.รวม 66,928,310.83 บาท เนื่องจากตั้งแต่บริษัท ปาร์คกิ้ง แมเนจเมนท์ จำกัด รับสัมปทานเก็บเงินสดค่าลานจอดรถจากลูกค้าและสมาชิก เริ่ม 30 เมษายน 2553 จนถึงปัจจุบัน ไม่เคยโอนรายได้ดังกล่าวให้ ทอท.ตามข้อตกลงสัญญา และเงินดังกล่าวก็เก็บเฉพาะเมษายน-กรกฎาคม 2553 เท่านั้น ยังคงค้างจ่ายอยู่อีกเดือนสิงหาคม-กันยายนนี้

ขั้วสอง โดยนายธรรศ พจนประพันธ์ ผู้ถือหุ้นใหญ่ บริษัท ปาร์คกิ้ง แมเนจเมนท์ จำกัด ซึ่งเป็นกรรมการหลักที่มีอำนาจลงนามธุรกรรมทั้งหมด ให้บริษัท กฎหมายอรุณอัมรินทร์ จำกัด ยื่นหนังสือเมื่อ 23 สิงหาคม 2553 ถึงนายเสรีรัตน์ ประสุตานนท์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ทอท.อ้างถึงหนังสือที่นายธรรศ พจนประพันธ์ ลงวันที่ 10 สิงหาคม 2553 เรื่องขอให้ ทอท.คืนเงินทดรองจ่ายจำนวน 20,167,731.54 บาท (ยี่สิบล้านหนึ่งแสนหกหมื่นเจ็ดพันเจ็ดร้อยสามสิบเอ็ดบาทห้าสิบสี่สตางค์) นับจากวันที่ความแจ้งแล้วภายใน 7 วัน แต่ ทอท.กลับไม่ชำระคืน หากพ้นกำหนดนายธรรศจะดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

เงินจำนวนกว่า 20 ล้านบาทนี้ มีรายงานว่านายธรรศสั่งจ่ายเช็คในนามส่วนตัวสำรองให้ ทอท.ช่วงแรกที่ลงนามสัญญาสัมปทานและยังไม่ได้มีความขัดแย้งกับกรรมการในบริษัท ปาร์คกิ้ง แมเนจเมนท์ จำกัด พอขัดแย้งกันจึงขอคืนจาก ทอท.เพราะถือตามกฎหมายเช็คสั่งจ่ายต้องทำในนามบริษัทเท่านั้น ทอท.จึงจะรับโอนเข้าบัญชีได้

สัญญาสัมปทานโครงการลานจอดรถสุวรรณภูมิ ที่ทำเมื่อ 30 เมษายน 2553-31 มีนาคม 2558 ระยะเวลา 5 ปี ระหว่าง ทอท.กับบริษัท ปาร์คกิ้ง แมเนจเมนท์ จำกัด ระบุ ผู้รับสัมปทานจะต้องวางหลักประกันสัญญาประกอบการเป็นจำนวนเงิน 6 เท่าของค่าตอบแทนขั้นต่ำรายเดือนของปีที่ 1 ซึ่งขั้นต่ำเสนอราคาไว้ 15.5 ล้านบาท/เดือน+ค่าสมาชิก 4-5 ล้านบาท/เดือน (รวมเฉลี่ย 20 ล้านบาท/เดือน) และวางหลักประกันสัญญาเช่าพื้นที่ประกอบการเป็นจำนวนเงิน 4 เท่าของค่าเช่ารายเดือน (เฉลี่ย 4.8 ล้านบาท/เดือน) ประการหลักจะต้องโอนเงินรายได้ตามจริงให้ ทอท.

ทุกวันที่ 7 ของเดือนนับตั้งแต่วันทำสัญญา โดยผ่านระบบติดตั้งอุปกรณ์อัตโนมัติที่ตรวจสอบได้ถึงการจัดเก็บเงินรายได้แต่ละวัน 8 แสนบาท-1 ล้านบาท

แต่ข้อตกลงทั้งหมดนี้ บริษัท ปาร์คกิ้ง แมเนจเมนท์ จำกัด ไม่ได้ปฏิบัติตามสัญญาแม้แต่ข้อเดียว โดยเฉพาะเครื่องมือในการตรวจสอบการเก็บเงินแต่ละวันคืออุปกรณ์อัตโนมัติเชื่อมต่อระบบกับ ทอท.เอกชนเข้าบริหารต่อเนื่องมา 5 เดือน ได้รับการยืนยันจากพนักงานและเจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายว่าทุกวันนี้ก็ระบบที่ตกลงกันไว้ในพื้นที่ 1.6 แสนตารางเมตร ยังไม่ได้ติดตั้งสักจุด

เรื่องสำคัญที่สุดคือ "รายได้" จากสัมปทานพื้นที่ลานจอดรถ ตามปกติ ทอท.เคยทำเองสามารถจัดเก็บค่าบริการจากลูกค้าทั่วไปได้วันละ 8 แสนบาท-

1 ล้านบาท และรายได้ประจำจากลูกค้าสมาชิกกลุ่มพนักงานสายการบินและสำนักงานต่าง ๆ ในสุวรรณภูมิอีกเดือนละ 4-5 ล้านบาท ทอท.เคยมีรายได้เฉลี่ยจากลานจอดรถ 30 ล้านบาท/เดือน

กรณีหาก ทอท.บริหารลานจอดเองตลอด 6 เดือนนี้ จะมีรายได้กว่า 180 ล้านบาท แต่ผลจากให้สัมปทาน บริษัท ปาร์คกิ้ง แมเนจเมนท์ จำกัด กลับกลายเป็นต้องเผชิญ "ความเสี่ยง" อย่างรุนแรง ต้องหาวิธีหักจากเงินค้ำประกันธนาคารกสิกรไทยมาได้บางส่วนเพียง 66 ล้านบาทแล้ว

นายนิรันดร์ ธีรนาถสิน ผู้อำนวยการสุวรรณภูมิ นำข้อตกลงสัญญามาอธิบาย โดยขอให้บริษัท ปาร์คกิ้ง แมเนจเมนท์ จำกัด หลังถูกหักเงินค้ำประกันธนาคารไปเกินครึ่งแล้ว ต้องนำเงินไปใส่ในบัญชีที่ถูกหักให้ครบจำนวนตามสัญญา คือ ค่าประกันการประกอบการ 6 เท่าของรายได้แต่ละเดือน ประมาณ 120 ล้านบาท กับค่าเช่าเป็นเงินจำนวน 4 เท่าของแต่ละเดือน 19.2 ล้านบาท ตั้งแต่แจ้งไว้ ณ วันที่ 21 กรกฎาคมมาจนถึงขณะนี้ คู่สัญญากลับไม่ได้ให้ความร่วมมือใด ๆ และ/หรือ อยู่ระหว่างกระทำผิดเงื่อนไขสัญญา

แต่สถานการณ์ตอนนี้ ทอท.กลับพลาดท่าเป็นรองทุกรูปแบบเมื่อถูกเอกชนเล่นแง่แบ่งขั้วกันตีโอบล้อม โดยไม่ต้องจ่ายรายได้รายเดือนตามสัญญารวมกว่า 180 ล้านบาท และยังสามารถขอการคุ้มครองสิทธิตามกฎหมายทำธุรกิจเก็บเงินสดจากลูกค้าต่อไปเรื่อย ๆ แถมขอเงินทดลองจ่ายคืนอีก

20 ล้านบาท เอกชนมีแต่ได้ ส่วน ทอท.เสียทุกอย่าง

ที่มา.ประชาชาตธุรกิจออนไลน์
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

เรื่องเล่าจากเรือนจำ “คลองเปรมฯ” – บันทึก 2 วันของการเข้าเยี่ยม “นักโทษการเมือง” [ตอนที่ 1]

สัณหณัฐ นกเล็ก
สหพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย

เรื่องเล่าต่อจากนี้ เป็นบันทึก 2 วันในการเยี่ยมนักโทษการเมืองซึ่งไม่ค่อยจะราบรื่นเท่าไร เพราะมีปัญหาในการเยี่ยม เนื่องจากกฎระเบียบบางประการของเรือนจำ และความคิดทางการเมืองที่แตกต่างของเจ้าหน้าที่เรือนจำเอง

***************************************

วันแรกของการเข้าเยี่ยมนักโทษการเมือง คือวันที่ 6 กันยายน 2553 ผมนัดพบกับทนายอานนท์ นำภา จากศูนย์ข้อมูลผู้ได้รับผลกระทบเหตุสลายการชุมนุม เม.ย.-พ.ค. 53 (ศปช.) ในตอนเช้าราว 9 โมงครึ่ง ที่เรือนจำกลางพิเศษกรุงเทพ หรือรู้ที่คนทั่วไปจักกันดีว่า “เรือนจำคลองเปรมฯ”

ความจริงวันนี้เป็นวันแรกที่ผมนัดกับทนายอานนท์ เพื่อเข้าไปเยี่ยมนักโทษการเมือง 2 คน ที่โดนคดีละเมิด พรก.ฉุกเฉิน พอถึงเรือนจำผมก็ได้เจอกับทนายอานนท์และคณะ รวมกับล่ามแปลภาษามือแล้ว เรามีทั้งหมด 7 คน

ผมไปในฐานะตัวแทนจากสหพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย(สนนท.) ที่กำลังมีโครงการช่วยเหลือนักโทษการเมืองที่เป็นนักศึกษา ตอนนี้เมื่ออยู่กับพร้อมหน้า ผมค่อนข้างมั่นใจว่าจะได้เยี่ยมนักโทษการเมืองอย่างที่ตั้งความประสงค์ไว้ แต่เมื่อเดินถึงห้องสำหรับให้ทนายยื่นเรื่องเข้าเยี่ยมนักโทษ ก็พบปัญหา คือหลังจากทนายอานนท์ยื่นเอกสารที่ได้เตรียมมาเรียบร้อยแล้ว ผู้ดูแลตอบปฏิเสธแล้วแจ้งว่า

“คุณต้องไปขออนุญาตจากผู้อำนวยการก่อน ว่าจะเอาล่ามเข้ามาในนี้”

หลังจากนั้นเพื่อให้เป็นไปตามระเบียบ พวกเราจึงไปติดต่อขอเข้าพบกับผู้อำนวยการเรือนจำ เมื่อพบ ทนายอานนท์ได้แจ้งต่อผู้อำนวยการเรือนจำว่า

“เจ้าหน้าที่ตรงห้องที่ให้ทนายเยี่ยมนักโทษ บอกให้ผมมาขออนุญาตท่านเพื่อเยี่ยมนักโทษการเมือง 2 คน มีหนึ่งคนในนี้เป็นใบ้ จำเป็นต้องใช้ภาษามือ เลยจะขออนุญาตนำล่ามเข้าไปด้วย”

“ใครเป็นล่ามบ้าง?” ผู้อำนวยการฯ ถาม

ทนายอานนท์ชี้ไปที่ล่ามสองคน “สองคนนี้ครับ สองคนนี้เป็นทนาย”

ผู้อำนวยการถามต่ออีกด้วยการชี้มาที่ผม แล้วถามคนนั้นเป็นใคร

“เสมียนทำหน้าที่บันทึกครับ”

ผู้อำนวยการพยักหน้าและบอกกับพวกเราว่า “ออกไปก่อนนะ เดี๋ยวผมจะแจ้งให้ทราบ เข้ามาอีกที”

********************************************

เราได้แต่รอข้างนอกสักประมาณ 30 นาทีได้ ระหว่างนี้ก็ได้พบปะพูดคุยกับคนที่มาเยี่ยมแกนนำเสื้อแดง จากนั้นจึงมีเจ้าหน้าที่มาเรียกให้เข้าไปพบผู้อำนวยการ ตอนนี้ผมก็รู้สึกตื่นเต้นเหมือนลุ้นหวยว่าจะได้เข้าไปเยี่ยมหรือไม่ แต่คำตอบก็คือ “เราอนุญาตให้ล่ามเข้าไปได้คนเดียว อีกคนหนึ่งต้องรอข้างนอก ส่วนเสมียนก็ต้องรอข้างนอกเช่นกัน เพราะทนายเข้าไปตั้ง 3 คนแล้ว”

“เราจำเป็นจะต้องเอาล่ามเข้าไป 2 คน เพราะอีกคนเป็นใบ้เหมือนกัน บางคำเขาจะเข้าใจมากกว่าอีกคนทีพูดได้ ซึ่งเข้าใจภาษาใบ้ดี แต่ไม่สามารถสื่อสารบางคำได้” (คือเราไม่สามารถขาดได้ทั้ง 2 คน) “นอกจากนี้การมีนักโทษ 2 คน จึงทำให้ต้องนำเสมียนเข้าไปจดบันทึกด้วย” ทนายอานนท์ตอบผู้อำนวยการฯ

คำตอบที่เราได้จากผู้อำนวยการฯ ก็คือ “ไม่ได้ เดี๋ยวมีการส่งเสียงดังแล้วจะไปรบกวนคนอื่น เข้าไปเยอะอย่างนี้คนอื่นเขามาขอบ้างอย่างนี้มันไม่ได้”

สรุปก็คือผมไม่สามารถเข้าไปเยี่ยมนักโทษการเมืองพร้อมกับทีมของ ศปช. ได้ จึงออกมาเดินข้างนอกด้วยความผิดหวัง ระหว่างนั้นก็พบกับกลุ่มคนเสื้อแดงซึ่งกำลังจะเข้าไปเยี่ยมแกนนำ ผมคิดว่าไหนๆก็มาแล้วอย่าให้เสียเที่ยวเลย ก็เลยขอไปเยี่ยมแกนนำด้วยอีกหนึ่งคน ซึ่งการเยี่ยมแกนนำไม่ค่อยลำบากเท่าไร ปรากฎว่านักโทษการเมืองที่ไม่ใช่แกนนำดูจะลำบากกว่านักโทษทั่วไประดับเดียวกันเสียอีก เมื่อไปถึงห้องสำหรับขออนุญาตเข้าเยี่ยม เราก็ต้องกรอกรายละเอียดในเอกสารเพื่อยื่นคำร้อง จากนั้นเขาจะให้บัตรเยี่ยม นปช. มารอสักพักตามเวลาเยี่ยมที่กำหนดไว้

**************************************

พอถึงเวลาที่เจ้าหน้าที่เรียกเข้าไปเยี่ยม ผมก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นอีกครั้งเนื่องจากเป็นครั้งแรกของการเยี่ยมนักโทษการเมืองในชีวิตนี้ เมื่อเข้าไปถึงได้เห็นรอยยิ้มของแกนนำและของคนเสื้อแดงที่โต้ตอบกัน นับว่าเป็นภาพที่สวยงามอันหนึ่ง เวลาที่เราเห็นคนเหล่านี้มีความสุข แม้ว่าพวกเขาจะอยู่ในสถานที่ซึ่งน่าจะทุกข์ที่สุดแห่งหนึ่งก็ตาม

นักโทษการเมืองคนแรกที่ผมเข้าเยี่ยมเป็นการ์ด นปช. ชื่อ อำนาจ อินตโชติ อายุ 54 ปี เป็นข้าราชการทหาร และคนที่แนะนำให้ผมรู้จักคุณอำนาจ คือ ดร.ประแสง มงคลศิริ หลังจากแนะนำตัวเอง แล้วก็ยิ้มตอบคุณอำนาจไป เขาก็เริ่มเกริ่นก่อนเลยว่า “ติดคุกมันไม่สบายหรอก โดนยัดข้อหาก่อการร้ายให้หมดทุกอย่างเสียงานเสียทุกอย่าง ความเป็นอยู่ก็ต้องเป็นแบบนักโทษ กฎหมายอะไรใช้หมายเรียก ศอฉ. มาก่อน จากนั้นก็ออกหมายจับข้อหาผู้ก่อการร้ายให้ทีหลัง ผมรักชาติฝากบอกถึงทุกคนที่เป็นแนวร่วมประชาธิปไตยต้องช่วยกันต่อสู้ ถ้าเผด็จการครองเมืองจะเป็นเรื่องใหญ่ ผมเรียกร้องประชาธิปไตยกลับโดนข้อหาก่อการร้าย เมียผมก็มาเยี่ยมบ่อยไม่ได้ เพราะวันธรรมดาต้องทำงานวันหยุดเขาก็ไม่ให้เยี่ยม ลูกผมเองอยู่ปีสี่ต้องหาเงินส่งลูกเรียน และไม่นานผมก็จะถูกปลดแล้วด้วย เสียหายหมดทุกอย่างทั้งครอบครัว ถามว่ามันคุ้มไหม ถ้าได้ประชาธิปไตยมันก็คุ้ม”

ต่อมา ดร.ประแสงก็แนะนำให้ผมคุยกับ หมอเหวง โตจิราการ แกนนำ นปช. อีกหนึ่งคน พอ ดร. ประแสงแนะนำว่าผมเป็นตัวแทนมาจาก สนนท. สีหน้าหมอเหวงก็ยิ้มแย้มขึ้นมากและคำแรกที่เขาพูดขึ้นก็คือ “ดีมาก ดีมาก คุณต้องให้นักศึกษาออกมาเยอะๆ นะคุณ คุณเป็นเยาวชนเป็นอนาคตของชาติ เรียกร้องประชาธิปไตยคุณต้องต่อสู้แบบสันติวิธีนะ ถ้าแบบอื่นเราแพ้เลย ดีมาก ดีมาก”

ผมถามหมอเหวงต่อว่า ความเป็นอยู่ในนี้เป็นอย่างไรบ้าง เขาก็ตอบกลับมาว่า

“สบายดี ข้างในเจ้าหน้าที่ดี พวกเราเองก็ผูกมิตรกับเพื่อนนักโทษด้วยกันได้ดี” หมอเหวงพูดต่ออีกว่า “เราไม่ควรทำลายอิสรภาพ ถ้าคุณได้ดูข่าวเมื่อวันที่ 23 สิงหาคม DSI เป็นคนบอกเองว่า ไม่รู้เลยว่าใครเป็นคนทำและจะมากล่าวหาว่าเราเป็นผู้ก่อการร้ายได้อย่างไร” ต่อจากนั้นหมอเหวงก็ได้ร้องเพลงที่เขาแต่งไว้ ให้ผมฟัง 2 เพลง เพลงที่แต่งสมบูรณ์แล้วชื่อ “สู้ต่อไป” ซึ่งหมอเหวงบอกว่าเป็นเพลงมาร์ช หลังจากนั้นเวลาใกล้หมดแล้ว ผมก็เลยลุกออกมาเพื่อให้ อ.ธิดา เข้าไปคุยกับหมอเหวงต่อเพื่อล่ำลา หลังจากนั้นภาพอันน่าประทับใจอีกภาพหนึ่งก็เกิดขึ้น นั่นคือการโบกมือลาด้วยความยิ้มแย้ม ระหว่างมวลชนและแกนนำของพวกเขา

ที่มา.Siam Intelligence
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันพุธที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2553

แนะรัฐ! ขอทหารเรือ ขุดทับทิมสยาม

นายพรชัย ชื่นชมลดา ประธานกรรมการบริหาร บริษัท พรชัย อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด เปิดเผยว่า รัฐบาลควรส่งเสริมอุตสาหกรรมอัญมณี ด้วยการสร้างแบรนด์ “ทับทิมสยาม” แหล่งทับทิมหนึ่งเดียวในโลกที่เหลือเพียงแห่งเดียวในประเทศไทยให้โด่งดังทั่วโลก ซึ่งเมื่อก่อนมีอยู่มากในจังหวัดจันทบุรี แต่ตอนนี้ขุดกันจนหมดแล้ว เหลืออยู่เพียงแห่งเดียวคือ พื้นที่ชายแดนบริเวณจังหวัดตราด ซึ่งเป็นพื้นที่เขตทหารเรือที่ไม่สามารถเข้าไปขุดได้

ถ้ารัฐบาลจัดสรรพื้นที่บริเวณดังกล่าวซึ่งมีอยู่หลายหมื่นไร่ออกมาเป็นเขตสัมปทานทำเหมืองทับทิมสยาม เราจะผลิตทับทิมสยามได้อีกจำนวนมหาศาล และจะทำรายได้เข้าประเทศหลายหมื่นล้านบาทต่อปี

ตรงนี้ถือเป็นโอกาสดีที่รัฐบาลจะนำทับทิมสยามมาปั้นเป็นแบรนด์เนมให้โด่งดังไปทั่วโลก ซึ่งอาจจะต้องใช้งบประมาณมหาศาลแต่ก็ถือว่าคุ้มในเชิงธุรกิจ ถ้ารัฐบาลต้องการให้อุตสาหกรรมด้านนี้ของไทยกลับมารุ่งเรือง และกลายเป็นแหล่งผลิตอัญมณีชั้นนำของโลกแล้ว รัฐบาลควรต้องสนับสนุนในเรื่องนี้

ธุรกิจอัญมณีและเครื่องประดับซึ่งเคยเป็นธุรกิจ 1 ใน 4 ที่ทำรายได้เข้าประเทศไทยมากที่สุด ปัจจุบันกำลังประสบวิกฤติอย่างรุนแรงเนื่องจากความตกต่ำทางเศรษฐกิจ และขาดการช่วยเหลืออย่างจริงจังจากรัฐบาล

ยกตัวอย่างจังหวัดจันทบุรี ที่ในอดีตเคยรุ่งเรืองมีผู้ประกอบธุรกิจอัญมณีหลายหมื่นราย แต่ขณะนี้เหลือแค่หมื่นกว่าราย เพราะล้มหายตายจากไปหมด ซึ่งหากยังเป็นเช่นนี้ต่อไปโดยที่ไม่ได้รับการส่งเสริมเชื่อว่าภายใน 3-5 ปีจันทบุรีจะกลายเป็นเมืองร้างเช่นเดียวกับตำนานอำเภอบ้านหมี่ ที่เคยเป็นแหล่งผลิตพลอยเล็กที่ลอยน้ำได้แห่งเดียวในโลก แต่ทุกวันนี้ผู้ประกอบการเจ๊งหมดแล้ว

เป็นเรื่องที่น่าเสียดายมาก การจะฟื้นขึ้นมาใหม่ก็เป็นเรื่องยาก

ที่มา.บางกอกทูเดย์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

พระยา "ปลอดประสพ" ผู้เจรจาลับ กับคนในตระกูล 100 ปี

ประชาชาติธุรกิจ
คอลัมน์ มนุษย์การเมือง
โดย อิศรินทร์ หนูเมือง

10 พ่อค้า ไม่เท่า 1 พระยาเลี้ยง สะท้อนฐานะความแตกต่างทางอำนาจ-ชนชั้น

ทั้ง "พ่อค้า" และ "พระยา" ยังถูก "อ้างถึง" ทุกวงการ ในฐานะ "ผู้ใหญ่" ของบ้านเมือง

ก่อนเกิดเหตุการณ์รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 มีการ "อ้างถึง" การชุมนุมทางความคิดของกลุ่มบุคคลระดับ "พระยา" ที่บ้านย่านของ "พ่อค้า" เขตสุขุมวิท

ในเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมืองย่าน "พ่อค้า" ที่สี่แยกราชประสงค์ 19 พฤษภาคม 2553 แกนนำม็อบประกาศเจตนารมณ์ต่อต้าน "พระยา" และ "อำมาตย์"

เมื่อคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ขึ้นสู่ศาลรัฐธรรมนูญ มีข่าวใต้ดินแพร่หลายว่า บุคคลระดับ "พระยา" อยู่เบื้องหลัง สั่งให้ดำเนินการ

เมื่อพรรคเพื่อไทยและคนเสื้อแดง "ถวายฎีกา" ขออภัยโทษให้ "ทักษิณ ชินวัตร" คนวงในพรรคเพื่อไทยส่งสัญญาณว่า มี "พระยา" และ "ข้าราชบริพาร" ที่เกี่ยวดองกับ "ราชนิกูล" แนะนำให้กระทำการดังกล่าว

เมื่อ "พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ" เสนอตัวขอ "เข้าเฝ้าฯ" คนในเพื่อไทยก็ส่งสัญญาณว่า มาจากการประสานงานของบุคคล ระดับ "พระยา" คนหนึ่ง

เมื่อกระดานการเมืองถึงทางตัน การร่างแผนกรอบการเจรจาเพื่อสงบศึก-ยุติสงครามระหว่าง 2 ขั้วการเมืองถูกนำเสนอสู่สาธารณะ 5 ข้อ

ผู้เสนอญัติสาธารณะชื่อ "ปลอดประสพ สุรัสวดี" รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย "อ้างถึง" ที่ประชุมของ "ผู้ใหญ่ในพรรค" และความเห็นบางส่วนมาจากคนเก่า-คนแก่ของ บ้านเมือง

"ปลอดประสพ" ยัง "อ้างถึง" บุคคลในวงเจรจาว่าเป็นคนในตระกูลที่มีความเป็นมาระดับ 100 ปี

ทั้งพ่อค้าและพระยายังถูก "อ้าง" ในทุกวงอำนาจ ทุกวงการ

ปลอดประสพ สุรัสวดี ผู้ชิงลงมือประกาศ เบื้องหน้า-เบื้องหลัง ร่างแผนเจรจา-ปรองดอง เคยบอกว่าเขาก็สืบเชื้อสายมาจาก "พระยา" และตำแหน่งสุดท้ายก่อนเข้าสู่วงการเมืองก็เทียบเท่า "พระยา"

สาแหรกของ "ปลอดประสพ" สืบเชื้อสายมาจาก "หลวงอนุการนพกิจ" หรือ (ปรารภ สุรัสวดี) กับคุณหญิงกรองทอง หัสดินทร

ฝ่ายบิดา-หลวงอนุการนพกิจ นั้นเคยเป็นเจ้าเมือง "ชัยภูมิ" คนที่ 24

ในประวัติระบุด้วยว่า ต้นตระกูล "สุรัสวดี" หลวงยกบัตรนั้นเคยเป็นผู้รั้งเมืองดินแดงแถบนางรอง ในปัจจุบันคือ จังหวัดบุรีรัมย์

หลวงอนุการนพกิจ "พ่อ" ของรองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย-ปลอดประสพ นั้นเป็นผู้เรียบเรียงเกร็ดความรู้เกี่ยวกับ "จอมพล พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจิรประวัติวรเดช กรมหลวงนครไชยศรี สุรเดช" พระราชโอรสองค์ที่ 17 ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ทรงประสูติแต่เจ้าจอมมารดาทับทิม

ผู้ทรงเป็น "พระบิดาแห่งกองทัพบก ไทย" และทรงเป็นต้นตระกูล "จิรประวัติ" ที่สืบเชื้อสายมาจนถึงปัจจุบัน นับได้เกิน 100 ปี

คนในตระกูลระดับตำนาน 100 ปี ที่ถูก "ปลอดประสพ" อ้างถึงอีก 1 ตระกูลคือ "ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร" ผู้สืบเชื้อสายจาก "จอมพล จอมพลเรือ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต" ผู้ทรงเป็นต้นราชตระกูล "บริพัตร"

ที่ปัจจุบันเป็น "คีย์แมน" ที่เชื่อมกับทั้งฝ่ายพรรคประชาธิปัตย์ และมีคอนเน็กชั่น พิเศษกับฝ่าย "พระยา" และมีสายตรง เชื่อมกับ "ข้าราชบริพาร" ที่ใกล้ชิด

เคยปรากฏตัวในวงเจรจากับบุคคลระดับชนชั้นนำมานับครั้งไม่ถ้วน

เช่นเดียวกับ "ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล" บุคคลที่ถูกพรรคเพื่อไทย "อ้างถึง" ให้ขึ้นเป็น "หัวหน้าพรรค" ผู้สืบเชื้อสายมาจากสมเด็จทวด อัครมหาเสนาบดี "สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาเทวะวงศ์วโรปการ" หรือพระนามเดิม "พระองค์เจ้าเทวัญอุไทยวงศ์" ผู้เป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว กับ สมเด็จพระปิยมาวดี ศรีพัชรินทรมาตา หรือเจ้าจอมมารดาเปี่ยม

อีกตระกูลการเมืองที่อายุ-อานาม 100 ปี ที่ถูก "อ้างถึง" ในวงสนทนา-เจรจา ความเมือง คือ "นายไกรศักดิ์ ชุณหะวัณ" ผู้อยู่ในเชื้อแถวของบ้านราชครูแห่งต้นตระกูล "ชุณหะวัณ" ของ "จอมพลผิน ชุณหะวัณ" ผู้ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น "หลวงชำนาญยุทธศาสตร์" ตั้งแต่อายุครบ 37 ปี

คนต้นตระกูล "ชุณหะวัณ" นั้นเคยอยู่ในประวัติศาสตร์การเมือง-การเปลี่ยนแปลงการปกครอง และเป็น 1 ในคณะนายทหารที่ทำการรัฐประหารเมื่อ 8 พฤศจิกายน 2490 แล้วก้าวขึ้นเป็นผู้บัญชาการทหารบกในอีก 4 ปีถัดมา

เหล่านี้คือเชื้อสาย "พระยา" จาก 3 ตระกูล ที่ถูก "อ้างถึง" ในวงเจรจา หย่าศึกการเมือง ระหว่าง "เศรษฐี-ทักษิณ ชินวัตร" กับนักการเมืองฝ่ายอนุรักษนิยมค่าย "พระยา-ประชาธิปัตย์"

"ปลอดประสพ" วัย 65 ปี (เกิด 3 มีนาคม 2488) อ้างถึงคนในตระกูลพ่อค้า-พระยา ที่มีความเป็นมา 100 ปี คบหาด้วย นั้นเคยบอกเล่าผ่านบทเพลงที่ ม.ล.พวงร้อย อภัยวงศ์ แต่งไว้ว่า "เป็นผู้ดีก็เพราะกรรม ที่ก่อมา ใช่กำเนิดหรูหราอย่าฉงน"

"ผมเป็นครอบครัวอำมาตย์นั้นแน่นอน ตัวก็เป็นปลัดกระทรวง ก็ตำแหน่งสูงสุดในข้าราชการพลเรือน มันจะไม่อำมาตย์ ตอนไหนล่ะครับ เครื่องราชอิสริยาภรณ์ก็ได้ ถ้าเป็นสมัยโบราณก็ต้องเรียกผมเป็นเจ้าคุณ เป็นพระยา ส่วนฐานะก็ดี โชคดีเพราะมีพ่อแม่ดี มีโอกาสทำงานได้ดี แต่นั่นมันไม่ได้ทำให้ผมสูงส่งอะไร" ปลอดประสพ-บอกสาแหรกตัวตน

คำว่า "ผู้ดี" สำหรับ "ปลอดประสพ" นิยามไว้ว่า "คนพวกนั้นก็ค่อนข้างระมัดระวังตัว รถก็ราคาแพง แต่งตัวก็มีเครื่องแหวนเงินทองเยอะแยะ เขาเรียกผู้ดีตีนแดงตะแคงตีนเดิน แล้วก็ไม่อยากโดนแดด ถือร่ม ทาหน้า"

แต่เมื่อต้องใช้แนวร่วมแทนแนวรบ เขายังจำเป็นต้องอ้างถึงกลุ่มบุคคลระดับ "พระยา-ผู้ดีและอำมาตย์" ที่เขาคุ้นเคยมาตั้งแต่เด็ก

"ปลอดประสพ" เรียนหนังสือจากโรงเรียนมาแตร์เดอีและโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย แล้วเข้าโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ก่อนเข้าคณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ แล้วไปจบปริญญาโท สาขาโทบริหารการประมง มหาวิทยาลัยโอเรกอน สเตท (Oregon State University) ประเทศสหรัฐอเมริกา

ผ่านการร่วมงานการเมืองกับนักการเมืองสายเหยี่ยว-สายรอยัลลิสต์ และสายเนติบริกร มาตั้งแต่เกษียณอายุราชการ ที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์

เคยเป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี นาย สมัคร สุนทรเวช และอดีตกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงทรัพยากร ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ประจำตัวนาย ยงยุทธ ติยะไพรัช และผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำรองนายกรัฐมนตรี นายวิษณุ เครืองาม

การอ้างถึง 10 พ่อค้า ไม่เท่า 1 พระยาเลี้ยง ยังใช้ได้กับทุกวงการในสังคมไทย

**************************************************************

การชุมนุมของประเทศไทยกับบทศึกษาของกฎหมายชุมนุมต่างประเทศ

การชุมนุมเป็นของคู่กับสังคมในระบอบประชาธิปไตย ถือเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างองค์ความรู้ สร้างการมีส่วนร่วมของประชาชน และเป็นเครื่องมือสะท้อนปัญหาในสังคมให้รัฐบาลเร่งแก้ไข รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 มาตรา 63 บัญญัติว่า “บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธ”

หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี พ.ศ. 2475 จนถึงปัจจุบัน มีการเดินขบวนชุมนุมประท้วงในหลายรูปแบบตามแต่ปัจจัยและบริบททางสังคม พอแบ่งได้เป็น 4 ยุค คือ

1. ช่วงก่อนเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 ภาพการเดินขบวน คือ การร้องทุกข์ขอความอุปถัมภ์จากผู้มีสถานะศักดิ์สูง

2. ช่วงหลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 จนถึง เหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 หรือยุคประชาธิปไตยเบ่งบานมีการเคลื่อนไหวของขบวนการประชาชนต่างๆ อย่างกว้างขวาง มีการปรากฏตัวของขบวนการชาวนาที่ออกมาสะท้อนถึงสำนึกในสิทธิเสรีภาพและความเป็นธรรมในสังคม

3. ช่วงหลังเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 จนกระทั่งถึงช่วงประชาธิปไตยครึ่งใบในช่วงรัฐบาลพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เป็นช่วงหลังการรัฐประหารโดยคณะปฏิรูปการปกครอง เป็นยุคมืดของการเมืองภาคประชาชน มีการปรามปรามโดยรัฐและมีการจำกัดสิทธิเสรีภาพ สืบเนื่องมาจากเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 การชุมนุมจึงอยู่ในการควบคุมของรัฐ แต่หลังจากการประกาศใช้คำสั่ง 66/2523 มีการยกเลิกกฎอัยการศึก การเดินขบวนประท้วงก็ขยายตัวมากขึ้น

4. ช่วงขบวนการชาวบ้านด้านสิ่งแวดล้อม ยุคแห่งความขัดแย้งในการใช้ทรัพยากร ดิน น้ำ ป่า ซึ่งเริ่มมีแนวโน้มให้เห็นภาพของความขัดแย้งระหว่างรัฐและภาคธุรกิจกับชาวบ้านตั้งแต่รัฐบาลพลเอกชาติชาย ชุณหวัณ และได้ปรากฏชัดเจนในยุครัฐบาลชวน หลีกภัย และรัฐบาลบรรหาร ศิลปอาชา มีการเดินขบวนประท้วงกันมาก อาทิ การเรียกร้องเกี่ยวกับที่ดินทำกิน ทรัพยากรน้ำ การเรียกร้องค่าแรงขั้นต่ำ ราคาผลผลิตทางการเกษตร หรือเรียกร้องเกี่ยวกับนโยบายของรัฐ เป็นต้น [1]

การชุมนุมในสังคมไทยมีมานานแล้ว แต่ถูกตีกรอบจำกัดสิทธิเสรีภาพหรือไม่ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ในยุคสมัยนั้นๆ

แม้การชุมนุมจะถูกรับรองโดยรัฐธรรมนูญ แต่เสรีภาพประการนี้เป็นเสรีภาพที่อาจถูกจำกัดเพื่อคุ้มครองความสะดวกของประชาชนที่จะใช้ที่สาธารณะนั้น หรือเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยในระหว่างเวลาที่ประเทศอยู่ในภาวะสงคราม หรือในระหว่างเวลาที่มีประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินหรือประกาศใช้กฎอัยการศึก

เหตุการณ์การชุมนุมเพื่อเรียกร้องทางการเมืองที่สำคัญ เช่น เหตุการณ์วันที่ 14 ตุลาคม 2516 เหตุการณ์วันที่ 5-6 ตุลาคม 2519 เหตุการณ์วันที่ 17-20 พฤษภาคม 2535 เหตุการณ์วันที่ 7 ตุลาคม 2551 เหตุการณ์วันที่ 13-15 เมษายน พ.ศ.2552 รวมถึง เหตุการณ์ 10 เมษายน 2553 และเหตุการณ์วันที่ 13–19 พฤษภาคม 2553

สำหรับเหตุการณ์ทางการเมืองที่ผ่านมา มีการชุมนุมเรียกร้องทางการเมืองครั้งใหญ่หลายครั้ง ทั้งโดยกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) และกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) รัฐบาลในขณะนั้นๆ ต่างก็เคยหยิบเอาพระราชกำหนดบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 มาใช้ในการชุมนุมสาธารณะ ดังนี้

ในสมัยรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช วันที่ 2 กันยายน 2551 จากเหตุการณ์ประทะกันระหว่างกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กับกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) จึงประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในเขตกรุงเทพมหานคร

ในสมัยรัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ วันที่ 27 พฤศจิกายน 2551 มีประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในสถานการณ์ที่ผู้ชุมนุมกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยบุกยึดสนามบินและสถานที่ราชการเพื่อขับไล่รัฐบาล

ในสมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ วันที่ 11 เมษายน 2552 รัฐบาล ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในท้องที่จังหวัดชลบุรีในสถานการณ์ที่กลุ่มผู้ชุมนุมเสื้อแดงบุกเข้าไปในบริเวณที่มีการจัดการประชุมสุดยอดอาเซียนกับประเทศคู่เจรจา

ในสมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ วันที่ 12 เมษายน 2552 รัฐบาลประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในเขตกุรงเทพมหานครและหลายจังหวัด ใกล้เคียงในสถานการณ์ที่กลุ่มผู้ชุมนุมเสื้อแดงปิดถนนในกรุงเทพมหานครเพื่อขับไล่รัฐบาล

ในสมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในสถานการณ์ที่มีการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงที่สะพานผ่านฟ้าและแยกราชประสงค์ กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 7 เมษายน 2553รัฐบาลได้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในพื้นที่กรุงเทพฯและหลายจังหวัด และตั้งศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ขึ้นแล้วประกาศให้การชุมนุมดังกล่าวเป็นการชุมนุมที่ผิดกฎหมาย

หลังจากนั้นในวันที่ 10 เมษายน 2553 เกิดการปะทะกันรุนแรงขึ้นที่สะพานผ่านฟ้าและถัดมาในวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 รัฐบาลสั่งสลายการชุมนุม (กระชับพื้นที่ / ขอพื้นที่คืน) ทั้งยังประกาศเคอร์ฟิวเวลากลางคืนต่อเนื่องกัน 10 คืนและถือเป็นการประกาศเคอร์ฟิวเป็นครั้งแรกในรอบ 18 ปีปัจจุบัน พื้นที่กรุงเทพมหานครและหลายจังหวัดยังอยู่ภายใต้พ.ร.ก.ฉุกเฉิน (อ่านเพิ่มเติมได้จาก เก็บอาวุธทหาร: ยกเลิกกฎหมายความมั่นคง)

นอกจากการใช้พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินแล้ว รัฐบาลยังมีอีกทางเลือกหนึ่งคือ ประกาศใช้พระราชบัญญัติความมั่นคงในราชอาณาจักร พ.ศ.2551 เพื่อควบคุมการชุมนุมได้ด้วย

นอกจากนี้ยังมีการชุมนุมที่ไม่ใช่การชุมนุมทางการเมืองแต่กระทบต่อวิถีชีวิตของประชาชน อย่างเช่น การคัดค้านโครงการท่อส่งก๊าซไทย-มาเลเซีย ที่อำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา ในกรณีนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ใช้กำลังสลายการชุมนุมเป็นเหตุให้มีผู้บาดเจ็บ และทรัพย์สินเสียหาย หรือการชุมนุมของกลุ่มแรงงานเรียกร้องค่าจ้างที่เป็นธรรม และการชุมนุมของเกษตรกรข้าว ข้าวโพด มันสำปะหลัง กุ้งกุลาดำ เป็นต้น การชุมนุมเหล่านี้หลีกไม่พ้นต้องใช้พื้นที่บนท้องถนน

เหตุการณ์ที่ผ่านมาแสดงให้เห็นว่าเมื่อรัฐเห็นว่าการชุมนุมใดขัดต่อความสงบเรียบร้อยจนเกินสมควร ทางออกที่รัฐบาลแต่ละยุคสมัยเลือกใช้คือการประกาศใช้พระราชกำหนดบริหาราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน อันเป็นกฎหมายที่ให้อำนาจแก่เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานได้อย่างกว้างขวางโดยแทบจะไม่ต้องรับผิดชอบ จึงเกิดคำถามขึ้นในสังคมว่า ถึงเวลาแล้วหรือไม่ที่ประเทศไทยจะต้องมีกฎหมายเกี่ยวกับการชุมนุมสาธารณะมาแก้ไขปัญหาเหล่านี้ ในที่นี่จะทำการศึกษากฎหมายเกี่ยวกับการชุมนุมในประเทศอังกฤษ สหรัฐอเมริกา จีน และฮ่องกง

อังกฤษ
การชุมนุมวิวัฒนาการมาจากสิทธิของผู้แทนราษฎรที่จะร้องทุกข์ต่อกษัตริย์ โดยต่อมาได้พัฒนามาเป็นสิทธิของประชาชนที่จะมาร้องเรียนต่อฝ่ายบริหาร

กฎหมายเกี่ยวการชุมนุมของประเทศอังกฤษจะแบ่งเป็นการชุมนุมในที่สาธารณะกับการเดินขบวน
เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่มีอำนาจห้ามมิให้จัดการชุมนุมในที่สาธารณะ เว้นแต่ที่สาธารณะนั้นจะเป็นทรัพย์สินที่อยู่ในความครอบครองหรือดูแลของรัฐ

การชุมนุมสาธารณะ ตำรวจชั้นผู้ใหญ่เป็นผู้กำหนดเงื่อนไขการชุมนุม หากมีการฝ่าฝืนถือว่ามีความผิด เจ้าหน้าที่ตำรวจในเครื่องแบบเท่านั้นที่มีอำนาจจับผู้ต้องสงสัยได้

ส่วนการเดินขบวน ก็จะต้องมีหนังสือขออนุญาตต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจชั้นผู้ใหญ่ โดยมีอำนาจพิจารณา และกำหนดเงื่อนไขได้ หากไม่ปฏิบัติตามก็เป็นความผิดและสามารถจับได้โดยไม่ต้องมีหมาย

สหรัฐอเมริกา
สหรัฐอเมริกาไม่มีกฎหมายเกี่ยวกับการชุมนุมโดยเฉพาะ ซึ่งหลักการเกี่ยวกับการชุมนุมได้รับอิทธิพลทางความคิดเกี่ยวกับการชุมนุมและการร้องทุกข์จากอังกฤษ

รัฐธรรมนูญของประเทศสหรัฐอเมริกา ได้รับรองสิทธิในการชุมนุมโดยสงบ โดยห้ามไม่ให้รัฐสภาตรากฎหมายที่มีผลเป็นการลิดรอนสิทธิในการชุมนุมโดยสงบ ซึ่งการพิจารณาเกี่ยวกับการชุมนุมเป็นไปตามหลักเกณฑ์ของศาลสูง เช่น การที่รัฐออกกฎหมายที่กำหนดให้ผู้ที่จะชุมนุมต้องลงทะเบียน หากไม่ทำตามเป็นความผิดทางอาญานั้น ศาลสูงวางหลักว่า กฎหมายเช่นนี้ไม่อาจประกาศใช้ได้เพราะเป็นการลิดรอนสิทธิของประชาชน เป็นต้น

จีน
จีนมีกฎหมายว่าด้วยการชุมนุมสาธารณะเพื่อรักษาความมั่นคงของประเทศและความสงบเรียบร้อย

การชุมนุมในประเทศจีนต้องขออนุญาตก่อนจัดการชุมนุม โดยยื่นต่อเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจ และต้องได้รับอนุญาตจากเจ้าหน้าที่ นอกจากนี้เจ้าหน้าที่ยังมีอำนาจต่างๆไม่ว่าจะเป็นอำนาจสั่งเลื่อน หรือใช้ดุลพินิจว่าจะอนุญาตหรือไม่อนุญาตให้มีการชุมนุม การเดินขบวน หรือการชุมนุมเรียกร้อง

หากการชุมนุมไม่ได้เป็นไปตามที่อนุญาต หรือจัดการชุมนุมขึ้นโดยไม่ได้รับอนุญาต ผู้จัดการชุมนุมอาจถูกเตือนหรือกักขัง และถูกดำเนินคดีทางอาญา

ฮ่องกง
ฮ่องกงถือเป็นเขตการปกครองพิเศษของจีน ฮ่องกงมีกฎหมายที่เกี่ยวกับการชุมนุม เพื่อเป็นการกำกับดูแลการชุมนุมให้เป็นไปโดยสงบเรียบร้อย การจัดการชุมนุมจะมีได้ต่อเมื่อผู้บัญชาการตำรวจได้รับหนังสือแจ้งจะจัดการชุมนุม ผู้บัญชาการตำรวจอาจมีคำสั่งห้ามการชุมนุมได้

แต่ถ้าผู้ชุมนุมในที่สาธารณะน้อยกว่า 50 คน หรือ ในที่ส่วนบุคคลน้อยกว่า 500 คน ไม่ต้องแจ้งการชุมนุมเลย

ในกรณีที่ผู้บัญชาการตำรวจมีคำสั่งห้ามการชุมนุม หรือ กำหนดเงื่อนไขการชุมนุม ผู้จัดชุมนุมอาจอุทธรณ์คำสั่งต่อคณะกรรมการอุทธรณ์ได้

จากตัวอย่างที่ศึกษากฎหมายการชุมนุมของต่างประเทศนั้น จึงนำมาเป็นตัวศึกษาและพิจารณาว่าประเทศไทยควรจะออกแบบกฎหมายเกี่ยวกับการชุมนุมอย่างไร และเมื่อนำมาใช้กับประเทศไทยแล้วจะได้ผลหรือไม่ เพราะสภาพสังคม ทางการเมืองของแต่ละประเทศย่อมแตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นระบอบการปกครอง การขับเคลื่อนขององค์กรภาครัฐต่างๆ และการที่คณะรัฐมนตรีมีมติให้เสนอร่างพระราชบัญญัติการชุมนุมสาธารณะขึ้นมา จะเป็นตัวตอบโจทย์ให้สังคมไทยหรือไม่ (อ่านเพิ่มเติมได้จาก วิเคราะห์เปรียบเทียบร่างพระราชบัญญัติการชุมนุมสาธารณะ 2 ฉบับ) สังคมไทยควรมีกฎหมายเกี่ยวกับการชุมนุมได้แล้วหรือไม่ ประชาชนนั่นเองเป็นผู้ที่จะต้องมีส่วนร่วมในการคิด และแสดงออกถึงตัวกฎหมายนี้

[1]หนังสืออ้างอิง ประภาส ปิ่นตบแต่ง. การเมืองบนท้องถนน : 99 วันสมัชชาคนจนและประวัติศาสตร์การเดินขบวนชุมนุมประท้วงในสังคมไทย. ศูนย์วิจัยและผลิตตำรา มหาวิทยาลัยเกริก. 2541

ที่มา.iLAW
***************************************************************************

ไอ้กร๊วก..นี่มัน"ทำเนียบรัฐบาล" หรือ "จูราสสิคพาร์ก"กันแน่ ?

หลังจากที่สื่อมวลชนพากันตีข่าวกันใหญ่โตเกี่ยวกับกรณีที่ทำเนียบรัฐบาลมีการปรับปรุงภูมิทัศน์ครั้งใหม่อีกครั้งในวันที่ 11 กันยายนที่ผ่านมา สื่อหลายสำนักเสนอพากันตีความว่าเป็นการปรับ "ฮวงจุ้ย" ให้รัฐบาล ที่กำลังฝ่าฟันมรสุมหลายอย่าง มีเสถียรภาพแข็งแรงอยู่รอดไปจนครบวาระ ซึ่งถ้าเป็นอย่างที่ตีความ ก็ไม่น่าเชื่อว่าท่านนายกรัฐมนตรี ที่เป็นถึงนักเรียนนอก จะยังคงเชื่อในเรื่องโชคลางและไสยศาสตร์ ทั้งที่รัฐบาลเองก็ยังมีเครื่องมือในการจัดการทางการเมืองอยู่หลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นกฎหมาย พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และยังมีกองทัพหนุนหลัง

ภาพที่เห็นครั้งแรกคือภาพของตึกสันติไมตรีและรังนกกระจอกใหม่ ที่เมื่อก่อนเคยโล่งเตียน มีเพียงต้นหญ้าขึ้นประปราย ได้กลายเป็นสวนขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยต้นไม้ไทรอังกฤษ และไทรเกาหลีที่มีรูปทรงเป็นพุ่มสูง และต้นปาล์มยะวาที่สูงชะลูด ถูกปลูกอยู่อย่างประปรายไร้ระเบียบ จนนักข่าวประจำทำเนียบหลายคนพากันตั้งฉายาใหม่ให้แก่ต้นไม้เหล่านี้ว่า เหมือนในภาพยนตร์เรื่อง "จูราสสิคพาร์ก" หรือเหน็บแหนมว่าต้นไม้เหล่านี้ดูเหมือนกับ "เปรตวัดสุทัศน์ฯ" ที่มายืนอยู่ข้างรังนกกระจอก

นักข่าวประจำทำเนียบหลายคนคิดว่า การปรับปรุงภูมิทัศน์ใหม่ในครั้งนี้ รัฐบาลมีจุดประสงค์สำคัญ เพื่อปรับฮ้วงจุ้ยตามความเชื่อ แต่นักข่าวแทบทุกคนไม่เชื่อว่าแม้จะมีการปรับฮวงจุ้ยจริง รัฐบาลจะมีความมั่นคงได้ ถ้าไม่สามารถทำงานตอบสนองความต้องการของประชาชน

นายจีรพงษ์ ประเสริฐพลกรัง ผู้สื่อข่าวจากสำนักข่าวเนชั่น กล่าวว่า การปรับปรุงภูมิทัศน์ทำเนียบรัฐบาลครั้งนี้ นับว่าเป็นครั้งที่ 3 ของรัฐบาลอภิสิทธิ์ เมื่อปรับภูมิทัศน์ครั้งนี้ คิดว่าทำเนียบรัฐบาลมีความร่มรื่นมากขึ้น แต่ว่ามีปริมาณค่อนข้างหนาแน่นไปนิดหน่อยและไม่สวยงามเหมือนแต่ก่อน แม้กระทั้งตำรวจทำเนียบฯ ยังแซวว่า ถ้าจะเข้ามาในทำเนียบฯ ต้องมีเข็มทิศ ไม่เช่นนั้นอาจหลงป่าได้ ทั้งนี้ เชื่อว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับเรื่องดวง เพราะว่ามีซินแสมากำหนดจุดใช้ปูนขาวโรยพื้นไว้เพื่อให้นำต้นไม้มาลง แต่เมื่อปรับแล้วจะสมประสงค์ตามความเชื่อหรือไม่นั้นไม่ใช่เรื่องสำคัญ เพราะสิ่งที่สำคัญที่สุด น่าจะเป็นการที่รัฐบาลต้องทำงานรับใช้ประชาชนด้วยความจริงใจมากกว่า

ด้าน น.ส.เพ็ญพรรณ แหลมหลวง ผู้สื่อข่าวจากสำนักข่าวไทย ให้ความเห็นว่า การมีต้นไม้เข้ามาก็ทำให้ทำเนียบน่าอยู่มากขึ้น ร่มรื่นมากขึ้น เป็นร่มเงาให้กับคนทำงาน แต่การที่รัฐบาลจะอยู่ได้หรืออยู่ไม่ได้นั้น ไม่ได้ขึ้นอยู่กับต้นไม้ แต่อยู่ที่การบริหารงานมากกว่า

ขณะที่คนในรัฐบาล เช่น นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ด้านความมั่นคง มองว่าการปรับภูมิทัศน์ทำเนียบรัฐบาลในครั้งนี้ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องดวงหรือฮวงจุย แต่เกี่ยวข้องกับการทำให้ทำเนียบรัฐบาลมีความสวยงามมากขึ้นมากกว่า

นายสุเทพ กล่าวว่า การปรับปรุงภูมิทัศน์ไม่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ทางการเมือง เพียงแต่เป็นการทำให้ที่ทำการรัฐบาลดูดี เพราะต้องมีการต้อนรับแขกบ้านแขกเมืองอยู่ตลอดเวลา เพียงแต่ทำให้ดูสวยงามไปตามสภาพ อย่าคิดมาก และตนไม่รู้เรื่องซินแสและฮวงจุ้ย ตนเชื่อในสิ่งที่เป็นวิทยาศาสตร์และพิสูจน์ได้ ขอยืนยันว่ารัฐบาลมั่นคงแข็งแรงดีทุกอย่าง

แม้นายสุเทพจะยืนยันว่ารัฐบาลยังมั่นคงแข็งแรงดีทุกอย่าง ใครจะแน่ใจได้ว่า จะไม่มีคลืนใต้น้ำอีกมากมายคอยซุ่มกระทบให้รัฐบาลนี้ล่มลงก่อนเวลาอันควร แต่ที่แน่นอนการปรับภูมิทัศน์ครั้งนี้ คนที่เหนื่อยหนักกว่าเดิมแน่นอน คงหนีไม่พ้น "คนสวน" ของทำเนียบรัฐบาลแห่งนี้นี่เอง

ที่มา.มติชนออนไลน์
*****************************************************************

คำต่อคำคดียุบ ปชป. ระหว่าง "บัณฑิต ศิริพันธุ์ - สุชาติ วงศ์อนันต์ชัย" ซักค้าน-ตอบโต้กลับ ดุเดือด

ส่วนหนึ่งของการซักค้านพยาน คดียุบพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ที่นายบัณฑิต ศิริพันธุ์ ทนายความ ปชป. ซักค้าน พ.ต.อ.สุชาติ วงศ์อนันต์ชัย ผู้ตรวจราชการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) และอดีตรองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ในฐานะพยานฝ่ายผู้ร้องของนายทะเบียนพรรคการเมือง กรณีการใช้จ่ายเงินกองทุนเพื่อการพัฒนาพรรคการเมือง 29 ล้านบาท ไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ ระหว่างตุลาการศาลรัฐธรรมนูญออกนั่งบัลลังก์ไต่สวนคดี นัดที่ 5 เมื่อวันที่ 13 กันยายน

นายบัณฑิต : เทปกับซีดีต่างๆ ไม่เคยให้นายประจวบ สังขาว ดูและนายประจวบไม่เคยให้การดีเอสไอ และ กกต.ใช่หรือไม่

พ.ต.อ.สุชาติ : นายประจวบเคยให้การดีเอสไอ 6 ครั้ง กกต. 3 ครั้ง แต่ไม่ได้มอบเทปให้ กกต. สำหรับเทปดังกล่าวเป็นเทปที่ลักลอบอัดเสียงนายประจวบ (ขณะนายประจวบ ประกอบธุรกิจอาบอบนวดเจ้าพระยา 1)

นายบัณฑิต : เทปเสียงของนายประจวบที่ลักลอบอัด คุณนำออกมาจากดีเอสไอได้อย่างไร

พ.ต.อ.สุชาติ : ผมคิดว่าสิ่งที่จะกราบเรียนตุลาการก็คือ ทุกคนอยากรู้ความจริง และในข้อบังคับของศาลบอกว่า ถ้าเพื่อประโยชน์ยุติธรรม ดังนั้นเทปดังกล่าวผมไม่เคยนำไปเปิดที่ไหนมาก่อนและไม่เคยเปิดให้ผู้ใดเสียหาย

นายบัณฑิต : เทปนี้เป็นเอกสารลับของดีเอสไอ ทั้งที่คุณย้ายไปอยู่กระทรวงไอซีทีแล้ว

พ.ต.อ.สุชาติ : ไม่ใช่เอกสารลับ ท่านถามเรื่องเทปแล้วพาลไปสำนวนมิได้เป็นตามที่กล่าวหา เพราะเรื่องเทปเก็บไว้เองไม่ได้ส่งไปยังสำนวนของ กกต.และสำนวนดีเอสไอก็เข้าใจว่ามีการดำเนินการสืบสวนเรื่องนี้ 2 ช่วง เทปอันนี้ได้มาในการสอบสวน

นายบัณฑิต : ข้อเท็จจริงที่อธิบายว่า สัญญาระหว่างบริษัท ทีพีไอฯมีการไซฟ่อน พยานทราบไหมว่า นายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ ผู้บริหารบริษัท ทีพีไอฯ และนายประจวบ ที่เคยมาให้การต่อศาลก็ยอมรับว่าแล้วว่า ได้ทำธุรกรรมจริง นายประจวบทำ 8 โครงการจริง

พ.ต.อ.สุชาติ : ทนายและศาลต้องฟังเทปที่ผมอัด เพราะนายประจวบ สัมพันธ์กับ ปชป.มายาวนาน การให้การให้พรรคเสียหาย เขาก็ไม่อยากจะพูด

นายบัณฑิต : สรุปแล้วสำนวนการสอบสวนของดีเอสไอเป็นโทษกับ ปชป. ถ้าสำนวนไหนเป็นคุณ ดีเอสไอไม่นำมาวินิจฉัย

พ.ต.อ.สุชาติ : ท่านตอบเองนะครับ ท่านวินิจฉัยเอง ผมไม่ได้ทำอย่างนั้น ผมมิได้ต้องการมาทำลายล้าง ปชป.อย่างที่ท่านกล่าวหาผม

นายบัณฑิต : ทราบหรือไม่ อัยการหลายคนทนดูคุณไม่ได้ที่ให้การบิดเบือน ถามเองตอบเอง 27 ครั้งที่คุณสอบสวน

พ.ต.อ.สุชาติ : ท่านกล่าวหาผมก็รับฟัง

นายบัณฑิต : ในชั้นสอบสวนพาดพิง ปชป. 2 ข้อหา 1.รับเงินบริจาคจากบริษัท ทีพีไอฯ และ 2.ใช้จ่ายเงินกองทุนฯจาก กกต.ไม่ถูกต้อง พยานยอมรับ 2 ข้อหาอยู่ภายใต้บทบัญญัติรัฐธรรมนูญและ พ.ร.บ.พรรคการเมือง

พ.ต.อ.สุชาติ : พ.ร.บ.พรรคการเมืองทางดีเอสไอได้ตรวจสอบแล้วพบจึงส่งเรื่องมาให้ กกต.ทำให้มีการประชุมกับเลขาธิการ กกต. (นายสุทธิพล ทวีชัยการ) ตาม พ.ร.บ.พรรคการเมืองก็ระบุไว้ว่า กกต.ให้เป็นผู้เสียหาย ผมเรียนถามท่านเลขาธิการ กกต. ได้สอบสวนตามกฎหมายอาญาหรือไม่ แต่เลขาธิการ กกต.บอกว่าไม่มีอำนาจ แต่ถ้าตรวจสอบพบก็จะให้พนักงานสอบสวนดำเนินการ

นายบัณฑิต : พ.ต.อ.สุชาติได้ระบุชัดเจนมายัง กกต.ว่า ปชป.มีความผิด 2 ข้อหา 1.คดี 258 ล้าน 2.คดี 29 ล้านบาท ผมถามว่าความผิดฝ่าฝืน พ.ร.บ.พรรคการเมืองใช่ไหม คุณก็บอกว่าใช่ แล้วถ้าใช่แล้วถามต่อว่า คุณไม่มีอำนาจใช่ไหม เพราะเป็นอำนาจของนายทะเบียนพรรคการเมืองใช่ไหม

พ.ต.อ.สุชาติ : ไม่ใช่ ในการทำผิดตาม พ.ร.บ.พรรคการเมือง คือมียุบพรรคและตัดสิทธิ เป็นของนายทะเบียนพรรคการเมือง แต่หากมีโทษอาญาเป็นหน้าที่พนักงานสอบสวน

นายบัณฑิต : ทราบหรือไม่ ส.ต.ท.ทชภล พรหมจันทร์ ระหว่างได้เงินค่าคุ้มครองพยานจากดีเอสไอเดือนละ 3 หมื่นแล้วขึ้นเวทีเสื้อแดงปราศรัยโจมตี กกต.หลายครั้ง

พ.ต.อ.สุชาติ : ท่านกำลังจะโยงสิทธิคุ้มครองพยานกับสิทธิตามรัฐธรรมนูญ

นายบัณฑิต : ผมถามว่า จุดมุ่งหมายอนุมัติเงินคือ พยานต้องเก็บตัว

พ.ต.อ.สุชาติ : ท่านเข้าใจผิด เพราะโครงการคุ้มครองพยานมี 2 มาตรการ คือ 1.มาตรการทั่วไป เช่น คุณอังคณา นีละไพจิตร ก็เข้าโครงการนี้ จะเดินทางไปไหนก็ปกติ และ 2.มาตรการพิเศษอยู่ พ.ร.บ.คุ้มครองพยาน แต่ ส.ต.ท.ทชภล อยู่ตามมาตรการแรกไปก็ไหนก็ได้ไม่ต้องเปลี่ยนชื่อเสียงเรียงนาม ไม่ต้องย้ายที่อยู่

นายบัณฑิต : ส.ต.ท.ทชภล เคยนำนายประจวบ พบพยานหลายครั้ง

พ.ต.อ.สุชาติ : ไม่เคย

นายบัณฑิต : ทุกครั้ง ส.ต.ท.ทชภล มาให้การกับคุณ มากับ ร.ต.อ.อรรถกวี ขุนพินิจ นายตำรวจคนสนิท พล.ต.มนูญกฤต รูปขจร อดีตประธานวุฒิสภา ทุกครั้งใช่ไหม

พ.ต.อ.สุชาติ : ผมไม่เคยรู้จัก ร.ต.อ.อรรถกวี และไม่เคยคุยด้วย

นายบัณฑิต : คุณรู้ คุณเคยเจอนายประจวบ สองต่อสอง จับมือบอกว่า จวบมาเป็นเพื่อนกันขอให้การพาดพิง ปชป. นายประจวบได้เสนอขอเงินคุณจะไปไถ่บ้าน 5 ล้านบาท คุณบอกโอเค แต่ขอให้นายประจวบให้การก่อนแล้วจะพานายประจวบไปเก็บไว้ที่เซฟเฮาส์ที่พัทยา นายประจวบอ้ำอึ้งอยู่นานแล้วบอกว่า ไม่ขอตอบในศาล คุณพูดอย่างนั้นจริงไหม

พ.ต.อ.สุชาติ : ผมตอบ ไม่จริง เพราะไม่มีพยานคนไหนมาตอบว่า จริง ถึงแม้จะเป็นจริง ก็ตอบว่าไม่จริง ท่านบอกเองว่าประจวบพบผมสองต่อสอง ผมอยากถามว่า ประจวบเล่าให้ท่านฟังใช่ไหม

นายบัณฑิต : นายประจวบไม่ได้เล่าให้ผมฟัง แต่ พ.ต.ท.ท่านหนึ่งยังมีชีวิตแล้วยืนยันให้ผมฟัง

พ.ต.อ.สุชาติ : การที่นายประจวบบอกว่า ไม่ขอตอบ ท่านก็บอกว่าจริง ผมรับราชการมาผมไม่เคยทำเยี่ยงที่ท่านพูด

นายบัณฑิต : ทุกครั้งสอบสวนคุณยังเปิดเผยตัวว่าปฏิปักษ์โดยเปิดเผย แต่อยากถามว่า แม้เรื่องล่าสุดคดี 258 ล้าน อัยการส่งเรื่องมายัง กกต.สอบสวนใหม่ คุณสัมภาษณ์เลยว่า ยื้อคดีของอัยการสูงสุด ผมรู้แต่แรกว่า ต้องทำแบบนี้ทั้งที่คุณพ้นหน้าที่พนักงานสอบสวนแล้ว คุณทนไม่ได้ใช่ไหม ต้องการให้อัยการสูงสุดดำเนินคดีกับ ปชป.โดยเร็ว

พ.ต.อ.สุชาติ : หนังสือพิมพ์ลงเมื่อวันที่ 11 มิถุนายน แสดงว่าผมให้สัมภาษณ์วันที่ 10 มิถุนายน วันนั้นวันที่ 10 เป็นวันพระราชทานเพลิงศพพ่อผม ผมไม่มีจิตใจมาให้สัมภาษณ์

นายบัณฑิต : วันรุ่งขึ้นรองอัยการสูงสุด ท่านวัยวุฒิ หล่อตระกูล ให้สัมภาษณ์ว่า ท่านพ้นจากหน้าที่แล้วมายุ่งอะไร นี่เรื่องของอัยการกับ กกต. คุณเป็นคนใช้ไม่ได้ พูดจาไม่เข้าท่า พยานอ่านข่าวนี้หรือไม่

พ.ต.อ.สุชาติ : อ่าน ผมไม่สงสัย เพราะว่าคดีนี้ไม่ใช่คดีปกติทั่วไป

นายบัณฑิต : เหตุการณ์จลาจลวุ่นวายใน กทม. เสื้อแดงปิดล้อมที่ทำการราชการ คุณกับ พ.ต.อ.ทวี ได้อยู่วอร์รูมพรรคเพื่อไทยวางแผนให้ช่วยเหลือพวก นปช.หรือเสื้อแดงที่ที่ทำการพรรคเพื่อไทย

พ.ต.อ.สุชาติ : ท่านน่าจะให้ผมร่วมคดีก่อการร้าย ไม่น่ามาใส่ร้ายผม ให้พยานปากนั้นมายืนยันแล้วผมถูกดำเนินคดีก่อการร้ายและผมก็ไม่ทราบเรื่องทั้งหมดด้วย

นายบัณฑิต : ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ได้นำข้อมูลจากดีเอสไอไปอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล เป็นข้อมูลที่มีเนื้อหาสาระตรงกับที่ปรากฏในสำนวนการสอบสวนดีเอสไอ คุณเฉลิมให้การต่ออนุกรรมการ กกต. ยอมรับข้อมูลส่วนหนึ่งได้จากนายประจวบ และอีกส่วนได้วิธีการลับเฉพาะ ได้จากตัวคุณใช่หรือไม่ เขารู้ทั้งนั้น

พ.ต.อ.สุชาติ : นักการเมืองมีความสามารถแบบนี้ทั้งนั้น ผมไม่ทราบ ผมไม่เคยเป็นนักการเมือง ผมไม่เคยนำข้อมูลการสอบสวนไปให้

นายบัณฑิต : ร.ต.อ.เฉลิม นำข้อมูลเช็คหลายฉบับ ธนาคารอะไร เอาไปอภิปราย ข้อมูลเหล่านั้นคนที่จะนำไปให้ได้คือตัวคุณในฐานะหัวหน้าพนักงานสอบสวน

พ.ต.อ.สุชาติ : เอกสารต่างๆ นายประจวบบอกว่า ชุดหนึ่งอยู่ที่นายประจวบ ชุดหนึ่งอยู่ที่ ส.ต.ท.ทชภล ชุดที่สามอยู่ที่นายอภิสิทธิ์ และชุดที่ 4 อยู่ที่นายวิทยา แก้วภราดัย ฟังในเทปเสียงนายประจวบได้

นายบัณฑิต : คุณพูดถึงงานศพคุณพ่อที่ จ.ชลบุรี คุณเฉลิมช่วยงานศพคุณพ่อคุณ 2 แสนบาทใช่ไหม

พ.ต.อ.สุชาติ: ไม่ทราบครับ

นายบัณฑิต : คุณรับเงินคนในงานแต่ไม่ทราบ คุณเฉลิมช่วยเหลือคุณ ผมรู้ และคนที่เล่าให้ผมฟังก็สนิทกับผมด้วย

พ.ต.อ.สุชาติ : ขอความกรุณานิดหนึ่ง คุณพ่อผมเสียไปแล้ว

นายบัณฑิต : อันนี้ไม่เกี่ยวกับคุณพ่อคุณนะ

พ.ต.อ.สุชาติ : จะช่วยเท่าไรคือ ทำบุญแล้วผมจะเอาเงินไปทำศาลาให้คุณพ่อ

นายบัณฑิต : ในซองเงินช่วย ปกติต้องระบุชื่ออะไร เพราะเจ้าภาพต้องจดไว้ ยิ่งคุณเฉลิมช่วย 2 แสนบาท ไฮไลต์มาก คุณจะต้องจำ ให้คุณเพื่อแลกเปลี่ยนกับข้อมูลที่คุณให้ใช่ไหม คุณจะตอบไม่ทราบไม่ได้ แต่ผมจะขอเค้นหน่อยเอาความจริงมาพูด ศาลนี้ศักดิ์สิทธิ์นะ คุณสุชาติให้การเท็จไม่ได้

พ.ต.อ.สุชาติ : ผมไม่เข้าใจว่า ท่านเอาเรื่องงานศพพ่อผมมาเปรียบกับคดีนี้ได้อย่างไร ท่านควรให้เกียรติผมบ้าง

นายบัณฑิต : ผมไม่ได้กล่าวหางานศพพ่อคุณ ผมพูดคนทำบุญ ผมกำลังให้เกียรติคุณไง

นายนุรักษ์ มาประณีต ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ : กระบวนการพิจารณาศาลให้เปลี่ยนคำถาม เพราะพยานไม่ทราบ แต่คุณต้องเปลี่ยนคำถาม ศาลเข้าใจคุณต้องการทำลายน้ำหนักพยาน แต่ขอให้เปลี่ยนคำถามใหม่ไม่ถามเรื่องนี้

นายบัณฑิต : จากการกระทำที่ท่านได้สอบสวนคดี ปชป.ฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญและนำสำนวนนี้ไปเปิดเผยให้คุณเฉลิมตลอดจนเกี่ยวกับเรื่องที่คุณพูดกับนายประจวบ ขณะนี้ดีเอสไอได้ตั้งกรรมการสอบสวนทางวินัยกับคุณแล้วใช่ไหมกลางเดือนสิงหาคมนี้

พ.ต.อ.สุชาติ : ผมเพิ่งทราบจากท่าน ใครแต่งตั้งสอบสวนผม

นายบัณฑิต : ผมเพิ่งทราบจากหนังสือพิมพ์

นายนุรักษ์ มาประณีต ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ : อย่าทะเลาะกัน

ที่มา.มติชน
-----------------------------------------------------------