โดย หนังสือพิมพ์โลกวันนี้รายวัน
กรณีนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ส่งหนังสือถึงอัยการสูงสุดให้เร่งฟ้องแกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) แดงทั้งแผ่นดิน เพราะหากอัยการส่งฟ้องไม่ทันก็ต้องปล่อยตัวผู้ต้องหาชั่วคราว ทำให้ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากว่าเป็นการแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม ซึ่งไม่เคยเกิดกรณีเช่นนี้มาก่อน เพราะอัยการถือเป็นองค์กรอิสระเช่นเดียวกับฝ่ายตุลาการ รัฐบาลจะเข้าไปแทรกแซงได้เฉพาะกรณีที่เป็นแง่ดีกับผู้ต้องหาหรือผู้ถูกกล่าวหาเท่านั้น เช่น ต้องการให้ปล่อยตัว หรือไม่ส่งฟ้อง หรือกรณีเพื่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
และเมื่อวันที่ 11 สิงหาคม นายธนพิชญ์ มูลพฤกษ์ อธิบดีอัยการฝ่ายคดีพิเศษ ได้มีความเห็นสั่งฟ้องแกนนำ นปช. รวม 19 คน ในความผิดฐานร่วมกันหรือใช้ให้ผู้อื่นกระทำความผิด หรือสนับสนุนให้มีการกระทำผิดฐานก่อการร้าย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 135/1, 135/2, 135/3 ประกอบมาตรา 83, 84, 85 และมาตรา 86
ขณะที่นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย ได้ยื่นหนังสือถึงประธานและคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ให้ไต่สวนและดำเนินคดีกับนายพีระพันธุ์ เพราะถือเป็นการกระทำโดยไม่มีอำนาจและปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ทำให้เกิดความเสียหายต่อระบบยุติธรรม ทำให้อัยการขาดความเป็นอิสระในการพิจารณาสั่งคดี และถูกกดดันให้ต้องสั่งคดีให้ทันภายในเวลาที่กำหนด ซึ่งอำนาจของพนักงานอัยการมีความเป็นอิสระและไม่ได้อยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของกระทรวงยุติธรรม
ส่วนนายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย และแกนนำกลุ่ม นปช. ตำหนิการกระทำของนายพีระพันธ์ว่าเป็นความอยุติธรรมอย่างชัดเจน ทั้งที่ยังไม่มีการสอบพยานทั้งชั้นพนักงานสอบสวนหรือพนักงานอัยการแล้ว เมื่อเปรียบเทียบกับคดีของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ยิ่งเห็นชัดเจนว่าเลือกปฏิบัติและเป็นคนละมาตรฐานอย่างสิ้นเชิง
นอกจากนี้นายจตุพรยังกล่าวหานายพีระพันธ์ว่า โทรศัพท์ไปถึงนายประจวบ สังข์ขาว ซึ่งเป็นพยานปากสำคัญในคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ แต่ไม่รู้ว่าโทร.ไปเพื่ออะไร และในฐานะอะไร โดยมีหลักฐานทั้งเบอร์โทรศัพท์และวันเวลาที่โทร. โดยจะเปิดเผยในวันถามกระทู้ ทั้งยังกล่าวหาว่ามีคำสั่งให้กรมสอบสวนคดพิเศษ (ดีเอสไอ) นำข้อมูลและคำให้การพยานซึ่งอยู่ในขั้นตอนการคุ้มครองพยานให้ทีมกฎหมายพรรคประชาธิปัตย์
หากข้อกล่าวหาดังกล่าวเป็นความจริง ไม่ใช่แค่เป็นเรื่องที่น่าอัปยศและเป็นการทำลายความน่าเชื่อถือของกระบวนการยุติธรรมอย่างยิ่แล้ว ยังถือว่ามีความผิดทั้งทางกฎหมายและแง่จริยธรรมอีกด้วย ซึ่งนายพีระพันธ์และรัฐบาลต้องมีคำตอบให้กับสังคมเช่นกัน
**********************************************************************
วันเสาร์ที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2553
แผนพัฒนาระบบการเงิน ยุทธศาสตร์ประเทศไทยที่ถูกมองข้าม
ประชาชาติธุรกิจ
ส่วนต่างดอกเบี้ย (สเปรด) และค่าธรรมเนียมของธนาคารพาณิชย์ เป็นประเด็นที่ถูกยกมาถกเถียงทุกยุคทุกสมัย แต่น่าสังเกตว่าการวางกรอบพื้นที่ทางการเงิน (Financial Landscape) ซึ่งเป็นยุทธ ศาสตร์ของประเทศ กลับมีการพูดถึงน้อย
การกล่าวถึงความสามารถในการแข่งขันของสถาบันการเงินไทยของ ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล ประธานคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และอดีตผู้ว่าการ ธปท. เมื่อไม่นานมานี้อาจเป็นการจุดประเด็นที่น่าสนใจ ให้ทั้งรัฐบาล ธปท. ธนาคารพาณิชย์ ต้องหันกลับมามองแนวทางการวาง Landscape ระบบการเงินของประเทศว่า ภายใต้สิ่งแวดล้อมปัจจุบันเดินมาถูกทางแล้วหรือไม่ รองรับการแข่งขันจากคู่แข่งภายนอก ไปพร้อมกับสามารถให้บริการประชาชนในประเทศได้เพียงใด
"ธนาคารไทยเล็กเกินไปและโมเดลการทำธุรกิจเน้นเฉพาะธุรกิจหลัก ทำให้เป็นห่วงว่าจะเติบโตแข่งขันสู้ธนาคารต่างชาติได้อย่างไร อย่างสเปนมีธนาคารใหญ่เพียงแห่งเดียว แต่ทำธุรกิจหลากหลาย และยังมุ่ง แข่งขันออกไปตั้งสาขาในต่างประเทศ ขณะที่ อาเซียนก็มีธนาคารซีไอเอ็มบีของมาเลเซียที่ใหญ่และออกไปตั้งสาขาทุกประเทศในภูมิภาค แตกต่างจากธนาคารไทยที่เล็กเกินไป ไม่สามารถจ้างคนเก่ง ๆ มาวิเคราะห์ และดูแลลูกค้าเฉพาะด้านได้ นอกจากนี้ธนาคารไทยยังแข่งขันกันเปิดตู้เอทีเอ็มมากกว่าจะแข่งขันเปิดสาขาในต่างประเทศ"
ความเห็นของ ม.ร.ว.จัตุมงคลคงไม่ได้เกิดจากการมองเห็นสิ่งที่จะเกิดขึ้นในระยะสั้น การกระตุ้นให้ทุกฝ่ายเห็นว่าต้องตื่นตัวกับประเด็นนี้เริ่มชัดขึ้น หลังเชิญผู้บริหารของธนาคารพาณิชย์มาแลกเปลี่ยนความเห็น เช่น การพบกับ นายชาติศิริ โสภณพนิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ
อย่างไรก็ตามความสามารถในการทำกำไรที่ดีต่อเนื่อง แม้ต้องรับมือกับเกณฑ์กำกับที่เข้มงวดของ ธปท. อาจเป็นเหตุผลที่ทำให้เรื่อง Landscape ของระบบการเงินไทย ยังไม่มีน้ำหนักมากพอที่จะถูกหยิบยกขึ้นเป็น "ประเด็นฮอต" ในขณะนี้
ตลอด 5 ปีที่ผ่านมา กลุ่มธนาคารพาณิชย์รายงานผลดำเนินงานอย่างแข็งแกร่งโดยปี 2548 เป็นปีที่ระบบธนาคารมีกำไรสุทธิสูงสุด 107,000 ล้านบาท ขณะที่มีกำไรจากดำเนินงาน 143,000 ล้านบาท ปีถัดมาแม้กำไรสุทธิจะลดลง อยู่ที่ 65,000 ล้านบาท แต่การลดลงทั้ง 2 ปี เกิดจากรายการพิเศษ "สำรองหนี้" ตามมาตรฐานบัญชีใหม่ IAS39 ซึ่งหากไม่รวมรายการพิเศษข้างต้น กำไรจากการ ดำเนินงานของทั้ง 2 ปีอยู่ที่ 156,000 ล้านบาท และ 157,000 ล้านบาท ตามลำดับ
โดยปี 2551 และ 2552 ซึ่งหมดภาระรายการพิเศษ แต่ต้องเผชิญกับปัญหาการเมืองและวิกฤตการเงินโลก จะพบว่ากำไรสุทธิของทั้ง 2 ปียังทรงตัวอยู่ระดับสูงคือ 99,000 ล้านบาท และปี 2552 ที่ 92,000 ล้านบาท ขณะที่กำไรจากดำเนินงานสูงขึ้นที่ 196,000 ล้านบาท และ 185,000 ล้านบาท
อย่างไรก็ตามการเติบโตข้างต้นอยู่ภายใต้กรอบการพัฒนาที่ได้รับการปกป้องจากการแข่งขันจากภายนอก ประเด็นคำถามที่ต้องตั้งต่อไปคือ แผนพัฒนาสถาบันการเงิน (Master Plan) ฉบับที่ 2 สอดรับกับ Landscape ทางการเงินที่กำลังเปลี่ยนแปลง ขยายวงกว้างออกไปสู่ขอบเขตที่กว้างกว่าการเงินระดับประเทศเพียงใด โดยเฉพาะภายใต้สิ่งแวดล้อมทางเศรษฐกิจในภูมิภาคที่กำลังรวมตัวกันสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ซึ่งเป้าหมายสุดท้ายคือการเป็นระบบเศรษฐกิจหนึ่งเดียว
แต่หากพิจารณาประเด็นในมาสเตอร์แพลน ฉบับที่ 2 ที่จะดำเนินการในปี"53-57 พบว่าให้น้ำหนักที่การเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน โดยลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน และเพิ่มความสามารถในการแข่งขันเป็นรายธนาคาร รวมถึงเพิ่มการแข่งขันโดยเพิ่มผู้เล่นในตลาด เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงบริการการเงิน อย่างไรก็ตามเพียงช่วงเริ่มต้นก็ได้มีการตั้งข้อสังเกตว่า มาสเตอร์แพลนฉบับที่ 2 อาจไม่ราบรื่นเช่นฉบับแรก
แหล่งข่าวจากวงการธนาคารกล่าวว่า แม้ ธปท.มีแนวทางลดต้นทุนเพื่อสนับสนุนให้ควบรวม แต่เชื่อว่าเกิดขึ้นยาก เพราะธนาคารใหญ่มีอำนาจต่อรองสูง ซึ่งธุรกิจธนาคารพาณิชย์ก็จะได้รับการปกป้องต่อไป
"การควบรวมของธนชาตกับนครหลวงไทย เป็นตัวอย่างแรกที่เป็นการรวมกันเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ไม่ได้เกิดจากธนาคารมีปัญหา ซึ่งต้องรอติดตามว่าจะสามารถขึ้นเป็นธนาคารขนาดกลางและเพิ่มการแข่งขันในระบบตามแผน ธปท.เพียงใด แต่วิธีคิดของ ธปท.ในอดีตจะแปลกตรงที่ถ้าไม่มีปัญหาเขาไม่ให้ควบรวม แต่ถึงตอนนี้จะให้ควบรวมเพื่อเพิ่มความสามารถแข่งขัน มันเกิดขึ้นยากแล้ว แบงก์ที่รัฐถือหุ้นอยู่หลายแห่งแทนที่จะรวมกันให้ใหญ่ขึ้น แต่กลับไปขายให้ต่างชาติหมด"
นอกจากความเป็นไปได้ยากที่จะเกิดการควบรวมเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่ง การขาดยุทธศาสตร์ด้านการเงินระดับประเทศ เป็นอีกประเด็นหนึ่งที่คนในวงการเริ่มกังวล โดยเฉพาะภายใต้การเปิดการค้าเสรีภูมิภาคอาเซียน (AFTA) ที่ในที่สุดภาคการเงินจะต้องขยายขอบเขตธุรกิจออกไปให้บริการในภูมิภาค
นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกรุงไทย กล่าวว่า ปัจจุบันแผนพัฒนาระบบการเงินของไทยกับเพื่อนบ้านค่อนข้างแตกต่างกัน เช่น สิงคโปร์ที่จัดระเบียบสถาบันการเงินมานาน ประกาศให้สถาบันการเงินรวมกันให้เหลือไม่กี่แห่ง และกำหนดเกณฑ์ว่ารายได้ของแต่ละแห่ง 50% ต้องมาจากต่างประเทศ โดยมาเลเซียก็เริ่มพัฒนาไปในทิศทางเดียวกัน แต่แนวทางของไทยกลับมุ่งไปที่การสร้างความแข็งแกร่งเหมือนยิ่งทำให้ธนาคารมีขนาดเล็กลง
"ประเด็นที่ต้องชัดคือจะให้ธนาคารพาณิชย์เป็นธุรกิจที่ต้องได้รับการปกป้องของประเทศหรือไม่ ถ้าไม่ใช่และต้องเปิดเสรี ก็ต้องมีการวาง Landscape ให้ชัดว่าระบบการเงินไทยจะเป็นอย่างไร" นายอภิศักดิ์กล่าวทิ้งท้าย
*******************************************************************************
ส่วนต่างดอกเบี้ย (สเปรด) และค่าธรรมเนียมของธนาคารพาณิชย์ เป็นประเด็นที่ถูกยกมาถกเถียงทุกยุคทุกสมัย แต่น่าสังเกตว่าการวางกรอบพื้นที่ทางการเงิน (Financial Landscape) ซึ่งเป็นยุทธ ศาสตร์ของประเทศ กลับมีการพูดถึงน้อย
การกล่าวถึงความสามารถในการแข่งขันของสถาบันการเงินไทยของ ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล ประธานคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และอดีตผู้ว่าการ ธปท. เมื่อไม่นานมานี้อาจเป็นการจุดประเด็นที่น่าสนใจ ให้ทั้งรัฐบาล ธปท. ธนาคารพาณิชย์ ต้องหันกลับมามองแนวทางการวาง Landscape ระบบการเงินของประเทศว่า ภายใต้สิ่งแวดล้อมปัจจุบันเดินมาถูกทางแล้วหรือไม่ รองรับการแข่งขันจากคู่แข่งภายนอก ไปพร้อมกับสามารถให้บริการประชาชนในประเทศได้เพียงใด
"ธนาคารไทยเล็กเกินไปและโมเดลการทำธุรกิจเน้นเฉพาะธุรกิจหลัก ทำให้เป็นห่วงว่าจะเติบโตแข่งขันสู้ธนาคารต่างชาติได้อย่างไร อย่างสเปนมีธนาคารใหญ่เพียงแห่งเดียว แต่ทำธุรกิจหลากหลาย และยังมุ่ง แข่งขันออกไปตั้งสาขาในต่างประเทศ ขณะที่ อาเซียนก็มีธนาคารซีไอเอ็มบีของมาเลเซียที่ใหญ่และออกไปตั้งสาขาทุกประเทศในภูมิภาค แตกต่างจากธนาคารไทยที่เล็กเกินไป ไม่สามารถจ้างคนเก่ง ๆ มาวิเคราะห์ และดูแลลูกค้าเฉพาะด้านได้ นอกจากนี้ธนาคารไทยยังแข่งขันกันเปิดตู้เอทีเอ็มมากกว่าจะแข่งขันเปิดสาขาในต่างประเทศ"
ความเห็นของ ม.ร.ว.จัตุมงคลคงไม่ได้เกิดจากการมองเห็นสิ่งที่จะเกิดขึ้นในระยะสั้น การกระตุ้นให้ทุกฝ่ายเห็นว่าต้องตื่นตัวกับประเด็นนี้เริ่มชัดขึ้น หลังเชิญผู้บริหารของธนาคารพาณิชย์มาแลกเปลี่ยนความเห็น เช่น การพบกับ นายชาติศิริ โสภณพนิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ
อย่างไรก็ตามความสามารถในการทำกำไรที่ดีต่อเนื่อง แม้ต้องรับมือกับเกณฑ์กำกับที่เข้มงวดของ ธปท. อาจเป็นเหตุผลที่ทำให้เรื่อง Landscape ของระบบการเงินไทย ยังไม่มีน้ำหนักมากพอที่จะถูกหยิบยกขึ้นเป็น "ประเด็นฮอต" ในขณะนี้
ตลอด 5 ปีที่ผ่านมา กลุ่มธนาคารพาณิชย์รายงานผลดำเนินงานอย่างแข็งแกร่งโดยปี 2548 เป็นปีที่ระบบธนาคารมีกำไรสุทธิสูงสุด 107,000 ล้านบาท ขณะที่มีกำไรจากดำเนินงาน 143,000 ล้านบาท ปีถัดมาแม้กำไรสุทธิจะลดลง อยู่ที่ 65,000 ล้านบาท แต่การลดลงทั้ง 2 ปี เกิดจากรายการพิเศษ "สำรองหนี้" ตามมาตรฐานบัญชีใหม่ IAS39 ซึ่งหากไม่รวมรายการพิเศษข้างต้น กำไรจากการ ดำเนินงานของทั้ง 2 ปีอยู่ที่ 156,000 ล้านบาท และ 157,000 ล้านบาท ตามลำดับ
โดยปี 2551 และ 2552 ซึ่งหมดภาระรายการพิเศษ แต่ต้องเผชิญกับปัญหาการเมืองและวิกฤตการเงินโลก จะพบว่ากำไรสุทธิของทั้ง 2 ปียังทรงตัวอยู่ระดับสูงคือ 99,000 ล้านบาท และปี 2552 ที่ 92,000 ล้านบาท ขณะที่กำไรจากดำเนินงานสูงขึ้นที่ 196,000 ล้านบาท และ 185,000 ล้านบาท
อย่างไรก็ตามการเติบโตข้างต้นอยู่ภายใต้กรอบการพัฒนาที่ได้รับการปกป้องจากการแข่งขันจากภายนอก ประเด็นคำถามที่ต้องตั้งต่อไปคือ แผนพัฒนาสถาบันการเงิน (Master Plan) ฉบับที่ 2 สอดรับกับ Landscape ทางการเงินที่กำลังเปลี่ยนแปลง ขยายวงกว้างออกไปสู่ขอบเขตที่กว้างกว่าการเงินระดับประเทศเพียงใด โดยเฉพาะภายใต้สิ่งแวดล้อมทางเศรษฐกิจในภูมิภาคที่กำลังรวมตัวกันสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ซึ่งเป้าหมายสุดท้ายคือการเป็นระบบเศรษฐกิจหนึ่งเดียว
แต่หากพิจารณาประเด็นในมาสเตอร์แพลน ฉบับที่ 2 ที่จะดำเนินการในปี"53-57 พบว่าให้น้ำหนักที่การเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน โดยลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน และเพิ่มความสามารถในการแข่งขันเป็นรายธนาคาร รวมถึงเพิ่มการแข่งขันโดยเพิ่มผู้เล่นในตลาด เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงบริการการเงิน อย่างไรก็ตามเพียงช่วงเริ่มต้นก็ได้มีการตั้งข้อสังเกตว่า มาสเตอร์แพลนฉบับที่ 2 อาจไม่ราบรื่นเช่นฉบับแรก
แหล่งข่าวจากวงการธนาคารกล่าวว่า แม้ ธปท.มีแนวทางลดต้นทุนเพื่อสนับสนุนให้ควบรวม แต่เชื่อว่าเกิดขึ้นยาก เพราะธนาคารใหญ่มีอำนาจต่อรองสูง ซึ่งธุรกิจธนาคารพาณิชย์ก็จะได้รับการปกป้องต่อไป
"การควบรวมของธนชาตกับนครหลวงไทย เป็นตัวอย่างแรกที่เป็นการรวมกันเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ไม่ได้เกิดจากธนาคารมีปัญหา ซึ่งต้องรอติดตามว่าจะสามารถขึ้นเป็นธนาคารขนาดกลางและเพิ่มการแข่งขันในระบบตามแผน ธปท.เพียงใด แต่วิธีคิดของ ธปท.ในอดีตจะแปลกตรงที่ถ้าไม่มีปัญหาเขาไม่ให้ควบรวม แต่ถึงตอนนี้จะให้ควบรวมเพื่อเพิ่มความสามารถแข่งขัน มันเกิดขึ้นยากแล้ว แบงก์ที่รัฐถือหุ้นอยู่หลายแห่งแทนที่จะรวมกันให้ใหญ่ขึ้น แต่กลับไปขายให้ต่างชาติหมด"
นอกจากความเป็นไปได้ยากที่จะเกิดการควบรวมเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่ง การขาดยุทธศาสตร์ด้านการเงินระดับประเทศ เป็นอีกประเด็นหนึ่งที่คนในวงการเริ่มกังวล โดยเฉพาะภายใต้การเปิดการค้าเสรีภูมิภาคอาเซียน (AFTA) ที่ในที่สุดภาคการเงินจะต้องขยายขอบเขตธุรกิจออกไปให้บริการในภูมิภาค
นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกรุงไทย กล่าวว่า ปัจจุบันแผนพัฒนาระบบการเงินของไทยกับเพื่อนบ้านค่อนข้างแตกต่างกัน เช่น สิงคโปร์ที่จัดระเบียบสถาบันการเงินมานาน ประกาศให้สถาบันการเงินรวมกันให้เหลือไม่กี่แห่ง และกำหนดเกณฑ์ว่ารายได้ของแต่ละแห่ง 50% ต้องมาจากต่างประเทศ โดยมาเลเซียก็เริ่มพัฒนาไปในทิศทางเดียวกัน แต่แนวทางของไทยกลับมุ่งไปที่การสร้างความแข็งแกร่งเหมือนยิ่งทำให้ธนาคารมีขนาดเล็กลง
"ประเด็นที่ต้องชัดคือจะให้ธนาคารพาณิชย์เป็นธุรกิจที่ต้องได้รับการปกป้องของประเทศหรือไม่ ถ้าไม่ใช่และต้องเปิดเสรี ก็ต้องมีการวาง Landscape ให้ชัดว่าระบบการเงินไทยจะเป็นอย่างไร" นายอภิศักดิ์กล่าวทิ้งท้าย
*******************************************************************************
วันศุกร์ที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2553
แค้นไอ้ห้อย
ว่ากันว่า..“ปูเค็ม” ที่ใส่ในส้มตำ
ยังไม่ “ถูกดอง” เท่ากับ รายการ รถเมล์เช่าเอ็น จี วี สี่พันคัน..เพราะโครงการนี้ริเริ่มพร้อมกับการตั้งรัฐบาลกันมาใหม่ๆ
หากว่า “รถเมล์เช่า”ได้ออกมาวิ่งเมื่อใดคงได้เค็มปี๋เกลือร่วงเกลื่อนถนนแน่
คนที่ช้ำอกยิ่งกว่าตกตาลคือ โสภณ ซารัมย์ เจ้าของฉายา “ผีเห็นคร้าม” ที่ไม่สามารถสอบผ่าน “ด่าน ครม.” เป็นครั้งที่หก!!
เป็นกูก็คงยุบโครงการนี้ไปนานแล้ว..อายว่ะ!
เอาเป็นว่าที่ “โสภณ” ดันโครงการนี้เข้าไปใหม่ เพราะเห็นว่าที “โปรเจ็กต์”ของรัฐมนตรีคนอื่น “สอบผ่าน สอบผ่าน” ยังกะวัดมีงาน..
แต่ทีของตัวเองส่งเข้าประกวดมั่งกลับ “เสียบหล่น เสียบหล่น” เหมือนเพลงพุ่มพวง ดวงจันทร์ ทุกที..
แถมยังโดน นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เจ้าของฉายา “นักฆ่าแห่งบ้านเปื้อนขี้” ลงดาบเชือดด้วยมือตัวเองอีกตระหาก
โอ้โฮ..นี่ตายด้วยคมดาบ หรือตายเพราะว่าเหม็นขี้วะเนี่ย!!
งานนี้..ภาษานักเลงเค้าเรียกว่า “เตะถาม”..หมายถึงว่า “เตะลูกน้อง” เพื่อให้กระทบชิ่งไปถึง “ลูกพี่” ว่าจะมีอะไรออกมาโชว์อีกมั้ย??
เพราะนี่คือการ “เตะตัดขา” หรือ “สกัดดาวรุ่ง” ด้วยการบีบไข่ให้หน้าเขียว..ซึ่งเป็นตำราพิชัยยุทธหน้าที่ 26..เรียกว่ายุทธการ “ท่าเขียวไข่กา” (ไม่น่าจะเกี่ยวกัน)
“ดึงผมเส้นเดียวสะเทือนไปทั้งร่าง” เมื่อ “โสภณ” โดนบี้หนักในครั้งนี้.. พรรคภูมิใจไทย ก็สะดุ้งทั้งพรรคเพราะกำลังโชว์ออฟว่าจะเป็น “พรรคใหญ่” ในเร็วๆ นี้
ภาษิตจอมยุทธกล่าวว่า อา จี ปู้ เหอ จี เหอ หัว
แปลเป็นไทยว่า “เป็ดกับไก่ไม่ร่วมฝูงกัน”
เพราะในที่สุด “เป็ด” ต้องไปทำ “พะโล้” และ “ไก่” ก็ต้องโปะอยู่ที่ “ข้าวมัน” ชั่วโมงแห่งการ “เสพสุข” ด้วยดาบที่เหน็บซ่อนไว้ได้เวลา “นับถอยหลัง” แล้วในขณนี้..“ประชาธิปัตย์” ก็ต้องโชว์ฟอร์มให้เข้าตาเรื่องความซื่อสัตย์สุจริต!!
ด้วยการถีบส่ง “ภูมิใจไทย” ให้สังคมเห็นว่า “แดกเถื่อน” ในหนังม้วนสุดท้าย
ทำเอา “คนปากห้อย” กลับลู่ห้อยยิ่งกว่าเก่า จะเย่อจงอยปากล่างขึ้นมาเพื่อรองรับน้ำลายที่ไหลเยิ้มนั้นก็ไม่อยู่ซะแล้ว..แสดงว่า “แค้นหนัก” ว้อยยย!!
คอลัมน์.ก็โลกมันเบี้ยวหนุ่ม ชิงชัย/บางกอกทูเดย์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ยังไม่ “ถูกดอง” เท่ากับ รายการ รถเมล์เช่าเอ็น จี วี สี่พันคัน..เพราะโครงการนี้ริเริ่มพร้อมกับการตั้งรัฐบาลกันมาใหม่ๆ
หากว่า “รถเมล์เช่า”ได้ออกมาวิ่งเมื่อใดคงได้เค็มปี๋เกลือร่วงเกลื่อนถนนแน่
คนที่ช้ำอกยิ่งกว่าตกตาลคือ โสภณ ซารัมย์ เจ้าของฉายา “ผีเห็นคร้าม” ที่ไม่สามารถสอบผ่าน “ด่าน ครม.” เป็นครั้งที่หก!!
เป็นกูก็คงยุบโครงการนี้ไปนานแล้ว..อายว่ะ!
เอาเป็นว่าที่ “โสภณ” ดันโครงการนี้เข้าไปใหม่ เพราะเห็นว่าที “โปรเจ็กต์”ของรัฐมนตรีคนอื่น “สอบผ่าน สอบผ่าน” ยังกะวัดมีงาน..
แต่ทีของตัวเองส่งเข้าประกวดมั่งกลับ “เสียบหล่น เสียบหล่น” เหมือนเพลงพุ่มพวง ดวงจันทร์ ทุกที..
แถมยังโดน นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เจ้าของฉายา “นักฆ่าแห่งบ้านเปื้อนขี้” ลงดาบเชือดด้วยมือตัวเองอีกตระหาก
โอ้โฮ..นี่ตายด้วยคมดาบ หรือตายเพราะว่าเหม็นขี้วะเนี่ย!!
งานนี้..ภาษานักเลงเค้าเรียกว่า “เตะถาม”..หมายถึงว่า “เตะลูกน้อง” เพื่อให้กระทบชิ่งไปถึง “ลูกพี่” ว่าจะมีอะไรออกมาโชว์อีกมั้ย??
เพราะนี่คือการ “เตะตัดขา” หรือ “สกัดดาวรุ่ง” ด้วยการบีบไข่ให้หน้าเขียว..ซึ่งเป็นตำราพิชัยยุทธหน้าที่ 26..เรียกว่ายุทธการ “ท่าเขียวไข่กา” (ไม่น่าจะเกี่ยวกัน)
“ดึงผมเส้นเดียวสะเทือนไปทั้งร่าง” เมื่อ “โสภณ” โดนบี้หนักในครั้งนี้.. พรรคภูมิใจไทย ก็สะดุ้งทั้งพรรคเพราะกำลังโชว์ออฟว่าจะเป็น “พรรคใหญ่” ในเร็วๆ นี้
ภาษิตจอมยุทธกล่าวว่า อา จี ปู้ เหอ จี เหอ หัว
แปลเป็นไทยว่า “เป็ดกับไก่ไม่ร่วมฝูงกัน”
เพราะในที่สุด “เป็ด” ต้องไปทำ “พะโล้” และ “ไก่” ก็ต้องโปะอยู่ที่ “ข้าวมัน” ชั่วโมงแห่งการ “เสพสุข” ด้วยดาบที่เหน็บซ่อนไว้ได้เวลา “นับถอยหลัง” แล้วในขณนี้..“ประชาธิปัตย์” ก็ต้องโชว์ฟอร์มให้เข้าตาเรื่องความซื่อสัตย์สุจริต!!
ด้วยการถีบส่ง “ภูมิใจไทย” ให้สังคมเห็นว่า “แดกเถื่อน” ในหนังม้วนสุดท้าย
ทำเอา “คนปากห้อย” กลับลู่ห้อยยิ่งกว่าเก่า จะเย่อจงอยปากล่างขึ้นมาเพื่อรองรับน้ำลายที่ไหลเยิ้มนั้นก็ไม่อยู่ซะแล้ว..แสดงว่า “แค้นหนัก” ว้อยยย!!
คอลัมน์.ก็โลกมันเบี้ยวหนุ่ม ชิงชัย/บางกอกทูเดย์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ยกฎีกา เตือนอัยการลุกลี้ลุกลนฟ้องนปช.เสี่ยงผิดกฎหมาย
จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้
โฆษกพรรคเพื่อไทยยกคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3509/2549 ขู่อัยการกรณีเร่งรัดส่งฟ้อง 19 แกนนำและแนวร่วม นปช. ต่อศาลอาจเป็นการใช้ดุลยพินิจผิดกฎหมายได้เพราะสั่งฟ้องเร็วผิดปรกติ อาจไม่ได้พิจารณาข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานโดยครบถ้วน ซึ่งผิดไปจากหลักปฏิบัติที่เคยทำมา ระบุความรวดเร็วทำให้เกิดข้อสงสัยเรื่อง 2 มาตรฐานมากขึ้นเมื่อเทียบกับคดีพันธมิตรฯ โฆษก “มาร์ค” จี้ “ทักษิณ” ยอมรับมติศาลฎีกาไม่รับอุทธรณ์ยึดทรัพย์ ไม่เชื่อจะใช้เวทีโลกกดดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้อีก ชี้ 46,000 ล้านบาทถือว่าส่วนน้อยเพราะเชื่อว่ายังมีทรัพย์สินอยู่อีกมาก
นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย แถลงว่า ไม่เห็นด้วยกับที่อัยการส่งฟ้อง 19 แกนนำและแนวร่วมกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) แดงทั้งแผ่นดินต่อศาล โดยระบุข้อหาฐานความผิดทั้งก่อการร้าย ฝึกกำลังคน ซ่องสุมอาวุธ ใช้อาวุธทำร้ายเจ้าหน้าที่และประชาชน เพราะเป็นการโยนความผิดกรณีการเสียชีวิตของประชาชนในเหตุการณ์สลายการชุมนุมวันที่ 10 เม.ย.-19 พ.ค. 2553 ให้กลับกลุ่มผู้ต้องหา
ประชดติดคุก 10 ชาติไม่พ้นผิด
“ดูข้อกล่าวหาแล้วติดคุก 10 ชาติก็ใช้ความผิดไม่หมด เพราะเหมารวมทุกเหตุการณ์ว่าเป็นความผิดของกลุ่มผู้ต้องหา ทั้งที่ในข้อเท็จจริงพนักงานสอบสวนก็รู้ว่ายังไม่สามารถพิสูจน์ได้อย่างชัดเจนว่าเป็นการกระทำของใคร เพราะยังจับคนทำจริงๆไม่ได้ ในทางกลับกันหลายเหตุการณ์มีความชัดเจนว่าผู้ชุมนุมเสียชีวิตจากการกระทำของเจ้าหน้าที่ มีญาติของผู้เสียชีวิตกว่า 80 คนไปแจ้งความร้องทุกข์เอาไว้ทั้งที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) หรือแม้แต่ที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพื่อให้เอาผิดกับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี และผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) และผู้ที่เกี่ยวข้อง แต่คดีความในส่วนนี้ไม่มีความคืบหน้าไปไหนเลยทั้งที่เวลาผ่านมากว่า 3 เดือนแล้ว” นายพร้อมพงศ์กล่าว
เร่งคดี นปช.-ดองคดีฆ่าประชาชน
โฆษกพรรคเพื่อไทยกล่าวอีกว่า ที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องดูเหมือนจะเร่งรัดแต่คดีก่อการร้ายของบรรดาแกนนำและแนวร่วม แต่ดองคดีที่ประชาชนเสียชีวิต กระทำในลักษณะมุ่งรับใช้การเมืองมากกว่ารับใช้ประชาชน การที่อัยการส่งฟ้องแกนนำและแนวร่วม 19 คนก็เป็นเรื่องผิดปรกติเพราะใช้เวลาพิจารณาสำนวนเพียงไม่นาน และยังไม่ให้ความเป็นธรรมกับผู้ต้องหาที่ยื่นขอให้สอบพยานเพิ่มเติม
ระวังใช้ดุลยพินิจผิดกฎหมาย
“การเร่งส่งคดีฟ้องศาลสอดคล้องกับที่นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ทำหนังสือร้องขอให้อัยการเร่งรัดสั่งคดี แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าอัยการถูกการเมืองกดดัน ไม่ได้ทำงานอย่างอิสระรอบคอบ ผมอยากเตือนว่าแม้กฎหมายจะให้เป็นดุลยพินิจของอัยการว่าจะสั่งฟ้องคดีหรือไม่ แต่หากอัยการใช้ดุลยพินิจโดยบิดเบือนหรือมีวาระแอบแฝง ซ่อนเร้น ถือว่าเป็นการใช้ดุลยพินิจที่ผิดกฎหมายได้ ซึ่งศาลฎีกาได้เคยมีคำพิพากษาเป็นบรรทัดฐานไว้แล้ว ตามคำพิพากษาของศาลฎีกาที่ 3509/2549” โฆษกพรรคเพื่อไทยกล่าว
เทียบกับคดีพันธมิตรฯผิดกันมาก
นายพร้อมพงศ์ตั้งข้อสังเกตว่า การส่งฟ้องคดีของอัยการครั้งนี้เป็นไปอย่างลุกลี้ลุกลน ไม่พิจารณาข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานโดยครบถ้วน และน่าจะถูกแทรกแซงจากฝ่ายการเมือง ทำให้ประชาชนเพิ่มความสงสัยในความ 2 มาตรฐานของระบบยุติธรรมไทยมากขึ้น เพราะการปฏิบัติของอัยการในครั้งนี้ผิดไปจากหลักปฏิบัติที่เคยทำมา ยิ่งเมื่อเปรียบเทียบกับคดีของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่ถูกตั้งข้อหาก่อการร้ายเหมือนกันในคดียึดสนามบิน ซึ่งมีหลักฐานชัดแจ้งแต่กลับไม่มีความคืบหน้าของการสอบสวนและการสั่งฟ้องคดี ถือเป็นเรื่องน่าอัปยศที่กระบวนการยุติธรรมถูกใช้เป็นเครื่องมือเพื่อกำจัดคู่แข่งทางการเมืองหรือคนที่ต่อต้านรัฐบาล ซึ่งไม่เคยมียุคใดสมัยใดที่ฝ่ายการเมืองจะแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมมากขนาดนี้
จี้ “ทักษิณ” รับมติศาลฎีกา
นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เรียกร้องให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ยอมรับมติของที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาที่ไม่รับอุทธรณ์คดียึดทรัพย์เพราะเป็นเรื่องของกระบวนการยุติธรรม ไม่ควรบอกว่าถูกกลั่นแกล้งทางการเมือง
ไม่มีใครกดดันกระบวนการยุติธรรม
“พ.ต.ท.ทักษิณและบริวารกำลังเอากระบวนการยุติธรรมมาเชื่อมโยงกับเรื่องการเมือง เพื่อเรียกร้องความสนใจให้ประชาชนเห็นว่าฝ่ายตัวเองถูกกลั่นแกล้ง” นายเทพไทกล่าวและว่า คดียึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณและครอบครัวตามกฎหมายไทยถือว่าสิ้นสุดแล้ว การที่ พ.ต.ท.ทักษิณประกาศว่าจะดิ้นรนหาความเป็นธรรมจากเวทีอื่นนั้น คิดว่าไม่มีช่องทางใดที่จะมากดดันกระบวนการยุติธรรมไทยได้ พ.ต.ท.ทักษิณจึงควรยอมรับกติกาและเชื่อในกฎแห่งกรรมว่า กรรมใดใครก่อคนนั้นก็ต้องได้รับผลของกรรม
ยังมีเงินเหลือใช้ทางการเมืองอีกมาก
ส่วนกรณีที่นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย แกนนำ นปช. ออกมาระบุว่าคดียึดทรัพย์ของ พ.ต.ท.ทักษิณไม่กระทบต่อขวัญและกำลังใจของคนเสื้อแดงนั้น นายเทพไทกล่าวว่า นี่เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งที่ยึดมาได้เท่านั้น พ.ต.ท.ทักษิณยังมีเงินและทรัพย์สินอีกมากที่จะใช้บริหารจัดการทางการเมือง และการที่ พ.ต.ท.ทักษิณคุยอวดว่ามีธุรกิจในต่างประเทศจำนวนมากยิ่งทำให้คนเสื้อแดงยังมีความหวัง
จับโกหกไม่ได้เป็นท่อน้ำเลี้ยงเสื้อแดง
“46,000 ล้านที่ยึดมาได้ถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับทรัพย์สินที่มีอยู่ทั้งหมดของ พ.ต.ท.ทักษิณ การที่นายจตุพรอ้างว่าคนเสื้อแดงไม่ได้ใช้เงินของ พ.ต.ท.ทักษิณในการเคลื่อนไหว แต่ใช้ทุนจากการบริจาคและขายของที่ระลึกนั้น อยากให้ประชาชนคิดดูว่าการชุมนุมที่ต้องใช้เงินวันละกว่า 10 ล้านบาทนั้น ลำพังเพียงเงินบริจาคและเงินจากการขายของที่ระลึกจะเพียงพอหรือไม่ หากไม่มีท่อน้ำเลี้ยงจากนายใหญ่และเครือข่ายส่งให้” โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์กล่าว
**********************************************************************
โฆษกพรรคเพื่อไทยยกคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3509/2549 ขู่อัยการกรณีเร่งรัดส่งฟ้อง 19 แกนนำและแนวร่วม นปช. ต่อศาลอาจเป็นการใช้ดุลยพินิจผิดกฎหมายได้เพราะสั่งฟ้องเร็วผิดปรกติ อาจไม่ได้พิจารณาข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานโดยครบถ้วน ซึ่งผิดไปจากหลักปฏิบัติที่เคยทำมา ระบุความรวดเร็วทำให้เกิดข้อสงสัยเรื่อง 2 มาตรฐานมากขึ้นเมื่อเทียบกับคดีพันธมิตรฯ โฆษก “มาร์ค” จี้ “ทักษิณ” ยอมรับมติศาลฎีกาไม่รับอุทธรณ์ยึดทรัพย์ ไม่เชื่อจะใช้เวทีโลกกดดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้อีก ชี้ 46,000 ล้านบาทถือว่าส่วนน้อยเพราะเชื่อว่ายังมีทรัพย์สินอยู่อีกมาก
นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย แถลงว่า ไม่เห็นด้วยกับที่อัยการส่งฟ้อง 19 แกนนำและแนวร่วมกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) แดงทั้งแผ่นดินต่อศาล โดยระบุข้อหาฐานความผิดทั้งก่อการร้าย ฝึกกำลังคน ซ่องสุมอาวุธ ใช้อาวุธทำร้ายเจ้าหน้าที่และประชาชน เพราะเป็นการโยนความผิดกรณีการเสียชีวิตของประชาชนในเหตุการณ์สลายการชุมนุมวันที่ 10 เม.ย.-19 พ.ค. 2553 ให้กลับกลุ่มผู้ต้องหา
ประชดติดคุก 10 ชาติไม่พ้นผิด
“ดูข้อกล่าวหาแล้วติดคุก 10 ชาติก็ใช้ความผิดไม่หมด เพราะเหมารวมทุกเหตุการณ์ว่าเป็นความผิดของกลุ่มผู้ต้องหา ทั้งที่ในข้อเท็จจริงพนักงานสอบสวนก็รู้ว่ายังไม่สามารถพิสูจน์ได้อย่างชัดเจนว่าเป็นการกระทำของใคร เพราะยังจับคนทำจริงๆไม่ได้ ในทางกลับกันหลายเหตุการณ์มีความชัดเจนว่าผู้ชุมนุมเสียชีวิตจากการกระทำของเจ้าหน้าที่ มีญาติของผู้เสียชีวิตกว่า 80 คนไปแจ้งความร้องทุกข์เอาไว้ทั้งที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) หรือแม้แต่ที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพื่อให้เอาผิดกับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี และผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) และผู้ที่เกี่ยวข้อง แต่คดีความในส่วนนี้ไม่มีความคืบหน้าไปไหนเลยทั้งที่เวลาผ่านมากว่า 3 เดือนแล้ว” นายพร้อมพงศ์กล่าว
เร่งคดี นปช.-ดองคดีฆ่าประชาชน
โฆษกพรรคเพื่อไทยกล่าวอีกว่า ที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องดูเหมือนจะเร่งรัดแต่คดีก่อการร้ายของบรรดาแกนนำและแนวร่วม แต่ดองคดีที่ประชาชนเสียชีวิต กระทำในลักษณะมุ่งรับใช้การเมืองมากกว่ารับใช้ประชาชน การที่อัยการส่งฟ้องแกนนำและแนวร่วม 19 คนก็เป็นเรื่องผิดปรกติเพราะใช้เวลาพิจารณาสำนวนเพียงไม่นาน และยังไม่ให้ความเป็นธรรมกับผู้ต้องหาที่ยื่นขอให้สอบพยานเพิ่มเติม
ระวังใช้ดุลยพินิจผิดกฎหมาย
“การเร่งส่งคดีฟ้องศาลสอดคล้องกับที่นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ทำหนังสือร้องขอให้อัยการเร่งรัดสั่งคดี แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าอัยการถูกการเมืองกดดัน ไม่ได้ทำงานอย่างอิสระรอบคอบ ผมอยากเตือนว่าแม้กฎหมายจะให้เป็นดุลยพินิจของอัยการว่าจะสั่งฟ้องคดีหรือไม่ แต่หากอัยการใช้ดุลยพินิจโดยบิดเบือนหรือมีวาระแอบแฝง ซ่อนเร้น ถือว่าเป็นการใช้ดุลยพินิจที่ผิดกฎหมายได้ ซึ่งศาลฎีกาได้เคยมีคำพิพากษาเป็นบรรทัดฐานไว้แล้ว ตามคำพิพากษาของศาลฎีกาที่ 3509/2549” โฆษกพรรคเพื่อไทยกล่าว
เทียบกับคดีพันธมิตรฯผิดกันมาก
นายพร้อมพงศ์ตั้งข้อสังเกตว่า การส่งฟ้องคดีของอัยการครั้งนี้เป็นไปอย่างลุกลี้ลุกลน ไม่พิจารณาข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานโดยครบถ้วน และน่าจะถูกแทรกแซงจากฝ่ายการเมือง ทำให้ประชาชนเพิ่มความสงสัยในความ 2 มาตรฐานของระบบยุติธรรมไทยมากขึ้น เพราะการปฏิบัติของอัยการในครั้งนี้ผิดไปจากหลักปฏิบัติที่เคยทำมา ยิ่งเมื่อเปรียบเทียบกับคดีของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่ถูกตั้งข้อหาก่อการร้ายเหมือนกันในคดียึดสนามบิน ซึ่งมีหลักฐานชัดแจ้งแต่กลับไม่มีความคืบหน้าของการสอบสวนและการสั่งฟ้องคดี ถือเป็นเรื่องน่าอัปยศที่กระบวนการยุติธรรมถูกใช้เป็นเครื่องมือเพื่อกำจัดคู่แข่งทางการเมืองหรือคนที่ต่อต้านรัฐบาล ซึ่งไม่เคยมียุคใดสมัยใดที่ฝ่ายการเมืองจะแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมมากขนาดนี้
จี้ “ทักษิณ” รับมติศาลฎีกา
นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เรียกร้องให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ยอมรับมติของที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาที่ไม่รับอุทธรณ์คดียึดทรัพย์เพราะเป็นเรื่องของกระบวนการยุติธรรม ไม่ควรบอกว่าถูกกลั่นแกล้งทางการเมือง
ไม่มีใครกดดันกระบวนการยุติธรรม
“พ.ต.ท.ทักษิณและบริวารกำลังเอากระบวนการยุติธรรมมาเชื่อมโยงกับเรื่องการเมือง เพื่อเรียกร้องความสนใจให้ประชาชนเห็นว่าฝ่ายตัวเองถูกกลั่นแกล้ง” นายเทพไทกล่าวและว่า คดียึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณและครอบครัวตามกฎหมายไทยถือว่าสิ้นสุดแล้ว การที่ พ.ต.ท.ทักษิณประกาศว่าจะดิ้นรนหาความเป็นธรรมจากเวทีอื่นนั้น คิดว่าไม่มีช่องทางใดที่จะมากดดันกระบวนการยุติธรรมไทยได้ พ.ต.ท.ทักษิณจึงควรยอมรับกติกาและเชื่อในกฎแห่งกรรมว่า กรรมใดใครก่อคนนั้นก็ต้องได้รับผลของกรรม
ยังมีเงินเหลือใช้ทางการเมืองอีกมาก
ส่วนกรณีที่นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย แกนนำ นปช. ออกมาระบุว่าคดียึดทรัพย์ของ พ.ต.ท.ทักษิณไม่กระทบต่อขวัญและกำลังใจของคนเสื้อแดงนั้น นายเทพไทกล่าวว่า นี่เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งที่ยึดมาได้เท่านั้น พ.ต.ท.ทักษิณยังมีเงินและทรัพย์สินอีกมากที่จะใช้บริหารจัดการทางการเมือง และการที่ พ.ต.ท.ทักษิณคุยอวดว่ามีธุรกิจในต่างประเทศจำนวนมากยิ่งทำให้คนเสื้อแดงยังมีความหวัง
จับโกหกไม่ได้เป็นท่อน้ำเลี้ยงเสื้อแดง
“46,000 ล้านที่ยึดมาได้ถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับทรัพย์สินที่มีอยู่ทั้งหมดของ พ.ต.ท.ทักษิณ การที่นายจตุพรอ้างว่าคนเสื้อแดงไม่ได้ใช้เงินของ พ.ต.ท.ทักษิณในการเคลื่อนไหว แต่ใช้ทุนจากการบริจาคและขายของที่ระลึกนั้น อยากให้ประชาชนคิดดูว่าการชุมนุมที่ต้องใช้เงินวันละกว่า 10 ล้านบาทนั้น ลำพังเพียงเงินบริจาคและเงินจากการขายของที่ระลึกจะเพียงพอหรือไม่ หากไม่มีท่อน้ำเลี้ยงจากนายใหญ่และเครือข่ายส่งให้” โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์กล่าว
**********************************************************************
“เราคือคนเสื้อส้ม” : งานวิจัยด้านมานุษยวิทยา เจาะลึกวินมอเตอร์ไซค์ ระดับปริญญาเอก ของนักศึกษามหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด
จะมีคนไทยคนใดบ้างที่คิดว่านักศึกษาระดับปริญญาเอก จากมหาวิทยาลัยชื่อก้องโลก จะทำงานวิจัยในเรื่องสามัญพื้นฐานที่คนไทยมองข้ามไปดูประหนึ่งเป็นเรื่องปกติในชีวิต
แต่เคลาดิโอ โซปรานเซ็ตติ นักศึกษาระดับปริญญาเอก คณะมานุษยวิทยา แห่งมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดก็ทำมาแล้วในหัวข้อ “การเมืองเรื่องมอเตอร์ไซค์รับจ้างในประเทศไทย”
โซปรานเซตติให้สัมภาษณ์ “อัลจาซีรา”
จากบทสัมภาษณ์เขา โดย อาร์เนาด์ ดูบัส ในเว็บไซต์นวมณฑล (หรือนิวแมนเดลา)1ชี้ให้เห็นข้อมูลพื้นฐานที่น่าทึ่งของวิถีการใช้ชีวิต “ผู้เชื่อมร้อยวิถีการขนส่งมวลชน” นับล้านเที่ยวต่อวันในกรุงเทพฯ ทำให้พวกเขากลายเป็น “ผู้ขับเคลื่อน” กรุงเทพมหานคร ตัวจริงเสียงจริงอย่างปฏิเสธไปไม่ได้
หัวข้อวิจัยว่าน่าสนใจแล้ว ผลงานวิจัยที่ได้ก็น่าสนใจด้วย แต่วิธีวิทยา (methodology) ของโซปรานเซ็ตติ ในการทำงานวิจัยก็น่าทึ่งไม่แพ้กัน โดยเขาใช้เทคนิคการทำวิจัยแบบ “การสังเกตการณ์อย่างมีส่วนร่วม” คือการเข้าร่วมใช้ชีวิตคลุกคลีอย่างใกล้ชิด จนเหมือนเป็นคนกลุ่มเดียวกัน2 โดยเขาเคยได้รับเสื้อวินและขับขี่มอเตอร์ไซค์รับส่งผู้โดยสารมาแล้ว
สาเหตุของฐานเสียงที่แข็งแกร่งของ “เพื่อไทย”
โซปรานเซ็ตติพบว่า กลุ่มวินมอเตอร์ไซค์เป็นฑูตผู้เดินทางข้ามมาใช้แรงงาน “ทั้งในเมือง” และ “ในชนบท” กลับไปมา พวกเขามีโอกาสใช้ชีวิตอยู่ในสองมิติ คือทั้งในเมืองและชนบท ทำให้รับรู้สภาพความเหลื่อมล้ำต่ำสูงของ “วิถีเมือง” และ “วิถีชนบท” ได้เป็นอย่างดี
การจัดระเบียบโครงสร้างมอเตอร์ไซค์รับจ้างในกรุงเทพฯ ทำให้วงจรผู้มีอิทธิพลซึ่งคอยควบคุมวินมอเตอร์ไซค์ต้องลดน้อยลง ผู้ขับขี่มอเตอร์ไซค์รับจ้างสามารถไปลงทะเบียนและรับเสื้อกั๊กสีส้มได้ฟรีจากสำนักงานเขตทั่วกทม. แม้ในทางปฏิบัติสำหรับวินขนาดใหญ่ พวกเขายังต้องพึ่งพาผู้มีอิทธิพลประจำถิ่นอยู่บ้าง แต่สำหรับวินขนาดเล็กพวกเขาสามารถสร้างชุมชนบริหารจัดการกันเอง โดยวางพื้นฐานอยู่บนความไว้เนื้อเชื่อใจกันได้เป็นอย่างดี
ไม่แต่เพียงเท่านั้น เพราะด้วยพื้นฐานที่ผู้ประกอบอาชีพขับขี่มอเตอร์ไซค์ส่วนใหญ่มีพื้นเพมาจากอีสาน พวกเขาจึงได้รับทราบการผลิดอกออกผลของนโยบายต่าง ๆ ที่ดำเนินการโดยรัฐบาลทักษิณ ด้วยเหตุที่นโยบายและการตัดสินใจที่ถูกต้องแม่นยำ จึงทำให้พวกเขาสนับสนุนนโยบายของพรรคการเมืองที่นำหรือได้รับการสนับสนุนโดย พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร มากกว่าที่เคยถูกเชื่อกันว่าเป็นเพราะการซื้อสิทธิ์ขายเสียงเหมือนที่เคยเป็นมา
โซปรานเซ็ตติเดินทางกับเพื่อนผู้ขับขี่มอเตอร์ไซค์ไปบ้านเกิดที่อีสาน และเพื่อนคนดังกล่าวก็เล่าให้ฟังว่า มีแค่สองสิ่งเท่านั้นที่ได้รับการพัฒนาในหมู่บ้านแห่งนี้ สิ่งแรกคือ “โรงเรียน” ที่ถูกสร้างโดยนักศึกษาธรรมศาสตร์ในช่วงหลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 สิ่งที่สองคือ “ถนนแอสฟัลท์” ซึ่งสร้างด้วยเงินจากกองทุนหมู่บ้านในสมัยรัฐบาลทักษิณ
ยุทธศาสตร์แบบสัมฤทธิผลนิยม (Pragmatism)
แม้จะสนับสนุนพรรคเพื่อไทย และกลุ่มคนเสื้อแดง แต่พวกวินมอเตอร์ไซค์รับจ้างก็จะไม่พาตัวเองไปยังจุดเสี่ยง พวกเขามีกลยุทธ์ว่าจะไม่ยอมออกไปถ้าไม่ชนะ และพวกเขายังมีวิธีคิดแบบสหภาพแรงงาน คือการต่อรองผลประโยชน์กับกลุ่มวินมอเตอร์ไซค์รับจ้าง มีคนขับมอเตอร์ไซค์รายหนึ่งกล่าวกับโซปรานเซ็ตติว่า “พวกเราไม่ใช่เสื้อแดงหรือเสื้อเหลือง แต่เราคือพวกเสื้อส้ม”
ทั้งนี้โซปรานเซ็ตติยังยกตัวอย่าง การเข้าต่อรองกับเจ้าหน้าที่ทหารที่ขอให้พวกเขายุติการสนับสนุนคนเสื้อแดง ผลการต่อรองพวกวินมอเตอร์ไซค์ได้รับการช่วยเหลือให้มีการไกล่เกลี่ยข้อขัดแย้งระหว่างผู้มีอิทธิพลท้องถิ่นที่เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจกับพวกเขาลงไป เป็นการแลกเปลี่ยน
กล่าวได้ว่าคนขับมอเตอร์ไซค์รับจ้างเป็นทั้งศูนย์กลางและชายขอบของมหานครแห่งนี้ ทั้งยังเข้าสัมผัสคนแทบทุกระดับ โดยผ่านทั้งการรับส่งผู้โดยสาร และนำส่งเอกสารสำคัญในกรุงเทพฯ
ปัจจุบันมีมอเตอร์ไซค์รับจ้างราวสองแสนคันในกทม. หากแต่ละคันต้องวิ่งรับส่งผู้โดยสารราว 20 เที่ยวต่อวัน เท่ากับว่าจะมีการรับส่งผู้โดยสารประมาณ 4 ล้านเที่ยวต่อวัน กล่าวได้ว่าพวกเขาเป็นคนขับเคลื่อนชีพจรของกรุงเทพมหานครอย่างแท้จริง
บางทีการเคลื่อนขบวนครั้งใหญ่ของคนเสื้อแดงในกรุงเทพฯ เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา และมีประชาชนออกมายืนโบกไม้โบกมือต้อนรับยังสองฝั่งถนน อาจไม่ใช่ภาพลวงตา อาจไม่ใช่การจัดตั้ง
แต่นั่นเป็นเพียงยอดภูเขาน้ำแข็งของแรงงานเคลื่อนย้ายจากต่างจังหวัดที่เข้ามาใช้แรงงานในกรุงเทพจำนวนไม่ต่ำกว่า 5 ล้านคน (กรุงเทพฯมีประชากรจดทะเบียนราว 5 ล้านคน) โดยยังไม่นับรวมคนขับแท็กซี่ ผู้ประกอบอาชีพหาบเร่แผงลอยตามฟุตบาท
เมื่อขบวนการเสื้อแดงเคลื่อนไหวครั้งใด เสียงวิทยุชุมชนของคนเสื้อแดงจะดังก้องตามวินมอเตอร์ไซค์เหล่านี้ หลายครั้งที่พวกเขาเป็นกำััลังที่แข็งแกร่งให้กับขบวนการคนเสื้อแดง
พวกเขาไม่มีวันลืมว่าใครเคยให้ความช่วยเหลือ ใครให้โอกาสทางเศรษฐกิจและหลักประกันรองรับ “แรงงานนอกระบบ” ในเศรษฐกิจสีเทาของประเทศที่มีจำนวนกว่า 50% ของ GDP
แต่พวกเขาจะไม่ออกไป หากไม่ประสบชัยชนะ
เพราะพวกเขาคือ “คนเสื้อส้ม”
--------------------------------------------------------------------------------
หมายเหตุ : ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ขอเชิญร่วมรับฟังสัมมนาบัณฑิตศึกษา “เจ้าของแผนที่: มานุษยวิทยาของมอเตอร์ไซค์รับจ้างในกรุงเทพฯ” โดย เคลาดิโอ โซปรานเซ็ตติ นักศึกษาระดับปริญญาเอก จากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ประเทศสหรัฐอเมริกา
งานสัมมนาจะมีขึ้นในวันจันทร์ที่ 16 สิงหาคม เวลา 13.00-16.00 น. ณ ห้อง 708 อาคารบรมราชกุมารี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้สนใจสามารถเข้าฟังได้โดยไม่มีค่าลงทะเบียน ขอรายละเอียดเพิ่มเติมที่ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์ โทร. 0-2218-4672
ก็ขอให้เป็นจริงตามที่พูดเถอะ??
เห็น อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีไปขึ้นเวทีแกนนำพันธมิตรฯ และเครือข่ายประชาชนหัวใจรักชาติที่สนามกีฬาเวสน์ แถมเปิดให้มีการถกปัญหาเขาพระวิหารออกทีวีแล้วชื่นใจ
มีผู้นำที่เปิดอกเปิดใจยอมรับฟังความคิดความเห็นต่างของประชาชนเสียงนกเสียงกาทั้งหลายถือเป็นการดียิ่งแล้ว
อะไรไม่ว่าฝีปากคารมคมกริบไม่เสื่อมคลาย
ออกมาแสดงจุดยืนที่มั่นคงแข็งแรง...ตอนเป็นผู้นำฝ่ายค้านเคยอภิปรายเกี่ยวกับเขาพระวิหารไว้ว่าอย่างไร ตอนนี้ยังยืนยันนั่งยันไม่มีวันเปลี่ยน..ช่างน่าปลื้ม
เด็กๆ ฟังแล้วอ้าปากค้าง...ค้างเพราะเคลิ้ม ไม่ใช่เพราะน้ำลายกลายเป็นยาสลบ
จำได้ไหมเอ่ย...กับการชุมนุมเรียกร้องของประชาชน อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เคยอภิปรายในสภาไว้ว่าอย่างไร??...แล้วผลเป็นอย่างไร??
ก็อย่าให้ครั้งนี้เหมือนครั้งนั้นก็แล้วกัน ...ขืนครั้งนี้เป็นเหมือนครั้งนั้น...ถึงท่านจะทนเป็น “มาร์คทนได้”...แต่อาจถูกธิลิ้มเหยียบจมดินไม่รู้ด้วยนะ...ท่านผู้นำ!!”
....................................................................................................................................
ไทย ไทเกอร์ แอร์!!
ถือหุ้นใหญ่ 39% อยู่ในนกแอร์อยู่ดีๆ
วันนี้การบินไทยไปยื่นนิ้วเกี่ยวก้อยกับ ไทเกอร์แอร์ ของสิงคโปร์ กลายมาเป็น ไทย ไทเกอร์แอร์สายการบินโลว์คอส น้องนุชสุดท้องไปเสียแล้ว
นกแอร์ในนามของบริษัท สกายเอเชีย จำกัด ผู้ถือหุ้นทั้งหมดก็ไทยล้วน
หุ้นส่วนระหว่างคนไทยด้วยกันกลับไม่ยอมพูดจากันให้รู้เรื่อง
จะปรับกระบวนยุทธ์ในเชิงธุรกิจอย่างไรก็ว่ากันไป....ดีกว่าไปดึงเอาต่างชาติมาแย่งส่วนแบ่งการตลาดเป็นไหนๆ
นี่ขืนจัดตั้ง ไทย ไทเกอร์แอร์ ในสมัยรัฐบาลที่มีส่วนเกี่ยวพันนัวเนียกับ แม้วพลัดถิ่น พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ป่านนี้ไม่รู้จะเจอข้อหาอะไร...แต่ที่แน่ๆ เละเป็นโจ๊กตกถนนไปแล้ว??
................................................................................................................
ผบ.ตร. คนที่ 7
นึกว่าปีหน้าสำนักงานตำรวจแห่งชาติจะมีแค่รักษาการ ผบ.ตร.อีกปีเสียแล้ว
ไปๆ มาๆ ก็ได้ ผบ.ตร.ตัวจริง ผบ.ตร.คนที่ 7 ... “รองน้อย” พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี รอง ผบ.ตร. สุภาพบุรุษจากที่ราบสูง อำเภอบ้านไผ่ จังหวัดขอนแก่นเมืองดอกคูณเสียงแคน บ้านเดียวกับ อดิศร เพียงเกษ ที่วันนี้ยังไม่รู้ว่าตัวอยู่ไหนจนได้
อาวุโสสูงสุดของจำนวนนายพลตำรวจเอกทั้งหมด...แถมยังเป็นนายตำรวจสายพิราบไม่ใช่สายเหยี่ยว...อะไรๆ ก็น่าจะดีขึ้น...เรื่องจิกตีราวีฝ่ายตรงข้ามคงจะลดราวาศอกลงบ้าง
เรื่องการทำงานคงไม่น่าเป็นห่วง...เพราะฝึกงานกับเขยใหญ่ พล.ต.อ.พจน์ บุณยะจินดา อดีต อ.ตร.มาอย่างช่ำชองแล้ว
บ้านนี้มีลูกสาวแค่สองคน...เขยใหญ่หรือก็ อดีต อ.ตร....เขยเล็กหรือก็ ผบ.ตร.
ทำบุญด้วยอะไรถึงโชคดีได้ปานนี้??
.............................................................................................................................................
ลีลานักการเมือง??
อ่านทะลุปรุโปร่งแล้วว่าจะเบรกหัวทิ่มหัวตำเรื่องรถเมล์เอ็นจีวี สี่พันคันในที่ประชุม ครม.อย่างไรภูมิใจไทยก็ไม่กล้าหือกล้าอือแน่
อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จึงซัดเข้าเต็มเปาจนควันออกหู โสภณ ซารัมย์ เจ้ากระทรวงหัวกวาง
โดนหักแบบนี้เป็นพรรคอื่นถอนยวงเซย์กู๊ดบายไปนานแล้ว
แต่นี่ถ้าขืนผลีผลามแยกวงตอนนี้มีหวังท้องกิ่วเหี่ยวแห้งไม่อ้วนท้วนสมบูรณ์ตามที่วาดหวังไว้แน่
ถือคติถอยหลังเป็นหมา เดินหน้าเพื่อชาติ ทู่ซี้อยู่ต่อไปดีกว่า
ถึงอย่างไร ดอกเตอร์สามสี ไตรรงค์ สุวรรณคีรี รองนายกรัฐมนตรีก็ยื่นไมตรีเสนอจะดูแลเรื่องนี้ให้อยู่แล้ว...อะไรๆ ที่ว่ายากก็จะง่ายเข้าแล้วล่ะ
ขึ้นอยู่กับว่าจะบริหารเรื่องนี้ได้ดีแค่ไหน...การเมืองเขาว่า..หารไม่เป็น อยู่ไม่ได้นะจะบอกให้??
...........................................................................................
ถอดหัวโขน!!
ไม่รู้จะสื่ออะไร??
“บิ๊กป๊อก” พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ.ประธานรุ่นนักเรียนเตรียมทหารรุ่น 10 หลังมอบตำแหน่งให้ประธานรุ่นคนใหม่ “บิ๊กติ๊ด” พลเรือเอกกำธร พุ่มหิรัญ ผบ.ทร..รับไม้ต่อ ในงานเลี้ยงรุ่น ตท. 10 ที่หอประชุมกองทัพเรือ
ประสานักร้องนักดนตรีเก่า...คว้าไมค์ได้ร้องไปสามเพลงรวด THE WANDER OF YOU จันทร์ และ MY WAY
เหมือน “บิ๊กป๊อก” จะบอกความในผ่านเพลงจันทร์ ว่า...ทุกวันนี้อะไรๆ ก็แค่ครึ่งใจเหมือนจันทร์ครึ่งดวงนั่นแหละ
เพื่อนๆโปรดเห็นใจ...ช่วงหัวโขนอยู่บนหัวอะไรๆ ก็ต้องโลดแล่นไปตามบทของมัน
เกษียณแล้วขอรักเพื่อนให้เต็มทั้งใจ...ว่าแต่ว่า..เพื่อนๆ ให้รักป๊อกเต็มดวงใจด้วยก็แล้วกันนะ!!
..............................................................................................................
คอลัมน์. ตอดนิดตอดหน่อยใต้ฟ้า
ที่มา.บางกอกทูเดย์
*************************************************************************************************
มีผู้นำที่เปิดอกเปิดใจยอมรับฟังความคิดความเห็นต่างของประชาชนเสียงนกเสียงกาทั้งหลายถือเป็นการดียิ่งแล้ว
อะไรไม่ว่าฝีปากคารมคมกริบไม่เสื่อมคลาย
ออกมาแสดงจุดยืนที่มั่นคงแข็งแรง...ตอนเป็นผู้นำฝ่ายค้านเคยอภิปรายเกี่ยวกับเขาพระวิหารไว้ว่าอย่างไร ตอนนี้ยังยืนยันนั่งยันไม่มีวันเปลี่ยน..ช่างน่าปลื้ม
เด็กๆ ฟังแล้วอ้าปากค้าง...ค้างเพราะเคลิ้ม ไม่ใช่เพราะน้ำลายกลายเป็นยาสลบ
จำได้ไหมเอ่ย...กับการชุมนุมเรียกร้องของประชาชน อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เคยอภิปรายในสภาไว้ว่าอย่างไร??...แล้วผลเป็นอย่างไร??
ก็อย่าให้ครั้งนี้เหมือนครั้งนั้นก็แล้วกัน ...ขืนครั้งนี้เป็นเหมือนครั้งนั้น...ถึงท่านจะทนเป็น “มาร์คทนได้”...แต่อาจถูกธิลิ้มเหยียบจมดินไม่รู้ด้วยนะ...ท่านผู้นำ!!”
....................................................................................................................................
ไทย ไทเกอร์ แอร์!!
ถือหุ้นใหญ่ 39% อยู่ในนกแอร์อยู่ดีๆ
วันนี้การบินไทยไปยื่นนิ้วเกี่ยวก้อยกับ ไทเกอร์แอร์ ของสิงคโปร์ กลายมาเป็น ไทย ไทเกอร์แอร์สายการบินโลว์คอส น้องนุชสุดท้องไปเสียแล้ว
นกแอร์ในนามของบริษัท สกายเอเชีย จำกัด ผู้ถือหุ้นทั้งหมดก็ไทยล้วน
หุ้นส่วนระหว่างคนไทยด้วยกันกลับไม่ยอมพูดจากันให้รู้เรื่อง
จะปรับกระบวนยุทธ์ในเชิงธุรกิจอย่างไรก็ว่ากันไป....ดีกว่าไปดึงเอาต่างชาติมาแย่งส่วนแบ่งการตลาดเป็นไหนๆ
นี่ขืนจัดตั้ง ไทย ไทเกอร์แอร์ ในสมัยรัฐบาลที่มีส่วนเกี่ยวพันนัวเนียกับ แม้วพลัดถิ่น พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ป่านนี้ไม่รู้จะเจอข้อหาอะไร...แต่ที่แน่ๆ เละเป็นโจ๊กตกถนนไปแล้ว??
................................................................................................................
ผบ.ตร. คนที่ 7
นึกว่าปีหน้าสำนักงานตำรวจแห่งชาติจะมีแค่รักษาการ ผบ.ตร.อีกปีเสียแล้ว
ไปๆ มาๆ ก็ได้ ผบ.ตร.ตัวจริง ผบ.ตร.คนที่ 7 ... “รองน้อย” พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี รอง ผบ.ตร. สุภาพบุรุษจากที่ราบสูง อำเภอบ้านไผ่ จังหวัดขอนแก่นเมืองดอกคูณเสียงแคน บ้านเดียวกับ อดิศร เพียงเกษ ที่วันนี้ยังไม่รู้ว่าตัวอยู่ไหนจนได้
อาวุโสสูงสุดของจำนวนนายพลตำรวจเอกทั้งหมด...แถมยังเป็นนายตำรวจสายพิราบไม่ใช่สายเหยี่ยว...อะไรๆ ก็น่าจะดีขึ้น...เรื่องจิกตีราวีฝ่ายตรงข้ามคงจะลดราวาศอกลงบ้าง
เรื่องการทำงานคงไม่น่าเป็นห่วง...เพราะฝึกงานกับเขยใหญ่ พล.ต.อ.พจน์ บุณยะจินดา อดีต อ.ตร.มาอย่างช่ำชองแล้ว
บ้านนี้มีลูกสาวแค่สองคน...เขยใหญ่หรือก็ อดีต อ.ตร....เขยเล็กหรือก็ ผบ.ตร.
ทำบุญด้วยอะไรถึงโชคดีได้ปานนี้??
.............................................................................................................................................
ลีลานักการเมือง??
อ่านทะลุปรุโปร่งแล้วว่าจะเบรกหัวทิ่มหัวตำเรื่องรถเมล์เอ็นจีวี สี่พันคันในที่ประชุม ครม.อย่างไรภูมิใจไทยก็ไม่กล้าหือกล้าอือแน่
อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จึงซัดเข้าเต็มเปาจนควันออกหู โสภณ ซารัมย์ เจ้ากระทรวงหัวกวาง
โดนหักแบบนี้เป็นพรรคอื่นถอนยวงเซย์กู๊ดบายไปนานแล้ว
แต่นี่ถ้าขืนผลีผลามแยกวงตอนนี้มีหวังท้องกิ่วเหี่ยวแห้งไม่อ้วนท้วนสมบูรณ์ตามที่วาดหวังไว้แน่
ถือคติถอยหลังเป็นหมา เดินหน้าเพื่อชาติ ทู่ซี้อยู่ต่อไปดีกว่า
ถึงอย่างไร ดอกเตอร์สามสี ไตรรงค์ สุวรรณคีรี รองนายกรัฐมนตรีก็ยื่นไมตรีเสนอจะดูแลเรื่องนี้ให้อยู่แล้ว...อะไรๆ ที่ว่ายากก็จะง่ายเข้าแล้วล่ะ
ขึ้นอยู่กับว่าจะบริหารเรื่องนี้ได้ดีแค่ไหน...การเมืองเขาว่า..หารไม่เป็น อยู่ไม่ได้นะจะบอกให้??
...........................................................................................
ถอดหัวโขน!!
ไม่รู้จะสื่ออะไร??
“บิ๊กป๊อก” พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ.ประธานรุ่นนักเรียนเตรียมทหารรุ่น 10 หลังมอบตำแหน่งให้ประธานรุ่นคนใหม่ “บิ๊กติ๊ด” พลเรือเอกกำธร พุ่มหิรัญ ผบ.ทร..รับไม้ต่อ ในงานเลี้ยงรุ่น ตท. 10 ที่หอประชุมกองทัพเรือ
ประสานักร้องนักดนตรีเก่า...คว้าไมค์ได้ร้องไปสามเพลงรวด THE WANDER OF YOU จันทร์ และ MY WAY
เหมือน “บิ๊กป๊อก” จะบอกความในผ่านเพลงจันทร์ ว่า...ทุกวันนี้อะไรๆ ก็แค่ครึ่งใจเหมือนจันทร์ครึ่งดวงนั่นแหละ
เพื่อนๆโปรดเห็นใจ...ช่วงหัวโขนอยู่บนหัวอะไรๆ ก็ต้องโลดแล่นไปตามบทของมัน
เกษียณแล้วขอรักเพื่อนให้เต็มทั้งใจ...ว่าแต่ว่า..เพื่อนๆ ให้รักป๊อกเต็มดวงใจด้วยก็แล้วกันนะ!!
..............................................................................................................
คอลัมน์. ตอดนิดตอดหน่อยใต้ฟ้า
ที่มา.บางกอกทูเดย์
*************************************************************************************************
ภท.ได้งบฯ-ปชป.ได้กล่อง 285 คน 7 พรรค + 2 กบฏ โหวตงบฯ 54
ประชาชาติธุรกิจ
ปรากฏการณ์-สัญญาณความ ขัดแย้งเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ มักชัดเจน เสียงดัง และเป็น รูปธรรม ในช่วงที่ฝ่ายนิติบัญญัติพิจารณางบประมาณรายจ่ายประจำปี
แม้กระทั่งสมัยที่ไทยรักไทยเป็นรัฐบาลพรรคเดียว ก็ยังมีเสียงตะโกนจาก ส.ส.ภาคต่าง ๆ เรื่องการจัดสรรงบประมาณลงพื้นที่ แบบฝนตกไม่ทั่วฟ้า
ในยุคพรรคร่วมรัฐบาลมีตัวหาร พรรค และมี ส.ส.แปรพักตร์จากฝ่ายค้านเข้าร่วมสังฆกรรม ยิ่งทำให้การพิจารณาจัดสรรงบประมาณรายจ่าย ได้ทั่วฟ้าน้อยลง
โควตา-จำนวนเสียง-พื้นที่สำหรับเสียงโหวตงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2554 จาก 7 พรรค 285 เสียง ในฝ่ายรัฐบาล กับ 2 พรรคฝ่ายค้าน จึงถูกเรียกขานชื่อแทบทุกสัปดาห์ เพื่อทบทวน "ตารางเงิน" ในงบประมาณ
ทั้งจาก พรรคประชาธิปัตย์ 172 คน
พรรคภูมิใจไทย 32 คน
พรรคเพื่อแผ่นดิน 32 คน (รวมเสียง ที่เคยโหวตไม่ไว้วางใจ)
พรรคชาติไทยพัฒนา 25 คน
พรรครวมชาติพัฒนา 9 คน
พรรคกิจสังคม 5 คน
พรรคมาตุภูมิ 3 คน
รวมกับเสียงของ ส.ส.ที่แปรพักตร์เปลี่ยนขั้วมาจากพรรคเพื่อไทย 5 คน และจากพรรคประชาราชอีก 2 คน
พรรคร่วมรัฐบาลทั้ง 7 อาจไม่ส่งเสียงคร่ำครวญเรื่องพื้นที่ได้งบประมาณน้อย แต่สำหรับพรรคใหม่-กระแสยังไม่ติดหู แถมมีคู่ขัดแย้ง เป็นศัตรูหมายเลข 1 ของ "ทักษิณ ชินวัตร" ต้องผลักให้ "ภูมิใจไทย" ต้องดิ้นรน สร้างทั้งกระแส และเพิ่มกระสุน
ตัวเลขที่ปรากฏในตารางงบประมาณ และมติคณะรัฐมนตรีที่ "อนุมัติเพิ่ม" งบประมาณให้กระทรวงภายใต้การกำกับของพรรคภูมิใจไทย ทั้งมหาดไทย-คมนาคม-พาณิชย์-สาธารณสุข-เกษตรฯ กลายเป็น "ใบเสร็จ" ที่ชัดแจ้ง เรื่องการกระชับ "ความเหลื่อมล้ำ" ในพรรคร่วมรัฐบาล
ในขณะที่กรรมาธิการพิจารณาปรับตัวเลขงบประมาณใหม่อีก 33,449 ล้านบาท ก่อนจะมีการพิจารณางบประมาณ ในวาระ 2 และ 3 ระหว่างวันที่ 18-19 สิงหาคม
ตัวเลขไปปรากฏที่กระทรวงมหาดไทยได้รับงบฯเพิ่มมากสุด 8,970 ล้านบาท
กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น ของอธิบดี "ไพรัตน์ สกลพันธุ์" ได้จัดสรร 8,142,110,500 บาท ในนามงบพัฒนาจังหวัด และต่อท่อไปถึงการจัดสรรใน องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ในชื่อ "เงินอุดหนุนเฉพาะกิจ"
มีพื้นที่ถูกระบุไว้ใน "แผนที่-ภูมิใจไทย" อาทิ อบจ.ปทุมธานี ที่มีชื่อ-คนสีน้ำเงิน "ชาญ พวงเพ็ชร์" เป็นนายก อบจ. รวม 2 รายการ 58,170,000 บาท เพื่อสร้างโครงการสวัสดิการการเรียนรู้ และสร้างถนน
และ อบจ.พะเยา อีก 15 โครงการ อาทิ "สร้างถนนคอนกรีตเสริมเหล็ก" มูลค่า 2,457 ล้านบาท แบ่งเป็น 8 โครงการ อยู่ในพื้นที่ อ.ดอกคำใต้ เพื่อทดสอบ-โน้มน้าวจิตใจคนในตระกูล "ตันบรรจง" แห่งพรรคเพื่อไทย
ในภาคกลาง เน้นลงที่ อบจ.ลพบุรี ของนายก อบจ.ชื่อ "สุบรรณ จิระพันธุ์วาณิช" หนึ่งในสมาชิกพรรคภูมิใจไทย ได้รับจัดสรร "ปรับปรุงถนนลาดยางผิวถนน" 14 โครงการ มูลค่า 304 ล้านบาท
ภาคเหนือติดอีสาน อย่าง อบจ.เลย ผ่านการพิจารณา 10 โครงการ มูลค่า 163 ล้านบาท อบจ.ศรีสะเกษได้ไป 82 ล้านบาท
ย่านอีสานใต้ ที่ อบจ.สุรินทร์ พื้นที่สีน้ำเงิน ของอาจารย์ใหญ่-เนวิน ชิดชอบ ได้รับการจัดสรร-ในตาราง 9 โครงการ วงเงิน 140 ล้านบาท ส่วน "นอกตารางงบฯ" จะพิจารณาในภายหลัง
นอกจากนั้น ก็มี อบจ.สายประชาธิปัตย์ อาทิ อบจ.ชุมพร, สุราษฎร์ธานี, กระบี่, ยะลา, อุบลราชธานี ที่ถูกอนุมัติ แต่อยู่ในระดับตัวเลขไม่เกิน 100 ล้านบาท
พวกพื้นที่สีแดง ได้รับการจัดสรรพอเป็นกระสาย อาทิ อบจ.เชียงราย ได้รับ 10 ล้านบาท อบจ.นครพนม 17 ล้านบาท และ อบจ.นครราชสีมา พื้นที่ของ พรรคเพื่อแผ่นดิน และรวมชาติพัฒนา ได้รับ 13 ล้านบาท
ส่วนพื้นที่แดงแท้ อย่างเชียงใหม่, ชลบุรี, เชียงราย, อุดรธานี ไม่มีรายการในตารางงบประมาณ
ตัวแทนจากปีกขวา "ภูมิใจไทย" นาง พรทิวา นาคาศัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ แบ่งรับ-แบ่งสู้ในภาวะ "ร่วมกันเดิน-แยกกันตี" กับพรรคประชาธิปัตย์
เธอบอกว่า "เรื่องงบประมาณ ถ้าถามว่า งบประมาณมาพรรคภูมิใจไทยไม่น้อย ไม่จริงล่ะมั้ง เพราะกระทรวงพาณิชย์ยังโดนตัดยุบตัดยับ กว่าจะได้..."
ตัวแทน-สาย สมศักดิ์ เทพสุทิน ในฐานะคนในพรรคร่วม ชี้แจงว่า "จริง ๆ ทุก ๆ พรรคก็อาจจะเหมือน ๆ กัน เพียงแต่ฝ่ายค้านอาจจะบอกว่า โหย...ไปลงของพรรคภูมิใจไทยเยอะ ความจริงเป็นเพราะพรรคภูมิใจไทยดูกระทรวง เช่น คมนาคม มันหนัก ๆ ทั้งนั้นเลยนะ ถนนทำทีหนึ่ง ไม่ใช่หลักหมื่นบาท แต่เป็นล้านเลย นอกจากกระทรวงคมนาคม ก็มีกระทรวงมหาดไทย มันทั้งประเทศเลยล่ะ หรือแม้แต่พาณิชย์ ซึ่งพาณิชย์ไม่ได้อยู่ในเป้า เพราะไม่ได้เยอะอยู่แล้ว"
คำชี้แจงของจำเลยพรรคร่วมคือ "แม้ตรงนี้ดูเหมือนเยอะ แต่มันเป็นภารกิจงาน แต่จริง ๆ ไม่ได้เยอะ เพราะไอ้โน่นก็ตัด ไอ้นี่ก็ตัด ไม่ได้เยอะเท่าไหร่หรอก เพราะถ้าเยอะจริง ก็ต้องเยอะกว่านี้"
คำมั่นสัญญาในการโหวตวาระสำคัญ จึงถูกประกาศล่วงหน้าจากปาก"พรทิวา" ว่า
"ความสัมพันธ์ระหว่างพรรคประชาธิปัตย์กับพรรคภูมิใจไทย ไม่ได้มีปัญหาอะไร และเรื่องการโหวตงบประมาณ ทางพรรคภูมิใจไทยก็ช่วยดูอยู่แล้วว่า ให้เป็นไปในแนวทางที่เราพร้อมให้ความสนับสนุนเรื่องงบประมาณให้ผ่าน เพื่อว่าจะได้จบตรงนี้ เงินจะได้ออกมาพัฒนาบริหารประเทศ"
เธอหัวเราะ เมื่อถูกถามว่า พรรค ประชาธิปัตย์ได้งบประมาณมากอย่างมีนัยสำคัญหรือไม่ ก่อนจะตอบว่า
"ไม่รู้เหมือนกัน...เพราะเขาดูหลายกระทรวงมั้ง มันก็เลยดูเหมือนเยอะ"
ความเคลื่อนไหวทางการเมือง-จังหวะขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจมหภาค ที่แกนนำพรรคประชาธิปัตย์ลงไปล้วงลูก เช่น โครงการด้านคมนาคม หลายหมื่นล้าน "พรทิวา-นักเลงจากค่ายภูมิใจไทย" ไม่ถือสา
เธอวิเคราะห์ว่า แม้ว่าพรรคประชาธิปัตย์จะนำเสนอผ่านคณะรัฐมนตรี แต่...
"ถึงอย่างไร ก็ต้องผ่านกระทรวงคมนาคม อันนี้ต้องถามเจ้ากระทรวงคมนาคม ว่าท่านเป็นยังไง ท่านรู้สึกยังไง หรือแม้กระทั่งเรื่องการบินไทยกับไทย ไทเกอร์แอร์ ก็เป็นมุมมอง...ถ้าพูดอย่าง การค้านะ เขาก็บอกว่า เป็นเรื่องการแชร์ส่วนแบ่งตลาดมาเพิ่มมากขึ้นเนี่ย มันก็ไม่ผิด แต่ถามว่า มันถูกไหม ที่แอร์ไลน์ที่เป็นอันดับหนึ่งลงไปเล่นเอง"
พรทิวาแย้งจากมุมน้ำเงินว่า "ขณะที่ในส่วนนกแอร์ ทำไมไม่มาทำให้มันดีก่อน เขาก็มองว่า คนละตลาด ก็ถูก...ก็ไม่ได้พูดผิด มันอยู่ที่คิดแบบไหน คิดทางไหน แต่ถ้ามองว่า เจ้ากระทรวงยังไม่รู้...ในทางการทำงาน มันก็แปลก ๆ นะคะ"
ในฐานะที่อยู่คนละปีก แม้พรรคเดียวกัน "พรทิวา" ชี้โพรงว่า ต้องเปิดปาก "โสภณ ซารัมย์" ในฐานะเจ้ากระทรวงคมนาคม สายตรงอาจารย์ใหญ่-เนวิน
ปรากฏการณ์ความขัดแย้ง-ยื้อแย่งในตารางงบประมาณ สะท้อนภาพการเมืองเก่าในพรรคการเมืองน้องใหม่ วัย 1 ขวบ กับพรรคแก่-อาวุโส 64 ปี
ทั้ง 2 พรรค ยังคงอยู่ในครรลอง ร่วมกันเดิน-แยกกันตี
*****************************************************************************
ปรากฏการณ์-สัญญาณความ ขัดแย้งเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ มักชัดเจน เสียงดัง และเป็น รูปธรรม ในช่วงที่ฝ่ายนิติบัญญัติพิจารณางบประมาณรายจ่ายประจำปี
แม้กระทั่งสมัยที่ไทยรักไทยเป็นรัฐบาลพรรคเดียว ก็ยังมีเสียงตะโกนจาก ส.ส.ภาคต่าง ๆ เรื่องการจัดสรรงบประมาณลงพื้นที่ แบบฝนตกไม่ทั่วฟ้า
ในยุคพรรคร่วมรัฐบาลมีตัวหาร พรรค และมี ส.ส.แปรพักตร์จากฝ่ายค้านเข้าร่วมสังฆกรรม ยิ่งทำให้การพิจารณาจัดสรรงบประมาณรายจ่าย ได้ทั่วฟ้าน้อยลง
โควตา-จำนวนเสียง-พื้นที่สำหรับเสียงโหวตงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2554 จาก 7 พรรค 285 เสียง ในฝ่ายรัฐบาล กับ 2 พรรคฝ่ายค้าน จึงถูกเรียกขานชื่อแทบทุกสัปดาห์ เพื่อทบทวน "ตารางเงิน" ในงบประมาณ
ทั้งจาก พรรคประชาธิปัตย์ 172 คน
พรรคภูมิใจไทย 32 คน
พรรคเพื่อแผ่นดิน 32 คน (รวมเสียง ที่เคยโหวตไม่ไว้วางใจ)
พรรคชาติไทยพัฒนา 25 คน
พรรครวมชาติพัฒนา 9 คน
พรรคกิจสังคม 5 คน
พรรคมาตุภูมิ 3 คน
รวมกับเสียงของ ส.ส.ที่แปรพักตร์เปลี่ยนขั้วมาจากพรรคเพื่อไทย 5 คน และจากพรรคประชาราชอีก 2 คน
พรรคร่วมรัฐบาลทั้ง 7 อาจไม่ส่งเสียงคร่ำครวญเรื่องพื้นที่ได้งบประมาณน้อย แต่สำหรับพรรคใหม่-กระแสยังไม่ติดหู แถมมีคู่ขัดแย้ง เป็นศัตรูหมายเลข 1 ของ "ทักษิณ ชินวัตร" ต้องผลักให้ "ภูมิใจไทย" ต้องดิ้นรน สร้างทั้งกระแส และเพิ่มกระสุน
ตัวเลขที่ปรากฏในตารางงบประมาณ และมติคณะรัฐมนตรีที่ "อนุมัติเพิ่ม" งบประมาณให้กระทรวงภายใต้การกำกับของพรรคภูมิใจไทย ทั้งมหาดไทย-คมนาคม-พาณิชย์-สาธารณสุข-เกษตรฯ กลายเป็น "ใบเสร็จ" ที่ชัดแจ้ง เรื่องการกระชับ "ความเหลื่อมล้ำ" ในพรรคร่วมรัฐบาล
ในขณะที่กรรมาธิการพิจารณาปรับตัวเลขงบประมาณใหม่อีก 33,449 ล้านบาท ก่อนจะมีการพิจารณางบประมาณ ในวาระ 2 และ 3 ระหว่างวันที่ 18-19 สิงหาคม
ตัวเลขไปปรากฏที่กระทรวงมหาดไทยได้รับงบฯเพิ่มมากสุด 8,970 ล้านบาท
กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น ของอธิบดี "ไพรัตน์ สกลพันธุ์" ได้จัดสรร 8,142,110,500 บาท ในนามงบพัฒนาจังหวัด และต่อท่อไปถึงการจัดสรรใน องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ในชื่อ "เงินอุดหนุนเฉพาะกิจ"
มีพื้นที่ถูกระบุไว้ใน "แผนที่-ภูมิใจไทย" อาทิ อบจ.ปทุมธานี ที่มีชื่อ-คนสีน้ำเงิน "ชาญ พวงเพ็ชร์" เป็นนายก อบจ. รวม 2 รายการ 58,170,000 บาท เพื่อสร้างโครงการสวัสดิการการเรียนรู้ และสร้างถนน
และ อบจ.พะเยา อีก 15 โครงการ อาทิ "สร้างถนนคอนกรีตเสริมเหล็ก" มูลค่า 2,457 ล้านบาท แบ่งเป็น 8 โครงการ อยู่ในพื้นที่ อ.ดอกคำใต้ เพื่อทดสอบ-โน้มน้าวจิตใจคนในตระกูล "ตันบรรจง" แห่งพรรคเพื่อไทย
ในภาคกลาง เน้นลงที่ อบจ.ลพบุรี ของนายก อบจ.ชื่อ "สุบรรณ จิระพันธุ์วาณิช" หนึ่งในสมาชิกพรรคภูมิใจไทย ได้รับจัดสรร "ปรับปรุงถนนลาดยางผิวถนน" 14 โครงการ มูลค่า 304 ล้านบาท
ภาคเหนือติดอีสาน อย่าง อบจ.เลย ผ่านการพิจารณา 10 โครงการ มูลค่า 163 ล้านบาท อบจ.ศรีสะเกษได้ไป 82 ล้านบาท
ย่านอีสานใต้ ที่ อบจ.สุรินทร์ พื้นที่สีน้ำเงิน ของอาจารย์ใหญ่-เนวิน ชิดชอบ ได้รับการจัดสรร-ในตาราง 9 โครงการ วงเงิน 140 ล้านบาท ส่วน "นอกตารางงบฯ" จะพิจารณาในภายหลัง
นอกจากนั้น ก็มี อบจ.สายประชาธิปัตย์ อาทิ อบจ.ชุมพร, สุราษฎร์ธานี, กระบี่, ยะลา, อุบลราชธานี ที่ถูกอนุมัติ แต่อยู่ในระดับตัวเลขไม่เกิน 100 ล้านบาท
พวกพื้นที่สีแดง ได้รับการจัดสรรพอเป็นกระสาย อาทิ อบจ.เชียงราย ได้รับ 10 ล้านบาท อบจ.นครพนม 17 ล้านบาท และ อบจ.นครราชสีมา พื้นที่ของ พรรคเพื่อแผ่นดิน และรวมชาติพัฒนา ได้รับ 13 ล้านบาท
ส่วนพื้นที่แดงแท้ อย่างเชียงใหม่, ชลบุรี, เชียงราย, อุดรธานี ไม่มีรายการในตารางงบประมาณ
ตัวแทนจากปีกขวา "ภูมิใจไทย" นาง พรทิวา นาคาศัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ แบ่งรับ-แบ่งสู้ในภาวะ "ร่วมกันเดิน-แยกกันตี" กับพรรคประชาธิปัตย์
เธอบอกว่า "เรื่องงบประมาณ ถ้าถามว่า งบประมาณมาพรรคภูมิใจไทยไม่น้อย ไม่จริงล่ะมั้ง เพราะกระทรวงพาณิชย์ยังโดนตัดยุบตัดยับ กว่าจะได้..."
ตัวแทน-สาย สมศักดิ์ เทพสุทิน ในฐานะคนในพรรคร่วม ชี้แจงว่า "จริง ๆ ทุก ๆ พรรคก็อาจจะเหมือน ๆ กัน เพียงแต่ฝ่ายค้านอาจจะบอกว่า โหย...ไปลงของพรรคภูมิใจไทยเยอะ ความจริงเป็นเพราะพรรคภูมิใจไทยดูกระทรวง เช่น คมนาคม มันหนัก ๆ ทั้งนั้นเลยนะ ถนนทำทีหนึ่ง ไม่ใช่หลักหมื่นบาท แต่เป็นล้านเลย นอกจากกระทรวงคมนาคม ก็มีกระทรวงมหาดไทย มันทั้งประเทศเลยล่ะ หรือแม้แต่พาณิชย์ ซึ่งพาณิชย์ไม่ได้อยู่ในเป้า เพราะไม่ได้เยอะอยู่แล้ว"
คำชี้แจงของจำเลยพรรคร่วมคือ "แม้ตรงนี้ดูเหมือนเยอะ แต่มันเป็นภารกิจงาน แต่จริง ๆ ไม่ได้เยอะ เพราะไอ้โน่นก็ตัด ไอ้นี่ก็ตัด ไม่ได้เยอะเท่าไหร่หรอก เพราะถ้าเยอะจริง ก็ต้องเยอะกว่านี้"
คำมั่นสัญญาในการโหวตวาระสำคัญ จึงถูกประกาศล่วงหน้าจากปาก"พรทิวา" ว่า
"ความสัมพันธ์ระหว่างพรรคประชาธิปัตย์กับพรรคภูมิใจไทย ไม่ได้มีปัญหาอะไร และเรื่องการโหวตงบประมาณ ทางพรรคภูมิใจไทยก็ช่วยดูอยู่แล้วว่า ให้เป็นไปในแนวทางที่เราพร้อมให้ความสนับสนุนเรื่องงบประมาณให้ผ่าน เพื่อว่าจะได้จบตรงนี้ เงินจะได้ออกมาพัฒนาบริหารประเทศ"
เธอหัวเราะ เมื่อถูกถามว่า พรรค ประชาธิปัตย์ได้งบประมาณมากอย่างมีนัยสำคัญหรือไม่ ก่อนจะตอบว่า
"ไม่รู้เหมือนกัน...เพราะเขาดูหลายกระทรวงมั้ง มันก็เลยดูเหมือนเยอะ"
ความเคลื่อนไหวทางการเมือง-จังหวะขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจมหภาค ที่แกนนำพรรคประชาธิปัตย์ลงไปล้วงลูก เช่น โครงการด้านคมนาคม หลายหมื่นล้าน "พรทิวา-นักเลงจากค่ายภูมิใจไทย" ไม่ถือสา
เธอวิเคราะห์ว่า แม้ว่าพรรคประชาธิปัตย์จะนำเสนอผ่านคณะรัฐมนตรี แต่...
"ถึงอย่างไร ก็ต้องผ่านกระทรวงคมนาคม อันนี้ต้องถามเจ้ากระทรวงคมนาคม ว่าท่านเป็นยังไง ท่านรู้สึกยังไง หรือแม้กระทั่งเรื่องการบินไทยกับไทย ไทเกอร์แอร์ ก็เป็นมุมมอง...ถ้าพูดอย่าง การค้านะ เขาก็บอกว่า เป็นเรื่องการแชร์ส่วนแบ่งตลาดมาเพิ่มมากขึ้นเนี่ย มันก็ไม่ผิด แต่ถามว่า มันถูกไหม ที่แอร์ไลน์ที่เป็นอันดับหนึ่งลงไปเล่นเอง"
พรทิวาแย้งจากมุมน้ำเงินว่า "ขณะที่ในส่วนนกแอร์ ทำไมไม่มาทำให้มันดีก่อน เขาก็มองว่า คนละตลาด ก็ถูก...ก็ไม่ได้พูดผิด มันอยู่ที่คิดแบบไหน คิดทางไหน แต่ถ้ามองว่า เจ้ากระทรวงยังไม่รู้...ในทางการทำงาน มันก็แปลก ๆ นะคะ"
ในฐานะที่อยู่คนละปีก แม้พรรคเดียวกัน "พรทิวา" ชี้โพรงว่า ต้องเปิดปาก "โสภณ ซารัมย์" ในฐานะเจ้ากระทรวงคมนาคม สายตรงอาจารย์ใหญ่-เนวิน
ปรากฏการณ์ความขัดแย้ง-ยื้อแย่งในตารางงบประมาณ สะท้อนภาพการเมืองเก่าในพรรคการเมืองน้องใหม่ วัย 1 ขวบ กับพรรคแก่-อาวุโส 64 ปี
ทั้ง 2 พรรค ยังคงอยู่ในครรลอง ร่วมกันเดิน-แยกกันตี
*****************************************************************************
เจาะคอนเนกชั่นลึกพล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ผบ.ตร.ป้ายแดง กรรมการ 3 บ.ยักษ์-โยงผู้บริจาคเงิน ปชป.
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายตำรวจแห่งชาติ (กตช.) ที่มีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เป็นประธานเมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2553 ได้มีมติด้วยคะแนน 8 ต่อ 0 เสียง เลือก พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี รอง ผบ.ตร.ที่มีความอาวุโส ขึ้นดำรงตำแหน่ง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ คนใหม่แทนพล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ จเรตำรวจแห่งชาติ ในฐานะรักษาราชการแทนผบ.ตร. (รรท.ผบ.ตร.) ที่จะเกษียณอายุราชการลงในวันที่ 1 ตุลาคมนี้
แม้ว่าเส้นทางรับราชการตำรวจของ ผบ.ตร.ป้ายแดงผู้นี้อาจไม่โลดโผน ถ้าเทียบกับ ผบ.ตร.บางคนในอดีต แต่คอนเนกชั่นทางการเมืองและธุรกิจเป็นอย่างไร?
น่าสนใจ
"ทีมข่าวเจาะ"ตรวจสอบพบว่า พล.ต.อ.วิเชียร เป็นกรรมการบริษัท 3 แห่ง
1.บริษัท เอเชียน อินซูเลเตอร์ จำกัด (มหาชน)
2.บริษัท แปซิฟิกไพพ์ จำกัด (มหาชน)
3.บริษัท วนชัย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)
แต่ละแห่งอู้ฟู่ไม่ธรรมดา
บริษัท เอเชียน อินซูเลเตอร์ จำกัด (มหาชน) มีกลุ่มนายณรงค์ ธารีรัตนาวิบูลย์ เป็นเจ้าของ ประกอบธุรกิจค้าลูกถ้วยไฟฟ้า จดทะเบียนวันที่ 19 มีนาคม 2547 ทุนปัจจุบัน 500 ล้านบาท ที่ตั้งเลขที่ 254 ถนนเสรีไทย แขวงคันนายาว เขตคันนายาว กรุงเทพฯ นายณรงค์ ธารีรัตนาวิบูลย์ นายธนิตย์ ธารีรัตนาวิบูลย์ นายโกวิท ธารีรัตนาวิบูลย์ นายประยูร จินดาประดิษฐ์ พลต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี และนางพรอนงค์ บุษราตระกูล เป็นกรรมการ
ผลประกอบการปี 2552 รายได้ 671.5 ล้านบาท กำไรสุทธิ 129.8 ล้านบาท
บริษัท วนชัย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กลุ่มนายสมภพ สหวัฒน์ ถือหุ้นใหญ่ ประกอบธุรกิจ ผลิตและจำหน่ายแผ่นไม้ MDF จดทะเบียนเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2537 ทุน 1,425,839,127 บาท ที่ตั้งเลขที่ 2/1 ถนนพิบูลสงคราม แขวงบางซื่อ เขตบางซื่อ กรุงเทพฯ
มีกรรมการบริษัทนอกจากตระกูลสหวัฒน์ ได้แก่ นายสมภพ สหวัฒน์ นายภัทท สหวัฒน์ น.ส.ภัทรา สหวัฒน์ นายสมประสงค์ สหวัฒน์ นายวสันต์ เจริญนวรัตน์ นายวรรธนะ เจริญนวรัตน์ นายสืบตระกูล สุนทรธรรม นายสุเทพ ชัยพัฒนวณิช นายนิรันดร์ สันติภิรมย์กุล น.ส. ยุพาพร บุญเกตุ ยังมี นายนิพนธ์ วิสิษฐยุทธศาสตร์ ส.ส.สัดส่วน พรรคประชาธิปัตย์ (ใกล้ชิดชวน หลีกภัย) พล.ต.อ.สุนทร ซ้ายขวัญ สมาชิกวุฒิสภา พล.อ.วิชิต ยาทิพย์ (คนใกล้ชิดพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ) นายไกรทิพย์ ไกรฤกษ์
ผลประกอบการปี 2552 รายได้ 2,739.6 ล้านบาท กำไรสุทธิ 135.4 ล้านบาท
บริษัท แปซิฟิกไพพ์ จำกัด (มหาชน) ประกอบกิจการค้าท่อเหล็ก จดทะเบียนวันที่ 17 มีนาคม 2547 ทุน 660 ล้านบาท ที่ตั้งเลขที่ 298 ซอยกลับเจริญ ถนนสุขสวัสดิ์ ตำบลปากคลองบางปลากด อำเภอพระสมุทรเจดีย์ จังหวัดสมุทรปราการ นายประยูร เลขะพจน์พานิช นายสมชัย เลขะพจน์พานิช และนายวิชัย เลขะพจน์พานิช ถือหุ้นใหญ่ มีนาย สมชัย เลขะพจน์พานิช น.ส.วิริยา อัมพรนภากุล นายสมเกียรติ จิตรวุฒิโชติ นายสุรินทร์ วรรณเพ็ญสกุล นายสมชาย หาญหิรัญ นายเกรียงไกร รักษ์กุลชน นายวิชัย เลขะพจน์พานิช น.ส.ปิยะนุส ชัยขจรวัฒน์ น.ส.สุนิสา ขวัญบุญบำเพ็ญ และนายนันทวัฒน์ สถิรไชยวิทย์ เป็นกรรมการ
ผลประกอบการปี 2552 รายได้ 3,253.5 ล้านบาท กำไรสุทธิ 115.1 ล้านบาท
จากการตรวจสอบพบว่า บริษัท เอเชียน อินซูเลเตอร์ จำกัด (มหาชน) ใกล้ชิดกับนักการเมืองพรรคประชาธิปัตย์ เคยเป็นผู้บริจาคเงินให้พรรคประชาธิปัตย์ ในช่วงปี 2543 จำนวน 1.3 ล้านบาท
นอกจากนี้ยังเป็นคู่ค้ากับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) และการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) ในช่วง 2 ปีหลังประมาณ 200 ล้านบาท
**************************************************************************
ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายตำรวจแห่งชาติ (กตช.) ที่มีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เป็นประธานเมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2553 ได้มีมติด้วยคะแนน 8 ต่อ 0 เสียง เลือก พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี รอง ผบ.ตร.ที่มีความอาวุโส ขึ้นดำรงตำแหน่ง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ คนใหม่แทนพล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ จเรตำรวจแห่งชาติ ในฐานะรักษาราชการแทนผบ.ตร. (รรท.ผบ.ตร.) ที่จะเกษียณอายุราชการลงในวันที่ 1 ตุลาคมนี้
แม้ว่าเส้นทางรับราชการตำรวจของ ผบ.ตร.ป้ายแดงผู้นี้อาจไม่โลดโผน ถ้าเทียบกับ ผบ.ตร.บางคนในอดีต แต่คอนเนกชั่นทางการเมืองและธุรกิจเป็นอย่างไร?
น่าสนใจ
"ทีมข่าวเจาะ"ตรวจสอบพบว่า พล.ต.อ.วิเชียร เป็นกรรมการบริษัท 3 แห่ง
1.บริษัท เอเชียน อินซูเลเตอร์ จำกัด (มหาชน)
2.บริษัท แปซิฟิกไพพ์ จำกัด (มหาชน)
3.บริษัท วนชัย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)
แต่ละแห่งอู้ฟู่ไม่ธรรมดา
บริษัท เอเชียน อินซูเลเตอร์ จำกัด (มหาชน) มีกลุ่มนายณรงค์ ธารีรัตนาวิบูลย์ เป็นเจ้าของ ประกอบธุรกิจค้าลูกถ้วยไฟฟ้า จดทะเบียนวันที่ 19 มีนาคม 2547 ทุนปัจจุบัน 500 ล้านบาท ที่ตั้งเลขที่ 254 ถนนเสรีไทย แขวงคันนายาว เขตคันนายาว กรุงเทพฯ นายณรงค์ ธารีรัตนาวิบูลย์ นายธนิตย์ ธารีรัตนาวิบูลย์ นายโกวิท ธารีรัตนาวิบูลย์ นายประยูร จินดาประดิษฐ์ พลต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี และนางพรอนงค์ บุษราตระกูล เป็นกรรมการ
ผลประกอบการปี 2552 รายได้ 671.5 ล้านบาท กำไรสุทธิ 129.8 ล้านบาท
บริษัท วนชัย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กลุ่มนายสมภพ สหวัฒน์ ถือหุ้นใหญ่ ประกอบธุรกิจ ผลิตและจำหน่ายแผ่นไม้ MDF จดทะเบียนเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2537 ทุน 1,425,839,127 บาท ที่ตั้งเลขที่ 2/1 ถนนพิบูลสงคราม แขวงบางซื่อ เขตบางซื่อ กรุงเทพฯ
มีกรรมการบริษัทนอกจากตระกูลสหวัฒน์ ได้แก่ นายสมภพ สหวัฒน์ นายภัทท สหวัฒน์ น.ส.ภัทรา สหวัฒน์ นายสมประสงค์ สหวัฒน์ นายวสันต์ เจริญนวรัตน์ นายวรรธนะ เจริญนวรัตน์ นายสืบตระกูล สุนทรธรรม นายสุเทพ ชัยพัฒนวณิช นายนิรันดร์ สันติภิรมย์กุล น.ส. ยุพาพร บุญเกตุ ยังมี นายนิพนธ์ วิสิษฐยุทธศาสตร์ ส.ส.สัดส่วน พรรคประชาธิปัตย์ (ใกล้ชิดชวน หลีกภัย) พล.ต.อ.สุนทร ซ้ายขวัญ สมาชิกวุฒิสภา พล.อ.วิชิต ยาทิพย์ (คนใกล้ชิดพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ) นายไกรทิพย์ ไกรฤกษ์
ผลประกอบการปี 2552 รายได้ 2,739.6 ล้านบาท กำไรสุทธิ 135.4 ล้านบาท
บริษัท แปซิฟิกไพพ์ จำกัด (มหาชน) ประกอบกิจการค้าท่อเหล็ก จดทะเบียนวันที่ 17 มีนาคม 2547 ทุน 660 ล้านบาท ที่ตั้งเลขที่ 298 ซอยกลับเจริญ ถนนสุขสวัสดิ์ ตำบลปากคลองบางปลากด อำเภอพระสมุทรเจดีย์ จังหวัดสมุทรปราการ นายประยูร เลขะพจน์พานิช นายสมชัย เลขะพจน์พานิช และนายวิชัย เลขะพจน์พานิช ถือหุ้นใหญ่ มีนาย สมชัย เลขะพจน์พานิช น.ส.วิริยา อัมพรนภากุล นายสมเกียรติ จิตรวุฒิโชติ นายสุรินทร์ วรรณเพ็ญสกุล นายสมชาย หาญหิรัญ นายเกรียงไกร รักษ์กุลชน นายวิชัย เลขะพจน์พานิช น.ส.ปิยะนุส ชัยขจรวัฒน์ น.ส.สุนิสา ขวัญบุญบำเพ็ญ และนายนันทวัฒน์ สถิรไชยวิทย์ เป็นกรรมการ
ผลประกอบการปี 2552 รายได้ 3,253.5 ล้านบาท กำไรสุทธิ 115.1 ล้านบาท
จากการตรวจสอบพบว่า บริษัท เอเชียน อินซูเลเตอร์ จำกัด (มหาชน) ใกล้ชิดกับนักการเมืองพรรคประชาธิปัตย์ เคยเป็นผู้บริจาคเงินให้พรรคประชาธิปัตย์ ในช่วงปี 2543 จำนวน 1.3 ล้านบาท
นอกจากนี้ยังเป็นคู่ค้ากับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) และการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) ในช่วง 2 ปีหลังประมาณ 200 ล้านบาท
**************************************************************************
วันพฤหัสบดีที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2553
ความอยุติธรรม
โดย หนังสือพิมพ์โลกวันนี้รายวัน
นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย และแกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) แดงทั้งแผ่นดิน มอบหมายให้ทนายความไปพบอัยการสูงสุดเพื่อร้องขอความเป็นธรรมกรณีนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ยื่นหนังสือให้อัยการเร่งรัดสั่งคดีกับแกนนำ นปช. ซึ่งจะครบอำนาจฝากขังตาม พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน 84 วัน ในวันที่ 7 กันยายนนั้น อาจจะฟ้องให้ดำเนินคดีการแทรกแซงอัยการสูงสุด
และในสัปดาห์หน้าจะตั้งกระทู้ถามนายพีระพันธุ์ในเรื่องนี้เช่นกัน รวมถึงกรณีจุดที่มีการยิง พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล ที่มีข่าวว่าอยู่บริเวณโรงแรมของแม่ยายนายพีระพันธุ์ ทั้งยังมีข่าวการใช้งบราชการลับผ่านกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ไปยังอัยการบางคนเพื่อให้เร่งดำเนินคดีกับแกนนำ นปช. ซึ่งที่ผ่านมาก็ไม่เคยมีรัฐมนตรีคนใดมีพฤติกรรมเช่นนี้
กรณีนายพีระพันธุ์มีหนังสือไปยังอัยการเพื่อเร่งรัดคดีแกนนำ นปช. ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม ก็ยากที่จะปฏิเสธได้ว่าเป็นการกระทำที่ไม่สมควรและน่าตำหนิอย่างยิ่ง ส่วนจะมีผลต่อการฟ้องแกนนำ นปช. หรือไม่นั้น ฝ่ายอัยการเองก็ต้องอึดอัดใจ เพราะอัยการเป็นหน่วยงานอิสระเช่นเดียวกับศาล
แม้แต่ดีเอสไอซึ่งมีฐานะเป็นพนักงานสอบสวน หากยังอยู่ภายใต้การกำกับของฝ่ายการเมืองก็ยากจะพ้นข้อครหาเป็นเครื่องมือทางการเมืองได้ เหมือนการทำงานของดีเอสไอขณะนี้ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากถึงความไม่เป็นธรรมและไม่โปร่งใส ขณะที่อธิบดีดีเอสไอยังก็เป็นกรรมการศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) มีบทบาทสำคัญในการกล่าวหาและจับกุมคนเสื้อแดง
เรื่องของกระบวนการยุติธรรมจึงเป็นประเด็นหรือปัญหาสำคัญของบ้านเมือง ซึ่งที่ผ่านมากรณีตุลาการภิวัฒน์ก็เป็นบทเรียนให้เห็นแล้วว่ามีผลต่อความเชื่อถือและศรัทธาอย่างไรกับองค์กรตุลาการ ซึ่งถือเป็นองค์กรสุดสุดท้ายองค์กรเดียวที่ประชาชนจะพึ่งพา
ขณะที่กระบวนการยุติธรรมเบื้องต้นไม่ว่าตำรวจและอัยการก็ถูกครหาเรื่องความยุติธรรมและเลือกปฏิบัติ เช่นเดียวกับองค์กรอิสระต่างๆที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นหนึ่งในวิกฤตของบ้านเมือง ไม่ว่าจะเป็นศาลปกครอง ศาลรัฐธรรมนูญ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) หรือคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ฯลฯ
เพราะวันนี้วิกฤตที่เกิดขึ้นก็ถือเป็นความหายนะของบ้านเมืองอย่างยิ่งแล้ว แต่หากประชาชนยังพึ่งไม่ได้แม้แต่สถาบันตุลาการก็ถือว่าวงการยุติธรรมไทยย่อยยับและอัปรีย์ถึงที่สุดแล้ว
**********************************************************************
นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย และแกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) แดงทั้งแผ่นดิน มอบหมายให้ทนายความไปพบอัยการสูงสุดเพื่อร้องขอความเป็นธรรมกรณีนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ยื่นหนังสือให้อัยการเร่งรัดสั่งคดีกับแกนนำ นปช. ซึ่งจะครบอำนาจฝากขังตาม พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน 84 วัน ในวันที่ 7 กันยายนนั้น อาจจะฟ้องให้ดำเนินคดีการแทรกแซงอัยการสูงสุด
และในสัปดาห์หน้าจะตั้งกระทู้ถามนายพีระพันธุ์ในเรื่องนี้เช่นกัน รวมถึงกรณีจุดที่มีการยิง พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล ที่มีข่าวว่าอยู่บริเวณโรงแรมของแม่ยายนายพีระพันธุ์ ทั้งยังมีข่าวการใช้งบราชการลับผ่านกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ไปยังอัยการบางคนเพื่อให้เร่งดำเนินคดีกับแกนนำ นปช. ซึ่งที่ผ่านมาก็ไม่เคยมีรัฐมนตรีคนใดมีพฤติกรรมเช่นนี้
กรณีนายพีระพันธุ์มีหนังสือไปยังอัยการเพื่อเร่งรัดคดีแกนนำ นปช. ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม ก็ยากที่จะปฏิเสธได้ว่าเป็นการกระทำที่ไม่สมควรและน่าตำหนิอย่างยิ่ง ส่วนจะมีผลต่อการฟ้องแกนนำ นปช. หรือไม่นั้น ฝ่ายอัยการเองก็ต้องอึดอัดใจ เพราะอัยการเป็นหน่วยงานอิสระเช่นเดียวกับศาล
แม้แต่ดีเอสไอซึ่งมีฐานะเป็นพนักงานสอบสวน หากยังอยู่ภายใต้การกำกับของฝ่ายการเมืองก็ยากจะพ้นข้อครหาเป็นเครื่องมือทางการเมืองได้ เหมือนการทำงานของดีเอสไอขณะนี้ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากถึงความไม่เป็นธรรมและไม่โปร่งใส ขณะที่อธิบดีดีเอสไอยังก็เป็นกรรมการศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) มีบทบาทสำคัญในการกล่าวหาและจับกุมคนเสื้อแดง
เรื่องของกระบวนการยุติธรรมจึงเป็นประเด็นหรือปัญหาสำคัญของบ้านเมือง ซึ่งที่ผ่านมากรณีตุลาการภิวัฒน์ก็เป็นบทเรียนให้เห็นแล้วว่ามีผลต่อความเชื่อถือและศรัทธาอย่างไรกับองค์กรตุลาการ ซึ่งถือเป็นองค์กรสุดสุดท้ายองค์กรเดียวที่ประชาชนจะพึ่งพา
ขณะที่กระบวนการยุติธรรมเบื้องต้นไม่ว่าตำรวจและอัยการก็ถูกครหาเรื่องความยุติธรรมและเลือกปฏิบัติ เช่นเดียวกับองค์กรอิสระต่างๆที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นหนึ่งในวิกฤตของบ้านเมือง ไม่ว่าจะเป็นศาลปกครอง ศาลรัฐธรรมนูญ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) หรือคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ฯลฯ
เพราะวันนี้วิกฤตที่เกิดขึ้นก็ถือเป็นความหายนะของบ้านเมืองอย่างยิ่งแล้ว แต่หากประชาชนยังพึ่งไม่ได้แม้แต่สถาบันตุลาการก็ถือว่าวงการยุติธรรมไทยย่อยยับและอัปรีย์ถึงที่สุดแล้ว
**********************************************************************
คีร์กิซสถาน vs ไทยแลนด์
คีร์กิซสถานไม่ใช่เพื่อนบ้านของไทย แต่พื้นที่ภาคใต้มีการจลาจลเหมือนกัน.. “ความเหมือนและความต่าง” ในหลากหลายกรณีมานำเสนอ เพราะมีหลายกรณีที่น่าศึกษาและนำมาประยุกต์เพื่อประโยชน์ต่อการพัฒนาความสงบสุขในพื้นที่ภาคใต้ของไทย..
คีร์กีซสถานเป็นประเทศยากจนที่สุดแห่งหนึ่ง ประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวคีร์กีซ และมีชาวอุซเบเป็นชนส่วนน้อย มักมีปัญหากันอยู่เสมอ แม้ว่าส่วนใหญ่จะเป็นมุสลิมด้วยกันก็ตาม
คีร์กิซสถานตั้งอยู่ในเอเชียกลาง มีพรมแดนติดต่อกับรัสเซีย จีน อุซเบกิสถาน คาซัคสถาน รัสเซียมีฐานทัพอยู่ในคีร์กิซสถาน ขณะเดียวกัน สหรัฐก็ขอมาตั้งฐานทัพในเพื่อเป็นฐานส่งกำลังบำรุงและฐานปฏิบัติการส่วนหน้าในอัฟกานิสถาน
รัฐบาลคีร์กิซสถานจึงเล่นไพ่ 2 มือ เพื่อแสวงหาประโยชน์จากทั้ง 2 ประเทศ
คีร์กิซสถานเป็นประเทศหนึ่งในเอเชียกลางซึ่งมีความก้าวหน้าด้านการพัฒนาประชาธิปไตย มีการ “ปฏิวัติทิวลิป” ปี 2548 โค่นล้มประธานาธิบดีคนแรกในข้อหาไม่สามารถแก้ไขปัญหาความยากจนและการคอรัปชั่นตามที่สัญญาไว้ให้กับประชาชนได้
กรณีน่าศึกษา คือ เหตุการณ์จลาจลและการสงครามกลางเมืองที่เกิดขึ้นตั้งแต่เดือนเมษายน – มิถุนายน 2553 ภายใต้การบริหารงานของประธานาธิบดีคนที่สอง คือ นายบาคิเยฟ คล้ายกับการจลาจลที่เกิดขึ้นในไทย
1. นายบาคิเยฟ ถูกประชาชนเดินขบวนต่อต้านครั้งใหญ่จนนำไปสู่การจลาจลในเมืองหลวง เพื่อขับเขาออกจากอำนาจ ในข้อหาคอรัปชั่น
2. มีการตั้งรัฐบาลชั่วคราวโดยมีผู้นำเป็นหญิงชื่อ นางโอตุนบาเยวา ขึ้นเพื่อร่างรัฐธรรมนูญซึ่งมีกำหนดออกเสียงประชามติในวันที่ 27 มิถุนายน 2553 และจัดการเลือกตั้งทั่วไปในเดือนตุลาคม 2553 แต่นายบาคิเยฟยังไม่ยอมแพ้โดยอ้างสิทธิอันชอบธรรมในการเป็นผู้นำ นายบาคิเยฟและบุตรชายซึ่งมีฐานเสียงอยู่ทางภาคใต้ของประเทศไปเคลื่อนไหวปลุกระดมชาวบ้านแถบนั้น ส่วนชนกลุ่มน้อยอุซเบในพื้นที่สนับสนุนรัฐบาลชั่วคราวของนางโอตุนบาเยวา จนนำไปสู่สงครามกลางเมือง
3. อดีตผู้นำที่สูญเสียอำนาจถูกรัฐบาลชั่วคราวประกาศจะเอาตัวมาลงโทษจากการกระทำผิดที่ได้เกิดขึ้น ในข้อหาปลุกปั่น ปลุกระดมให้คนที่สนับสนุนตนก่อความวุ่นวายกับชนกลุ่มน้อยที่สนับสนุนผู้นำคนใหม่จนเกิดสงครามกลาง
4. คีร์กิซสถานเพิ่งจะมีปัญหากันเมื่อมีการแบ่งพวกเป็นฝ่ายสนับสนุนรัฐบาลเก่าและรัฐบาลชั่วคราว กล่าวกันว่า แก๊งมาเฟียที่เกี่ยวข้องกับการค้ายาเสพติดและธุรกิจมืดต่าง ๆ ซึ่งสนับสนุนนายบาคิเยฟไปปลุกระดมให้ชาวคีร์กิซเข้าทำร้าย เข่นฆ่าชาวอุซเบ ทำให้เกิดสงครามกลางเมือง หรือสงครามชาติพันธ์
5. มีรายงานว่า ชาวคีร์กิซในภาคใต้ซึ่งสนับสนุนนายบาคิเยฟ ก่อการจลาจลเพื่อขัดขวางไม่ให้รัฐบาลชั่วคราวจัดการลงมติรับรองรัฐธรรมนูญและจัดให้มีการเลือกตั้งได้
6. ปัญหาความยากจน การคอรัปชั่นและปัญหาที่ดิน เป็นปัญหาหลักและเป็นจุดอ่อนของประเทศกำลังพัฒนาทั้งหลาย ซึ่งความยากจนคงไม่สามารถแก้ได้โดยเร็ว แต่ความยากจนถูกซ้ำเติมจากการคอรัปชั่นของรัฐบาลและเจ้าหน้าที่รัฐ
7. การจลาจลที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องของสงครามกลางเมืองระหว่างชาติพันธ์ ซึ่งเป็นเรื่องละเอียดอ่อนและมีความร้ายแรงมากกว่าความเห็นต่างทางการเมืองธรรมดา มีการอพยพย้ายถิ่นเป็นจำนวนมาก ส่งผลให้ใภ้สภากาชาดสากลต้องเข้ามาบริหารจัดการกับปัญหาดังกล่าว
แม้สิ่งที่เกิดขึ้นในคีร์กิซสถานจะไม่ส่งผลกระทบต่อประเทศไทย แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในคีร์กิซสถานอาจให้ข้อคิดบางอย่างแก่คนไทยรวมไปถึงประเทศที่กำลังพัฒนาในหลายๆประเทศ
หากศึกษาให้ถ่องแท้ ประเทศที่เกิดจลาจลไม่เฉพาะคีร์กิซสถานล้วนมีจุดแตกหักที่ไม่แตกต่างกัน
ที่มา.บางกอกทูเดย์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
คีร์กีซสถานเป็นประเทศยากจนที่สุดแห่งหนึ่ง ประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวคีร์กีซ และมีชาวอุซเบเป็นชนส่วนน้อย มักมีปัญหากันอยู่เสมอ แม้ว่าส่วนใหญ่จะเป็นมุสลิมด้วยกันก็ตาม
คีร์กิซสถานตั้งอยู่ในเอเชียกลาง มีพรมแดนติดต่อกับรัสเซีย จีน อุซเบกิสถาน คาซัคสถาน รัสเซียมีฐานทัพอยู่ในคีร์กิซสถาน ขณะเดียวกัน สหรัฐก็ขอมาตั้งฐานทัพในเพื่อเป็นฐานส่งกำลังบำรุงและฐานปฏิบัติการส่วนหน้าในอัฟกานิสถาน
รัฐบาลคีร์กิซสถานจึงเล่นไพ่ 2 มือ เพื่อแสวงหาประโยชน์จากทั้ง 2 ประเทศ
คีร์กิซสถานเป็นประเทศหนึ่งในเอเชียกลางซึ่งมีความก้าวหน้าด้านการพัฒนาประชาธิปไตย มีการ “ปฏิวัติทิวลิป” ปี 2548 โค่นล้มประธานาธิบดีคนแรกในข้อหาไม่สามารถแก้ไขปัญหาความยากจนและการคอรัปชั่นตามที่สัญญาไว้ให้กับประชาชนได้
กรณีน่าศึกษา คือ เหตุการณ์จลาจลและการสงครามกลางเมืองที่เกิดขึ้นตั้งแต่เดือนเมษายน – มิถุนายน 2553 ภายใต้การบริหารงานของประธานาธิบดีคนที่สอง คือ นายบาคิเยฟ คล้ายกับการจลาจลที่เกิดขึ้นในไทย
1. นายบาคิเยฟ ถูกประชาชนเดินขบวนต่อต้านครั้งใหญ่จนนำไปสู่การจลาจลในเมืองหลวง เพื่อขับเขาออกจากอำนาจ ในข้อหาคอรัปชั่น
2. มีการตั้งรัฐบาลชั่วคราวโดยมีผู้นำเป็นหญิงชื่อ นางโอตุนบาเยวา ขึ้นเพื่อร่างรัฐธรรมนูญซึ่งมีกำหนดออกเสียงประชามติในวันที่ 27 มิถุนายน 2553 และจัดการเลือกตั้งทั่วไปในเดือนตุลาคม 2553 แต่นายบาคิเยฟยังไม่ยอมแพ้โดยอ้างสิทธิอันชอบธรรมในการเป็นผู้นำ นายบาคิเยฟและบุตรชายซึ่งมีฐานเสียงอยู่ทางภาคใต้ของประเทศไปเคลื่อนไหวปลุกระดมชาวบ้านแถบนั้น ส่วนชนกลุ่มน้อยอุซเบในพื้นที่สนับสนุนรัฐบาลชั่วคราวของนางโอตุนบาเยวา จนนำไปสู่สงครามกลางเมือง
3. อดีตผู้นำที่สูญเสียอำนาจถูกรัฐบาลชั่วคราวประกาศจะเอาตัวมาลงโทษจากการกระทำผิดที่ได้เกิดขึ้น ในข้อหาปลุกปั่น ปลุกระดมให้คนที่สนับสนุนตนก่อความวุ่นวายกับชนกลุ่มน้อยที่สนับสนุนผู้นำคนใหม่จนเกิดสงครามกลาง
4. คีร์กิซสถานเพิ่งจะมีปัญหากันเมื่อมีการแบ่งพวกเป็นฝ่ายสนับสนุนรัฐบาลเก่าและรัฐบาลชั่วคราว กล่าวกันว่า แก๊งมาเฟียที่เกี่ยวข้องกับการค้ายาเสพติดและธุรกิจมืดต่าง ๆ ซึ่งสนับสนุนนายบาคิเยฟไปปลุกระดมให้ชาวคีร์กิซเข้าทำร้าย เข่นฆ่าชาวอุซเบ ทำให้เกิดสงครามกลางเมือง หรือสงครามชาติพันธ์
5. มีรายงานว่า ชาวคีร์กิซในภาคใต้ซึ่งสนับสนุนนายบาคิเยฟ ก่อการจลาจลเพื่อขัดขวางไม่ให้รัฐบาลชั่วคราวจัดการลงมติรับรองรัฐธรรมนูญและจัดให้มีการเลือกตั้งได้
6. ปัญหาความยากจน การคอรัปชั่นและปัญหาที่ดิน เป็นปัญหาหลักและเป็นจุดอ่อนของประเทศกำลังพัฒนาทั้งหลาย ซึ่งความยากจนคงไม่สามารถแก้ได้โดยเร็ว แต่ความยากจนถูกซ้ำเติมจากการคอรัปชั่นของรัฐบาลและเจ้าหน้าที่รัฐ
7. การจลาจลที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องของสงครามกลางเมืองระหว่างชาติพันธ์ ซึ่งเป็นเรื่องละเอียดอ่อนและมีความร้ายแรงมากกว่าความเห็นต่างทางการเมืองธรรมดา มีการอพยพย้ายถิ่นเป็นจำนวนมาก ส่งผลให้ใภ้สภากาชาดสากลต้องเข้ามาบริหารจัดการกับปัญหาดังกล่าว
แม้สิ่งที่เกิดขึ้นในคีร์กิซสถานจะไม่ส่งผลกระทบต่อประเทศไทย แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในคีร์กิซสถานอาจให้ข้อคิดบางอย่างแก่คนไทยรวมไปถึงประเทศที่กำลังพัฒนาในหลายๆประเทศ
หากศึกษาให้ถ่องแท้ ประเทศที่เกิดจลาจลไม่เฉพาะคีร์กิซสถานล้วนมีจุดแตกหักที่ไม่แตกต่างกัน
ที่มา.บางกอกทูเดย์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
"ทักษิณ"ลั่น ถูกกลั่นแกล้งทางการเมือง ดิ้นต่อหาทางสู้ในเวทีอื่น "นพดล"บอกที่ประชุมศาลไม่รับอุทธรณ์ตามคาด
มติชนออนไลน์
นายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษากฎหมายพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ถึงกรณีที่ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาลงมติด้วยคะแนนเสียง 103 ต่อ 4 ไม่รับอุทธรณ์คดียึดทรัพย์พ.ต.ท.ทักษิณ ครอบครัว และพวก จำนวน 4.6หมื่นล้านบาท ว่า เรื่องดังกล่าวไม่ได้นอกเหนือความคาดหมาย ซึ่งพ.ต.ท.ทักษิณ ได้รับทราบมติของที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาแล้ว และรู้สึกว่าท่านและครอบครัวไม่ได้รับความยุติธรรม ถูกกลั่นแกล้งทางการเมือง เพราะคดีดังกล่าวเริ่มมาจากการยึดอำนาจ มีการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ(คตส.) ที่เป็นผู้เริ่มกระบวนการยึดทรัพย์ของอดีตนายกรัฐมนตรี
“เรารู้สึกผิดหวัง เพราะตั้งแต่มีการยึดอำนาจพ.ต.ท.ทักษิณ ก็ถูกกลั่นแกล้งทางการเมืองมาโดยตลอด ซึ่งพ.ต.ท.ทักษิณ และครอบครัวจะเดินหน้าแสวงหาความยุติธรรมต่อไป ส่วนจะเป็นวิธีไหนนั้นทีมกฎหมายกำลังอยู่ในระหว่างการศึกษาช่องทางที่จะดำเนินการต่อไป”นายนพดลกล่าว
นายนพดล กล่าวว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ยังอยากเห็นความปรองดองของคนในชาติ และการหันหน้ามาพูดคุยกัน ไม่อยากเห็นการกลั่นแกล้งทางการเมือง ซึ่งความปรองดองจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีความยุติธรรมให้กับทุกคน
เมื่อถามว่ามติของที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาถึงว่าเป็นที่สุดแล้วที่ไม่รับอุทธรณ์คดีดังกล่าว นายนพดล กล่าวว่า ตามกระบวนการพิจารณาศาลฎีกาของไทยก็คงเป็นไปตามนั้น แต่เชื่อว่ายังมีโอกาสในเวทีอื่น ส่วนกรณีที่มีผู้พิพากษาเพียง 4 เสียงลงมติให้รับอุทธรณ์ในคดีดังกล่าวนั้น เห็นว่าแม้จะเป็นจำนวนน้อย แต่เป็นเรื่องที่ได้รับการพิจารณาจากผู้พิพากษาเหล่านั้น
"ตู่"ลั่น"แดง"ไม่ขวัญเสียศาลฎีกาไม่อุทธรณ์ยึดทรัพย์แม้ว
ที่รัฐสภา นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย และแกนนำกลุ่มนปช. กล่าวถึงกรณีที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาไม่รับอุทธรณ์คดียึดทรัพย์ 4.6 หมื่นล้านบาท พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯว่า เรื่องนี้เมื่อศาลมีมติชัดเจนแล้วก็ถือเป็นข้อยุติที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ และคงไม่ได้ทำให้กลุ่มคนเสื้อแดงเกิดอาการขวัญเสีย และไม่มีผลต่อการดำรงอยู่ของคนเสื้อแดง เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมาไม่ได้มีการใช้เงินของอดีตนายกฯ การดำเนินการหรือเคลื่อนไหวใดๆ ก็เป็นการนำเงินมาจากการระดมทุนกันเองทั้งการจัดคอนเสิร์ต จัดกิจกรรม ขายของที่ระลึก ฉะนั้นกลุ่มคนเสื้อแดงก็ยังคงเดินหน้าต่อไปได้อย่างไม่มีปัญหา
"ยิ่งลักษณ์"ปัดวิจารณ์ศาลฎีกา ไม่รับอุทธรณ์คดียึดทรัพย์"แม้ว"
ที่มูลนิธิไทยคม น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องสาวพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกามีมติไม่รับอุทธรณ์การต่อสู้คดียึดทรัพย์ 4.6 หมื่นล้านบาท ของพ.ต.ท.ทักษิณ และครอบครัวว่า ตนเพิ่งทราบข่าวว่าที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาไม่รับอุทธรณ์ ส่วนรายละเอียดข้อมูลนั้น ต้องรอฟังจากทางทีมทนายที่จะคัดคำพิพากษาอย่างเป็นทางการออกมาก่อนว่า เรายังสามารถจะดำเนินการอย่างไรต่อไปได้บ้าง ซึ่งเรื่องนี้ตนยังไม่ได้พูดคุยกับพ.ต.ท.ทักษิณ แต่อย่างใด
เมื่อถามว่า จำนวนเงิน 4.6 หมื่นล้านบาทที่หายไป จะส่งผลกระทบอะไรกับคนในตระกูลชินวัตรหรือไม่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า ส่วนตัวก็ยังดำรงชีวิตเหมือนเดิม ยังทำงานด้านธุรกิจ สังคมและมูลนิธืไทยคมต่อไป เมื่อถามว่าได้เตรียมแผนการรองรับหรือไม่หากศาลไม่รับอุทธรณ์ น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า เป็นเรื่องของทีมทนายที่จะดำเนินการต่อไป
เมื่อถามว่ารู้สึกอย่างไรกับมติที่ออกมา น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า ยังไม่ขอให้ความเห็น และจะทำหน้าที่ในฐานะประชาชนคนหนึ่งต่อไป
เมื่อถามต่อว่า มีการตั้งข้อสังเกตว่าถ้าตระกูลชินวัตรไม่สามารถนำเงินจำนวนดังกล่าวมาใช้ได้ จะเป็นการตัดท่อน้ำเลี้ยงของกลุ่มคนเสื้อแดงในการเคลื่อนไหวได้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า เรื่องของท่อน้ำเลี้ยงนั้น คงไม่มีจริง ส่วนที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ)ตรวจสอบธุรกรรมการใช้จ่ายทางการเงินของเครือข่ายที่เกี่ยวข้องกับพ.ต.ท.ทักษิณ ก็ได้จบไปแล้ว ถือเป็นคนละเรื่องกัน ยืนยันว่าเงินทุกบาททุกสตางค์ก็ใช้จ่ายอย่างสุจริต และขณะนี้ตนสามารถทำธุรกรรมทางการเงินได้ตามปกติแล้ว
เมื่อถามถึงกรณีที่ดีเอสไอปลดล็อกการตรวจสอบธุรกรรมทางการเงิน น.ส.ยิ่งลักษิณ กล่าวว่า ต้องเรียนว่าเราบริสุทธิ์ใจและสามารถชี้แจงรายละเอียดในการใช้จ่ายต่างๆได้
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
นายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษากฎหมายพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ถึงกรณีที่ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาลงมติด้วยคะแนนเสียง 103 ต่อ 4 ไม่รับอุทธรณ์คดียึดทรัพย์พ.ต.ท.ทักษิณ ครอบครัว และพวก จำนวน 4.6หมื่นล้านบาท ว่า เรื่องดังกล่าวไม่ได้นอกเหนือความคาดหมาย ซึ่งพ.ต.ท.ทักษิณ ได้รับทราบมติของที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาแล้ว และรู้สึกว่าท่านและครอบครัวไม่ได้รับความยุติธรรม ถูกกลั่นแกล้งทางการเมือง เพราะคดีดังกล่าวเริ่มมาจากการยึดอำนาจ มีการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ(คตส.) ที่เป็นผู้เริ่มกระบวนการยึดทรัพย์ของอดีตนายกรัฐมนตรี
“เรารู้สึกผิดหวัง เพราะตั้งแต่มีการยึดอำนาจพ.ต.ท.ทักษิณ ก็ถูกกลั่นแกล้งทางการเมืองมาโดยตลอด ซึ่งพ.ต.ท.ทักษิณ และครอบครัวจะเดินหน้าแสวงหาความยุติธรรมต่อไป ส่วนจะเป็นวิธีไหนนั้นทีมกฎหมายกำลังอยู่ในระหว่างการศึกษาช่องทางที่จะดำเนินการต่อไป”นายนพดลกล่าว
นายนพดล กล่าวว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ยังอยากเห็นความปรองดองของคนในชาติ และการหันหน้ามาพูดคุยกัน ไม่อยากเห็นการกลั่นแกล้งทางการเมือง ซึ่งความปรองดองจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีความยุติธรรมให้กับทุกคน
เมื่อถามว่ามติของที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาถึงว่าเป็นที่สุดแล้วที่ไม่รับอุทธรณ์คดีดังกล่าว นายนพดล กล่าวว่า ตามกระบวนการพิจารณาศาลฎีกาของไทยก็คงเป็นไปตามนั้น แต่เชื่อว่ายังมีโอกาสในเวทีอื่น ส่วนกรณีที่มีผู้พิพากษาเพียง 4 เสียงลงมติให้รับอุทธรณ์ในคดีดังกล่าวนั้น เห็นว่าแม้จะเป็นจำนวนน้อย แต่เป็นเรื่องที่ได้รับการพิจารณาจากผู้พิพากษาเหล่านั้น
"ตู่"ลั่น"แดง"ไม่ขวัญเสียศาลฎีกาไม่อุทธรณ์ยึดทรัพย์แม้ว
ที่รัฐสภา นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย และแกนนำกลุ่มนปช. กล่าวถึงกรณีที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาไม่รับอุทธรณ์คดียึดทรัพย์ 4.6 หมื่นล้านบาท พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯว่า เรื่องนี้เมื่อศาลมีมติชัดเจนแล้วก็ถือเป็นข้อยุติที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ และคงไม่ได้ทำให้กลุ่มคนเสื้อแดงเกิดอาการขวัญเสีย และไม่มีผลต่อการดำรงอยู่ของคนเสื้อแดง เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมาไม่ได้มีการใช้เงินของอดีตนายกฯ การดำเนินการหรือเคลื่อนไหวใดๆ ก็เป็นการนำเงินมาจากการระดมทุนกันเองทั้งการจัดคอนเสิร์ต จัดกิจกรรม ขายของที่ระลึก ฉะนั้นกลุ่มคนเสื้อแดงก็ยังคงเดินหน้าต่อไปได้อย่างไม่มีปัญหา
"ยิ่งลักษณ์"ปัดวิจารณ์ศาลฎีกา ไม่รับอุทธรณ์คดียึดทรัพย์"แม้ว"
ที่มูลนิธิไทยคม น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องสาวพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกามีมติไม่รับอุทธรณ์การต่อสู้คดียึดทรัพย์ 4.6 หมื่นล้านบาท ของพ.ต.ท.ทักษิณ และครอบครัวว่า ตนเพิ่งทราบข่าวว่าที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาไม่รับอุทธรณ์ ส่วนรายละเอียดข้อมูลนั้น ต้องรอฟังจากทางทีมทนายที่จะคัดคำพิพากษาอย่างเป็นทางการออกมาก่อนว่า เรายังสามารถจะดำเนินการอย่างไรต่อไปได้บ้าง ซึ่งเรื่องนี้ตนยังไม่ได้พูดคุยกับพ.ต.ท.ทักษิณ แต่อย่างใด
เมื่อถามว่า จำนวนเงิน 4.6 หมื่นล้านบาทที่หายไป จะส่งผลกระทบอะไรกับคนในตระกูลชินวัตรหรือไม่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า ส่วนตัวก็ยังดำรงชีวิตเหมือนเดิม ยังทำงานด้านธุรกิจ สังคมและมูลนิธืไทยคมต่อไป เมื่อถามว่าได้เตรียมแผนการรองรับหรือไม่หากศาลไม่รับอุทธรณ์ น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า เป็นเรื่องของทีมทนายที่จะดำเนินการต่อไป
เมื่อถามว่ารู้สึกอย่างไรกับมติที่ออกมา น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า ยังไม่ขอให้ความเห็น และจะทำหน้าที่ในฐานะประชาชนคนหนึ่งต่อไป
เมื่อถามต่อว่า มีการตั้งข้อสังเกตว่าถ้าตระกูลชินวัตรไม่สามารถนำเงินจำนวนดังกล่าวมาใช้ได้ จะเป็นการตัดท่อน้ำเลี้ยงของกลุ่มคนเสื้อแดงในการเคลื่อนไหวได้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า เรื่องของท่อน้ำเลี้ยงนั้น คงไม่มีจริง ส่วนที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ)ตรวจสอบธุรกรรมการใช้จ่ายทางการเงินของเครือข่ายที่เกี่ยวข้องกับพ.ต.ท.ทักษิณ ก็ได้จบไปแล้ว ถือเป็นคนละเรื่องกัน ยืนยันว่าเงินทุกบาททุกสตางค์ก็ใช้จ่ายอย่างสุจริต และขณะนี้ตนสามารถทำธุรกรรมทางการเงินได้ตามปกติแล้ว
เมื่อถามถึงกรณีที่ดีเอสไอปลดล็อกการตรวจสอบธุรกรรมทางการเงิน น.ส.ยิ่งลักษิณ กล่าวว่า ต้องเรียนว่าเราบริสุทธิ์ใจและสามารถชี้แจงรายละเอียดในการใช้จ่ายต่างๆได้
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
สมชัย" ไม่เหลือง-ไม่แดง กกต.-คนกลางในวิกฤตขัดแย้ง "ถูกต้อง...เป็นธรรม เป็นสิ่งที่ไม่ตาย"
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
สัมภาษณ์พิเศษ
อย่างเร็วไม่เกินต้นปี 2554 อาจมีการเลือกตั้งใหญ่
อย่างช้าไม่เกินกลางปี 2554 จะมีการเลือกตั้ง
การเลือกตั้งอาจบอกได้ว่าคะแนนใครแพ้-ใครชนะ
แต่กระบวนการเลือกตั้ง-การตัดสินว่าใครแพ้-ชนะ ไม่ใช่พรรคคู่ขัดแย้ง
แต่หน่วยงานที่ต้อง "ประกาศผล" เป็น "องค์กรอิสระ-คนกลาง" อรหันต์ทั้ง 5 คน ที่จะเป็นคนชี้ขาด
สมชัย จึงประเสริฐ กกต.ด้านสืบสวนสอบสวน อดีตเสียงข้างน้อย ผู้เป็นเป้าความขัดแย้งในยุคม็อบเสื้อเหลือง จนถึงม็อบเสื้อแดง
ในปีที่ผู้นำประเทศชื่อ สมัคร สุนทรเวช และฝ่ายบริหารมาจากพรรคของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ภายใต้บรรยากาศแจกใบเหลือง ใบแดง ใบขาว หลังการเลือกตั้งครั้งแรกนับแต่การรัฐประหาร ที่นักเลือกตั้งลุ้นกันตัวโก่ง เพราะเดิมพันไม่เพียงหลุดจากตำแหน่ง ส.ส. แต่บางคดีมีความหมายถึงการยุบพรรคตามมาด้วย
ชื่อของ สมชัย จึงประเสริฐ ตกเป็น เป้าโจมตีของการเคลื่อนไหวนอกสภาในเวลานั้น โดยฝ่ายเสื้อเหลือง-พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เพราะบรรดาคดีดังทั้งหลายแหล่ ถูก "กกต.สมชัย" โหวตคำวินิจฉัย ไม่ถูกใจม็อบที่ต้านรัฐบาลสีแดง
แม้ฝ่ายบริหารเปลี่ยนขั้ว... ม็อบบนถนนเปลี่ยนสีจากเหลืองเป็นแดงโดยแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ แต่การโหวตคำวินิจฉัยคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ รอบแรก ที่เสียงข้างมากโยนให้นายทะเบียนพรรคการเมืองไปทำการบ้านมาอีกรอบ "กกต.สมชัย" ยังไม่เปลี่ยนข้าง ยังคงเป็นฝ่ายที่อยู่ตรงข้ามม็อบแดง
เมื่อการทำหน้าที่ในองค์กรอิสระ บนบรรยากาศที่ไม่เอื้อต่อความเป็นอิสระ "กกต.สมชัย" ผู้คุ้นเคยกับความขัดแย้งและแรงต้านมาโดยตลอด เปิดใจ เรื่องความเตรียมพร้อมต่อการทำหน้าที่ระหว่างเขาควาย เตรียมเป็นกรรมการตัดสินการต่อสู้ระหว่าง "เสือ-สิงห์-กระทิง-แรด" อีกรอบ
- ท่ามกลางความไม่พอใจที่มีต่อองค์กรอิสระ เช่น การไม่เห็นด้วยกับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ศาลปกครอง จะเป็นปัญหาต่อการทำงานของ กกต. ซึ่งเป็นองค์กรอิสระด้วยหรือไม่
ผมคิดว่า กกต.คงไม่มีปัญหาในการทำงาน เพราะเรื่องนี้ ประชาชนสามารถแยกแยะได้ว่า องค์กรไหนได้ให้ความเป็นธรรม องค์กรไหนน่าเชื่อถือ ซึ่งเมื่อองค์กรของเราได้ปฏิบัติหน้าที่อย่างตรงไปตรงมา ถือหลักกฎหมายและประโยชน์ประเทศชาติ ประชาชน เป็นหลักแล้ว ทุกคนก็คงรู้อยู่แก่ใจว่า สิ่งที่ กกต.กระทำไปนั้นถูกต้องหรือไม่ ซึ่งหากองค์กรไหนไม่ได้ยึดหลักความเป็นธรรม องค์กรนั้นก็จะไม่ได้รับความ เชื่อถือจากประชาชนเอง ซึ่งองค์กรอิสระแต่ละองค์กรไม่เกี่ยวข้องกัน เชื่อว่าประชาชนจะสามารถแยกแยะได้
- ส่วนตัวเคยถูกโจมตีจากกลุ่มเสื้อเหลือง (พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย) ว่า วินิจฉัยเป็นประโยชน์ต่อพรรคพลังประชาชน และถูกโจมตีจากกลุ่มเสื้อแดง (แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ) กรณีเป็น 1 ใน กกต. ที่ไม่ลงมติยุบพรรคประชาธิปัตย์ และให้ส่งกลับนายทะเบียนพรรคการเมือง ในการลงมติรอบแรก
เราต้องยึดหลักกฎหมาย ยึดหลักความถูกต้องเป็นธรรม เพราะช่วงระยะเวลาหนึ่ง สิ่งที่เราทำไปนั้นอาจจะไม่ถูกใจ ไปขัดขวางผลประโยชน์หรือความต้องการของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง กลุ่มนั้นอาจจะไม่พอใจ แต่ครั้นเวลาได้ผ่านพ้นไป สิ่งที่เป็นกระแสสังคมลดลง และประชาชนหรือบุคคล กลุ่มนั้นได้หันกลับมา มีเวลาได้พิจารณาพิเคราะห์ถึงหลักกฎหมาย ถึงความถูกต้องเป็นธรรม เขาก็จะยอมรับสิ่งนั้นเอง จึงเห็นว่าความถูกต้อง เป็นธรรม เป็นสิ่งที่ไม่ตาย แม้แรก ๆ อาจจะถูกเข้าใจผิด แต่ความ ถูกต้องย่อมสามารถยืนหยัดได้ด้วยตัวของมันเอง และกาลเวลาจะเป็นสิ่งพิสูจน์
- ช่วงที่ผ่านมา กกต.ก็ได้กลายเป็นคู่ขัดแย้ง
การเป็นคู่ขัดแย้งนั้น ถ้าหาก กกต. ทำตัวของตัวเองเป็นคู่ขัดแย้ง ก็เป็นเรื่องที่ไม่น่าให้อภัย เป็นเรื่องที่น่าสมเพช แต่ถ้าการเป็นคู่ขัดแย้ง เกิดจากการบิดเบือนการกระทำของฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด เพื่อประสงค์ต่อประโยชน์ในทางการเมือง หรือผลประโยชน์อื่นก็ตาม ก็เป็นเรื่องที่เราไม่ต้องไปหวั่นไหว เพราะท้ายที่สุดความจริงก็เป็นความจริงอยู่วันยังค่ำ ความจริงความถูกต้องอยู่นิรันดร ไม่ตาย
- หรือเป็นเพราะท่านมีความสัมพันธ์กับฝ่ายการเมือง เพราะเป็นเพื่อนรุ่นเดียวกันกับนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกฯจากพรรคพลังประชาชน และน้องเขยของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
อยากเรียนชี้แจงว่า ผมเป็นผู้ช่วย ผู้พิพากษารุ่นเดียวกับนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ จริง แต่นายสมชายเคยบอกว่า "เพื่อน... ไม่ต้องช่วยผม" เขาขออย่างเดียว อย่ากลั่นแกล้งเขาก็แล้วกัน เขาขอเท่านี้ ซึ่งถึงแม้เขาไม่ขอ ผมก็ไม่กลั่นแกล้งใครอยู่แล้ว เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องอำนาจหน้าที่ ที่ในฐานะเป็นผู้พิพากษาก็ย่อมรู้อยู่ว่าการที่จะให้เพื่อน หรือผู้พิพากษาคนหนึ่ง กระทำผิดต่อกฎหมาย กระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ ถ้าใครปฏิบัติแบบนั้นก็เป็นเรื่องทรยศต่อหน้าที่ ต่ออุดมการณ์
- เคยถูกมองว่าวินิจฉัยเข้าทางฝ่าย พ.ต.ท.ทักษิณ
เรื่องของคนอื่น เราไม่อาจจะบังคับได้ การที่คนอื่นจะมองผิด มองอะไร เราไปบังคับเขาไม่ได้ แต่เมื่อธุลีในตาเขาได้ถูกล้างออกแล้ว ตาสว่างขึ้น จิตใจสว่างขึ้น ก็จะได้เห็นความถูกต้อง เป็นธรรม ที่เราได้กระทำนั้นเอง ก็คิดว่าถึงตอนนี้ เมื่อกลับขั้วแล้ว เขาก็จะเห็นว่าสิ่งที่เราเคยทำ เราก็ยืนอยู่บนความถูกต้อง เป็นธรรม
ผมจำอย่างที่ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เคยสอนเคยพูดไว้ว่า อย่าได้ไปพรั่นพรึง ถึงเรื่องที่แล้วมา และไม่ต้องไปหวั่นไหว กับเรื่องอนาคตที่มันยังมาไม่ถึง ต้องทำปัจจุบันให้มันดีที่สุด ผมไม่ใช่เป็นคนที่ไปอาฆาตมาดร้ายใคร สิ่งที่ใครเคยกล่าวหาผมนั้น ผมลืมไปหมดแล้ว และจะไม่ขอ พูดถึงอีก
- สถานการณ์ทางการเมืองที่มีความรุนแรงเข้มข้นขึ้น ทั้งเหตุปะทะในการชุมนุม และเหตุระเบิด ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต ท่านมีความลำบากใจต่อการทำหน้าที่ในอนาคตหรือไม่
เรามีหน้าที่จัดการเลือกตั้ง ก็ต้องทำตามหน้าที่ให้ตรงไปตรงมา ยึดถือความสุจริตเที่ยงธรรม เชื่อว่าประชาชนคนไทยไม่ว่าจะแสดงออกอย่างไร แต่ในใจเขาก็ยอมรับความเป็นธรรม เราคงไม่ต้องลำบากใจในเรื่องนี้ เพียงแต่ในฐานะที่เราเป็นคนไทยคนหนึ่ง ก็อยากให้ประเทศมีความก้าวหน้า บ้านเมืองสงบสุข ถึงเราไม่กลัวไม่หวั่นไหว แต่เราก็มีความเป็นห่วง ไม่อยากให้เกิดขึ้น
- เตรียมความพร้อมอย่างไร สำหรับการเลือกตั้งใหญ่ที่จะมาถึง
ตอนนี้ กกต.คนอื่นเขาก็เตรียมของเขา ผมไม่ได้ไปก้าวล่วงถึงเขา แต่สำหรับด้านสืบสวนสอบสวน เรากำลังให้ความรู้ ซักซ้อมความเข้าใจเกี่ยวกับระเบียบกฎหมาย และการจัดเตรียมคน กำลังจะแบ่งวางแผนกำลังคนต่าง ๆ เพื่อให้ไปควบคุม ทำงานปฏิบัติการด้านสืบสวนสอบสวนให้ถูกต้อง เป็นธรรมและรวดเร็ว
พยายามจะเรียนรู้ถึงพฤติกรรมนักเลือกตั้งที่ผ่านมา และเรื่องในอนาคตที่คิดว่าพฤติการณ์ของนักเลือกตั้งที่ทุจริตน่าจะเปลี่ยนแปลงไป ซึ่งเราจะพยายามติดตามให้ทัน ก็ได้เตรียมการนี้อยู่
- เปลี่ยนแปลงไปอย่างไร
เช่น เมื่อก่อนนี้เอาเงินสดไปซื้อเสียง แต่ทุกวันนี้หายากที่จะเอาเงินไปซื้ออย่างตรงไปตรงมา เพราะมีวิธีการอื่น เช่น จัดตั้งลงไปเลย โดยที่เงินยังไม่จ่าย แต่มาจ่าย ภายหลัง...
- มีเรื่องสัญญาว่าจะให้ แทนที่จะเอาเงินไปจ่ายในคืนหมาหอน
ใช่...มันเริ่มยาก ไม่ใช่มีแต่คืนหมาหอน
- มองพัฒนาการการเมืองและพรรคการเมืองไทยอย่างไร
การเลือกตั้งของประชาชนมีการพัฒนาขึ้น รู้สึกว่าพรรคการเมืองของประเทศเรามีตั้ง 50-60 พรรค เต็มไปหมด แต่ดูเหมือนจะมี 2 พรรคที่อยู่ในความสนใจและการตัดสินใจของประชาชน อันนี้จะมองว่าดีก็ดี เพราะเป็นการเลือกพรรค เลือกนโยบาย มากกว่าเลือกตัวบุคคล อย่างในสหรัฐ อเมริกาก็มี 2 พรรคการเมืองใหญ่ที่แข่งกัน
- การแข่งกันในการเลือกตั้งจะช่วยคลี่คลายความขัดแย้งอย่างไร
เมื่อมีความขัดแย้งกัน ก็ควรรอวัน เลือกตั้ง ไม่ใช่เอากำลังมาเปลี่ยน นี่คือวิถีประชาธิปไตย ซึ่งมันสามารถเปลี่ยนแปลงอำนาจการปกครองได้ โดยมีกำหนดเวลา โดยเอาความนิยม หรืออีกอย่างคือเสียงประชาชน ที่จะมาชี้ขาดว่าใครควรที่จะมา บริหารประเทศ
การชุมนุมเป็นเพียงการแสดงออกหรือบอกให้รู้เท่านั้นเอง แต่การชุมนุมไม่ใช่ ตัวชี้วัดว่า ตกลงแล้วประชาชนจะเอายังไง เพราะอย่างน้อย หากมีการชุมนุมเยอะๆ ที่จำนวนมากพอสมควร ก็ควรมีช่องทางที่ผลักดันให้ กกต.ทำประชามติ ว่าประชาชนส่วนใหญ่จะเอาแบบไหน จะเอาตามรัฐบาล หรือเอาตามที่มีการเรียกร้องเคลื่อนไหว อย่างนี้จึงจะเป็นวิถีประชาธิปไตย ตัดสินกันด้วยเสียงประชาชน
- ท่านคิดว่าปัญหาคือการปฏิบัติของรัฐ ต่อผู้ชุมนุม
การชุมนุมทำได้ แต่อำนาจรัฐก็ต้องปฏิบัติต่อผู้ชุมนุมทุกกลุ่มเหมือนกัน เรื่องนี้จะโทษใคร ความเป็นประชาธิปไตย ต้องปฏิบัติเหมือนกันไม่ว่าจะฝ่ายไหน ควรมีกฎหมายออกมาควบคุมการชุมนุม แต่ปัจจุบันเรามีแต่รัฐธรรมนูญและความเสรี จนกระทั่งตามอำเภอใจ ตามใจฉัน ซึ่งมันไม่ถูกต้อง เพราะการชุมนุมควรจะมาแสดงออกกันในระดับหนึ่งแล้วกลับไป
- การชุมนุมที่ผ่านมา ทุกสีเสื้อมุ่งโค่นอำนาจรัฐบาล
ทุกอย่างควรไปวัดกันที่การเลือกตั้ง ถ้าพรรคฝ่ายค้านรับข้อทุกข์ร้อนแล้วเอามาอภิปรายในสภา หากรัฐบาลแก้ปัญหาไม่ได้ผลก็จะทำให้คะแนนนิยมรัฐบาลตกต่ำลง เมื่อถึงคราวเลือกตั้งก็สามารถเปลี่ยนขั้วอำนาจได้
เป็นการเปลี่ยนผู้บริหารประเทศโดยสันติวิธี นี่คือวิถีประชาธิปไตย ที่เราบอกว่าดีกว่าการปกครองอื่น ๆ ก็ตรงนี้แหละ
สัมภาษณ์พิเศษ
อย่างเร็วไม่เกินต้นปี 2554 อาจมีการเลือกตั้งใหญ่
อย่างช้าไม่เกินกลางปี 2554 จะมีการเลือกตั้ง
การเลือกตั้งอาจบอกได้ว่าคะแนนใครแพ้-ใครชนะ
แต่กระบวนการเลือกตั้ง-การตัดสินว่าใครแพ้-ชนะ ไม่ใช่พรรคคู่ขัดแย้ง
แต่หน่วยงานที่ต้อง "ประกาศผล" เป็น "องค์กรอิสระ-คนกลาง" อรหันต์ทั้ง 5 คน ที่จะเป็นคนชี้ขาด
สมชัย จึงประเสริฐ กกต.ด้านสืบสวนสอบสวน อดีตเสียงข้างน้อย ผู้เป็นเป้าความขัดแย้งในยุคม็อบเสื้อเหลือง จนถึงม็อบเสื้อแดง
ในปีที่ผู้นำประเทศชื่อ สมัคร สุนทรเวช และฝ่ายบริหารมาจากพรรคของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ภายใต้บรรยากาศแจกใบเหลือง ใบแดง ใบขาว หลังการเลือกตั้งครั้งแรกนับแต่การรัฐประหาร ที่นักเลือกตั้งลุ้นกันตัวโก่ง เพราะเดิมพันไม่เพียงหลุดจากตำแหน่ง ส.ส. แต่บางคดีมีความหมายถึงการยุบพรรคตามมาด้วย
ชื่อของ สมชัย จึงประเสริฐ ตกเป็น เป้าโจมตีของการเคลื่อนไหวนอกสภาในเวลานั้น โดยฝ่ายเสื้อเหลือง-พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เพราะบรรดาคดีดังทั้งหลายแหล่ ถูก "กกต.สมชัย" โหวตคำวินิจฉัย ไม่ถูกใจม็อบที่ต้านรัฐบาลสีแดง
แม้ฝ่ายบริหารเปลี่ยนขั้ว... ม็อบบนถนนเปลี่ยนสีจากเหลืองเป็นแดงโดยแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ แต่การโหวตคำวินิจฉัยคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ รอบแรก ที่เสียงข้างมากโยนให้นายทะเบียนพรรคการเมืองไปทำการบ้านมาอีกรอบ "กกต.สมชัย" ยังไม่เปลี่ยนข้าง ยังคงเป็นฝ่ายที่อยู่ตรงข้ามม็อบแดง
เมื่อการทำหน้าที่ในองค์กรอิสระ บนบรรยากาศที่ไม่เอื้อต่อความเป็นอิสระ "กกต.สมชัย" ผู้คุ้นเคยกับความขัดแย้งและแรงต้านมาโดยตลอด เปิดใจ เรื่องความเตรียมพร้อมต่อการทำหน้าที่ระหว่างเขาควาย เตรียมเป็นกรรมการตัดสินการต่อสู้ระหว่าง "เสือ-สิงห์-กระทิง-แรด" อีกรอบ
- ท่ามกลางความไม่พอใจที่มีต่อองค์กรอิสระ เช่น การไม่เห็นด้วยกับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ศาลปกครอง จะเป็นปัญหาต่อการทำงานของ กกต. ซึ่งเป็นองค์กรอิสระด้วยหรือไม่
ผมคิดว่า กกต.คงไม่มีปัญหาในการทำงาน เพราะเรื่องนี้ ประชาชนสามารถแยกแยะได้ว่า องค์กรไหนได้ให้ความเป็นธรรม องค์กรไหนน่าเชื่อถือ ซึ่งเมื่อองค์กรของเราได้ปฏิบัติหน้าที่อย่างตรงไปตรงมา ถือหลักกฎหมายและประโยชน์ประเทศชาติ ประชาชน เป็นหลักแล้ว ทุกคนก็คงรู้อยู่แก่ใจว่า สิ่งที่ กกต.กระทำไปนั้นถูกต้องหรือไม่ ซึ่งหากองค์กรไหนไม่ได้ยึดหลักความเป็นธรรม องค์กรนั้นก็จะไม่ได้รับความ เชื่อถือจากประชาชนเอง ซึ่งองค์กรอิสระแต่ละองค์กรไม่เกี่ยวข้องกัน เชื่อว่าประชาชนจะสามารถแยกแยะได้
- ส่วนตัวเคยถูกโจมตีจากกลุ่มเสื้อเหลือง (พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย) ว่า วินิจฉัยเป็นประโยชน์ต่อพรรคพลังประชาชน และถูกโจมตีจากกลุ่มเสื้อแดง (แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ) กรณีเป็น 1 ใน กกต. ที่ไม่ลงมติยุบพรรคประชาธิปัตย์ และให้ส่งกลับนายทะเบียนพรรคการเมือง ในการลงมติรอบแรก
เราต้องยึดหลักกฎหมาย ยึดหลักความถูกต้องเป็นธรรม เพราะช่วงระยะเวลาหนึ่ง สิ่งที่เราทำไปนั้นอาจจะไม่ถูกใจ ไปขัดขวางผลประโยชน์หรือความต้องการของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง กลุ่มนั้นอาจจะไม่พอใจ แต่ครั้นเวลาได้ผ่านพ้นไป สิ่งที่เป็นกระแสสังคมลดลง และประชาชนหรือบุคคล กลุ่มนั้นได้หันกลับมา มีเวลาได้พิจารณาพิเคราะห์ถึงหลักกฎหมาย ถึงความถูกต้องเป็นธรรม เขาก็จะยอมรับสิ่งนั้นเอง จึงเห็นว่าความถูกต้อง เป็นธรรม เป็นสิ่งที่ไม่ตาย แม้แรก ๆ อาจจะถูกเข้าใจผิด แต่ความ ถูกต้องย่อมสามารถยืนหยัดได้ด้วยตัวของมันเอง และกาลเวลาจะเป็นสิ่งพิสูจน์
- ช่วงที่ผ่านมา กกต.ก็ได้กลายเป็นคู่ขัดแย้ง
การเป็นคู่ขัดแย้งนั้น ถ้าหาก กกต. ทำตัวของตัวเองเป็นคู่ขัดแย้ง ก็เป็นเรื่องที่ไม่น่าให้อภัย เป็นเรื่องที่น่าสมเพช แต่ถ้าการเป็นคู่ขัดแย้ง เกิดจากการบิดเบือนการกระทำของฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด เพื่อประสงค์ต่อประโยชน์ในทางการเมือง หรือผลประโยชน์อื่นก็ตาม ก็เป็นเรื่องที่เราไม่ต้องไปหวั่นไหว เพราะท้ายที่สุดความจริงก็เป็นความจริงอยู่วันยังค่ำ ความจริงความถูกต้องอยู่นิรันดร ไม่ตาย
- หรือเป็นเพราะท่านมีความสัมพันธ์กับฝ่ายการเมือง เพราะเป็นเพื่อนรุ่นเดียวกันกับนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกฯจากพรรคพลังประชาชน และน้องเขยของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
อยากเรียนชี้แจงว่า ผมเป็นผู้ช่วย ผู้พิพากษารุ่นเดียวกับนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ จริง แต่นายสมชายเคยบอกว่า "เพื่อน... ไม่ต้องช่วยผม" เขาขออย่างเดียว อย่ากลั่นแกล้งเขาก็แล้วกัน เขาขอเท่านี้ ซึ่งถึงแม้เขาไม่ขอ ผมก็ไม่กลั่นแกล้งใครอยู่แล้ว เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องอำนาจหน้าที่ ที่ในฐานะเป็นผู้พิพากษาก็ย่อมรู้อยู่ว่าการที่จะให้เพื่อน หรือผู้พิพากษาคนหนึ่ง กระทำผิดต่อกฎหมาย กระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ ถ้าใครปฏิบัติแบบนั้นก็เป็นเรื่องทรยศต่อหน้าที่ ต่ออุดมการณ์
- เคยถูกมองว่าวินิจฉัยเข้าทางฝ่าย พ.ต.ท.ทักษิณ
เรื่องของคนอื่น เราไม่อาจจะบังคับได้ การที่คนอื่นจะมองผิด มองอะไร เราไปบังคับเขาไม่ได้ แต่เมื่อธุลีในตาเขาได้ถูกล้างออกแล้ว ตาสว่างขึ้น จิตใจสว่างขึ้น ก็จะได้เห็นความถูกต้อง เป็นธรรม ที่เราได้กระทำนั้นเอง ก็คิดว่าถึงตอนนี้ เมื่อกลับขั้วแล้ว เขาก็จะเห็นว่าสิ่งที่เราเคยทำ เราก็ยืนอยู่บนความถูกต้อง เป็นธรรม
ผมจำอย่างที่ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เคยสอนเคยพูดไว้ว่า อย่าได้ไปพรั่นพรึง ถึงเรื่องที่แล้วมา และไม่ต้องไปหวั่นไหว กับเรื่องอนาคตที่มันยังมาไม่ถึง ต้องทำปัจจุบันให้มันดีที่สุด ผมไม่ใช่เป็นคนที่ไปอาฆาตมาดร้ายใคร สิ่งที่ใครเคยกล่าวหาผมนั้น ผมลืมไปหมดแล้ว และจะไม่ขอ พูดถึงอีก
- สถานการณ์ทางการเมืองที่มีความรุนแรงเข้มข้นขึ้น ทั้งเหตุปะทะในการชุมนุม และเหตุระเบิด ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต ท่านมีความลำบากใจต่อการทำหน้าที่ในอนาคตหรือไม่
เรามีหน้าที่จัดการเลือกตั้ง ก็ต้องทำตามหน้าที่ให้ตรงไปตรงมา ยึดถือความสุจริตเที่ยงธรรม เชื่อว่าประชาชนคนไทยไม่ว่าจะแสดงออกอย่างไร แต่ในใจเขาก็ยอมรับความเป็นธรรม เราคงไม่ต้องลำบากใจในเรื่องนี้ เพียงแต่ในฐานะที่เราเป็นคนไทยคนหนึ่ง ก็อยากให้ประเทศมีความก้าวหน้า บ้านเมืองสงบสุข ถึงเราไม่กลัวไม่หวั่นไหว แต่เราก็มีความเป็นห่วง ไม่อยากให้เกิดขึ้น
- เตรียมความพร้อมอย่างไร สำหรับการเลือกตั้งใหญ่ที่จะมาถึง
ตอนนี้ กกต.คนอื่นเขาก็เตรียมของเขา ผมไม่ได้ไปก้าวล่วงถึงเขา แต่สำหรับด้านสืบสวนสอบสวน เรากำลังให้ความรู้ ซักซ้อมความเข้าใจเกี่ยวกับระเบียบกฎหมาย และการจัดเตรียมคน กำลังจะแบ่งวางแผนกำลังคนต่าง ๆ เพื่อให้ไปควบคุม ทำงานปฏิบัติการด้านสืบสวนสอบสวนให้ถูกต้อง เป็นธรรมและรวดเร็ว
พยายามจะเรียนรู้ถึงพฤติกรรมนักเลือกตั้งที่ผ่านมา และเรื่องในอนาคตที่คิดว่าพฤติการณ์ของนักเลือกตั้งที่ทุจริตน่าจะเปลี่ยนแปลงไป ซึ่งเราจะพยายามติดตามให้ทัน ก็ได้เตรียมการนี้อยู่
- เปลี่ยนแปลงไปอย่างไร
เช่น เมื่อก่อนนี้เอาเงินสดไปซื้อเสียง แต่ทุกวันนี้หายากที่จะเอาเงินไปซื้ออย่างตรงไปตรงมา เพราะมีวิธีการอื่น เช่น จัดตั้งลงไปเลย โดยที่เงินยังไม่จ่าย แต่มาจ่าย ภายหลัง...
- มีเรื่องสัญญาว่าจะให้ แทนที่จะเอาเงินไปจ่ายในคืนหมาหอน
ใช่...มันเริ่มยาก ไม่ใช่มีแต่คืนหมาหอน
- มองพัฒนาการการเมืองและพรรคการเมืองไทยอย่างไร
การเลือกตั้งของประชาชนมีการพัฒนาขึ้น รู้สึกว่าพรรคการเมืองของประเทศเรามีตั้ง 50-60 พรรค เต็มไปหมด แต่ดูเหมือนจะมี 2 พรรคที่อยู่ในความสนใจและการตัดสินใจของประชาชน อันนี้จะมองว่าดีก็ดี เพราะเป็นการเลือกพรรค เลือกนโยบาย มากกว่าเลือกตัวบุคคล อย่างในสหรัฐ อเมริกาก็มี 2 พรรคการเมืองใหญ่ที่แข่งกัน
- การแข่งกันในการเลือกตั้งจะช่วยคลี่คลายความขัดแย้งอย่างไร
เมื่อมีความขัดแย้งกัน ก็ควรรอวัน เลือกตั้ง ไม่ใช่เอากำลังมาเปลี่ยน นี่คือวิถีประชาธิปไตย ซึ่งมันสามารถเปลี่ยนแปลงอำนาจการปกครองได้ โดยมีกำหนดเวลา โดยเอาความนิยม หรืออีกอย่างคือเสียงประชาชน ที่จะมาชี้ขาดว่าใครควรที่จะมา บริหารประเทศ
การชุมนุมเป็นเพียงการแสดงออกหรือบอกให้รู้เท่านั้นเอง แต่การชุมนุมไม่ใช่ ตัวชี้วัดว่า ตกลงแล้วประชาชนจะเอายังไง เพราะอย่างน้อย หากมีการชุมนุมเยอะๆ ที่จำนวนมากพอสมควร ก็ควรมีช่องทางที่ผลักดันให้ กกต.ทำประชามติ ว่าประชาชนส่วนใหญ่จะเอาแบบไหน จะเอาตามรัฐบาล หรือเอาตามที่มีการเรียกร้องเคลื่อนไหว อย่างนี้จึงจะเป็นวิถีประชาธิปไตย ตัดสินกันด้วยเสียงประชาชน
- ท่านคิดว่าปัญหาคือการปฏิบัติของรัฐ ต่อผู้ชุมนุม
การชุมนุมทำได้ แต่อำนาจรัฐก็ต้องปฏิบัติต่อผู้ชุมนุมทุกกลุ่มเหมือนกัน เรื่องนี้จะโทษใคร ความเป็นประชาธิปไตย ต้องปฏิบัติเหมือนกันไม่ว่าจะฝ่ายไหน ควรมีกฎหมายออกมาควบคุมการชุมนุม แต่ปัจจุบันเรามีแต่รัฐธรรมนูญและความเสรี จนกระทั่งตามอำเภอใจ ตามใจฉัน ซึ่งมันไม่ถูกต้อง เพราะการชุมนุมควรจะมาแสดงออกกันในระดับหนึ่งแล้วกลับไป
- การชุมนุมที่ผ่านมา ทุกสีเสื้อมุ่งโค่นอำนาจรัฐบาล
ทุกอย่างควรไปวัดกันที่การเลือกตั้ง ถ้าพรรคฝ่ายค้านรับข้อทุกข์ร้อนแล้วเอามาอภิปรายในสภา หากรัฐบาลแก้ปัญหาไม่ได้ผลก็จะทำให้คะแนนนิยมรัฐบาลตกต่ำลง เมื่อถึงคราวเลือกตั้งก็สามารถเปลี่ยนขั้วอำนาจได้
เป็นการเปลี่ยนผู้บริหารประเทศโดยสันติวิธี นี่คือวิถีประชาธิปไตย ที่เราบอกว่าดีกว่าการปกครองอื่น ๆ ก็ตรงนี้แหละ
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)