--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันพุธที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

"ยุกติ มุกดาวิจิตร" เปิดโฉมหน้า"ชนบทใหม่" คนยอดหญ้าผู้ตื่นตัว เจ้าพ่อใหม่ เสื้อเหลืองและเสื้อแดง

"ยุกติ มุกดาวิจิตร" อาจารย์คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นหนึ่งในนักวิจัยที่ศึกษาวิจัยเรื่อง"จุดเปลี่ยนชนบทไทย"

เมื่อไม่นานมานี้ อาจารย์ยุกติ ไปพูดที่สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ในหัวข้อเดียวกับงานวิจัย

ประเด็นของ อาจารย์ยุกติ น่าสนใจ ตรงที่เป็นการเปิดโฉมหน้า ชนบทไทย ที่กลายเป็น "ชนบทใหม่"

" ทีมออนไลน์ " นำสาระมานำเสนอท่านผู้อ่าน ดังนี้

อาจารย์ยุกติ เปิดภาพว่า “ชนบทใหม่” มีตัวแบบหลายตัวแบบ แต่ตัวแบบที่ถูกพูดถึงมากในสังคมไทยก็คือ ตัวแบบชุมชนท้องถิ่น ที่อาจจะมองว่า ชนบทถูกทุนนิยมทำลาย หรือสูญเสียพลังท้องถิ่นดั้งเดิม

อีกแบบคือ ชุมชนท้องถิ่นอุปถัมภ์ ซึ่งจะพ่วงมาด้วยความคิดทางการเมือง เช่น การเลือกตั้ง เป็นการเลือกตั้งผู้อุปถัมภ์ไม่ใช่การเลือกตั้งผู้แทน แล้วการเลือกตั้งไม่สะท้อนนโยบายแต่เป็นการเลือกบุคคล เลือกพรรคมากกว่า นอกจากนี้ ในงานวิจัย กำลังคิดถึงตัวแบบชนชั้นกลางใหม่ คือ คนในชนบทเป็นชนชั้นกลางใหม่ และเป็นพลเมืองผู้ตื่นตัว

เมื่อย้อนกลับไปดูภาพที่กว้างขึ้น สมมติฐานที่เราตั้งไว้ก็คือ เราเห็นความเคลื่อนไหวทางการเมืองที่เกิดชนชั้นกลางขึ้นมา แล้วมีพลังเคลื่อนไหว ที่เรียกว่า พลังเคลื่อนไหวนอกระบบราชการ

แต่ปัจจุบัน หลังพฤษภาคม 2535 และหลังรัฐธรรมนูญ 2540 กระทั่งการนำมาสู่ความขัดแย้งระลอกใหม่ หลังการรัฐประหาร 2549 เป็นต้นมา ทีมวิจัยมองว่า เราไม่สามารถเข้าใจ ด้วยตัวแบบเก่าต่อไป เพราะตัวแบบชนชั้นกลางเดิมที่เราเข้าใจ ไม่สามารถอธิบายความเปลี่ยนแปลงในช่วงหลังได้อีกต่อไป

ผมจึงเรียกคนที่เติบโตทางการเมือง ขึ้นมาในช่วง 2516 – 2535 ว่า “ชนชั้นกลางเก่า” แล้ว เราเรียกกลุ่มคนหลังจากนั้นมาว่าเป็น “ชนชั้นกลางใหม่”

ฉะนั้น การเมืองไทยหลัง พฤษภา 2535 ก็จะมีการเมืองของชนชั้นกลางเก่า กับ การเมืองของชนชั้นกลางใหม่ สิ่งเหล่านี้ ผมเชื่อว่า มันเกิดขึ้นคู่ขนานกัน แล้วมันค่อยเป็นค่อยไป และค่อยปรากฏตัวขึ้นอย่างชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ หลัง การรัฐประหาร 2549

ทั้งนี้ การเมืองของชนชั้นกลางเก่า อยู่กับราชาชาติธิปไตย ในศัพท์ของอาจารย์ธงชัย วินิจจะกุล ซึ่งเป็นความสัมพันธ์ สามเส้าระหว่าง สถาบันกษัตริย์ กลุ่มอำมาตย์ และผู้มีอิทธิพลในท้องถิ่น ขณะเดียวกัน มีความพยายามเชิดชูระบบรัฐสภา แต่โครงสร้างที่อยู่นอกระบบรัฐสภานั้นยังอยู่ มีการเติบโตของสื่อมวลชน ปัญญาชน สิ่งสำคัญคือ การเติบโตของการเมืองภาคประชาชนที่เป็นรูปเป็นร่างขึ้น

ส่วนการเมืองของชนชั้นกลางใหม่ มีความผูกพันกับอิทธิพลท้องถิ่น แต่สิ่งที่เกิดขึ้นมาอย่างเป็นระบบ แล้วส่งผลกับการเปลี่ยนแปลงในชนบท มากๆ ก็คือ เกิดพลังการเมืองท้องถิ่นที่เป็นระบบ และกล่าวได้ว่าเป็นระบบการเมืองประชาธิปไตยในท้องถิ่น

สรุปก็คือ การเมืองไทยหลังพฤษภาคม 2535 เกิดชนชั้นกลางเก่า ซึ่งเป็นฐานมวลชนของคนเสื้อเหลือง ส่วนชนชั้นกลางใหม่เป็นฐานมวลชนของคนเสื้อแดง

ประเด็นที่น่าสนใจก็คือ มีลักษณะท้องถิ่นนิยมกับการเมืองไทยเกิดขึ้น และสิ่งที่เราเคยคิดกันว่าพรรคการเมืองไทยไม่ได้มีผลกับนโยบายเท่าไหร่ ชาวบ้านจะเลือกตัวบุคคล แต่เอาเข้าจริงแล้ว ความเป็นท้องถิ่นของพรรคการเมืองไทย อาจจะสะท้อนให้เห็นถึงลักษณะเชิงนโยบายอยู่ ด้วยเหตุที่พรรคการเมืองบางพรรค ดำเนินนโยบายที่มีการส่งกับการดำเนินชีวิตผู้คนใน ท้องถิ่น

ฉะนั้น เราไม่สามารถมองข้ามได้ว่า พรรคการเมือง หรือนโยบายของพรรคการเมือง ไม่มีผลกับชีวิตของผู้คน มีผล แต่มีผลเป็นหย่อมๆ (เท่านั้น)

ฉะนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ ลักษณะท้องถิ่นการเมืองที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังนโยบายพรรคไทยรักไทย ได้สร้างขั้วของความขัดแย้งในเชิงท้องถิ่นขึ้นมา โดยทำให้เกิดความขัดแย้งที่สอดคล้องกับความขัดแย้งพรรคการเมืองมากขึ้น ฉะนั้น พรรคการเมืองจึงมีส่วนในการกำหนดนโยบาย แล้วชาวบ้านเวลาเลือกตั้ง ก็เลือกนโยบายของพรรคการเมืองด้วย

ทั้งหมดนี้ เพื่อจะปฏิเสธความคิดที่ว่า นักการเมืองหรือพรรคการเมือง สามารถควบคุมคะแนนเสียงได้อย่างง่ายดาย

ฉะนั้น ถามว่า ใครคือชนชั้นกลางที่ว่านี้ คำตอบก็คือ เป็นคน “ยอดหญ้า” ไม่ใช่รากหญ้า หรือไม่ใช่เป็นคนที่จน

แต่คนกลุ่มนี้มีความรู้สึกว่า เขาเป็นคนที่ถูกกระทำ ไม่ได้รับความเป็นธรรม ซึ่งไม่ใช่เป็นประเด็นเศรษฐกิจ แต่เป็นประเด็นด้านการเมือง ผมใช้คำว่า ประชดตนว่าเป็น “ไพร่” แต่หลายคนไม่ได้เป็นไพร่ในความหมายที่แท้จริง

ที่น่าสนใจอีกประการก็คือ ชนชั้นกลางใหม่ จริงๆ แล้ว เป็น “พลเมืองโลกในหมู่บ้าน” อย่างที่ ศ.ชาร์ลส์ คายส์ ให้ความหมายไว้ ซึ่งก็คือ เขายังมีลักษณะเชิงท้องถิ่น มีความผูกพันธ์กับท้องถิ่นอยู่ แต่เขามีความสัมพันธ์กับโลกภายนอกมากขึ้น และไม่ใช่โลกเฉพาะที่อยู่ในเมืองเท่านั้น แต่เป็นโลกที่ไกลออกไปด้วย

หลายคนเป็นสะใภ้ต่างชาติ หรือ หลายคนไปทำงานต่างประเทศ ส่งเงินกลับมา หมู่บ้านบางหมู่บ้านที่ไปสำรวจพบว่า จำนวนเปอร์เซ็นต์ที่ไปทำงานต่างประเทศ อาจะ 10 % แต่รายได้ที่ไปทำงานต่างประเทศ ไปสนับสนุนรายได้ครัวเรือน ไม่น้อยไปกว่าการทำงานภาคเกษตรที่เขาทำอยู่ ประเด็นคือ ชุมชนท้องถิ่น หรือชนบท ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว

ส่วนการเมืองในชนบท จากงานวิจัยและการเก็บข้อมูลเบื้องต้น พบว่า กลุ่มคนที่เราเรียกว่าผู้มีอิทธิพลท้องถิ่น เขามีพลวัตมากขึ้น เกิดเจ้าพ่อใหม่ ส่งลูกเรียน อ๊อกซฟอร์ด ไม่ได้ส่งเรียนธรรมศาสตร์ จุฬาฯ หรือเอแบค อีกแล้ว ซึ่งไม่ใช่เป็นเจ้าพ่อควงปืนแบบเก่าหรือไม่

ขณะเดียวกัน ธุรกิจการเมืองที่เกิดขึ้นในท้องถิ่นก็เกิดการแข่งขันกันสูง เกิดความเคลื่อนไหวสูง นักธุรกิจบางคนในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา มีอิทธิพลในทางเศรษฐกิจ แต่ไม่ได้เป็นผู้มีอิทธิพลทางการเมือง ฉะนั้น ความมีอิทธิพลทางเศรษฐกิจ ไม่จำเป็นต้องผูกพันกับการมีอิทธิพลทางการเมืองอีกต่อไป ตรงนี้มีนัยยะสำคัญ

นอกจากนี้ ระบบอุปถัมภ์มีพลวัตสูง แล้วระบบอุปถัมภ์ในลักษณะใหม่ ชาวบ้านหรือรักธุรกิจต่อรองได้มากขึ้น ตัวอย่างเช่น นายกฯอบต. บางพื้นที่เลือกหรือกล้าท้าทายอำนาจสิ่งที่ชาวบ้านเรียกว่าบ้านใหญ่ เหตุผลที่เขาบอกก็คือ เราไม่เคยขออะไรเขา เขาก็ไม่สามารถมาข่มขู่เราได้

ตรงนี้น่าสนใจว่า อำนาจอิทธิพลต่อรองได้มากขึ้น นอกจากนี้ อบต. ต่างๆ มีอำนาจในการบริหารจัดการเงินงบประมาณของตัวเองอย่างแท้จริง ที่สำคัญ การกระจายข้อมูลข่าวสาร ให้ภาพเครือข่ายทางการเมืองและสังคมแบบใหม่ที่

ข้ามพ้นชุมชนชนบทแบบเก่า เช่น วิทยุชุมชน ปัญญาชนท้องถิ่น เดินสายทำงานมวลชน ประสานกับปัญญาชนในกรุงเทพฯ สิ่งเหล่านี้ไม่จำเป็นที่จะต้องอยู่ในเครือข่ายของนักการเมืองเสมอไป เขามีความอิสระในตัวเองมากขึ้น

ฉะนั้น การรับข้อมูลข่าวสารในชนบทมีพลวัตมากขึ้น เนื่องจากมีคนกระจายตัวแตกต่างไปจากอดีตมากขึ้น เกิดชุมชนใหม่ๆ ขึ้นมา

อีกอย่างเรียกว่า “ประชาธิปไตยท้องถิ่น” การกระจายอำนาจ เป็นสิ่งที่เราเรียกร้องมานาน และเกิดผลชัดเจนมากขึ้น เกิดการกระจายรายได้ ในการจัดสรรทรัพยากรท้องถิ่นชัดเจนมากขึ้น นำไปสู่พื้นที่ทางการเมืองในชนบทที่เปลี่ยนไป การพึ่งพิงระบบราชการลดลง คนแทบไม่ต้องเดินทางไปอำเภอ

กรณีตัวอย่างที่น่าสนใจ เช่น บางหมู่บ้าน ชาวบ้านกำลัง จะมีการเลือกตั้งผู้ใหญ่บ้าน โดยบางคนหาเสียงว่าเขาจะอยู่แค่ 4 ปี ซึ่งน่าสนใจว่า เขาอยากได้การเมืองที่มีพลวัตมากขึ้น

ที่สำคัญ การเมืองเลือกตั้งในท้องถิ่นมีบทบาทสำคัญมากขึ้น ในหลายพื้นที่ การตัดสินใจอำนาจทางการเมืองอยู่กับผู้คนในท้องถิ่นมากขึ้น นอกจากนี้ยังมีการเมืองกึ่งเลือกตั้ง กึ่งแต่งตั้ง ก็คือ สภาองค์กรชุมชน ซึ่งอาจกำลังมีบทบาทมากขึ้น

ฉะนั้น วัฒนธรรมการเลือกตั้ง มี 2 ตัวแบบที่ผู้วิจัยจะเสนอ อยากจะท้าทายว่า เงินไม่ใช่ปัจจัยชี้ขาดการแพ้ชนะเลือกตั้ง โดยเฉพาะในชุมชนหมู่บ้าน ถ้ามีการเหวี่ยงแห มันจะไม่สำเร็จ เพราะถ้าคุณทอดแหไม่เป็น มันจะไม่ได้ปลา

ระบบหัวคะแนนก็เช่นเดียวกัน เขาไม่แจกไปทั่ว คือ แจกทั่วชาวบ้านอาจจะรับ แต่ไม่จำเป็นต้องเลือก แต่จริงๆ แล้วคนที่แจกเงินเป็น เขาจะรู้ว่าแจกใครไม่แจกใคร อาจจะมีพื้นที่เสี่ยงบางพื้นที่หรือพื้นที่ที่เขามั่นใจ ว่าได้แน่ๆ เขาก็ไม่ต้องต้องแจกนะ ผู้ลงคะแนน เป็นผู้ตัดสินใจในเงื่อนไขทางสังคมวัฒนธรรม แต่ผมไม่ได้บอกว่า ควรนำปัจเจกในชุมชนมาเป็นตัวตัดสินใจเด็ดขาด โดยไม่ได้คำนึงถึงอะไรเลย อย่างนั้นไม่ใช่ เขายังมีเครือข่ายของเขา

แต่การตัดสินใจของเขา ไม่สามารถจะสรุปง่ายๆ ว่า เขาถูกครอบงำในระบบอุปถัมภ์ เช่น ไปถามครอบครัว ครอบครัวหนึ่ง มี 6 คน ซึ่งมีญาติ 2 ฝ่าย ถามว่าชาวบ้านจะจัดสรรยังไง เขาบอกว่า ตกลงกันเลยว่าฝั่งละ 3 ก็พอ แล้วก็แบ่งกันไป เข้าคูหาก็กาคนละ 3

ฉะนั้น ถามว่าอยู่ในระบบอุปถัมภ์หรือเปล่า ก็อาจปฏิเสธไม่ได้ แต่ถามว่า เขาไม่ตัดสินใจเหรอ ก็ไม่ใช่ ฉะนั้น ผมคิดว่าเราต้องละเอียดอ่อนกับตรงนี้มากขึ้น

ฉะนั้น ข้อสรุปก็คือ ชนบทใหม่ ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจไม่ใช่ปัญหาเร่งด่วน ขณะที่พลวัตทางเศรษฐกิจและการเมืองท้องถิ่นเปิดพื้นที่ทางเศรษฐกิจการเมืองให้กับคนในชนบทมากขึ้น และต้องการการเมืองของการเลือกตั้ง โดยไม่แบ่งสี ที่สำคัญ ชาวชนบท ไม่สามารถกลับไปสูดอากาศ ประชาธิปไตยน้ำเน่าได้อีกต่อไป

หมายความว่า การเมืองที่ผ่านมา อย่างน้อยในช่วง รัฐธรรมนูญ 2540 ได้ให้อากาศแบบใหม่กับคนในชนบท

กลุ่มพันธมิตรฯ ไม่สามารถ ที่จะดำเนินบทบาททางการเมืองในแบบ นอกระบบการเมืองเลือกตั้งได้ เพราะการเมืองระบบเลือกตั้งได้สถาปนาตัวเอง เป็นวัฒนธรรมทางการเมืองแบบใหม่ในท้องถิ่นไปแล้ว ซึ่ง อาจารย์เอนก เหล่าธรรมทัศน์ อ่านงานวิจัยของผม แล้วบอกว่า "ไม่เชื่อว่ามีชนบทไทยอีกต่อไปแล้ว "

นี่คือ โฉมหน้า ชนบทใหม่ ผ่านสายตา "ยุกติ มุกดาวิจิตรและพวก"

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

ปชป.รอดยากคดี29ล้านชัดไม่พ้นยุบพรรค

จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้

รองประธานวุฒิสภาไม่ประหลาดใจที่ดีเอสไอสั่งไม่ฟ้องทีพีไอฯไซฟ่อนเงิน ชี้แม้ประชาธิปัตย์จะรอดยุบพรรคจากกรณีนี้แต่คดีใช้เงินกองทุนพรรคการเมือง 29 ล้านคงรอดยากเพราะหลักฐานชัด ประธาน กกต. ไม่พูดตรงๆส่งผลดีต่อประชาธิปัตย์หรือไม่ แต่ระบุถ้าต้นทางไม่ลักทรัพย์แล้วจะรับของโจรได้อย่างไร อ้างเห็นหน้าทีมสอบดีเอสไอชุดเก่ามายื่นร้องเรียนก็รู้แล้วว่าเป็นเรื่องการเมือง

ที่พรรคเพื่อไทย นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรค กล่าวถึงกรณีที่นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) สั่งไม่ฟ้องบริษัท ทีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน) ถูกกล่าวหากระทำผิด พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์กรณีไซฟ่อนเงิน 263 ล้านบาท บริจาคให้พรรคประชาธิปัตย์ว่า นายธาริตควรลาออกจากตำแหน่งอธิบดีดีเอสไอไปเป็นนักการเมือง เพราะพฤติกรรมต่างๆที่แสดงออกมานั้นไม่ได้แตกต่างจากนักการเมือง

สั่งไม่ฟ้องตอนนี้เป็นเรื่องบังเอิญ

ที่ทำเนียบรัฐบาล นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า คดีของทีพีไอฯดีเอสไอสอบสวนมานานหลายปีแล้ว พอดีผลออกมาในช่วงนี้ไม่ใช่เพิ่งมาทำ

“ใครจะมองว่าการสั่งไม่ฟ้องทีพีไอฯเป็นการเอื้อต่อคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ก็เป็นสิทธิ สิ่งสำคัญคือการทำงานต้องโปร่งใส ตรวจสอบได้ ใครติดใจสงสัยอะไรก็ร้องเรียนกับองค์กรที่มีหน้าที่ตรวจสอบได้ หากพบว่าผิดก็ต้องรับโทษไปตามกฎหมาย”

ผู้สื่อข่าวถามว่าเป็นประโยชน์ต่อการสู้คดียุบพรรคหรือไม่ นายสาทิตย์ปฏิเสธว่า ให้ไปถามทีมกฎหมายของพรรค เพราะไม่ได้อยู่ในทีมกฎหมาย

รองประธาน ส.ว. ไม่เชื่อ ปชป. รอดถูกยุบ

นายนิคม ไวยรัชพานิช รองประธานวุฒิสภา กล่าวว่า ผลสรุปของดีเอสไอไม่ใช่เรื่องเกินความคาดหมาย จากการติดตามการทำงานทราบว่าแต่ละฝ่ายมีธงในใจอยู่แล้ว และจากกรณีนี้ก็จะทำให้พรรคประชาธิปัตย์รอดพ้นจากการยุบพรรคในคดีรับเงินบริจาคจากทีพีไอฯ แต่กรณีใช้เงินกองทุนสนับสนุนพรรคการเมือง 29 ล้านบาทผิดวัตถุประสงค์คงรอดยาก เพราะมีหลักฐานการใช้จ่ายชัดเจน

ประธาน กกต. ชี้คดีเป็นคนละส่วน

นายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ยืนยันว่า การที่ดีเอสไอสั่งไม่ฟ้องทีพีไอฯเรื่องไซฟ่อนเงินเป็นคนละส่วนกับคดียุบพรรค เพราะเรื่องไซฟ่อนเงินเป็นเรื่องของยักยอกเงินออกจากบริษัทที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ฯ ซึ่งผิดกฎหมายตลาดหลักทรัพย์ฯ การสั่งไม่ฟ้องของดีเอสไอเป็นแค่การชี้ว่ามีการยักยอกหรือไม่เท่านั้น

ต้นทางไม่ลักทรัพย์ก็ไม่รับของโจร

ส่วนกรณีที่พรรคประชาธิปัตย์ระบุว่าเมื่อต้นทางไม่ผิด ปลายทางก็ไม่ผิด นายอภิชาตกล่าวว่า ไม่อยากออกความเห็น แต่ก่อนหน้านี่เคยพูดเอาไว้ชัดเจนว่า “ถ้าต้นทางไม่ลักทรัพย์ แล้วจะรับของโจรได้อย่างไร” แต่เมื่อคดีถูกส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญแล้วก็อยู่ที่ดุลยพินิจของศาล

อ้างเป็นเสียงข้างน้อยไม่อยากพูดมาก

“ผมเคยแสดงความเห็นชัดเจนไปแล้ว แต่เมื่อเป็น กกต. เสียงข้างน้อยก็ไม่อยากพูดอะไรให้มากเรื่อง เอาไว้ให้ศาลเขาตัดสินเอง” นายอภิชาตกล่าวและว่า ต้องเข้าใจว่าดีเอสไอที่เอาสำนวนมาร้องต่อ กกต. กับดีเอสไอที่สั่งไม่ฟ้องเป็นคนละชุด ซึ่งชุดที่เอาสำนวนมาร้องต่อ กกต. มีคนพูดว่าเห็นหน้าก็รู้แล้วว่าเป็นเรื่องการเมือง

ดีเอสไอส่งสำนวนถึงมืออัยการ

นายธนพิชญ์ มูลพฤกษ์ อธิบดีอัยการฝ่ายคดีพิเศษ เปิดเผยว่า ดีเอสไอได้ส่งสำนวนพร้อมความเห็นสั่งไม่ฟ้องคดีบริษัททีพีไอฯทำผิด พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์มาให้พิจารณาแล้ว เบื้องต้นได้มอบหมายให้กับอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 1 รับผิดชอบพิจารณาสำนวนว่ามีความสมบูรณ์ครบถ้วนเพียงพอที่อัยการจะสามารถสั่งคดีได้หรือไม่ หากเห็นว่ามีพยานหลักฐานครบถ้วนที่จะฟ้องคดีต่อศาลได้ก็จะมีคำสั่งแย้งดีเอสไอที่สั่งไม่ฟ้อง เพื่อนำคดีขึ้นสู่ศาลโดยไม่จำเป็นต้องแจ้งกลับไปให้ดีเอสไอรับทราบ หากเห็นว่าพยานหลักฐานยังไม่ครบถ้วนสมบูรณ์พออาจส่งกลับไปให้ดีเอสไอสอบสวนเพิ่มเติม หรือหากเห็นว่าไม่มีความผิดตามข้อกล่าวหาอาจสั่งไม่ฟ้องเหมือนดีเอสไอก็ได้

ยืนยันพิจารณาตามพยานหลักฐาน

ผู้สื่อข่าวถามว่าหนักใจหรือไม่ เพราะคดีนี้เกี่ยวข้องกับคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ที่อัยการส่งฟ้องศาลรัฐธรรมนูญไปแล้ว นายธนพิชญ์ซึ่งเป็นหนึ่งในทีมอัยการพิจารณาสำนวนคดียุบพรรคด้วยระบุว่า เป็นคนละเรื่องกัน การที่อัยการจะสั่งฟ้องหรือไม่ฟ้องคดีใดเป็นไปตามพยานหลักฐาน และคู่ความทั้งผู้ถูกกล่าวหาและผู้กล่าวหาหากเห็นว่าไม่เป็นธรรมก็ร้องขอความเป็นธรรมกับอัยการได้

ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายสกลธี ภัททิยกุล ผู้ช่วยเลขาธิการพรรค เรียกร้องให้พรรคเพื่อไทยเคารพกระบวนการยุติธรรมกรณีดีเอสไอสั่งไม่ฟ้องทีพีไอฯด้วยการระมัดระวังการออกมาให้ความเห็น เพราะเป็นคดีที่เกี่ยวโยงกับคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ที่กำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ การออกมาให้ความเห็นในทางลบจะเป็นการกดดันศาล

ซัดทีม “ทวี” มุ่งเรื่องการเมือง

“ที่ดีเอสไอสั่งไม่ฟ้องทีพีไอฯตอนนี้ก็เป็นเรื่องที่สมควรแก่เวลา เพราะคดีไซฟ่อนเงินเป็นคดีหลัก แต่ผู้บริหารดีเอสไอชุดเก่ากลับไม่มุ่งทำคดีหลัก ไปมุ่งทำคดีรองคือยุบพรรคประชาธิปัตย์จนคดีคืบหน้าไปถึงศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งพรรคสนับสนุนอธิบดีดีเอสไอที่จะตั้งกรรมการสอบเอาผิดทีมสอบสวนชุดเก่าภายใต้การกำกับดูแลของ พ.ต.ท.ทวี สอดส่อง อดีตอธิบดีดีเอสไอ เพราะมีข้อครหาว่าทำคดีนี้เพื่อมุ่งผลทางการเมือง” นายสกลธีกล่าวและว่า ทีมสอบสวนชุดเก่าทราบดีว่าไม่มีอำนาจสอบเอาผิดคดียุบพรรค แต่กลับดึงเวลาเอาไว้นาน 3 เดือนก่อนส่งเรื่องให้ไป กกต. พิจารณา ทำให้เกิดข้อสงสัยว่ามีการตกแต่งพยานหลักฐานในคดียุบพรรคก่อนส่งให้ กกต. หรือไม่

ยัน ปชป. ไม่แทรกแซงดีเอสไอ

ผู้สื่อข่าวถามว่ามีอีกมุมมองว่าพรรคประชาธิปัตย์แทรกแซงดีเอสไอเพื่อให้หลุดจากคดียุบพรรค นายสกลธีกล่าวว่า พรรคประชาธิปัตย์ไม่เคยมีแนวคิดที่จะแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม แม้คดีนี้จะสอบสวนในช่วงที่พรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาล หากคิดจะแทรกแซงคงไม่ปล่อยให้คดียุบพรรคเข้าสู่ศาลรัฐธรรมนูญก่อนที่จะสั่งไม่ฟ้องทีพีไอฯ

ซัดเพื่อไทยขู่ย้ายคือแทรกแซง

“ไม่เหมือนกับพรรคเพื่อไทยที่ออกมาข่มขู่ว่าจะย้ายอธิบดีดีเอสไอหากได้เป็นรัฐบาล ซึ่งเป็นการกระทำที่หวังผลแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมอย่างชัดเจน เพราะทำให้ข้าราชการเกิดความลำบากในการทำงาน ซึ่งเหมือนกับตอนที่พรรคพลังประชาชนเข้ามาเป็นรัฐบาลได้เพียง 2 สัปดาห์ คดีความต่างๆที่เกี่ยวกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ค้างอยู่ในดีเอสไอก็เงียบหายไปทันที โดยเฉพาะคดีปกปิดโครงสร้างการถือหุ้นที่ต้องการให้ดีเอสไอรื้อขึ้นมาพิจารณาใหม่”

กุ 2 มาตรฐานกดดันศาล

ผู้ช่วยเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์กล่าวอีกว่า ขณะนี้มีกระบวนการสร้างเรื่องให้ประชาชนเชื่อว่ากระบวนการยุติธรรมมี 2 มาตรฐานเพื่อสร้างแรงกดดันต่อศาลในคดียุบพรรค เพราะหากไม่ยุบพรรคประชาธิปัตย์ก็จะถูกโจมตีว่า 2 มาตรฐาน ทั้งที่การจะยุบหรือไม่ยุบพรรคควรเป็นไปตามพยานหลักฐาน และควรยึดถือเอาคำตัดสินของศาลเป็นที่สิ้นสุด

เชียร์รื้อโครงสร้างดีเอสไอใหม่

“มีข้าราชการเลวๆ ซึ่งเป็นส่วนน้อยทำให้ดีเอสไอเสียหาย ดีเอสไอเป็นองค์กรที่สามารถรับคดีได้เกือบทุกประเภท หากมีข้าราชการหรือผู้บริหารที่จิตใจไม่เป็นธรรมและฝักใฝ่ทางการเมืองก็จะเป็นเครื่องมือทางการเมืองที่น่ากลัวมาก จึงถึงเวลาแล้วที่จะต้องมีการล้างบางปรับโครงสร้างกันใหม่ ซึ่งทราบมาว่านายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ก็กำลังคิดดำเนินการอยู่ ถ้าไม่ทำช่วงนี้ก็ไม่รู้ว่าจะไปทำตอนไหน” นายสกลธีกล่าว

“ธาริต” ยันทำตรงไปตรงมา

ด้านนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ กล่าวว่า คดีทีพีไอมีทีมสอบสวน 10 คน ภายใต้การนำของ พ.ต.อ.ณรัชต์ เศวตนันท์ รองอธิบดีดีเอสไอ ซึ่งทั้งหมดมีมติเอกฉันท์เห็นควรไม่สั่งฟ้อง เมื่อส่งเรื่องมาถึงตนในฐานะอธิบดีก็มีความเห็นตามพนักงานสอบสวน ซึ่งเป็นการทำหน้าที่ตามกฎหมายอย่างตรงไปตรงมา

“คดียุบพรรคประชาธิปัตย์กับคดีไซฟ่อนเงินของทีพีไอฯเป็นคนละส่วนกัน แต่เป็นที่น่าสังเกตว่าพนักงานสอบสวนชุดเก่าภายใต้การนำของอดีตอธิบดีดีเอสไอไม่ได้ให้น้ำหนักกับคดีไซฟ่อนเงิน ทำคดีด้วยความล่าช้า การทำงานที่ผ่านมาถือว่าสอบสวนไปตามพยานหลักฐาน ไม่เกี่ยวข้องกับคดียุบพรรค” นายธาริตกล่าว

**********************************************************************

ป้ายหาย

กิจกรรม “วันอาทิตย์สีแดง” ที่มี นายสมบัติ บุญงามอนงค์ เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงหลักถือเป็นวิธีการแสดงออกทางการเมืองตามแนวทาง “อหิงสา” อย่างแท้จริง เพราะไม่มีความตั้งใจที่จะดำเนินการด้วยความรุนแรง แต่ใช้การสร้าง “สัญลักษณ์” โดยการ “ผูกผ้าแดง” ที่ป้ายสี่แยกราชประสงค์ ประกอบการแสดงที่ทำให้เห็นว่า “ที่นี่มีคนตาย”

ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำได้ในระบอบประชาธิปไตย ที่ถึงแม้ว่ารัฐบาลเลือกที่จะบริหารราชการด้วยพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน แต่ในเมื่อประเทศไทยเรายังมีรัฐธรรมนูญที่ปกป้องสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นอยู่ การที่ นายสมบัติ และคณะพากันไปที่สี่แยกราชประสงค์ทุกเย็นวันอาทิตย์ จึงเป็นไปตามครรลองอันควร ที่หากรัฐบาล “ใจกว้าง” พอ ควรปล่อยให้เป็นไป

เพราะถ้ายอมแค่นี้ไม่ได้ ก็ไม่รู้จะท่องคาถา “ปรองดอง” กันไปทำไม!!

แต่อย่างว่า รัฐบาลมีทีท่า “แข็งกร้าว” แต่แรก ตั้งแต่การจับกุม นายสมบัติ เมื่อครั้งที่ไป “ผูกผ้าแดง” ที่ป้ายสี่แยกเป็นครั้งแรก เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม และกักกันตัวไว้ร่วม 2 สัปดาห์ จนในที่สุดต้องยอมปล่อยตัวเพราะศาลไม่อนุญาตเนื่องจากไม่มีเหตุเพียงพอที่จะขังไว้ต่อ ท่ามกลางแรงกดดันจากสังคมและสื่อมวลชนบางสำนักที่ตั้งคำถามว่า “ผูกผ้าแดง” ผิดกฎหมายด้วยหรือ?

ครั้นเมื่อ นายสมบัติ ได้รับอิสรภาพ ยังคงเจตนารมณ์เดิม เดินหน้าทำกิจกรรมดังกล่าวต่อ ทั้งมีผู้คนที่ร่วมมากขึ้น บวกด้วยผู้สังเกตการณ์ที่ยังกลัวๆกล้าๆ สงสัยปนหมั่นไส้รัฐบาลมายืนดูใกล้บ้างไกลบ้างตามอัธยาศัยของแต่ละคน

แหม เย็นๆวันอาทิตย์ เศรษฐกิจอย่างนี้ เงินช็อปปิ้งก็ไม่ค่อยมี มายืนดูการท้าทายอำนาจรัฐสนุกๆ สบายใจดีออก!!

หลังการปล่อยตัวรัฐบาลทำ “ใจดีสู้เสือ” รองนายกรัฐมนตรี นายสุเทพ เทือกสุบรรณ แก้เกี้ยวว่าผูกผ้าแดงไม่ผิดกฎหมาย แต่คงหวั่นอยู่ในที เพราะกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์ทำนองนี้เรียกคนที่ยัง “คับข้องหมองใจ” ให้ออกมาร่วมและรวมตัวกันได้ และถ้ามี “โมเมนตั้ม” เกิดเป็นกระแสต่อเนื่องขึ้นมา ขยายตัวเต็มสี่แยก รัฐบาลจะพลอยอยู่ไม่ได้ ดังนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงต้องปฏิบัติการ ทำให้เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ที่สี่แยกราชประสงค์จึงเป็นทั้ง “วันอาทิตย์สีแดง” และ “วันอาทิตย์สีกากี”!!

และเมื่อ นายนที สรวารี หนึ่งในสมาชิกเครือข่ายที่ได้แสดงความคิดเห็นต่อต้านการใช้อำนาจของรัฐบาลในทางที่ผิดมาอย่างต่อเนื่อง ยืนตะโกนปากเปล่าโต้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่มีเครื่องขยายเสียงว่า “ที่นี่มีคนตาย ผมเห็นที่นี่ถูกเผา ผมเห็นคนถูกยิงที่นี่ เอาชีวิตเพื่อนผมคืนมาแล้วเราจะปรองดองด้วย” ตำรวจ (นอกเครื่องแบบ) จึงรวบตัวไปด้วยข้อหา “ส่งเสียงดังเป็นที่เดือดร้อนรำคาญ” ถูกปรับ 100 บาทก่อนปล่อยตัว

นายนที คงเพิ่งรู้เหมือนกันว่าตนเสียงดังกึกก้องน่ารำคาญก็วันที่ถูกจับนั่นเอง แต่จะไปทำให้ใคร “รำคาญใจ” และเป็นใครใหญ่โตแค่ไหนไม่รู้ได้!!

ที่ตลกยิ่งกว่านั้น เป็นมุขที่แม้โชว์ตลกคาเฟ่ต้องอาย คือป้าย “สี่แยกราชประสงค์” ถูก “มือมืด” เอาสีขาวพ่นทับ ทำให้เจ้าหน้าที่เขตมีเหตุผลอ้างได้ในการ “ปลดป้าย” ไป “ซ่อม” ทำเอา “ขาเม้นท์ขาเมาท์” ในโลกไซเบอร์ถึงกับ “ฮา” ว่ารัฐบาลนี้ “อุ้ม” แม้กระทั่ง “ป้าย”

นี่ถ้าเปลี่ยน “สี่แยก” เป็น “วงเวียน” ได้คงทำไปแล้ว!!

ทั้งหลายทั้งปวงนี้ ไม่รู้ว่า นายกรัฐมนตรี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ “รับรู้” และ “ได้รับรายงาน” หรือไม่ หรือเป็นเรื่องของดุลพินิจเจ้าหน้าที่ระดับใด แต่เมื่อปรากฏเป็นข่าวใหญ่โตแล้ว รัฐบาลยังนิ่งเฉย ก็ต้องสรุปว่า “รู้และเห็นชอบ” เพราะในทางการเมืองนั้น การต่อสู้เชิงสัญลักษณ์มีความหมายอันทรงพลังที่เมื่อ “โดนใจ” แล้ว ยากที่จะหยุดยั้งไว้ได้ รัฐบาลส่วนใหญ่จึงเลือกใช้วิธี “ตัดไฟแต่ต้นลม”

แต่รัฐบาลมักจะ “ลืม” ไปว่า หากการใช้อำนาจที่ผ่านมาไม่ได้มีความชอบธรรม ลมที่พัดย่อมมีแต่จะแรงขึ้น และไฟที่โหมกระหน่ำมีแต่จะลุกโชน ไม่มีอะไรมาทัดทานไว้ได้ ยิ่งมา “เก็บเล็กเก็บน้อย” ไม่มีทีท่าประนีประนอม ป้ายที่หายไปกลับเป็นสัญลักษณ์ของรัฐบาลที่ขาดความมั่นคงและความมั่นใจ

มีเพื่อนบางคนบอกผมว่ารัฐบาลนี้ “Paranoid” คือเห็นอะไรกลัวไปหมด บางคนบอกผมว่าเป็น “Hypocrite” ผมไม่แน่ใจเลยรีบเปิดพจนานุกรมดูได้ความหมายว่า “ผู้ที่ทำตัวเป็นคนดี แต่หัวใจเลวทราม” หรือ “คนชนิดที่มือถือสากปากถือศีล, คนมารยา”

ให้คนจำว่าเป็นรัฐบาลที่ “ใจกว้าง” ไม่ดีกว่าหรือ?!?

โดย สุรนันทน์ เวชชาชีวะ
ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์สยามรัฐ ฉบับวันที่ 21 กรกฎาคม 2553
***********************************************

โยนกันมั่ว "ไอ้โม่ง"อมเพชร อธิบดีดีเอสไอ โป้ย เครื่องเพชรที่ยึดได้มาจากวัดปทุมวนารามฯ ส่งมอบให้ทหารแล้ว

ข่าว Nationsiam.com

นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ออกโรงยืนยันไม่มีเครื่องเพชรที่สูญหายในบัญชีคุมของกลางของดีเอสไอ หลังจากเจ้าของร้านเพชรแห่งหนึ่งย่านราชประสงค์เข้าร้องทุกข์ในโครงการ ยุติธรรมสัญจร สำนักงานเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมอ้างว่าถูกทุบตู้โจรกรรม เครื่องเพชรไปในช่วงเหตุการณ์ชุมนุมกลุ่มคนเสื้อแดงและเกิดความไม่สงบเมื่อ วันที่ 19 พฤษภาคมที่ผ่านมา และภายหลังเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจยึดคืนเครื่องเพชรจากผู้ชุมนุมที่เข้าไปหลบ ในวัดปทุมวนารามฯ ก่อนจะมีการลงบันทึกหลักฐานส่งให้ทหารนำไปแถลงข่าวที่ศูนย์อำนวยการแก้ไข สถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) จากนั้นทหารทำบันทึกข้อมูลก่อนส่งมอบของกลางให้ดีเอสไอ จากนั้นเจ้าของไม่ได้เห็นเครื่องเพชรชุดดังกล่าวอีกเลย

นายธาริตให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม ว่า ได้เรียก พ.ต.ท.วรรณพงษ์ คชรักษ์ ผู้บัญชาการสำนักเทคโนโลยีและสารสนเทศ และ พ.ท.สิทธิพร เจริญพุฒ ผู้อำนวยการส่วนรักษาของกลาง มาชี้แจง และนำเอกสารการตรวจรับของกลางจาก ศอฉ.มาตรวจสอบ ขอชี้แจงว่าของกลางที่ส่งมายังดีเอสไอมี 2 ตู้คอนเทนเนอร์ เป็นการส่งมอบต่อกันเป็นทอดๆ

นายธาริตกล่าวว่า สำหรับเครื่องเพชรที่ยึดได้มาจากวัดปทุมวนารามฯ ตำรวจส่งมอบให้ทางทหาร และดีเอสไอเป็นเพียงหน่วยงานปลายทางที่รับมอบทอดสุดท้ายเท่านั้น การรับมอบของกลางดีเอสไอมีหลักฐานการเซ็นรับ โดยการส่งมอบมีการแจ้งจำนวนจิวเวลรีทั้งสิ้น 40 รายการจากของกลางใน 2 ตู้คอนเทนเนอร์ และเจ้าหน้าที่ได้ถ่ายภาพทำบันทึกไว้ทั้งหมด ดังนั้น จึงมีบัญชีคุมของกลางค่อนข้างรัดกุม และบันทึกของกลางของดีเอสไอไม่ปรากฏรายการเครื่องเพชรที่สูญหาย

" ดีเอสไอไม่ได้โยนความผิดให้ทหารหรือตำรวจ และเพื่อให้เกิดความเป็นธรรม ขณะนี้ทราบว่า พ.อ.เฟื่อง อนิรุธ์เทวา เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กำลังตรวจสอบ ซึ่งต้องให้ความเป็นธรรมกับดีเอสไอด้วย เพราะไม่มีของกลางที่หายไปจากดีเอสไอรับผิดชอบ ส่วนสิ่งของจะมีอยู่จริงหรือไม่และสูญหายจริงหรือไม่ พร้อมให้ความร่วมมือในการพิสูจน์ความจริง ขณะเดียวกันก็จะไม่เข้าไปแทรกแซงการตรวจสอบและการทำงานของกระทรวงยุติธรรม" นายธาริตกล่าว

วันเดียวกัน เวลา 09.00 น. ที่โรงเรียนกลาโหมอุทิศ พล.อ.อภิชาต เพ็ญกิตติ ปลัดกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงกรณีที่เจ้าของร้านเพชรแห่งหนึ่งเข้าร้องเรียนกับกระทรวงยุติธรรม เครื่องเพชรที่เจ้าหน้าที่ยึดมาได้จากกลุ่มคนเสื้อแดงและเก็บรักษาอยู่ที่ดี เอสไอได้สูญหาย ว่า เคยมีรายงานในที่ประชุม ศอฉ. หลังจากเหตุการณ์วันที่ 19 พฤษภาคม 2553 ว่า มีการขโมยเพชรของร้านที่ถูกไฟไหม้เท่านั้น แต่ไม่เคยนำเครื่องเพชรเหล่านั้นมาแสดงว่ามีอยู่จริงหรือไม่ และดีเอสไอคงชี้แจงได้ หลังเกิดเหตุแล้วไม่เคยมีรายงานต่อที่ประชุม ศอฉ.ว่าสามารถจับกุมหรือได้รับเครื่องเพชรกลับคืนมา
นายถวิล เปลี่ยนศรี เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) กล่าวว่า คงเป็นไปไม่ได้ เพราะไม่มีใครอมเพชรได้ โดยหลักการแล้วเจ้าหน้าที่คงนำหลักฐานไปชี้แจง

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า วันนี้ไม่มีการพูดถึงหรือสอบถามเรื่องนี้ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) แต่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีหน้าที่ต้องชี้แจง

พวกปัญญาชนผู้รอบรู้ เคยหัวเราะเยาะทักษิณแต่นโยบายเศรษฐกิจแบบ ประชานิยมของเขากำลังได้รับความนิยมแพร่หลายในเอเชีย

ในศัพท์ทางการเมือง คุณทักษิณ ชินวัตรไม่ได้เป็นอะไรไปมากกว่า “ผู้สูญเสียอำนาจ” เมื่อสองอาทิตย์ที่แล้ว
อดีตนายกรัฐมนตรีแอบดอดเดินทางไปต่างประเทศมุ่งสู่คฤหาสน์หลังงามในอังกฤษของเขาอย่างเงียบๆ

 เป็นการจบความคาดหวังที่เคยคาดการณ์ไว้ว่าการกลับคืนสู่มาตุภูมิด้วยความภาคภูมิใจในชัยชนะของเขาเมื่อเดือนมกราคมอาจเป็นลางบ่งบอกถึงการหวลกลับคืนสู่เวทีการเมืองระดับชาติอีกครั้งจากที่ต้องลี้ภัยอยู่หลายเดือน
หลังถูกโค่นล้มอำนาจจากการทำรัฐประหารอย่างไม่เสียเลือดเนื้อเมื่อปี 2549

คุณทักษิณได้ออกแถลงการณ์ถึงสาเหตุที่ต้องบินไปยังอังกฤษครั้งนี้ว่า ข้อกล่าวหาเรื่องเส้นสายแห่งการคอร์
รัปชันและข้อกล่าวหาอื่นๆกำลังถูกนำเข้าสู่การพิจาราณาคดีในชั้นศาลไทย “ที่มีธงตั้งไว้แล้วล่วงหน้าเพื่อจัด
การกับผมและครอบครัว” การลี้ภัยแบบคาดไม่ถึงของมหาเศรษฐีพันล้าน(เหรียญสหรัฐ)ผู้สร้างฐานะด้วยตน
เองครั้งนี้ก่อให้เกิดการถกเถียงถึง ความถูกต้องของข้อกล่าวหาที่เขากำลังเผชิญอยู่ ทั้งเรื่องที่ทางกรุงเทพฯ
ควรดำเนินการเรื่องการส่งผู้ร้ายข้ามแดนหรือไม่และตัวจักรทางการเมืองของคุณทักษิณในอนาคต

แต่แทบไม่มีการกล่าวถึงผลงานที่อยู่ยืนยงสถาพรของคุณทักษิณเลย นั่นคือ: “การพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานราก
” ที่ได้รับความสนใจอย่างกว้างขวางในหมู่ประเทศกำลังพัฒนา ในการโปรโมทตัวเองนิดหน่อยอย่างไม่ต้องอาย
คุณทักษิณประทับตรายุทธศาสตร์การพัฒนานี้ว่า “ทักษิโณมิกส์” ยุทธศาสตร์นี้ถูกนำไปใช้ในการรณรงค์หาเสียง
ว่าเป็นนโยบายเพื่อยกระดับฐานะของผู้มีสิทธิเลือกตั้งในเขตที่เขาลงสมัคร (ชาวไทยชนบท) ให้พ้นจากความ
ยากจน นโยบายทักษิโณมิกส์ถูกนำไปใช้ปฏิบัติจริงหลังจากที่เขาชนะเลือกตั้งกลับเข้ามาเป็นรัฐบาลเมื่อปี
2544 ความคิดริเริ่มของคุณทักษิณได้พลิกฟื้นความเสียหายที่เกิดจากวิกฤติการเงินเอเชียช่วงปี 2540-41
และทำให้ การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไทยเป็นไปอย่างรวดเร็วจนเป็นที่อิจฉาในภูมิเอเชียตะ
วันออกเฉียงใต้

ปัจจุบันนี้ นโยบายเศรษฐกิจที่หยิบยืมมาจาก“ทักษิโณมิกส์” กำลังถูกนำไปใช้เพิ่มมากขึ้นทั่วทั้งกลุ่มประเทศ
กำลังพัฒนาในภูมิภาคเอเชียเพื่อจัดการกับปัญหาเดียวกันที่เคยระบาดในประเทศไทยช่วงปลายทศวรรษ 1990
และในตอนนี้ได้คุกคามทั่วทั้งภูมิภาค ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง: การพึ่งพาตลาดส่งออกจากอีกประเทศหนึ่งมากเกิน
ไป การพัฒนาแบบไม่เท่าเทียมในประเทศและ ช่องว่างของรายได้ระหว่างคนรวยและคนจนที่เพิ่มถ่างมากขึ้น

นักวิพากษ์วิจารณ์ได้ประณามนโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจของคุณทักษิณว่าเป็น “นโยบายประชานิยมที่ผลาญ
เงินงบประมาณอย่างมหาศาล” แต่ผู้ที่ไม่ยอมรับนโยบายของทักษิณเหล่านี้ต้องรีบเปลี่ยนความคิดอย่างรวดเร็ว
เมื่อนโยบายประชานิยมอย่าง การพักหนี้เกษตรกรและกองทุนหมู่บ้านได้กระตุ้นภาคอุตสาหกรรมการผลิตและบริการให้เกิดขึ้นในระดับรากหญ้าและการปรับปรุงสวัสดิการพื้นฐานที่อ่อนแอของประเทศไทยให้ดีขึ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งการจัดให้มีโครงการประกันสุขภาพถ้วนหน้า 30 บาทรักษาทุกโรค(เกือบฟรี) ได้ช่วยปลดปล่อยครัวเรือน
ในชนบทให้เกิดการออมน้อยลงและออกไปจับจ่ายใช้สอยเพิ่มมากขึ้น(ยกระดับการบริโภคภายในประเทศ) คุณทักษิณเรียกยุทธศาสตร์นี้ว่า “การพัฒนาแบบคู่ขนาน” หรือ “การพัฒนาเศรษฐกิจทวิวิถี” ซึ่งกระตุ้นให้เกิดอุปสงค์จากตลาดภายในประเทศมากขึ้นควบคู่ไปกับภาคการส่งออกและมันทำงานได้ผลจริงๆ

แน่นอนว่า หนี้สาธารณะได้เพิ่มสูงขึ้นแต่ก็ชดเชยด้วยอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจและรายได้จากภาษีอากรที่เพิ่มขึ้น เศรษฐกิจของประเทศไทยขยายตัวเกือบ ร้อยละ 6 ต่อปีจากปี 2544-2549 โดยพึ่งพาการลงทุนจากต่างประเทศและการส่งออกที่ลดลงและจริงๆแล้วช่องว่างระหว่างรายได้ของประเทศไทยก็หดแคบลงในขณะที่ระยะ
ห่างระหว่างคนมั่งมีและคนยากจนกลับกว้างมากขึ้นทุกหนแห่งในภูมิภาคเอเชียอย่างเห็นได้ชัด

ระบบคิดในการดำเนินกลยุทธ์ทางเศรษฐกิจของทักษิณในตอนนี้ได้รับการยอมรับนับถือว่าเป็น “ความคิดที่ฉลาดหลักแหลม” นโยบายประชานิยมที่เน้นการเข้าถึงแหล่งทุน โอกาสในการจ้างงานและการบริการสังคมขั้นพื้นฐานสามารถเปลี่ยนโฉมจากภูมิภาคที่เสียเปรียบกลายเป็นเครื่องจักรขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลกได้

ประธานาธิบดีของอินโดนีเซีย ซูซิโล บัมมัง ยุดโดโยโนได้เดินตามรอย “ทักษิโณมิกส์” ในการช่วยเหลือครัวเรือน
ที่ยากจนที่ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากปัญหาราคาน้ำมันที่พุ่งสูงขึ้นโดยออกมาตราการใช้เงินอุดหนุนพยุง
ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงในประเทศเพื่อไม่ให้คนยากจนต้องใช้น้ำมันแพง หรือ นายมันโมฮัน ซิงห์ นายกรัฐมนตรี
ของอินเดียได้ริเริ่มโครงการสร้างงานในชนบทหลายล้านตำแหน่ง ความต้องการในการบรรลุเป้าหมายการเติบโตทางเศรษฐกิจของเขาสะท้อนให้เห็นถึงการเดินตามนโยบายประชานิยมของทักษิณเป็นอย่างมาก หรือ ประธานาธิบดีกลอเรีย มาคาปากัล อาร์โรโย แห่งฟิลิปปินส์ที่ครั้งหนึ่งเคยประกาศว่า “ฉันเป็นสานุศิษย์ของทักษิโณมิกส์อย่างไม่อาย” และนับตั้งแต่ปี 2549 เมื่อจีนเปิดตัวโครงการขนาดยักษ์ใหญ่เพื่อปรับเปลี่ยนทิศทาง

การลงทุนของรัฐที่ต้องการเนรมิตโครงการ “การพัฒนาชนบทตามแนวทางสังคมนิยมรูปแบบใหม่” ขึ้นในพื้นที่ชนบทห่างไกล ทางปักกิ่งได้ยกเลิกภาษีการเกษตรทั่วประเทศ จัดสรรเม็ดเงินหลายร้อยล้าน(เหรียญสหรัฐ)ให้
กับอุตสาหกรรมในชนบทและนอกจากนี้ยังหาหนทางเพื่อช่วยฟื้นฟูจังหวัดที่ยากจนทางตอนกลางของประเทศ
(ย้อนไปในปี 2003 จีนได้ส่งคณะผู้แทนชุดหนึ่งไปยังประเทศไทยเพื่อศึกษา “ทักษิโณมิกส์” ตามรายงานของ
ทางการจีน)

บรรดาผู้นำของจีนได้ยืนยันถึงความสำคัญของสิ่งที่ประธานาธิบดี หู จิ่นเทาเรียกว่า “การเติบโตที่ก้าวไปพร้อม
กัน” เมื่อครั้งที่สภาประชาชนแห่งชาติจัดการประชุมขึ้นช่วงเดือนมีนาที่ผ่านมาและไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา ราย
งานการวิเคราะห์ของจีนและต่างประเทศได้บอกเป็นนัยว่าในเร็วๆนี้ทางปักกิ่งจะเปิดเผยถึงมาตรการทางด้าน
การคลังใน การกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดยักษ์ซึ่งพุ่งเป้าไปที่ภาคเศรษฐกิจที่มีข้อเสียเปรียบ

ในฐานะผู้นำชาติอาเซียนที่เป็นผู้บุกเบิกการพัฒนาเศรษฐกิจแบบคู่ขนาน หากไม่ผิดพลาดทางการเมืองแบบมโหฬารอย่างไม่น่าให้อภัยเสียก่อน ทักษิณอาจก้าวขึ้นสู่ “ทำเนียบปูชนียบุคคลแห่งแวดวงนักคิดทางเศรษฐ
กิจผู้ยิ่งใหญ่” ไปแล้ว โดยในช่วงปลายปี 2548 เขาได้ขายกลุ่มธุรกิจโทรคมนาคมขนาดใหญ่ของครอบครัว
ให้กับบริษัทเพื่อการลงทุนของรัฐบาลสิงคโปร์ที่สนนราคา 1.9 พันล้านเหรียญสหรัฐโดยไม่ต้องจ่ายภาษี
ดีลการซื้อขายครั้งนี้พิสูจน์แล้วว่าเป็น ”การวางแผนที่ผิดพลาด” แม้แต่ในประเทศที่มีวัฒนธรรมการเมือง
แบบระบบพวกพ้องที่อะลุ้มอะหล่วยต่อกันอย่างไทย

ในการเปิดเกมรุกโต้ตอบทักษิณครั้งนี้ ได้มีการประสานความร่วมมือกันระหว่างชนชั้นสูงที่เป็นกลุ่มทุนเก่า
พรรคร่วมฝ่ายค้านและผู้มีอำนาจในกองทัพโดยเรียกร้องให้เขาลาออกและจัดแสดงการชุมนุมประท้วงบน
ท้องถนนที่ทำให้กรุงเทพฯเป็นอัมพาตอยู่หลายเดือน

ต่อมา ในวันที่ 19 กันยายน 2549 กองทัพไทยได้ทำรัฐประหารเป็นครั้งที่ 13 นับตั้งแต่ปี 2488 เข้ายึดอำนาจ
การปกครองขณะที่ทักษิณยังอยู่ที่กรุงนิวยอร์คเพื่อกล่าวสุนทรพจน์ที่องค์การสหประชาชาติ
ในตอนแรก รัฐบาลทหารพยายามที่จะเก็บพับ “นโยบายทักษิโณมิกส์” โดยเชิดชูยกย่อง “เศรษฐกิจพอเพียง”
ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากวิถีชีวิตแบบพุทธขึ้นมาแทน อย่างไรก็ตามปฏิกิริยาสะท้อนกลับอย่างรุนแรงที่เป็น
ไปแบบทันควันทำให้บรรดานายทหารต้องรีบเปลี่ยนแนวนโยบายแทบไม่ทัน แม้กระทั่งโละทิ้งโครงการประกันสุขภาพถ้วนหน้า 30 รักษาทุกโรคของทักษิณเปลี่ยนมาเป็น “รักษาฟรีทุกโรค” แทน รัฐบาลชุดใหม่ของไทย
ได้เดินตามรอยนโยบายของทักษิณด้วยการออกมาตรการลดภาษีน้ำมัน ใช้ไฟฟ้า-ประปาฟรีสำหรับครัวเรือน
ขนาดเล็กและกระทั่งขึ้นรถเมล์-รถไฟฟรี!

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง สุรพงษ์ สืบวงศ์ลีกล่าวถึงมาตราการที่ออกมาเหล่านี้ว่านโยบาย (6 มาตรการ 6 เดือน)เหล่านี้จะช่วยเพิ่มอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจประจำปีสูงถึงร้อยละ 6 และสามารถลดการใช้จ่ายของ
ครัวเรือนได้ประมาณ 350 เหรียญสหรัฐต่อปีโดยเฉลี่ย

“ผู้ที่นำเสนอนโยบายเหล่านี้มาปฏิบัติจะได้คะแนนเสียงอย่างแน่นอน ส่วนผู้ที่ยกเลิกนโยบายเหล่านี้จะสูญเสียคะแนนเสียงแทน” นิธินัย สิริมัทการ นักเศรษฐศาสตร์อิสระกล่าว
แต่นั่นเป็นเพียงบางส่วนของการอธิบายถึงความนิยมของนโยบายประชานิยมเท่านั้น เมื่อผลงานในอดีตของ
ทักษิณแสดงได้อย่างยอดเยี่ยม บทสรุปอีกอันที่ตามมาก็คือ “นโยบายคู่ขนานที่เฉียบแหลม” จริงๆแล้วมัน
ทำงานได้ผลนั่นเอง

ความนิยมของนโยบายประชานิยมเท่านั้น เมื่อผลงานในอดีตของ
ทักษิณแสดงได้อย่างยอดเยี่ยม บทสรุปอีกอันที่ตามมาก็คือ “นโยบายคู่ขนานที่เฉียบแหลม” จริงๆแล้วมันทำงานได้ผลนั่น

โดย จอร์จ เวอห์ฟริซส์

นิตยสารนิวส์วีคระหว่างประเทศ
ฉบับวันที่ 23 สิงหาคม 2551
**********************************************************************

วันอังคารที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

อึ้งล่อซื้อแค่6หมื่นดีเอสไอได้อาวุธสงครามปืน-กระสุน-ระเบิดเพียบ

จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้

ดีเอสไอโชว์ปืน-กระสุน-ระเบิดที่ได้จากการล่อซื้อมาจากมือขวา “เสธ.แดง” เผยใช้เงินแค่ 60,000 บาทแต่ได้อาวุธสงครามร้ายแรงมาเพียบ อ้างผู้ต้องหาไม่ได้ลงทุนและไม่ได้ค้าอาวุธเป็นอาชีพเลยคิดราคาถูก ยันตั้ง 8 ข้อหาไม่ได้ยกเมฆ ทุกอย่างเป็นไปตามพยานหลักฐาน ด้าน “แม่-เมีย” ของ “สุรชัย” โผล่ขอความเป็นธรรม จี้ดีเอสไอหยุดกล่าวหาหากหลักฐานยังไม่ชัดเจน ตั้งข้อสังเกตเป็นมือขวา เสธ. คนดังทำงานใหญ่แต่ทำไมไม่มีเงินใช้ ทำไมยังอยู่ห้องเช่าเดือนละ 1,500 บาท ชี้แจงข่าวไปฝึกอาวุธเมืองจีนที่แท้ไปเที่ยวกับบริษัททัวร์

วันที่ 19 ก.ค. 2553 นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) พร้อมด้วย พ.ต.อ.ณรัชต์ เศวตนันท์ รองอธิบดีดีเอสไอ ร่วมกันแถลงความคืบหน้าคดีจับกุมนายสุรชัย เทวรัตน์ หรือหรั่ง ลูกน้องคนสนิทของ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือ เสธ.แดง

โชว์อาวุธล่อซื้อจาก “หรั่ง”

พ.ต.อ.ณรัชต์กล่าวว่า ก่อนการจับกุมเมื่อวันที่ 15 ก.ค. ที่ผ่านมา ดีเอสไอได้ล่อซื้ออาวุธจากลุ่มนายหรั่ง ประกอบด้วยปืนอาก้า 4 กระบอก 1 ใน 4 เป็นปืนใหม่ที่ผลิตจากประเทศจีน เครื่องยิงระเบิดเอ็ม 79 จำนวน 2 กระบอก ลูกระเบิดเอ็ม 79 หัวทองขนาด 40 มม. 4 ลูก และลูกระเบิดขนาด 40 มม. อีก 8 ลูก ซองกระสุนอาก้า 14 ซอง ซองกระสุนปืนเอ็ม 16 ขนาด 30 นัด 1 ซอง ซองกระสุนปืนเอ็ม 16 ขนาด 20 นัด 1 ซอง ลูกระเบิดขว้าง 57-89 ไอที 25 ลูก กระสุนเอ็ม 30 จำนวน 102 นัด กระสุนขนาด 5.56 มม. 614 นัด กระสุนเอเค 47 จำนวน 1,375 นัด ปลอกลูกกระสุน 40 มม. 1 ปลอก กระเป๋าใส่ซองกระสุน 4 ใบ กระเป๋าเป้ 4 ใบ และถุงปุ๋ย 2 ใบ

ใช้เงินล่อซื้อแค่ 6 หมื่นบาท

“จากการส่งสายลับเข้าไปหาข่าวพบว่านายหรั่งไปเคลื่อนไหวอยู่ในพื้นที่จังหวัดชลบุรีหลังคนเสื้อแดงยุติการชุมนุม และสามารถจัดหาอาวุธที่สายสืบต้องการในการล่อซื้อมาให้ได้ โดยใช้เงินในการล่อซื้อ 60,000 บาท ตอนแรกตั้งใจว่าจะล่อซื้อเพื่อขยายผลให้ได้มากกว่านี้ แต่นายหรั่งเริ่มรู้ตัวก่อนจึงต้องจับกุมมาดำเนินคดี”

รองอธิบดีดีเอสไอกล่าวอีกว่า หลังจากนี้จะนำอาวุธที่ได้จากการล่อซื้อไปตรวจพิสูจน์อย่างละเอียด โดยจะดูว่าเป็นอาวุธที่ผลิตจากที่ใด และนำเข้ามาได้อย่างไร ส่วนการขยายผลคดีจะมีการออกหมายจับเพิ่มอีก 4 คน

ตั้ง 8 ข้อหาหนักไม่เกินเลย

ด้านนายธาริตกล่าวว่า การตั้งข้อกล่าวหากับนายหรั่ง 8 ข้อหาไม่ใช่เรื่องเกินเลย ทุกคดีมีพยานหลักฐานชัดเจน หากเปรียบเทียบกับเหตุร้ายที่เกิดขึ้นเฉพาะแค่คดียิงเอ็ม 79 มีมากถึง 60 คดี ซึ่งทั้งหมดเป็นกลุ่มเดียวกัน

“หากบ้านเมืองอยู่ในช่วงปรกติคนคนเดียวอาจจะไม่สามารถก่อความไม่สงบได้มากถึง 8 คดี แต่กรณีนี้เป็นเรื่องที่เกิดในช่วงบ้านเมืองไม่เป็นปรกติ มีการเวียนกันทำงานในกลุ่มผู้ก่อเหตุ ซึ่งดีเอสไอมีทั้งภาพถ่ายและประวัติของผู้ก่อเหตุ ส่วนการนำอาวุธสงครามออกมาขายก็เป็นเพียงกิจกรรมหนึ่งที่ทำหลังยุติการชุมนุม ยังมีพฤติกรรมอื่นที่เกี่ยวข้องกับการก่อการร้ายอีก” นายธาริตกล่าว

ย้ำดีเอสไอมีหน้าที่ค้นหาความจริง

ผู้สื่อข่าวถามว่าฝ่ายความมั่นคงระบุว่านายหรั่งเป็นแค่ตัวประกอบไม่ใช่ตัวการหลัก อธิบดีดีเอสไอกล่าวย้อนถามว่า หน่วยไหน เรื่องนี้อาจมีข้อเท็จจริงที่แตกต่างกัน ดีเอสไอมีหน้าที่ค้นหาความจริง ซึ่งก็พบพยานหลักฐานต่างๆตามที่ได้ชี้แจงไป

“ถ้านายหรั่งไม่ใช่คนสำคัญคงจะไม่ไปมาหาสู่และอยู่เคียงข้าง เสธ.แดงตลอดเวลา ซึ่งการเดินทางไปต่างประเทศดีเอสไอก็มีหลักฐานทั้งไฟท์การเดินทาง หนังสือเดินทาง ภาพปรากฏที่สุวรรณภูมิชัดเจน ถ้าไม่มีความสำคัญก็คงจะไม่เกี่ยวข้องมากขนาดนั้น” นายธาริตกล่าว

“หรั่ง” ไม่ใช่นักค้าอาวุธเลยขายถูก

ผู้สื่อข่าวถามอีกว่าเงินล่อซื้อ 60,000 บาทดูเหมือนจะน้อยเกินกว่าอาวุธที่นำมาโชว์ อธิบดีดีเอสไอกล่าวว่า อาวุธที่ได้ล่อซื้อมานายหรั่งอาจไม่ได้ลงทุนก็ได้ ประกอบกับนายหรั่งเองก็ไม่ได้ทำเรื่องค้าอาวุธเป็นหลัก ซึ่งในตอนแรกเขาเสนอขายราคา 100,000 บาท เมื่อดูตามข้อเท็จจริงอาวุธมีราคามากกว่านั้น

ยันมีหลักฐานเชื่อมโยงแกนนำเสื้อแดง

ส่วนการเชื่อมโยงกับแกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) แดงทั้งแผ่นดินนั้น นายธาริตกล่าวว่า นายหรั่งกับแกนนำ นปช. มีความเชื่อมโยงกันอยู่แล้ว เป็นขบวนการที่ต่อถึงกันทั้งหมด การที่ดีเอสไอนำไปโยงเป็นข้อเท็จจริงจากการสืบสวนทั้งสิ้น

ที่พรรคเพื่อไทย นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรค พร้อมด้วยนางเกลี้ยง แสนแกล้ว มารดา และนางเดือน ตาไธสง ภรรยาของนายหรั่ง ร่วมกันแถลง โดยนางเดือนกล่าวด้วยน้ำตาว่า อยากขอความเป็นธรรมให้สามี เพราะเกรงว่าจะตกเป็นแพะและอยากให้ดีเอสไอนำพยานหลักฐานมาแสดงมากกว่านี้ เพราะเป็นข้อกล่าวหาในคดีร้ายแรง

เมียแฉชีวิตยากลำบากเหมือนเดิม

“ผิดว่ากันไปตามผิด ไม่มีปัญหา แต่อยากให้แสดงหลักฐานที่ชัดเจนก่อนกล่าวหา เพราะผู้ถูกกล่าวหาตกเป็นจำเลยของสังคม ถูกมองว่าทำผิดทั้งทีคดียังไม่จบ นางเดือนกล่าวและว่า ที่ผ่านมายังมีชีวิตความเป็นอยู่เหมือนเดิม ยังต้องอยู่ห้องเช่าเดือนละ 1,500 บาท ย่านจรัญสนิทวงศ์ และที่ผ่านมาสามีก็เอาเงินมาให้ใช้เพียง 10,000 บาท

งงทำงานใหญ่ทำไมไม่มีเงิน

นางเกลี้ยงกล่าวเสริมว่า ถ้าเขาเป็นมือขวา เสธ.แดงจริง เขาทำงานใหญ่ก็ต้องมีเงินมากกว่านี้ แต่เวลากลับบ้านทำไมไม่มีเงินติดตัว จะขึ้นรถกลับกรุงเทพฯยังต้องขอเงินแม่กลับ

นายพร้อมพงศ์ถามว่าที่มีข่าวว่าไปเมืองจีนไปกับทัวร์ใช่ไหม นางเดือนและนางเกลี้ยงกล่าวทำนองเดียวกันว่า ไปเที่ยว ไปกับทัวร์ คนที่ไปมีทั้งเด็กและผู้หญิง

ผู้สื่อข่าวถามว่าทำไมโดนจับที่จังหวัดลพบุรี นางเดือนกล่าวว่า ปรกติเขาก็ไปชุมนุมบ้างเป็นบางวัน ไปนอนที่ม็อบบ้าง แต่เขาเป็นแค่การ์ดธรรมดา ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมต้องไปนอนที่ลพบุรี

นายพร้อมพงศ์กล่าวว่า พรรคจะตรวจสอบตามคำร้องเรียนของมารดาและภรรยาเพื่อให้กระบวนการทำงานของดีเอสไอมีความโปร่งใส เพราะเกรงเหมือนกันว่านายหรั่งจะเป็นแพะหรือถูกทำให้เป็นคดีทางการเมือง

อารมณ์ อาถรรพ์ อาฆาต

โปรดอย่าถาม..
ว่าทำไม สุเทพ เทือกสุบรรณ ถึงไม่ลงพื้นที่ เขต6 เพื่อช่วยสมาชิกพรรคเหมือน “ผู้บริหารประชาธิปัตย์”หลายคน..ที่ไปลุยช่วยเดินหาเสียงอยู่ในขณะนี้

เหตุผล อาจเป็นได้ว่าตนเองได้เสนอ นางสาว จิตภัสร์ ภิรมย์ภักดี แล้วไม่ได้สมปรารถนา จึงไม่อยากจะสนจู๋ด้วย

และเลิกฉงนกันได้แล้วว่า.. อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในฐานะหัวหน้าพรรค และ เป็นนายกรัฐมนตรี ได้ถูกประดาแฟนๆเรียกร้องอยากเห็นหน้ากันใจจะขาด

ก็มาให้เห็นแล้วแบบลมพัดมาวูบๆ แล้วก็หอบหายไปเหมือนใต้ฝุ่น
ด้วยเหตุดังนี้ ทำให้ราคาผู้สมัคร ประชาธิปัตย์ พนิช วิกิตเศรษฐ์ ที่เป็นต่อ ก่อแก้ว พิกุลทอง ของ “เพื่อไทย”อย่างสุดกู่ ถ้าเป็นบอล ก็ประมาน “ลูกครึ่งควบสองลูก”

ลดลงมาเหลือแค่ ป.ปลา หรือ “เสมอควบครึ่ง”เท่านั้น!!
เหมือนเมื่อตอนที่ “สเปน” ชิงถ้วยกับ “ฮอลแลนด์”..ราคาต่อ-รองก็เล่นกันอย่างนี้แหละ ฮอลแลนด์ ไม่ต้องทำอะไร คอยสวนอย่างเดียว ติ๊ดชึ่งจนหมดเวลา90นาทีคนถือหาง “ดัตซ์” ก็รับทรัพย์ไปแบบนิ่มๆ

แล้วนี่กูจะมานั่งสาธยายให้อกมันกลัดหนองอีกทำไมวะเนี่ย..โธ่!.. ไอ้เวลคัมทูมายเวิลด์..
เอาเป็นว่า ทั้ง “เทพเทือก” และ “มาร์คกี้” ออกอาการกล้าๆ กลัวๆ ก็แล้วกัน เพราะมันเย็นยะเยือกเสียววาบๆ เหมือนคนเป็นริดสีดวงทวารยามยืนอยู่ในที่โล่ง

ยิ่งมีข่าว “ลอบสังหาร” ถี่..ทำให้ท้องไส้ปั่นป่วนจะขี้แต่ละทีกลีบบานไม่รู้โรย
ส่วน “แหล่งข่าว” ที่มาของการลอบสังหารจะ ลับ ลวง พราง แค่ไหนไม่สำคัญ..ความสำคัญมันอยู่ที่ว่า “งานล้างป่าช้า” ที่ราชประสงค์มีคนตายเยอะ..ถึงเยอะมาก!!

เพราะ “ชีวิตคน” ไม่ใช่ “ทรัพย์สิน-สิ่งของ” ที่หมดแล้วหามาเติมใหม่ได้
แต่.. คนตายแล้วเป็น “ผี”ทันที..เหลือไว้แต่ อารมณ์ อาถรรพ์ อาฆาต ของญาติผู้ตายที่ช้ำจุกแน่นอยู่ในหัวอกเท่านั้น!!

มันนัวเนีย นุงนัง ยุ่งเหยิง ยั้วเยี้ยไปหมด ซึ่งมีทั้ง พ่อ-แม่–พี่-น้อง-ลุง–น้า-ป้า-อา-เพื่อน-เขย-สะใภ้ ต่อแถวเรียงคิวยาวเหยียดด้วยแรงแค้นที่สะสม

เขาไม่รู้หรือจำไม่ได้หรอกว่าใครเป็น “ผู้ลั่นไก”สังหาร..แต่เขาจดจำคนที่ “ออกคำสั่งฆ่า” ได้อย่างไม่มีวันลืม..อันนี้น่ากลัวมากครับ!!

คอลัมน์.ก็โลกมันเบี้ยวหนุ่ม ชิงชัย
ที่มา.บางกอกทูเดย์

'เสรีภาพ’ แบบปิดหูปิดตา!!

แบนตะแล็ดแตดแต๋ โฆษณา “ขอโทษประเทศไทย”.. จัดทำด้วยจิตสำนึกบริสุทธิ์ พร้อมมูล ด้วยความเป็นจริงทุกด้าน แต่ “นักฆ่าแห่งเมืองอีตัน” อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กลับไม่ “ผ่านเซ็นเซอร” เพื่อแพร่ภาพทางทีวีสีคุณน้า

เป็นความกล้า มือโฆษณาตัวพ่อ “ภาณุ อิงคะวัต” ที่เอาความจริงครบเซ็ท มาบอกให้รู้
มีภาพแดงชุมนุม เหลืองยึดสนามบิน...ภาพทหารใจหิน ปะทะประชาชนอย่างหดหู่
ไม่เป็นที่ถูกใจ “รัฐบาลอภิสิทธิ์ชน”....แต่ถ้าเป็นภาพ “แดง” สร้างความรุนแรง.. “ใคร”?เผาอาคารบ้านเรือนก็ไม่รู้ ท่านให้แพร่ภาพโจ๋งครึ่ม..ทีหยั่งงี้, ไม่ใช้กรรไกรตัดฉับๆ เลยนะพี่!!!

แพร่ภาพเสื้อแดงเป็นตัวร้าย..โฆษณากันบรรลัย?..ไม่เห็นใครโวยวาย เลยนะงานนี้??

..................................

'เสียสละ'ไม่เป็น ประเทศไทย ไม่สงบ!!
รู้อยู่เต็มคอนโดมิเนียมหัวใจทั้ง ๒ ห้อง...ว่าประเทศไทย มีแต่ความแตกแยกแผ่ซ่าน อย่างไม่รู้จบ??

“นักฆ่าแห่งเมืองอีตัน” อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี..ออกลีลา ตีฝีปากแบบคนรู้จริง...ว่าตัวเองเดินทางไปเหนือ-อีสาน ก็ได้ แต่ไม่อยากให้เกิดเหตุปะทะ ขั้นแตกหัก

นี่, “อภิสิทธิ์” รู้เต็มอก...เป็น “นายกฯ” ที่ทำให้ “ประชาชน” แตกแยกกันหนัก
ท่านเป็น “นักการเมือง” แต่เป็นที่หมายปอง ชิงชังของคนส่วนใหญ่เช่นนี้...จะยังดันทุรัง “ซื้อเวลา” อยู่ในตำแหน่ง “นายกรัฐมนตรี” ทำให้ประเทศแตกเป็นเสี่ยงๆ หนักข้อไปทำไม!!!

รีบชิง “ลาออก”ไปเหอะ...อยู่ก็สร้างมาตรฐานเลอะเทอะ?...เยอะไปหมด แล้วจะบอกให้?
................................

ตำแหน่งนี้ ไม่ใช่ “โชคช่วย”!!
ต้องมีฝีมือ เป็นที่ ประทับใจจ๊อด..เมื่อนั้น “มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ” ถึงจะก้าวขึ้นเป็น “หัวหน้าพรรคเพื่อไทย” ได้อย่าง สุดสวย??

ตลอดเวลาที่ผ่านมา ท่านนิ่งเป็นตอไม้ ไม่ต่อสู้ล้างผลาญ เลือดบู๊ลิ้มเพื่อพรรค และ ส.ส.เท่าไหร่

พอน้ำขึ้นก็จะหยิบชิ้นปลามัน....คว้าเก้าอี้หัวหน้าพรรคไปเป็นสัมปทาน คนก็รับไม่ได้
อีกทั้ง พรรษาการเมือง เขี้ยวการเมืองท่านยังหร็อมแหร็ม..เอาไปต่อกรแหยมรองรังสู้กับ “ประชาธิปัตย์” ที่เขี้ยวโง้วสุดฤทธิ์ คงไม่ได้หรอกนะพี่!!!

ฉะนั้น,มิควรชิงสุกก่อนห่าม....ขืนขึ้นเป็นผู้นำ?...ท่านก็ถูกตีคว่ำ ไม่มีดี????

.................................

“ขั้วบูรพาพยัคฆ์” ยังผงาด!!
เต็มใจ ทั้ง “นายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ”, “รองนายกฯ สุเทพ เทือกสุบรรณ”, “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม, “บิ๊กป๊อก” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ.ที่มอบดาบอาญาสิทธิ์ ส่งไม้ให้ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ขึ้นเป็น “ผบ.ทบ.” คุมทหารของชาติ

นับเป็นยุคต่อเนื่อง ที่ “ทหารบูรพาพยัคฆ์”คุมอำนาจมาราธอน ไว้เสร็จสรรพ
ขุนพลที่ไม่ใช่สาย “บูรพาพยัคฆ์”....อยู่อย่างไม่มีศักดิ์ศรี เตรียม “รีไทม์”ลาออกสิครับ
ว่ากันไปแล้ว จะแอนตี้ รวมตัว ไม่ยอมรับ ความเป็น “ประมุขกองทัพบก” ของ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็ไม่ถูก?...ดิวนี้คิวนี้ ท่านมีความพร้อมทั้ง “อาวุโส”และ “ตำแหน่ง” การขึ้นเป็น “แม่ทัพบก” จึงถูกต้อง ตามประเพณี!!!!

บอก “บิ๊กตู่”กันคร่าวๆ...ที่เขาว่า “ยิ่งสูงยิ่งหนาว”?..เพราะเค้าไม่เอาท่าน นั่นแหละพี่??

...............................

พูดได้..แต่ทำยากส์!!!
“ท่านคณิต ณ นคร” ประธานคณะกรรมการอิสระหาความเป็นจริง ปรองดองแห่งชาติ..อยากให้ “เสื้อแดง” ที่รู้ความเป็นจริง ในการชุมนุมที่ผ่านฟ้า และราชประสงค์ มาให้ปากคำทุกปาก

แต่จนแล้วจนรอด “เสื้อแดงพันธุ์แท้” ก็นิ่งกบดานไม่ให้ความร่วมมือ
ขืนสะแหลนก็ต้องเจอตอ...โดน “ศอฉ.” เช็คบิลอีกอื้อ
แม้นว่า “ท่านประธานคณิต” รับประกันซ่อมฟรี.. ถ้ามาให้ปากคำแล้ว ถูก “ศอฉ.” ตามเล่นงาน ก็จะฟ้องศาลจวก “ศอฉ.” ให้เต้นระรัว!!!

มาให้ปากคำแล้วได้อะไร...ขืนเปิดตัววันใด?..รับข้อหา “ผู้ก่อการร้าย”ไม่รู้ตัว??

คอลัมน์.ตอดนิดตอดหน่อยการบูร
ที่มา.บางกอกทูเดย์
___________________________________

เพื่อไทยวางเกมเลือกตั้ง ใส่ปุ๋ย-เปิดท่อ-ข่มขวัญ ทำบุญจัดอีเวนต์มัดใจ ส.ส.

ยามศึกนอก ก็ออกรบ

ยามสงบ ก็รบกันภายใน

พรรคเพื่อไทย อยู่ในยามที่ต้องเผชิญทั้งศึกใน-ศึกนอก

การขับเคลื่อนคนพลพรรคและกิจกรรมการเมือง จึงต้องดัดแปลง-ปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องกับสถานการณ์

เฉพาะอย่างยิ่ง "ศึกใน" ที่คุกรุ่น-มีควัน พร้อมลุกเป็นไฟตลอดเวลา

ทั้งการแข่งบารมีขึ้นเป็น "หัวหน้า" หมายเลข 1 กรณีอุบัติเหตุการเมือง หวังพลิกเกมเปลี่ยนข้างเป็นรัฐบาล

ทั้งความพยายามที่จะปรับ-เปลี่ยน "หัว" ของแต่ละภาค ขึ้นคุมเกมก่อนการเลือกตั้ง

ทั้งความขัดแย้ง-ปีนเกลียวกันเอง ระหว่าง "ทีมการเมือง" และ "ทีมเศรษฐกิจ" และความไม่ลงรอยในคณะกรรมการบริหารพรรค

ทั้งความหวั่นไหว ระส่ำระสาย ที่จำนวน ส.ส.นับวันจืดจางห่างหายจากพรรค เพื่อไปวางฐานกับพรรคใหม่ อนาคตไกล อย่างพรรคภูมิใจไทย

ยิ่งทำให้ "นายใหญ่" และคณะนักการเมืองบ้านเลขที่ 111 และคณะพลังประชาชน 37 คน ต้องเร่งเข้าไปจัดแถว-วางแผน จัดอีเวนต์ มหกรรมแคมเปญการเมือง เป็นโปรแกรมระยะยาวต่อเนื่องตลอดครึ่งหลังของปี 2553

ทางหนึ่ง เพื่อสร้างขวัญ-กำลังใจให้นักการเมืองภายในพรรค

ทางหนึ่ง เพื่อข่มขวัญ-กดดันพรรคการเมืองคู่แข่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ภาคเหนือ-อีสาน

แต่ปัจจัย-เงื่อนไขสำคัญอยู่ที่การขับเคลื่อนภายใน ที่ต้องอาศัย "ปุ๋ย" และ "ท่อน้ำเลี้ยง" ดังนั้น ความพยายามที่จะหา "หัว-ตัวจ่าย" ที่ชัดเจน ทั้งในการจัด แคมเปญ และการจัดตั้งล่วงหน้า

การทำบุญ-บังหน้า-กลบเกลื่อนความขัดแย้งภายใน จึงถูกจัดให้มีขึ้น

อ้างถึงวาระก่อตั้งพรรคไทยรักไทย และ วาระคล้ายวันเกิดเจ้าของพรรค "ทักษิณ ชินวัตร" และวาระถวายเทียนพรรษา

หวังผลรูปธรรม-ย้ำแบรนด์ "ทักษิณกลับบ้าน" และชนะเลือกตั้ง

แต่ยามระส่ำ-ระสาย ท่อน้ำ-ปุ๋ยไม่สมบูรณ์ พรรคที่ ส.ส.เกือบครึ่งสภา ผู้แทนฯ 183 คน จึงปรากฏตัวเข้าร่วมงานบุญ ณ ที่ทำการพรรคเพียง 50 คน

มีตัวแทน นายพายัพ ชินวัตร ที่เป็น "หัว" ส.ส.สายอีสาน เป็นประธานในพิธี

และมีการสร้างขวัญ-เพิ่มกำลังใจ-เช็กเสียง ส.ส.ในวาระสัมมนา ส.ส.ภาคอีสาน ติดปลายนวม

แม้มีฐานะ-ศักดิ์ศรีผู้นำฝ่ายค้าน ที่มีจำนวน ส.ส.มากที่สุดในสภาผู้แทนราษฎร แต่สถานภาพจริงของ ส.ส.เพื่อไทยไม่คึกคัก แม้มีงานบุญใหญ่

ตอกย้ำการดำรงอยู่ของมรสุมภายนอกที่รุมเร้าและมรสุมภายในพรรค

โดยเฉพาะประเด็นที่ "ทอล์กออฟเดอะเพื่อไทย" ที่ว่าด้วย "ปุ๋ยน้ำเลี้ยง" ที่เหือดแห้ง-หดหายไปตั้งแต่หลังเหตุการณ์ "พฤษภาอำมหิต"

ทุกบัญชี ทุกช่องทาง ถูกปิดท่อ วางกับดัก จนกระทั่งไม่สามารถขยับขยาย

"พายัพ ชินวัตร" เข้าใจกระแส-วาระที่ ส.ส.กังวล-กดดันเป็นอย่างดี จึงมีวาระปลุก-ปลอบ

"ลองนึกดูในยุคสมัย พ.ต.ท.ทักษิณ เราใช้เงิน ใช้สติปัญญา ใช้กำลังความสามารถทำงาน แต่พอมาถึงยุคเรา หากลองสังเกต เช่น ต้นไม้ต้นหนึ่ง ถ้าเราจะทำสวน พรวนดินให้ปุ๋ย เตรียมพื้นที่หาพันธุ์ ช่วงนี้เราต้องใช้สติปัญญามากมาย สิ่งที่ท่านทักษิณปลูกไว้ในอีสาน ก็มีความเจริญมาถึงทุกวันนี้"

"มาวันนี้ เรากำลังเดือดร้อน ถูกกดดันสารพัด เหมือนต้นไม้ที่เราได้โตงอกงาม เวลาต้นไม้กำลังออกดอกออกผล สังเกตได้ว่า ต้นไม้ก็จะถูกความกดดันสารพัด ขาดน้ำ ปุ๋ย แสดงว่าต้นไม้ของท่านทักษิณที่กำลังปลูกไว้กำลังจะเจริญงอกงาม ออกดอกผลอันยิ่งใหญ่ ท่านไม่ต้องตกใจ ถ้าเราใช้น้ำ ปุ๋ย ตอนนี้ต้นไม้ของเราจะไม่ออกดอกออกผล"

"วันนี้เราต้องยอมรับความกดดันทุกด้าน สิ่งที่สำคัญในการต่อสู้กับความสำเร็จ ไม่ใช่เงินทอง อำนาจ แต่เป็นความจริงใจ ตั้งใจ สามัคคี ที่มีอุดมการณ์ร่วมกัน ผมมั่นใจ อะไรก็ตาม สู้ความจริงใจ ความสามัคคี ไม่ได้ ความสามัคคีที่มีทิศทาง เป้าหมาย อย่างชัดเจน นั่นคือความสำเร็จของเราในอนาคต" น้อง พ.ต.ท.ทักษิณกล่าว

วาระทำงานการเมือง ก่อนการเลือก ตั้งใหญ่ ถูกโฟกัสที่ภาคอีสาน-พื้นที่สีแดง

โดยในภาคอีสานจะแบ่งเป็น 4 โซน ประกอบด้วยอีสานตอนเหนือ อีสานตอนกลาง อีสานตอนล่าง และอีสานตะวันออก เพื่อความละเอียดในการทำงาน โดยมีรองประธานกรรมการภาคทำหน้าที่กำกับดูแล เพื่อให้นโยบายของภาคเป็นรูปธรรม

โดยมีวาระ-หาเสียง เรื่องน้ำ เพื่อ แก้ปัญหาภัยแล้ง และให้ความสำคัญกับการชี้แจง ขยี้-ขยายปัญหาของพรรครัฐบาล

การบรรยายเรื่อง "จุดแข็ง จุดอ่อน โอกาสและอุปสรรคของพรรคเพื่อไทยในภาคอีสาน" และแนวทางการบริหารงานของคณะกรรมการภาคอีสาน และการบรรยายพิเศษเรื่อง "ยุทธศาสตร์ของพรรคเพื่อไทย เพื่อก้าวสู่อนาคตอันสดใสของประเทศไทย" โดย นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ ส.ส.สัดส่วนพรรคเพื่อไทย และวาระ "M.P. Brain Storming" เรื่อง "ความต้องการด้านต่าง ๆ เพื่อสร้างสรรค์พรรคเพื่อไทยสู่การเป็นแกนนำในการบริหารประเทศ"

ล้วนเป็นความพยายามในการเปิดประเด็นให้เห็น "เงา-หัว" ของคนที่จะขึ้นเป็น "หัวจริง" หมายเลข 1

จึงมักมีคนในพรรคได้ยิน "ว่าที่หัวหน้าพรรค" นักการตลาด วาดฝันการได้เป็น "ว่าที่นายกรัฐมนตรี" ไม่เว้นแต่ละวัน

แผนการรณรงค์เลือกตั้งของพรรคจึงเข้ม-ข้น มีแนววิชาการตลาดเป็นจุดขาย

เน้นการลงพื้นที่จริง ตั้งแต่กลางปี 2553 ถึงต้นปี 2554

โดยในช่วงที่ 1 จะลงพื้นที่ปราศรัยในจังหวัดต่าง ๆ อาทิ ภาคเหนือ ภาคอีสาน ภาคกลาง เลาะเฉพาะพื้นที่อยู่นอกการประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน

ส่วนรูปแบบการปราศรัยจะแบ่งออกเป็น 3 รูปแบบ คือรูปแบบที่ 1 การลงพื้นที่แบบเคาะประตูบ้านทำความเข้าใจ และรับฟังปัญหาต่าง ๆ กับพี่น้องประชาชนในพื้นที่ หมู่บ้าน, ตำบล, อำเภอ

รูปแบบที่ 2 คือการเปิดเวทีปราศรัยใหญ่ โดยผู้บริหารพรรค ส.ส.ของพรรค อาทิ พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ ประธานพรรค ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ประธาน ส.ส. นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ หัวหน้าพรรค นายปลอดประสพ สุรัสวดี รองหัวหน้าพรรค และนายจตุพร พรหมพันธุ์, น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ, นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรค, นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ รองโฆษกพรรค

ส่วนรูปแบบที่ 3 จะเป็นการแสดงนิทรรศการขนาดใหญ่ ในหัวข้อ "7 วัน 7 ความเจ็บปวดของประชาชน" โดยจะเริ่มจัดนิทรรศการรูปแบบใหม่ โดยใช้แนวคิด "รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส"

นายคณวัฒน์ วศินสังวร รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า กิจกรรมของพรรคเพื่อไทยในฐานะฝ่ายค้านทำหน้าที่ตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล จะหยิบยกเอาประเด็นว่ารัฐบาลได้ทำอะไรไม่ถูกต้องบ้าง เช่น การยังคง พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และการใช้ความรุนแรงสลายการชุมนุม รวมทั้งการบริหารราชการที่ไม่มีประสิทธิภาพและ ส่อทุจริต

ส่วนเป้าหมายสำหรับการเลือกตั้งใหญ่นั้น "คณวัฒน์" ยอมรับว่า การรณรงค์ ต่าง ๆ ก็หวังผลคะแนนนิยมของพรรค โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เหลือเวลาอีกไม่นาน ก็จะเข้าสู่ช่วงเลือกตั้งใหญ่ จึงต้องรณรงค์ให้เห็นความล้มเหลวของรัฐบาล

ปัญหาการเมือง-กระดานใหญ่ ที่อาจหกสูงไปทางรัฐบาล และฝ่ายค้านหกต่ำ เพราะการ "ตกเขียว" ส.ส.ในสภาไว้ล่วงหน้า เป็นภาระใหญ่ที่กรรมการบริหารพรรคเพื่อไทยขว้างไม่พ้นคอ

"เป็นธรรมดาที่จะต้องหา ส.ส.และ ผู้สมัครรับเลือกตั้งเข้าพรรคตัวเอง"

มหกรรมแคมเปญเลือกตั้ง-สร้างภาพ ลบความขัดแย้ง จึงเป็นคำตอบสำหรับปัญหาเฉพาะหน้า

"เป็นหน้าที่ของกรรมการบริหารพรรคและผู้บริหารระดับสูงที่ต้องรักษาความนิยมของพรรคต่อไป เพราะถ้ายังมีความนิยม ก็เชื่อว่า ส.ส.จะไม่ย้ายออกไป เนื่องจาก หากย้ายออกไป ก็ไม่รู้จะเอาอะไรไปขายในช่วงหาเสียงเลือกตั้ง ไม่มีพรรคใดที่สามารถทำ ให้นโยบายเป็นรูปธรรมได้เหมือนพรรคเรา"

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ

วันจันทร์ที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

นายพลแห่รีไทร์ เซ็งไม่ใช่เด็ก'บูรพาพยัคฆ์'ประวิตรถกโผล็อกปลัดกห.

กองทัพระส่ำ! "ประวิตร" เรียกบอร์ดประชุมจัด "โผทหาร" อังคารนี้ เก้าอี้ "ปลัดกลาโหม" วุ่น "ป้อม" ดันน้องรักหักเหลี่ยมเพื่อน ตท.8 "ประยุทธ์" นอนมาคว้า "ผบ.ทบ." แถมได้สิทธิ์ร่วมจัดทีม 5 เสือ ทบ. สะพัด "นายพล" หน่ายสายบูรพาพยัคฆ์ ยื่นใบสมัครเออร์ลีรีไทร์อื้อ

วันอาทิตย์ที่ผ่านมา มีรายงานความเคลื่อนไหวภายในกองทัพที่น่าสนใจ เมื่อ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะประธานคณะกรรมการปรับย้ายนายทหารระดับชั้นยศนายพล ตามพระราชบัญญัติจัดระเบียบกระทรวงกลาโหม ได้เรียกประชุมคณะกรรมการฯ ในวันที่ 20 ก.ค.นี้ เพื่อหารือในการจัดทำบัญชีรายชื่อโยกย้ายนายทหารประจำปี

ตามกฎหมายระบุว่า คณะกรรมการปรับย้ายนายทหารระดับชั้นยศนายพล มีจำนวน 7 คน ตามตำแหน่ง ซึ่งโครงสร้างของบอร์ดจะมี รมช.กลาโหมอยู่ด้วย แต่ในรัฐบาลชุดนี้ไม่มีตำแหน่ง รมช.กลาโหม ทำให้คณะกรรมการทั้งหมดมีองค์ประชุม 6 คน ประกอบด้วย พล.อ.ประวิตร, พล.อ.อภิชาต เพ็ญกิตติ ปลัดกระทรวงกลาโหม, พล.อ.ทรงกิตติ จักกาบาตร์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด, พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก, พล.ร.อ.กำธร พุ่มหิรัญ ผู้บัญชาการทหารเรือ และ พล.อ.อ.อิทธพร ศุภวงศ์ ผู้บัญชาการทหารอากาศ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในปีนี้จะมีการสรรหาบุคคลที่จะมาดำรงตำแหน่งที่สำคัญในกองทัพ โดยเฉพาะปลัดกระทรวงกลาโหม แทน พล.อ.อภิชาต และผู้บัญชาการทหารบก แทน พล.อ.อนุพงษ์ ที่จะเกษียณในปีนี้

ก่อนหน้านี้ พล.อ.ประวิตรได้ให้นโยบายในการปรับย้ายครั้งนี้ว่า ต้องพิจารณาให้เกิดความยุติธรรมสูงสุด อีกทั้งต้องเป็นไปตามหลักอาวุโสและความเหมาะสม ลดกระแสความแตกแยกในกองทัพ

อย่างไรก็ตาม นโยบายดังกล่าวถูกวิจารณ์ว่าอาจไม่สามารถปฏิบัติได้จริง เพราะมีแนวโน้มที่การปรับย้ายครั้งนี้อาจต้องวางฐานอำนาจของกลุ่มบูรพาพยัคฆ์ เพื่อให้เชื่อมั่นว่าการปฏิบัติงานต่างๆ จะไม่เกิดอุปสรรคขึ้นได้

มีรายงานว่า ขณะนี้เหล่าทัพได้จัดทำบัญชีโยกย้ายในดราฟต์แรกเสร็จสิ้นแล้ว แต่หลายตำแหน่งยังมีการซ้ำซ้อน ซึ่งต้องมีการเจรจากันอีก เพื่อให้หมุนคนลงตำแหน่งให้เกิดความเหมาะสม และไม่เกิดความขัดแย้งขึ้น โดยเฉพาะการสลับตำแหน่งข้ามหน่วยระดับกองบัญชาการและสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม

สำหรับตำแหน่งที่ยังเป็นปัญหาในขณะนี้คือ ผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงกลาโหม ที่มีแนวโน้มว่าอาจจะมีการเสนอ พล.อ.กิตติพงษ์ เกษโกวิท (ตท.8) รองผู้บัญชาการทหารสูงสุด น้องรักของ พล.อ.ประวิตร ให้ข้ามมาเป็นปลัดกระทรวงกลาโหม โดยให้เหตุผลว่าอาวุโสในการครองยศพลเอกมาก่อน พล.อ.พหล สง่าเนตร (ตท.8) รองปลัดกระทรวงกลาโหม ซึ่งเป็นคนในสำนักงานปลัดฯ ท่ามกลางกระแสข่าวที่ระบุว่ารัฐบาลไม่พอใจ พล.อ.พหล ที่วิจารณ์รัฐบาลในการแก้ไขปัญหาวิกฤติการเมืองที่ผ่านมากลางที่ประชุม ที่อาจมีปัญหาในการหาที่ลงให้ พล.อ.พหล ซึ่งอย่างน้อยต้องสลับมาเป็นรอง ผบ.สส.

"ทว่า พล.อ.ทรงกิตติ จักกาบาตร์ ผบ.สส.ก็ต้องการให้ พล.อ.พิรุณ แผ้วพลสง เพื่อน ตท.10 เหล่าทหารม้าด้วยกันได้ข้ามมาเป็นรอง ผบ.สส. ซึ่งข้อสรุปในเรื่องดังกล่าวคงต้องหารือกันในที่ประชุมอีกครั้ง" แหล่งข่าวระบุ

ในส่วนของกองทัพบก พล.อ.อนุพงษ์จะเสนอชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา รอง ผบ.ทบ.ขึ้นเป็น ผบ.ทบ.ตามคาด โดยมี พล.อ.วิชญ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา ผช.ผบ.ทบ. ขยับขึ้นเป็นรอง ผบ.ทบ. ส่วนตำแหน่ง ผช.ผบ.ทบ. คาดว่าอาจจะให้ พล.อ.ประยุทธ์ได้เลือกทีมงานของตนเองอีก 1 คน จากที่เลือก พล.ท.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ รองเสธ.ทบ. มาเป็น เสธ.ทบ. ซึ่งคาดว่าจะเสนอชื่อ พล.ท.ชลวิชญ์ เพิ่มทรัพย์ ปลัดบัญชีทหารบก ขึ้นเป็น ผช.ผบ.ทบ.

ส่วน ผช.ผบ.ทบ.อีกหนึ่งตำแหน่ง ยังต้องพิจารณาเลือกระหว่างแม่ทัพภาคที่จะขยับขึ้นมา ซึ่งมีแนวโน้มว่าจะเป็น พล.ท.คณิต สาพิทักษ์ แม่ทัพภาคที่ 1 ในขณะที่หลายฝ่ายมองว่าอาจจะเลือก พล.ท.พิเชษฐ์ วิสัยจร แม่ทัพภาคที่ 4 ขึ้นมากินอัตราพลเอกก่อนเกษียณ 1 ปี

มีรายงานว่าในปีนี้ถือว่าจะมีผู้ที่ขอเกษียณอายุราชการก่อนกำหนดจำนวนมากเป็นประวัติการณ์ และจะถือเป็นปีที่มีนายพลใหม่มากเป็นประวัติการณ์ด้วย เนื่องจากเกิดกระแสความเบื่อหน่ายในกองทัพ ที่ต้องเจอกับสภาพที่ไม่ก้าวหน้าในชีวิตรับราชการ เพราะตัวเองไม่ใช่สายบูรพาพยัคฆ์หรือทหารที่ใกล้ชิดกับขั้วอำนาจนี้.

ที่มา.ไทยโพสต์

กกต.ชี้ยุบพรรขึ้นกับศาล ไม่เกี่ยวคดีทีพีไอ

กกต.ลั่นดีเอสไอไม่ฟ้องทีพีไอ โพลีน ไม่ส่งผลคดียุบพรรค ระบุยุบหรือไม่ เป็นเรื่องของศาล เตือนการเมืองอย่าชี้นำคดี

นางสดศรี สัตยธรรม กกต. ด้านกิจการพรรคการเมือง กล่าวถึงกรณีที่กรมสอบสวนคดีพิเศษหรือดีเอสไอมีความเห็นสั่งไม่ฟ้องบริษัท ทีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน) ที่ว่าจ้างบริษัท แมชไซอะ บิซิเนสแอนครีเอชั่นจำกัด ทำสื่อโฆษณา ว่า เรื่องดังกล่าวนี้ไม่น่าจะมีผลต่อคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ เพราะถือว่าเป็นคนละส่วนกัน เนื่องจากกรณีดังกล่าวนี้เป็นเรื่องที่ดีเอสไอตรวจสอบแล้วเห็นว่าเกี่ยวข้องกับพ.ร.บ.พรรคการเมือง จึงส่งมาให้กกต.ตรวจสอบ เมื่อกกต.ตรวจสอบแล้วพบว่ามีการบริจาคเงิน 258 ล้านบาท ให้กับพรรคประชาธิปัตย์ แต่ไม่ได้มีการแจ้ง หรือรายงานเข้าให้กกต.ทราบตามที่กฎหมายระบุไว้ ซึ่งกรณีนี้ถือเป็นคนละส่วนกับที่ดีเอสไอ ตรวจสอบ ว่าน่าจะมีการไซฟอนเงินและเป็นการกระทำผิดตามพ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งเป็นเรื่องของดีเอสไอ ที่ต้องไปดำเนินการ หากไม่ดำเนินไม่ดำเนินการก็เป็นเรื่องของดีเอสไอ

เมื่อถามว่า ทางดีเอสไออ้างงว่าหลักฐานที่มีอยู่เป็นเพียงการกล่าวอ้างของบุคคล จึงยังไม่สามารถนำไปฟ้องได้ นางสดศรี กล่าวว่า หลักฐานที่มีหรือไม่ขึ้นอยู่ที่ศาล ซึ่งเราจะไม่ก้าวล่วงขึ้นอยู่ที่ศาล กกต.ไม่ชี้นำ ส่วนดีเอสไอจะชี้นำศาลก็เป็นเรื่องของดีเอสไอ ซึ่งศาลจะพิจารณาตามที่หลักฐานที่อัยการสูงสุดที่ส่งไป โดยคดีนี้จะหลุดหรือไม่หลุดอยู่ที่ศาล

“ขณะนี้เรื่องดังกล่าวอยู่ที่ศาลแล้ว ควรที่จะยุติ เราไม่ควรที่จะนำมาพูดแล้ว ซึ่งศาลจะเป็นผู้พิจารณาเรื่องนี้เอง ส่วนจะแพ้หรือชนะกกต.คงไม่ไปชี้นำ ส่วนที่หลายคนมองว่ามีกระบวนการที่กดดันศาลนั้น เห็นว่า ตอนนี้มีการนำการเมืองมาเล่นกับคดี แต่ศาลก็ต้องพิจารณาไป ซึ่งการชี้นำ เห็นว่าเป็นการกระทำที่ไม่ชอบทั้งที่ต่างฝ่ายต่างมีข้อต่อสู้ที่จะนำเข้าสู่กระบวนการ โดยศาลจะเป็นผู้ชี้ทางเองว่าถูกหรือผิดอย่างไร การจะยุบหรือไม่ยุบไม่ต้องเดือดร้อน เป็นเรื่องอนาคตข้างหน้าและเป็นการทำตามหน้าที่หน้าที่ใครหน้าที่มัน ซึ่งเรื่องนี้กกต.ไม่ได้ทำเองเป็นเรื่องที่ดีเอสไอ ส่งมาให้กกต.ดำเนินการ ถ้าจะมองว่าใครเป็นคนต้นเรื่องก็น่าจะเป็นดีเอสไอ เพราะกกต.ทำเองไม่ได้หากไม่มีคนร้อง ” นางสดศรี กล่าวว่า

เมื่อถามว่ากรณีดังกล่าวกรณีนี้มีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นความผิดแค่ตัวบุคคลไม่ถึงยุบพรรค และกรรมการบริหารพรรค นางสดศรี กล่าวว่า เงินบริจาคต้องสอบสวนก่อนว่าจะถึงตัวบุคคลหรือไม่ เรื่องนี้ศาลจะต้องฟังพยานหลักฐาน รวมถึงข้อต่อสู้ต่อไปว่ากรรมการบริหารของพรรคประชาธิปัตย์จะมีส่วนเกี่ยวข้อง และรู้เห็นหรือไม่ก็เป็นไปตามพยานหลักฐานที่ส่งไป

เมื่อถามย้ำถึงนักวิชาการออกมาระบุว่าพรรคประชาธิปัตย์น่าจะมีทางรอดการยุบพรรค เพราะพ.ร.บ.พรรคการเมืองขัดกับรัฐธรรมนูญนั้น นางสดศรี กล่าวว่า ก่อนที่จะออกมาเป็นพ.ร.บ.พรรคการเมือง พ.ศ.2550 เรื่องนี้ได้มีการดำเนินในชั้นของสภาและต้องส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาภายใน 30 วัน ก่อนประกาศในราชกิจจานุเบกษา และมีผลบังคับใช้ เพราะฉะนั้นเมื่อผ่านกระทบวนการนี้มาแล้วก็ไม่น่าจะขัดกฎหมาย เพราะศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาแล้ว ดังนั้นจึงอยากให้นายปริญญา เทวานฤมิตรกุล รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กลับไปดูรัฐธรรมนูญมาตรา 141 ก่อนที่จะออกมาพูด

โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

สิทธิมนุษยชนเหนือ ธนกิจการเมือง

“หน้ากระดานเรียงหนึ่ง กดปุ่ม อภิวัฒน์ประเทศ” วิพากษ์กระบวนการขับเคลื่อนประเทศ คู่ขนานมหากาพย์ปฏิรูปประเทศ แตกประเด็นให้เห็นเด่นชัดอย่างรอบด้าน ฉบับนี้ ปักหมุดตั้งเข็มทิศ สโคปไปที่วาระแห่งสิทธิมนุษยชน ผ่าน มุมมอง “น.พ.นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ” กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ที่ได้ให้ความเห็นไว้ได้อย่าง น่าสนใจยิ่ง

> แก่นของปัญหาสิทธิมนุษยชนในไทย

“เรื่องหลักๆ ในปัญหาเรื่องละเมิดสิทธิมนุษยชนในสังคมไทย 1.เป็นเรื่องของสิทธิในกระบวนการยุติธรรม ส่วนที่ 2 เป็นเรื่องสิทธิชุมชน ประกอบด้วยสิทธิในการเข้า ถึงการบริหารจัดการและการใช้ประโยชน์ทรัพยากรธรรมชาติ และอีกส่วนหนึ่งของ สิทธิชุมชน คือการที่ต้องยอมรับในวัฒนธรรม หรือวิถีชีวิต ซึ่งเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่สำคัญ ทำให้ เห็นว่า ระบอบประชาธิปไตยในบ้านเรา ยอมรับความหลากหลาย

“ส่วนที่ 3 คือ สิทธิเด็ก สตรี ผู้ด้อยโอกาส คนขอทาน หรือคนไร้บ้าน ซึ่งคนเหล่า นี้ด้อยโอกาสในทางสังคม ที่บางครั้งเรานึก ไม่ถึง นอกจากนี้ ยังมีการละเมิดสิทธิอื่นๆ เช่น สิทธิเรื่องสื่อ รวมไปถึงแรงงานข้ามชาติ เป็นต้น”

> แนวทางแก้ปัญหาในภาพกว้าง

“ต้องทำความเข้าใจว่า ระบบประชา ธิปไตยโดยประชาชน ต้องยึดหลักในการสิทธิมนุษย์ หมายถึงสิทธิเสรีภาพและเสมอภาค หลักที่เป็นประโยชน์ความถูกต้อง คือ ถ้านึกถึงสิทธิมนุษย์ ต้องนึกถึงประชาชนเป็นใหญ่ อย่างที่ท่านอาจารย์พุทธทาส พูดว่า ประชาธิปไตยไม่ใช่แค่การเลือกตั้ง แต่ประ ชาธิปไตยเราเลือกการปกครองระบบรัฐสภา แต่ต้องยึดเอาประชาชนเป็นใหญ่ ไม่ใช่เห็นว่า การเมืองเป็นของนักการเมืองเพียงอย่างเดียว ซึ่งพอเราเจอปัญหาการเมืองของนักการเมือง ที่ล้มเหลว แล้วไม่สามารถใช้อำนาจที่ตัวเองมีอยู่ในทางสร้างประโยชน์ของประชาชนได้ ตรงนี้ คือสิ่งที่การเมือง 70 กว่าปีล้มเหลว”

> ที่ผ่านมามีการแก้ปัญหาแบบท็อปดาวน์ อิงกับอิทธิพลทางธุรกิจเป็นหลัก

“ระบบธุรกิจเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องของระบอบประชาธิปไตยในสังคมไทยการ เมืองการปกครอง ที่มันชัดคือในช่วงตั้งแต่ปี 44 เป็นต้นมา ทำให้เห็นระบบทุนที่เข้ามาครอบงำ ระบบการเมือง เพราะการเมืองเป็นเรื่องของ การจัดสรรแบ่งปันผลประโยชน์ ซึ่งผลประ โยชน์ตรงนั้น อย่างที่ผมเรียนต้องเป็นประ โยชน์ของภาคประชาชน แต่เนื่องจากระบบธุรกิจที่เข้ามา ทุนกับการเมืองหลอมรวมกัน ที่เราเรียกระบบธุรกิจการเมือง Money Politic นั่นหมายความว่านักการเมืองกับนักธุรกิจเป็นคนคนเดียวกัน ทำให้เกิดมีเครือข่าย ของการสร้างฐานอำนาจ ที่เชื่อมโยงระหว่าง ผลประโยชน์ของธุรกิจกับการเมือง ที่เราเรียก ผลประโยชน์ทับซ้อน ทำให้เกิดการใช้อำนาจ ที่ไม่ชอบ ไม่ว่าอำนาจการทุจริต คอร์รัปชั่น หรืออำนาจในการละเมิดอำนาจสิทธิมนุษยชน”

“ในสมัยผมที่เป็น ส.ว. การแทรกแซงของรัฐสภาทำให้เราเกิดสิ่งที่เรียกว่าเผด็จการรัฐสภา และเมื่อไปควบรวมการผูกขาดเรื่องผลประโยชน์ ทำให้เรียกว่าทุนนิยม ผูกขาด หมายความว่า คนที่มีอำนาจและมีเงินด้วย สร้างฐานอำนาจ และผลประโยชน์จากความ ร่ำรวย ด้านดีก็คือ ทำให้ประชาชนรู้สึกได้รับการดูแลเชิงนโยบายมากขึ้น แต่นโยบายก็แค่ ฉาบฉวย เป็นนโยบายการสร้างภาพตอนหาเสียงในเชิงคุณภาพจะยังไม่เกิดขึ้น”

> หลายคนมองว่าช่วงการเมืองผลัดใบ ก็ยังเป็นไปในมิติเดิมๆ

“นี่คือสิ่งที่สังคมไทย ต้องพยายามสรุปบทเรียน เพื่อให้สังคมไทยเข้ามามีส่วนต่อสู้ของระบบทุนและก็เป็นทุนข้ามชาติ และเป็นทุนของกระแสโลกาภิวัตน์ อย่างที่อาจารย์ ณรงค์ เพ็ชรประเสริฐ บอกว่าเป็นทุนสามานย์ ที่ไม่มีเรื่องของคุณธรรมและศีลธรรม ถึงแม้ในสังคมไทยจะยอมรับในการเรื่องของธุรกิจการค้าเสรี แต่เน้นต้องเป็นธรรม ฉะนั้น สังคมไทยจะต้องรับรู้ ต้องเตรียมตัวรู้ว่า สิ่งที่อยู่เบื้องหลังการต่อสู้แย่งชิงอำนาจก็คือกลุ่มระบบทุนข้ามชาติ ทั้งส่วนกลางถึงภูมิภาค นอกจากนี้ เราต้องตระหนักในเรื่องความไม่เป็นธรรมในทางการเมือง เมื่ออำนาจทาง การเมืองมาผูกขาดและระบบทุนและทางธุรกิจ ต้องแก้ไขในเชิงโครงสร้าง และแนวคิดก็เข้า ไปสู่การปฏิรูป และแนวคิดการปฏิรูปการ เมืองในปี 2540 อย่างเดียวคงไม่เพียงพอ ปี 40 ปฏิรูปแล้วทำให้เกิดตาลปัตรเกิดระบบ ผูกขาดและเผด็จการทางรัฐสภา ในขณะนี้เรา ต้องมาสนใจในเรื่องการปฏิรูปทางเศรษฐกิจ สังคม การเมือง ครั้งที่ 2 เพื่อทำให้เกิดการ เปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง ที่สร้างความเป็นธรรมมากขึ้น นี้คือสิ่งที่สังคมไทยต้องตระหนัก และต้องเข้ามาต่อสู้รวมกัน”

> สิทธิการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนที่ถูกละเลยมานาน

“ภาคประชาชนหรือภาคสังคมได้ต่อสู้ในเรื่องการเมืองที่เป็นผลประโยชน์ของตัวเขาในเรื่องของสิทธิ และยกระดับขึ้นเป็นเชิง นโยบายโครงสร้างมาเกือบทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องปฏิรูปที่ดิน ป่าชุมชน การประมงพื้นบ้าน ที่ขณะนี้เสนอเป็นร่าง พ.ร.บ.ประมงพื้นบ้าน เรื่องแรกที่อยู่ทางเหนือ ก็เสนอร่าง พ.ร.บ.แรก หรือแม้กระทั่งเรื่องของสวัสดิการ ชุมชน หรือแม้กระทั่งเรื่องของธนาคารที่ดิน หรือกองทุนที่จะมาพัฒนาในเรื่องปฏิรูปที่ดินต่างๆ เหล่านี้ หรือแม้กระทั่งเรื่องสื่อ เรื่ององค์กรอิสระ สิ่งเหล่านี้ ภาคประชาชนได้ผลักดันในเชิงนโยบายแล้วทั้งสิ้น เพียงแต่ว่า ภาคการเมือง หรือหน่วยงานภาครัฐจะรับลูกในเรื่องของการที่ทำให้เกิดแนวทางปฏิบัติ ที่ไปแก้ไขปัญหาของเขาได้จริงๆ”

“แต่สิ่งที่มีปัญหาอยู่ในขณะนี้ ก็คือการที่รัฐบาลใช้อำนาจที่ได้รับมอบจากประ ชาชนในการที่จะแก้ไขปัญหาต่างๆ ในเชิงนโยบายโครงสร้าง ที่สอดคล้องในเรื่องของสิทธิ ในเชิงนโยบาย ได้จริงหรือ ขณะเดียวกัน จะป้องกันไม่ให้เกิดการทุจริตคอร์รัปชั่น ซึ่งมันกลายเป็นวัฒนธรรมของสังคมไทย ของนักการเมืองได้อย่างไร โครงการหรือแนวทาง ปฏิบัติในการปฏิรูปการเมือง เป็นแนวทางที่จะนำไปปฏิบัติอย่างแท้จริง และปลอดจาก การทุจริตคอร์รัปชั่น อย่างที่ในรัฐบาลชุดคุณอภิสิทธิ์ (เวชชาชีวะ) เอง ก็มีโครงการที่มีชื่อดีๆ เยอะ เช่น ไทยเข้มแข็ง หรือเศรษฐกิจพอเพียง แต่เราพบว่าโครงการเหล่านั้นก็มีปัญหาเรื่องทุจริตคอร์รัปชั่น นี่คือสิ่งที่ผมคิดว่าเป็นภาระของรัฐบาล ให้การทำงานทุก ภาคส่วนของกลไกรัฐ ทำงานควบคู่กับคณะกรรมการปฏิรูป”

> ข้อเสนอแนะต่อภาคประชาชน

“สำหรับภาคประชาชน ผมมีความมั่นใจในการพัฒนาและการเติบโตของภาคประชาชน กับภาคประชาสังคมอย่างมาก แต่ปัญหาก็คือว่า เราจะทำให้ภาคประชาชน ที่ขณะนี้ต้องยอมรับว่า ยังมีความแตกต่าง แตกแยกในเชิงความคิดในทางประชาธิปไตย ได้หันมาเห็นตรงกันว่า การเมืองของภาคพลเมืองที่จะเข้ามามีส่วนร่วมในการตัดสินใจ และผลักดันหรือกดดัน ไม่ว่าจะเป็นคณะกรรมการปฏิรูป หรือว่า คณะกรรมสมัชชา และรัฐบาลที่เป็นผู้ใช้อำนาจรัฐ ได้ใช้อำนาจรัฐที่ตัวเองได้รับมอบหมายในการแก้ไขปัญหา ได้หรือเปล่า เพื่อทำให้การปฏิรูปนั้นเป็นจริง ที่สำคัญ ผมอยากให้เกิดการต่อสู้ของภาคประชาชน ที่สามารถอยู่บนลำแข้งของตัวเอง ไม่ควรไปฝากความหวังไว้กับบรรดานักการเมือง หรืออำนาจรัฐ และตรงนี้ผมคิดว่าใช้การเมือง ของภาคประชาชน การมีส่วนร่วมของประ ชาชน ในการที่จะมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ และติดตามตรวจสอบ ผมว่าตรงนี้จะทำให้สังคมไทย มันมีความเข้มแข็งมากขึ้นอย่างแท้จริง แทนที่จะเป็นเครื่องมือของการต่อสู้แย่งชิงอำนาจ”

และนี่คือข้อเสนอในการปฏิรูปด้านสิทธิมนุษยชนที่ต้องอยู่เหนือธนกิจการเมือง ของ “น.พ.นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ” ที่รัฐบาล และทุกภาคส่วนต้องขบให้แตก

ที่มา.สยมธุรกิจ