คุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา
ลากยาวไปถึงสรรหา ส.ว.??
ถ้าทุกอย่างอยู่บนบรรทัดฐาน และเจตนารมณ์ตามกฎหมายแล้ว คำว่า 2 มาตรฐานก็คงไม่เกิด... รวมทั้งการตะแบง การเลี่ยงบาลี เพื่อให้เกิดการผูกขาดยึดครองอำนาจและผลประโยชน์ก็คงไม่เกิด
แต่เพราะมีกลุ่มคนบางคนที่พยายามเลาะตะเข็บกฎหมาย พยายามตีความกฎหมาย ตะแบงเข้าข้างตัวเอง เอาสีข้างเข้าถูบ้าง แก้ตัวไปน้ำขุ่นๆ บ้าง เพราะที่จะให้ดำรงไว้ซึ่งอำนาจในมือ... บ้านเมืองก็เลยวุ่นอย่างที่เห็นๆ กันจนทุกวันนี้
ปรากฏการณ์ที่กระทบกับความเชื่อมั่นของสังคมในเรื่องกฎหมาย ที่เป็นประเด็นร้อนขึ้นมาในเวลานี้อีกเรื่องหนึ่ง ก็คือ การตีความการดำรงตำแหน่ง “ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน” ของคุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา ว่า สามารถที่จะอยู่ในตำแหน่งต่อไปได้หรือไม่
หลังจากที่มีอายุครบ 65 ปีเต็ม ไปเมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม ที่ผ่านมา
คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน หรือ คตง. (State Audit Commission - SAC) เป็นคณะกรรมการ ที่ก่อตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดิน พ.ศ. 2542 มีหน้าที่กำกับดูแล สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน
โดยที่ต้องย้ำว่า คตง. ต้องเป็นองค์กรอิสระทำหน้าที่ตรวจสอบการใช้งบประมาณของรัฐบาล
คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน ก็จะประกอบไปด้วย ประธานกรรมการ 1 คน กรรมการอื่น 9 คน พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งตามคำแนะนำของวุฒิสภา จากผู้มีความชำนาญและประสบการณ์ด้านการตรวจเงินแผ่นดิน การบัญชี การตรวจสอบภายใน การเงินการคลัง และด้านอื่น
ซึ่งการบังคับบัญชา จะดำเนินงานโดยการมีหน่วยธุรการของคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดินที่เป็นอิสระ มีผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินเป็นผู้บังคับบัญชาขึ้นตรงต่อประธานกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน ตามที่บัญญัติไว้ในกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดิน
โดยวาระการดำรงตำแหน่ง คราวละหกปีนับ และดำรงตำแหน่งได้วาระเดียว
นั่นคือ เนื้อหาของกฎหมายรัฐธรรมนูญ และเจตนารมณ์ของกฎหมาย ปัญหาที่เกิดขึ้นก็คือ คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดินชุดล่าสุด ได้สิ้นสภาพลงเมื่อ วันที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2549 ตามประกาศคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ฉบับที่ 12/2549 โดยให้ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน ปฏิบัติหน้าที่แทน
พูดง่ายๆ ก็คือ การทำรัฐประหารเมื่อ 19 กันยายนได้ทำให้ คตง. สิ้นสภาพลงไป และคุณหญิงจารุวรรณ ก็ได้พ้นจากตำแหน่งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินด้วยเช่นกัน
แต่เพราะ ผลจากการรัฐประหารอีกนั่นแหละ ที่ทำให้มีประกาศคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ฉบับที่ 29 ข้อ 2 และ 3 วรรคสอง กำหนดให้คุณหญิงจารุวรรณ ยังคงต้องปฏิบัติหน้าที่คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน และผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินไปพลางก่อน จนกว่าจะมีการสรรหาใหม่ตามรัฐธรรมนูญ
แต่เนื่องจากการเมือง เนื่องจาก คมช. รวมไปถึงเรื่องความขัดแย้งในประเทศ ทำให้คุณหญิงจารุวรรณ ลากยาวนั่งเป็นผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน จากปี 2550 มาถึงปัจจุบัน 2 ปีกว่าเกือบจะ 3 ปีอยู่รอมร่อแล้ว ก็ไม่ได้มีการสรรหาใหม่แต่อย่างใด
ดังนั้น เมื่อคุณหญิงจารุวรรณ อายุครบ 65 ปี เมื่อวันที่ 5 กค. ที่ผ่านมา จึงมีคำถามดังขึ้นมาว่า จะต้องพ้นจากตำแหน่งโดยอัตโนมัติหรือไม่???
โดยการยกข้อกฎหมาย พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดิน พ.ศ.2540 มาตรา 34(2) ประกอบมาตรา 302(3) ของรัฐธรรมนูญ 2550 ขึ้นมาตั้งคำถามจนกระหึ่มไปทั้งสังคม
แม้แต่คุณหญิงจารุวรรณ เองก็ยังต้องทำหนังสือถึง นายประสพสุข บุญเดช ประธานวุฒิสภา เพื่อแจ้งว่า วันที่ 5 กรกฎาคม จะพ้นจากตำแหน่ง เนื่องจากมีอายุครบ 65 ปี ตามที่กฎหมายกำหนด คงต้องดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใด แม้จะทราบว่า มีปัญหาเรื่องข้อกฎหมายที่ไม่สามารถสรรหา คตง. และผู้ว่าการ สตง. คนใหม่ได้
แต่ที่น่าจับตามองก็คือ คณะกรรมการที่ปรึกษากฎหมายประธานวุฒิสภา ได้มีการเสนอความเห็นทางกฎหมาย อ้างว่า แม้คุณหญิงจารุวรรณ ได้พ้นจากตำแหน่งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน โดยผลของกฎหมายโดยสมบูรณ์แล้วตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 2550 แต่ตามประกาศ คปค. ฉบับที่ 29 ข้อ 2 และ 3 วรรคสอง กำหนดให้ยังคงต้องปฏิบัติหน้าที่คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน และผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินไปพลางก่อน จนกว่าจะมีการสรรหาใหม่ตามรัฐธรรมนูญ
ดังนั้น จึงไม่ต้องนำประเด็นปัญหาการพ้นจากตำแหน่งเมื่ออายุครบ 65 ปีบริบูรณ์มาบังคับอีก...
ถ้าแบบนี้พูดง่ายๆ ก็คือ คุณหญิงจารุวรรณ สามารถเป็นผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินไปได้เรื่อยๆ จนกว่าจะเบื่อไปเอง หรือจนกว่าจะมีการสรรหาใหม่
สังคมเลยมีการโฟกัสไปที่คณะกรรมการที่ปรึกษากฎหมายประธานวุฒิสภาชุดนี้ ก็พบว่ามี นายไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ว.สรรหา เป็นประธานฯ มีกรรมการประกอบด้วย นายคำนูณ สิทธิสมาน นายวรินทร์ เทียมจรัส นายสมัคร เชาวภานันท์ นายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย ส.ว.สรรหา นายสาย กังกเวคิน ส.ว.ระยอง
หมายความว่าส่วนใหญ่ล้วนอยู่ในกลุ่ม 40 ส.ว. สายตรงม็อบพันธมิตรทั้งสิ้น
ที่สำคัญโดยเฉพาะตัวของนายไพบูลย์นั้น ได้รับการเสนอชื่อเข้ารับการสรรหาเป็น ส.ว. โดยสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน เนื่องจากก่อนหน้านี้เคยเป็นที่ปรึกษากฎหมายของคุณหญิงจารุวรรณ มาก่อน
งานเข้าทันที ว่าความเห็นดังกล่าว จะถือว่าเป็นเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนได้หรือไม่???
เพราะหากมองข้ามช็อต จะพบว่า ในช่วงเดือนมีนาคม 2554 หรือต้นปีหน้า จะต้องมีการสรรหาวุฒิสภาชุดใหม่เกิดขึ้น ซึ่งปกติ 1 ใน 7 คณะกรรมการสรรหาวุฒิสภา จะต้องมีประธานคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดินโดยตำแหน่งด้วยคนหนึ่ง
ถ้าคุณหญิงจารุวรรณ ลากยาวเป็นผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินแบบที่ 40 ส.ว.ตีความแล้ว นั่นจะเท่ากับว่า คุณหญิงจารุวรรณ จะเข้ามาเป็น 1 ใน 7 คณะกรรมการสรรหาวุฒิสภา ด้วยหรือไม่?
มองข้ามช็อตซ้ำ ให้ลึกลงไปอีกที บรรดา ส.ว. สรรหา ที่จะเข้ามารอบใหม่ ก็จะมีวาระการดำรงตำแหน่ง 6 ปี หรือเท่ากับยาวไปถึงปี 2560 โน่นเลยทีเดียว!!!
ประเด็นนี้จึงสุ่มเสี่ยงกับเรื่องของผลประโยชน์ทับซ้อนอย่างที่สังคมตั้งข้อสงสัยได้เหมือนกัน เพราะตราบใดที่ร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดิน พ.ศ.... ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ ยังไม่คลอดออกมา ก็จะยังไม่มีการสรรหาผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินคนใหม่
และหากเป็นไปตามมุมมองของ 40 ส.ว. ก็เท่ากับคุณหญิงจารุวรรณสามารถเป็นไปได้เรื่อยๆ โดยไม่ต้องสนใจเกณฑ์เรื่องอายุครบ 65 ปี ในขณะที่หาก 40 ส.ว.ได้รับการสรรหากลับเข้ามาอีกวาระ ก็จะอยู่ยาว 6 ปี เป็นช่องโหว่ทางกฎหมายที่กำลังมีใคร หรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งพยายามใช้ประโยชน์ตรงนี้อยู่หรือไม่... สังคมต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด
ที่สำคัญสังคมคงต้องกดดันให้ต้องมีการดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใด เพื่อที่จะแก้ปัญหาเรื่องข้อกฎหมายที่ไม่สามารถสรรหา คตง.และผู้ว่าการ สตง. คนใหม่ได้ ซึ่งเป็นผลมาจากการทำรัฐประหาร 19 กันยา และการประกาศคำสั่ง คปค. นั่นเอง
นี่คือผลงานที่ต้องถือว่าเป็นตราบาปที่สร้างปัญหาที่ชัดเจนของ ประกาศ คปค. ที่ทำให้เกิดการปิดล็อกการใช้กฎหมายปกติ
ซึ่งล่าสุด ประธานวุฒิสภา ได้มีการแจ้งไปยังคณะกรรมการสรรหาผู้ว่าการ สตง. แล้ว ซึ่งปรากฏว่าทางคณะกรรมการสรรหาที่มีนายสบโชค สุขารมณ์ ประธานศาลฎีกา เป็นประธาน ก็ได้มีการนัดประชุมเพื่อพิจารณาปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าวในวันที่ 20 กรกฎาคมนี้ ที่อาคารรัฐสภา 2
อย่างไรก็ตาม คนๆ หนึ่งที่จะสามารถปลดล็อก และสร้างความสง่างามได้ ก็คือ คุณหญิงจารุวรรณเอง
นั่นคือแทนที่จะมาเรียกร้องให้ตีความ หรือวินิจฉัยคุณสมบัติ ว่าอายุครบ 65 ปีแล้วจะอยู่ต่อได้หรือไม่? แต่เปลี่ยนมาเป็นขอลาออกจากตำแหน่ง เพื่อให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของกฎหมายปกติที่ว่า 65 ปี ต้องพ้นจากตำแหน่ง ... คุณหญิงจารุวรรณ ก็จะได้รับคำชมเชยจากสังคม
ส่วนงานของ สตง. ก็ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง เพราะมีรองผู้ว่าการ ทำหน้าที่รักษาการในตำแหน่งได้อยู่แล้ว
แต่หากคุณหญิงจารุวรรณ ปล่อยให้ยืดเยื้อ ยื้อตำแหน่งไปเรื่อยๆ ก็ช่วยไม่ได้ หากสังคมจะมีการตั้งคำถามว่า ทำไมจึงไม่กล้าลุกจากเก้าอี้ นั่งทับอะไรอยู่หรือไม่?
หรืออาจจะมองไปถึงเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน อย่างที่คนจับตามองกันอยู่ก็ได้เช่นกัน...
น่าคิดมากๆ ใช่หรือไม่... คุณหญิงเป็ด!!!
ที่มา.บางกอกทูเดย์
วันเสาร์ที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2553
คนไทยรึเปล่า?
“สมัยพฤษภา 2535 การเสียชีวิตมีการบันทึก การชันสูตรอยู่ในเกณฑ์ที่คิดว่าพอรับได้ มีบันทึกแพทย์ ทำให้เห็นแผลแต่ละแผล มีมุม มีลักษณะที่ถูกยิง ปืนที่ใช้ยิงเป็นลักษณะแบบไหน อย่างไร เป็นการจ่อยิง เป็นบาดแผลอย่างไร สมัยนั้น ศ.นพ.วิฑูรย์ อึ้งประพันธ์ ทำการวิเคราะห์เอกสารที่ชันสูตรศพ 39 ศพ จากทั้งหมด 44 ศพ แล้วมีบันทึกที่นำเอามาใช้ได้ ในขณะนั้นอาจารย์วิฑูรย์บอกว่ายังไม่สมบูรณ์ ควรปรับปรุง แต่เหตุการณ์นั้นผ่านมา 18 ปี สิ่งที่น่าตกใจในเชิงระบบการแพทย์เองก็ไม่มีบันทึกครบสมบูรณ์ อย่างน้อยถ้าเทียบกับปี 2535 ตอนนั้นยังมีมากกว่า”
ดร.กฤตยา อาชวนิจกุล นักวิชาการจากสถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล ข้องใจการชันสูตรพลิกศพ 90 ศพในเหตุการณ์เดือนเมษายน-พฤษภาคม 2553 เพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับผู้เสียชีวิต เพราะที่ผ่านมาแทบไม่ปรากฏเป็นข่าวใดๆเลย และตั้งคำถามถึงหน่วยแพทย์ที่เกี่ยวข้องทุกแห่ง 3 กรณีคือ 1.ศพส่งที่ไหนก็ชันสูตรที่นั่น ซึ่งการชันสูตรเป็นแบบไหนเขายังไม่เห็นเอกสาร เขาเพียงแต่เขียนว่าชันสูตร 2.ศพส่งไปที่ ไหนแล้วไปชันสูตรอีกที่หนึ่ง และ 3.ทำไมไม่มีข้อมูลชันสูตรศพทั้งหมด แต่มีเพียงประมาณ 1 ใน 3
2 ใน 3 ไม่มีการชันสูตร?
“ที่น่าสนใจคือ ศพที่ถูกยิงในเหตุการณ์และเสียชีวิตในวันที่ 10 เมษายน มีทั้งหมด 26 ศพ บอกว่ามีการชันสูตรศพ พอหลังจากนั้นคือหลังวันที่ 28 เมษายนมีการปะทะกันบนถนนวิภาวดีรังสิต แล้วมีทหารเสียชีวิตนายหนึ่ง ซึ่งบอกว่ายิงกันเองก็ไม่มีการชันสูตรศพ พอวันที่ 13 พฤษภาคม วันที่ เสธ.แดงถูกยิง จนมาถึงวันที่ 19 และ 20 พฤษภาคม มีผู้เสียชีวิตอีก เอา 26 ลบ 90 ทั้ง หมดนี้แค่ 1 ใน 3 เท่านั้นที่มีการชันสูตรศพ อันนี้เป็นคำถามของวิธีการว่าเกิดอะไรขึ้นถึงไม่มีการชันสูตรศพที่เหมาะที่ควร และสามารถจะใช้เป็นหลักฐานได้ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นมีความรุนแรงมากน้อยแค่ไหน”
ดร.กฤตยายังตั้งข้อสังเกตว่า ขณะนี้ศพถูกฌาปนกิจไปแล้วส่วนใหญ่ จึงมีข้อมูลน้อยมากหรือไม่มีเลย ซึ่งเป็นการเจตนา เป็นการจงใจหรือไม่ไม่ทราบ แต่ในฐานะทำงานด้านมนุษยชนมีความรู้สึกว่าภาครัฐ สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ สถาบันการแพทย์ ไม่น่าจะปล่อยให้เกิดสถานการณ์เช่นนี้ ซึ่งไม่รู้ว่าจะไปเรียกร้องความยุติธรรมจากใคร
90 ศพที่พูดไม่ได้?
ความเห็นของ ดร.กฤตยาไม่ได้แตกต่างจากคนเสื้อแดง นักวิชาการ และองค์กรภาคประชาชนต่างๆ หรือแม้แต่องค์กรด้านสิทธิมนุษยชนและสื่อต่างประเทศ ที่เห็นว่ารัฐบาลไทยพยายามกลบเกลื่อนหรือเบี่ยงเบนความจริงในการใช้กำลังทหารปราบปราม คนเสื้อแดงจนมีผู้เสียชีวิตเกือบ 100 ศพ และบาดเจ็บเกือบ 2,000 ราย โดยใช้สารพัดนโยบายประชานิยมที่จะทำให้ประชาชนสนับสนุนรัฐบาล หรือประกาศแผนปรองดอง วาทกรรมสวยหรู และตั้งคณะกรรมการต่างๆขึ้นมาปฏิรูปประเทศไทย
แต่ 3 เดือนที่ผ่านมานับตั้งแต่เหตุการณ์วันที่ 10 เมษายน หรือ 2 เดือนจากเหตุการณ์ 19 พฤษภาคม แทบไม่มีความจริงใดๆเกี่ยวกับเหตุการณ์ “เมษา-พฤษภาอำมหิต” มาแถลง ให้ประชาชนรับทราบเลย ที่สำคัญรัฐบาลยังต่ออายุ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ปิดสื่อและเว็บไซต์ต่างๆเร่งไล่ล่าและกวาดล้างคนเสื้อแดงและฝ่ายตรงข้ามด้วยข้อหา “ผู้ก่อการร้าย” และ “ล้มสถาบัน” อย่างต่อเนื่อง
เสียงของญาติผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บมากมายจึงเงียบสนิทและไม่รู้จะทวงถามความยุติธรรมกับใคร แม้ล่าสุดจะมีการตั้งคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) ที่มีนายคณิต ณ นคร เป็นประธาน แต่นายคณิตแถลงชัดเจนว่าไม่ได้เน้นค้นหาความจริงว่าใครผิดหรือถูกในการสังหารคนเสื้อแดง แต่เน้นแสวงหาความจริงถึงต้นเหตุของความรุนแรงทางการเมือง เพื่อป้องกันความขัดแย้งและฟื้นฟูเยียวยาสังคมให้เกิดความปรองดองในระยะยาว
ยูเอ็นจี้ยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน
แต่คนเสื้อแดงและประ-ชาชนที่รักความเป็นธรรมไม่ได้สิ้นหวังที่จะทวงคืนความยุติธรรมให้กับผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บ โดยเฉพาะองค์กรระหว่างประเทศมีการเกาะติดและเคลื่อนไหวกดดันรัฐบาลไทยมากกว่าคนไทยและองค์กรต่างๆของไทย
อย่างเมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม นายอิเลน เพียร์สัน ผู้อำนวยการแผนกเอเชีย องค์การฮิวแมนไรท์วอทช์ ส่งจด หมายเปิดผนึกถึงนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เรียกร้องให้ยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินทันที โดยระบุว่าเป็นกระบวนการบังคับใช้กฎหมายที่ละเมิดสิทธิมนุษยชน และขัดหลักการประชาธิปไตย แม้จะมีการยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินในบางพื้นที่ก็ตาม
โดยเฉพาะการคุมขังคนเสื้อแดงโดยไม่มีการตั้งข้อหาชัดเจน การไม่เปิดเผยข้อมูลของผู้ถูกจับกุม การใช้สถานที่คุมขังในที่ที่ไม่เหมาะสม และไม่สามารถตรวจสอบได้ว่าผู้ถูกคุมขังถูกทารุณกรรมหรือไม่ ซึ่งศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ก็ไม่ได้เปิดเผยข้อมูลดังกล่าว แต่กลับใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินเพื่ออ้างความชอบธรรมและสร้างเกราะคุ้มครองให้รัฐบาลและ ศอฉ. หลุดพ้นจากข้อกล่าวหาฆ่าและทำร้ายประชาชน ทั้งยังปิดสื่อและเว็บไซต์จำนวนมาก ซึ่งเป็นการใช้อำนาจอย่างไม่จำกัดและขัดต่อหลักการด้านมนุษยชนตามสนธิสัญญานานาชาติว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (International Covenant on Civil and Political Rights-ICCPR) ซึ่งไทยเป็นสมาชิก
เช่นเดียวกับเมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม อินเตอร์เนชั่นแนลไครซิสกรุ๊ป (International Crisis Group-ICG) องค์กรพัฒนาเอกชนที่ศึกษาวิกฤตระดับนานาชาติเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาความขัดแย้งรุนแรง ได้เผยแพร่รายงานชื่อ “ประสานรอยแยกในประเทศไทย” เรียกร้องให้รัฐบาลไทยยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินทันที เพื่อสร้างบรรยากาศการปรองดองในชาติ ซึ่งต้องเริ่มต้นด้วยการให้มีการเลือกตั้งโดยเร็ว เพื่อให้ได้รัฐบาลใหม่ที่มีความชอบธรรมและเป็นที่ยอมรับของประชาชน
อนุญาตให้ฆ่า!
ขณะที่องค์กรสื่อไร้พรม แดนแถลงข่าวเมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม พร้อมรายงานที่ได้จากการสืบสวน สัมภาษณ์ และวิเคราะห์จากสื่อมวลชนต่างๆที่อยู่ในเหตุการณ์ทั้งไทยและต่างชาติชื่อ “อนุญาตให้ฆ่า” เรียกร้องรัฐบาลไทยและเลขาธิการองค์การสหประชาชาติ (UN) ให้องค์กรต่างๆของสหประชาชาติเข้ามามีส่วนร่วมในการสอบสวนอย่างอิสระและโปร่งใสใน “อาชญากรรม” ที่เกิดขึ้นในไทยระหว่างเดือนเมษายน-พฤษภาคม ซึ่งมีผู้สื่อข่าวทั้งไทยและต่างชาติเสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมากแล้ว ยังกระทบต่อวิชาชีพสื่อมวลชนอย่างยิ่งอีกด้วย
แถลงการณ์ดังกล่าวระบุว่า ในจำนวนผู้เสียชีวิต 90 ศพนั้น มีนักข่าวต่างประเทศ 2 ราย และผู้สื่อข่าวที่ได้รับบาดเจ็บถึง 10 ราย บางรายอาจต้องพิการไปตลอดชีวิต ขณะที่รัฐบาลไทยยังเซ็นเซอร์และปิดสื่อที่มีความเห็นตรงข้ามกับรัฐบาลอีกมากมายอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน
แถลงการณ์ยังระบุว่า แม้รัฐบาลจะสามารถสลายการชุมนุมครั้งใหญ่กลางกรุงเทพฯได้ แต่เป็นชัยชนะที่เต็มไปด้วยความรุนแรงของทหาร ซึ่งมีพยานมากมายเห็นการยิงประชาชนที่ไร้อาวุธ ขณะที่รัฐบาลอาศัยการประกาศภาวะฉุกเฉินกวาดล้างคนเสื้อแดงและฝ่ายตรงข้าม โดยไม่คำนึงถึงกฎหมายระหว่างประเทศหรือกฎหมายของประเทศไทยที่ให้การคุ้มครองสิทธิพลเมืองไว้อย่างชัดเจน
ผู้สื่อข่าวไร้พรมแดนจึงเรียกร้องให้มีการสอบสวนอย่างเป็นอิสระในอาชญากรรมที่เกิดขึ้น โดยขอความร่วมมือจากผู้เชี่ยวชาญนานาชาติ เพราะไม่เช่นนั้นประเทศไทยจะสูญเสียความน่าเชื่อถือในเวทีนานาชาติ ซึ่งนายอภิสิทธิ์ต้องแสดงความจริงใจเพื่อนำไปสู่ความปรองดองของคนในชาติ รวมทั้งในฐานะที่ประเทศไทยได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งประธานคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ
อย่างไรก็ตาม ผู้สื่อข่าวไร้พรมแดนได้รับคำบอกเล่าจากนักข่าวยุโรปที่อยู่ในพื้นที่วันสุดท้ายของการชุมนุมว่าทหารใช้อาวุธสงครามกับประชาชน และไม่เคารพกติกาสากลในการสลายการชุมนุม แม้โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจะอ้างว่ากองทัพมีคำสั่งชัดเจนห้ามยิงประชาชน แต่สามารถใช้กระสุนจริงได้เพื่อป้องกันตัวเองจากกลุ่มผู้ก่อการร้าย เช่นเดียวกับการยืนยันว่ารัฐบาลให้เสรีภาพสื่อ แต่วันนี้ยังใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินปิดสื่อและเว็บไซต์ต่างๆอยู่
ทวงถามความยุติธรรม
สำหรับการเคลื่อนไหวเพื่อทวงถามความยุติธรรมให้กับ 90 ศพที่เสียชีวิตนั้น เมื่อวันที่ 13 กรกฎาคมที่ผ่านมา เครือข่ายนักกิจกรรมทางสังคมเพื่อประชาธิปไตย (คกป.) ได้รวมตัวกันประท้วงการประชุมคณะกรรมการปฏิรูปประเทศ (คปร.) ที่มีนายอานันท์ ปันยารชุน เป็นประธาน และคณะกรรมการสมัชชาปฏิรูปประเทศ (คสป.) ที่มี นพ.ประเวศ วะสี เป็นประธาน ที่บ้านพิษณุโลก โดยแต่งกายใช้สัญลักษณ์กาชาดและพระสงฆ์ พร้อมสวมหน้ากากอาบเลือด และนำแผ่นกระดาษพิมพ์รายชื่อผู้เสียชีวิตปูบนพื้นถนน เพื่อแสดงการคัดค้านที่มาของคณะกรรมการทั้ง 2 ชุดว่าไม่ถูกต้อง แต่ไม่ได้แสดงความสนใจแต่อย่างใด
อย่างไรก็ตาม คกป. ได้แจกจ่ายเอกสารมาจากบทความ “ปฏิรูปไม่ได้ ปรองดองไม่ได้ ถ้าไม่รู้สึกเจ็บปวด” โดยตั้งคำถามถึงจุดยืนของ นพ.ประเวศ ในการเป็นประธาน คสป. ว่า
“ความคิดที่จะมุ่งปฏิรูปอนาคตโดยไม่สนใจไยดีต่ออดีต และอันที่จริงอดีตก็ไม่ใช่เรื่องของเฉพาะโจทก์และจำเลย แต่เป็นเรื่องของความผิดพลาดที่เกิดขึ้นของหลายฝ่าย ทั้งฝ่ายรัฐและผู้ชุมนุม แต่เป็นเรื่องของการสูญเสียที่ร้าวลึกของหลายฝ่าย เป็นเรื่องของบาดแผลในจิตใจมนุษย์ ที่คงใช้เวลาอีกนานกว่าจะเยียวยา ทั้งยังเป็นบาดแผลต่อจิตวิญญาณของชนชาติไทย แต่ทำไมประธานกรรมการท่านนี้จึงเริ่มจากการบอกให้มองข้ามอดีต”
นอกจากนี้นายวรรณเกียรติ ชูสุวรรณ หนึ่งใน คกป. ยังเรียกร้องให้รัฐบาลอภิสิทธิ์แสดงความรับผิดชอบต่อผู้เสียชีวิต ผู้บาดเจ็บ และผู้สูญเสียจากการสลายการชุมนุมก่อน ไม่ใช่เร่งการปฏิรูปที่เป็นเพียงการซื้อเวลา และการเบี่ยงเบนความรับผิดชอบต่อผู้สูญเสียในเหตุการณ์เท่านั้น
มาร์ค V11 เหยื่ออำมหิต
ความปรองดองหรือแผนปฏิรูปของนายอภิสิทธิ์จึงไม่มีใครเชื่อว่าจะสำเร็จตราบใดที่ยังไม่มีคำตอบชัดเจนว่าใครฆ่าและทำร้ายประชาชน ไม่ใช่แค่การตั้งกลุ่มอรหันต์มาสร้างภาพและยื้อเวลาให้ตนอยู่ในอำนาจต่อไปให้นานที่สุด
ขณะที่อีกด้านหนึ่งใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินไล่ล่าและกวาด ล้างฝ่ายตรงข้ามอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งขบวนการต่างๆกดดันและทำลายฝ่ายตรงข้าม อย่างกรณีนายวิทวัส ท้าวคำลือ หรือมาร์ค V11 ผู้เข้าแข่งขัน “ทรู อะคาเดมี แฟนเทเชีย ซีซั่น 7” (AF7) ที่โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ควิจารณ์และขับไล่นายอภิสิทธิ์ออกจากตำแหน่งกรณีสั่งสลายการชุมนุมคนเสื้อแดงเมื่อเดือนเมษายนและพฤษภาคม จนเกิดกระแสต่อต้านจากกลุ่มที่สนับสนุนนายอภิสิทธิ์ โดยเฉพาะขบวนการล่าแม่มดออนไลน์ที่กดดันให้ปลดมาร์ค V11 ออกจากรายการ
ในที่สุดเมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม มาร์ค V11 ประกาศขอถอนตัวจากการแข่งขัน แม้จะอ้างเหตุผลเพื่อให้ทุกฝ่ายหันมาสมานฉันท์ พร้อมทั้งปฏิเสธข่าวหมิ่นเบื้องสูงก็ตาม แต่คงยากจะให้ผู้ที่ให้กำลังใจมาร์ค V11 มาตลอดเชื่อว่าเป็นการตัดสินใจอย่างบริสุทธิ์ใจด้วยตัวเอง เพราะนายวทัญญู ท้าวคำลือ บิดาของมาร์ค V11 พูดชัดเจนว่าจะพาลูกชายเข้าพบนายอภิสิทธิ์เพื่อขอโทษ ซึ่งก่อนหน้านี้พ่อแม่ของมาร์ค V11 ไม่ยอมให้ขึ้นเวทีแสดงคอนเสิร์ตเมื่อวันเสาร์ที่ 10 กรกฎาคมที่ผ่านมา โดยอ้างเรื่องความปลอดภัย และต้องการให้เห็นความสมานฉันท์ โดยมาร์ค V11 เองก็ไม่รู้เรื่องมาก่อน
กรณีของมาร์ค V11 จึงถือเป็นตัวอย่างชัดเจนที่สะท้อนให้เห็นความแตกแยก ความอคติ และจิตใจที่ใฝ่ต่ำของสังคมไทยขณะนี้ เพราะแม้แต่ความเห็นของเยาวชนคนหนึ่งที่แสดงความคิดเห็นอย่างบริสุทธิ์ตามสิทธิเสรีภาพในระบอบประชาธิปไตยยังถูกต่อต้านอย่างรุนแรง แม้แต่นายอภิสิทธิ์ยังแสดงความกังขาและทวงถามถึงความรับผิดชอบ แทนที่จะแสดงความป็นผู้นำที่มีจิตใจเป็นประชาธิปไตย เป็นผู้นำที่มีความเอื้ออาทรและเมตตาธรรม จึงไม่แปลกที่วันนี้คนจำนวนมากจะไม่เชื่อความจริงใจของนายอภิสิทธิ์ และไม่เชื่อว่าจะสร้างความปรองดองหรือกลุ่มอรหันต์จะปฏิรูปประเทศได้สำเร็จ
โมฆบุรุษ-โมฆรัฐบาล
คำพูดที่ว่า “เมื่อไม่มีก้าวแรกก็ไม่มีก้าวที่สอง” จึงสอด คล้องกับวิกฤตประเทศไทยขณะนี้อย่างดี เพราะหลายฝ่ายไม่เชื่อและยังกังขาแผนการปรองดองของนายอภิสิทธิ์ หากยังไม่มีคำตอบและคืนความยุติธรรมกับการสังหารโหดประชาชนทั้ง 90 ศพ
แม้แต่นายนิธิ เอียวศรีวงศ์ นักวิชาการด้านประวัติศาสตร์และหนึ่งใน คปร. ของนายอานันท์ ยังให้ความเห็นต่อเหตุการณ์เดือนพฤษภาคมว่าเป็น “พฤษภามหาโฉด” ที่ขณะนี้ไม่มีใครไว้วางใจใครได้เลย ตราบใดที่ยังมีการใช้ความรุนแรง ไม่ว่าจะเป็นคนเสื้อแดงหรือนายอภิสิทธิ์ “ผมคิดว่าคุณอภิสิทธิ์ไม่มีความชอบธรรมในการปรองดอง นอกจากการลาออก”
เช่นเดียวกับ ดร.กฤตยาที่เห็นว่า หลังเหตุการณ์วันที่ 10 เมษายน ถือว่านายอภิสิทธิ์เป็น “โมฆบุรุษ” เพราะวาทกรรม “ก่อการร้าย” ที่นำมาใช้กับคนเสื้อแดง หากเปรียบเทียบกับเหตุการณ์ความไม่สงบในภาคใต้ที่ใช้คำว่า “ผู้ก่อความไม่สงบ” นั้น เหมือนการสร้างความสกปรกให้สะอาด สร้างความชอบธรรมให้กับรัฐบาล แล้วสร้างความอัปลักษณ์ให้กับคนเสื้อแดง โดยรัฐบาลใช้อำนาจอำมหิตจัดการในสิ่งที่เห็นว่าสกปรก ทั้งนี้ แม้ประชาชนจะเกลียดรัฐบาล แต่รัฐบาลไม่มีสิทธิเกลียดประชาชน และไม่มีอำนาจสั่งฆ่าประชาชน
“นายอภิสิทธิ์เคยพูดกับนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ในเหตุการณ์ 7 ตุลาคม 2551 ว่านายสมชายเป็นคนหรือไม่ แต่ดิฉันจะไม่ถามว่านายอภิสิทธิ์เป็นคนหรือไม่ เพราะรู้ว่าเป็นคนอยู่แล้ว นอกจากนี้ในสมัยนายบรรหาร ศิลปอาชา นายอภิสิทธิ์อภิปรายโจมตีนายบรรหารตอนหนึ่ง นายอภิสิทธิ์กล่าวหานายบรรหารว่าเป็นโมฆบุรุษ และในเหตุการณ์นี้มีการสั่งสลายการชุมนุมจนทำให้คนเสียชีวิตจำนวนมาก แต่นายอภิสิทธิ์ยังอยู่ในอำนาจ นายอภิสิทธิ์เป็นโมฆบุรุษ และรัฐบาลชุดนี้ก็เป็นโมฆรัฐบาล”
ดร.กฤตยายังย้ำถึงการชันสูตรศพที่ถือเป็นหลักฐานสำคัญที่จะพิสูจน์สาเหตุการเสียชีวิตที่มีแต่ 1 ใน 3 เท่านั้น เห็นได้ชัดเจนจากกรณีของ “น้องเกด” น.ส.กมนเกด อัคฮาด พยาบาลอาสาของร่วมด้วยช่วยกัน ที่ถูกยิงที่วัดปทุมวนาราม ซึ่ง พญ.คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ ผู้อำนวยการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ บอกว่ามีกระสุนค้างที่ตัว แต่ภายหลังฝ่ายที่เกี่ยวข้องกลับบอกว่าไม่มี ซึ่งสรุปได้ว่าการชันสูตรศพของรัฐบาลไม่มีความชัดเจน และสะท้อนให้เห็นว่าเป็นการอำพรางการฆาตกรรมอย่างอำมหิต
คนไทยรึเปล่า?
สังคมไทยวันนี้จึงไม่ใช่แค่ไม่มีคำตอบกับ 90 ศพ และอีกเกือบ 2,000 ชีวิตที่บาดเจ็บ พิการเท่านั้น แม้แต่จะเรียกร้องความยุติธรรมยังมืดมน เพราะอำนาจ พ.ร.ก.ฉุกเฉินที่ใหญ่คับบ้านคับเมือง ที่รัฐบาลอ้างเป็นการบังคับใช้นิติรัฐนั้นกลับนำมาใช้แบบเอาเป็นเอา ตายและบ้าเลือดกับคนเสื้อแดงและฝ่ายตรงข้าม ไม่คำนึงถึงความเท่าเทียม สิทธิขั้นพื้นฐานความเป็นพลเมืองและสิทธิความเป็นมนุษย์ มีการจับคนที่คิดเห็นตรงกันข้ามไปคุมขังโดยไม่ต้องแจ้งข้อหาใดๆก็ได้
ขณะเดียวกันรัฐบาลและ ศอฉ. ยังใช้สื่อและวาทกรรมต่างๆเพื่อสร้างความชอบธรรมในการใช้อำนาจ ทั้งปิดกั้น ควบคุมและแทรกแซงสื่ออย่างชัดเจน เพื่อไม่ให้ปรากฏภาพทหารที่ประทับเล็งปืน หรือการใช้กำลังของทหารที่เกินสมควรแก่เหตุ โดยใช้วาทกรรม “ขอคืนพื้นที่” และ “กระชับวงล้อม” ซึ่งเป็นการลิดรอนสิทธิเสรีภาพที่นายอภิสิทธิ์และ ศอฉ. ถือเป็นความชอบธรรม
เหมือนพฤติกรรมของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีและผู้อำนวยการ ศอฉ. ที่กล่าวกับผู้สื่อข่าวที่ถามว่า มีคนเห็นว่าทหารยิงประชา- ชน ทาง ศอฉ. ตรวจสอบอย่าง ไร นายสุเทพกลับยกมือชี้ไปที่ผู้สื่อข่าว แล้วถามว่า “เป็นคนไทยรึเปล่า?”
ทั้งที่เป็นคำถามที่ผู้สื่อข่าวอยากทราบความคืบหน้าการเสียชีวิตของ 90 ศพ ซึ่งรัฐบาลและ ศอฉ. ต้องอดทนและทำความเข้าใจกับประชาชนให้มากที่สุด แต่นายสุเทพกลับแสดงบารมีซึ่งไม่ต่างอะไรกับการข่มขู่ เหมือนเตือนว่าอย่าถามและคิดเช่นนี้อีก ทั้งที่ 90 ศพก็เป็นคนไทยเช่นกัน และยังเป็นคนไทยที่ถูกฆ่าอย่างอำมหิตอีกด้วย
คนที่น่าสงสารและต้องถามตัวเองว่า “เป็นคนไทยรึเปล่า?” จึงน่าจะเป็นคนที่สั่งการ และคนที่ลงมือฆ่าและทำ ร้ายประชาชน!
เหมือนครั้ง 6 ตุลาคม 2519 ที่สังหารโหดนักศึกษากลางเมือง แต่คนฆ่ากลับกลายเป็นวีรบุรุษ เพราะคำว่า “ฆ่าคอมมิวนิสต์ไม่บาป”
เช่นเดียวกับการฆ่าอย่างเลือดเย็นและอำมหิต 90 ศพที่ราชดำเนินถึงราชประสงค์ และ 6 ศพที่วัดปทุมวนาราม ที่ไม่ ใช่แค่ถามว่า “เป็นคนไทยรึเปล่า?” เท่านั้น
แต่ต้องถามว่า “เป็นคนรึเปล่า?” ด้วย!
ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข ปีที่ 5 ฉบับ 268 วันที่ วันที่ 17-23 กรกฎาคม พ.ศ. 2553 หน้า 8 คอลัมน์
ดร.กฤตยา อาชวนิจกุล นักวิชาการจากสถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล ข้องใจการชันสูตรพลิกศพ 90 ศพในเหตุการณ์เดือนเมษายน-พฤษภาคม 2553 เพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับผู้เสียชีวิต เพราะที่ผ่านมาแทบไม่ปรากฏเป็นข่าวใดๆเลย และตั้งคำถามถึงหน่วยแพทย์ที่เกี่ยวข้องทุกแห่ง 3 กรณีคือ 1.ศพส่งที่ไหนก็ชันสูตรที่นั่น ซึ่งการชันสูตรเป็นแบบไหนเขายังไม่เห็นเอกสาร เขาเพียงแต่เขียนว่าชันสูตร 2.ศพส่งไปที่ ไหนแล้วไปชันสูตรอีกที่หนึ่ง และ 3.ทำไมไม่มีข้อมูลชันสูตรศพทั้งหมด แต่มีเพียงประมาณ 1 ใน 3
2 ใน 3 ไม่มีการชันสูตร?
“ที่น่าสนใจคือ ศพที่ถูกยิงในเหตุการณ์และเสียชีวิตในวันที่ 10 เมษายน มีทั้งหมด 26 ศพ บอกว่ามีการชันสูตรศพ พอหลังจากนั้นคือหลังวันที่ 28 เมษายนมีการปะทะกันบนถนนวิภาวดีรังสิต แล้วมีทหารเสียชีวิตนายหนึ่ง ซึ่งบอกว่ายิงกันเองก็ไม่มีการชันสูตรศพ พอวันที่ 13 พฤษภาคม วันที่ เสธ.แดงถูกยิง จนมาถึงวันที่ 19 และ 20 พฤษภาคม มีผู้เสียชีวิตอีก เอา 26 ลบ 90 ทั้ง หมดนี้แค่ 1 ใน 3 เท่านั้นที่มีการชันสูตรศพ อันนี้เป็นคำถามของวิธีการว่าเกิดอะไรขึ้นถึงไม่มีการชันสูตรศพที่เหมาะที่ควร และสามารถจะใช้เป็นหลักฐานได้ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นมีความรุนแรงมากน้อยแค่ไหน”
ดร.กฤตยายังตั้งข้อสังเกตว่า ขณะนี้ศพถูกฌาปนกิจไปแล้วส่วนใหญ่ จึงมีข้อมูลน้อยมากหรือไม่มีเลย ซึ่งเป็นการเจตนา เป็นการจงใจหรือไม่ไม่ทราบ แต่ในฐานะทำงานด้านมนุษยชนมีความรู้สึกว่าภาครัฐ สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ สถาบันการแพทย์ ไม่น่าจะปล่อยให้เกิดสถานการณ์เช่นนี้ ซึ่งไม่รู้ว่าจะไปเรียกร้องความยุติธรรมจากใคร
90 ศพที่พูดไม่ได้?
ความเห็นของ ดร.กฤตยาไม่ได้แตกต่างจากคนเสื้อแดง นักวิชาการ และองค์กรภาคประชาชนต่างๆ หรือแม้แต่องค์กรด้านสิทธิมนุษยชนและสื่อต่างประเทศ ที่เห็นว่ารัฐบาลไทยพยายามกลบเกลื่อนหรือเบี่ยงเบนความจริงในการใช้กำลังทหารปราบปราม คนเสื้อแดงจนมีผู้เสียชีวิตเกือบ 100 ศพ และบาดเจ็บเกือบ 2,000 ราย โดยใช้สารพัดนโยบายประชานิยมที่จะทำให้ประชาชนสนับสนุนรัฐบาล หรือประกาศแผนปรองดอง วาทกรรมสวยหรู และตั้งคณะกรรมการต่างๆขึ้นมาปฏิรูปประเทศไทย
แต่ 3 เดือนที่ผ่านมานับตั้งแต่เหตุการณ์วันที่ 10 เมษายน หรือ 2 เดือนจากเหตุการณ์ 19 พฤษภาคม แทบไม่มีความจริงใดๆเกี่ยวกับเหตุการณ์ “เมษา-พฤษภาอำมหิต” มาแถลง ให้ประชาชนรับทราบเลย ที่สำคัญรัฐบาลยังต่ออายุ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ปิดสื่อและเว็บไซต์ต่างๆเร่งไล่ล่าและกวาดล้างคนเสื้อแดงและฝ่ายตรงข้ามด้วยข้อหา “ผู้ก่อการร้าย” และ “ล้มสถาบัน” อย่างต่อเนื่อง
เสียงของญาติผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บมากมายจึงเงียบสนิทและไม่รู้จะทวงถามความยุติธรรมกับใคร แม้ล่าสุดจะมีการตั้งคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) ที่มีนายคณิต ณ นคร เป็นประธาน แต่นายคณิตแถลงชัดเจนว่าไม่ได้เน้นค้นหาความจริงว่าใครผิดหรือถูกในการสังหารคนเสื้อแดง แต่เน้นแสวงหาความจริงถึงต้นเหตุของความรุนแรงทางการเมือง เพื่อป้องกันความขัดแย้งและฟื้นฟูเยียวยาสังคมให้เกิดความปรองดองในระยะยาว
ยูเอ็นจี้ยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน
แต่คนเสื้อแดงและประ-ชาชนที่รักความเป็นธรรมไม่ได้สิ้นหวังที่จะทวงคืนความยุติธรรมให้กับผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บ โดยเฉพาะองค์กรระหว่างประเทศมีการเกาะติดและเคลื่อนไหวกดดันรัฐบาลไทยมากกว่าคนไทยและองค์กรต่างๆของไทย
อย่างเมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม นายอิเลน เพียร์สัน ผู้อำนวยการแผนกเอเชีย องค์การฮิวแมนไรท์วอทช์ ส่งจด หมายเปิดผนึกถึงนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เรียกร้องให้ยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินทันที โดยระบุว่าเป็นกระบวนการบังคับใช้กฎหมายที่ละเมิดสิทธิมนุษยชน และขัดหลักการประชาธิปไตย แม้จะมีการยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินในบางพื้นที่ก็ตาม
โดยเฉพาะการคุมขังคนเสื้อแดงโดยไม่มีการตั้งข้อหาชัดเจน การไม่เปิดเผยข้อมูลของผู้ถูกจับกุม การใช้สถานที่คุมขังในที่ที่ไม่เหมาะสม และไม่สามารถตรวจสอบได้ว่าผู้ถูกคุมขังถูกทารุณกรรมหรือไม่ ซึ่งศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ก็ไม่ได้เปิดเผยข้อมูลดังกล่าว แต่กลับใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินเพื่ออ้างความชอบธรรมและสร้างเกราะคุ้มครองให้รัฐบาลและ ศอฉ. หลุดพ้นจากข้อกล่าวหาฆ่าและทำร้ายประชาชน ทั้งยังปิดสื่อและเว็บไซต์จำนวนมาก ซึ่งเป็นการใช้อำนาจอย่างไม่จำกัดและขัดต่อหลักการด้านมนุษยชนตามสนธิสัญญานานาชาติว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (International Covenant on Civil and Political Rights-ICCPR) ซึ่งไทยเป็นสมาชิก
เช่นเดียวกับเมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม อินเตอร์เนชั่นแนลไครซิสกรุ๊ป (International Crisis Group-ICG) องค์กรพัฒนาเอกชนที่ศึกษาวิกฤตระดับนานาชาติเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาความขัดแย้งรุนแรง ได้เผยแพร่รายงานชื่อ “ประสานรอยแยกในประเทศไทย” เรียกร้องให้รัฐบาลไทยยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินทันที เพื่อสร้างบรรยากาศการปรองดองในชาติ ซึ่งต้องเริ่มต้นด้วยการให้มีการเลือกตั้งโดยเร็ว เพื่อให้ได้รัฐบาลใหม่ที่มีความชอบธรรมและเป็นที่ยอมรับของประชาชน
อนุญาตให้ฆ่า!
ขณะที่องค์กรสื่อไร้พรม แดนแถลงข่าวเมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม พร้อมรายงานที่ได้จากการสืบสวน สัมภาษณ์ และวิเคราะห์จากสื่อมวลชนต่างๆที่อยู่ในเหตุการณ์ทั้งไทยและต่างชาติชื่อ “อนุญาตให้ฆ่า” เรียกร้องรัฐบาลไทยและเลขาธิการองค์การสหประชาชาติ (UN) ให้องค์กรต่างๆของสหประชาชาติเข้ามามีส่วนร่วมในการสอบสวนอย่างอิสระและโปร่งใสใน “อาชญากรรม” ที่เกิดขึ้นในไทยระหว่างเดือนเมษายน-พฤษภาคม ซึ่งมีผู้สื่อข่าวทั้งไทยและต่างชาติเสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมากแล้ว ยังกระทบต่อวิชาชีพสื่อมวลชนอย่างยิ่งอีกด้วย
แถลงการณ์ดังกล่าวระบุว่า ในจำนวนผู้เสียชีวิต 90 ศพนั้น มีนักข่าวต่างประเทศ 2 ราย และผู้สื่อข่าวที่ได้รับบาดเจ็บถึง 10 ราย บางรายอาจต้องพิการไปตลอดชีวิต ขณะที่รัฐบาลไทยยังเซ็นเซอร์และปิดสื่อที่มีความเห็นตรงข้ามกับรัฐบาลอีกมากมายอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน
แถลงการณ์ยังระบุว่า แม้รัฐบาลจะสามารถสลายการชุมนุมครั้งใหญ่กลางกรุงเทพฯได้ แต่เป็นชัยชนะที่เต็มไปด้วยความรุนแรงของทหาร ซึ่งมีพยานมากมายเห็นการยิงประชาชนที่ไร้อาวุธ ขณะที่รัฐบาลอาศัยการประกาศภาวะฉุกเฉินกวาดล้างคนเสื้อแดงและฝ่ายตรงข้าม โดยไม่คำนึงถึงกฎหมายระหว่างประเทศหรือกฎหมายของประเทศไทยที่ให้การคุ้มครองสิทธิพลเมืองไว้อย่างชัดเจน
ผู้สื่อข่าวไร้พรมแดนจึงเรียกร้องให้มีการสอบสวนอย่างเป็นอิสระในอาชญากรรมที่เกิดขึ้น โดยขอความร่วมมือจากผู้เชี่ยวชาญนานาชาติ เพราะไม่เช่นนั้นประเทศไทยจะสูญเสียความน่าเชื่อถือในเวทีนานาชาติ ซึ่งนายอภิสิทธิ์ต้องแสดงความจริงใจเพื่อนำไปสู่ความปรองดองของคนในชาติ รวมทั้งในฐานะที่ประเทศไทยได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งประธานคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ
อย่างไรก็ตาม ผู้สื่อข่าวไร้พรมแดนได้รับคำบอกเล่าจากนักข่าวยุโรปที่อยู่ในพื้นที่วันสุดท้ายของการชุมนุมว่าทหารใช้อาวุธสงครามกับประชาชน และไม่เคารพกติกาสากลในการสลายการชุมนุม แม้โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจะอ้างว่ากองทัพมีคำสั่งชัดเจนห้ามยิงประชาชน แต่สามารถใช้กระสุนจริงได้เพื่อป้องกันตัวเองจากกลุ่มผู้ก่อการร้าย เช่นเดียวกับการยืนยันว่ารัฐบาลให้เสรีภาพสื่อ แต่วันนี้ยังใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินปิดสื่อและเว็บไซต์ต่างๆอยู่
ทวงถามความยุติธรรม
สำหรับการเคลื่อนไหวเพื่อทวงถามความยุติธรรมให้กับ 90 ศพที่เสียชีวิตนั้น เมื่อวันที่ 13 กรกฎาคมที่ผ่านมา เครือข่ายนักกิจกรรมทางสังคมเพื่อประชาธิปไตย (คกป.) ได้รวมตัวกันประท้วงการประชุมคณะกรรมการปฏิรูปประเทศ (คปร.) ที่มีนายอานันท์ ปันยารชุน เป็นประธาน และคณะกรรมการสมัชชาปฏิรูปประเทศ (คสป.) ที่มี นพ.ประเวศ วะสี เป็นประธาน ที่บ้านพิษณุโลก โดยแต่งกายใช้สัญลักษณ์กาชาดและพระสงฆ์ พร้อมสวมหน้ากากอาบเลือด และนำแผ่นกระดาษพิมพ์รายชื่อผู้เสียชีวิตปูบนพื้นถนน เพื่อแสดงการคัดค้านที่มาของคณะกรรมการทั้ง 2 ชุดว่าไม่ถูกต้อง แต่ไม่ได้แสดงความสนใจแต่อย่างใด
อย่างไรก็ตาม คกป. ได้แจกจ่ายเอกสารมาจากบทความ “ปฏิรูปไม่ได้ ปรองดองไม่ได้ ถ้าไม่รู้สึกเจ็บปวด” โดยตั้งคำถามถึงจุดยืนของ นพ.ประเวศ ในการเป็นประธาน คสป. ว่า
“ความคิดที่จะมุ่งปฏิรูปอนาคตโดยไม่สนใจไยดีต่ออดีต และอันที่จริงอดีตก็ไม่ใช่เรื่องของเฉพาะโจทก์และจำเลย แต่เป็นเรื่องของความผิดพลาดที่เกิดขึ้นของหลายฝ่าย ทั้งฝ่ายรัฐและผู้ชุมนุม แต่เป็นเรื่องของการสูญเสียที่ร้าวลึกของหลายฝ่าย เป็นเรื่องของบาดแผลในจิตใจมนุษย์ ที่คงใช้เวลาอีกนานกว่าจะเยียวยา ทั้งยังเป็นบาดแผลต่อจิตวิญญาณของชนชาติไทย แต่ทำไมประธานกรรมการท่านนี้จึงเริ่มจากการบอกให้มองข้ามอดีต”
นอกจากนี้นายวรรณเกียรติ ชูสุวรรณ หนึ่งใน คกป. ยังเรียกร้องให้รัฐบาลอภิสิทธิ์แสดงความรับผิดชอบต่อผู้เสียชีวิต ผู้บาดเจ็บ และผู้สูญเสียจากการสลายการชุมนุมก่อน ไม่ใช่เร่งการปฏิรูปที่เป็นเพียงการซื้อเวลา และการเบี่ยงเบนความรับผิดชอบต่อผู้สูญเสียในเหตุการณ์เท่านั้น
มาร์ค V11 เหยื่ออำมหิต
ความปรองดองหรือแผนปฏิรูปของนายอภิสิทธิ์จึงไม่มีใครเชื่อว่าจะสำเร็จตราบใดที่ยังไม่มีคำตอบชัดเจนว่าใครฆ่าและทำร้ายประชาชน ไม่ใช่แค่การตั้งกลุ่มอรหันต์มาสร้างภาพและยื้อเวลาให้ตนอยู่ในอำนาจต่อไปให้นานที่สุด
ขณะที่อีกด้านหนึ่งใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินไล่ล่าและกวาด ล้างฝ่ายตรงข้ามอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งขบวนการต่างๆกดดันและทำลายฝ่ายตรงข้าม อย่างกรณีนายวิทวัส ท้าวคำลือ หรือมาร์ค V11 ผู้เข้าแข่งขัน “ทรู อะคาเดมี แฟนเทเชีย ซีซั่น 7” (AF7) ที่โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ควิจารณ์และขับไล่นายอภิสิทธิ์ออกจากตำแหน่งกรณีสั่งสลายการชุมนุมคนเสื้อแดงเมื่อเดือนเมษายนและพฤษภาคม จนเกิดกระแสต่อต้านจากกลุ่มที่สนับสนุนนายอภิสิทธิ์ โดยเฉพาะขบวนการล่าแม่มดออนไลน์ที่กดดันให้ปลดมาร์ค V11 ออกจากรายการ
ในที่สุดเมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม มาร์ค V11 ประกาศขอถอนตัวจากการแข่งขัน แม้จะอ้างเหตุผลเพื่อให้ทุกฝ่ายหันมาสมานฉันท์ พร้อมทั้งปฏิเสธข่าวหมิ่นเบื้องสูงก็ตาม แต่คงยากจะให้ผู้ที่ให้กำลังใจมาร์ค V11 มาตลอดเชื่อว่าเป็นการตัดสินใจอย่างบริสุทธิ์ใจด้วยตัวเอง เพราะนายวทัญญู ท้าวคำลือ บิดาของมาร์ค V11 พูดชัดเจนว่าจะพาลูกชายเข้าพบนายอภิสิทธิ์เพื่อขอโทษ ซึ่งก่อนหน้านี้พ่อแม่ของมาร์ค V11 ไม่ยอมให้ขึ้นเวทีแสดงคอนเสิร์ตเมื่อวันเสาร์ที่ 10 กรกฎาคมที่ผ่านมา โดยอ้างเรื่องความปลอดภัย และต้องการให้เห็นความสมานฉันท์ โดยมาร์ค V11 เองก็ไม่รู้เรื่องมาก่อน
กรณีของมาร์ค V11 จึงถือเป็นตัวอย่างชัดเจนที่สะท้อนให้เห็นความแตกแยก ความอคติ และจิตใจที่ใฝ่ต่ำของสังคมไทยขณะนี้ เพราะแม้แต่ความเห็นของเยาวชนคนหนึ่งที่แสดงความคิดเห็นอย่างบริสุทธิ์ตามสิทธิเสรีภาพในระบอบประชาธิปไตยยังถูกต่อต้านอย่างรุนแรง แม้แต่นายอภิสิทธิ์ยังแสดงความกังขาและทวงถามถึงความรับผิดชอบ แทนที่จะแสดงความป็นผู้นำที่มีจิตใจเป็นประชาธิปไตย เป็นผู้นำที่มีความเอื้ออาทรและเมตตาธรรม จึงไม่แปลกที่วันนี้คนจำนวนมากจะไม่เชื่อความจริงใจของนายอภิสิทธิ์ และไม่เชื่อว่าจะสร้างความปรองดองหรือกลุ่มอรหันต์จะปฏิรูปประเทศได้สำเร็จ
โมฆบุรุษ-โมฆรัฐบาล
คำพูดที่ว่า “เมื่อไม่มีก้าวแรกก็ไม่มีก้าวที่สอง” จึงสอด คล้องกับวิกฤตประเทศไทยขณะนี้อย่างดี เพราะหลายฝ่ายไม่เชื่อและยังกังขาแผนการปรองดองของนายอภิสิทธิ์ หากยังไม่มีคำตอบและคืนความยุติธรรมกับการสังหารโหดประชาชนทั้ง 90 ศพ
แม้แต่นายนิธิ เอียวศรีวงศ์ นักวิชาการด้านประวัติศาสตร์และหนึ่งใน คปร. ของนายอานันท์ ยังให้ความเห็นต่อเหตุการณ์เดือนพฤษภาคมว่าเป็น “พฤษภามหาโฉด” ที่ขณะนี้ไม่มีใครไว้วางใจใครได้เลย ตราบใดที่ยังมีการใช้ความรุนแรง ไม่ว่าจะเป็นคนเสื้อแดงหรือนายอภิสิทธิ์ “ผมคิดว่าคุณอภิสิทธิ์ไม่มีความชอบธรรมในการปรองดอง นอกจากการลาออก”
เช่นเดียวกับ ดร.กฤตยาที่เห็นว่า หลังเหตุการณ์วันที่ 10 เมษายน ถือว่านายอภิสิทธิ์เป็น “โมฆบุรุษ” เพราะวาทกรรม “ก่อการร้าย” ที่นำมาใช้กับคนเสื้อแดง หากเปรียบเทียบกับเหตุการณ์ความไม่สงบในภาคใต้ที่ใช้คำว่า “ผู้ก่อความไม่สงบ” นั้น เหมือนการสร้างความสกปรกให้สะอาด สร้างความชอบธรรมให้กับรัฐบาล แล้วสร้างความอัปลักษณ์ให้กับคนเสื้อแดง โดยรัฐบาลใช้อำนาจอำมหิตจัดการในสิ่งที่เห็นว่าสกปรก ทั้งนี้ แม้ประชาชนจะเกลียดรัฐบาล แต่รัฐบาลไม่มีสิทธิเกลียดประชาชน และไม่มีอำนาจสั่งฆ่าประชาชน
“นายอภิสิทธิ์เคยพูดกับนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ในเหตุการณ์ 7 ตุลาคม 2551 ว่านายสมชายเป็นคนหรือไม่ แต่ดิฉันจะไม่ถามว่านายอภิสิทธิ์เป็นคนหรือไม่ เพราะรู้ว่าเป็นคนอยู่แล้ว นอกจากนี้ในสมัยนายบรรหาร ศิลปอาชา นายอภิสิทธิ์อภิปรายโจมตีนายบรรหารตอนหนึ่ง นายอภิสิทธิ์กล่าวหานายบรรหารว่าเป็นโมฆบุรุษ และในเหตุการณ์นี้มีการสั่งสลายการชุมนุมจนทำให้คนเสียชีวิตจำนวนมาก แต่นายอภิสิทธิ์ยังอยู่ในอำนาจ นายอภิสิทธิ์เป็นโมฆบุรุษ และรัฐบาลชุดนี้ก็เป็นโมฆรัฐบาล”
ดร.กฤตยายังย้ำถึงการชันสูตรศพที่ถือเป็นหลักฐานสำคัญที่จะพิสูจน์สาเหตุการเสียชีวิตที่มีแต่ 1 ใน 3 เท่านั้น เห็นได้ชัดเจนจากกรณีของ “น้องเกด” น.ส.กมนเกด อัคฮาด พยาบาลอาสาของร่วมด้วยช่วยกัน ที่ถูกยิงที่วัดปทุมวนาราม ซึ่ง พญ.คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ ผู้อำนวยการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ บอกว่ามีกระสุนค้างที่ตัว แต่ภายหลังฝ่ายที่เกี่ยวข้องกลับบอกว่าไม่มี ซึ่งสรุปได้ว่าการชันสูตรศพของรัฐบาลไม่มีความชัดเจน และสะท้อนให้เห็นว่าเป็นการอำพรางการฆาตกรรมอย่างอำมหิต
คนไทยรึเปล่า?
สังคมไทยวันนี้จึงไม่ใช่แค่ไม่มีคำตอบกับ 90 ศพ และอีกเกือบ 2,000 ชีวิตที่บาดเจ็บ พิการเท่านั้น แม้แต่จะเรียกร้องความยุติธรรมยังมืดมน เพราะอำนาจ พ.ร.ก.ฉุกเฉินที่ใหญ่คับบ้านคับเมือง ที่รัฐบาลอ้างเป็นการบังคับใช้นิติรัฐนั้นกลับนำมาใช้แบบเอาเป็นเอา ตายและบ้าเลือดกับคนเสื้อแดงและฝ่ายตรงข้าม ไม่คำนึงถึงความเท่าเทียม สิทธิขั้นพื้นฐานความเป็นพลเมืองและสิทธิความเป็นมนุษย์ มีการจับคนที่คิดเห็นตรงกันข้ามไปคุมขังโดยไม่ต้องแจ้งข้อหาใดๆก็ได้
ขณะเดียวกันรัฐบาลและ ศอฉ. ยังใช้สื่อและวาทกรรมต่างๆเพื่อสร้างความชอบธรรมในการใช้อำนาจ ทั้งปิดกั้น ควบคุมและแทรกแซงสื่ออย่างชัดเจน เพื่อไม่ให้ปรากฏภาพทหารที่ประทับเล็งปืน หรือการใช้กำลังของทหารที่เกินสมควรแก่เหตุ โดยใช้วาทกรรม “ขอคืนพื้นที่” และ “กระชับวงล้อม” ซึ่งเป็นการลิดรอนสิทธิเสรีภาพที่นายอภิสิทธิ์และ ศอฉ. ถือเป็นความชอบธรรม
เหมือนพฤติกรรมของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีและผู้อำนวยการ ศอฉ. ที่กล่าวกับผู้สื่อข่าวที่ถามว่า มีคนเห็นว่าทหารยิงประชา- ชน ทาง ศอฉ. ตรวจสอบอย่าง ไร นายสุเทพกลับยกมือชี้ไปที่ผู้สื่อข่าว แล้วถามว่า “เป็นคนไทยรึเปล่า?”
ทั้งที่เป็นคำถามที่ผู้สื่อข่าวอยากทราบความคืบหน้าการเสียชีวิตของ 90 ศพ ซึ่งรัฐบาลและ ศอฉ. ต้องอดทนและทำความเข้าใจกับประชาชนให้มากที่สุด แต่นายสุเทพกลับแสดงบารมีซึ่งไม่ต่างอะไรกับการข่มขู่ เหมือนเตือนว่าอย่าถามและคิดเช่นนี้อีก ทั้งที่ 90 ศพก็เป็นคนไทยเช่นกัน และยังเป็นคนไทยที่ถูกฆ่าอย่างอำมหิตอีกด้วย
คนที่น่าสงสารและต้องถามตัวเองว่า “เป็นคนไทยรึเปล่า?” จึงน่าจะเป็นคนที่สั่งการ และคนที่ลงมือฆ่าและทำ ร้ายประชาชน!
เหมือนครั้ง 6 ตุลาคม 2519 ที่สังหารโหดนักศึกษากลางเมือง แต่คนฆ่ากลับกลายเป็นวีรบุรุษ เพราะคำว่า “ฆ่าคอมมิวนิสต์ไม่บาป”
เช่นเดียวกับการฆ่าอย่างเลือดเย็นและอำมหิต 90 ศพที่ราชดำเนินถึงราชประสงค์ และ 6 ศพที่วัดปทุมวนาราม ที่ไม่ ใช่แค่ถามว่า “เป็นคนไทยรึเปล่า?” เท่านั้น
แต่ต้องถามว่า “เป็นคนรึเปล่า?” ด้วย!
ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข ปีที่ 5 ฉบับ 268 วันที่ วันที่ 17-23 กรกฎาคม พ.ศ. 2553 หน้า 8 คอลัมน์
ภัควดี แปล 'ชีวิตภายใต้เงาอำมหิตของอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ'
ภัควดี ไม่มีนามสกุล
แปลจาก David Streckfuss*
“Life Under Abhisit’s Thumb: The Thai government cracks down on dissent in the restive northeast,” The Wall Street Journal ; July 11, 2010.
สัญญาณที่จับต้องได้ส่วนใหญ่ของ พ.ร.ก. ฉุกเฉิน อาจไม่มีเหลือให้เห็นมากนักในภาคอีสานของประเทศไทย รั้วลวดหนามที่ล้อมรอบศาลากลางจังหวัดถูกรื้อออกไปแล้ว ทหารจากกองทัพที่เข้ามาคุมเชิงตามหมู่บ้านต่าง ๆ หลังจากการสลายการประท้วงต่อต้านรัฐบาลในกรุงเทพฯ เมื่อเดือนพฤษภาคม ก็ถอนตัวออกไปหมดแล้วเช่นกัน สภาพการณ์ทั่วไปดูเหมือนกลับมาเป็นปรกติ
กระนั้นก็ตาม หลังจากทยอยกลับมาบ้านจากกรุงเทพฯ ผู้สนับสนุนแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือที่เรียกกันว่า “คนเสื้อแดง” ยังคงรู้สึกถูกคุกคาม ในบรรดาผู้คนจำนวน 417 คนที่ถูกจับตัวไว้ภายใต้ พ.ร.ก. ฉุกเฉิน ด้วยข้อหาต่าง ๆ นับตั้งแต่การเข้าร่วมชุมนุมโดยผิดกฎหมาย มีอาวุธอยู่ในครอบครอง ไปจนถึงวางเพลิง มีถึง 134 คนที่มาจากภาคอีสาน หมายจับอีกกว่า 800 คนที่รัฐบาลออกคำสั่งหลังสลายการชุมนุม ผู้ต้องหาส่วนใหญ่ตามหมายจับนี้ก็เป็นคนในต่างจังหวัด ข่าวการสังหารผู้นำเสื้อแดงสองคน คนหนึ่งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ส่งผลสะเทือนอย่างลึกซึ้งและทำให้เกิดข่าวลือต่าง ๆ นานาเกี่ยวกับผู้นำคนอื่น ๆ ที่หายไปอย่างไร้ร่องรอย
เป็นเรื่องยากที่จะหาข้อมูลว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง ด้วยความกลัวว่าจะถูกจับหรือประสบชะตากรรมเลวร้ายกว่านั้น ผู้นำจำนวนมากจึงหนีไปที่อื่น หลบไปกบดานหรือปิดปากเงียบ พวกเขาวิตกว่าตัวเองถูกจับตามองและถูกดักฟังโทรศัพท์ หลายคนไม่เต็มใจที่จะพบปะกับผู้สื่อข่าวหรือคณะทำงานด้านสิทธิมนุษยชน มีความรับรู้อย่างหนึ่งในหมู่คนเสื้อแดงว่า รัฐบาลสามารถทำได้ทุกอย่างตามอำเภอใจภายใต้พระราชกำหนดฉุกเฉิน ในส่วนรัฐบาลเองนั้น รัฐบาลก็ไม่เคยแสดงจุดยืนชัดเจนว่ามีแผนการจะจัดการกับคนเสื้อแดงอย่างไร หลังจากปล่อยผู้ต้องขังจำนวนหนึ่งออกมาเมื่อเดือนที่แล้ว นอกจากพูดว่า คนเสื้อแดงที่มีโทษสถานเบาอาจได้รับนิรโทษกรรม
ดูเหมือนรัฐบาลยังใช้ความพยายามอย่างต่อเนื่องเพื่อรื้อทำลายความสามารถในการจัดตั้งของคนเสื้อแดงตามท้องถิ่นต่าง ๆ จากปากคำของแหล่งข่าวเสื้อแดงคนหนึ่งในภาคอีสานที่ขอร้องไม่ให้ระบุชื่อเพื่อเหตุผลด้านความปลอดภัย สถานีวิทยุชุมชนของคนเสื้อแดงเกือบทั้งหมดได้ส่งมอบเครื่องส่งสัญญาณวิทยุให้ทางราชการเมื่อเดือนที่ผ่านมา ตามคำบอกเล่าของแหล่งข่าวผู้นี้ สำนักผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่นได้อ้าง พ.ร.ก.ฉุกเฉินและภายใต้แรงกดดันของ ศอฉ. จากกรุงเทพฯ กำลังพิจารณาที่จะรื้อทิ้งเสาอากาศของสถานีวิทยุชุมชนของคนเสื้อแดงในขอนแก่น แต่เพราะคำยืนกรานของเจ้าของสถานีว่าจะฟ้องรัฐบาลหากทำเช่นนั้นจริง ๆ ทำให้เงื้อมมือของรัฐบาลชะงักไปก่อน อย่างน้อยก็ในตอนนี้
ในระยะสั้น ดูเหมือนการตัดสินใจของรัฐบาลไทยเมื่อสัปดาห์ที่แล้วให้ขยาย พ.ร.ก.ฉุกเฉินออกไปอีกในหลายจังหวัดของภาคอีสาน จะเป็นเครื่องมือที่ใช้ได้ผล มีความเงียบงันอย่างเด่นชัดครอบคลุมไปทั่วทั้งดินแดนแถบนี้ แม้กระทั่งตามบ้านเรือนของผู้คนจำนวนมากก็เงียบกริบ เมื่อไม่มีวิทยุหรือโทรทัศน์เสื้อแดงเหลือให้รับฟังรับชม หลาย ๆ ครอบครัวก็เลือกไม่ฟังอะไรเลย พวกเขาบอกว่า ถ้าต้องดูข่าวที่รัฐคุมเข้มหรือแม้แต่อ่านหนังสือพิมพ์ก็พาลให้โมโหเปล่า ๆ
เมื่อรัฐบาลของนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะจัดโครงการเปิดรับสายโทรศัพท์จากประชาชน เพื่อรับฟังทัศนะเกี่ยวกับ “การปรองดองแห่งชาติ” คำแนะนำจากคนเสื้อแดงที่โกรธแค้นจำนวนมากที่โทรเข้าไป เช่น บอกให้นายกฯ ยุบสภาและสอบสวนรองนายกรัฐมนตรี นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ในข้อหาการใช้กำลังปราบปรามเกินขอบเขต ฯลฯ แน่นอน รัฐบาลย่อมมองว่าคำพูดเหล่านี้เป็นคำแนะนำที่ไม่สร้างสรรค์ แต่อันที่จริง ก่อนที่รัฐบาลอภิสิทธิ์จะประกาศ “โรดแม็ป” แผนปรองดองเมื่อต้นเดือนพฤษภาคม ฝ่ายเสื้อแดงบอกว่าพวกเขาเสนอโรดแม็ปอันหนึ่งมาตั้งนานแล้ว นั่นคือ ยุบสภา ยกเลิกการสั่งปิดสื่อของเสื้อแดงและยุติปัญหาสองมาตรฐานในระบบยุติธรรม เพราะเหตุนี้เอง คนเสื้อแดงจำนวนมากจึงไม่อยากเสียเวลาโทรศัพท์เข้าไปในรายการ “6 วัน 63 ล้านความคิด” พวกเขาเลือกความเงียบดีกว่า
แต่ความเงียบและสภาพที่ดูผิวเผินเหมือนปรกติในภาคอีสานเป็นแค่ภาพลวงตา มันคือหน้าฉากที่อำพรางความรู้สึกหวาดกลัว คับข้อง รังเกียจและเคียดแค้น
ถ้ามองในเชิงประวัติศาสตร์แล้ว อารมณ์ความรู้สึกแบบนี้ไม่เหมือนสภาพหลังการรัฐประหาร 2549 หรือแม้กระทั่งสภาพหลังการปราบปรามประชาชนของกองทัพเมื่อ พ.ศ. 2535 ทั้ง ๆ ที่ครั้งนั้นก็มีผู้ประท้วงถูกสังหารจำนวนมาก สภาพในตอนนี้มีบรรยากาศคล้ายประเทศไทยสมัยหลังการกวาดล้างนองเลือดนักศึกษาในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เมื่อเดือนตุลาคม พ.ศ. 2519 มากกว่า เช่นเดียวกับผู้นำเสื้อแดงในตอนนี้ ผู้นำนักศึกษาในตอนนั้นก็ถูกกล่าวหาว่าก่อการร้าย ล้มเจ้าและปลุกปั่นก่อความไม่สงบเช่นกัน เหตุการณ์ตุลาคม 2519 เป็นจุดเริ่มต้นที่สังคมไทยเสื่อมถอยไปสู่ระบอบเผด็จการทหาร ความแตกแยกอย่างลึกซึ้งและการกดขี่ปราบปรามประชาชนเป็นระยะเวลายาวนาน
คนไทยจำนวนมาก และไม่ใช่เฉพาะคนเสื้อแดงเท่านั้น เริ่มตั้งข้อสงสัยว่า วิธีการของรัฐบาลอภิสิทธิ์กำลังนำพาประเทศไทยถอยหลังกลับไปสู่ระบอบเผด็จการด้วยการขยายภาวะฉุกเฉินไปอย่างไม่มีกำหนดหรือไม่ ตัวอย่างก่อนหน้านี้ก็มีให้เห็นใน พ.ศ. 2501 มีการประกาศงดใช้ระบบกฎหมายตามปรกติ และสั่งให้ยึดถือเอาประกาศของคณะปฏิวัติมีความสำคัญเหนือกว่ากฎหมายอาญาและกฎหมายรัฐธรรมนูญ มองจากในแง่ของกฎหมายแล้ว ประเทศไทยอยู่ภายใต้สภาวะนี้ต่อมาอีกถึง 4 ทศวรรษ มีแต่รัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2540 เท่านั้นที่มีความก้าวหน้าในแง่ของการรื้อทิ้งเศษซากตกค้างของระบอบเผด็จการ แต่การรัฐประหารของกองทัพเมื่อ พ.ศ. 2549 เพื่อขับไล่นายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร ที่ได้รับการเลือกตั้งมาตามระบอบประชาธิปไตย ได้ผลักไสประเทศไทยจมลงสู่ความไร้เสถียรภาพอีกครั้ง
รัฐบาลอภิสิทธิ์บอกว่า การปราบปรามคนเสื้อแดงเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อรักษาหลักนิติรัฐ แต่การใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินกลับเป็นสิ่งที่สวนทางตรงกันข้าม มันจะกัดเซาะความเข้มแข็งและความมั่นคงระยะยาวของระบอบนิติรัฐ ถึงแม้มีการยกเลิก พ.ร.ก. ฉุกเฉินในห้าจังหวัด แต่การขยาย พ.ร.ก. ฉุกเฉินไปอีก 3 เดือนใน 18 จังหวัดและในกรุงเทพฯ เป็นแค่สัญญาณบ่งบอกครั้งล่าสุดถึงภาวะความไม่มั่นคงทางกฎหมายที่จะเพิ่มขึ้นในระยะยาว
เป็นเรื่องยากที่จะคิดว่า รัฐบาลที่มีพรรคประชาธิปัตย์เป็นแกนนำจะสามารถทลายกำแพงความเงียบหรือบรรเทาความโกรธแค้นของคนจำนวนมากในภาคอีสาน แน่นอน การยกเลิก พ.ร.ก. ฉุกเฉินหรือการอนุญาตให้วิทยุโทรทัศน์เสื้อแดงกลับมาออกอากาศ อาจไม่ทำให้รัฐบาลชนะใจคนในภาคอีสานได้ง่าย ๆ ตราบใดที่รัฐบาลยังไม่สามารถ “คืน” สิทธิที่ประชาชนรู้สึกว่าเป็นของเขาในระบอบประชาธิปไตย รวมทั้งผู้วางนโยบายในกรุงเทพฯ ก็ไม่ควรประหลาดใจด้วย หากการคืนสิทธินี้จะทำลายความเงียบในภาคอีสานและเปิดช่องให้การส่งเสียงที่โกรธแค้นยิ่งกว่าเดิม
*David Streckfuss เป็นนักเขียนที่อาศัยอยู่ใน จ.ขอนแก่น
ที่มา.ประชาไท
แปลจาก David Streckfuss*
“Life Under Abhisit’s Thumb: The Thai government cracks down on dissent in the restive northeast,” The Wall Street Journal ; July 11, 2010.
สัญญาณที่จับต้องได้ส่วนใหญ่ของ พ.ร.ก. ฉุกเฉิน อาจไม่มีเหลือให้เห็นมากนักในภาคอีสานของประเทศไทย รั้วลวดหนามที่ล้อมรอบศาลากลางจังหวัดถูกรื้อออกไปแล้ว ทหารจากกองทัพที่เข้ามาคุมเชิงตามหมู่บ้านต่าง ๆ หลังจากการสลายการประท้วงต่อต้านรัฐบาลในกรุงเทพฯ เมื่อเดือนพฤษภาคม ก็ถอนตัวออกไปหมดแล้วเช่นกัน สภาพการณ์ทั่วไปดูเหมือนกลับมาเป็นปรกติ
กระนั้นก็ตาม หลังจากทยอยกลับมาบ้านจากกรุงเทพฯ ผู้สนับสนุนแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือที่เรียกกันว่า “คนเสื้อแดง” ยังคงรู้สึกถูกคุกคาม ในบรรดาผู้คนจำนวน 417 คนที่ถูกจับตัวไว้ภายใต้ พ.ร.ก. ฉุกเฉิน ด้วยข้อหาต่าง ๆ นับตั้งแต่การเข้าร่วมชุมนุมโดยผิดกฎหมาย มีอาวุธอยู่ในครอบครอง ไปจนถึงวางเพลิง มีถึง 134 คนที่มาจากภาคอีสาน หมายจับอีกกว่า 800 คนที่รัฐบาลออกคำสั่งหลังสลายการชุมนุม ผู้ต้องหาส่วนใหญ่ตามหมายจับนี้ก็เป็นคนในต่างจังหวัด ข่าวการสังหารผู้นำเสื้อแดงสองคน คนหนึ่งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ส่งผลสะเทือนอย่างลึกซึ้งและทำให้เกิดข่าวลือต่าง ๆ นานาเกี่ยวกับผู้นำคนอื่น ๆ ที่หายไปอย่างไร้ร่องรอย
เป็นเรื่องยากที่จะหาข้อมูลว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง ด้วยความกลัวว่าจะถูกจับหรือประสบชะตากรรมเลวร้ายกว่านั้น ผู้นำจำนวนมากจึงหนีไปที่อื่น หลบไปกบดานหรือปิดปากเงียบ พวกเขาวิตกว่าตัวเองถูกจับตามองและถูกดักฟังโทรศัพท์ หลายคนไม่เต็มใจที่จะพบปะกับผู้สื่อข่าวหรือคณะทำงานด้านสิทธิมนุษยชน มีความรับรู้อย่างหนึ่งในหมู่คนเสื้อแดงว่า รัฐบาลสามารถทำได้ทุกอย่างตามอำเภอใจภายใต้พระราชกำหนดฉุกเฉิน ในส่วนรัฐบาลเองนั้น รัฐบาลก็ไม่เคยแสดงจุดยืนชัดเจนว่ามีแผนการจะจัดการกับคนเสื้อแดงอย่างไร หลังจากปล่อยผู้ต้องขังจำนวนหนึ่งออกมาเมื่อเดือนที่แล้ว นอกจากพูดว่า คนเสื้อแดงที่มีโทษสถานเบาอาจได้รับนิรโทษกรรม
ดูเหมือนรัฐบาลยังใช้ความพยายามอย่างต่อเนื่องเพื่อรื้อทำลายความสามารถในการจัดตั้งของคนเสื้อแดงตามท้องถิ่นต่าง ๆ จากปากคำของแหล่งข่าวเสื้อแดงคนหนึ่งในภาคอีสานที่ขอร้องไม่ให้ระบุชื่อเพื่อเหตุผลด้านความปลอดภัย สถานีวิทยุชุมชนของคนเสื้อแดงเกือบทั้งหมดได้ส่งมอบเครื่องส่งสัญญาณวิทยุให้ทางราชการเมื่อเดือนที่ผ่านมา ตามคำบอกเล่าของแหล่งข่าวผู้นี้ สำนักผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่นได้อ้าง พ.ร.ก.ฉุกเฉินและภายใต้แรงกดดันของ ศอฉ. จากกรุงเทพฯ กำลังพิจารณาที่จะรื้อทิ้งเสาอากาศของสถานีวิทยุชุมชนของคนเสื้อแดงในขอนแก่น แต่เพราะคำยืนกรานของเจ้าของสถานีว่าจะฟ้องรัฐบาลหากทำเช่นนั้นจริง ๆ ทำให้เงื้อมมือของรัฐบาลชะงักไปก่อน อย่างน้อยก็ในตอนนี้
ในระยะสั้น ดูเหมือนการตัดสินใจของรัฐบาลไทยเมื่อสัปดาห์ที่แล้วให้ขยาย พ.ร.ก.ฉุกเฉินออกไปอีกในหลายจังหวัดของภาคอีสาน จะเป็นเครื่องมือที่ใช้ได้ผล มีความเงียบงันอย่างเด่นชัดครอบคลุมไปทั่วทั้งดินแดนแถบนี้ แม้กระทั่งตามบ้านเรือนของผู้คนจำนวนมากก็เงียบกริบ เมื่อไม่มีวิทยุหรือโทรทัศน์เสื้อแดงเหลือให้รับฟังรับชม หลาย ๆ ครอบครัวก็เลือกไม่ฟังอะไรเลย พวกเขาบอกว่า ถ้าต้องดูข่าวที่รัฐคุมเข้มหรือแม้แต่อ่านหนังสือพิมพ์ก็พาลให้โมโหเปล่า ๆ
เมื่อรัฐบาลของนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะจัดโครงการเปิดรับสายโทรศัพท์จากประชาชน เพื่อรับฟังทัศนะเกี่ยวกับ “การปรองดองแห่งชาติ” คำแนะนำจากคนเสื้อแดงที่โกรธแค้นจำนวนมากที่โทรเข้าไป เช่น บอกให้นายกฯ ยุบสภาและสอบสวนรองนายกรัฐมนตรี นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ในข้อหาการใช้กำลังปราบปรามเกินขอบเขต ฯลฯ แน่นอน รัฐบาลย่อมมองว่าคำพูดเหล่านี้เป็นคำแนะนำที่ไม่สร้างสรรค์ แต่อันที่จริง ก่อนที่รัฐบาลอภิสิทธิ์จะประกาศ “โรดแม็ป” แผนปรองดองเมื่อต้นเดือนพฤษภาคม ฝ่ายเสื้อแดงบอกว่าพวกเขาเสนอโรดแม็ปอันหนึ่งมาตั้งนานแล้ว นั่นคือ ยุบสภา ยกเลิกการสั่งปิดสื่อของเสื้อแดงและยุติปัญหาสองมาตรฐานในระบบยุติธรรม เพราะเหตุนี้เอง คนเสื้อแดงจำนวนมากจึงไม่อยากเสียเวลาโทรศัพท์เข้าไปในรายการ “6 วัน 63 ล้านความคิด” พวกเขาเลือกความเงียบดีกว่า
แต่ความเงียบและสภาพที่ดูผิวเผินเหมือนปรกติในภาคอีสานเป็นแค่ภาพลวงตา มันคือหน้าฉากที่อำพรางความรู้สึกหวาดกลัว คับข้อง รังเกียจและเคียดแค้น
ถ้ามองในเชิงประวัติศาสตร์แล้ว อารมณ์ความรู้สึกแบบนี้ไม่เหมือนสภาพหลังการรัฐประหาร 2549 หรือแม้กระทั่งสภาพหลังการปราบปรามประชาชนของกองทัพเมื่อ พ.ศ. 2535 ทั้ง ๆ ที่ครั้งนั้นก็มีผู้ประท้วงถูกสังหารจำนวนมาก สภาพในตอนนี้มีบรรยากาศคล้ายประเทศไทยสมัยหลังการกวาดล้างนองเลือดนักศึกษาในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เมื่อเดือนตุลาคม พ.ศ. 2519 มากกว่า เช่นเดียวกับผู้นำเสื้อแดงในตอนนี้ ผู้นำนักศึกษาในตอนนั้นก็ถูกกล่าวหาว่าก่อการร้าย ล้มเจ้าและปลุกปั่นก่อความไม่สงบเช่นกัน เหตุการณ์ตุลาคม 2519 เป็นจุดเริ่มต้นที่สังคมไทยเสื่อมถอยไปสู่ระบอบเผด็จการทหาร ความแตกแยกอย่างลึกซึ้งและการกดขี่ปราบปรามประชาชนเป็นระยะเวลายาวนาน
คนไทยจำนวนมาก และไม่ใช่เฉพาะคนเสื้อแดงเท่านั้น เริ่มตั้งข้อสงสัยว่า วิธีการของรัฐบาลอภิสิทธิ์กำลังนำพาประเทศไทยถอยหลังกลับไปสู่ระบอบเผด็จการด้วยการขยายภาวะฉุกเฉินไปอย่างไม่มีกำหนดหรือไม่ ตัวอย่างก่อนหน้านี้ก็มีให้เห็นใน พ.ศ. 2501 มีการประกาศงดใช้ระบบกฎหมายตามปรกติ และสั่งให้ยึดถือเอาประกาศของคณะปฏิวัติมีความสำคัญเหนือกว่ากฎหมายอาญาและกฎหมายรัฐธรรมนูญ มองจากในแง่ของกฎหมายแล้ว ประเทศไทยอยู่ภายใต้สภาวะนี้ต่อมาอีกถึง 4 ทศวรรษ มีแต่รัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2540 เท่านั้นที่มีความก้าวหน้าในแง่ของการรื้อทิ้งเศษซากตกค้างของระบอบเผด็จการ แต่การรัฐประหารของกองทัพเมื่อ พ.ศ. 2549 เพื่อขับไล่นายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร ที่ได้รับการเลือกตั้งมาตามระบอบประชาธิปไตย ได้ผลักไสประเทศไทยจมลงสู่ความไร้เสถียรภาพอีกครั้ง
รัฐบาลอภิสิทธิ์บอกว่า การปราบปรามคนเสื้อแดงเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อรักษาหลักนิติรัฐ แต่การใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินกลับเป็นสิ่งที่สวนทางตรงกันข้าม มันจะกัดเซาะความเข้มแข็งและความมั่นคงระยะยาวของระบอบนิติรัฐ ถึงแม้มีการยกเลิก พ.ร.ก. ฉุกเฉินในห้าจังหวัด แต่การขยาย พ.ร.ก. ฉุกเฉินไปอีก 3 เดือนใน 18 จังหวัดและในกรุงเทพฯ เป็นแค่สัญญาณบ่งบอกครั้งล่าสุดถึงภาวะความไม่มั่นคงทางกฎหมายที่จะเพิ่มขึ้นในระยะยาว
เป็นเรื่องยากที่จะคิดว่า รัฐบาลที่มีพรรคประชาธิปัตย์เป็นแกนนำจะสามารถทลายกำแพงความเงียบหรือบรรเทาความโกรธแค้นของคนจำนวนมากในภาคอีสาน แน่นอน การยกเลิก พ.ร.ก. ฉุกเฉินหรือการอนุญาตให้วิทยุโทรทัศน์เสื้อแดงกลับมาออกอากาศ อาจไม่ทำให้รัฐบาลชนะใจคนในภาคอีสานได้ง่าย ๆ ตราบใดที่รัฐบาลยังไม่สามารถ “คืน” สิทธิที่ประชาชนรู้สึกว่าเป็นของเขาในระบอบประชาธิปไตย รวมทั้งผู้วางนโยบายในกรุงเทพฯ ก็ไม่ควรประหลาดใจด้วย หากการคืนสิทธินี้จะทำลายความเงียบในภาคอีสานและเปิดช่องให้การส่งเสียงที่โกรธแค้นยิ่งกว่าเดิม
*David Streckfuss เป็นนักเขียนที่อาศัยอยู่ใน จ.ขอนแก่น
ที่มา.ประชาไท
"ณรงค์ เพ็ชรประเสริฐ"ขายไอเดียปฎิรูปประเทศไทย
ดร. ณรงค์ เพ็ชรประเสริฐ เป็นนักเศรษฐศาสตร์การเมือง ขนานแท้และดั้งเดิม เพราะเล่นมาแล้วทุกบทบาท ไม่ว่าจะเป็นผู้นำสหภาพ หรือ นักเคลื่อนไหวทางสังคม ล่าสุด ชื่อ ของเขาอยู่ใน "คณะกรรมการสมัชชาปฏิรูป " และ"คณะกรรมการปฏิรูปประเทศไทย" บทบาทการเปลี่ยนแปลงประเทศไทย ครั้งนี้ ถูกจับตามองว่า ข้อเสนอ ของคณะกรรมการ 2 ชุด จะจบแค่กระดาษกองโต หรือ จะฝ่าวงล้อมจากวิกฤตสังคมไทย ได้จริง ๆ
" ทีมข่าว " สนทนากับ "ณรงค์ เพ็ชรประเสริฐ" ในทุกประเด็นที่คนไทยอยากรู้ !!!
ที่มาที่ไป ทำไมอาจารย์ มีชื่ออยู่ใน คณะกรรมการสมัชชาปฏิรูป และกรรมการปฏิรูปประเทศไทย ทั้งสองคณะเลย
(คิด...)เรื่องทั้งหมดคงจะเป็นการส่งเสริมสนับสนุนของหมอประเวศ ผมทำงานกับหมอประเวศมาเกือบ 2 ปีแล้ว เรามีเวทีคณะกรรมการปฎิรูปประเทศไทย ซึ่งจะประชุมที่สถาบันจุฬาภรณ์เดือนละสองครั้ง โดยร่วมกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสิรมสุขภาพ(สสส.) ซึ่งมีเรื่องทั้งหมด 10 เรื่องที่เราทำมาโดยตลอด หนึ่งในนั้นคือเรื่องสร้างระบบสวัสดิการ ซึ่งเป็นเรื่องที่ผมทำมาตั้งแต่ประมาณปี 2542-2543 โดยมีงานวิจัย 3-4 ชิ้น และได้เสนอไปตอนที่ผมยังเป็นประธานคณะกรรมการจัดรายได้จนกระทั่งรัฐบาลรับเป็นวาระแห่งชาติ ในเรื่องการผลักดันสังคมสวัสดิการ
เวลาที่พูดถึงเรื่องสวัสดิการ เราไม่ค่อยมีใครทำงานด้านแรงงาน เรามักจะพูดเรื่องสวัสดิการชุมชน สวัสดิการคนชนบท คนแก่ สารพัด และมักให้ความสำคัญกับคนยากคนจนในเรื่องแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำ ปัญหาสวัสดิการต่างๆ แต่ผมพูดเสมอว่าเราต้องอยู่กับความเป็นจริง อยู่กับพลวัตของสังคม ปัจจุบันถ้าเราพิจารณาแล้วคนส่วนใหญ่ของสังคมไม่ใช่เกษตรกร ผมพูดมาประมาณตั้งแต่ปี 2543-2544 จนกระทั่งหมอประเวศท่านเข้าใจ ท่านเห็นด้วยจนสนับสนุนให้ผมทำงานพวกนี้ที่ต้องให้ความสำคัญกับแรงงานมากขึ้น
ยกตัวอย่าง ปัจจุบันกำลังแรงงานซึ่งหมายถึงคนอายุ 15-60 ที่ทำงานได้ ไม่รวมพระภิกษุ สามเณร ตาเถร เณร ชี เราจะมีคนที่ทำงานได้อยู่ 38 ล้านคน จากจำนวนประชากรทั้งหมด 67 ล้าน ใน 38 ล้านคนเป็นลูกจ้าง 17 ล้าน และ14 ล้านคนเป็นลูกจ้างเอกชน อีก 3 ล้านเป็นลูกจ้างรัฐ ตัวเกษตรกรจริงๆแล้วมีจริงแค่ 12 ล้านคน เราเรียกได้ว่ากลุ่มลูกจ้างเป็นคนกลุ่มใหญ่ที่สุดในสังคม
เวลาเราพูดเรื่องคนยากคนจน เรามองไม่เห็นลูกจ้างเลย แต่ที่พูดแบบนี้ไม่ได้หมายความว่าทิ้งเกษตรกรนะ แต่เราต้องเข้าใจว่าเรากำลังพัฒนาตัวเองเข้าสู่สังคมทุนนิยม นำโดยการค้าและอุตสาหกรรม เราดู GDP แล้วภาคเกษตรเหลือ 10 % ภาคอุตสาหกรรมปาเข้าไป 90 % แต่เรากลับไม่ได้คิดของพวกนี้ เพราะสินค้าเกษตรมันหมายถึง Primary Product หรือ สินค้าพื้นฐานที่ไม่แปรรูป อย่างข้าวนี่ถ้าเป็นข้าวสาวเป็นสินค้าเกษตรนะ แต่ถ้าเป็นแป้งเมื่อไหร่เป็นอุตสาหกรรมแล้วนะ เพราะมันต้องผ่านโรงงานมาแปรรูป
เมื่อเราเข้าใจโครงสร้างหรือเข้าใจว่าฐานสังคมส่วนใหญ่เป็นแรงงานแล้ว มันจะนำไปสู่การปรับเปลี่ยนนโยบายอะไรบ้าง
เวลาเราบอกว่าจะปฎิรูป เราจะตั้งคำถามว่าปฎิรูปอะไร จากนั้นก็อาจโยงไปถึงเรื่อง "ความขัดแย้ง" เพราะสังคมมันขัดแย้งเหลือเกินตามภาคการเมืองและสังคมแบบนี้เนี่ย คราวนี้ก็ไล่ไปว่าความขัดแย้งหลักมันมาจากไหน ถ้าคุณบอกว่า เอ้า มันมาจากการแย่งชิงอำนาจของผู้นำ แต่การแย่งชิงอำนาจของผู้นำเนี่ย เขาใช้อะไรเป็นปุ๋ยหละ ถ้าถามลึกๆแล้วก็คือ ในสังคมไทยอะไรเป็นปุ๋ยของความขัดแย้ง
ความเหลื่อมล้ำ ?
อืม แปลว่าต้องมีคนสูง คนต่ำ มีคนรวย คนจน แล้วใครเป็นคนยากคนจนหละ ยอมรับไหมหละว่าคนยากคนจนเป็นเกษตรกรและคนใช้แรงงาน ก็ไล่ไปสิแบบที่พูดไปข้างต้น พอถึงจุดนี้นะไอคนที่จะยกประเด็นเรื่องแรงงานขึ้นมาพูดเนี่ยไม่มี นักเศรษฐศาสตร์ก็พยายามพูดว่าคนจนคือคนที่รายได้ต่ำกว่าวันละ 1 ดอลลาร์ โทษทีนั่นมันใช้มาตรฐานของแอฟริกา ถามว่าคนไทยมีรายได้วันละ 33 บาท หรือ 1ดอลลาร์เนี่ย คนขี้หมาที่ไหนจะอยู่ได้ ผมบอกว่ามันน่าจะเปลี่ยนได้แล้วเราเป็นประเทศอุตสาหกรรมพอเราเป็นประเทศอุตสาหกรรม ทุกอย่างเป็นสินค้าหมดแล้ว พอทุกอย่างเป็นสินค้าหมดเราก็ต้องใช้เงินมากกว่าแอฟริกา อันนี้เป็นความผิดมหันต์เลยที่เทียบแบบนี้ พอเราเทียบแบบนี้แล้วเราก็บอกว่าแรงงานไม่ใช่คนจนแล้ว มันจะจนได้ยังไงได้เงินเดือนละ 4 พันบาท ถ้าจนก็ต้องได้เงินเดือนละแค่พันบาท
พอมองว่าไม่ใช่คนจนก็จะไม่ช่วยเลย มุ่งไปที่ภาคเกษตรอย่างเดียว
ถูกต้อง รัฐบาลเลยชอบคำอธิบายแบบนี้ เพราะฉะนั้นตัวเลขมันเป็นเรื่องทางการเมือง
รัฐบาลต้องการให้เห็นว่าคนจนน้อย จะได้เป็นความสำเร็จของรัฐบาล
ใช่ ดังนั้น คำว่าคนงาน คนจน จะไม่อยู่ในสายตาเลยเพราะมองว่าพวกคุณไม่ใช่คนจน แม้แต่ตัวผมเองไปคุยกับทั้งสองคณะนะ แทบจะไม่มีใครพูดเรื่องนี้เลย มีแต่หมอประเวศที่พูดเรื่องแรงงานขึ้นมาว่าเรามีประเด็นเรื่องแรงงาน เรื่องคนด้อยโอกาส และนั่นคือสาเหตุที่หมอประเวศดึงผมเข้าไปเพราะผมมองเห็นตรงนี้ และก็หมอประเวศบอกไปช่วยคุณอนันต์ด้วยเพราะจะได้เชื่อมกันเข้ามา
ทีนี้ในงานวิจัยของผมบอกว่า ร้อยละ 60 ของคนงานมีเงินเดือนไม่ถึง 6 พัน แต่มาตรฐานกลับบอกว่าราชการต้องมีเงินเดือนไม่ต่ำกว่า 7 พัน ผมขอถามหน่อยว่าแล้วคนงานอยู่ได้หรือ แล้วสวัสดิการาชการก็เบิกได้ คนงานเบิกได้บ้างหรือเปล่า ก็ต้องพึ่งประกันสังคม แล้วคำว่าประกันสังคมก็ต้องออกทุกเดือนนะไม่ใช่ได้ฟรีๆ คนงานร่วมรับผิดชอบไม่ใช่แลกแจกแถมเหมือนที่ทำกันอยู่นะ
ถ้าเรามองโครงสร้างได้แบบนี้แล้ว เราจะใส่นโยบายอะไรให้มันแก้ปัญหาแรงงานได้
เราก็กลับมาสู่ความเหลื่อมล้ำ ถามว่าคนที่อยู่ต่ำกว่าเป็นใครบ้าง เป็นเกษตรกร เป็นแรงงาน คนที่อยู่ข้างบนจะแก้ยังไง อย่าให้คนที่อยู่ข้างบนมีมากเกินไป ให้เขาเฉลี่ยกลับมาบ้าง โดยทั่วไปการทำให้คนข้างบนเฉลี่ยกลับลงมาได้มี 2 อย่าง หนึ่งคือภาษี สองคือระบบควบคุมเช่นการควบคุมระบบการผูกขาด แต่เราควบคุมได้หรือ เห็นกันอยู่ปัญหาไข่ ปัญหาเหล้า ทุนบางอย่างก็ผูกขาด
ส่วนภาษีเนี่ยมันก็เอื้อให้คนรวย ลองดูสิเราไปกินอาหารเนี่ย แว็ตมันยังคิดจากเราเลย เขียนแว็ตเท่านี้ ค่าอาหารเท่านี้ มันผลักมาให้เรา เป็นการบอกอะไรครับว่า เอาจริงๆแล้วคนรวยเสียภาษีเยอะก็จริง แต่สิ่งที่คนไม่คิดคือคนรวยที่ทำธุรกิจ ผลักภาระได้ เขาบวกเป็นต้นทุนได้ แต่คนที่จ่ายภาษีเต็มที่ไม่รู้จะผลักไปหาใครคือ มนุษย์เงินเดือน จะผลักไปหาใครได้ มันเก็บ ณ ที่จ่ายเลย แต่มนุษย์เงินเดือนที่โดนคือพวกที่มีรายได้เกินหมื่นห้า พวกคนยากคนจน เกษตรกรไม่เกินก็ไม่ต้องจ่าย ก็โดนแว็ตอย่างเดียว คนชั้นกลางรับไปโดนสองเด้ง คนรวยก็สองเด้งแต่ผลักได้ ถ้าคิดแบบนี้เรารู้เลยตกลงภาษีเมืองไทยใครแบ่งรับ คือมนุษย์ค่าจ้างเลย เห็นชัดเจน
ถามว่าภาษีที่เราจะดึงคนรวยว่าอย่ารวยเกินไป เราทำได้มากน้อยแค่ไหน ลองดูนะถ้าขึ้นภาษี เขาบอก เห้ย มันทำลายการลงทุน พวกนั้นก็บอกจะทำรัฐสวัสดิการ รัฐสวัสดิการคือสวัสดิการจัดโดยรัฐทุกอย่าง พอจ่ายทุกอย่างก็ต้องใช้เงินเยอะ แล้วเอาเงินจากไหน คุณไม่กล้าเก็บภาษีคนรวย คนจนไม่มีเงินจ่าย พวกคนชั้นกลางก็ต้องโดน มันแฟร์หรือ
ก็เลยเป็นที่มาของการเสนอภาษีที่ดิน โรงเรือน ?
อืม ผมเสนอตั้งแต่อยู่สภาที่ปรึกษาแล้ว ภาษีทรัพย์สิน โรงเรือน สารพัดแต่ไม่ผ่านหรอกครับ ภาคธุรกิจเขาไม่ให้ผ่าน
แล้วภาษีกำไรหุ้น เอาด้วยไหม ?
ก็เหมือนกัน ผมถึงบอกมันเป็นการเอาใจคนรวย คนแก่คนเฒ่ามีเงินเก็บประจำกินดอก ดอกจ่ายภาษี แต่พวกเล่นหุ้นรวยจากหุ้น กำไรจากหุ้นไม่จ่ายภาษี บ้าหรือเปล่า เงินกองทุนต่างๆ เงินลงทุนทั้งหลายก็ไม่จ่ายภาษี ถามว่าคนมีเงินเก็บแสนสองแสน เอาเงินไปลงทุนไหม คนทำงานมีเงินเก็บ 40 ปี ไม่รู้จักหรอกครับลงทุน ฝากธนาคารทั้งนั้นหละครับ เก็บดอกเบี้ย มันแฟร์หรือเปล่า
พอเราดูคนรวยตรงนี้มันทำลำบาก แต่ก็ต้องทำ ลองมองอีกด้านสิ่งที่เราต้องทำคู่กันคือถ้าเราอยากเพิ่มรายได้เกษตรกร สิ่งแรกจ้องถามว่าจะทำยังไงจะลดต้นทุนได้ ราคาไม่เพิ่มแต่ต้นทุนลดก็กำไรได้ คำถามที่ว่าลดต้นทุนยังไงไม่ค่อยมีคนถาม มันถามแค่ว่าจะทำยังไงรายได้จึงจะเพิ่ม ถามมากพ่อค้าเสียประโยชน์ นักการเมืองไม่ได้ประโยชน์
คราวนี้จะลดต้นทุนยังไง
อ่าว ถ้าเราถามใจตัวเอง คุณเลิกใช้เครื่องจักรได้มั้ย การที่ราคาข้าวมันผันผวน เราควบคุมตัวเองจะง่ายกว่าไหม มันดีกว่าไหม เลี้ยงควาย ใช้ปุ๋ย เราเคยทำแบบนี้มาก่อน ทำไมถึงเลิกหละ ไปถามชาวบ้านเขาบอกว่า มันไม่ทันสมัย เพราะอะไรหละ เพราะกระแสสื่อมันโหมไปทุกวัน ไม่มีโฆษณาช่องไหนบอกลดใช้ปุ๋ยเถอะ ลดใช้เครื่องจักรเถอะ พ่อค้าโฆษณาหมด เมื่อคุมต้นทุนไม่ได้ คุมตลาดไม่ได้ ราคามันก็เพิ่ม พอปีนี้บอกประกันราคากันเสร็จ ปุ๋ยก็ขึ้น ยาก็ขึ้น โลกมันเปลี่ยนหมดแล้ว
แต่ตรรกะโลกยุคใหม่ต้องใช้เครื่องจักร มันมีวาทกรรมว่าพอใช้แล้วประสิทธิภาพการผลิตสูง
เอาอย่างนี้จะเอาประสิทธิภาพการผลิตหรือจะเอาขาดทุนไม่ขาดทุนหละ คุณบอกว่าจะทำไปทำไม บอกไร่นึงได้ 100 ถังจากเดิมแค่ 50 ถัง ผลผลิตเพิ่มแต่ต้นทุนเพิ่มขึ้นเท่าไหร่ กับคุณได้ 50 ถังเท่าเดิมแต่ลดต้นทุนอันไหนคุ้มกว่า
ตอนนี้มีปรากฎการณ์ว่าโรงงานเปิดรับสมัครคนงานเข้าสู่ภาคผลิต แต่ไม่มีคนเข้าไปสมัครเลย มันเกิดอะไรขึ้น
ก็คนมันยังกดค่าจ้างอยู่ไง เพราะแรงงานต้องการคนมีฝีมือ หรือไม่ก็งานมันให้เงินต่ำไป เลยไม่ทำแล้ว
กำลังแรงงานคนหนุ่มสาวไปไหนหมดครับ ทำไมไม่เข้าสู่ระบบแรงงาน
มันเวียนต่อกันหมด คนจบม.5ต่อปริญญาตรี โท เอก ติดข้างฝากันหมดแล้ว มันไปให้ค่าของงานอยูที่ปริญญากันหมดไม่ใช่ทักษะ
แล้วคราวนี้ก็มีอีกปรากฎการณ์หนึ่งอย่างการขึ้นเงินเดือน ของก็ขึ้นไปหมดเลย
ผมถามเลยขึ้นเงินเดือนแล้วต้นทุนขึ้นกี่เปอร์เซ็นต์ ธุรกิจบางอย่างมันใช้ต้นทุนแรงงานไม่ถึง 20 เปอร์เซ็นต์ ไอที่ถึงนี่เป็นพวกธุรกิจแบบใช้แรงงานเข้มข้นอย่างพวกโรงแรม ธรุกิจ อุตสาหกรรมทุกวันนี้ใช้ทุนและเครื่องจักรมากกว่าแรงงาน ถ้าต้นทุนแรงงานโดยเฉลี่ย 20 เปอร์เซ็นต์คุณเพิ่มเข้าไปไม่กี่บาท มันจะกระทบถึง 3 เปอร์เซ็นต์ไหม แล้วก็ไปขึ้นราคากันกว่า 10-20 เปอร์เซ็นต์ ปัญหาคือระบบตลาดบ้านเรามันแย่ไง คุณพูดถึงแข่งขันเสรี ภาพมันไม่ได้เป็นอย่างนั้นไง แต่พยายามสร้างให้มันเป็น ซึ่งโครงสร้างเราไม่ได้เป็น
ยกตัวอย่าง ร้านปูนซีเมนต์เต็มไปหมด ผู้ผลิตไม่กี่ราย ร้านไข่เต็มไปหมด ผู้ผลิตมีกี่ราย ทำไมไม่ไปแก้ แบบนี้ไม่ใช่ธรรมชาติของแข่งขันเสรี พอคุณเห็นทำไมผูกขาด มันมีอำนาจการเมือง มันมีอำนาจธุรกิจประดังขึ้นมา ผลสุดท้ายความสัมพันธ์เชิงอำนาจทำให้ทุกอย่างเป็นปัญหาไปหมด อำนาจทางเศรษฐกิจ อำนาจทางการเมือง
ถ้าร่างบรรทัดสุดท้ายของการปฎิรูปเสร็จแล้ว จะได้อะไร ถ้าโครงสร้างยังเป็นอำนาจที่เกาะกุมกัน
ความเห็นของผมวิเคราะห์ว่า สิ่งแรกที่ต้องทำคือปรับเปลี่ยนความสัมพันธ์เชิงอำนาจ หนึ่งคือต้องทำให้ประชาชนเข้มแข็งขึ้นมา ต้องเปิดโอกาส ยกตัวอย่าง ภาคคนงานจะมีสหภาพ ก็ต้องส่งเสริมให้มี เพราะการรวมกลุ่มของคนยากคนจนมันจะเป็นพลังต่อต้าน
ผมคิดว่า มีแต่การสร้างพลังต่อรองของภาคประชาชนจะแก้ปัญหาผูกขาดและความเหลื่อมล้ำได้ นโยบายต้องเปิดใจให้ประชาชนผู้ด้อยโอกาสสร้างพลังตัวเองอย่างเสรีโดยไม่ผิดกฎหมาย แต่ผมถามว่ามันมีบ้างไหม ยกตัวอย่าง นายจ้างจะตั้งสมาคมเมื่อไหร่ก็ได้ ส่งเสริมกันด้วย แต่ลูกจ้างตั้งสหภาพ กลับตั้งไม่ได้ สื่อพูดถึงสิทธิ เสรีภาพ ประชาธิปไตย ถามว่ามีกี่ฉบับที่มีสหภาพแรงงาน ตั้งขึ้นมานายทุนก็ปลด
ผมร่วมมือกับกลุ่มประชาชน ยกตัวอย่างผมสร้างเครือข่ายขึ้นมาบัตรของเรา 105 บาท แต่พวกอื่นเขากินกันเป็นทอดๆขาย 110 เราสู้เขาได้ เมื่อโมเดลเริ่มเป็นจริงก็เริ่มขยาย
ผมบอกคณะคุณอนันต์ แล้วและคุณเสกสรรค์ก็เห็นด้วยว่าจุดศูนย์กลางของการแก้ปัญหาของความเหลื่อมล้ำคือ การปรับเปลี่ยนความสัมพันธ์เชิงอำนาจ พอพูดถึงเรื่องความสัมพันธ์เชิงอำนาจมันหมายถึงอำนาจทางการเมือง อำนาจเศรษฐกิจ อำนาจแทบทุกอย่างเลย ทำให้คนต่อรองเรื่องสิทธิ ศักดิ์ศรีตัวเองได้ ซึ่งทุกอย่างจะถูกปรับหมดถ้าตรงนี้เปลี่ยน
ฟังดูแล้วมันเป็นนามธรรมหรือเปล่า จะทำอย่างไรให้มันนำไปปฎิบัติได้จริง
ก็คุณเริ่มจริงก็ทำได้ การปรับเปลี่ยนความสัมพันธ์เชิงอำนาจระหว่างนายจ้างกับลูกจ้างทำได้ไหม อย่างคุณเป็นนักข่าวสงครามลงไปทำข่าว มีความเสี่ยง จะขอค่าความเสี่ยงจากบริษัทได้ไหม คุณพูดได้ไหม ทำไม่ไม่พูด คุณมีสิทธิจะพูดก็เห็นกันอยู่ว่าตายกัน เราเรียกร้องมานานแล้วว่าต้องกล้าพูด
ในยุโรปต้องพึ่งพรรคแรงงานอาศัยฐานเสียงจากสหภาพแรงงานทั้งสิ้น อาศัยการแลกเปลี่ยนนโยบายกัน บ้านเรามันกลัวนายทุน เพราะรัฐมนตรีกินเงินนายทุนทั้งนั้น ไม่ให้เงินลงทุนก็ไปเลือกตั้งไม่ได้ ของเรามันจึงเป็นรัฐทุนนิยม เหมือนพวกเสื้อแดงบอกเป็นอำมาตย์แต่เป็นทุนนิยมทั้งนั้นนะ อำมาตย์ตอนนี้อยู่ใต้นายทุนหมดแล้ว ราชการก็อยู่ใต้นายทุน
เวลาทำงานของ 2 ชุดนี้ก็คงประมาณ 2 ปี จบลงด้วยการทำข้อเสนอให้รัฐบาล
คือก็ทำข้อเสนอทุก 6 เดือน หลังจากนั้นก็คงถี่ขึ้นเรื่อยๆ ของทีมหมอประเวศเป็นทีมขับเคลื่อนถ้าเสนอแล้วรัฐบาลไม่ทำก็จะมีแรงกดดันจากสังคม การทำงานของเราโดยเฉพาะผมเองผมเชื่อในพลังทางสังคมมากกว่าพลังจากการบังคับทางกฎหมาย คนหนีกฎหมายอยู่เรื่อย กฎหมายมันสร้างเอาไว้ให้เลี่ยง ถ้าอำนาจรัฐไม่ถือเอากฎหมายเป็นตัวตั้ง ก็มีไว้ให้เลี่ยง เพราะฉะนั้นก็ต้องมีพลังทางสังคมควบคู่ไปด้วย
ดังนั้น พลังทางสังคมจะบีบรัดให้รัฐบาลออกกฎหมายภาษีที่ดิน มรดก และตลาดหุ้น ?
ถ้าสังคมต้องการ สังคมก็ต้องลุกขึ้นมาบังคับให้มันเป็น
มีคนวิจารณ์ว่าอาจารย์รับเงินถึง 2 เด้งจากการทำงานนี้ ความจริงแล้วเป็นยังไงครับ
ผมบอกได้เลยว่าผมรับแค่เบี้ยประชุมครั้งละ 2500 บาท คนก็ว่ากันไปเรื่อย ผมก็ทำของผมไป ณรงค์ถอยรถป้ายแดงบ้าง ก็ว่ากันไป แต่ขอโทษผมบรรยายธุรกิจชั่วโมงละหมื่น
อาจารย์คิดว่าที่สุดแล้วการทำงานของอาจารย์เรื่องปฎิรูปประเทศไทยจะเปลี่ยนแปลงประเทศได้มากน้อยอย่างไร หรือว่าเสร็จแล้วก็จะต้องเก็บเข้าลิ้นชักไป
พูดง่ายๆว่าผมไม่เคยหวัง อะไรมากกับประเทศไทย คุณก็เห็นอยู่ว่ามันซับซ้อนแค่ไหน แต่หลักคิดของผมก็คือว่า ถ้าคุณไม่ได้นับหนึ่ง คุณก็ไม่มีโอกาสนับสอง ถ้าความสำเร็จอยู่ที่การนับสิบ สิ่งแรกที่ต้องทำคือนับหนึ่ง
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
" ทีมข่าว " สนทนากับ "ณรงค์ เพ็ชรประเสริฐ" ในทุกประเด็นที่คนไทยอยากรู้ !!!
ที่มาที่ไป ทำไมอาจารย์ มีชื่ออยู่ใน คณะกรรมการสมัชชาปฏิรูป และกรรมการปฏิรูปประเทศไทย ทั้งสองคณะเลย
(คิด...)เรื่องทั้งหมดคงจะเป็นการส่งเสริมสนับสนุนของหมอประเวศ ผมทำงานกับหมอประเวศมาเกือบ 2 ปีแล้ว เรามีเวทีคณะกรรมการปฎิรูปประเทศไทย ซึ่งจะประชุมที่สถาบันจุฬาภรณ์เดือนละสองครั้ง โดยร่วมกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสิรมสุขภาพ(สสส.) ซึ่งมีเรื่องทั้งหมด 10 เรื่องที่เราทำมาโดยตลอด หนึ่งในนั้นคือเรื่องสร้างระบบสวัสดิการ ซึ่งเป็นเรื่องที่ผมทำมาตั้งแต่ประมาณปี 2542-2543 โดยมีงานวิจัย 3-4 ชิ้น และได้เสนอไปตอนที่ผมยังเป็นประธานคณะกรรมการจัดรายได้จนกระทั่งรัฐบาลรับเป็นวาระแห่งชาติ ในเรื่องการผลักดันสังคมสวัสดิการ
เวลาที่พูดถึงเรื่องสวัสดิการ เราไม่ค่อยมีใครทำงานด้านแรงงาน เรามักจะพูดเรื่องสวัสดิการชุมชน สวัสดิการคนชนบท คนแก่ สารพัด และมักให้ความสำคัญกับคนยากคนจนในเรื่องแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำ ปัญหาสวัสดิการต่างๆ แต่ผมพูดเสมอว่าเราต้องอยู่กับความเป็นจริง อยู่กับพลวัตของสังคม ปัจจุบันถ้าเราพิจารณาแล้วคนส่วนใหญ่ของสังคมไม่ใช่เกษตรกร ผมพูดมาประมาณตั้งแต่ปี 2543-2544 จนกระทั่งหมอประเวศท่านเข้าใจ ท่านเห็นด้วยจนสนับสนุนให้ผมทำงานพวกนี้ที่ต้องให้ความสำคัญกับแรงงานมากขึ้น
ยกตัวอย่าง ปัจจุบันกำลังแรงงานซึ่งหมายถึงคนอายุ 15-60 ที่ทำงานได้ ไม่รวมพระภิกษุ สามเณร ตาเถร เณร ชี เราจะมีคนที่ทำงานได้อยู่ 38 ล้านคน จากจำนวนประชากรทั้งหมด 67 ล้าน ใน 38 ล้านคนเป็นลูกจ้าง 17 ล้าน และ14 ล้านคนเป็นลูกจ้างเอกชน อีก 3 ล้านเป็นลูกจ้างรัฐ ตัวเกษตรกรจริงๆแล้วมีจริงแค่ 12 ล้านคน เราเรียกได้ว่ากลุ่มลูกจ้างเป็นคนกลุ่มใหญ่ที่สุดในสังคม
เวลาเราพูดเรื่องคนยากคนจน เรามองไม่เห็นลูกจ้างเลย แต่ที่พูดแบบนี้ไม่ได้หมายความว่าทิ้งเกษตรกรนะ แต่เราต้องเข้าใจว่าเรากำลังพัฒนาตัวเองเข้าสู่สังคมทุนนิยม นำโดยการค้าและอุตสาหกรรม เราดู GDP แล้วภาคเกษตรเหลือ 10 % ภาคอุตสาหกรรมปาเข้าไป 90 % แต่เรากลับไม่ได้คิดของพวกนี้ เพราะสินค้าเกษตรมันหมายถึง Primary Product หรือ สินค้าพื้นฐานที่ไม่แปรรูป อย่างข้าวนี่ถ้าเป็นข้าวสาวเป็นสินค้าเกษตรนะ แต่ถ้าเป็นแป้งเมื่อไหร่เป็นอุตสาหกรรมแล้วนะ เพราะมันต้องผ่านโรงงานมาแปรรูป
เมื่อเราเข้าใจโครงสร้างหรือเข้าใจว่าฐานสังคมส่วนใหญ่เป็นแรงงานแล้ว มันจะนำไปสู่การปรับเปลี่ยนนโยบายอะไรบ้าง
เวลาเราบอกว่าจะปฎิรูป เราจะตั้งคำถามว่าปฎิรูปอะไร จากนั้นก็อาจโยงไปถึงเรื่อง "ความขัดแย้ง" เพราะสังคมมันขัดแย้งเหลือเกินตามภาคการเมืองและสังคมแบบนี้เนี่ย คราวนี้ก็ไล่ไปว่าความขัดแย้งหลักมันมาจากไหน ถ้าคุณบอกว่า เอ้า มันมาจากการแย่งชิงอำนาจของผู้นำ แต่การแย่งชิงอำนาจของผู้นำเนี่ย เขาใช้อะไรเป็นปุ๋ยหละ ถ้าถามลึกๆแล้วก็คือ ในสังคมไทยอะไรเป็นปุ๋ยของความขัดแย้ง
ความเหลื่อมล้ำ ?
อืม แปลว่าต้องมีคนสูง คนต่ำ มีคนรวย คนจน แล้วใครเป็นคนยากคนจนหละ ยอมรับไหมหละว่าคนยากคนจนเป็นเกษตรกรและคนใช้แรงงาน ก็ไล่ไปสิแบบที่พูดไปข้างต้น พอถึงจุดนี้นะไอคนที่จะยกประเด็นเรื่องแรงงานขึ้นมาพูดเนี่ยไม่มี นักเศรษฐศาสตร์ก็พยายามพูดว่าคนจนคือคนที่รายได้ต่ำกว่าวันละ 1 ดอลลาร์ โทษทีนั่นมันใช้มาตรฐานของแอฟริกา ถามว่าคนไทยมีรายได้วันละ 33 บาท หรือ 1ดอลลาร์เนี่ย คนขี้หมาที่ไหนจะอยู่ได้ ผมบอกว่ามันน่าจะเปลี่ยนได้แล้วเราเป็นประเทศอุตสาหกรรมพอเราเป็นประเทศอุตสาหกรรม ทุกอย่างเป็นสินค้าหมดแล้ว พอทุกอย่างเป็นสินค้าหมดเราก็ต้องใช้เงินมากกว่าแอฟริกา อันนี้เป็นความผิดมหันต์เลยที่เทียบแบบนี้ พอเราเทียบแบบนี้แล้วเราก็บอกว่าแรงงานไม่ใช่คนจนแล้ว มันจะจนได้ยังไงได้เงินเดือนละ 4 พันบาท ถ้าจนก็ต้องได้เงินเดือนละแค่พันบาท
พอมองว่าไม่ใช่คนจนก็จะไม่ช่วยเลย มุ่งไปที่ภาคเกษตรอย่างเดียว
ถูกต้อง รัฐบาลเลยชอบคำอธิบายแบบนี้ เพราะฉะนั้นตัวเลขมันเป็นเรื่องทางการเมือง
รัฐบาลต้องการให้เห็นว่าคนจนน้อย จะได้เป็นความสำเร็จของรัฐบาล
ใช่ ดังนั้น คำว่าคนงาน คนจน จะไม่อยู่ในสายตาเลยเพราะมองว่าพวกคุณไม่ใช่คนจน แม้แต่ตัวผมเองไปคุยกับทั้งสองคณะนะ แทบจะไม่มีใครพูดเรื่องนี้เลย มีแต่หมอประเวศที่พูดเรื่องแรงงานขึ้นมาว่าเรามีประเด็นเรื่องแรงงาน เรื่องคนด้อยโอกาส และนั่นคือสาเหตุที่หมอประเวศดึงผมเข้าไปเพราะผมมองเห็นตรงนี้ และก็หมอประเวศบอกไปช่วยคุณอนันต์ด้วยเพราะจะได้เชื่อมกันเข้ามา
ทีนี้ในงานวิจัยของผมบอกว่า ร้อยละ 60 ของคนงานมีเงินเดือนไม่ถึง 6 พัน แต่มาตรฐานกลับบอกว่าราชการต้องมีเงินเดือนไม่ต่ำกว่า 7 พัน ผมขอถามหน่อยว่าแล้วคนงานอยู่ได้หรือ แล้วสวัสดิการาชการก็เบิกได้ คนงานเบิกได้บ้างหรือเปล่า ก็ต้องพึ่งประกันสังคม แล้วคำว่าประกันสังคมก็ต้องออกทุกเดือนนะไม่ใช่ได้ฟรีๆ คนงานร่วมรับผิดชอบไม่ใช่แลกแจกแถมเหมือนที่ทำกันอยู่นะ
ถ้าเรามองโครงสร้างได้แบบนี้แล้ว เราจะใส่นโยบายอะไรให้มันแก้ปัญหาแรงงานได้
เราก็กลับมาสู่ความเหลื่อมล้ำ ถามว่าคนที่อยู่ต่ำกว่าเป็นใครบ้าง เป็นเกษตรกร เป็นแรงงาน คนที่อยู่ข้างบนจะแก้ยังไง อย่าให้คนที่อยู่ข้างบนมีมากเกินไป ให้เขาเฉลี่ยกลับมาบ้าง โดยทั่วไปการทำให้คนข้างบนเฉลี่ยกลับลงมาได้มี 2 อย่าง หนึ่งคือภาษี สองคือระบบควบคุมเช่นการควบคุมระบบการผูกขาด แต่เราควบคุมได้หรือ เห็นกันอยู่ปัญหาไข่ ปัญหาเหล้า ทุนบางอย่างก็ผูกขาด
ส่วนภาษีเนี่ยมันก็เอื้อให้คนรวย ลองดูสิเราไปกินอาหารเนี่ย แว็ตมันยังคิดจากเราเลย เขียนแว็ตเท่านี้ ค่าอาหารเท่านี้ มันผลักมาให้เรา เป็นการบอกอะไรครับว่า เอาจริงๆแล้วคนรวยเสียภาษีเยอะก็จริง แต่สิ่งที่คนไม่คิดคือคนรวยที่ทำธุรกิจ ผลักภาระได้ เขาบวกเป็นต้นทุนได้ แต่คนที่จ่ายภาษีเต็มที่ไม่รู้จะผลักไปหาใครคือ มนุษย์เงินเดือน จะผลักไปหาใครได้ มันเก็บ ณ ที่จ่ายเลย แต่มนุษย์เงินเดือนที่โดนคือพวกที่มีรายได้เกินหมื่นห้า พวกคนยากคนจน เกษตรกรไม่เกินก็ไม่ต้องจ่าย ก็โดนแว็ตอย่างเดียว คนชั้นกลางรับไปโดนสองเด้ง คนรวยก็สองเด้งแต่ผลักได้ ถ้าคิดแบบนี้เรารู้เลยตกลงภาษีเมืองไทยใครแบ่งรับ คือมนุษย์ค่าจ้างเลย เห็นชัดเจน
ถามว่าภาษีที่เราจะดึงคนรวยว่าอย่ารวยเกินไป เราทำได้มากน้อยแค่ไหน ลองดูนะถ้าขึ้นภาษี เขาบอก เห้ย มันทำลายการลงทุน พวกนั้นก็บอกจะทำรัฐสวัสดิการ รัฐสวัสดิการคือสวัสดิการจัดโดยรัฐทุกอย่าง พอจ่ายทุกอย่างก็ต้องใช้เงินเยอะ แล้วเอาเงินจากไหน คุณไม่กล้าเก็บภาษีคนรวย คนจนไม่มีเงินจ่าย พวกคนชั้นกลางก็ต้องโดน มันแฟร์หรือ
ก็เลยเป็นที่มาของการเสนอภาษีที่ดิน โรงเรือน ?
อืม ผมเสนอตั้งแต่อยู่สภาที่ปรึกษาแล้ว ภาษีทรัพย์สิน โรงเรือน สารพัดแต่ไม่ผ่านหรอกครับ ภาคธุรกิจเขาไม่ให้ผ่าน
แล้วภาษีกำไรหุ้น เอาด้วยไหม ?
ก็เหมือนกัน ผมถึงบอกมันเป็นการเอาใจคนรวย คนแก่คนเฒ่ามีเงินเก็บประจำกินดอก ดอกจ่ายภาษี แต่พวกเล่นหุ้นรวยจากหุ้น กำไรจากหุ้นไม่จ่ายภาษี บ้าหรือเปล่า เงินกองทุนต่างๆ เงินลงทุนทั้งหลายก็ไม่จ่ายภาษี ถามว่าคนมีเงินเก็บแสนสองแสน เอาเงินไปลงทุนไหม คนทำงานมีเงินเก็บ 40 ปี ไม่รู้จักหรอกครับลงทุน ฝากธนาคารทั้งนั้นหละครับ เก็บดอกเบี้ย มันแฟร์หรือเปล่า
พอเราดูคนรวยตรงนี้มันทำลำบาก แต่ก็ต้องทำ ลองมองอีกด้านสิ่งที่เราต้องทำคู่กันคือถ้าเราอยากเพิ่มรายได้เกษตรกร สิ่งแรกจ้องถามว่าจะทำยังไงจะลดต้นทุนได้ ราคาไม่เพิ่มแต่ต้นทุนลดก็กำไรได้ คำถามที่ว่าลดต้นทุนยังไงไม่ค่อยมีคนถาม มันถามแค่ว่าจะทำยังไงรายได้จึงจะเพิ่ม ถามมากพ่อค้าเสียประโยชน์ นักการเมืองไม่ได้ประโยชน์
คราวนี้จะลดต้นทุนยังไง
อ่าว ถ้าเราถามใจตัวเอง คุณเลิกใช้เครื่องจักรได้มั้ย การที่ราคาข้าวมันผันผวน เราควบคุมตัวเองจะง่ายกว่าไหม มันดีกว่าไหม เลี้ยงควาย ใช้ปุ๋ย เราเคยทำแบบนี้มาก่อน ทำไมถึงเลิกหละ ไปถามชาวบ้านเขาบอกว่า มันไม่ทันสมัย เพราะอะไรหละ เพราะกระแสสื่อมันโหมไปทุกวัน ไม่มีโฆษณาช่องไหนบอกลดใช้ปุ๋ยเถอะ ลดใช้เครื่องจักรเถอะ พ่อค้าโฆษณาหมด เมื่อคุมต้นทุนไม่ได้ คุมตลาดไม่ได้ ราคามันก็เพิ่ม พอปีนี้บอกประกันราคากันเสร็จ ปุ๋ยก็ขึ้น ยาก็ขึ้น โลกมันเปลี่ยนหมดแล้ว
แต่ตรรกะโลกยุคใหม่ต้องใช้เครื่องจักร มันมีวาทกรรมว่าพอใช้แล้วประสิทธิภาพการผลิตสูง
เอาอย่างนี้จะเอาประสิทธิภาพการผลิตหรือจะเอาขาดทุนไม่ขาดทุนหละ คุณบอกว่าจะทำไปทำไม บอกไร่นึงได้ 100 ถังจากเดิมแค่ 50 ถัง ผลผลิตเพิ่มแต่ต้นทุนเพิ่มขึ้นเท่าไหร่ กับคุณได้ 50 ถังเท่าเดิมแต่ลดต้นทุนอันไหนคุ้มกว่า
ตอนนี้มีปรากฎการณ์ว่าโรงงานเปิดรับสมัครคนงานเข้าสู่ภาคผลิต แต่ไม่มีคนเข้าไปสมัครเลย มันเกิดอะไรขึ้น
ก็คนมันยังกดค่าจ้างอยู่ไง เพราะแรงงานต้องการคนมีฝีมือ หรือไม่ก็งานมันให้เงินต่ำไป เลยไม่ทำแล้ว
กำลังแรงงานคนหนุ่มสาวไปไหนหมดครับ ทำไมไม่เข้าสู่ระบบแรงงาน
มันเวียนต่อกันหมด คนจบม.5ต่อปริญญาตรี โท เอก ติดข้างฝากันหมดแล้ว มันไปให้ค่าของงานอยูที่ปริญญากันหมดไม่ใช่ทักษะ
แล้วคราวนี้ก็มีอีกปรากฎการณ์หนึ่งอย่างการขึ้นเงินเดือน ของก็ขึ้นไปหมดเลย
ผมถามเลยขึ้นเงินเดือนแล้วต้นทุนขึ้นกี่เปอร์เซ็นต์ ธุรกิจบางอย่างมันใช้ต้นทุนแรงงานไม่ถึง 20 เปอร์เซ็นต์ ไอที่ถึงนี่เป็นพวกธุรกิจแบบใช้แรงงานเข้มข้นอย่างพวกโรงแรม ธรุกิจ อุตสาหกรรมทุกวันนี้ใช้ทุนและเครื่องจักรมากกว่าแรงงาน ถ้าต้นทุนแรงงานโดยเฉลี่ย 20 เปอร์เซ็นต์คุณเพิ่มเข้าไปไม่กี่บาท มันจะกระทบถึง 3 เปอร์เซ็นต์ไหม แล้วก็ไปขึ้นราคากันกว่า 10-20 เปอร์เซ็นต์ ปัญหาคือระบบตลาดบ้านเรามันแย่ไง คุณพูดถึงแข่งขันเสรี ภาพมันไม่ได้เป็นอย่างนั้นไง แต่พยายามสร้างให้มันเป็น ซึ่งโครงสร้างเราไม่ได้เป็น
ยกตัวอย่าง ร้านปูนซีเมนต์เต็มไปหมด ผู้ผลิตไม่กี่ราย ร้านไข่เต็มไปหมด ผู้ผลิตมีกี่ราย ทำไมไม่ไปแก้ แบบนี้ไม่ใช่ธรรมชาติของแข่งขันเสรี พอคุณเห็นทำไมผูกขาด มันมีอำนาจการเมือง มันมีอำนาจธุรกิจประดังขึ้นมา ผลสุดท้ายความสัมพันธ์เชิงอำนาจทำให้ทุกอย่างเป็นปัญหาไปหมด อำนาจทางเศรษฐกิจ อำนาจทางการเมือง
ถ้าร่างบรรทัดสุดท้ายของการปฎิรูปเสร็จแล้ว จะได้อะไร ถ้าโครงสร้างยังเป็นอำนาจที่เกาะกุมกัน
ความเห็นของผมวิเคราะห์ว่า สิ่งแรกที่ต้องทำคือปรับเปลี่ยนความสัมพันธ์เชิงอำนาจ หนึ่งคือต้องทำให้ประชาชนเข้มแข็งขึ้นมา ต้องเปิดโอกาส ยกตัวอย่าง ภาคคนงานจะมีสหภาพ ก็ต้องส่งเสริมให้มี เพราะการรวมกลุ่มของคนยากคนจนมันจะเป็นพลังต่อต้าน
ผมคิดว่า มีแต่การสร้างพลังต่อรองของภาคประชาชนจะแก้ปัญหาผูกขาดและความเหลื่อมล้ำได้ นโยบายต้องเปิดใจให้ประชาชนผู้ด้อยโอกาสสร้างพลังตัวเองอย่างเสรีโดยไม่ผิดกฎหมาย แต่ผมถามว่ามันมีบ้างไหม ยกตัวอย่าง นายจ้างจะตั้งสมาคมเมื่อไหร่ก็ได้ ส่งเสริมกันด้วย แต่ลูกจ้างตั้งสหภาพ กลับตั้งไม่ได้ สื่อพูดถึงสิทธิ เสรีภาพ ประชาธิปไตย ถามว่ามีกี่ฉบับที่มีสหภาพแรงงาน ตั้งขึ้นมานายทุนก็ปลด
ผมร่วมมือกับกลุ่มประชาชน ยกตัวอย่างผมสร้างเครือข่ายขึ้นมาบัตรของเรา 105 บาท แต่พวกอื่นเขากินกันเป็นทอดๆขาย 110 เราสู้เขาได้ เมื่อโมเดลเริ่มเป็นจริงก็เริ่มขยาย
ผมบอกคณะคุณอนันต์ แล้วและคุณเสกสรรค์ก็เห็นด้วยว่าจุดศูนย์กลางของการแก้ปัญหาของความเหลื่อมล้ำคือ การปรับเปลี่ยนความสัมพันธ์เชิงอำนาจ พอพูดถึงเรื่องความสัมพันธ์เชิงอำนาจมันหมายถึงอำนาจทางการเมือง อำนาจเศรษฐกิจ อำนาจแทบทุกอย่างเลย ทำให้คนต่อรองเรื่องสิทธิ ศักดิ์ศรีตัวเองได้ ซึ่งทุกอย่างจะถูกปรับหมดถ้าตรงนี้เปลี่ยน
ฟังดูแล้วมันเป็นนามธรรมหรือเปล่า จะทำอย่างไรให้มันนำไปปฎิบัติได้จริง
ก็คุณเริ่มจริงก็ทำได้ การปรับเปลี่ยนความสัมพันธ์เชิงอำนาจระหว่างนายจ้างกับลูกจ้างทำได้ไหม อย่างคุณเป็นนักข่าวสงครามลงไปทำข่าว มีความเสี่ยง จะขอค่าความเสี่ยงจากบริษัทได้ไหม คุณพูดได้ไหม ทำไม่ไม่พูด คุณมีสิทธิจะพูดก็เห็นกันอยู่ว่าตายกัน เราเรียกร้องมานานแล้วว่าต้องกล้าพูด
ในยุโรปต้องพึ่งพรรคแรงงานอาศัยฐานเสียงจากสหภาพแรงงานทั้งสิ้น อาศัยการแลกเปลี่ยนนโยบายกัน บ้านเรามันกลัวนายทุน เพราะรัฐมนตรีกินเงินนายทุนทั้งนั้น ไม่ให้เงินลงทุนก็ไปเลือกตั้งไม่ได้ ของเรามันจึงเป็นรัฐทุนนิยม เหมือนพวกเสื้อแดงบอกเป็นอำมาตย์แต่เป็นทุนนิยมทั้งนั้นนะ อำมาตย์ตอนนี้อยู่ใต้นายทุนหมดแล้ว ราชการก็อยู่ใต้นายทุน
เวลาทำงานของ 2 ชุดนี้ก็คงประมาณ 2 ปี จบลงด้วยการทำข้อเสนอให้รัฐบาล
คือก็ทำข้อเสนอทุก 6 เดือน หลังจากนั้นก็คงถี่ขึ้นเรื่อยๆ ของทีมหมอประเวศเป็นทีมขับเคลื่อนถ้าเสนอแล้วรัฐบาลไม่ทำก็จะมีแรงกดดันจากสังคม การทำงานของเราโดยเฉพาะผมเองผมเชื่อในพลังทางสังคมมากกว่าพลังจากการบังคับทางกฎหมาย คนหนีกฎหมายอยู่เรื่อย กฎหมายมันสร้างเอาไว้ให้เลี่ยง ถ้าอำนาจรัฐไม่ถือเอากฎหมายเป็นตัวตั้ง ก็มีไว้ให้เลี่ยง เพราะฉะนั้นก็ต้องมีพลังทางสังคมควบคู่ไปด้วย
ดังนั้น พลังทางสังคมจะบีบรัดให้รัฐบาลออกกฎหมายภาษีที่ดิน มรดก และตลาดหุ้น ?
ถ้าสังคมต้องการ สังคมก็ต้องลุกขึ้นมาบังคับให้มันเป็น
มีคนวิจารณ์ว่าอาจารย์รับเงินถึง 2 เด้งจากการทำงานนี้ ความจริงแล้วเป็นยังไงครับ
ผมบอกได้เลยว่าผมรับแค่เบี้ยประชุมครั้งละ 2500 บาท คนก็ว่ากันไปเรื่อย ผมก็ทำของผมไป ณรงค์ถอยรถป้ายแดงบ้าง ก็ว่ากันไป แต่ขอโทษผมบรรยายธุรกิจชั่วโมงละหมื่น
อาจารย์คิดว่าที่สุดแล้วการทำงานของอาจารย์เรื่องปฎิรูปประเทศไทยจะเปลี่ยนแปลงประเทศได้มากน้อยอย่างไร หรือว่าเสร็จแล้วก็จะต้องเก็บเข้าลิ้นชักไป
พูดง่ายๆว่าผมไม่เคยหวัง อะไรมากกับประเทศไทย คุณก็เห็นอยู่ว่ามันซับซ้อนแค่ไหน แต่หลักคิดของผมก็คือว่า ถ้าคุณไม่ได้นับหนึ่ง คุณก็ไม่มีโอกาสนับสอง ถ้าความสำเร็จอยู่ที่การนับสิบ สิ่งแรกที่ต้องทำคือนับหนึ่ง
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
วันศุกร์ที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2553
เหมือน ‘ควายถูกเชือด’ ดิ้นพลั่กๆ!!
ปัญหาบ้านเมือง กองพะเนินเทินทึก ใหญ่เป็นภูเขาเลากา...ทว่า “มาร์ค” นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ วิ่งขาขวิดพัลวัล ยุ่งแต่กรณี “ประชาธิปัตย์ถูกยุบพรรค”??
ปัญหา “เขาพระวิหาร” ที่ประชาธิปัตย์สะแหลน ทำตัวเป็นพระเอก เพื่อไม่ให้ “สมเด็จฯ ฮุน เซ็น” เอาไปขึ้นเป็นมรดกโลกนั้น...บัดนี้เสร็จโก๋ชาวขแมร์ พี่น้องชาวเขมร ไปแล้วเสร็จสรรพ
เอา “เขาพระวิหาร” มาชูโรง...โก่งคอ แบบแหกเนตรแหกตา เท่านั้นแหละครับ
การเสีย “เขาพระวิหาร” นั้น..สำเร็จครบถ้วนบริบูรณ์ปาล์ม เมื่อวันที่ ๑๕ มิถุนายน ๒๔๔๗ ที่ “ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช” อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เป็นทนายว่าความ แพ้ศาลโลก จนเราเสียสมบัติ อันล้ำค่า!!!
เขาพระวิหารเสียไปแล้วแน่ๆ ...แต่ที่งงแท้?...รัฐบาลไม่น่าแห่ เอาเรื่องนี้ มาแหกตา??
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
มัวอยู่กับเรื่องพรรค แบบ ‘เห็นแก่ตัว’!!
แน่เสียยิ่งกว่าแช่แป้ง “พนมพระวิหาร” ที่ชาวกัมพูชา เรียกขานกัน..ส่วนคนไทยนั้นเรียกว่า “ปราสาทเขาพระวิหาร” ตกเป็นมรดกโลกโดยชาติเขมรแล้วล่ะทูนหัว???
อันตัว “ปราสาทเขาพระวิหาร” นั้น...เราไม่มีสิทธิ์คัดค้าน ดึงดันกลับมาเป็นของไทย...เมื่อ “สมเด็จฯ ฮุน เซ็น” ยึดคำสั่งศาลโลก ที่ตัดสินไว้เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๔๗ ที่ให้เขมรถือกรรมสิทธิ์
“รัฐบาลอภิสิทธิ์ชน” ที่ทำตัวขี้อ้อน....ใยไม่สน“ที่ดินทับซ้อน” ล้อมเขาพระวิหารสักนิด
สมัยยุครัฐบาลของ “อดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร”...เห็น “อดีตหัวหน้าพรรคฝ่ายค้านดักดาน “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” และพรรคประชาธิปัตย์..บางคนขึ้นเวทีพันธมิตรฯ ทวงคืนเขาพระวิหาร และกล่าวลั่นไม่ให้เสียพื้นที่แม้แต่ตารางนิ้วเดียว?...แต่กับวันนี้ “พื้นที่ทับซ้อน” จะตกเป็นของกัมพูชาทั้งหมด ไม่ใช่เรื่องลือ!!!
ห่วงแต่กรณีพรรคถูกยุบ..ปชป. วิ่งหูชันหูตูบ?..แต่เขมรไล่ทุบชิงแผ่นดิน เห็นนั่งงอมือ??
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
วัย ‘๙๓ ฤดูฝน’ แต่สังขารแข็งปั๋ง!!
หล่อ ..หล้อ...หล่อ ..ล่ำปึ๊ก ไม่ผิดกับ “มนุษย์เหล็ก” สำหรับ “บิ๊กป๋า” พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี และ อดีตนายกรัฐมนตรี ผู้โด่งด่ง??
ด้วยวัยปูนนี้ ที่ใช้สังขารมาอย่างโชกโชน “ซูเปอร์ป๋า” ต้องเสื่อมเป็นตามวัฏจักร..
เช้าวันจันทร์ที่ ๑๒ กรกฏาฯ ที่ผ่านมา.... “ป๋า” จึงเข้าโรงหมอ โรงซ่อมสุขภาพ กันจ๊ะที่รัก
โดย “ป๋าเปรม” ไปตรวจและรักษาสุขภาพ ที่โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า..อันเนื่องมาจากเป็น “ไข้หวัด” ส่งผลทางตรงและทางอ้อม ทำให้เกิดอาการ “หูดับ”!!!
นอกจาก “หูดับ”แล้ว..สุขภาพอื่น “ป๋า” ยังคับแก้ว?.. “๙๓ ปี ยังแจ๋ว” เหมือนเดิมครับ?
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
‘ข้าวหม้อเดียวกัน’ ทำท่าไม่มียาง!!
เตรียมทหารรุ่น ๑๐...รุ่นบิ๊กเนม ของ “บิ๊กป๊อก” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. แตกแยกกันเสียจัง??
เท่าที่ฟัง สดับรับทราบกันว่า “ตท.รุ่น๑๐” ไม่ได้ร่วมสังสรรค์เฮฮาปาร์ตี้กันมาพักใหญ่แล้ว?....เลื่อนการเลี้ยงรุ่นมา ๓ ครั้ง ๔ ครั้ง ที่จะไม่ยอม พบหน้ากัน
“ตท.รุ่น ๑๐” เป็นพี่เบิ้มของกองทัพ....แต่แตกกันยับ อย่างแหลกราญ
หัวต่อหัว ต่างเดินทางกันคนละทิศ “บูรพาพยัคฆ์” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ก็ตั้งก๊วนอยู่อีกกลุ่ม.. “ทหารวงศ์เทวัญ” พล.อ.พฤณฑ์ สุวรรณทัต” ก็จับอีกขั้ว แท็กทีมอีกกลุ่มอย่างมั่นคง!!!
“ตท.” รุ่นอื่นเค้ารักกัน...อยู่อย่างสมัครสมาน!...มี “ตท.รุ่น ๑๐”เท่านั้น ที่รักกันไม่ลง???
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
ทำตัวเว่อร์ ได้ทุก ‘เวอร์ชั่น’!!
หุ้นส่วนผู้ถือด้าม การคุมอำนาจประเทศไทย..ทั้ง “อภสิทธิ์ เวชชาชีวะ” นายกรัฐมนตรี และ “นายใหญ่เนวิน ชิดชอบ” แห่งพรรคภูมิไทยใจ นั่นปะไร ล่ะท่านผู้อ่าน??
รวยอำนาจ บารมีผงาด ไปทุกพื้นที่ใครก็เกรงขาม
ใหญ่แสนใหญ่ คับประเทศ....แต่ยังเป็นเหตุ กลัวโดนส่องคว่ำ
“นายกฯ อภิสิทธิ์” ว่ากันว่า เดี๋ยวนี้ ต้องใส่ “เสื้อเกราะ” ตลอดเวลา เพื่อป้องกันความปลอดภัย ๑๐๐%.....เช่นเดียวกัน “เนวิน ชิดชอบ” ผู้พิศมัยบอลเข้ากระแสเลือด ในฐานะเจ้าของทีมบอล “ปราสาทสายฟ้า บุรีรัมย์” ไม่พลาดสักนัด สักเที่ยวที่จะไปดู...แต่ทุกครั้ง “เนวิน” จะสวมเสื้อทับกันหลายชั้น จนดูตัวโปร่ง เหมือนข้างในเป็น “เสื้อเกราะกันกระสุน”...และทุกครั้งจะไม่ไปเชียร์กลางสนาม หรืออยู่ในที่โล่ง..ไม่ให้เป็นเป้าหมาย สายตาของใครทั้งนั้น!!
ป้องกันเอาไว้ก่อนหละดีแท้.....เพราะอะไรก็ไม่แน่?...เกิดขึ้นแล้วมันจะแย่ แก้ไม่ทัน???
***********************คอลัมน์.ตอดนิดตอดหน่อยการบูร*****************
ที่มา.บางกอกทูเดย์
ปัญหา “เขาพระวิหาร” ที่ประชาธิปัตย์สะแหลน ทำตัวเป็นพระเอก เพื่อไม่ให้ “สมเด็จฯ ฮุน เซ็น” เอาไปขึ้นเป็นมรดกโลกนั้น...บัดนี้เสร็จโก๋ชาวขแมร์ พี่น้องชาวเขมร ไปแล้วเสร็จสรรพ
เอา “เขาพระวิหาร” มาชูโรง...โก่งคอ แบบแหกเนตรแหกตา เท่านั้นแหละครับ
การเสีย “เขาพระวิหาร” นั้น..สำเร็จครบถ้วนบริบูรณ์ปาล์ม เมื่อวันที่ ๑๕ มิถุนายน ๒๔๔๗ ที่ “ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช” อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เป็นทนายว่าความ แพ้ศาลโลก จนเราเสียสมบัติ อันล้ำค่า!!!
เขาพระวิหารเสียไปแล้วแน่ๆ ...แต่ที่งงแท้?...รัฐบาลไม่น่าแห่ เอาเรื่องนี้ มาแหกตา??
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
มัวอยู่กับเรื่องพรรค แบบ ‘เห็นแก่ตัว’!!
แน่เสียยิ่งกว่าแช่แป้ง “พนมพระวิหาร” ที่ชาวกัมพูชา เรียกขานกัน..ส่วนคนไทยนั้นเรียกว่า “ปราสาทเขาพระวิหาร” ตกเป็นมรดกโลกโดยชาติเขมรแล้วล่ะทูนหัว???
อันตัว “ปราสาทเขาพระวิหาร” นั้น...เราไม่มีสิทธิ์คัดค้าน ดึงดันกลับมาเป็นของไทย...เมื่อ “สมเด็จฯ ฮุน เซ็น” ยึดคำสั่งศาลโลก ที่ตัดสินไว้เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๔๗ ที่ให้เขมรถือกรรมสิทธิ์
“รัฐบาลอภิสิทธิ์ชน” ที่ทำตัวขี้อ้อน....ใยไม่สน“ที่ดินทับซ้อน” ล้อมเขาพระวิหารสักนิด
สมัยยุครัฐบาลของ “อดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร”...เห็น “อดีตหัวหน้าพรรคฝ่ายค้านดักดาน “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” และพรรคประชาธิปัตย์..บางคนขึ้นเวทีพันธมิตรฯ ทวงคืนเขาพระวิหาร และกล่าวลั่นไม่ให้เสียพื้นที่แม้แต่ตารางนิ้วเดียว?...แต่กับวันนี้ “พื้นที่ทับซ้อน” จะตกเป็นของกัมพูชาทั้งหมด ไม่ใช่เรื่องลือ!!!
ห่วงแต่กรณีพรรคถูกยุบ..ปชป. วิ่งหูชันหูตูบ?..แต่เขมรไล่ทุบชิงแผ่นดิน เห็นนั่งงอมือ??
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
วัย ‘๙๓ ฤดูฝน’ แต่สังขารแข็งปั๋ง!!
หล่อ ..หล้อ...หล่อ ..ล่ำปึ๊ก ไม่ผิดกับ “มนุษย์เหล็ก” สำหรับ “บิ๊กป๋า” พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี และ อดีตนายกรัฐมนตรี ผู้โด่งด่ง??
ด้วยวัยปูนนี้ ที่ใช้สังขารมาอย่างโชกโชน “ซูเปอร์ป๋า” ต้องเสื่อมเป็นตามวัฏจักร..
เช้าวันจันทร์ที่ ๑๒ กรกฏาฯ ที่ผ่านมา.... “ป๋า” จึงเข้าโรงหมอ โรงซ่อมสุขภาพ กันจ๊ะที่รัก
โดย “ป๋าเปรม” ไปตรวจและรักษาสุขภาพ ที่โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า..อันเนื่องมาจากเป็น “ไข้หวัด” ส่งผลทางตรงและทางอ้อม ทำให้เกิดอาการ “หูดับ”!!!
นอกจาก “หูดับ”แล้ว..สุขภาพอื่น “ป๋า” ยังคับแก้ว?.. “๙๓ ปี ยังแจ๋ว” เหมือนเดิมครับ?
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
‘ข้าวหม้อเดียวกัน’ ทำท่าไม่มียาง!!
เตรียมทหารรุ่น ๑๐...รุ่นบิ๊กเนม ของ “บิ๊กป๊อก” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. แตกแยกกันเสียจัง??
เท่าที่ฟัง สดับรับทราบกันว่า “ตท.รุ่น๑๐” ไม่ได้ร่วมสังสรรค์เฮฮาปาร์ตี้กันมาพักใหญ่แล้ว?....เลื่อนการเลี้ยงรุ่นมา ๓ ครั้ง ๔ ครั้ง ที่จะไม่ยอม พบหน้ากัน
“ตท.รุ่น ๑๐” เป็นพี่เบิ้มของกองทัพ....แต่แตกกันยับ อย่างแหลกราญ
หัวต่อหัว ต่างเดินทางกันคนละทิศ “บูรพาพยัคฆ์” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ก็ตั้งก๊วนอยู่อีกกลุ่ม.. “ทหารวงศ์เทวัญ” พล.อ.พฤณฑ์ สุวรรณทัต” ก็จับอีกขั้ว แท็กทีมอีกกลุ่มอย่างมั่นคง!!!
“ตท.” รุ่นอื่นเค้ารักกัน...อยู่อย่างสมัครสมาน!...มี “ตท.รุ่น ๑๐”เท่านั้น ที่รักกันไม่ลง???
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
ทำตัวเว่อร์ ได้ทุก ‘เวอร์ชั่น’!!
หุ้นส่วนผู้ถือด้าม การคุมอำนาจประเทศไทย..ทั้ง “อภสิทธิ์ เวชชาชีวะ” นายกรัฐมนตรี และ “นายใหญ่เนวิน ชิดชอบ” แห่งพรรคภูมิไทยใจ นั่นปะไร ล่ะท่านผู้อ่าน??
รวยอำนาจ บารมีผงาด ไปทุกพื้นที่ใครก็เกรงขาม
ใหญ่แสนใหญ่ คับประเทศ....แต่ยังเป็นเหตุ กลัวโดนส่องคว่ำ
“นายกฯ อภิสิทธิ์” ว่ากันว่า เดี๋ยวนี้ ต้องใส่ “เสื้อเกราะ” ตลอดเวลา เพื่อป้องกันความปลอดภัย ๑๐๐%.....เช่นเดียวกัน “เนวิน ชิดชอบ” ผู้พิศมัยบอลเข้ากระแสเลือด ในฐานะเจ้าของทีมบอล “ปราสาทสายฟ้า บุรีรัมย์” ไม่พลาดสักนัด สักเที่ยวที่จะไปดู...แต่ทุกครั้ง “เนวิน” จะสวมเสื้อทับกันหลายชั้น จนดูตัวโปร่ง เหมือนข้างในเป็น “เสื้อเกราะกันกระสุน”...และทุกครั้งจะไม่ไปเชียร์กลางสนาม หรืออยู่ในที่โล่ง..ไม่ให้เป็นเป้าหมาย สายตาของใครทั้งนั้น!!
ป้องกันเอาไว้ก่อนหละดีแท้.....เพราะอะไรก็ไม่แน่?...เกิดขึ้นแล้วมันจะแย่ แก้ไม่ทัน???
***********************คอลัมน์.ตอดนิดตอดหน่อยการบูร*****************
ที่มา.บางกอกทูเดย์
ก่อแก้ว ก่อกวน ก่อการร้าย!!!??
จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้
(รายงานพิเศษ) กรณีโหวต ‘มาร์ค V11’ ถึง..‘ก่อแก้ว พิกุลทอง’ สะท้อนพลังเงียบ+คนเสื้อแดงเลือกตั้งซ่อมกทม.เขต6
“มรึงออกได้ละ ไอ้...อภิสิทธิ์”
“อภิสิทธิ์ออกก็จบ เสื้อแดงจะเผาไหม ถามหน่อยครับบบบบ!!”
“แม่(ง)พูดมาได้ เห็นประชาประท้วงมาขนาดนี้ เป็นผมผมออกไปนานแล้ว แล้วทีตัวเองไม่ออก...!”
“กลัวตาย กลัวออกประเทศไม่มีเงินใช้หรือไง(วะ)!”
เป็นข้อความส่วนหนึ่งของ “มาร์ค V11” นายวิทวัส ท้าวคำลือ ที่โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊คเมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2553 เด็กหนุ่มวัย 17 ปี ที่เข้าแข่งขันรอบสุดท้ายรายการเรียลิตี้ล่าฝันยอดนิยม “ทรู อะคาเดมี แฟนเทเชีย ซีซั่น 7” (เอเอฟ 7) จนทำให้วันแรกของการขึ้นเวทีของเขาต้องถูกระงับไปกะทันหัน โดยพ่อแม่ของ “มาร์ค V11” แถลงสั้นๆ ขอใช้สิทธิความเป็นพ่อแม่เพื่อความสมานฉันท์ และไม่ต้องการให้เรื่องลุกลามบานปลาย ขณะที่ทรูฯก็อ้างเรื่องความปลอดภัย เพราะไม่รู้ว่าจะมีปฏิกิริยาจากแฟนคลับต่อต้านอย่างไร
V11 คะแนนพุ่งกระฉูด
อย่างไรก็ตาม หลังมีข่าวข้อความของ “มาร์ค V11” ออกไป พร้อมๆกับขบวนการล่าแม่มดออนไลน์ “Social Sanction” หรือ “ยุทธการลงทัณฑ์ทางสังคม” ที่ใช้โจมตีใส่ร้ายบุคคลต่างๆทางโลกออนไลน์ ซึ่งแพร่หลายอย่างมากขณะนี้ โดยเฉพาะกรณีกลุ่ม “เสื้อหลากสี” ที่ออกมาสนับสนุนนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และโจมตีคนเสื้อแดงนั้น ปรากฏว่าคะแนนของ “มาร์ค V11” กลับทะยานแบบพุ่งกระฉูด เพราะตอนที่ไม่มีข่าวนี้คะแนนของ “มาร์ค V11” อยู่ในอันดับเกือบรั้งท้ายได้ 3.89% แต่เมื่อถูกโจมตีกลับพุ่งไปถึง 17.52%
คะแนนที่พุ่งพรวดจะเป็นเพราะคนเสื้อแดงที่รวมพลังโหวตให้หรือคะแนนสงสารจากประชาชนก็ตาม ก็ถือเป็นปรากฏการณ์ที่ชี้ให้เห็นถึงความรู้สึกของประชาชนที่มีต่อรัฐบาลและนายอภิสิทธิ์ได้เป็นอย่างดี เพราะก่อนหน้านี้นายอภิสิทธิ์ได้กล่าวถึง “มาร์ค V11” ว่าแม้เป็นการโพสต์ก่อนเข้าแข่งขันและไม่เกี่ยวกับบริษัท แต่ความรับผิดชอบส่วนตัวก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งยิ่งตอกย้ำถึงแผนปรองดองของนายอภิสิทธิ์ว่ามีความจริงใจหรือไม่ เพราะแม้แต่ความเห็นของเยาวชนคนหนึ่งที่แสดงออกอย่างบริสุทธิ์ใจและตามสิทธิเสรีภาพในระบอบประชาธิปไตย แทนที่นายอภิสิทธิ์จะใจกว้างแสดงความเป็นประชาธิปไตยและเมตตาธรรมในฐานะผู้นำ กลับแสดงความกังขาและทวงถามความรับผิดชอบ
ขบวนการบิดเบือน
ด้านนางวรรณา ท้าวคำลือ มารดาของ “มาร์ค V11” ได้ออกมาปกป้องลูกชายว่า เป็นการแสดงความคิดเห็นตามประสาวัยรุ่นที่ได้รับข้อมูลข่าวสารขณะบ้านเมืองไม่ปรกติ ซึ่งเขียนขึ้นขณะอยู่ต่างประเทศที่มีข่าวจากประเทศไทยรุนแรงมาก แต่ที่กลายเป็นเรื่องขึ้นมาเพราะมีคนเอารูป “มาร์ค V11” ขึ้นมาตัดแปะและโจมตีในออนไลน์ ซึ่งห้ามไม่ได้ แต่เข้าใจลูกชายดี และครอบครัวทุกคนก็เทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์
แต่นางวิสา เบ็ญจะมโน กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ กล่าวตำหนิกรณีขบวนการล่าแม่มดในเครือข่ายออนไลน์ที่ต่อต้านกลุ่มคนเสื้อแดง รวมถึง “มาร์ค V11” ว่าเป็นการแสดงความเกลียดที่รุนแรงเกินไป ทั้งที่การแสดงความคิดเห็นเป็นสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานของบุคคล หากไม่ใช้ความรุนแรง หรือละเมิดกฎหมาย ละเมิด พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ก็สามารถทําได้อย่างอิสระ
เช่นเดียวกับนายสุณัย ผาสุก ที่ปรึกษาองค์กรฮิวแมนไรท์วอทช์ประจำประเทศไทย ไม่แปลกใจที่ขบวนการล่าแม่มดเกิดขึ้นในสภาวการณ์ขณะนี้ ซึ่งแบ่งเป็น 2 ขั้วสุดโต่งอย่างชัดเจน โดยมีการตามล่า ตามเช็กประวัติการเคลื่อนไหวข้อมูลในอินเทอร์เน็ตที่ต่อต้านรัฐบาล หลังจากนั้นจะออกกดดัน ข่มขู่ หรือขู่ฆ่า ซึ่งสะท้อนถึงการขาดความอดกลั้นของสังคมต่อการยอมรับความคิดเห็นที่แตกต่าง
นับเป็นที่น่าวิตกอย่างยิ่งกับสังคมไทยที่กำลังสูญเสียพื้นที่ประชาธิปไตย สูญเสียช่องทางที่จะแสดงความคิดเห็นในทางการเมืองได้ ทั้งยังเข้าข่ายการละเมิดสิทธิมนุษยชนในการไม่ยอมรับความคิดเห็นของผู้อื่น รวมถึงการรวมกลุ่มเพื่อกดดันให้มีการลงโทษผู้อื่น ซึ่งเรื่องนี้จะมีอยู่ในรายงานประจำปีของฮิวแมนไรท์ วอทช์ที่ต่างประเทศจะนำไปใช้อ้างอิงสถานการณ์ในประเทศไทยได้
“มาร์ค V11” ถึง “ก่อแก้ว”
กรณีของ “มาร์ค V11” จึงสอดรับกับสถาน การณ์การเลือกตั้งซ่อม ส.ส.เขต 6 กรุงเทพฯ แทนนายทิวา เงินยวง อดีต ส.ส.ของพรรคประชาธิปัตย์ที่เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็ง โดยพรรคเพื่อไทยส่งนายก่อแก้ว พิกุลทอง ที่ถูกคุมขังในข้อหา “ผู้ก่อการร้าย” ลงสมัคร ซึ่งนายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ก็พยายามออกมาขัดขวางให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) วินิจฉัยคุณสมบัติของนายก่อแก้ว โดยเฉพาะการกล่าวหาว่า “นายก่อแก้วเบอร์ 4 เป็นผู้ก่อการร้าย” แต่ กกต. ยืนยันว่านายก่อแก้วมีคุณสมบัติถูกต้อง
แม้จะแค่ 1 ที่นั่งในสภาผู้แทนราษฎร แต่ก็มีความหมายอย่างยิ่งกับสถานการณ์บ้านเมืองขณะนี้ และการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในอนาคตอย่างมาก เพราะการต่อสู้ครั้งนี้ไม่ใช่แค่นัยทางการเมืองในผลแพ้หรือชนะเท่านั้น แต่ยังเหมือนสัญลักษณ์การต่อสู้ของคนเสื้อแดง เพื่อทวงความยุติธรรมในเหตุการณ์ “เมษา-พฤษภาอำมหิต” ทั้งถูกเปรียบเหมือนการต่อสู้ระหว่าง “ไพร่” กับ “อำมาตย์” ที่เป็นการต่อสู้ระหว่าง “ประชาธิปไตย” กับ “เผด็จการซ่อนรูป” ว่าประชาชนเชื่อฝ่ายใด?
หาเสียงบนคมดาบ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งนายก่อแก้วต้อง “ชกข้ามคุก” ไม่สามารถออกมาหาเสียงได้ ต้องให้เพื่อนพ้องน้องพี่ในพรรคเพื่อไทยและคนเสื้อแดงหาเสียงแทน แต่การพูดถึงเหตุการณ์นองเลือดก็ทำไม่ได้ง่าย เพราะเสี่ยงต่อการทำผิด พ.ร.ก.ฉุกเฉิน แล้วยังอาจต้อนตัวเองเข้ามุมอับให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ลงดาบเชือดอีกด้วย
ที่น่าสังเกตคือ ในการปราศรัยหาเสียงของพรรคเพื่อไทยทุกครั้งจะมีคนเสื้อแดงไปรับฟังและให้กำลังใจมากมาย แต่ก็มีคำถามว่าคนเสื้อแดงมากมายที่มาฟังคำปราศรัยนั้นเป็นคนในพื้นที่ที่มีสิทธิเลือกตั้งหรือไม่ และปฏิเสธไม่ได้ว่าคะแนนจัดตั้งหรือฐานคะแนนเสียงของแต่ละพรรคจะเป็นตัวชี้ผลแพ้ชนะในวันอาทิตย์ที่ 25 กรกฎาคม 2553 โดยเฉพาะเสียงของประชาชนที่เป็นพลังเงียบที่อาจไม่ชอบทั้งเสื้อแดง เสื้อเหลือง และพรรคประชาธิปัตย์
แต่เชื่อว่าการเลือกตั้งซ่อมครั้งนี้จะมีผู้ออกมาใช้สิทธิอย่างมากมาย ซึ่งจะทำให้คะแนนเสียงของผู้ไม่ฝักใฝ่พรรคการเมืองใดเป็นตัวแปรที่สำคัญกับผลการเลือกตั้ง เพราะคะแนนเสียงเหล่านี้จะไหลไปตามกระแสสังคมที่เกิดขึ้น ซึ่งจะบ่งบอกอารมณ์และความรู้สึกของสังคมต่อสถานการณ์การเมืองได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะเหตุการณ์ “เมษา-พฤษภาอำมหิต” ซึ่งจะเป็นดัชนีชี้วัดความชอบธรรมของนายอภิสิทธิ์และกองทัพได้เป็นอย่างดี
นายก่อแก้วจึงไม่ใช่แค่ตัวแทนของพรรคเพื่อไทยและคนเสื้อแดงเท่านั้น แต่จะเหมือนสัญลักษณ์ในการต่อสู้ระหว่างฝ่ายประชาธิปไตยกับอำนาจเผด็จการซ่อนรูปอีกด้วย
ความจริงไม่มีวันตาย
เช่นเดียวกับ “มาร์ค V11” ที่จะต้องต่อสู้กับขบวนการล่าแม่มดออนไลน์ และกลุ่มอํานาจรัฐที่พยายามบิดเบือนความจริงที่ดัดจริตใส่หน้ากากประชาธิปไตย แต่ธาตุแท้กลับไม่ต่างกับ “เผด็จการทรราชมือเปื้อนเลือด” ที่ไม่สะทกสะท้านแม้แต่การเข่นฆ่าและทำร้ายคนไทยด้วยกันเอง
เช่นเดียวกับนายก่อแก้วที่จะมีคนเสื้อแดงหลายสิบล้านคนเป็นกำลังใจ แม้จะไม่มีสิทธิลงคะแนนเลือกตั้งก็ตาม แต่อย่างน้อยก็เป็นการแสดงให้เห็นพลังของประชาชนที่รักประชาธิปไตยทั่วทั้งแผ่นดินที่ต้องการประชาธิปไตยและความยุติธรรมกลับคืน
การเลือกตั้งซ่อมเขต 6 กทม. จึงต้องจับตาอย่ากะพริบว่า “ก่อแก้ว ก่อการร้ายเบอร์ 4” จะล่าฝัน “ประชาธิปไตย” ได้หรือไม่?
(รายงานพิเศษ) กรณีโหวต ‘มาร์ค V11’ ถึง..‘ก่อแก้ว พิกุลทอง’ สะท้อนพลังเงียบ+คนเสื้อแดงเลือกตั้งซ่อมกทม.เขต6
“มรึงออกได้ละ ไอ้...อภิสิทธิ์”
“อภิสิทธิ์ออกก็จบ เสื้อแดงจะเผาไหม ถามหน่อยครับบบบบ!!”
“แม่(ง)พูดมาได้ เห็นประชาประท้วงมาขนาดนี้ เป็นผมผมออกไปนานแล้ว แล้วทีตัวเองไม่ออก...!”
“กลัวตาย กลัวออกประเทศไม่มีเงินใช้หรือไง(วะ)!”
เป็นข้อความส่วนหนึ่งของ “มาร์ค V11” นายวิทวัส ท้าวคำลือ ที่โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊คเมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2553 เด็กหนุ่มวัย 17 ปี ที่เข้าแข่งขันรอบสุดท้ายรายการเรียลิตี้ล่าฝันยอดนิยม “ทรู อะคาเดมี แฟนเทเชีย ซีซั่น 7” (เอเอฟ 7) จนทำให้วันแรกของการขึ้นเวทีของเขาต้องถูกระงับไปกะทันหัน โดยพ่อแม่ของ “มาร์ค V11” แถลงสั้นๆ ขอใช้สิทธิความเป็นพ่อแม่เพื่อความสมานฉันท์ และไม่ต้องการให้เรื่องลุกลามบานปลาย ขณะที่ทรูฯก็อ้างเรื่องความปลอดภัย เพราะไม่รู้ว่าจะมีปฏิกิริยาจากแฟนคลับต่อต้านอย่างไร
V11 คะแนนพุ่งกระฉูด
อย่างไรก็ตาม หลังมีข่าวข้อความของ “มาร์ค V11” ออกไป พร้อมๆกับขบวนการล่าแม่มดออนไลน์ “Social Sanction” หรือ “ยุทธการลงทัณฑ์ทางสังคม” ที่ใช้โจมตีใส่ร้ายบุคคลต่างๆทางโลกออนไลน์ ซึ่งแพร่หลายอย่างมากขณะนี้ โดยเฉพาะกรณีกลุ่ม “เสื้อหลากสี” ที่ออกมาสนับสนุนนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และโจมตีคนเสื้อแดงนั้น ปรากฏว่าคะแนนของ “มาร์ค V11” กลับทะยานแบบพุ่งกระฉูด เพราะตอนที่ไม่มีข่าวนี้คะแนนของ “มาร์ค V11” อยู่ในอันดับเกือบรั้งท้ายได้ 3.89% แต่เมื่อถูกโจมตีกลับพุ่งไปถึง 17.52%
คะแนนที่พุ่งพรวดจะเป็นเพราะคนเสื้อแดงที่รวมพลังโหวตให้หรือคะแนนสงสารจากประชาชนก็ตาม ก็ถือเป็นปรากฏการณ์ที่ชี้ให้เห็นถึงความรู้สึกของประชาชนที่มีต่อรัฐบาลและนายอภิสิทธิ์ได้เป็นอย่างดี เพราะก่อนหน้านี้นายอภิสิทธิ์ได้กล่าวถึง “มาร์ค V11” ว่าแม้เป็นการโพสต์ก่อนเข้าแข่งขันและไม่เกี่ยวกับบริษัท แต่ความรับผิดชอบส่วนตัวก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งยิ่งตอกย้ำถึงแผนปรองดองของนายอภิสิทธิ์ว่ามีความจริงใจหรือไม่ เพราะแม้แต่ความเห็นของเยาวชนคนหนึ่งที่แสดงออกอย่างบริสุทธิ์ใจและตามสิทธิเสรีภาพในระบอบประชาธิปไตย แทนที่นายอภิสิทธิ์จะใจกว้างแสดงความเป็นประชาธิปไตยและเมตตาธรรมในฐานะผู้นำ กลับแสดงความกังขาและทวงถามความรับผิดชอบ
ขบวนการบิดเบือน
ด้านนางวรรณา ท้าวคำลือ มารดาของ “มาร์ค V11” ได้ออกมาปกป้องลูกชายว่า เป็นการแสดงความคิดเห็นตามประสาวัยรุ่นที่ได้รับข้อมูลข่าวสารขณะบ้านเมืองไม่ปรกติ ซึ่งเขียนขึ้นขณะอยู่ต่างประเทศที่มีข่าวจากประเทศไทยรุนแรงมาก แต่ที่กลายเป็นเรื่องขึ้นมาเพราะมีคนเอารูป “มาร์ค V11” ขึ้นมาตัดแปะและโจมตีในออนไลน์ ซึ่งห้ามไม่ได้ แต่เข้าใจลูกชายดี และครอบครัวทุกคนก็เทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์
แต่นางวิสา เบ็ญจะมโน กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ กล่าวตำหนิกรณีขบวนการล่าแม่มดในเครือข่ายออนไลน์ที่ต่อต้านกลุ่มคนเสื้อแดง รวมถึง “มาร์ค V11” ว่าเป็นการแสดงความเกลียดที่รุนแรงเกินไป ทั้งที่การแสดงความคิดเห็นเป็นสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานของบุคคล หากไม่ใช้ความรุนแรง หรือละเมิดกฎหมาย ละเมิด พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ก็สามารถทําได้อย่างอิสระ
เช่นเดียวกับนายสุณัย ผาสุก ที่ปรึกษาองค์กรฮิวแมนไรท์วอทช์ประจำประเทศไทย ไม่แปลกใจที่ขบวนการล่าแม่มดเกิดขึ้นในสภาวการณ์ขณะนี้ ซึ่งแบ่งเป็น 2 ขั้วสุดโต่งอย่างชัดเจน โดยมีการตามล่า ตามเช็กประวัติการเคลื่อนไหวข้อมูลในอินเทอร์เน็ตที่ต่อต้านรัฐบาล หลังจากนั้นจะออกกดดัน ข่มขู่ หรือขู่ฆ่า ซึ่งสะท้อนถึงการขาดความอดกลั้นของสังคมต่อการยอมรับความคิดเห็นที่แตกต่าง
นับเป็นที่น่าวิตกอย่างยิ่งกับสังคมไทยที่กำลังสูญเสียพื้นที่ประชาธิปไตย สูญเสียช่องทางที่จะแสดงความคิดเห็นในทางการเมืองได้ ทั้งยังเข้าข่ายการละเมิดสิทธิมนุษยชนในการไม่ยอมรับความคิดเห็นของผู้อื่น รวมถึงการรวมกลุ่มเพื่อกดดันให้มีการลงโทษผู้อื่น ซึ่งเรื่องนี้จะมีอยู่ในรายงานประจำปีของฮิวแมนไรท์ วอทช์ที่ต่างประเทศจะนำไปใช้อ้างอิงสถานการณ์ในประเทศไทยได้
“มาร์ค V11” ถึง “ก่อแก้ว”
กรณีของ “มาร์ค V11” จึงสอดรับกับสถาน การณ์การเลือกตั้งซ่อม ส.ส.เขต 6 กรุงเทพฯ แทนนายทิวา เงินยวง อดีต ส.ส.ของพรรคประชาธิปัตย์ที่เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็ง โดยพรรคเพื่อไทยส่งนายก่อแก้ว พิกุลทอง ที่ถูกคุมขังในข้อหา “ผู้ก่อการร้าย” ลงสมัคร ซึ่งนายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ก็พยายามออกมาขัดขวางให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) วินิจฉัยคุณสมบัติของนายก่อแก้ว โดยเฉพาะการกล่าวหาว่า “นายก่อแก้วเบอร์ 4 เป็นผู้ก่อการร้าย” แต่ กกต. ยืนยันว่านายก่อแก้วมีคุณสมบัติถูกต้อง
แม้จะแค่ 1 ที่นั่งในสภาผู้แทนราษฎร แต่ก็มีความหมายอย่างยิ่งกับสถานการณ์บ้านเมืองขณะนี้ และการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในอนาคตอย่างมาก เพราะการต่อสู้ครั้งนี้ไม่ใช่แค่นัยทางการเมืองในผลแพ้หรือชนะเท่านั้น แต่ยังเหมือนสัญลักษณ์การต่อสู้ของคนเสื้อแดง เพื่อทวงความยุติธรรมในเหตุการณ์ “เมษา-พฤษภาอำมหิต” ทั้งถูกเปรียบเหมือนการต่อสู้ระหว่าง “ไพร่” กับ “อำมาตย์” ที่เป็นการต่อสู้ระหว่าง “ประชาธิปไตย” กับ “เผด็จการซ่อนรูป” ว่าประชาชนเชื่อฝ่ายใด?
หาเสียงบนคมดาบ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งนายก่อแก้วต้อง “ชกข้ามคุก” ไม่สามารถออกมาหาเสียงได้ ต้องให้เพื่อนพ้องน้องพี่ในพรรคเพื่อไทยและคนเสื้อแดงหาเสียงแทน แต่การพูดถึงเหตุการณ์นองเลือดก็ทำไม่ได้ง่าย เพราะเสี่ยงต่อการทำผิด พ.ร.ก.ฉุกเฉิน แล้วยังอาจต้อนตัวเองเข้ามุมอับให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ลงดาบเชือดอีกด้วย
ที่น่าสังเกตคือ ในการปราศรัยหาเสียงของพรรคเพื่อไทยทุกครั้งจะมีคนเสื้อแดงไปรับฟังและให้กำลังใจมากมาย แต่ก็มีคำถามว่าคนเสื้อแดงมากมายที่มาฟังคำปราศรัยนั้นเป็นคนในพื้นที่ที่มีสิทธิเลือกตั้งหรือไม่ และปฏิเสธไม่ได้ว่าคะแนนจัดตั้งหรือฐานคะแนนเสียงของแต่ละพรรคจะเป็นตัวชี้ผลแพ้ชนะในวันอาทิตย์ที่ 25 กรกฎาคม 2553 โดยเฉพาะเสียงของประชาชนที่เป็นพลังเงียบที่อาจไม่ชอบทั้งเสื้อแดง เสื้อเหลือง และพรรคประชาธิปัตย์
แต่เชื่อว่าการเลือกตั้งซ่อมครั้งนี้จะมีผู้ออกมาใช้สิทธิอย่างมากมาย ซึ่งจะทำให้คะแนนเสียงของผู้ไม่ฝักใฝ่พรรคการเมืองใดเป็นตัวแปรที่สำคัญกับผลการเลือกตั้ง เพราะคะแนนเสียงเหล่านี้จะไหลไปตามกระแสสังคมที่เกิดขึ้น ซึ่งจะบ่งบอกอารมณ์และความรู้สึกของสังคมต่อสถานการณ์การเมืองได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะเหตุการณ์ “เมษา-พฤษภาอำมหิต” ซึ่งจะเป็นดัชนีชี้วัดความชอบธรรมของนายอภิสิทธิ์และกองทัพได้เป็นอย่างดี
นายก่อแก้วจึงไม่ใช่แค่ตัวแทนของพรรคเพื่อไทยและคนเสื้อแดงเท่านั้น แต่จะเหมือนสัญลักษณ์ในการต่อสู้ระหว่างฝ่ายประชาธิปไตยกับอำนาจเผด็จการซ่อนรูปอีกด้วย
ความจริงไม่มีวันตาย
เช่นเดียวกับ “มาร์ค V11” ที่จะต้องต่อสู้กับขบวนการล่าแม่มดออนไลน์ และกลุ่มอํานาจรัฐที่พยายามบิดเบือนความจริงที่ดัดจริตใส่หน้ากากประชาธิปไตย แต่ธาตุแท้กลับไม่ต่างกับ “เผด็จการทรราชมือเปื้อนเลือด” ที่ไม่สะทกสะท้านแม้แต่การเข่นฆ่าและทำร้ายคนไทยด้วยกันเอง
เช่นเดียวกับนายก่อแก้วที่จะมีคนเสื้อแดงหลายสิบล้านคนเป็นกำลังใจ แม้จะไม่มีสิทธิลงคะแนนเลือกตั้งก็ตาม แต่อย่างน้อยก็เป็นการแสดงให้เห็นพลังของประชาชนที่รักประชาธิปไตยทั่วทั้งแผ่นดินที่ต้องการประชาธิปไตยและความยุติธรรมกลับคืน
การเลือกตั้งซ่อมเขต 6 กทม. จึงต้องจับตาอย่ากะพริบว่า “ก่อแก้ว ก่อการร้ายเบอร์ 4” จะล่าฝัน “ประชาธิปไตย” ได้หรือไม่?
โฟกัสธุรกรรม "3บริษัทผี" ออกใบเสร็จรับเงินค่าจ้างทำของ นิติกรรมอำพราง "จุดสลบ"ในคำร้องยุบ ปชป.
" ... คณะกรรมการการเลือกตั้งพิเคราะห์แล้วเห็นว่า บริษัท เมซไซอะฯ ดำเนินกิจกรรมตามสัญญาจ้างเพียงบางรายการเป็นส่วนน้อย โดยส่วนใหญ่เป็นนิติกรรมอำพราง มีการประกอบการจริงประมาณ 42 ล้านบาท ... "
" ... คณะกรรมการการเลือกตั้งพิเคราะห์แล้วเห็นว่า บริษัท เมซไซอะฯ ดำเนินกิจกรรมตามสัญญาจ้างเพียงบางรายการเป็นส่วนน้อย โดยส่วนใหญ่เป็นนิติกรรมอำพราง มีการประกอบการจริงประมาณ 42 ล้านบาท ... "
---------------------------------
ที่มา : สรุปจากคำร้องของอัยการสูงสุดที่ยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญ เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคมที่ผ่านมา ในประเด็นที่ 3 บริษัท เมซไซอะ บิซิเนส แอนด์ ครีเอชั่น จำกัด ดำเนินกิจกรรมตามสัญญาจ้างทั้ง 8 โครงการจริงหรือไม่ หรือเป็นเพียงนิติกรรมอำพรางตามข้อกล่าวหา ในส่วนนี้ ระบุพฤติการณ์ที่บริษัทเมซไซอะฯให้ "บริษัทผี" 3 รายออกใบเสร็จรับเงินค่าจ้างทำของ ให้เพื่อนำไปประกอบการเสียภาษี
---------------------------------
นายประจวบ สังขาว ให้ถ้อยคำในประเด็นเกี่ยวข้องกับบริษัท พีทีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน) เนื่องจากเมื่อประมาณต้นปี 2547 ในช่วงนั้นได้รับงานทำป้ายหาเสียงเลือกตั้งนายก อบจ.สงขลาให้กับนายนวพล บุญญามณี น้องชายนายนิพนธ์ บุญญามณี ส.ส.สัดส่วน พรรคประชาธิปัตย์ และได้ติดตามเรียกเก็บเงินจากนายนิพนธ์ โดยนายนิพนธ์นัดที่โรงแรมเพรสซิเด้นท์ แยกราชประสงค์ เมื่อไปถึงได้พบนายนิพนธ์ นายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ นายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ ประธานกรรมการบริษัท ทีพีไอฯ ซึ่งไปร่วมประชุมเกี่ยวกับการหาเสียงเลือกตั้ง มีการแนะนำให้นายประจวบรู้จักนายประชัย หลังจากนั้นได้ติดต่อเข้า-ออกพรรคประชาธิปัตย์ จนได้รู้จักนายธงชัย คลศรีชัย (ลูกพี่ลูกน้องของนายประดิษฐ์) โดยเข้าใจว่านายธงชัยทำงานให้พรรคประชาธิปัตย์ในลักษณะแม่บ้านของพรรค หลังจากนั้นติดต่อกันเรื่อยมา
ต่อมานายธงชัยได้แจ้งให้ทราบว่าจะมีงานพิมพ์สื่อโฆษณาจากบริษัท ทีพีไอฯให้ทำ จนกระทั่งประมาณเดือนกรกฎาคม 2547 เลขานุการนายประชัยได้ติดต่อว่าจ้างบริษัท เมซไซอะฯทำป้ายโฆษณาสินค้า ในวงเงิน 10 ล้านบาท มีการทำสัญญาผลิตสื่อสิ่งพิมพ์ต่างๆหลายฉบับ จนกระทั่งประมาณปลายปี 2547 นายประจวบได้รับติดต่อจากนายธงชัยว่าบริษัท ทีพีไอฯจะทำสัญญาจ้างบริษัทเมซไซอะฯทำสื่อโฆษณาในวงเงินหลายสิบล้านบาท แต่วิธีการแตกต่างไปจากสัญญาจ้างที่ทำกับบริษัททีพีไอฯก่อนหน้านี้ โดยในสัญญานี้เป็นเพียงใช้ชื่อบริษัท เมซไซอะฯ เข้าทำสัญญาเพื่อรับเงินจากบริษัท ทีพีไอฯเท่านั้น ส่วนรายละเอียดของเนื้องานนั้น นายธงชัยจะรับไปดำเนินการและประสานกับบริษัท ทีพีไอฯเอง ให้นายประจวบมีหน้าที่เพียงนำเงินทั้งหมดส่งมอบให้กับนายธงชัย นายธงชัยได้แนะนำว่าให้สั่งจ่ายเงินตามเช็คแต่ละรายการไม่เกินรายละ 2 ล้านบาท เพื่อหลีกเลี่ยงการรายงานและตรวจสอบของธนาคารแห่งประเทศไทย และสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน
จากข้อมูลของกรมสรรพกร ภาษีซื้อที่บริษัท เมซไซอะฯยื่นชำระกับกรมสรรพากรในแต่ละเดือนตามแบบแสดงรายการภาษี ภ.พ.30 ที่บริษัท เมซไซอะฯแสดงข้อมูลไว้เพื่อสนับสนุนการประกอบธุรกิจ กรมสรรพากรยืนยันภาษีซื้อของบริษัท ชัยชวโรจน์ จำกัด บริษัท พีจีซี อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด และ หจก.สินวัฒนา เอเชีย เอนเตอร์ไพรส์ เป็นใบกำกับภาษีที่มิชอบและไม่มีการซื้อสินค้าหรือบริการระหว่างกันจริง
จากข้อมูลตารางทางการเงิน บริษัท ทีพีไอฯจ่ายเงินให้กับบริษัท เมซไซอะฯประมาณ 252 ล้านบาท จากหลักฐานทางระบบบัญชี บริษัท เมซไซอะฯได้รับเงินจากบริษัท ทีพีไอฯ และนำไปจ่ายให้กับบริษัท ชัยชวโรจน์ ,พีจีซี อินเตอร์เนชั่นแนล และ หจก.สินวัฒนา ประมาณ 90 ล้านบาท ซึ่งข้อมูลนี้ได้ปรากฏในแบบ ภ.ง.ด.53 ด้วยนั้น จากการตรวจสอบเส้นทางการเงินของบริษัท เมซไซอะฯ ไม่ปรากฏทั้งในรายงานฐานะทางการเงินและในระบบบัญชีของบริษัท เมซไซอะฯว่ามีการจ่ายเงินให้กับบริษัททั้ง 3 แต่อย่างใด จึงสอดคล้องกับคำให้การของเจ้าหน้าที่กรมสรรพากร ผู้ตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการประกอบการของทั้ง 3 บริษัท แล้วรายงานต่อกรมสรรพากรว่าบริษัททั้ง 3 ไม่มีการประกอบการจริง และกรมสรรพากรได้สั่งเพิกถอนการออกใบกำกับภาษี ทั้งนี้ หจก.สินวัฒนาถูกเพิกถอนการออกใบกำกับภาษี ตั้งแต่ ปี 2548
ส่วนข้อมูลด้านรายจ่ายของกิจการในปี พ.ศ. 2547 บริษัท เมซไซอะฯ ได้แสดงต้นทุนขายไว้ 146,820,335.09 บาท ตามรายการดังนี้
ค่าใช้จ่ายในการขายและให้บริการ 781,208.89 บาท โดยแสดงว่าเป็นการจ่ายค่าจ้างทำของให้กับ หจก.สินวัฒนาฯ ,บริษัท ชัยชวโรจน์ และบริษัทพีจีซีฯ จำนวนเงิน 82,278,419.95 บาท
ในปี 2548 เดือนมกราคม บริษัท เมซไซอะฯได้นำส่งภาษีหัก ณ ที่จ่าย (ภ.ง.ด.53) กรณีจ่ายค่าจ้างทำของให้บริษัทต่างๆ มูลค่ารวม 93,963,130 บาท รวม 9 บริษัท แต่จากข้อมูลผลการตรวจสอบการประกอบกิจการของผู้ประกอบการทั้ง 3 ราย ได้แก่ หจก.สินวัฒนาฯ (31,440,500 บาท) ,บริษัท ชัยชวโรจน์ (28,015,500 บาท) และบริษัทพีจีซีฯ (30,487,380บาท) ปรากฏข้อมูล ดังนี้
(1) หจก.สินวัฒนาฯถูกเพิกถอนทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มเมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2544 จากการตรวจสอบไม่พบการประกอบการ และเป็นผู้มีรายชื่อออกใบกำกับภาษีไม่ชอบด้วยกฎหมาย ประเด็นความผิดชัดเจน
(2) บริษัทพีจีซีฯถูกเพิกถอนทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2550 จากการตรวจสอบการประกอบการในปี 2547-2548 ไม่พบว่าได้ประกอบกิจการและปรากฏเป็นผู้มีรายชื่อผู้ออกใบกำกับภาษีไม่ชอบด้วยกฎหมาย ประเด็นความผิดชัดเจน
(3) บริษัท ชัยชวโรจน์ จำกัด ถูกเพิกถอนทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2551 จากการตรวจสอบการประกอบการในปี 2547-2548 ไม่พบการประกอบกิจการและปรากฏเป็นผู้มีรายชื่อผู้ออกใบกำกับภาษีไม่ชอบด้วยกฎหมาย ประเด็นความผิดชัดเจน
ข้อมูลการยื่นชำระภาษี
ปี 2543-2546 บริษัท เมซไซอะฯ ได้ยื่นบัญชีภาษีมูลค่าเพิ่มและภาษีเงินได้นิติบุคคลตามกำหนด
ปี 2547 บริษัท เมซไซอะฯ ได้นำส่งภาษีหัก ณ ที่จ่าย โดยนำชื่อบริษัทที่ไม่ได้ประกอบการมาเป็นชื่อผู้รับจ้างของบริษัท และได้ยื่นบัญชีภาษีมูลค่าเพิ่มและภาษีเงินได้นิติบุคคลแล้ว
ปี 2548 ในเดือนมกราคม บริษัท เมซไซอะฯ ได้ยื่นแบบ ภ.ง.ด. 53 เพื่อยื่นแบบนำส่งภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย จำนวน 2,810,793.90 บาท โดยใช้เช็คของบริษัทในการชำระภาษี แต่เช็คที่จ่ายชำระไม่สามารถขึ้นเงินได้ จึงยังเป็นภาษีอากรค้างชำระของบริษัท กรมสรรพากรได้เร่งรัดจัดเก็บตรวจพบว่าบริษัทได้ถูกธนาคารกสิกรไทยฟ้องล้มละลายต่อศาลล้มละลายกลาง ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดเมื่อวันที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2551 หลังจากนั้นบริษัทไม่ได้ยื่นภาษีมูลค่าเพิ่มแต่อย่างใด
จากข้อเท็จจริงในประเด็นที่ 3 บริษัท เมซไซอะฯดำเนินกิจกรรมตามสัญญาจ้างทั้ง 8 โครงการจริงหรือไม่ หรือเป็นเพียงการทำนิติกรรมอำพรางเพื่อโอนถ่ายหรือบริจาคเงินให้พรรคประชาธิปัตย์ตามข้อกล่าวหานั้น
เมื่อพิเคราะห์จากเส้นทางการเงินของบริษัท เมซไซอะฯ พบว่าตามที่บริษัท เมซไซอะฯ โอนเงินให้กับบุคคลในกลุ่มต่างๆ ซึ่งประกอบไปได้วย
(1) กลุ่มนายประจวบ สังขาว และเครือญาติ หรือกลุ่มบุคคลใกล้ชิดกับนายประจวบ สังขาว รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 155,617,800 บาท
(2) กลุ่มใกล้ชิดนายธงชัย คลศรีชัย หรือนายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 33,728,000 บาท
(3) กลุ่มบุคคลใกล้ชิดนายนิพนธ์ บุญญามณี รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 46,404,620 บาท
(4) กลุ่มบริษัทห้างร้านที่น่าเชื่อว่าทำธุรกรรมทางการค้าระหว่างกันจริง จำนวน 42,415,705 บาท
ซึ่งบุคคลต่างๆ ตามข้อ (1)-(3) ส่วนใหญ่ให้การสอดคล้องกันว่าเป็นการโอนเงินผ่านบัญชีไม่มีมูลหนี้ใดต่อกัน เมื่อเงินเข้าบัญชีแล้วจะถอนออกในวันรุ่งขึ้นหรือวันเดียวกัน แล้วนำเงินกลับมาให้นายธงชัย คลศรีชัย หรือนายประจวบ สังขาว แล้วแต่กรณี บางรายให้การว่าได้ค่าตอบแทนครั้งละ 500-600 บาท บางรายไม่ได้ค่าตอบแทน จากพยานหลักฐานเส้นทางการเงินดังกล่าวฟังได้ว่า บริษัท เมซไซอะฯประกอบการด้านการผลิตสื่อโฆษณาประชาสัมพันธ์จริงเพียงบางส่วน ประมาณ 42 ล้านบาท และจากเส้นทางการเงินประกอบจากคำให้การของผู้รับการโอนเงินหรือยินยอมให้ใช้บัญชีผ่านเงินจากนายประจวบ สังขาว ทั้งในส่วนของผู้ใกล้ชิดนายธงชัย คลศรีชัย
เมื่อรับเงินมาจากบริษัท ทีพีไอฯแล้ว นายประจวบไม่หักภาษีไว้ก่อนจ่ายเงินให้กับนายธงชัย คลศรีชัย เนื่องจากนายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ พูดกับนายธงชัย คลศรีชัย ต่อหน้านายประจวบ ว่ารับเงินมาแต่ละครั้งจำนวนเท่าใดให้นำเงินทั้งหมดมาก่อน แล้วจะหักเงินภาษีมาให้ในภายหลัง นายประจวบเชื่อใจเนื่องจากเป็นระดับเลขาธิการพรรคจึงตกลงปฏิบัติตามนั้น ที่นายประจวบรับงานกับบริษัท ทีพีไอฯจริงๆ ประมาณ 10 กว่าล้านบาท เป็นป้ายบิลบอร์ดในพื้นที่ภาคใต้ที่ จ.สุราษฎร์ธานี และหาดใหญ่ประมาณ
5 ล้านบาท ส่วนกรุงเทพ และปริมณฑล อีกประมาณ 5 ล้านบาท ส่วนเงินที่เหลือไม่ได้ทำงานจริง และได้นำไปให้ผู้บริหารพรรคประชาธิปัตย์ และใช้ผลิตป้ายฟิวเจอร์บอร์ดของผู้สมัครแต่ละเขต ซึ่งต้องผลิตให้ในจำนวน 250 ถึง 300 แผ่น ในราคาแผ่นละประมาณ 260 กว่าบาท เริ่มผลิตตั้งแต่ปลายเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2547 บริษัท เมซไซอะฯไม่ได้ทำสัญญากับพรรคประชาธิปัตย์ เนื่องจากเงินที่ใช้ทำป้ายใช้เงินจากยอดที่บริษัท ทีพีไอฯโอนเข้ามาในบัญชีบริษัท เมซไซอะฯ และเมื่อต้องใช้จ่ายอย่างไร จำนวนเท่าไร เพียงแค่บอกกับนายธงชัย ต่อมาเกิดปัญหาเนื่องจากยอดเงินที่ได้รับมาจากบริษัท พีทีไอฯไม่มีหลักฐานการใช้จ่ายเงิน (ใบเสร็จ) โดยเฉพาะภาษีมูลค่าเพิ่มซึ่งต้องชำระทุกเดือน จึงได้ปรึกษากับนายธงชัย ซึ่งได้รับคำแนะนำ และร่วมกันจัดหาใบกำกับภาษีของบริษัท ชัยชวโรจน์ จำกัด, บริษัท พีจีซีฯ และ หจก.สินวัฒนาฯ มาเป็นหลักฐานแสดงต่อกรมสรรพากร โดยคิดค่าใช้จ่ายในอัตรา 4.5% และหักภาษี ณ ที่จ่ายอีก 3%
จากกรณีข้างต้น ประกอบกับข้อมูลทางภาษีของบริษัททั้ง 3 ซึ่งเป็นบริษัทที่กรมสรรพากร และเจ้าหน้าที่กรมสรรพากร6 รายให้การยืนยันว่า ทั้ง 3 บริษัทไม่ประกอบการจริง สอดคล้องกับคำให้การของนายธงชัยที่ให้การว่ารับจ้างงานช่วงจากนายประจวบ ในโครงการจ้างที่ปรึกษาประชาสัมพันธ์งานของบริษัท ทีพีไอฯ โครงการที่ 8 วงเงินตามสัญญาโครงการนี้ 66,875,000 บาท โดยนายธงชัยให้การว่าในการรับจ้างงานช่วงจากนายประจวบไม่มีการทำสัญญาไว้ต่อกัน รับเงินล่วงหน้ามา 20,000,000 บาท ต่อมาทำงานบางส่วนแต่ยังไม่แล้วเสร็จ ทะเลาะกับนายประจวบ สังขาว จึงไม่ได้ส่งมอบงานต่อและไม่ได้คืนเงินให้กับนายประจวบแต่อย่างใด แสดงให้เห็นว่าในโครงการนี้ไม่มีการทำงานจริง ทำให้คำให้การของนายประจวบมีน้ำหนักเพิ่มมากขึ้น
จากคำให้การของนายประจวบ และพยานที่เกี่ยวข้อง ประกอบกับจากเส้นทางการเงินการชำระภาษี และระบบบัญชีของบริษัท เมซไซอะฯ ซึ่งคณะกรรมการการเลือกตั้งพิเคราะห์แล้วเห็นว่า บริษัท เมซไซอะฯ ดำเนินกิจกรรมตามสัญญาจ้างเพียงบางรายการเป็นส่วนน้อย โดยส่วนใหญ่เป็นนิติกรรมอำพราง มีการประกอบการจริงประมาณ 42 ล้านบาท ซึ่งในการประกอบการจริงนี้แบ่งเป็น 2 ส่วนดังนี้
1.จัดทำสื่อโฆษณาประชาสัมพันธ์ให้บริษัท ทีพีไอฯประมาณ 10 กว่าล้านบาท ดำเนินการประมาณเดือนกรกฎาคม 2547
2.ส่วนที่เหลือน่าเชื่อได้ว่าเป็นการจัดทำป้ายหาเสียงให้กับพรรคประชาธิปัตย์
ที่มา.มติชนออนไลน์
------------------------
" ... คณะกรรมการการเลือกตั้งพิเคราะห์แล้วเห็นว่า บริษัท เมซไซอะฯ ดำเนินกิจกรรมตามสัญญาจ้างเพียงบางรายการเป็นส่วนน้อย โดยส่วนใหญ่เป็นนิติกรรมอำพราง มีการประกอบการจริงประมาณ 42 ล้านบาท ... "
---------------------------------
ที่มา : สรุปจากคำร้องของอัยการสูงสุดที่ยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญ เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคมที่ผ่านมา ในประเด็นที่ 3 บริษัท เมซไซอะ บิซิเนส แอนด์ ครีเอชั่น จำกัด ดำเนินกิจกรรมตามสัญญาจ้างทั้ง 8 โครงการจริงหรือไม่ หรือเป็นเพียงนิติกรรมอำพรางตามข้อกล่าวหา ในส่วนนี้ ระบุพฤติการณ์ที่บริษัทเมซไซอะฯให้ "บริษัทผี" 3 รายออกใบเสร็จรับเงินค่าจ้างทำของ ให้เพื่อนำไปประกอบการเสียภาษี
---------------------------------
นายประจวบ สังขาว ให้ถ้อยคำในประเด็นเกี่ยวข้องกับบริษัท พีทีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน) เนื่องจากเมื่อประมาณต้นปี 2547 ในช่วงนั้นได้รับงานทำป้ายหาเสียงเลือกตั้งนายก อบจ.สงขลาให้กับนายนวพล บุญญามณี น้องชายนายนิพนธ์ บุญญามณี ส.ส.สัดส่วน พรรคประชาธิปัตย์ และได้ติดตามเรียกเก็บเงินจากนายนิพนธ์ โดยนายนิพนธ์นัดที่โรงแรมเพรสซิเด้นท์ แยกราชประสงค์ เมื่อไปถึงได้พบนายนิพนธ์ นายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ นายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ ประธานกรรมการบริษัท ทีพีไอฯ ซึ่งไปร่วมประชุมเกี่ยวกับการหาเสียงเลือกตั้ง มีการแนะนำให้นายประจวบรู้จักนายประชัย หลังจากนั้นได้ติดต่อเข้า-ออกพรรคประชาธิปัตย์ จนได้รู้จักนายธงชัย คลศรีชัย (ลูกพี่ลูกน้องของนายประดิษฐ์) โดยเข้าใจว่านายธงชัยทำงานให้พรรคประชาธิปัตย์ในลักษณะแม่บ้านของพรรค หลังจากนั้นติดต่อกันเรื่อยมา
ต่อมานายธงชัยได้แจ้งให้ทราบว่าจะมีงานพิมพ์สื่อโฆษณาจากบริษัท ทีพีไอฯให้ทำ จนกระทั่งประมาณเดือนกรกฎาคม 2547 เลขานุการนายประชัยได้ติดต่อว่าจ้างบริษัท เมซไซอะฯทำป้ายโฆษณาสินค้า ในวงเงิน 10 ล้านบาท มีการทำสัญญาผลิตสื่อสิ่งพิมพ์ต่างๆหลายฉบับ จนกระทั่งประมาณปลายปี 2547 นายประจวบได้รับติดต่อจากนายธงชัยว่าบริษัท ทีพีไอฯจะทำสัญญาจ้างบริษัทเมซไซอะฯทำสื่อโฆษณาในวงเงินหลายสิบล้านบาท แต่วิธีการแตกต่างไปจากสัญญาจ้างที่ทำกับบริษัททีพีไอฯก่อนหน้านี้ โดยในสัญญานี้เป็นเพียงใช้ชื่อบริษัท เมซไซอะฯ เข้าทำสัญญาเพื่อรับเงินจากบริษัท ทีพีไอฯเท่านั้น ส่วนรายละเอียดของเนื้องานนั้น นายธงชัยจะรับไปดำเนินการและประสานกับบริษัท ทีพีไอฯเอง ให้นายประจวบมีหน้าที่เพียงนำเงินทั้งหมดส่งมอบให้กับนายธงชัย นายธงชัยได้แนะนำว่าให้สั่งจ่ายเงินตามเช็คแต่ละรายการไม่เกินรายละ 2 ล้านบาท เพื่อหลีกเลี่ยงการรายงานและตรวจสอบของธนาคารแห่งประเทศไทย และสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน
จากข้อมูลของกรมสรรพกร ภาษีซื้อที่บริษัท เมซไซอะฯยื่นชำระกับกรมสรรพากรในแต่ละเดือนตามแบบแสดงรายการภาษี ภ.พ.30 ที่บริษัท เมซไซอะฯแสดงข้อมูลไว้เพื่อสนับสนุนการประกอบธุรกิจ กรมสรรพากรยืนยันภาษีซื้อของบริษัท ชัยชวโรจน์ จำกัด บริษัท พีจีซี อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด และ หจก.สินวัฒนา เอเชีย เอนเตอร์ไพรส์ เป็นใบกำกับภาษีที่มิชอบและไม่มีการซื้อสินค้าหรือบริการระหว่างกันจริง
จากข้อมูลตารางทางการเงิน บริษัท ทีพีไอฯจ่ายเงินให้กับบริษัท เมซไซอะฯประมาณ 252 ล้านบาท จากหลักฐานทางระบบบัญชี บริษัท เมซไซอะฯได้รับเงินจากบริษัท ทีพีไอฯ และนำไปจ่ายให้กับบริษัท ชัยชวโรจน์ ,พีจีซี อินเตอร์เนชั่นแนล และ หจก.สินวัฒนา ประมาณ 90 ล้านบาท ซึ่งข้อมูลนี้ได้ปรากฏในแบบ ภ.ง.ด.53 ด้วยนั้น จากการตรวจสอบเส้นทางการเงินของบริษัท เมซไซอะฯ ไม่ปรากฏทั้งในรายงานฐานะทางการเงินและในระบบบัญชีของบริษัท เมซไซอะฯว่ามีการจ่ายเงินให้กับบริษัททั้ง 3 แต่อย่างใด จึงสอดคล้องกับคำให้การของเจ้าหน้าที่กรมสรรพากร ผู้ตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการประกอบการของทั้ง 3 บริษัท แล้วรายงานต่อกรมสรรพากรว่าบริษัททั้ง 3 ไม่มีการประกอบการจริง และกรมสรรพากรได้สั่งเพิกถอนการออกใบกำกับภาษี ทั้งนี้ หจก.สินวัฒนาถูกเพิกถอนการออกใบกำกับภาษี ตั้งแต่ ปี 2548
ส่วนข้อมูลด้านรายจ่ายของกิจการในปี พ.ศ. 2547 บริษัท เมซไซอะฯ ได้แสดงต้นทุนขายไว้ 146,820,335.09 บาท ตามรายการดังนี้
ค่าใช้จ่ายในการขายและให้บริการ 781,208.89 บาท โดยแสดงว่าเป็นการจ่ายค่าจ้างทำของให้กับ หจก.สินวัฒนาฯ ,บริษัท ชัยชวโรจน์ และบริษัทพีจีซีฯ จำนวนเงิน 82,278,419.95 บาท
ในปี 2548 เดือนมกราคม บริษัท เมซไซอะฯได้นำส่งภาษีหัก ณ ที่จ่าย (ภ.ง.ด.53) กรณีจ่ายค่าจ้างทำของให้บริษัทต่างๆ มูลค่ารวม 93,963,130 บาท รวม 9 บริษัท แต่จากข้อมูลผลการตรวจสอบการประกอบกิจการของผู้ประกอบการทั้ง 3 ราย ได้แก่ หจก.สินวัฒนาฯ (31,440,500 บาท) ,บริษัท ชัยชวโรจน์ (28,015,500 บาท) และบริษัทพีจีซีฯ (30,487,380บาท) ปรากฏข้อมูล ดังนี้
(1) หจก.สินวัฒนาฯถูกเพิกถอนทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มเมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2544 จากการตรวจสอบไม่พบการประกอบการ และเป็นผู้มีรายชื่อออกใบกำกับภาษีไม่ชอบด้วยกฎหมาย ประเด็นความผิดชัดเจน
(2) บริษัทพีจีซีฯถูกเพิกถอนทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2550 จากการตรวจสอบการประกอบการในปี 2547-2548 ไม่พบว่าได้ประกอบกิจการและปรากฏเป็นผู้มีรายชื่อผู้ออกใบกำกับภาษีไม่ชอบด้วยกฎหมาย ประเด็นความผิดชัดเจน
(3) บริษัท ชัยชวโรจน์ จำกัด ถูกเพิกถอนทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2551 จากการตรวจสอบการประกอบการในปี 2547-2548 ไม่พบการประกอบกิจการและปรากฏเป็นผู้มีรายชื่อผู้ออกใบกำกับภาษีไม่ชอบด้วยกฎหมาย ประเด็นความผิดชัดเจน
ข้อมูลการยื่นชำระภาษี
ปี 2543-2546 บริษัท เมซไซอะฯ ได้ยื่นบัญชีภาษีมูลค่าเพิ่มและภาษีเงินได้นิติบุคคลตามกำหนด
ปี 2547 บริษัท เมซไซอะฯ ได้นำส่งภาษีหัก ณ ที่จ่าย โดยนำชื่อบริษัทที่ไม่ได้ประกอบการมาเป็นชื่อผู้รับจ้างของบริษัท และได้ยื่นบัญชีภาษีมูลค่าเพิ่มและภาษีเงินได้นิติบุคคลแล้ว
ปี 2548 ในเดือนมกราคม บริษัท เมซไซอะฯ ได้ยื่นแบบ ภ.ง.ด. 53 เพื่อยื่นแบบนำส่งภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย จำนวน 2,810,793.90 บาท โดยใช้เช็คของบริษัทในการชำระภาษี แต่เช็คที่จ่ายชำระไม่สามารถขึ้นเงินได้ จึงยังเป็นภาษีอากรค้างชำระของบริษัท กรมสรรพากรได้เร่งรัดจัดเก็บตรวจพบว่าบริษัทได้ถูกธนาคารกสิกรไทยฟ้องล้มละลายต่อศาลล้มละลายกลาง ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดเมื่อวันที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2551 หลังจากนั้นบริษัทไม่ได้ยื่นภาษีมูลค่าเพิ่มแต่อย่างใด
จากข้อเท็จจริงในประเด็นที่ 3 บริษัท เมซไซอะฯดำเนินกิจกรรมตามสัญญาจ้างทั้ง 8 โครงการจริงหรือไม่ หรือเป็นเพียงการทำนิติกรรมอำพรางเพื่อโอนถ่ายหรือบริจาคเงินให้พรรคประชาธิปัตย์ตามข้อกล่าวหานั้น
เมื่อพิเคราะห์จากเส้นทางการเงินของบริษัท เมซไซอะฯ พบว่าตามที่บริษัท เมซไซอะฯ โอนเงินให้กับบุคคลในกลุ่มต่างๆ ซึ่งประกอบไปได้วย
(1) กลุ่มนายประจวบ สังขาว และเครือญาติ หรือกลุ่มบุคคลใกล้ชิดกับนายประจวบ สังขาว รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 155,617,800 บาท
(2) กลุ่มใกล้ชิดนายธงชัย คลศรีชัย หรือนายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 33,728,000 บาท
(3) กลุ่มบุคคลใกล้ชิดนายนิพนธ์ บุญญามณี รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 46,404,620 บาท
(4) กลุ่มบริษัทห้างร้านที่น่าเชื่อว่าทำธุรกรรมทางการค้าระหว่างกันจริง จำนวน 42,415,705 บาท
ซึ่งบุคคลต่างๆ ตามข้อ (1)-(3) ส่วนใหญ่ให้การสอดคล้องกันว่าเป็นการโอนเงินผ่านบัญชีไม่มีมูลหนี้ใดต่อกัน เมื่อเงินเข้าบัญชีแล้วจะถอนออกในวันรุ่งขึ้นหรือวันเดียวกัน แล้วนำเงินกลับมาให้นายธงชัย คลศรีชัย หรือนายประจวบ สังขาว แล้วแต่กรณี บางรายให้การว่าได้ค่าตอบแทนครั้งละ 500-600 บาท บางรายไม่ได้ค่าตอบแทน จากพยานหลักฐานเส้นทางการเงินดังกล่าวฟังได้ว่า บริษัท เมซไซอะฯประกอบการด้านการผลิตสื่อโฆษณาประชาสัมพันธ์จริงเพียงบางส่วน ประมาณ 42 ล้านบาท และจากเส้นทางการเงินประกอบจากคำให้การของผู้รับการโอนเงินหรือยินยอมให้ใช้บัญชีผ่านเงินจากนายประจวบ สังขาว ทั้งในส่วนของผู้ใกล้ชิดนายธงชัย คลศรีชัย
เมื่อรับเงินมาจากบริษัท ทีพีไอฯแล้ว นายประจวบไม่หักภาษีไว้ก่อนจ่ายเงินให้กับนายธงชัย คลศรีชัย เนื่องจากนายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ พูดกับนายธงชัย คลศรีชัย ต่อหน้านายประจวบ ว่ารับเงินมาแต่ละครั้งจำนวนเท่าใดให้นำเงินทั้งหมดมาก่อน แล้วจะหักเงินภาษีมาให้ในภายหลัง นายประจวบเชื่อใจเนื่องจากเป็นระดับเลขาธิการพรรคจึงตกลงปฏิบัติตามนั้น ที่นายประจวบรับงานกับบริษัท ทีพีไอฯจริงๆ ประมาณ 10 กว่าล้านบาท เป็นป้ายบิลบอร์ดในพื้นที่ภาคใต้ที่ จ.สุราษฎร์ธานี และหาดใหญ่ประมาณ
5 ล้านบาท ส่วนกรุงเทพ และปริมณฑล อีกประมาณ 5 ล้านบาท ส่วนเงินที่เหลือไม่ได้ทำงานจริง และได้นำไปให้ผู้บริหารพรรคประชาธิปัตย์ และใช้ผลิตป้ายฟิวเจอร์บอร์ดของผู้สมัครแต่ละเขต ซึ่งต้องผลิตให้ในจำนวน 250 ถึง 300 แผ่น ในราคาแผ่นละประมาณ 260 กว่าบาท เริ่มผลิตตั้งแต่ปลายเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2547 บริษัท เมซไซอะฯไม่ได้ทำสัญญากับพรรคประชาธิปัตย์ เนื่องจากเงินที่ใช้ทำป้ายใช้เงินจากยอดที่บริษัท ทีพีไอฯโอนเข้ามาในบัญชีบริษัท เมซไซอะฯ และเมื่อต้องใช้จ่ายอย่างไร จำนวนเท่าไร เพียงแค่บอกกับนายธงชัย ต่อมาเกิดปัญหาเนื่องจากยอดเงินที่ได้รับมาจากบริษัท พีทีไอฯไม่มีหลักฐานการใช้จ่ายเงิน (ใบเสร็จ) โดยเฉพาะภาษีมูลค่าเพิ่มซึ่งต้องชำระทุกเดือน จึงได้ปรึกษากับนายธงชัย ซึ่งได้รับคำแนะนำ และร่วมกันจัดหาใบกำกับภาษีของบริษัท ชัยชวโรจน์ จำกัด, บริษัท พีจีซีฯ และ หจก.สินวัฒนาฯ มาเป็นหลักฐานแสดงต่อกรมสรรพากร โดยคิดค่าใช้จ่ายในอัตรา 4.5% และหักภาษี ณ ที่จ่ายอีก 3%
จากกรณีข้างต้น ประกอบกับข้อมูลทางภาษีของบริษัททั้ง 3 ซึ่งเป็นบริษัทที่กรมสรรพากร และเจ้าหน้าที่กรมสรรพากร6 รายให้การยืนยันว่า ทั้ง 3 บริษัทไม่ประกอบการจริง สอดคล้องกับคำให้การของนายธงชัยที่ให้การว่ารับจ้างงานช่วงจากนายประจวบ ในโครงการจ้างที่ปรึกษาประชาสัมพันธ์งานของบริษัท ทีพีไอฯ โครงการที่ 8 วงเงินตามสัญญาโครงการนี้ 66,875,000 บาท โดยนายธงชัยให้การว่าในการรับจ้างงานช่วงจากนายประจวบไม่มีการทำสัญญาไว้ต่อกัน รับเงินล่วงหน้ามา 20,000,000 บาท ต่อมาทำงานบางส่วนแต่ยังไม่แล้วเสร็จ ทะเลาะกับนายประจวบ สังขาว จึงไม่ได้ส่งมอบงานต่อและไม่ได้คืนเงินให้กับนายประจวบแต่อย่างใด แสดงให้เห็นว่าในโครงการนี้ไม่มีการทำงานจริง ทำให้คำให้การของนายประจวบมีน้ำหนักเพิ่มมากขึ้น
จากคำให้การของนายประจวบ และพยานที่เกี่ยวข้อง ประกอบกับจากเส้นทางการเงินการชำระภาษี และระบบบัญชีของบริษัท เมซไซอะฯ ซึ่งคณะกรรมการการเลือกตั้งพิเคราะห์แล้วเห็นว่า บริษัท เมซไซอะฯ ดำเนินกิจกรรมตามสัญญาจ้างเพียงบางรายการเป็นส่วนน้อย โดยส่วนใหญ่เป็นนิติกรรมอำพราง มีการประกอบการจริงประมาณ 42 ล้านบาท ซึ่งในการประกอบการจริงนี้แบ่งเป็น 2 ส่วนดังนี้
1.จัดทำสื่อโฆษณาประชาสัมพันธ์ให้บริษัท ทีพีไอฯประมาณ 10 กว่าล้านบาท ดำเนินการประมาณเดือนกรกฎาคม 2547
2.ส่วนที่เหลือน่าเชื่อได้ว่าเป็นการจัดทำป้ายหาเสียงให้กับพรรคประชาธิปัตย์
ที่มา.มติชนออนไลน์
------------------------
วันพฤหัสบดีที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2553
คาร์ฟูร์เจ๋งกว่าเสื้อแดง
นานกว่า 3 ปีที่กลุ่มคนเสื้อแดงออกมาประท้วงขอความเป็นธรรมจากรัฐบาล แต่สุดท้ายก็ต้องกลายเป็นผู้ก่อการร้ายไปโดยปริยาย รัฐบาลปฏิบัติต่อกลุ่มคนที่มีความเห็นขัดแย้งราวกับว่าไม่ใช่คนประเทศเดียวกัน
สรุปก็คือ แม้ว่าขบวนการเสื้อแดงจะมีแนวร่วมทั่วแผ่นดิน แต่ข้อเรียกร้องพื้นๆ ให้รัฐบาลยุบสภายังทำไม่ได้ เพราะฉะนั้นจะไปหวังข้อเรียกร้องอื่นใดให้ขื่นขมยิ่งขึ้นไปอีก ยังไงเสียรัฐบาลเขาก็ไม่ใจอ่อน
แต่พลันที่มีข่าวว่าห้างค้าปลีกยักษ์ใหญ่ “คาร์ฟูร์” จะย้ายฐานจากเมืองไทยไปเปิดบริการในเมืองจีนแทน นั่นต่างหากทำให้รัฐบาลเต้นเป็นเจ้าเข้า
แม้นายกรัฐมนตรีจะออกมาปฏิเสธว่าไม่กระทบกับอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ แต่ลึกๆ ก็ต้องหวั่นไหวไม่มากก็น้อย
ความชัดเจนของคาร์ฟูร์จะย้ายหรือไม่เป็นเรื่องที่ยังต้องติดตาม ถ้าย้าย..ย้ายเพราะอะไร เพราะการเมืองแน่หรือ?
หรือเพราะร่างพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจค้าปลีก-ค้าส่ง พ.ศ........ที่อืดเป็นเรือเกลือ ดองเค็มมานานหลายปี และหลายฝ่ายตั้งความหวังว่ารัฐบาลชุดนี้จะสามารถนำเข้าสภาประกาศใช้ได้เสียที
ซึ่งสาระสำคัญของกฎหมายก็ไม่มีอะไรมาก เป็นการควบคุมการขยายสาขาของโมเดิร์นเทรดไม่ให้ส่งผลกระทบต่อธุรกิจโชว์ห่วยเท่านั้นเอง
คือถ้าเข้าข่ายว่าเป็นโมเดิร์นเทรดก็ให้ออกไปตั้งนอกเมือง หรือห่างจากชุมชนอย่างน้อย 15 กิโลเมตร โมเดิร์นเทรดทั้งหลายก็เลยโวย ไปตั้งไกลขนาดนั้น ใครจะไปเดิน ขอลดลงเหลือห่างสัก 3 กิโลเมตรจะได้ไหม?
ร่างพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจค้าปลีก-ค้าส่ง พ.ศ........ที่เคยมีร่างเดียวของกระทรวงพาณิชย์ก็เลยมีร่างที่ 2 ของผู้แทนการค้าออกมาเป็นตัวเลือก ทำให้ล่าช้าคาราคาซังออกไปอีก
เพราะฉะนั้นถ้าข่าวการย้ายฐานของคาร์ฟูร์ทำให้กฎหมายค้าปลีกต้องเลื่อนการพิจารณาออกไป หรือ รัฐบาลให้มีการเปลี่ยนแปลงแก้ไขในสาระบางประเด็นได้ก็ต้องบอกว่า
คาร์ฟูร์..นายแน่มาก!!!
ทีมา.บางกอกทูเดย์
สรุปก็คือ แม้ว่าขบวนการเสื้อแดงจะมีแนวร่วมทั่วแผ่นดิน แต่ข้อเรียกร้องพื้นๆ ให้รัฐบาลยุบสภายังทำไม่ได้ เพราะฉะนั้นจะไปหวังข้อเรียกร้องอื่นใดให้ขื่นขมยิ่งขึ้นไปอีก ยังไงเสียรัฐบาลเขาก็ไม่ใจอ่อน
แต่พลันที่มีข่าวว่าห้างค้าปลีกยักษ์ใหญ่ “คาร์ฟูร์” จะย้ายฐานจากเมืองไทยไปเปิดบริการในเมืองจีนแทน นั่นต่างหากทำให้รัฐบาลเต้นเป็นเจ้าเข้า
แม้นายกรัฐมนตรีจะออกมาปฏิเสธว่าไม่กระทบกับอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ แต่ลึกๆ ก็ต้องหวั่นไหวไม่มากก็น้อย
ความชัดเจนของคาร์ฟูร์จะย้ายหรือไม่เป็นเรื่องที่ยังต้องติดตาม ถ้าย้าย..ย้ายเพราะอะไร เพราะการเมืองแน่หรือ?
หรือเพราะร่างพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจค้าปลีก-ค้าส่ง พ.ศ........ที่อืดเป็นเรือเกลือ ดองเค็มมานานหลายปี และหลายฝ่ายตั้งความหวังว่ารัฐบาลชุดนี้จะสามารถนำเข้าสภาประกาศใช้ได้เสียที
ซึ่งสาระสำคัญของกฎหมายก็ไม่มีอะไรมาก เป็นการควบคุมการขยายสาขาของโมเดิร์นเทรดไม่ให้ส่งผลกระทบต่อธุรกิจโชว์ห่วยเท่านั้นเอง
คือถ้าเข้าข่ายว่าเป็นโมเดิร์นเทรดก็ให้ออกไปตั้งนอกเมือง หรือห่างจากชุมชนอย่างน้อย 15 กิโลเมตร โมเดิร์นเทรดทั้งหลายก็เลยโวย ไปตั้งไกลขนาดนั้น ใครจะไปเดิน ขอลดลงเหลือห่างสัก 3 กิโลเมตรจะได้ไหม?
ร่างพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจค้าปลีก-ค้าส่ง พ.ศ........ที่เคยมีร่างเดียวของกระทรวงพาณิชย์ก็เลยมีร่างที่ 2 ของผู้แทนการค้าออกมาเป็นตัวเลือก ทำให้ล่าช้าคาราคาซังออกไปอีก
เพราะฉะนั้นถ้าข่าวการย้ายฐานของคาร์ฟูร์ทำให้กฎหมายค้าปลีกต้องเลื่อนการพิจารณาออกไป หรือ รัฐบาลให้มีการเปลี่ยนแปลงแก้ไขในสาระบางประเด็นได้ก็ต้องบอกว่า
คาร์ฟูร์..นายแน่มาก!!!
ทีมา.บางกอกทูเดย์
'อีกา' คาบข่าว!!
อีกา....ชื่อนี้ฟังดูแล้วไม่น่าจะสนใจเท่าไหร่ แต่อย่าลืมว่าอีกาก็เคยมี “คุณประโยชน์” เหมือนกัน เริ่มตั้งแต่สมัยแผ่นดินรัชกาลที่ 1 ที่พระสงฆ์มารับบาตรตอน 7 โมงเช้า โดยทรงโปรดฯให้วันธรรมดานิมนต์พระสงฆ์ 100 รูป ส่วนวันพระนิมนต์ 150 รูป ซึ่งตอนนั้นเริ่มมีอีกามาบินรบกวนพระสงฆ์บ้างแล้ว
ครั้นสมัยแผ่นดินรัชกาลที่ 2 มีเหตุสำคัญจึงต้องเปลี่ยนเวลาเสด็จลงมาทรงบาตรจาก 7 โมงมาเป็น 9 โมงเช้า เนื่องด้วยอีกานี่แหละเป็นเหตุ เมื่อมีใครบางคนโยนก้อนกระดาษเข้ามา แต่อีกานึกว่าเป็นก้อนข้าวสุกจึงคาบไป แล้วไปทิ้งเอาไว้หน้าพระที่นั่ง
ความจึงแตกว่า...มีผู้คิดก่อการกบฏ ทรงรับสั่งให้ปราบเสียให้สิ้น...นี่จึงเป็นที่มาของสำนวน “กาบอกข่าว” หรือ “อีกาคาบข่าว” ด้วยเหตุนี้อีกเช่นกันทำให้ทรงโปรดฯหุงข้าวสุกเลี้ยงอีกาวันละสามกะทะทุกวัน
ในช่วงแผ่นดินรัชกาลที่ 3 ขุนนางพ่อค้า นิยมทูลเกล้าถวายลูกชายอายุไม่เกิน 15 ปี เข้ามารับใช้สนองงานวัง โปรดฯให้ไปทำหน้าที่ไล่กา จึงเป็นที่มาของชื่อ “มหาดเล็กไล่กา”
จะว่าไปแล้วอีกาก็ทำคุณประโยชน์แก่บ้านเมืองมิใช่น้อย โดยเฉพาะเรื่องการคาบข่าว แต่วันนี้จะหากาดีๆสักตัวก็ไม่ปรากฏ กาบางตัวอยู่ใกล้ผู้ที่มีอำนาจวาสนาฝ่ายบริหาร แต่ไม่มีนิสัยคาบข่าว กลับมีนิสัยเต้าข่าวเพื่อหวังผลตีกินพื้นที่ข่าวและมวลชน
มีการแอบฝึกกองกำลัง...ที่นั่นที่นี่...
สารพัดที่จะสร้างข่าว..สร้างกระแส เป็นอีกาเต้าข่าวอย่างนี้ ในแวดวงการเมืองเขาบอกว่า...ย่อมยืนระยะอยู่ได้ แต่ว่าอยู่ได้ไม่นาน...เพราะการปล่อยของปล่อยข่าวที่ไม่ดูระยะว่า “รุ่นใหญ่ขาเก๋า” กำลังเดินเกมอะไรกันอยู่...การออกมาพูดจาอย่างนี้นอกจากทำให้ตัวเองหมดซึ่งความศักดิ์สิทธิ์แล้ว ยังเป็นการล้ำหน้าล้ำตาของผู้ใหญ่ในพรรคอีกด้วย
วันนี้..โลกแห่งการสื่อสารมวลชนได้พัฒนาไปไกลมาก ทุกอย่างสื่อสารผ่านปลายนิ้วมือเท่านั้น แต่ไม่น่าเชื่อวิธีการเก่าๆของเดิมๆมุกเน่าๆ คนที่มีตำแหน่งเป็นดาวพุธประจำตัวผู้นำฝ่ายบริหารยังอหังกา ชักออกมาใช้อีก
เมื่อมีการตรวจสอบในหลายๆพื้นที่แล้วปรากฏว่า..ไม่มีอะไรในก่อไผ่ แล้วอย่างนี้ใครเสีย ต้องลองไปคิดและพิจารณากันให้จงหนัก หากเป็นไปได้ก็ขอฝากไปยัง รมต.ประจำสำนักนายกฯ “องอาจ คล้ามไพบูลย์” ว่า...ก่อนที่จะคิดปฏิรูปสื่ออะไรก็ตาม ช่วยปฏิรูปดาวพุธที่ขึ้นอยู่ข้างๆกาย นายกฯอภิสิทธิ์ สักครั้งเถอะ
เพราะดูเหมือนว่า...จะเล่นเพลินพูดเพลินเกินบทที่ผู้ใหญ่เขาจะอุ้มชู...หรือว่าจะคิดเทียบชั้นกับรองฯสุเทพ เพียงแค่ได้ออกหน้าจอจ้อฟรีๆอยู่ทุกวันนี้สื่อเขาก็เริ่มรู้สึกอะไรบางอย่างจนอยากจะเริ่มเมินหันหน้าหนีกันอยู่แล้ว
แต่อย่างว่า...นักการเมืองไทย “จุดเดือดต่ำ” ใครเอาขี้มาปาก็ไม่โกธร ขุดโคตรก็ไม่แคร์ และนิยมพูดในสิ่งที่ไม่ได้ทำ และทำในสิ่งที่ไม่ได้พูด ไม่มีมิตรแท้ไม่มีศัตรูถาวร
หากจะเอาคนที่เต้าข่าวไปเทียบกับอีกา คงเทียบกันได้ไม่ติด เพราะว่าอย่างน้อยอีกาก็ยังทำคุณประโยชน์ให้แก่แผ่นดินอย่างใหญ่หลวง
โลกนี้หากไม่มีอีกาคาบข่าวก็คงจะพิลึก ... แต่หากคาบเอาแต่ “การเต้าข่าว” มามันก็แค่นั้น!
ที่มา.บางกอกทูเดย์
ครั้นสมัยแผ่นดินรัชกาลที่ 2 มีเหตุสำคัญจึงต้องเปลี่ยนเวลาเสด็จลงมาทรงบาตรจาก 7 โมงมาเป็น 9 โมงเช้า เนื่องด้วยอีกานี่แหละเป็นเหตุ เมื่อมีใครบางคนโยนก้อนกระดาษเข้ามา แต่อีกานึกว่าเป็นก้อนข้าวสุกจึงคาบไป แล้วไปทิ้งเอาไว้หน้าพระที่นั่ง
ความจึงแตกว่า...มีผู้คิดก่อการกบฏ ทรงรับสั่งให้ปราบเสียให้สิ้น...นี่จึงเป็นที่มาของสำนวน “กาบอกข่าว” หรือ “อีกาคาบข่าว” ด้วยเหตุนี้อีกเช่นกันทำให้ทรงโปรดฯหุงข้าวสุกเลี้ยงอีกาวันละสามกะทะทุกวัน
ในช่วงแผ่นดินรัชกาลที่ 3 ขุนนางพ่อค้า นิยมทูลเกล้าถวายลูกชายอายุไม่เกิน 15 ปี เข้ามารับใช้สนองงานวัง โปรดฯให้ไปทำหน้าที่ไล่กา จึงเป็นที่มาของชื่อ “มหาดเล็กไล่กา”
จะว่าไปแล้วอีกาก็ทำคุณประโยชน์แก่บ้านเมืองมิใช่น้อย โดยเฉพาะเรื่องการคาบข่าว แต่วันนี้จะหากาดีๆสักตัวก็ไม่ปรากฏ กาบางตัวอยู่ใกล้ผู้ที่มีอำนาจวาสนาฝ่ายบริหาร แต่ไม่มีนิสัยคาบข่าว กลับมีนิสัยเต้าข่าวเพื่อหวังผลตีกินพื้นที่ข่าวและมวลชน
มีการแอบฝึกกองกำลัง...ที่นั่นที่นี่...
สารพัดที่จะสร้างข่าว..สร้างกระแส เป็นอีกาเต้าข่าวอย่างนี้ ในแวดวงการเมืองเขาบอกว่า...ย่อมยืนระยะอยู่ได้ แต่ว่าอยู่ได้ไม่นาน...เพราะการปล่อยของปล่อยข่าวที่ไม่ดูระยะว่า “รุ่นใหญ่ขาเก๋า” กำลังเดินเกมอะไรกันอยู่...การออกมาพูดจาอย่างนี้นอกจากทำให้ตัวเองหมดซึ่งความศักดิ์สิทธิ์แล้ว ยังเป็นการล้ำหน้าล้ำตาของผู้ใหญ่ในพรรคอีกด้วย
วันนี้..โลกแห่งการสื่อสารมวลชนได้พัฒนาไปไกลมาก ทุกอย่างสื่อสารผ่านปลายนิ้วมือเท่านั้น แต่ไม่น่าเชื่อวิธีการเก่าๆของเดิมๆมุกเน่าๆ คนที่มีตำแหน่งเป็นดาวพุธประจำตัวผู้นำฝ่ายบริหารยังอหังกา ชักออกมาใช้อีก
เมื่อมีการตรวจสอบในหลายๆพื้นที่แล้วปรากฏว่า..ไม่มีอะไรในก่อไผ่ แล้วอย่างนี้ใครเสีย ต้องลองไปคิดและพิจารณากันให้จงหนัก หากเป็นไปได้ก็ขอฝากไปยัง รมต.ประจำสำนักนายกฯ “องอาจ คล้ามไพบูลย์” ว่า...ก่อนที่จะคิดปฏิรูปสื่ออะไรก็ตาม ช่วยปฏิรูปดาวพุธที่ขึ้นอยู่ข้างๆกาย นายกฯอภิสิทธิ์ สักครั้งเถอะ
เพราะดูเหมือนว่า...จะเล่นเพลินพูดเพลินเกินบทที่ผู้ใหญ่เขาจะอุ้มชู...หรือว่าจะคิดเทียบชั้นกับรองฯสุเทพ เพียงแค่ได้ออกหน้าจอจ้อฟรีๆอยู่ทุกวันนี้สื่อเขาก็เริ่มรู้สึกอะไรบางอย่างจนอยากจะเริ่มเมินหันหน้าหนีกันอยู่แล้ว
แต่อย่างว่า...นักการเมืองไทย “จุดเดือดต่ำ” ใครเอาขี้มาปาก็ไม่โกธร ขุดโคตรก็ไม่แคร์ และนิยมพูดในสิ่งที่ไม่ได้ทำ และทำในสิ่งที่ไม่ได้พูด ไม่มีมิตรแท้ไม่มีศัตรูถาวร
หากจะเอาคนที่เต้าข่าวไปเทียบกับอีกา คงเทียบกันได้ไม่ติด เพราะว่าอย่างน้อยอีกาก็ยังทำคุณประโยชน์ให้แก่แผ่นดินอย่างใหญ่หลวง
โลกนี้หากไม่มีอีกาคาบข่าวก็คงจะพิลึก ... แต่หากคาบเอาแต่ “การเต้าข่าว” มามันก็แค่นั้น!
ที่มา.บางกอกทูเดย์
ทำไมมันถึงเรียกว่าสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐาน
โดย คุณกฤษณ์ วงศ์วิเศษธร น.บ. (ธรรมศาสตร์), ป.บัณฑิตทางกฎหมายมหาชน (ธรรมศาสตร์), นักศึกษาปริญญาโท สาชากฎหมายมหาชน คณะนิติศาสตร์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
บทนำ
บทความนี้มุ่งตั้งคำถามพื้นฐาน ที่สุดสำหรับนักกฎหมาย และอธิบายความให้ประชาชนทั่วไปเข้าใจ
ทำไม สิทธิเสรีภาพ ในรัฐธรรมนูญจึงมีทั้งสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐาน และสิทธิเสรีภาพอื่นๆ
บทความนี้มุ่งเผยแพร่ความรู้เท่า นั้น โปรดอ่านและตรองโดยปราศจากอคติ แต่อย่าอ่านโดยปราศจากสติปัญญา และเหตุผล กรุณาอย่าเอาไปโยงกับการเมืองเด็ดขาด หากแต่จะเนื่องอยู่บ้าง ก็แต่โดยที่ผู้เขียนและท่านผู้ อ่านทุกท่านเป็น "มนุษย์" ที่ทรงไว้ซึ่ง "สิทธิ" "เสรีภาพ" "สติปัญญา" และ "เหตุผล" เท่านั้น
การกำเนิดขึ้นของสิทธิเสรีภาพ
นับตั้งแต่ยุโรปยุคกลาง หรือที่เรียกว่า "ยุคมืด"(Dark age) อันเป็นยุคที่ศาสนจักรเรืองอำนาจ อย่างสูงสุดหากพิจารณาโดยแท้จริ งแล้ว ศาสนจักร ไม่ได้เรืองอำนาจมากมายขนาดนั้น ที่ถูกต้อง จะต้องเรียกว่า "ผู้คลั่งศาสนจักร" ได้เรืองอำนาจถึงจะถูก เพราะลำพังศาสนจักรเอง แม้มีอำนาจ แต่หากไม่มีผู้ศรัทธาหรือคลั่งศาสนจักรแล้ว เหตุการณ์เลวร้ายต่างๆจะเกิดขึ้น หรือไม่?
การทำลายล้างผู้ที่ไม่เห็นด้วย กับตนเอง ด้วยการตั้งตนเป็น "ผู้ล่าแม่มด" หรือ "ผู้กำจัดคนนอกรีต" แท้จริงแล้วก็คือการกำจัด "ผู้ที่เห็นไม่เหมือนตน" เท่านั้นเอง โดยเอาศาสนจักรเป็นที่ตั้งความชอบธรรมในการฆ่า ทารุณมนุษย์ด้วยกันเยี่ยงสัตว์ ป่ากระหายเลือด ไม่ว่าจะเผาทั้งเป็น หรือจับตรึงกางเขน ล้วนแล้วเป็นผลลัพธ์โดยตรงมาจาก "การเห็นต่าง" ไปจากพวกของตนเท่านั้น
หลังจากความเสื่อมอย่างถึงขีดสุด นักคิด นักปรัชญา ได้นำพาสติปัญญา และเหตุผล กลับเข้าสู่พิภพของยุโรปโดยการรื้อฟื้นการศึกษาปรัชญากรีก ที่ยึดถือว่า มนุษย์ มีคุณค่าในตัวเอง เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีเหตุผล และสติปัญญาเป็นแนวคิดที่เรียกว่า "ปัจเจกชนนิยม(Individualism)" ซึ่งเป็นข้อความคิดพื้นฐาน ในการจัดทำรัฐธรรมนูญของรัฐเสรี ประชาธิไตย ในกาลต่อๆมา ท่ามกลางความืดมิดของยุคสมัย แนวคิดปัจเจกชนนิยมจึงเหมือนแสงสว่างที่ขับไล่ความชั่วร้าย อันไร้เหตุผล และสติปัญญาของยุคกลาง เราจึงเรียกยุคนี้ว่า "ยุคความรุ่งเรืองทางสติปัญญา" หรือ Enlightenment(1)
จากแนวคิดปัจเจกชนนิยมสู่รัฐธรรมนูญเสรีประชาธิปไตย
การจัดทำรัฐธรรมนูญของรัฐเสรี ประชาธิปไตย ล้วนแล้วแต่มีอิทธิพลมาจากแนวคิด "ปัจเจกชนนิยม" ที่นับถือคุณค่าของมนุษย์ โดยยอมรับว่ามนุษย์ เกิดมาพร้อม "สิทธิ" และ "เสรีภาพ" โดยไม่จำเป็นต้องมีกฎหมายใดๆมารับรองอีก
อย่างไรก็ตาม “ฌอง ฌาค รุสโซ”( Jean Jaques Rousseau) นักปรัชญาและนักทฤษฎีการเมืองชาวสวิสต์ ได้กล่าวว่า "มนุษย์เกิดมาเสรี แต่ทุกแห่งหนเขาอยู่ในพันธนาการ" ที่เป็นเช่นนี้เพราะการที่มนุษย์ จะมาอยู่ร่วมกันอย่างสงบ สุขนั้น เราต่างจำต้องสละสิทธิ เสรีภาพบางประการ เพื่อสร้างภราดรภาพให้การรวมตัว ของเราดำเนินไปได้โดยดี เช่นนี้เองจึงเป็นที่มาของบทบัญญัติ รัฐธรรมนูญที่ว่า รัฐอาจกำจัดสิทธิเสรีภาพของประชาชนได้ เท่าที่พอสมควรกว่าเหตุ จำเป็น และไม่กระเทือนสาระสำคัญของสิทธิ เสรีภาพนั้นๆ
แนวคิดนี้ สอดคล้องกับนักปรัชญาชาวอังกฤษนามว่า "จอห์น ล็อค"(John Locke) โดยเขากล่าวว่า เรามารวมตัวกันเป็นรัฐ เพื่อมุ่งประโยชน์ในการรักษาความ ปลอดภัยทั้งภายในและภายนอก มุ่งประโยชน์ในทางการยุติระงับ ข้อพิพาท การจะทำเรื่องดังกล่าวนี้ ล้วนเรียกว่า "ภารกิจพื้นฐานของรัฐ" หากรัฐใดไม่อาจจะปฏิบัติภารกิจ เหล่านี้ได้ ย่อมไม่อาจควรดำรงอยู่เป็นรัฐอีกต่อไป โดยประชาชนจะต้องเสียสละสิทธิเสรีภาพบ้างเพื่อเข้าทำสัญญากับรัฐ เรียกว่า "สัญญาประชาคม"(The Social Contract)
สิทธิขั้นพื้นฐานกับความเป็นมนุษย์และการก่อกำเนิดนิติรัฐ
เมื่อเรายอมรับนับถือว่า มนุษย์มีคุณค่าในตัวเองตามธรรมชาติ การออกแบบรัฐธรรมนูญในเรื่องสิทธิเสรีภาพ ย่อมต้องคำนึงถึงความเป็นมนุษย์ ด้วย กล่าวคือ ลักษณะตามธรรมชาติของมนุษย์คืออะไรบ้าง? ซึ่งหากไม่มีสิ่งเหล่านี้แล้ว เราไม่อาจถือได้ว่าเขาเป็นมนุษย์ได้อีกต่อไป ตัวอย่างเช่น มนุษย์นั้นต้องคิด ต้องพูด ต้องเคลื่อนไหว ต้องมีชีวิต ร่างกาย สุขภาพอนามัย ฯลฯ สิ่งเหล่านี้จะกำจัด หรือพรากเอาไปจากมนุษย์มิได้เลย มิเช่นนั้นแล้ว มนุษย์นั้นก็จะกลายเป็น "สัตว์" หรือ "วัตถุ" และการปฏิบัติให้มนุษย์เป็นเช่นนั้น เราเรียกว่า "การละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์"
เมื่อเราไตร่ตรองและทราบว่า การจะเป็นมนุษย์โดยสมบูรณ์นั้น จำต้องมีสิ่งใดบ้าง เพื่อให้เขาพัฒนาศัยภาพตามที่ใจสมัคร และสามารถกำนหดชะตากรรมของตนเองได้ สิ่งเหล่านั้น คือ "สิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐาน"
รัฐไม่อาจจะจำกัดสิทธิเสรีภาพขั้น พื้นฐานได้อย่างเกินควร หรือขัดต่อหลักความได้สัดส่วน แดนแห่งสิทธิเสรีภาพเหล่านี้ เหมือนปราการอันแน่นหนาที่รัฐ จะไปรุกรานตามอำเถอใจไม่ได้ จะต้องมีกฎหมายให้อำนาจเพื่อการ นั้นๆ เหล่านี้เองจึงเป็นที่มาของ "หลักนิติรัฐ(État de droit)" อย่างไรก็ตาม มิได้หมายความว่า เมื่อมีกฎหมายแล้วรัฐจะทำอะไร ก็ได้ รัฐและผู้ใช้อำนาจรัฐพึงสังวรณ์ ไว้ด้วยว่า หลักนิติรัฐที่ให้รัฐเข้าไปกระทำการใดๆ กระทบกระเทือนสิทธิเสรีภาพได้นั้น ให้รัฐกระทำได้เท่าที่พอสมควรกว่าเหตุ และที่สำคัญ หลักนิติรัฐเกิดขึ้น "เพื่อจำกัดอำนาจรัฐ" ไม่ใช่ "ใบอนุญาต" ให้รัฐกระทำกับสิทธิเสรีภาพของ ประชาชนโดย "อ้างกฎหมาย" หรือ "การปฏิบัติการตามกฎหมาย" เพราะแท้จริงแล้ว ต้องไม่ลืมว่า หลักนิติรัฐ มีเนื้อหาเพื่อ "คุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชน" เป็นหลัก
บทสรุป
สิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานเป็นสิ่ง ที่ไม่อาจพรากเอาไปจากมนุษย์ ตราบเท่าที่มนุษย์ยังคงมีความเป็น มนุษย์ตามธรรมชาติ การกำเนิดขึ้นของหลักนิติธรรมก็ดี หลักนิติรัฐก็ดี ล้วนแล้วเกิดมาเพื่อคุ้มครองสิทธิ เสรีภาพของประชาชน จากการใช้อำนาจตามอำเภอใจของรัฐ หรือผู้ถืออำนาจรัฐ แต่ก็มิได้หมายความว่า สิทธิเสรีภาพจะเป็นดินแดนที่ไร้อาณาเขต การสละสิทธิเสรีภาพบางประการนั้น จะต้องกระทำภายใต้สัญญาประชาคมที่เรียกว่า "รัฐธรรมนูญ" และที่ประชาชนสละนั้น ด้วยเหตุเพื่อให้เกิดการอยู่ร่วมกันอย่างฉันท์มิตรที่เรียกว่า "ภราดรภาพ"( Fraternité)
การใช้อำนาจรัฐไม่ว่าทางใดก็ดี ต้องพิจารณาให้รอบคอบ ประชาชนเองก็ควรตระหนักถึงเรื่องดังกล่าวนี้ด้วย มิใช่เพียงเพื่อเอาอำนาจรัฐไป กำจัด ประหัตประหาร ผู้ที่มีความเห็นต่างจากตน และมิได้ให้การปฏิบัติเยี่ยงมนุษย์กับเขา สำหรับผู้ที่เห็นดีเห็นงานกับการกระทำอันร้ายกาจนี้ ก็คงอุปมาได้ดั่งบุคคลชื่มชมปรบมือกับพลุ สีเลือด หากแม้นพลุนั้นยังมิได้ตกต้องโดนบ้านเรือนของตนหรือญาติพี่น้องตน ก็ยังมิรู้สึกอะไร และสำคัญที่สุดคือ หากรัฐที่มิอาจทำภารกิจขั้นพื้นฐานในการรักษาความสงบและปกป้องชีวิตของราษฎรได้ ก็มิสมควรดำรงชีวิตอยู่เป็นรัฐอีกต่อไป
เชิงอรรถ
1. en light - เป็นรูปศัพท์ที่สอดคล้องกับคำ ว่าจุดไฟ หรือทำให้เกิดแสงสว่าง
บทนำ
บทความนี้มุ่งตั้งคำถามพื้นฐาน ที่สุดสำหรับนักกฎหมาย และอธิบายความให้ประชาชนทั่วไปเข้าใจ
ทำไม สิทธิเสรีภาพ ในรัฐธรรมนูญจึงมีทั้งสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐาน และสิทธิเสรีภาพอื่นๆ
บทความนี้มุ่งเผยแพร่ความรู้เท่า นั้น โปรดอ่านและตรองโดยปราศจากอคติ แต่อย่าอ่านโดยปราศจากสติปัญญา และเหตุผล กรุณาอย่าเอาไปโยงกับการเมืองเด็ดขาด หากแต่จะเนื่องอยู่บ้าง ก็แต่โดยที่ผู้เขียนและท่านผู้ อ่านทุกท่านเป็น "มนุษย์" ที่ทรงไว้ซึ่ง "สิทธิ" "เสรีภาพ" "สติปัญญา" และ "เหตุผล" เท่านั้น
การกำเนิดขึ้นของสิทธิเสรีภาพ
นับตั้งแต่ยุโรปยุคกลาง หรือที่เรียกว่า "ยุคมืด"(Dark age) อันเป็นยุคที่ศาสนจักรเรืองอำนาจ อย่างสูงสุดหากพิจารณาโดยแท้จริ งแล้ว ศาสนจักร ไม่ได้เรืองอำนาจมากมายขนาดนั้น ที่ถูกต้อง จะต้องเรียกว่า "ผู้คลั่งศาสนจักร" ได้เรืองอำนาจถึงจะถูก เพราะลำพังศาสนจักรเอง แม้มีอำนาจ แต่หากไม่มีผู้ศรัทธาหรือคลั่งศาสนจักรแล้ว เหตุการณ์เลวร้ายต่างๆจะเกิดขึ้น หรือไม่?
การทำลายล้างผู้ที่ไม่เห็นด้วย กับตนเอง ด้วยการตั้งตนเป็น "ผู้ล่าแม่มด" หรือ "ผู้กำจัดคนนอกรีต" แท้จริงแล้วก็คือการกำจัด "ผู้ที่เห็นไม่เหมือนตน" เท่านั้นเอง โดยเอาศาสนจักรเป็นที่ตั้งความชอบธรรมในการฆ่า ทารุณมนุษย์ด้วยกันเยี่ยงสัตว์ ป่ากระหายเลือด ไม่ว่าจะเผาทั้งเป็น หรือจับตรึงกางเขน ล้วนแล้วเป็นผลลัพธ์โดยตรงมาจาก "การเห็นต่าง" ไปจากพวกของตนเท่านั้น
หลังจากความเสื่อมอย่างถึงขีดสุด นักคิด นักปรัชญา ได้นำพาสติปัญญา และเหตุผล กลับเข้าสู่พิภพของยุโรปโดยการรื้อฟื้นการศึกษาปรัชญากรีก ที่ยึดถือว่า มนุษย์ มีคุณค่าในตัวเอง เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีเหตุผล และสติปัญญาเป็นแนวคิดที่เรียกว่า "ปัจเจกชนนิยม(Individualism)" ซึ่งเป็นข้อความคิดพื้นฐาน ในการจัดทำรัฐธรรมนูญของรัฐเสรี ประชาธิไตย ในกาลต่อๆมา ท่ามกลางความืดมิดของยุคสมัย แนวคิดปัจเจกชนนิยมจึงเหมือนแสงสว่างที่ขับไล่ความชั่วร้าย อันไร้เหตุผล และสติปัญญาของยุคกลาง เราจึงเรียกยุคนี้ว่า "ยุคความรุ่งเรืองทางสติปัญญา" หรือ Enlightenment(1)
จากแนวคิดปัจเจกชนนิยมสู่รัฐธรรมนูญเสรีประชาธิปไตย
การจัดทำรัฐธรรมนูญของรัฐเสรี ประชาธิปไตย ล้วนแล้วแต่มีอิทธิพลมาจากแนวคิด "ปัจเจกชนนิยม" ที่นับถือคุณค่าของมนุษย์ โดยยอมรับว่ามนุษย์ เกิดมาพร้อม "สิทธิ" และ "เสรีภาพ" โดยไม่จำเป็นต้องมีกฎหมายใดๆมารับรองอีก
อย่างไรก็ตาม “ฌอง ฌาค รุสโซ”( Jean Jaques Rousseau) นักปรัชญาและนักทฤษฎีการเมืองชาวสวิสต์ ได้กล่าวว่า "มนุษย์เกิดมาเสรี แต่ทุกแห่งหนเขาอยู่ในพันธนาการ" ที่เป็นเช่นนี้เพราะการที่มนุษย์ จะมาอยู่ร่วมกันอย่างสงบ สุขนั้น เราต่างจำต้องสละสิทธิ เสรีภาพบางประการ เพื่อสร้างภราดรภาพให้การรวมตัว ของเราดำเนินไปได้โดยดี เช่นนี้เองจึงเป็นที่มาของบทบัญญัติ รัฐธรรมนูญที่ว่า รัฐอาจกำจัดสิทธิเสรีภาพของประชาชนได้ เท่าที่พอสมควรกว่าเหตุ จำเป็น และไม่กระเทือนสาระสำคัญของสิทธิ เสรีภาพนั้นๆ
แนวคิดนี้ สอดคล้องกับนักปรัชญาชาวอังกฤษนามว่า "จอห์น ล็อค"(John Locke) โดยเขากล่าวว่า เรามารวมตัวกันเป็นรัฐ เพื่อมุ่งประโยชน์ในการรักษาความ ปลอดภัยทั้งภายในและภายนอก มุ่งประโยชน์ในทางการยุติระงับ ข้อพิพาท การจะทำเรื่องดังกล่าวนี้ ล้วนเรียกว่า "ภารกิจพื้นฐานของรัฐ" หากรัฐใดไม่อาจจะปฏิบัติภารกิจ เหล่านี้ได้ ย่อมไม่อาจควรดำรงอยู่เป็นรัฐอีกต่อไป โดยประชาชนจะต้องเสียสละสิทธิเสรีภาพบ้างเพื่อเข้าทำสัญญากับรัฐ เรียกว่า "สัญญาประชาคม"(The Social Contract)
สิทธิขั้นพื้นฐานกับความเป็นมนุษย์และการก่อกำเนิดนิติรัฐ
เมื่อเรายอมรับนับถือว่า มนุษย์มีคุณค่าในตัวเองตามธรรมชาติ การออกแบบรัฐธรรมนูญในเรื่องสิทธิเสรีภาพ ย่อมต้องคำนึงถึงความเป็นมนุษย์ ด้วย กล่าวคือ ลักษณะตามธรรมชาติของมนุษย์คืออะไรบ้าง? ซึ่งหากไม่มีสิ่งเหล่านี้แล้ว เราไม่อาจถือได้ว่าเขาเป็นมนุษย์ได้อีกต่อไป ตัวอย่างเช่น มนุษย์นั้นต้องคิด ต้องพูด ต้องเคลื่อนไหว ต้องมีชีวิต ร่างกาย สุขภาพอนามัย ฯลฯ สิ่งเหล่านี้จะกำจัด หรือพรากเอาไปจากมนุษย์มิได้เลย มิเช่นนั้นแล้ว มนุษย์นั้นก็จะกลายเป็น "สัตว์" หรือ "วัตถุ" และการปฏิบัติให้มนุษย์เป็นเช่นนั้น เราเรียกว่า "การละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์"
เมื่อเราไตร่ตรองและทราบว่า การจะเป็นมนุษย์โดยสมบูรณ์นั้น จำต้องมีสิ่งใดบ้าง เพื่อให้เขาพัฒนาศัยภาพตามที่ใจสมัคร และสามารถกำนหดชะตากรรมของตนเองได้ สิ่งเหล่านั้น คือ "สิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐาน"
รัฐไม่อาจจะจำกัดสิทธิเสรีภาพขั้น พื้นฐานได้อย่างเกินควร หรือขัดต่อหลักความได้สัดส่วน แดนแห่งสิทธิเสรีภาพเหล่านี้ เหมือนปราการอันแน่นหนาที่รัฐ จะไปรุกรานตามอำเถอใจไม่ได้ จะต้องมีกฎหมายให้อำนาจเพื่อการ นั้นๆ เหล่านี้เองจึงเป็นที่มาของ "หลักนิติรัฐ(État de droit)" อย่างไรก็ตาม มิได้หมายความว่า เมื่อมีกฎหมายแล้วรัฐจะทำอะไร ก็ได้ รัฐและผู้ใช้อำนาจรัฐพึงสังวรณ์ ไว้ด้วยว่า หลักนิติรัฐที่ให้รัฐเข้าไปกระทำการใดๆ กระทบกระเทือนสิทธิเสรีภาพได้นั้น ให้รัฐกระทำได้เท่าที่พอสมควรกว่าเหตุ และที่สำคัญ หลักนิติรัฐเกิดขึ้น "เพื่อจำกัดอำนาจรัฐ" ไม่ใช่ "ใบอนุญาต" ให้รัฐกระทำกับสิทธิเสรีภาพของ ประชาชนโดย "อ้างกฎหมาย" หรือ "การปฏิบัติการตามกฎหมาย" เพราะแท้จริงแล้ว ต้องไม่ลืมว่า หลักนิติรัฐ มีเนื้อหาเพื่อ "คุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชน" เป็นหลัก
บทสรุป
สิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานเป็นสิ่ง ที่ไม่อาจพรากเอาไปจากมนุษย์ ตราบเท่าที่มนุษย์ยังคงมีความเป็น มนุษย์ตามธรรมชาติ การกำเนิดขึ้นของหลักนิติธรรมก็ดี หลักนิติรัฐก็ดี ล้วนแล้วเกิดมาเพื่อคุ้มครองสิทธิ เสรีภาพของประชาชน จากการใช้อำนาจตามอำเภอใจของรัฐ หรือผู้ถืออำนาจรัฐ แต่ก็มิได้หมายความว่า สิทธิเสรีภาพจะเป็นดินแดนที่ไร้อาณาเขต การสละสิทธิเสรีภาพบางประการนั้น จะต้องกระทำภายใต้สัญญาประชาคมที่เรียกว่า "รัฐธรรมนูญ" และที่ประชาชนสละนั้น ด้วยเหตุเพื่อให้เกิดการอยู่ร่วมกันอย่างฉันท์มิตรที่เรียกว่า "ภราดรภาพ"( Fraternité)
การใช้อำนาจรัฐไม่ว่าทางใดก็ดี ต้องพิจารณาให้รอบคอบ ประชาชนเองก็ควรตระหนักถึงเรื่องดังกล่าวนี้ด้วย มิใช่เพียงเพื่อเอาอำนาจรัฐไป กำจัด ประหัตประหาร ผู้ที่มีความเห็นต่างจากตน และมิได้ให้การปฏิบัติเยี่ยงมนุษย์กับเขา สำหรับผู้ที่เห็นดีเห็นงานกับการกระทำอันร้ายกาจนี้ ก็คงอุปมาได้ดั่งบุคคลชื่มชมปรบมือกับพลุ สีเลือด หากแม้นพลุนั้นยังมิได้ตกต้องโดนบ้านเรือนของตนหรือญาติพี่น้องตน ก็ยังมิรู้สึกอะไร และสำคัญที่สุดคือ หากรัฐที่มิอาจทำภารกิจขั้นพื้นฐานในการรักษาความสงบและปกป้องชีวิตของราษฎรได้ ก็มิสมควรดำรงชีวิตอยู่เป็นรัฐอีกต่อไป
เชิงอรรถ
1. en light - เป็นรูปศัพท์ที่สอดคล้องกับคำ ว่าจุดไฟ หรือทำให้เกิดแสงสว่าง
เตือนไทยใกล้ถึงจุดจบปฏิวัติ-แยกปกครอง
จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้
กิจจา ทวีกิจกุล หรือ “หมอนิด” ออกโรงทำนายอนาคตประเทศไทยใกล้ถึงกาลอวสานแล้ว โดยคดียุบพรรคประชาธิปัตย์จะเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ระบุหากใช้อำนาจพิเศษช่วยให้รอดพ้นถูกยุบจะเกิดกลียุค ประชาชนจะลุกฮือขึ้นมาต่อต้านความอยุติธรรมในสังคม หรือหากถูกยุบก็จะเกิดความวุ่นวายอีกแบบหนึ่งจนที่สุดทหารต้องเข้ามายึดอำนาจ ปิดประเทศแล้วใช้กระบอกปืนกวาดล้างฝ่ายตรงข้าม ทำให้ไม่มีพรรคการเมืองไปอีกหลายปี แต่หากทำไม่สำเร็จประเทศจะแตกเป็น 3 เสี่ยง แบ่งแยกการปกครอง ชี้ปมเหตุความพินาศดวงเป็นแค่องค์ประกอบส่วนหนึ่ง แต่ปัญหาหลักอยู่ที่ผู้มีอำนาจเลือกวิธีการผิดและเลือกใช้คนผิด เพราะ “อภิสิทธิ์” ไร้บารมี บริหารงานไม่เป็น
นายกิจจา ทวีกิจกุล หรือ “หมอนิด” นักโหราศาสตร์ชื่อดัง ทำนายดวงชะตาของพรรคประชาธิปัตย์ที่จะถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยชี้ขาดในคดียุบพรรคว่า จากการตรวจสอบดวงชะตาของพรรคประชาธิปัตย์ขณะนี้พบว่าดวงของพรรคประชาธิปัตย์กำลังตกและถึงจุดเสื่อมอย่างเต็มที่ เปรียบเหมือนคนแก่ที่เป็นอัมพาตต้องให้คนคอยช่วยเหลืออยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะกินจะขี้ก็ต้องมีคนมาจัดการให้
“ผมฟันธงว่าพรรคประชาธิปัตย์จะต้องปิดปรับปรุงพรรคและจะไม่มีคนชื่อนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นหัวหน้าพรรคอีกต่อไป เนื่องจากดวงของนายอภิสิทธิ์กำลังมืดสนิท รวมทั้งลูกพรรคที่มีบทบาททางการเมืองหลายคนดวงไม่ดี” นายกิจจากล่าวและว่า หากมีปาฏิหาริย์ พรรคประชาธิปัตย์เกิดรอดจากการถูกยุบพรรค ตัวของนายอภิสิทธิ์ยิ่งต้องระวังชีวิตจะหาไม่ อีกทั้งจะเป็นแรงกระตุ้นให้เกิดการก่อกวนบ้านเมืองหนักยิ่งขึ้น เพราะแรงแค้นของอีกฝ่ายหนึ่งคือกลุ่มคนเสื้อแดงที่มองเห็นความอยุติธรรม บ้านเมืองจะวอดวายอีกครั้งและไม่จบง่ายๆ
“ผมขอให้แฟนคลับพรรคประชาธิปัตย์ทำใจเอาไว้ด้วย และขอให้เลือกเอาระหว่างจะเอาตัวบุคคลหรือจะเอาประเทศชาติและเศรษฐกิจ”
นายกิจจายังทำนายดวงเมืองว่า ยังมีปัญหาอยู่ ซึ่งจะส่งผลให้การเมืองไทยยังจะวุ่นต่อไปอีกหลายปี และอีกไม่นานประเทศไทยก็จะไม่มีพรรคการเมืองไประยะหนึ่ง เพราะทหารจะเข้ามาครองอำนาจนานหลายปี เหมือนกับการปิดประเทศไปชั่วคราวเพื่อจัดการกับฝ่ายที่จ้องล้มสถาบัน แต่หากทหารจัดการไม่ได้ประเทศไทยจะถูกแบ่งออกเป็น 2-3 เสี่ยง มีทั้งประเทศไทยเหนือ ไทยใต้ และภาคใต้อีก 3 จังหวัด
“ถ้าจะว่ากันตามความเป็นจริงคิดว่ามีโอกาสจะเกิดเหตุการณ์แบ่งแยกดินแดนการปกครองขึ้นได้มากทีเดียว เพราะสาเหตุเกิดมาจากนักการเมืองและข้าราชการทั้งทหาร ตำรวจ และพลเรือนส่วนใหญ่เห็นแก่อามิสสินจ้าง เอาแต่มุ่งหน้ากอบโกยและโกงกินทุกหัวระแหง และอีกไม่นานนี้ประเทศไทยจะเหลือเพียงซี่โครงหุ้มหนัง เพราะคนมีอำนาจ”
นายกิจจายังทำนายต่อไปว่า กรณีของพรรคประชาธิปัตย์คือจุดเริ่มต้นของจุดเปลี่ยนประเทศไทย ประกอบกับในรัฐบาลชุดนี้มีปัญหาเพราะผู้นำขาดภาวะของการเป็นผู้นำที่แท้จริง ยังต้องอาศัยคนมีบุญบารมีอุ้มชูอยู่ เป็นเรื่องที่น่าเสียดายที่คนมีบารมีวางตัวคนเป็นผู้นำผิดหลายประการ เรื่องดวงส่วนหนึ่ง แต่ที่สำคัญกว่าดวงคือไม่มีบารมีคุมอำนาจ ทั้งการบริหารบุคคลและการตัดสินใจ ซ้ำยังปล่อยให้รัฐมนตรีหลายคนไม่ซื่อสัตย์
“ผู้นำรัฐบาลคนปัจจุบันทำตัวเหมือนหัวหน้าคิว ผู้รักษาความปลอดภัยให้บรรดารัฐมนตรีคงจะเป็นเพราะลิขิตของสวรรค์และถึงคราวเสื่อมทั้งพรรคประชาธิปัตย์และประเทศไทย ผมขอให้จำคำทำนายของผมนี้เอาไว้เป็นสำคัญ เพราะจะต้องเกิดขึ้นในไม่ช้านี้อย่างแน่นอน” นักโหราศาสตร์ชื่อดังกล่าว
กิจจา ทวีกิจกุล หรือ “หมอนิด” ออกโรงทำนายอนาคตประเทศไทยใกล้ถึงกาลอวสานแล้ว โดยคดียุบพรรคประชาธิปัตย์จะเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ระบุหากใช้อำนาจพิเศษช่วยให้รอดพ้นถูกยุบจะเกิดกลียุค ประชาชนจะลุกฮือขึ้นมาต่อต้านความอยุติธรรมในสังคม หรือหากถูกยุบก็จะเกิดความวุ่นวายอีกแบบหนึ่งจนที่สุดทหารต้องเข้ามายึดอำนาจ ปิดประเทศแล้วใช้กระบอกปืนกวาดล้างฝ่ายตรงข้าม ทำให้ไม่มีพรรคการเมืองไปอีกหลายปี แต่หากทำไม่สำเร็จประเทศจะแตกเป็น 3 เสี่ยง แบ่งแยกการปกครอง ชี้ปมเหตุความพินาศดวงเป็นแค่องค์ประกอบส่วนหนึ่ง แต่ปัญหาหลักอยู่ที่ผู้มีอำนาจเลือกวิธีการผิดและเลือกใช้คนผิด เพราะ “อภิสิทธิ์” ไร้บารมี บริหารงานไม่เป็น
นายกิจจา ทวีกิจกุล หรือ “หมอนิด” นักโหราศาสตร์ชื่อดัง ทำนายดวงชะตาของพรรคประชาธิปัตย์ที่จะถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยชี้ขาดในคดียุบพรรคว่า จากการตรวจสอบดวงชะตาของพรรคประชาธิปัตย์ขณะนี้พบว่าดวงของพรรคประชาธิปัตย์กำลังตกและถึงจุดเสื่อมอย่างเต็มที่ เปรียบเหมือนคนแก่ที่เป็นอัมพาตต้องให้คนคอยช่วยเหลืออยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะกินจะขี้ก็ต้องมีคนมาจัดการให้
“ผมฟันธงว่าพรรคประชาธิปัตย์จะต้องปิดปรับปรุงพรรคและจะไม่มีคนชื่อนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นหัวหน้าพรรคอีกต่อไป เนื่องจากดวงของนายอภิสิทธิ์กำลังมืดสนิท รวมทั้งลูกพรรคที่มีบทบาททางการเมืองหลายคนดวงไม่ดี” นายกิจจากล่าวและว่า หากมีปาฏิหาริย์ พรรคประชาธิปัตย์เกิดรอดจากการถูกยุบพรรค ตัวของนายอภิสิทธิ์ยิ่งต้องระวังชีวิตจะหาไม่ อีกทั้งจะเป็นแรงกระตุ้นให้เกิดการก่อกวนบ้านเมืองหนักยิ่งขึ้น เพราะแรงแค้นของอีกฝ่ายหนึ่งคือกลุ่มคนเสื้อแดงที่มองเห็นความอยุติธรรม บ้านเมืองจะวอดวายอีกครั้งและไม่จบง่ายๆ
“ผมขอให้แฟนคลับพรรคประชาธิปัตย์ทำใจเอาไว้ด้วย และขอให้เลือกเอาระหว่างจะเอาตัวบุคคลหรือจะเอาประเทศชาติและเศรษฐกิจ”
นายกิจจายังทำนายดวงเมืองว่า ยังมีปัญหาอยู่ ซึ่งจะส่งผลให้การเมืองไทยยังจะวุ่นต่อไปอีกหลายปี และอีกไม่นานประเทศไทยก็จะไม่มีพรรคการเมืองไประยะหนึ่ง เพราะทหารจะเข้ามาครองอำนาจนานหลายปี เหมือนกับการปิดประเทศไปชั่วคราวเพื่อจัดการกับฝ่ายที่จ้องล้มสถาบัน แต่หากทหารจัดการไม่ได้ประเทศไทยจะถูกแบ่งออกเป็น 2-3 เสี่ยง มีทั้งประเทศไทยเหนือ ไทยใต้ และภาคใต้อีก 3 จังหวัด
“ถ้าจะว่ากันตามความเป็นจริงคิดว่ามีโอกาสจะเกิดเหตุการณ์แบ่งแยกดินแดนการปกครองขึ้นได้มากทีเดียว เพราะสาเหตุเกิดมาจากนักการเมืองและข้าราชการทั้งทหาร ตำรวจ และพลเรือนส่วนใหญ่เห็นแก่อามิสสินจ้าง เอาแต่มุ่งหน้ากอบโกยและโกงกินทุกหัวระแหง และอีกไม่นานนี้ประเทศไทยจะเหลือเพียงซี่โครงหุ้มหนัง เพราะคนมีอำนาจ”
นายกิจจายังทำนายต่อไปว่า กรณีของพรรคประชาธิปัตย์คือจุดเริ่มต้นของจุดเปลี่ยนประเทศไทย ประกอบกับในรัฐบาลชุดนี้มีปัญหาเพราะผู้นำขาดภาวะของการเป็นผู้นำที่แท้จริง ยังต้องอาศัยคนมีบุญบารมีอุ้มชูอยู่ เป็นเรื่องที่น่าเสียดายที่คนมีบารมีวางตัวคนเป็นผู้นำผิดหลายประการ เรื่องดวงส่วนหนึ่ง แต่ที่สำคัญกว่าดวงคือไม่มีบารมีคุมอำนาจ ทั้งการบริหารบุคคลและการตัดสินใจ ซ้ำยังปล่อยให้รัฐมนตรีหลายคนไม่ซื่อสัตย์
“ผู้นำรัฐบาลคนปัจจุบันทำตัวเหมือนหัวหน้าคิว ผู้รักษาความปลอดภัยให้บรรดารัฐมนตรีคงจะเป็นเพราะลิขิตของสวรรค์และถึงคราวเสื่อมทั้งพรรคประชาธิปัตย์และประเทศไทย ผมขอให้จำคำทำนายของผมนี้เอาไว้เป็นสำคัญ เพราะจะต้องเกิดขึ้นในไม่ช้านี้อย่างแน่นอน” นักโหราศาสตร์ชื่อดังกล่าว
ปชป.ขับเคลื่อน-ปฏิรูป 3 ทาง ระบบ "อานันท์-อภิสิทธิ์-กรณ์" จากประชานิยมสู่-รัฐสวัสดิการ
ความพยายามทางการเมือง ของ "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" นายกรัฐมนตรี และพรรคประชาธิปัตย์ คือการก้าวข้ามรัฐประชานิยมไปสู่รัฐสวัสดิการ
ก้าวข้ามต้นตำรับ "ทักษิโณมิกส์" สู่ระบบ "มาร์ค-กรณ์-อานันท์"
จากระบบขับเคลื่อน 2 ทาง เป็นขับเคลื่อน 3 ทาง
นโยบายถูกแปลงเป็นแผนงาน มาตรการ ที่ทั้งทีมที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี และคณะกรรมการปฏิรูปประเทศไทย และสมัชชาปฏิรูป ขับเคลื่อนพร้อมกัน 3 ทาง
ทางหนึ่งขับเคลื่อนโครงสร้างใหญ่ของประเทศ มี "นายอานันท์ ปันยารชุน" ประธานคณะกรรมการปฏิรูปขับเคลื่อน-ควบคู่จุดคานงัด-สามเหลี่ยมเขยื้อนภูเขา ของ "น.พ.ประเวศ วะสี"
ทางหนึ่งขับเคลื่อนผ่านทีมที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี โดย "คุณหญิงสุพัตรา มาศดิตถ์" และ "อภิรักษ์ โกษะโยธิน" ปฏิบัติการแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำด้าน รายได้ และโอกาสการเข้าถึงแหล่งทุน- ที่ทำกิน ทั้งรูปแบบปรับโครงสร้างภาษี ระบบภาษีที่ดิน และโฉนดชุมชน
ทางหนึ่งขับเคลื่อนโดย "กรณ์ จาติกวณิช" รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในการจัดทำมาตรการ "การคลังเพื่อสังคม"
ดังนั้นกว่าจะถึงการเลือกตั้งใหญ่สมัยหน้า รัฐบาลต้องเตรียมต้นทุนสำหรับการจ่ายงบประมาณเพื่อการเตรียมตัวเป็น "รัฐสวัสดิการ" อย่างเต็มรูปแบบ
โดยใช้โครงร่างของมาตรการ ประชานิยมเป็นตัวเชื่อมต่อ-พัฒนานโยบายเป็นรัฐสวัสดิการ
ย้อนไปเมื่อครั้งแรกที่รัฐบาลอภิสิทธิ์ ร่วมเสพสมกับนโยบายประชานิยม เมื่อ 1 กุมภาพันธ์ 2552-31 มีนาคม 2553 ใช้เงินอุดหนุนไปแล้ว 26,520.58 ล้านบาท อาทิ เพื่อลดค่าใช้จ่ายไฟฟ้าครัวเรือน 16,035.89 ล้านบาท
ลดค่าใช้จ่ายการเดินทางโดยรถโดยสารประจำทาง 2,875.38 ล้านบาท
ลดค่าใช้จ่ายการเดินทางโดยรถไฟชั้นสาม 1,161.93 ล้านบาท
ลดค่าใช้จ่ายน้ำประปาของครัวเรือน 6,447.38 ล้านบาท
ต่อเนื่องด้วยมติคณะรัฐมนตรี 29 มิถุนายน 2553 อุ้มประชานิยมไปต่อยอดสวัสดิการอีก 9,254.37 ล้านบาท
แบ่งเป็นอุดหนุนค่าไฟฟ้า 7,465.31 ล้านบาท
ค่าเดินทางรถ ขสมก. อีก 1,259.36 ล้านบาท
ค่าเดินทางรถไฟชั้นสามอีก 530 ล้านบาท
ไม่นับรวมมาตรการบรรเทาผลกระทบด้านพลังงานที่จะมีต่อเนื่องไปจากกันยายน 2553-กุมภาพันธ์ 2554 ใช้งบประมาณอีก 21,620 ล้านบาท
เพื่อตรึงราคาขายปลีก LPG ในระดับราคา 18.13 บาท/กิโลกรัม ใช้งบประมาณ 13,224 ล้านบาท
ตรึงราคาขายปลีก NGV โดยใช้เงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ชดเชย 2 บาท/กิโลกรัม รวม 2,400 ล้านบาท
มาตรการตรึงค่า Ft จนถึงสิ้นปี ใช้เงิน 5,996 ล้านบาท
ต้นทุนของรัฐบาลอภิสิทธิ์ในการ รับไม้ต่อจากรัฐบาล "สมัคร-สมชาย" ในการต่ออายุมาตรการผลกระทบด้านพลังงานในช่วงที่ผ่านมา 1 ปี (สิงหาคม 2552-สิงหาคม 2553) ใช้งบประมาณไปแล้ว 32,681 ล้านบาท
เพื่อเป็นการชดเชยนำเข้า LPG รวม 20,795 ล้านบาท ตรึงราคา NGV อีก 1,733 ล้านบาท และตรึงค่า Ft อีก 10,153 ล้านบาท
เฉพาะช่วงที่รัฐบาลอภิสิทธิ์รับช่วงมาตรการประชานิยมเพียงปีเศษ ๆ ทำให้รัฐบาลต้องจ่ายงบประมาณชดเชยไปแล้ว กว่า 900,071.95 ล้านบาท
ยังไม่นับรวมมาตรการดั้งเดิม สูตรต้นตำรับ "ทักษิโณมิกส์" ที่รัฐบาลอภิสิทธิ์รับมรดกมาดำเนินการอีกหลายแพ็กเกจ อาทิ การแก้ไขและบรรเทาผลกระทบเศรษฐกิจที่มีต่อประชาชน ทั้งเกษตรกร แรงงานนอกภาคเกษตร เด็ก ผู้มีรายได้น้อย ผู้สูงอายุ
ผ่านการจัดตั้งกองทุนเศรษฐกิจพอเพียง มีการเบิกจ่ายไปแล้ว 5,376.630 ล้านบาท เพื่อช่วยเหลือเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ เป็นเงิน 21,963 ล้านบาท โครงการส่งเสริมอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม. เชิงรุก) โดยรัฐบาลได้จ่ายค่าตอบแทนไปแล้ว 3,515.83 ล้านบาท
โครงการที่พรรคประชาธิปัตย์คิดค้น แตกกอต่อยอดขึ้นด้วยตัวเองคือ โครงการประกันรายได้เกษตรกร และการนำที่ดินราชพัสดุจำนวน 1 ล้านไร่ เพื่อให้เกษตรกรเช่าทำการเกษตร มีเป้าหมายดำเนินการต่อเนื่องจำนวน 50,000 ไร่ ส่วนบรรดาโครงการเรียนฟรี 15 ปี โครงการหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า หรือ 30 บาท รักษาทุกโรค ก็ถูกนำมาพัฒนา-ต่อยอดเพิ่มเป็นหลักประกันสุขภาพ จากเดิม 1,300 บาท เพิ่มเป็น 1,695 บาท/คน
นอกจากนี้ยังมีการแจก-ทางตรง ฮาร์ดคอร์ในโครงการเช็คช่วยชาติ เพื่อช่วยเหลือค่าครองชีพแก่ผู้ประกันตนในระบบประกันสังคม และเจ้าหน้าที่ของรัฐ ประเดิมไป 17,903 ล้านบาท
ด้วยภารกิจ-งบประมาณที่ท่วมท้น แต่ละปี ทำให้ทั้งนายกรัฐมนตรี-รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง คิดการใหญ่ ขับเคลื่อน 3 ทาง
ทางหนึ่ง เตรียมจัดทำนโยบาย-มาตรการ "การคลังเพื่อสังคม" หวังให้ชนชั้นล่างทั่วทั้งประเทศได้รับผลโดยตรงจากความเป็น "รัฐสวัสดิการ" แบบตรงไป-ตรงมา-โปร่งใสด้วยการรับบริการพื้นฐาน "ฟรีถ้วนหน้า" ตลอดไป ทั้งค่ารถเมล์-รถไฟชั้น 3 และค่าไฟฟรีแบบมีเพดานกำกับ
พร้อมด้วยมาตรการ "ลดราคาน้ำมัน" ลงอีก 2 บาทต่อลิตร อยู่ในระหว่าง "พิจารณา" ต่อยอดเมื่อจังหวะเวลาที่ เหมาะสม และเตรียมปรับโครงสร้างราคาก๊าซใหม่ทั้งระบบ
ทางหนึ่งเตรียมจัดหา "รายได้มหาศาล" เพื่อสนับสนุนต้นทุน-ค่าใช้จ่าย เพื่อความเป็นรัฐสวัสดิการ
รวมทั้งโครงการปรับเพิ่มภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) การจัดเก็บภาษีมรดกและภาษีที่ดิน รวมทั้งภาษีจากธุรกิจการเงินในห้องค้าหุ้น ก็ถูกจัดข้อมูลเพื่อจัดทำเป็นมาตรการ "การคลังเพื่อสังคม" ในอนาคต
นอกจากรายจ่ายต้นทางเพื่อสร้างเส้นทางไปสู่รัฐสวัสดิการแล้ว รัฐบาลยังมี ภาระรายจ่ายเฉพาะหน้าในแนวทาง ประชานิยมอีกไม่น้อยกว่า 30,000 ล้านบาท เพื่อ "ซื้อใจ" ข้าราชการ 1.2 ล้านคนทั่วประเทศ ในการปรับขึ้นเงินเดือนและ จ่ายโบนัสรายละไม่น้อยกว่า 5,000 บาท
ไม่เว้นแม้แต่ธนาคารของรัฐที่ต้องจัด งบประมาณเพื่ออุดหนุนเกษตรกรให้ "ล้างหนี้" อีกไม่น้อยกว่า 1 ล้านราย ผ่านธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ธนาคารกรุงไทย-ออมสิน ก็ต้องเข้าร่วมโครงการ "แก้หนี้นอกระบบ"
บรรดาผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) จะได้รับการสนับสนุนสินเชื่อจาก SME Bank เฉพาะหน้าที่จ่าย ไปแล้ว จำนวน 5,034,106 ราย วงเงิน 1,168,411 ล้านบาท
โครงการสินเชื่อ SME Power อีก 4,836.34 ล้านบาท และมาตรการสนับสนุนธุรกิจท่องเที่ยว วงเงิน 3,124.85 ล้านบาท ผู้ที่ถูกชะลอการเลิกจ้างแรงงานจะได้เงินชดเชย 13,448.62 ล้านบาท โครงการบริการรับประกันการส่งออกมีปริมาณการรับประกันเท่ากับ 60,375 ล้านบาท และการค้ำประกันสินเชื่อให้แก่ SMEs มียอด ค้ำประกันสินเชื่อ 21,390.07 ล้านบาท
ในนามของนโยบาย "รัฐสวัสดิการ" ต้องมีการลงทุนเพิ่ม ดังนั้น "อภิสิทธิ์" และคณะจึงมีโครงการวางรากฐานการพัฒนาในอนาคต โดยเร่งรัดโครงการลงทุนขนาดใหญ่ ภายใต้แผนปฏิบัติการไทย เข้มแข็ง 2555 กรอบวงเงินลงทุนภายในปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 รวม 1.43 ล้านล้านบาท
โดยมีโครงการขนาดใหญ่ เช่น การจัดหาแหล่งน้ำและเพิ่มพื้นที่ชลประทาน วงเงินรวม 20,232.9 ล้านบาท การบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ชลประทาน วงเงินรวม 17,224 ล้านบาท โครงการรถไฟฟ้าสาย สีม่วง ช่วงบางใหญ่-บางซื่อ วงเงินรวม 785 ล้านบาท
ทั้ง "มาร์ค" และ "กรณ์" ไม่ลืมว่ายังมีบัญชีเงินคงคลังของประเทศเฉพาะหน้า ล่าสุด ณ สิ้นเดือนพฤษภาคม 2553 มีอยู่ถึง 1.88 แสนล้านบาท ทั้งจากการเก็บรายได้ที่เกินเป้า และ "กำไร" จากการยึดทรัพย์ "ทักษิณ ชินวัตร" และครอบครัวอีก 4.9 หมื่นล้าน ยิ่งทำให้รัฐบาลสามารถ นำเงิน "ล่วงหน้า" มาใช้เป็น "ต้นทุน" หาเสียงล่วงหน้าได้อีกก้อน
ความพยายามของ "อภิสิทธิ์และคณะ" ที่ต้องการก้าวข้าม "ประชานิยม" สู่ "รัฐสวัสดิการ" กำลังถึงฝั่งฝัน ?
ตามนิยามของ "ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์" ต้นตำรับ "รัฐสวัสดิการก้าวหน้า" ที่เชื่อมั่นว่า "เป็นระบบที่กระตุ้นให้คนอยากทำงานมากขึ้น อยากมีการศึกษาที่ดีขึ้น ...ไม่ใช่สวัสดิการแบบที่จะทำให้คนนั่งกินนอนกินไม่ยอมทำงาน"
"ดร.เอนก" วิพากษ์แนวทาง "ประชานิยม-ทักษิณ" ว่า "มุ่งสร้างความสัมพันธ์เชิงดิ่งระหว่างผู้ที่อยู่เหนือกว่ากับผู้ที่อยู่ต่ำกว่าเป็นหลัก ประชาชนจึงไม่ได้คิดว่าตัวเองนั้นอยู่ในระดับเดียวกับรัฐบาล ในขณะที่ระบบรัฐสวัสดิการนั้นเกิดจากแนวความคิดที่มองว่าสวัสดิการที่ได้มานั้นเกิดจากการ ยื้อแย่งมาจากคนส่วนบน"
ต้องจับตาว่า มาตรการแผนงานของรัฐบาล "อภิสิทธิ์"
ข้อเสนอของคณะกรรมการปฏิรูปประเทศ "อานันท์"
และจุดคานงัดสังคมไทยของ "น.พ.ประเวศ"
ผนวกกับ "การคลัง-ภาษีเพื่อสังคม" ของ "กรณ์"
ท้าทายให้ฝ่ายเพื่อไทย-เสื้อแดงพิสูจน์ว่า ทั้งองคาพยพนี้จะนำประเทศก้าวข้ามจากรัฐประชานิยมสู่รัฐสวัสดิการได้หรือไม่ ผลการเลือกตั้งครั้งหน้าจะเป็นคำตอบ
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
ก้าวข้ามต้นตำรับ "ทักษิโณมิกส์" สู่ระบบ "มาร์ค-กรณ์-อานันท์"
จากระบบขับเคลื่อน 2 ทาง เป็นขับเคลื่อน 3 ทาง
นโยบายถูกแปลงเป็นแผนงาน มาตรการ ที่ทั้งทีมที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี และคณะกรรมการปฏิรูปประเทศไทย และสมัชชาปฏิรูป ขับเคลื่อนพร้อมกัน 3 ทาง
ทางหนึ่งขับเคลื่อนโครงสร้างใหญ่ของประเทศ มี "นายอานันท์ ปันยารชุน" ประธานคณะกรรมการปฏิรูปขับเคลื่อน-ควบคู่จุดคานงัด-สามเหลี่ยมเขยื้อนภูเขา ของ "น.พ.ประเวศ วะสี"
ทางหนึ่งขับเคลื่อนผ่านทีมที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี โดย "คุณหญิงสุพัตรา มาศดิตถ์" และ "อภิรักษ์ โกษะโยธิน" ปฏิบัติการแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำด้าน รายได้ และโอกาสการเข้าถึงแหล่งทุน- ที่ทำกิน ทั้งรูปแบบปรับโครงสร้างภาษี ระบบภาษีที่ดิน และโฉนดชุมชน
ทางหนึ่งขับเคลื่อนโดย "กรณ์ จาติกวณิช" รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในการจัดทำมาตรการ "การคลังเพื่อสังคม"
ดังนั้นกว่าจะถึงการเลือกตั้งใหญ่สมัยหน้า รัฐบาลต้องเตรียมต้นทุนสำหรับการจ่ายงบประมาณเพื่อการเตรียมตัวเป็น "รัฐสวัสดิการ" อย่างเต็มรูปแบบ
โดยใช้โครงร่างของมาตรการ ประชานิยมเป็นตัวเชื่อมต่อ-พัฒนานโยบายเป็นรัฐสวัสดิการ
ย้อนไปเมื่อครั้งแรกที่รัฐบาลอภิสิทธิ์ ร่วมเสพสมกับนโยบายประชานิยม เมื่อ 1 กุมภาพันธ์ 2552-31 มีนาคม 2553 ใช้เงินอุดหนุนไปแล้ว 26,520.58 ล้านบาท อาทิ เพื่อลดค่าใช้จ่ายไฟฟ้าครัวเรือน 16,035.89 ล้านบาท
ลดค่าใช้จ่ายการเดินทางโดยรถโดยสารประจำทาง 2,875.38 ล้านบาท
ลดค่าใช้จ่ายการเดินทางโดยรถไฟชั้นสาม 1,161.93 ล้านบาท
ลดค่าใช้จ่ายน้ำประปาของครัวเรือน 6,447.38 ล้านบาท
ต่อเนื่องด้วยมติคณะรัฐมนตรี 29 มิถุนายน 2553 อุ้มประชานิยมไปต่อยอดสวัสดิการอีก 9,254.37 ล้านบาท
แบ่งเป็นอุดหนุนค่าไฟฟ้า 7,465.31 ล้านบาท
ค่าเดินทางรถ ขสมก. อีก 1,259.36 ล้านบาท
ค่าเดินทางรถไฟชั้นสามอีก 530 ล้านบาท
ไม่นับรวมมาตรการบรรเทาผลกระทบด้านพลังงานที่จะมีต่อเนื่องไปจากกันยายน 2553-กุมภาพันธ์ 2554 ใช้งบประมาณอีก 21,620 ล้านบาท
เพื่อตรึงราคาขายปลีก LPG ในระดับราคา 18.13 บาท/กิโลกรัม ใช้งบประมาณ 13,224 ล้านบาท
ตรึงราคาขายปลีก NGV โดยใช้เงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ชดเชย 2 บาท/กิโลกรัม รวม 2,400 ล้านบาท
มาตรการตรึงค่า Ft จนถึงสิ้นปี ใช้เงิน 5,996 ล้านบาท
ต้นทุนของรัฐบาลอภิสิทธิ์ในการ รับไม้ต่อจากรัฐบาล "สมัคร-สมชาย" ในการต่ออายุมาตรการผลกระทบด้านพลังงานในช่วงที่ผ่านมา 1 ปี (สิงหาคม 2552-สิงหาคม 2553) ใช้งบประมาณไปแล้ว 32,681 ล้านบาท
เพื่อเป็นการชดเชยนำเข้า LPG รวม 20,795 ล้านบาท ตรึงราคา NGV อีก 1,733 ล้านบาท และตรึงค่า Ft อีก 10,153 ล้านบาท
เฉพาะช่วงที่รัฐบาลอภิสิทธิ์รับช่วงมาตรการประชานิยมเพียงปีเศษ ๆ ทำให้รัฐบาลต้องจ่ายงบประมาณชดเชยไปแล้ว กว่า 900,071.95 ล้านบาท
ยังไม่นับรวมมาตรการดั้งเดิม สูตรต้นตำรับ "ทักษิโณมิกส์" ที่รัฐบาลอภิสิทธิ์รับมรดกมาดำเนินการอีกหลายแพ็กเกจ อาทิ การแก้ไขและบรรเทาผลกระทบเศรษฐกิจที่มีต่อประชาชน ทั้งเกษตรกร แรงงานนอกภาคเกษตร เด็ก ผู้มีรายได้น้อย ผู้สูงอายุ
ผ่านการจัดตั้งกองทุนเศรษฐกิจพอเพียง มีการเบิกจ่ายไปแล้ว 5,376.630 ล้านบาท เพื่อช่วยเหลือเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ เป็นเงิน 21,963 ล้านบาท โครงการส่งเสริมอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม. เชิงรุก) โดยรัฐบาลได้จ่ายค่าตอบแทนไปแล้ว 3,515.83 ล้านบาท
โครงการที่พรรคประชาธิปัตย์คิดค้น แตกกอต่อยอดขึ้นด้วยตัวเองคือ โครงการประกันรายได้เกษตรกร และการนำที่ดินราชพัสดุจำนวน 1 ล้านไร่ เพื่อให้เกษตรกรเช่าทำการเกษตร มีเป้าหมายดำเนินการต่อเนื่องจำนวน 50,000 ไร่ ส่วนบรรดาโครงการเรียนฟรี 15 ปี โครงการหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า หรือ 30 บาท รักษาทุกโรค ก็ถูกนำมาพัฒนา-ต่อยอดเพิ่มเป็นหลักประกันสุขภาพ จากเดิม 1,300 บาท เพิ่มเป็น 1,695 บาท/คน
นอกจากนี้ยังมีการแจก-ทางตรง ฮาร์ดคอร์ในโครงการเช็คช่วยชาติ เพื่อช่วยเหลือค่าครองชีพแก่ผู้ประกันตนในระบบประกันสังคม และเจ้าหน้าที่ของรัฐ ประเดิมไป 17,903 ล้านบาท
ด้วยภารกิจ-งบประมาณที่ท่วมท้น แต่ละปี ทำให้ทั้งนายกรัฐมนตรี-รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง คิดการใหญ่ ขับเคลื่อน 3 ทาง
ทางหนึ่ง เตรียมจัดทำนโยบาย-มาตรการ "การคลังเพื่อสังคม" หวังให้ชนชั้นล่างทั่วทั้งประเทศได้รับผลโดยตรงจากความเป็น "รัฐสวัสดิการ" แบบตรงไป-ตรงมา-โปร่งใสด้วยการรับบริการพื้นฐาน "ฟรีถ้วนหน้า" ตลอดไป ทั้งค่ารถเมล์-รถไฟชั้น 3 และค่าไฟฟรีแบบมีเพดานกำกับ
พร้อมด้วยมาตรการ "ลดราคาน้ำมัน" ลงอีก 2 บาทต่อลิตร อยู่ในระหว่าง "พิจารณา" ต่อยอดเมื่อจังหวะเวลาที่ เหมาะสม และเตรียมปรับโครงสร้างราคาก๊าซใหม่ทั้งระบบ
ทางหนึ่งเตรียมจัดหา "รายได้มหาศาล" เพื่อสนับสนุนต้นทุน-ค่าใช้จ่าย เพื่อความเป็นรัฐสวัสดิการ
รวมทั้งโครงการปรับเพิ่มภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) การจัดเก็บภาษีมรดกและภาษีที่ดิน รวมทั้งภาษีจากธุรกิจการเงินในห้องค้าหุ้น ก็ถูกจัดข้อมูลเพื่อจัดทำเป็นมาตรการ "การคลังเพื่อสังคม" ในอนาคต
นอกจากรายจ่ายต้นทางเพื่อสร้างเส้นทางไปสู่รัฐสวัสดิการแล้ว รัฐบาลยังมี ภาระรายจ่ายเฉพาะหน้าในแนวทาง ประชานิยมอีกไม่น้อยกว่า 30,000 ล้านบาท เพื่อ "ซื้อใจ" ข้าราชการ 1.2 ล้านคนทั่วประเทศ ในการปรับขึ้นเงินเดือนและ จ่ายโบนัสรายละไม่น้อยกว่า 5,000 บาท
ไม่เว้นแม้แต่ธนาคารของรัฐที่ต้องจัด งบประมาณเพื่ออุดหนุนเกษตรกรให้ "ล้างหนี้" อีกไม่น้อยกว่า 1 ล้านราย ผ่านธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ธนาคารกรุงไทย-ออมสิน ก็ต้องเข้าร่วมโครงการ "แก้หนี้นอกระบบ"
บรรดาผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) จะได้รับการสนับสนุนสินเชื่อจาก SME Bank เฉพาะหน้าที่จ่าย ไปแล้ว จำนวน 5,034,106 ราย วงเงิน 1,168,411 ล้านบาท
โครงการสินเชื่อ SME Power อีก 4,836.34 ล้านบาท และมาตรการสนับสนุนธุรกิจท่องเที่ยว วงเงิน 3,124.85 ล้านบาท ผู้ที่ถูกชะลอการเลิกจ้างแรงงานจะได้เงินชดเชย 13,448.62 ล้านบาท โครงการบริการรับประกันการส่งออกมีปริมาณการรับประกันเท่ากับ 60,375 ล้านบาท และการค้ำประกันสินเชื่อให้แก่ SMEs มียอด ค้ำประกันสินเชื่อ 21,390.07 ล้านบาท
ในนามของนโยบาย "รัฐสวัสดิการ" ต้องมีการลงทุนเพิ่ม ดังนั้น "อภิสิทธิ์" และคณะจึงมีโครงการวางรากฐานการพัฒนาในอนาคต โดยเร่งรัดโครงการลงทุนขนาดใหญ่ ภายใต้แผนปฏิบัติการไทย เข้มแข็ง 2555 กรอบวงเงินลงทุนภายในปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 รวม 1.43 ล้านล้านบาท
โดยมีโครงการขนาดใหญ่ เช่น การจัดหาแหล่งน้ำและเพิ่มพื้นที่ชลประทาน วงเงินรวม 20,232.9 ล้านบาท การบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ชลประทาน วงเงินรวม 17,224 ล้านบาท โครงการรถไฟฟ้าสาย สีม่วง ช่วงบางใหญ่-บางซื่อ วงเงินรวม 785 ล้านบาท
ทั้ง "มาร์ค" และ "กรณ์" ไม่ลืมว่ายังมีบัญชีเงินคงคลังของประเทศเฉพาะหน้า ล่าสุด ณ สิ้นเดือนพฤษภาคม 2553 มีอยู่ถึง 1.88 แสนล้านบาท ทั้งจากการเก็บรายได้ที่เกินเป้า และ "กำไร" จากการยึดทรัพย์ "ทักษิณ ชินวัตร" และครอบครัวอีก 4.9 หมื่นล้าน ยิ่งทำให้รัฐบาลสามารถ นำเงิน "ล่วงหน้า" มาใช้เป็น "ต้นทุน" หาเสียงล่วงหน้าได้อีกก้อน
ความพยายามของ "อภิสิทธิ์และคณะ" ที่ต้องการก้าวข้าม "ประชานิยม" สู่ "รัฐสวัสดิการ" กำลังถึงฝั่งฝัน ?
ตามนิยามของ "ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์" ต้นตำรับ "รัฐสวัสดิการก้าวหน้า" ที่เชื่อมั่นว่า "เป็นระบบที่กระตุ้นให้คนอยากทำงานมากขึ้น อยากมีการศึกษาที่ดีขึ้น ...ไม่ใช่สวัสดิการแบบที่จะทำให้คนนั่งกินนอนกินไม่ยอมทำงาน"
"ดร.เอนก" วิพากษ์แนวทาง "ประชานิยม-ทักษิณ" ว่า "มุ่งสร้างความสัมพันธ์เชิงดิ่งระหว่างผู้ที่อยู่เหนือกว่ากับผู้ที่อยู่ต่ำกว่าเป็นหลัก ประชาชนจึงไม่ได้คิดว่าตัวเองนั้นอยู่ในระดับเดียวกับรัฐบาล ในขณะที่ระบบรัฐสวัสดิการนั้นเกิดจากแนวความคิดที่มองว่าสวัสดิการที่ได้มานั้นเกิดจากการ ยื้อแย่งมาจากคนส่วนบน"
ต้องจับตาว่า มาตรการแผนงานของรัฐบาล "อภิสิทธิ์"
ข้อเสนอของคณะกรรมการปฏิรูปประเทศ "อานันท์"
และจุดคานงัดสังคมไทยของ "น.พ.ประเวศ"
ผนวกกับ "การคลัง-ภาษีเพื่อสังคม" ของ "กรณ์"
ท้าทายให้ฝ่ายเพื่อไทย-เสื้อแดงพิสูจน์ว่า ทั้งองคาพยพนี้จะนำประเทศก้าวข้ามจากรัฐประชานิยมสู่รัฐสวัสดิการได้หรือไม่ ผลการเลือกตั้งครั้งหน้าจะเป็นคำตอบ
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)