"อธิบดีศาลแพ่งธนบุรี" ยันผู้พิพากษาออกหมายจับ "สุนัย" ถูกต้อง สอนมวย "ป.ป.ช." มีอำนาจตามกฎหมายประกอบ รธน. แต่ศาลมีอำนาจอธิปไตย เตือนให้ระวังจะตกเป็นผู้ต้องหาฐานปฏิบัติหน้าที่มิชอบนัดถก"ก.ต."15 ก.พ.
ความคืบหน้ากรณีคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ตั้งอนุกรรมการสอบสวน พ.ต.ท.ณรงค์ฤทธิ วาพันสุ รอง ผกก.สส.สภ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา พ.ต.อ.ธาตรี ตั้งโสภณ รอง ผบก.ภ.จว.พระนครศรีอยุธยา และนายอิทธิพล โสขุมา ผู้พิพากษาศาลจังหวัดพระนครศรีอยุธยา (ยศและตำแหน่งขณะนั้น) กล่าวหากระทำผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่หรือกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ หรือกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม กรณีร่วมกันขอและอนุญาตให้ออกหมายจับนายสุนัย มโนมัยอุดม อดีตอธิบดีกรมสอบสนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ผู้ต้องหาคดีหมิ่นประมาท พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โดยฝ่าฝืนกฎหมายเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่ผู้ต้องหา ต่อมาวันที่ 7 มกราคม นายอิทธิพลยื่นเรื่องต่อคณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม (ก.ต.) ขอแนวทางปฏิบัติในกรณีที่ได้รับหมายเรียกไปให้ถ้อยคำที่สำนักงาน ป.ป.ช. กระทั่ง ก.ต.มีหนังสือตอบกลับระบุว่ามีสิทธิชี้แจงเป็นหนังสือต่อคณะอนุกรรมการไต่สวนของ ป.ป.ช. และขอไปให้การในชั้นศาลได้ รวมทั้งสำนักงานศาลยุติธรรมทำหนังสือแจ้งไปยัง ป.ป.ช.ว่า ก.ต.พิจารณาเห็นว่าผู้พิพากษามีดุลพินิจอิสระในการพิจารณาพิพากษาคดี ตามรัฐธรรมนูญและกฎหมาย โดยไม่อาจแทรกแซงหรือก้าวล่วงจากหน่วยงานหรือบุคคล รวมทั้งการใช้ดุลพินิจในการออกหมายจับหากคู่ความไม่เห็นพ้องย่อมมีสิทธิอุทธรณ์ ฎีกาได้
เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ นายศรีอัมพร ศาลิคุปต์ อธิบดีผู้พิพากษาศาลแพ่งธนบุรี ให้สัมภาษณ์กรณีดังกล่าวว่า ทาง ป.ป.ช.ใช้อำนาจตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 4 ซึ่งให้ความหมายคำว่า เจ้าหน้าที่ของรัฐ และมาตรา 97 เกี่ยวกับการดำเนินการความผิดทางอาญา เห็นว่าการใช้อำนาจของ ป.ป.ช.เป็นการขัดกันระหว่างผู้ใช้อำนาจอธิปไตยกับองค์กรอิสระ
นายศรีอัมพรกล่าวว่า กรณีกล่าวหานายอิทธิพล ออกหมายจับโดยมิชอบร่วมกับพนักงานสอบสวน ต่อ ป.ป.ช.นั้น พอเกิดเรื่องขึ้นนายอิทธิพลยื่นคำร้องเข้าก.ต. ซึ่ง ก.ต.นำเรื่องเข้าที่ประชุมเพื่อศึกษาถึง 2 ครั้ง และไม่ได้ลอยแพผู้พิพากษา ที่ประชุมสรุปว่านายอิทธิพลทำหน้าที่ในฐานะศาล รับรองโดยมาตรา 197 ของรัฐธรรมนูญ ระบุว่าการพิจารณาพิพากษาคดีเป็นอำนาจของศาลซึ่งต้องดำเนินการให้เป็นไปโดยยุติธรรม ตามรัฐธรรมนูญ ตามกฎหมายและในปรมาภิไธยพระมหากษัตริย์ ผู้พิพากษามีอิสระในการพิจารณาพิพากษาคดีให้เป็นไปโดยถูกต้อง รวดเร็วและเป็นธรรม ถามว่านายอิทธิพลทำหน้าที่ตามมาตรา 197 ซึ่งรัฐธรรมนูญรับรองแล้วในการออกหมายจับ ในการขอหมายจับ 2 ครั้งแรก ศาลไม่ให้ออกหมายจับและประชุมก่อน จนการขอหมายจับครั้งที่ 3 มีการประชุมหารือแล้วเห็นว่านายสุนัยไม่ได้มาพบพนักงานสอบสวนตามหมายเรียก 2 ครั้ง ปรึกษาผู้พิพากษาหัวหน้าศาลและอธิบดีผู้พิพากษาศาลภาค 1 เห็นว่าต้องเป็นไปตามหลักกฎหมาย ตรงไปตรงมา แม้ว่านายสุนัยจะเคยเป็นผู้พิพากษาระดับสูงมาก่อน ซึ่งผู้พิพากษาเมื่อถูกกล่าวหาในคดีอาญา มีหมายเรียกต้องไปพบพนักงานสอบสวน ถ้าไม่มาจริงๆ ต้องออกหมายจับ
นายศรีอัมพรกล่าวว่า เมื่อผู้พิพากษาใช้อำนาจตามรัฐธรรมนูญมาตรา 197 ถามว่า ป.ป.ช.มีอำนาจสอบ ตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต มาตรา 97 หรือไม่ กรณีนี้เป็นเรื่องลำดับศักดิ์ของกฎหมาย ซึ่ง ป.ป.ช.ใช้อำนาจสอบตาม มาตรา 97 พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญฯ ส่วนศาลทำงานตามที่รัฐธรรมนูญให้อำนาจไว้ และรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุด ดังนั้น พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญฯ จึงเป็นลำดับศักดิ์ที่ต่ำกว่า ป.ป.ช.จึงไม่มีอำนาจสอบ ถามว่าถ้า ป.ป.ช.อ้างว่าเข้าใจโดยสุจริตนั้น ในทางกฎหมายอ้างไม่ได้ และ ป.ป.ช.เป็นองค์กรอิสระ ใช้อำนาจรัฐ ตามกฎหมายต้องรู้ จะบอกว่าไม่รู้กฎหมายไม่ได้ เพราะแม้แต่ประชาชนทั่วไปจะอ้างว่าไม่เข้าใจกฎหมายยังไม่ได้ ตรงนี้จะทำให้เกิดเรื่องใหญ่ คือ ป.ป.ช.ใช้อำนาจละเมิดรัฐธรรมนูญเสียเอง สุ่มเสี่ยงต่อการเป็นผู้ต้องหา กรณีปฏิบัติหน้าที่มิชอบ
นายศรีอัมพรกล่าวว่า เห็นว่าการใช้อำนาจของ ป.ป.ช.ตรงนี้จะเป็นการละเมิดผู้ใช้อำนาจอธิปไตย เพราะผู้พิพากษาใช้อำนาจตุลาการ ยกตัวอย่าง ส.ส.ร่วมกันลงชื่อแก้รัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นอำนาจทางนิติบัญญัติ ป.ป.ช.จะสอบเพื่อดำเนินคดีอาญาไม่ได้ เพราะเป็นการดำเนินการตามอำนาจอธิปไตย หรือถามว่าถ้าศาลชั้นต้นตัดสินให้ยกฟ้อง ต่อมาศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลย แล้วโจทก์มาฟ้องผู้พิพากษาศาลชั้นต้น กล่าวหาว่าช่วยจำเลยเรื่องก็จะยุ่ง หรือพอออกหมายจับแล้วมาร้อง ป.ป.ช.ก็ยุ่งกันใหญ่ เท่ากับเป็นการกระทบกระทั่งการใช้อำนาจ และ ป.ป.ช.ไม่ใช่ผู้ใช้อำนาจอธิปไตย แล้วมาขัดขวางผู้ใช้อำนาจอธิปไตย ถือว่าหนักหนาสาหัส
"จึงขอเตือนผู้ใช้อำนาจองค์กรอิสระ ขอให้ควบคุมการใช้อำนาจรัฐเท่าที่มีอำนาจ แต่จะขยายอำนาจเกินเลยถึงผู้ใช้อำนาจอธิปไตย ไม่มีสิทธิ ผู้พิพากษาอย่าหวั่นไหว ขอให้ทำหน้าที่ตามปกติ ถ้าผู้พิพากษาหวั่นไหว ไม่ทำหน้าที่ บ้านเมืองจะอยู่ไม่ได้ กระบวนการยุติธรรมจะล้มเหลว ทั้งนี้ ขอเรียนว่า ก.ต.ไม่ได้ทอดทิ้ง ไม่ได้ลอยแพแต่อย่างใด" อธิบดีผู้พิพากษาศาลแพ่งธนบุรีกล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า ศาลมีระบบตรวจสอบการใช้อำนาจหรือไม่ นายศรีอัมพรกล่าวว่า การทำงานมีทั้งศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ และศาลฎีกา ซึ่งคู่ความสามารถใช้สิทธิได้หากเห็นว่าตัวเองไม่ได้รับความเป็นธรรม ซึ่งกรณีนายสุนัยอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา
ผู้สื่อข่าวถามว่า ป.ป.ช.ระบุว่าตั้งอนุกรรมการขึ้นมาตรวจสอบข้อเท็จจริงเบื้องต้น ทำได้หรือไม่ นายศรีอัมพรกล่าวว่า ไม่ได้ เท่ากับเป็นการก้าวล่วง ไม่มีสิทธิ แค่นี้ก็ถือว่าละเมิดต่อศาลที่ใช้อำนาจอธิปไตยโดยตรง ทั้งนี้ ในกรณีเห็นว่าศาลปฏิบัติหน้าที่ไม่ชอบก็สามารถนำความมาฟ้องศาลได้
รายงานข่าวแจ้งว่า ในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ คณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม จะประชุมเพื่อหารือถึงกรณีดังกล่าวว่า ป.ป.ช.มีอำนาจที่จะตรวจสอบกรณีศาลอนุมัติออกหมายจับ เมื่อถูกผู้ที่ถูกออกหมายจับร้องเรียนหรือไม่
ที่มา:มติชนออนไลน์
วันอาทิตย์ที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553
ระวัง..พวกแต๋วแตกกำลังเร่งเครื่องชนเสื้อแดง!!!!
ว๊าว..ตอนนี้ทำสถิติกันยกใหญ่ เร่งเครื่องชนแหลกหวังป้ายสีให้เสื้อแดง มีทั้งกล่าวหาว่าแดงปาขี้ใส่บ้านนายก เดี๋ยวคงกล่าวหาว่าแดงขับรถปาดหน้าขบวนคุ้มกันนายก อีกทั้งเอาแท็กซี่มาก่อกวนขบวนนายก แล้วก็กล่าวหาว่ามีการวางระเบิดข้างๆศาล แหมเสื้อแดงเนี่ย ทำไมมันทำอะไรโง่ๆอย่างนี้นะ? ขำขี้แตกขี้แตน...โถ..อ้ายห่วยเอ๋ย..ทำอะไรกันก็ไม่เนียบเนียนสักอย่าง ตอนนี้เร่งทำชั่วเพื่อใส่ความเสื้อแดง มันช้าไปเสียแล้วพ่อคุณ ใครๆเขาก็รู้ว่าอ้ายมุกตื้นๆแบบนี้ แม้แต่เด็กเพิ่งหย่านม มันยังรู้ทันเลย
ว่าทำเองชงเองแล้วป้ายขี้ให้คนอื่น เหมือนที่แล้วๆมาเพื่อหวังจะให้ประชาชนเข้าข้างโธ่..เอ๋ย..น่าสมเพช..ตอนนี้ประชาชนกลับกระกระทืบซ้ำกับวิธีโง่ๆใส่ร้ายคนอื่น แล้วใหนละเงินที่ไหลมาจากตะวันออกกลาง มาเป็นท่อน้ำเลี้ยงคนเสื้อแดงยังไม่เคยมีใครเห็นสักบาท? ป้าพลอยเย้วๆมา 2 ปีแล้วแม้แต่สลึงเดียวก็ยังไม่เห็นเงาเลยว่า หน้าตาเงินท่อน้ำเลี้ยงมันเป็นอย่างไร? แล้วอ้ายพวกอัปรีย์จังไรมันใช้ปากปีจอพูดพร่ำใส่ร้ายไม่หยุด จนคนเกลียดไปทั่วกับปากเน่าๆของพวกมันนี่เอง ตอนนี้กำลังเร่งเครื่องยนต์ชนคนเสื้อแดงในเผาพวกมัน เดี๋ยวคงได้สมกับที่มันต้องการ ใช้วิธีเร่งเครื่องแบบนี้จบเร็วเลย
เฮ้อ.วิธีแบบหมาจนตรอกที่เอาออกมาใช้กำลังจะฆ่าตัวเอง ทำเองชงเองแล้วโยนความผิดให้ฝ่ายตรงกันข้าม ตอนนี้ไร้ผลเพราะทุกครั้งที่ทำเสื้อแดงจับได้ไล่ทัน ก็ออกมาบอกว่าไม่อยากให้เรื่องมันยืดเยื้อขอให้จบ มันช่างทุเรศเสียจังกับคำพูดที่ปฏิเสธอย่างหน้าด้านๆ คนด่าแช่งไปทั่ว ยังหน้าด้านหน้าทน ออกมาให้เขาด่าเป็นวัวเป็นควายทุกวัน ไม่มีความรู้สึกเลยเหลือเชื่อจริงๆ ด้านกันทั้งก๊กและก็ด้านทนยิ่งกว่าหนังช้าง ไม่เคยเลยในประวัติศาสตร์ชาติไทยที่ประเทศไทยจะตกอับเท่าครั้งนี้
เพราะมีพวกอัปรีย์ครองประเทศจึงพากันล่มจม ตกเหว ตกบ่อฉุดไม่ขึ้น แล้วพวกอัปรีย์มันยังช่วยกันทำต่อไป แทนที่จะหยุดแทนที่รับผิดชอบในสิ่งที่ตนกระทำ กลับกระหน่ำลงไปอีก ช่วยกันซ้ำเติมกันเข้าไปอีก ใช้วิธีทำเองแล้วใส่ร้ายผู้อื่นกำลังออกมาอาระวาด คงคิดว่าคนไทยยังโง่เป็นควายก็ทำมันเข้าไป คนที่ถูกมองอย่างเกลียดชังไม่ใช่ฝ่ายเสื้อแดง แต่เป็นฝ่ายคนที่กระทำ แล้วจะเห็นคนสีแดงออกมามากกว่าเดิมเพราะทนกันไม่ได้กับการถูกกลั่นแกล้งฝ่ายเดียว ตอนนี้ให้ระวังการปลอมเป็นเสื้อแดง แล้วทำการชั่วๆจากนั้นใส่ร้ายว่าคนเสื้อแดงเป็นผู้กระทำ เนื่องจากตอนนี้ภาพลักษณ์ของคนที่อยู่เบื้องหลังเสื่อมสลายลง ตอนนี้สู้แบบสุนัขบ้าคือชนดะก่อนที่จะสิ้นใจไปเองเพราะพิษบ้าที่รุมตัวเองกำลังสุกงอมอย่างหนัก แล้วเราก็จะได้เห็นในเวลาอันใกล้นี้
ที่มา:konthaiuk
โดย:ป้าพลอย
ว่าทำเองชงเองแล้วป้ายขี้ให้คนอื่น เหมือนที่แล้วๆมาเพื่อหวังจะให้ประชาชนเข้าข้างโธ่..เอ๋ย..น่าสมเพช..ตอนนี้ประชาชนกลับกระกระทืบซ้ำกับวิธีโง่ๆใส่ร้ายคนอื่น แล้วใหนละเงินที่ไหลมาจากตะวันออกกลาง มาเป็นท่อน้ำเลี้ยงคนเสื้อแดงยังไม่เคยมีใครเห็นสักบาท? ป้าพลอยเย้วๆมา 2 ปีแล้วแม้แต่สลึงเดียวก็ยังไม่เห็นเงาเลยว่า หน้าตาเงินท่อน้ำเลี้ยงมันเป็นอย่างไร? แล้วอ้ายพวกอัปรีย์จังไรมันใช้ปากปีจอพูดพร่ำใส่ร้ายไม่หยุด จนคนเกลียดไปทั่วกับปากเน่าๆของพวกมันนี่เอง ตอนนี้กำลังเร่งเครื่องยนต์ชนคนเสื้อแดงในเผาพวกมัน เดี๋ยวคงได้สมกับที่มันต้องการ ใช้วิธีเร่งเครื่องแบบนี้จบเร็วเลย
เฮ้อ.วิธีแบบหมาจนตรอกที่เอาออกมาใช้กำลังจะฆ่าตัวเอง ทำเองชงเองแล้วโยนความผิดให้ฝ่ายตรงกันข้าม ตอนนี้ไร้ผลเพราะทุกครั้งที่ทำเสื้อแดงจับได้ไล่ทัน ก็ออกมาบอกว่าไม่อยากให้เรื่องมันยืดเยื้อขอให้จบ มันช่างทุเรศเสียจังกับคำพูดที่ปฏิเสธอย่างหน้าด้านๆ คนด่าแช่งไปทั่ว ยังหน้าด้านหน้าทน ออกมาให้เขาด่าเป็นวัวเป็นควายทุกวัน ไม่มีความรู้สึกเลยเหลือเชื่อจริงๆ ด้านกันทั้งก๊กและก็ด้านทนยิ่งกว่าหนังช้าง ไม่เคยเลยในประวัติศาสตร์ชาติไทยที่ประเทศไทยจะตกอับเท่าครั้งนี้
เพราะมีพวกอัปรีย์ครองประเทศจึงพากันล่มจม ตกเหว ตกบ่อฉุดไม่ขึ้น แล้วพวกอัปรีย์มันยังช่วยกันทำต่อไป แทนที่จะหยุดแทนที่รับผิดชอบในสิ่งที่ตนกระทำ กลับกระหน่ำลงไปอีก ช่วยกันซ้ำเติมกันเข้าไปอีก ใช้วิธีทำเองแล้วใส่ร้ายผู้อื่นกำลังออกมาอาระวาด คงคิดว่าคนไทยยังโง่เป็นควายก็ทำมันเข้าไป คนที่ถูกมองอย่างเกลียดชังไม่ใช่ฝ่ายเสื้อแดง แต่เป็นฝ่ายคนที่กระทำ แล้วจะเห็นคนสีแดงออกมามากกว่าเดิมเพราะทนกันไม่ได้กับการถูกกลั่นแกล้งฝ่ายเดียว ตอนนี้ให้ระวังการปลอมเป็นเสื้อแดง แล้วทำการชั่วๆจากนั้นใส่ร้ายว่าคนเสื้อแดงเป็นผู้กระทำ เนื่องจากตอนนี้ภาพลักษณ์ของคนที่อยู่เบื้องหลังเสื่อมสลายลง ตอนนี้สู้แบบสุนัขบ้าคือชนดะก่อนที่จะสิ้นใจไปเองเพราะพิษบ้าที่รุมตัวเองกำลังสุกงอมอย่างหนัก แล้วเราก็จะได้เห็นในเวลาอันใกล้นี้
ที่มา:konthaiuk
โดย:ป้าพลอย
วันเสาร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553
ผายลม ทาง "ปาก" ปฏิบัติการ "ป้องปราม" จากเหล่า "โฆษก"
ทั้งๆ ที่ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ออกมายอมรับเรื่อง การโอนเงิน การขนเงินสด เข้ามาในประเทศ
"ยังไม่ทราบข้อเท็จจริงเรื่องนี้เลย ในที่ประชุมฝ่ายความมั่นคงที่สนามบินดอนเมืองที่ผ่านมาก็ไม่มีการรายงานเรื่องนี้แต่อย่างใด"
แต่ดูเหมือน นายเทพไท เสนพงศ์ จะรู้อะไรลึกกว่า
"รัฐบาลได้รับรายงานว่ามีการเคลื่อนไหวของเงินมากผิดปกติในช่วงหลังปีใหม่เป็นต้นมาจึงได้ติดตามตรวจสอบเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด แต่ข้อมูลเกี่ยวข้องกับความมั่นคงจึงไม่สามารถเอาหลักฐานมาเปิดเผยต่อสาธารณะได้"
ลึกกว่าในฐานะที่ นายเทพไท เสนพงศ์ เป็นโฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์
อย่าลืมเป็นอันขาดว่า หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรี
นี่ย่อมมีสถานะเหนือกว่า นายสุเทพ เทือกสุบรรณ อย่างแน่นอน
เพราะ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เสมอเป็นเพียง รองนายกรัฐมนตรี
ต้องยอมรับว่ากระบวนการ "รายงาน" ในยุคที่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรีดำเนินไปอย่างสลับซับซ้อน
แทนที่ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคงจะได้รับรู้
ตรงกันข้าม กระบวนการ "รายงาน" ผ่านไปยังหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ แล้วจึงให้โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคเป็นผู้นำมาเปิดเผย
หากกระบวนการ "รายงาน" ในเรื่องลับๆ ไม่ดำเนินไปอย่างยอกย้อน
ไฉนพรรคประชาธิปัตย์จึงจะรับรู้เรื่องการโอนเงินและขนเงินสดๆ หลายหมื่นล้านบาทผ่านสนามบินสุวรรณภูมิ ก่อนรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง
ทั้งบอกด้วยว่าการโอนเงินผ่านอดีตรัฐมนตรีชื่อย่อ ส ชื่อย่อ พ
ทั้งบอกด้วยว่าการโอนเงินผ่านนักธุรกิจเครื่องดื่มชื่อดัง ป ผ่านเจ้าของห้างสรรพสินค้าชื่อ ส และทนายความชื่อย่อ ว เป็นคนทำหน้าที่เป็นแคชเชียร์
เรื่องนี้ นายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงไม่รู้ แต่พรรคประชาธิปัตย์รู้
อย่าว่าแต่รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ซึ่งเป็นเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์จะไม่รู้เลย
กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.) ก็ไม่รู้
สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ก็ไม่รู้
ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายตลาดการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย ก็ไม่รู้
ผู้อำนวยการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ซึ่งมีทั้งเจ้าหน้าที่ศุลกากรและเครื่องตรวจสอบ ซีทีเอ็กซ์ อยู่ในมือก็ไม่รู้
แต่ นายปณิธาน วัฒนายากร รู้
แต่ นายเทพไท เสนพงศ์ รู้
นี่ไม่เพียงแต่สะท้อนให้เห็นว่ากระบวนการบริหาร "ข่าวกรอง" และธุรกรรมทางการเงินจะมีปัญหาเท่านั้น หากแม้กระทั่งกระบวนการบริหาร "บ้านเมือง" โดยผ่านรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงก็มีปัญหา
เป็นเรื่องน่ากังวลอย่างยิ่งเมื่อมองผ่านกระบวนการบริหารจัดการ
ประเด็นที่เสนอเข้ามาก็คือ แล้วชาวบ้านทั่วไปจะเชื่อถือ "ข่าว" ที่มาจากไหน
เชื่อถือข่าวจากปากโฆษกรัฐบาล เชื่อถือข่าวจากปากโฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ หรือเชื่อถือข่าวจากปากรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง
หรือว่าที่เห็นและเป็นอยู่เสมอเป็นเพียงอาการผายลมทางปาก
ที่มา:ข่าวสดรายวัน
"ยังไม่ทราบข้อเท็จจริงเรื่องนี้เลย ในที่ประชุมฝ่ายความมั่นคงที่สนามบินดอนเมืองที่ผ่านมาก็ไม่มีการรายงานเรื่องนี้แต่อย่างใด"
แต่ดูเหมือน นายเทพไท เสนพงศ์ จะรู้อะไรลึกกว่า
"รัฐบาลได้รับรายงานว่ามีการเคลื่อนไหวของเงินมากผิดปกติในช่วงหลังปีใหม่เป็นต้นมาจึงได้ติดตามตรวจสอบเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด แต่ข้อมูลเกี่ยวข้องกับความมั่นคงจึงไม่สามารถเอาหลักฐานมาเปิดเผยต่อสาธารณะได้"
ลึกกว่าในฐานะที่ นายเทพไท เสนพงศ์ เป็นโฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์
อย่าลืมเป็นอันขาดว่า หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรี
นี่ย่อมมีสถานะเหนือกว่า นายสุเทพ เทือกสุบรรณ อย่างแน่นอน
เพราะ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เสมอเป็นเพียง รองนายกรัฐมนตรี
ต้องยอมรับว่ากระบวนการ "รายงาน" ในยุคที่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรีดำเนินไปอย่างสลับซับซ้อน
แทนที่ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคงจะได้รับรู้
ตรงกันข้าม กระบวนการ "รายงาน" ผ่านไปยังหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ แล้วจึงให้โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคเป็นผู้นำมาเปิดเผย
หากกระบวนการ "รายงาน" ในเรื่องลับๆ ไม่ดำเนินไปอย่างยอกย้อน
ไฉนพรรคประชาธิปัตย์จึงจะรับรู้เรื่องการโอนเงินและขนเงินสดๆ หลายหมื่นล้านบาทผ่านสนามบินสุวรรณภูมิ ก่อนรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง
ทั้งบอกด้วยว่าการโอนเงินผ่านอดีตรัฐมนตรีชื่อย่อ ส ชื่อย่อ พ
ทั้งบอกด้วยว่าการโอนเงินผ่านนักธุรกิจเครื่องดื่มชื่อดัง ป ผ่านเจ้าของห้างสรรพสินค้าชื่อ ส และทนายความชื่อย่อ ว เป็นคนทำหน้าที่เป็นแคชเชียร์
เรื่องนี้ นายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงไม่รู้ แต่พรรคประชาธิปัตย์รู้
อย่าว่าแต่รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ซึ่งเป็นเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์จะไม่รู้เลย
กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.) ก็ไม่รู้
สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ก็ไม่รู้
ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายตลาดการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย ก็ไม่รู้
ผู้อำนวยการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ซึ่งมีทั้งเจ้าหน้าที่ศุลกากรและเครื่องตรวจสอบ ซีทีเอ็กซ์ อยู่ในมือก็ไม่รู้
แต่ นายปณิธาน วัฒนายากร รู้
แต่ นายเทพไท เสนพงศ์ รู้
นี่ไม่เพียงแต่สะท้อนให้เห็นว่ากระบวนการบริหาร "ข่าวกรอง" และธุรกรรมทางการเงินจะมีปัญหาเท่านั้น หากแม้กระทั่งกระบวนการบริหาร "บ้านเมือง" โดยผ่านรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงก็มีปัญหา
เป็นเรื่องน่ากังวลอย่างยิ่งเมื่อมองผ่านกระบวนการบริหารจัดการ
ประเด็นที่เสนอเข้ามาก็คือ แล้วชาวบ้านทั่วไปจะเชื่อถือ "ข่าว" ที่มาจากไหน
เชื่อถือข่าวจากปากโฆษกรัฐบาล เชื่อถือข่าวจากปากโฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ หรือเชื่อถือข่าวจากปากรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง
หรือว่าที่เห็นและเป็นอยู่เสมอเป็นเพียงอาการผายลมทางปาก
ที่มา:ข่าวสดรายวัน
เผือกร้อนระดับโลก
คงไม่มีให้เห็นกันบ่อยๆ เมื่ออัยการมีความเห็นสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหา ด้วยเหตุผลเพื่อผลประ โยชน์ประเทศชาติ แถมอ้างอิงถึงมติขององค์การสหประชาชาติด้วยอีกต่างหาก
แต่ในความเป็นจริง พอจะรู้กันอยู่ว่า การจับกุมเครื่องบินขนอาวุธสงครามจำนวนมหึมาถึง 40 ตัน พร้อมผู้ต้องหาชาวต่างชาติ 5 รายนั้น
คือเผือกร้อนก้อนใหญ่ ที่ไม่รู้ว่าประเทศไทยเอามากอดเอาไว้ทำไมตั้งแต่แรก!?
พูดง่ายๆ ว่า ไม่ควรแม้แต่จะคิดว่าจะจับกุม
ใครคือคนเริ่มต้นที่สั่งให้จับกุม ไม่รู้ว่าป่านนี้รู้ตัวหรือยัง ว่าได้สร้างปัญหายิ่งใหญ่และยุ่งเหยิงให้กับประเทศชาติขนาดไหน
ดังนั้น ทางสุดท้ายที่ไม่มีให้เลือกสำหรับอัยการก็คือ การสั่งไม่ฟ้อง
ไม่ฟ้องเพื่อชาติ!
แม้ว่าการตัดสินใจสั่งไม่ฟ้องคดีนี้ จะทำให้เกิดปัญหาด้านบรรทัดฐานอะไรต่อมิอะไรตามมาอีก
แต่คงไม่มีทางออกที่ดีไปกว่านี้
ขั้นตอนต่อไปเมื่อจบสิ้นกระบวนการด้านกฎ หมายของเรา คืออัยการส่งเรื่องให้ผบ.ตร.พิจารณาโต้แย้งหรือไม่ ถ้าสุดท้ายจบหมด
คงต้องรีบปล่อยตัว 5 ผู้ต้องหานักขนอาวุธต่างชาติดังกล่าวไป
ส่วนของกลางทั้งเครื่องบินลำใหญ่โต อาวุธ ร้ายแรง ขีปนาวุธสารพัด คงต้องรอให้เจ้าของมาแสดงตัวเพื่อรับคืนไป
ของกลางพวกนี้ ก่อปัญหาให้เราตั้งแต่แรกเริ่มที่ไปจับกุมแล้ว ต้องนำไปเก็บรักษาที่คลังแสง ต้องเสียค่าใช้จ่ายมากมายดูแลรักษา
ยุ่งเหยิงที่สุด คือการกักตัวผู้ต้องหาและอาวุธมหาประลัยเหล่านี้ เหมือนตัวล่อเป้าชั้นดี สุ่มเสี่ยงอย่างมาก!
วิธีการอันชาญฉลาด ที่เจ้าหน้าที่ไทยเคยทำมาก่อนและทั่วโลกเขาก็ใช้กัน
นั่นคือเมื่อพบว่าเข้ามาในบ้านเรา ก็รีบผลักดันออกไปให้พ้นๆ เสีย
ไม่รู้คนที่สั่งจับ คิดว่าจะได้หน้าได้ตา จะเอาใจพี่เบิ้มอเมริกา
หรือว่าพี่เขาชี้นิ้วสั่งมา!?!
ข่าวสดรายวัน
คอลัมน์ :ทิ้งหมัดเข้ามุม
แต่ในความเป็นจริง พอจะรู้กันอยู่ว่า การจับกุมเครื่องบินขนอาวุธสงครามจำนวนมหึมาถึง 40 ตัน พร้อมผู้ต้องหาชาวต่างชาติ 5 รายนั้น
คือเผือกร้อนก้อนใหญ่ ที่ไม่รู้ว่าประเทศไทยเอามากอดเอาไว้ทำไมตั้งแต่แรก!?
พูดง่ายๆ ว่า ไม่ควรแม้แต่จะคิดว่าจะจับกุม
ใครคือคนเริ่มต้นที่สั่งให้จับกุม ไม่รู้ว่าป่านนี้รู้ตัวหรือยัง ว่าได้สร้างปัญหายิ่งใหญ่และยุ่งเหยิงให้กับประเทศชาติขนาดไหน
ดังนั้น ทางสุดท้ายที่ไม่มีให้เลือกสำหรับอัยการก็คือ การสั่งไม่ฟ้อง
ไม่ฟ้องเพื่อชาติ!
แม้ว่าการตัดสินใจสั่งไม่ฟ้องคดีนี้ จะทำให้เกิดปัญหาด้านบรรทัดฐานอะไรต่อมิอะไรตามมาอีก
แต่คงไม่มีทางออกที่ดีไปกว่านี้
ขั้นตอนต่อไปเมื่อจบสิ้นกระบวนการด้านกฎ หมายของเรา คืออัยการส่งเรื่องให้ผบ.ตร.พิจารณาโต้แย้งหรือไม่ ถ้าสุดท้ายจบหมด
คงต้องรีบปล่อยตัว 5 ผู้ต้องหานักขนอาวุธต่างชาติดังกล่าวไป
ส่วนของกลางทั้งเครื่องบินลำใหญ่โต อาวุธ ร้ายแรง ขีปนาวุธสารพัด คงต้องรอให้เจ้าของมาแสดงตัวเพื่อรับคืนไป
ของกลางพวกนี้ ก่อปัญหาให้เราตั้งแต่แรกเริ่มที่ไปจับกุมแล้ว ต้องนำไปเก็บรักษาที่คลังแสง ต้องเสียค่าใช้จ่ายมากมายดูแลรักษา
ยุ่งเหยิงที่สุด คือการกักตัวผู้ต้องหาและอาวุธมหาประลัยเหล่านี้ เหมือนตัวล่อเป้าชั้นดี สุ่มเสี่ยงอย่างมาก!
วิธีการอันชาญฉลาด ที่เจ้าหน้าที่ไทยเคยทำมาก่อนและทั่วโลกเขาก็ใช้กัน
นั่นคือเมื่อพบว่าเข้ามาในบ้านเรา ก็รีบผลักดันออกไปให้พ้นๆ เสีย
ไม่รู้คนที่สั่งจับ คิดว่าจะได้หน้าได้ตา จะเอาใจพี่เบิ้มอเมริกา
หรือว่าพี่เขาชี้นิ้วสั่งมา!?!
ข่าวสดรายวัน
คอลัมน์ :ทิ้งหมัดเข้ามุม
สายตรงทักษิณออกโรง! เตือน'แดง'อย่าตกเป็น'เหยื่อ' 111รอหวนคืนทางการเมือง
“สายตรงทักษิณ” ออกโรง “หญิงหน่อย” ชี้คดียึดทรัพย์ หากตัดสินโดยยึดหลักกฎหมายและนิติธรรม
เชื่อทุกฝ่ายยอมรับได้ เตือนเสื้อแดงอย่าหลงกลเป็นเหยื่อใช้ความรุนแรง
ด้าน “ภูมิธรรม” เปิดตัว “สถาบันสร้างสานอนาคตไทย” รวม “111 ทรท.” รอหวนคืนการเมือง
พร้อมอาสาป้องกันชาติ ขอเป็นปู่โสมเฝ้าทรัพย์ประเทศ
วันที่ 12 ก.พ. 2553 ที่ห้องอาหารจีน โรงแรมโซฟิเทล เซ็นทรัล ลาดพร้าว คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์
อดีตรองหัวหน้าพรรคไทยรักไทย ให้สัมภาษณ์ถึงคดียึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้านบาทของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี
และครอบครัวว่า
ในฐานะคนไทยคนหนึ่ง ซึ่งมีความรู้สึกร่วมกับคนไทยส่วนใหญ่ รู้สึกกลุ้มใจและหนักใจกับสภาพที่เป็นอยู่ตอนนี้ และต้องยอมรับ
ความจริงว่า การตัดสินคดียึดทรัพย์เป็นปัจจัยทางการเมืองที่สำคัญ ตนอยากให้มองส่วนรวมเป็นที่ตั้ง ตัดสินด้วยหลักความยุติธรรม
อย่างแท้จริงและสามารถอธิบายกับสาธารณะได้ ไม่ว่าท้ายที่สุดคำตัดสินจะยึดหรือไม่ยึดทรัพย์ ก็ต้องอธิบายต่อสาธารณะได้
ตามหลักกฎหมายและหลักนิติธรรม แม้จะเป็นที่แน่นอนว่าคำตัดสินย่อมมีทั้งฝ่ายที่ชอบและไม่ชอบ แต่ถ้าตัดสินด้วยหลักกฎหมาย
หลักนิติธรรมย่อมเป็นที่ยอมรับของทุกฝ่ายได้
ผู้สื่อข่าวถามว่า มีความวิตกว่าจะนำไปสู่สถานการณ์ที่รุนแรงหรือไม่
คุณหญิงสุดารัตน์ กล่าวว่า หากทุกฝ่ายใช้สติ เอาประโยชน์ส่วนรวมเป็นที่ตั้ง ก็จะผ่านวิกฤตนี้ไปได้ กลุ่มคนเสื้อแดงก็ต้องพยายาม
อย่าหลงกลเป็นเหยื่อใช้ความรุนแรง ส่วนรัฐบาลต้องไม่ใช้กำลัง เพราะจะทำให้เกิดการบานปลาย
โดยเฉพาะข่าวปฏิวัติ จะยิ่งทำให้ประเทศถอยหลังอยู่ในหลุมดำอีกยาวนาน และนายกรัฐมนตรีต้องเป็นนายกฯของประเทศไทย
แต่ตามที่ตนได้เฝ้าดูก็รู้สึกหนักใจเหมือนกัน เพราะบางทีรัฐบาลก็ไม่เป็นกลางเสียเอง ด้วยการออกมาประโคมข่าวให้ร้ายอีกฝ่าย
มากเกินไป
รัฐบาลต้องมีวุฒิภาวะพอ โดยทำให้บ้านเมืองเกิดความสมานฉันท์ ตามที่ได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภา
ทั้งนี้เห็นว่าหากเกิดการบังคับใช้กฎหมายอย่างเท่าเทียม เป็นธรรมก็จะเกิดความสงบได้ ท่ามกลางวิกฤติหน้าสิ่วหน้าขวาน
ใน 2 สัปดาห์ข้างหน้า
ส่วนกรณีที่มีรายงานข่าวจากพรรคประชาธิปัตย์ ระบุถึงอักษรย่อซึ่งเป็นเส้นทางเงินสนับสนุนเสื้อแดงนั้น ก็น่าจะบอกให้ชัด
เพราะเราก็อยากรู้เหมือนกัน แต่ไม่ใช่ตนเองแน่นอน
ด้านนายภูมิธรรม เวชยชัย อดีตรองเลขาธิการพรรคไทยรักไทย กล่าว เปิดตัวสถาบันสร้างสานอนาคตไทย
โดยระบุถึงที่มาและวัตถุประสงค์ว่า
เป็นการรวมตัวของนักการเมืองจากที่เป็น 111 ไทยรักไทยและ 109 ที่ถูกตัดสิทธิการเมือง รวมกับกลุ่มวิชาชีพต่างๆ เช่น
นักวิชาการ นักธุรกิจ ที่มีประสบการณ์และศักยภาพ เพื่อระดมความคิดช่วยหาทางออกให้ประเทศ
เนื่องจากสถานการณ์ขณะนี้น่าเป็นห่วงและปัญหามีความซับซ้อน จึงคิดว่าพวกตนน่าจะทำประโยชน์ให้ประเทศได้บ้าง
โดยจะออกมานำเสนอบทวิเคราะห์สถานการณ์ต่อสังคมเป็นระยะ อาจจะเป็น 1 ปีต่อ 1 ครั้ง หรืออย่างมากก็ 2-3 เดือนต่อ 1 ครั้ง
ซึ่งจะแถลงเปิดตัวเป็นทางการในเร็วๆ นี้
นายภูมิธรรม กล่าวว่า ขณะนี้ทุกคนน่าจะรับรู้ได้ว่า ปัญหาที่คาอกอยู่ คือปัญหาคอร์รัปชั่นจำนวนมาก ดังนั้นพวกตนขออาสา
สมัครป้องกันชาติ และเป็นปู่โสมเฝ้าทรัพย์ประเทศไทย ทำให้คอร์รัปชั่นน้อยลง ด้วยการเป็นสื่อกลางนำข้อมูลที่ได้รับจากประชาชน
และจากข้าราชการกระทรวง ต่างๆ ที่แต่ละคนเคยทำงาน มานำเสนอต่อสื่อมวลชนและสาธารณะรับทราบ
นอกจากนี้ จะมีการศึกษานโยบายเพื่อเป็นทางออกของประเทศ ซึ่ง 2 ปีข้างหน้าที่พวกตนจะพ้นจากการถูกตัดสิทธิ
ก็น่าจะขบคิดทำอะไรให้ประโยชน์ให้ประเทศชาติได้บ้าง จากนั้นเมื่อพ้นจากการจองจำ ก็น่าจะกลับมาแสดงบทบาทต่างๆได้
ส่วนรัฐบาลวันนี้รัฐบาลยังบริหารด้วยคำพูดมากกว่าการกระทำ นายกรัฐมนตรียังบริหารด้วยปาฐกถา และถ้าอยากให้เกิดความสามัคคี
ในชาติ บรรดาโฆษกส่วนตัวนายกฯและรัฐบาลต้องพูด ให้น้อยลง แต่ระมัดระวังและทำงานให้มากขึ้น
ผู้สื่อข่าวถามว่า สถาบันดังกล่าวจะกลายเป็นกลุ่มทางการเมืองในอนาคตหรือไม่
นายภูมิธรรม กล่าวว่า ก็อยู่ที่ความประสงค์ของประชาชน
ที่มา.konthaiuk
*****************************************************************************
เชื่อทุกฝ่ายยอมรับได้ เตือนเสื้อแดงอย่าหลงกลเป็นเหยื่อใช้ความรุนแรง
ด้าน “ภูมิธรรม” เปิดตัว “สถาบันสร้างสานอนาคตไทย” รวม “111 ทรท.” รอหวนคืนการเมือง
พร้อมอาสาป้องกันชาติ ขอเป็นปู่โสมเฝ้าทรัพย์ประเทศ
วันที่ 12 ก.พ. 2553 ที่ห้องอาหารจีน โรงแรมโซฟิเทล เซ็นทรัล ลาดพร้าว คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์
อดีตรองหัวหน้าพรรคไทยรักไทย ให้สัมภาษณ์ถึงคดียึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้านบาทของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี
และครอบครัวว่า
ในฐานะคนไทยคนหนึ่ง ซึ่งมีความรู้สึกร่วมกับคนไทยส่วนใหญ่ รู้สึกกลุ้มใจและหนักใจกับสภาพที่เป็นอยู่ตอนนี้ และต้องยอมรับ
ความจริงว่า การตัดสินคดียึดทรัพย์เป็นปัจจัยทางการเมืองที่สำคัญ ตนอยากให้มองส่วนรวมเป็นที่ตั้ง ตัดสินด้วยหลักความยุติธรรม
อย่างแท้จริงและสามารถอธิบายกับสาธารณะได้ ไม่ว่าท้ายที่สุดคำตัดสินจะยึดหรือไม่ยึดทรัพย์ ก็ต้องอธิบายต่อสาธารณะได้
ตามหลักกฎหมายและหลักนิติธรรม แม้จะเป็นที่แน่นอนว่าคำตัดสินย่อมมีทั้งฝ่ายที่ชอบและไม่ชอบ แต่ถ้าตัดสินด้วยหลักกฎหมาย
หลักนิติธรรมย่อมเป็นที่ยอมรับของทุกฝ่ายได้
ผู้สื่อข่าวถามว่า มีความวิตกว่าจะนำไปสู่สถานการณ์ที่รุนแรงหรือไม่
คุณหญิงสุดารัตน์ กล่าวว่า หากทุกฝ่ายใช้สติ เอาประโยชน์ส่วนรวมเป็นที่ตั้ง ก็จะผ่านวิกฤตนี้ไปได้ กลุ่มคนเสื้อแดงก็ต้องพยายาม
อย่าหลงกลเป็นเหยื่อใช้ความรุนแรง ส่วนรัฐบาลต้องไม่ใช้กำลัง เพราะจะทำให้เกิดการบานปลาย
โดยเฉพาะข่าวปฏิวัติ จะยิ่งทำให้ประเทศถอยหลังอยู่ในหลุมดำอีกยาวนาน และนายกรัฐมนตรีต้องเป็นนายกฯของประเทศไทย
แต่ตามที่ตนได้เฝ้าดูก็รู้สึกหนักใจเหมือนกัน เพราะบางทีรัฐบาลก็ไม่เป็นกลางเสียเอง ด้วยการออกมาประโคมข่าวให้ร้ายอีกฝ่าย
มากเกินไป
รัฐบาลต้องมีวุฒิภาวะพอ โดยทำให้บ้านเมืองเกิดความสมานฉันท์ ตามที่ได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภา
ทั้งนี้เห็นว่าหากเกิดการบังคับใช้กฎหมายอย่างเท่าเทียม เป็นธรรมก็จะเกิดความสงบได้ ท่ามกลางวิกฤติหน้าสิ่วหน้าขวาน
ใน 2 สัปดาห์ข้างหน้า
ส่วนกรณีที่มีรายงานข่าวจากพรรคประชาธิปัตย์ ระบุถึงอักษรย่อซึ่งเป็นเส้นทางเงินสนับสนุนเสื้อแดงนั้น ก็น่าจะบอกให้ชัด
เพราะเราก็อยากรู้เหมือนกัน แต่ไม่ใช่ตนเองแน่นอน
ด้านนายภูมิธรรม เวชยชัย อดีตรองเลขาธิการพรรคไทยรักไทย กล่าว เปิดตัวสถาบันสร้างสานอนาคตไทย
โดยระบุถึงที่มาและวัตถุประสงค์ว่า
เป็นการรวมตัวของนักการเมืองจากที่เป็น 111 ไทยรักไทยและ 109 ที่ถูกตัดสิทธิการเมือง รวมกับกลุ่มวิชาชีพต่างๆ เช่น
นักวิชาการ นักธุรกิจ ที่มีประสบการณ์และศักยภาพ เพื่อระดมความคิดช่วยหาทางออกให้ประเทศ
เนื่องจากสถานการณ์ขณะนี้น่าเป็นห่วงและปัญหามีความซับซ้อน จึงคิดว่าพวกตนน่าจะทำประโยชน์ให้ประเทศได้บ้าง
โดยจะออกมานำเสนอบทวิเคราะห์สถานการณ์ต่อสังคมเป็นระยะ อาจจะเป็น 1 ปีต่อ 1 ครั้ง หรืออย่างมากก็ 2-3 เดือนต่อ 1 ครั้ง
ซึ่งจะแถลงเปิดตัวเป็นทางการในเร็วๆ นี้
นายภูมิธรรม กล่าวว่า ขณะนี้ทุกคนน่าจะรับรู้ได้ว่า ปัญหาที่คาอกอยู่ คือปัญหาคอร์รัปชั่นจำนวนมาก ดังนั้นพวกตนขออาสา
สมัครป้องกันชาติ และเป็นปู่โสมเฝ้าทรัพย์ประเทศไทย ทำให้คอร์รัปชั่นน้อยลง ด้วยการเป็นสื่อกลางนำข้อมูลที่ได้รับจากประชาชน
และจากข้าราชการกระทรวง ต่างๆ ที่แต่ละคนเคยทำงาน มานำเสนอต่อสื่อมวลชนและสาธารณะรับทราบ
นอกจากนี้ จะมีการศึกษานโยบายเพื่อเป็นทางออกของประเทศ ซึ่ง 2 ปีข้างหน้าที่พวกตนจะพ้นจากการถูกตัดสิทธิ
ก็น่าจะขบคิดทำอะไรให้ประโยชน์ให้ประเทศชาติได้บ้าง จากนั้นเมื่อพ้นจากการจองจำ ก็น่าจะกลับมาแสดงบทบาทต่างๆได้
ส่วนรัฐบาลวันนี้รัฐบาลยังบริหารด้วยคำพูดมากกว่าการกระทำ นายกรัฐมนตรียังบริหารด้วยปาฐกถา และถ้าอยากให้เกิดความสามัคคี
ในชาติ บรรดาโฆษกส่วนตัวนายกฯและรัฐบาลต้องพูด ให้น้อยลง แต่ระมัดระวังและทำงานให้มากขึ้น
ผู้สื่อข่าวถามว่า สถาบันดังกล่าวจะกลายเป็นกลุ่มทางการเมืองในอนาคตหรือไม่
นายภูมิธรรม กล่าวว่า ก็อยู่ที่ความประสงค์ของประชาชน
ที่มา.konthaiuk
*****************************************************************************
ยึดไม่ให้เหลืออะไรที่ตระกูลชินวัตรมี!!!???
แต่เที่ยวนี้ผมอยากแชร์ความสงสัยบางประการ จากการถกเถียงกันมาพอสมควรว่า เงิน 76,000 ล้านจะถูกยึดหมดทั้งก้อนหรือไม่?
ในความคิดของผมนั้น ผมคิดว่าการยึดทรัพย์คุณทักษิณครั้งนี้
ไม่ใช่ยึดแค่บางส่วน
ไม่ใช่ยึดแค่ทั้งก้อน
แต่น่าจะยึดมากกว่านั้น คือมากกว่า 76,000 ล้าน ยึดให้หมดเท่าที่ครอบครัวชินวัตรยังมี พูดง่ายๆ คือเอากันให้ตายกันไปข้างนึงเลย
ผลการพิจารณาหรือพิพากษา มันสามารถจะออกมาได้ในแบบที่เราไม่คาดคิด และยิ่งมีอัยการออกมาพูดว่าหลักฐานบางอย่างเกี่ยวข้องกับคดีซุกหุ้น หากผิดจริงสามารถเอาผิดเพิ่มขึ้นและติดคุกเพิ่มได้อีกนี่ยิ่งทำให้น่าสงสัย
หากย้อนไปก่อนหน้านี้มีใครบางคนพูดว่า ความเสียหายที่เกิดขึ้นอาจจะมีมูลค่ามากกว่า 76,000 ล้าน
ก่อนหน้านี้ มีการพิทักษ์ทรัพย์กรณีที่ดินรัชดา
ก่อนหน้านี้มีการจุดประเด็น ที่ดินสนามกอล์ฟอัลไพน์
จากสิ่งที่เกิดขึ้นมันทำให้ผมเริ่มเกิดความสงสัยตามมา
ผมกำลังสงสัยว่าเป็นไปได้ไหมว่า คำวินิจฉัยอาจจะออกมาในระดับที่รุนแรงถึงรุนแรงมาก
มากในระดับที่ 76,000 ล้านที่อายัดไว้ อาจจะไม่พอให้ยึด อาจจะมีการตีค่าความเสียหายสูงยิ่งกว่าเงินก้อนนี้และจะนำมาสู่การยึดทรัพย์ อื่นๆที่ได้มาอย่างสุจริตของตระกูลชินวัตร
ทรัพย์ใดๆที่ครอบครัวชินวัตรครอบครองอยู่และไม่เกี่ยวข้องกับคดี อาจจะถูกยึดเพิ่มเพื่อนำมาชดใช้ความเสียหายที่ตีมูลค่าสูงจนเกินจริง ไม่ว่าจะเป็นบัญชี เงินฝาก ที่ดิน อาคาร หรือทรัพย์สินอื่นๆ พูดง่ายๆว่าอะไรที่ยังมีอยู่ถ้ายึดได้ก็จะถูกยึดทั้งหมด
ถามว่าเพื่ออะไร? ก็เพื่อเหยียบทักษิณให้จม ให้ทักษิณไม่เหลืออะไรในประเทศนี้อีก
"อาจจะ" เพื่อล้างแค้นที่สูญเสียบ้านพักบนยอดเขา เอาคืนที่คนเสื้อแดงบุกเขาสอยดาวจนนายทุนอำมาตย์ยับเยินจนหมดความน่าเชื่อถือ
การตัดสินอาจเกิดการขยายผลในคดีอื่นเพื่อมิให้โอกาสที่ทักษิณจะกลับมาเหยียบประเทศไทยในขณะที่พวกเขายังมีอำนาจอยู่
ผมเชื่อ เชื่อในความอำมหิตของคนพวกนี้ อะไรเขาก็ทำได้ทั้งนั้น ขนาดสุมหัวกันคิดวางแผนฆ่าเขายังกล้าคิด และกล้าทำ
กะอีแค่เหยียบครอบครัวชินวัตรให้จมด้วยอำนาจตุลาการ ให้สาสมกับที่คุณทักษิณบังอาจคิดสู้ไม่เลิก แค่นี้ทำไมพวกเขาจะทำไม่ได้
ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น สิ่งที่ผมคิดและสงสัยจะเป็นจริงหรือไม่ แต่ทางเดียวที่คุณทักษิณจะได้ทรัพย์สินคืน ทางนั้นมีอยู่ทางเดียว
นั่นคือ การนำอธิปไตยให้เป็นของประชาชนอย่างแท้จริง
ท้องฟ้าต้องสาดแสงสีทองผ่องอำไพ หากยังสาดเพียงแค่แสงสีเหลืองเหมือนอย่างที่เป็นอยู่ทุกวี่วัน ก็ไม่มีทางที่คุณทักษิณจะได้รับทรัพย์สินและความชอบธรรมกลับคืนมา
เพราะความหวังทั้งหมดของคุณทักษิณ มันผูกอยู่กับชัยชนะของประชาชน
และ "อำมาตย์" คือสถานะที่ไม่สามารถอยู่ร่วมกับสถานะ "พลเมือง" ได้ นี่คือสมการที่เราปฏิเสธมันไม่ได้อีกแล้ว
ฉากสุดท้าย ถ้าเราชนะเขา "ไม่หมด"
มันก็ไม่ต่างอะไรจาก "เราไม่ได้ชนะ" นั่นเอง
ที่มา :thaifreenews
โดย. ป้าพลอย
ในความคิดของผมนั้น ผมคิดว่าการยึดทรัพย์คุณทักษิณครั้งนี้
ไม่ใช่ยึดแค่บางส่วน
ไม่ใช่ยึดแค่ทั้งก้อน
แต่น่าจะยึดมากกว่านั้น คือมากกว่า 76,000 ล้าน ยึดให้หมดเท่าที่ครอบครัวชินวัตรยังมี พูดง่ายๆ คือเอากันให้ตายกันไปข้างนึงเลย
ผลการพิจารณาหรือพิพากษา มันสามารถจะออกมาได้ในแบบที่เราไม่คาดคิด และยิ่งมีอัยการออกมาพูดว่าหลักฐานบางอย่างเกี่ยวข้องกับคดีซุกหุ้น หากผิดจริงสามารถเอาผิดเพิ่มขึ้นและติดคุกเพิ่มได้อีกนี่ยิ่งทำให้น่าสงสัย
หากย้อนไปก่อนหน้านี้มีใครบางคนพูดว่า ความเสียหายที่เกิดขึ้นอาจจะมีมูลค่ามากกว่า 76,000 ล้าน
ก่อนหน้านี้ มีการพิทักษ์ทรัพย์กรณีที่ดินรัชดา
ก่อนหน้านี้มีการจุดประเด็น ที่ดินสนามกอล์ฟอัลไพน์
จากสิ่งที่เกิดขึ้นมันทำให้ผมเริ่มเกิดความสงสัยตามมา
ผมกำลังสงสัยว่าเป็นไปได้ไหมว่า คำวินิจฉัยอาจจะออกมาในระดับที่รุนแรงถึงรุนแรงมาก
มากในระดับที่ 76,000 ล้านที่อายัดไว้ อาจจะไม่พอให้ยึด อาจจะมีการตีค่าความเสียหายสูงยิ่งกว่าเงินก้อนนี้และจะนำมาสู่การยึดทรัพย์ อื่นๆที่ได้มาอย่างสุจริตของตระกูลชินวัตร
ทรัพย์ใดๆที่ครอบครัวชินวัตรครอบครองอยู่และไม่เกี่ยวข้องกับคดี อาจจะถูกยึดเพิ่มเพื่อนำมาชดใช้ความเสียหายที่ตีมูลค่าสูงจนเกินจริง ไม่ว่าจะเป็นบัญชี เงินฝาก ที่ดิน อาคาร หรือทรัพย์สินอื่นๆ พูดง่ายๆว่าอะไรที่ยังมีอยู่ถ้ายึดได้ก็จะถูกยึดทั้งหมด
ถามว่าเพื่ออะไร? ก็เพื่อเหยียบทักษิณให้จม ให้ทักษิณไม่เหลืออะไรในประเทศนี้อีก
"อาจจะ" เพื่อล้างแค้นที่สูญเสียบ้านพักบนยอดเขา เอาคืนที่คนเสื้อแดงบุกเขาสอยดาวจนนายทุนอำมาตย์ยับเยินจนหมดความน่าเชื่อถือ
การตัดสินอาจเกิดการขยายผลในคดีอื่นเพื่อมิให้โอกาสที่ทักษิณจะกลับมาเหยียบประเทศไทยในขณะที่พวกเขายังมีอำนาจอยู่
ผมเชื่อ เชื่อในความอำมหิตของคนพวกนี้ อะไรเขาก็ทำได้ทั้งนั้น ขนาดสุมหัวกันคิดวางแผนฆ่าเขายังกล้าคิด และกล้าทำ
กะอีแค่เหยียบครอบครัวชินวัตรให้จมด้วยอำนาจตุลาการ ให้สาสมกับที่คุณทักษิณบังอาจคิดสู้ไม่เลิก แค่นี้ทำไมพวกเขาจะทำไม่ได้
ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น สิ่งที่ผมคิดและสงสัยจะเป็นจริงหรือไม่ แต่ทางเดียวที่คุณทักษิณจะได้ทรัพย์สินคืน ทางนั้นมีอยู่ทางเดียว
นั่นคือ การนำอธิปไตยให้เป็นของประชาชนอย่างแท้จริง
ท้องฟ้าต้องสาดแสงสีทองผ่องอำไพ หากยังสาดเพียงแค่แสงสีเหลืองเหมือนอย่างที่เป็นอยู่ทุกวี่วัน ก็ไม่มีทางที่คุณทักษิณจะได้รับทรัพย์สินและความชอบธรรมกลับคืนมา
เพราะความหวังทั้งหมดของคุณทักษิณ มันผูกอยู่กับชัยชนะของประชาชน
และ "อำมาตย์" คือสถานะที่ไม่สามารถอยู่ร่วมกับสถานะ "พลเมือง" ได้ นี่คือสมการที่เราปฏิเสธมันไม่ได้อีกแล้ว
ฉากสุดท้าย ถ้าเราชนะเขา "ไม่หมด"
มันก็ไม่ต่างอะไรจาก "เราไม่ได้ชนะ" นั่นเอง
ที่มา :thaifreenews
โดย. ป้าพลอย
ทักษิณเขาไม่ต้องการคุยกับท่าน "ชื่อเสียงเกียรติภูมิของท่าน" ต่างหากที่คุกคามเขา
ผมเพิ่งฟังคุณทักษิณพูดว่า พร้อมที่จะคุยด้วย เป็นคนคุยง่าย และคุณทักษิณเป็นหนูที่เขาเผาบ้านเพื่อไล่ฆ่า
คุณทักษิณยังงงๆ อยู่ว่าเพื่อฆ่าหนูตัวเล็กๆ ตัวเดียว ทำไมต้องเผาบ้าน และท่านก็เป็นคนคุยง่าย ไม่ยากอะไร ทำไมพวกเขาต้องทำลายระบบทุกอย่าง เพื่อจัดการคนๆ เดียว
ผมขอบอกนะครับ "พวกเขาไม่ได้ต้องการจ้ัดการ ตัวท่านทักษิณ" แต่สิ่งที่คุกคามพวกเขาหรือ ระบอบอำมาตยาธิปไตยเลยก็ว่าได้คือ "ชื่อเสียงเกียรติภูมิของท่าน" จะรวมๆ เรียกว่า "ระบอบทักษิณ" อะไรก็แล้วแต่
ระบอบทักษิณ คือ ระบบการคิด ที่คุกคาม ระบอบอำมาตยาธิปไตยครับ
เหมือนมาร์กซิสต์ ตัวของ มาร์กเอง คงคุกคามใครไม่ได้ แต่ "แนวคิดของมาร์กต่างหาก" ที่คุกคามระบอบทุกนิยม ระบอบทุนนิยม เลยต้องสู้กับมาร์กซิสต์ (ที่เป็นระบอบ ไม่ใช่ตัวคาล มาร์ก)
มาร์กซิสต์ มันชัดเจนที่แนวคิด
แต่ ระบอบทักษิณเกียรติภูมิทักษิณ มันผูกพันกับตัวท่านด้วย พวกเขาจะทำลายระบอบทักษิณ ต้องทำลายชื่อเสียงของท่านเสียก่อน เพื่อไม่ให้มีคนนิยม เพราะหากไม่มีคนนิยม มันก็ไม่คุกคามต่อระบอบอำมาตย์ฯ
ดังนั้น ท่านจะเจรจา อยากคุยหรือไม่ มันไม่สำคัญ สำคัญคือ พวกเขาจะกำจัด การคุกคามของระบอบทักษิณออกไปได้อย่างไร ไม่ทำลายชื่อเสียง เกียรติภูมิ ชีวิตของท่านแล้ว มันจะกำจัดไปได้อย่างไร
นี่เป็นผลสืบเนื่อง
ระบอบทักษิณ คืออะไร มันก็รวมๆ คือสิ่งที่ "คนรากหญ้าต้องการอยู่ทุกวันนี้แหละครับ" คือสิ่งที่ท่านทำตอนเป็นรัฐบาลและคนนิยมนั่นแหละครับ
มันทำให้คนรากหญ้าตื่น และ "นิยมทักษิณมากเกินไป" จนคุกคามต่อสถานภาพของ "คนบางกลุ่มบางคน"
ท่านต้องตาย และเสียชื่อ พวกเขาจึงจะยอมครับ
ท่านมีทางเลือกสองทางในวิกฤติครั้งนี้คือ
สู้ให้ชนะ
หรือยอมให้เขาฆ่าครับ
ไม่มีเส้นทางสายอื่นหรอกครับ
หากท่านเหนื่อย และเบื่อ อยากจบ ก็ยอมให้พวกเขาฆ่าเสีย มันก็จบ กลับมาติดคุกก็ไม่ได้ครับ เพราะประชาชน ก็จะเดินขบวนประท้วง คนเสื้อแดงก็จะช่วยท่านอีก ต้องตายอย่างเดียวครับ ที่จริงตายก็ไม่พอ ต้องทำให้คนเกลียดชัง ด้วย พวกเขาจึงจะกำจัดการคุกคามของระบอบทักษิณ ต่อระบอบอำมาตย์ได้
ท่านอยู่ต่างประเทศตลอดไปก็คงไม่ได้ ก็ยังเป็นภัยคุกคามพวกเขาอยู่ดี เพราะชื่อเสียงบารมีของท่านมัน "ขายได้ในทางการเมือง" นักการเมืองฝ่ายเสื้อแดง เขาก็ต้องไปเข็น หรือเอาท่านมาหาเสียง เพื่อสร้างความนิยม อำมาตย์ก็จะระแวง สุดท้ายท่านก็ต้องถูกคุกคามอยู่ดี ถูกกำจัดอยู่ดี ไม่อย่างนั้นบ้านเมืองของพวกเขาก็จะไม่ "สงบราบคาบ"
หากไม่สู้ให้จบ ท่านก็ต้องยอมตายไปเสียนั่นแหละจึงจะจบ สำหรับท่าน
ที่มา:thaifreenews
โดย ลูกชาวนาไทย »
คุณทักษิณยังงงๆ อยู่ว่าเพื่อฆ่าหนูตัวเล็กๆ ตัวเดียว ทำไมต้องเผาบ้าน และท่านก็เป็นคนคุยง่าย ไม่ยากอะไร ทำไมพวกเขาต้องทำลายระบบทุกอย่าง เพื่อจัดการคนๆ เดียว
ผมขอบอกนะครับ "พวกเขาไม่ได้ต้องการจ้ัดการ ตัวท่านทักษิณ" แต่สิ่งที่คุกคามพวกเขาหรือ ระบอบอำมาตยาธิปไตยเลยก็ว่าได้คือ "ชื่อเสียงเกียรติภูมิของท่าน" จะรวมๆ เรียกว่า "ระบอบทักษิณ" อะไรก็แล้วแต่
ระบอบทักษิณ คือ ระบบการคิด ที่คุกคาม ระบอบอำมาตยาธิปไตยครับ
เหมือนมาร์กซิสต์ ตัวของ มาร์กเอง คงคุกคามใครไม่ได้ แต่ "แนวคิดของมาร์กต่างหาก" ที่คุกคามระบอบทุกนิยม ระบอบทุนนิยม เลยต้องสู้กับมาร์กซิสต์ (ที่เป็นระบอบ ไม่ใช่ตัวคาล มาร์ก)
มาร์กซิสต์ มันชัดเจนที่แนวคิด
แต่ ระบอบทักษิณเกียรติภูมิทักษิณ มันผูกพันกับตัวท่านด้วย พวกเขาจะทำลายระบอบทักษิณ ต้องทำลายชื่อเสียงของท่านเสียก่อน เพื่อไม่ให้มีคนนิยม เพราะหากไม่มีคนนิยม มันก็ไม่คุกคามต่อระบอบอำมาตย์ฯ
ดังนั้น ท่านจะเจรจา อยากคุยหรือไม่ มันไม่สำคัญ สำคัญคือ พวกเขาจะกำจัด การคุกคามของระบอบทักษิณออกไปได้อย่างไร ไม่ทำลายชื่อเสียง เกียรติภูมิ ชีวิตของท่านแล้ว มันจะกำจัดไปได้อย่างไร
นี่เป็นผลสืบเนื่อง
ระบอบทักษิณ คืออะไร มันก็รวมๆ คือสิ่งที่ "คนรากหญ้าต้องการอยู่ทุกวันนี้แหละครับ" คือสิ่งที่ท่านทำตอนเป็นรัฐบาลและคนนิยมนั่นแหละครับ
มันทำให้คนรากหญ้าตื่น และ "นิยมทักษิณมากเกินไป" จนคุกคามต่อสถานภาพของ "คนบางกลุ่มบางคน"
ท่านต้องตาย และเสียชื่อ พวกเขาจึงจะยอมครับ
ท่านมีทางเลือกสองทางในวิกฤติครั้งนี้คือ
สู้ให้ชนะ
หรือยอมให้เขาฆ่าครับ
ไม่มีเส้นทางสายอื่นหรอกครับ
หากท่านเหนื่อย และเบื่อ อยากจบ ก็ยอมให้พวกเขาฆ่าเสีย มันก็จบ กลับมาติดคุกก็ไม่ได้ครับ เพราะประชาชน ก็จะเดินขบวนประท้วง คนเสื้อแดงก็จะช่วยท่านอีก ต้องตายอย่างเดียวครับ ที่จริงตายก็ไม่พอ ต้องทำให้คนเกลียดชัง ด้วย พวกเขาจึงจะกำจัดการคุกคามของระบอบทักษิณ ต่อระบอบอำมาตย์ได้
ท่านอยู่ต่างประเทศตลอดไปก็คงไม่ได้ ก็ยังเป็นภัยคุกคามพวกเขาอยู่ดี เพราะชื่อเสียงบารมีของท่านมัน "ขายได้ในทางการเมือง" นักการเมืองฝ่ายเสื้อแดง เขาก็ต้องไปเข็น หรือเอาท่านมาหาเสียง เพื่อสร้างความนิยม อำมาตย์ก็จะระแวง สุดท้ายท่านก็ต้องถูกคุกคามอยู่ดี ถูกกำจัดอยู่ดี ไม่อย่างนั้นบ้านเมืองของพวกเขาก็จะไม่ "สงบราบคาบ"
หากไม่สู้ให้จบ ท่านก็ต้องยอมตายไปเสียนั่นแหละจึงจะจบ สำหรับท่าน
ที่มา:thaifreenews
โดย ลูกชาวนาไทย »
วันศุกร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553
"เสื้อแดง" นัดบุก กกต. 15 ก.พ.นี้ อัดรบ.ปูดข่าวเงินนอกส่งท่อน้ำเลี้ยงกล่าวหาเลื่อนลอย
"เสื้อแดง" ชุมนุมไล่ 9 ป.ป.ช. ออก สลายตัวแล้ว แผ่นเสียงตกร่อง "ที่มาไม่ชอบ-2 มาตรฐาน" ซัดรบ.ยกเมฆหารับเงินจากนอก นัดบุก กกต. 15 ก.พ.นี้
ผู้สื่อข่าวรายงานมวลชนเสื้อแดงจากกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) กว่า 1 พันคน นำโดยนายวีระ มุสิกพงศ์ นายจตุพร พรหมพันธุ์ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ นายก่อแก้ว พิกุลทอง นายวิภูแถลง พัฒนภูมิไทย ชุมนุมหน้าสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ปปช.) เมื่อท่ามกลางการวางกำลังตำรวจ อารักขาและรักษาความปลอดภัยบริเวณนั้นประมาณ 500 นาย โดยนายวีระกล่าวปราศรัยโจมตี ป.ป.ช. มีที่มาไม่ถูกต้อง ทั้งมาจากคณะรัฐประหาร และไม่ได้รับการโปรดเกล้าฯ จากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อีกทั้งยังทำงานในลักษณะการกระทำ 2 มาตรฐานในคดีต่างๆ และเรียกร้องให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. 9 คนลาออก
นายณัฐวุฒิกล่าวก่อนขึ้นปราศรัยว่า ป.ป.ช.ต้องหยุดกระทำ 2 มาตรฐาน ขณะนี้หลายคดีที่มีความเกี่ยวข้องกับพรรคประชาธิปัตย์หรือบุคคลในเครือข่ายอำมาตยาธิปไตยได้รับการเพิกเฉย หรือประวิงเวลาถ่วงรั้ง ต่างกับคดีที่มีความเกี่ยวข้องกับกลุ่มคนในกลุ่มพรรคไทยรักไทย หรือพรรคพลังประชาชน หรือเครือข่ายกลุ่มคนเสื้อแดงจะมีความรวดเร็วในการดำเนินคดี
"อย่างคดี ปรส.ที่พรรคประชาธิปัตย์ถูกกล่าวหาทุจริตหลายคดีหลายแสนล้านบาท และคดีทุจริตในกรุงเทพมหานครในยุคที่มีนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน อดีตผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครดำรงตำแหน่งก็ยังไม่มีความคืบหน้า แตกต่างจากคดีเกี่ยวพันกับคดีหมิ่นประมาทที่นายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกรัฐมนตรี และนายดุสิต ศิริวรรณ เป็นจำเลย นายสามารถ ราชพลสิทธิ์ ซึ่งคดีอยู่ในศาลฎีกาแล้วในขณะนี้ หรือคดี 7 ตุลา หลายๆ เรื่องนำมาสู่ที่มาของคำว่า 2 มาตรฐานไ นายณัฐวุฒิกล่าว
เสื้อแดง 4
นายณัฐวุฒิกล่าวว่า ในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ จะมีการเดินทางไปชุมนุมที่ กกต. ระหว่างเวลา 12.00-18.00 น. จากนั้นอาจจะมีภาค 2 ของเขายายเที่ยงและเขาสอยดาว เพราะได้ข้อมูลมาว่า พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี ในขณะที่ดำรงตำแหน่งเป็นแม่ทัพภาคที่ 2 ได้กระทำการหลายอย่าง เช่น มีการนำกำลังเข้าไปจับกุมการตัดไม้ทำลายป่า แต่ของกลางดังกล่าวหายไป กลายเป็นเก้าอี้ กลายเป็นไม้ตกแต่งของผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่ง ส่วนกรณีเขาสอยดาวก็ได้ข้อมูลมาเพิ่มเติมน่าสนใจ และอาจจะมีการนัดชุมนุมที่ธนาคารกรุงเทพ สำนักงานใหญ่ เพื่อถามกับผู้บริหารธนาคารกรุงเทพ ซึ่งจะมีการหารือและสรุปกันอีกครั้งในวันที่ 17 กุมภาพันธ์
"ขณะนี้รัฐบาลพยายามสร้างสถานการณ์และข้อมูลอันเป็นเท็จกับบุคคลเสื้อแดง ผมยืนยันว่าเราต่อสู้มาโดยไม่ได้รับเงินจากต่างประเทศใดๆ และยืนยันว่าเป็นการยกเมฆปั้นเรื่องเท็จล้านเปอร์เซ็นต์ แต่ของผมมีหลักฐานทางการเงินที่กลุ่มทุนบริษัทยักษ์ใหญ่กลุ่มหนึ่งของประเทศได้มอบเงินส่วนหนึ่งให้กับ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษหลายล้านบาท ผมมีหลักฐานทางรัฐบาลสนใจหรือไม่ จะให้ทาง ปปง. หรือดีเอสไอ ตรวจสอบข้อมูลที่พูดหรือไม่ ถ้าสนใจติดต่อมา ยินดีมอบหลักฐานให้ และภายในวันหรือสองวันนี้จะแสดงหลักฐานให้ประจักษ์ชัดเจนกับสังคม ซึ่งเรื่องนี้กำลังรอคำอธิบายอยู่" นายณัฐวุฒิกล่าว
ทั้งนี้ การชุมนุมดังกล่าวดำเนินมาถึงเวลา 18.30 น. จากนั้นมวลชนเสื้อแดงร่วมกันร้องเพลงชาติ ก่อนที่จะสลายตัวไป
ที่มา:มติชนออนไลน์
ผู้สื่อข่าวรายงานมวลชนเสื้อแดงจากกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) กว่า 1 พันคน นำโดยนายวีระ มุสิกพงศ์ นายจตุพร พรหมพันธุ์ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ นายก่อแก้ว พิกุลทอง นายวิภูแถลง พัฒนภูมิไทย ชุมนุมหน้าสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ปปช.) เมื่อท่ามกลางการวางกำลังตำรวจ อารักขาและรักษาความปลอดภัยบริเวณนั้นประมาณ 500 นาย โดยนายวีระกล่าวปราศรัยโจมตี ป.ป.ช. มีที่มาไม่ถูกต้อง ทั้งมาจากคณะรัฐประหาร และไม่ได้รับการโปรดเกล้าฯ จากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อีกทั้งยังทำงานในลักษณะการกระทำ 2 มาตรฐานในคดีต่างๆ และเรียกร้องให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. 9 คนลาออก
นายณัฐวุฒิกล่าวก่อนขึ้นปราศรัยว่า ป.ป.ช.ต้องหยุดกระทำ 2 มาตรฐาน ขณะนี้หลายคดีที่มีความเกี่ยวข้องกับพรรคประชาธิปัตย์หรือบุคคลในเครือข่ายอำมาตยาธิปไตยได้รับการเพิกเฉย หรือประวิงเวลาถ่วงรั้ง ต่างกับคดีที่มีความเกี่ยวข้องกับกลุ่มคนในกลุ่มพรรคไทยรักไทย หรือพรรคพลังประชาชน หรือเครือข่ายกลุ่มคนเสื้อแดงจะมีความรวดเร็วในการดำเนินคดี
"อย่างคดี ปรส.ที่พรรคประชาธิปัตย์ถูกกล่าวหาทุจริตหลายคดีหลายแสนล้านบาท และคดีทุจริตในกรุงเทพมหานครในยุคที่มีนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน อดีตผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครดำรงตำแหน่งก็ยังไม่มีความคืบหน้า แตกต่างจากคดีเกี่ยวพันกับคดีหมิ่นประมาทที่นายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกรัฐมนตรี และนายดุสิต ศิริวรรณ เป็นจำเลย นายสามารถ ราชพลสิทธิ์ ซึ่งคดีอยู่ในศาลฎีกาแล้วในขณะนี้ หรือคดี 7 ตุลา หลายๆ เรื่องนำมาสู่ที่มาของคำว่า 2 มาตรฐานไ นายณัฐวุฒิกล่าว
เสื้อแดง 4
นายณัฐวุฒิกล่าวว่า ในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ จะมีการเดินทางไปชุมนุมที่ กกต. ระหว่างเวลา 12.00-18.00 น. จากนั้นอาจจะมีภาค 2 ของเขายายเที่ยงและเขาสอยดาว เพราะได้ข้อมูลมาว่า พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี ในขณะที่ดำรงตำแหน่งเป็นแม่ทัพภาคที่ 2 ได้กระทำการหลายอย่าง เช่น มีการนำกำลังเข้าไปจับกุมการตัดไม้ทำลายป่า แต่ของกลางดังกล่าวหายไป กลายเป็นเก้าอี้ กลายเป็นไม้ตกแต่งของผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่ง ส่วนกรณีเขาสอยดาวก็ได้ข้อมูลมาเพิ่มเติมน่าสนใจ และอาจจะมีการนัดชุมนุมที่ธนาคารกรุงเทพ สำนักงานใหญ่ เพื่อถามกับผู้บริหารธนาคารกรุงเทพ ซึ่งจะมีการหารือและสรุปกันอีกครั้งในวันที่ 17 กุมภาพันธ์
"ขณะนี้รัฐบาลพยายามสร้างสถานการณ์และข้อมูลอันเป็นเท็จกับบุคคลเสื้อแดง ผมยืนยันว่าเราต่อสู้มาโดยไม่ได้รับเงินจากต่างประเทศใดๆ และยืนยันว่าเป็นการยกเมฆปั้นเรื่องเท็จล้านเปอร์เซ็นต์ แต่ของผมมีหลักฐานทางการเงินที่กลุ่มทุนบริษัทยักษ์ใหญ่กลุ่มหนึ่งของประเทศได้มอบเงินส่วนหนึ่งให้กับ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษหลายล้านบาท ผมมีหลักฐานทางรัฐบาลสนใจหรือไม่ จะให้ทาง ปปง. หรือดีเอสไอ ตรวจสอบข้อมูลที่พูดหรือไม่ ถ้าสนใจติดต่อมา ยินดีมอบหลักฐานให้ และภายในวันหรือสองวันนี้จะแสดงหลักฐานให้ประจักษ์ชัดเจนกับสังคม ซึ่งเรื่องนี้กำลังรอคำอธิบายอยู่" นายณัฐวุฒิกล่าว
ทั้งนี้ การชุมนุมดังกล่าวดำเนินมาถึงเวลา 18.30 น. จากนั้นมวลชนเสื้อแดงร่วมกันร้องเพลงชาติ ก่อนที่จะสลายตัวไป
ที่มา:มติชนออนไลน์
วุ่นวายเพราะอำมาตย์เลือกรัฐบาลผิด
เพื่อความต่อเนื่องของอรรถรสในการฟัง “เล่าสู่กันฟัง” (ทอล์ค อะราวนด์ เดอะ เวิลด์) พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จึงได้จัดรายการทุกวันตั้งแต่วันจันทร์-วันศุกร์ เวลา 20.30-21.00 น. เว้นวันเสาร์-อาทิตย์ สำหรับวันอังคารที่ 9 กุมภาพันธ์ 2553 เป็นการเล่าถึงการเข้ามาของโทรศัพท์มือถือในประเทศไทยและการเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯของบริษัทชินฯ การซื้อขายหุ้นและการเพิ่มทุน นำมาสู่ความร่ำรวยจากความบริสุทธิ์โปร่งใส ไม่ได้โกงกินอย่างที่ถูกกล่าวหา ดังรายละเอียดดังนี้
พูดทุกวันจันทร์-ศุกร์
สวัสดีครับพี่น้อง วันนี้เรื่องราวที่ได้พูดตอนช่วงที่ผมลำบากอาจจะตรงกับเหตุการณ์ในช่วงนี้ที่หลายคนกำลังลำบาก หลายคนบอกว่าอยากจะฟังบ่อยขึ้นเพื่อเรื่องจะได้ปะติดปะต่อ เพราะทิ้งไปทีอาทิตย์หนึ่ง ผมเลยขอพูดวันจันทร์-ศุกร์ แต่ว่าเป็นวันละครึ่งชั่วโมง เพื่อเล่าให้พี่น้องฟังเกี่ยวกับชีวิตการต่อสู้ของผม เผื่อจะเป็นเกร็ดประโยชน์ให้กับท่านว่าผมตั้งตัวมายังไงถึงเป็นได้ขนาดนี้ หลายคนกำลังอยู่ระหว่างการต่อสู้ชีวิต เผื่ออะไรจะเป็นประโยชน์ได้บ้าง ต่อไปนี้เราจะพบกันทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 20.30-21.00 น. วันเสาร์-อาทิตย์ไม่มีนะครับ
วันนี้มีเสื้อแดงเยอรมันแวะมาเยี่ยมที่บ้าน 3 คน เป็นคนไทยที่แต่งงานกับคนเยอรมัน ส่วนใหญ่มีครอบครัวดีๆ มีฐานะดี บางคนเป็นเจ้าของโรงงาน มาถามผมว่าเขาซื้อขาหมูเยอรมันกับไส้กรอกเยอรมันมาฝาก ซึ่งเป็นอาหารขึ้นชื่อที่โน่น อร่อยที่สุดที่เคยกินมา ต้องขอบคุณเรด เยอรมนี ที่ส่งตัวแทนมาเยี่ยมผม อีกคนเป็นคนสันกำแพง คนแม่กระปอง แนะนำให้ไปเที่ยวโฮมสเตย์ เขาถามผมว่าท่านไม่เครียดหรือค่ะ ผมก็บอกว่าถ้าผมมองแคบๆ มองแต่ปัญหาส่วนตัวก็น่าจะเครียดเพราะโดนขนาดนี้ แต่ถ้าผมมองว่าตัวเองเป็นคนธรรมดาคนหนึ่งได้รับการสนับสนุนจากพี่น้องคนไทยเป็นล้านๆคน และออกมาต่อสู้ เสียสละเงินทอง และบางครั้งต้องเสี่ยงชีวิตมาช่วยผมขนาดนี้ ผมควรจะมีความสุข ไม่ควรจะเครียด
ผมดีใจว่าแต่ละที่พี่น้องออกมาช่วยกัน แกนนำผมบางคนขายที่ดิน ขายแรงเพื่อมาต่อสู้ เพราะผมเองก็ไม่สามารถดูแลใครได้ ก็สู้มาเต็มที่ขนาดนี้ อย่างคนที่อยู่เยอรมนีมีฐานะดีหน่อย เชื่อมั้ยครับว่าเขาไปต่างประเทศ ไปด้วยการกู้เงินกองทุนหมู่บ้าน แล้วก็ไปทำงานอยู่พักหนึ่งจนได้พบเนื้อคู่ ได้แต่งงาน และดูดี เป็นวิศวกรโรงงาน มาช่วยเสื้อแดงเพราะว่าเงินกองทุนหมู่บ้านที่ช่วยเขาให้ได้ไปทำงานต่างประเทศ เพราะตอนนั้นเขาบ้านแตกสาแหรกขาดเนื่องจากความลำบากในชีวิตครอบครัว เลยคิดว่าไปเสี่ยงดวงต่างประเทศก็ได้รับความสำเร็จ ก็เลยมาเป็นกำลังสำคัญ ทุกครั้งที่ชุมนุมใหญ่ก็จะมีเขามาช่วยค่าน้ำค่าอาหาร ต้องขอขอบคุณคนไทยอีกเยอะที่ผมไม่ได้เอ่ยนาม ขอขอบคุณและเป็นกำลังใจให้กันและกัน
ทำเรื่องง่ายให้เป็นเรื่องยาก
ช่วงนี้ได้รับรายงานเรื่อยๆว่ามีการเสริมกำลังทหารตรงนั้นตรงนี้ ผมนั่งฟังแล้วมีความรู้สึกว่า เออ...ทำไมเรื่องง่ายๆต้องทำให้ยาก ทำไมทำเรื่องง่ายให้เป็นเรื่องยากไปได้ ที่จริงไม่เห็นมีอะไรเลย ก็คืนความเป็นธรรมให้กับสังคม คืนประชาธิปไตยที่แท้จริงให้กับสังคม แค่นั้นทุกอย่างก็สงบ บ้านเมืองก็เดินต่อไปได้ ประชาชนก็ไปทำมาหากิน ทหารก็ไม่ต้องมานั่งอารักขา วุ่นวายกันทั่วไปหมด นายกฯจะไปไหนก็ไปได้ ไม่ต้องใช้ทหารมาคุ้มครอง ทำไมเรื่องแค่นี้กลับมองเป็นเรื่องใหญ่ โอ้โห...เดี๋ยวตั้งด่าน เดี๋ยวออกเป็น พ.ร.ก. เป็นเรื่องที่สามารถยุติได้ง่ายๆ 2 มาตรฐานทำทำไม? ประชาชนเข้าชื่อ 3 ล้านกว่าคนขอพระราชทานอภัยโทษให้ผม กระทรวงยุติธรรมดันไปกักเรื่องไว้ ส่วนสนธิ (ลิ้มทองกุล) ก็บอกว่าต้องติดคุกก่อน แต่พอสนธิเรื่องยังอยู่ที่อัยการ ทำเรื่องขอพระราชทานอภัยโทษส่งเข้าไปในวังเรียบร้อย นี่คือสิ่งที่ยิ่งทำยิ่งผูกปมมากขึ้น เขาชี้ปมอะไรให้แก้ก็กลับไปเพิ่มปมอีก ผมก็ไม่เข้าใจ
วันนี้ผมไม่เข้าใจวิธีคิดของพวกท่านทั้งหลาย ไม่รู้สิ...อาจจะเป็นเพราะว่าอำมาตย์เลือกรัฐบาลผิดมั้งถึงวุ่นวายขนาดนี้ แทนที่คิดว่าจะสร้างความปรองดองอย่างไรกลับยิ่งขันให้แน่น คนที่มองไม่เห็นความเป็นธรรม 2 มาตรฐานใครจะรับได้ครับ จุดง่ายๆนิดเดียว ให้ระบบทำงานเองอย่าไปแทรกแซงระบบ แค่นี้ทุกอย่างก็เดินได้ แต่กลับไปแทรกแซงระบบ และทุกอย่างที่เสื้อแดงปฏิบัติเป็นผลพวงจากการปฏิวัติทั้งสิ้น ทำไมเรื่องของประชาธิปไตยต้องเอาเผด็จการเข้ามาจัดการ นี่คือสิ่งที่ต้องแก้ไข และแก้ได้ง่ายแต่ไม่แก้ มันมีอะไรมากขึ้นเรื่อยๆก็เป็นฝีมือของท่านเองนะ
จะสู้เพื่อความเป็นธรรม
มาพูดเรื่องเบาๆของเราดีกว่า มีคนถามว่ารัฐบาลพลัดถิ่นท่านตั้งแล้วจะทำยังไง ผมก็อธิบายให้ฟังเรื่องที่ผมพูดเรื่องศาลโลกเป็นยังไง ผมก็บอกว่าวันนี้นักกฎหมายต่างประเทศเข้ามาพบผมหลายคน มาเตรียมการไว้ ทุกคนบอกว่ามีเคสเกิดขึ้นแล้วกับประเทศเพื่อนบ้านเราเอง เป็นสิ่งที่ต้องเตรียมครับ อย่างที่ผมเรียนไว้ว่า เมื่อไรความเป็นธรรมไม่ได้รับก็ต้องแสวงหาให้ถึงที่สุด ไม่ว่าอยู่ในนรกหรือสวรรค์ เพราะตราบใดที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมไม่มีใครยอมหรอก อันนี้เป็นสัญชาตญาณของมนุษย์ที่ต้องต่อสู้เพื่อความเป็นธรรม และผมจบปริญญาเอกเรื่องการบริหารงานยุติธรรมเสียด้วย ฉะนั้นความไม่เป็นธรรมผมไม่ยอม มันเป็นเรื่องของอุดมการณ์
มาเล่าเรื่องเบาๆกันดีกว่า คราวที่แล้วผมบอกว่าจะเล่าว่าจากคนที่มีหนี้สินแล้วเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯได้ยังไง ขั้นตอนยังไง ขั้นตอนตรงนี้สำคัญเลยอยากให้พี่น้องที่สนใจ ที่มีหุ้นอยู่ในตลาด หรืออยากเอาหุ้นเข้าในตลาด ลองฟังดูเผื่อจะใช้ได้ ก่อนจะไปถึงขั้นนั้นต้องรู้ก่อนว่าการเข้าตลาดคืออะไร คือการเอาอดีต ปัจจุบัน และอนาคตไปขออนุญาตให้เข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ คือต้องมีอดีต เราทำงานที่ไหน ทำอะไรมาบ้าง เรามีกลุ่มบริษัทอย่างไร สร้างมาอย่างไร ปัจจุบันมีอะไรเหลืออยู่และอนาคตจะทำไงต่อ จะขยายงานออกไปอย่างไร แล้วก็เอาตัวเลขมาบอกว่าตัวเลขเหล่านี้จะทำกำไรในอนาคตยังไง ราคาหุ้นก็ดี มูลค่าของบริษัทก็ดี คือการตีราคาปัจจุบันกับอนาคตเพื่อเอามาให้คนซื้อหุ้นและร่วมลงทุน เพราะฉะนั้นเราจะต้องเตรียมอดีต ปัจจุบัน และอนาคต
จุดเริ่มโทรศัพท์เคลื่อนที่
ผมได้เข้าตลาดปี 2533 ผมขอเล่าอดีตนิดหนึ่ง ก่อนจะมีโทรศัพท์มือถือ ก่อนหน้านั้นเซลลูล่าโฟนยังไม่เกิด แต่ว่ามีการใช้โทรศัพท์แบบไร้สายในบ้าน ตอนหลังก็มีคนคิดว่าใช้วิทยุที่มีกำลังสูงๆ โทรศัพท์ไร้สายที่อยู่ในบ้าน โดยพ่วงกับโทรศัพท์บ้านแล้วจะสามารถออกไปไกลขึ้น ผมก็ไปฮ่องกง ซื้อโทรศัพท์ไร้สายที่พ่วงเบอร์บ้านแต่มีตัวลูกที่สามารถเอาออกไปไกลๆได้ โดยตั้งสถานีที่มีความเร็วสูงขึ้นและตั้งเสาให้สูงขึ้น ผมก็เอาติดรถไปเพราะผมสามารถที่จะใช้โทรศัพท์ได้แล้วก็พูดได้ รับสายได้ โดยอยู่ไกลจากบ้าน ก็เอาไปทดลองดู
ผมหิ้วไปเจอเพื่อน เพื่อนผมคนหนึ่งชื่อประภัตร โพธสุธน ซึ่งเป็นนักการเมืองที่รู้จักกันเมื่อ 2548 ตอนนั้นเป็นเลขาฯรัฐมนตรีช่วยคลังอยู่ก็เลยรู้จักกัน อายุเท่ากัน ผมหิ้วโทรศัพท์ไร้สายไปบอกว่า ประภัตรอนาคตข้างหน้าโทรศัพท์อย่างนี้จะหิ้วไปได้ทั่วโลก เขาก็บอกว่าเอ็งบ้า เอ็งถือเครื่องไม้เครื่องมืออย่างนี้เอ็งบ้า จะเป็นไปได้ยังไง โทรศัพท์อะไรจะหิ้วไปได้ทั่วโลก ผมบอกว่าตอนนี้เราแค่หิ้วออกข้างนอกไปไกลๆบ้านได้แล้ว อีกหน่อยจะหิ้วไปได้ทั่วโลก เขาก็บอกว่าไม่เชื่อ
ไทยเป็นลูกหนี้ IMF
สาเหตุที่ผมพูดเช่นนั้นเนื่องจากว่าผมไปงานนิทรรศการเกี่ยวกับโทรคมนาคมบ่อยๆ เพื่อไปเรียนรู้ ตอนหลังโทรศัพท์มือถือเริ่มต้นที่การสื่อสาร ตอนนั้นมี 2 ระบบแข่งกันคือ โซนี่ อิริคสัน กับโมโตโรล่า พอดีช่วงนั้น พล.อ.เปรม (ติณสูลานนท์) เป็นนายกฯ เป็นช่วงที่ประเทศไทยมีปัญหาทางการเงินและต้องเป็นลูกหนี้ IMF รอบแรก ดร.โกร่ง (วีระพงษ์ รามางกูร) เป็นที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจของนายกฯ IMF สั่งว่าประเทศไทย โดยเฉพาะรัฐวิสาหกิจ ต้องหยุดการลงทุน ฉะนั้นการลงทุนต้องให้เอกชนลงทุน ช่วงนั้นจึงมีการอนุญาตให้เอกชนเข้ามาขยายการลงทุนแทนภาครัฐ กฎหมายขณะนั้นก็ยังเป็นกฎหมายล้าหลังอยู่ คือให้เอกชนมาลงทุนและยกทรัพย์สมบัติให้กับรัฐ แล้วได้รับสิทธิไปทำมาหากินกับเครื่องมือนั้นเป็นระยะเวลาเท่าไรก็แล้วแต่รายได้ นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนั้น
บุกเบิกโนเกียในไทย
ผมก็ไปขออนุญาตทำโทรศัพท์มือถือ ผมเสนอเข้าไปแข่งกับอีกบริษัทหนึ่ง ผมเสนอไป 2 ออพชั่นว่าจะใช้อะไรดี เลยตัดสินใจใช้โนเกีย สมัยก่อนเป็นรุ่นอนาล็อก ผมเสนอไปโดยรู้แล้วว่า GSM กำลังจะมา เลยเสนอไปว่าอีก 5 ปีจะทำ GSM เสนอให้ผลตอบแทนรัฐสูงมากเมื่อเปรียบกับรายได้รัฐ แต่ปรากฏว่าวันนี้ถือว่าไม่สูงเนื่องจากเหตุการณ์ทางเศรษฐกิจเปลี่ยนไป พัฒนาเทคโนโลยีเปลี่ยนไปก็เลยทำให้เซลลูล่าเติบโตเร็วกว่าที่คิด ผมว่าผมคิดล่วงหน้าไปเยอะแต่ก็ยังคิดไม่ทัน เลยเป็นที่มาว่าผมได้สิทธิในการลงทุนทำเซลลูล่าและมือถือ
ผมเป็นรุ่นแรกที่บุกเบิกโนเกีย ตอนนั้นโนเกียถือว่ายังทำกระดาษ ทำโทรทัศน์ ทำปืนล่าสัตว์ ทำเครื่องมือสื่อสารแต่ว่ายังทำไม่มากเท่าไร ถือว่าเป็นลูกค้ารุ่นแรกๆร่วมกับอิตาลี ก็เลยบุกเบิกร่วมกันจนเติบโต สมัยนั้นผมกลายเป็นลูกค้ารายใหญ่ๆเท่าอิตาลีก็เลยทำให้โนเกียกับกลุ่มชินฯเชื่อมโยงกัน ที่เล่าให้ฟังยืดยาวเพราะต้องการชี้ว่าต้องศึกษาที่เราจะทำ เมื่อเรารู้ว่าวิวัฒนาการมาถึงไหนแล้วจะไปยังไง โดยเฉพาะเรื่องการลงทุน เทคโนโลยี
เอาหุ้นเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ
เอาล่ะ ในเมื่อผมเตรียมอดีตไว้แล้ว อนาคตผมก็วาดไว้ว่าบริษัทจะเติบโตอย่างไร ผมก็มองเรื่องดาวเทียม มองเรื่องการขยายเคเบิลทีวี. นั่นคือสิ่งที่เรามอง แต่ตอนนั้นอินเทอร์เน็ตยังไม่เกิด ไม่มีใครเห็นว่าอินเทอร์เน็ตจะเกิด มองอย่างเดียวว่าเบอร์โทรศัพท์เบอร์เดียวที่เรามีสามารถถือไปไหนมาไหนได้ทั่วโลก นั่นคือสิ่งที่คิดไว้ แล้วตอนนั้นนาโนเทคโนโลยีก็ยังไม่เกิด ยังอยู่ในแล็บ เราไม่สามารถเดาได้ว่าโทรศัพท์มือถือจะเล็กลงได้ แต่เราก็บอกอนาคตไปได้ระดับหนึ่ง ไม่มีปัญหา เซลลูล่านี่ลงทุนกันทีเป็นหมื่นล้าน แต่วันแรกที่เราทำอยู่ลงทุนเพียงไม่กี่ร้อยล้านเพราะไม่กล้าลงมาก ก็ลงสถานีไม่กี่แห่ง ไม่กล้าลงเยอะ เราก็คิดว่าไม่อย่างนั้นแล้วเราจะเอาตังค์ที่ไหนมาลงทุนเป็นหมื่นๆล้าน
ในวันนั้นผมยังมีหนี้ ก็ปรึกษากันว่าจะทำยังไงดี เลยตัดสินใจเอาหุ้นเข้าตลาดเพราะมีคนมาแนะนำ มีนักบัญชีคนหนึ่งมาแนะนำว่าทำบัญชีให้ถูกต้องตามหลักสากล แล้วก็ให้บริษัทตรวจบัญชีระดับสากลมาตรวจคนจะได้เชื่อถือ แล้วเราก็มาดูว่าจะตัดอะไรออก เอาอะไรเข้า เพื่อให้บริษัทมีความชัดเจน ช่วงนั้นบังเอิญว่าเศรษฐีในไทยยังตามเรื่องเทคโนโลยีไม่ทันเราเลยได้เกิด เพราะระบบทุนนิยมเอาทุนทุบกันเลย แต่พอผมหลุดมาจากตรงนั้นแล้วจะเอาเงินที่ไหนมาจ่าย ก็ตัดสินใจเข้าตลาด
เข้าตลาด-เพิ่มทุน
เราไปจ้างที่ปรึกษาการเงิน ไปจ้างภัทระกับธนชาติมาช่วยกันดู มาทำความสะอาดบัญชีให้ผม ตอนนั้นทุนจดทะเบียนผมมี 20 ล้านบาท ผมเริ่มคิดอยากเข้าตลาดเพราะที่ปรึกษาการเงินมาบอกว่าต้องเพิ่มทุน เพราะทุนแค่นี้ไม่พอ บอกต้องเพิ่มเป็นประมาณ 2,000 ล้านบาท ผมก็...ตายแล้วจะเอาที่ไหน ไม่เป็นไรเพราะเขามั่นใจว่าหุ้นบริษัทนี้ขายได้แน่ เขาก็เลยทำให้เงินกู้ชั่วคราวสั้นๆแล้วก็คืนให้ เลยให้ผมไปกู้เงินแล้วเอาใบหุ้นที่เพิ่มทุนไปกู้เงินเพื่อมาจ่ายเงินเพิ่มทุน
สมมติว่ากู้ 2,000 ล้านบาทก็จ่ายเพิ่มทุนไป หุ้นที่เพิ่มทุนเขาก็เอาไปถือไว้ แล้วพอหุ้นเข้าตลาดก็ขายบางส่วนออกเพื่อเอาเงินไปใช้หนี้ หุ้นสิบบาทตอนนั้นเราขายได้ น่าจะขึ้นไป 300-400 บาท แล้วก็ขายได้กำไรหลายเท่า ก็เพิ่มทุนไปส่วนหนึ่ง ทำ 2 จังหวะคือ ความที่เรามีของดี ระบบทุนนิยมเป็นเรื่องธรรมดา แต่ถ้าของไม่ดีก็ไม่มีใครให้กู้ ก็ต้องทำของตกแต่งให้ดี ไม่ดีก็ทำให้ดี คอยให้ที่ปรึกษาการเงินดู พอเขาดูเสร็จ...ดีนี่ ผมก็เลยไปกู้เงินจากอีกที่หนึ่ง เข้าใจว่าเป็นเครือแบงก์กรุงเทพ ให้ผมกู้เงินมาชั่วคราวเพื่อมาเพิ่มทุน เงินก็เข้าบริษัทเยอะ จ่ายหนี้ได้ ลงทุนได้ ขยายงานได้
ขายหุ้นให้ต่างชาติ
พอหุ้นเข้าตลาดมันก็ขึ้นหลายเท่า หุ้นที่เราเพิ่มทุนก็เพิ่มราคา เราก็แบ่งหุ้นจำนวนหนึ่งไปขาย พอขายได้ก็เอาเงินไปใช้หนี้ ผมเหลือเงินประมาน 100-200 ล้านบาทจากไม่มีตังค์ พอเหลือจากนั้นเราก็นึกว่า ดีใจเว้ย เงินเรา แต่ปรากฏว่าไม่ใช่ เราขยายธุรกิจ พอเซลลูล่าขยายก็ต้องเพิ่มการลงทุน เงินบริษัทไม่พอก็ต้องเพิ่มทุน หุ้นขึ้นก็เพิ่มทุน เราเพิ่มทุนโดยให้สิทธิผู้ถือหุ้นเดิม ตัวเราก็ต้องตาม เงินที่มีอยู่ก็ต้องตามเพื่อให้สัดส่วนไม่หาย เงินก็หมดอีก แล้วพอดีมีนักลงทุนต่างชาติคนหนึ่ง คนนี้เป็นคนที่ลงทุนหลายประเทศ เขาพาผมไปรู้จักกับเศรษฐีอันดับ 2 ของโลก คือนายคาร์ลอส ซาริม ไปพบกันที่นิวยอร์ก ก่อนผมเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ
นายคนนี้ก็ตัดสินใจมาซื้อหุ้นบริษัท 5 เปอร์เซ็นต์ ถ้าจำไม่ผิดผมขายได้ประมาณ 5,000 ล้านบาท ตกลงกันทางโทรศัพท์ ผมกำลังแคะหูอยู่โทรศัพท์มาผมก็บอกว่าขอแคะหูก่อน พอเสร็จก็ลุกขึ้นมาคุย เขาขอซื้อ 10 เปอร์เซ็นต์ผมไม่ขาย เพราะถือว่าวิธีการภาษาการลงทุนเขาบอกว่าต้องให้พอดี ให้น้อยมันก็ไม่ใส่ใจผม ให้มากมันก็ไม่ใส่ใจ เราก็เลยให้แค่ 5 ที่เหลือให้เขาไปไล่ซื้อในตลาด ทำให้หุ้นเราดีขึ้น ผมก็เลยขายไป ได้เงิน 5,000 ล้านบาท ปี 34 เป็นปีที่ผมมีเงินหลายพันล้าน หุ้นครอบครัวผมก็จะลดลงมาเรื่อยจนเหลือ 50 นั่นคือสิ่งที่เราขายหุ้นเอาค่ากำไรเข้ามาก็เก็บเงินสดไว้บ้าง เหลือไว้ส่วนหนึ่งเพื่อควบคุมบริษัทบ้าง ถ้าเรากลัวเขายึดเราก็เก็บหุ้นไว้ครึ่งหนึ่ง
รวยเพราะเงินต่างชาติ
ต่อมาปี 35-36 ก็ขายหุ้นเพิ่ม ตอนนั้นมีเงินสดประมาณหมื่นล้านแล้ว มาเข้าการเมืองตอนนั้นอายุ 42 เห็นแสงสว่างตอนนั้น เริ่มได้ตังค์แล้ว ตามที่ได้พูดกับภรรยาไว้ว่าเราไปเรียนกลับมาสักวันต้องมีร้อยล้าน เท่ากับว่าผมไปเรียนปริญญาเอกกลับมาปี 22 ใช้เวลา 12 ปีก็หาเงินได้ร้อยล้านครั้งแรก หลังจากนั้นมีมากเพราะเอาหุ้นเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ ครอบครัวผมเงินทั้งหมดส่วนใหญ่ได้จากต่างประเทศ หุ้นครอบครัวผมเป็นหุ้นที่กองทุนต่างประเทศชอบซื้อ แม้กระทั่งล่าสุดที่ขายให้เทมาเส็กก็เป็นเงินที่ต่างประเทศเอาเข้ามา ไม่ได้เป็นการเอาเงินในไทยเลย เล่าสู่กันฟังว่ากว่าจะมาเป็นวันนี้ต้องชิงไหวชิงพริบและทำให้ต่างประเทศเชื่อถือถึงจะเอาเงินเขามาได้ ดวงผมบังเอิญว่าทำมาหากินต่างประเทศดี
เมื่อเดือนเมษายน 35 ตอนนั้นเราต้องการจะเพิ่มทุนบริษัท และต้องการให้บริษัทเป็นที่รู้จักทั่วโลก ก็ไปทำโรดโชว์กับนักลงทุนทั่วโลก ไปบอสตัน นิวยอร์ก และกลับมาลอนดอน ตอนนั้นคุณหญิงก็พาลูกๆไปเจอที่ลอนดอน หลังโรดโชว์จบก็มาตกลงกันว่าจะขายหุ้นราคาเท่าไร และขายกี่หุ้น ตอนนั้นใกล้พฤษภาทมิฬด้วย ที่ปรึกษาก็อึกอักๆบอกว่าหุ้นที่ตั้งใจจะขายขอรับประกันแค่ครึ่งเดียวได้ไหม ผมก็บอกว่าเดี๋ยวเสียชื่อนะ เหมือนกับว่าไม่น่าเชื่อถือ เอางี้ดีกว่า จะขายหรือไม่ไม่เป็นไร เอาให้ชัด คืนนี้มาบอกผมแล้วกัน คิดเสร็จเขาก็กลับมาบอกว่าเขาวิตกเรื่องการเมืองในประเทศไทย ผมก็บอกว่าอย่าวิตกเลย ประเทศไทยการเมืองเปลี่ยนบ่อยเหมือนเปลี่ยนฤดู อย่าไปสนใจเรื่องการเมืองนัก เขาบอกว่าวิตกขอซื้อครึ่งเดียวได้ไหม ผมก็บอกว่างั้นอย่าซื้อเลย ขอบคุณนะ ผมจะไปเที่ยวแล้ว จากนั้นก็พาลูกเมียไปเที่ยวแล้วก็ไม่ขายเลย จนพฤษภาทมิฬหุ้นร่วงพรวด ผมก็เฉยๆ หลังเหตุการณ์จบก็ขายหุ้นได้ถึง 5,000 ล้านบาท
อย่าใช้เงินผิดประเภท
สิ่งที่เล่าให้ฟังจะสื่อว่าท่านต้องรอบรู้ว่าการเมืองจะเป็นอย่างไร แต่เดี๋ยวนี้ไม่ชั่วคราวแล้ว เอาเป็นเอาตาย 3-4 ปีไม่จบ นักลงทุนต่างประเทศหนีหมดแล้ว เพราะอะไร เพราะเราเอง วันนี้เรากำลังไม่เข้าใจโลกอย่างแรง ผมนั่งอยู่ดูไบมองต่างประเทศว่าเขาไปยังไง ไปถึงไหนแล้ว ไทยคือศูนย์กลางเศรษฐกิจของอาเซียน แต่กลับลากอาเซียนลงเนื่องจากการเมืองในประเทศยังบิดเบือนกลไก ไปแทรกแซงระบบที่มีมาเป็นสิบๆปี บ้านเราไม่มียุทธศาสตร์เพื่อชาติ มีแต่เพื่อฟาดฟันกันเอง นี่คือสิ่งที่เราไม่แก้ ก็ไม่รู้จะทำยังไงจริงๆ
กลับมาพูดกันต่อ เพราะว่าผมต้องการจะเน้นให้บริษัทที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ฯทั้งหลายได้เห็นว่าทำยังไงให้หุ้นตัวเองดี สำคัญที่สุดการซื้อขายหุ้นคนไทยเป็นส่วนน้อยที่จะลงทุนในตลาดหุ้น ท่านจะต้องมีความสัมพันธ์กับนักลงทุน มีการโรดโชว์ทั้งในและนอกประเทศ ตอนผมเข้าตลาดหุ้นใหม่ๆพูดแบบนี้วันละ 2 รอบ 3 รอบ พูดเป็นเทป พูดไปไม่เท่าไรก็ทำให้บริษัทเราเป็นที่รู้จัก ที่สำคัญท่านอย่าใช้เงินผิดประเภท เรื่องนี้น่ากลัวมาก ผมจะเล่าให้ฟังว่าทำไมผมถึงไม่ใช้เงินผิดประเภท เพราะผมถูกสอน ตอนที่หุ้นยังไม่เข้าตลาดมีเงินครั้งแรก ดีใจไปซื้อที่ดิน เสร็จปั๊บเวลาเศรษฐกิจแย่จะขายไม่มีใครซื้อเลย ผลสุดท้ายก็ขายไม่ได้ ธุรกิจมีปัญหา จะเอาเงินมาใส่ก็ไม่ได้ ธุรกิจก็มีปัญหาอีก เอาไปเข้าแบงก์ๆก็ไม่รับ
นำทุกบริษัทเข้าตลาด
เพื่อนผมคนหนึ่งก็มาเตือนว่าอย่าทำนะ คนเอเชียชอบทำ อย่าใช้เงินมั่ว ผมก็ท่องไว้เลย ขนาดว่ามีตังค์แล้วยังไม่ยอมซื้ออสังหาริมทรัพย์เลย เอาเงินส่วนตัวไปซื้อแทน การซื้อตึกชินฯที่พหลโยธินก็ตกกระไดพลอยโจนเหมือนกัน และลงทุนสร้างตึกนี้ 700 กว่าล้านโดยไม่ใช้เงินบริษัทเลย นั่นคือสิ่งที่ทำให้นักลงทุนไม่สับสน ชัดเจนว่าบริษัททำธุรกิจอะไร ก็สร้างชินฯ 1 เสร็จ ชินฯ 2 สร้างเสร็จจะขายแต่ว่าไม่ได้ขาย เพราะตอนนั้นคนเป็นเจ้าของคือพี่ชายของรัฐมนตรียุติธรรมในปัจจุบัน และก็ซื้อตึกนี้ไว้ เป็นการลงทุนครั้งที่ 2 มีเงินแล้วจึงไปสร้างตึกชินฯ 3 ไปซื้อที่จากเพื่อนที่มีปัญหากับธนาคาร ก็เป็นเรื่องที่ครอบครัวลงทุนหมด กลุ่มชินฯไม่ได้ลงทุนเลย ให้คนอื่นมาเช่า ที่สุดก็กลายเป็นเอสซี แอสเซท
ค่อยๆสร้างทีละส่วนๆแต่เราจะต้องแยกแยะให้ออก อย่ามั่ว อย่าพัน ระหว่างที่ชินฯเข้าตลาดไปแล้วนั้นเอไอเอสก็แข็งแรง ผมก็เอาเข้าตลาด บริษัททุกบริษัทของผมโตขึ้นก็แยกกันเข้าตลาด เพราะว่าวันหน้าวันหลังการลงทุนที่ขยายทุนมากๆเราจะได้ไม่ต้องควักเงินส่วนตัวเยอะเกินไป
ต้องรู้เท่าทันระบบทุนนิยม
วันนี้ท่านทั้งหลายต้องรู้ทันระบบทุนนิยม เราต้องอยู่กับมัน ไม่จำเป็นต้องชอบ แต่ว่าวันนี้เป็นการแข่งขันด้วยทุน ต้องมีทุน ถ้าไม่มีเขาไม่นิยม ทุนไม่มีก็หาให้มี เช่นกันครับ ถ้าประเทศไทยบอกว่าทำนาส่งออกข้าวได้ที่หนึ่งของโลกเรามีสิทธิภูมิใจ แต่ถ้ามองกลับไปทำไมต้องให้คนจนทำนา เราลดจำนวนชาวนาได้ไหม เหลือเป็นชาวนาที่มีเครื่องจักร แล้วลูกหลานชาวนาเป็นอย่างอื่นได้มั้ย ทำไมต้องบอกว่าปู่เอ็ง พ่อเอ็งเป็นชาวนา เอ็งก็ต้องเป็นชาวนา แต่กลับภูมิใจว่าส่งออกข้าวเป็นที่หนึ่งของโลก เราควรย้อนกลับมาดูว่าควรภูมิใจหรือไม่ เรามีทางเลือกอื่นไหม
มีครับถ้าเราเข้าใจหา อย่างที่เล่าที่ดูไบเขาเอาต่างชาติมาเป็นลูกน้องคนท้องถิ่น แต่ของเราเอาต่างชาติมาเป็นนาย เราเป็นลูกน้อง เป็นเถ้าแก่อยู่ดีๆส่งลูกไปเรียนเมืองนอก ไปเป็นลูกจ้างฝรั่ง ภูมิใจมาก เป็นอะไรที่ทำไมไม่ให้เขาเป็นเถ้าแก่ นี่คือจุดอ่อนของเราที่ตามโลกไม่ทัน แต่ที่เลวร้ายกว่านั้นคนที่มีอำนาจแฝงสามารถสั่งการให้ระบบเพี้ยนได้ยังมีอยู่ ถึงได้ยุ่งกันถึงทุกวันนี้
พบกันทุกวัน
ปี 37 ผมไปเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ วันนั้นเข้าพรรคพลังธรรม คุณจำลอง (ศรีเมือง) เกรงว่าเวลาจะไม่พอ เรื่องคุณจำลองมันยาว แล้วก็มีเรื่องคุณบรรหาร (ศิลปอาชา) และวิกฤตเศรษฐกิจ ผมจะเล่าให้หมดเลย วันนี้จะเอาเรื่องหนักๆในอดีตมาเล่าให้ชัด จะได้รู้ว่าอะไรเป็นอะไร ผมจะขอเล่าเป็นตอนละครึ่งชั่วโมงทุกวันจันทร์-ศุกร์ ที่พีเพิลชาแนลและทักษิณไลฟ์ จะเล่าชีวิตจริง ละครหลังข่าวของผมที่เป็นนักธุรกิจมาสู่การเมือง จะขอเล่าอย่างชัดเจน ตรงไปตรงมา
วันนี้ขอตอบคำถาม...อยากให้ท่านเตือนสามเกลอด้วย...ขอเรียนอย่างนี้ว่า ได้คุยกันทุกฝ่ายแล้วว่าเราต้องการต่อสู้แบบสันติวิธี อหิงสา แต่เราก็ต้องมีการ์ด มีคนคอยดูแลฝูงชนจำนวนมาก แล้วเราก็มั่นใจว่าจะไม่ถูกรังแก เราจะต้องป้องกันจะสู้อย่างสันติแต่ไม่อ่อนแอ
ถาม...อยากให้ซื้อทีมฟุตบอลที่อังกฤษอีก
ตอบ...ตอนนี้ยังตามเชียร์แมนฯ ซิตี อยู่เลย ผมก็ตามเชียร์ แต่วันก่อนไปแพ้เอา 2-1 ผิดหวังมาก เรื่องไปซื้ออีกคงไม่ไหวนะครับ
ถาม...ทำพ็อกเก็ตบุ๊คเรื่องการสร้างตัว
ตอบ...ตอนนี้ก็ให้คนเขียนที่ผมเล่าไปเกลากันอีกที บางครั้งก็มีประเด็นปลีกย่อยเยอะแยะ ถ้าทำไว้ก็คงให้ลูกหลานศึกษา
ครับ วันนี้ใช้เวลาเกินมานิดหน่อย ขอบคุณที่ติดตามรับชม พรุ่งนี้จะเล่าถึงตัวละครแต่ละคน ใครที่เข้ามาเกี่ยวกับชีวิตผม ไม่ต้องกลัวครับ ผมตรงไปตรงมา ไม่ใส่สี วันนี้ขอบคุณครับ
คอลัมน์ :คำต่อคำ..ทักษิณ
จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้
พูดทุกวันจันทร์-ศุกร์
สวัสดีครับพี่น้อง วันนี้เรื่องราวที่ได้พูดตอนช่วงที่ผมลำบากอาจจะตรงกับเหตุการณ์ในช่วงนี้ที่หลายคนกำลังลำบาก หลายคนบอกว่าอยากจะฟังบ่อยขึ้นเพื่อเรื่องจะได้ปะติดปะต่อ เพราะทิ้งไปทีอาทิตย์หนึ่ง ผมเลยขอพูดวันจันทร์-ศุกร์ แต่ว่าเป็นวันละครึ่งชั่วโมง เพื่อเล่าให้พี่น้องฟังเกี่ยวกับชีวิตการต่อสู้ของผม เผื่อจะเป็นเกร็ดประโยชน์ให้กับท่านว่าผมตั้งตัวมายังไงถึงเป็นได้ขนาดนี้ หลายคนกำลังอยู่ระหว่างการต่อสู้ชีวิต เผื่ออะไรจะเป็นประโยชน์ได้บ้าง ต่อไปนี้เราจะพบกันทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 20.30-21.00 น. วันเสาร์-อาทิตย์ไม่มีนะครับ
วันนี้มีเสื้อแดงเยอรมันแวะมาเยี่ยมที่บ้าน 3 คน เป็นคนไทยที่แต่งงานกับคนเยอรมัน ส่วนใหญ่มีครอบครัวดีๆ มีฐานะดี บางคนเป็นเจ้าของโรงงาน มาถามผมว่าเขาซื้อขาหมูเยอรมันกับไส้กรอกเยอรมันมาฝาก ซึ่งเป็นอาหารขึ้นชื่อที่โน่น อร่อยที่สุดที่เคยกินมา ต้องขอบคุณเรด เยอรมนี ที่ส่งตัวแทนมาเยี่ยมผม อีกคนเป็นคนสันกำแพง คนแม่กระปอง แนะนำให้ไปเที่ยวโฮมสเตย์ เขาถามผมว่าท่านไม่เครียดหรือค่ะ ผมก็บอกว่าถ้าผมมองแคบๆ มองแต่ปัญหาส่วนตัวก็น่าจะเครียดเพราะโดนขนาดนี้ แต่ถ้าผมมองว่าตัวเองเป็นคนธรรมดาคนหนึ่งได้รับการสนับสนุนจากพี่น้องคนไทยเป็นล้านๆคน และออกมาต่อสู้ เสียสละเงินทอง และบางครั้งต้องเสี่ยงชีวิตมาช่วยผมขนาดนี้ ผมควรจะมีความสุข ไม่ควรจะเครียด
ผมดีใจว่าแต่ละที่พี่น้องออกมาช่วยกัน แกนนำผมบางคนขายที่ดิน ขายแรงเพื่อมาต่อสู้ เพราะผมเองก็ไม่สามารถดูแลใครได้ ก็สู้มาเต็มที่ขนาดนี้ อย่างคนที่อยู่เยอรมนีมีฐานะดีหน่อย เชื่อมั้ยครับว่าเขาไปต่างประเทศ ไปด้วยการกู้เงินกองทุนหมู่บ้าน แล้วก็ไปทำงานอยู่พักหนึ่งจนได้พบเนื้อคู่ ได้แต่งงาน และดูดี เป็นวิศวกรโรงงาน มาช่วยเสื้อแดงเพราะว่าเงินกองทุนหมู่บ้านที่ช่วยเขาให้ได้ไปทำงานต่างประเทศ เพราะตอนนั้นเขาบ้านแตกสาแหรกขาดเนื่องจากความลำบากในชีวิตครอบครัว เลยคิดว่าไปเสี่ยงดวงต่างประเทศก็ได้รับความสำเร็จ ก็เลยมาเป็นกำลังสำคัญ ทุกครั้งที่ชุมนุมใหญ่ก็จะมีเขามาช่วยค่าน้ำค่าอาหาร ต้องขอขอบคุณคนไทยอีกเยอะที่ผมไม่ได้เอ่ยนาม ขอขอบคุณและเป็นกำลังใจให้กันและกัน
ทำเรื่องง่ายให้เป็นเรื่องยาก
ช่วงนี้ได้รับรายงานเรื่อยๆว่ามีการเสริมกำลังทหารตรงนั้นตรงนี้ ผมนั่งฟังแล้วมีความรู้สึกว่า เออ...ทำไมเรื่องง่ายๆต้องทำให้ยาก ทำไมทำเรื่องง่ายให้เป็นเรื่องยากไปได้ ที่จริงไม่เห็นมีอะไรเลย ก็คืนความเป็นธรรมให้กับสังคม คืนประชาธิปไตยที่แท้จริงให้กับสังคม แค่นั้นทุกอย่างก็สงบ บ้านเมืองก็เดินต่อไปได้ ประชาชนก็ไปทำมาหากิน ทหารก็ไม่ต้องมานั่งอารักขา วุ่นวายกันทั่วไปหมด นายกฯจะไปไหนก็ไปได้ ไม่ต้องใช้ทหารมาคุ้มครอง ทำไมเรื่องแค่นี้กลับมองเป็นเรื่องใหญ่ โอ้โห...เดี๋ยวตั้งด่าน เดี๋ยวออกเป็น พ.ร.ก. เป็นเรื่องที่สามารถยุติได้ง่ายๆ 2 มาตรฐานทำทำไม? ประชาชนเข้าชื่อ 3 ล้านกว่าคนขอพระราชทานอภัยโทษให้ผม กระทรวงยุติธรรมดันไปกักเรื่องไว้ ส่วนสนธิ (ลิ้มทองกุล) ก็บอกว่าต้องติดคุกก่อน แต่พอสนธิเรื่องยังอยู่ที่อัยการ ทำเรื่องขอพระราชทานอภัยโทษส่งเข้าไปในวังเรียบร้อย นี่คือสิ่งที่ยิ่งทำยิ่งผูกปมมากขึ้น เขาชี้ปมอะไรให้แก้ก็กลับไปเพิ่มปมอีก ผมก็ไม่เข้าใจ
วันนี้ผมไม่เข้าใจวิธีคิดของพวกท่านทั้งหลาย ไม่รู้สิ...อาจจะเป็นเพราะว่าอำมาตย์เลือกรัฐบาลผิดมั้งถึงวุ่นวายขนาดนี้ แทนที่คิดว่าจะสร้างความปรองดองอย่างไรกลับยิ่งขันให้แน่น คนที่มองไม่เห็นความเป็นธรรม 2 มาตรฐานใครจะรับได้ครับ จุดง่ายๆนิดเดียว ให้ระบบทำงานเองอย่าไปแทรกแซงระบบ แค่นี้ทุกอย่างก็เดินได้ แต่กลับไปแทรกแซงระบบ และทุกอย่างที่เสื้อแดงปฏิบัติเป็นผลพวงจากการปฏิวัติทั้งสิ้น ทำไมเรื่องของประชาธิปไตยต้องเอาเผด็จการเข้ามาจัดการ นี่คือสิ่งที่ต้องแก้ไข และแก้ได้ง่ายแต่ไม่แก้ มันมีอะไรมากขึ้นเรื่อยๆก็เป็นฝีมือของท่านเองนะ
จะสู้เพื่อความเป็นธรรม
มาพูดเรื่องเบาๆของเราดีกว่า มีคนถามว่ารัฐบาลพลัดถิ่นท่านตั้งแล้วจะทำยังไง ผมก็อธิบายให้ฟังเรื่องที่ผมพูดเรื่องศาลโลกเป็นยังไง ผมก็บอกว่าวันนี้นักกฎหมายต่างประเทศเข้ามาพบผมหลายคน มาเตรียมการไว้ ทุกคนบอกว่ามีเคสเกิดขึ้นแล้วกับประเทศเพื่อนบ้านเราเอง เป็นสิ่งที่ต้องเตรียมครับ อย่างที่ผมเรียนไว้ว่า เมื่อไรความเป็นธรรมไม่ได้รับก็ต้องแสวงหาให้ถึงที่สุด ไม่ว่าอยู่ในนรกหรือสวรรค์ เพราะตราบใดที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมไม่มีใครยอมหรอก อันนี้เป็นสัญชาตญาณของมนุษย์ที่ต้องต่อสู้เพื่อความเป็นธรรม และผมจบปริญญาเอกเรื่องการบริหารงานยุติธรรมเสียด้วย ฉะนั้นความไม่เป็นธรรมผมไม่ยอม มันเป็นเรื่องของอุดมการณ์
มาเล่าเรื่องเบาๆกันดีกว่า คราวที่แล้วผมบอกว่าจะเล่าว่าจากคนที่มีหนี้สินแล้วเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯได้ยังไง ขั้นตอนยังไง ขั้นตอนตรงนี้สำคัญเลยอยากให้พี่น้องที่สนใจ ที่มีหุ้นอยู่ในตลาด หรืออยากเอาหุ้นเข้าในตลาด ลองฟังดูเผื่อจะใช้ได้ ก่อนจะไปถึงขั้นนั้นต้องรู้ก่อนว่าการเข้าตลาดคืออะไร คือการเอาอดีต ปัจจุบัน และอนาคตไปขออนุญาตให้เข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ คือต้องมีอดีต เราทำงานที่ไหน ทำอะไรมาบ้าง เรามีกลุ่มบริษัทอย่างไร สร้างมาอย่างไร ปัจจุบันมีอะไรเหลืออยู่และอนาคตจะทำไงต่อ จะขยายงานออกไปอย่างไร แล้วก็เอาตัวเลขมาบอกว่าตัวเลขเหล่านี้จะทำกำไรในอนาคตยังไง ราคาหุ้นก็ดี มูลค่าของบริษัทก็ดี คือการตีราคาปัจจุบันกับอนาคตเพื่อเอามาให้คนซื้อหุ้นและร่วมลงทุน เพราะฉะนั้นเราจะต้องเตรียมอดีต ปัจจุบัน และอนาคต
จุดเริ่มโทรศัพท์เคลื่อนที่
ผมได้เข้าตลาดปี 2533 ผมขอเล่าอดีตนิดหนึ่ง ก่อนจะมีโทรศัพท์มือถือ ก่อนหน้านั้นเซลลูล่าโฟนยังไม่เกิด แต่ว่ามีการใช้โทรศัพท์แบบไร้สายในบ้าน ตอนหลังก็มีคนคิดว่าใช้วิทยุที่มีกำลังสูงๆ โทรศัพท์ไร้สายที่อยู่ในบ้าน โดยพ่วงกับโทรศัพท์บ้านแล้วจะสามารถออกไปไกลขึ้น ผมก็ไปฮ่องกง ซื้อโทรศัพท์ไร้สายที่พ่วงเบอร์บ้านแต่มีตัวลูกที่สามารถเอาออกไปไกลๆได้ โดยตั้งสถานีที่มีความเร็วสูงขึ้นและตั้งเสาให้สูงขึ้น ผมก็เอาติดรถไปเพราะผมสามารถที่จะใช้โทรศัพท์ได้แล้วก็พูดได้ รับสายได้ โดยอยู่ไกลจากบ้าน ก็เอาไปทดลองดู
ผมหิ้วไปเจอเพื่อน เพื่อนผมคนหนึ่งชื่อประภัตร โพธสุธน ซึ่งเป็นนักการเมืองที่รู้จักกันเมื่อ 2548 ตอนนั้นเป็นเลขาฯรัฐมนตรีช่วยคลังอยู่ก็เลยรู้จักกัน อายุเท่ากัน ผมหิ้วโทรศัพท์ไร้สายไปบอกว่า ประภัตรอนาคตข้างหน้าโทรศัพท์อย่างนี้จะหิ้วไปได้ทั่วโลก เขาก็บอกว่าเอ็งบ้า เอ็งถือเครื่องไม้เครื่องมืออย่างนี้เอ็งบ้า จะเป็นไปได้ยังไง โทรศัพท์อะไรจะหิ้วไปได้ทั่วโลก ผมบอกว่าตอนนี้เราแค่หิ้วออกข้างนอกไปไกลๆบ้านได้แล้ว อีกหน่อยจะหิ้วไปได้ทั่วโลก เขาก็บอกว่าไม่เชื่อ
ไทยเป็นลูกหนี้ IMF
สาเหตุที่ผมพูดเช่นนั้นเนื่องจากว่าผมไปงานนิทรรศการเกี่ยวกับโทรคมนาคมบ่อยๆ เพื่อไปเรียนรู้ ตอนหลังโทรศัพท์มือถือเริ่มต้นที่การสื่อสาร ตอนนั้นมี 2 ระบบแข่งกันคือ โซนี่ อิริคสัน กับโมโตโรล่า พอดีช่วงนั้น พล.อ.เปรม (ติณสูลานนท์) เป็นนายกฯ เป็นช่วงที่ประเทศไทยมีปัญหาทางการเงินและต้องเป็นลูกหนี้ IMF รอบแรก ดร.โกร่ง (วีระพงษ์ รามางกูร) เป็นที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจของนายกฯ IMF สั่งว่าประเทศไทย โดยเฉพาะรัฐวิสาหกิจ ต้องหยุดการลงทุน ฉะนั้นการลงทุนต้องให้เอกชนลงทุน ช่วงนั้นจึงมีการอนุญาตให้เอกชนเข้ามาขยายการลงทุนแทนภาครัฐ กฎหมายขณะนั้นก็ยังเป็นกฎหมายล้าหลังอยู่ คือให้เอกชนมาลงทุนและยกทรัพย์สมบัติให้กับรัฐ แล้วได้รับสิทธิไปทำมาหากินกับเครื่องมือนั้นเป็นระยะเวลาเท่าไรก็แล้วแต่รายได้ นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนั้น
บุกเบิกโนเกียในไทย
ผมก็ไปขออนุญาตทำโทรศัพท์มือถือ ผมเสนอเข้าไปแข่งกับอีกบริษัทหนึ่ง ผมเสนอไป 2 ออพชั่นว่าจะใช้อะไรดี เลยตัดสินใจใช้โนเกีย สมัยก่อนเป็นรุ่นอนาล็อก ผมเสนอไปโดยรู้แล้วว่า GSM กำลังจะมา เลยเสนอไปว่าอีก 5 ปีจะทำ GSM เสนอให้ผลตอบแทนรัฐสูงมากเมื่อเปรียบกับรายได้รัฐ แต่ปรากฏว่าวันนี้ถือว่าไม่สูงเนื่องจากเหตุการณ์ทางเศรษฐกิจเปลี่ยนไป พัฒนาเทคโนโลยีเปลี่ยนไปก็เลยทำให้เซลลูล่าเติบโตเร็วกว่าที่คิด ผมว่าผมคิดล่วงหน้าไปเยอะแต่ก็ยังคิดไม่ทัน เลยเป็นที่มาว่าผมได้สิทธิในการลงทุนทำเซลลูล่าและมือถือ
ผมเป็นรุ่นแรกที่บุกเบิกโนเกีย ตอนนั้นโนเกียถือว่ายังทำกระดาษ ทำโทรทัศน์ ทำปืนล่าสัตว์ ทำเครื่องมือสื่อสารแต่ว่ายังทำไม่มากเท่าไร ถือว่าเป็นลูกค้ารุ่นแรกๆร่วมกับอิตาลี ก็เลยบุกเบิกร่วมกันจนเติบโต สมัยนั้นผมกลายเป็นลูกค้ารายใหญ่ๆเท่าอิตาลีก็เลยทำให้โนเกียกับกลุ่มชินฯเชื่อมโยงกัน ที่เล่าให้ฟังยืดยาวเพราะต้องการชี้ว่าต้องศึกษาที่เราจะทำ เมื่อเรารู้ว่าวิวัฒนาการมาถึงไหนแล้วจะไปยังไง โดยเฉพาะเรื่องการลงทุน เทคโนโลยี
เอาหุ้นเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ
เอาล่ะ ในเมื่อผมเตรียมอดีตไว้แล้ว อนาคตผมก็วาดไว้ว่าบริษัทจะเติบโตอย่างไร ผมก็มองเรื่องดาวเทียม มองเรื่องการขยายเคเบิลทีวี. นั่นคือสิ่งที่เรามอง แต่ตอนนั้นอินเทอร์เน็ตยังไม่เกิด ไม่มีใครเห็นว่าอินเทอร์เน็ตจะเกิด มองอย่างเดียวว่าเบอร์โทรศัพท์เบอร์เดียวที่เรามีสามารถถือไปไหนมาไหนได้ทั่วโลก นั่นคือสิ่งที่คิดไว้ แล้วตอนนั้นนาโนเทคโนโลยีก็ยังไม่เกิด ยังอยู่ในแล็บ เราไม่สามารถเดาได้ว่าโทรศัพท์มือถือจะเล็กลงได้ แต่เราก็บอกอนาคตไปได้ระดับหนึ่ง ไม่มีปัญหา เซลลูล่านี่ลงทุนกันทีเป็นหมื่นล้าน แต่วันแรกที่เราทำอยู่ลงทุนเพียงไม่กี่ร้อยล้านเพราะไม่กล้าลงมาก ก็ลงสถานีไม่กี่แห่ง ไม่กล้าลงเยอะ เราก็คิดว่าไม่อย่างนั้นแล้วเราจะเอาตังค์ที่ไหนมาลงทุนเป็นหมื่นๆล้าน
ในวันนั้นผมยังมีหนี้ ก็ปรึกษากันว่าจะทำยังไงดี เลยตัดสินใจเอาหุ้นเข้าตลาดเพราะมีคนมาแนะนำ มีนักบัญชีคนหนึ่งมาแนะนำว่าทำบัญชีให้ถูกต้องตามหลักสากล แล้วก็ให้บริษัทตรวจบัญชีระดับสากลมาตรวจคนจะได้เชื่อถือ แล้วเราก็มาดูว่าจะตัดอะไรออก เอาอะไรเข้า เพื่อให้บริษัทมีความชัดเจน ช่วงนั้นบังเอิญว่าเศรษฐีในไทยยังตามเรื่องเทคโนโลยีไม่ทันเราเลยได้เกิด เพราะระบบทุนนิยมเอาทุนทุบกันเลย แต่พอผมหลุดมาจากตรงนั้นแล้วจะเอาเงินที่ไหนมาจ่าย ก็ตัดสินใจเข้าตลาด
เข้าตลาด-เพิ่มทุน
เราไปจ้างที่ปรึกษาการเงิน ไปจ้างภัทระกับธนชาติมาช่วยกันดู มาทำความสะอาดบัญชีให้ผม ตอนนั้นทุนจดทะเบียนผมมี 20 ล้านบาท ผมเริ่มคิดอยากเข้าตลาดเพราะที่ปรึกษาการเงินมาบอกว่าต้องเพิ่มทุน เพราะทุนแค่นี้ไม่พอ บอกต้องเพิ่มเป็นประมาณ 2,000 ล้านบาท ผมก็...ตายแล้วจะเอาที่ไหน ไม่เป็นไรเพราะเขามั่นใจว่าหุ้นบริษัทนี้ขายได้แน่ เขาก็เลยทำให้เงินกู้ชั่วคราวสั้นๆแล้วก็คืนให้ เลยให้ผมไปกู้เงินแล้วเอาใบหุ้นที่เพิ่มทุนไปกู้เงินเพื่อมาจ่ายเงินเพิ่มทุน
สมมติว่ากู้ 2,000 ล้านบาทก็จ่ายเพิ่มทุนไป หุ้นที่เพิ่มทุนเขาก็เอาไปถือไว้ แล้วพอหุ้นเข้าตลาดก็ขายบางส่วนออกเพื่อเอาเงินไปใช้หนี้ หุ้นสิบบาทตอนนั้นเราขายได้ น่าจะขึ้นไป 300-400 บาท แล้วก็ขายได้กำไรหลายเท่า ก็เพิ่มทุนไปส่วนหนึ่ง ทำ 2 จังหวะคือ ความที่เรามีของดี ระบบทุนนิยมเป็นเรื่องธรรมดา แต่ถ้าของไม่ดีก็ไม่มีใครให้กู้ ก็ต้องทำของตกแต่งให้ดี ไม่ดีก็ทำให้ดี คอยให้ที่ปรึกษาการเงินดู พอเขาดูเสร็จ...ดีนี่ ผมก็เลยไปกู้เงินจากอีกที่หนึ่ง เข้าใจว่าเป็นเครือแบงก์กรุงเทพ ให้ผมกู้เงินมาชั่วคราวเพื่อมาเพิ่มทุน เงินก็เข้าบริษัทเยอะ จ่ายหนี้ได้ ลงทุนได้ ขยายงานได้
ขายหุ้นให้ต่างชาติ
พอหุ้นเข้าตลาดมันก็ขึ้นหลายเท่า หุ้นที่เราเพิ่มทุนก็เพิ่มราคา เราก็แบ่งหุ้นจำนวนหนึ่งไปขาย พอขายได้ก็เอาเงินไปใช้หนี้ ผมเหลือเงินประมาน 100-200 ล้านบาทจากไม่มีตังค์ พอเหลือจากนั้นเราก็นึกว่า ดีใจเว้ย เงินเรา แต่ปรากฏว่าไม่ใช่ เราขยายธุรกิจ พอเซลลูล่าขยายก็ต้องเพิ่มการลงทุน เงินบริษัทไม่พอก็ต้องเพิ่มทุน หุ้นขึ้นก็เพิ่มทุน เราเพิ่มทุนโดยให้สิทธิผู้ถือหุ้นเดิม ตัวเราก็ต้องตาม เงินที่มีอยู่ก็ต้องตามเพื่อให้สัดส่วนไม่หาย เงินก็หมดอีก แล้วพอดีมีนักลงทุนต่างชาติคนหนึ่ง คนนี้เป็นคนที่ลงทุนหลายประเทศ เขาพาผมไปรู้จักกับเศรษฐีอันดับ 2 ของโลก คือนายคาร์ลอส ซาริม ไปพบกันที่นิวยอร์ก ก่อนผมเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ
นายคนนี้ก็ตัดสินใจมาซื้อหุ้นบริษัท 5 เปอร์เซ็นต์ ถ้าจำไม่ผิดผมขายได้ประมาณ 5,000 ล้านบาท ตกลงกันทางโทรศัพท์ ผมกำลังแคะหูอยู่โทรศัพท์มาผมก็บอกว่าขอแคะหูก่อน พอเสร็จก็ลุกขึ้นมาคุย เขาขอซื้อ 10 เปอร์เซ็นต์ผมไม่ขาย เพราะถือว่าวิธีการภาษาการลงทุนเขาบอกว่าต้องให้พอดี ให้น้อยมันก็ไม่ใส่ใจผม ให้มากมันก็ไม่ใส่ใจ เราก็เลยให้แค่ 5 ที่เหลือให้เขาไปไล่ซื้อในตลาด ทำให้หุ้นเราดีขึ้น ผมก็เลยขายไป ได้เงิน 5,000 ล้านบาท ปี 34 เป็นปีที่ผมมีเงินหลายพันล้าน หุ้นครอบครัวผมก็จะลดลงมาเรื่อยจนเหลือ 50 นั่นคือสิ่งที่เราขายหุ้นเอาค่ากำไรเข้ามาก็เก็บเงินสดไว้บ้าง เหลือไว้ส่วนหนึ่งเพื่อควบคุมบริษัทบ้าง ถ้าเรากลัวเขายึดเราก็เก็บหุ้นไว้ครึ่งหนึ่ง
รวยเพราะเงินต่างชาติ
ต่อมาปี 35-36 ก็ขายหุ้นเพิ่ม ตอนนั้นมีเงินสดประมาณหมื่นล้านแล้ว มาเข้าการเมืองตอนนั้นอายุ 42 เห็นแสงสว่างตอนนั้น เริ่มได้ตังค์แล้ว ตามที่ได้พูดกับภรรยาไว้ว่าเราไปเรียนกลับมาสักวันต้องมีร้อยล้าน เท่ากับว่าผมไปเรียนปริญญาเอกกลับมาปี 22 ใช้เวลา 12 ปีก็หาเงินได้ร้อยล้านครั้งแรก หลังจากนั้นมีมากเพราะเอาหุ้นเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ ครอบครัวผมเงินทั้งหมดส่วนใหญ่ได้จากต่างประเทศ หุ้นครอบครัวผมเป็นหุ้นที่กองทุนต่างประเทศชอบซื้อ แม้กระทั่งล่าสุดที่ขายให้เทมาเส็กก็เป็นเงินที่ต่างประเทศเอาเข้ามา ไม่ได้เป็นการเอาเงินในไทยเลย เล่าสู่กันฟังว่ากว่าจะมาเป็นวันนี้ต้องชิงไหวชิงพริบและทำให้ต่างประเทศเชื่อถือถึงจะเอาเงินเขามาได้ ดวงผมบังเอิญว่าทำมาหากินต่างประเทศดี
เมื่อเดือนเมษายน 35 ตอนนั้นเราต้องการจะเพิ่มทุนบริษัท และต้องการให้บริษัทเป็นที่รู้จักทั่วโลก ก็ไปทำโรดโชว์กับนักลงทุนทั่วโลก ไปบอสตัน นิวยอร์ก และกลับมาลอนดอน ตอนนั้นคุณหญิงก็พาลูกๆไปเจอที่ลอนดอน หลังโรดโชว์จบก็มาตกลงกันว่าจะขายหุ้นราคาเท่าไร และขายกี่หุ้น ตอนนั้นใกล้พฤษภาทมิฬด้วย ที่ปรึกษาก็อึกอักๆบอกว่าหุ้นที่ตั้งใจจะขายขอรับประกันแค่ครึ่งเดียวได้ไหม ผมก็บอกว่าเดี๋ยวเสียชื่อนะ เหมือนกับว่าไม่น่าเชื่อถือ เอางี้ดีกว่า จะขายหรือไม่ไม่เป็นไร เอาให้ชัด คืนนี้มาบอกผมแล้วกัน คิดเสร็จเขาก็กลับมาบอกว่าเขาวิตกเรื่องการเมืองในประเทศไทย ผมก็บอกว่าอย่าวิตกเลย ประเทศไทยการเมืองเปลี่ยนบ่อยเหมือนเปลี่ยนฤดู อย่าไปสนใจเรื่องการเมืองนัก เขาบอกว่าวิตกขอซื้อครึ่งเดียวได้ไหม ผมก็บอกว่างั้นอย่าซื้อเลย ขอบคุณนะ ผมจะไปเที่ยวแล้ว จากนั้นก็พาลูกเมียไปเที่ยวแล้วก็ไม่ขายเลย จนพฤษภาทมิฬหุ้นร่วงพรวด ผมก็เฉยๆ หลังเหตุการณ์จบก็ขายหุ้นได้ถึง 5,000 ล้านบาท
อย่าใช้เงินผิดประเภท
สิ่งที่เล่าให้ฟังจะสื่อว่าท่านต้องรอบรู้ว่าการเมืองจะเป็นอย่างไร แต่เดี๋ยวนี้ไม่ชั่วคราวแล้ว เอาเป็นเอาตาย 3-4 ปีไม่จบ นักลงทุนต่างประเทศหนีหมดแล้ว เพราะอะไร เพราะเราเอง วันนี้เรากำลังไม่เข้าใจโลกอย่างแรง ผมนั่งอยู่ดูไบมองต่างประเทศว่าเขาไปยังไง ไปถึงไหนแล้ว ไทยคือศูนย์กลางเศรษฐกิจของอาเซียน แต่กลับลากอาเซียนลงเนื่องจากการเมืองในประเทศยังบิดเบือนกลไก ไปแทรกแซงระบบที่มีมาเป็นสิบๆปี บ้านเราไม่มียุทธศาสตร์เพื่อชาติ มีแต่เพื่อฟาดฟันกันเอง นี่คือสิ่งที่เราไม่แก้ ก็ไม่รู้จะทำยังไงจริงๆ
กลับมาพูดกันต่อ เพราะว่าผมต้องการจะเน้นให้บริษัทที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ฯทั้งหลายได้เห็นว่าทำยังไงให้หุ้นตัวเองดี สำคัญที่สุดการซื้อขายหุ้นคนไทยเป็นส่วนน้อยที่จะลงทุนในตลาดหุ้น ท่านจะต้องมีความสัมพันธ์กับนักลงทุน มีการโรดโชว์ทั้งในและนอกประเทศ ตอนผมเข้าตลาดหุ้นใหม่ๆพูดแบบนี้วันละ 2 รอบ 3 รอบ พูดเป็นเทป พูดไปไม่เท่าไรก็ทำให้บริษัทเราเป็นที่รู้จัก ที่สำคัญท่านอย่าใช้เงินผิดประเภท เรื่องนี้น่ากลัวมาก ผมจะเล่าให้ฟังว่าทำไมผมถึงไม่ใช้เงินผิดประเภท เพราะผมถูกสอน ตอนที่หุ้นยังไม่เข้าตลาดมีเงินครั้งแรก ดีใจไปซื้อที่ดิน เสร็จปั๊บเวลาเศรษฐกิจแย่จะขายไม่มีใครซื้อเลย ผลสุดท้ายก็ขายไม่ได้ ธุรกิจมีปัญหา จะเอาเงินมาใส่ก็ไม่ได้ ธุรกิจก็มีปัญหาอีก เอาไปเข้าแบงก์ๆก็ไม่รับ
นำทุกบริษัทเข้าตลาด
เพื่อนผมคนหนึ่งก็มาเตือนว่าอย่าทำนะ คนเอเชียชอบทำ อย่าใช้เงินมั่ว ผมก็ท่องไว้เลย ขนาดว่ามีตังค์แล้วยังไม่ยอมซื้ออสังหาริมทรัพย์เลย เอาเงินส่วนตัวไปซื้อแทน การซื้อตึกชินฯที่พหลโยธินก็ตกกระไดพลอยโจนเหมือนกัน และลงทุนสร้างตึกนี้ 700 กว่าล้านโดยไม่ใช้เงินบริษัทเลย นั่นคือสิ่งที่ทำให้นักลงทุนไม่สับสน ชัดเจนว่าบริษัททำธุรกิจอะไร ก็สร้างชินฯ 1 เสร็จ ชินฯ 2 สร้างเสร็จจะขายแต่ว่าไม่ได้ขาย เพราะตอนนั้นคนเป็นเจ้าของคือพี่ชายของรัฐมนตรียุติธรรมในปัจจุบัน และก็ซื้อตึกนี้ไว้ เป็นการลงทุนครั้งที่ 2 มีเงินแล้วจึงไปสร้างตึกชินฯ 3 ไปซื้อที่จากเพื่อนที่มีปัญหากับธนาคาร ก็เป็นเรื่องที่ครอบครัวลงทุนหมด กลุ่มชินฯไม่ได้ลงทุนเลย ให้คนอื่นมาเช่า ที่สุดก็กลายเป็นเอสซี แอสเซท
ค่อยๆสร้างทีละส่วนๆแต่เราจะต้องแยกแยะให้ออก อย่ามั่ว อย่าพัน ระหว่างที่ชินฯเข้าตลาดไปแล้วนั้นเอไอเอสก็แข็งแรง ผมก็เอาเข้าตลาด บริษัททุกบริษัทของผมโตขึ้นก็แยกกันเข้าตลาด เพราะว่าวันหน้าวันหลังการลงทุนที่ขยายทุนมากๆเราจะได้ไม่ต้องควักเงินส่วนตัวเยอะเกินไป
ต้องรู้เท่าทันระบบทุนนิยม
วันนี้ท่านทั้งหลายต้องรู้ทันระบบทุนนิยม เราต้องอยู่กับมัน ไม่จำเป็นต้องชอบ แต่ว่าวันนี้เป็นการแข่งขันด้วยทุน ต้องมีทุน ถ้าไม่มีเขาไม่นิยม ทุนไม่มีก็หาให้มี เช่นกันครับ ถ้าประเทศไทยบอกว่าทำนาส่งออกข้าวได้ที่หนึ่งของโลกเรามีสิทธิภูมิใจ แต่ถ้ามองกลับไปทำไมต้องให้คนจนทำนา เราลดจำนวนชาวนาได้ไหม เหลือเป็นชาวนาที่มีเครื่องจักร แล้วลูกหลานชาวนาเป็นอย่างอื่นได้มั้ย ทำไมต้องบอกว่าปู่เอ็ง พ่อเอ็งเป็นชาวนา เอ็งก็ต้องเป็นชาวนา แต่กลับภูมิใจว่าส่งออกข้าวเป็นที่หนึ่งของโลก เราควรย้อนกลับมาดูว่าควรภูมิใจหรือไม่ เรามีทางเลือกอื่นไหม
มีครับถ้าเราเข้าใจหา อย่างที่เล่าที่ดูไบเขาเอาต่างชาติมาเป็นลูกน้องคนท้องถิ่น แต่ของเราเอาต่างชาติมาเป็นนาย เราเป็นลูกน้อง เป็นเถ้าแก่อยู่ดีๆส่งลูกไปเรียนเมืองนอก ไปเป็นลูกจ้างฝรั่ง ภูมิใจมาก เป็นอะไรที่ทำไมไม่ให้เขาเป็นเถ้าแก่ นี่คือจุดอ่อนของเราที่ตามโลกไม่ทัน แต่ที่เลวร้ายกว่านั้นคนที่มีอำนาจแฝงสามารถสั่งการให้ระบบเพี้ยนได้ยังมีอยู่ ถึงได้ยุ่งกันถึงทุกวันนี้
พบกันทุกวัน
ปี 37 ผมไปเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ วันนั้นเข้าพรรคพลังธรรม คุณจำลอง (ศรีเมือง) เกรงว่าเวลาจะไม่พอ เรื่องคุณจำลองมันยาว แล้วก็มีเรื่องคุณบรรหาร (ศิลปอาชา) และวิกฤตเศรษฐกิจ ผมจะเล่าให้หมดเลย วันนี้จะเอาเรื่องหนักๆในอดีตมาเล่าให้ชัด จะได้รู้ว่าอะไรเป็นอะไร ผมจะขอเล่าเป็นตอนละครึ่งชั่วโมงทุกวันจันทร์-ศุกร์ ที่พีเพิลชาแนลและทักษิณไลฟ์ จะเล่าชีวิตจริง ละครหลังข่าวของผมที่เป็นนักธุรกิจมาสู่การเมือง จะขอเล่าอย่างชัดเจน ตรงไปตรงมา
วันนี้ขอตอบคำถาม...อยากให้ท่านเตือนสามเกลอด้วย...ขอเรียนอย่างนี้ว่า ได้คุยกันทุกฝ่ายแล้วว่าเราต้องการต่อสู้แบบสันติวิธี อหิงสา แต่เราก็ต้องมีการ์ด มีคนคอยดูแลฝูงชนจำนวนมาก แล้วเราก็มั่นใจว่าจะไม่ถูกรังแก เราจะต้องป้องกันจะสู้อย่างสันติแต่ไม่อ่อนแอ
ถาม...อยากให้ซื้อทีมฟุตบอลที่อังกฤษอีก
ตอบ...ตอนนี้ยังตามเชียร์แมนฯ ซิตี อยู่เลย ผมก็ตามเชียร์ แต่วันก่อนไปแพ้เอา 2-1 ผิดหวังมาก เรื่องไปซื้ออีกคงไม่ไหวนะครับ
ถาม...ทำพ็อกเก็ตบุ๊คเรื่องการสร้างตัว
ตอบ...ตอนนี้ก็ให้คนเขียนที่ผมเล่าไปเกลากันอีกที บางครั้งก็มีประเด็นปลีกย่อยเยอะแยะ ถ้าทำไว้ก็คงให้ลูกหลานศึกษา
ครับ วันนี้ใช้เวลาเกินมานิดหน่อย ขอบคุณที่ติดตามรับชม พรุ่งนี้จะเล่าถึงตัวละครแต่ละคน ใครที่เข้ามาเกี่ยวกับชีวิตผม ไม่ต้องกลัวครับ ผมตรงไปตรงมา ไม่ใส่สี วันนี้ขอบคุณครับ
คอลัมน์ :คำต่อคำ..ทักษิณ
จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้
วันพฤหัสบดีที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553
อัจฉริยะนอกประเทศ ของชายที่ชื่อ “ทักษิณ”
“ครัวโลก” แนวคิดนี้ได้แต่คิด แต่ทำเป็นรูปธรรมยังไม่สำเร็จ ทันทีที่ท่านทักษิณเริ่มต้นผลิตสินค้าสำเร็จรูปที่เป็นอาหาร “ฮาลาน” เพื่อส่งไปขายยังประเทศแถบภาคตะวันออก ก็เกิดเหตุการณ์โจรใต้ขึ้นมาทันที เรื่องนี้ อาจมีสาเหตุเกี่ยวโยงไปถึงเพื่อนบ้านที่เป็นผู้ผลิตรายใหญ่ส่งออกอยู่แล้ว แต่เรายังหาคำตอบและข้อสรุปไม่ได้ ว่า จริงหรือไม่ ดังนั้นประเด็นนี้ผมจึงไม่เอามาเกี่ยวโยงด้วย
ทำไมต้องเป็นสามจังหวัดภาคใต้เท่านั้น ที่ต้องเป็นผู้ผลิต ทำไมที่อื่นถึงทำไม่ได้ ในเมื่อเหตุการณ์3จังหวัดชายแดนภาคใต้ไม่สงบ ทั้งนี้เนื่องมาจากเหตุผลที่3จังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นที่รู้กันในหมู่ประเทศมุสลิมว่า เดิมทีเป็นรัฐหนึ่งของอิสลาม และมีชาวมุสลิมมากกว่า90 เปอร์เซ็นต์ในพื้นที่แห่งนี้ คนในหมู่มุสลิมที่เคร่งศาสนา จะทานแต่อาหารที่ชาวมุสลิมเป็นผู้ประกอบอาหารให้เท่านั้นเพราะไว้ใจในเรื่องความสะอาด ที่ปราศจากสิ่งต้องห้ามในคำสอน
โรงงานต้นแบบนี้เกิดขึ้นแล้วที่หน่วงงาน พลพัฒนา (ที่โดนปล้นปืนไปกว่า 400 กระบอกในครั้งแรก) โดยเหล่าแม่บ้านทหารที่สามีและตนเองนับถือศาสนาอิสลามเป็นผู้ทำงาน และเริ่มผลิตไปแล้วด้วยกรรมวิธีทันสมัยโดยงบของพลพัฒนาเอง ท่านทักษิณได้เชิญตัวแทนที่อยู่ในกลุ่มประเทศตะวันออกกลางเข้าเยี่ยมชมเป็นระยะๆ หลายครั้ง สิ่งที่เป็นที่เชิดหน้าชูตาในเบื้องต้นก็คือ ข้าวสวยอัดใส่กระป๋อง ที่สามารถอยู่ได้นานถึง 6เดือน และสามารถเปิดกระป๋องนำมารับประทานได้เลยโดยที่ไม่ต้องผ่านกระบวนอะไรอีกทั้งสิ้น ทั้งที่เมื่อก่อนเราเคยแต่ส่งข้าวนึ่งตากแห้งออกไป แต่เมื่อจะนำมารับประทานก็ยังต้องผ่านความร้อนอีกครั้งหนึ่งเพื่อให้ข้าวบานตัว จึงจะสามารถนำมารับประทานได้ ซึ่งถือว่าเป็นกรรมวิธีที่ล้าหลังมาก และ ยังไม่สะอาดพอ อาจมีฝุ่นผงและสิ่งต้องห้ามบางชนิดติดไปกับข้าวได้ แต่วิธีการสมัยใหม่นี้สามารถเอาข้าวสวยอัดใส่กระป๋องได้เลย ยังไม่เคยมีใครหรือประเทศใดทำมาก่อน
หลายท่านคงคิดว่าเรื่องปกติธรรมดา เป็นเพียงการแข่งขันด้านการตลาดเท่านั้น ส่วนการถนอมอาหารให้ได้อยู่นานก็ไม่ได้เป็นสิ่งที่แปลกใหม่อะไรไม่น่าเอามาเขียนและเล่าให้ฟังในที่นี้
แต่สิ่งหนึ่งที่ผมอยากนำเอามาเล่า และให้เห็นถึงว่า วันนั้นถ้าโครงงานนี้สานต่อประเทศไทยจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง ท่านยังจำ “นโยบายให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางของการค้าข้าว”ได้หรือไม่ โดยทีรวมเอาประเทศแถบลุ่มแม่น้ำโขงและเวียดนามเข้ามารวมเป็นองค์กรใหม่ ที่คล้ายกลุ่มโอเป็ด ที่ผลิตน้ำมัน แต่ของกลุ่มพวกเราในย่านนี้ผลิตข้าวแทน ในแนวคิดที่ว่า “เมื่อตะวันออกกลางเป็นเจ้าของพลังงานโลกได้ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก็เป็นเจ้าของธัญพืชโลกได้เช่นกัน” โดยที่พลังงานมีทางเลือกได้ แต่อาหารไม่มีทางเลือก ยังไงสิ่งมีชีวิตทั้งโลก ก็ยังต้องการอาหาร รายละเอียดที่ ทำไมประเทศอื่นถึงไม่ปลูกเองบ้าง มันมีปัจจัยหลายอย่างที่จะกล่าวถ้ามีโอกาสต่อไป แต่ผมมีปริศนาในตอนนี้ให้คิด ทำไม ประเทศจีนที่มีพื้นที่กว้างใหญ่ไพศาล มีเกษตรกรเกือบ 90 เปอร์เซ็นต์ของพลเมืองทั้งประเทศ ยังต้องมาลงทุนปลูกข้าวและตั้งโรงสีเองในประเทศไทย และข้าวจำนวนนั้นก็ไม่ได้ขายในเมืองไทยแต่ทั้งหมดส่งกลับไปขายที่ประเทศจีนเองเท่านั้น
การที่จะให้ข้าวเป็นสินค้าส่งออกที่มีราคาเช่นน้ำมัน จะทำอย่างไร?
การควบคุมอัตราการผลิตของข้าวในแต่ละปี เช่นเดียวกับการควบคุมการผลิตน้ำมันแต่ละวัน จะต้องทำอย่างไร?
การเพิ่มปริมาณของข้าวทันที เมื่อโลกขาดแคลน จะทำอย่างไร?
คุณภาพของข้าวจะได้คงที่ไม่เปลี่ยนแปลงจะทำอย่างไร?
ทั้งหมดนี้ จะต้องมีขบวนการที่ทำได้ ร่วมมือกันหลายหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน และ อย่างลืมว่า ผลประโยชน์ทั้งหมดต้องกลับไปอยู่กับ เกษตรกรเหมือนเดิม ท่านทักษิณเองมีบุคลากรพร้อม ที่จะให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางของเรื่องทั้งหมด ถ้าเรื่องนี้ไม่สะดุดลงเสียก่อน ในครั้งรัฐประหาร และสุดท้ายเรื่องนี้ก็ปิดประตูลงเพราะไม่มีใครสานต่อ
เมื่อครั้ง ที่ท่านสมัครเป็นนายกรัฐมนตรี ท่านทักษิณได้เชิญกลุ่มนักลงทุนมาจากประเทศตะวันออกกลาง ที่มีฐานะการเงินอย่างมั่งคั่งเข้ามาดูการทำนาของประเทศไทย และท่านทักษิณได้พาคณะฯเข้าไปพบคุณประพัทธ์ โพธิสุธน ที่บ้านในจังหวัดสุพรรณบุรี แต่การเข้าพบพูดคุยในครั้งนั้นกลับกลายเป็นผลร้ายกับตัวท่านเองในภายหลัง โดยถูกล่าวหาว่าท่านกำลังเอาประเทศไทยไปขาย และทำให้เรื่องนี้ต้องเก็บเข้าลิ้นชักไป อีกทั้งยังไม่มีใครได้รับรู้ข้อเท็จจริงมันคืออะไรกันแน่
ประมาณกลางเดือนที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสได้นั่งคุยกับนายทหารเขมรคนหนึ่ง ที่มียศไม่มากนักแต่รู้จักทหารไทยดีทุกคน สามารถโทรเบอร์ส่วนตัวไปคุยกับนายทหารใหญ่ในกองทัพไทยได้ เราได้นั่งคุยกันถึงเรื่องการทำนาของชาวเขมร เขากล่าวให้ผมฟังดังนี้ในเรื่องที่เหลือเชื่อมากๆ ข้าวในประเทศเขา จะกลายเป็นสิ่งมีค่าที่สุดในอนาคตอันใกล้นี้ และชาวนาของเขาจะมีรายได้มากกว่าการทำงานอาชีพอื่นใดๆ ทั้งสิ้น
ผมซักถามรายละเอียดกับเขาเรื่องนี้อย่างสงสัย เขาอธิบายความให้ฟังแบบที่เขาเข้าใจได้ ดังนี้
มีข้อตกลงกันระหว่างรัฐบาลกับพ่อค้าในประเทศซาอุฯ ที่จะมีการแลกเปลี่ยนกันระหว่างข้าวกับน้ำมันโดยตรงไม่มีการซื้อขาย เช่นข้าวหนึ่งตันแลกกับน้ำมันดิบหนึ่ง บาเลนส์ โดยที่คนของพ่อค้าจะเข้ามาดูและการปลูกข้าวด้วยตัวเอง เพื่อให้เป็นไปตามที่พวกเขาต้องการ เมื่อเป็นดังนั้น รัฐบาลจึงต้องตั้งหน่วยงานนี้ขึ้นมาโดยเฉพาะหลายเรื่อง เพื่อศึกษาความเป็นไปได้ของเรื่องนี้ เช่น รัฐจะซื้อข้าวทั้งหมดกับชาวนาโดยตรง หรือ แค่ประกันราคาให้เท่านั้น การจัดการกับน้ำมันรัฐบาลจะทำอย่างไร ลงทุนตั้งโรงกลั่นเอง หรือให้เอกชนมาลงทุน เหล่านี้ต้องมาศึกษาทั้งสิ้น
ชึ่งสรุปได้ดังนี้ ชาวนาจะได้รับเงินก่อนการปลูกข้าว แต่ต้องเอาพันธุ์ข้าวที่เขาต้องการให้ปลูกเท่านั้น ปุ๋ย ยาฆ่าแมลง เครื่องจักรเครื่องมือ นายทุนออกเองทั้งสิ้น
เจ้าของที่นาเพียงแต่ดูแลนาในส่วนของตนเอง ให้ได้ปริมาณและคุณภาพของข้าวตามที่พวกเขาต้องการ เมื่อผลผลิตออกมาพวกเขารับซื้อทั้งหมดในราคาที่ตกลงกันไว้ตั้งแต่แรกแล้ว แต่จ่ายเป็นน้ำมันแทน และรัฐบาลจะแปลงเป็นเงินให้
แต่ทั้งหมดนี้รัฐบาลเขมรไม่ต้องคิด มีคนออกแบบให้แล้วโยนมาให้เสร็จ ชาวนาจะได้ข้าวตันละ หนึ่งหมื่นห้าพันบาท ถ้าหนึ่งครอบครัว ทำนา50ไร่ จะได้เงินต่อ 6เดือน ประมาณ750000 บาท ถ้าคิดเป็นปีจะได้ 1.5 ล้านบาท(ยังไม่ได้หักค่าใช้จ่ายหรือภาษี และ กันอีกส่วนหนึ่งไว้กินเองภายในประเทศ) ผมถามเขาว่าแล้วใครเป็นคนคิดให้ คำตอบที่เขาตอบมาฟังแล้วอยากร้องไห้ “สงสัยทักษิณคิดให้”
การดำเนินการในช่วงนี้ ได้ออกแบบโรงสีและโรงงานแปลรูปเรียบร้อยแล้ว คาดว่าเมื่อตกลงกันได้จะมีนายทุนคนเดิมเข้ามาแปลรูปเป็นอาหารฮาลาน แล้วส่งกลับไปประเทศในกลุ่มอาหรับ ถ้ามีคนอาหรับเข้ามาลงทุนในประเทศของเขาก็จะมีการสร้างงาน มีแหล่งท่องเที่ยว มีโรงแรมมีสนามกอล์ฟ และคนในประเทศของเขาก็จะมีงานทำ มีอาชีพอีกมากมาย
สิ่งที่ได้คือน้ำมัน ส่วนกำไรเอาไว้ใช้ในประเทศ ส่วนที่เหลือก็ขายให้พวกคนไทยไง ถ้าประเทศไทยไม่ซื้อก็ขายให้สิงคโปร์แทน เดี๋ยวคนไทยก็ไปซื้อกลับมาเอง จีน เวียดนามขายได้ทั้งนั้น เพียงแต่ว่า ไทยใกล้กว่า ค่าขนส่งถูก คำถามที่ผมถามเขา ก่อนกลับ “คิดว่าประเทศไทยจะเป็นอย่างไรต่อไป” คำตอบ “เดี๋ยวก็ปฏิวัติอีก เอาอะไรกับประเทศคุณ”
ผมย้อนกลับไปคิดถึงเรื่องทั้งหมด ตั้งแต่ ครัวโลก อาหารฮาลาน โจรป่วนใต้ แหล่งพลังงานในเขมร ปตท. เหล่านี่พันธมิตรออกมาโจมตีทั้งสิ้น ว่าท่านทักษิณขายชาติ วิงวอนให้คนไทยไปใช้แนวทางเศรษฐกิจพอเพียง แต่คนขายชาติคนนี้กลับมีคนที่อยู่นอกประเทศคิดจะให้เป็นที่ปรึกษาและมาลงทุนในประเทศเขาแทน มันอะไรกันนักหนากับประเทศไทย ทำไมมองประโยชน์ที่จะเกิดกลายเป็นโทษทั้งหมดไปได้ แล้วก็ขับไล่คนผู้นั้นออกไป ปล่อยให้ประเทศล่มจม ซะอย่างนั้น
งงไหมครับท่านผู้อ่าน ข้าวสามารถเปลี่ยนเป็นพลังงานได้ ขุดในที่นานี่เอง ขุดแล้วไม่มีวันหมดด้วยครับ คนอะไรคิดได้ขนาดนี้
เขาละ “ทักษิณ ชินวัตร” ที่แม้แต่ตนเองยังเข้าประเทศไทยไม่ได้เลย ที่ทำได้ก็ช่วยให้ประเทศอื่นเขารวย เท่านั้น
เขียนโดย :อ่างขาง
ทำไมต้องเป็นสามจังหวัดภาคใต้เท่านั้น ที่ต้องเป็นผู้ผลิต ทำไมที่อื่นถึงทำไม่ได้ ในเมื่อเหตุการณ์3จังหวัดชายแดนภาคใต้ไม่สงบ ทั้งนี้เนื่องมาจากเหตุผลที่3จังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นที่รู้กันในหมู่ประเทศมุสลิมว่า เดิมทีเป็นรัฐหนึ่งของอิสลาม และมีชาวมุสลิมมากกว่า90 เปอร์เซ็นต์ในพื้นที่แห่งนี้ คนในหมู่มุสลิมที่เคร่งศาสนา จะทานแต่อาหารที่ชาวมุสลิมเป็นผู้ประกอบอาหารให้เท่านั้นเพราะไว้ใจในเรื่องความสะอาด ที่ปราศจากสิ่งต้องห้ามในคำสอน
โรงงานต้นแบบนี้เกิดขึ้นแล้วที่หน่วงงาน พลพัฒนา (ที่โดนปล้นปืนไปกว่า 400 กระบอกในครั้งแรก) โดยเหล่าแม่บ้านทหารที่สามีและตนเองนับถือศาสนาอิสลามเป็นผู้ทำงาน และเริ่มผลิตไปแล้วด้วยกรรมวิธีทันสมัยโดยงบของพลพัฒนาเอง ท่านทักษิณได้เชิญตัวแทนที่อยู่ในกลุ่มประเทศตะวันออกกลางเข้าเยี่ยมชมเป็นระยะๆ หลายครั้ง สิ่งที่เป็นที่เชิดหน้าชูตาในเบื้องต้นก็คือ ข้าวสวยอัดใส่กระป๋อง ที่สามารถอยู่ได้นานถึง 6เดือน และสามารถเปิดกระป๋องนำมารับประทานได้เลยโดยที่ไม่ต้องผ่านกระบวนอะไรอีกทั้งสิ้น ทั้งที่เมื่อก่อนเราเคยแต่ส่งข้าวนึ่งตากแห้งออกไป แต่เมื่อจะนำมารับประทานก็ยังต้องผ่านความร้อนอีกครั้งหนึ่งเพื่อให้ข้าวบานตัว จึงจะสามารถนำมารับประทานได้ ซึ่งถือว่าเป็นกรรมวิธีที่ล้าหลังมาก และ ยังไม่สะอาดพอ อาจมีฝุ่นผงและสิ่งต้องห้ามบางชนิดติดไปกับข้าวได้ แต่วิธีการสมัยใหม่นี้สามารถเอาข้าวสวยอัดใส่กระป๋องได้เลย ยังไม่เคยมีใครหรือประเทศใดทำมาก่อน
หลายท่านคงคิดว่าเรื่องปกติธรรมดา เป็นเพียงการแข่งขันด้านการตลาดเท่านั้น ส่วนการถนอมอาหารให้ได้อยู่นานก็ไม่ได้เป็นสิ่งที่แปลกใหม่อะไรไม่น่าเอามาเขียนและเล่าให้ฟังในที่นี้
แต่สิ่งหนึ่งที่ผมอยากนำเอามาเล่า และให้เห็นถึงว่า วันนั้นถ้าโครงงานนี้สานต่อประเทศไทยจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง ท่านยังจำ “นโยบายให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางของการค้าข้าว”ได้หรือไม่ โดยทีรวมเอาประเทศแถบลุ่มแม่น้ำโขงและเวียดนามเข้ามารวมเป็นองค์กรใหม่ ที่คล้ายกลุ่มโอเป็ด ที่ผลิตน้ำมัน แต่ของกลุ่มพวกเราในย่านนี้ผลิตข้าวแทน ในแนวคิดที่ว่า “เมื่อตะวันออกกลางเป็นเจ้าของพลังงานโลกได้ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก็เป็นเจ้าของธัญพืชโลกได้เช่นกัน” โดยที่พลังงานมีทางเลือกได้ แต่อาหารไม่มีทางเลือก ยังไงสิ่งมีชีวิตทั้งโลก ก็ยังต้องการอาหาร รายละเอียดที่ ทำไมประเทศอื่นถึงไม่ปลูกเองบ้าง มันมีปัจจัยหลายอย่างที่จะกล่าวถ้ามีโอกาสต่อไป แต่ผมมีปริศนาในตอนนี้ให้คิด ทำไม ประเทศจีนที่มีพื้นที่กว้างใหญ่ไพศาล มีเกษตรกรเกือบ 90 เปอร์เซ็นต์ของพลเมืองทั้งประเทศ ยังต้องมาลงทุนปลูกข้าวและตั้งโรงสีเองในประเทศไทย และข้าวจำนวนนั้นก็ไม่ได้ขายในเมืองไทยแต่ทั้งหมดส่งกลับไปขายที่ประเทศจีนเองเท่านั้น
การที่จะให้ข้าวเป็นสินค้าส่งออกที่มีราคาเช่นน้ำมัน จะทำอย่างไร?
การควบคุมอัตราการผลิตของข้าวในแต่ละปี เช่นเดียวกับการควบคุมการผลิตน้ำมันแต่ละวัน จะต้องทำอย่างไร?
การเพิ่มปริมาณของข้าวทันที เมื่อโลกขาดแคลน จะทำอย่างไร?
คุณภาพของข้าวจะได้คงที่ไม่เปลี่ยนแปลงจะทำอย่างไร?
ทั้งหมดนี้ จะต้องมีขบวนการที่ทำได้ ร่วมมือกันหลายหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน และ อย่างลืมว่า ผลประโยชน์ทั้งหมดต้องกลับไปอยู่กับ เกษตรกรเหมือนเดิม ท่านทักษิณเองมีบุคลากรพร้อม ที่จะให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางของเรื่องทั้งหมด ถ้าเรื่องนี้ไม่สะดุดลงเสียก่อน ในครั้งรัฐประหาร และสุดท้ายเรื่องนี้ก็ปิดประตูลงเพราะไม่มีใครสานต่อ
เมื่อครั้ง ที่ท่านสมัครเป็นนายกรัฐมนตรี ท่านทักษิณได้เชิญกลุ่มนักลงทุนมาจากประเทศตะวันออกกลาง ที่มีฐานะการเงินอย่างมั่งคั่งเข้ามาดูการทำนาของประเทศไทย และท่านทักษิณได้พาคณะฯเข้าไปพบคุณประพัทธ์ โพธิสุธน ที่บ้านในจังหวัดสุพรรณบุรี แต่การเข้าพบพูดคุยในครั้งนั้นกลับกลายเป็นผลร้ายกับตัวท่านเองในภายหลัง โดยถูกล่าวหาว่าท่านกำลังเอาประเทศไทยไปขาย และทำให้เรื่องนี้ต้องเก็บเข้าลิ้นชักไป อีกทั้งยังไม่มีใครได้รับรู้ข้อเท็จจริงมันคืออะไรกันแน่
ประมาณกลางเดือนที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสได้นั่งคุยกับนายทหารเขมรคนหนึ่ง ที่มียศไม่มากนักแต่รู้จักทหารไทยดีทุกคน สามารถโทรเบอร์ส่วนตัวไปคุยกับนายทหารใหญ่ในกองทัพไทยได้ เราได้นั่งคุยกันถึงเรื่องการทำนาของชาวเขมร เขากล่าวให้ผมฟังดังนี้ในเรื่องที่เหลือเชื่อมากๆ ข้าวในประเทศเขา จะกลายเป็นสิ่งมีค่าที่สุดในอนาคตอันใกล้นี้ และชาวนาของเขาจะมีรายได้มากกว่าการทำงานอาชีพอื่นใดๆ ทั้งสิ้น
ผมซักถามรายละเอียดกับเขาเรื่องนี้อย่างสงสัย เขาอธิบายความให้ฟังแบบที่เขาเข้าใจได้ ดังนี้
มีข้อตกลงกันระหว่างรัฐบาลกับพ่อค้าในประเทศซาอุฯ ที่จะมีการแลกเปลี่ยนกันระหว่างข้าวกับน้ำมันโดยตรงไม่มีการซื้อขาย เช่นข้าวหนึ่งตันแลกกับน้ำมันดิบหนึ่ง บาเลนส์ โดยที่คนของพ่อค้าจะเข้ามาดูและการปลูกข้าวด้วยตัวเอง เพื่อให้เป็นไปตามที่พวกเขาต้องการ เมื่อเป็นดังนั้น รัฐบาลจึงต้องตั้งหน่วยงานนี้ขึ้นมาโดยเฉพาะหลายเรื่อง เพื่อศึกษาความเป็นไปได้ของเรื่องนี้ เช่น รัฐจะซื้อข้าวทั้งหมดกับชาวนาโดยตรง หรือ แค่ประกันราคาให้เท่านั้น การจัดการกับน้ำมันรัฐบาลจะทำอย่างไร ลงทุนตั้งโรงกลั่นเอง หรือให้เอกชนมาลงทุน เหล่านี้ต้องมาศึกษาทั้งสิ้น
ชึ่งสรุปได้ดังนี้ ชาวนาจะได้รับเงินก่อนการปลูกข้าว แต่ต้องเอาพันธุ์ข้าวที่เขาต้องการให้ปลูกเท่านั้น ปุ๋ย ยาฆ่าแมลง เครื่องจักรเครื่องมือ นายทุนออกเองทั้งสิ้น
เจ้าของที่นาเพียงแต่ดูแลนาในส่วนของตนเอง ให้ได้ปริมาณและคุณภาพของข้าวตามที่พวกเขาต้องการ เมื่อผลผลิตออกมาพวกเขารับซื้อทั้งหมดในราคาที่ตกลงกันไว้ตั้งแต่แรกแล้ว แต่จ่ายเป็นน้ำมันแทน และรัฐบาลจะแปลงเป็นเงินให้
แต่ทั้งหมดนี้รัฐบาลเขมรไม่ต้องคิด มีคนออกแบบให้แล้วโยนมาให้เสร็จ ชาวนาจะได้ข้าวตันละ หนึ่งหมื่นห้าพันบาท ถ้าหนึ่งครอบครัว ทำนา50ไร่ จะได้เงินต่อ 6เดือน ประมาณ750000 บาท ถ้าคิดเป็นปีจะได้ 1.5 ล้านบาท(ยังไม่ได้หักค่าใช้จ่ายหรือภาษี และ กันอีกส่วนหนึ่งไว้กินเองภายในประเทศ) ผมถามเขาว่าแล้วใครเป็นคนคิดให้ คำตอบที่เขาตอบมาฟังแล้วอยากร้องไห้ “สงสัยทักษิณคิดให้”
การดำเนินการในช่วงนี้ ได้ออกแบบโรงสีและโรงงานแปลรูปเรียบร้อยแล้ว คาดว่าเมื่อตกลงกันได้จะมีนายทุนคนเดิมเข้ามาแปลรูปเป็นอาหารฮาลาน แล้วส่งกลับไปประเทศในกลุ่มอาหรับ ถ้ามีคนอาหรับเข้ามาลงทุนในประเทศของเขาก็จะมีการสร้างงาน มีแหล่งท่องเที่ยว มีโรงแรมมีสนามกอล์ฟ และคนในประเทศของเขาก็จะมีงานทำ มีอาชีพอีกมากมาย
สิ่งที่ได้คือน้ำมัน ส่วนกำไรเอาไว้ใช้ในประเทศ ส่วนที่เหลือก็ขายให้พวกคนไทยไง ถ้าประเทศไทยไม่ซื้อก็ขายให้สิงคโปร์แทน เดี๋ยวคนไทยก็ไปซื้อกลับมาเอง จีน เวียดนามขายได้ทั้งนั้น เพียงแต่ว่า ไทยใกล้กว่า ค่าขนส่งถูก คำถามที่ผมถามเขา ก่อนกลับ “คิดว่าประเทศไทยจะเป็นอย่างไรต่อไป” คำตอบ “เดี๋ยวก็ปฏิวัติอีก เอาอะไรกับประเทศคุณ”
ผมย้อนกลับไปคิดถึงเรื่องทั้งหมด ตั้งแต่ ครัวโลก อาหารฮาลาน โจรป่วนใต้ แหล่งพลังงานในเขมร ปตท. เหล่านี่พันธมิตรออกมาโจมตีทั้งสิ้น ว่าท่านทักษิณขายชาติ วิงวอนให้คนไทยไปใช้แนวทางเศรษฐกิจพอเพียง แต่คนขายชาติคนนี้กลับมีคนที่อยู่นอกประเทศคิดจะให้เป็นที่ปรึกษาและมาลงทุนในประเทศเขาแทน มันอะไรกันนักหนากับประเทศไทย ทำไมมองประโยชน์ที่จะเกิดกลายเป็นโทษทั้งหมดไปได้ แล้วก็ขับไล่คนผู้นั้นออกไป ปล่อยให้ประเทศล่มจม ซะอย่างนั้น
งงไหมครับท่านผู้อ่าน ข้าวสามารถเปลี่ยนเป็นพลังงานได้ ขุดในที่นานี่เอง ขุดแล้วไม่มีวันหมดด้วยครับ คนอะไรคิดได้ขนาดนี้
เขาละ “ทักษิณ ชินวัตร” ที่แม้แต่ตนเองยังเข้าประเทศไทยไม่ได้เลย ที่ทำได้ก็ช่วยให้ประเทศอื่นเขารวย เท่านั้น
เขียนโดย :อ่างขาง
ใครเผลอก็ตาย!
แม้จะเป็น “เสือแก่” ไร้เขี้ยวเล็บที่แหลมคมและกำลังวังชาถดถอยตามสังขาร แต่ก็ไม่ได้ไร้กึ๋นไร้สมองเป็นพวก “แก่กะโหลกกะลา”
“ป๋าเหนาะ” ผู้ยิ่งใหญ่แห่งวังน้ำเย็น แม้จะประกาศ “ล้างมือในอ่างทองคำ” ปล่อยให้รุ่นลูกรุ่นหลานรับมรดกน้ำเน่าต่อไป
แต่วันนี้ “เสือแก่” อาจต้องลากสังขารกลับลงบ่อน้ำเน่าอีกครั้งเพื่อปกป้องศักดิ์ศรี หลังจากถูก “เจาะยาง” จาก “สะตอ” ที่กัดไม่ปล่อยกรณีที่ดินอัลไพน์ จนกระทั่ง ป.ป.ช. เชือดว่าเป็นการ “ทุจริต” ต่อไปก็อยู่ที่อัยการจะเป็นเต่าหรือกระต่าย เพื่อดำเนินการส่งศาลการเมืองเชือดต่อ
แต่น้ำเน่าก็คือน้ำเน่า!
การเมืองไทยไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ ผิดเป็นถูก ถูกเป็นผิด ดำเป็นขาว ขาวเป็นดำ จึงไม่แปลกถ้าจะทำให้ทุกอย่างเป็น “สีเทา”
คดีการเมืองมากมายที่ถูกหมกเม็ดจนหมดอายุ หรือใช้กระบวนการยุติธรรมเบื้องต้นบิดเบือนประเด็น อย่างกรณีที่ดินเขายายเที่ยงเห็นชัดเจนถึงตาชั่ง 2 มาตรฐาน
แม้แต่รัฐบาลยังถูกประณามเป็นเยี่ยง “โจรปล้นอำนาจ”
กว่า 1 ปีของ “หล่อหลักลอย” จึงยังวนเวียนอยู่แค่การเดินสาย “สร้างภาพ” ตวัดลิ้นและโชว์ตัวให้ผ่านพ้นไปวันๆ
ใน “แก๊งโจรสลัด” จะตั้งโต๊ะกินหัวคิว กินเปอร์เซ็นต์ กินโควตา เล่นพรรคเล่นพวกไม่พอ ยังปิดห้อง “ตุ๋ยเด็ก” อีก
“แต๋วแตก” จึงไม่ใช่มีเฉพาะ “สีเขียว” แต่ “สัตว์การเมือง” ก็ “แต๋ว” และ “ตุ๊ด” กันสนุกสนาน!
“หล่อหลักลอย” ไม่ใช่จะใบ้รับประทานกับ “ก๊วนร่วมแก๊ง” เท่านั้น แม้แต่ใน “ก๊วนสะตอ” ก็ร้อนระอุ เพราะ “ผู้มีบารมี” ในก๊วนรวมหัวกัน “ขีดเส้น” ให้เลือกระหว่าง “ปัจจุบัน” กับ “อนาคต”
เพราะเห็นว่าหาก “หล่อหลักลอย” ยังป้อไปป้อมาและต้อง “ปิดหู ปิดตา ปิดปาก” เป็นเหมือน “ลิง 3 ตัว” ให้ “แก๊งโจรสลัด” โขกสับต่อไป ไม่เพียงนับถอยหลังเร็วแล้ว “อนาคต” ก็พลอยดับวูบลงไปด้วย
ถ้าจะดับเฉพาะอนาคต “หล่อหลักลอย” ก็ไม่ใช่เรื่องที่ต้องตีโพยตีพาย แต่จะต้องไม่ทำให้ “สะตอ” ดับทั้งก๊วนด้วย
โดยเฉพาะ “แม่นมอมทุกข์” ที่ไม่เพียงมีถุง “อุนจิ” คดี 258 ล้านบาทที่จ่อจะยุบก๊วนสะตอแล้ว ชื่อเสียงและเกียรติยศของ “สะตอ” ที่สะสมมา 63 ปีก็อาจไม่เหลือแม้แต่ความทรงจำ
สัญญาณที่ส่งผ่านออกมาขณะนี้จึงไม่ใช่แค่เปลี่ยน “แม่บ้าน” แม้แต่ “หล่อหลักลอย” ก็อาจถอดหัวโขนเร็วกว่าที่คิด
เพราะ “งูเห่ากับพังพอน” เป็นคู่กัดกันตลอดกาล ใครดีใครอยู่ ใครเผลอก็ตาย!
จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้
**********************************************************************
“ป๋าเหนาะ” ผู้ยิ่งใหญ่แห่งวังน้ำเย็น แม้จะประกาศ “ล้างมือในอ่างทองคำ” ปล่อยให้รุ่นลูกรุ่นหลานรับมรดกน้ำเน่าต่อไป
แต่วันนี้ “เสือแก่” อาจต้องลากสังขารกลับลงบ่อน้ำเน่าอีกครั้งเพื่อปกป้องศักดิ์ศรี หลังจากถูก “เจาะยาง” จาก “สะตอ” ที่กัดไม่ปล่อยกรณีที่ดินอัลไพน์ จนกระทั่ง ป.ป.ช. เชือดว่าเป็นการ “ทุจริต” ต่อไปก็อยู่ที่อัยการจะเป็นเต่าหรือกระต่าย เพื่อดำเนินการส่งศาลการเมืองเชือดต่อ
แต่น้ำเน่าก็คือน้ำเน่า!
การเมืองไทยไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ ผิดเป็นถูก ถูกเป็นผิด ดำเป็นขาว ขาวเป็นดำ จึงไม่แปลกถ้าจะทำให้ทุกอย่างเป็น “สีเทา”
คดีการเมืองมากมายที่ถูกหมกเม็ดจนหมดอายุ หรือใช้กระบวนการยุติธรรมเบื้องต้นบิดเบือนประเด็น อย่างกรณีที่ดินเขายายเที่ยงเห็นชัดเจนถึงตาชั่ง 2 มาตรฐาน
แม้แต่รัฐบาลยังถูกประณามเป็นเยี่ยง “โจรปล้นอำนาจ”
กว่า 1 ปีของ “หล่อหลักลอย” จึงยังวนเวียนอยู่แค่การเดินสาย “สร้างภาพ” ตวัดลิ้นและโชว์ตัวให้ผ่านพ้นไปวันๆ
ใน “แก๊งโจรสลัด” จะตั้งโต๊ะกินหัวคิว กินเปอร์เซ็นต์ กินโควตา เล่นพรรคเล่นพวกไม่พอ ยังปิดห้อง “ตุ๋ยเด็ก” อีก
“แต๋วแตก” จึงไม่ใช่มีเฉพาะ “สีเขียว” แต่ “สัตว์การเมือง” ก็ “แต๋ว” และ “ตุ๊ด” กันสนุกสนาน!
“หล่อหลักลอย” ไม่ใช่จะใบ้รับประทานกับ “ก๊วนร่วมแก๊ง” เท่านั้น แม้แต่ใน “ก๊วนสะตอ” ก็ร้อนระอุ เพราะ “ผู้มีบารมี” ในก๊วนรวมหัวกัน “ขีดเส้น” ให้เลือกระหว่าง “ปัจจุบัน” กับ “อนาคต”
เพราะเห็นว่าหาก “หล่อหลักลอย” ยังป้อไปป้อมาและต้อง “ปิดหู ปิดตา ปิดปาก” เป็นเหมือน “ลิง 3 ตัว” ให้ “แก๊งโจรสลัด” โขกสับต่อไป ไม่เพียงนับถอยหลังเร็วแล้ว “อนาคต” ก็พลอยดับวูบลงไปด้วย
ถ้าจะดับเฉพาะอนาคต “หล่อหลักลอย” ก็ไม่ใช่เรื่องที่ต้องตีโพยตีพาย แต่จะต้องไม่ทำให้ “สะตอ” ดับทั้งก๊วนด้วย
โดยเฉพาะ “แม่นมอมทุกข์” ที่ไม่เพียงมีถุง “อุนจิ” คดี 258 ล้านบาทที่จ่อจะยุบก๊วนสะตอแล้ว ชื่อเสียงและเกียรติยศของ “สะตอ” ที่สะสมมา 63 ปีก็อาจไม่เหลือแม้แต่ความทรงจำ
สัญญาณที่ส่งผ่านออกมาขณะนี้จึงไม่ใช่แค่เปลี่ยน “แม่บ้าน” แม้แต่ “หล่อหลักลอย” ก็อาจถอดหัวโขนเร็วกว่าที่คิด
เพราะ “งูเห่ากับพังพอน” เป็นคู่กัดกันตลอดกาล ใครดีใครอยู่ ใครเผลอก็ตาย!
จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้
**********************************************************************
ลั่นขน'แดง'บุก!! หากสภาฯล้มร่างคปพร. ปัด'ชุมนุมใหญ่'20ก.พ. ชี้'ข่าวโคมลอย'ทำลาย
"หมอเหวง" ขู่ขนม็อบแดงบุกสภาฯ หากที่ประชุมร่วมล้มร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ฉบับ คปพร.
ถามพรรคร่วมไม่เอาด้วย เพราะสมประโยชน์จัดสรรงบประมาณกับประชาธิปัตย์หรือไม่
วันที่ 11 ก.พ.2553 นพ.เหวง โตจิราการ แกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) กล่าวว่า
หากที่ประชุมร่วมรัฐสภาพิจารณาเลื่อนญัตติขอแก้ไขรัฐธรรมนูญ ฉบับ คปพร.ออกไป รัฐบาลต้องชี้แจงและเตรียมคำตอบให้
ประชาชน 2 แสนคน ที่มาร่วมลงชื่อยื่นญัตติแก้รัฐธรรมนูญ มิเช่นนั้นจะทำให้คนกลุ่มนี้โกรธแค้น และอาจเคลื่อนไหวอย่างแน่นอน
เพราะร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับ คปพร.เป็นประโยชน์กับพรรคร่วมรัฐบาล และมีเนื้อหาตรงกับที่พรรคร่วมรัฐบาลอยากให้แก้
หากพรรคร่วมฯ ไม่เอาด้วย ก็อยากตั้งคำถามว่า ตอนนี้สมประโยชน์เรื่องงบประมาณกับพรรคประชาธิปัตย์ หรือมีการแบ่งเค้กลงตัวแล้ว
ใช่หรือไม่ ถามว่าจะยอมกินน้ำใต้ศอกต่อไปอีกนานเท่าใด ซึ่งกลุ่มเสื้อแดงมียุทธศาสตร์เตรียมตอบโต้ไว้แล้วเช่นกัน
เมื่อถามถึง ข่าวเสื้อแดงกำหนดชุมนุมใหญ่วันที่ 20 กุมภาพันธ์นี้
น.พ.เหวง กล่าวว่า เป็นข่าวโคมลอย ตนเป็นแกนนำยังไม่รู้ข่าวนี้ เชื่อว่าบางคนปล่อยข่าวจงใจให้เห็นว่า
เสื้อแดงกดดันศาลก่อนตัดสินคดียึดทรัพย์ 76,000 ล้านบาท ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี
ที่มา:เว็บบอร์ด คนไทยูเค
***********************************************************************
ถามพรรคร่วมไม่เอาด้วย เพราะสมประโยชน์จัดสรรงบประมาณกับประชาธิปัตย์หรือไม่
วันที่ 11 ก.พ.2553 นพ.เหวง โตจิราการ แกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) กล่าวว่า
หากที่ประชุมร่วมรัฐสภาพิจารณาเลื่อนญัตติขอแก้ไขรัฐธรรมนูญ ฉบับ คปพร.ออกไป รัฐบาลต้องชี้แจงและเตรียมคำตอบให้
ประชาชน 2 แสนคน ที่มาร่วมลงชื่อยื่นญัตติแก้รัฐธรรมนูญ มิเช่นนั้นจะทำให้คนกลุ่มนี้โกรธแค้น และอาจเคลื่อนไหวอย่างแน่นอน
เพราะร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับ คปพร.เป็นประโยชน์กับพรรคร่วมรัฐบาล และมีเนื้อหาตรงกับที่พรรคร่วมรัฐบาลอยากให้แก้
หากพรรคร่วมฯ ไม่เอาด้วย ก็อยากตั้งคำถามว่า ตอนนี้สมประโยชน์เรื่องงบประมาณกับพรรคประชาธิปัตย์ หรือมีการแบ่งเค้กลงตัวแล้ว
ใช่หรือไม่ ถามว่าจะยอมกินน้ำใต้ศอกต่อไปอีกนานเท่าใด ซึ่งกลุ่มเสื้อแดงมียุทธศาสตร์เตรียมตอบโต้ไว้แล้วเช่นกัน
เมื่อถามถึง ข่าวเสื้อแดงกำหนดชุมนุมใหญ่วันที่ 20 กุมภาพันธ์นี้
น.พ.เหวง กล่าวว่า เป็นข่าวโคมลอย ตนเป็นแกนนำยังไม่รู้ข่าวนี้ เชื่อว่าบางคนปล่อยข่าวจงใจให้เห็นว่า
เสื้อแดงกดดันศาลก่อนตัดสินคดียึดทรัพย์ 76,000 ล้านบาท ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี
ที่มา:เว็บบอร์ด คนไทยูเค
***********************************************************************
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)