--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันพฤหัสบดีที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2552

พล.อ.ชวลิต ลงนามขอพระราชทานอภัยโทษให้ ศิวรักษ์ แล้ว


ประธานพรรคเพื่อไทย ลงนามขอพระราชทานอภัยโทษให้นายศิวรักษ์ ชุติพงษ์ แล้ว โดยคณะของพรรคเพื่อไทยจะเดินทางกัมพูชาในวันจันทร์นี้

นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย เปิดเผยว่า ในช่วงเช้าที่ผ่านมา พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประธานพรรคเพื่อไทย ได้ลงนามในหนังสือขอความอนุเคราะห์ ถึงสมเด็จฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา เพื่อขอให้อำนวยความสะดวกในการประสานขอพระราชทานอภัยโทษ ให้กับนายศิวรักษ์ ชุติพงษ์ วิศวกรชาวไทยที่ถูกศาลกัมพูชาตัดสินจำคุก 7 ปี

ส่วนหนังสืออีก 2 ฉบับ ที่ประกอบไปด้วย หนังสือจาก ส.ส.พรรคเพื่อไทย ขณะนี้ ส.ส. ของพรรคได้ลงนามเรียบร้อยแล้ว แต่หนังสือของมารดานายศิวรักษ์ จะนำไปให้นางสิมารักษ์ ณ นครพนม ลงนามที่กัมพูชา โดยคณะจะเดินทางไปกัมพูชาในวันที่ 14 ธันวาคมนี้ ทั้งนี้หากมีสัญญาณที่ดี อาจรอรับตัวนายศิวรักษ์กลับประเทศไทย ได้ภายใน 3-4 วัน

โฆษกพรรคเพื่อไทย ยังยืนยันว่าการช่วยเหลือนายศิวรักษ์ ไม่ได้เป็นการจัดฉาก หรือเกมทางการเมืองเพื่อพรรค ทั้งนี้เพื่อความสบายใจ พล.อ.ชวลิต ยังเสนอให้ตัวแทนกรรมาธิการต่างประเทศ ของสภาฯ เดินทางไปร่วมสังเกตการณ์ในครั้งนี้ด้วย

ส่วนความเคลื่อนไหว ในเรื่องการปรับคณะรัฐมนตรี นายชุมพล ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา ยืนยันในส่วนของพรรคไม่มีปัญหา และยังคงตัวบุคคลไว้ตามเดิม ทั้งนี้ขึ้นอยู่นายกรัฐมนตรี ซึ่งขณะนี้ยังไม่มีสัญญาณ ในเรื่องการปรับคณะรัฐมนตรีแต่อย่างใด.

-สำนักข่าวไทย

วันพุธที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2552

เอา50กลับไป เอาปี40คืนมา!


ที่มา:บางกอกทูเดย์
พรรคประชาธิปัตย์ และนายอภิสิทธิ์ น่าที่จะอาศัยวาระวันรัฐธรรมนูญในวันนี้ ประกาศเดินหน้าถามความชัดเจนจากประชาชน ด้วยการทำประชามติ ว่าจะเอารัฐธรรมนูญปี 2540 หรือว่า ปี 2550ตอนนี้ไม่มีเงาของ คมช.แล้ว...และประชาชนก็ตื่นตัวในเรื่องของการเมืองอย่างมากแล้ว เพราะบอบช้ำมา 3 ปีเต็ม

แม้ว่าวันนี้คือวันที่ 10 ธันวาคม ถือเป็นวันสำคัญยิ่งของระบบการเมืองการปกครองของไทย เพราะเป็นวันรัฐธรรมนูญของประเทศไทยแต่ไม่รู้ว่าวันรัฐธรรมนูญในปีนี้ จะช่วยให้บรรยากาศการเป็นประชาธิปไตยของประเทศไทยมีเพิ่มมากขึ้นได้มากน้อยเพียงใดตราบเท่าที่แม้แต่การเลือกใช้รัฐธรรมนูญฉบับใด ก็ยังคงเป็นประเด็นความแตกแยกในสังคมไทยอยู่อย่างไม่มีการลดราวาศอกพรรคประชาธิปัตย์ กลุ่มพันธมิตรฯ พรรคการเมืองใหม่ และกลุ่มนักวิชาการที่ร่วมขบวนการขับไล่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ... ยืนยันว่ายังไงก็ต้องใช้รัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ.2550 เพราะเห็นว่ารัฐธรรมนูญฉบับหน้าแหลมฟันดำ ที่ทำ

คลอดออกมาภายใต้การทำรัฐประหารนั้นดีที่สุดแล้วในขณะที่พรรคฝ่ายค้าน พรรคเพื่อไทย กลุ่มคนเสื้อแดง และกลุ่มนักวิชาการที่เห็นว่า รัฐธรรมนูญปี 50 มีปัญหาก็ยืนยันเช่นกันว่า ต้องใช้รัฐธรรมนูญปี 2540 เพราะทำคลอดออกมาโดยตัวแทนประชาชนในขณะที่การเมืองไทยไม่ได้อยู่ภายใต้ท็อปบูทและปากกระบอกปืนขนาดแค่เรื่องจะใช้รัฐธรรมนูญฉบับใด ก็ยังเป็นความแตกแยกทางความคิดชนิดสุดโต่ง 2 ขั้ว... นี่หากอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยและพานแว่นฟ้า

สามารถหลั่งน้ำตาด้วยความสะทกสะท้อนกับเส้นทางประชาธิปไตย 77 ปี ของประเทศไทยได้มีหวังน้ำเนตรท่วมพานแว่นฟ้า และอาจท่วมถึงพรหมได้เลยด้วยซ้ำนับจากวันที่ 27มิถุนายน พ.ศ. 2475 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๗ แห่งราชวงศ์จักรี ทรงมีพระราชประสงค์ที่จะพระราชทานรัฐธรรมนูญ เพื่อเป็นหลักในการปกครองของประเทศให้แก่ประชาชนชาวไทยพระราชดำรัสในวันพระราชทานรัฐธรรมนูญ ก็คือ “ข้าพเจ้ามีความเต็มใจที่จะสละ

อำนาจอันเป็นของข้าพเจ้าอยู่แต่เดิม ให้แก่ราษฎรโดยทั่วไป ข้าพเจ้าไม่ยินยอมยกอำนาจทั้งหลายของข้าพเจ้าให้แก่ผู้ใด คณะใดโดยเฉพาะ เพื่อใช้อำนาจโดยสิทธิ์ขาด และโดยไม่ฟังเสียงอันแท้จริงของประชาราษฎร”จึงได้มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญชั่วคราวเรียกว่า “พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว”จากนั้นในวันที่ ๑๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๕ ล้นเกล้าฯรัชกาลที่ 7 ก็ได้ทรงพระราชทานรัฐธรรมนูญราชอาณาจักรสยาม ฉบับถาวร เพื่อเป็นหลัก

ในการปกครองของประเทศให้แก่ประชาชนชาวไทยเท่ากับว่ามาถึงขณะนี้ มีวันรัฐธรรมนูญมาแล้ว 77 รอบปีแต่เป็น 77 รอบปีของวันรัฐธรรมนูญที่ขรุขระระหกระเหินมาโดยตลอด กฎหมายรัฐธรรมนูญของไทยถูกฉีกทิ้งฉบับแล้วฉบับเล่า ด้วยฝีมือของคณะนายทหารแต่ละยุคแต่ละสมัยขนาดเชื่อกันว่า ปี 2535 การปฏิวัติรัฐประหารน่าที่จะสูญพันธุ์ไปจากเมืองไทยได้แล้วบรรดานายทหารหลายคน ซึ่งรวมทั้ง พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ผู้บัญชาการทหารบกในช่วงปี 2549 ก็

ยังบอกว่าการปฏิวัติเป็นเรื่องล้าสมัยแล้วแต่สุดท้ายในปี 2549 ก็ยังมีการปฏิวัติเกิดขึ้นจนได้แถมเกิดขึ้นโดยฝีมือของคณะนายทหารที่เรียกตัวเองว่า คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือ คปค. ซึ่งมีพล.อ.สนธิ นั่นเองเป็นหัวหน้าคณะนี่คือ ผลงานของเหล่านายทหารที่บอกว่า การปฏิวัติล้าสมัยแล้วและ ณ วันนี้กลับเลือกที่จะเข้ามาเล่นการเมือง เพื่อก้าวไปสู่ตำแหน่งและอำนาจทางการเมือง ทั้งๆ ที่ในอดีตเคยเป็นคนที่

ล้มล้างระบบการเมืองของไทย ภายใต้วิธีการที่เรียกอย่างสวยหรูว่าแผนบันได 4 ขั้นที่วันนี้พิสูจน์ชัดอีกเช่นกันว่า เป็นแผนอุบาทว์ 4 ขั้นเสียมากกว่า... เพราะนับตั้งแต่ในแผนในปี 2549 เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน สังคมไทยไม่เคยสงบ และไม่สามารถที่จะลดความขัดแย้ง สร้างความปรองดอง สร้างบรรยากาศแห่งความสมานฉันท์ได้เลยแม้แต่น้อยวันนี้จึงไม่รู้ว่า บรรดาเหล่าผู้ที่เคยฉีกทิ้งรัฐธรรมนูญทั้งหลาย จะมีความรู้สึกละอายใจขึ้นมาบ้างหรือไม่... หรือไม่รู้สึกรู้สมอะไรเลย

สักนิดต่อให้ไถ่บาปก็ยังต้องบอกว่าสายเกินไปเพราะวันนี้สังคมไทยบอบช้ำจากการแตกแยกทางการเมืองยิ่งนักและนอกเหนือจากการฉีกทั้งรัฐธรรมนูญปี 2540 ลงไป แต่บรรดาคณะนายทหาร คปค. ซึ่งสุดท้ายต้องเปลี่ยนชื่อเป็น คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ หรือ คมช. โดยที่ตัวบุคคลก็ยังคงเป็นกลุ่มเดิมทั้งโขยง คมช. ยังได้ใช้อำนาจร่วมกับกลุ่มเคลื่อนไหว และอำนาจอำมาตยาธิปไตย ทำคลอดรัฐธรรมนูญเจ้าปัญหาฉบับ พ.ศ.2550 ออกมาโดยใช้เล่ห์กระเท่ ให้

ทำประชาพิจารณ์ ด้วยข้ออ้างว่า... ให้รับไปก่อน แล้วอะไรไม่ดีค่อยไปแก้ไขกันในภายหลัง... ยังจำได้หรือไม่???ด้วยกลไกอำนาจ และปากกระบอกปืนกับท็อปบูท สุดท้ายผลการทำประชามติจอมปลอมก็ออกมาสมดังใจของ คมช.นั่นคือ ได้ตัวเลขผู้ยอมรับรัฐธรรมนูญปี 50 เป็นจำนวน 14 ล้านเสียงซึ่งในนั้น จริงๆ แล้ว รู้กันดีอยู่แก่ใจว่า ได้รวมเสียงของผู้ที่เห็นด้วยแค่บางส่วน และหวังที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญในอนาคตตามคำสัญญาของ คมช.อยู่ด้วยส่วนผู้ที่ไม่เห็น

ด้วย และไม่เอารัฐธรรมนูญปี 50 เลยนั้น มีอยู่ 10 ล้านเสียงเป็น 10 ล้านเสียงที่ในวันนี้กำลังหัวเราะใส่บรรดาผู้ที่ตกหลุมพรางของ คมช. ในเรื่องที่ว่าสามารถจะแก้ไขรัฐธรรมนูญ!!!เพราะเอาเข้าจริงพรรคการเมืองที่ คมช.สนับสนุนให้เป็นรัฐบาลให้ได้ คือ พรรคประชาธิปัตย์ พรรคการเมืองที่เก่าแก่ที่สุดในเมืองไทยเมื่อก้าวขึ้นมาเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลสำเร็จ และนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคได้เป็นนายกรัฐมนตรีสมใจ ก็ไม่ได้จริงใจในเรื่องการแก้ไขรัฐ

ธรรมนูญแต่อย่างใดอาจจะคิดว่า ผู้ที่รับปากว่าให้ลงประชามติรับๆ ไปก่อน แล้วค่อยไปแก้ไขเอาที่หลังนั้น ไม่ใช่คำพูดของพรรคประชาธิปัตย์... จึงไม่จำเป็นที่จะต้องรับผิดชอบต่อคำพูดของ คมช.ในวันนั้นจึงทำให้นายอภิสิทธิ์ และพรรคประชาธิปัตย์ ไม่เคยแสดงความจริงใจในการที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญปี 50 เลยแม้แต่น้อย ทั้งๆ ที่หากจะทำจริงๆ ก็สามารถทำได้ตามสบายเสียงของพรรคร่วมรัฐบาลทุกพรรคเห็นพ้องอยู่แล้วว่า ควรแก้ไขรัฐธรรมนูญปี 50 หากรวมเสียงของ

พรรคประชาธิปัตย์ซึ่งเป็นแกนนำรัฐบาลเข้าไปด้วยต้องบอกว่าเหลือเฟือ!!!ต่อให้ฝ่ายค้านคือพรรคเพื่อไทยไม่เห็นด้วย เสียงก็ยังมากพอที่จะแก้ไขได้ แต่รัฐบาลก็กลับเล่นเกมอ้างว่า พรรคฝ่ายค้านไม่เข้าร่วมเลยทำให้การแก้ไขล่าช้าทั้งๆ ที่ ฝ่ายค้านบอกชัดเจนว่า ที่ไม่ร่วมแก้ไข ก็เพราะไม่เอารัฐธรรมนูญปี 50 ทั้งฉบับ แต่ต้องการใช้รัฐธรรมนูญปี 40 เท่านั้น... จึงไม่เข้าร่วมแล้วนายอภิสิทธิ์ กับพรรคประชาธิปัตย์จะเตะถ่วงไปทำไมกันขนาดพรรคร่วมรัฐบาลยังดูออก

แล้วทนไม่ไหว ต้องออกมาทวงถามความคืบหน้านี่หรือคือพรรคการเมืองเก่าแก่ที่บอกว่ายึดมั่นในระบบประชาธิปไตยถ้าเป็นจริงดังปากว่า ถึงเวลาที่ต้องพิสูจน์ความจริงใจด้วยการประทำแล้วพรรคประชาธิปัตย์ และนายอภิสิทธิ์ น่าที่จะอาศัยวาระวันรัฐธรรมนูญในวันนี้ ประกาศเดินหน้าถามความชัดเจนจากประชาชน ด้วยการทำประชามติ ว่าจะเอารัฐธรรมนูญปี 2540 หรือว่า ปี 2550ตอนนี้ไม่มีเงาของ คมช.แล้ว... และประชาชนก็ตื่นตัวในเรื่องของการเมืองอย่างมากแล้ว

เพราะบอบช้ำมา 3 ปีเต็มที่สำคัญตอนนี้ ผู้คุมกำลังทหาร คือ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. ก็ยืนยันแล้วว่า เป็นทหารของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว... เป็นทหารของประชาชน...คงไม่เข้าไปแทรกแซงการทำประชามติเหมือนเมื่อครั้ง คมช. แน่ฉะนั้นกล้าหรือไม่ที่จะทำประชามติจากประชาชนทั้งประเทศ หว่านเงินสารพัดยังทำได้... แล้วทำไมถึงทำประชามติ เพื่อหยุดปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองไม่ได้มาร์ค... กล้าปลุกสำนึกประชาธิปไตยที่แท้จริงหน่อยสิ

ศึก "เสือเก่า"กับ"ทหารเสือ"ย่างก้าวรุกรับของ"บิ๊กจิ๋ว"ตามดูบทบาท"พล.อ.สังวาลย์ หินกลิ้ง"(เตีย บันห์) อีกครั้ง


ที่มา:ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

ลําพังปล่อยให้ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กับ นายกษิต ภิรมย์ สู้ศึกกับ สมเด็จฮุน เซน เห็นทีการนี้อาจเพลี่ยงพล้ำ เพราะมีทั้ง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และ บิ๊กจิ๋ว พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ผนึกกำลังกันอีกด้วย บรรดาแม่ทัพนายกองทั้งหลาย จึงต้องยอมละทิ้งเรื่องค้างคาใจ กระโดดลงมาสู่สมรภูมิขแมร์ แต่หมากตัวหนึ่งในกระดานที่น่าสนใจคือ พล.อ.สังวาลย์ หินกลิ้ง แต่คน เขมร เรียกว่า เตีย บันห์

... วันนี้ ทั้งสามทหารเสือ บิ๊กป้อม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม บิ๊กป๊อก พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. และ บิ๊กตู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา รอง ผบ.ทบ.



นัยว่า ถ้าไม่เห็นแก่ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง ที่มีความสัมพันธ์กันแนบแน่น ในนาม "แก๊ง ออฟ โฟร์" แล้วล่ะก็ บิ๊กทหารบางคนแทบอยากจะ "ลอยแพ" รัฐบาลไปเลยก็ได้



จะไม่ให้น้อยใจ แคลงใจ และไม่พอใจได้อย่างไร ก็นายอภิสิทธิ์ เล่นท่องคาถา "สนธิ ลิ้มทองกุล" ตลอดเวลา เดินเกมตามเสียงกระซิบสีเหลือง ให้น้ำหนักและความเชื่อถือต่อนายสนธิ แกนนำกลุ่มพันธมิตรฯ อย่างมาก ที่สำคัญคือ การเชื่อตามนายสนธิ ว่า ใครเกี่ยวข้องกับการลอบยิงเขาบ้าง



แต่ในเมื่อผู้นำทหารเองก็ไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากการค้ำจุนหนุนรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์นี้ให้อยู่ไปตลอดรอดฝั่ง จนกว่าจะพร้อมสำหรับการสู้ศึกเลือกตั้ง และร่วมกันปิดทางกลับคืนสู่อำนาจของ พ.ต.ท.ทักษิณ "ศัตรูร่วม" ของพวกเขา แล้วคงรักษาอำนาจไว้ให้มั่นคงและยาวนานที่สุด



พล.อ.ประวิตร ต้องรับหน้าที่โทรศัพท์สายตรงถึง พล.อ.เตีย บันห์ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหมกัมพูชา ซึ่งถือว่าเป็นทหารเขมรที่สนิทสนมกับทหารไทยมากที่สุด เกือบทุกวัน



อย่าลืมว่า พล.อ.เตีย บันห์ คนนี้ เป็นชาว จ.เกาะกง ที่ติดกับ จ.ตราด หรือเรียกว่า "ไทยเกาะกง" ที่พูดภาษาไทยได้ชัดแจ๋ว มาเรียนที่คลองใหญ่ จ.ตราด และมีชื่อเป็นภาษาไทยว่า "สังวาลย์" หรือเรียกว่า" เตีย สังวาลย์" แต่มีชื่อในตำนานสุดฮาว่า "สังวาลย์ หินกลิ้ง" เพราะตอนเด็กชอบกลิ้งไปกลิ้งมา และว่ากันว่า คุณหญิงเตือนใจ ภริยานั้น แท้จริงแล้วก็เป็นคนไทยด้วยซ้ำ จนถึงขั้นที่ตั้งชื่อลูกชายคนโตว่า"เตีย สยาม (เสียม)"



ทั้ง สมเด็จฮุน เซน และ พล.อ.เตีย บันห์ มีความใกล้ชิดสนิทสนมกับ พล.อ.ชวลิต มายาวนาน ตั้งแต่ พล.อ.ชวลิต เข้ามามีบทบาทในการสร้างสันติภาพเขมรสามฝ่าย แต่ช่วงหลัง พล.อ.ชวลิต แตะมือให้น้องรักอย่าง พล.อ.วิชิต ยาทิพย์ มาเป็นทายาท ในการประสานงานติดต่อกับผู้นำเขมรมาตลอด



จนเป็นที่กล่าวแซวกันอย่างขำๆ ว่า ถ้า พล.อ.วิชิต เกิดที่เขมร พล.อ.เตีย บันห์ ก็คงอดเป็น รมว.กลาโหม บางรายถึงขั้นที่ว่า สมเด็จฮุน เซน อาจไม่ใช่นายกรัฐมนตรีเขมร แต่เป็น สมเด็จวิชิต ที่เล่าขานกันว่า ทางเขมรแต่งตั้งให้

ที่ผ่านมา พล.อ.วิชิต มักจะเป็นนายทหารไทยที่มาช่วยวางแผนการสู้ศึกการเมืองให้กับ สมเด็จฮุน เซน มาตลอด โดยเฉพาะการเลือกตั้ง เรียกได้ว่า การเมืองไทยกับการเมืองเขมร นั้นโยงเกี่ยวกันแบบลึกลับใต้ดินมาตลอด ภายใต้ปฏิบัติการแห่งขงเบ้ง



ไม่แค่นั้น ที่ผ่านมา ผู้นำกองทัพไทยหลายยุค มักจะใช้งานให้ พล.อ.วิชิต เจรจาและประสานกับกัมพูชาตลอด รวมทั้งประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่ง พล.อ.ชวลิต ก็มีความใกล้ชิดลึกซึ้งมาทั้งสิ้น โดยไม่เคยจะสร้างนายทหารด้านเขมรขึ้นมาใหม่ จนทำให้กองทัพขาดบุคลากรที่มีสายสัมพันธ์กับกัมพูชา และเพื่อนบ้าน



เมื่อในวันนี้ พล.อ.วิชิต ซึ่งเกษียณจาก รอง ผบ.ทบ. ไปอยู่พรรคเพื่อไทยกับ พล.อ.ชวลิต ไปแล้ว ผู้นำกองทัพ ก็ไม่อาจจะไหว้วานให้ พล.อ.วิชิต ช่วยทำอะไรให้ได้อีกแล้ว เพราะจะเป็นการให้เครดิตแก่ พล.อ.ชวลิต ซึ่งวันนี้กองทัพถือว่า ยืนอยู่ตรงกันข้ามแล้ว



พล.อ.ประวิตร จึงต้องต่อสายตรงเอง แต่ก็ได้แค่กับ พล.อ.เตีย บันห์ ในฐานะที่เป็น รมว.กลาโหม ด้วยกัน ไม่ถึงขั้นต่อสายตรงถึง สมเด็จฮุน เซน



พล.อ.อนุพงษ์ จึงได้พยายามเจาะเข้าทาง พล.อ.เจีย ดารา รอง ผบ.สส. ซึ่งรู้กันดีว่าเป็นมือขวาของ สมเด็จฮุน เซน ด้วยการสร้างสัมพันธ์ เชิญมาเที่ยวเมืองไทย เลี้ยงหูฉลาม เล่นกอล์ฟบ่อยๆ พร้อมนโยบายให้ ผบ.หน่วยทหารในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา สร้างสัมพันธ์กับฝ่ายกัมพูชา ด้วยการพบปะพูดคุย ทานข้าว และเล่นกีฬาด้วยกัน

พล.อ.อนุพงษ์ นั้นมีแผลใจกับ พล.อ.ชวลิต เมื่อครั้งไปกระซิบห้ามไม่ให้ นายสมชาย วงษ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ตั้ง พล.อ.ชวลิต คุมใต้และความมั่นคง แถมหักหาญน้ำใจ พล.อ.ชวลิต กลางวงประชุมที่ บก.ทบ. ค้านแนวคิดแก้ปัญหาที่ พล.อ.ชวลิต เสนอแบบทันควัน



จึงไม่แปลกที่ตอนนี้เมื่อ พล.อ.ชวลิต มายุ่งเรื่องปัญหาใต้ พล.อ.อนุพงษ์ จึงสั่งให้ ทบ. และ กอ.รมน. ทำการพีอาร์.สู้ เพื่อให้เห็นว่า มาถูกทางแล้ว พร้อมคัดค้านแนวคิด นครรัฐปัตตานี และการนิรโทษกรรมผู้ก่อเหตุ

ส่วน บิ๊กตุ้ย พล.อ.ทรงกิตติ จักกาบาตร์ ผบ.สส. ที่ก็ยกหูหา พล.อ.โปล ซาเรือน ผบ.สส.กัมพูชา อยู่เนืองๆ เพราะเขาผู้นี้ก็ถือเป็นสายตรงของ สมเด็จฮุน เซน ที่ตั้งขึ้นมาแทน พล.อ.แก กิม ยาน ที่นั่งมานาน และถูกปลดไปด้วยข้อหา ถูกไทยกลืน



แต่ พล.อ.เตีย บันห์ อยู่ยงคงกระพันมานานกว่าสิบปี เพราะ สมเด็จฮุน เซน ต้องการให้เป็นผู้ประสานกับทหารไทย โดยมั่นใจว่าเขาไม่มีวันจะถูกไทยกลืน ต่อให้เป็นคนไทยเกาะกงก็ตาม

เมื่อกัมพูชาจับกุม นายศิวรักษ์ ชุติพงษ์ วิศวกรชาวไทย ในข้อหาจารกรรมตารางการบินของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ ในระหว่างที่มาเยือนพนมเปญ เมื่อ 10-14 พฤศจิกายน ท่ามกลางการลดระดับความสัมพันธ์ทางการทูต ทั้งการเรียกทูตไทยกลับ ส่วนกัมพูชาก็ขับเลขานุการทูตไทยออกจากพนมเปญ

โทรศัพท์มือถือของ พล.อ.เตีย บันห์ ก็ดังระงม โดยที่ต้นทางมาจากบิ๊กๆ ทหารไทยทั้งสิ้น แม้แต่ พล.อ.ประวิตร ที่พยายามวอนขอให้มีการปล่อยตัววิศวกรไทย



"ผมบอกกับผู้ใหญ่หลายคนที่โทร.มาเลยว่า ผมช่วยไม่ได้ เพราะคนทำผิดจะต้องถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย จะปล่อยไปเฉยๆ ไม่ได้ เขมรมีกฎหมาย ก็ต้องดำเนินการตามขั้นตอน" พล.อ.เตีย บันห์ กล่าว

ด้วยเพราะหน่วยข่าวกรองของ พล.อ.เตีย บันห์ ยืนยันว่า วิศวกรไทยรายนี้ จารกรรมตารางการบินจริง และเห็นว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ปลอดภัย จึงได้เปลี่ยนเครื่องบินตอนขากลับให้ใหม่ ในฐานะเจ้าที่ พล.อ.เตีย บันห์ เองก็เป็น ส.ส. ของ จ.เสียมราฐ



พล.อ.เตีย บันห์ นั้นคุมทหารทั้งกองทัพ รวมทั้งหน่วยการข่าว และทีม รปภ.วีไอพีทั้งหมด ซึ่งก็ล้วนเคยถูกส่งมาฝึกที่ศูนย์รักษาความปลอดภัย (ศรภ.) ของ บก.กองทัพไทย มาแล้วทั้งสิ้น นอกเหนือจากกองกำลังส่วนตัวของ สมเด็จฮุน เซน



วันนี้ ตั้งแต่พนมเปญ จนถึงเกาะกง ผลประโยชน์ต่างๆ ตกอยู่ในมือของนักธุรกิจสาย สมเด็จฮุน เซน ทั้งสิ้น ทั้งผู้ผูกขาดบุหรี่และเหล้านอก และเจ้าของกาสิโนหลายแห่ง ที่ปอยเปต และเกาะกง อย่าง นายก๊กอาน และ นายพัด สุภาภา

ไม่นับการเดินเกมการเมืองระหว่างประเทศที่แยบยลและเหนือชั้นของ สมเด็จฮุน เซน ที่ใช้แผน โลกล้อมประเทศไทย เช่นเดียวกับ พ.ต.ท.ทักษิณ และ พล.อ.ชวลิต ในทางทหาร ฮุน เซน รบมาทั้งชีวิต และหากรบเขมรจะไม่รบโดยลำพังแน่



ศึกสยามเหลืองกับขแมร์กะฮอม ครั้งนี้ จึงใหญ่หลวง จนสุดคาดเดาว่า นายอภิสิทธิ์ และผู้นำทหารไทย จะคุมเกมไม่ให้บานปลาย และจบอย่างไร...

วันอังคารที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ทน..ดื้อ..ซื้อเวลา ไม่ปรับ...ไม่ยุบ!


ที่มา:บางกอกทูเดย์

ฉะนั้นเสียงเรียกร้องในทางประชาธิปไตยในรูปแบบปกติในวันนี้ ดูเหมือนจะใช้ไม่ได้เลยสำหรับสถานการณ์การเมืองภายใต้รัฐบาลประชาธิปัตย์ และนายกฯ อภิสิทธิ์คนนี้ดังนั้นแม้ว่ากลุ่มคนเสื้อแดงจะถือฤกษ์วันรัฐธรรมนูญ 10 ธันวาคม เป็นวันนัดชุมนุมใหญ่ แต่ก็เชื่อว่าคงไม่ได้ผลอะไร

บนกระแสสังคมที่โหมย้ำเตือนในเรื่องของการสนองรับพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ว่าควรจะต้องสมานฉันท์อย่างแท้จริงเสียทีสะท้อนชัดเจนว่า ประชาชนเอือมระอาการซื้อเวลาการประวิงเวลาทางการเมืองที่เป็นอยู่ในขณะนี้เป็นอย่างมากแล้วเพราะไม่รู้ว่าจะจบจะสิ้นลงเมื่อใดประชาชนต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งที่แท้จริงโชคร้ายที่บังเอิญพรรคประชาธิปัตย์ซึ่งเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล ยังไม่มีความเชื่อมั่น

ในชัยชนะที่จะเกิดขึ้นหลังการเลือกตั้งเพราะแม้ว่าจะมีแผนบันใดอุบาทว์ 4 ขั้นของคมช. มาช่วยหนุนส่ง แต่การซื้อใจประชาชนแบบฉาบฉวย ยังไม่ใช่สิ่งที่จะสามารถการันตีได้ว่า จะชนะเบ็ดเสร็จเด็ดขาดทางการเมืองได้จริงๆ แม้แต่อดีตประธาน คมช. พล.อ.สนธิ บุณยรัตกลิน ก็ยังไม่ได้เข้าพรรคประชาธิปัตย์ แต่ไปเข้าพรรคมาตุภูมิ และมุ่งเจาะฐานเสียงในจังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นหลักเช่นกันกับ พรรคการเมืองใหม่ ของกลุ่มพันธมิตรฯ ซึ่งเมื่อครั้งร่วมปฏิบัติการขับไล่ พ.

ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ลงจากเก้าอี้เมื่อปี 2549 และหนุนส่งให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะได้เป็นนายกรัฐมนตรีสมใจและทำให้นายอภิสิทธิ์ต้องตอบแทนบุญคุณด้วยการแต่งตั้งให้นายกษิต ภิรมย์ แกนนำพันธมิตรฯ ที่นำคนบุกยึดสนามบินสุวรรณภูมิได้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ท่ามกลางเสียงท้วงติงดังขรมไปทั้งประเทศแล้วก็จริงๆ เพราะนายกษิตเข้ามาแล้วก็สร้างปัญหาสารพัด จนวันนี้ขนาดคนไทยถูกจับกุมตัว แต่ทั้งนายกษิต รวมไปจน

ถึงผู้ช่วยรัฐมนตรี และเลขานุการรัฐมนตรี ยังสอบตกวิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเพราะยังยืนกรานดันทุรังโยงเรื่องพ.ต.ท.ทักษิณไม่หยุดหย่อนเนื่องจากรู้ดีว่าไม่ว่าอย่างไรนายอภิสิทธิ์ ก็ไม่มีทางเปลี่ยนตัวรัฐมนตรีต่างประเทศแน่ๆถึงแม้ว่าเวลานี้นายอภิสิทธิ์ยังกระเตงอุ้มนายกษิตอยู่ก็จริง แต่เมื่อเวลานี้กลุ่มพันธมิตรฯ หาจุดยืนในอนาคตด้วยการตั้งพรรคการเมืองใหม่ขึ้นมา ก็กลายเป็นต้องลงชนในพื้นที่ภาคใต้และพื้นที่กรุงเทพฯ กับพรรคประชาธิปัตย์เต็มๆ ไปอีก

เช่นกันเช่นเดียวกันกับที่นายกษิต ก็ต้องการใช้พรรคประชาธิปัตย์ฟอกตัว จึงไม่คิดกลับไปอยู่พรรคการเมืองใหม่เหมือนกันการเมืองไม่เคยมีมิตรแท้ฉันใด... เฉพาะแค่ในแวดวงเกลอเก่า พรรคประชาธิปัตย์ยังเจอปราการรอบด้านฉันนั้นโดยที่ยังไม่นับพรรคคู่แข่งโดยตรงอย่างพรรคเพื่อไทยรวมกระทั่งถึงพรรคหอกข้างแคร่อย่างพรรคภูมิใจไทยของนายเนวิน ชิดชอบ ที่คนประชาธิปัตย์โดยเฉพาะนายอภิสิทธิ์ และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีด้านความมั่น

คง และเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ตอนที่ทำหน้าที่ผู้จัดการรัฐบาลนั้นรู้ดีว่าคนอย่างนายเนวิน พร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงขั้วทางการเมือง หรือจุดยืนทางการเมืองได้ง่ายดายไม่ต่างกับการพลิกลิ้นกลับไปกลับมาเล่นภายในปากขอแค่มองเห็นผลประโยชน์ทางการเมืองที่จะได้รับในอนาคตเป็นตัวตั้งที่สำคัญเท่านั้นสถานการณ์รุมรอบด้านแบบนี้ ต่อให้เรียกร้องอย่างไรก็ตาม ต่อให้ประชาชนเอ่ยอ้างวันรัฐธรรมนูญ 10 ธันวาคม ว่าจะมาถึงในวันพรุ่งนี้แล้ว ควรคืนอำนาจให้

ประชาชนเลือกตั้งใหม่ได้แล้วลืมไปเถอะ ต่อให้เรียกร้องจนน้ำท่วมหลังเป็ด หรือเปียกปอนนายอภิสิทธิ์สักเพียงใด ถ้ายังมองไม่เห็นโอกาสชนะการเลือกตั้งนายอภิสิทธิ์ และพรรคประชาธิปัตย์ไม่มีทางให้มีการเลือกตั้งแน่ๆ... ยื้อเวลาไปเรื่อยๆ นั่นแหละก็แม้แต่การปรับ คณะรัฐมนตรี ซึ่งพรรคร่วมรัฐบาลเห็นว่า ระยะอันใกล้น่าที่จะมีโอกาสปรับ ครม.ได้แล้ว เพราะนายนิพนธ์ พร้อมพันธุ์ ก็ได้ลาออกจากตำแหน่งเลขานุการนายกรัฐมนตรีมานานแล้ว รวมทั้งน.พ.พฤฒิชัย ดำรง

รัตน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ก็อาจจะต้องเด้งจากเก้าอี้ เพราะพิษถือหุ้น ซึ่งเป็นข้อต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ ม. 269 พรรคร่วมรัฐบาลจึงเรียกร้องให้มีการปรับ ครม.แต่นายอภิสิทธิ์ ก็ยังคงเห็นความจำเป็นในการที่ต้องซื้อเวลาต่อไปอีกระยะ จึงไม่ขานรับพรรคร่วมรัฐบาล โดยออกลูกไปในทำนองที่ว่า...ถ้าพรรคร่วมอยากปรับก็ปรับแต่พรรคร่วมไปก่อนพรรคชาติไทยพัฒนาอยากจะปรับ... ก็ตามใจ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ จะวางมือทางการเมือง... ก็เชิญตาม

สบายแต่พรรคประชาธิปัตย์ ยังไม่ปรับแน่... ขืนปรับพรรคก็แตกเท่านั้นเองฉะนั้นเสียงเรียกร้องในทางประชาธิปไตยในรูปแบบปกติในวันนี้ ดูเหมือนจะใช้ไม่ได้เลยสำหรับสถานการณ์การเมืองภายใต้รัฐบาลประชาธิปัตย์ และนายกฯ อภิสิทธิ์คนนี้ดังนั้นแม้ว่ากลุ่มคนเสื้อแดงจะถือฤกษ์วันรัฐธรรมนูญ 10 ธันวาคม เป็นวันนัดชุมนุมใหญ่ แต่ก็เชื่อว่าคงไม่ได้ผลอะไรแถมยังเจอปฏิบัติการโจมตีว่า ชุมนุมทำลายบรรยากาศบ้าง ชุมนุมกระทบการจัดงานเฉลิมพระเกียรติบ้างใส่ไข่ไปถึง

ขั้นว่าจะเอาคนต่างด้าวมาร่วมชุมนุมด้วยไปโน่นเลยทั้งๆ ที่กลุ่มคนเสื้อแดง ยืนยันหนักแน่นแล้วว่าการชุมนุมจะไม่ส่งผลต่อการจัดงานเฉลิมพระเกียรติ เพราะตรวจสอบแล้วพื้นที่บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยไม่มีการจัดงานใดๆ ที่สำคัญการชุมนุมจะเริ่มในเวลา 12.00-24.00 น. โดยการชุมนุมจะไม่ยืดเยื้อ และไม่มีการเคลื่อนย้ายออกจากพื้นที่เพราะเป็นการชุมนุมที่ถือว่าเป็นการจัดกิจกรรมวันรัฐธรรมนูญของปีนี้ ฉะนั้นจึงจะไม่เลื่อนหรือไม่เลิกแน่เจอแบบนี้ไม่รู้เหมือนกัน

ว่า ระหว่างนายกฯ เด็กดื้อ กับกลุ่มเสื้อแดง สีทนได้ ใครจะทนดื้อได้นานกว่ากันในสถานการณ์การเมืองเขม็งเกลียวเช่นนี้เพราะในเมื่อนายอภิสิทธิ์ ไม่ยอมรับในทุกเรื่อง ซึ่งถือเป็นความสามารถพิเศษ และความกล้าหาญทางการเมืองอย่างมาก ก็ขนาดตำแหน่งผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติคนใหม่ นายอภิสิทธิ์ ยังกล้าดื้อลากยาว โดยไม่สนสัญญาณใดๆ ทั้งสิ้นแบบนี้หากใครยังไม่ชมว่าดื้อทะลุขีดจำกัด... ก็ต้องถือว่าลำเอียงเกินไปแล้วเมื่อบุคลิกของนายอภิสิทธิ์ ใน

วันนี้เป็นแบบนี้ กลุ่มคนเสื้อแดงที่จะใช้วันรัฐธรรมนูญทวงการเมือง ทวงการเลือกตั้ง ทวงประชาธิปไตยที่แท้จริงเหนื่อยเปล่าแน่นอนดูแล้วรัฐบาลประชาธิปัตย์ สามารถที่จะแฮปปี้นิวเยียร์ ซื้อเวลาจนอยู่ได้ข้ามไปปี 2553 หรือ 2010 ได้แน่... อย่างน้อยก็เดือนมกราคมที่เห็นอยู่ลางๆ แล้วเพราะแกนนำกลุ่มคนเสื้อแดงก็บอกแล้วว่า คงต้องรอให้เดือนมหามงคล ในเดือนนี้ผ่านพ้นไปก่อน เพราะคนไทยทุกคนรักสถาบันด้วยกันทั้งนั้นแต่หลังจากนั้นแล้วการเมืองจะกลับสู่ภาวะ

ปกติ การต่อสู้ทางความคิดการเมืองระหว่างชนชั้นอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนอาจจะหลีกเลี่ยงไม่พ้นแล้ว เพราะคงปล่อยให้นายอภิสิทธิ์ ใช้เกม “ทน ดื้อ ซื้อเวลา” ต่อไปไม่ไหวแล้วงานนี้ทำให้อุณหภูมิการเมืองในปีหน้าร้อนฉ่าล่วงหน้าข้ามปีกันเลยทีเดียวปัญหาก็คือแล้วการขัดแย้งทางการเมืองในลักษณะนี้จะจบสิ้นลงเมื่อใดมีนักรัฐศาสตร์และนักนิติศาสตร์หลายคนที่เห็นว่า ความขัดแย้งจะยุติได้ก็ต่อเมื่อทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปตามกฎหมายแต่ก็ไม่มีใครกล้าแหลมออกมา

พูดดังๆ ในเวลาที่สังคมแบ่งเป็น 2 ขั้วเช่นนี้ยิ่งเรื่อง 2 มาตรฐานที่เกี่ยวข้องกับด้านกฎหมายด้วยแล้ว ยิ่งไม่มีใครกล้าที่จะการันตีว่า ถ้าการเมืองยังเป็นเช่นนี้ จะไม่มีการดำเนินการ 2 มาตรฐานได้อย่างไรฉะนั้น การเมืองไม่ว่าอย่างไรก็คงต้องยกยอดการต่อสู้ข้ามไปปีหน้าแน่ๆและ 3 เดือนแรกในปีหน้า จะเป็นช่วงเวลาที่กดดันนายอภิสิทธิ์ และรัฐบาลประชาธิปัตย์อย่างหนักหน่วงที่สุด!

กก.สมานฉันท์ฯรุกหนักนายกฯ เดินหน้าทำบ้านเมืองปกติสุข ยุติความแตกแยก ยุใช้วิธีเจรจาทั้ง”ลับ-แจ้ง”


มติชน : นายดิเรก ถึงฝั่ง ประธานคณะกรรมการสมานฉันท์เพื่อการปฏิรูปการเมืองและศึกษาการแก้ไขรัฐธรรมนูญ กล่าวถึงรูปธรรมนำไปสู่การทำให้บ้านเมืองสงบตามพระราชดำรัส พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ว่า ข้อเสนอของคณะกรรมการสมานฉันท์ฯ มิใช่มีแค่กรอบ 3 การแก้ไขรัฐธรรมนูญระยะเร่งด่วน แต่ยังมีกรอบ 1 เรื่องการสร้างความสมานฉันท์ และกรอบ 2 เรื่องการปฏิรูปการเมือง ซึ่งสามารถทำได้เลย ตนย้ำเรื่องนี้มาหลายรอบตั้งแต่ประชุมร่วมกันของรัฐสภาแล้วว่า รัฐบาลต้องเป็นแกนนำที่ดำเนินการพร้อมกันทุกกรอบ เช่น การลดวิวาทะ การลดการสร้างเงื่อนไขใหม่ การเจรจา เป็นต้น แต่นี่ไม่มีการทำ แถมคนข้างๆ นายกรัฐมนตรีก็ยังไม่ยุติการตอบโต้ ฉะนั้นหากรัฐบาล โดยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีมาถือธงนำในการปฏิบัติ จะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี

“แม้พรรคเพื่อไทย หรือ แกนนำ นปช. จะออกมาพูดโจมตีใส่ร้ายอย่างไร ถ้าผมเป็นนายกฯ ผมจะนิ่ง ทำงานเพื่อพิสูจน์อย่างเดียว และไม่พูดมาก สังคมก็จะเห็นเอง เขาจะใส่ร้ายก็ปล่อยเขา เพราะประชาชนไม่โง่ และรู้ว่าอะไรเป็นอะไร แต่ถ้าตอบโต้ตลอดเวลาอยู่อย่างนี้ มันจึงกลายเป็นชิงไหวชิงพริบในการพูดเสียมากกว่า เป็นการโต้วาที แต่ไม่ใช่การแก้ปัญหาบ้านเมือง การทำแบบนี้จึงเป็นการสร้างเงื่อนไขใหม่ ซึ่งไม่ใช่แนวทางที่คณะกรรมการสมานฉันท์ฯเสนอไป ผมขอเรียกร้องให้เกิดการปฏิบัติจริง และปฏิบัติพร้อมกันทั้ง 3 กรอบที่เสนอไป” นายดิเรกกล่าว

ยุเจรจา-เริ่มต้นกับฝ่ายค้านก่อน

นายดิเรกกล่าวว่า เรื่องการเจรจาตามข้อเสนอนั้น ถ้าทุกคนเห็นแก่บ้านแก่เมือง ทำไมจะเจรจากันไม่ได้ เช่น เป็นไปได้หรือไม่ที่นายกฯจะเชิญฝ่ายค้านมาปรึกษาหารือ หาทางเลิกทะเลาะกัน ถ้านายกฯเปิดเกมอย่างนี้ก็จะมีการเจรจาได้ ไม่ใช่ต้องไปเจรจาแค่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯเพียงคนเดียว

ผู้สื่อข่าวถามว่า มีการเจรจาแล้วคือแก้รัฐธรรมนูญ 6 ประเด็นแต่สุดท้ายฝ่ายค้านก็ถอนตัวหลังจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ออกมาสั่งการ นายดิเรกกล่าวว่า ฝ่ายค้านก็มีเหตุผลของตนเอง โดยมองว่า เมื่อลงเรือลำเดียวกันแล้ว ทำไมไม่ยกร่างเป็นร่างเดียว 6 ประเด็น รวมใจกันทำ แต่พอรัฐบาลให้แยกเป็น 6 ร่าง ร่างละประเด็น ฝ่ายค้านก็มองว่า รัฐบาลจะไม่เอาอันไหน ก็ไม่โหวตให้ได้ และเห็นว่า รัฐบาลจะซื้อเวลาด้วยการประชามติอีก ทั้งที่มาตรา 291 กำหนดให้รัฐสภาแก้รัฐธรรมนูญได้เลย ตรงนี้จึงเป็นความรู้สึกขัดแย้งขึ้นมา สุดท้ายทั้งสองฝ่ายมองกันไปมาด้วยสายตาที่ไม่ไว้ใจ

รบ.ไม่เป็นเจ้าภาพก็ไปไม่ได้

ผู้สื่อข่าวถามว่า ประเด็นจริงๆ คือ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ต้องการรับโทษและไม่ต้องการโดนยึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้านบาท โดยอ้างว่าไม่ยุติธรรมเพราะเป็นผลต่อเนื่องจากการรัฐประหาร นายดิเรกกล่าวว่า ทุกอย่างอยู่ที่การได้คุยกันก่อน ประเด็นไหนเจรจาไม่ได้ ก็ยกเก็บไว้ก่อน อันไหนทำได้ก็ทำ ก็จะค่อยๆ เริ่มเข้าใจกัน ถ้ารัฐบาลทำเหมือนแมวไล่จับหนูตลอดเวลา หรือ พ.ต.ท.ทักษิณ และฝ่ายค้าน สู้เพื่อป้องกันตัวเองตลอดเวลา ก็ไม่สำเร็จ หรืออย่างฝ่ายค้านบอกว่า คดีเสื้อเหลืองปิดสนามบินสุวรรณภูมิทำไมไม่คืบ แต่คดีเสื้อแดงคืบเอาคืบเอา รัฐบาลก็ต้องชี้แจงด้วยเหตุผลเพื่อให้เข้าใจกัน

เมื่อถามถึงความจำเป็นที่จะต้องนำร่างกฎหมายปรองดองหรือพวกกฎหมายนิรโทษกรรมมาคุยกันหรือไม่ นายดิเรกกล่าวว่า หากเริ่มพูดคุยกันได้ มีอะไรก็เอามาวางต่อรองกัน และพิจารณากันดูเป็นประเด็นไป งานก็เดินหน้า ร่างกฎหมายปรองดอง อาจเป็นลักษณะหนึ่งก็ได้ถ้าสมมุติว่าพูดคุยกันได้จบ แต่นี่ยังไม่ได้คุยกันเลย รัฐบาลก็ไม่เป็นเจ้าภาพที่จะเริ่ม เรื่องก็ไปไหนไม่ได้

ต้องต่อยอดทั้งทางลับและแจ้ง

นายตวง อันทะไชย ส.ว.สรรหา ประธานคณะอนุกรรมการเพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางสร้างความสมานฉันท์ทางการเมืองของสังคมไทย ในคณะกรรมการสมานฉันท์เพื่อการปฏิรูปการเมืองและศึกษาการแก้ไขรัฐธรรมนูญ กล่าวถึงแนวทางรูปธรรมในการทำให้บ้านเมืองสงบว่า ข้อเสนอของกรรมการสมานฉันท์ฯ ในส่วนกรอบแรกว่าด้วยแนวทางสร้างสมานฉันท์ ซึ่งมี 6 ข้อ ได้แก่ การลดวิวาทะ การไม่สร้างเงื่อนไขความขัดแย้งใหม่ การให้สื่อมวลชนทุกแขนงเข้ามาเป็นเครือข่ายสร้างพื้นที่สมานฉันท์ การเจรจา การตั้งสมัชชาสมานฉันท์ส่วนภูมิภาค และสร้างรัฐธรรมนูญฉบับสมานฉันท์และแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เหล่านี้ ยังไม่มีการปฏิบัติเป็นรูปธรรม คิดว่า รัฐบาลต้องเป็นผู้เริ่มได้แล้วและหลายอย่างทำได้เลยไม่ต้องลงทุน เช่นการลดวิวาทะ ดูอย่างงาน 5 ธันวาคม ที่รัฐบาลจัด ก็ระดมใจคนสามารถทำให้บรรยากาศลดความร้อนแรงลงได้มาก

“ต่อจากนี้ไป รัฐบาลต้องต่อยอด เช่น การเจรจา ทั้งทางลับและทางแจ้ง เริ่มจากตัวหลักทางการเมือง คือ ฝ่านค้านและรัฐบาล นายกฯสามารถเชิญ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประธานที่ปรึกษาพรรคเพื่อไทย ซึ่งเป็นผู้ใหญ่ของฝั่งนี้ มาร่วมกันได้ เพราะการเมืองตอนนี้มี 2 ขั้วใหญ่ คือ พรรคประชาธิปัตย์ และพรรคเพื่อไทย ซึ่งต่อไปต่างก็ต้องสลับเป็นฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้าน แล้วทำไมจะคุยกันไม่ได้ ส่วนการเจรจาทางลึก รัฐบาลสามารถเปิดการเจรจากับคนที่อยู่เบื้องหลังการที่เอาประชาชนมาเป็นเครื่องมือ และยกเรื่องนั้นเรื่องนี้มาอ้างได้ เริ่มจากเอาสิ่งที่คุยกันได้มาเจรจากันก่อน หรือหากรัฐบาลไม่ทำ ประธานสภา ที่เป็นประมุขฝ่ายนิติบัญญัติ 1 ใน 3 อำนาจอธิปไตย ก็สามารถผลักดันได้ วันนี้เป็นโอกาสดี เพราะคนไทยมีศูนย์รวมใจที่พระเจ้าอยู่หัวแล้ว และกระแสสังคมก็ต้องการให้ทุกฝ่ายหันหน้าเข้าหากัน” นายตวงกล่าว

วันจันทร์ที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2552

"เสธ.แดง"ชน"อนุพงษ์" ลั่น"กูทำอะไรให้มึง" ซัดฟังแต่ลูกน้องสอพลอ อย่าซ่าส์กับทหารพรานมียิงกันแน่


"เสธ.แดง" เดือด ชน "อนุพงษ์" ไม่กลัวคำขู่ ลั่น กูทำอะไรให้มึง ชี้ ไม่มีใครปลดได้ ซัดกลับ ฟังแต่ลูกน้องสอพลอ แค่เตือนอย่าซ่าส์กับทหารพราน มียิงกันแน่ ปัด ไม่ได้พามา แต่มาโดยธรรมชาติ ปูด กองทัพขนเงินแจกทหารพรานปักธงชัย 10 ธ.ค.นี้ ดีจะได้มีค่ารถมาร่วมชุมนุมแดง

"เสธ.แดง"ไม่กลัวเล่นวินัยทหาร

พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือ"เสธ.แดง" ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก ให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ กรณี พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ.ไม่พอใจที่ออกมาระบุกองกำลังอดีตทหารพรานค่ายปักธงชัย จะออกมาร่วมชุมนุมกับกลุ่มเสื้อแดง อีกทั้งเตรียมสอบสวนวินัยทหารด้วย ว่า จริงๆแล้วตนเป็นคนเดียวในกองทัพ ที่ออกมาปกป้องพล.อ.อนุพงษ์ตลอดเวลา ตั้งแต่การชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่ด่าพล.อ.อนุพงษ์บนเวที ตนก็ด่าให้ รวมถึงการโจมตีเรื่องจัดซื้อยานเกราะล้อยาง ตนแก้ต่างให้ตลอด แต่พล.อ.อนุพงษ์แปรเจตนาตนผิดตลอดเช่นกัน ที่ตนมีเรื่องกับพันธมิตรฯก็เพราะพล.อ.อนุพงษ์ เรื่องทหารพรานค่ายปักธงชัยนั้น แม้จะยุบหน่วยไปนานแล้ว แต่กองกำลังเหล่านั้นยังมีการรวมตัวกันเป็นการ์ดนปช.อยู่นานแล้ว ต่อจากนักรบพระเจ้าตาก นักรบโรนนิน และการ์ดนปช. แล้วในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา ทหารพรานเหล่านี้ก็เริ่มเข้ามา มีการนำชุดทหารพรานมาแต่งแบบเถื่อนผิดกฎหมาย ทำเป็นองค์กรขึ้นมา มีอาวุธยุทธโธปกรณ์ บางทีไปเอาจากทหารเขมร จึงเป็นเรื่องที่อันตราย

พล.ต.ขัตติยะกล่าวว่า ตนจึงขอให้ระวัง ต้องประสานกันให้ดี แต่พล.อ.อนุพงษ์นึกว่าตนมาป่วน เอาทหารพรานมาขู่ทหารหลัก ไปคนละเรื่อง เพราะระบบทหารไม่ดี ลูกน้องบอกเจ้านายจนหลงทางหมด ตอนรัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ แทนที่จะไปทำเรื่องชายแดนกัมพูชา สมเด็จฯฮุนเซ็น นายกฯกัมพูชาขู่จะรบถ้าไทยไม่ถอนทหาร ก็ไม่ทำอะไร มัวแต่ไปออกทีวีขู่นายสมชายให้ลาออก ลูกน้องพล.อ.อนุพงษ์ไม่ทำอะไรนอกจากสอพลอ แต่พอมีใครด่านาย ก็หายหมดไม่มีใครออกมาพูด เลี้ยงเสียข้าวสุก ไม่พอยังไปฟ้องนายให้มาสอบสวนตน หาว่าตนด่าผบ.ทบ.อีก

"เรื่องทหารพรานผมเตือนให้ระวัง ผมไม่ได้พามา มันมากันเองโดยธรรมชาติ ถ้าเอาทหารหลักมาปราบ แล้วเกิดทหารพรานสู้ขึ้นมา ก็ยิงกันตาย พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี สมาชิกพรรคเพื่อไทย ยังเรียกผมไปเตือนว่า ให้ระวังเรื่องนี้ให้ดี ผมจึงออกมาให้สัมภาษณ์เตือนทหารหลักอย่าออกมา ให้เกียร์ว่างไว้ ถ้าออกมาเดี๋ยวยิงกับทหารพรานแล้วจะยุ่ง ผมไม่อยากให้ปะทะกัน แต่กลายเป็นว่าเสธ.แดงเป็นทหารของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ แต่ออกมาพูดจาข่มขู่ให้ปะทะกัน พล.อ.อนุพงษ์ไปคนละเรื่อง พอใหญ่แล้วหนาว ยิ่งสูงยิ่งหนาว วันนี้พล.อ.อนุพงษ์ดุจนลูกน้องไม่กล้าไปบอกว่าพูดคนละเรื่องกับเสธ.แดง วันนี้ถ้าเสื้อแดงล้อมทำเนียบฯ ทหารพรานมาล้อมด้วย จะเป็นอย่างไร ถ้าพล.อ.อนุพงษ์ไม่พูดเหมือนตอนรัฐบาลนายสมชาย ว่า การเมืองต้องแก้ด้วยการเมือง แล้วเอาทหารออกมา ยุ่งแน่นอน"พล.ต.ขัตติยะกล่าว

พล.ต.ขัตติยะกล่าวว่า ส่วนที่จะเอาวินัยทหารมาเล่นงานตนอีกนั้น ตนพูดแค่ว่า ทหารหลักระวังทหารพรานให้ดี พวกนี้รบมา หากใครไปติดอาวุธให้ จะยุ่ง มันไม่เหมือนตอนเดือนเมษายนที่ผ่านมา ตอนนั้นทหารพรานยังไม่มา ติดอาวุธให้เสื้อแดงก็ไม่มีอะไร แต่เที่ยวนี้ไม่เหมือนกัน ตนพูดผิดตรงไหน ถ้าจะปลดตนไม่มีกฎหมายไหนทำได้ เพราะเรื่องถอดยศเป็นพระราชอำนาจ ถ้าจะพักราชการ ก็ต้องผิดอาญา พูดแค่นี้คดีขี้หมา แล้วถ้าพักราชการตนจริง แสดงว่าเป็นการกลั่นแกล้งส่วนตัว

ลั่น"กูทำอะไรให้มึง" ปูด กองทัพขนเงินแจกทหารพราน

"ถ้าแกล้งกันส่วนตัวแบบนี้ ก็เป็นเรื่องส่วนตัวแล้ว ก็ให้อยู่แต่ในกองทัพบกแล้วกัน "ป๊อก" ลืมเพื่อนแล้ว ลืมผู้ใต้บังคับบัญชา ถ้าทำอย่างนั้น ก็ไม่ใช่ผู้บังคับบัญชาผม กูทำอะไรให้มึง กูนี่แหละออกมาช่วยมึงคนเดียวทั้งกองทัพ มาใช้อำนาจมิชอบแบบนี้ ก็ให้อยู่แต่ในกองทัพบก อย่าออกมาก็แล้วกัน ไม่ได้ขู่นาย แต่ถ้าทำผมแบบนั้น ก็ไม่ใช่นายผม"

"วันนี้ มีอดีตทหารพรานโทรมาบอกผมว่า ขณะนี้ทหารพรานกำลังเฮกันตรึม เพราะกองทัพจะเอาเงินไปแจกที่ค่ายปักธงชัยในวันที่ 10 ธันวาคมนี้ อ้างเป็นการทำบุญให้มูลนิธิทหารพราน ไม่รู้ว่าพล.อ.อนุพงษ์รู้เรื่องนี้หรือไม่ แต่ก็เป็นการดี 2 ประการ คือ อดีตทหารพรานที่ถูกทอดทิ้งมาเป็นสิบปี ได้รับการเหลียวแล และเป็นเรื่องดีที่ทหารพรานเหล่านั้น จะมีค่ารถมาร่วมชุมนุมกับกลุ่มเสื้อแดงในวันที่ 10 ธันวาคมนี้เช่นกัน น่าจะมาได้เยอะกว่าเดิม เรื่องนี้ประสานงานโดยนายทหารยศ พ.อ. คนหนึ่งซึ่งเป็นอดีตผู้บังคับการหน่วยทหารพรานปักธงชัย และนายทหารยศ ร.อ. ที่เคยเป็นอดีตรองผบ.หน่วยทหารพรานอีกคนหนึ่ง ทำให้ขณะนี้อดีตทหารพรานเริ่มยกหูหากัน และนัดกันแล้ว"พล.ต.ขัตติยะกล่าว

"พท."จี้"อนุพงษ์"เคลียร์ปมเก่า

นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวถึงกรณีที่ พล.อ.อนุพงษ์ สั่งสอบสวน พล.ต.ขัตติยะว่า เป็นเรื่องของกองทัพที่มีประเพณีปฏิบัติอยู่ แต่คำพูด พล.ต.ขัตติยะอาจถูกใจคนหลายเรื่อง เช่นเรื่องที่ พธม.ไปปิดล้อมสนามบินดอนเมือง ยึดสนามบินสุวรรณภูมิและทำเนียบรัฐบาล ซึ่งจนถึงขณะนี้ยังไม่มีการตัดสิน แถมยังมีการบอกว่าคนหัวเกรียน ทหารจากหน่วยนั้นหน่วยนี้มาร่วมกับ พธม.ด้วย ซึ่งเหตุการณ์เหล่านี้ยังไม่มีการสอบสวนย้อนหลัง ดังนั้น พล.อ.อนุพงษ์ จึงต้องทำให้กระจ่าง

กห.เชื่อ10ธ.ค.ไม่มีเหตุวุ่นวาย

พ.อ.ธนาธิป สว่างแสง โฆษกกระทรวงกลาโหม กล่าวกรณีที่กลุ่มคนเสื้อแดงยืนยันจะชุมนุมในวันที่ 10 ธันวาคมนี้แน่นอนว่า การชุมนุมในวันที่ 10 ธันวาคมนี้ คงไม่มีเหตุวุ่นวายอะไร เพราะขณะนี้สถานการณ์ภาพรวมยังอยู่ในความสงบเรียบร้อย และยังไม่ได้รับข้อมูลด้านการข่าวว่า จะส่อให้เกิดเหตุวุ่นวายขึ้น อย่างไรก็ตาม มีการติดตามสถานการณ์ข่าวอย่างต่อเนื่อง ขณะนี้ตำรวจยังเป็นเจ้าหน้าที่หลักในการรักษาความสงบเรียบร้อย แต่หากกำลังไม่เพียงพอ สามารถร้องขอกำลังทหารสามารถเข้าไปเสริมได้ในฐานะผู้ช่วยเจ้าพนักงาน แต่เชื่อว่า ทุกคนคงเข้าใจดีถึงพระราชพิธีที่เกิดขึ้น ประกอบกับผู้ชุมนุมทุกกลุ่มที่เคลื่อนไหวเป็นคนไทยทั้งหมด และทุกคนคงอยากให้พระองค์ท่านทรงหายประชวรโดยเร็ว ดังนั้นทุกคนคงรู้ดีว่า ควรทำอย่างไร และขณะนี้ทุกคนคงจะนำแนวทางพระราชดำรัสมาเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิต เป็นแนวทางในการดูแลสร้างชาติบ้านเมืองให้กลับมาสงบเหมือนอดีต

“มันเลยไปแล้ว”เรากำลังเลยไปไหนกัน?


ที่มา:หนังสือพิมพ์โลกวันนี้

แม้ตัดออกมาเป็นประโยคสั้นๆผมก็ยังชอบการพูดถึงปัญหารัฐธรรมนูญฉบับ 2550 ของ ดร.วรเจตน์ ภาคีรัตน์ ท่านพูดเอาไว้มาร่วมเดือนกว่าได้แล้วกระมัง?...ดร.วรเจตน์พูดเต็มๆว่า “มันเลยไปแล้ว เราสร้างปมขึ้นมาขมวดกันจนยุ่งเหยิงขนาดนี้ ผมเห็นว่าเลยมาแล้ว ผมก็นั่งดูแล้วครับตอนนี้ ผมไม่คิดว่าจะเปลี่ยนแปลงอะไรกันได้...เราอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของประวัติศาสตร์ ซึ่งก็ยังไม่รู้ว่าจะหักเลี้ยวออกไปทางไหน อย่างไร?”

ก่อนหน้านั้น ดร.วรเจตน์ยังเคยให้ความเห็นเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญ 2550 ซึ่งมันจะนำพาประเทศไปสู่ทางตัน เพราะมันเป็นปัญหา เป็นตัวกติกาในแบบที่ไม่มีการยอมรับ และที่สุดจะต้องแก้ และก็จะมีคนไม่อยากให้แก้” ดร.วรเจตน์ นักกฎหมายมหาชน เคยยืนยันมานานแล้วถึงรัฐธรรมนูญฉบับนี้...มันไม่ใช่เพียงแก้ไข 6 ประเด็น แต่ต้องทำใหม่ทั้งฉบับ!

จับประเด็นขึ้นมาเขียนเพราะผมรู้สึกจั๊กจี้หัวใจเมื่อคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ (นายกรัฐมนตรี) ได้หยิบเรื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญ 6 ประเด็นขึ้นมาพูดถึงอีกครั้ง...ก็เป็นอะไรอย่างหนึ่งของการเล่นเกมที่เจ้าเล่ห์และชาญฉลาด คุณอภิสิทธิ์โยนไฟกองนี้กลับคืนไปตรงฝ่ายค้านอีกรอบ “วันนี้ยังแปลกใจว่า เขาบอกว่าถ้าแก้รัฐธรรมนูญจะเหมือนเป็นการยืดเวลา ความจริงถ้าฝ่ายค้านเดินมาตกลงกันป่านนี้ก็เดินไปได้แล้ว ถ้าไม่เดินก็จะมีปัญหาอีก”

แม้คุณอภิสิทธิ์ยืนยันหนักแน่นเกี่ยวกับตัวเอง ซึ่งไม่เคยมีประวัติในการหลอกใคร? แล้วเชื่อว่าประชาธิปัตย์ไม่ได้คิดยื้อเกมแก้ไขรัฐธรรมนูญ...แต่เราพิจารณารูปการต่างๆ ที่ผ่านมาก็ยังเห็นประเด็น 6 ประเด็นคงเป็นเรื่องลับ-ลวง-พรางและขี้ฉ้อบวกขี้ฮกเสียทั้งนั้น ลองดูในตอนนี้ ขณะที่คุณอภิสิทธิ์พูดว่า 6 ประเด็นในการแก้ไขรัฐธรรมนูญมันไม่ใช่ทั้งเรื่องของรัฐบาลและฝ่ายค้าน แต่เป็นประเด็นที่กรรมการทุกฝ่ายตกลงกันแล้วก็ควรทำประชามติ

...วันนี้คุณอภิสิทธิ์ผู้ซึ่งยืนยันว่าตัวเองไม่เคย “หลอกใคร?” ได้พูดไปแบบนี้ ถ้าเราย้อนความทรงจำกลับไป 2-3 เดือนเท่านั้นจะเห็นว่า นายกรัฐมนตรี “เกราะอ่อน” ยังเคยทึกทักตีขลุมที่จะให้รัฐบาลเป็นเจ้าภาพในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ตอนนั้นฝ่ายรัฐสภาเขายืนยันถึงความชอบธรรมที่จะเสนอแก้ไขตามบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญฉบับนี้เอง แต่ฝ่ายรัฐบาลโยกเยกตามสไตล์ ยกเรื่องทำประชามติเอามาเป็นข้ออ้าง

มาวันนี้คุณเกราะอ่อนพูดไปอีกแนว...สไตล์เล่นการเมืองแบบวนรอบเก้าอี้ เปลี่ยนประเด็นพูดวนแล้วเวียนเทียนหาเหตุผลไปเรื่อยๆ อันนี้ดูจะเป็นอาวุธลับของนายกรัฐมนตรี พอไปเรื่องโน้นไม่ได้ก็โหนย้อนกลับมาเรื่องเดิม พูดวนๆไปแบบจะเอาจริง...แต่ที่ไหนได้ครับ เขามีธงอยู่เพียงการพูด?

นายกฯเกราะอ่อนอันที่จริงคงรู้ดีอยู่แล้วว่าเกมแก้ไขรัฐธรรมนูญฝ่ายค้านได้มีจุดยืนและหลักการชัดเจน เคยแถลงเสมอๆสำหรับความต้องการเรียกร้องรัฐธรรมนูญ 2540 เอากลับคืนมา...อย่างอภิสิทธิ์หรือไปอ่านเกมไม่ออก? แต่ใช้ตรงนั้นมาพูดใหม่ให้เป็นข้อได้เปรียบหวังชิงแต้มทางการเมือง? ตรงนี้เท่ากับเป็นการอัดข้างฝาพรรคเพื่อไทยโดยตรง หว่านล้อมให้สังคมเห็นคล้อยตามว่าเป็นพรรคการเมืองฝ่ายค้านที่ไม่ให้ความร่วมมือในการแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับ 2550

...นายกฯเกราะอ่อนยังใส่ยาพิษน้ำผึ้งขมเข้าไปมากกว่านั้นอีก โจมตีแบบเสียดสีลึกๆเหมือนอิตถีนารีเพศในภาพยนตร์โทรทัศน์ชุดบัลลังก์แสงจันทร์ สรุปเอาเองว่า “...ถ้าหากยังไม่มาทำอย่างนี้ ก็คงตีความได้อย่างเดียวว่าเป็นเรื่องของการต้องการอื่นมากกว่า ไม่ใช่เรื่องประชาธิปไตย แต่เป็นเรื่องผลประโยชน์ส่วนตัวของบางคน ซึ่งถ้าเราไปยอมก็ไปเปิดประตูให้เกิดปัญหามากมายในอนาคต...” นี่คือนายอภิสิทธิ์ผู้เป็นโฆษกใหญ่ของอำมาตยาธิปไตย!?

อ่านทางของนายกฯเกราะอ่อนแล้วเข้าใจได้ชัด “พูดไปงั้นๆแหละเพราะยังมีลิ้นกระดกได้อยู่...” ถ้าถือตาม ดร.วรเจตน์ ภาคีรัตน์ วิเคราะห์เอาไว้ เราต้องจัดกลุ่มให้นายอภิสิทธิ์เป็นสมาชิกหลักในฟากข้างของผู้ไม่ต้องการแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับกลิ่นเหงื่อและคราบไคลขาหนีบของ คมช.

เป็นเรื่องน่าทบทวนทางความคิดจริงๆ ขณะที่ปัญหาวิกฤตต่างๆในสังคมไทยมันเป็นเนื้อหาไปไกลกว่ารัฐธรรมนูญ 2540 เสียอีก แต่เรายังต้องทนอยู่กับรัฐบาลที่ยึดติดแน่นกับรัฐธรรมนูญ 2550 เพียงเขี่ยออกไป 5-6 มาตราก็ไม่ยอมอยู่แล้ว...วิกฤตของประเทศที่ไปไกลระดับต้องออกแบบรัฐ ออกแบบระบบการปกครองใหม่ให้สอดคล้องกับโลกาภิวัตน์ มันเลยไปแล้วจากรัฐธรรมนูญทั้ง 2550 หรือ 2540...ถามว่าบ้านเมืองจะไปกันยังไง? แล้วเรายังจะต้องเอานายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ไปไว้เสียที่ไหนดี? หรือส่งกลับเวียดนาม?

‘ชุมพล’กังขา วัยวุฒิลูกยอด หวังเก้าอี้รมต.


นายชุมพล ศิลปอาชา รมว.ท่องเที่ยวและกีฬา ในฐานะหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา เปิดเผยว่า นายบรรหาร ศิลปอาชา อดีตหัวหน้าพรรคชาติไทย ไม่ได้น้อยใจ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ รองนายกฯ กรณีไม่บอกเรื่องเตรียมวางมือทางการเมือง
“การออกมาประกาศวางมือทางการเมืองของพล.ต.สนั่น ไม่ได้มีนัยใดๆ เป็นเพียงความต้องการให้บุตรได้มีโอกาสเป็นรัฐมนตรีเท่านั้น ซึ่งพรรคก็ยังไม่ได้มีการหารือว่าจะให้นายศิริวัฒน์ ขจรประศาสน์ ชิมลางนั่งเก้าอี้กระทรวงใด เพราะต้องไปตรวจสอบก่อนว่า นายศิริวัฒน์อายุถึง 35 ปี หรือไม่” นายชุมพล กล่าว

พล.ต.สนั่น กล่าวว่า เมื่อรัฐบาลทำงานครบ 1 ปี ควรจะมีการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่งการปรับครม. จะช่วยลดแรงกระเพื่อมภายในพรรคได้ส่วนหนึ่ง โดยเฉพาะพรรคที่มีการไปรับปากกันเอาไว้

นายคณวัฒน์ วศินสังวร รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ฝ่ายเศรษฐกิจของพรรค กล่าวว่า เหตุที่รัฐบาลเตรียมปรับครม. เนื่องจากที่ผ่านมารัฐบาลไม่มีผลงานเป็นรูปธรรม ยิ่งไปกว่านั้นยังพบปัญหาการทุจริตในโครงการต่างๆ ของรัฐ รวมถึงความขัดแย้งภายในพรรคร่วมรัฐบาล

วันเดียวกัน สำนักวิจัยเอแบคโพลล์ เปิดเผยผลสำรวจประเด็นทางการเมือง พบว่าประชาชนส่วนใหญ่ หรือ 58% เห็นว่าช่วงเวลานี้เหมาะสมต่อการปรับครม. เพราะรัฐมนตรีบางคนไม่มีผลงาน ไม่เป็นที่รู้จัก และควรปรับเฉพาะบางตำแหน่ง

วันอาทิตย์ที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2552

มาบตาพุด 300,000 ล้าน แขวนชะตารอ ‘อานันท์’


ในทันทีที่ศาลปกครองสูงสุดสั่งระงับ 65 โครงการลงทุนมาบตาพุด บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทย เมื่อวันที่2 ธ.ค. ก็เหมือนกับระเบิดลง เพราะดัชนีดิ่งลงอย่างหนัก โดยระหว่างวันดัชนีลดลงต่ำสุดที่ 693.51 จุด และเป็นระดับจุดปิดของตลาดในวันที่ 2 ซึ่งร่วงลง 16.50 จุด หรือ ร้อยละ 2.32มูลค่าการซื้อขาย

หนาแน่นจากการเทขายด้วยความตื่นตระหนก 28,708.11 ล้านบาทเล่นเอาหน่วยงานของภาครัฐที่เกี่ยวข้อง วิ่งวุ่นไปตามๆ กันนางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ต้องให้ทางบริษัทจดทะเบียน 5 แห่ง ที่เกี่ยวข้องกับโครงการลงทุนในมาบตาพุด ประกอบด้วย บริษัท ปตท. บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท.สผ. บริษัท ปตท. อะโรเมติกส์และการกลั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท.

เออาร์บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือเอสซีซี และบริษัท ไทยพลาสติกและเคมีภัณฑ์ จำกัด (มหาชน) หรือทีพีซีประเมินผลกระทบด้านต่างๆ ที่เกิดขึ้นในทันที กระทบต่อโครงการในส่วนไหนบ้าง และมูลค่าความเสียหายที่เกิดขึ้น“ยอมรับว่า หลังศาลฯ ตัดสินออกมาส่งผลให้นักลงทุนเกิดความกังวล เห็นได้จากดัชนีหุ้นไทยยังแกว่งตัวผันผวน จึงขอให้นักลงทุนประเมินข่าวสารให้รอบด้านและรอฟังข้อมูลที่ชัดเจน ก่อนตัดสินใจลงทุน” นางภัทรียา กล่าวซึ่ง

ทำให้นายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ เองก็พลอยเหนื่อยอย่างหนักไปด้วย เพราะสำหรับ ปตท. มีการลงทุนกว่า 100,000 ล้านบาทในพื้นที่มาบตาพุด ดังนั้นแม้จะมีโครงการบางส่วนที่รอดพ้นออกมาได้ แต่ก็ยังมีอีกหลายโครงการที่ยังติดบ่วงอยู่ในส่วนที่เหลือที่ถูกแช่แข็งที่สำคัญ อาณาจักร ปตท. นั้นถือเป็นครอบครัวหุ้นที่มีน้ำหนักมากในตลาดหุ้นไทยในปัจจุบัน จึงทำให้ถูกจับตามองเป็นอย่างยิ่งเพราะหาก ปตท.และเครือได้รับ

ผลกระทบเยอะตลาดหุ้นไทยก็จะยิ่งอ่อนไหวมากยิ่งขึ้นในขณะที่นายรุ่งโรจน์ รังสิโยภาส ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ บริษัทปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในรายชื่อตามคำฟ้องทั้งหมด 76 โครงการ มีโครงการในกลุ่มบริษัทเอสซีจี เคมิคอลส์ จำกัด (หรือ SCG Chemicals) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ SCC จำนวนทั้งสิ้น 20 โครงการ โดยผลของคำสั่งศาลปกครองสูงสุด เท่ากับว่าคงเหลือ 18 โครงการที่จะถูกระงับโครงการไว้เป็นการชั่วคราว เพราะ 2 โครงการได้รับการยก

เว้นตามคำสั่งของศาลปกครองสูงสุดแล้วซึ่งทั้ง 18 โครงการ มีเงินลงทุนรวมทั้งสิ้นประมาณ 57,500 ล้านบาทคาดว่าจากคำสั่งดังกล่าวอาจทำให้โครงการล่าช้าไปบ้าง และขณะนี้ SCC อยู่ระหว่างการหารืออย่างใกล้ชิดกับหน่วยงานราชการและคณะกรรมการที่เกี่ยวข้องเพื่อหาข้อสรุปและแนวทางปฏิบัติร่วมกันให้เกิดผลกระทบน้อยที่สุดอย่างไรก็ตามคำสั่งดังกล่าวไม่มีผลกระทบกับกำลังการผลิตเดิมที่ SCG Chemicals มีอยู่ และยังคงสามารถเปิดดำเนินการได้ตามปกติ

ส่วนนายชายน้อย เผื่อนโกสุม กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ปตท. อะโรเมติกส์และการกลั่น (PTTAR) กล่าวว่า โครงการของ ปตท.ก่อนหน้านี้มีความกังวลว่าจะชะลอตัวรวม 25 โครงการเงินลงทุน 130,000 ล้านบาท แต่เมื่อศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งให้ 11 โครงการเดินหน้าและรวมไปถึงคำสั่งศาลปกครองกลางก่อนหน้านี้มีคำสั่งว่าให้โครงการใดๆ ที่ได้รับใบอนุญาตก่อนรัฐธรรมนูญ 2550 มีผลบังคับใช้ก็สามารถดำเนินการได้อย่างต่อเนื่อง ดังนั้นโครงการทั้งหมดของ

ปตท.ส่วนใหญ่จะเดินหน้าได้แต่มีหลายโครงการที่ดำเนินการหลังปี2550 ก็จะต้องทำตามข้อปฏิบัติของภาครัฐที่จะกำหนด รวมทั้งคำสั่งศาลซึ่งรวมแล้วมีโครงการที่ได้รับผลกระทบประมาณ 60,000 ล้านบาท“ต้องยอมรับว่าผลกระทบในมาบตาพุดส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศระยะยาวซึ่งเป็นสิ่งที่อ่อนไหว โดยภาคเอกชนต้องการเห็นข้อกำหนดของภาครัฐให้มีความชัดเจน เพราะไม่เช่นนั้นก็ไม่ทราบว่าการดำเนินการตาม

กฎหมายทั้งหมดก่อนหน้านี้จะถูกเปลี่ยนแปลงอะไรหรือไม่ ซึ่งเชื่อว่าทั้งภาครัฐและส่วนอื่นจะเร่งสร้างความชัดเจนโดยเร็ว” นายชายน้อย กล่าวแม้ดูเหมือนว่าจนถึงขณะนี้ รัฐบาลจะไม่สามารถทำอะไรได้มากนัก แม้แต่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็ยังคงไปฝากความหวังเอาไว้กับคณะกรรมการ 4 ฝ่ายแก้ไขปัญหานิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด ที่มีนายอานันท์ ปันยารชุน อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นประธานจะช่วยแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นได้ซึ่งนายอานันท์ เผยว่า ขณะนี้กำลังเร่ง

กำหนดพิมพ์เขียว หรือโครงสร้างองค์กรอิสระใหม่ เพื่อปฏิบัติการตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 67 (2) โดยจะสรุปภายใน 2 สัปดาห์ดังนั้นชะตากรรมของโครงการที่ลงทุนไปแล้ว และจะก่อให้เกิดการจ้างงานการลงทุน และสร้างรายได้ให้แก่ประเทศ เป็นเงินรวม 300,000 ล้านบาทคงต้องรอดูฝีมือรัฐบาลว่าจะแก้ไขปัญหานี้อย่างไร???

วันเสาร์ที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ลือฟุ้ง คุณหญิงหน่อย ‘ตั้งพรรคใหม่’ บทเรียนสอนใจ ‘คดียุบพรรค’


เป็นที่รู้ๆ กันดูในแวดวงการเมืองว่า “คุณหญิงหน่อย” สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ หรือเจ้าของฉายา ผู้หญิงเหล็ก เป็นบุคคลการเมืองที่ทำงานมุ่งมั่นในวันที่ประเทศไทยมีโรคซาร์สเข้ามาระบาด คุณหญิงหน่อยรับหน้าที่เป็น รมว.สาธารณสุข เวลานั้นท่านได้ลุยงานหนักจนสามารถยับยั้งโรคซาร์สได้ภายในหนึ่งสัปดาห์ซึ้งดู

แล้วแตกต่างกับโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009ที่ระบาดหนัก...จนคุณหญิงเองก็เคยได้รับอานิสงส์ในเรื่องนี้ไปเหมือนกันจนมาถึงในวันที่มีการทำปฏิวัติรัฐประหาร 19 กันยายน 49คุณหญิงได้เก็บตัวเงียบมานาน และมีคำพูดเดิมๆ เสมอ...เมื่อนักข่าวถามถึงเรื่องการเมืองท่านก็ได้แต่พูดว่า “ไม่ค่ะ...ไม่ขอพูดเรื่องการเมือง”แต่เมื่อสองวันที่ผ่านมา...มีข่าวฟุ้งไปทั่วแวดวงการเมืองว่า“คุณหญิงหน่อย” สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ พร้อม ส.ส.ภาคกรุงเทพฯ “เตรียมจัดตั้งทัพ

ใหม่”เพื่อให้สะดวกและง่ายต่อการทำงานทางการเมืองของคนการเมืองในภาคกรุงเทพฯโดยกระแสข่าวที่มาอ้างว่า “คุณหญิงหน่อย” ได้ส่งหนึ่งในคนสนิทไปทำการปัดฝุ่นจัดตั้งพรรคใหม่ทัพใหม่ เพื่อตระเตรียมการในการทำงานทางด้านการเมืองซึ่งหากเป็นจริงดังว่า...เรื่องนี้อาจจะเป็นการ “ส่งสัญญาณ”อะไรบางอย่างที่ส่อให้เห็นเค้าว่า “พรรคเพื่อไทย” อาจมีอะไรในก่อไผ่หรือไม่เพราะเมื่อมองตามหลักความเป็นจริง...พรรคเพื่อไทย นับวันยิ่งมีคนใหญ่คนโตเข้าร่วม

พรรคมากขึ้น ดังนั้นการบริหารจัดการก็เหนื่อยขึ้นหรือว่า...อาจมีสัญญาณอะไรที่ส่งข้ามนํ้าข้ามทะเลมาถึงโดยตรง ซึ่งเป็นเรื่องที่มิอาจทราบได้แต่เมื่อได้มีโอกาสพบปะกับ “เอนก หุตังคบดี” ขวัญใจคนเขตธนบุรี อดีตรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี และอดีตประธานกรรมาธิการคณะการพลังงาน สภาผู้แทนราษฎรซึ่งถือได้ว่าเป็นหนึ่งในคณะทำงานของคุณหญิงหน่อยที่อ่านเกมการเมืองขาด “ระดับขุน” จึงได้ถามเกี่ยวกับเรื่องราวที่ปรากฏขึ้นโดยนายเอนก กล่าวว่า...ส.ส.

กทม. ยังอยู่ที่พรรคเพื่อไทย และไม่มีวันทิ้งพรรคเพื่อไทยอย่างแน่นอน ใครทิ้งพรรคตอนนี้ก็ใช้ไม่ได้เป็นพวกเนรคุณ“พวกเรารักกันเหมือนสายเลือดไม่ใช่สายนํ้า”ส่วนเรื่องที่ว่า “คุณหญิงหน่อย” ให้คนสนิทไปตระเตรียมจัดตั้งพรรคการเมืองเอาไว้นั้น เป็นเรื่องที่มีการพูดคุยกันเพราะว่าพวกเราในพรรคทุกคนมีบทเรียนกันมาแล้ว...ในวันที่เขายุบ “พรรคไทยรักไทย” ซึ่งเป็นพรรคที่ประชาชนไว้ใจ และเลือกให้เข้ามาทำหน้าที่จากนั้นได้ไปอยู่ที่ “พรรคพลังประชาชน” ซึ่งต่อมาก็

โดนยุบไปอีก...พอมาวันนี้อยู่ “พรรคเพื่อไทย” ก็เริ่มส่อแววหวั่นเหตุการณ์“ซํ้ารอย” ในยุคที่ผู้มีอำนาจเป็นใหญ่เป็นประเทศเปิดหน้า “สองมาตรฐาน”ซึ่งอาจมีการตั้งธงไว้ว่าจะยุบ “พรรคเพื่อไทย” และหากเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นเราจะไปอยู่ที่ไหนกัน...จึงต้องมีการคิดและตระเตรียมเอาไว้นายเอนก กล่าวต่อคำถามผู้สื่อข่าวเมื่อถามว่า...ยังใช้ชื่อ“พรรคพลังไทย” หรือไม่? เพราะว่าเคยเป็นชื่อกลุ่มเดิมของ“คุณหญิงหน่อย” สมัยที่เคยส่งผู้สมัครลงเลือกตั้งการเมืองท้องถิ่น

ของกรุงเทพฯ ครั้งหนึ่งแต่เรื่องชื่อนั้นสำคัญไฉน...จะเป็นอะไรก็ได้ “พลังไทย” หรือ“ไทยเพื่อไทย” อะไรก็ได้ทั้งสิ้น...แต่ต้องเป็นพรรคการเมืองที่สืบสานอุดมการณ์ของ “พรรคไทยรักไทย”แต่ขอยํ้าชัดว่า...คนทำงานภาคกรุงเทพฯ ของพรรคเพื่อไทยไม่เคยมีความคิดทิ้งพรรค...เวลาเจ็บต้องเงียบเหมือนเสือดีกว่าร้องเหมือนหมาส่วนเรื่องของกระแสข่าวดังกล่าวถือเป็นเรื่องธรรมดา...เพราะทุกวันนี้กระแสพรรคเพื่อไทยเป็นอย่างไรไม่รู้ แต่มีคนเห็นใจและสงสารพวก

เรามากขึ้นในแง่เรื่องของ “ความเป็นธรรม”นายเอนกยํ้าชัดหนักแน่นแต่ทั้งนี้ทั้งนั้น...สิ่งที่ “คุณหญิงหน่อย” คิดและตระเตรียมการเพื่อวางรากฐานทางการเมืองในอนาคตโดยการจัดตั้งพรรคใหม่คงเป็นการ “สำรองพรรคอะไหล่” ไม่ใช่การทอดทิ้งพรรคเพื่อไทย...โดยที่ทุกคนยังรู้ว่าอดีตนายกรัฐมนตรี “ทักษิณชินวัตร” เป็นหัวเรือใหญ่อย่างแน่นอน

เปิดสูตร ปรับครม. ในมือ"มาร์ค"-"เทพเทือก" ซื้อเวลา หลังปีใหม่ สกัด"น้ำเดือด"ใน ปชป.



ที่มา:ประชาชาติธุรกิจ

เปิดสูตร ปรับคณะรัฐมนตรี โอบามาร์ค อภิสิทธิ์ ผนึก เทพเทือก ซื้อเวลาลากยาว ครบ 1 ปี หลังปีใหม่ ใครเป้าจริง ใครเป้าหลอก ปรับแล้วจะอยู่ยาวหรือ หรือปรับแล้ว แรงกระเพื่อมภายในประชาธิปัตย์ ทำรัฐบาลอายุสั้น หรือไม่ เรามีบทวิเคราะห์มานำเสนอ

... กระแสปรับคณะรัฐมนตรี สะพัดขึ้น เมื่อ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ รองนายกรัฐมนตรี ประธานที่ปรึกษาพรรคชาติไทยพัฒนา (ชทพ.) ประกาศวางมือทางการเมืองเพื่อเปิดทางให้นายศิริวัฒน์ ขจรประศาสน์ ส.ส.พิจิตร พรรคชาติไทยพัฒนา บุตรชายเข้ามาเป็นรัฐมนตรีแทน


" สุเทพ เทือกสุบรรณ" รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง และเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ปัดกระแสข่าวว่า ไม่ทราบ ยังไม่ได้คุยกับพลตรีสนั่น


พร้อมตัดบทว่า " คงเป็นช่วงหลังปีใหม่ คงจะได้คุยกัน เพราะตอนนี้ทุกคนต่างทุ่มเททำงานกันก่อน"
ก่อนหน้านี้ "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" นายกรัฐมนตรี ก็ออกมา สกัด-สะกด "ข่าวลือ" การปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่าจะยังไม่มีการปรับเปลี่ยนหมุนเวียน ก่อนจะครบว่าระ 1 ปี



เพื่อไม่ต้องการให้กระแสข่าวลือ ถูกลากยาว ที่อาจกลายเป็นเรื่องที่รัฐบาลถูก "รุมสกรัม" จากคนในพรรคร่วมด้วยกันเอง

หากจะหาที่มาที่ไปของกระแสการปรับ ครม. คงไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะเคยมีการเขย่าขวัญกันมาแล้ว เมื่อครั้งรัฐบาลมีอายุครบ 6 เดือน

ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน "คนเลือดสะตอ" ด้วยกันนั่นแหละ ที่ออกแรงทั้ง ขย่ม เขย่า

แต่ก็ไม่เป็นผล

คราวนี้ก็เช่นกัน คนในพรรคประชาธิปัตย์ ถูกตั้ง "ข้อสงสัย" ว่าเป็น "เจ้ากรมข่าวลือ"

เพราะนอกจากมีการกำหนดดีเดย์ที่ชัดเจนคือวันที่ 15 ธันวาคมแล้ว

ยังปรากฏ "ตัวละคร" ที่ไม่ใช่แค่ "เป้าหลัก" อย่าง "จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์" รมว.ศึกษาธิการ "วิทยา แก้วภราดัย" รมว.สาธารณสุข "คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช" รมว.วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และ "อิสระ สมชัย" รมว.การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์



ยังมี "เป้าหลอก" เพื่อแบ่งน้ำหนักกันด้วยการดึงพรรคชาติไทยพัฒนา เข้ามาร่วมวงใน 2 ประเด็น

หนึ่ง พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ รองนายกรัฐมนตรี จะลาออกเพื่อเปิดทางให้โควต้ากับลูกชาย "ศิริวัฒน์ ขจรประศาสน์" ส.ส.พิจิตร



สอง จะเปลี่ยนกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ให้พรรคประชาธิปัตย์ดูแล โดยอิงกระแสที่ "ชุมพล ศิลปอาชา" มีปัญหาเรื่องการบริหารงานภายในกระทรวงที่มีข่าวลบออกมาตลอดเวลา

เช่นเดียวกับพรรคเพื่อแผ่นดิน ที่ปรากฏเป็น "ตัวละคร" สำคัญในข่าวดังกล่าวว่า ยินดีที่จะแลกกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) กับกระทรวงศึกษาธิการของพรรคประชาธิปัตย์



กระแสดังกล่าว ทำให้ "บรรหาร ศิลปอาชา" ตัวจริงเสียงจริงของพรรคชาติไทยพัฒนา ต้องสั่งการให้ "วัชระ กรรณิการ์" โฆษกพรรค สรุปอย่างตรงไปตรงมาว่า "ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา มีการปล่อยข่าวจากภายนอกพรรคมาตลอดว่าจะขอปรับ ครม. หรือแลกกระทรวง ขอยืนยันพรรคชาติไทยพัฒนา ว่าไม่เคยส่งสัญญาณเพื่อกดดัน และยังพอใจโควต้ารัฐมนตรีที่มีอยู่ทั้งหมด"



พร้อมยืนยันถึงผลงานของ "ชุมพล" ว่างานต่างๆ กำลังเข้ารูปเข้ารอย

พร้อมการันตี พล.ต.สนั่น รับปากกับ "บรรหาร" ด้วยสัญญาลูกผู้ชาย ว่าจะเป็นรองนายกฯ และจะเป็นแม่ทัพคนสำคัญต่อไป

แต่สิ่งที่พรรคชาติไทยพัฒนา พยายาม "ตีโจทย์" ถึงกระแสข่าวดังกล่าวก็คือ "ใครปล่อยข่าว"

ใครกวนน้ำให้ขุ่น

จับน้ำเสียง อารมณ์ของ "วัชระ" ที่พยายามจะบอกที่มาของต้นตอของข่าวว่า "น่าจะไม่ใกล้ไม่ไกลจากพรรคเราเท่าไร ไม่น่าจะเกิน 15 กิโลเมตร คนที่มีส่วนได้ส่วนเสียจากการปรับ ครม. คงไม่ใช่ฝ่ายค้านแน่"

คำตอบชัดเจนว่า คนที่เกี่ยวข้องคือ พรรคร่วมรัฐบาลอย่างไม่ต้องสงสัย

ส่วนข้อเสนอของพรรคเพื่อแผ่นดิน ในการแลกกระทรวงไอซีทีกับกระทรวงศึกษาธิการของพรรคประชาธิปัตย์

คงไม่ใช่เรื่องง่ายๆ



เพราะต้องไม่ลืมว่า กระทรวงไอซีที กำลังมีงานช้าง เรื่องเปิดประมูลระบบ 3 จี ที่พลพรรคเพื่อแผ่นดิน พยายามดันสุดลิ่มทิ่มประตู

ขณะที่กระทรวงศึกษาธิการ ก็กำลังรอใช้เม็ดเงินกว่า 6 หมื่นล้านบาท ที่ ครม. อนุมัติกรอบวงเงินไปแล้ว เพื่อการปฏิรูปการศึกษาทั้งระบบ และถือเป็นกล่องดวงใจของพรรคประชาธิปัตย์ ต่อเนื่องจากนโยบาย ขายได้-ขายดี เรื่องเรียนฟรี 15 ปี ที่ "อภิสิทธิ์" ภูมิใจ และพูดถึงตลอดเวลา



ข้อเสนอดังกล่าว หากมองแบบ "เก๋าเกมการเมือง" แทบจะเป็นไปไม่ได้

อีกทั้งในสภาวะที่ประเทศชาติ บ้านเมือง กำลังจะมีการเฉลิมฉลองใหญ่ อย่างที่ "อภิสิทธิ์" บอกว่า "ผมยืนยันว่าขณะนี้ยังไม่มีการดำเนินการในเรื่องดังกล่าวเลยครับ เพราะช่วงนี้เป็นช่วงเวลาที่กำลังเตรียมงานต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งงานเฉลิมพระเกียรติ การเมืองในขณะนี้ต้องการให้บรรยากาศนิ่งที่สุด"

เหล่านี้คือ "ปัจจัย" แวดล้อมที่สำคัญ



และหากมองให้ลึกเข้าไปถึง "ผลประโยชน์" ที่แต่ละพรรคการเมืองวางกลเกมเอาไว้ราว 10 เดือน เพื่อรอ "กินคำโต"

จึงเป็นเรื่องที่ "ยากยิ่ง" ที่ความเคลื่อนไหวที่จะให้มีการปรับเปลี่ยน จะเกิดจากหน่อเนื้อของพรรคร่วมรัฐบาล

และดูเหมือน "อภิสิทธิ์" หรือแม้กระทั่ง "สุเทพ เทือกสุบรรณ" รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ก็รับรู้ถึงความเคลื่อนไหวดังกล่าวว่าออกมาจาก "เนื้อใน"

ประเภท "คนใกล้ตัว"



จึงพยายามออกตัวว่า รัฐมนตรีหลายคนจของพรรคไม่ว่าจะเป็น "จุรินทร์-วิทยา-คุณหญิงกัลยา-อิสระ" ต่างยังคงทำงานได้อย่างดี ไม่มีบกพร่อง

เป็นการส่งสัญญาณปราม "คลื่นใต้น้ำ" ภายในพรรคประชาธิปัตย์



เพราะสิ่งที่ "ประมวล เอมเปีย" ส.ส.ชลบุรี พรรคประชาธิปัตย์ ออกมาพูดด้วยถ้อยคำรุนแรงผิดมารยาทพรรคร่วมรัฐบาล ว่า

"เห็นด้วยกับการที่นายกฯ จะปรับ ครม. ในบางตำแหน่งที่ไม่เหมาะสม เพราะบางกระทรวงไม่ทำงานเชิงรุก และไม่มีความโปร่งใส หากเห็นว่ากระทรวงไหนไม่ทำงาน ก็ต้องเสนอให้ปรับเปลี่ยนตัวคนเป็นรัฐมนตรี เพราะรัฐบาลอยู่ได้ทุกวันนี้ก็เพราะภาพลักษณ์ของนายกฯ"



พร้อมเปิดศึกใส่พรรคร่วมว่า "มีหลายกระทรวงที่ชาวบ้านมองว่าไม่โปร่งใส เช่น กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงคมนาคม เป็นกระทรวงที่ต้องระวัง เพราะเกี่ยวข้องกับพ่อค้าจึงมีผลประโยชน์มาก รวมถึงปัญหาเรื่องการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการข้ามหัวกันในกระทรวงมหาดไทย ซึ่งถือว่าการเมืองยุคนี้เลวร้ายกว่ายุคที่ผ่านมา"

เปิดศึกใส่ 3 กระทรวงภายใต้การดูแลของพรรคภูมิใจไทย

เพราะ "ประมวล" ในฐานะ "แนวหน้ากล้าตาย" รู้ดีว่า การขยายแรงกระเพื่อมในวงกว้าง จะช่วยเพิ่มดีกรีความร้อนแรงทางการเมืองมากขึ้น



กอปรกับห้วงระยะเวลา 10 เดือนที่ผ่านมา ก็เพียงพอแล้วที่ว่าที่รัฐมนตรีแถว 2 ของ "พรรคประชาธิปัตย์" จะต้องมายืนอยู่แถวหน้า

หากแต่การออกมาของ "แนวหน้ากล้าตาย" ครั้งนี้ถูกเบรกกลับโดย "อภิสิทธิ์" และ "สุเทพ"

ทำให้น้ำหนักลดน้อยถอยลงไป



อีกทั้งการเคลื่อนครั้งนี้ไม่ได้เป็นการเคลื่อนของพรรคร่วมรัฐบาลอย่าง ภูมิใจไทย ชาติไทยพัฒนา และเพื่อแผ่นดิน

ทำให้ "อานุภาพ" ที่เกิดจากแรงกดดันในการปรับ ครม. จึง "เบาหวิว" ดุจปุยนุ่น

และเรื่องคงไม่จบลงง่ายๆ



ฉะนั้น กระแสปรับ ครม. ในห้วงนี้ เกิดจากภาวะ "น้ำเดือด" จากภายในพรรคประชาธิปัตย์

"น้ำเดือด" ที่รอวันปะทุ

หากแต่คราวนี้ "อภิสิทธิ์-สุเทพ" ช่วยกันแก้เกมด้วยการเอา "น้ำเย็น" เข้าไปช่วยเติมน้ำที่กำลังเดือดอยู่ในกา

ก็สามารถช่วยบรรเทาได้ในระยะเวลาหนึ่ง

แต่เชื่อว่าอีกไม่นาน ปัญหานี้จะกลับมาอีก

และไม่ใช่ "ใคร" ที่ไหนหรอก...

คนกันเองทั้งนั้น...!!

วันศุกร์ที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2552

มาบตาพุด..เสียงหัวเราะ ความเงียบงัน และจุดจบรัฐบาล ?

ประชาชาติธุรกิจ : พลันที่ศาลปกครองสูงสุด อ่านคำสั่งคดีมาบตาพุด จบลง เสียงไชโย โห่ร้อง ของผู้ฟ้องคดี ตะโกนลั่นว่า เราชนะแล้ว !!! ท่ามกลางความยินดี ปรีดา ของสมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน กับพวกรวม 43 คน มาจากคำสั่งศาลที่ระงับ 65 โครงการ มูลค่า 3.5 แสนล้าน ยืนตามศาลปกครองชั้นต้น อีกด้านหนึ่ง นักลงทุนกำลังสะอื้นไห้

คำสั่งศาลปกครองสูงสุด ปล่อย 11 โครงการ สั่งระงับ 65 โครงการ
นาทีแห่งชัยชนะ แต่อีกมุมหนึ่ง ผู้ประกอบการเจ้าของโครงการที่ถูกระงับ ถึงกับช็อคกับคำสั่งศาลปกครองสูงสุด เพราะไม่คาดคิดว่า ศาลสูงจะยืนตามศาลชั้นต้น
” 11 โครงการเป็นแค่น้ำจิ้ม ไม่มีความหมาย หาก 65 โครงการ ถูกระงับก็พังทั้งหมด “

บริษัทยักษ์เจ้าของโครงการ แทบไม่เชื่อหูตัวเองว่า คำสั่งศาลสูง จะออกมาแบบเหมาทั้งเข่ง ส่วนใหญ่มองโลกแง่ดีว่า ศาลสูงจะปลดล็อค ยกเลิกคำสั่งชั่วคราวให้ระงับโครงการแล้ว ให้โครงการปฎิบัติตามเงื่อนไข เพื่อให้โครงการดำเนินการต่อไปได้ เพื่อให้รับกับมาตการของภาครัฐ และการทำงานของคณะกรรมการ 4 ฝ่ายที่มีนายอานันท์ ปันยารชุน นั่งเป็นประธาน

ประเด็นที่สำคัญกว่านั้น เอกชนงง เป็นไก่ตาแตกว่า เหตุใด ศาลสูง ต้องเร่งอ่านคำสั่ง ในบ่ายวันที่ 2 ธันวาคม ในเมื่อคณะทำงานของนายอานันท์ กำลังเร่งแก้วิกฤต

นาทีที่ ศาลปกครองสูงสุด สั่งระงับ 65 โครงการ เจ้าของโครงการเรียกประชุมด่วน เพื่อประเมินสถานการณ์
โครงการของ ปตท. 15 โครงการ มูลค่ากว่า 2 แสนล้าน จอดสิ้น
ปูนซิเมนต์ไทย หรือ SCG โดนไป 18 โครงการ มูลค่ากว่า 5.7 หมื่นล้าน ทั้ง ๆที่ โครงการก่อสร้าง เกือบแล้วเสร็จ และกำลังเปิดเดินเครื่องต้นปีหน้า

ประเมินกันเบื้องต้น ปูนใหญ่ จะเสียหาย เดือนละ 300 ล้าน หากเปิดโรงงานไม่ได้ตามกำหนด
เช่นเดียวกับ โรงงานเหล็ก สยามยามาโตะ ที่ผ่าน EIA ตั้งแต่ กันยายน 2550 ก็โดนหางเลขเข้าไปด้วยแบบเต็มๆ
แต่ความเสียหายที่ใหญ่หลวงไปกว่านั้นคือ ความเชื่อมั่นที่มีต่อการลงทุนย่อมได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง นักลงทุนต่างชาติ อาจย้ายฐานการลงทุนออกจากประเทศไทย จากความไม่แน่นอน ประเทศไทยจะเข้าสู่ความเสี่ยง
” ถ้ายังไม่มีความแน่นอน นับจากนี้ไปอีก 2 ปี จะไม่มีการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ในประเทศไทย นักลงทุนต่างประเทศ ไม่กลัวกฎหมายที่เข้มงวด แต่สิ่งที่นักลงทุนกลัวมากที่สุดคือ ความไม่แน่นอน ความไม่ชัดเจน ” นักลงทุน ผู้หนึ่ง กล่าว

ผลพวงของ การระงับ 65 โครงการ ที่คาดไม่ถึง อาจเป็นชนวนนำไปสู่ อวสานของรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เนื่องมาจาก โดมิโน มาบตาพุด ที่จะลามไปสู่การล้มละลายทางเศรษฐกิจครั้งใหญ่ ความหวังว่า เศรษฐกิจไทยจะฟื้นเป็นบวกในไตรมาสที่สี่ อาจเป็นแค่ความฝัน

เมื่อโครงการ 3.5 แสนล้าน ชะงักยาว จะลามไปสู่แบงก์เจ้าหนี้ ที่เป็นสถาบันการเงินที่ปล่อยกู้ให้แก่ 65 โครงการ
เงื่อนไขของสัญญาเงินกู้ เกือบทุกสัญญา ระบุว่า หากไม่สามารถดำเนินโครงการต่อไปได้ ถือว่า เกิดการผิดนัดแล้ว
จากนั้น เจ้าหนี้จะเรียกเงินคืนทั้งหมดทันที เมื่อเวลานั้นมาถึง โดมิโน จะโค่นทั้งกระดาน
นี่คือ เดิมพันที่สูงมาก หากรัฐบาล ไม่เร่งแก้วิกฤต อย่างทันท่วงที จะพังทั้งกระดาน
ถามว่า ถ้า อภิสิทธิ์ เร่งแก้ปัญหาอย่างเต็มที่จะต้องใช้เวลา เท่าไร

คำตอบที่มาจากการมองโลกเชิงบวก แบบสุด ๆ คือ 6-7 เดือน ในการออกกฎหมายประกอบมาตรา 67 วรรค 2 รวมถึงกระบวนการ HIA และการทำประชาพิจารณ์ และการรับฟังองค์กรอิสระ

แต่ถ้ารัฐบาล พังไปเสียก่อน ออกกฎหมาย การลงทุนในมาบตาพุด 3.5 แสนล้านก็ย่อมพังพาบไปด้วย เพราะกว่าจะเลือกตั้งทั่วไป จนจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่เรียบร้อย โรงงานก็เหลือแต่ซากไปแล้ว
ใครหลายคน พูดตรงกันว่า ไม่น่าเชื่อว่า ประเทศไทย จะมาได้ไกลขนาดนี้
ไกลขนาดที่ ชัยชนะของฝ่ายหนึ่ง ทำให้ภาพลักษณ์ประเทศไทย เปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล
แต่ท่ามกลาง ฝุ่นตลบ ใครบางคน เห็น รอยยิ้มที่มุมปากของ เสี่ยประชัย เลี่ยวไพรัตน์ เจ้าพ่อทีพีไอ.
ชั่วโมงนี้ เหลือง หรือ แดง หรือ เขียว ชนะ อาจไม่มีความหมาย
เพราะนักลงทุนต่างชาติ พวกเขาเชื่อแล้วว่า สำหรับประเทศไทย ความแน่นอน ก็คือ ความไม่แน่นอน !!!