--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันเสาร์ที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2554

มาร เต็มร้อย !!?

สร้างตราบาป ด้วย “หลักฐานเท็จ” ยังคุณภาพเปี่ยมล้น ไม่เสื่อมถอย
กระดาษแผ่นเดียว ชูหรากลางสภาฯ ว่าเป็นลูกเจ๊ก ลูกจีน ..เล่นเอาคนตกกระป๋อง
“กล้องดัมมี่” ซีซีทีวี ยัดโครม ว่า “ทักษิณ ชินวัตร” เป็นต้นตำรับ...นี่,ก็สร้างหลักฐานเท็จ ให้เขามัวหมอง
มาเรื่อง จับ มือระเบิด ๓ จุด...ก็เขียน “สคริป” สร้างช็อต สร้างซีน ว่าเป็น “เด็กก้นกุฏิ” ของ “ร.ต.อ.ดร.เฉลิม อยู่บำรุง” ขึ้นมาเสร็จสรรพ
หลักฐานกลั่นแกล้ง...เพื่อทิ่มแทง?..ไม่มีใครเก่งกว่า “พรรคโรงน้ำแข็ง” ไปได้ดอกครับ

+++++++++++++++++++++++++

บทเรียนเป็นครู
ยามนี้, เขารุมกินโต๊ะ หมายเอา “ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง” รองนายกรัฐมนตรี ให้อยู่
เป็นตัวเอ้ เสาหลัก ของ “รัฐบาลปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
ถ้าล้ม “เฉลิม” พรรคเพื่อไทย ก็ล้มระเนระนาด
ฉะนั้น,โปรดระวังการสร้างหลักฐานปลอม ย้อมแม้วขาย เหมือนที่ “พล.อ.ธรรมรักษ์ อิศรางกูล ณ.อยุธยา” รมว.กลาโหม และ “ยุทธ ตู้เย็น” ยงยุทธ ติยะไพรัช โดนกันมา.. จนยุบพรรคไทยรักไทย และ พรรคพลังประชาชน อย่างน่าเหลือดาย
“ท่านเฉลิม”อาจมีทีเด็ด..แต่เจอการสร้างหลักฐานเท็จ?..ท่านอาจเสร็จ เขาก็ได้

+++++++++++++++++++++++++

ใช้ “งบ” มันมือ
ตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ..จ่ายเงินเปล่าๆ ให้ประชาชน “ถลุงกันอื้อ”
งบเทจาด..เอ๊ย..งบสร้างชาติ สมัย “ประชาธิปัตย์” แจกกินเปล่าให้ชาวบ้านหัวละ ๒ พัน
แจกแป๊บเดียว หมดเกลี้ยง ไม่ได้ประโยชน์อะไรทั้งนั้น
ฉะนั้น,อยากเรียกร้อง “นายกฯปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร งบเยียวยาผู้ถูกน้ำท่วม แรมเดือนน่าจะมากกว่า “๕,๐๐๐ บาท” เพื่อบูรณาการช่วยเหลือ ให้คนลืมตาอ้าปาก
จ่ายเงินกันให้เหลือล้น...เพราะเชื่อว่าไม่มีตกหล่น?..น่าได้ผลกว่างบ “รัฐบาลมาร์ค”

+++++++++++++++++++++++

“ค้าน”ข้าง ๆ คู ๆ
ค้านไม่มีประสิทธิภาพ ไม่สร้างสรรค์...รู้หรือเปล่า? มีแต่จะสร้างศัตรู
เตือนน้ำใหม่...แต่ใช้วิธีเก่าๆ เดิม ๆ หยั่งกะ “ชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต” โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ อย่าเบรกแตก จนกู่ไม่กลับ
อนาคตเส้นทางการเมือง ยังยาวไกล..อย่าให้ดับวูบง่ายๆ สิครับ
น็อตหลุด...พูดไปเสียทุกเรื่อง แบบสากกะเบือยันเรือรบ ..สุดท้ายประชาชน คนเขาก็เอียน
“ประชาธิปัตย์”ที่ปากมาก...มักจะตายซาก?...ฝากเอาไว้ ให้คิดเป็นบทเรียน

++++++++++++++++++++++

“เผด็จการ”ยังหงอ
“พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์” อดีตนายกรัฐมนตรี คลอดจากมดลูก คมช. ยังไม่กล้ารับไม้ต่อ
มีแต่ “ป.ช.ป.” ยุค “อดีตนายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และ “กษิต ภิรมย์”ที่ยึดสนามบิน..ว่าดนตรีไพเราะ อาหารอร่อย เป็น “รมว.ต่างประเทศ”ที่ยึดพลาสปอร์ต “ทักษิณ ชินวัตร”
พอรัฐบาลที่มาจากประชาธิปไตย คืนหนังสือเดินทางให้..ก็เกิดอาการอึดอัด
อุ้ย, “เผด็จการ” ยังรู้ระเบียบ เล่นกันตามกติกา อยู่ในกฎ
“เผด็จการ”ยังไม่กล้าขานรับ...ไม่กล้ายึดพาสปอร์ตเลยครับ?..แต่นี่คิดจะปราบเขาไปหมด

++++++++++++++++++++++

ทรราช..เพื่อ..ทรราช
หนุนพรรคเพื่อไทย และ “ส.ส.หมอเหวง โตจิราการ” ทำตามปณิธาน ที่ได้ประกาศ
แก้รัฐธรรมนูญ ตัด เจี๋ยน หั่น ซอย “มาตรา ๓๐๙” ที่ให้เอกสิทธิ์ “นักปฏิวัติ”ที่ทำชาติต้อยต่ำ
ล้มรัฐบาล ล้างรัฐธรรมนูญ ..ทำชาติพัง บ้านเมืองปี้ป่น ยังอยู่ลอยชาย ได้อย่างสง่างาม
เป็นนโยบายหลัก สัญญาประชาคม ให้ไว้กับ ประชาชน ๑๕ ล้าน ๗ แสนเสียง ...จึงต้องทำอย่างเต็มเหนี่ยว
พรรคไหนค้านมีแต่เสีย...เพราะเราจ้องเลีย?..เพื่อเชลียร์เผด็จการเพียงอย่างเดียว

+++++++++++++++++++++++
โซเชียลเน็ตเวิร์ก
จ้องทำลาย “นายกฯปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ไม่เลิก
เอารูปผู้หญิงฟิลิปปินส์หน้าคล้าย “นายกฯยิ่งลักษณ์”กรอกเหล้า ดื่มอึกเป็นขวด ๆ เมาแอ๋ว่าว่อนไปทั่ว
โพสกันเสร็จสรรพ ว่าเกิดอาการเครียด ซีเรียสกับน้ำท่วม จึงดื่มเมาอย่างลืมตัว
เป็นความเลวร้าย ของคนต่ำทราม ที่พยายามใส่สีให้ร้ายกับ “นายกฯปู”ทุกรูปแบบ
ใครที่คิดวิธีชั่ว ๆ....เลิกโพสภาพมั่ว ๆ !...ทำตัวเป็นอีแอบ

คอลัมน์:ตอดนิดตอดหน่อย,บางกอกทูเดย์
sssssssssssssssssssssssssssssssssssssssssssssss

วันศุกร์ที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2554

เปรียบเทียบ ที่มา รธน.2540 และ รธน.2555 !!?


โดย : สุทธิรักษ์ อุฒมนตรี
เดินตามปฏิทินการเมือง สำหรับพรรคเพื่อไทย ที่มีมติ (20 ธ.ค.) ให้แก้ไขรัฐธรรมนูญ 2550 โดยตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.)

เดินตามปฏิทินการเมือง สำหรับพรรคเพื่อไทย ที่มีมติ (20 ธ.ค.) ให้แก้ไขรัฐธรรมนูญ 2550 โดยตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) 77 คนจาก 77 จังหวัด และอีก 22 คนมาจากนักวิชาการ และล่าสุด วิปรัฐบาล ก็มีมติ (21 ธ.ค.) เห็นด้วยกับการจะเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญในสมัยประชุมนิติบัญญัตินี้

ที่มาของรัฐธรรมนูญ 2555 ซึ่งจะได้รับการยกร่างจากส.ส.ร.ซึ่งที่มาส.ส.ร.ไม่ได้แตกต่างจาก ส.ส.ร. 2540 เพราะ 77 คนมาจาก 77 จังหวัด 225 คนมาจากนักวิชาการ

สุดท้ายแล้วจะได้ ส.ส.ร.ตัวแทนพรรคการเมืองที่ซ่อนอยู่ในคราบ ส.ส.ร.จังหวัด

ทักษิณ ชินวัตร ก็เคยลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นส.ส.ร.เชียงใหม่ แต่ต้องอกหักแพ้ให้กับ พล.ต.อ.สวัสดิ์ อมรวิวัฒน์ แต่ก็ไม่ต่างอะไร ได้พล.ต.อ.สวัสดิ์ ก็เหมือนได้ "ทักษิณ" เพราะ สายสัมพันธ์ที่โยงใยมาถึง พล.ต.อ.สมบัติ อมรวิวัตร อดีตอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ที่มีหน้าห้องอย่าง พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง พ.ต.อ.สุชาติ วงศ์อนันต์ชัย และพ.ต.อ.ดุษฎี อารยะวุฒิ

ปัจจุบัน พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง พ.ต.อ.สุชาติ วงศ์อนันต์ชัย และพ.ต.อ.ดุษฎี อารยะวุฒิ เติบโตในหน้าที่ราชการในรัฐบาลพรรคเพื่อไทย

นอกจากนั้น ก็ยังได้ส.ส.ร.สายนักวิชาการที่ซ่อนอยู่ในคราบของคิดความ "ฝักใฝ่" การเมือง

ดังนั้น ไม่แปลกที่ส.ส.ร.2540 จะกลายมาเป็นผู้ก่อตั้งพรรคไทยรักไทย ร่วมกับ "ทักษิณ" ทั้ง ชานนท์ สุวสิน ส.ส.ร.ลำปาง พงศ์เทพ เทพกาญจนา ส.ส.ร.สมุทรสาคร คณิต ณ นคร ส.ส.ร.สาขากฎหมายมหาชน เป็นต้น

เพราะฉะนั้น โฉมหน้าส.ส.ร.2554 ย่อมจะไม่แตกต่างจากส.ส.ร.ปี 2540

ที่มาของรัฐธรรมนูญ 2540-2554

รัฐธรรมนูญ 2540 ริเริ่มขึ้นโดยพรรคชาติไทย บรรหาร ศิลปอาชา นายกรัฐมนตรี ได้แต่งตั้งคณะกรรมการปฏิรูปการเมือง เข้ามาดำเนินการและได้ตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญขึ้นมา และมีการเลือกตั้งส.ส.ร.99 คน

รัฐธรรมนูญ 2540 ประสบอุปสรรคมีการเคลื่อนไหว เพื่อคว่ำรัฐธรรมนูญทั้งภายในและภายนอกสภา โดยการเคลื่อนไหวภายนอกสภานั้น กลุ่มที่ออกมาคัดค้าน เช่น กลุ่มกำนันผู้ใหญ่บ้าน และได้มีองค์กรการเมืองภาคประชาชนออกมาสนับสนุนร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ เช่น คณะกรรมการรณรงค์ประชาธิปไตย (ครป.) เครือข่ายผู้หญิงกับรัฐธรรมนูญ สมาคมคนพิการแห่งประเทศไทย ฯลฯ พรรคการเมืองซึ่งเป็นรัฐบาลในขณะนั้น ได้แก่ พรรคความหวังใหม่ แสดงท่าทีไม่สนับสนุนร่างรัฐธรรมนูญ รวมทั้งได้นำมวลชนจัดตั้งเข้ามาคัดค้าน ทำให้เกิดการเผชิญหน้าระหว่างฝ่ายสนับสนุน ที่ใช้ "สีเขียว" เป็นสัญลักษณ์ กับฝ่ายต่อต้าน ที่ใช้ "สีเหลือง" เป็นสัญลักษณ์

สำหรับแนวคิดแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2550 นั้น มีนาคม 2551 หลังจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มีมติให้ "ใบแดง" แก่ ยงยุทธ ติยะไพรัช และเป็นช่วงที่คดียุบพรรคการเมืองกำลังเป็นประเด็นที่ได้รับความสนใจจากประชาชน ชูศักดิ์ ศิรินิล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และรองเลขาธิการพรรคพลังประชาชน (อดีตไทยรักไทย เพื่อไทยในปัจจุบัน) ได้เสนอให้แก้รัฐธรรมนูญ ขณะนั้น บรรหาร ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทย และอนงค์วรรณ เทพสุทิน หัวหน้าพรรคมัชฌิมาธิปไตย ต่างก็ออกมาสนับสนุนโดยมุ่งประเด็นหลักไปยังกรณีที่ทั้งสองพรรคอาจถูกยุบ

"แค้นที่ฝังลึก" เรื่อง "ยุบพรรค" นำมาสู่ข้ออ้างที่มาอันไม่ชอบธรรมของรัฐธรรมนูญ 2550 ว่า มาจากคณะรัฐประหาร 19 ก.ย.2549

การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ 2550 เป็นการเสนอ "ญัตติ" ขอแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ 2550 โดยมีส.ส.พรรคพลังประชาชน พรรคเพื่อแผ่นดิน พรรคมัชฌิมาธิปไตย พรรคประชาราช และสมาชิกวุฒิสภาจำนวนหนึ่ง เป็นผู้สนับสนุน ความเคลื่อนไหวดังกล่าวมีหลายฝ่ายออกมาคัดค้านเนื่องจากเห็นว่าเป็นการกระทำเพื่อตนเอง และเป็นชนวนให้เกิดความไม่สงบในปัจจุบัน

22 มี.ค.2551 พรรคพลังประชาชน เริ่มหารือเรื่องการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญในที่ประชุมสามัญประจำปี โดยเฉพาะมาตรา 237 ซึ่งเกี่ยวข้องกับกรณียุบพรรค นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง ให้สัมภาษณ์ในวันเดียวกันว่าถึงเวลาต้องแก้ และควรแก้ในประเด็นเดียวก่อน เพื่อ "ปลดล็อก" ทางการเมือง

24 มี.ค.2551 ชัย ชิดชอบ ประธานรัฐสภา กล่าวว่า ที่ประชุมได้หยิบยกการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญเป็นเรื่องเร่งด่วน และเห็นว่าเป็นเรื่องจำเป็นเพื่อให้ กกต.มีทางออก จักรภพ เพ็ญแข รมต.ประจำสำนักนายกฯ กล่าวว่าการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญจะเป็นไปตามที่ สมัคร สุนทรเวช ให้แนวทางไว้ คือ เว้นเฉพาะหมวดพระมหากษัตริย์ ที่เหลือคงแก้ไขทั้งหมดโดยใช้รัฐธรรมนูญ 2540 เป็นหลัก

1 เม.ย. ที่ประชุมพรรคพลังประชาชน มีมติเห็นชอบในร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ โดยปรับแก้ 13 มาตรา ใน 7 ประเด็น ยกเลิกมาตรา 309 เปิดทางให้อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย 111 คน ที่ถูกตัดสิทธิการเมือง 5 ปี จากคดียุบพรรคการเมือง พ.ศ.2549 สู้คดีขอสิทธิเลือกตั้งคืน โดยให้มีผลย้อนหลังตั้งแต่วันที่ 24 สิงหาคม 2550

แต่ ที่ประชุมพรรคพลังประชาชน มีความเห็นเป็นสองฝ่าย คือ ฝ่ายของ ชูศักดิ์ ศิรินิล ให้แก้ไขเพิ่มเติมบางส่วน ส่วนอีกฝ่ายคือ ส.ส.และอดีตแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการ (นปก.) บางส่วนที่ต้องการให้นำรัฐธรรมนูญ 2540 มาใช้ทั้งหมด แต่ที่ประชุมไม่ได้ข้อสรุป เนื่องจาก ส.ส.ทยอยเดินออกจากห้องประชุม จึงมีผู้เสนอให้ยุติการประชุม

ต่อมามีกลุ่มคัดค้านแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ซึ่งมองว่าทำประโยชน์ส่วนตน โดยเฉพาะมาตรา 237 วรรคสอง และมาตรา 309

สมคิด เลิศไพฑูรย์ อดีต ส.ส.ร.และคณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้หารือกับคณบดีคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช จะออกแถลงการณ์โดยไม่พูดถึงการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญเพิ่มเติม แต่จะให้หลักนิติศาสตร์ที่การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญนั้นทำได้ แต่ไม่ควรทำเมื่อเกิดการกระทำความผิดขึ้น เพราะจะเป็นการทำลายระบบกฎหมายทั้งหมดของประเทศ ด้วยการอาศัยเสียงข้างมากของสภา

สาทิตย์ วงศ์หนองเตย ประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน (วิปฝ่ายค้าน) แถลงว่า การเสนอแก้รัฐธรรมนูญมีเจตนาไม่บริสุทธิ์ เพราะเหตุผลที่แท้จริงคือรัฐบาลต้องการแก้ไขมาตรา 309 เพื่อหวังให้คนที่ถูกดำเนินคดีในการพิจารณาของ คตส. มีช่องทางในการต่อสู้ และเพื่อช่วยเหลือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นอกจากนี้ การแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับนี้ทำให้เกิดความแตกแยกในบ้านเมือง

สุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวว่าการเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญดังกล่าวสะท้อนชัดเจนว่า "ระบอบทักษิณ" พยายามทำทุกวิถีทางที่จะไม่ขึ้นศาลหรือไม่เข้าพิสูจน์ตัวเองในกระบวนการยุติธรรม เป็นการหาวิธีแก้กฎหมายให้ตัวเองพ้นผิด ไม่ได้ทำเพื่อประโยชน์ของคนส่วนใหญ่อย่างแท้จริง

จาตุรนต์ ฉายแสง อดีตหัวหน้าพรรคไทยรักไทย กล่าวว่าระบบกฎหมายเกี่ยวกับการยุบพรรคเป็นระบบล้าหลัง ไม่มีประโยชน์ต่อการป้องกันการซื้อเสียง มีไว้เพื่อทำลายพรรคการเมือง

2 เม.ย.2551 คณาจารย์นิติศาสตร์ 41 คน จาก 9 สถาบัน ออกแถลงการณ์คัดค้านการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ มาตรา 237 เพราะถือเป็นความประสงค์ของนักการเมืองที่จะแก้การกระทำความผิดที่เกิดขึ้นแล้วให้ถูกต้อง ซึ่งรับไม่ได้ในทางกฎหมาย หากยอมให้คนทำผิดแก้กฎหมายให้ตัวเองพ้นผิด ระบบกฎหมายของประเทศจะถูกท้าทายและพังทลาย และถือว่าเป็นการกระทำที่ขัดต่อมาตรา 122 คือเป็นการดำเนินการในเรื่องที่ตนเองมีส่วนได้เสีย ขัดหลักนิติธรรม ไม่สมควรอย่างยิ่งที่จะสร้างธรรมเนียมไม่ถูกต้องขึ้นมา สามารถโดนถอดถอนได้ตามมาตรา 270 ส่วนมาตรา 309 คณาจารย์เห็นว่าไม่กระทบ ถ้าประกาศ คปค. ยังคงอยู่ และมีรัฐธรรมนูญ 2549 รองรับ อย่างไรก็ตาม หากมีการออกพระราชบัญญัติยกเลิกประกาศ คปค.ในภายหลัง แสดงว่าเป้าหมายยังคงอยู่ที่เรื่องการยกเลิก คตส. และกรณีการตัดสิทธิกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย 111 คน

ประเวศ วะสี กล่าวว่า ถ้าถกเถียงกันโดยใช้เหตุใช้ผล ใช้ประโยชน์ของบ้านเมืองเป็นที่ตั้งก็เป็นเรื่องดี มีความเป็นอารยะดีกว่าการใช้อำนาจ เอาสีข้างเข้าถู หรือการข่มขู่แบบอันธพาลซึ่งเป็นอนารยะ คนไทยจะต้องร่วมกันขับเคลื่อนประเทศด้วยวิถีอารยะ การใช้เงินซื้อเสียงคือต้นเหตุของวิกฤติทางการเมือง จึงมีความพยายามในการสกัดกั้นโดยวางยาแรง คือ มาตรา 237 เจตนารมย์คือให้พรรคการเมืองรับผิดชอบร่วมกัน ดูแลกันอย่าให้ใครทำผิด หวังว่าจะเกิดความกลัวเกรงไม่กล้าทำผิด แต่ก็เกิดการทำความผิดขึ้น การมีบทลงโทษหนัก หากเราไม่ทำผิดก็ไม่มีปัญหา ถ้าเราทำผิดกฎหมายแล้ว จะกลับไปแก้กฎหมาย ก็จะเกิดเรื่องน่าเกลียดน่ากลัวที่พิลึกพิลั่นต่อไปได้มาก

สรุปสุดท้าย หมอประเวศ บอกว่า "หวังว่าโจรคงจะไม่ขอแก้กฎหมายให้การเป็นโจรไม่มีความผิด"

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
//////////////////////////////////////////////////////////////

วันพฤหัสบดีที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2554

3 ปัญหา 4 เดือน สิ่งที่ ปู.. ยังกลัว และคำถาม ฟังแล้ว คันหู..!!?


เป็นเวลากว่า 4 เดือน ที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ถอดหัวโขน "นักธุรกิจ" พร้อมสวมหมวกใบใหม่ในฐานะ "นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรก" ของประเทศไทย

ภาระบนบ่าจึงหนักหนาสาหัสเอาการ สำหรับผู้หญิงคนหนึ่ง

หลังผ่านพ้นเหตุการณ์น้ำท่วม 62 จังหวัด นายกรัฐมนตรีได้ "ปิ๊กบ้าน" จังหวัดเชียงใหม่เมื่อวันที่ 16 ธันวาคมที่ผ่านมา

เป็นครั้งแรกที่จะได้เห็น "ยิ่งลักษณ์" ปลดพันธนาการจากการเป็นนายกรัฐมนตรี เพื่อพูดถึงการเมือง พี่ชาย "ทักษิณ ชินวัตร" และชีวิตส่วนตัว

เธอบอกว่า 4 เดือนที่ได้เป็นนายกรัฐมนตรี เวลาในทุกวันหมุนเร็วกว่าปกติ ยังมีสิ่งที่ไม่ได้ทำให้ประชาชนอีกมากมาย และเมื่อเจอกับปัญหาน้ำท่วมครั้งใหญ่ บางสิ่งบางอย่างก็หยุดชะงัก โดยเฉพาะเรื่องการขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เดินหน้า

ยามสนทนาถึงคนชื่อ "ทักษิณ ชินวัตร" เธอมักบอกว่า "ท่านบังคับให้ลงเล่นการเมืองไม่ได้ ต่อให้ท่านอยากให้มา แต่ถ้าเราปฏิเสธท่านก็คงทำอะไรไม่ได้ การตัดสินใจลงเล่นการเมืองเป็นความคิดส่วนตัว"
"ยิ่งลักษณ์" กอดลูกชายไว้ใกล้ตัว ก่อนที่จะเล่าถึงนาทีที่ตัดสินใจลงเล่นการเมืองว่า บุคคลเดียวที่ต้องไป ขออนุญาตคือ ลูกชายสุดที่รัก ด.ช. ศุภเสกข์ อมรฉัตร หรือ "น้องไปป‡"
"เมื่อมาเล่นการเมือง จากนั้นเวลาทุกนาทีมันมีค่ามาก ฉะนั้น ในช่วงวันเสาร์-อาทิตย์ หากจะต้องปฏิบัติภารกิจก็จะพาลูกชายไปด้วยตลอด วันไหนแม่ไปช็อปปิ้งก็บอกเขาว่าลูกก็ต้องไปด้วย ไปนั่งรอก็ยังดี"
เมื่อต้องมายืนในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศไทยมือใหม่ เธอยอมรับว่า สิ่งที่ยากที่สุดสำหรับการเป็นนายกรัฐมนตรีมีอยู่ 3 ข้อ
หนึ่ง คือการตอบคำถามกับสื่อมวลชน ที่แม้จะเริ่มชินกับการพบปะทุกวัน แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าในทุกเช้าจะต้องตระเตรียมข้อมูลไว้ก่อนจะเดินทางไปทำงาน ทั้งการอ่านพาดหัวหนังสือพิมพ์ทุกฉบับ ทั้งการเช็กรายการข่าวทุกช่อง

หากวันไหนที่เตรียมใจไว้ว่าจะพบเจอกับ "ประเด็นร้อน" นั่นเป็นสัญญาณที่บอกให้รู้ว่าเธอจะมาทำงานสายทันที

สอง คือความคาดหวังจากประชา ชน-คนในพรรค ซึ่งเธอยอมรับว่า การขับเคลื่อนประเทศที่เปี่ยมไปด้วยความเห็นที่แตกต่าง มันยากยิ่งกว่าการกำกับดูแลองค์กรธุรกิจเหมือนที่เธอเคยทำ

เธอบอกว่า ทั้ง 2 เหตุผลยังไม่ทำให้ต้องท้อแท้เท่าการเกมการเมืองที่บีบรัด กดดัน ปั่นกระแสรายวัน

สาม คือการตอบโต้ของฝ่ายตรงข้าม โดยเฉพาะประเด็นการใช้คำพูดของนายกรัฐมนตรีต่อหน้าสื่อมวลชน ทั้ง พูดผิดพูดถูก หรือวรรคทองแห่งปีที่ว่า "เอาอยู่"

เธอตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนแรงว่า ทำงานใหญ่จะต้องอยู่เหนืออารมณ์ แต่ในฐานะผู้หญิงคนหนึ่งก็รู้สึกกับคำพูดเหล่านี้เสมอ คนเรามีข้อจำกัดในตัวเอง บางครั้งมองในแง่บวกก็ต้องมองสิ่งที่ดีด้วย ในเรื่องความคิดเห็นส่วนตัวก็ต้องแล้วแต่เขาจะพูดกันไป

เมื่อตัดสินใจก้าวเข้าสู่สนามการเมือง กระแสตอบรับและแรงต้านก็โถมเข้าใส่ "ยิ่งลักษณ์" โดยเฉพาะประเด็นของพี่ชาย-ทักษิณ ชินวัตร ที่ถูกฝ่ายตรงข้ามหยิบขึ้นมาตอบโต้รายวัน

เธอบอกว่า วันนี้พูดไปคงไม่มีใครเชื่อว่าเราทำงานของเราคนเดียวทั้งนั้น อย่างตอบคำถามสื่อมวลชน ตัดสินใจอนุมัติโครงการในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ถ้าต้องมัวแต่จะถามพี่ชายตลอด งานทั้งหมดจะคืบหน้าได้อย่างไร

"เวลาเท่านั้นคือเครื่องพิสูจน์ วันนี้อาจเร็วเกินไปสำหรับการที่จะบอกว่าผู้หญิงคนหนึ่งก้าวมาทำงานการเมือง ไม่มีประสบการณ์อะไรเลย แล้วทำงานมาแค่ 4 เดือน จะให้มีประสบการณ์เทียบเท่ากับคนที่เขาอยู่กับการเมืองมาแล้วหลายปีได้อย่างไร"
ยิ่งลักษณ์บอกว่า ตรงกันข้ามเธอกลับเห็นใจคนที่พยายามให้กำลังใจเธอ และเธอก็พยายามตอบแทนด้วยการทำงานหนัก

"พยายามเท่าที่สุขภาพและเวลาของผู้หญิงคนหนึ่งจะทำได้ เพื่อลดช่องว่างเหล่านี้ให้หมดไป"

ประเด็นที่หลายคนจับตาดูถึงการพา "ทักษิณ" กลับบ้านของรัฐบาลนั้น "ยิ่งลักษณ์" ตอบสวนทันควันว่า "เพื่อให้เกิดความสบายใจ ดิฉันขอย้ำอีกครั้งว่า จะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวในเรื่องพี่ชาย หากรัฐมนตรีบางคนจะทำก็เป็นสิทธิ์ของเขา แต่ขอต้องบอกให้เขารู้ว่ามันต้องทำถูกต้องตามกฎหมาย นี่ต่างหากที่ต้องเน้นย้ำอยู่เสมอ"

"จำได้ไหมคะว่าประชาชนต้องมาก่อน เรื่องพี่ชายเอาไว้ทีหลัง ส่วนจะมีคณะกรรมการอะไรก็ว่ากันไป เราไม่เกี่ยว เราก็ทำงานของเรา ส่วนเวลานี้เหมาะสมที่จะพาพี่ชายกลับมาหรือไม่นั้นก็ไม่ทราบค่ะ ไม่ได้เข้าไปมีส่วนร่วมด้วย"

ในสายตานายกรัฐมนตรี เชื่อว่าการเมืองปีหน้าอุณหภูมิจะร้อนแรงยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการกลับมาของอดีตกรรมการบริหารพรรค หรือบ้านเลขที่ 111 จะเข้ามาช่วยเสริมทัพให้รัฐบาลแข็งแกร่ง

"ต้องมองในแง่บวกว่าจะมีคนเก่งเข้ามาช่วยบ้านเมืองเพิ่มขึ้น จะเข้ามากี่รูปแบบก็ช่วยกันได้ แต่ไม่ทราบว่าจะเป็นรัฐมนตรีหรือเปล่า ต้องอยู่ที่เขาเต็มใจหรือเปล่า ส่วนดิฉันเปิดรับหมดอยู่แล้ว แต่ต้องขึ้นอยู่กับว่าคนที่อยู่ตอนนี้ทำหน้าที่ได้หรือไม่ด้วย คงต้องดูจังหวะ และเวลา"

ข่าวการปรับคณะรัฐมนตรีที่หนาหู "ยิ่งลักษณ์" บอกว่า ได้ยินแล้วคันหู แต่ต้องใช้ภาวะผู้นำตัดสินใจ
"ถ้าถามว่าลำบากใจหรือไม่ที่ต้องปรับเปลี่ยนคนที่เคยทำงานร่วมกัน มันต้องมีเหตุมีผลประกอบ คงใช้ภาวะผู้นำในการตัดสินใจ เพราะการเป็นผู้นำนั้น เรื่องที่ยากที่สุดคือต้องตัดอารมณ์ความรู้สึกออกไป เพื่อให้ประเทศเดินหน้าต่อ"

ในบทบาทนายกรัฐมนตรี ต้องเผชิญหน้าทั้งโคลนการเมือง ภัยธรรมชาติที่รุนแรง ในฐานะผู้หญิง-ลูกสาว "ยิ่งลักษณ์" มักเสียงสั่นเครือเมื่อต้องพูดถึงครอบครัว "คิดถึงค่ะ คิดถึงคุณพ่อ และคิดถึงคุณแม่ด้วย"

บทสนทนากับ "น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" ในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง สัมผัสได้ว่าเธอมีพลังใจอย่างเหลือล้นบนถนนการเมือง

ที่มา:ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
/////////////////////////////////////////////////////////////////////////


เว็บไซด์ยูทูป (Youtube) มียอดคลิกชมคลิปโดยรวมทั้งหมดของปี 2554 ทะลุ 1 ล้านล้านครั้ง โดยปีนี้มีช่องสถานีเกิดขึ้นใหม่บนยูทูป และมีดาวดวงใหม่ถูกค้นพบบนคลิป ไปจนถึงไอเดียเจ๋งๆ โดยนักวิจารณ์ระบุว่าถือเป็นปีทรงพลังของเรื่องราวใหม่ๆเกิดขึ้นบนยูทูป ตั้งแต่เรื่องเล่าเหตุการณ์สำคัญที่ถูกถ่ายคลิปในฐานะพยานของเหตุการณ์สำคัญ เรื่องราวการลุกฮือประท้วง และภาพบอกเล่าภัยพิบัติธรรมชาติในหลายประเทศ รวมไปถึงเรื่องราวชวนสัมผัสในระดับปัจเจก ซึ่งปีนี้คลิปวิดีโอบนยูทูปที่ถูกเปิดชมมากสุดทั่วโลกในรอบ 12 เดือน คือ คลิปนักร้องสาว Rebecca Black ในเพลง "Friday"

มาดู 10 คลิปที่ชาวโลกคลิกเปิดชมมากที่สุด 10 อันดับ ดังนี้

1. "Friday" by Rebecca Black
เว็บไซด์ยูทูป (Youtube) มียอดคลิกชมคลิปโดยรวมทั้งหมดของปี 2554 ทะลุ 1 ล้านล้านครั้ง โดยปีนี้มีช่องสถานีเกิดขึ้นใหม่บนยูทูป และมีดาวดวงใหม่ถูกค้นพบบนคลิป ไปจนถึงไอเดียเจ๋งๆ โดยนักวิจารณ์ระบุว่าถือเป็นปีทรงพลังของเรื่องราวใหม่ๆเกิดขึ้นบนยูทูป ตั้งแต่เรื่องเล่าเหตุการณ์สำคัญที่ถูกถ่ายคลิปในฐานะพยานของเหตุการณ์สำคัญ เรื่องราวการลุกฮือประท้วง และภาพบอกเล่าภัยพิบัติธรรมชาติในหลายประเทศ รวมไปถึงเรื่องราวชวนสัมผัสในระดับปัจเจก ซึ่งปีนี้คลิปวิดีโอบนยูทูปที่ถูกเปิดชมมากสุดทั่วโลกในรอบ 12 เดือน คือ คลิปนักร้องสาว Rebecca Black ในเพลง "Friday"



มาดู 10 คลิปที่ชาวโลกคลิกเปิดชมมากที่สุด 10 อันดับ ดังนี้



1. "Friday" by Rebecca Black






2. "Ultimate Dog Tease"







3. "Jack Sparrow" by The Lonely Island and Michael Bolton









4. "Talking Twin Babies Part 2"











5. "Nyan Cat"









6. "Look At Me Now" Cover Karmin Music









7. "The Creep" by The Lonely Island, Nicki Minaj and John Waters









8. "Born This Way" Cover by Maria Aragon









9. "The Force" Volkswagen Commercial









10. "Cat Mom Hugs Baby Kitten"











ขณะที่ 10 อันดับ คลิปมิวสิควิดีโอจากศิลปินระดับเมเจอร์ที่มียอดคลิกชมสูงสุด คือ



1. "On The Floor" โดย Jennifer Lopez ft. Pitbull
2. "Party Rock Anthem" โดย LMFAO ft. Lauren Bennett and GoonRock
3. "The Lazy Song" โดย Bruno Mars
4. "Super Bass" โดย Nicki Minaj
5. "Give Me Everything" โดย Pitbull ft. Ne-Yo, Afrojack and Nayer
6. "Rain Over Me" โดย Pitbull ft. Marc Anthony
7. "Price Tag" โดย Jessie J ft. B.o.B.
8. "Sexy and I Know It" โดย LMFAO
9. "E.T." โดย Katy Perry ft. Kanye West
10. "Last Friday Night (T.G.I.F.)" โดย Katy Perry

รายงานโดย มิสนอราห์

ที่มา:ประชาชาติธุรกิจ
///////////////////////////////////////////////////////////////////////

ศึกชิงหัวหน้าทีม ศก.รัฐบาลปู 2 ..

พลันที่มหาอุทกภัยครั้งใหญ่แห่งสยามประเทศผ่านพ้นไป.. สิ่งที่ตามมาอีกมากมายคือ ความเสียหาย ทั้งที่เป็นรูปธรรม และไม่เป็นรูปธรรม บางคนเมื่อเข้าบ้านไปพบสภาพความเสียหาย ที่เกิดขึ้นถึงกับกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ เพราะสิ่งที่พังทลายอยู่ตรงหน้า คือหยาดเหงื่อแรงกายที่สะสมมาทั้งชีวิต

ไม่เพียงแต่ความเสียหายที่เกิดขึ้นในระดับหน่วยเล็กๆ อย่าง บ้านเรือน โรงงานที่ผลิตเครื่องอุปโภค บริโภคต่างเสียหายย่อยยับ ทั้งขนาดเล็กระดับ SMEs ไปจนถึงระดับโรงงานใหญ่ที่มีกลุ่ม ทุนต่างชาติเป็นเจ้าของ ซึ่งต้องยอมรับว่าวิกฤตการณ์น้ำท่วมครั้งนี้ ให้ความมั่นใจในการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติลดลงมาก

แม้ประธานหอการค้าญี่ปุ่นจะเคยออกมารับปากว่ายังเชื่อมั่น ในศักยภาพของประเทศไทย แต่ในความเป็นจริงที่สำรวจความ คิด เห็นของนักธุรกิจชาวญี่ปุ่นของนิตยสารท้องถิ่นกลับพบว่า นักลงทุน ส่วนมากยังไม่มีความเชื่อมั่น และหลายท่านพร้อมที่จะย้ายฐานการผลิตไปประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งก็มีตัวเลือกอีกมากมายและมีปัจจัยที่พร้อมมากขึ้นกว่าอดีต

วิกฤติเศรษฐกิจที่กำลังคืบคลานเข้ามานี้เป็นโจทย์ใหญ่ที่รัฐบาลจำต้องรับมือ และเอาให้อยู่ ซึ่งในปมแรกที่อาจต้องคลาย คือการปฏิรูปทีมเศรษฐกิจเสียใหม่ให้พร้อมรับกับสภาวะ “Hard-core” ผู้ที่จะรับมือได้ต้อง “Accurate” หรือมือฉมังพอตัว

เก้าอี้สำคัญที่สังคมกำลังโฟกัสไปในการยกเครื่องทีมเศรษฐกิจ คงไม่พ้นเก้าอี้ของ “เสี่ยโต้ง-กิตติรัตน์ ณ ระนอง” รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กระทรวงพาณิชย์ และเก้าอี้ของ “ธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล” รมว.กระทรวงการคลัง

สำหรับบุคลากรที่ถูกจับตามองในขณะนี้ ถึงกับมีคนเอ่ยออก มาเป็นอักษรย่อว่า “ดร.ว.” และ “ป.” ค่อนข้างชัดเจนว่าน่าจะเป็น “ดร.วิชิต สุรพงษ์ชัย” ปธ.กก.บริหาร ธ.ไทยพาณิชย์ ส่วนอีกท่านหนึ่งก็หาใช่ใครอื่นไม่ นั่นคือ “หม่อมอุ๋ย-ม.ร.ว. ปรีดิยาธร เทวกุล” กระบี่มือหนึ่งจากแบงก์ชาติ ซึ่งเคยคุมมาแล้วทั้ง กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงการคลัง

สำหรับ “ดร.วิชิต” คงต้องบอกว่าไม่พลิกโผ เพราะเป็นอีกคนหนึ่งที่ พ.ต.ท.ทักษิณ เชื่อมั่นในฝีมือ เพราะมี Profile ที่ไม่ธรรมดา อยู่ในวงการเงินๆ ทองๆ มาร่วม 20 ปี ทั้งยังเคยมีข่าว ว่าจะได้มานั่งกระทรวงการคลังตั้งแต่รัฐบาลปู 1 แล้วแต่กลับหลุด โผ..และมีหลายฝ่ายเชื่อว่ารอบนี้เขามาแน่

ส่วน “หม่อมอุ๋ย” ท่านนี้ไม่ต้องพูดมาก..ประสบการณ์ และผลงานต่างๆ ที่ผ่านสายตาประชาชนมารับประกันคุณภาพได้ดีที่สุด หากคู่นี้มาเป็นแคนดิเดตกันก็ถือได้ว่ามีภาษีกันคนละด้าน แม้จะมีพื้นฐานมาจากวงการธนาคารเหมือนกัน แต่ไม่แน่ใจนักว่า “นายใหญ่” จะกดปุ่มเลือกใคร???

เนื่องด้วยถ้าหาก “นายใหญ่” พยักหน้าคงลงตัวไปตั้งแต่จัด ครม.รอบแรกไปแล้ว หวยคงไม่มาออกที่ “ธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล” แต่สำหรับสถานการณ์ในตอนนี้มีเงื่อนไขที่ต่างออกไป เพราะ เสถียรภาพของรัฐบาลหลังน้ำท่วมอยู่ในจุดที่น่าเป็นห่วง เนื่องจากปัญหาทางเศรษฐกิจ ทั้งปัจจัยภายนอก และปัจจัยภายในประเทศ ต้องการการฟื้นฟูครั้งใหญ่ 2 เซียนเหยียบเมฆจึงกลับมาเป็นทาง เลือกที่ดีที่สุด ณ ชั่วโมงนี้

ย้อนกลับมามองสูตรสำเร็จที่น่าจะลงที่สุด ซึ่งต้องยอมรับความจริงว่าหินพอสมควรเพราะทั้ง 2 ท่านนี้แสดงเจตจำนงค่อน ข้างชัดเจนว่าจะต้องการมาตำแหน่งรองนายกฯ ด้านเศรษฐกิจเพียงเท่านั้น!!!

ที่สำคัญ “ดร.วิชิต” ยังยืนกรานว่าต้องการให้เด็กในคาถารู้ไม้รู้มือกันเป็นอย่างดี มานั่งบริหารกระทรวงการคลัง และกระทรวงพานิชย์ เพราะฉะนั้น หาก “นายใหญ่” เปิดไฟเขียว ก็มีโอกาสที่เจ้ากระทรวงเดิมทั้ง 2 จะหลุดออกจากวงโคจร หรืออาจจะได้รับตำแหน่งที่รองลงมา

สำหรับเงื่อนไขการมาของ “หม่อมอุ๋ย” ที่เป็นลูกหม้อแบงก์ชาติเช่นเดียวกับ “ขุนคลัง” คนปัจจุบัน ก็น่าเชื่อว่าสายสัมพันธ์ดั้งเดิม จะมีอานิสงส์ช่วยให้ “ธีระชัย” อยู่รอดปลอดภัยใน “ครม.ปู 2”

แต่ที่น่าสนใจคือสถานการณ์ของ “เสี่ยโต้ง” ที่ว่ากันว่า โอกาส ยังอยู่ที่ 50:50 เนื่องด้วยการมาของ “เสี่ยโต้ง” ในรอบแรก จะพบว่า ไม่ใช่สายตรงจาก “ดูไบ” โดยตรง แต่เป็นการร้องขอจาก “นายกฯ ยิ่งลักษณ์” ที่ร้องขอ “พี่ชาย” เป็นการส่วนตัว ทำให้ไม่แน่ว่า “เสี่ยโต้ง” จะอยู่หรือจะไปในการปรับ ครม.ที่จะมาถึง..

อย่างไรก็ดี อีกหนึ่งเงื่อนไขสำคัญที่ “หม่อมอุ๋ย” แสดงเจตจำนงแนบมาด้วย คือ ต้องการจัดคนของตนเองลงไปนั่งในเก้าอี้ เจ้ากระทรวงหูกวาง ซึ่งถือเป็นกระทรวงเกรดเอ ที่มีผลประโยชน์ มหาศาล อีกทั้งปัจจุบันยังไม่ต่างจากแดนสนธยา ที่มีการขบเหลี่ยม กันเองภายในพรรคเพื่อไทย

และด้วยเป้าประสงค์ของ “หม่อมอุ๋ย” ที่ทับซ้อนคาบเกี่ยวมาถึงกระทรวงคมนาคม นี่น่าจะเป็นเงื่อนไขสำคัญที่สุด ที่ต้องวัดใจ “คนไกล” ว่าจะรับได้หรือไม่กับข้อเสนออันสูงส่งที่บังเกิด???

หากย้อนกลับมาที่เงื่อนไขสมานฉันท์ และมีคุณูปการต่อประเทศ อย่างสูงส่ง ในสูตรที่จะให้หนึ่งกูรูนั่ง “รองนายกฯ คุมเศรษฐกิจ” และอีกหนึ่งกูรูนั่ง “ขุนคลัง” ที่หลายฝ่ายวาดวิมานไว้บนอากาศ

แม้โอกาสจะมีทางเป็นไปได้เช่นกัน แต่หากมองแนวทางการ ทำงาน และพรรษาบารมีและความสามารถของทั้ง 2 บุรุษที่ไม่ เป็นสองรองใครในแวดวงการเงินการธนาคาร สถานการณ์และสิ่งแวดล้อมของการสร้างเครดิตของทีมเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทยรอบใหม่ของ 2 กูรู

มันล้วนมีแนวโน้มเป็นไปได้สูงว่าจะเข้าตำรา.. “เสือสองตัว อยู่ถ้ำเดียวกันไม่ได้” เมื่อเงื่อนไขประหนึ่ง “น้ำ” กับ “น้ำมัน” ที่ยากจะสอดประสาน.. สุดท้ายคู่แคนดิเดตอย่าง “ดร.วิชิต” และ “หม่อมอุ๋ย” จึง ไม่ต่างจากคู่ชิงหัวหน้าทีมเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทยไปโดยปริยาย!!!

ที่มา.สยามธุรกิจออนไลน์
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

2555 ศึกเลือกตั้งเชียงใหม่ ส่อเค้าเดือด !!?

กระแสการแข่งขันการ เมืองส่วนท้องถิ่น ในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ ในปี 2555 ส่อเค้าแข่งดุเดือดโดยเฉพาะ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ที่ขอยกฐานะจาก เทศบาลตำบลเป็นเทศบาลเมือง

ขณะนี้มีการประกาศไปแล้ว 3 แห่ง คือ เทศบาลเมืองแม่โจ้ อ.สันทราย เทศบาลเมืองต้นเปา อ.สันกำแพง เทศบาลเมืองเมืองแกนพัฒนา อ.แม่แตง และล่าสุดเทศบาลเมืองแม่เหียะ

สุชาติ ในภักดี ผู้อำนวยการการเลือกตั้ง (ผอ.กต.) ประจำ จ.เชียงใหม่ กล่าวว่า การเลือกตั้งในต้นปี 2555 อปท.ที่จะครบวาระในปี 60 กระจายอยู่ทุกพื้นที่ 25 อำเภอของ จ.เชียงใหม่ ทำให้กลุ่มการเมืองต่างๆ ได้มีการเคลื่อนไหวหาเสียงกันอย่างคึกคัก รวมทั้งจัดเรื่องวิชามารทั้งโพสต์ในเฟซบุ๊กและใบปลิวออกโจมตี คู่แข่ง เพื่อทำลายฐานคะแนนนิยมกันแล้ว

เช่น เขต ทต.สุเทพ อ.เมือง จ.เชียงใหม่ ที่รับสมัครชิงนายก-สท. ปรากฏว่า มีผู้สมัครชิงตำแหน่งนายกมากถึง 6 คน จะมีการลงคะแนนในวันที่ 6 ม.ค.2555 และเช่นเดียวกันที่เทศบาลตำบลป่าแดด อ.เมือง มีผู้สมัครเป็นอดีตนายกเพียงคนเดียว ไม่มีผู้ท้าชิง ต้องแข่งกับตัวเอง

และที่ เทศบาลตำบลแม่เหียะ อ.เมืองเชียงใหม่ ที่ยกฐานะเป็นเทศบาลเมืองไปพร้อมกับการเลือกตั้ง ซึ่งอยู่ระหว่างการประกาศแบ่งเขตเลือกตั้ง ส่วนผู้บริหารได้หมดวาระไปแล้วในปี 2555 ทาง กกต.ได้จัดการเลือกตั้ง อปท.ซึ่งมีทั้งกลุ่มที่ได้รับการยกฐานะ กลุ่มที่ครบวาระซึ่งมีทั้ง อบต. เทศบาลตำบล เทศบาลนคร และ อบจ. ราว 60 แห่ง

จากการติดตามข้อมูลของ กกต. พบว่าแต่ละแห่งมีการเปิดตัว และหาเสียงกัน บ้างแล้ว โดยเฉพาะ อปท.ขนาดใหญ่ ที่มีการแข่งขันกันสูง และหนีไม่พ้นของพรรค การเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องที่การเมืองท้องถิ่นย่อมเป็นฐานเสียงสู่ระดับชาติ ก็ต้องมาช่วยกัน ไปตามวาระ เช่น เทศบาลเมืองแม่เหียะ และเทศบาลตำบลสุเทพ ที่น่าจับตา เป็นพิเศษ

ผอ.กต.เชียงใหม่ กล่าวอีกว่า กกต.ได้มีการประชาสัมพันธ์ รณรงค์ อบรมให้ความรู้ให้ผู้สมัครมาสาบานตนหาเสียงในระบอบประชาธิปไตยแล้ว แต่ภาพการแข่งขัน นอกระบบก็ยังปรากฏอยู่

ดังนั้น ในปี 2555 ทาง กกต.อาจจะเพิ่มความเข้มงวดเรื่องการข่าวเชิงลึกในกลุ่มผู้สมัคร โดยเฉพาะพื้นที่ที่มีการแข่งขันกันสูง และมีเรื่องการเมืองระดับประเทศเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย เพื่อให้การเลือกตั้งออกมาบริสุทธิ์โปร่งใส เกิด ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย และลดระดับความรุนแรงหรือการใช้อิทธิพลเหนือกฎหมายในพื้นที่เป้าหมายเชื่อว่าจะลดลงไปได้ไม่มากก็น้อย

ที่มา.สยามธุรกิจออนไลน์
//////////////////////////////////////////////////////////////

วันพุธที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ปู.. มั่นคง !!?

“อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” มีแต่เสื่อมลง
กองทัพหันมาหนุนกันเป็นตับ... “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. และ “พล.ร.อ.สุรศักดิ์ หรุ่นเริงรมย์” ผบ.ทร. หนุนออกหน้าออกตา
ทหารอากาศขาดรัก ของ “พล.อ.อ.อิทธิพร ศุภวงศ์” ผบ.ทอ. ขี่เอฟ.๑๖ หนุนตามมา
เหล่าชาติเชื้อชายชาญทหารกล้า..เชื่อว่า “หญิงเหล็ก” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี พร้อมแอ่นอก รับทุกอย่างทำ
ผิดกับบางคน....มักโยน ความผิดให้คนอื่น เป็นประจำ?????

+++++++++++++++++++++++++

คุมปี๊บเดิน
บอกได้เลยว่า “เทพเทือก” สุเทพ เทือกสุบรรณ ช่างไม่อาย ไม่เขิน
ว่าสลายการชุมนุม เป็นไปตามหลักสากล
ถ้าเป็นมาตรฐานของชาวโลกแล้ว..เชื่อว่าคงไม่มีคนโดนถูกฆ่าตายไปถึง ๙๑ คน
ยกมาหน่อย.. อ้างมานิด.. ประเทศไหนบ้าง ที่สลายการชุมนุม แล้วมีคนตาย กันอย่างหนักหน่วง
แต่ที่ทำหลักสากลบ้าๆ...ปล่อยให้มีการเข่นฆ่า?..ปวงประชา เป็นใบไม้ร่วง??

+++++++++++++++++++++++++

เมื่อไม่ได้ทำผิด..ก็อย่าคิดอะไร
ขึ้นชื่อว่าเป็น “เปาบุ้นจิ้น” เป็น “ตุลาการ” ย่อมไม่ให้อยุติธรรม..ไม่ว่าเขาจะเป็นใคร?
ทั้ง “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” และ “สุเทพ เทือกสุบรรณ” ที่จะไปขึ้น “ศาลโลก” ในเดือนมกราฯปีหน้า ก็ไม่เห็น จะต้องสะเทือน
เมื่อท่านมีหลักฐาน “บุคคลชุดดำ” ฆ่าประชาชน ตายเกลื่อน
ท่านคงเอาหลักฐานไปหักล้างกันถึงเหตุและผล..ไม่ควรขวาง “ศาลโลก”หาความจริง
ไหนว่าเชื่อในระบบยุติธรรม...ไม่น่ากลับคำ?...ให้คนพากันขำกลิ้ง??

+++++++++++++++++++++++++

อำนาจเป็นของปวงชน
วางระเบิด หมายโค่นอำนาจ “นายกฯปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร คงไม่บังเกิดผล
หวังว่าหัวหน้าแก๊งค์ “พาร์กินสัน” ที่ไปหาความสุขตามโรงแรมหรู..ดื่มไวน์ให้ผู้หญิงพลีกายให้นั้น หยุดเสียที
ใช้มือนอกกฎหมาย ป่วนชาติ เป็นบุรุษขี้ขลาด มากนะพี่
อายุชำแลแก่ชรา ปลดระวางกันไปแล้ว...ควรยุติบทบาท ทำอะไร ให้บ้านเมืองชำรุด
ตัวเองอำนาจก็ไม่เหลือ...หมดแล้วซึ่งลายเสือ?.ไม่ควรทำเรื่องน่าเบื่อ ท่านสมควรหยุด??

++++++++++++++++++++++++

อย่าเป็น “ไม้หลักปักขี้เล่น”
เมื่อมีอำนาจ ควรใช้อำนาจให้เป็น
กระชุ่นไปถึง “ท่านวรรณรัตน์ ชาญนุกูล” รมว.กระทรวงอุตสาหกรรม สักที
นักลงทุน กลุ่มญี่ปุ่น เอียนเฟรมมิ้ง กับท่าน...รู้บางไหนล่ะท่านรัฐมนตรี
หากท่านหยิบโหย่ง ทำงานไม่แข็งขัน...นักลงทุนญี่ปุ่น เขาจะเข้าเกียร์ถอยหลัง หนีจากไทย กันเป็นตับ
จูนคลื่นการทำงาน....ให้มันออกลูกขยัน?.....ออกทะเลทุกวัน มันช่างไม่ไหวแล้วล่ะครับ

คอลัมน์:ตอดนิดตอดหน่อย,บางกอกทูเดย์
xxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxx

THAI FIGHT (only) 'ทำเอง ดูเอง อวยเอง' เพราะคิดการใหญ่ คนไทยเลยหวังสูง

THAI FIGHT (only) 'ทำเอง ดูเอง อวยเอง' เพราะคิดการใหญ่ คนไทยเลยหวังสูง

ทั้งๆที่ต้องการประกาศศักดาความยิ่งใหญ่ของ "มวยไทย" ให้ทั่วโลกชื่นชม แต่แล้วกลับต้องมาตกเป็นเป้าเสียเอง เพราะ "คำวิจารณ์" จากปากของคนไทยด้วยกัน

"THAI FIGHT" นับเป็นไอเดียที่น่ายกย่องของกลุ่มคนที่หวังผลักดัน "มวยไทย" ซึ่งถือเป็นกีฬาประจำชาติของเรา ให้ได้รับการยอมรับอย่างแพร่หลายไปทั่วโลก โดยเฉพาะการสร้าง "ภาพลักษณ์" ใหม่ๆ และลบล้าง "อคติ" เดิมๆ ที่มีต่อศิลปะการต่อสู้ชนิดนี้ แต่เจตนาที่มุ่งมั่น และแน่วแน่ กลับต้องถูกบั่นทอนกำลังใจ

เพราะหลังปิดฉากศึกไทยไฟต์ 2011 เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา แทนที่เราจะเห็นคนไทยร่วมแสดงความยินดีปรีดากับนักมวยไทยที่สร้างชื่อ กวาดแชมป์มาได้ทั้งสองรุ่น อย่าง บัวขาว ป.ประมุข และ เข้ม ศิษย์สองพี่น้อง แต่ดูเหมือนเรื่องปลีกย่อย "นอกสังเวียน" จะกลายเป็นประเด็นสำคัญที่แฟนมวยหยิบยกนำมาพูดถึง มากกว่า "แก่นแท้" ของมวยไทยเสียอีก

ปฏิเสธไม่ได้ว่ากระแสตอบรับมวยไทยไฟต์ปีนี้ ประสบความสำเร็จอย่างล้นหลาม มากกว่าปีที่แล้ว เมื่อดูจากภาพจำนวนผู้ชม ซึ่งมีทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ แทบทุกเพศทุกวัย และทุกระดับ ให้ความสนใจ แต่นั่นกลับเหมือนเป็น "ดาบสองคม" ทำให้แฟนๆ ต่าง "คาดหวัง" การจัดการแข่งขันสูงตามไปด้วย

ไร้คนรุ่นใหม่ สนใจกีฬามวยไทย
โดยเฉพาะในส่วนของ 3 พิธีกร ดำเนินรายการ อย่าง "น้าเน็ก" เกตุเสพย์สวัสดิ์ ปาลกะวงศ์ ณ อยุธยา, แมทธิว ดีน และ "แชมป์" พีรพล เอื้ออารียกูล ซึ่งพวกเขาถึงกับ "ส่ายหน้า" ไม่เข้าใจว่า ทำไมศึกมวยไทยระดับโลกเช่นนี้ ต้องมา "ตกม้าตาย" เพราะโฆษกและพิธีกร ที่ทำหน้าที่ราวกับ "มือสมัครเล่น" ก็ไม่ปาน

"ทีมงานต้องการเปลี่ยนกลุ่มคนดูมวยไทยมาสู่เด็กและวัยรุ่น ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่สามารถสืบทอดเจตนารมณ์ของมวยไทยต่อไปได้ แต่เราไม่ค่อยมีพิธีกรคนรุ่นใหม่ที่มีความเชี่ยวชาญสนใจด้านนี้มากนัก ดังนั้น เราเลยอยากเอาคนที่เข้าถึงคนกลุ่มนี้ และบ้า, อินกับมวยไทยมาทำหน้าที่ ซึ่งเขาก็พยายามปรับปรุง อย่าง "น้าเน็ก" บ้ามวยไทยจริงๆ เขาเสียใจมากที่ประกาศผิด ส่วนแมทธิว ดีน ฝึกมวยไทยมาเป็นสิบๆปี อย่างแชมป์ผลงานมากมาย แต่คนก็ยังวิจารณ์ แต่อยากให้คิดกลับกัน ถ้าเราเอาสมิงขาวมาพากย์ ภาพลักษณ์ของไทยไฟต์ก็จะกลายเป็นอีกอย่างไป" คุณนพพร วาทิน ประธานจัดการแข่งขัน THAI FIGHT แจง

ผิดตรงไหน อวยฮีโร่คนไทยด้วยกัน
และอีกสิ่งหนึ่งที่แฟนมวยหลายคนอาจรู้สึกเลี่ยน เอียนไปตามๆกัน นั่นก็คือ การอวยนักมวยไทย "จนเกินงาม" โดยเฉพาะบัวขาว ป.ประมุข จนดูเหมือนไม่ให้เกียรติคู่ต่อสู้ ซึ่งเรื่องนี้ คุณนพพรยืนยันหนักแน่นว่า นี่เป็นสิ่งที่เราคนไทย "จำเป็น" ต้องทำ

"น่าแปลกที่คนไทยไม่ค่อยรู้จักบัวขาว แต่ในต่างประเทศเขาดังมาก มันไม่ใช่เรื่องเสียหายที่เราจะเชิดชูคนแบบนี้ คนไทยต้องสนับสนุนคนไทย คนไทยต้องภูมิใจความเป็นไทย ยิ่งถ้าเราไม่สนับสนุน วันหนึ่งเขาก็จะไม่มีกำลังใจทำสิ่งดีๆต่อไป ดังนั้น ถ้าเรามีโอกาสที่เราจะยกย่องนักมวยไทยให้เป็นฮีโร่ได้ เราก็ควรจะทำ"

 อย่าเอามันส์ สงสารนักมวยบ้าง
ไม่หนำใจคนชอบติ ที่ยังออกมาบ่นอีกว่า การชกในรอบชิงชนะเลิศเมื่อวันอาทิตย์ โดยเฉพาะคู่ระหว่าง เข้ม ศิษย์สองพี่น้อง กับ ฟาบิโอ ปินกา ดูจะจืดชืดไปหน่อย แต่ ประธานผู้จัด THAI FIGHT ยืนยันว่า นักมวยทุกคนทำเต็มที่แล้ว

"อยากให้เห็นใจนักมวยบ้าง เพราะทุกคนก็หวังชัยชนะ หากลองคิดอีกมุมหนึ่ง เกิดนักมวยแพ้ขึ้นมา คนก็วิจารณ์ได้อีกว่า ทำไมชกไม่สุขุม และปินกาเองก็ไม่ใช่นักมวยธรรมดา ดังนั้น เวลานักมวยเก่งกับเก่งมาเจอกัน การดูเชิง การออกอาวุธ มันจะเกร็งกัน แต่สำหรับบัวขาว เขาเต็มที่จริงๆ เขาต่อยจนหมดแรงเลย"

"บางคนมองว่า ชก 3 ยกน้อยไป แต่มวยไทยมันใช้อาวุธครบ ทั้งหมัด เข่า ศอก ทำให้ต้องใช้แรงมากกว่ามวยสากล ซึ่งถ้าชกกัน 5 ยก อย่างมวยไทยธรรมดา จะเหนื่อยมาก และเจตนาของไทยไฟต์ ต้องการให้ผู้ชมดูนักมวยออกอาวุธเปิดแลกกันเลย ซึ่ง 3 ยกน่าจะเหมาะสมที่สุด นอกจากนี้ อีกเหตุผลคือ ข้อจำกัดเรื่องเวลา ในการถ่ายทอดผ่านฟรีทีวี อย่างไรก็ดี ทีมงานจะพยายามปรับปรุงให้ลงตัวที่สุด"

บูมกระแสมวยไทย
แม้จะมีเสียงติติงพอสมควร แต่ก็ต้องยอมรับว่า เสียงชื่นชม THAI FIGHT ครั้งนี้ ก็มีไม่น้อยเช่นกัน โดยเฉพาะการส่งเสริมเรื่อง "ชาตินิยม" และ "อัตลักษณ์" ความเป็นไทย ไปสู่สายตาคนทั่วโลก ด้วยความ "ภาคภูมิใจ" ในรากเหง้าของตัวเอง

"อยากให้คนไทยมองว่า เรามีสิ่งที่ดีอยู่ในชาติ มีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก มีกีฬามวยไทยเป็นกีฬาประจำชาติ เราอยู่กันมาได้ทุกวันนี้ ก็เพราะมวยไทย ปกป้องรักษาชาติ ไม่มีกีฬาชนิดไหน บ่งบอกความเป็นไทยได้เหมือนมวยไทยอีกแล้ว และเรากล้าพูดอย่างเต็มปากเต็มคำ ว่าเรา คือ เจ้าของ และเราไม่เป็นรองชาติใด"

จากไทยไฟต์ 2011 สู่ 2012
และแน่นอน โปรเจกต์ไทยไฟต์ 2012 ยังคงพร้อมประกาศศักดากีฬามวยไทยสู่สายตาชาวโลกต่อไป ในปีหน้า โดยมี บัวขาว เป็นแม่เหล็กของรายการนี้เช่นเดิม รวมถึงอาจเพิ่มรุ่น เพิ่มนักมวยไทย อย่าง ไทรโยค พุ่มพันธุ์ม่วง และสุดสาคร ส.กลิ่นมี แต่ยังเน้นรุ่นใหญ่ 67 กก.ขึ้นไป

"เราอยากสร้างแบรนด์ให้เขา นักมวยไทยเก่งๆมีเยอะ แต่เขายังไม่มีโอกาสเท่านั้น แต่ยังเน้นรุ่นใหญ่อย่างน้อย 67 กก.ขึ้นไป เพราะหากเป็นรุ่นเล็ก ยอมรับว่า โอกาสที่ต่างชาติจะชนะคนไทย แทบจะปิดประตู แต่ถ้ายิ่งน้ำหนักขึ้นไปเท่าไร คนไทยก็แทบจะหมดโอกาสชนะต่างชาติเหมือนกัน ซึ่งจะทำให้สูสี บางคนมองว่ามวยใหญ่ช้า ต่อยลำบาก แต่พอมีไทยไฟต์ ทุกคนเริ่มเปลี่ยนความคิด"

ส่วนสถานที่ อาจบินไปจัดยังประเทศที่ไม่เคยจัด อย่างออสเตรเลีย, แถบตะวันออกกลาง หรือประเทศจีน แต่เหนือสิ่งอื่นใด มีข้อแม้ว่า ชาตินั้นจะต้องตั้งอะคาเดมีไทยไฟต์เสียก่อน

"ใครอยากจัดไทยไฟต์ จะต้องตั้งอะคาเดมีไทยไฟต์ที่นั่นก่อน ซึ่งจะต้องมีประวัติมวยไทย, มีฮอลออฟเฟรมมวยไทย เข้าไปในยิมก็ต้องมีกลิ่นอายไทย โดยอยู่ในการควบคุมของเราแบบแฟรนไชส์อย่างที่เรากำหนด ตอนนี้มีหลายที่ตกลงแล้ว เช่น อังกฤษ, ออสเตรเลีย, สวิตเซอร์แลนด์, ญี่ปุ่น ซึ่งนี่เป็นสิ่งที่เราวางแผนมาตั้งแต่เริ่มมีไทยไฟต์"

ไทยไฟต์ ใครจะเป็นแชมป์ก็ได้
อย่างไรก็ตาม คุณนพพร ย้ำชัดว่า เป้าหมายหลักของการทำ THAI FIGHT คือ ต้องการให้คนไทย หันกลับมามองมวยไทย และเมื่อใดที่คิดถึงมวยไทย จะต้องเป็นคนไทยเท่านั้น ที่จะจัดได้อย่างยิ่งใหญ่ที่สุด แต่ไม่จำเป็นว่า นักมวยไทยจะต้องเป็นแชมป์เท่านั้น เพราะไทยไฟต์สร้างมาเพื่อให้ใครเป็นแชมป์ก็ได้ แต่สิ่งสำคัญคือ จะต้องชนะด้วยมวยไทย และอย่างใสสะอาด

"ตามความเห็น ผมว่าสาเหตุที่มวยไทยไม่ได้บรรจุในทัวร์นาเมนต์กีฬาอย่างซีเกมส์ เอเชียนเกมส์, โอลิมปิกเกมส์ เพราะชื่อมวยไทย มันบ่งบอกถึงชาติ, วัฒนธรรมของไทย ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ที่คนชาติอื่นจะมาสนับสนุนให้มวยไทย คงไม่มีชาติไหนชูให้ชาติอื่นดีกว่า แต่เราก็เปลี่ยนคำไม่ได้"

"แต่ไทยไฟต์สามารถไปได้ทุกกลุ่ม ทั่วโลก ให้เขาเรียนมวยไทยมากขึ้น และมีโอกาสทำให้มวยไทยได้เข้าไปแข่งขันรายการพวกนี้มากขึ้น แม้จะน้อยนิด แต่มันก็เป็นนิมิตหมายที่ดี ส่วนข้อบกพร่องและคำวิจารณ์ต่างๆ ทีมงานพร้อมนำไปปรับปรุงแก้ไขให้ดีขึ้นต่อไป เพื่อให้รู้ว่าคนไทยก็ทำได้"

 ไม่ว่าจะอย่างไร ในฐานะคนไทยคนหนึ่ง รู้สึกขอบคุณที่ประเทศชาติของเรา ได้จัดการแข่งขันทัวร์นาเมนต์มวยไทยระดับโลกเช่นนี้ โดยฝีมือคนไทย แม้ส่ิงที่ออกมาอาจไม่ได้ตอบโจทย์เป็นที่พึงพอใจสำหรับทุกคน แต่ต้องไม่ลืมสิ่งสำคัญที่ว่า อย่างน้อย THAI FIGHT ก็เปรียบเสมือนประตูบานใหญ่ที่นำวัฒนธรรมอันเก่าแก่และดีงามของไทย เปิดสู่สายตาชาวโลกแล้ว.

ต้นฉบับ: http://www.thairath.co.th/content/sport/224787
ที่มา: ไทยรัฐ
////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันอังคารที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2554

อย่านิ่งดูดาย !!?

ประเทศไทยกลายเป็นข่าวฉาวไปทั่วโลกอีกครั้งเมื่อภาพเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ถูกจัดอยู่ในอันดับ 8 จาก 10 อันดับภาพช็อกโลก จากเว็บไซต์ Top tenz.net ซึ่งแต่ละภาพในเหตุการณ์สำคัญๆของโลกที่ถูกจัดอันดับสามารถบ่งบอกความรู้สึกได้มากมายเกินจะบรรยาย อย่างภาพเหตุการณ์ 9/11 ที่ติดอันดับ 5 และเหตุการณ์ลี้ภัยในสงครามกลางเมืองของโคโซโวอยู่อันดับ 10 ส่วนอันดับ 1 เป็นภาพผู้ประสบภัยติดอยู่ใต้ซากปรักหักพังในเหตุการณ์โคลนถล่มที่โคลอมเบียเมื่อปี 1985 ซึ่งครั้งนั้นมีผู้เสียชีวิตถึง 25,000 คน

สำหรับคนไทยคงมีน้อยคนมากที่ยังคิดถึงหรือจำเหตุการณ์ความโหดร้ายการสังหารหมู่ประชาชนคนไทยด้วยกันเองเมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2519 โดยฝ่ายขวาหรืออนุรักษ์นิยม และเชื่อว่าคนไทยส่วนใหญ่ไม่สนใจว่าภาพเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 จะถูกจัดอันดับเป็นภาพช็อกโลก

โดยเฉพาะภาพการใช้ “เก้าอี้” ฟาดไปบนร่างไร้วิญญาณของนักศึกษาคนหนึ่งที่ถูกแขวนคอใต้ต้นไม้บริเวณสนามหลวง ข้างมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งเป็นภาพชุดที่ถ่ายโดยนีล อูลเลวิช (Neil Ulevich) และได้รับรางวัลพูลิตเซอร์ในปี 1977 โดยมีหลายภาพบรรยายถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจากการเดินทางกลับประเทศไทยของจอมพลถนอม กิตติขจร หนึ่งในรัฐบาลเผด็จการทหาร ท่ามกลางการคัดค้านของกลุ่มนักศึกษาและประชาชน ซึ่งเป็นการวางแผนของฝ่ายอนุรักษ์นิยมเพื่อใช้เป็นเงื่อนไขทำลายขบวนการนักศึกษาขณะนั้น โดยการจุดชนวนให้ประชาชนเกลียดชังนักศึกษาว่าต้องการเปลี่ยนแปลงประเทศเป็นคอมมิวนิสต์ หนึ่งในการสร้างความเกลียดชังคือการนำสถาบันเบื้องสูงมาเป็นเครื่องมือทางการเมือง ซึ่งเป็นการกระทำอย่างโหดเหี้ยมรุนแรงเยี่ยงสัตว์ป่า ทั้งทุบตี ทรมาน แขวนคอ และเผาทั้งเป็น ซึ่งครั้งนั้นมีทั้งตำรวจตระเวนชายแดนจากค่ายนเรศวร กลุ่มลูกเสือชาวบ้าน และกลุ่มที่จัดตั้งโดยงบของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.) คือกลุ่มนวพลและกลุ่มกระทิงแดง ซึ่งมีผู้บาดเจ็บ เสียชีวิต และสูญหายเป็นจำนวนมาก แต่ไม่มีการจับกุมหรือดำเนินคดีผู้ที่เกี่ยวข้องหรือสั่งการในเหตุการณ์ครั้งนั้นเลยแม้แต่คนเดียว

เมษา-พฤษภาอำมหิต

เหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ผ่านมา 35 ปี แม้จะมีน้อยคนที่จำได้ และหลายคนไม่เชื่อว่าจะเกิดเหตุการณ์โหดเหี้ยมทารุณเช่นนี้อีก แต่สังคมไทยได้เห็นภาพความโหดเหี้ยมของผู้มีอำนาจอีกครั้งจากเหตุการณ์เดือนเมษายน-พฤษภาคม 2553 ครั้งนี้เป็นการฆ่าประชาชนอย่างเลือดเย็น เพราะใช้กำลังทหารนับหมื่นนายพร้อมอาวุธสงครามฆ่าประชาชนกลางกรุงเทพฯ ท่ามกลางภาพที่ถูกถ่ายทอดไปทั่วโลก

หนึ่งในเหตุผลของการใช้กำลังทหารของรัฐบาลที่มีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นรองนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) คือกลุ่มคนเสื้อแดงเป็นผู้ก่อการร้ายและเป็นเครือข่ายขบวนการล้มเจ้า

จนถึงวันนี้การสอบสวนคดี 91 ศพที่ถูกสังหาร บาดเจ็บและพิการเกือบ 2,000 คน ยังไม่มีคำตอบ ขณะที่อีกหลายร้อยคนถูกจับกุมและถูกดำเนินคดี ทั้งในข้อหาก่อการร้ายและหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ซึ่งยังไม่มีการดำเนินคดีอย่างเป็นรูปธรรมใดๆกับ “ผู้สั่ง” และ “ผู้ฆ่า” ประชาชน

ปราชญ์ชี้หายนะสังคมไทย

รศ.ศรีศักร วัลลิโภดม นักวิชาการด้านประวัติศาสตร์ มองว่า สังคมไทยในปัจจุบันมีอยู่ 2 ชั้นคือ ชั้นบนที่เต็มไปด้วยเดรัจฉาน แต่ความเป็นมนุษย์อยู่ชั้นล่าง สังคมไทยขณะนี้กำลังสูญเสียความเป็นมนุษย์ ชั้นบนจะเป็นปัจเจกเห็นแก่ตัว ไม่เคยฟังคนอื่น การปก-ครองก็รวมศูนย์ ไม่มีการกระจายอำนาจ จึงเชื่อว่าอนาคต ประเทศไทยจะเกิดสงครามกลางเมืองครั้งใหญ่อย่างอียิปต์โมเดลหรือลิเบียโมเดล หากไม่สามารถทำให้คนข้างล่างซึ่งเป็นคนรุ่นใหม่มีสติปัญญาเพื่อฟื้นสังคมขึ้นใหม่ (อ่านเพิ่มเติมในคอลัมน์ “ฟังจากปาก” หน้า 16)

ด้านนายสุลักษณ์ ศิวรักษ์ นักคิดและนักเขียน มองว่า สังคมไทยไม่ยอมรับความจริง แต่ยอมรับสิ่งที่กึ่งจริงกึ่งเท็จ จึงเป็นเหตุให้สังคมไทยกะล่อนโดยไม่รู้ตัว ถ้าแก้ปัญหานี้ไม่ตก ปัญหาอื่นก็แก้ไม่ตก

“เมื่อคุณไม่ยอมรับความจริงแล้วคุณจะแก้ปัญหาอะไรได้ พระพุทธเจ้าตรัสรู้พระสัมมาสัมโพธิญาณก็ทรงรู้แจ้งถึงอริยสัจ 4 ความจริงทั้ง 4 คือต้องเอาความจริงมาจับว่าอันนี้คือทุกข์ เมืองไทยตอนนี้กำลังอยู่ในความทุกข์ อันนี้เป็นเหตุแห่งทุกข์ แล้วจะดับทุกข์ได้อย่างไร พระพุทธเจ้าตรัสสอนมรรคมีองค์ 8 ที่สามารถเข้าใจโครงสร้างของสังคมและนำไปแก้ปัญหาได้ แต่เมื่อคุณไม่ยอมรับความจริง ความทุกข์ของสังคม เราไปเชื่อว่าถ้ามีรัฐบาลที่สามารถมีคนดี มีคนซื่อสัตย์สุจริตจะแก้ปัญหาได้ อันนั้นไม่ใช่”

รายงาน คอป. ต้นตอวิกฤต

อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 9 ธันวาคมที่ผ่านมา คณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) ที่มีนายคณิต ณ นคร เป็นประธาน ได้ออกรายงานความคืบหน้าเหตุการณ์ความรุนแรงเดือนเมษายน-พฤษภาคม 2553 ฉบับที่ 2 (17 มกราคม-16 กรกฎาคม 2554) โดยวิเคราะห์วิกฤตการเมืองที่เกิดขึ้นว่า เป็นปัญหาที่สั่งสมมายาวนาน โดยให้น้ำหนักจุดเริ่มต้นตั้งแต่คดี “ซุกหุ้น” ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากมายว่ามีการละเมิดหลักนิติธรรมโดยตุลาการรัฐธรรมนูญ แต่กลับละเลยและไม่มีการตรวจสอบรากเหง้าความไม่ชอบมาพากลเรื่องนี้ คอป. จึงเสนอแนะให้รัฐและสังคมตรวจสอบการยึดถือปฏิบัติตามหลักนิติธรรมอย่างจริงจัง

ขณะที่ความรุนแรงในปี 2553 คอป. ระบุว่า เป็นผลสืบเนื่องมาจากเหตุการณ์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการปฏิรูปการเมืองหลังรัฐธรรมนูญ 2540 การกล่าวหาเรื่องคอร์รัปชันเชิงนโยบายสมัยรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ การเกิดขบวนการเสื้อเหลือง การประกาศไม่ลงเลือกตั้งของพรรคประชาธิปัตย์ การตัดสินให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะ การเกิดขบวนการเสื้อแดง การยึดสนามบินสุวรรณภูมิ และรัฐประหาร 19 กันยายน 2549

กังวลคดีหมิ่นเบื้องสูง
ที่น่าสนใจคือรายงานของ คอป. ได้แสดงความกังวล ต่อคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพค่อนข้างมาก เพราะมีการฟ้องคดีเพิ่มขึ้นอย่างมาก อีกทั้งการดำเนินคดีไม่สามารถแก้ปัญหาได้ ขณะที่นานาชาติก็จับตามองและติด ตามสถานการณ์อย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน จึงเรียกร้อง

1.ให้ทุกฝ่ายยุติการอ้างสถาบันเพื่อประโยชน์ในทางการเมือง โดยทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทำงานร่วมกันอย่างบูรณาการ และมีกลไกที่สามารถกำหนดนโยบายในทางอาญาที่เหมาะสม

2.อัยการควรให้ความสำคัญกับแนวทางการสั่งคดีโดยใช้ดุลยพินิจ (Opportunity Principle) ซึ่งเป็นอำนาจของอัยการอันเป็นสากล แม้ว่าคดีมีหลักฐานเพียงพอในการสั่งฟ้อง แต่อัยการต้องให้ความสำคัญกับการชั่งน้ำหนักเปรียบเทียบผลดีผลเสียในการดำเนินคดี โดยคำนึงถึงประโยชน์สาธารณะและผลประโยชน์สูงสุดในการปกป้องและถวายพระเกียรติยศที่เหมาะสม แด่สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นสำคัญ เช่น เนเธอร์แลนด์

3.รัฐบาลควรดำเนินการให้ผู้ต้องหาและจำเลยใน คดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว อันเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานตามกฎหมาย

4.รัฐบาลควรพิจารณาทบทวนการดำเนินคดีที่นำเอาประเด็นเรื่องกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพมาขยายผลในช่วงเวลาที่เกิดความขัดแย้งทางการเมือง เช่น การกล่าวหาและโฆษณารณรงค์เรื่องขบวนการ “ล้มเจ้า” ซึ่งตีความกฎหมายที่กว้างขวางจนเกินไป และอาจส่งผลต่อความปรองดองในชาติ ไม่เป็นผลดีต่อการปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ ส่วนการดำเนินคดีจะต้องมีการพิจารณาโดยมีพยานหลักฐานในการพิสูจน์ ความผิดที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมเฉพาะบุคคลที่ชัดเจนและสอดคล้องกับหลักนิติธรรม

5.รัฐบาลควรส่งเสริมให้มีการจัดเวทีแลกเปลี่ยนเพื่อให้ทุกฝ่ายได้เข้าใจถึงสาเหตุของปัญหาความขัดแย้ง ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ของทุกสังคม

ปรากฏการณ์ “อากง”

โดยเฉพาะคดี “อากง” หรือนายอำพล ตั้งนพกุล ชายวัย 61 ปี ที่ถูกตัดสินจำคุก 20 ปี จากการส่งเอสเอ็มเอส 4 ข้อความที่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 นั้นถือเป็นตัวอย่างที่เห็นชัดเจนของมาตรา 112 ที่วันนี้ไม่ใช่แค่ปัญหาการเมืองและสังคมไทยที่มีความเห็นแตกต่างกันอย่างมากเท่านั้น แต่ประเทศไทยกำลังถูกจับตามองจากนานาชาติไม่ต่างกับตัวประหลาด เพราะกระบวนการยุติธรรมที่อารย ประเทศไม่ยอมรับ และประณามว่าขัดกับหลักพื้นฐานสิทธิเสรีภาพและสิทธิความเป็นมนุษย์

แม้แต่คดีของโจ กอร์ดอน หรือเลอพงษ์ วิไชยคำมาตย์ สัญชาติอเมริกัน-ไทย ที่ถูกตัดสินจำคุก 5 ปี แต่รับสารภาพ จึงลดโทษเหลือ 2 ปี 6 เดือน ในข้อหาโพสต์ลิ้งค์แปลหนังสือ The King Never Smiles ซึ่งเป็นหนังสือต้องห้ามภายในราชอาณาจักร บนเว็บบอร์ด เมื่อปี 2551-2552 นั้น นายอนุสรณ์ อุณโณ อาจารย์ประจำคณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่ร่วมรณรงค์คัดค้านมาตรา 112 กล่าวว่า ขณะนี้มาตรา 112 ถูกนำไปใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองในลักษณะที่เข้มข้นจนไม่สามารถปล่อยให้มันผ่านไปได้ง่ายๆ เพราะคดี “อากง” ที่มีความคลุมเครือในแง่การสืบสวนสอบสวนว่า “อากง” อาจไม่ได้ส่งข้อความยังถูกจำคุกถึง 20 ปี ซึ่งไม่ได้สัดส่วนกับความผิด

ส่วนกรณีโจ กอร์ดอน ไม่ใช่เฉพาะการใช้กฎ หมายอย่างเดียว แต่เป็นกระบวนการยุติธรรมที่กลายเป็นเครื่องมือของกฎหมายไปแล้ว ซึ่งถือเป็นโอกาสดี เพราะ กระแสในต่างประเทศมีสูงมาก อย่างกรณีของโจ กอร์ดอน กลายเป็นข่าว Top 5 ใน Google มาตรา 112 จึงกลายเป็นสปอตไลท์ที่สังคมจะเคลื่อนไหวให้แก้ไข

แม้แต่สำนักงานข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (UNOHCHR) ยังแถลงข่าวเรียกร้องให้ทางการไทยแก้ไขกฎหมายมาตรา 112 และทบทวนการคุมขังผู้ต้องหาที่มีระยะเวลาต่อเนื่องยาว นานก่อนการไต่สวนคดี ซึ่งส่งผลกระทบร้ายแรงต่อเสรีภาพในการแสดงออกของประชาชน จนสร้างความหวาดกลัวที่ประชาชนจะแสดงออก เพราะมีบทลงโทษที่ร้ายแรง ซึ่งเป็น “สิ่งที่ไม่จำเป็น” และ “เกินกว่าเหตุ” อีกทั้งเป็นการละเมิดพันธกรณีทางด้านสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศที่ไทยเป็นภาคี

ไม่รู้สึกอะไรเลยหรือ?

ภาพเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ที่ปรากฏจึงไม่ใช่แค่ภาพที่สร้างความสลดหดหู่ให้กับผู้คนทั่วโลกที่เห็นถึงความโหดร้ายรุนแรงเท่านั้น แต่ที่น่าสังเกตอย่างยิ่งคือภาพของคนไทยจำนวนมากที่ยืนดูการกระทำที่โหดเหี้ยมทารุณอยู่โดยรอบนั้นกลับนิ่งดูดายและเพิกเฉยเหมือนคนตายด้าน ไร้หัวใจ

เมื่อเปรียบเทียบกับเหตุการณ์เดือนเมษายน-พฤษภาคม 2553 ที่มีการฆ่าประชาชนอย่างเลือดเย็น โดยใช้กำลังทหารนับหมื่นนายที่มีอาวุธสงครามครบมือสลายการชุมนุมกลุ่มคนเสื้อแดงที่เรียกร้องประชาธิปไตยและความยุติธรรมตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งคนเหล่านั้นเกือบร้อยชีวิตถูกฆ่าอย่างเลือดเย็นกลางเมือง ไม่ต่างจากคดีของ “อากง” ที่สิทธิเสรีภาพของประชาชนถูกลิดรอน คนที่ไม่อาจพิสูจน์ได้อย่างชัดเจนว่ากระทำผิดจริงหรือ ไม่ แต่กลับถูกลงโทษสถานหนักให้จำคุกถึง 20 ปี อาจยัง ไม่อำมหิตเท่าการที่คนในสังคมไทย รวมทั้งสื่อไทยส่วนใหญ่เพิกเฉย นิ่งดูดาย มองเหมือน “อากง” มิใช่มนุษย์

การที่คนไทยและสังคมไทยส่วนใหญ่เพิกเฉยและไม่สนใจ โดยให้ความสำคัญกับศูนย์การค้าที่ถูกเผามากกว่า 91 ศพที่ถูกฆ่าอย่างเลือดเย็น ขณะเดียวกันยังมีการพยายามเบี่ยงประเด็นไปเรื่องการรวมพลังทำความสะอาดคราบ เลือดของผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บ โดยการขานรับของสื่อกระแสหลักและสื่อรัฐอย่างคึกคักมากกว่าการเสนอข่าวเพื่อเอา “ฆาตกร” ที่ฆ่าประชาชนผู้บริสุทธิ์มาลงโทษ

ภาพเหตุการณ์ความโหดร้ายในสังคมไทย ไม่ว่าจะเป็นอดีตหรือปัจจุบันจึงไม่ใช่แค่การกระทำอย่างป่าเถื่อนเยี่ยงสัตว์ป่าของผู้มีอำนาจเท่านั้น แต่ที่ร้ายยิ่งกว่าคนที่กระทำคือคนไทยส่วนใหญ่นิ่งดูดายและเพิกเฉยกับคนที่กระทำหรือฆาตกรที่ฆ่าประชาชนผู้บริสุทธิ์ได้อย่างเลือดเย็น อีกทั้งยังไม่ตระหนักถึงการลิดรอนสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น และสิทธิความเป็นมนุษย์ที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญที่ถือเป็นกฎหมายสูงสุดของบ้านเมือง

ภาพเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จัดอยู่ในอันดับ 8 จาก 10 อันดับของโลกที่เป็นเหตุการณ์ช็อกโลกที่โหดร้าย ซึ่งผู้มีอำนาจกระทำกับผู้ชุมนุมขับไล่เผด็จการของนักศึกษาและประชาชนที่รักและหวงแหนประชาธิปไตย

วันนี้...เหตุการณ์โหดร้ายทารุณและการกดขี่ย่ำยีความเป็นมนุษย์นั้นไม่ใช่เรื่องของคนไทยและประเทศไทยเท่านั้น แต่ได้กลายเป็นเรื่องใหญ่ของโลกที่ประณามประเทศไทยไว้ในประวัติศาสตร์โลกเรียบร้อยแล้ว

ถามจริงๆ...คนไทยและสังคมไทยวันนี้ไม่รู้สึกอะไรบ้างเลยหรือ?

ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข
*********************************************************************

วันจันทร์ที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ระวังเข้าทางมือที่ 3 !!?

สิริรวมอายุกว่าไตรมาสของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ นโยบาย วาดฝันมากมายต้องพังทลายไปกับสายน้ำ ซ้ำรายมาถูกประณาม จากกระแสสังคมว่าอาศัยช่วงชุลมุนสอดไส้นโยบายอุ้มนายใหญ่กลับบ้าน ฯลฯ สารพัดกระแสข่าวที่พรั่งพรูออกมาจากปากคนรอบข้างตัว ท่านนายกตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา จนถึงขณะนี้ยังมีอยู่ไม่ขาด สาย ไม่ว่าจะเป็นกรณีแก้ไข พ.ร.บ.กลาโหม โดยอ้างถึงความมิชอบ ในข้อกฎหมายและที่มา แต่เรื่องนี้ก็เหมือนของแสลงรสโอชา อ้าปากแต่ยังไม่กล้าเคี้ยว

มาถึง พ.ร.ฎ.อภัยโทษ ที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์กันหนักมากว่า ทำเพื่อคนเพียงคนเดียว ทั้งที่ผู้ถูกกล่าวอ้างเองก็หาได้สนใจจะรับ ความปรารถนาดีนี้ไม่ เนื่องจากเชื่อว่าตัวเองไม่ได้ทำอะไรผิดจะต้องมารับการอภัยโทษเรื่องอะไร

มาจนถึงเรื่องเล็กๆ ที่ไม่น่าจะยอมกันได้ กับไอ้แค่การคืนพาสปอร์ต คนไทยนายหนึ่งที่ชื่อ “ทักษิณ ชินวัตร”..ซึ่งก็ทราบกันดีว่าชายไทยคนนี้มีสภาพเป็นคนไทยที่ไม่ธรรมดา!!

ถึงขนาดว่า “นิด้าโพล” ออกมาประกาศว่า หากรัฐบาลคืน พาสปอร์ตให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร แผ่นดินจะเดือดเป็นไฟ มวลชนคนเสื้อเหลืองจะกลับมา..ประเทศจะหาความสงบไม่ได้

ทั้งหมดทั้งมวลที่ว่ามานี้นายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร บอกได้คำเดียว.. “ไม่ทราบค่ะ”

และแน่นอนที่สุดทุกประเด็นที่กล่าวมาไม่เคยคลาดสายตา ฝ่ายค้านขั้นเทพอย่างพรรคประชาธิปัตย์ ที่เชี่ยวชาญทั้งในแง่กฎหมาย และกระบวนการเสกสรรวาทกรรม

ทุกประเด็นที่เพื่อไทยตั้งมา ไม่พ้นที่ประชาธิปัตย์จะงัดค้าน อย่างถึงพริกถึงขิง ทั้งในสภาฯ และตามหน้าสื่อ โดยเฉพาะขุนพล ฝีปากกล้าอย่าง “ชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต” ที่ออกมาฉะอย่างทันท่วงที โดยเห็นได้จากตามหน้าสื่อต่างๆ

จนมาถึงประเด็นสุดฮอตระเบิดหน้ากองสลากฯ ที่ดันโผล่มาในเวลาที่ไม่น่าจะเกิด งานนี้สารวัตรเหลิม เจ้าเก่าโชว์ฟอร์ม อดีตสารวัตรกองปราบฟันธงว่างานนี้เป็นฝีมือของ พวกที่เฟ้อฝัน วันๆ จ้องแต่จะล้มรัฐบาล โดยหัวหน้าแก๊งเป็น “พาร์กินสัน”..

“เขารู้กันทั้งประเทศ คอการเมืองเขารู้หมด ว่างานนี้ไม่เกี่ยว กับเรื่องผลประโยชน์ในกองสลาก มันคนละเรื่อง ที่ตนพูดคือคนที่ฝักใฝ่การเมืองทุกสมัย อยากให้มีการล้มอำนาจ ปฏิวัติ แต่ปฏิวัติ ทุกครั้งตัวเองก็ไม่ได้อะไร ก็ไปด่าคณะปฏิวัติต่อ พอบ้านเมืองสงบ มาจากการเลือกตั้งก็โกรธ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และก็ตั้งวงต่อ หาช่องทาง หาวิธีการให้บ้านเมืองปั่นป่วน เดี๋ยวตนจะไปนั่งที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) เอง ก็ ลองกันดู เราถือกฎหมาย”

“สำหรับปีใหม่ปีนี้คาดว่าจะเกิดเหตุการณ์ไม่สงบ เราจะใช้ ปี 50 เป็นตัวตั้งที่มีระเบิด 10 จุด เราจะดูการวางระเบิด สถานที่ เกิดเหตุ เป้าหมายที่ต้องการ สำหรับเหตุการณ์วางระเบิดที่กอง สลากนั้น ผมถามตำรวจสืบสวนว่าไปถึงไหนเขาเชิญผู้เกี่ยวข้อง มา 7 คน สอบยังไงไม่ได้ผลเพิ่มแสดงว่าชุดนั้นไม่ใช่ เดิมคิดว่าอีก ฝ่ายหนึ่งไม่ใช่ คมช. แต่ผมบอกว่า คมช. ขัดใจกันเองก็เลยวางระเบิดก่อสถานการณ์ แต่คราวนี้มีกลุ่มคน 4 กลุ่มที่ทำ คือกลุ่มที่ เคลื่อนไหวประจำ กลุ่มที่สูญเสียอำนาจ กลุ่มตำรวจที่เคยผูกพันกับพรรคการเมืองบางพรรคแล้วใส่ชุดดำยิงชาวบ้านพอยิงเสร็จก็เปลี่ยนชุดดำใส่ชุดตำรวจ ส่วนกลุ่มสุดท้ายคือกลุ่มนักการเมือง”

นั่นเป็นคำพูดที่ผุดออกมาจากปากอดีตสารวัตรกองปราบ โดยไม่ทราบว่าเพื่ออะไร ซึ่งอาจเป็นการส่งสารปรามฝ่ายตรงข้าม นัยว่า “ข้ารู้นะว่าฝีมือเอง” หรือจะเป็นการหวังผลทางการเมืองอย่างอื่นก็แล้วแต่ อย่างไรก็หาได้เป็นผลดีกับรัฐบาลไม่ โดยเฉพาะในช่วงการเมืองที่ซัดส่ายอย่างเวลานี้

โดยเฉพาะสารพันเรื่องราวที่ว่ามานี้ออกมาจากปากคำของ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ซึ่งเป็นที่ทราบดีว่าเป็น ไม้เบื่อไม้เมากับกองทัพมาตั้งแต่ สมัย “คณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ หรือ รสช.” เรืองอำนาจ หากไม่มีใครปรามอาจเป็นการกวนน้ำให้ขุ่นหรือแม้แต่จะเป็นการปลุกกระแสเสื้อเหลืองออกมาอีกครั้งก็เกิดขึ้นได้ ซึ่งหากเป็นอย่างนั้นสงคราม กลางเมืองคงไม่ใช่แค่เรื่องเพ้อเจ้อภาพต่างๆ ที่สะท้อนออกมาจากพรรคเพื่อไทยใน เวลานี้ ฉายภาพให้เห็นว่าการเมืองในพรรคเองกำลังไม่นิ่ง มีทั้งคลื่นลมที่ดูจะรุนแรกกว่าพายุในภาคใต้เสีย ด้วยซ้ำ ยิ่งไปแหย่หนวดเสืออย่างผู้ยิ่งใหญ่แถวสุขุมวิท ด้วยแล้วน่ากลัวจะอยู่กันยากเพราะมือที่ 3 ที่รอโอกาสก็เห็นกันอยู่ประเทศชาติยังรอการฟื้นฟูอีกมาก ไม่ว่าจะ เป็นความวุ่นวายในรูปแบบไหนก็ตามย่อมไม่เป็น ผลดีกับการบริหารงานของรัฐบาลทั้งสิ้น ไหนจะ เรื่องของความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่เสื่อมไป

ระวัง!..อย่าให้ใครมาฉวยโอกาส เพราะ มือที่ 3 กำลังจับจ้องอย่างจดจ่อ!!!

ที่มา.สยามธุรกิจออนไลน์
/////////////////////////////////////////////////////////

องค์กรกลางเสนอเลือกตั้งนายกฯโดยตรง..!!?



องค์กรกลางระดมความคิดเห็นจัด 6 ข้อเสนอยกเครื่องเลือกตั้ง ให้เลือกนายก ฯ โดยตรง - ออก กฎหมายองค์กรเอกชนตรวจสอบเลือกตั้งได้ไร้อุปสรรค

พล.อ.สายหยุด เกิดผล ประธานมูลนิธิองค์กรกลางเพื่อประชาธิปไตย และคณะ ร่วมแถลงข่าวภายหลังการสัมมนา “ ภารกิจภาคพลเมืองหลังการเลือกตั้ง และการปฏิรูปการเลือกตั้งของไทย” ซึ่งร่วมกับมูลนิธิอันเฟรล "Anfrel Foundation" จัดสัมมนาระดมความคิดเห็น ตั้งแต่วันที่ 16 -18 ธ.ค.

พล.อ.สายหยุด กล่าวว่า หลังการเลือกตั้ง 3 ก.ค.2554 มีคำถามหลายคำถามเกิดขึ้น ขณะที่ประชาชนมีความรู้สึกต่างๆกัน แต่พีเน็ตมีจุดยืนยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข แต่เรายังเห็นว่าประชาธิปไตยยังไม่สมบูรณ์ตามคำที่ว่าประชาธิปไตยเป็นของประชาชน เพื่อประชาชน โดยการเลือกตั้งที่ผ่านมารัฐบาลอ้างว่าได้เสียงประชาชน 15 ล้านเสียง อาจบอกได้ว่าประชาธิปไตยมาจากประชาชน แต่เรายังสงสัยว่าทำงานเพื่อประชาชนหรือไม่ซึ่งเป็นข้อที่เรามีความกังวลจากพฤติการณ์ต่างๆ ที่รัฐบาลแสดงออกมา

และจากการสังเกตการณ์ของภาคพลเมืองเห็นว่า รัฐบาลไม่ได้ทำตามนโยบายที่หาเสียงว่าจะทำงานเพื่อประเทศชาติ แต่น่าสงสัยว่าจะทำงานเพื่อบุคคลใดบุคคลหนึ่งหรือไม่ จึงเห็นว่าการเลือกตั้งที่ผ่านมายังไม่เป็นประชาธิปไตยของประชาชน เพื่อประชาชน

ขณะที่การที่เราจะได้รัฐบาลที่เป็นประชาธิปไตย ส่วนหนึ่งก็ต้องมาจากระบบการเลือกตั้งด้วย ซึ่ง กกต. ผู้จัดการเลือกตั้ง ต้องทำตามระเบียบ มีความซื่อสัตย์ เที่ยงตรง นอกจากนี้ยังต้องให้มีองค์กรเอกชนที่เข้มแข็งเข้าไปร่วมในการตรวจสอบการเลือกตั้งด้วย

พล.อ.สายหยุด กล่าวว่า เมื่อจัดการเลือกตั้ง 3 ก.ค. 2554 เราหวังว่าจะให้มาจัดการแก้ปัญหาการเมือง แต่กลายเป็นการสร้างปัญหาทางการเมืองขึ้นมาอีกในรูปใหม่ ขณะที่การเลือกตั้งครั้งนี้ให้บทเรียนสำคัญ คือ ไม่ว่าใครจะเลือกพรรคไหนก็ดี แต่การที่จะให้ประเทศชาติจะแก้ปัญหาก้าวหน้าไปได้ ก็ต้องมีผู้นำที่ดี หรืออย่างน้อยที่สุดมีผู้นำที่เข้มแข็ง ซึ่งต้องกล้ารับผิดชอบ มีความซื่อสัตย์สุจริต มีความตั้งใจจริงไม่กลับคำ มีการเสียสละ และความกล้าหาญในการตัดสินใจแม้เรื่องนั้นจะเกี่ยวข้องผลประโยชน์ของตนเอง หรือพี่น้อง ก็ต้องตัดสินให้ได้

แต่จากพฤติการณ์ที่เป็นอยู่ทำให้เรายังไม่เชื่อมั่นว่า ผู้นำเข็มแข็ง เพราะไม่ยอมรับผิดชอบ ไม่ยอมรับรู้บางเรื่อง บางครั้งสังคมยังสงสัยว่าใครเป็นผู้นำ หรือนายกรัฐมนตรีหัวหน้ารัฐบาลกันแน่ ตรงนี้เห็นได้ชัดว่า หากผู้นำไม่เข็มแข็ง ไม่ปรับปรุงหรือแสดงตัวเองให้เข้มแข็ง ต่อไปคงไม่สามารถการแก้ไขปัญหาหรือนำประเทศชาติสู่ความก้าวหน้าได้ อย่างไรก็ดีสุดท้ายต้องกลับมาที่ประชาชนด้วยเพราะประชาชนเป็นผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง การแก้ปัญหาจึงต้องให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสินใจว่าจะเลือกทางใด

นายสอรัฐ มากบุญ ตัวแทนพีเน็ต กล่าวถึงข้อสรุปการสัมมนาระดมความคิดเห็นของภาคพลเมืองที่ให้ยกเครื่องกระบวนการเลือกตั้งว่า 1.ให้ปฏิรูประบบการเลือกตั้ง ส.ส. โดยให้สะท้อนเสียงประชาชนอย่างแท้จริง ด้วยการเปลี่ยนระบบเสียงข้างมากธรรมดา หรือระบบคะแนนนำกำชัย ให้เป็นระบบใหม่ที่สะท้อนจำนวนคะแนนเสียงของผู้มีสิทธิเลือกตั้งอย่างแท้จริงเป็นธรรม เพื่อให้เกิดรัฐบาลที่มีเสถียรภาพ เคารพเสียงข้างน้อย และลดการซื้อขายเสียง และ ส.ส.ระบบเขต ไม่จำเป็นต้องสังกัดพรรค ส่วน ส.ส.ระบบสัดส่วน ให้กำหนดเขตเลือกตั้งไม่เกิน 5 เขต ให้เป็นระบบบัญชีรายชื่อแบบเปิดโดยผู้มีสิทธิเลือกตั้งเป็นผู้กำหนดลำดับที่และเลือกข้ามพรรคได้

2.ผู้มีสิทธิเลือกตั้งและการใช้สิทธิ ให้มีการลงทะเบียนก่อนวันเลือกตั้งทุกครั้ง รวมทั้งยกเลิกการจำกัดสิทธิของผู้ต้องขัง ภิกษุ สามเณร แม่ชี ภิกษุณี สามเณรี และกำหนดให้มีวันเลือกตั้งล่วงหน้ามากกว่า 1 วัน

3.การปฏิรูป กกต. ให้ มาจากหลากหลายสาขาอาชีพ มีสัดส่วนชายหญิงใกล้เคียงกัน ปรับบทบาท กกต. ให้มีอำนาจหน้าที่จัดเลือกตั้งเป็นหลัก ส่งเสริมองค์กรเอกชนมีส่วนร่วมในการพัฒนาตรวจสอบการเลือกตั้งอย่างแท้จริง และให้ กกต.เป็นผู้ผลิตสื่อ ดำเนินการประชาสัมพันธ์ การหาเสียงของผู้สมัคร และพรรคการเมืองอย่างเท่าเทียม

4.การปฏิรูปกฎหมายพรรคการเมือง เสนอให้นายกรัฐมนตรีในฐานะหัวหน้าฝ่ายบริหาร มาจากการเลือกตั้งโดยตรง ซึ่งผู้ชนะต้องได้รับคะแนนเสียงเกินกึ่งหนึ่ง ไม่ควรให้มีการยุบพรรคเมื่อกรรมการและสมาชิกพรรคทำผิด ควรมีกฎหมายกำหนดทุกพรรคการเมือง มีสัดส่วนผู้สมัครสตรีเป็นจำนวนที่ชัดเจนและให้มีบทลงโทษหากไม่ปฏิบัติตาม รวมทั้งเปิดโอกาสให้ตัวแทนชนกลุ่มน้อยหรือผู้ด้อยโอกาสมีที่นั่งในสภาผู้แทนราษฎรด้วย และกำหนดบทลงโทษที่ชัดเจนและทำการลงโทษหากพรรคการเมืองไม่เปิดเผยข้อมูลการรับจ่ายเงินและข้อมูลของนักการเมืองในพรรคที่ตนสังกัดอยู่ต่อสาธารณะ

5.เสนอให้มี พ.ร.บ.องค์กรเอกชนตรวจสอบการเลือกตั้ง เพื่อให้ประชาชน สามารถตรวจสอบการเลือกตั้งในทุกระดับอย่างอิสระและตรวจสอบพรรคการเมืองได้โดยปราศจากอุปสรรคใด ๆ และรัฐจำเป็นต้องกำหนดให้องค์กรตรวจสอบดังกล่าว มีกองทุนพัฒนาองค์กรเอกชนที่มีสัดส่วนเท่าเทียมกับกองทุนพัฒนาการเมือง

6.การเลือกตั้ง เพื่อให้การทำงานของกกต. มีประสิทธิภาพมากขึ้นในการแก้ปัญหาร้องเรียน การฉ้อฉลเลือกตั้ง ให้ตั้งศาลคดีเลือกตั้ง ขึ้นมาดำเนินคดีโดยเฉพาะเพื่อรับเรื่องร้องเรียนจากหน่วยงานผู้เสียหาย และประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง

อย่างไรก็ดีเพื่อให้ข้อเสนอเหล่านี้มีความเป็นได้ เราโดยภาคพลเมืองจะนำเสนอเรื่องนี้ต่อรัฐบาล กกต. คณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับเลือกตั้งต่อไป โดยเราจะมีการรณรงค์ประชาชนทุกภาคส่วนในการขับเคลื่อนให้การปฏิรูปการเลือกตั้งนี้เป็นจริงด้วย ซึ่งเราจะให้การเมืองภาคประชาชนมีพลังมากขึ้น ขณะที่กรอบเวลาการผลักดันให้ออก พ.ร.บ.องค์กรเอกชน ตรวจสอบ ฯ คงใช้เวลาประมาณ 1 ปีในการสร้างกระแสให้เกิดการยอมรับ และยกร่างกฎหมายเพื่อเสนอสภาพิจารณาต่อไป ซึ่งต้องให้มีการสำรวจความเห็นประชาชนให้เรียบร้อยด้วย

น.ส.สมศรี หาญอนันทสุข ผู้อำนวยการมูลนิธิอันเฟรล กล่าวถึงการนำข้อเสนอให้ได้รับการปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรมว่า หากเราทำให้ข้อเสนอเหล่านี้ปฏิบัติได้ จะทำให้การเลือกตั้งในอนาคตมีประสิทธิภาพ มีมาตรฐานมากขึ้น และจะนำสู่ความปรองดองได้อย่างแท้จริง ขณะที่การประชุมครั้งนี้จะได้นำไปสู่การต่อยอดในการประชุมระดับสากลภูมิภาคด้วย ซึ่งจะนำข้อสรุปที่ได้จากการประชุมไปประกอบในการประชุม การประกาศปฏิญญาว่าด้วยการเลือกตั้งที่บริสุทธิ์ยุติธรรมในภูมิเอเชีย ที่จะจัดขึ้นที่ กทม. ในเดือน มี.ค.2555 หรือ ค.ศ. 2012 ซึ่งมีองค์กรเอกชนและผู้ชำนาญการเลือกตั้งจากนานาชาติร่วมประมาณ 20 ประเทศ

ดร.สุชาดา เมฆรุ่งเรืองกุล ผู้ประสานงานเครือข่ายหญิงผลิกโฉมประเทศไทย กล่าวด้วยว่า เชื่อว่าข้อเสนอต่างๆ เหล่านี้จะร่วมกันผลักดันให้เป็นรูปธรรมได้ก่อนที่จะมีการเลือกตั้งครั้งต่อไปที่คาดว่าจะมีการเลือกตั้งในปี 2558 เมื่อครบวาระ 4 ปี หลังจากการเลือกตั้งปี 2554

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
/////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////