--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันพุธที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

** อารักขาขั้นเทพ **


การเมืองยังไม่มีอะไรใหม่ เลยแหวกแนวการเมืองฮาร์ดคอร์..มาเป็นเรื่องของนักการเมืองแต่ไม่ประเทืองปัญญา...แก้เซ็ง
บะละฮึ่ม บึ้ม เบิ้ม กับการเปลี่ยนรถยนต์และแผนพิทักษ์รักษาความปลอดภัย “นายกรัฐมนตรี” ไม่บอกชื่อก็คงรู้กัน แต่บอกสักหน่อย
ตามหลักงานเขียน

“อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ภายหลังโดนความพยายามเบียดติด ประชิดรถประจำตำแหน่งนายกรัฐมนตรี.โดยใครก็ไม่รู้? สาเหตุอะไรก็ไม่รู้?
แต่หลายฝ่ายข้าง “นายกฯ” กังวลว่าจะเป็นการ “ลอบทำร้าย” เลยมีการปรับกันขนานใหญ่..เริ่มตั้งแต่รถยนต์ถึงโครงสร้างขบวนอารักขา
การประชิดแทรกขบวนอาจเกิดจากความเสน่หา อยากจ๊ะจ๋ากับนายกฯ หน้าหล่อ หรืออาจจะหมั่นไส้ขบวนรถคนใหญ่คนโต..

จะว่าไปแล้วคนธรรมดาใช้รถเหมือนกั นแต่ไม่กันกระสุนมักจะโดนรถคนใหญ่คับฟ้าเบียดเสียดบ่อยครั้ง..
1. รถขบวนจะขับเร็ว-เร็วมาก
2. ไม่มีการเหยียบเบรก ไฟแดงๆไม่มี ไฟเขียวตลอดทาง
3. ขบวนยาวมาก และ
4. ใครขวางหน้ากูชนดะ (คนธรรมดาเลยยอมหลบซ้าย ชิดขวา)

ส่วนโครงสร้างขบวนอารักขา..แม่เจ้าโว้ย!! หากจะ “ลองของ” ขอเตือน ว่า อันตราย!..

โครงสร้างเดิมนั้น ทีมรักษาความปลอดภัย (รปภ.) นายกฯ มี 2 หน่วยหลักรับผิดชอบคือ
ตำรวจสันติบาล 3 และ กอง 8 ศูนย์รักษาความปลอดภัย (ศรภ.) สังกัดกองบัญชาการกองทัพไทย

ปัจจุบันนายกฯ อภิสิทธิ์ เลือกใช้ทหารจาก ศรภ. เป็นบอร์ดี้การ์ดหลัก ขณะที่ตำรวจก็เลือกใช้ตำรวจกองปราบปราม ไม่ได้เลือกใช้
ตำรวจสันติบาล 3 เหมือนสมัยรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ เพิ่มเติมด้วยกำลังกองพันทหารสารวัตรที่ 11 มณฑลทหารบกที่ 11
รวมถึงชุดปฏิบัติการพิเศษคอมมานโดหน่วยบัญชาการอากาศโยธิน กองทัพอากาศ ชุดปฏิบัติการกรมทหารราบที่ 21 รักษาพระองค์
(ทหารเสือราชินี) มาประจำการเพิ่มทั้งที่ทำเนียบรัฐบาล และบ้านพัก สร.1 และเพิ่มเจ้าหน้าที่ ศรภ.อีก 1 ชุดสำหรับการวางตัว
ทีม รปภ.ประจำ ตัวนายกฯ

ตามมาตรฐานแล้ว ทีมต้องไม่ตํ่ากว่า 5 คน โดยมีหัวหน้าชุดยืนประกบด้านข้างและยังมีลูกทีมอีก 4 คนเฝ้าระวังรอบตัวใน 4 ทิศทาง
แต่หากนายกฯ ต้องเดินทางฝ่าฝูงชนหนาแน่น ต้องมีการปรับรูปแบบมาใช้ทีม รปภ.ประจำตัว 6 คน

กฎเหล็กคือ หัวหน้าชุดต้องเอื้อมมือถึงตัวนายกฯ ทันทีที่เกิดเหตุฉุกเฉิน ต้องเฝ้าระวัง 360 องศารอบตัว สร.1

หัวใจสำคัญก็คือ เจ้าหน้าที่ ศรภ. ที่เป็นทหาร “มือดี” จาก 3 เหล่าทัพ แยกเป็นทีมประมาณ 8 คน แบ่งเป็น 2 ผลัด
ใช้รถโฟร์วิลล์ปิดขบวนของนายกฯ ภายในรถจะติดฟิล์มดำ มีอุปกรณ์สื่อสาร อุปกรณ์ตัดสัญญาณโทรศัพท์ป้องกันการจุดชนวนระเบิด
อาวุธปืนหนักเบา ทั้ง 2 ทีมของตำรวจและทหาร จะทำงานประสานกันทางวิทยุสื่อสาร มีการประชุมวางแผนอารักขาการเดินทางทุกวัน

หากนายกฯ อยู่ในสถานที่เสี่ยงมาก ชุดปฏิบัติการที่ 5 ที่ต้องเพิ่มเข้ามา คือ เจ้าหน้าที่ชุดอาวุธพิเศษที่ไม่ได้มีแค่ปืนพก “กล็อก”
หรือ เสื้อเกราะอ่อน แต่เป็นปืนกลยิงเร็วระดับ เอ็มพี-5 หรือรู้จักกันดีในนามปืนกล “อูซี” เอาไว้ต่อกรกับอาวุธของผู้ประสงค์ร้าย
ได้อย่างสมน้ำสมเนื้อ อารักขากันครบสูตร!

หากมี “เหตุไม่คาดฝัน” มาเขย่าขวัญรัฐบาลอีก..คงต้องปรบมือให้ “ไอ้มือมืด”

และหลีกเลี่ยงไม่ได้ ที่ต้องบอกว่า “โชคชะตาฟ้ากำหนด” แล้วล่ะ “ท่านนายกฯ”


ที่มา.konthaiuk
*************************************************************

ฎีกา ‘วัวกินอ้อย’ !!


ว่ากันว่า...มีทฤษฎีหนึ่งที่ยกมากล่าวหากัน เรื่องนักการเมืองรํ่ารวยผิดปกติ กรณี “ทุจริตเชิงนโยบาย” ทำให้ขายหุ้นของครอบครัว
ในตลาดหลักทรัพย์ฯได้เงินมาประมาณ 76,000 ล้านบาท

ทฤษฎีที่พูดถึง คือ “ทฤษฎีวัวกินหญ้า”

ฟังมาได้ความในทำนองว่า...ถ้าวัวของผู้ใหญ่บ้านไปกินหญ้าที่ปลูกโดยงบหลวงในที่สาธารณะ แล้ววัวของผู้ใหญ่บ้านอ้วนขึ้น
ก็ต้องจับวัวนั้นมาฆ่าทั้งตัว เพราะไม่สามารถถอนหญ้าออกมาจากตัววัวได้!

ดังนั้น...ไม่ต้องคำนึงว่า หญ้าที่วัวกินไปนั้นมีมูลค่าเท่าใด และเดิมวัวนั้นโตมาอย่างไร มีนํ้าหนักตัวเท่าไหร่
เมื่อพบว่า...วัวเข้าไปกินหญ้าแล้วก็ต้องจับวัวมาทั้งตัว

ฟังแล้วก็งงครับ? กับทฤษฎีวัวกินหญ้า...แล้วต้องจับวัวทั้งตัว เพราะในทางแพ่งหรือทางละเมิดนั้น ก็ควรจะฟ้องร้องกล่าวหากัน
ที่ “มูลละเมิด” หรือในทางอาญาก็ควรจะต้องหา “ข้อเท็จจริง” ในความผิดตามกฎหมายมากล่าวหากัน

จะไปยกทฤษฎีวัวกินหญ้ามาจากไหน...ก็คงปรับใช้ในการลงโทษตามกฎหมายไม่ได้ เว้นแต่ว่า “ทฤษฎีวัวกินหญ้า” นั้น...
จะเป็นบทบัญญัติในกฎหมายใดกฎหมายหนึ่งเท่านั้น เมื่อไปค้นหาว่า ทฤษฎีวัวกินหญ้า ได้มีบัญญัติไว้ในกฎหมายใดหรือไม่...
ก็ไม่พบว่ามีอยู่ในกฎหมายไทย หรือจะเอามาจากต่างประเทศ หรือจากต่างดาว ก็มิทราบ

อย่างไรก็ตาม ก็เคยมีการฟ้องร้องเกี่ยวกับเรื่องของวัวจริงๆ เหมือนกัน และเป็นข้อเท็จจริง ไม่ใช่ทฤษฎีเป็นเรื่องวัวกินอ้อย...
ไม่ใช่วัวกินหญ้า ซึ่งดูแล้วก็น่าจะเอามาเขียนให้ได้อ่านกัน ดังนี้

ป.พ.พ. มาตรา 420, 432, 438ป.วิ.พ. มาตรา 142, 172 วรรคสอง, 179, 180, 248 วรรคหนึ่ง
คดีมีทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกิน 200,000 บาท...ต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.พ. มาตรา248 วรรคหนึ่ง
ที่จำเลยทั้งแปดฎีกาว่า...จำเลยทั้งแปดไม่เคยนำวัวไปเลี้ยงในไร่อ้อยของโจทก์ จึงไม่ได้ร่วมกันทำละเมิดต่อโจทก์

เป็นฎีกาโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ภาค 1ซึ่งฟังว่า...
จำเลยทั้งแปดซึ่งเป็นคู่สามีภรรยากันต่างคู่ต่างปล่อยวัวของตนเข้าไปกินอ้อยของโจทก์อันเป็นละเมิดเป็นฎีกาใน “ข้อเท็จจริง”
ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยแม้โจทก์ฟ้องว่า...จำเลยทั้งแปดร่วมกันไล่ต้อนวัวเข้าไปกินอ้อยในไร่ของโจทก์

แต่ทางศาลพิจารณาได้ความว่า...จำเลยทั้งแปดต่างคู่สามีภรรยาต่างปล่อยวัวของตนเข้าไปกินอ้อยของโจทก์ ก็เป็นข้อแตกต่าง
ในรายละเอียดซึ่งเป็นเรื่องเล็กน้อย...ไม่ถึงกับเป็นเรื่องนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้อง...จำเลยทั้งแปดก็สามารถต่อสู้คดีได้อย่างเต็มที่แล้ว
ไม่มีเหตุที่จะยกฟ้องโจทก์ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 กำหนดให้จำเลยแต่ละคู่แยกกันรับผิดในความเสียหายตามควรแก่พฤติการณ์และ
ความร้ายแรงแห่งละเมิดตาม ป.พ.พ. มาตรา 438 จึงชอบแล้วการที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้โจทก์แก้ไขคำฟ้อง...

ย่อมทำให้คำร้องขอแก้ไขคำฟ้อง ตลอดทั้งแผนที่สังเขปที่แนบมาท้ายคำร้องเป็นส่วนหนึ่งของคำฟ้องด้วยศาลอุทธรณ์ภาค 1
จึงชอบที่จะนำมาใช้ในการวินิจฉัยว่า...ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ได้ โจทก์ได้บรรยายฟ้องพอเข้าใจได้ว่า...

จำเลยทั้งแปดปล่อยปละละเลยไม่ดูแลเลี้ยงดูฝูงวัวของตนเป็นเหตุให้ฝูงวัวของจำเลยทั้งแปดเข้าไปกินต้นอ้อยใบอ้อยและเหยียบยํ่า
ต้นอ้อยของโจทก์เสียหายประมาณ 60 ไร่เศษ

ส่วนคำร้องขอแก้ไขคำฟ้องก็ระบุอาณาเขตความกว้างยาวของที่ดินในการปลูกอ้อยด้านทิศเหนือ ทิศใต้ทิศตะวันออก และทิศตะวันตกว่า...
จดที่ดินของผู้ใดตามแผนที่สังเขปท้ายคำร้อง จึงเป็นคำฟ้องที่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา172 วรรคสองแล้ว ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม
องค์คณะผู้พิพากษาศาลฎีกา (จรัญ หัตถกรรม- นาม ยิ้มแย้ม - สุรินทร์ นาควิเชียร) ตามคำพิพากษาฎีกาข้างต้นศาลพิพากษา
ให้จำเลยแต่ละคู่แยกกันรับผิดในความเสียหายตามควรแก่พฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งละเมิดตาม ป.พ.พ. มาตรา 438

ในองค์คณะผู้พิพากษาศาลฎีกาซึ่งมีอยู่ 3 คนนั้น...มีท่านหนึ่งที่ระบุชื่อไว้ว่า “นาม ยิ้มแย้ม” ซึ่งต่อมาได้เป็นบุคคลหนึ่ง
ในคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ หรือ คตส.

เห็นอย่างนี้แล้ว...พี่น้องผู้อ่านจะคิดอย่างไรระหว่าง “ทฤษฎี วัวกินหญ้า” กับ “ฎีกา วัวกินอ้อย” ก็สุดแล้วแต่วิจารณญาณของแต่ละคน
แล้วหละครับ!


โดย สว.เรืองไกร ลีกิจวัฒนะ
*****************************************************************************

** 2 จอมพล !! **


ในประวัติศาสตร์โลก...ไม่มีใครไม่รู้จัก...พลเอกฮิเดกิ โตโจ...รัฐมนตรีกระทรวงทหารบกและอดีตนายกรัฐมนตรีคนที่ 27 ของญี่ปุ่น
ใหญ่เป็นที่ 2 รองจากองค์จักรพรรดิ์..ฮิโรฮิโต..

เขาคือ นักรบซามูไรขนานแท้..นี่คือ ทหารที่รักชาติยิ่งชีพ..ชีวิตที่รุ่งโรจน์ยิ่งใหญ่...เขามีสมบัติเพียงบ้านเล็กๆ หลังเดียว..
เมื่อเขาตาย

นี่คือ ผู้ประกาศสงคราม...มหาเอเชียบูรพา..ที่พาชีวิตคนมากกว่า 20 ล้าน..ทั้งที่เป็นทหารและพลเรือนไปสู่ความตาย..

เขาทำให้ระเบิดปรมาณู 2 ลูก..ระเบิดเหนือเมือง ฮิโรชิมา และนางาซากิ..เมื่ออเมริกันเห็นว่าเป็นหนทางเดียวที่จะสงวนชีวิต
ทหารอเมริกัน..หากจะยกพลขึ้นบก เพื่อจบสงครามกับญี่ปุ่น ฮิเดกิ โตโจ..เป็นแม่ทัพต่างชาติคนแรกและคนเดียว...ที่นำเครื่องจักร
สงคราม..ถล่มฐานทัพอเมริกัน..

และนั่นนำเขามาสู่หลักประหาร..เมื่อคำว่า อาชญากรสงคราม เดินทางมาถึงแม่ทัพผู้พ่ายแพ้..พยายามที่จะปลิดชีวิตตนเอง..
แต่อเมริกันยื้อชีวิตของเขาไว้..เพื่อจะเอามาแขวนคอในสงครามเดียวกัน..

จอมพล ป.พิบูลสงคราม..ประกาศให้ไทยเป็นมหามิตร..ร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่..ทหารใหญ่ที่เชี่ยวชาญ แต่การหันปากกระบอกปืน
ข่มขู่คนไทย..ปฏิเสธการรบเพื่อปกป้องแผ่นดิน..แล้วยกแผ่นดินให้ทัพญี่ปุ่น..ท่ามกลางความอึดอัดของทหารแท้ทั้งหลาย..

ประเทศไทยกลายเป็นชาติผู้แพ้สงคราม และร่ำๆ จะถูกแบ่งออกเป็นไทยตะวันตกของอังกฤษและไทยตะวันออกของฝรั่งเศส..
ดีแต่ว่าสหรัฐอเมริกา..เหยียบเบรกไว้..เพราะเห็นใจขบวนการเสรีไทย..ที่พลเรือนไทยตั้งขึ้นมา และประกาศตนเป็นศัตรูกับผู้รุกราน
ชาวญี่ปุ่น

เขียนขึ้นมาเพื่อที่จะบอกว่า..หายนะในฐานะชาติแพ้สงคราม..แผ่นดินไทยที่เคยใหญ่แล้วถูกเฉือนฉีกออกไปมากมายนั้น..
เพราะคนที่ควรจะเป็นผู้ต่อสู้ กลับกลัวการต่อสู้..

เราแพ้สงครามโดยยังไม่ได้สู้รบ..ชาติรอดปลอดภัยมาได้ ไม่ถูกเฉือนฉีกแบบเยอรมัน..ไม่เป็นตะวันออกตะวันตก...ก็เพราะนักรบบ่าขาว
เหล่าพลเรือนที่ถือปืนเป็นนักรบโดยไม่เคยผ่านวิชาทหารขบวนการเสรีไทย

จอมพล ป.พิบูลสงคราม..อาชญากรสงคราม..ที่จะต้องถูกแขนคอพร้อมๆ กับ ฮิเดกิ โตโจ..กับเหล่าแม่ทัพนายกองทั้งหลาย..
ไม่ถูกมหาอำนาจผู้ชนะเอาไปแขวนคอ..เพราะนักรบเสรีไทย..

หลังพ้นความตาย..จอมพล ป.พิบูลสงคราม กลับมาใหม่..เสรีไทยหลายราย..โดนไล่ไปตายต่างแดน..จนวาระสุดท้าย..
เมื่อจอมพลมือขวา..ส่งกองทัพออกมาขับไล่ จอมพลมือซ้าย..ป.พิบูลสงคราม..หนีภัยไปตายเมืองญี่ปุ่น

ประโยชน์จากประวัติยืนยันว่า..กองทัพสร้างความย่อยยับมากกว่ารุ่งเรือง



โดย. พญาไม้
****************************************************************************

** “การหลอกระดับโลก” **


- จะยืนจะนั่งยังไม่ถูกที่ถูกทาง เป็นนายกรัฐมนตรีมาปีกว่า อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มีผลงานประการเดียว ยืนปาฐกถาหน้าโพเดียมกับ
ส่ายตาหาแหล่งกู้เงิน!! แล้วประเทศไทยจะไปรอดหรือ??....

- โธ่ โถ!! ถึงเวลาจะต้องพูดเอาตัวรอด “มาร์คตาใส” ก็พูดได้เรื่อยเฉื่อย?? เรื่อง GT 200 ที่เหมือนของเด็กเล่นนั้น
ถ้าเมืองไทย-กองทัพไทย จะถูกหลอก ก็ถือเป็น “การหลอกระดับโลก” เพราะซื้อกันทั้งโลก ไปกันน้ำขุ่นๆ??.....

- จะแค่อำ รัฐบาลมาร์ค หรือมันเรื่องจริงต้องถามเจ้าตัว?? อดิศร เพียงเกษ ขึ้นเวที “คนเสื้อแดง” ที่อำเภอสิชล นครศรีธรรมราช
กล่าวหา อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ไปนอกทีไร มีกระดาษไป 2 แผ่น!! แผ่นแรก เอกสารขอกู้เงิน? แผ่นที่สอง “หมายจับทักษิณ”?? .....

- ซ้อมรบ-ซ้อมปราบปราม “คนเสื้อแดง” เหมือนกำลังจะเกิด “สงครามโลกครั้งที่ 3” สื่อนอกรายงานข่าวไป หัวเราะขบขันกันไป
จนขากรรไกรค้าง อยากถาม มีรัฐบาลไหนในโลกที่ “ประกาศสงคราม” กับประชาชน??.....

- เพราะคุมสื่อหลัก ทั้งทีวี-วิทยุ และสื่อสิ่งพิมพ์หลายสำนักไว้ในมือได้หมด รัฐบาลมาร์ค จึงเหิมเกริมย่ามใจ เดินหน้าทำ
“สงครามข่าวสาร” สู้กับ คนเสื้อแดง ที่มี “ทีวีดาวเทียม” อยู่เพียงช่องเดียว!!......

- สงครามข่าวคืออะไร มีความสำคัญอย่างไร?? ประธานคณะเสนาธิการร่วมสหรัฐฯ ค.ศ.1996 ให้คำจำกัดความ สงครามข่าวสาร
(Information Warfare) ไว้ว่า คือ การดำเนินการเพื่อให้เป็นฝ่ายได้เปรียบด้านข่าวสาร โดยการบ่อนทำลาย ข่าวสาร
การดำเนินกรรมวิธีต่อข่าวสาร ระบบข่าวสาร และเครือข่ายคอมพิวเตอร์ของข้าศึก....

- งานนี้ ปณิธาน วัฒนายากร โฆษกรัฐบาลที่กำลังสวมบท “ไอ้เสือยิ้มยาก” โดดเข้าบัญชาการเอง เพราะฉะนั้น “เตี้ย หนองเตย”
ต้องทำใจกับ “ความยิ่งใหญ่” ของ “โฆษกรัฐบาล” ที่ชื่อ ปณิธาน ณ เบตง?? คิดเสียว่า อารมณ์ที่แปรปรวนได้ง่ายของ “มาร์คเด็กดื้อ”
มีหลายมาตรฐาน!!......

- สิ่งที่ ปณิธาน วัฒนายากร กำลังทำ คือ การสร้าง “สงครามข่าวสาร” กับ “สงครามจิตวิทยา” ออกข่าวใส่ร้าย? ทำให้สับสน ทำลาย
เครือข่ายด้านสื่อสารมวลชน “คนเสื้อแดง” ให้หมด!! เพราะศักยภาพในการตอบโต้ของฝ่ายเสื้อแดงสูงมาก!!......

- เป็นโหรจริงหรือเปล่า? ไม่มีใครกล้ายืนยัน! ยกเว้น “ศิษย์เอก” ที่ชื่อ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน สองวันก่อน วารินทร์ บัววิรัตน์เลิศ
โหรชื่อดังจากหมู่บ้านสุขิโต เชียงใหม่ เกิดอาการ ร้อนวิชา ต้องออกมา ทำนายทายทัก “ดวงบ้านดวงเมือง”.....

- วารินทร์ บัววิรัตน์เลิศ จะวิเคราะห์เอาเอง หรือเปิดตำราโหราศาตร์เล่มไหนก็สุดเดา!! วันที่ 26 กุมภาพันธ์นี้ จะไม่มีเหตุการณ์รุนแรง
และไม่มีการปฏิวัติ!! ไม่มีทหารนำรถถังออกมาเคลื่อนไหว!!.....

- หลัง 26 กุมภาพันธ์ ตัดสินคดียึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เสร็จ จะยังมีปัญหากระทบกระทั่งกันอยู่!! จากนั้นจะมี อัศวินขี่ม้าขาว
มาช่วยดูแลประเทศ โดยเป็นบุคคลที่มียศตำแหน่ง อักษรย่อ ป. ก็ลองเดากันดู จะเป็น “อัศวินม้าขาว” หรือ “อัศวินผมขาว”??......๐


โดย.กุหลาบพิษ
***************************************************************************

** ไอ้ติ๊งต๊อง !! **


สุดท้ายเป็นเพียงข่าวลือ...ได้ยินพูดต่อๆ กันมา! “สำราญ รอดเพชร” กับหน้าที่โฆษกพรรคการเมืองใหม่...ถึงการออกมาแพร่งพราย
ข้อมูลสำคัญอัน “เป็นความลับ” เกี่ยวกับคดียึดทรัพย์ “ทักษิณ ชินวัตร”

น่าเสียดายกับคำพูดเพียงไม่กี่คำของคนๆ หนึ่ง...ซึ่งขาดความ “แหลมคม” ทางการเมือง...และอ่อนด้อยด้วย “ไหวพริบ” ปฏิภาณ

จากบุคคลระดับ “แกนนำ” ที่มวลชนคนเสื้อเหลืองให้การยอมรับ...มาวันนี้เขาเป็นเพียง “เสือสิ้นลาย” เพราะการ “กวัดแกว่งลมปาก”
โดยขาดเนื้อหาและสาระข้อเท็จจริง ทำให้ “สำราญ” กลายเป็นคนหมดสิ้น...ในด้านความน่าเชื่อถือทั้งหมดทั้งมวล

โดยเฉพาะตำแหน่งหน้าที่...ซึ่งจำเป็นต้อง “ยึดโยง” เกาะกลุ่มมวลชน.

ในโอกาสต่อไปตัวท่านจะทำอย่างไร? หากพูดอะไรแล้ว...ไม่มีคนเชื่อ...ไม่มีคนฟัง เมื่อเป็นเช่นนั้น...มันจะแตกต่างอะไรกับ
การนั่งพูดนั่งฟังเพียงคนเดียว...ซึ่งภาษาชาวบ้านเขาเรียกว่า “คนไม่ปรกติ” แต่ยังไม่เข้าขั้นถึง “คนบ้า” เพราะนิยามของคนบ้า คือ
ผู้ที่มีอาการทางจิตทำให้ประสาทฟั่นเฟือน

แต่สำหรับ “สำราญ” แล้ว ท่าน “ไม่ใช่” กิริยาและความรู้สึกของท่าน ยังสามารถ “รับรู้” เพียงอาจมี “อาการหลุด” บ้าง
เป็นบางครั้งบางคราว อย่างเช่น...อยู่ดีๆ ก็หยิบ เอาตะหลิวกับกระทะมาตีเป้งๆ ให้เสียงดัง เพื่อทำให้คนสนใจ...

ทั้งที่ไม่รู้เหตุผลว่า...ทำไปทำไม? แบบนี้ไม่เรียกว่า “บ้า” แต่เรียกว่า “ติ๊งต๊อง” “สำราญ” ควรทำตัวให้อยู่กับร่องกับรอย...
และอย่าไปยึดติดว่า “หน้าที่โฆษก” ต้องออกมา “ตีกระทะ” ให้คนเงี่ยหูฟังเพียงอย่างเดียว

หากจะเล่นงานฝ่ายตรงข้าม...ต้องรู้จักตอบโต้อย่าง “มีกึ๋น” สมองกับปาก...ต้องมีความสัมพันธ์กันอย่างลึกซึ้ง
แต่มิใช่ต้นแบบเช่น “เทพไท เสนพงศ์” สุดยอดโฆษกแห่งยุคนี้...ซึ่งสามารถใช้ปากกับสมอง “คล้องจอง” ประสานกันอย่างน่าเชื่อ
คิดเร็ว...พูดเร็ว...ตอบโต้เร็ว...ถึงขนาดบางที “ต่อมน้ำลาย” ยังผลิตไม่ทัน ยิ่งฟังมันพูด..กูยิ่งบ้า!


โดย.ภูผาหิน
********************************************************************************

** ทีใคร-ทีมัน !! **

ไปไหนก็โดน..การ “โห่ไล่นายกฯ” ในทุกๆ แห่งที่เกิดในขณะนี้จาก “คนเสื้อแดง”!!

แท้จริงแล้ว..มันคือ วัฒนธรรม ต่อเนื่องมาจาก “คนเสื้อเหลือง” นั่นเอง!!

เอาเป็นว่า ตั้งแต่ “สมัคร สุนทรเวช” นำ “พลังประชาชน” เข้าสภา เพราะเป็นพรรคใหญ่จนได้ขึ้นนั่งเก้าอี้ “นายกรัฐมนตรี”
แต่ก็โดน “สนธิ ลิ้มทองกุล” ที่นำ “คนเสื้อเหลือง” บุกทำเนียบรัฐบาล..โดยได้รับการฉีด วัคซีน “ภูมิคุ้มกัน” มาเป็นอย่างดี
สามารถที่จะยืนหยัดสู้รบสักกี่ร้อยวันก็ย่อมได้!!

“สนธิ” มี นักรบศรีวิชัย คอยคุ้มกันให้..ในขณะที่ “สมัคร” มี ไก่ย่างบ้านวิเชียร เป็นอาวุธในการสู้รบ??
มันแพ้กันตั้งแต่ “ย่างไก่” ยังไม่ทันสุก!!

จากนั้นก็มาถึง นายกฯ สมชาย วงศ์สวัสดิ์ ว่ากันว่าเป็นนายกรัฐมนตรี คนเดียวที่ ตีนไม่ติดพื้น?? เพราะเท้า “แตะพื้นดิน” เมื่อใด
ก็ต้องโดน “คนเสื้อเหลือง” โห่ไล่เมื่อนั้น

ช่วงนั้น “นายกฯ สมชาย” ทำตัวเป็น “แม่มดขี่ไม้กวาด” คือ เหาะไปเรื่อยๆ เสื้อเหลือง ก็ตามจี้ไปติดๆ..

ในที่สุดก็ไป “ติดกับดัก” อยู่ที่ “สุวรรณภูมิ” เพราะตามไล่ล่าเพลินโดยที่เชื่อว่า นายกฯ สมชาย จะต้องบินไปลงที่นั่น

เหตุการณ์ตาละปัด..เมื่อไม่เจอ “สมชาย” แต่ เจอ แผ่นดินใหม่ จึงเกิดกิเลส!! เพราะเป็น “นิวแลนด์” สุดยอดชัยภูมิที่ดีกว่า “ทำเนียบ”
อีกทั้งมี อาหารดี และ ดนตรี ไพเราะ เปิดแอร์เย็นฉ่ำได้ทั้งวัน โดยที่หารู้ไม่ว่า..ณ. ตรงนั้นมันเป็นเรื่องของระดับ “อินเตอร์”..

ถึงจะฉีด “วัคซีน” ไปเต็มกระบอกเข็มฉีด ก็ไม่สามารถป้องกันในการ “ยึดสนามบิน” ได้

ในที่สุด..ต้อง “รีบล่ำลา” กันแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย..แม้ “ผ้าขาวม้า” ของ “จำลอง” ที่ตากเอาไว้ข้างรั้วสนามบินยังเก็บหนีมาแทบไม่ทัน

ตั้งแต่นั้น “เกี๊ยวซ่า” ก็กลายเป็น “ปลาหงอย” ลอยคอได้แค่ในตู้โชว์เท่านั้น!!

และ..เมื่อ “อภิสิทธิ์” ขึ้นมาเป็นนายกฯบ้าง..จึง “โดนโห่ โดนไล่” อย่างที่เห็น

เรื่องมันเป็นอย่างนี้แหละครับ “เจ๊เล้ง” จึงเรียนมาให้ทราบ!!


โดย.ใหนุ่ม ชิงชัย
*******************************************************************************

วันอังคารที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

ถึงเวลา! ตรวจทรัพย์สินทั่วหน้า!!


เพราะหากใช้ทฤษฏีตรวจสอบสไตล์ คตส.แล้ว คงต้องตรวจสอบนักการเมืองทั้งหมดกันให้ถ้วนทั่วทุกตัวคน ไม่เว้นแม้แต่กระทั่งบุคคลในกลุ่มอมาตยาธิปไตยที่กุมกลไกอำนาจของการเมืองอยู่ลับๆ แม้แต่กระทั่งกรณีที่ถูกสังคมตั้งคำถามขึ้นมากับบุคคลผู้ดำรงตำแหน่งองคมนตรี แล้วมีทรัพย์สินไม่ว่าจะเป็นกรณีการบุกรุกป่าเขายายเที่ยง กรณีสนามกอล์ฟเขาสอยดาว หรือแม้กระทั่งกรณีการรับเงินเดือน รับค่าที่ปรึกษาทั้งทางตรงและทางอ้อม ซึ่ง ณ วันนี้สังคมเกิดคำถามคาใจขึ้นมาอย่างมาก แม้ว่าจะเหลือเวลาจากวันนี้ ไปอีกเพียงแค่ 2 วันเท่านั้น ก็จะถึงวันอ่านคำพิพากษาคดียึดทรัพย์ 76,000 ล้านบาท ของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายก

รัฐมนตรี และครอบครัว แล้วขั้วอำนาจกลุ่มอำมาตยาธิปไตย และนายทหารใหญ่สาย คมช. รวมทั้งขั้วการเมืองปัจจุบัน ยังคงออกอาการให้เกิดภาพที่น่าหวั่นวิตกไม่หยุดหย่อนถึงขนาดมีการฝึกซ้อมปราบปรามเป็นเหมือนการตัดไม้ข่มนามกันล่วงหน้าเลยทีเดียวแต่ที่ออกอาการมากที่สุด ก็เห็นจะเป็นบุคคลในกลุ่มม็อบพันธมิตรฯ หลายๆ คน ที่ทั้งคาดการณ์ ทั้งพยายามดักทางเพื่อหวังผล ใช้แม้แต่กระทั่งข่าวลือต่างๆ ก็ยังเอามาพูดหน้าตาเฉยไม่น่าเชื่อว่าวุฒิภาวะของหลายๆ

คนจะไม่รู้จักแยกแยะ เพราะอีกหน่อยหากอ้าง “ข่าวลือ”แล้วเอามาประโคมไว้ก่อน เอามาขยายความไว้ก่อน... สุดท้ายก็แค่ขี้ปากข่าวลือ บ้านเมืองจะวุ่นวายกันขนาดไหนพอถึงเวลา คนพูดก็แค่บอกว่า ไม่ต้องรับผิดชอบใดๆ เพราะบอกแล้วว่า เป็นข่าวลือที่บังเอิญได้ยินมา เลยเอามาลือต่อเป็นความผิดของนักข่าว ความผิดของสื่อมวลชนเอง ที่ดันไปทนนั่งฟังคนแถลงเรื่องข่าวลือเอง... ช่วยไม่ได้ก็เพราะแบบนี้แหละ ทั้งๆ ที่บรรดาแกนนำกลุ่มคนเสื้อแดง จะยืนยันว่า เป็น

การต่อสู้เพื่อทวงความเป็นธรรมและระบบยุติธรรมที่แท้จริงตามระบอบประชาธิปไตย ซึ่งจะเป็นการชุมนุมโดยสงบเท่านั้น หรือแม้แต่การโฟนอินของ พ.ต.ท.ทักษิณ ก็ยืนยันเช่นกันแปลว่าทางฝ่ายกลุ่มคนเสื้อแดงยืนยันซ้ำแล้วซ้ำอีกในเรื่องของการชุมนุมโดยสงบแต่ฝ่ายอำนาจปัจจุบัน ก็ยืนยันเขย่าขวัญสร้างภาพให้น่าสะพรึงกลัวไม่หยุดหย่อนจนวันนี้ต้องยอมรับว่า คำถามที่ว่า “จะเกิดอะไรขึ้นในวันที่ 26 กุมภาพันธ์???” ดังไปทั่วประเทศ และทั่วโลกแล้วอาการสนุกปาก

โดยไม่ได้คำนึงถึงภาพลักษณ์ของประเทศชาติเหล่านี้ ไม่รู้ว่ากลุ่มอำมาตยาธิปไตย และ คมช. รวมทั้งขั้วการเมืองต่างๆ จะรู้สำนึกกันบ้างหรือไม่ ว่ากำลังทำร้ายประเทศปากก็อ้างว่ารักชาติรักสถาบัน แต่ปากเดียวกันก็พูดเขย่าสถานการณ์ ยั่วยุไม่เลิกราอย่างที่เห็นแม้แต่สถาบันศาล แม้แต่องค์คณะผู้พิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ก็ยังไม่พ้นมรสุมลมปากยังโชคดี ที่ศาลให้ความเมตตาและใจกว้างเป็นอย่างมากไม่เพียงไม่ถือสาในเรื่อง

การเอาข่าวลือมาแถลงครึกโครม เพียงแค่ให้โฆษกออกมาชี้แจงว่าเป็นเรื่องไม่มีมูลความจริงแต่อย่างใดแต่ยังเปิดโอกาสให้วิพากษ์วิจารณ์กันได้ตามสมควรด้วยปัญหาก็คือ เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ ไม่น่าจะเป็นวันอันตราย อีกทั้งคณะศาลก็ยืนยันแล้วว่าไม่ใช่คู่กรณี จึงไม่มีอะไรน่าวิตก คำถามจึงต้องวกกลับมาว่าแล้วกลุ่มขั้วอำนาจการเมืองและอำมาตยาธิปไตย กลัวอะไรหนักหนาจึงแสดงอาการเหมือนประหวั่นว่า จะเกิดการตรวจสอบย้อนเกล็ดกลับมาบ้างเพราะหลาย

เรื่องที่ถูกตั้งข้อสงสัยในเรื่อง 2 มาตรฐาน วันนี้ยังไม่สามารถชี้แจงหรือแก้ต่างได้เลย มีแต่การอมพะนำนิ่งเงียบ ทำไม่รู้ไม่ชี้ไปเรื่อยๆ ดึงเกมซื้อเวลาหมกข้อเท็จจริงไปเรื่อยๆขืนปล่อยให้มีการตรวจสอบก็คงพังเท่านั้นเพราะอย่างกรณีคดียึดทรัพย์ 76,000 ล้านบาท ซึ่งทาง คตส. กล่าวหาว่าเป็นทรัพย์สินที่ได้มาจากการดำรงตำแหน่งทางการเมืองของ พ.ต.ท.ทักษิณ ถึงขั้นตั้งทฤษฎีวัวทฤษฎีควายขึ้นมา เพื่อหวังโน้มน้าวให้เห็นว่า สมควรยึดคำถามจึงเกิดขึ้นไม่หยุดหย่อนว่า

เข้าข่ายกฎหมายหรือไม่ และทรัพย์สินเหล่านี้เป็นทรัพย์สินที่ได้มาจากการดำรงตำแหน่งทางการเมืองจริงๆ หรือ???ที่สำคัญ คตส. ยืนยันให้อัยการยื่นฟ้องว่าเป็นคดีของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองแล้วคนอื่นๆ ที่ไม่ได้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองล่ะ ไม่ว่าจะเป็นนายพานทองแท้ และนางสาวพินทองทา ชินวัตร ซึ่งตามกฎหมายถือว่าบรรลุนิติภาวะแล้ว และไม่ได้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองใดๆ ทั้งสิ้นเช่นเดียวกับนายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ ก็ไม่ใช่เจ้าหน้าที่รัฐ และไม่เคย

ดำรงตำแหน่งทางการเมืองใดๆ เลย... ทำไม คตส. จึงกวาดดะรวบไปหมดแม้แต่กรณี พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิง พจมาน ดามาพงศ์ เองก็เช่นกัน หากบอกว่า 76,000 ล้านบาทเป็นทรัพย์สินที่ได้มาจากการดำรงตำแหน่งทางการเมือง แน่นอนว่าคงเถียงกันไม่จบ และก็เป็นเหตุให้เกิดการต่อสู้ยืดยาวมานานกว่า 3 ปี หลังการทำรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 แล้วมีการใช้อำนาจนอกรัฐธรรมนูญตั้ง คตส. ขึ้นมาเพราะ พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิง พจมาน ก็ยืนยันว่ารวยมา

ก่อนทำงานการเมืองแล้ว ไม่ใช่ว่ามาทำงานการเมืองแล้วรวยเหมือนกับใครบางคนที่เห็นๆ กันอยู่!!!บริษัท ชินวัตรคอมพิวเตอร์ นั้นตั้งขึ้นมาตั้งแต่ปี 2526 แล้ว และตอนที่ พ.ต.ท.ทักษิณ รับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศเมื่อ 17 พฤศจิกายน 2537 ก็ได้เปิดเผยบัญชีทรัพย์สินเอาไว้ว่า มีมูลค่ารวมของทรัพย์สินส่วนที่เป็นหุ้นในขณะนั้นคือ 51,481 ล้านบาท 50,000 กว่าล้านบาทก่อนเล่นการเมือง และก่อนที่บริษัทชินวัตรคอมพิวเตอร์จะเป็นชื่อมาเป็นชินคอร์

ปอเรชั่นหรือที่เรียกกันว่าชินคอร์ปด้วยซ้ำ ดัชนีหุ้นไทยในวันที่ 7 กันยายน 2537 อยู่ที่ 1,532 จุด หุ้นชินคอร์ปมีราคาหุ้นละ 79.60 บาท จำนวนหุ้นชินคอร์ปที่พ.ต.ท.ทักษิณมีอยู่ 148,774,012 หุ้น จึงเท่ากับมีมูลค่า 118,424 ล้านบาท แต่เมื่อวิกฤติปี 40 ดัชนีหุ้นไทยก็ไหลรูดลงอย่างหนักและยาวนาน จนในวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2544 ซึ่งพ.ต.ท.ทักษิณเป็นนายกรัฐมนตรีวันแรก ดัชนีหุ้นไทยอยู่ที่ 324 จุด ราคาหุ้นชินคอร์ปลงมาอยู่ที่ 21 บาท ทำให้มูลค่าเหลือแค่ 31,242

ล้านบาท นั่นคือภาวะปกติของตลาดหุ้นที่มีขึ้นมีลงเมื่อตลาดหุ้นไทยวิกฤติ หุ้นทั่วทั้งตลาดก็ตกลงมาทั้งสิ้นรวมทั้งหุ้นชินคอร์ปด้วยเมื่อพ.ต.ท.ทักษิณเป็นนายกรัฐมนตรี และได้แก้ไขปัญหาเศรษฐกิจจนเกิดความเชื่อมั่น ตลาดหุ้นไทยกระเตื้องขึ้นโงหัวขึ้นมาได้ โดยในวันที่ 23 มกราคม 2549 ซึ่งเป็นวันที่มีการขายหุ้นชินของครอบครัวชินวัตรให้กับเทมาเสก เพื่อจะได้เป็นอิสระในการทำงานทางการเมืองนั้นดัชนีตลาดหุ้นไทยอยู่ที่ 750 จุด ทำให้มูลค่าหุ้นชินคอร์

ปของครอบครัวชินวัตรขยับขึ้นมาเป็น 73,271 ล้านบาท ดัชนีจาก 324 จุดขึ้นมาเป็น 750 จุด เท่ากับเพิ่มขึ้นกว่า 130% ที่มูลค่าหุ้นชินคอร์ปเพิ่มขึ้นมา 71,000 ล้านจึงไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด เพราะหุ้นบูลชิพในตลาดหุ้นจำนวนมาก ราคาเพิ่มขึ้นไปเกือบ 200% ก็มี ฉะนั้นความร่ำรวยจากมูลค่าหุ้นของครอบครัวชินวัตรในสายตาของคนที่เป็นนักลงทุนในตลาดหุ้น ในสายตาของต่างประเทศ จึงถือเป็นเรื่องปกติตามการขยายตัวของตลาดหลักทรัพย์ แต่ คตส.กลับ

เห็นเป็นเรื่องมหัศจรรย์ หรือกลับเห็นเป็นสิ่งผิดปกติ ซึ่งไม่รู้ว่าเกิดขึ้นเพราะมีความไม่รู้เรื่องของตลาดหุ้น หรือเกิดขึ้นเพราะมีธงจาก คมช. ซึ่งตั้งกลุ่มคนเหล่านี้เข้ามาเพราะหากใช้ทฤษฏีตรวจสอบสไตล์ คตส.แล้ว คงต้องตรวจสอบนักการเมืองทั้งหมดกันให้ถ้วนทั่วทุกตัวคน ไม่เว้นแม้แต่กระทั่งบุคคลในกลุ่มอมาตยาธิปไตยที่กุมกลไกอำนาจของการเมืองอยู่ลับๆ แม้แต่กระทั่งกรณีที่ถูกสังคมตั้งคำถามขึ้นมากับบุคคลผู้ดำรงตำแหน่งองคมนตรี แล้วมีทรัพย์สิน ไม่ว่าจะเป็น

กรณีการบุกรุกป่าเขายายเที่ยง กรณีสนามกอล์ฟเขาสอยดาว หรือแม้กระทั่งกรณีการรับเงินเดือน รับค่าที่ปรึกษาทั้งทางตรงและทางอ้อม ซึ่ง ณ วันนี้สังคมเกิดคำถามคาใจขึ้นมาอย่างมาก เพราะแม้ว่าจะไม่มีกฎหมายหรือข้อห้ามใดๆ ว่า บุคคลที่เป็นองคมนตรีจะคบหา หรือสนิทสนมกับนักธุรกิจหรือพ่อค้าวานิชต่างๆ รวมทั้งไม่ได้มีการห้ามไม่ให้เป็นที่ปรึกษากับบริษัทธุรกิจหรือสถาบันการเงินแต่อย่างใดทั้งสิ้น แปลง่ายๆ ว่าถึงแม้จะเป็นองคมนตรีหากไม่คิดอะไร ก็สามารถที่

จะรับเป็นที่ปรึกษาให้กับภาคธุรกิจได้ รวมทั้งรับค่าที่ปรึกษาในรูปแบบต่างๆ ได้ แต่ก็เช่นเดียวกันบรรดารายได้ต่างๆ นั้น ในทางกฎหมายกรมสรรพากรต้องถือว่าเป็นรายได้บุคคลธรรมดา ซึ่งคนไทยทุกคนหากมีรายได้จะต้องเสียภาษีไม่เว้นแม้แต่องคมนตรี เพราะไม่มีกฎหมายสรรพากร หรือกฎหมายข้อใดที่ยกเว้นว่าองคมนตรีไม่ต้องจ่ายภาษี ประเด็นเหล่านี้แหละที่ก่อให้เกิดข้อครหาตามมามากมายว่า เงินรายได้ปีละหลายสิบล้านบาทที่เป็นค่าที่ปรึกษา ซึ่งมีคนบางคนใน

กลุ่มอมาตยาธิปไตยหรือมีองคมนตรีบางคนที่น่าจะได้รับค่าที่ปรึกษา...ได้มีการเสียภาษีรายได้กันบ้างหรือไม่???ซึ่งแน่นอนว่าองคมนตรีส่วนใหญ่ ซึ่งเป็นบุคคลที่ได้รับการยอมรับและยกย่องจากสังคมมิได้เข้าไปมีส่วนเกี่ยวพันกับเงินรายได้และค่าที่ปรึกษาใดๆ เลย รวมทั้งไม่ได้มีการยุ่งเกี่ยวกับการบุกรุกพื้นที่ป่า กับการมีทรัพย์สินอันไม่เป็นที่เปิดเผย ย่อมไม่กระทบกระเทือนใดๆคำถามจึงมีอยู่ว่าสมควรที่จะต้องมีระบบการตรวจสอบทรัพย์สินอย่างทั่วถึง โดยไม่มีข้อยก

เว้นในสังคมไทยได้แล้วหรือยังโดยเฉพาะอย่างยิ่งบรรดาคนที่สังคมรับรู้ว่าไม่เคยมีอาชีพอื่นใดเลย ไม่เคยทำธุรกิจใดๆ เลยนอกจากรับราชการมาชั่วชีวิต แต่กับแจ้งว่ามีทรัพย์สินกว่า 100 ล้านบาท ถ้าต้องการให้สังคมยอมรับว่าไม่มี 2 มาตรฐาน ไม่มีการอยู่เหนือกฎหมาย บรรดาองค์กรอิสระและกลไกต่างๆ ในสังคมจะต้องมีการตรวจสอบทรัพย์สินของบรรดาผู้มีอำนาจทั้งหลายอย่างแท้จริงกันเสียที

ที่มา:บางกอกทูเดย์
******************************************************************

** ศาลาโกหก **

พรรคการเมืองใหม่ พรรคการเมืองของพันธมิตรเสื้อเหลืองมีชื่อย่อว่า ก.ม.ม. เป็นพรรคที่ผู้เขียนมีโอกาสเขียนถึงน้อยมาก
ทั้งที่หัวหน้าพรรคของเขาก็ออกจะใหญ่โต

บังเอิญระยะเวลาที่สังคมกำลังพูดถึงเรื่องการยึดทรัพย์หรือไม่ยึดทรัพย์ของ พ.ต.ท.ทักษิณอยู่นี้ พรรคการเมืองใหม่มีการเคลื่อนไหว
แสดงความคิดเห็นเหมือนกัน

นายสำราญ รอดเพชร โฆษกพรรคการเมืองใหม่ ได้ออกมาแถลงเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า สิ่งที่น่าห่วงสำหรับกรณีของการยึดหรือไม่ยึดทรัพย์
ก็คือเกมใต้ดินที่มีแนวโน้มจะมากยิ่งขึ้น เพื่อต้องการให้เกิดความรุนแรงจนเป็นชนวนให้เกิดการเปลี่ยนแปลง

ทั้งนี้ ขณะนี้มีเสียงร่ำลือว่ามีความพยายามจะติดสินบนขององค์คณะผู้พิพากษาคดียึดทรัพย์รายละ 1,000 ล้านบาท
เพื่อตัดสินไปตามแนวทางที่ พ.ต.ท.ทักษิณจะได้รับประโยชน์

แต่นั่นแหละครับ นายสำราญ รอดเพชร พูดไปแล้วก็หาทางถอยให้แก่ตัวเองว่า ข้อสังเกตที่ว่ามานี้ไม่มีหลักฐานอะไรยืนยัน
เป็นแต่เพียงกระแสข่าวพูดกันเท่านั้น

ผู้เขียนฟังคำแถลงของโฆษกพรรคการเมืองใหม่แล้วก็ร้องได้คำเดียวว่าไม่มีอะไรใหม่ มันเป็นเพียงการเมืองเก่า และเป็นการเมืองน้ำเน่า
ชนิดที่เน่าเสียตั้งแต่ยังไม่ส่งคนลงสมัคร ส.ส. สักหนเดียว

ว่าตามจริงขณะนี้มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันมากจริงเรื่องการยึดหรือไม่ยึดทรัพย์ เพราะมันเป็นประเด็นการเมืองที่สำคัญ
เป็นทอล์ค ออฟ เดอะ ทาวน์ เรื่องหนึ่ง

แต่ที่ได้ยินเขาพูดกันนั้นส่วนใหญ่เป็นเรื่องเกี่ยวกับข้อเท็จจริงในตัวทรัพย์ 7.6 หมื่นล้าน ซึ่งเป็นราคาหุ้นที่ขายได้มา กับมีการพูดถึง
เหตุผลว่าจะยึดได้หรือไม่ได้ ซึ่งเป็นประเด็นข้อกฎหมาย

ฝ่ายที่มีใจเทไปข้าง พ.ต.ท.ทักษิณก็บอกว่า จะยึดทรัพย์เขาต้องพิสูจน์ให้ชัดเสียก่อนว่าทุจริตเรื่องอะไร เป็นเงินเท่าใด

ถ้าพิสูจน์ไม่ได้ หรือได้ก็ไม่ชัด จะไปยึดของเขายังไง

อีกพวกหนึ่งบอกว่าเงิน 7.6 หมื่นล้านเป็นค่าขายหุ้นชินคอร์ป รู้ๆกันอยู่ทั้งบ้านทั้งเมือง เงินก้อนนี้ไม่เคยไปคลุกเคล้าปะปนกับเงินก้อนอื่นๆ
แล้วบอกว่าเขาโกงมันฟังไม่ขึ้น

เรื่องเหล่านี้เถียงกันบนโต๊ะกาแฟเป็นที่สนุกสนาน ผู้เขียนเองร่วมวงกับเขาเหมือนกัน แต่มักจะขีดวงตัวเองให้พูดแต่ประเด็นที่ว่า
คตส. ไม่ใช่องค์กรในกระบวนการยุติธรรม-ธรรมดา จึงไม่มีอำนาจเสนอยึดทรัพย์

อีกประเด็นหนึ่งขณะนี้ คมช. ซึ่งเป็นเผด็จการได้สลายตัวไปแล้ว บ้านเมืองเป็นประชาธิปไตยแล้ว ศาลยังเดินตามเผด็จการเห็นจะเป็นไปไม่ได้

ที่ว่ามานี้แตกต่างกับความเห็นของโฆษกพรรคการเมืองใหม่ที่ออกมาเสนอข่าวลือเป็นทำนองตีปลาหน้าไซ หวังให้องค์คณะผู้พิพากษา
หวั่นไหว จะให้ตัดสินยึดทรัพย์ตามความประสงค์ของพวกพันธมิตรฯ

ปัญหามีอยู่ว่าพรรคการเมืองที่อวดว่าเป็นการเมืองใหม่ เป็นการเมืองสะอาด การเมืองคุณธรรม ไม่มีสติปัญญาจะพูดกับเขาด้วยเรื่อง
ข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายดอกหรือ จึงหยิบเอาคำเล่าลือมาเสนอเพื่อสรุปเอาประโยชน์

หรือเห็นว่าแนวทางนี้เป็นหนทางแห่งความสำเร็จ

เช่นเดียวกับที่นายเทพไท เสนพงศ์ กับคณะประชาธิปัตย์เคยเสนอเรื่องเงินนอกไหลเข้ามือคนเสื้อแดงเมื่อเร็วๆนี้ เพื่อนำมาป่วนเมือง
ก่อนจะจบลงด้วยความหน้าแตกเป็นริ้วๆ

นายสำราญกับนายเทพไทเป็นคนจังหวัดนครศรีธรรมราชด้วยกัน ชอบเล่นการเมืองด้วยวาทะอย่างเดียวกัน และชอบปั้นน้ำเป็นตัวด้วยกัน
ปลายทางก็คงจะบรรลุความสำเร็จด้วยเหมือนกัน

เป็นดาวเด่นแห่งศาลาโกหกหน้าเมืองนครด้วยกัน


โดย.อัคนี คคนัมพร
**********************************************************************

หัวและหาง..

ที่ประชุม “ดีเอสไอ” ที่มี “แม่นมอมทุกข์” เป็นประธาน รับลูกทันทีหลัง “กระบอกเสียงเหลือง” ออกมาพูดชี้นำว่ามีเสียงร่ำลือว่า
มีความพยายามจะติดสินบนองค์คณะผู้พิพากษาคดียึดทรัพย์ “โดเรแม้ว” คนละ 1,000 ล้านบาท เพื่อให้ตัดสินไปในแนวทาง
ได้ประโยชน์กับ “โดเรแม้ว”

แทนที่ “แม่นมอมทุกข์” จะสั่งให้ดำเนินการกับ “ผู้ออกมาให้ข่าว” ที่เหมือนดูหมิ่นศักดิ์ศรีองค์คณะตุลาการ เหมือนเป็นการบิดเบือน
และโฆษณาชวนเชื่อให้เกิดความวุ่นวายปั่นป่วน

ขณะที่ “โฆษกศาลยุติธรรม” ออกมาปฏิเสธและตอบโต้กลับว่าไม่มีมูลความจริง ซึ่งที่ผ่านมาการพิจารณาพิพากษาคดีของศาลฎีกา
แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองทุกคดีไม่มีเคยมีเรื่องการเสนอสินบนใดๆ

การระบุเรื่องสินบนจึงเหมือนการปล่อยข่าวเพื่อหวังผลให้เกิดความระแวงสงสัยในการพิพากษาคดี แต่ศาลจะไม่แสดงว่าร้อนตัว
จนต้องสั่งห้ามการออกมาแสดงความคิดเห็นต่างๆ แต่หากเป็นการหมิ่นเหม่กระทบต่อการพิพากษาคดีหรือองค์คณะต้องดำเนินการ
ตามกฎหมายต่อไป

“ดีเอสไอ” จึงต้องดำเนินการกับผู้ออกมาให้ข่าวโดยเร็ว เพราะคดีของ “โดเรแม้ว” ไม่ใช่แค่ “เด็กไม่มีเส้น” และ “ก๊วนเพื่อนแม้ว”
จะมองว่าเป็นการต่อสู้ระหว่าง “เผด็จการ” กับ “ประชาธิปไตย”

ไม่ใช่เรื่องของการพิพากษาคดีซึ่งเป็น “ปลายเหตุ” ของปัญหา!

เหมือนที่นานาชาติวิพากษ์วิจารณ์ “หล่อหลักลอย” ว่าดำเนินการสีเหลืองกับสีแดง 2 มาตรฐานอย่างชัดเจน

โดยเฉพาะพวกที่ตะแบงว่าใช้มาตรฐานเดียวกัน เพียงแต่ “ช้า” หรือ “เร็ว” น่าจะถามตัวเองเหมือนกันว่า “กินข้าว” หรือ “กินหญ้า”?

เหมือนที่ “สะตอแคระ” ประกาศเพิ่มความเข้มข้นสื่อ “หอยสีม่วง” และเครือข่ายทั่วประเทศที่อ้างว่าหากไม่ชี้แจงกระบวนการยุติธรรม
ของประเทศอาจจะเกิดปัญหานั้นเป็นการชี้นำและกดดันกระบวนการตุลาการหรือไม่

ทั้งที่ “เทพอุนจิ” กับ “ดร.ตุ๊ด” หน้าแตกเพราะถูกจับได้ว่าโกหกตอแหล แต่ “หล่อหลักลอย” ยังปล่อยให้ออกมาตะแบงรายวัน

บ้านเมืองจะกลียุค หรือกระบวนการยุติธรรมจะถูกทำลายหรือไม่จึงไม่ใช่ “ตุลาการ” แต่เป็นพวกที่ออกมาตะแบงหรือบิดเบือน
เพื่อชี้นำให้เป็นไปตามที่ “กูและพวกกู” ต้องการ ซึ่งไม่ต่างกับ “ไม้ล้างป่าช้า” ที่ “คนมีสี” ตะแบงว่ายังเป็น “ไม้วิเศษ” เอาไปชี้เป็นชี้ตาย
ชีวิตประชาชน

บ้านเมืองป่นปี้ทุกวันนี้เพราะ “หัว” ก็กระดิก “หาง” ก็ส่ายพร้อมกันโดยไม่ต้องนัดหมาย


โดย.นายหัวดี

**********************************************************************

เพิ่งตื่นสอบ258ล. รับทำมาผิดทาง โวมี.ค.เสร็จ-รู้ผล ซัดDSIโยนขี้มาให้!


"ปธ.กกต." แย้มมี.ค.รู้ผลคดี 258 ล้าน ยุบปชป.ยุติหรือไม่
ข้องใจ "ดีเอสไอ" สำนวนเสร็จเป็นปียังไม่ถึงศาล โยนขี้มาให้กกต.รับทำต่อ


วันที่ 22 ก.พ.2553 ที่โรงแรมรามาการ์เดนส์ ถนนวิภาวดีรังสิต กรุงเทพฯ

นายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธานกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมือง
กล่าวถึง ความคืบหน้ากรณีสำนวนเงิน 258 ล้านบาท และเงินกองทุนเพื่อการพัฒนาพรรคการเมืองจำนวน 29 ล้านบาท
ที่พรรคประชาธิปัตย์ถูกกล่าวว่าหาว่า มีการใช้จ่ายเงินผิดวัตถุประสงค์และอาจเข้าข่ายขัดพ.ร.บ.พรรคการเมือง ว่า

ขณะนี้คณะทำงานก็ทำหน้าที่กันอย่างหนัก ซึ่งประชุมกันหลายครั้ง ส่วนตนก็ได้อ่านสำนวนทั้ง 7,000 หน้าแล้ว
ทั้งนี้ตนตั้งใจจะทำให้เสร็จภายในเดือนมี.ค.นี้

“การพิจารณาของเราไม่ได้อยู่นิ่ง คณะทำงานก็ประชุมกันอาทิตย์ละ 2 ครั้ง ผมรู้สึกพอใจการทำงานของคณะทำงานมาก
เพราะรู้ว่าเขาทำงานกันอย่างเต็มที่ ส่วนการวินิจฉัยของ กกต.ก็ไม่ได้ดูกระแสการเมือง แต่ทำในสิ่งที่ถูกต้องและดีที่สุด
เพราะเรื่องนี้ผมตั้งใจไว้ว่า เมื่อออกมาสู่สายตาประชาชน จะต้องออกมาเหมือนคำพิพากษาของศาล ถูกต้องด้วยเหตุผล
และความจริง ให้คนได้เห็นชัดไปเลย ” นายอภิชาต กล่าว

นายอภิชาต กล่าวว่า อย่างไรก็ตาม การที่คณะทำงานที่นายทะเบียนจัดตั้งขึ้นเชิญฝ่ายกฎหมายของพรรคประชาธิปัตย์มาชี้แจงนั้น
ตนเห็นว่าก็เป็นการให้โอกาสเขามาข้อเท็จจริง ยืนยันว่าการพิจารณาไม่ได้ล่าช้า เพราะต้องยอมรับว่าการดำเนินการที่ผ่านมา
ผิดทางไปหน่อย หากมาที่นายทะเบียนพรรคการเมืองแต่แรก เรื่องก็คงไม่ล่าช้าขนาดนี้ แต่สำนวนที่ฝ่ายสืบสวนได้สอบสวน
ทำมาก็ถือว่าได้ประโยชน์


ผู้สื่อข่าวถามว่า หากนายทะเบียนยกคำร้องจะต้องขอความเห็นชอบจากที่ประชุม กกต.อีกหรือไม่

นายอภิชาต กล่าวว่า ถ้านายทะเบียนยกคำร้องก็ถือว่ายุติเรื่อง เพราะก่อนหน้าก็มีเสียงจาก กกต.ท่านอื่นที่ตีความทางกฎหมายต่างกัน
แต่ขณะนี้เป็นในทางเดียวกันแล้ว ดังนั้น หากนายทะเบียนมีความเห็นให้ยุบพรรคก็จะต้องผ่านความเห็นชอบจากที่ประชุม กกต.หากจะยุบพรรค


เมื่อถามว่า ส่วนคณะทำงานจะให้น้ำหนักประเด็นเงิน 258 ล้าน กับเงินกองทุนจำนวน 29 ล้านบาทต่างกันหรือไม่

นายอภิชาต กล่าวว่า ไม่ได้เจาะจงให้น้ำหนักชุดไหน แต่สั่งให้ทำเต็มที่ เพราะเรื่องเงินกองทุนเป็นเรื่องเก่า เกิดก่อนที่พวกตน
มารับตำแหน่งเป็น กกต. โดยเรื่องนี้ก็ผ่านกระบวนการตรวจสอบทางบัญชีถูกต้อง พร้อมทั้งมีการใช้เงินอย่างถูกต้องทุกอย่าง
ซึ่ง กกต.ชุดนี้ได้รับรองไปแล้ว ทั้งนี้ หากมีการโต้แย้งว่าเงินจำนวนดังกล่าวใช้โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ตนก็จะให้คณะทำงาน
ตรวจสอบไปให้ลึกกว่าเดิม


ผู้สื่อข่าวถามว่า การตรวจสอบเรื่องเป็นเพราะดีเอสไอต้องการโยนภาระมาให้ กกต. เนื่องจากเป็นประเด็นทางการเมือง
จึงไม่อยากเข้าไปเกี่ยวข้องหรือไม่

นายอภิชาต กล่าวว่า คุณก็ดูแล้วกันว่า เรื่องนี้ทำไมทำเสร็จแล้วเป็นปี แต่เรื่องยังไม่ส่งศาล เพราะฉะนั้นเราต้องค้นหาข้อมูลให้ชัดเจน
ว่าเรื่องดังกล่าวเป็นการยักยอกทรัพย์ของบริษัทหรือไม่ ถ้าเป็นกรณียักยอกทรัพย์ คนที่นำเงินที่ได้รับจากคนที่ยักยอกทรัพย์
ก็ถือว่าเข้าข่ายรับของโจร ซึ่งเรื่องนี้ต้องมีข้อเท็จจริงที่ชัดเจนถึงจะส่งศาลได้เรื่องก็จะจบ ซึ่ง กกต.เป็นส่วนปลายทางแล้ว
จริงๆเรื่องต้องยุติก่อนที่จะมาถึงเรา แต่ไปๆมาๆดูเหมือนว่าปลายเหตุจะยุติก่อนต้นเหตุด้วยซ้ำ

“หากให้เราทำก็ต้องให้เวลาเราพอสมควร เพราะที่หน่วยงานอื่นโยนมาให้เราเป็นกองใหญ่ก็ต้องมานั่งหาข้อเท็จจริงให้ชัดเจนก่อน
ที่ยังมีความขัดกันระหว่างดีเอสไอกับกกต. เรื่องสำนวนที่แม้ดีเอสไอจะบอกว่าสำนวนสมบูรณ์ครบถ้วน แต่ กกต.ห็นว่ายังไม่เรียบร้อย
เมื่อเราดูแล้วยังเห็นว่าตรงไหนไม่ครบถ้วนก็จะชี้แจงให้สังคมรับทราบ” นายอภิชาต กล่าว


ผู้สื่อข่าวถามว่า มีความกดดันหรือไม่ที่กลุ่มการเมืองออกมากดดันประธานกกต.ในช่วงนี้

นายอภิชาต กล่าวว่า "นั่นเป็นความต้องการของหลายฝ่าย แต่ตนก็ต้องออกในแบบที่ตนต้องการด้วย คือให้ถูกต้องเป็นธรรมที่สุด
เพราะมีส่วนได้เสียกันสองฝ่าย ผมไม่ได้คำนึงถึงความถูกใจของใคร แต่ผมก็ทำหน้าที่เหมือนผู้พิพากษาที่จะต้องชี้ให้ชัดเจนให้ได้
ข้อเท็จจริงที่ชัดเจนถึงจะชี้ได้ และจะมัวแต่นั่งกลัวทำไม่ถูกใจใครนั้น ผมก็ไม่คิดว่าจะเป็นอย่างนั้นผมจะทำให้ดีที่สุด"



ที่มา:konthaiuk
******************************************************************************

“ความสูญเสียอย่างมหาศาล”


เหลืออีก 3 วันจะถึง “วันแห่งความระทึก” ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองจะอ่านคำตัดสิน คดียึดทรัพย์
7.6 หมื่นล้าน ของ ครอบครัว พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร คนไทยทั้งประเทศจะได้ประจักษ์เสียทีว่า...ประเทศนี้เป็นของใคร
ความยุติธรรมมีหรือไม่ …

- แม้ ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล จะมองว่า...เป็นแค่วันธรรมดาวันหนึ่ง แม้ ทักษิณ ชินวัตร จะมองว่าเป็นวันธรรมดาเช่นกัน...แต่แปลก
จู่ๆ คนที่หายหน้าหายตาไปนานจากหน้าข่าวอย่าง “เสธ.อ้าย” พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ กลับจินตนาการอย่างไร้สาระ...หาเหตุผล
รองรับไม่ได้ว่า เป้าหมายคนเสื้อแดงอยู่สูงกว่า พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ เลิกเสียทีเถอะ การอ้างสถาบันมาทำลายกันทางการเมือง
บ้านเมืองวันนี้พินาศยังไม่พออีกหรือเสธ. …

-ใครๆ ก็รู้กันทั้งโลกว่า มีประเทศไทยประเทศเดียวที่ “คนไม่ชนะเลือกตั้ง” อย่าง อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้เป็นนายกรัฐมนตรี...
นั่นเป็นเพราะการอุ้มของหลายฝ่ายที่ต้องแลกกับ “ความสูญเสียอย่างมหาศาล” ของประเทศ สูญเสีย รัฐธรรมนูญฉบับประชาชน
สูญเสียประชาธิปไตย สูญเสียรัฐบาลที่ประชาชนส่วนใหญ่เลือกมากับมือ หลายรัฐบาล สูญเสีย นักการเมืองดีๆ หลายคน
สูญเสียเศรษฐกิจ จากการปิดสนามบินหลายแห่ง ที่สำคัญคนในประเทศจำนวนมาก สูญเสียความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรม…

-แล้วมันชอบธรรมมั๊ยครับ “เสธ.อ้าย” ที่ ทักษิณ ชินวัตร และ คนเสื้อแดง ต้องต่อสู้เพื่อให้ได้ ความยุติธรรม และ ประชาธิปไตย
กลับคืนมา…

-เป็นธรรมดาที่ “รัฐบาลซ่อนรูป” รัฐบาลนี้ต้องดิ้นรนต่อสู้ทุกวิถีทางเพื่อ “คงอำนาจ” ไว้ให้นานที่สุด...และแน่นอนกลยุทธ์เก่าๆ
ช่วงเมษาเลือดจะถูกนำกลับมาใช้อีก อย่างแนบเนียน ด้วยการกล่าวหาว่า...กลุ่มเสื้อแดง ก่อความรุนแรงแล้วลงมือปราบปรามประชาชน
อย่างเลือดเย็น ไม่อย่างนั้นคงไม่มีการเตรียมความพร้อม “ฝึกซ้อมตำรวจทหาร” ไว้รับมือ แต่อย่างเพิ่งลำพอง ตำรวจทหารที่ท่าน
ฝึกซ้อมอยู่ พวกเขาทำตามหน้าที่ แต่จิตใจเขาอยู่กับใคร ท่านน่าจะรู้!…

-เชื่อเถอะ หาข่าวตามประสาเพชรฉกรรจ์ 26 กุมภาฯ จะไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่หลังจากนั้นไม่แน่...ประวัติศาสตร์ชาติจะต้องบันทึก
การประท้วงบนถนนของ ผู้คนเรือนล้าน ในเมืองหลวงของประเทศนี้ ก็ในเมื่อผู้คนนับล้านแสดงออกอย่างสงบสันติ
รัฐบาลนี้ยังจะหน้าด้านอยู่ก็ให้มันรู้ไปว่า “ไม่มียาง”…

-แต่ถ้าคนที่มีการศึกษาดีอย่าง อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ตรองสักนิดว่า...ตัวเองยังจะพอมี อนาคตทางการเมือง สามารถเอาชนะ
การเลือกตั้งได้โดยไม่ต้องมีอำนาจนอกระบบอุ้ม ลาออก หรือ ยุบสภาเถอะ ให้ประชาชนเขาตัดสินกันใหม่ ไม่ต้องให้ใครมาอุ้ม
ไล่ทหารกลับเข้ากรมกองซะ …

-แต่ถ้ายังดื้อ คิดยื้ออำนาจต่อไป...นอกจากอนาคตตัวเองจะลำบากแล้ว คิดถึงพ่อแม่ลูกเมียบ้างก็ดี จะอยู่ในสังคมนี้อย่างไร
ไม่มีใครชนะประชาชนได้หรอก เชื่อเถอะ! อย่าเชื่อคนถือหางเลยว่ากองทัพของท่านจะเอาชนะประชาชนได้ ยิ่งถ้าประเทศนี้
แหลกคามือท่านด้วยแล้ว ผมนึกไม่ออกจริงๆ ว่า ท่านและครอบครัวจะอยู่อย่างไร เตือนเพราะหวังดีจริงๆ …



โดย.เพชรฉกรรจ์
**************************************************************************

** ก่อนและหลัง 26 กุมภา **

ภาพของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ก่อนปฏิวัติ 19 กันยายน 2549 คือ ภาพของผู้ร้ายที่ทำลายเสถียรภาพ
ทางการเมืองของระบอบประชาธิปไตยที่ใช้อำนาจนายกรัฐมนตรีเข้าไปแทรกแซง องค์กรอิสระ

ในขณะที่ภาพของ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ คือ ภาพขององคมนตรี ภาพของคนดีที่ยังไม่มีตำหนิ รอยแผลแห่งความด่างพร้อย

ภาพของ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน คือ ภาพของผู้ชายในระบอบประชาธิปไตย ที่ปล้นเอาประชาธิปไตยจากประเทศไทยและคนไทย
แต่ในทางตรงกันข้ามกัน ภาพของ พล.อ.สนธิ บุณยรัตกลิน คือ ภาพแห่งความชื่นชมของกองทัพที่ออกมาจัดการปัญหา

ความแตกแยกของคนไทยที่คาดเดาว่า จะเกิดความรุนแรงหลังจากนั้นทั้งหมด คือ ภาพก่อน 19 กันยายน 2549
ก่อนมีการปฏิวัติครั้งสุดท้ายในประเทศไทย และเป็นการปฏิวัติที่ไม่อยากให้เกิดขึ้นอีก ของคนไทย หรือแม้กระทั่งกองทัพ
แต่ก็หมิ่นเหม่ต่อการจะเกิด ยั่วยุให้เกิด จะด้วยเหตุใด จากความคิดของใครก็ตาม

วันนี้ภาพของ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ กลายเป็นภาพต่างกับก่อนปฏิวัติกลายเป็น องคมนตรีบุกรุกป่าสงวน จนต้องยอมรื้อบ้านที่
เขายายเที่ยง ภาพของคนคนเดียวกันจึงเปลี่ยนไป

ในขณะที่ภาพของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร วันนี้ กลายเป็นภาพของผู้เรียกร้อง ประชาธิปไตย เป็นภาพของการเรียกร้อง สมบัติคืน
จากการถูกยึดทรัพย์ อ้างว่า การดำเนินการเป็นสองมาตรฐาน

แต่ 26 กุมภาพันธ์นี้ ศาลอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองจะพิพากษาคดี 7.6 หมื่นล้านบาท ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร

วันนั้นจะสร้างความเป็นมาตรฐานเดียวกันได้ ด้วยความจริง ของข้อกฎหมายไม่ใช่ความรู้สึกของคนที่อยู่คนละข้าง

ความท้าทายอยู่ที่ คำตัดสินและอยู่ที่เหตุผลของข้อกฎหมาย

สำคัญที่สุด คือความเชื่อของคนทั้งหลายว่า บริสุทธิ์และยุติธรรมศาลต้องพิสูจน์ตัวเอง



โดย.มด คันไฟ
***************************************************************************