--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันอังคารที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

ตกหน้าผาจำนำข้าว !!

รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ตกหน้าผาจำนำข้าว สุดท้ายแค่ซื้อเวลาลากยาว กู้เงินผิดรัฐธรรมนูญ-ข่าวล่องหน

การประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 21 ม.ค.ที่ผ่านมา เห็นชอบแผนการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ประจำปีงบประมาณปี 2557 ครั้งที่ 1 ถือเป็นวิธีการพยายามกู้เงินของกระทรวงการคลัง เพื่อใช้ในโครงการรับจำนำข้าวในฤดูผลิตนาปี 2556/57

จากข้อมูลตั้งแต่เริ่มโครงการวันที่ 1 ต.ค. 2556 ถึงวันที่ 30 ม.ค. 2557 มีข้าวเข้าโครงการทั้งสิ้น 178,681.55 ล้านบาท ขณะที่ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ (ธ.ก.ส.) จ่ายเงินไปแล้ว 56,132.96 ล้านบาท

ครม.เห็นชอบแผนปรับปรุงโครงสร้างหนี้ในช่วงค่ำของวันเดียวกับที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ไม่พิจารณาการขอกู้เงินของรัฐบาลเพื่อใช้ในโครงการรับจำนำ ที่รัฐบาลติดค้างชำระใบประทวนชาวนาทั่วประเทศกว่าแสนล้านบาท

การปรับปรุงโครงสร้างหนี้ในครั้งนี้ได้ปรับเปลี่ยน"แผนก่อหนี้" ด้วยการ"ยกเลิก" แผนกู้เงินในโครงการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่ง 2 ล้านล้านบาท ที่เดิมมีแผนจะกู้เงินในปี 2557 ประมาณ 1.2 แสนล้านบาทออก เนื่องจากพ.ร.บ. 2 ล้านล้านบาทอยู่ในขั้นตอนการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ และแผนการก่อหนี้ใหม่ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ที่ให้ปรับลดวงเงินกู้ประมาณ 1.3 หมื่นล้านบาท

จากนั้น เพิ่มรายการ"ใหม่" จำนวน 2 รายการ รวมเงิน 143,244 ล้านบาท ได้แก่ 1.เงินกู้เพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินโครงการที่มีวัตถุประสงค์ในการแก้ปัญหาราคาผลผลิตทางการเกษตรตามนโยบายรัฐบาล 13,244 ล้านบาท และ 2.เงินกู้เพื่อเป็นทุนหมุนเวียนในการดำเนินโครงการรับจำนำข้าวเปลือก (นาปี) ปีการผลิต 2556/57 จำนวน 130,000 ล้านบาท

นั่นคือ เงินกู้ที่จะนำมาใช้ในโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาล

แต่เนื่องจากรัฐบาลยุบสภา ทำให้มีปัญหาว่าไม่สามารถดำเนินโครงการหรือนโยบายใดที่ผูกพันไปยังรัฐบาลต่อไปได้ ซึ่งจุด"ตาย"ของนโยบายนี้ เนื่องจากขาดสภาพคล่องอย่าง"รุนแรง" หากไม่ได้เงินกู้ เพราะกระทรวงพาณิชย์ไม่สามารถระบายข้าว เพื่อนำเงินมาใช้เป็นทุนหมุนเวียนได้

หากฟังความเห็นของสำนักงานกฤษฎีกาในการประชุมครม.วันนั้น ก็จะรู้ว่าการกู้เงินเพื่อใช้ในโครงการนี้ไม่สามารถทำได้ตั้งแต่ต้น

สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาให้ความเห็นว่า หากการที่คณะรัฐมนตรีจะพิจารณาอนุมัติให้กระทรวงการคลังมีอำนาจดำเนินการดังกล่าวนั้น เป็นไปตามกรอบวงเงินของแผนการบริหารหนี้สาธารณะที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติไว้แล้ว และการพิจารณาอนุมัติดังกล่าวจะไม่มีผลเป็นการอนุมัติงานหรือโครงการ หรือสร้างความผูกพันต่อคณะรัฐมนตรีชุดต่อไป คณะรัฐมนตรีก็ย่อมพิจารณาอนุมัติให้กระทรวงการคลังดำเนินการตามที่เสนอได้

แต่ทางกระทรวงการคลังเห็นว่าความเห็นกฤษฎีกายังไม่ชัดเจนว่าทำได้หรือไม่ จึงเสนอให้ตีความอีกครั้งว่าทำได้หรือไม่ ในวันที่ 23 ม.ค.

นายชูเกียรติ รัตนชัยชาญ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ตอบกลับว่าสามารถดำเนินการได้ เพราะไม่ใช่โครงการใหม่

แต่ประเด็นปัญหาก็เกิดขึ้น เมื่อมีการตีความว่าความเห็นของกฤษฎีกาในวันเสนอครม.เมื่อวันที่ 21 ม.ค.นั้น เป็นการประชุมในรูปแบบของคณะกรรมการกฤษฎีกา ส่วนความเห็นเมื่อวันที่ 23 ม.ค.นั้น เป็นความเห็นของนายชูเกียรติ รัตนชัยชาญ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา

ความสับสนจึงเกิดขึ้น เพราะกระทรวงการคลังได้สั่งให้สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) ทำแผนกู้เงินจากตลาดเงินงวดแรก 20,000 ล้านบาท จากนั้นกู้เงินในทุกสัปดาห์ แต่ความเห็นขอบสบน.ระบุว่าอาจสุ่มเสี่ยงผิดรัฐธรรมนูญ

ปรากฏว่าการประกาศเชิญชวนให้สถาบันการเงินมาปล่อยเงินกู้ในครั้ง มีเพียงสถาบันการเงินต่างชาติเพียงรายเดียว โดยเสนอดอกเบี้ยสูงลิ่วถึง 18% ส่วนสถาบันการเงินอื่นไม่ยื่นข้อเสนอเพื่อประมูลปล่อยกู้ในครั้งนี้

นักการธนาคารหลายคนระบุตรงกันว่าไม่มีความชัดเจนในเรื่องข้อกฎหมาย ดังนั้นจึงไม่ต้องการรับความเสี่ยงที่เกิดขึ้น หากมีการตีความว่าการกู้เงินในครั้งผิดรัฐธรรมนูญ

เจ้าหน้าที่จากกระทรวงการคลัง ยอมรับว่าสถาบันการเงินผู้ปล่อยกู้ไม่มั่นใจว่าจะสามารถกู้ได้โดยไม่ขัดรัฐธรรมนูญ เนื่องจากเป็นความเห็นของเลขาธิการเท่านั้น ไม่ใช่ความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกา และความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกาก็ไม่ใช่ความเห็นในลักษณะขององค์กร อย่างไรก็ตามในที่สุดแล้ว การที่จะระบุว่า ขัดหรือไม่ขัดรัฐธรรมนูญ จะต้องขึ้นอยู่กับศาลรัฐธรรมนูญ

ในเมื่อกระทรวงการคลังไม่สามารถกู้เงินในตลาดเงินได้ จึงพยายามหาช่องทางต่างๆ เพื่อหาเงินมาใช้ในโครงการ เพราะยิ่งปล่อยเวลาให้ผ่านไปนานเท่าไร ความเดือดร้อนของชาวนาที่ยังไม่ได้รับเงินจากโครงการนี้ก็เพิ่มมากขึ้น เพราะรัฐบาลติดค้างชาวนามานาน บางพื้นที่ค้างจ่ายมานานถึง 6 เดือน

ดังนั้น จึงมีความเคลื่อนไหวพยายามหาแหล่งเงิน ไม่ว่าจะร้องขอธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ (ธ.ก.ส.) ให้ยอมปล่อยสภาพคล่อง แต่ก็ถูกต่อต้านจากสหภาพแรงงาน รวมทั้งมีข่าว ว่าจะขอให้ธนาคารออมสินมาปล่อยกู้ แต่ก็ต้องเผชิญกับแรงต่อต้านเช่นเดียวกัน แม้แต่ธนาคารกรุงไทย

แต่เมื่อถูกต่อต้าน ก็มีข่าวว่ารัฐบาลพยายามหาทางกู้แหล่งเงินที่มีสภาพคล่องสูง อย่างกองทุนประกันสังคม กองทุนบำเหน็จบำนาญราชการ (กบข.) ซึ่งล่าสุดได้รับการปฏิเสธเช่นเดียวกัน

เจ้าหน้าที่รายเดียวกัน กล่าวอีกว่า แผนการหาเงินด้วยการกู้เพื่อนำมาใช้จ่ายในโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาลในขณะนี้ เรียกได้ว่า "แทบเป็นไปไม่ได้" เนื่องจาก ติดปัญหาว่าอาจจะขัดรัฐธรรมนูญ มาตรา 181 (3) และ (4) ที่ห้ามรัฐบาลรักษาการ ทำงานหรือโครงการที่มีผลผูกพันรัฐบาลชุดต่อไป และ ห้ามใช้ทรัพยากรของรัฐ หรือบุคลากรของรัฐ ที่ทำให้มีผลต่อการเลือกตั้ง ทำให้ข้าราชการประจำที่ทำหน้าที่ดังกล่าวไม่กล้าที่จะเสนอแผนการกู้เงิน

เจ้าหน้าที่ที่ทำเรื่องเสนอเงินกู้ หรือ แม้แต่ทางรัฐมนตรีคลังนั้น ก็ทราบกันดีว่า การกู้เงินดังกล่าวจะขัดต่อรัฐธรรมนูญ แต่ก็ยังทำเรื่องเสนอเงินกู้ และเมื่อเสนอแล้ว ก็พบว่า มีแบงก์แห่งเดียวที่เสนออัตราดอกเบี้ยเข้ามาร่วมประมูล ขณะนี้ทางเจ้าหน้าที่ก็ไม่ต้องการทำเรื่องกู้เงิน เพราะกังวลว่า จะต้องเข้าไปเกี่ยวข้องกับการกระทำที่ผิดกฎหมาย

เจ้าหน้าที่รายนี้ กล่าวอีกว่า ข่าวที่ออกมาว่ากระทรวงการคลังเตรียมไปกู้เงินจากแหล่งต่างๆนั้น ถือว่า เป็นข่าวที่ปล่อยออกมาเพื่อให้ดูว่า รัฐบาลกำลังหาเงิน เพื่อมาจ่ายให้ชาวนา แต่แท้จริงแล้ว รัฐบาลกำลังซื้อเวลา เพราะไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้

ดังนั้น แนวทางเดียวที่จะแก้ไขปัญหา คือ การเร่งระบายข้าว

แต่การระบายข้าวก็อาจสร้างปัญหาตามมาอีก เพราะหากรัฐบาล"เปิดโกดัง"เพื่อขายข้าวให้แก่ผู้ส่งออก ก็อาจพบได้ว่ามีข้าวสารในบางโกดังหายไป และข้าวเสื่อมสภาพ อาจถูกกดราคาหรือไม่มีใครสนใจประมูล

ปัญหาโครงการนี้สะท้อนได้จากผลการปิดบัญชีโครงการรับจำนำข้าวเปลือกของรัฐบาล เพราะผ่านเข้าสู่ฤดูผลิตปีที่ 3 แล้ว แต่ยังไม่มีการปิดบัญชี

ก่อนหน้านี้ คณะอนุกรรมการปิดบัญชีที่มีน.ส.สุภา ปิยะจิตติ รองปลัดกระทรวงการคลัง เป็นประธาน มีบัญชีใน 3 ฤดูกาลผลิต นับตั้งแต่ฤดูการผลิต 2554/55 โดยตัวเลขสินค้าคงเหลือในสต็อกของรัฐบาล ณ เดือน พ.ค. 2556 มีข้าวสารในสต็อกรวม 13 ล้านตัน

ในปีที่แล้ว ที่รัฐบาลได้ประกาศตรวจสอบสต็อกข้าวของรัฐบาลพร้อมกันทั้งประเทศ ซึ่งก่อนตรวจสอบทางองค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อ.ต.ก.) และ องค์การคลังสินค้า (อคส.)ได้แจ้งว่ายังมีข้าวสารที่ยังไม่ลงบัญชีอีก 2.98 ล้านตัน

ดังนั้น เมื่อมีการตรวจนับปริมาณข้าวในสต็อกปริมาณข้าวที่นับได้จะต้องมีมากกว่าที่บันทึกไว้ในบัญชี 2.98 ล้านตัน แต่ในทางตรงกันข้าม หลังจากตรวจสอบทั่วประเทศในครั้งนั้น กลับพบว่า มีปริมาณข้าว ต่ำกว่าที่ระบุไว้ในบัญชี 1.5 ล้านตัน

เมื่อรวมปริมาณข้าว ที่ระบุว่าไม่ได้ลงบัญชี แต่กลับหาไม่พบ 2.98 ล้านตัน กับตัวเลขข้าวที่มีอยู่ต่ำกว่าที่ระบุไว้ในบัญชี 1.5 ล้านตัน เท่ากับว่า มีปริมาณข้าวหายไปจากสต็อกประมาณ 4.5 ล้านตัน ซึ่งจนถึงบัดนี้ ก็ยังไม่มีการชี้แจง หรือ สืบสวนหาข้อเท็จจริงในกรณีนี้

ถือเป็นภาวะ กลืนไม่เข้า คลายไม่ออก ของรัฐบาล แต่ที่ทำได้ขณะนี้คือการซื้อเวลาออกไปให้ยาวนานที่สุด

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
-----------------------------------

กิตติรัตน์ : ยันชาวนาได้เงินจำนำข้าวแน่ ย้ำธนาคารพร้อมปล่อยกู้ !!?

นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง ปฏิบัติหน้าที่รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง ให้สัมภาษณ์ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) ถึงเรื่องการจ่ายเงินในโครงงการรับจำนำข้าวให้กับชาวนาว่า การจัดหาเงินมาจ่ายให้กับชาวนา ตอนนี้ไม่จำเป็นต้องมีมติครม.อีก เพราะเป็นเรื่องที่กระทรวงการคลังกำลังดำเนินการ แต่มีความล่าช้าเพราะขั้นตอนในเรื่องดังกล่าวประสบปัญหาหลังมีการยุบสภาผู้แทนราษฎรและมีความไม่เรียบร้อยทางการเมือง ซึ่งกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณถูกปิดที่ทำการมานานเกือบเดือน ทำให้กระบวนการจัดการประชุมแผนบริหารหนี้สาธารณะ รวมถึงเมื่อมีการยุบสภาฯทำให้มีขั้นตอนเพิ่มเติมที่รัฐบาลต้องดำเนินกการอย่างรอบคอบให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 181 ซึ่งรัฐบาลได้หารือกับคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) รวมถึงขอความเห็นจากสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา อีกทั้งยังดำเนินการร่วมกับสถาบันการเงินต่างๆ เพื่อให้ความตั้งใจที่ดีของสถาบันการเงินที่อยากช่วยเกษตรกรในการให้เงินกู้กับโครงการดังกล่าวเป็นไปตามกฎหมาย

 “ผมขอเวลาอีกระยะหนึ่งในการทำตามขั้นตอนของกฎหมายมีความเรียบร้อย ลงตัว และเมื่อการดำเนินการตรงนี้มีความเข้าใจกันดีแล้ว เกษตรกรจะได้รับเงินในเวลาที่ไม่นานนัก”  นายกิตติรัตน์ กล่าว พร้อมยืนยัน  ใบประทวนที่ชาวนาได้นำไปจำนำไว้กับองค์การคลังสินค้า(อคส.) หรือองค์การตลาดเพื่อเกษตรกร(อ.ต.ก.) ถือเป็นสิทธิ์ที่ชาวนาผู้จำนำจะได้รับเงินเต็มจำนวนใบประทวน จึงขอให้ทุกคนสบายใจได้ นอกจากนี้มีสถาบันการเงินหลายแห่งซึ่งมีภาคเอกชนรวมอยู่ด้วย ได้ประสานงานเข้ามาบ้าง ประสงค์ที่จะปล่อยสินเชื่อให้กับชาวนาที่ถือใบประทวนซึ่งถือเป็นเรื่องที่ดีในระหว่างที่รัฐบาลกำลังใช้เวลาดำเนินการ เพราะแม้รัฐบาลจะเริมจ่ายเงินจำนำข้าวให้ได้ แต่คงมีชาวนาบางส่วนที่ต้องรอเงินอีกระยะหนึ่ง ขณะนี้ชาวนาที่นำข้าวมาจำนำเมื่อเดือน ต.ค.-พ.ย.2556 กำลังจะได้รับเงิน ต่อด้วยชาวนาที่นำข้าวมาจำนำในเดือน ธ.ค.2556- ม.ค.2557 ซึ่งขอเวลาจัดความลงตัวเพื่อให้สถาบันการเงินต่างๆ มีความเข้าใจและมั่นใจในเรื่องการปล่อยกู้

 เมื่อถามว่ารัฐบาลสามารถดำเนินการตามขั้นตอนและระยะเวลาที่ชัดเจนตามที่ชาวนาเรียกร้องได้หรือไม่ นายกิตติรัตน์ กล่าวว่า คงสามารถดำเนินการได้ แต่ต้องทำด้วยความระมัดระวัง เพราะไม่ต้องการกลายเป็นประเด็นการสัญญาว่าจะให้ แต่ยืนยันว่ารัฐบาลดำเนินการอยู่ในอีกไม่กี่วัน ก็จะสามารถจ่ายเงินได้เพิ่มขึ้นให้กับชาวนาในกลุ่มแรกๆ

 “ขอยืนยันว่าผู้ที่ถือใบประทวนจะได้รับเงินอย่างแน่นอน เพราะเป็นโครงการที่ได้รับอนุมัติก่อนมีการยุบสภา และมีความชัดเจนว่าการดำเนินโครงการนี้เป็นไปอย่างถูกต้อง” รองนายกรัฐมนตรี กล่าว

 เมื่อถามว่าการเจรจาระหว่างรัฐบาลและชาวนาเมื่อวันที่ 10 ก.พ. ที่ผ่านมา ล้มเหลว และชาวนาไม่พอใจต่อความไม่ชัดเจนของรัฐบาลในการจ่ายเงินในโครงการรับจำนำข้าว จากนี้ต่อไปรัฐบาลจะส่งคนไปเจรจากับทนายความกับกลุ่มชาวนาอีกครั้งหรือไม่ นายกิตติรัตน์ กลาวว่า ยืนยันว่ารัฐบาลไม่หยุดจ่ายเงินแต่ยังจ่ายอยู่เรื่อยๆ ด้วยการนำเงินจากแหล่งเงินต่างๆ และการระบายข้าว รวมถึงวงเงินเดิมที่จัดเอาไว้ เพียงแต่อาจไม่รวดเร็วทันใจตามที่เกษตรกรต้องการ และขอชี้แจงว่ารัฐบาลไม่เข้าไปก้าวก่ายกระบวนการของธนาคาร แต่มีธนาคารพาณิชย์หลายแห่งที่เตรียมจัดวงเงินกู้ระยะชั่วคราวให้กับชาวนาที่มีใบประทวนมาขอกู้เงิน

เมื่อถามว่ารัฐบาลจะให้ความมั่นใจกับธนาคารต่างๆ อย่างไร เพื่อให้ยอมปล่อยกู้ระยะสุดท้าย นายกิตติรัตน์ กล่าวว่า เคยมีการหารือกันว่าอาจขัดรัฐธรรมนูญ มาตรา 111 หรือไม่ ซึ่งกระบวนการตรงนี้ได้เข้าสู่การพิจารณาของ กกต.แล้ว โดยกกต.มีความเห็นว่าไม่ขัดข้องอะไร แต่ก็มีประเด็นหนึ่งให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาไปให้ความเห็นที่ชัดเจนแล้วส่วนราชการต่างๆ อาทิ สำนักบริหารหนี้สาธารณะ สำนักงบประมาณ เป็นต้น ได้ประชุมหารือกันและมีมติว่ารัฐบาลเป็นผู้จัดงบประมาณในการดูแลโครงการนี้ได้ในอนาคต จึงถือว่ามีความชัดเจนแล้ว ในส่วนของสถาบันการเงินแม้จะมีความตั้งใจที่อยากช่วยเหลือชาวนา แต่ดูเหมือนมีความไม่เรียบร้อยในการค้านหรือทักท้วง แต่เชื่อว่า สถาบันการเงินอยากช่วยชาวนาเพราะรู้ดีว่า ถ้าชาวนาได้รับเงินจะทำให้เศรษฐกิจไม่หยุดชะงักซึ่งจะส่งผลดีต่อธนาคารเหล่านั้นด้วย แต่การที่สถาบันการเงินไม่กล้าปล่อยเงินกู้ให้รัฐบาลเพราะเกรงว่าจะถูกปิดหรือถูกขัดขวางถึงมีความสงสัยในโครงการรับจำนำข้าว

 เมื่อถามว่า  รัฐบาลยืนยันได้หรือไม่ว่ามีเงินเพียงพอที่จะมาใช้หนี้ชาวนาได้ นายกิตติรัตน์ กล่าวยืนยันว่า เงินของรัฐบาลที่เป็นไปตามระบบงบประมาณเงินคงคลังถือว่าเรามีเงินคงคลังในระดับที่สูงมาก สูงกว่าช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ได้มอบหมายให้นายอาคม เติมพิทยาไพสิษฐ์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สศช.) มาชี้แจงอีกครั้ง ส่วนโครงการรับจำนำข้าวเป็นเรื่องของบัญชีแยกและการจัดหาเงินด้วยวิธีการกู้เงินมาเพื่อจ่ายค่าจำนำข้าวในช่วงต้นฤดูกาลเราก็ได้นำข้าวไปขายเพื่อให้มีสภาพคล่องกลับคืนมา ซึ่งดำเนินการกันตามขั้นตอนปกติและทำมาแล้ว 4 ฤดูกาลเพาะปลูก โดยไม่มีข้อติดขัดอะไร

 เมื่อถามว่าถ้ารัฐบาลมีแหล่งเงินกู้แล้ว นายกิตติรัตน์พร้อมลงนามขอกู้เงินเองในครั้งนี้ได้เลยใช่หรือไม่ นายกิตติรัตน์ กล่าวว่า เมื่อมีการตีความข้อกฎหมายอย่างชัดเจนแล้ว และผู้ที่ให้กู้เกิดความสบายใจแล้วกระทรวงการคลังก็มีหน้าที่ดำเนินการไปตามมติ ครม. อย่างไรก็ตาม ตนเชื่อว่าชาวนาส่วนใหญ่เข้าใจรัฐบาล และมีชาวนาหลายรายที่ได้รับเงินไปแล้ว รวมถึงชาวนาก็คงทราบความตั้งใจดีของรัฐบาลในการดูแลชาวนา ดังนั้นในเรื่องของเกมการเมืองก็อาจเกิดอะไรต่างๆ ขึ้นมาก็ได้ แต่ถ้าชาวนาคนใดที่ยังไม่ได้รับการชำระเงินจำนำข้าวก็มีกลไกระบบธนาคารที่ดูให้ชาวนามีสภาพคล่องในระดับตามสมควร

ที่มา.มติชนออนไลน์
------------------------------------------

วันจันทร์ที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

ดับทุกข์ชาวนา !!?

คอลัมน์ : บทบรรณาธิการ

ชาวนาประมาณ 1.4 ล้านคน ที่มีใบประทวนซึ่งไม่ได้รับเงินจากโครงการรับจำนำข้าวฤดูการผลิต 2556/2557 (นาปี) ย่อมต้องเดือดร้อนแน่นอน เพราะเข้าสู่เดือนที่ 5 แล้วนับตั้งแต่เดือนตุลาคม 2556 จนถึงกุมภาพันธ์ 2557 ไม่ว่าจะเพราะวิกฤตการเมืองหรือความล้มเหลวในการบริหารจัดการของรัฐบาลก็ตาม ทำให้ชาวนาทั้งแผ่นดินเป็นทุกข์

ชาวนาคนหนึ่งขึ้นเวทีคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.) ร่ำไห้และถามว่าทำไมรัฐบาลใจดำ แต่ก็มีคำถามว่าทำไมไม่ถาม กปปส. และเครือข่ายที่ดาวกระจายไปข่มขู่และปิดล้อมไม่ให้สถาบันการเงินต่างๆให้รัฐบาลกู้เงินช่วยเหลือชาวนาว่าทำไมใจดำเช่นนั้น คงต้องให้ชาวนาทั้งประเทศเป็นคนตอบเอง

รัฐบาลพรรคเพื่อไทยเองก็ไม่อาจปฏิเสธความรับผิดชอบได้เช่นกัน แม้รัฐบาลมีความตั้งใจจริงที่จะทำให้ราคาข้าวสูงขึ้น ชาวนามีรายได้และชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น แต่การจัดการและภาวะเศรษฐกิจกลับไม่เอื้ออำนวยจนเกิดผลกระทบต่องบประมาณ โดยเฉพาะการทุตริตที่ถูก กปปส. และกลุ่มต่างๆนำมาโจมตีในขณะนี้ ซึ่งนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รักษาการรองนายกรัฐมนตรีและรักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ยืนยันว่าการทุจริตในโครงการรับจำนำข้าวไม่มีแน่นอน ทั้งที่ข้อเท็จจริงในโครงการรับจำนำข้าวและประกันราคาข้าวล้วนมีการทุจริตทั้งสิ้น แต่รัฐบาลจะทำอย่างไรให้การทุจริตเป็นไปได้น้อยที่สุดเท่านั้น

ประเด็นที่ว่าควรใช้นโยบายโครงการรับจำนำข้าวหรือการประกันราคาข้าวนั้น ต้องไม่ให้เงื่อนไขทางการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง และต้องให้สังคมยอมรับว่าการช่วยเหลือชาวนาให้มีรายได้พอจะทำให้คุณภาพชีวิตดีขึ้น โดยรัฐต้องเข้าไปช่วยเหลือซึ่งจะกระทบต่องบประมาณจำนวนหนึ่ง เพราะข้าวและพืชผลการเกษตรอยู่ภายใต้กลไกตลาดที่ชาวนาและเกษตรกรถูกเอารัดเอาเปรียบมาตลอด

ขณะที่ชาวนาไทยมีประมาณ 20 ล้านคน แม้ปัจจุบันกระบวนการผลิตจะเปลี่ยนไป แต่ต้นทุนต่างๆกลับสูงขึ้น ซึ่งชาวนาส่วนใหญ่ไม่ได้คำนึงถึงเรื่องต้นทุนมากหรือน้อย หากยังมีกำไร ซึ่งโครงการรับจำนำข้าวทำให้ชาวนารู้ว่าเมื่อหักต้นทุน ค่าความชื้นและความไม่ได้มาตรฐานต่างๆแล้วจะเหลือเงินตันละเท่าไร จากการสำรวจพบว่าชาวนาที่เข้าร่วมโครงการรับจำนำข้าวจะมีรายได้ที่สูงกว่าชาวนาที่ไม่เข้าร่วมโครงการค่อนข้างมาก คือกำไรต่อไร่ต่างกันเกือบ 3 เท่า

โครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาลจึงทำให้ชาวนามีรายได้มากขึ้น และเมื่อเปรียบเทียบกับราคาตลาดยิ่งเห็นความแตกต่าง ทั้งยังเป็นการกระจายรายได้ให้ชาวนา 20 ล้านบาท ปีละ 400,000-500,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นเงินที่เข้าถึงคนรากหญ้าอย่างแท้จริง

ระบบเศรษฐกิจและการตลาดในปัจจุบันจึงไม่อาจปฏิเสธการช่วยเหลือชาวนาและผู้ทำอาชีพเกษตรกรได้ ไม่ว่ารัฐบาลใดจะเข้ามาบริหารต่างก็รู้ดี แต่ทำอย่างไรให้นโยบายเกิดประโยชน์สูงสุดและมีปัญหาการทุจริตน้อยที่สุด ไม่ใช่เอาทุกข์ของชาวนามาเป็นเครื่องมือทางการเมืองอย่างในขณะนี้

ที่มา.นสพ.โลกวันนี้
-----------------------------------

เส้นทางค้าข้าว ปูดเงินสูญหาย 1.15 แสนล้าน.

เปิดเส้นทางรัฐขายข้าวในสต็อกให้บริษัทนายหน้า เครือข่ายการเมือง ราคาถูกกว่าตลาดถึง 50 % ปริมาณ 12.75 ล้านตัน ขาดทุน 1.15 แสนล้าน

สัมภาษณ์นายวิชัย ศรีประเสริฐ นายกกิตติมศักดิ์สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย หลังเข้าให้ปากคำต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ปปช.) เกี่ยวกับโครงการจำนำข้าวโดยเฉพาะในขั้นตอนการระบายสต็อกและผลเสียหายจากโครงการ

นายวิชัย กล่าวว่า ปปช.ได้เรียกไปให้ถ้อยคำ การดำเนินการโครงการจำนำข้าวของรัฐบาลรอบ 2 ปีที่ผ่านมา ซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายอย่างมหาศาล โดยการส่งออกของไทยช่วง 2 ปีที่ผ่านมาเสียแชมป์ไปให้กับอินเดียและเวียดนาม โดยยอดส่งออกลดลง 35%ในปี 2555 มูลค่าที่ได้ก็ลดลง 25% ขณะที่ปี 2556 ปริมาณการขายข้าวก็ลดลงอีก2 % ขณะที่มูลค่าลดลง 6 % โดยช่วง 2 ปีที่ผ่านมาปริมาณลดลง 37 %มูลค่าลดลงรวม 31% เงินเข้าประเทศลดลงและยังมีข้าวค้างสต็อกอีกรวมปี 2556/57 เข้าไปเป็นปริมาณ 20 ล้านตัน

รัฐบาลใช้เงินไปกับการจำนำข้าว 7.8 แสนล้านบาท จ่ายเงินคืนจากการขายข้าวให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ (ธ.ก.ส.) วงเงิน 1.4 แสนล้านบาท หมายความว่าเงินทุก 100 บาทที่รัฐบาลจ่ายไปนั้นได้รับเงินกลับคืนมา 18 บาท

"วิชัย"ชี้2ปมใหญ่ทำเงินหาย

เขากล่าวว่า เม็ดเงินที่หายไปเกิดจาก1.การคอร์รัปชัน 2.ไปตั้งราคาสูงกว่าตลาดเกิน 50% ทั้ง 2 ประเด็นทำให้รัฐบาลเงินหายไปประมาณ 2 ใน 3

"ผมคำนวณดูต้นทุนการจำนำข้าวต้นทุนต่อกิโลกรัมใกล้ๆ 30 บาทหรือ 29 บาทเศษ พ่อค้าส่งออกขายไปต่างประเทศราคาตลาดเฉลี่ย 20-21 บาทต่อกิโลกรัม แต่รัฐบาลกลับนำข้าวออกขายให้กับบริษัทนายหน้าหรือหน้าม้าของตัวเองเฉลี่ย 10-11 บาทต่อกิโลกรัม เกิดส่วนต่างที่ไปเข้ากระเป๋ากระบวนการพวกนี้กว่าแสนล้านบาท เมื่อคิดรวมๆทั้งหมดจากวิธีการเช่นนี้ตัวเลขกลมๆทุนกิโลกรัมละ 30 ได้เงินคืนมากิโลกรัมละ 10 บาท ทั้งหมดแล้วเงินที่เสียหายเฉียด 5 แสนล้าน จากเงินเกือบ 8 แสนล้านที่จ่ายไป"

นายวิชัย กล่าวว่า 2 ปีที่ผ่านมาส่งออกได้ปีละ7 ล้านตัน แต่ปีที่ผ่านมาส่งออกได้ประมาณ 6.6 ล้านตัน ดังนั้นข้าวที่เหลือในสต็อกอีก 20 ล้านตัน ไม่รู้ต้องใช้เวลาอีกกี่ปี หากส่งได้ปีละ 7 ล้านตัน คงต้องใช้เวลา 3 ปีถึงจะขายหมด

"ผมว่ามันรุนแรงมาก ทำกันจนกระทั่งเงินเข้าประเทศที่จะเอามาคืนโครงการรับจำนำก็คืนไม่ได้ เอาเงินไป 7-8 แสนล้าน คืนมาได้แค่ 1.4 แสนล้านบาทช่วง 2 ปีนี้ นั่นหมายถึงทุกๆ100 บาท เอามาคืนได้แค่ 18 บาท ถ้า Cash flow เป็นแบบนี้ มันทำต่อไม่ได้แน่นอน ชาวนาก็รอเงินค่าข้าวใบประทวนมาแล้วแต่ไม่ได้เงิน"นายวิชัย กล่าว

ตั้งราคาซื้อแพงต้นเหตุเสียแชมป์

นายวิชัย กล่าวว่าในอดีตเมื่อ 30 ปี เราเป็นแชมป์เพราะใช้วิธีกลไกตลาดค้าขาย เกษตรกรจะปลูกมากหรือน้อย สามารถขายให้หมดในราคาที่ดีที่สุดเท่าที่ให้ได้ แต่เวลานี้รัฐบาลมาต่อว่าพ่อค้า โดยเมื่อ 2 ปีที่แล้วบอกว่า พ่อค้า แข่งราคากัน ตัดราคากันจนทำให้เกษตรกรยากจนได้ราคาไม่ดี

"ผมบอกว่าถ้าราคาไม่ดี เกษตรกรไม่ปลูกมากหรอกช่วง 30 ปี ที่เราเป็นแชมป์โลก เขาก็พออยู่ได้ เราก็พออยู่ได้ กลไกตลาดมันบังคับ ให้พ่อค้าคนกลางอย่างผม เอาใจผู้ปลูกก็ไม่ได้ เอาใจผู้ซื้อก็ไม่ได้ ต้องเป็นคนกลางจริงๆเพื่อให้ 2 ฝ่ายอยู่กันได้ เราก็ทำสำเร็จ เวลานี้มีปัญหาเพราะเกษตรกรปลูกข้าว และเริ่มไม่ได้ตังค์ เพราะตั้งราคาสูงเกินไป"

ดังนั้นวิธีแก้ก็ต้องกลับไปที่กลไกตลาดง่ายที่สุด และต้องกลับไปให้เร็วที่สุดเพื่อที่จะให้สมดุล เพราะราคาเป็นเรื่องหลักในกลไกตลาดทั่วโลก ถ้าตั้งราคาผิดเมื่อไหร่ มีเรื่องกรณี ของไทยมีการตั้งราคา ที่สูงกว่าตลาด 50%จึงขายได้น้อยลง เป็นเรื่องที่ผิดไม่ควรทำ กลไกตลาดไม่มีใครให้ตั้งราคาแบบ ซี้ซั้ว แต่รัฐบาลกล้าตั้ง ตั้งราคาเดียว 2 ปี มีที่ไหนราคาสินค้าเกษตรแบบนี้

โวยอ้างพ่อค้าคนกลางเอาเปรียบ

นายวิชัย กล่าวว่า กรณีที่รัฐบาลบอกว่าที่ผ่านมา พ่อค้าคนกลางเอาเปรียบชาวนาเลยต้องตั้งราคาแบบนี้ นายวิชัย มองว่านี่เป็นข้ออ้าง จริงๆ แล้วไม่ใช่ว่าพ่อค้าคนกลางเอาเปรียบ พ่อค้าคนกลางมีฐานะดีกว่าเกษตรกรส่วนใหญ่ เราได้กำไรน้อยมาก 1-2% ในการค้าข้าว แต่เราร่ำรวย เพราะแต่ละคนส่งข้าวเป็นแสนเป็นล้านตันไม่กี่คน ส่วนเกษตรกรได้กำไรมากว่าอยู่ที่ 50% หรือไม่ก็ 100% แต่เขายังจน เพราะเขามีข้าวไม่กี่ตันต่อราย พอคูณออกมาก็ได้เงินนิดเดียว จึงทำให้เกษตรกรร่ำรวยไม่ได้ ที่สำคัญเกษตรกรมีจำนวนมากมีที่นาจำกัด นั่นคือปัญหาหลัก แต่ประชาชนไม่เข้าใจ

ตั้งราคาสูงหลอกชาวนา

ส่วนรัฐบาลพอมาเล่นการเมืองก็หลอกประชาชน ว่าจะตั้งราคาให้สูงๆ แต่ไม่ยอมบอก ว่าตั้งราคายิ่งสูง ยิ่งขายไม่ได้ เพราะ 2 ปีที่ผ่านมา ราคาเราสูงเกินไปจึงขายลดลงไป 37% ไม่ใช่ตั้งราคาสูงแล้วขายได้ เงินเข้าประเทศก็น้อย แต่เกษตรกรไม่รู้เรื่องนี้ ถ้าเมื่อไหร่ เขารู้ว่าที่พ่อค้าให้ราคาเป็นราคาที่เหมาะสมที่สุดทำได้ทุกปี ตลอด 30 ปี ที่ทำมาจนเป็น แชมป์ เพราะราคาที่ตั้งมันยุติธรรมเหมาะสม ถึงได้ชนะ แต่พอรัฐบาลเข้ามาชก 2 ปีก็ไปแล้ว จนจ่ายเงินให้เกษตรไม่ได้ ถือเป็นบทเรียนชัดเจนว่า ราคายุุ่งไม่ได้ แต่ต้องช่วยเกษตรกรด้วยวิธีอื่น จุนเจือเรื่องรายได้

ปูดขบวนการหน้าม้าค้าข้าว

นายวิชัย ย้ำว่าปัญหาใหญ่ของวงจรจำนำข้าว มี 2 ประเด็น 1.ตั้งราคาผิด 2.มีการคดโกง เพราะรัฐบาลหลังจากหมอวรงค์ (นายแพทย์วรงค์ เดชกิจวิกรม) ออกมาเปิดเผยในสภา และนอกสภา ทำให้เห็นภาพชัดเจนว่ามีหน้าม้า ขบวนการซื้อข้าวจากรัฐบาลได้ราคาถูก และถูกกว่าตลาดมาก เป็นขบวนการที่เมื่อก่อนคิดไม่ออก จนกระทั่งหมอวรงค์ มาเปิดเผยว่าเสี่ยเปี๋ยง เป็นใคร โจ เป็นใคร ทุกคนเกี่ยวข้องกับการขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ(จีทูจี) ทั้งหมดนี้ไม่ใช่ของจริง แต่เป็นของปลอม แต่อ้างให้ประชาชนเห็นว่ารัฐบาลขายข้าว แต่ไม่รู้ว่าขายไปราคาเท่าไหร่ ส่วนตนรู้ว่าราคาเท่าไหร่ เพราะตนคำนวณได้อยู่ที่กิโลกรัมละ10 บาท

"ผมเลยจับ 2 เรื่องมาชนกัน เรื่องที่คุณหมอวรงค์ นำมาเปิดเผยว่ามันมีหน้าม้า ชื่อนั้นชื่อนี้ จีทูจี ใครตัวแทนใครผู้เกี่ยวข้องทั้งหมด ก็โยงใยอยู่เป็นกลุ่มเดียวกัน แล้วก็มาซื้อข้าวจากรัฐบาลได้ 10 ล้านตัน รัฐบาลขายข้าวทั้งหมดประมาณ 13 ล้านตันข้าวสาร ได้เงินคืนธ.ก.ส ประมาณ 1.4 แสนล้านบาท เฉลี่ยอยู่ที่กิโลกรัมละ 11 บาท แล้วพวกหน้าม้าเอามาขายต่อให้ผู้ส่งออกที่ต้องกราบกรานซื้อในราคา 20 บาทต่อกก. ทำภายใต้ 2 เรื่อง คือจีทูจี 10 ล้านตัน ทำข้าวถุงอีกไม่รู้เท่าไหร่ ขายกิโลกรัมละ 8 บาทกว่าบางกรณีข้าวกิโลละ 5 บาทกว่า มันไม่มีข้าวในตลาดที่ถูกแบบนี้ จะด้วยวิธีอะไร แต่มีหน้าม้า มาซื้อได้ ราคาถูก เงินก็รั่วไหล น่าจะเป็นแสนกว่าล้าน เฉพาะที่ขายแล้ว ที่เรายังไม่รู้อีกก็ยังคำนวณไม่ได้ " นายวิชัย ระบุ

อย่างไรก็ตาม หากนำสต็อกทั้งหมดประมาณ 26-27 ล้านตัน ถ้า 1 ตันหายไป 10 บาท เท่ากับ 2.7 แสนล้านบาท ที่หายไปมันเรื่องใหญ่มากที่ได้กำไรง่ายๆ พวกเราก็ไม่มีข้าวจะส่งออกต้องวิ่งไปกราบไหว้คนที่มีข้าวคือหน้าม้า เขาตั้งราคามา อยากได้กิโลกรัมเท่าไหร่ก็ต้องเอา เลยทำให้ยอดส่งออกลดลงเกือบ 40% เพราะราคาที่เขามาบังคับให้เราซื้อแพงเกินไปเลยเป็นปัญหา

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
-----------------------------------------

วันศุกร์ที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

วิเคราะห์ : เลือกตั้ง 2 ก.พ.57

โดย. วีรพงษ์ รามางกูร

เช้าวันอาทิตย์ที่ 2 กุมภาพันธ์ ตื่นแต่เช้าเพื่อเตรียมตัวไปหย่อนบัตรเลือกตั้ง ก่อนเข้านอนใจระทึกว่าจะมีการเลือกตั้งหรือไม่ เพราะแกนนำประชาธิปัตย์มากหน้าหลายตาจัดการชุมนุมปลุกกระแสให้มีการปฏิรูปก่อนการเลือกตั้ง ในขณะที่อีกฝ่ายหนึ่งรณรงค์ปฏิรูปหลังเลือกตั้ง หรือพร้อมๆ กับการเลือกตั้ง วาทกรรมปฏิรูปก่อนเลือกตั้งที่สื่อมวลชนก็ดี ผู้นำองค์กรต่างๆ ก็ดี นักวิชาการก็ดี หลงประเด็นพากันไปตามกระแส

ที่ใจระทึกก็เพราะว่า ถ้าเกิดไม่มีการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ ตามที่เครือข่ายคนชั้นสูงและประชาธิปัตย์ร่วมกันกระพือ ก็หมายความว่าจะต้องมีรัฐประหาร แล้วคณะรัฐประหารก็จะดำเนินการตามที่แกนนำม็อบผู้ชุมนุมเสนอ คือตั้งสภาประชาชนหรือสภาปฏิรูป แล้วก็ตั้งนายกรัฐมนตรี "คนกลาง" ซึ่งเป็น "คนดี" ซึ่งยังไม่ทราบว่าหน้าตาเป็นอย่างไร มาดำเนินการปฏิรูป ร่างรัฐธรรมนูญฉบับปฏิรูปขึ้นมาใหม่ การเรียกร้อง "ปฏิรูป" นั้นเกิดขึ้นทุกครั้งที่มีความวุ่นวายทางการเมือง แล้วเราก็ได้รัฐธรรมนูญฉบับปฏิรูปมาหลายฉบับแล้ว

นอกจากไม่แน่ใจว่าจะได้ไปเลือกตั้งแล้ว ยังระทึกใจว่าจะมีความรุนแรงอย่างที่กรรมการเลือกตั้งขู่ไว้หรือไม่ เพราะมีกรรมการเลือกตั้งคนหนึ่งเดินสายขู่ว่าจะต้องมีความรุนแรงถึงขั้นเลือดตกยางออกในหน่วยเลือกตั้ง ถ้าเกิดมีกรณีอย่างนั้นก็จะได้ไม่ไป เพราะอาจารย์ป๋วยเคยเขียนไว้ในหนังสือ "จากครรภ์มารดาถึงเชิงตะกอน" ว่า "ถ้าจะตายก็ขออย่าตายอย่างโง่ๆ เพราะความขัดแย้งทางการเมือง" ก่อนไปจึงเปิดโทรทัศน์ดูว่าไม่มีเหตุการณ์อะไรรุนแรงแล้วจึงขับรถออกจากบ้าน เพื่อจะไปหย่อนบัตรเลือกตั้ง

เมื่อไปถึงหน่วยเลือกตั้งที่ 13 เขตดินแดง ประมาณ 09.00 น. เห็นจักรยานยนต์รับจ้างจอดเรียงรายอยู่เต็มหน้าหน่วยเลือกตั้ง มีกระดานปิดใบสมัครรับเลือกตั้ง ปิดรูปผู้สมัครและบัญชีรายชื่อผู้มีสิทธิเลือกตั้ง แต่หน่วยเลือกตั้งปิด ไม่มีกรรมการประจำหน่วย ไม่มีเจ้าหน้าที่หน่วย ทีแรกคิดว่ามีการย้ายหน่วยเลือกตั้ง เพราะหน่วยเลือกตั้งตั้งอยู่ในที่ของเอกชน เมื่อถามผู้ขับขี่จักรยานยนต์รับจ้างจึงทราบว่าหน่วยเลือกตั้งทั้งหมดในเขตดินแดงไม่เปิดให้เข้าไปเลือกตั้ง เพราะไม่สามารถนำหีบบัตรเลือกตั้งและอุปกรณ์การเลือกตั้งออกมาจากเขตดินแดงได้

ทันทีที่ทราบว่าหน่วยเลือกตั้งปิด ไม่ให้เลือกตั้ง ความรู้สึกแรกก็คือรู้สึกว่าตนเองถูก "ปล้น" ความเป็นเจ้าของประเทศไปเสียแล้ว รู้สึกว่าเราเป็นเพียง "คนอาศัย" อยู่ในประเทศนี้ เหมือนๆ กับชาวต่างประเทศที่เข้ามารับจ้างทำงานที่บ้านหรือที่อื่นในประเทศนี้เท่านั้น ไม่ได้แคร์ว่าใครจะชนะหรือแพ้การเลือกตั้งเหมือนคราวก่อนๆ

สิทธิในการออกเสียงเลือกตั้งเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของพลเมืองทุกคน ที่มีสัญชาติไทย เมื่อมีอายุครบ 18 ปีบริบูรณ์ หากสิทธิอันนี้ถูก "ปล้น" เอาไป ก็เท่ากับปล้นความเป็นพลเมืองของเราไปด้วย เป็นการก่ออาชญากรรมทางการเมือง เท่าๆ กับการทำรัฐประหารโดยทหารเช่นเดียวกัน

เมื่อกลับมานั่งสงบสติอารมณ์อยู่ที่บ้าน เปิดโทรทัศน์ดูข่าวจึงทราบว่ามีหน่วยเลือกตั้งที่ประชาชนไม่สามารถเข้าไปเลือกตั้ง 10 เปอร์เซ็นต์ แต่อีก 90 เปอร์เซ็นต์ ทั้งที่คิดทั่วประเทศและในกรุงเทพฯ ยังสามารถเปิดให้ประชาชนเข้าไปลงคะแนนได้

เมื่อทราบว่ามีประชาชนในเขตดินแดงรวมตัวกันไปที่สำนักงานเขตดินแดง เพื่อขอพบผู้อำนวยการเขต จึงทราบว่าบัดนี้คนไทยทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัดต่างก็หวงแหนสิทธิในการมีส่วนร่วมในการปกครองประเทศ ไม่เหมือนสมัยที่เรามีประชาธิปไตยครึ่งใบที่คนกรุงเทพฯไม่ค่อยสนใจการเลือกตั้งนัก ไม่เหมือนกับคนต่างจังหวัดที่เขาสนใจการเลือกตั้งมานานแล้ว

ที่แปลกใจก็คือภาพของผู้นำเหล่าทัพทั้งหมดไม่ว่า ผบ.ทบ. ผบ.ทร. ผบ.ทอ. ผบ.สส. ทุกคนไปลงคะแนนเสียงเลือกตั้งอย่างเปิดเผยสง่างาม ไม่เกรงใจผู้ชุมนุมที่เขาชุมนุมเพื่อปูทางให้ทหารทำการปฏิวัติรัฐประหารเลย ที่แปลกใจก็เพราะคิดว่าแม่ทัพนายกองคงจะไม่ไปลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง ตามที่แกนนำการชุมนุมประกาศ

แต่ขณะเดียวกัน ผลการนับคะแนนอย่างไม่เป็นทางการในเขตทหาร เช่น เขตดุสิต บางเขน พญาไท ทหารระดับล่างกลับไปลงคะแนนเสียงให้พรรคเพื่อไทย ผลออกมาอย่างนี้ผู้บังคับบัญชาก็คงจะต้องเก็บเอาไปคิดเหมือนกัน หากจะทำรัฐประหารตามเสียงเรียกร้องของกลุ่มคนชั้นสูงในวงการต่างๆ ในกรุงเทพฯ

เสียดายอยู่อย่างหนึ่งก็คือ หน่วยเลือกตั้งที่หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์จะไม่ไปหย่อนบัตรเลือกตั้งไม่เปิด เพราะกรรมการเลือกตั้งประจำหน่วยมาไม่ครบ มิฉะนั้นก็จะได้เห็นคนได้รับรางวัลจาก ม.ล.มิ่งมงคล โสณกุล และได้ไปรับประทานอาหารกับเธอในภัตตาคารหรูที่สุดในเอเชีย ริมแม่น้ำเจ้าพระยา

ที่ผิดหวังรองลงมาจากกลุ่มผู้ชุมนุมที่จัดโดยแกนนำประชาธิปัตย์ ก็คงจะเป็นเครือข่ายผู้กุมอำนาจรัฐต่างๆ เช่น กกต. ศาลรัฐธรรมนูญ ศาลปกครอง และ ป.ป.ช. ที่พยายามสกัดกั้นพรรคเพื่อไทย พยายามขัดขวางการเลือกตั้ง ซึ่งเป็นสิ่งที่ประชาธิปัตย์เกลียดที่สุด แต่โทรทัศน์ก็ไม่ได้เสนอภาพประธานและตุลาการศาลต่างๆ เหล่านั้นไปหย่อนบัตรเลือกตั้งกับเขาหรือไม่ เลือกตั้งคราวหน้าสื่อมวลชนน่าจะติดตามแบบเดียวกับติดตามนักการเมือง ผู้นำทหาร เพราะบัดนี้ท่านเหล่านั้นล้วนมีบทบาททางการเมืองไม่น้อยเหมือนกัน

ต่อไปนี้ก็คงจะต้องปรึกษากันว่า จะโยนให้ศาลที่เกี่ยวข้องหรือองค์กรอิสระอื่นวินิจฉัยว่า การเลือกตั้งวันที่ 2 กุมภาพันธ์ เป็นโมฆะได้อย่างไร ซึ่งก็คงทำได้ไม่ยาก เพราะเรื่องที่ยากกว่านี้ ถูกวิพากษ์วิจารณ์มามากกว่านี้ก็ยังทำได้ แต่ขอให้เขียนคำวินิจฉัยให้มีเหตุผล ให้มีตรรกะดีกว่านิสิตนิติศาสตร์ปีที่ 1 เขียนคำตอบในการสอบหน่อยก็จะดี

ที่ฝ่ายสนับสนุนการเลือกตั้ง นิยมระบอบประชาธิปไตย เตรียมฝันหวานว่าจะมีการเลือกตั้งซ่อมอีก ในเขตและหน่วยที่มีปัญหา คงจะเป็นการฝันกลางวัน เมื่อประชาธิปัตย์ยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าการเลือกตั้งวันที่ 2 กุมภาเป็นโมฆะ ศาลรัฐธรรมนูญก็คงจะรับลูกวินิจฉัยว่า การเลือกตั้งวันที่ 2 กุมภาพันธ์ เป็นโมฆะอย่างไม่ต้องสงสัย รัฐบาลคงต้องออกพระราชกฤษฎีกากำหนดวันเลือกตั้งใหม่ คราวนี้ประชาธิปัตย์ ก็คงจะลงเลือกตั้ง และก็แพ้เลือกตั้งอีก และก็จะทำอย่างเดิมอีกคือต่อต้านการเลือกตั้งไปเรื่อยๆ

มีพรรคพวกหลายคนที่เป็นนักคิด พยายามหาคำตอบทุกทฤษฎีทางรัฐศาสตร์ที่สลับซับซ้อน แต่ก็มาฉุกคิดว่า บางทีสำหรับประเทศที่ยังอ่อนด้อยในการพัฒนาความคิดในทางการเมือง ที่ไม่ใช่เป็นรูปธรรมอย่างเรื่องเศรษฐกิจ เรื่องผังเมืองหรือเรื่องอื่นๆ สำหรับประเทศที่ความคิดทางการเมืองยังล้าหลังอยู่นี้ ความยึดถือในตัว "บุคคล" หรือ "บุคลาธิษฐาน" หรือที่ฝรั่งเขาเรียกว่า "personality cult" ยังมีความสำคัญยิ่งกว่าความรู้สึกเรื่องสิทธิ เสรีภาพ ภราดรภาพ ความเท่าเทียมกัน ซึ่งเป็นพื้นฐานของความคิดในเรื่องประชาธิปไตย

ประชาชนที่ถูกครอบงำด้วยความคิดในเรื่อง "บุคคล" ไม่ว่าด้วยกระแสของสังคม ด้วยการอบรมสั่งสอนหรือด้วยการโฆษณาชวนเชื่อ อย่างที่เราเห็นในประเทศค่ายสังคมนิยมคอมมิวนิสต์เมื่อไม่นานมานี้ ย่อมจะมีความรู้สึก "เกลียด" และรู้สึก "รัก" อย่างรุนแรง แต่เมื่อค่ายสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ล่มสลายไป ยังคงเหลือแต่เกาหลีเหนือและคิวบาเท่านั้นที่ยังใช้ระบบบูชาผู้นำหรือ "บุคลาธิษฐาน" อยู่ นอกนั้นก็เปลี่ยนมาเป็นระบอบประชาธิปไตยแบบหลายพรรคแล้ว จะคงเหลือก็แต่ประเทศจีน เวียดนาม คิวบา เกาหลีเหนือ และประเทศเล็กอื่นๆ ไม่กี่ประเทศ แต่ก็มีการปฏิรูป มีการปรับปรุงให้เกิดการแข่งขัน หรือระบอบประชาธิปไตยภายในพรรคทั้งนั้น "ลัทธิบุคลาธิษฐาน" ค่อยๆ ละลายหายไปกลายเป็นการยึดถือ "ระบอบ" แทน

ถ้ามองว่าขณะนี้ประเทศของเรากำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่าน ประชาชนแบ่งออกเป็น 2 ฝ่าย ฝ่ายหนึ่งเป็นฝ่ายอนุรักษนิยม คนชั้นกลางและคนชั้นสูงในเมือง ฝ่ายหนึ่งเป็นคนชั้นล่างในต่างจังหวัด ระยะเวลาของการเปลี่ยนผ่านคงจะไม่ยาวมากนัก สงครามกลางเมืองในประเทศอังกฤษใช้เวลา 8 ปี สหรัฐอเมริกากินเวลา 4 ปี ของเราคงจะไม่ถึงอย่างนั้น ขอเพียงอย่ามีความรุนแรงบาดเจ็บล้มตาย

เมื่อไปลงคะแนนเสียงที่หน่วยเลือกตั้งไม่ได้ และได้ยินว่าจะมีเลือกตั้งใหม่ในหน่วยเลือกตั้งที่ปิด ก็เข้าใจว่าอารมณ์ความเกลียดของผู้คนที่ยังยึดตัวบุคคลยังรุนแรงอยู่ ก็ไม่เป็นไร เมื่อเวลาผ่านไป ตัวบุคคลในองค์กรอิสระเช่นศาลรัฐธรรมนูญเปลี่ยนไป มีการเลือกตั้งบ่อยๆ เข้า วันหนึ่งสถานการณ์ก็คงจะเข้ารูปเข้ารอยเอง ไม่ต้องใจร้อนใช้ความรุนแรงให้เสียเลือดเสียเนื้อ

แม้แต่รัฐธรรมนูญ คมช.ฉบับปี 2550 ซึ่งเป็นรัฐธรรมนูญที่มีบทบัญญัติที่ไม่เป็นธรรมชาติอยู่หลายบทหลายตอน และต้องการการแก้ไขหรือยกร่างทั้งฉบับ วันหนึ่งการแก้ไขหรือการยกร่างทั้งฉบับก็คงจะเกิดขึ้น เมื่อเวลาอันเหมาะสมเกิดขึ้น กงล้อประวัติศาสตร์ย่อมหมุนไปข้างหน้าไม่หยุดหย่อน

ความสับสนทางความคิดที่เกิดขึ้นกับสังคมไทยในช่วงเปลี่ยนผ่าน ก็แสดงอาการของมันออกมาจากความวุ่นวาย เละเทะ ไม่มีกฎเกณฑ์ ไม่เคารพกฎหมายในวันเลือกตั้ง 2 กุมภาพันธ์ ต้องถือว่าเป็นของธรรมดา อย่าไปตื่นเต้น เมื่อเวลาผ่านไป 10-20 ปี แล้วหันกลับมาดูก็จะมีความรู้สึกอีกอย่างหนึ่ง

ให้เวลาเป็นตัวแก้ปัญหาทางอารมณ์ไป เมื่ออารมณ์ผ่อนคลายลง เหตุผลก็จะกลับเข้ามาแทนที่ สมกับคำว่า "น้ำเชี่ยวอย่าเรือขวาง"

กำลังรอฟังว่าเขาจะให้ไปเลือกตั้งใหม่วันไหน หรือศาลรัฐธรรมนูญจะประกาศให้การเลือกตั้ง 2 กุมภาพันธ์ 2557 เป็นโมฆะ หรือใครจะออกมาปฏิวัติ จะได้ปฏิบัติตัวให้ถูกในฐานะ "คนอาศัย" ของประเทศนี้

จะเอาอย่างไรก็บอกมา


ที่มา:มติชน
--------------------------------------------

ชี้ปฏิรูปต้อง ไม่ซ้ำรอยเดิม !!?

สถาบันอนาคตไทยศึกษาแนะปฏิรูปการเมืองต้องไม่ซ้ำรอยเดิม ต้องเสร็จ "เร็ว" เน้นผลลัพธ์-ปฏิบัติได้จริง 3 ปีผลาญงบ 1.3 พันล้าน แต่ไม่มีการปฏิบัติ

สถาบันอนาคตไทยศึกษาได้เปิดเผยถึงแนวทางในการปฏิรูปครั้งใหม่ในแต่ละครั้งที่บ้านเมืองเกิดความวุ่นวาย หรือเกิดความขัดแย้ง การปฏิรูปจะถูกหยิบยกขึ้นมาใช้เป็นกระบวนการในการหาทางออกให้กับประเทศครั้งแล้วครั้งเล่าถ้ามองย้อนกลับไปในอดีตที่ไม่ไกล ตั้งแต่ปี 2549 เป็นต้นมาได้มีการจัดตั้งคณะกรรมการเพื่อการ "ปฏิรูป" มาแล้วอย่างน้อย 3 คณะใหญ่ ยังไม่รวมถึงคณะกรรมการปฏิรูปคณะย่อย ๆ อีกหลายคณะ ซึ่งรวมถึงคณะกรรมการปฏิรูปประเทศ (คปร.) โดยมี นายอานันท์ ปันยารชุน เป็นประธานคณะกรรมการสมัชชาปฏิรูปประเทศ โดยมี ศ.นพ.ประเวศ วะสี เป็นประธาน คณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) โดยมี นายคณิต ณ นคร เป็นประธาน ซึ่งข้อเสนอที่ได้จากคณะกรรมการแต่ละชุดขึ้นไปอยู่บนหิ้ง ไม่ได้ถูกหยิบขึ้นมาสานต่อ

นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ประธานกรรมการบริหารสถาบันอนาคตไทยศึกษา กล่าวว่า ในวันนี้ประเด็นการปฏิรูปก็ถูกชูขึ้นมาเช่นเคยแต่ถ้าเรายังขืนเดินซ้ำรอยเดิม และเดินหน้าปฏิรูปด้วยกระบวนการเดิมๆ ทุกอย่างก็จะจบแบบเดิมอีก และท้ายที่สุดการปฏิรูปก็จะไม่เกิดขึ้นจริงที่ผ่านมา เราก็เคยมีคณะปฏิรูปมาแล้ว อย่างน้อยๆ ก็ 4 คณะในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ใช้งบประมาณไปเกือบ 1,300 ล้านบาท ผลิตข้อเสนอ 94 เรื่อง แต่ถ้าเราลองคิดดู มีซักกี่เรื่องที่ถูกนำไปปฏิบัติจริงๆ

จากการศึกษา พบว่าจากบทเรียนของกระบวนการปฏิรูปที่ผ่านๆมา แนวทางการปฏิรูปใหม่จะต้องมีคุณสมบัติดังนี้หนึ่งกระบวนการต้องเร็ว โดยเลือกปฏิรูปเรื่องสำคัญๆ เพียงไม่กี่เรื่องที่ผ่านมาเราคิดมาแล้วในหลายคณะกรรมการปฏิรูปแล้ว ครั้งนี้จึงไม่ควรต้องเริ่มจากศูนย์ เราสามารถต่อยอดจากข้อเสนอของคณะกรรมการปฏิรูปครั้งที่ผ่านๆ มา บวกกับสิ่งที่มีคนเสนออยู่ตอนนี้ สองต้องเป็นข้อเสนอที่มีตัวชี้วัดชัดเจน เน้นไปที่ผลลัพธ์ นำไปปฏิบัติได้ ตรวจสอบได้ และมีการกำหนดกรอบเวลาแน่นอน และสามต้องสร้างเป็น "ข้อตกลงร่วมกัน" ระหว่างรัฐบาลกับภาคส่วนอื่นๆ ของสังคม อย่างภาคประชาชน และภาคเอกชน เพื่อร่วมกันตรวจสอบ และสร้างแรงจูงใจให้นำไปปฏิบัติจริง

เพราะที่ผ่านมา เราพบว่าคณะกรรมการปฏิรูปบางคณะใช้เวลายาวนานถึง 3 ปี เพื่อให้ได้ข้อสรุปเรื่องที่ควรปฏิรูป บางคณะเสนอข้อเสนอรวมถึง 94 ข้อ ส่วนใหญ่ของข้อเสนอมักเสนอให้รัฐบาล "ส่งเสริม" หรือ "สนับสนุน" แต่ก็ไม่ได้บอกว่ารัฐบาลต้องส่งเสริมอย่างไรและยากที่จะบอกได้ว่ารัฐบาลทำเสร็จแล้วหรือไม่ และในที่สุดก็แทบไม่มีข้อเสนอใดเลยที่ถูกนำมาใช้ แม้จะมีบางเรื่องที่ทำจนเสร็จถึงขั้นที่มีการเสนอเป็นร่างพรบ.แล้วก็ตาม

ทางสถาบันฯ หวังว่ารายงานจะเป็นประโยชน์ต่อกระบวนการการพูดคุยเรื่องปฏิรูป และเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้การปฏิรูปต้องซ้ำรอยเดิม จึงต้องการที่จะเสนอกระบวนการปฏิรูปในรูปแบบใหม่ๆใน 2 เรื่องด้วยกันหนึ่งเพื่อให้กระบวนการปฏิรูปครั้งใหม่ดำเนินการได้เร็วขึ้น และไม่ต้องเริ่มจากศูนย์ทางสถาบันฯ จึงได้รวบรวมข้อเสนอที่มีอยู่ทั้งในปัจจุบัน อย่างข้อเสนอของ 7 องค์กรเอกชน องค์กรต่อต้านคอร์รัปชั่น รวมถึงสิ่งที่ได้จากคณะกรรมการปฏิรูปในครั้งก่อนหน้าจากคณะสมัชชาปฏิรูป และคปร. นำมากลั่นกรอง และสรรหาจุดร่วม/จุดเด่น เพื่อให้ได้ประเด็นสำคัญๆ ที่มีความจำเป็นต้องปฏิรูปโดยเร่งด่วน รวม 8 เรื่อง เช่น การต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่น โดยการเปิดเผยข้อมูล เพิ่มบทลงโทษ และเร่งดำเนินคดีคอร์รัปชั่น การสร้างกลไกตรวจสอบ ควบคุม ถ่วงดุลการใช้อำนาจรัฐให้เข้มแข็งขึ้น โดยการจัดตั้งสำนักงบประมาณของรัฐสภาการสร้างเพิ่มธรรมาภิบาลในการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการระดับสูง และการเพิ่มธรรมาภิบาลของการบริหารงานองค์กรอิสระ โดยการเผยแพร่รายงานประจำปี เป็นต้น

นอกจากนี้ ทางสถาบันฯ ก็ได้จัดทำ "ตัวอย่างข้อเสนอแนวทดลอง" ในเรื่องคอร์รัปชั่นเพื่อเป็นต้นแบบของข้อเสนอที่มีรายละเอียดที่จะสามารถนำไปปฏิบัติได้จริงมีตัวชี้วัดที่เน้นผลลัพธ์ซึ่งจะช่วยในการติดตามประเมินผล พร้อมทั้งมีกำหนดเวลาในการปฏิบัติชัดเจนว่าแต่ละเรื่องควรบรรลุเป้าหมายโดยใช้เวลาเท่าใดการปฏิรูปในรูปแบบนี้อาจจะไม่ใช่เรื่องไกลตัว เพราะเพื่อนบ้านของเราอย่างมาเลเซียเองก็มี "โครงการปฏิรูปภาครัฐ"ที่รัฐบาลมาเลเซียให้คำมั่นกับประชาชนไว้ และดำเนินการด้วยวิธีการเดียวกันนี้ คือมีการวางแผนปฏิบัติการโดยละเอียด มีการระบุตัวผู้รับผิดชอบในแต่ละแผนงาน และมีการประเมินผลความสำเร็จจากตัวชี้วัดที่มุ่งเน้นไปที่ผลลัพธ์เช่นกัน ที่สำคัญคือรัฐบาลมาเลเซียสามารถบรรลุตามเป้าหมายที่วางไว้ด้วย โดยเฉพาะเรื่องคอร์รัปชั่น จากที่เคยอยู่อันดับ 60 ในปี 2554 ก็ขยับขึ้นมาอยู่ที่อันดับ 53 ในปี 2556

"ทุกวันนี้คนไทยเอาแต่เถียงกันแต่เรื่องที่เห็นไม่ตรงกัน ทำให้เราลืมไปว่ามีอีกหลายเรื่องที่เราเห็นร่วมกันอยู่ จากที่ได้ทบทวนงานปฏิรูปทั้งของเก่าและของใหม่ ก็ได้เห็นว่ามีหลายเรื่องที่หลายฝ่ายก็เห็นตรงกันอยู่ อย่างเรื่องการแก้ปัญหาคอร์รัปชั่น และการใช้อำนาจรัฐในทางที่ไม่ควรถ้าจะปฏิรูปเราก็น่าจะเริ่มจากเรื่องที่เราเห็นตรงกันก่อนได้"นายเศรษฐพุฒิกล่าวปิดท้าย

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
//////////////////////////////////////////////

วันพฤหัสบดีที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

ข้าว กับ เลือกตั้ง !!?

โดย. วรศักดิ์ ประยูรศุข

การเลือกตั้ง 2 ก.พ.ผ่านไป แต่การเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ที่เป็นเป้าหมายของกลุ่มผู้เคลื่อนไหวยังไม่เกิดขึ้น

โดยเฉพาะคือ การให้นายกฯออกจากรักษาการ เพื่อเปิดทางให้กับนายกฯใหม่จาก "คนกลาง" และการปฏิรูปการเมือง

สถานการณ์ต่างๆ จึงจะยังไม่หมดเพียงเท่านี้

ยังต้องประลองกำลัง ทั้งในแนวรบของการใช้กำลังมวลชน แง่มุมกฎหมาย และการเจรจาต่อรอง

เหตุการณ์ที่หลักสี่ เมื่อวันที่ 1 ก.พ. ที่ยิงกันหูดับตับไหม้ หลังจากคนเสื้อแดงมากดดันให้พระพุทธะอิสระคืนบัตรเลือกตั้ง แล้วม็อบ กปปส.ที่ลาดพร้าวเคลื่อนพลมาช่วย

ยิงกันต่อหน้าต่อตา กระสุนวิ่งข้ามหัว กระจกป้อมคุมการจราจรของตำรวจแตกเพล้ง คนเจ็บนอนหงายแน่นิ่ง เอาตัวออกมาส่งโรงพยาบาลไม่ได้

เหตุการณ์ทั้งหมด เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตานักข่าว ช่างภาพ ทั้งไทยและเทศ รวมถึงประชาชน บันทึกไว้อย่างครบถ้วนด้วยกล้อง สมาร์ทโฟน และอุปกรณ์อื่น

ทั้งเสียง ภาพ กลายเป็นพยานหลักฐานชั้นดีของเจ้าหน้าที่

พอรู้ตัวบุคคล ก็ไม่ยากที่จะโยงไปถึงหน่วยงาน หรือคนอยู่เบื้องหลังที่ใหญ่กว่านั้น

ตำรวจรายงานว่า ที่วิ่งถือปืน สาธิตการใช้อาวุธด้วยความช่ำชอง เป็น "คนมีฝีมือ" ที่เห็นหน้าเห็นตาก็จำกันได้

ช่วยให้คำตอบที่ชัดขึ้นอีกระดับว่า ใครบ้างที่มีส่วนในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

น่าหวาดหวั่น ชวนสยองขวัญขนาดนั้น แต่ประชาชนก็ยังออกไปเลือกตั้ง ด้วยตัวเลขที่โต้แย้งได้ยาก ว่าประชาชนไม่เอาการเลือกตั้ง

รถไฟยังอยู่บนราง แม้จะพยายามถอดน็อต ถอดไม้หมอนกันเป็นโกลาหล

ขั้นตอนต่อไปนี้ ก็ต้องไปร้องศาลรัฐธรรมนูญ

จะสมหวังผิดหวังประการใดก็เดาๆ กันไป เปิดคำวินิจฉัยเดิมๆ ก็พอจะคาดการณ์ได้

เป้าหมายของเกมการเมืองรอบนี้ ไม่มีอะไรใหม่

อย่างการประชุมบิ๊กๆ เกษียณที่โปโลคลับที่มีคลิปออกมา บนโต๊ะอาหาร พูดกันชัดเจนว่า จะต้องทำรัฐประหาร ทหารจะต้องทำหน้าที่

การเป็นรัฏฐาธิปัตย์ จะต้องปฏิวัติรัฐบาลนี้เท่านั้น

มีเสียงถามกลางวงว่า ถ้าปฏิวัติ จะต้องสูญเสียชีวิตคนอีกเท่าไหร่ จะต้องตายอีกเป็นร้อยไหม แต่ก็ไม่มีคำตอบ

ถ้าใครจะบอกว่าเป็นเหตุการณ์เก่าๆ หลายปีมาแล้ว ก็คงมีคนเชื่อ

หลังจากนี้ไป อุปกรณ์ที่จะใช้จัดการกับรัฐบาล มีอย่างน้อย 2 ประเด็น คือเรื่องจำนำข้าว ที่ ป.ป.ช.มั่นใจในข้อมูลและความร่วมมือจากฝ่ายต่างๆ ในการสอบสวนมาก

และปัญหาการเลือกตั้ง ที่เดิมกล่าวกันว่า มีปมสำคัญที่ไม่ได้เลือกพร้อมกันทั่วประเทศ ตอนนี้กล่าวกันว่า หวยอาจจะไปออกที่การเลือกตั้งล่วงหน้าที่ไปเลือกทีหลัง ทำให้เกิดส่วนได้เสียแก่ผู้สมัคร

หวยจะออกเลขไหน และมีล็อกหรือไม่ ก็ไม่สำคัญเท่ากับว่า แล้วจะยังไงต่อ ?!


ที่มา:มติชน
------------------------------------

วันพุธที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

ศาลให้ออกหมายจับ นายก อบจ.เชียงราย ไม่ไปฟังคำพิพากษา ศาลฎีกา.

ที่ห้องพิจารณาคดีที่ 14 ศาลจังหวัดเชียงราย นายมหันต์โชค แฉล้มเขตต์ ผู้พิพากษาศาลเชียงราย ได้ขึ้นบัลลังก์เพื่ออ่านคำพิจารณาตามคำสั่งศาลฎีกาต่อกรณีคำร้องของฝ่ายจำเลยคดีหมายเลขดำที่ 2318/2547 คดีหมายเลขแดงที่ 1131/2549 ในชั้นศาลฎีกาคดีแจ้งความอันเป็นเท็จต่อเจ้าพนักงานตามมาตรา 137 ประมวลกฎหมายอาญา และกระทำการอันเป็นเท็จตาม พ.ร.บ.เลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือบริหารท้องถิ่น พ.ศ.2545 มาตรา 114 โดยมีโจทย์คือนางรัตนา จงสุทธนามณี อดีตนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เชียงราย ปัจจุบันเป็นที่ปรึกษากิตติมศักดิ์นายกเทศบาลนครเชียงราย อ.เมือง จ.เชียงราย และจำเลยคือนางสลักจฤฏดิ์ ติยะไพรัช นายก อบจ.เชียงราย คนปัจจุบัน

ก่อนหน้าจำเลยได้ขอเลื่อนการอ่านคำพิพากษาของศาลฎีกาแล้ว 2 ครั้ง คือวันที่ 13 ก.ย. โดยระบุว่าป่วยปวดศีรษะ และวันที่ 2 ส.ค. ได้ยื่นให้ตีความอำนาจการอ่านคำพิพากษาของศาลฎีกาโดยศาลชั้นต้น ก่อนถึงเวลานัดฟังคำพิพากษาทางทนายฝ่ายจำเลยได้ยื่นต่อศาลชั้นต้นเพื่อให้ยื่นต่อศาลฎีกาขอสืบพยานเพิ่มเติมในคดีดังกล่าวโดยให้นำไปสืบในชั้นศาลชั้นต้น ทำให้ทางศาล จ.เชียงราย ได้ยื่นเรื่องไปยังองค์คณะของศาลฎีกาส่งผลทำให้การพิจารณาช้ากว่าเวลานัดหมายช่วงประมาณ 10.00 น. ไปประมาณ 1 ชั่วโมง โดยมีกลุ่มผู้สนับสนุนที่ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มการเมืองท้องถิ่นของทั้งสองฝ่าย รวมถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจโดย พล.ต.ต.อดุลย์ ณรงค์ศักดิ์ รอง ผบช.ภ.นครบาล เดินทางไปฟังคำพิพากษาด้วย

กระทั่งศาลฎีกาได้สอบถามหาตัวโจทย์และจำเลยปรากฏว่าทางทนายฝ่ายโจทย์แจ้งว่าโจทย์ให้ทนายความไปรับฟังแทน สอบถามถึงฝ่ายจำเลยปรากฏว่านางสลักจฤฏดิ์ไม่ได้เดินทางไปฟังคำสั่งศาลฎีกาศาลจึงให้ทนายความโทรศัพท์ไปแจ้งให้ไปรับคำสั่งตามคำร้องดังกล่าวปรากฏว่าทนายแจ้งว่าไม่สามารถติดต่อได้ ทำให้ศาล จ.เชียงราย ได้อ่านคำสั่งกรณีคำร้องของจำเลย

โดยมีเนื้อหาว่าศาลฎีกาได้มีคำพิพากษาต่อคดีดังกล่าวแล้วจึงไม่จำเป็นต้องส่งคำร้องสนับสนุนคดีดังกล่าวอีก และไม่จำเป็นต้องส่งคดีให้ศาลชั้นต้น ศาลฎีกาพิจารณาแล้วเห็นว่าไม่มีเหตุอันควรที่จะส่งคำร้องในชั้นศาลฎีกาและไม่อนุญาตให้มีการเลื่อนการอ่านคำพิพากษาในคดี จึงยกคำร้องของฝ่ายจำเลยดังกล่าว ส่วนกรณีที่จำเลยไม่เดินทางไปฟังคำสั่งศาลนั้นเห็นว่าจำเลยได้รับทราบการนัดหมายจากศาลอยู่แล้ว ดังนั้น จึงให้มีการออกหมายจับจำเลยเพื่อนำตัวไปรับฟังคำพิพากษาของศาลฎีกา ในวันที่ 12 มี.ค. เวลา 09.00 น.

ภายหลังจากศาลได้อ่านคำสั่งดังกล่าวแล้วทางฝ่ายทนายนางสลักจฏดิ์ ได้พยายามเข้าไปชี้แจงต่อศาลนานหลายนาที ศาลอธิบายว่าศาลได้มีการพิจารณาจากคำร้องต่างๆ ไปหมดแล้ว และกรณีทนายแสดงความเห็นเป็นการแสดงความเห็นส่วนตัว แต่หากอยากชี้แจงใดๆ ก็ให้ยื่นคำร้องใหม่เข้าไปยังศาลได้ต่อไป

สำหรับคดีระหว่างนางสลักจฤฏดิ์ กับนางรัตนา เกิดขึ้นในช่วงการหาเสียงเลือกตั้งนายก อบจ.เชียงราย ตั้งแต่ปี 2547 เป็นช่วงที่พรรคไทยรักไทยยังเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล โดยพรรคเพื่อไทยได้ส่งนางสลักจฤฏดิ์เป็นภรรยาของนายยงยุทธ ติยะไพรัช ขณะนั้นเป็นเลขาธิการอดีตนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร โดยมีคู่แข่งขันคนสำคัญคือนางรัตนา เป็นภรรยาของนายวันชัย จงสุทธนามณี นายกเทศมนตรีคนปัจจุบัน ผลปรากฏว่านางรัตนาได้รับชัยชนะในการเลือกตั้ง ทำให้ทางฝ่ายนางสลักจฤฏดิ์ ได้มีการร้องเรียนและฟ้องร้องกับนางรัตนากันหลายคดี

โดยส่วนมากเป็นคดีที่เกิดจากการร้องเรียนการแจกสิ่งของเพื่อหวังผลการเลือกตั้งในช่วงการเลือกตั้งนายก อบจ.เชียงราย ปี 2547 จากนั้นได้นำผลเข้าสู่การฟ้องร้องคดี โดยศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาปี 2549 ให้จำคุกนางสลักจฤฏดิ์เป็นเวลา 3 ปี 9 เดือน โดยไม่รอลงอาญา โทษปรับ 75,000 บาท รวมทั้งให้เว้นวรรคทางการเมือง 10 ปี

แต่มีการยื่นประกันตัวออกมาสู้คดีกระทั่งศาลอุทธรณ์ได้ยกฟ้อง จนมาถึงการเลือกตั้งอีกครั้งในปี 2551 นางรัตนาก็ชนะการเลือกตั้งอีก กระทั่งปี 2555 นางสลักจฤฏดิ์ ได้ลงสมัครอีกครั้งในสังกัดพรรคเพื่อไทยจนมาชนะการเลือกตั้ง แต่คดีนางรัตนาก็ยังมีการร้องต่อศาลฎีกาต่อจนมีการนัดหมายอ่านคำพิพากษาในวันที่ 5 กุมภาพันธ์

ที่มา.มติชนออนไลน์
------------------------------------

การเมืองหลังการเลือกตั้ง !!?

โดย. พิชญ์ พงษ์สวัสดิ์

เมื่อการเลือกตั้งครั้งประวัติศาสตร์ผ่านไป สิ่งที่ตามมายังคงมีเรื่องที่จะต้องพิจารณากันอยู่หลายเรื่อง

เรื่องแรกคือการจัดการเลือกตั้งให้ครบในส่วนที่เหลือ ขณะที่ฝ่ายที่ไม่ต้องการการเลือกตั้งก็คงจะสร้างเงื่อนไขของการไม่ยินยอมพร้อมใจอยู่ในระบอบการเมืองแบบประชาธิปไตยที่ยึดโยงจากการเลือกตั้งต่อไป ทั้งการชุมนุมและการปิดกั้นหน่วยเลือกตั้ง และปิดกั้นการลำเลียงบัตรเลือกตั้ง หรือถ้าจะพูดให้ครบก็คือขัดขวางกระบวนการเลือกตั้งต่อไปเรื่อยๆ

สิ่งที่จะต้องตั้งข้อสังเกตเอาไว้ก็คือ การปฏิเสธการเลือกตั้งในครั้งนี้ มีลักษณะที่ลักลั่นและย้อนแย้งในตัวเอง ดังที่ผมได้เคยชี้แจงไปก่อนหน้านี้แล้ว นั่นก็คือ โดยทั่วไปการเลือกตั้งนั้นจะถูกปฏิเสธ เมื่อการเลือกตั้งนั้นมีลักษณะที่ฝ่ายที่ยึดกุมอำนาจรัฐมีแนวโน้มที่จะทุจริต หรือแทรกแซงกระบวนการเลือกตั้ง ซึ่งทำให้การยอมรับผลการเลือกตั้งของฝ่ายอื่นๆ นั้นเป็นไปไม่ได้ เพราะตนก็เชื่อว่าตนจะต้องชนะแต่ถูกปล้นชัยชนะ

ขณะที่การต่อต้านการเลือกตั้งครั้งนี้ในประเทศไทยนั้นมีลักษณะที่ย้อนแย้งและลักลั่นมาก ด้วยว่าการปิดกั้นหน่วยเลือกตั้งเองนั้นเกิดขึ้นในพื้นที่ไม่กี่จังหวัด แต่มีลักษณะที่มีแบบแผนอย่างชัดเจน คือบางหน่วยของกรุงเทพฯ และบางจังหวัดในภาคใต้ ในขณะที่ภาพของการเคลื่อนไหวก่อนหน้านั้นคือการอ้างถึงจำนวนของมวลมหาประชาชนที่มากมายมหาศาล แต่เอาเข้าจริงเมื่อนับจำนวนมวลมหาประชาชนแล้ว ก็ไม่สามารถชนะด้วยจำนวนได้อยู่ดี

นอกจากนั้นแล้ว หากคิดดูอีกทีว่าถ้าฝ่ายที่แพ้เลือกตั้งคิดว่าตนไม่น่าจะแพ้ เพราะจำนวนก้ำกึ่งกัน (คราวที่แล้วพรรคฝ่ายค้านแพ้ของสองเก้าอี้ในแบบบัญชีรายชื่อ) ฝ่ายที่ค้านและต้านเลือกตั้งก็ควรจะส่งเสริมให้คนมาเลือกตั้ง ส่งเสริมให้คนมาสังเกตการณ์เลือกตั้ง และส่งเสริมให้หน่วยงานที่เป็นกลางน้ันทำงานในการจัดการกับการทุจริต หรือแม้แต่จะเรียกร้องให้มีองค์กรจากต่างประเทศเข้ามาสังเกตการณ์

การไม่พยายามกระทำสิ่งนี้เพราะอาจจะรู้จริงๆ ว่าสู้ไม่ได้ในเกมส์นี้เสียมากกว่า เพราะเกมส์การเลือกตั้งในวันนี้ไม่ใช่เรื่องการซื้อเสียงเท่านั้น (เพราะการซื้อเสียงจับได้ และจับได้ทุกฝ่าย) แต่เกมส์เลือกตั้งนั้นเรียกร้องให้มีการคิดค้นนโยบาย

ดังนั้น เรื่องที่ง่ายกว่าก็คือการลากสถานการณ์เลือกตั้งให้ยาวนาน เพื่อใช้เรื่องการคอร์รัปชั่นในการจัดการการเมืองแบบนโยบายด้วยองค์กรตุลาการ

นั่นก็คือใช้ข้อกฎหมาย และแนวโน้มของการผิดกฎระเบียบมาจัดการเรื่องนโยบาย และตีความกรอบการจัดทำนโยบายให้ตรงกับรัฐธรรมนูญที่ได้วางไว้หมดแล้ว

หมายถึงกระบวนการทำให้เรื่องนโยบาย "ไม่เป็นเรื่องการเมือง" ทั้งที่การลงโทษนั้นเป็นเรื่อง "การเมืองที่ไม่ตอบโจทย์ทางการเมือง" เป็นอย่างมาก

โดยสรุปปัญหาการเลือกตั้งในรอบนี้จึงไม่ได้มีการร้องเรียนเรื่องกระบวนการ ในแง่ของการทุจริตใน "กระบวนการเลือกตั้ง" แต่จะโดนดำเนินคดีแน่นอนเพราะไปขัดขวางกระบวนการเลือกตั้ง

และปัญหาใหญ่กลับอยู่ที่เรื่องของ "วิกฤตความชอบธรรมของการเลือกตั้ง" เสียมากกว่า เพราะฝ่ายหนึ่งไม่ยอมให้มีการเลือกตั้ง แต่อีกฝ่ายหนึ่งพยายามบอกว่าการเลือกต้ังนั้นเป็นที่มาของความชอบธรรมทั้งหมด

เรื่องที่จะต้องพิจารณาในเรื่องที่สองของการเมืองหลังการเลือกตั้ง ก็คือเรื่องของ "ความรุนแรงหลังจากการเลือกตั้ง" (post-electoral violence) ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ใหญ่มากในการศึกษาและปฏิบัติจรรโลงประชาธิปไตยในโลก โดยเฉพาะในช่วงหลังนี้เรื่องสำคัญมักจะอยู่ในทวีปแอฟริกา โดยมีทั้งองค์กรอาสาสมัครที่ต้องเข้าไปช่วยเหลือเหยื่อของความรุนแรงที่เกิดจากความรุนแรงหลังการเลือกตั้ง และการเข้าไปพยายามจัดการเลือกตั้งใหม่ หรือต่อรองกับแต่ละฝ่ายให้กระบวนการทางการเมืองและกระบวนการทางประชาธิปไตยได้มีโอกาสเดินหน้าในสังคมที่การเลือกตั้งไม่สามารถสร้างความเป็นปึกแผ่นได้

ผลการวิจัยและปฏิบัติการที่น่าสนใจของหน่วยงานด้านการพัฒนาของสหรัฐอเมริกา (USAID) ในปี ค.ศ.2010 ที่ชื่อว่า การป้องกันความรุนแรงหลังการเลือกตั้งในแอฟริกา (Preventing Postelection Violence in Africa) ให้ประเด็นที่น่าสนใจตรงที่ว่า สิ่งที่พบในสังคมที่มีความรุนแรงทั้งในช่วงก่อนเลือกตั้ง ช่วงที่มีการเลือกตั้ง และช่วงหลังการเลือกตั้งนั้น แม้ว่าเราจะเชื่อว่า ปัจจัยของความแตกแยกทางสังคมด้านชาติพันธุ์ ความต้องการประชาธิปไตย ระดับการพัฒนาทางเศรษฐกิจ และประวัติศาสตร์ทางการเมืองนั้นอาจจะดูเหมือนมีผลต่อการเลือกตั้ง แต่งานวิจัยชิ้นนี้ชี้ว่า ความรุนแรงที่จะเกิดจากการเลือกตั้งนั้นไม่จำเป็นเสมอไปว่าจะต้องเกิดจากสังคมที่มีปัจจัยเช่นนั้น

แต่ปัจจัยที่จะส่งผลจริงๆ ต่อความรุนแรงหลังการเลือกตั้งก็คือการบริหารจัดการเลือกตั้งที่จะไม่ก่อให้เกิดการโกงการเลือกตั้ง และความรุนแรงจากการเลือกตั้ง หรือจะพูดอีกอย่างว่าการทำให้กระบวนการการเลือกตั้งนั้นเป็นที่ยอมรับจากทุกฝ่าย โดยเฉพาะการที่กลุ่มหรือองค์กรต่างๆ ในประชาสังคมที่พยายามเข้ามาทำให้ฝ่ายต่างๆ ยอมรับการเลือกตั้ง และช่วยกันปกป้องให้องค์กรที่จัดการเลือกตั้งนั้นสามารถจัดการเลือกตั้งได้สำเร็จ

ลองคิดให้ดีถ้าเราลองย้อนพิจารณาปมปัญหาของการเลือกตั้งในครั้งนี้ของบ้านเรา สิ่งที่เราจะพบก็คือ องค์กรกลางที่เราเคยเชื่อว่ามีอำนาจจัดการเลือกตั้งนั้น ไม่สามารถทำงานได้ในหลายพื้นที่ (และตัวผู้บริหารเองก็พยายามทำให้พื้นที่เหล่านั้นมีภาพของพื้นที่ทั้งหมดอยู่บ่อยครั้ง) แต่การเลือกตั้งครั้งนี้ได้สำเร็จในพื้นที่ส่วนมากนั้นเกิดจากการที่ประชาชนแสดงเจตจำนงในการไปเลือกตั้ง และแสดงเจตจำนงในการใช้การเลือกตั้งในการแก้ปัญหา และแสดงเจตจำนงให้เห็นถึงคุณค่าของการเลือกตั้งโดยการทำให้การเลือกตั้งนั้นเป็นเรื่องที่เชื่อมโยงกับการรักษาประชาธิปไตยเอาไว้ภายใต้เงื่อนไขของความสงบ สันติ

นี่คือความยิ่งใหญ่ของการส่งเสียงของประชาชนที่ไม่ต้องอ้างจำนวนแต่ไม่กล้าสู้ด้วยกฎของการนับเลขแห่งความเท่าเทียมง่ายๆ ผ่านการเลือกตั้ง และชี้ให้เห็นว่าการมีส่วนร่วมของประชาชนนั้นสำคัญต่อการป้องกันความรุนแรงที่จะเกิดขึ้นได้อย่างมีนัยยะสำคัญ

เพียงแต่ว่าคณะกรรมการการเลือกตั้งของเราไม่ได้มองสิ่งเหล่านี้เป็นโอกาสและพลังสำคัญในการขับเคลื่อนให้การเลือกตั้งเกิดขึ้นได้ ขณะที่ภาพประชาสังคมที่เป็นทางการกลับแตกแยก หรือหันเหตัวเองออกจากกระบวนการเลือกตั้ง

อาจเป็นไปได้ว่าภาคประชาสังคมของเรานั้นเคยตัวกับการได้อำนาจจากเงื่อนไขนอกประชาธิปไตย หรือภายใต้โครงสร้างประชาธิปไตยที่ทำให้ไม่ต้องยึดโยงกับประชาชน แต่เป็นโครงสร้างอำนาจที่ยึดโยงกันเองผ่านเครือข่ายของการเสนอชื่อ และพิจารณากันภายในเครือข่าย (หรือเปล่า?)

ดังนั้น ภาคประชาสังคมของไทยนั้นจึงมีลักษณะพิเศษ เพราะเป็นภาคประชาสังคมที่สร้างความชอบธรรมผ่านการปฏิเสธการเลือกตั้งเสียมาก แทนที่จะทำงานคู่ขนานกับฝ่ายประชาธิปไตยเลือกตั้ง และต่อรองกับกระบวนการของการเลือกตั้ง

เรื่องสุดท้ายที่น่าตั้งคำถามในส่วนของการเมืองหลังการเลือกตั้งก็คือเรื่องของมุมมองอื่นๆ ที่แตกต่างไปจากเรื่องการปฏิวัติประชาชน และการปฏิรูปการเมือง

ผมนึกถึงคำสอนของครูบาอาจารย์ของผมทั้งหลายที่ครั้งนั้นพวกท่านเคยสมาทานแนวคิดเรื่องของ "การพัฒนาทางการเมือง" (political development) ที่สมัยหนึ่งเคยเป็นที่นิยม ขณะที่สมัยนี้อาจจะไม่มีคนสนใจสักเท่าไหร่

แนวคิดเรื่องการพัฒนาทางการเมืองนั้น เป็นแนวคิดที่มีอิทธิพลหลังสงครามโลกครั้งที่สอง และเป็นแนวคิดที่ส่วนหนึ่งเป็นคู่ขนาน หรือเป็นการพัฒนาที่เป็นผลตามมาจากแนวคิดเรื่องการพัฒนาทางเศรษฐกิจ

พูดง่ายๆ ก็คือ แนวคิดการพัฒนาทางการเมืองเชื่อว่าการพัฒนานั้นไม่ได้มีแค่การ (วางแผน) พัฒนาทางเศรษฐกิจ แต่การเมืองก็ต้องมีการวางแผนด้วยและจะต้องสามารถระดมสรรพกำลังต่างๆ มาร่วมกันได้

ในอีกด้านหนึ่งการพัฒนาทางการเมืองก็เป็นสิ่งที่จะต้องเตรียมการเอาไว้ เพราะว่าการพัฒนาทางเศรษฐกิจนั้นอาจจะส่งผลบางอย่างในสังคมที่ทำให้จำต้องร่วมกันดูแลจัดการและพัฒนาสังคมและการเมืองตามมาด้วย

ในอดีตนั้น คู่แข่งสำคัญของแนวคิดการพัฒนาทางการเมืองก็คือการเปลี่ยนผ่านสังคมไปสู่สังคมนิยมคอมมิวนิสต์ เพราะว่าเป็นตัวอย่างสำคัญที่เกิดการรวมศูนย์อำนาจและการทำงานที่แข็งแกร่งมั่นคงของรัฐอย่างจริงจัง ซึ่งโลกเสรีในช่วงแรกก็สั่นสะเทือนเป็นอย่างมากเพราะผลลัพธ์ทางการเมืองของประเทศที่เพิ่งหลุดออกจากอาณานิคม หรือประเทศที่ยากจนนั้นไม่สามารถสร้างผลลัพธ์ทางการเมืองและเศรษฐกิจที่เป็นที่น่าพอใจได้

ดังนั้น การพัฒนาทางการเมืองจึงเป็นเรื่องที่สำคัญมาก โดยเฉพาะเมื่อเผชิญปัญหาว่าเกิดการพัฒนาทางเศรษฐกิจ แล้วเกิดชนชั้นใหม่ๆ มีข้อเรียกร้องต่างๆ เข้าสู่ระบบการเมือง มีการมีส่วนร่วมทางการเมืองอย่างมากมายมหาศาล (ทั้งการเลือกตั้ง หรือการชุมนุมประท้วง) แต่ผลลัพธ์ทางการเมืองที่ออกมานั้นจะพบว่ารัฐไม่สามารถตอบสนองความต้องการที่หลากหลายและรุมเร้าเข้ามาได้

ในอดีตนักรัฐศาสตร์จึงพยายามพัฒนาสถาบันทางการเมืองต่างๆ ขึ้นมาเพื่อให้สามารถขับเคลื่อนเอาพลังแห่งความต้องการเหล่านี้สามารถเข้ามาอยู่ในระบบการเมืองร่วมกันได้ กล่าวคือการสร้างรัฐนั้นจะต้องกระทำกันเข้มแข็งเพื่อให้สามารถระดมสรรพกำลังต่างๆ มาร่วมกันมุ่งหมายไปสู่การพัฒนาทางการเมือง โดยมีความเชื่อถึงการเสริมสร้างวัฒนธรรมประชาธิปไตย และเรื่องของการพัฒนาพรรคการเมืองและระบบเลือกตั้งให้ตอบสนองต่อความหลากหลายและสามารถมีสมรรถภาพในการขับเคลื่อนนโยบายได้ผ่านการออกแบบรัฐธรรมนูญให้สะท้อนความเป็นจริงทางการเมือง และชี้นำการเมืองไปยังทิศทางที่มีเสถียรภาพมากขึ้น ไม่ให้พังทลายและเสื่อมถอยลงผ่านความรุนแรงและความไร้เสถียรภาพทางการเมือง

ความพยายามของครูบาอาจารย์ของผมหลายท่านนั้นสร้างคุณูปการให้กับการพัฒนาทางการเมืองอยู่มิใช่น้อย เช่นการศึกษาและตั้งคำถามกับระบบราชการ และทหารในฐานะสถาบันหลักที่อาจทำหน้าที่บางอย่างมากจนเกินตัว (การพัฒนาทางการเมืองจะต้องกระจายงานไปตามหน้าที่ที่สมควรทำ) ศึกษาวัฒนธรรมทางการเมืองและพฤติกรรมการเลือกตั้ง ศึกษาบทบาทของวัฒนธรรมและศาสนา ศึกษาการทำงานที่อ่อนแอของพรรคการเมืองและรัฐสภา ศึกษาถึงโครงสร้างของรัฐธรรมนูญ และการรัฐประหาร รวมทั้งในยุคหลังแนวคิดเรื่องของการพัฒนาทางการเมืองเริ่มมีการเสนอให้มองเรื่องของการสร้างสถาบันใหม่ๆ เช่น การประชาสังคม และการสร้างชาติที่รองรับความหลากหลายมากขึ้น เพื่อไม่ให้รัฐที่เป็นทางการนั้นทำงานโดยอาจจะละเลยความหลากหลายของสังคม

อย่างไรก็ตาม ต่อมาแนวคิดการพัฒนาการเมืองเหล่านี้อ่อนแรงลงไป และถูกบดบังโดยกระแส "การปฏิรูปการเมือง" ที่ถ้ามองให้ลึกๆ เป็นเรื่องของการตอบโจทย์ระยะสั้นๆ ของยุคสมัย เช่น การจำกัดอำนาจนักการเมือง การจัดการการคอร์รัปชั่น และทิ้งปมปัญหาในระยะยาวเอาไว้โดยตลอดโดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับอคติทางการเมืองระหว่างชนชั้นต่างๆ และสถาบันต่างๆ ที่ถูกสร้างขึ้น หรือเข้ามาเกี่ยวข้อง

ถ้าคิดว่าการปฏิรูปการเมืองนั้นเป็นเรื่องระดับโครงสร้างและเรื่องระยะยาวจริงทำไมการปฏิรูปที่ผ่านมาจึงไม่ประสบความสำเร็จ? และการอ้างว่าการไม่ประสบความสำเร็จนั้นเป็นเพราะปัจจัยภายนอกที่บ่อนทำลายการปฏิรูปนั้นเป็นการอ้างอิงที่ไร้ความผิดชอบเป็นอย่างยิ่ง หรือมองว่าเพราะคนที่เราต้องการปฏิรูปนั้นยังไม่มีคุณสมบัติพอ (คือโทษว่าคนที่เป็นเหยื่อของระบบเก่า - blaming the victim) ทั้งที่การปฏิรูปการเมืองแบบที่พูดกันนั้นไม่สามารถพิสูจน์ได้จริงว่าการปฏิรูปจะรองรับอำนาจและเปิดให้คนมีส่วนร่วมอย่างไรในระบบการเมือง ขณะที่ทุกคนตื่นตัวเช่นนี้ เว้นแต่จะคิดว่าต้องมีสถาบันอื่นมาทำงานแทนรัฐและมองรัฐเป็นผู้ร้าย?

ดังนั้น แทนที่การปฏิรูปการเมืองจะได้มาซึ่งสถาบันทางการเมืองที่เข้มแข็งที่โอบรับ/รองรับความต้องการที่หลากหลายของสังคมตามจิตวิญญาณของการพัฒนาทางการเมือง การปฏิรูปการเมืองที่พูดๆ กันกลับกลายเป็นถ้อยคำที่นำมาซึ่งความขัดแย้งและแฝงฝังไปด้วยอคติทางชนชั้นของผู้เสนอโดยที่ไม่รู้ตัว และเป็นความพยายามในการช่วงชิงอำนาจของสถาบันและกลุ่มที่ไม่สามารถสร้างความชอบธรรมทางการเมืองได้ผ่านกระบวนการเลือกตั้ง

ดังนั้น อาจเป็นไปได้ที่แนวคิดเรื่องการพัฒนาทางการเมืองที่ยืดหยุ่นขึ้นจะกลับมาอีกครั้ง และเป็นทางเลือกจากกระแสการปฏิรูปทางเมือง แต่หากการพัฒนาทางการเมืองจะกลับมาอีกครั้งก็คงจะต้องปรับปรุงให้ควบคู่กับแนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจในโลกที่ให้ความสำคัญกับเสรีภาพทั้งจากความต้องการและจากความหวาดกลัวด้วย

ไม่ใช่สร้างแต่ความต้องการเทียมๆ ในบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความน่าหวาดกลัวจริงๆ เหมือนอย่างที่เป็นอยู่ (ซึ่งเป็นบรรยากาศความกลัวที่สร้างขึ้นมาเองเสียด้วย)

ที่มา:มติชน
------------------------------------------

เปิดใจข้าราชการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หลังตัดโซ่ปลดแอก ชัตดาวน์..

ภายหลังจากกลุ่มมวลมหาประชาชน กปปส.ได้เข้าปิดประตู ทางเข้ากรมป่าไม้ และกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม(ทส.) ที่ถนนพหลโยธิน เขตบางเขน ตั้งแต่วันที่ 14 ม.ค.ที่ผ่านมา เพื่อขอให้ข้าราชการร่วมชัตดาวน์กรุงเทพนั้น

 นายบุญชอบ สุทธมนัสวงษ์ อธิบดีกรมป่าไม้ พร้อมด้วย นายนิพนธ์ โชติบาล รักษาการอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช นายธีรภัทร ประยูรสิทธิ รองอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ พร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูง และตัวแทนข้าราชการกว่า 30 คนจากทั้ง 2 กรม ได้ร่วมกันเป็นสักขีพยานในเปิดโซ่คล้องประตูอย่างเป็นทางการ เพื่อให้ข้าราชการกลับมาทำงานได้ตามปกติ

โดยการเปิดโซ่ครั้งนี้เกิดขึ้นภายหลังการประชุมร่วมกับทางศูนย์รักษาความสงบ (ศรส.)เมื่อวันที่ 3 ก.พ.ที่ผ่านมา เพื่อให้กรมต่างๆ ย่านรอบๆ พื้นที่บางเขน ที่ถูกกปปส.ปิดประตูกรม และใช้โซ่คล้องกุญแจไว้ เพื่อขอความร่วมมือไม่ให้ข้าราชการ และเจ้าหน้าเจ้าทำงานตามนโยบายชัตดาวน์กรุงเทพ ของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ตั้งแต่วันที่ 14 ม.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งการเปิดโซ่ประตูกรมป่าไม้ครั้งนี้ มีเจ้าหน้าที่ตำรวจมาดูแลสถานการณ์อย่างใกล้ชิดด้วย

สำหรับบรรยากาศการทำงานในวันนี้ พบว่าข้าราชการและเจ้าหน้าที่ ยังคงมาทำงานไม่เต็มที่ และบางตา โดยเฉพาะกลุ่มลูกจ้างเหมาทีโออาร์ ซึ่งก่อนหน้านี้ต้องหยุดทำงานชั่วคราวเกือบ 2 สัปดาห์ เพราะยังได้รับค่าจ้างแบบรายวัน ในช่วงหลังจากถูกชัตดาวน์ ทำให้กรมอุทยานฯ กรมป่าไม้ ได้ให้บางส่วนหยุดงานชั่วคราวได้

นิพนธ์ บอกว่า การเปิดประตูกรมป่าไม้ครั้งนี้เรียบร้อยดี และสั่งการให้ข้าราชการ ลูกจ้างของกรมอุทยานฯเร่งสะสางงานเร่งด่วนต่างๆ ในทันที เพราะในช่วงที่ถูกชัตดาวน์ยอมรับว่ายังต้องมีการแอบเข้ามาทำงานกัน 50% เพราะมีงานเร่งด่วน เช่น งานด้านกฎหมายและคดีต่างๆ ที่ต้องขึ้นศาล และงานที่มีเงื่อนไขทางด้านเวลาเข้ามาเกี่ยวข้อง รวมถึงหนังสือตรวจสอบพื้นที่ต่างๆ เป็นต้น

" คาดว่าในสัปดาห์นี้เพื่อนข้าราชการจะกลับมาทำงานได้ 100% ทั้งนี้ในช่วงที่ถูกปิดประตู และมีข่าวว่า กปปส.จะเข้ามาตรวจว่ามีข้าราชการแอบมาทำงานที่กรม ผมยังต้องหนีไปนั่งทำงานและเซ็นเอกสารที่คณะวนศาสตร์ ม.เกษตรศาสตร์เลย" นิพนธ์ กล่าวพร้อมยอมรับว่าการชัตดาวน์กระทบกับการทำงานที่ไม่สามารถขับเคลื่อนไปได้ ดังนั้นหากจะมีการชัตดาวน์รอบ 2 ตามที่นายสุเทพ ประกาศไว้นั้น อยากให้มีการพูดคุย เจรจา กันมากกว่า

ส่วน บุญชอบ ชี้ว่าที่ผ่านมาถึงจะถูกปิดประตูให้ร่วมชัตดาวน์ แต่ในภาพรวมไม่ได้ส่งผลกระทบต่อเนื้องานมากนัก มีเพียงการประชุม สัมมนาที่จำเป็นต้องเลื่อนออกไป ส่วนงานสำคัญๆ ที่ยังต้องเดินหน้า ได้มอบหมายให้ระดับผู้อำนวยการสำนักต่างๆ ดำเนินการตามปกติและส่วนมากก็เข้ามาทำงานได้อยู่แล้ว

" เราบอกมาตลอดว่ากรมป่าไม้ ไม่มีหน้าที่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับสถานการณ์ทางการเมืองอย่างเด็ดขาด ดังนั้นถึงจะถูกสั่งให้ชัตดาวน์ แต่เรายังคงต้องทำงานตามแผนนโยบาย ไม่ได้หยุดทั้งหมดจนงานชะงัก แต่หากจะมีการชัตดาวน์ ปิดกรมรอบ 2 คงต้องดูท่าทีของทส.และเพื่อนข้าราชการกรมอื่นๆ ด้วย" นายบุญชอบ ระบุ

ในทางกลับกันเสียงจากข้าราชการกรมอุทยานแห่งชาติรายหนึ่งบอกว่า การปิดประตูกรมอุทยาน กับกรมป่าไม้ ตั้งแต่วันที่ 14 ม.ค.ที่ผ่านมา ส่วนตัวมองว่า ไม่มีผลกระทบอะไร หรือมีอะไรผิดปกติ การเข้าทำงานยังสามารถมาทำงานได้ปกติ แต่บางคนอาจต้องปืนรั้วเข้ามาบ้างทางด้านหลังประตูที่ติดกับมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เป็นเพราะไม่ต้องการอ้อมในการเดินทาง

ขณะเดียวกันก็ยอมรับว่าการทำงานอาจไม่ได้ครบทั้ง 100% เนื่องจากบางอาคารถูกปิด รวมถึงในแง่การประสานงานก็ต้องยุติไปโดยปริยาย อีกทั้งงานหนังสือราชการก็สะดุดไป แต่ไม่ถึงทำให้ส่งผลกระทบต่อการเบิกจ่ายเงินต่างๆ มากนัก

" มองปรากฏการณ์นี้ว่าเป็นการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ของกลุ่ม กปปส. ที่ต้องการส่งความกดดันไปยังรัฐบาลที่ราชการทำงานไม่ได้ แต่ส่วนตัวเชื่อในแง่ของเสียงสะท้อนที่เกิดขึ้นว่า อยากให้ปฏิรูปก่อน เพราะมองว่าในภาพใหญ่ ประเทศต้องการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ในทิศทางที่ควรจะเป็นในทุกๆ เรื่อง เพราะทะเลาะกันมากมาย ก็ควรต้องเปลี่ยนอะไรบ้าง หากการเคลื่อนไหวครั้งนี้ไม่มีผล ก็รู้สึกมืดมน เพราะทุกอย่างยังอยู่ในวังวนเดิมๆ" เขาสะท้อน

ขณะที่ในส่วนของกรมควบคุมมลพิษ (คพ.) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ซึ่งตั้งอยู่ในซอยอารีย์สัมพันธ์ ซึ่งบริเวณรอบๆ ประกอบด้วยกรมสรรพากร กรมประชาสัมพันธ์ กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม และด้านหลังติดกับกระทรวงการคลัง ทำให้ถูกชัตดาวน์มาก่อนกรมป่าไม้

เจ้าหน้าที่ระดับปฏิบัติงานรายหนึ่ง บอกว่า ทุกๆ วันถึงแม้จะต้องปืนรั้วกรมประชาสัมพันธ์ ที่ไม่ได้เปิดประตูเล็กๆ จนบางวันก็เกือบพลัดตกลงไป แต่ทั้งหมดไม่ถือเป็นอุปสรรคที่ต้องเข้ามาปฏิบัติหน้าที่ที่ ทส.เลย แม้ว่าบางวันก็ต้องเงี่ยหูฟังว่า กปปส.จะมาตรวจสอบว่ามีคนแอบลักลอบมาทำงาน หรือขู่ตัดน้ำตัดไฟหรือไม่

เธอ บอกว่า การชัตดาวน์ในฐานะคนทำงาน โดยเฉพาะข้าราชการ เขาไม่ได้ปิดกั้นว่าใครต้องอยู่ฝั่งไหน แต่ละคนมีจุดยืนของตัวเอง และทุกองค์กรไม่ใช่ของรัฐ ก็เป็นแบบนี้ แต่การแสดงออกทางการเมืองของแต่ละคน ตราบใดถ้าไม่ปะปนกับการทำงาน และความรับผิดชอบของตัวเองก็ไม่ส่งผลกระทบอะไร ทั้งนี้บางรายอาจไม่สะดวกในการเดินทาง ก็อาจทำงานที่บ้านได้

" มองว่าข้าราชการ ยังไม่กระทบ เพราะยังมีเงินเดือนที่รัฐต้องจ่ายให้ โชคดีกว่า อาจจะลำบาก แม้ว่าต้องปืนรั้วความสูงประมาณ 3 เมตร ขณะที่คนกลุ่มอื่นๆ เช่น พ่อค้าแม่ค้า ชาวนา หรืออาชีพอื่นๆ มีผลกระทบมากกว่า ดังนั้นการคล้องโซ่ ปิดกุญแจ จึงไม่ได้สะท้อนว่าข้าราชการ เจ้าหน้าที่จะละเลยการปฏิบัติหน้าที่ ขณะเดียวกันก็ไม่ได้บอกว่าถ้าเปิดโซ่แล้ว จะทำให้การทำงานดีขึ้นหรือแย่ลง"

และเธอยังย้ำว่า เสียงสะท้อนภายหลังการเปิดโซ่ หรือการชัตดาวน์กรมต่างๆ เพื่อนำไปสู่การปฏิรูปประเทศตามข้อเรียกร้องของกปปส.นั้น ถ้าถามว่ามันมีหลายสิ่งที่ทุกคน ทุกฝ่ายควรมีส่วนร่วมมากกว่านี้ แต่ไม่ใช้แค่ฝั่งกลุ่ม กปปส. กับรัฐบาล แต่ควรมีกลุ่มอื่นๆ มีคนมากมายในสังคม ทั้งชาวนา นักศึกษา องค์กรอื่นๆ ที่อยู่ในพื้นที่ของสังคม และยังขาดการยอมรับ แต่ทุกฝ่ายควรต้องหันหน้ากลับมาเจรจากันอย่างจริงจังเสียที่ เพื่อปลดโซ่ตรวนครั้งนี้

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
-------------------------------------------------

วันอังคารที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

ปฏิรูป พ่นพิษ !!?

โดย ชลาทิพย์ ถิรสุนทรากุล

ช่วงนี้คำว่า "พ่นพิษ" กลายเป็นคำฮิตในหลายพาดหัวข่าวเพราะแทบทุกอย่างได้รับผลกระทบจากปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง ปัญหาการเมืองระลอกนี้กินเวลานานกว่าที่หลายฝ่ายคิด วันนี้การเมืองไทยจึง "พ่นพิษ" กันไปทุกระดับ ตั้งแต่ระดับเศรษฐกิจ ธุรกิจภาคต่าง ๆ ไปจนถึงพ่นพิษกันเองกับคนใกล้ตัว...

วันก่อนคุยกับติวเตอร์ที่ติวเด็ก ๆ เพื่อเตรียมสอบตรงเข้าคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งเก็งข้อสอบว่าจะถามเกี่ยวกับปัญหาการเมืองยามนี้ อาทิ ปัญหาการใช้รัฐธรรมนูญ ปัญหานิติรัฐ แต่อาจเพราะสังคมพูดคุยถกเถียงกันจนถึงจุดที่ไม่มีใครยอมรับเหตุผลใครหรือไม่

เป็นอันว่าข้อสอบเลยฉีกแนวออกประเด็นการเมืองต่างประเทศ ประเด็นด้านบริหารรัฐกิจแทน

คุยถึงเรื่องสอบเข้ามหาวิทยาลัย เลยอยากชวนคุยเรื่องการศึกษา การงานอาชีพ มองไปในอนาคตบ้าง ยามที่สถานการณ์บ้านเมืองไม่นิ่ง จะรอให้สงบราบรื่นโดยเร็ว หรือรอใครมาสร้างบ้านเมืองให้เป็นสังคมยูโทเปียก็ดูจะเพ้อฝัน

เอาเป็นว่าหลีกหนีอารมณ์ขุ่นมัวทางการเมืองมาดูว่า เรา ๆ จะอยู่กันอย่างไรในสังคมอนาคต มองไปข้างหน้าเพื่อเตรียมรับกับการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ทั้งในประเทศไทย อาเซียน และในประเทศซีกโลกตะวันตก

ทราบกันดีว่า อีกไม่นานประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) จะเริ่มขึ้น มีการพูดถึงอาชีพที่จะขยายวงกว้างและถ่ายเทบุคลากรไปมาในอาเซียน ที่คุ้นกันดีว่าเป็นอาชีพที่น่าจะสร้างงานสร้างรายได้ ข้ามถิ่นฐานไปประกอบอาชีพกันได้ อาทิ แพทย์ พยาบาล ทันตแพทย์ นักบัญชี สถาปนิก วิศวกร

อาชีพเหล่านี้ถูกเก็งว่ายอดฮิตแน่นอนหลังเปิดเออีซี แล้ว ในส่วนของประเทศไทยการเตรียมพร้อมบุคลากรด้านภาษาอังกฤษให้สอดรับอย่างทัน ท่วงทีก็จะได้อานิสงส์เต็มเม็ดเต็มหน่วย

นั่นคือในระดับอาเซียน ที่พอจะประเมินได้ว่าจากอาชีพที่น่าจะยอดนิยมในอาเซียนเหล่านี้จะส่งผลให้ ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องได้รับประโยชน์กันไปเต็ม ๆ ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจโรงพยาบาล บริษัทก่อสร้าง เป็นต้น

ทีนี้เมื่อมองภาพใหญ่ขึ้นมาอีกในระดับซีกโลกตะวันตกในรายงานประจำปีจาก US News & World Report วิเคราะห์ว่า มีการปรับเปลี่ยนในปีนี้ จากกลุ่มอาชีพและอุตสาหกรรมด้านสุขภาพที่เคยมาแรง เป็นแชมป์อันดับหนึ่งมาตลอด แต่สำหรับ พ.ศ. 2557 จะเป็นเทรนด์ของอาชีพด้านเทคโนโลยีขึ้นมาแทน

บรรดาธุรกิจและ อุตสาหกรรมด้านเทคโนโลยีทยอยไปขึ้นอันดับอาชีพยอดนิยมและอาชีพสร้างรายได้ เป็นกอบเป็นกำ อาทิ นักพัฒนาซอฟต์แวร์ที่ถูกยกให้เป็นอาชีพยอดเยี่ยมอันดับหนึ่งในสหรัฐอเมริกา ของปี 2557

แม้หมวดอาชีพด้านเทคโนโลยีจะขึ้นมาเป็นอันดับหนึ่งโดยไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจอะไร เพราะมีแนวโน้มที่บูมให้เห็นมาซัก 1-2 ปีแล้ว

ปัจจุบัน บรรดาอาชีพหมวดนี้ถูกระบุว่า มีรายได้ดีและเป็นที่นิยมสำหรับคนรุ่นใหม่ อาทิ นักพัฒนาซอฟต์แวร์ นักวิเคราะห์งานระบบคอมพิวเตอร์ นักพัฒนาเว็บไซต์ นักวิเคราะห์ข้อมูลด้านความปลอดภัยทางคอมพิวเตอร์ ผู้ดูแลงานระบบคอมพิวเตอร์ ผู้จัดการด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ โปรแกรมเมอร์ เป็นต้น

ขณะที่หมวดอื่น ๆ รองลงมาอย่างกลุ่มอาชีพด้านการแพทย์และกลุ่มอาชีพด้านบริการสังคม เป็นต้นว่า ทนายความ ครูในโรงเรียน ช่างทำผม ถัดมาคืออาชีพด้านการก่อสร้าง และตามมาด้วยอาชีพกลุ่มความคิดสร้างสรรค์อย่างสถาปนิก นักออกแบบต่าง ๆ นักประชาสัมพันธ์ เป็นต้น เหล่านี้ยังคงติดอันดับอาชีพรายได้ดี แต่ก็ลดหลั่นกันลงไป

สำหรับประเทศไทยที่การเมืองยังฝุ่นตลบแบบนี้ การเตรียมตัวพัฒนาตลาดแรงงานให้ได้รับอานิสงส์เออีซีและรองรับการหมุนเร็วของโลกก็ไม่รู้จะไปได้ไกลแค่ไหน อยากจะมองถึงอนาคตไกล ๆ เหมือนกัน แต่พอเห็นสถานการณ์ยามนี้ที่น่าจะกระทบยาว เพราะเราก็ยังติดกับดักในประเทศตัวเองกันอยู่ มีคณะผู้อยากจัดระเบียบ อยากปฏิรูป แต่ไม่เข้าสู่กติกากัน สร้างเงื่อนไขให้เขยิบไปไหนไม่ได้ เป็นทางตัน

ก็ไม่รู้ว่าทำไปทำมา วาทะปฏิรูปแบบที่ไม่ฟังประชาชนให้ถ้วนทั่วกันเลย จะกลายเป็นปฏิรูปพ่นพิษเข้าเสียนี่ ?

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
----------------------------------------

วันเสาร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

วิบากกรรมกู้เงิน..จ่ายจำนำข้าว !!



เปิดหนังสือสบน.ชี้เสี่ยงผิดรัฐธรรมนูญ วิบากกรรม"กู้เงิน"จ่ายจำนำข้าว "โครงการประชาระทม"รัฐบาลยิ่งลักษณ์

โครงการรับจำนำข้าว ฤดูนาปี 2556/57 ถือว่าเป็นฤดูผลิตที่เผชิญกับปัญหาหนักหน่วงที่สุด

เพราะนอกจากมีปัญหาเรื่องระบายข้าวในสต็อกรัฐบาลได้ล่าช้าแล้ว ยังประสบปัญหาสภาพคล่องอย่าง"รุนแรง" และปัญหาดังกล่าวได้เผชิญกับ"ทางตัน"มากยิ่งขึ้น เมื่อรัฐบาลยุบสภา จนเกิดความล่าช้าแผนกู้เงินเพื่อนำมาใช้ในโครงการ และยังเผชิญแรงกดดันจากการค้างใบประทวนชาวนาทั่วประเทศราว 1.1 แสนล้านบาท

ย้อนกลับไป เมื่อวันที่ 3 ก.ย.2556 คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินโครงการจำนำข้าวเปลือก (นาปี) ปีการผลิต 2556/57 กรอบวงเงิน 270,000 ล้านบาท โดยให้กระทรวงการคลังพิจารณาหาเงินทุนให้แก่ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เพื่อใช้ในการดำเนินโครงการ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ

ทั้งนี้ ให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นจากกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจ และสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการ

ต่อมาได้มีการประกาศพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.2556 เมื่อวันที่ 9 ธ.ค.2556 ซึ่งมีผลให้คณะรัฐมนตรีที่พ้นจากตำแหน่งไปปฏิบัติหน้าที่ได้เท่าที่จำเป็น ภายใต้เงื่อนไขที่กำหนดไว้ในมาตรา 181 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย

ตามรัฐธรรมนูญ รัฐบาลไม่สามารถสร้างภาระผูกพันในการอนุมัติโครงการให้กับรัฐบาลใหม่ได้ แต่รัฐบาลก็ส่งเรื่องให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) พิจารณาว่าสามารถกู้เงินได้หรือไม่

คำตอบจากกกต.คือไม่มีอำนาจพิจารณา จึงโยนกลับมาให้รัฐบาลเป็นผู้พิจารณาเองว่าจะทำอย่างไร พร้อมกับระบุว่ารัฐบาลต้องรับผิดชอบเอง หากดำเนินการกู้เงิน

รัฐบาลดูเหมือนจะเตรียมตัวไว้ และคาดเดาได้ว่ากกต.จะมีมติเช่นนั้น ทำให้การประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 21 ม.ค.2557 มีมติปรับปรุงแผนการก่อหนี้สาธารณะใหม่

ตามแผนปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2557 ครั้งที่ 1 ที่มีวงเงินปรับลดลง 5,168,92 ล้านบาท จากเดิม 1,361,899.76 ล้านบาท เหลือ 1,316,330.84 ล้านบาท

แต่ได้อนุมัติการค้ำประกันเงินกู้ให้กับรัฐวิสาหกิจภายใต้กรอบวงเงินของแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2557 ปรับปรุงครั้งที่ 1 ซึ่งเป็นโครงการที่ได้รับอนุมัติให้ดำเนินการโดยมติคณะรัฐมนตรี และหน่วยงานไว้ก่อนวันที่ ได้มีพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.2556

นอกจากนี้ อนุมัติให้กระทรวงการคลัง เป็นผู้พิจารณาการกู้เงิน วิธีการกู้เงิน เงื่อนไข และรายละเอียดต่างๆ ของการกู้เงิน และการค้ำประกันในแต่ละครั้งได้ตามความเหมาะสม และจำเป็นภายใต้แผนบริหารหนี้สาธารณะประจำปีงบประมาณ 2557 ปรับปรุงครั้งที่ 1 ทั้งนี้ หากรัฐวิสาหกิจสามารถดำเนินการกู้เงินได้เอง ก็ให้สามารถดำเนินการได้ตามความเหมาะสม และจำเป็นของรัฐวิสาหกิจนั้นๆ

พร้อมกันนี้ รัฐบาลส่งเรื่องให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา พิจารณาอีกครั้งว่าสามารถทำได้หรือไม่ แม้ว่าในมติครม.ที่ผ่านการอนุมัติแผนปรับปรุงหนี้สาธารณะ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ระบุว่าสามารถดำเนินการได้ แต่ต้องไม่สร้างภาระผูกพันให้กับรัฐบาลใหม่

แต่ความเห็นของกฤษฎีกาครั้งที่ 2 เห็นว่ารัฐบาลสามารถดำเนินการได้ โดยทำความเห็นส่งให้กระทรวงการคลังในวันที่ 23 ม.ค.

แต่ภาระการกู้เงินจากสถาบันการเงินเพื่อใช้ในโครงการนี้เป็นหน้าที่ของกระทรวงการคลัง โดยสำนักบริหารหนี้สาธารณะ(สบน.)

หลังจากนั้น สบน.ใช้เวลาศึกษาข้อกฎหมายและรายละเอียดทั้งหมด ก่อนส่งเรื่องให้นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในวันที่ 27 ม.ค.

สบน.นำความเห็นของกฤษฎีกามาพิจารณา พร้อมกับเสนอความเห็นของสบน.ต่อการกู้เงินครั้งนี้

สบน.ระบุในหนังสือถึงนายกิตติรัตน์ว่าได้พิจารณาข้อเท็จจริง และข้อกฎหมาย ตลอดจนความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยละเอียดรอบคอบแล้ว มีความเห็นดังนี้

1. โครงการรับจำนำข้าวเปลือก (นาปี) ปีการผลิต 2556/57 กรอบวงเงิน 270,000 ล้านบาท คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติให้ดำเนินการ และให้กระทรวงการคลังพิจารณาจัดหาเงินทุนให้ ธ.ก.ส. เพื่อใช้ในการดำเนินการโครงการดังกล่าว ก่อนที่มีพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎรฯ และในส่วนของการค้ำประกันเงินกู้ของโครงการดังกล่าว คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติภายหลังจากที่ได้มีการยุบสภาผู้แทนราษฎรไปแล้ว แต่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ให้ความเห็นว่า "โครงการรับจำนำข้าวเปลือก ปีการผลิต 2556 /57 ได้ก่อให้เกิดหนี้รัฐบาลมีหน้าที่ต้องชำระตามกฎหมาย โดยโครงการดังกล่าวเป็นโครงการที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติไว้ก่อนที่มีการตราพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.2556"

ดังนั้นการที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 21 ม.ค. 2557 อนุมัติให้กระทรวงการคลังค้ำประกันเงินกู้ของรัฐวิสาหกิจ ตลอดจนมอบหมายให้กระทรวงการคลังเป็นผู้พิจารณาการกู้เงิน เงื่อนไข และรายละเอียดต่างๆ ของการกู้เงิน และการค้ำประกันในแต่ละครั้ง ได้ตามความเหมาะสม และจำเป็น จึงเป็นการปฏิบัติตามอำนาจหน้าที่ของกระทรวงการคลัง ตามมาตรา 7 แห่งพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ.2548 เพื่อให้สามารถชำระหนี้ของรัฐบาลตามโครงการที่ได้รับอนุมัติก่อนการยุบสภาผู้แทนราษฎร จึงไม่ถือเป็นการกระทำอันมีผลเป็นการอนุมัติงาน หรือโครงการ หรือมีผลเป็นการสร้างความผูกพันต่อคณะรัฐมนตรีชุดต่อไป ตามบทบัญญัติมาตรา 181 (3) ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย

2. การที่กกต.มีความเห็นว่า การเปลี่ยนแปลงการกู้ยืมเงิน โดยการปรับลดวงเงินกู้ และค้ำประกันหนี้ของรัฐวิสาหกิจบางแห่งลง และนำวงเงินกู้มาเพิ่มให้แก่ ธ.ก.ส.สำหรับนำมาใช้ในการโครงการรับจำนำข้าวตามนโยบายของรัฐบาลนั้น อาจมีผลกระทบต่อความรับผิดชอบของคณะรัฐมนตรี หากมีการวินิจฉัยชี้ขาดโดยองค์กรที่มีอำนาจหน้าที่ต่อไปว่า การดำเนินการดังกล่าว อาจเป็นการฝ่าฝืน หรือละเมิดบทบัญญัติรัฐธรรมนูญอันอาจมีผลทำให้เกิดความรับผิดชอบในทางกฎหมายและในทางการเมืองตามมาได้

สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะจึงมีข้อสังเกตว่า การดำเนินตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 23 ม.ค.2557 สำหรับโครงการรับจำนำข้าวเปลือก (นาปี) ปีการผลิต 2556/57 ตามมติคณะรัฐมนตรีข้างต้นอาจถูกวินิจฉัยชี้ขาดโดยองค์กรที่มีอำนาจตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 181 (3) หรืออาจถูกฟ้องร้องดำเนินคดีได้

อย่างไรก็ตาม สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ ตระหนักดีว่า กระทรวงการคลังยังมีภารกิจที่ต้องดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 3 ก.ย.2556 และ วันที่ 21 ม.ค.2557 ภายใต้พระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ2548 และที่แก้ไขเพิ่มเติม

ดังนั้น จึงเห็นควรนำเสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เพื่อพิจารณาทบทวน หรือ สั่งการยืนยันให้ดำเนินการดังกล่าวต่อไป

ในที่สุด นายกิตติรัตน์ ก็สั่งการให้เดินหน้าต่อไปเปิดประมูลการกู้เงิน จึงต้องรอลุ้นว่าจะมีสถาบันการเงินใดปล่อยกู้นโยบาย"คาบลูกคาบดอก" กับข้อกฎหมายหรือไม่ และชะตากรรมจากนี้ของคนที่เกี่ยวข้องจะเป็นอย่างไร

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
----------------------------------------------