--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันพฤหัสบดีที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2556

จับตา อำนาจที่ 4 !!??

หลังจากเอาตัวรอดจากการเมืองอันดุเดือดในสภา ในถนนมาได้

เริ่มมีเสียงกล่าวขวัญว่า สุดท้าย รัฐบาลยิ่งลักษณ์อาจจะต้องไปจุดจบ ที่ "องค์กรอิสระ" ซึ่งมีอำนาจชี้เป็นชี้ตาย และทำให้นายกฯตกเก้าอี้มาแล้ว อย่างน้อย 2 คน

ยุบพรรคการเมืองหลักๆ ไป 4-5 พรรค

ตามมาด้วยคำพยากรณ์ของบรรดาโหรานุโหร ที่ระบุเวลาล่มสลายของรัฐบาล

โดยเฉพาะในเดือนตุลาคมนี้

ทำให้เริ่มมีเสียงกล่าวขวัญถึง "อำนาจที่ 4"

ไม่เฉพาะ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รมว.แรงงาน แห่งพรรคเพื่อไทย

แม้แต่ นางสดศรี สัตยธรรม กกต. ก็ยังมีความเห็นว่า มีการดำรงอยู่ของ "อำนาจที่ 4"

และเป็นปัญหาสำคัญที่ต้องเร่งแก้ไข


เป็นที่รับรู้ และระบุในรัฐธรรมนูญของประเทศประชาธิปไตยว่า อำนาจอธิปไตย อันเป็นอำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศ

แบ่งออกเป็น 3 ฝ่าย หรือ 3 อำนาจ

ได้แก่ 1.อำนาจนิติบัญญัติ 2.อำนาจบริหาร 3.อำนาจตุลาการ

ตามทฤษฎีกฎหมายและรัฐศาสตร์ อำนาจทั้งสาม แบ่งแยกหน้าที่ของตนเป็นอิสระ อาจเกี่ยวพันกัน แต่ไม่ก้าวก่ายกัน

ฝ่ายนิติบัญญัติมีหน้าที่ออกกฎหมาย ฝ่ายบริหารมีหน้าที่ปกครองประเทศ และบังคับใช้กฎหมาย

ฝ่ายตุลาการ มีหน้าที่พิจารณาตัดสินคดีให้เป็นไปตามตัวบทกฎหมาย

โดยวิธีนี้เท่านั้น สิทธิเสรีภาพของประชาชน และความเป็นธรรมในสังคม จึงจะได้รับการประกัน


ขณะที่รัฐสภา อันเป็นฝ่ายนิติบัญญัติ กำลังคับข้องใจในขณะนี้ว่า ถูกอำนาจอื่นเข้าแทรกแซง ไม่สามารถแก้ไขหรือยกร่างรัฐธรรมนูญได้ด้วยตนเอง

ฝ่ายบริหารเองก็อยู่ภายใต้สถานการณ์เดียวกัน เมื่อการตัดสินใจในเชิงบริหารกลายเป็นคดีความ

เป็นการแทรกแซงในนามของ "การตรวจสอบ" ภายใต้สมมติฐานว่า รัฐบาลจากการเลือกตั้งบางกลุ่มบางพรรค มัก "โกง"

ในอดีตของประเทศไทย ปัญหาการแทรกแซงที่เกิดขึ้น เป็นเรื่องของฝ่ายบริหารที่มาจากรัฐประหาร เข้าแทรกแซงอำนาจนิติบัญญัติ

และแทรกแซงอำนาจฝ่ายตุลาการ โดยใช้อำนาจของฝ่ายตุลาการ ออกคำสั่งอันมีลักษณะเป็นการวินิจฉัยชี้ขาดคดี

ตัวอย่างมาจากการรัฐประหาร ที่คณะทหารจะยกเลิกสภา เขียน "ธรรมนูญการปกครอง" เอง เปิดโอกาสให้คณะรัฐประหาร รวบ 3 อำนาจไว้ในตัวเอง

เป็นฝ่ายนิติบัญญัติ ให้อำนาจตัวเองออกคำสั่งประหารชีวิต ทำหน้าที่ตุลาการตัดสินประหาร

แล้วตัวเองในฐานะฝ่ายบริหารก็รับคำสั่งไปดำเนินการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 45/2496, 1162/2506 วางหลักว่า เมื่อคณะปฏิวัติยึดอำนาจการปกครองประเทศได้เป็นผลสำเร็จ ย่อมเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบ้านเมือง หรือเป็นรัฏฐาธิปัตย์

ผลแห่งการแทรกแซง ก่อให้เกิดผลอย่างไร คงเป็นที่ประจักษ์ชัด


"อำนาจที่ 4" จึงเป็นอำนาจนอกระบบ

แน่นอนว่า "องค์กรอิสระ" เป็นเรื่องที่ยอมรับได้ การตรวจสอบเป็นเรื่องจำเป็นที่ขาดไม่ได้ สำหรับระบอบประชาธิปไตย

แต่จะต้องอยู่ภายใต้หลักของการใช้กฎหมายอย่างเที่ยงธรรม ไม่ 2 มาตรฐาน และอยู่ในหลักของการไม่แทรกแซง

เพราะอะไร จึงเกิดสภาพเช่นนี้ขึ้นได้ในการเมืองประเทศไทย

กรณีนี้ ต้องย้อนกลับไปพิจารณากฎหมายแม่บท หรือรัฐธรรมนูญอย่างพินิจพิเคราะห์อีกครั้งหนึ่ง

ที่มา.มติชนออนไลน์
---------------------------------------------

บางมุมของ : พระสังฆราช ที่ชาวพุทธยังไม่รู้ !!?



วันนี้เป็นวันที่เหล่าพุทธศาสนิกชนชาวไทย ล้วนปลาบปลื้มปีติเป็นล้นพ้น เนื่องด้วยสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช ทรงเจริญพระชันษา 100 ปี พระองค์ทรงได้รับพระราชทานสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราช ในราชทินนามที่สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก เมื่อวันที่ 21 เม.ย. 2532 นับเป็นสมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ 19 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
     
       ด้วยพระองค์ทรงมีพระเมตตาต่อพุทธศาสนิกชนไทยเป็นล้นพ้น ทรงประกอบศาสนกิจเป็นคุณประโยชน์เอนกอนันต์ มิเพียงแต่ชาวพุทธในประเทศไทยเท่านั้น แต่ยังทรงแผ่พระเมตตาบารมีไปทั่วโลก พระองค์ท่านจึงได้รับการยกย่องจากทั้งชาวพุทธในประเทศไทยและในต่างประเทศ
     
       พระประวัติชีวิตและผลงานของพระองค์ จึงมีผู้นำมาเขียนเผยแพร่อยู่มากมาย แต่ก็ยังมีบางมุมในพระประวัติ ที่เชื่อว่าชาวพุทธหลายคนยังอาจจะไม่เคยรับทราบมาก่อน โอกาสนี้ กองบรรณาธิการ เอเอสทีวี ผู้จัดการรายวัน ได้รับความกรุณาจาก พระ ดร.อนิลมาน ศากยะ ผู้ช่วยเลขานุการสมเด็จพระสังฆราช ได้เมตตาเล่าถึงพระประวัติส่วนพระองค์ ที่สะท้อนถึงพระจริยวัตรอันงดงาม มีคุณค่าแก่ชาวพุทธ ให้ได้ยึดถือเป็นแบบอย่างสืบเนื่องต่อไป
     
       อนึ่ง พระ ดร.อนิลมาน ศากยะ เป็นชาวเนปาล สมเด็จพระสังฆราชทรงรับอุปถัมภ์ตั้งแต่เป็นสามเณรอายุ 14 ปี ทรงสั่งสอนหลักธรรม และส่งเสริมให้เรียนรู้จนจบปริญญาเอก จากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ประเทศอังกฤษ ด้วยพระ ดร.อนิลมาน รับใช้สมเด็จพระสังฆราชมาตั้งแต่ยังเป็นเด็กจนเจริญวัยในปัจจุบัน จึงเป็นท่านหนึ่งที่ทราบถึงพระประวัติส่วนพระองค์ทุกเรื่องได้เป็นอย่างดี
     
       พระจริยวัตรประจำวัน
     
       พระ ดร.อนิลมาน เล่าว่า สมเด็จพระสังฆราชทรงตื่นบรรทมทุกเช้าเวลา 03.30 น. จากนั้นจะทรงนั่งสวดมนต์ภาวนาไปจนถึงเวลา 05.00 น. บทสวดมนต์ที่พระองค์ท่องประจำ มีตั้งแต่สวดพระปาติโมกข์ ท่องพระสูตรและพระคาถาต่างๆ
     
       “ถ้าวันไหนมีกิจกรรมเยอะๆ จะต้องทำ พระองค์จะรับสั่งกับอาตมาว่า...วันนี้สวดยังไม่จบคอร์สเลย...เพราะทรงพระอารมณ์ดี”
     
       หลังจากสวดมนต์เสร็จ พระองค์จะทรงนั่งสมาธิเพื่อฝึกจิตให้นิ่งและมั่นคง ต่อไปจนถึง เวลา06.00 น. จากนั้นจึงเสด็จออกจากพระตำหนัก เพื่อรับแขกที่มาเข้าเฝ้าหรือเสด็จบิณฑบาต แม้ตอนที่พระองค์เป็นพระสังฆราชก็ยังเสด็จออกบิณฑบาตเป็นประจำ
     
        “พระสังฆราชทรงพระเมตตามาก หลังจากบิณฑบาตกลับมาทรงเห็นเณรน้อยหลายรูป ที่ไม่ค่อยมีใครใส่บาตร ส่วนพระองค์ของเต็มบาตรเพราะมีประชาชนมาถวายกันเยอะ พระองค์จะทรงแบ่งอาหารจากบาตรให้แก่เณรด้วย หรือบางทีพระรอบกุฏิที่ไม่ออกบิณฑบาต พระองค์ทรงกลัวว่าพระเหล่านั้นจะไม่มีอาหารฉัน ก็จะทรงแบ่งอาหารในบาตรให้ พร้อมพูดติดตลกว่า แทนที่ลูกศิษย์จะเลี้ยงอุปัชฌาย์ กลายเป็นอุปัชฌาย์เลี้ยงลูกศิษย์แทน”
     
       ในทุกๆ วัน จะมีทั้งแขก ผู้มีชื่อเสียงและเหล่าพุทธศาสนิกชน มาเข้าเฝ้าสมเด็จพระสังฆราชเป็นจำนวนมาก พระองค์ทรงอนุญาตให้เข้าเฝ้าตั้งแต่ 07.00 น. เป็นต้นไป จนถึง 09.30น. จึงจะเสวยพระกระยาหาร โดยเสวยมื้อเดียวมาตลอด
     
       พระ ดร.อนิลมาน เล่าว่า แขกที่มาเข้าเฝ้าพระองค์ บางวันมีจำนวนมากจนบางครั้งขณะที่พระองค์ทรงเสวยก็ยังมีมาเข้าเฝ้า
     
       “วันหนึ่งสมเด็จพระเทพฯ เสด็จมา ทอดพระเนตรเห็นมีแขกมาเข้าเฝ้า ขณะที่ สมเด็จพระสังฆราชกำลังเสวย สมเด็จพระเทพฯ ทรงเขียนป้ายบอกว่า ห้ามเข้าเฝ้าจนกว่าจะเสวยเสร็จ...เพราะทรงเห็นว่า พระองค์มีเวลาเสวยเพียงวันละมื้อเท่านั้น”
     
       สมเด็จพระสังฆราชจะบรรทมอีกทีประมาณ 1 ชั่วโมงหลังเสวยเสร็จ เมื่อตื่นบรรทมแล้วถ้ามีงานนิมนต์ก็จะเสด็จไป หรือถ้าเป็นช่วงเข้าพรรษา พระองค์จะเสด็จไปสอนพระใหม่ แต่ถ้าไม่ได้เสด็จไปไหน พระองค์จะใช้เวลาตลอดช่วงบ่าย ค้นคว้าตำรา ทรงอ่านหนังสือหรือทรงพระนิพนธ์
     
       ช่วงเวลา 16.00-18.00 น. ทรงเปิดพระตำหนักให้ญาติโยมได้เข้าเฝ้าอีกครั้ง จากนั้นถ้ามีเวลาเหลือ จะทรง
       ค้นคว้าและทรงพระนิพนธ์งาน หรือทรงเตรียมงานสำหรับวันต่อไป
     
       สมเด็จพระสังฆราชจะเข้าบรรทมทุกวันในเวลา 21.00 น. โดยก่อนบรรทมจะสวดมนต์เจริญภาวนาอีกครั้ง
     
       ทรงเป็นนักสื่อสารมวลชน
     
       หลายคนอาจจะไม่เคยทราบว่า สมเด็จพระสังฆราชเคยเป็น “นักจัดรายการวิทยุ” ด้วย โดย พระ ดร.อนิลมาน เล่าว่า ครั้งหนึ่งสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี หรือ สมเด็จย่า ทรงเคยขอให้สมเด็จพระสังฆราชจัดรายการวิทยุ ที่สถานี อส. เกี่ยวกับเรื่องธรรมะเมื่อปี 2510 เป็นต้นมา
     
       “พระองค์จะทรงเขียนบทวิทยุเอง เป็นบทสั้นๆ ประมาณ 10 นาที แล้วทรงอ่านอัดเทปเพื่อนำไปเปิดในรายการ ครั้งหนึ่งสมเด็จย่าทรงให้พระองค์ทรงเขียนเรื่องธรรมะสำหรับผู้ใหญ่ เพื่อนำไปออกอากาศ พระองค์จึงทำบทวิทยุเรื่อง “การบริหารจิตสำหรับผู้ใหญ่” โดยทำเป็นตอนๆ และในช่วงท้าย พระองค์กทรงนิพนธ์เรื่องจิตตนครขึ้นมา”
     
       นอกจากนี้ พระ ดร.อนิลมาลยังเปิดเผยว่า สมเด็จพระสังฆราชทางเป็นคนทันสมัยมาก เพราะครั้งหนึ่งพระองค์เคยเป็นคอลัมนิสต์เขียนบทความลงใน “ศรีสัปดาห์” ซึ่งเป็นนิตยสารของผู้หญิง
     
       ทรงเป็นกวีเอก
     
       อีกเรื่องหนึ่งที่น้อยคนนักจะรู้ว่า สมเด็จพระสังฆราชทรงเป็นกวีที่เก่งมาก ทรงแต่งโคลง ฉันท์ กาพย์ กลอนทุกประเภท ทั้งภาษาบาลีและภาษาไทยได้อย่างสละสลวย โดยเฉพาะ วันคล้ายวันพระราชสมภพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระสังฆราชทรงพระนิพนธ์กลอนถวายทุกปี
     
       เมื่อสมัยที่ทรงผนวชเป็นพระใหม่ สมเด็จพระสังฆราชเดินทางมายังกรุงเทพฯ เพื่อศึกษาพระปริยัติธรรมที่วัดบวรนิเวศวิหาร พระองค์ทรงสอบได้นักธรรมชั้นตรีได้เมื่อ พ.ศ. 2472 และทรงสอบได้นักธรรมชั้นโท และเปรียญธรรม 3 ประโยค ในปี พ.ศ. 2473
     
       แต่ครั้นสอบเปรียญธรรม 4 ประโยค ผลปรากฏว่า ทรงสอบตกทั้งๆ ที่ทรงตั้งพระทัยมาก ทำให้ทรงรู้สึกท้อแท้มาก พระ ดร.อนิลมาน เล่าว่า ทรงระบายความรู้สึกผิดหวังออกมาเป็นกลอน หลังจากนั้น พระองค์ก็ทรงใช้ความผิดหวังเป็นพลังกลับไปสอบใหม่จนจบเปรียญ 9
     
       รับสั่งได้ถึง 4 ภาษา
     
       พุทธศานิกชนมักจะเห็นว่า เหล่าแขกที่มาเข้าเฝ้าสมเด็จพระสังฆราชนั้น มีทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติมากมาย คำถามคือ สมเด็จพระสังฆราชทรงรับสั่งภาษาอังกฤษได้หรือไม่ เรื่องนี้ พระ ดร.อนิลมาน ได้เล่าว่า พระองค์มีพระปรีชามาก ทรงฝึกหัดภาษาต่างประเทศด้วยพระองค์เอง จนสามารถรับสั่งอย่างคล่องแคล่ว และทรงเขียนได้ 4 ภาษาคือ ภาษาอังกฤษ, ฝรั่งเศส, เยอรมัน และ จีน นอกจากนี้ ตัวอักษรที่ทรงอ่านและเขียนได้คล่องคืออักษรขอมโบราณ อักษรพม่า อักษรสิงหล และอักษรเทวนาครี
     
       พระนิพนธ์อันทรงคุณ
     
       พระ ดร.อนิลมาน เล่าว่า สมเด็จพระสังฆราชทรงนิพนธ์เรื่องต่างๆ ไว้เป็นอันมาก ทั้งที่เป็นตำรา พระธรรมเทศนา นิยายทั่วไป โดยพระนิพนธ์ล่าสุดเรื่อง “จิตตนคร” โดย พระธีรโพธิ ภิกขุ ได้จัดพิมพ์เป็นหนังสือภาพในชื่อ “จิตรกรรมเล่าเรื่องจิตตนคร” เพื่อฉลองพระชันษา 100 ปี
     
       “พระนิพนธ์มีมหาศาลมากที่กำลังจัดพิมพ์ขณะนี้ มีถึง 32 ซีรีย์ แต่ละเล่มหนาถึง 500หน้า ซึ่งเป็นธรรมะทุกระดับ”
     
       ครั้งหนึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงสดับฟังเทปของสมเด็จพระสังฆราชเรื่อง “สัมมาทิฏฐิ” ซึ่งเป็นธรรมะที่ลึกซึ้ง และทรงสนพระทัยมากจนขอประทานอนุญาตสมเด็จพระสังฆราช เพื่อพิมพ์ถวาย โดยในหลวงทรงพิสูจน์อักษรด้วยพระองค์เอง
     
       ส่ง”พระธรรมทูต”เผยแผ่ศาสนา
     
       สมเด็จพระสังฆราชทรงทันสมัยและมีวิสัยทัศน์ในเรื่องพระศาสนาอย่างกว้างไกล ปัจจุบันเราจะเห็นว่า มีพระไทยและวัดไทยที่ไปเผยแผ่พระพุทธทั่วโลก อันเนื่องมาจากพระดำริที่มองการณ์ไกลของพระองค์นั่นเอง
     
       เมื่อปี พ.ศ.2509 สมเด็จพระสังฆราชเป็นพระองค์แรก ที่ทรงดำริที่จะเผยแผ่พระพุทธศาสนาไปยังต่างประเทศ พระองค์จึงทรงเป็นประธานกรรมการอำนวยการ ฝึกอบรมพระธรรมทูตในต่างประเทศ
     
       “ตอนนั้นพระองค์ท่านทรงริเริ่มฝึกพระธรรมทูต โดยเลือกจากพระเณรให้ฝึกพูดภาษาอังกฤษก่อน จากนั้นก็ฝึกให้ใช้ชีวิตที่เปลี่ยนตามสภาพแวดล้อมได้ เพื่อง่ายต่อการส่งไปเผยแพร่ศาสนายังวัดในต่างประเทศ”
     
       จากพระธรรมทูตองค์แรกเมื่อปี 2509 จนถึงปัจจุบัน มีพระธรรมทูตที่ไปเผยแผ่พระพุทธศาสนา และสร้างวัดทั่วโลกถึง 200 แห่ง และในโอกาสฉลองพระชันษา 100 ปี เหล่าพระธรรมทูตก็ได้กลับมาที่วัดบวรฯ เพื่อสัมมนาตรวจสอบจิตวิญญาณแห่งพระธรรมทูตครั้งใหญ่ร่วมกัน
     
       เนื่องในวโรกาสที่ใต้ฝ่าพระบาทเจริญพระชนมายุ 100 พรรษา กองบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ เอเอสทีวี ผู้จัดการรายวัน ขอตั้งจิตอธิษฐาน ขออาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัย และอำนาจพระกุศลบารมี ที่ใต้ฝ่าพระบาททรงกระทำบำเพ็ญมา จงอภิบาลรักษาใต้ฝ่าพระบาทให้เสด็จสถิตเป็นบุญยฐานและประทีปธรรมของปวงพุทธบริษัทตลอดไป

ที่มา.ผู้จัดการ
----------------------------------------

อัยการของประชาชน !!??

นับตั้งแต่ยุค "กรมอัยการ" จนมาเป็นองค์กรอิสระ อันเป็นระยะเวลายาวนานนั้น เราแทบจะไม่เคยได้ยินคำว่า "อัยการของประชาชน" แต่ก็มีอย่างน้อยครั้งหนึ่งที่ ม.ร.ว คึกฤทธิ์ ปราโมช แสดงความคิดเห็นไว้ว่า ควรจะมี "อัยการเพื่อประชาชน"ความนัยก็คือ อยากเห็นอัยการทำงานเพื่อรักษาประโยชน์ของประชาชนจริง ๆ

 ทางแก้ปัญหาของเมืองไทยทุกวันนี้มีอยู่ทางเดียว ไม่ชั่วแต่ปัญหาเยาวชนเท่านั้น แต่ปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาการเมือง ปัญหาคอร์รัปชันสารพัด ทางนั้นคือตั้ง "ศาลตาแก่" และสถานพินิจมัชฌิมาชน" ขึ้น
   
ความจริงความผิดต่าง ๆ ของตาแก่นั้น หากจะเอาเรื่องกันจริง ๆ เพียงส่งตัวฟ้องศาลหลวงก็เอาเข้าคุกกันได้ถมเถไป แต่บางเรื่องก็ฟ้องไม่ได้ เป็นต้นว่าตาแก่เอาเด็กนักเรียนรุ่นสาวที่ยังเป็นเด็กนักเรียนรุ่นสาวที่ยังเป็นนักเรียนอยู่ไปเป็นเมียน้อย เมื่อตาแก่ชอบทำดังนี้ เด็กหนุ่มที่มันมอง ๆ กันอยู่ มันก็หัวเสีย พอร้อยพอดี ก็เข้าแก๊งประพฤติตนเป็นพวกไปเลย เรื่องพรรค์นี้แหละครับ ที่ "ศาลตาแก่" จะมีประโยชน์

 ปัญหาเรื่องตาแก่ที่เลวทรามยังลอยนวลอยู่ได้นั้น เป็นปัญหาใหญ่ เพราะตาแก่ไม่ทำตาแก่ด้วยกันทุกวันนี้ถ้าจะทำให้เป็นตัวเยี่ยงตัวอย่างกันจริงแล้ว ก็จะลากคอเข้าตะรางได้เป็นโขยง ๆ ขนาดเอาเงินสืบราชการลับที่ตั้งไว้ในงบประมาณรายจ่าย มาแจกลูกพรรคฝักถั่วเดือนละ ๒๐๐๐ บาทนั้น มันก็ตะรางแล้ว ที่ลอยนวลกันอยู่ได้ก็เพราะไม่มีใครฟ้อง

 ฉะนั้นพูดกันจริง ๆ ผมจึงอยากให้ใครออกกฎหมายตั้งคณะ "อัยการของประชาชน" ขึ้นสักคณะหนึ่ง ให้มีหน้าที่ฟ้องร้องเอาผิดเหล่านี้ได้ หากมีอัยการของประชาชนแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องมี "ศาลของประชาชน" หรอกครับ เพียงศาลหลวงเท่าที่มีอยู่ ก็เอาตาแก่เลว ๆ เข้าตะรางได้หมด" (ตอบปัญหาประจำวัน วันที่ ๒๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๐๑)

 ข้อความนี้มีประเด็นสำคัญตรง "อัยการของประชาชน"ความจริงรัฐก็มีอัยการอยู่แล้ว แต่ทำไม "คึกฤทธิ์ ปราโมช" จึงคิดขึ้นว่าควรมี "อัยการของประชาชน" ขึ้นมาอีกถ้าอัยการของรัฐ ทำงานเพื่อประชาชนอย่างเต็มที่ ท่านก็ได้ชื่อว่าเป็นอัยการของประชาชนน่าคิดว่าอัยการของรัฐทุกวันนี้ ทำงานเพื่อประชาชนได้ดีเพียงใด ?

 ผมจึงอยากให้ใครออกกฎหมายตั้งคณะ "อัยการของประชาชน" ขึ้นสักคณะหนึ่ง ให้มีหน้าที่ฟ้องร้องเอาผิดเหล่านี้ได้ หากมีอัยการของประชาชนแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องมี "ศาลของประชาชน" หรอกครับ เพียงศาลหลวงเท่าที่มีอยู่ ก็เอาตาแก่เลว ๆ เข้าตะรางได้หมด" (คึกฤทธิ์ ปราโมช)

 สมัยก่อน เราอยากเห็นอัยการของประชาชนครั้นเมื่อเห็นอัยการเป็นองค์กรอิสระแล้ว ก็ยังไม่เห็น "อัยการของประชาชน" อยู่นั่นเอง

ที่มา.สยามรัฐ
------------------------------------------------

ปมขัดแย้ง:ร่างกฏหมายงบประมาณสหรัฐ เสี่ยงตกหน้าผาการคลัง !!??

ปมขัดแย้ง "โอบามาแคร์" สหรัฐถึงจุดเสี่ยง"ตกหน้าผาการคลัง"

ภายใต้กฎหมายงบประมาณที่ผ่านความเห็นชอบ 39 ปีที่แล้ว สภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาต้องอนุมัติร่างกฎหมายจัดสรรงบประมาณสำหรับรัฐบาล จำนวน 12 ฉบับ ภายในวันที่ 30 ก.ย. อันเป็นวันสุดท้ายของปีงบประมาณ

แต่สิ่งดังกล่าวแทบไม่เคยทำได้จริง เพราะในช่วง 17 ปีที่ผ่านมา เกิดความขัดแย้งระหว่างพรรครีพับลิกันและเดโมแครต จนไม่สามารถอนุมัติร่างกฎหมายงบประมาณตามเส้นตาย

ในช่วงเวลาดังกล่าว สภาอยู่ภายใต้การนำของพรรครีพับลิกัน 10 ปี และอยู่ภายใต้การนำของพรรคเดโมแครต 4 ปี แต่ในช่วง 2 ปี ซึ่งสองพรรคมีเสียงข้างมากในคนละสภา คือสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา ปรากฏว่าไม่สามารถอนุมัติร่างกฎหมายใช้จ่ายได้ทันตามกำหนด

มาในปีนี้ พรรครีพับลิกันซึ่งครองเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร ใช้โอกาสนี้ขัดขวาง "โอบามาแคร์" หรือการปฏิรูประบบประกันสุขภาพ อันเป็นผลงานชิ้นสำคัญของประธานาธิบดีบารัก โอบามา ที่ขยายการประกันสุขภาพให้แก่ผู้ไม่มีประกัน โดยสภาผู้แทนราษฎรได้ผ่านร่างกฎหมายใช้จ่ายชั่วคราวเพื่อให้รัฐบาลเปิดทำการต่อไปได้แต่ไม่ให้เงินอุดหนุนโอบามาแคร์ ซึ่งจะมีผลบังคับใช้วันที่ 1 ต.ค. แต่วุฒิสภาซึ่งอยู่ภายใต้การนำของพรรคเดโมแครตไม่ผ่านร่างกฎหมายใช้จ่ายดังกล่าวในกรณีที่มีการพ่วงการตัดงบโอบามาแคร์

ตอนแรกนายจอห์น โบห์เนอร์ ประธานสภาผู้แทนราษฎร ลังเลที่จะพ่วงโอบามาแคร์ไปกับร่างการใช้จ่าย เพราะกลัวว่าการปิดหน่วยงานรัฐจะทำให้พรรครีพับลิกันสูญเสียคะแนนนิยมและตัดโอกาสตัวเองในการเลือกตั้งอีกสมัย แต่สมาชิกกลุ่มที พาร์ตี (Tea Party) ซึ่งมีแนวคิดสุดขั้วและมีอิทธิพลในสภาผู้แทนราษฎร จับมือกับวุฒิสมาชิกเทด ครูซ บีบให้นายโบห์เนอร์พ่วงการตัดงบโอบามาแคร์เข้าไปด้วย

เมื่อสภาสูงตีกลับร่างใช้จ่ายของสภาล่างที่พ่วงเงื่อนไขมาด้วย หน่วยงานภาครัฐจึงต้องปิดทำการเมื่อเข้าสู่ปีงบประมาณใหม่

อย่างไรก็ตาม ในการปิดทำการนั้น หน่วยงานภาครัฐไม่ได้ยุติการทำหน้าที่อย่างสิ้นเชิง เพราะตามกฎหมายนั้นบางหน่วยงานต้องเปิดทำการโดยเจ้าหน้าที่ไม่ได้เงินเดือน เจ้าหน้าที่ในส่วนนี้ได้แก่เจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคงแห่งชาติ รวมถึงผู้มีหน้าที่ด้านความสัมพันธ์กับต่างประเทศ เจ้าหน้าที่ที่มีหน้าที่จ่ายเงิน เจ้าหน้าที่ที่ทำหน้าที่จำเป็นในการคุ้มครองชีวิตและทรัพย์สิน ส่วนการดำเนินงานที่ไม่ได้งบโดยตรงจากกระทรวงการคลังจะเปิดทำการต่อไป ในจำนวนนี้การไปรษณีย์

จริงๆ แล้ววุฒิสภากับสภาผู้แทนราษฎร งัดข้อกันเรื่องงบประมาณของรัฐบาลกลางมาตั้งแต่พรรคเดโมแครตสูญเสียเสียงข้างมากในสภาล่างเมื่อปี 2553 รวมถึงเมื่อกรณีเกิดหน้าผาการคลัง และเมื่อปี 2554 ซึ่งทั้งสองพรรคตกลงตกลงกันได้ในนาทีสุดท้าย

อย่างไรก็ตาม นอกจากร่างกฎหมายใช้จ่ายแล้ว ยังมีการเพิ่มเพดานหนี้เพื่อให้รัฐบาลกู้ยืมเงินได้มากขึ้นภายในกลางเดือนต.ค. จากเพดานปัจจุบันที่ 16.7 ล้านล้านดอลลาร์ โดยนับจากปี 2544 มีการเพิ่มเพดานหนี้มาแล้ว 13 ครั้ง

หากการปิดหน่วยงานรัฐไม่ได้รับการแก้ไขภายในเวลาประมาณ 1 สัปดาห์ ทั้งสองประเด็นจะกลายเป็นการเผชิญหน้าที่อาจไม่ส่งผลต่อข้าราชการเท่านั้น แต่ยังรวมถึงเศรษฐกิจโลกด้วย

สำหรับ "โอบามาแคร์" ที่พรรครีพับลิกันคัดค้านมาตลอด และล่าสุดพ่วงเงื่อนไขการตัดงบสำหรับโอบามาแคร์เข้าไปในร่างใช้จ่ายแต่สภาสูงภายใต้การนำของพรรครีพับลิกันตีกลับนั้น มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า กฎหมายดูแลสุขภาพที่เข้าถึงได้

นับเป็นความสำเร็จด้านนโยบายภายในประเทศครั้งใหญ่ของโอบามา ซึ่งมุ่งที่จะให้บริการด้านสุขภาพแก่ประชาชนที่ไม่ได้ทำประกันจำนวนหลายล้านคน จนอาจกล่าวได้ว่าเป็นโครงการสวัสดิการสังคมของสหรัฐที่มีความครอบคลุมมากที่สุดนับตั้งแต่โครงการ "เมดิแคร์" เมื่อทศวรรษ 60

โครงการนี้กำหนดให้มีแผนการสุขภาพในวงกว้างแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน นอกจากนั้นยังกำหนดให้ชาวอเมริกันต้องมีประกัน ไม่เช่นนั้นจะถูกปรับ

พรรครีพับลิกันพยายามต่อสู้มาหลายเดือนเพื่อยืดเวลาหรือหยุดยั้ง "โอบามาแคร์" พร้อมกล่าวหาว่าข้อกำหนดในโอบามาแคร์ ทำให้ภาคธุรกิจและกลุ่มบุคคล ต้องเสียค่าใช้จ่ายด้านประกันสุขภาพมากขึ้น

ข้อดีของโอบามาแคร์คือลดค่าใช้จ่ายด้านการดูแลสุขภาพโดยรวมลง เพราะทำให้คนจำนวนมากขึ้นสามารถทำประกันได้ แต่ข้อเสียคือจะเพิ่มต้นทุนการดูแลสุขภาพในระยะสั้น ขณะที่พรรครีพับลิกันระบุว่าโอบามาแคร์จะดันค่าใช้จ่ายด้านประกันให้สูงขึ้น และทำให้คนอเมริกันทั่วไปดำรงชีวิตอย่างยากลำบากมากขึ้น

นอกจากนั้น "โอบามาแคร์" ยังไม่ได้รับความนิยมมากนัก และกลุ่มต่อต้านโอบามาแคร์ได้ใช้เงินหลายร้อยล้านดอลลาร์เพื่อจัดทำโฆษณาทางโทรทัศน์ ขณะเดียวกัน ผู้ที่น่าจะได้ประโยชน์จากโครงการนี้จำนวนหลายล้านคน กลับไม่ทราบว่ามีการปฏิรูประบบประกันสุขภาพครั้งใหญ่

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
------------------------------------------------------

วันพุธที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2556

การศึกษาไทย : ถึงตกอันดับ ก็ไม่ได้แย่อย่างที่คิด !!??

ความเห็นต่าง: การศึกษาไทยไม่ได้แย่อย่างที่คิด

โดย ชนาธิป สุกใส
มหาวิทยาลัยสยาม

“ตื่นตระหนก” กันยกใหญ่ในสังคมไทย และกลายเป็นประเด็นถกเถียงในสื่อสังคมออนไลน์ต่าง ๆ ชั่วข้ามคืน ทันทีที่ทราบว่า World Economic Forum (WEF) หน่วยงานอิสระระดับโลก ได้ออกมาระบุว่า คุณภาพการศึกษาของไทยอยู่ในอันดับที่ 78 จาก 144 อันดับ ตามหลังกัมพูชาและเวียดนาม

รายงานที่ WEF ตีแผ่มีชื่อว่า Global Information Technology Report 2013 ความยาว 381 หน้า แบ่งหัวข้อหลักในการนำเสนอเป็น 4 บทใหญ่ ๆ แต่ส่วนที่จะนำมาวิเคราะห์และแตกประเด็นในบทความฉบับนี้ คือ

บทที่ 4 ว่าด้วยข้อมูลตาราง (Part 4: Data Tables) ดัชนีย่อยที่ 2 ด้านความพร้อม (Readiness Subindex) เสาหลักที่ 5 ทักษะความชำนาญ (5th pillar: Skills) ส่วนของมาตรฐานของระบบการศึกษา (Quality of the Educational System) เกณฑ์การให้คะแนนของ WEF คือ มีคะแนนเต็ม 7
สิ่งที่สื่อไทยนำเสนอ

คุณภาพของระบบการศึกษาอันดับที่ 1 ของโลก คือ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ได้คะแนนเต็ม 7 อันที่ 2 และ 3 คือ ฟินแลนด์ และสิงคโปร์ โดยมีคะแนนเท่ากันที่ 5.8 ส่วนประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 78

สื่อไทยขีดเส้นใต้และเน้นย้ำว่า คุณภาพระบบการศึกษาไทยล้มเหลวตามหลังกัมพูชาและเวียดนาม ที่รั้งอันดับที่ 58 และ 72 (Benat Bibao-Osorio, Soumitra Dutta, and Bruno Lanvin (2013), The Global Information Technology Report 2013)

ยิ่งไปกว่านั้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา) ยังออกมายอมรับอีกว่า “การศึกษาไทยห่วยจริงและกล่าวเพิ่มเติมว่า การศึกษาไทยถูกประเมินในระดับนานาชาติหลายครั้ง ผลที่ได้ก็แสดงให้เห็นว่าเรายังทำได้ไม่ดีจริง ๆ แม้ผลอาจไม่ตรงร้อยเปอร์เซ็นว่า ประเทศไทยอยู่ลำดับนั้นจริงหรือไม่ แต่อย่างน้อยก็แสดงให้เห็นว่าการศึกษาไทยมีปัญหาอยู่มาก”

ดังนั้น ความตระหนกตกใจจากข่าว ประกอบกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งเป็นผู้ที่มีอำนาจหน้าที่โดยตรง ในการจัดการระบบการศึกษาของประเทศออกมายอมรับ ผสมกับความเชื่อดั้งเดิมและทัศนคติเชิงลบของคนไทยที่มีต่อระบบการศึกษาไทยในปัจจุบัน จึงได้ข้อสรุปในใจขึ้นมาทันทีว่า ระบบการศึกษาไทยนั้นล้มเหลว ความจริงก็คือ นี่แหละสิ่งที่คนไทยส่วนใหญ่รับรู้ (เพียงมุมหนึ่ง)



The Global Information Technology Report 2013

สิ่งที่สื่อไทยไม่ได้นำเสนอ

จากรายงานฉบับเดียวกันนี้ อังกฤษ สหรัฐอเมริกา ฝรั่งเศส และญี่ปุ่น ถูกจัดอยู่ในอันดับที่ 27, 28, 41 และ 43 ตามลำดับ ส่วนประเทศชั้นนำที่ตามหลังไทย แต่สื่อไทยไม่ได้กล่าวถึง คือ สเปน รัสเซีย และอิตาลี ซึ่งอยู่ในอันดับที่ 81, 86 และ 87 มาถึงจุดนี้ หลายท่านคงแปลกใจว่า เกิดอะไรขึ้นกับระบบการศึกษาของประเทศที่พัฒนาแล้วอย่าง สเปนและอิตาลี โดยเฉพาะอย่างยิ่งอังกฤษและสหรัฐอเมริกา ทำไมไม่อยู่ใน Top Ten และอยู่ห่างจากสิงคโปร์ ซึ่งอยู่อันดับ 3 และมาเลเซีย ซึ่งอยู่อันดับ 14 อย่างไม่เห็นฝุ่น

ขัดกับความเชื่อเดิมมาโดยตลอดว่า ระบบการศึกษาของอังกฤษและสหรัฐอเมริกานั้นต้องเป็นที่หนึ่ง เนื่องจากมีความเป็นเลิศทางวิชาการที่ยาวนาน มีงานวิจัยที่มีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับ เป็นที่ตั้งของสถาบันการศึกษาชั้นนำของโลก และคนไทยนิยมส่งลูกหลานไปเรียนต่อ ตั้งแต่ระดับ High School จนถึงระดับ Ph.D

ยิ่งไปกว่านั้น เกิดอะไรขึ้นในแดนหมีขาวรัสเซีย ซึ่งถือเป็นประเทศที่ผลิตนักวิทยาศาสตร์และนักคณิตศาสตร์เอกชั้นนำของโลก แต่ทำไมระบบการศึกษาของรัสเซียจึงแย่กว่าไทย? เกิดอะไรขึ้นกับคุณภาพการศึกษาของอังกฤษและสหรัฐอเมริกา? รายงานฉบับนี้ใช้เกณฑ์ใดเป็นตัววัดตัดสิน?

มีประเทศใดหรือไม่นอกจากประเทศไทยที่เดือดร้อนกับรายงานของ WEF? และที่สำคัญที่สุดผลการศึกษานี้เชื่อถือได้หรือไม่?

ข้างต้นคือสิ่งที่สื่อไทยไม่ได้นำเสนอเลยแม้แต่น้อย ไม่มีการวิพากษ์วิจารณ์ ไม่มีการตั้งคำถามเชิงโต้แย้ง ไม่มีการนำเสนอข้อมูลในชุดเดียวกันนี้ให้ครบถ้วน ทั้ง ๆ ที่ข้อมูลเหล่านี้อยู่ในหน้าเดียวกัน

ความจริงคืออะไร?

ความจริงคือ รายงานฉบับนี้เป็นเพียง “การสำรวจความคิดเห็น (Opinion Survey)” ดังนั้น การเก็บข้อมูลต่าง ๆ จึงได้มาจากการสอบถามความคิดเห็นล้วน ๆ โดยไม่ได้มีการอภิปรายผลการวิเคราะห์ข้อมูลเหมือนงานวิจัยเชิงวิชาการทั่วไป และไม่ได้มีการเก็บข้อมูลในส่วนอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง



5th pillar: Skills / The Global Information Technology Report 2013, p.363

ดังนั้น เมื่อทราบความจริงดังนี้แล้ว ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องประหลาดใจ ตกใจ หรือเศร้าใจว่า ทำไมคุณภาพของระบบการศึกษาไทยถึงเป็นเช่นนั้น เพราะการได้มาซึ่งข้อมูลของ WEF ถือเป็นอัตวิสัย (Subjective) โดยแท้ ผลการสำรวจจึงออกมาเป็นเช่นนั้น อย่างไรก็ดี นี่ก็ถือว่าเป็นผลสะท้อนกลับให้พิจารณาถึงความรับรู้ของคนไทยต่อระบบการศึกษาไทยว่า คนไทยเองไม่มีความเชื่อมั่นต่อคุณภาพของระบบการศึกษาไทย และคนไทยส่วนใหญ่ก็ยังมีทัศนะเชิงลบต่อระบบการศึกษาไทยในภาพรวม
ข้อมูลที่น่าสนใจอีกด้านหนึ่ง: รายงาน “นักศึกษาต่างชาติที่ศึกษาในสถาบันอุดมศึกษาไทย”

ผมในฐานะคนตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งที่อยู่ในแวดวงการศึกษาไม่เชื่อว่า คุณภาพของการศึกษาไทยจะย่ำแย่ถึงขนาดนั้น เนื่องจากได้มีโอกาสอ่านรายงานของสำนักคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) เรื่อง นักศึกษาต่างชาติที่ศึกษาในสถาบันอุดมศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอุดศึกษา ปีการศึกษา 2555 (ธีรธร ลิขิตพงศธร, (2556), น. 7-10, นักศึกษาต่างชาติที่ศึกษาในสถาบันอุดมศึกษา ปีการศึกษา 2555)

รายงานนี้มีข้อมูลที่น่าสนใจอีกแง่มุมหนึ่ง และผมขอเรียนสรุปในประเด็นสำคัญ ดังนี้
รายงานฉบับนี้โดยเป็นการรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับนักศึกษาต่างชาติที่ศึกษาในสถาบันอุดมศึกษา ทั้งในสังกัดและในกำกับของสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ
รวบรวมจากสถาบันอุดมศึกษาภาครัฐและเอกชนที่มีนักศึกษาต่างชาติอยู่ในช่วงระยะเวลาตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2553 – เดือนกรกฎาคม 2554 จำนวนทั้งสิ้น 103 แห่ง
ผลการศึกษาที่สำคัญของรายงานฉบับนี้ พบว่า
นักศึกษาต่างชาติอยู่ในสถาบันอุดมศึกษาไทย จำนวน 20,309 คน จาก 130 ประเทศ
นักศึกษาต่างชาติที่เข้ามาศึกษาในสถาบันอุดมศึกษาไทยมากที่สุด ได้แก่ นักศึกษาจากประเทศจีน (8,444 คน) รองลงมาได้แก่ พม่า (1,481 คน) ลาว (1,344 คน) เวียดนาม (1,290 คน) และกัมพูชา (955 คน) ตามลำดับ
สาขาที่นักศึกษาต่างชาติเลือกเรียนในสถาบันอุดมศึกษาไทยมากที่สุด ได้แก่ สาขาบริหารธุรกิจ รองลงมาได้แก่ ธุรกิจระหว่างประเทศ ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ และการตลาด ตามลำดับ
นักศึกษาต่างชาติส่วนใหญ่ที่เข้ามาศึกษาในสถาบันอุดมศึกษาไทยและของรัฐและเอกชน เข้ามาศึกษาด้วยทุนส่วนตัว รองลงมาได้แก่ ทุนจากหน่วยงานไทย และทุนจากต่างประเทศ

ผลการศึกษาของรายงานฉบับนี้สามารถสรุปได้ว่า การศึกษาของประเทศไทยยังเป็นที่น่าดึงดูดต่อนักศึกษาชาวต่างชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักศึกษาจากทวีปเอเชีย บอกเป็นนัยได้ว่า ระบบการศึกษาไทยในสายตาคนต่างประเทศนั้นไม่ได้ย่ำแย่อย่างที่คิด มีนักศึกษาจากประเทศเพื่อนบ้านทั้งจากพม่า ลาว เวียดนาม และกัมพูชา รวมทั้งสิ้นมีจำนวนหลายพันคนตั้งใจที่จะมาศึกษาเล่าเรียนในประเทศไทย

โดยนักศึกษาส่วนใหญ่ใช้เงินทุนส่วนตัวของตนเองเป็นเงินสนับสนุนทั้งสิ้น จากข้อนี้เองก็ได้ข้อสรุปอีกประการหนึ่งที่สำคัญว่า การที่นักศึกษาต่างชาติตัดสินใจมาเรียนในสถาบันอุดมศึกษาไทย ไม่ได้เป็นเพราะว่ามีทุนการศึกษา (Scholarship) หรือทุนให้เปล่า (Grant) ให้ เขาจึงมาเรียน แต่เป็นเพราะว่า เขาเล็งเห็นว่าการศึกษาของไทยในหลาย ๆ สาขามีศักยภาพ เช่น สาขาบริหารธุรกิจ ธุรกิจระหว่างประเทศ ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ และการตลาด



photo from thoughtsofaindianteenager

บทความฉบับนี้ จึงเป็นการให้ข้อมูลอีกด้านหนึ่งที่สะท้อนมุมมองของนักศึกษาต่างชาติต่อระบบการศึกษาของไทยว่า การศึกษาของไทยยังมีความน่าดึงดูดอยู่พอสมควร และไม่ได้แย่อย่างที่รายงานของ WEF ได้ระบุ

ดังนั้น การจะสรุปความว่าคุณภาพการศึกษาไทย “ดีหรือไม” มีความจำเป็นต้องพิจารณาจากหลายองค์ประกอบทั้งในมิติด้านลึกและด้านกว้าง บางครั้งต้องตัดในส่วนของความรู้สึกและความรับรู้ดั้งเดิมออกไป

แน่นอนว่าการสรุปความนั้น เราคงไม่สามารถมองตัวเองแล้วสรุปความด้านเดียวได้ ทว่า ต้องมองให้รอบด้านไปถึงทัศนคติและความคิดของนักศึกษาต่างชาติที่มองมาที่เรา รวมทั้งการใช้ข้อมูลและสถิติเชิงตัวเลขเข้ามาเป็นส่วนประกอบในการสรุปความด้วย

ที่มา.Siam Intelligence Unit
++++++++++++++++++++++++++++++

จีน : หัวรถจักรสายบูรพา !!



ถึงแม้ว่าในช่วงกลางปีที่ผ่านมา เศรษฐกิจประเทศจีนเกิดการชะลอตัว และกลายเป็นความกังวลของนักธุรกิจบ้าง แต่ไม่ทันไร จีนก็สามารถแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นได้อย่างน่าชื่นชม ทำให้เศรษฐกิจจีนกลับมาผงาดเป็น "พี่ใหญ่" ในเอเชียอีกครั้ง

โดย ดร.สารสิน วีระผล รอง กก.ผจก.ใหญ่บริการเครือเจริญโภคภัณฑ์ จำกัด

"จีน" ไม่เพียงแต่เป็นโรงงานของโลก แต่ในวันนี้ จีนได้เปลี่ยนสถานภาพกลายเป็นนักลงทุนใหญ่สุดของโลก เพราะมีทั้งเม็ดเงินและเทคโนโลยีทันสมัย ก้าวสู่การเป็นประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจของโลก เป็นผู้สร้างพลังทางเศรษฐกิจแก่เอเชีย โดยผงาดขึ้นเป็น หัวรถจักรขบวนใหญ่ที่สุดในบูรพาภิวัฒน์ ยุคปัจจุบันนับจากนี้ต่อไปเงินทุนของจีนจะไหลเทไปยังทั่วทุกภูมิภาคทั่วโลก โดยเฉพาะซีกโลกตะวันตกอย่างต่อเนื่องไปหลายทศวรรษ สิ่งท้าทายสำหรับประเทศต่าง ๆ ในเอเชีย รวมทั้งไทย คือ การสร้างพันธกิจใหม่ (New Mission) ของบูรพาภิวัฒน์ เพื่อให้มีความสามารถในการปรับตัวให้เข้ากับกระแสโลกาภิวัตน์ในยุคใหม่ ซึ่งจะเป็น พลังสำคัญ ในการทำให้เอเชียผงาดขึ้นมาอีกครั้ง

โดยเฉพาะประเทศไทย หากไม่ปรับเปลี่ยนหัวรถจักรให้ไปได้กับจีน ก็อาจจะตกขบวนรถสายบูรพาภิวัฒน์นี้ก็เป็นได้ การสร้างพันธกิจใหม่แห่งบูรพาภิวัฒน์นั้นจะสำเร็จหรือไม่ ขึ้นกับปัจจัยสำคัญ 2 ประการ คือผู้นำและความพร้อมของคน

ประการแรก "ผู้นำ" ทุกประเทศในเอเชียจะต้องมีวิสัยทัศน์ในการผลักดันประเทศให้พัฒนา และเติบโตไปพร้อมกับกระแสบูรพาภิวัฒน์ ผู้นำประเทศจะต้องกำหนดทิศทางการพัฒนาประเทศให้ชัดเจน มีนโยบายและยุทธศาสตร์ที่เป็นรูปธรรมต่อการสนับสนุนการใช้ทรัพยากรที่มีให้เกิดประโยชน์สูงสุด

ประการที่สอง "คน" หรือความพร้อมของทรัพยากรมนุษย์ ปัจจุบันโลกมีโอกาสรออยู่ และต้องการคนที่มีคุณสมบัติพร้อม แต่ในโลกจริงของธุรกิจไม่เป็นเช่นนั้น ซึ่งสิ่งสำคัญที่สุดต่อการอยู่รอดขององค์กรในยุคโลกาภิวัตน์อยู่ที่การเตรียมพร้อมของคน

แต่ปัจจุบันพบว่าทั้งนายจ้างและลูกจ้างต่างรู้สึกว่า "งาน" กับ "คุณสมบัติ" ของคนทำงานไม่ตรงกัน มหาวิทยาลัยผลิตบุคลากรไม่ตรงกับความต้องการของตลาด

ไมเคิล บลูมเบิร์ก นายกเทศมนตรีนครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา กล่าวถึงเรื่องการศึกษาไว้อย่างน่าสนใจและท้าทายต่อระบบการศึกษาซึ่งเป็นระบบสำคัญของสังคมในการพัฒนาคน นายกเทศมนตรีนครนิวยอร์กกล่าวว่า ต่อไปนี้ ถ้ามีลูกมีหลานจะไม่ส่งให้เรียนมหาวิทยาลัยแล้ว จะส่งไปเรียนด้านวิชาชีพ เพราะการเรียนมหาวิทยาลัยสิ้นเปลืองและไม่คุ้มกับที่ต้องลงทุนเรียนถึง 4 ปี จบมาแล้วก็ยังหางานทำยาก ในขณะที่จบด้านวิชาชีพ เช่น ช่างไฟ ช่างประปา สามารถหางานทำได้ทันที

มองกลับมาที่ประเทศไทย การปรับตัวของธุรกิจไทยเพื่อรองรับการเติบโตของประเทศในโลกตะวันออกภายใต้บูรพาภิวัฒน์รอบใหม่ ต้องยอมรับว่า "สถาบันการศึกษา" มีบทบาทสำคัญมากในการผลิตบุคลากรออกมาให้รองรับกับงานภายใต้การผงาดขึ้นของเอเชียครั้งนี้ ระบบการเรียน 4 ปีในมหาวิทยาลัย ไม่ใช่ทางออกในการสร้างคน

แต่ทางออกที่น่าสนใจ คือพัฒนาระบบการเรียนการสอนในลักษณะ Dual Track คือเรียนไปด้วยเสริมสร้างประสบการณ์การทำงานไปด้วย คือการปฏิบัติงานจริงไปด้วย เพื่อสร้างบัณฑิตที่มีคุณภาพทั้งในเชิงวิชาการและสามารถปฏิบัติงานได้จริง โดยเน้นหลักสูตรการเรียนทฤษฎีควบคู่กับการเรียนปฏิบัติ หรือฝึกงานตรงกับสาขาวิชาที่เรียนจริง ๆ (Work Based Learning)

ยกตัวอย่าง สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ ที่เครือเจริญโภคภัณฑ์ โดย บมจ.ซีพี ออลล์ ก่อตั้งขึ้นมาเพื่อสร้างคนให้กับภาคธุรกิจ ป้อนคนให้กับธุรกิจของตัวเอง และยังมีหน่วยงานหรือองค์กรอื่น ๆ อีกหลายองค์กรที่ได้ปฏิบัติสร้างหน่วยงานผลิตบุคลากรเช่นเดียวกัน

ดังนั้น เมื่อมองดูภาพรวมของเศรษฐกิจเอเชียแล้วจะเห็นว่า "หัวรถจักร" ของประเทศไทยจะเป็นแบบถึงก็ช่าง ไม่ถึงก็ช่างอีกต่อไปไม่ได้แล้ว เพราะมีคำถามว่าไทยจะตกขบวนหรือไม่ ?

ถึงเวลาแล้วที่ประเทศไทยต้องเปลี่ยนหัวรถจักรให้เข้ากันได้กับหัวขบวนใหญ่อย่างจีน เพราะรถไฟขบวนนี้จะนำไทยให้ก้าวไปถึงรถไฟขบวนโลก เพราะมิเช่นนั้นเชื่อได้ว่าประเทศไทยจะต้องตกขบวนอย่างแน่นอน

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
//////////////////////////////////////////////

ดัชนีเชื่อมั่นธุรกิจ ต่ำรอบ 20 เดือน !?

ดัชนีความเชื่อมั่นธุรกิจต่ำสุดในรอบ 20 เดือน ธปท.เตรียมหั่นเป้าเศรษฐกิจไทยในปีนี้ลง จากเดิมคาดขยายตัว4.2% เผยเงินไหลออก 4.6 พันล้านดอลลาร์

นายเมธี สุภาพงษ์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายนโยบายเศรษฐกิจการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ภาวะเศรษฐกิจในเดือนส.ค. 2556 ดุลบัญชีเดินสะพัด เริ่มกลับมาเกินดุลอีกครั้งที่ 1,285 ล้านดอลลาร์ ถือเป็นการเกินดุลครั้งแรกในรอบ 3 เดือน จากที่เดือนก่อนติดลบ 1,639 ล้านดอลลาร์

"ตัวเลขในเดือนส.ค. เริ่มมีสัญญาณทรงตัวขึ้นจากเดือนก่อน แต่ในขณะเดียวกันก็ยังไม่สามารถบอกได้ว่าภาวะเศรษฐกิจไทยนั้น ได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว"

นายเมธี กล่าวว่า ในเดือนส.ค. การส่งออกปรับตัวดีขึ้น และดัชนีอุปโภคบริโภคภาคเอกชนขยายตัว 0.6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เช่นเดียวกับการลงทุนภาคเอกชน ที่ปรับตัวลดลงจากเดือนก่อน 0.1% ตามการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากฐานการบริโภคในประเทศที่ขยายตัวขึ้น โดยภาพรวมในช่วงไตรมาสที่ 3 เศรษฐกิจไทยน่าจะอยู่ในภาวะที่ทรงตัว

นายเมธี กล่าวว่า แม้ดุลการค้าและดุลบัญชีเดินสะพัดจะเกินดุล และอาจมีผลให้ดึงดูดเงินทุนต่างประเทศไหลกลับเข้ามาในไทยมากขึ้น แต่ภาวการณ์เศรษฐกิจโลกนั้น ยังคงมีปัญหาอยู่ทั้งเศรษฐกิจสหรัฐที่มีปัญหาเรื่องเพดานหนี้สาธารณะของสหรัฐใกล้เต็มเพดาน

"เชื่อว่าสหรัฐจะผ่านปัญหานี้ไปได้ แต่อาจเป็นการตัดสินใจในนาทีสุดท้าย และเศรษฐกิจในยุโรปยังชะลอตัวอยู่ อาจทำให้เงินทุนยังไม่เคลื่อนย้ายกลับเข้ามาในไทยอย่างรวดเร็ว"

จ่อหั่นเป้าเศรษฐกิจลงต่ำ 4.2%

นายเมธี กล่าวอีกว่า การลงทุนภาครัฐนั้นเริ่มมีปัญหาในการเบิกจ่ายงบประมาณลงทุนด้านชลประทาน และคมนาคมค่อนข้างล่าช้า และมีความห่วงในเรื่องการเบิกจ่ายงบประมาณจากโครงการลงทุน 2 ล้านล้านบาทได้ล่าช้านั้น ไม่น่าจะมีผลกระทบอะไรกับเศรษฐกิจมากนัก เพราะที่ผ่านมารัฐบาลก็มีการเบิกจ่ายงบประมาณล่าช้าในหลายโครงการ แต่ก็มีการเร่งรัดการเบิกจ่ายได้ในที่สุด

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเศรษฐกิจไทยจะมีสัญญาณที่ทรงตัว แต่ ธปท.จะยังคงทบทวนประมาณการตัวเลขการเติบโตของเศรษฐกิจไทย จากเดิมที่คาดการณ์ว่าจีดีพีจะขยายตัวที่ 4.2% ซึ่งการทบทวนครั้งต่อไปจะมีการปรับลดประมาณการลงแน่นอน แต่จะลดเท่าไรต้องรอดูตัวเลขเศรษฐกิจในเดือนก.ย.-ต.ค. อีกครั้ง โดย ธปท.จะมีการแถลงข่าวในกลางเดือนต.ค. นี้

เงินไหลออก 4.6 พันล้านดอลล์

ในเดือนส.ค. มีดุลเงินทุนเคลื่อนย้าย มีเงินไหลออกสุทธิ 4,612 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน ที่มีเงินไหลออก 674 ล้านดอลลาร์ โดยแบ่งเป็นด้านสินทรัพย์ที่ไหลออกสุทธิ 1,799 ล้านดอลลาร์ และเป็นการไหลออกจากการออกไปลงทุนโดยตรงในต่างประเทศ การให้สินเชื่อการค้าของผู้ส่งออกที่มากขึ้นตามมูลค่าการส่งออก และการฝากเงินในต่างประเทศของสถาบันรับฝากเงิน และเงินเคลื่อนย้ายด้านหนี้สินที่ไหลออกสุทธิ 2,813 ล้านดอลลาร์

ส่วนใหญ่มาจากการขายหลักทรัพย์ของนักลงทุนต่างชาติ และการขายตราสารหนี้ เนื่องจากนักลงทุนคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐ จะปรับลดวงเงินการอัดฉีดสภาพคล่องเข้าระบบ นอกจากนี้ดุลการชำระเงินยังขาดดุล 3,435 ล้านดอลลาร์

นายเมธี กล่าวว่า ในส่วนการส่งออกนั้นเริ่มฟื้นตัวดีขึ้น จากอุปสงค์ด้านต่างประเทศที่เริ่มปรับตัวดีขึ้น ส่งผลให้การส่งออกไม่รวมทองคำนั้น มีมูลค่า 19,000 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 3.4% จากเดือนก่อน โดยมาจากภาคอิเล็กทรอนิกส์ที่มีการฟื้นตัวมากขึ้นตามความต้องการของเศรษฐกิจโลกที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น

แต่ในส่วนที่ส่งออกได้ลดลง ยังคงเป็นสินค้าการเกษตร ทั้งข้าวและยางพารา รวมถึงการส่งออกกุ้งที่ชะลอตัวลงจากโรคระบาดที่ยังไม่ดีขึ้น โดยกลุ่มประเทศไทยมีการส่งออกฟื้นตัวอย่างชัดเจน คือ กลุ่มประเทศอาเซียน ที่ขยายตัว 17.3% เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนที่ 8.6% และการส่งออกไปยังประเทศกลุ่มสหภาพยุโรปมีการขยายตัวเพิ่มขึ้น 14% จากเดือนก่อน ที่ 1.1%

ดัชนีเชื่อมั่นธุรกิจต่ำสุดรอบ 20 เดือน

นอกจากนี้ ดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจ เดือนส.ค. ที่ 47.5 ลดลงจาก 48.3 ในเดือนก.ค. และเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 20 เดือน ตามความเชื่อมั่นที่ลดลงของผู้ประกอบการ

ดัชนีความเชื่อมั่นด้านคำสั่งซื้อ ที่ลดลงในเดือนส.ค. เป็นการลดลงต่อเนื่องจากเดือนก่อน ของทั้งคำสั่งซื้อภายในประเทศและต่างประเทศ ในเกือบทุกภาคธุรกิจ

ขณะที่ ดัชนีความเชื่อมั่นด้านการลงทุน และการจ้างงาน ชี้ว่าประกอบการยังคงลงทุนและจ้างงานเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้า อย่างไรก็ตาม ทิศทางของดัชนีทั้ง 2 ตัว มีแนวโน้มลดลงต่อเนื่องนับจากต้นปี สะท้อนภาวะการลงทุนและการจ้างงานของธุรกิจเอกชนที่ชะลอลง

ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจใน 3 เดือนข้างหน้า ซึ่งสำรวจในเดือนส.ค. อยู่ที่ 51.7 ลดลงจาก 53.3 ที่สำรวจเมื่อเดือนก.ค. และเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 21 เดือน

ทั้งนี้ ทิศทางดัชนีความเชื่อมั่นคาดการณ์ 3 เดือนข้างหน้า ในเกือบทุกองค์ประกอบ ลดลงต่อเนื่องนับจากช่วงต้นปี โดยเฉพาะด้านคำสั่งซื้อจากทั้งในประเทศและต่างประเทศ สะท้อนความเชื่อมั่นต่อภาวะธุรกิจในอนาคตที่ลดลงเป็นลำดับ

สภาผู้ส่งออกหั่นเป้าเหลือ 2.5%

นายนพพร เทพสิทธา ประธานสภาผู้ส่งออกสินค้าทางเรือ กล่าวว่า การส่งออกไทย เดือนส.ค. 2556 มีมูลค่า 20,467.9 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 3.92% ในรูปเงินบาท มีมูลค่า 152,836 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.03% โดยตัวเลขการส่งออกของไทยเพิ่มขึ้นเป็นเดือนแรก หลังจากติดลบต่อเนื่องกันถึงสามเดือน

หากการส่งออกในช่วง 4 เดือนที่เหลือของปีนี้ สามารถทำได้โดยเฉลี่ยเดือนละ 20,500 ล้านดอลลาร์ ก็คาดว่าการส่งออกทั้งปีจะขยายตัวได้ 2.5%

สำหรับปัจจัยที่ต้องจับตาดู ยังคงเป็นความผันผวนของตลาดเงินและอัตราแลกเปลี่ยน และอาจจะมีผลไปถึงปี 2557 รวมถึงความไม่แน่นอนของการเมืองในตะวันออกกลางที่มีผลทำให้เศรษฐกิจโลกชะลอตัว และขีดความสามารถของไทยในหมวดสินค้าเกษตรที่ติดลบมาตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะผลกระทบจากต้นทุนค่าแรง 300 บาท และวัตถุดิบที่สูงขึ้น

"คาดว่าส่งออกปีนี้ อยู่ที่ 2.5% และจะมีผลทำให้อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) อยู่ที่ประมาณ 3-3.5% แต่ถ้าต้องการให้การส่งออกขยายตัวถึง 3% โดยเฉลี่ยแต่ละเดือน ต้องทำให้ได้ประมาณ 20,800 ล้านดอลลาร์ แต่คงเป็นไปได้ยาก โดยในไตรมาส 4 มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น เพราะว่าได้รับอานิสงส์จากการฟื้นตัวของคู่ค้าในตลาดหลัก ทั้ง สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และ สหภาพยุโรป และแรงหนุนจากราคาสั่งซื้อในช่วงปลายปีต้อนรับเทศกาลคริสต์มาส ซึ่งจะส่งให้ยอดส่งออกในช่วงสุดท้ายของปีมีทิศทางสดใส"

นายนพพร กล่าวว่า แนวโน้มการส่งออกปี 2557 มีความเป็นไปได้ที่จะขยายตัวตามที่กระทรวงพาณิชย์คาดการณ์ไว้ที่ 5-7% โดยมีเงื่อนไขว่าความผันผวนของตลาดเงินไม่มากนัก และอัตราแลกเปลี่ยนต้องสามารถแข่งขันกับภูมิภาคได้

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
-----------------------------------------------------

ADB : คาดการณ์ GDP ไทยปีนี้เหลือโต 3.8% !!??

เอดีบีหั่นคาดการณ์ จีดีพีไทยปีนี้ เหลือโต 3.8% จากเดิมคาดโต 4.9% ส่วนปีหน้าคาด จีดีพีโต 4.9% ลุ้นโครงการลงทุนรัฐตามแผน

นางลัษมณ อรรถาพิช เศรษฐกรอาวุโสประจำประเทศไทย ธนาคารพัฒนาเอเชีย (เอดีบี) กล่าวว่า เอดีบีคาดปีนี้เศรษฐกิจไทยขยายตัว 3.8% จากเดิมคาดไว้ที่ 4.9% จากนั้นในปี 57 จะขยายตัวในระดับ 4.9% ลดลงเล็กน้อยจากที่เคยคาดไว้ในระดับ 5% ทั้งนี้ อยู่บนสมมติฐานที่ภาครัฐสามารถเบิกจ่ายโครงการบริหารจัดการน้ำ 3.5 แสนล้านบาทได้มากขึ้น และเริ่มมีการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่ง 2 ล้านล้านบาทที่มีกำหนดระยะเวลา 7 ปีถึงปี 63 ช่วยให้เศรษฐกิจปีหน้าและปีต่อๆไปขยายตัวดีขึ้น

เศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีแรกขยายตัวต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ การส่งออกก็ชะลอตัวแรงกว่าที่คิด โดยปีนี้คาดจะขยายตัวได้เพียง 2% จากต้นปีคิดว่าน่าจะขยายตัวได้ 7% แต่ยืนยันไม่น่าจะเกิดวิกฤตเศรษฐกิจเหมือนปี 40 ตามที่หลายฝ่ายกังวล แม้ดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยจะขาดดุล 3,800 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 3.7% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ(จีดีพี)ในช่วงครึ่งแรกของปิ 56 แต่ประเมินว่าในปี 57 จะขาดดุลเพียงเล็กน้อยหรือสามารถกลับเข้าสู่ภาวะสมดุลได้ ประกอบกับเงินทุนสำรองระหว่างประเทศยังอยู่ในระดับสูงเพียงพอรองรับการนำเข้าได้ 7.6 เดือน"

อย่างไรก็ตาม เอดีบียังคงติดตามความเสี่ยงจากการลงทุนภาครัฐที่อาจล่าช้าออกไปอีกจะส่งผลกระทบต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในปีหน้า รวมถึงความเสี่ยงจากการขยายตัวของเศรษฐกิจประเทศอุตสาหกรรมหลัก และจีนที่อาจต่ำกว่าคาดการณ์ และยังต้องจับตามองสถานการณ์ทางการเมืองในประเทศที่อาจกลับมาตึงเครียดอีก

ทั้งนี้ เอดีบีมองว่าการอุปโภคบริโภคในประเทศคงเป็นตัวผลักดันเศรษฐกิจได้ยาก เพราะดัชนีความเชื่อมั่นยังปรับตัวลดลง จากหนี้สินภาคครัวเรือนที่สูงขึ้นในช่วงที่ผ่านมากระทบต่อการบริโภค ดังนั้น พระเอกในขณะนี้คือการลงทุนภาครัฐ หากทำได้เต็มที่ในปีหน้าก็จะช่วยกระตุ้นให้ภาคเอกชนลงทุนตามไปด้วย ขณะที่ปัจจัยดอกเบี้ยนโยบายยังอยู่ในระดับต่ำที่ 2.5% ซึ่งเอื้อต่อการลงทุนอยู่แล้ว อีกทั้งผลพวงจากเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้นน่าจะทำให้การส่งออกของไทยปีหน้าขยายตัวได้ในระดับ 7-8% และทำให้การลงทุนดีขึ้นตามไปด้วย

ส่วนผลกระทบจากปัญหางบประมาณของสหรัฐนั้น เอดีบีมองว่าภาวะ government shutdown จะเกิดขึ้นในระยะสั้นเท่านั้น ไม่น่าส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย เพราะเป็นเพียงการต่อรองทางการเมืองภายในของสหรัฐ ซึ่งสุดท้ายเชื่อว่าทางการสหรัฐจะสามารถเจรจาตกลงในเรื่องนี้และการขยายเพดานหนี้ได้ในที่สุด

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
------------------------------------------------

วันอังคารที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2556

เปิดประตู ภูฏาน : เพื่อนสนิทนอกอาเซียน !!??

เมื่อกล่าวถึงภูฏาน ประชาชนคนไทยต่างชื่นชมยินดีในพระกิจวัตรอันงดงามของพระราชวงศ์และประชาชน ชาวภูฏาน ซึ่งเป็นประเทศที่ได้ชื่อว่า "Land of Happiness" เป็นดินแดนที่คนไทยทุกคนใฝ่ฝันจะได้ไปเยือนสักครั้งหนึ่งในชีวิต

ความสำคัญของภูฏานมิได้มีเพียงเท่านี้ แต่ภูฏานยังเป็นประเทศที่มีความสำคัญ ทางการค้าการลงทุนที่ประเทศไทย ไม่ควรมองข้าม เพราะรัฐบาลภูฏานมี นโยบายส่งเสริมการค้าและการลงทุนที่เปิดกว้างมาก และยินดีต้อนรับนักลงทุนจากประเทศไทย

แม้ภูฏานจะไม่ใช่สมาชิกอาเซียน หรือเป็นภาคีกับกลุ่มประเทศอาเซียน แต่ สำหรับไทยกลับมีความรู้สึกว่าภูฏานคือหนึ่งในกลุ่มประเทศอาเซียน ซึ่งไทยมีความรู้สึกคุ้นเคยมากกว่าประเทศในอาเซียนบางประเทศเสียอีก ซึ่งก็ไม่แน่ว่า ในอนาคตภูฏานอาจเข้ามาเป็นหนึ่งในภาคีของอาเซียนก็ได้

ที่ผ่านมา รัฐบาลทั้งสองฝ่ายได้พยายามกระชับความสัมพันธ์ทางการค้าให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ล่าสุด เมื่อต้นเดือน นี้ไทยได้จัดการประชุมร่วมกับภูฏานเพื่อจัดทำร่างความตกลงว่าด้วยความร่วมมือทางการค้าและเศรษฐกิจ (Trade and Economic Cooperation Agreement between Thailand and Bhutan) จนประสบความสำเร็จ เพื่อเป็นการเร่งขยาย การค้าการลงทุนระหว่างประเทศ โดยนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และนายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์

นางพิรมล เจริญเผ่า อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า ตนและคณะได้ร่วมการประชุมกับภูฏาน ซึ่งประกอบด้วย Mr. Sonam P. Wangdi รองปลัดกระทรวงเศรษฐการของภูฏาน เพื่อจัดทำร่างความตกลงว่าด้วยความร่วมมือทางการค้าและเศรษฐกิจร่วมกัน โดยมีสาระสำคัญของความตกลงฯ ครอบคลุมความร่วมมือด้านการค้า การลงทุน การอำนวยความสะดวกทางการค้า การท่องเที่ยว ก่อสร้าง สุขภาพและการรักษาพยาบาล การศึกษา พลังงาน ลอจิสติกส์ รวมทั้งการพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและเล็ก ตลอดจนมีการจัดตั้งคณะกรรมการร่วมทางการค้า (Joint Trade Committee) เพื่อเป็นเวทีในการ ทบทวนพัฒนาการด้านการค้าและการลงทุน รวมทั้งหารือถึงแนวทางขยายการค้าระหว่างกัน โดยคาดว่าความตกลงฯ จะมีการลงนามภายในปลายปี 2556 หรือต้นปี 2557

นางพิรมล กล่าวอีกว่า ถึงแม้ภูฏานจะเป็นประเทศเล็ก ไม่มีทางออกทะเล แต่เป็นประเทศที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับไทย มีการนำเข้าสินค้าไทยเป็น มูลค่าเฉลี่ยปีละ 150,000 เหรียญสหรัฐ และในปี 2556 การส่งออกจากไทยไปภูฏาน เพิ่มขึ้นร้อยละ 98.97 นอกจากนั้นภูฏานยังเป็นประเทศที่เปิดโอกาสให้นักลงทุนเข้าไปลงทุนในหลายกิจการ รวม ถึงกิจการที่รัฐบาลดำเนินการอยู่แล้ว เช่น การพัฒนาส่งออกพลังงานน้ำ ซึ่งเป็นรายได้หลักของประเทศ การพัฒนาศูนย์การศึกษาในประเทศ ศูนย์ผลิตพืชออ-แกนิค ศูนย์ท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ เป็นต้น

นอกจากนี้ ภูฏานได้มีความตกลง FTA กับหลายประเทศ อาทิ อินเดีย บังกลาเทศ ปากีสถาน เป็นต้น เป็นสมาชิก ความตกลงการค้าเสรีระดับภูมิภาค เช่น SAARC และ BIMSTEC จึงนับว่าภูฏานเป็นประเทศที่ยังมีโอกาสให้นักลงทุนของไทยเข้าไปลงทุนและทำการค้ากับภูฏาน เพื่อส่งออกไปยังประเทศที่ภูฏานได้รับสิทธิพิเศษด้านภาษีเหล่านั้น

"โอกาสของประเทศไทย คือ การขยายการค้าการลงทุนไปตั้งในภูฏานเพื่อใช้สิทธิพิเศษทางด้านภาษีตาม FTA ที่ภูฏานมีกับคู่เจรจาสำคัญๆ ในเอเชียใต้ ได้แก่ อินเดีย บังกลาเทศ ปากีสถาน ซึ่งจะง่ายกว่าการไปตั้งธุรกิจในประเทศเหล่านั้น นอกจากนี้ โครงการ ใหญ่ที่สำคัญกำลังจะเปิดรับนักลงทุนต่างชาติ คือ โรงงานผลิตกระแสไฟฟ้าขนาด 10,000 เมกะวัตต์ และจะขยายเป็นอีก 3 เท่า ในอนาคตอันใกล้นี้ เพื่อส่งไปขยายต่อยังอินเดียและประเทศเพื่อนบ้าน ปัจจุบันมีอินเดียเป็นนักลงทุนรายใหญ่"

"โอกาสยังเปิดกว้างสำหรับธุรกิจบริการอื่นๆ ที่ไทยมีจุดแข็ง คือ ด้านดูแลสุขภาพ การศึกษา การท่องเที่ยว รีสอร์ต ร้านอาหาร และธุรกิจบริการในด้านอื่นๆ" นางพิรมล กล่าว

ในปี 2556 ภูฏานเป็นคู่ค้าอันดับที่ 153 ของไทย ในระยะ 5 ปีที่ผ่านมา (2551-2555) การค้ารวมเฉลี่ยมีมูลค่า 12.06 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยเป็นตลาดส่งออกอันดับที่ 134 ของไทย มีมูลค่าเฉลี่ย (2551-2555) 11.94 ล้านเหรียญสหรัฐ และเป็นแหล่งนำเข้าอันดับที่ 180 ของไทย มีมูลค่าเฉลี่ย (2551-2555) 0.15 ล้านเหรียญสหรัฐ สินค้าที่ไทยมีศักยภาพ ในการส่งออกไปภูฏาน ได้แก่ สิ่งทอ รถยนต์ และอุปกรณ์ ไม้และผลิตภัณฑ์ไม้ ผลิตภัณฑ์พลาสติก ผ้าผืน เฟอร์นิเจอร์และชิ้นส่วน เป็นต้น สินค้านำเข้าจากภูฏานที่สำคัญของไทย ได้แก่ เครื่องใช้เบ็ดเตล็ด สัตว์และผลิตภัณฑ์จากสัตว์ และสิ่งพิมพ์ เป็นต้น

ที่มา.สยามธุรกิจ
-------------------------------------------------------------

นักเศรษฐศาสตร์ประเมินผลกระทบ หากรัฐบาลสหรัฐฯ หยุดทำการ !!??

เป็นที่หวั่นเกรงว่าในช่วงต้นปีงบประมาณของสหรัฐฯ หากไม่สามารถตกลงเรื่องงบประมาณได้ในสภา ก็จะเกิดภาวะรัฐบาลกลางหยุดทำการ (Government shutdown) ซึ่งนักเศรษฐศาสตร์มองว่าจะส่งผลสะเทือนต่อพื้นที่วอชิงตันหลายด้าน เช่นในแง่ผลกระทบต่อพนักงานรัฐหรือด้านบริการสาธารณะ

สำนักข่าววอชิงตันโพสท์นำเสนอการวิเคราะห์ของนักเศรษฐศาสตรืซึ่งกล่าวว่า หากเกิดเหตุการณ์รัฐบาลกลางสหรัฐฯ หยุดทำการ (Government shutdown) จะทำให้ในเขตวอชิงตันซึ่งมีพนักงานรัฐอยู่เป็นจำนวนมากต้องสูญเสียรายได้ราว 200 ล้านดอลลาร์ต่อวัน และมีโอกาสที่พนักงานจำนวน 700,000 คนจะได้รับผลกระทบ

การหยุดทำการของรัฐบาลสหรัฐฯ จะเกิดขึ้นหากรัฐสภาสหรัฐฯ ไม่สามารถตกลงกันได้เรื่องงบประมาณเพื่อหนุนโครงการของรัฐบาลในช่วงเริ่มต้นปีงบประมาณ โดยหน่วยงานของรัฐบาลจะหยุดให้บริการเว้นแต่หน่วยงานสำคัญ

สตีเฟน ฟูลเลอร์ ผู้อำนวยการศูนย์วิเคราะห์ภูมิภาคจากมหาวิทยาลัยจอร์จเมสันกล่าวว่าหากเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้นจะส่งผลกระทบต่อด้านการท่องเที่ยว เนื่องจากหน่วยงานที่ได้รับงบประมาณจากรัฐอย่างพิพิธภัณฑ์สมิธโซเนียน, สวนสัตว์แห่งชาติ, พื้นที่ประวัติศาสตร์สงครามกลางเมืองสหรัฐฯ รวมถึงแหล่งท่องเที่ยวที่ได้รับทุนจากรัฐบาลแหล่งอื่นๆจะปิดทำการ โดยฟูลเลอร์กล่าวเปรียบเปรยว่าการหยุดทำการของรัฐบาลส่งผลกระทบต่อพื้นที่ราว "คลื่นสึนามิ"

นอกจากผลกระทบทางเศรษฐกิจแล้ว ผู้คนในพื้นที่ยังต้องเผชิญกับการถูกตัดงบประมาณด้านสวัสดิการ ทำให้ไม่ส่งผลกระทบต่อโครงการประกันสุขภาพ, สวัสดิการสังคม, เงินอุดหนุนสถานบริการดูแลเด็ก, ขาดเงินกู้ยืมเพื่อการซื้อบ้านหรือทำธุรกิจขนาดเล็ก รวมถึงเงินทุนเพื่อการวิจัยทางการแพทย์ของสถาบันสุขภาพแห่งชาติสหรัฐฯ

อย่างไรก็ตามมีบริการบางส่วนเช่นบริการไปรษณีย์จะยังเปิดทำการเนื่องจากเป็นหน่วยงานอิสระ ส่วนแอมแทร็กซึ่งเป็นบริษัทการรถไฟของสหรัฐฯ ก็บอกว่าจะมีการเดินรถไฟตามปกติ ขณะที่บริการเก็บขยะและห้องสมุดอาจถูกปิดบริการชั่วคราว แต่นายกเทศมนตรีวินเซนต์ เกรย์ ก็พยายามหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้โดยการประกาศให้พนักงานทุกคนมีความจำเป็น (essential) มีผู้แทนสภาพยายามผลักดันร่างกฏหมายเพื่อไม่ให้เมืองได้รับผลกระทบจากภาวะหยุดทำการของรัฐบาลเหมือนครั้งที่ผ่านๆ มา

การหยุดทำการของรัฐบาล (Government shutdown) เกิดขึ้นมาแล้ว 17 ครั้งนับตั้งแต่ปี 1976 โดยครั้งล่าสุดเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 16 ธ.ค. 1995 ซึ่งพรรคริพับริกันกับประธานาธิบดีบิล คลินตัน ไม่สามารถตกลงกันได้เรื่องงบประมาณ

ฟูลเลอร์กล่าวอีกว่าหากเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในช่วงที่เศรษฐกิจในพื้นที่เกิดความตกต่ำจะยิ่งเป็นการตอกย้ำทั้งกับพนักงานและผู้รับเหมา โดยได้ประเมินว่าจะกระทบพนักงานรัฐร้อยละ 60 ทำให้พนักงาน 377,000 คน กลายเป็น "ผู้ไม่มีความจำเป็น" (nonessential) และถูกให้พักงาน นอกจากนี้ผู้รับเหมาร้อยละ 20 ซึ่งปกติแล้วได้รับเงินจากรัฐบาล 75 พันล้านดอลลาร์ต่อปี และเนื่องจากการถูกสั่งพักงานทำให้มีคนใช้เงินจับจ่ายกับร้านค้าหรือธุรกิจในท้องถิ่นลดลงไปด้วย

วอชิงตันโพสท์กล่าวอีกว่าการที่มีพนักงานบางส่วนถูกทำให้กลายเป็น "ผู้ไม่มีความจำเป็น" ทำให้การทำงานบางหน่วยงานลดประสิทธิภาพลงเช่น สนามบินมีกำหนดการล่าช้า มีคนงานน้อยลงในการจัดการสวัสดิการของรัฐ และแม้ว่าจะมีกฏหมายให้จ่ายค่าตอบแทนสมาชิกกองทัพแต่ทุนส่วนสวัสดิการของทหารผ่านศึกก็อาจหมดไปหากมีการหยุดทำการนานหลายสัปดาห์

ส.ส. เจอราด คอนนอลลี ของสหรัฐน เกรงว่าอาจจะเกิดปรากฏการณ์ลูกคลื่นทำให้การหยุดทำการส่งผลเสียหายมากกว่าปกติ ขณะที่ส.ส. แฟรงค์ วูลฟ์ เกรงว่าการหยุดทำการจะกระทบกับหน่วยงานเอฟบีไอ, หน่วยปราบปรามยาเสพติด, ซีไอเอ และหน่วยงานอื่นๆ

ในรายงานของสำนักงานวิจัยรัฐสภาสหรัฐฯ เปิดเผยว่าการหยุดทำการของรัฐบาลในปี 1996 ทำให้มีการปิดทำการสวนสาธารณะและอนุสรณ์สถานแห่งชาติ มีการหยุดบริการหนังสือเดินทางและวีซ่าสำหรับชาวต่างชาติ รวมถึงการหยุดการขึ้นทะเบียนคนไข้ในการวิจัยทางการแพทย์ของสถาบันสาธารณสุข

เรียบเรียงจาก-Washington area could lose $200 million a day if shutdown occurs, economist says, Washington Post, 30-09-2013

ที่มา.ประชาไท
------------------------------------------------------------

วันจันทร์ที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2556

จากทศวรรษที่สูญเสีย สู่แผน กู้ฟื้นประเทศ !!??

ผ่านไปเกินครึ่งทางแล้ว สำหรับการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ หรือ "พ.ร.บ.เงินกู้ 2 ล้านล้านบาท" ที่รัฐบาล-ฝ่ายค้านได้เปิดเกมเดือดบนเวทีสภาผู้แทนราษฎร ในการอภิปรายวาระที่ 2 และเตรียมวางคิว "โหวต" เพื่อให้ความเห็นชอบในวาระ 3 ต่อไป

กระนั้นแล้ว การต่อสู้ในเวทีสภาฯ คงไม่น่าเป็นห่วงเท่ากับขับเคลื่อนเกม "นอกสภา" ที่หลังจากผ่านสภาฯ วาระ 2-3 ไปแล้ว ก็คงถึงคิว "จองกฐินรัฐบาล" ที่จะมีคนไปรอยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความว่า ร่างพระราชบัญญัติกู้เงินฉบับนี้ขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่..

สำหรับการกู้เงิน 2 ล้านล้านบาทของรัฐบาล "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" ถือเป็นการกู้เงินก้อนใหญ่ที่สุดของประเทศ และเป็นการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่ประเทศไทยไม่มีการพัฒนามานานแล้ว โดยที่ฝ่ายรัฐบาลพยายามชี้ให้เห็นว่า การ ลงทุนครั้งนี้จะเป็นการ "สร้างอนาคต" ให้กับประเทศไทยเพื่อเป็นศูนย์กลางอาเซียน ได้อย่างแท้จริง

โดยสาระสำคัญใน "พ.ร.บ.เงินกู้" จะมีระยะเวลา 7 ปี (2556-2563) มีกรอบ การลงทุนครอบคลุม 5 ด้าน กอปรไปด้วย 1.การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านขนส่งด้วยระบบราง 1,185,692 ล้านบาท 2. การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบขนส่ง ทางบก 429,794 ล้านบาท 3.การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบขนส่งทางน้ำ 126,435 ล้านบาท 4.การพัฒนาโครงสร้าง พื้นฐานระบบขนส่งทางอากาศ 66,989 ล้านบาท 5.โครงสร้างพื้นฐานด้านอื่นๆ 392,786 ล้านบาท ส่วนแหล่งเงินที่จะ ใช้ในการลงทุน "รัฐบาล" จะมุ่งเน้น "กู้เงินภายในประเทศ" เป็นหลัก หรือคิดเป็น 91%

ขณะเดียวกันมูลนิธิสถาบันวิจัยนโยบายเศรษฐกิจการคลัง ประเมินว่า ภาระหนี้ตาม พ.ร.บ.ลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน 2 ล้านล้าน รวม พ.ร.บ.เงินกู้เพื่อแก้ปัญหาอุทกภัย 3.5 แสนล้านบาท และโครงการอื่นๆ รวมกันแล้ว สัดส่วนหนี้ สาธารณะคงค้างต่อจีดีพี จะเพิ่มสูงขึ้นจาก 43% ในปี 2555 ไปสูงสุดที่ 51.5% ในปี 2560 ซึ่งถือว่ายังอยู่ในระดับที่ "รับได้" โดย พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาทฉบับนี้ รัฐบาลคาดหวังไว้อย่างสวยหรูว่าจะช่วยพัฒนาระบบขนส่งของไทยแบบก้าว กระโดด เป็นโอกาสจุดแข็งด้านโครงสร้างพื้นฐาน และเศรษฐกิจของไทยในอนาคต

ทางด้าน "แกะดำ" ในปีกฝ่ายค้านอย่าง "อลงกรณ์ พลบุตร" รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ระบุถึงการตัดสินใจ "กู้เงิน" มาพัฒนาประเทศของรัฐบาลว่า เป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องในการลงทุนเพื่อปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานประเทศไทยครั้งใหญ่ เพราะไม่มีการลงทุนในเรื่อง นี้มานานมากแล้ว เนื่องจากวิกฤติการเงิน และการเมือง จึงเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสม

อย่างไรก็ดี การกู้เงินจำนวนมากนั้นอาจไม่จำเป็นต้องสร้างภาระถึง 2 ล้านล้านบาท เพราะรัฐบาลสามารถออกกองทุน การลงทุนทางด้านโครงสร้างพื้นฐานได้ หรือที่เรียกกันว่า "อินฟราสตรัคเจอร์ ฟันด์" ซึ่งเป็นการลงทุนที่บริษัทเอกชนในประเทศไทยเริ่มให้ความสนใจและมีการตั้งขึ้นมาแล้วคือ "บีทีเอส" ที่ระดมทุนผ่านกองทุนนี้เพียงสัปดาห์เดียว ได้เงินมากกว่า 6 หมื่นล้านบาท แต่อยากให้รัฐบาลหันมาให้ความ สนใจในการพัฒนาด้านอื่นด้วย อาทิ การพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีเพื่อสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ ให้เกิดขึ้นและนำมาพัฒนาต่อยอด ซึ่งจะเป็นหนทางหนึ่งในการยกระดับประเทศไทยในอนาคต

ขณะที่ "ชัชชาติ สิทธิพันธุ์" รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้โพสต์ เฟซบุ๊กในหัวข้อ "ทศวรรษที่สูญหาย" โดยระบุถึง 10 ปีที่ไทยเสียโอกาสด้านการลง ทุน และความเสียหายมหาศาล

เพราะนับแต่ปี 2548 เป็นต้นมา มีเหตุการณ์ต่างๆ เกิดขึ้นในประเทศไทย เริ่ม ตั้งแต่การประท้วงรัฐบาล การปฏิวัติ การ ชุมนุมทางการเมืองอย่างต่อเนื่อง รวมทั้ง เกิดมหาอุทกภัย โดยอาจสรุปได้สั้นๆ ดังนี้ รัฐประหาร 1 ครั้ง 7 รัฐบาล + 1 คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ 7 พรรค การ เมืองถูกยุบ 1 มหาอุทกภัย ผู้เสียชีวิต 933 ราย (น้ำท่วมและความไม่สงบทางการ เมือง) ผู้บาดเจ็บ 2,200 ราย และความเสียหายมากกว่า 1.7 ล้านล้านบาท จากเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นนี้ ทำให้สูญเสียเวลาที่มีค่าไปเกือบสิบปี จึงขอเรียกว่าเป็น "ทศวรรษที่หายไป"

"ในช่วงนี้ เราแทบไม่ได้มีการลงทุน โครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญหลังจากการก่อสร้างสนามบินสุวรรณภูมิเลย ผมเองคงไม่สามารถตัดสินได้ว่าใครผิด ใครถูก คงต้องให้คนรุ่นต่อไปมองย้อนกลับมาวิเคราะห์กันอีกที แต่ที่สำคัญตอนนี้ เราคงต้องพยายามเอาสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นบทเรียน พยายามหาทางอยู่ร่วมกัน ลดความ ขัดแย้ง ร่วมกันเดินหน้า สร้างอนาคตประเทศไทยต่อไป มามองอนาคตร่วมกันดีกว่า ถ้ามองไปในอนาคต นอกเหนือจาก ภาคอุตสาหกรรม ภาคเกษตรกรรมและการ ส่งออกแล้ว ยังคิดว่าตัวขับเคลื่อนความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศไทยคือ ธุรกิจการท่องเที่ยวและบริการ โดยในช่วงสามปีที่ผ่านมา จำนวนนักท่องเที่ยวของไทยเติบโตเฉลี่ยปีละ 16.5% และนำรายได้เข้าสู่ประเทศ ปีละ 1.6 ล้านล้านบาท มีการกระจายตัวของเมือง และความเจริญจากกรุงเทพฯ สู่ต่าง จังหวัด การขยายตัวของเมือง การพัฒนา อสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจค้าปลีกส่ง ตามเมือง ใหญ่และจังหวัดชายแดน การเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้านเพื่อรองรับ AEC รวมถึงการใช้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิต และค้าขายกับกลุ่มประเทศอาเซียน การใช้จ่ายในประเทศ การกระตุ้นการลงทุน การสร้างงานและการใช้จ่ายในประเทศ"

"ตัวขับเคลื่อนเหล่านี้ ล้วนเกี่ยวข้อง กับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งทั้งสิ้น ถ้าโครงสร้างพื้นฐานไม่ดี ก็มีปัญหาต่อเนื่องไปถึงการท่องเที่ยว การกระจายตัวของเมือง การเชื่อม โยงกับเพื่อนบ้าน นอกจากนั้น การลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ก็เป็นตัวกระตุ้นสำคัญสำหรับการใช้จ่ายในประเทศ เพราะก่อให้เกิดการจ้างงาน และใช้วัตถุดิบในประเทศจำนวนมาก"

"ชัชชาติ" ย้ำชัดเจนในจุดยืน คือ "ร่วมกันเดินหน้า สร้างอนาคตประเทศ ไทยต่อไป มองอนาคตร่วมกัน" ทำให้ "ทศวรรษที่หายไป" กลับคืนมา!!

แต่กระนั้น ดูเหมือน "ประชาธิปัตย์" ในฐานะฝ่ายค้านอาชีพ ยังคงประกาศจุด ยืนคู่ขนาน "ไม่เห็นพ้อง" กับโครงการนี้โดยสิ้นเชิง และเตรียมพร้อมจะโค่นล้ม "กฎหมายร้อน" ฉบับนี้ในทุกรูปแบบ

จะเห็นได้จากการประชุมสภาผู้แทน ราษฎรในการพิจารณาร่างพ.ร.บ.เงินกู้ 2 ล้านล้านบาท "วาระที่ 2" นับตั้งแต่วันที่ 19-20 กันยายนเป็นต้นมา "ประชาธิปัตย์" ยังคงยึดแนวทางเดียวกับการพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ

นั่นก็คือ ดึงเกมยื้อเวลาและปั่นป่วน ให้มากที่สุด โดยให้ลูกหาบในค่าย ประชาธิปัตย์ ที่ร่วมแปรญัตติไว้ 115 คน จองกฐินถล่มรัฐบาลแทบจมกระเบื้อง!

ไม่ใช่แค่รายมาตรา หากแต่จะลงรายละเอียด ชนิดทุกถ้อยคำ ทุกตัวเลขทุกแผนงาน ทุกโครงการ และทุกยุทธศาสตร์ ลากยาวไปถึงบัญชีแนบท้าย พ.ร.บ. ที่ได้กำหนดกรอบแต่ละยุทธศาสตร์ว่ามีรายละเอียดอย่างไร และวงเงินเท่าไหร่ อีกทั้ง ส.ส.ประชาธิปัตย์ ยังขอใช้สิทธิแปรญัตติปรับลดในรายละเอียด แบบถี่ยิบ

และที่เป็นไฮไลต์ ก็คือ การอภิปราย ชี้เป้าว่า พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาทขัดรัฐธรรมนูญมาตรา 169 ที่ระบุไว้ว่า "การจ่ายเงินแผ่นดิน จะกระทำได้ก็เฉพาะที่ได้อนุญาตไว้ในกฎหมายว่าด้วยงบประมาณ รายจ่าย กฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประ-มาณ กฎหมายเกี่ยวด้วยการโอนงบประ-มาณ หรือกฎหมายว่าด้วยเงินคงคลัง..."

ซึ่งนอกจากจะเป็นการทำให้ พ.ร.บ. นี้ไม่ชอบธรรมแล้ว ยังเป็นการปูทางที่จะนำไปสู่การส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความ

มันย่อมถือเป็นการ "ทิ้งไพ่" ใบสุดท้ายของประชาธิปัตย์ โดยหวังพึ่งพิง "องค์กรอิสระ" ให้เป็นกลไกขัดขวางกระบวนการของฝ่ายนิติ บัญญัติ!!!

ที่มา.สยามธุรกิจ
--------------------------------------------------------

ตัวแปรการเมืองอะไรบ้าง บ่งชี้สถานการณ์ ศก.ไทย 56-57 รอดหรือร่วง !!??

ก้าวสู่ไตรมาสสุดท้ายของปี 2556 ที่ต้องบอกว่าสถานการณ์การเมืองไทยกลับมาขมึงเกลียวอีกครั้งกับข้อขัดแย้งในเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยที่มาสว.และที่จะเกิดขึ้นในระยะต่อไปก็คือ พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ที่จะกลับเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภา วาระ 2 ในช่วงปลายเดือนตุลาคม ขณะที่สัญญาณด้านเศรษฐกิจปลายปีที่เชื่อว่าน่าจะดีขึ้น แต่ดูเหมือนว่านาทีนี้ยังคงสั่นคลอนด้วยแรงกดดันด้วยบรรยากาศทางการเมืองที่ไม่มีความแน่นอน

ข้อพิจารณาสำคัญก็คือ ภาวะเศรษฐกิจโลกที่ผันผวนที่กระทบต่อการขยายตัวเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะภาคส่งออก รวมถึงภาวะค่าครองชีพที่ตรึงตัวของผู้มีรายได้น้อยกลับไม่ทำให้รัฐ บาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ยี่หระกับการให้ความสำคัญมากกว่าการทะลุทะลวงในเรื่องการแก้ปัญหาการเมืองให้กับพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร  โดยเฉพาะประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญ

เมื่อดูตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญอย่างการส่งออกพบว่า ช่วงม.ค.– ส.ค.56 มูลค่าการส่งออก ประมาณ 4.6 ล้านลบ. ลดลงจากช่วงเดียวกันของปี 2555 ร้อยละ 3.0 ขณะที่มูลค่านำเข้า ประมาณ 5.2 ล้านลบ. ลดลงจากช่วงเดียวกันของปี 2555 ร้อยละ 0.9  ทำให้ในรอบ 8 เดือนของปี 2556 ไทยต้องขาดดุลการค้ามูลค่าสูงถึงประมาณ 6.04 แสนลบ.เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียว กันของปี 2555  ที่ขาดดุลการค้ามูลค่าประมาณ 5.2 แสนล้านบาท หรือร้อยละ 18.3  ซึ่งศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ  ธนาคารทหารไทย (ทีเอ็มบี) ประเมินว่ามีความเป็นไปได้ยากที่การส่งออกของไทยในช่วงที่เหลือของปี 2556 จะเติบโตในช่วงร้อยละ 4-7 ต่อปี และยังมองว่าใน 4 เดือนที่เหลือการส่งออกจะขยายตัวต่ำกว่าร้อยละ 5 ซึ่งจะทำให้การส่งออกไทยในปี 2556 นี้ อาจขยายตัวได้เพียงร้อยละ 2 ต่อปีเท่านั้น

ส่วนการใช้จ่ายในหมวดสินค้าไม่คงทนก็ส่งสัญญาณชะลอตัวลงเช่นกัน  จากความกังวลในเรื่องค่าครองชีพที่ปรับสูงขึ้นตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน เป็นต้นมา อีกทั้งแนวโน้มหนี้ภาคครัวเรือนที่เร่งสูงขึ้นต่อเนื่องจากร้อยละ 60 ของ GDP ในปี 2554 จนปัจจุบันอยู่ที่ระดับร้อยละ 75 ของ GDP ทำให้ประเมินเศรษฐกิจไทยในครึ่งปีหลัง จะขยายตัวได้เพียงร้อยละ 2.1 และทั้งปี 2556 จะขยายตัวที่เพียงร้อยละ 3.1 ชะลอลงจากที่ขยายตัวร้อยละ 6.5 ในปีที่ผ่านมา

โดยค่าดัชนีค่าครองชีพประจำเดือนส.ค.56   เทียบเดือนก.ค. 56 ลดลงร้อยละ 0.01    แต่ถ้าเทียบเคียงกับเดือนส.ค.55 พบว่ามีอัตราสูงขึ้นร้อยละ 1.59  และเทียบเฉลี่ยช่วงเดือนม.ค – ส.ค.55  ปรากฎว่าสูงขึ้นถึงร้อยละ 2.47  

ทั้งหมดเป็นสถานการณ์เศรษฐกิจบางส่วนของประเทศที่คนไทยทั้งประเทศรับรู้โดยการใช้ชีวิตประจำวัน ขณะที่ข้าราชการบางคนกลับบอกว่าสินค้าราคาแพงเป็นแค่ความรู้สึก แถมรัฐบาลก็ยังเดินหน้าสนับสนุนประเด็นทางการเมือง อย่างการแก้ไขรัฐธรรมนูญ การผลักดันกฎหมายนิรโทษกรรม โดยไม่ให้น้ำหนักเรื่องปากท้องประชาชน ทั้งๆที่รู้ว่าจะนำไปสู่ข้อขัดแย้ง

ที่มา.ทีนิวส์
////////////////////////////////////////