--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันจันทร์ที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

สมรภูมิ แย่งชิง : หน้ากาก เวนเดตต้า ความเพี้ยนในการตีความ !!?

กลายเป็นกระแสร้อนแรงทั่วโลกออนไลน์ ที่มีกลุ่มผู้ใช้เฟซบุ๊กจำนวนหนึ่งได้เปลี่ยนรูปโพรไฟล์เป็น รูปหน้าที่เป็นใบหน้าของผู้ชายที่ดูคล้ายการ์ตูน มีหนวดโค้งแหลมพร้อมรอยยิ้ม หรือ หน้ากากเวนเดตต้า ของ "กาย ฟอว์กส์" (Guy Fawkes) จากภาพยนตร์เรื่อง "V for Vendetta" หรือชื่อภาษาไทยว่า "เพชฌฆาตหน้ากากพญายม" และยังได้โพสต์ข้อความ "ขณะนี้กองทัพประชาชนได้ลุกขึ้นมาแล้ว ข้าขอประกาศว่า ข้าจะล้มล้างระบอบทักษิณให้หมดสิ้นจากแผ่นดินไทย"

โดย เฟอร์บี้  : มติชนออนไลน์

ในทุกเฟซบุ๊คซึ่งทางกลุ่มที่เคลื่อนไหวอ้างว่าเป็นเครือข่ายของ พ.ต.ท.ทักษิณ  ชินวัตร หรือ เพจเฟซบุ๊กที่มีจุดยืนสนับสนุนรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร  




ทั้งนี้ ภาพยนตร์เรื่อง V for Vendetta เป็นภาพยนตร์ที่สร้างจากการ์ตูน ซึ่งกล่าวถึง ผู้ที่นิยมลัทธิอนาธิปไตย ที่ขบถต่อกรอบประเพณีการการกดขี่ของรัฐเผด็จการซึ่งค่อนไปทางอนุรักษ์นิยม และใช้ศาสนาเป็นเครื่องมือในการปกครอง

โดยในฉากหนึ่ง ตัวเอกของเรื่อง ที่ชื่อ "วี" (V) ได้บุกเข้าไป ในสถานีโทรทัศน์ และปราศรัยออกอากาศแถลงการณ์แสดงจุดยืน ซึ่งอ้างถึง "กาย ฟอว์กส์" (Guy Fawkes) วีรบุรุษผู้พยายามระเบิดรัฐสภาของอังกฤษเมื่อสี่ร้อยปีที่แล้ว โดย หน้ากากที่ V ใส่ คือสัญญะที่แสดงถึง หน้าของ กาย ฟอว์กส์ โดย V ได้แสดงจุดยืนถึง "ความถูกต้อง ความยุติธรรม และเสรีภาพ" เพื่อเชิญชวนผู้ที่เห็นด้วย ลุกขึ้นสู้เคียงข้างเขา




ภาพโปสเตอร์ภาพยนตร์ V for Vendetta

ส่วน กาย ฟอว์กส์ ที่ V อ้างถึงนั้น เป็นบุุคคลที่ประวัติศาสตร์ระบุว่า เป็นชายผู้พยายามวางระเบิดอาคารรัฐสภาของอังกฤษ เพื่อสังหารพระเจ้าเจมส์ที่ 1 กษัตริย์ในขณะนั้น แต่ในเดือนพฤศจิกายน ปี ค.ศ.1605 ความพยายามของเขาก็จบลง หลังจากที่ทางการอังกฤษจับกุมตัวเขาได้พร้อมกับ ดินปืนจำนวนหลายสิบถัง พร้อมผู้สมรู้ร่วมคิด ฟอว์กส์ ถูกตัดสิน เขาถูกแขวนคอและฉีกร่างกาย และในทุกวันที่ 5 พฤศจิกายน ของทุกปี ประชาชนชาวอังกฤษจะเฉลิมฉลองที่ทางการสามารถปราบเขาได้ เป็นเทศกาลที่เรียกว่า "บอน ไฟร์ ไนท์"




บอน ไฟร์ ไนท์ - ภาพจาก tmblr

ปรากฎการณ์ "หน้ากากเวนเดตต้า" ที่เกิดขึ้นในไทยระลอกนี้ โดยการบอมบ์/ละเลงข้อความ ในเพจเฟซบุ๊กต่างๆ เกิดขึ้นหลังจากมีการรณรงค์โดยเพจ"มั่นใจว่าคนไทยเกิน 1 ล้าน อยากให้ยิ่งลักษณ์ยุบสภา" ซึ่งเป็นเพจหลักในการเคลื่อนไหว และมีการเปิดเพจ "กูจะล้มล้างระบอบทักษิณออกจากประเทศไทย" เป็นเพจหลักในเวลาต่อมา

 ซึ่งหลังจากกลุ่มนี้เคลื่อนไหวเพียงแค่ 1 วัน แนวร่วม"หน้ากากเวนเดตต้า" นี้ ได้เข้าไปป่วนหน้าเพจเฟซบุ๊กจำนวนมาก ทั้ง แฟนเพจของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร "Thaksin Shinawatra" แฟนเพจของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร "Yingluck Shinawatra" แฟนเพจของทำเนียบรัฐบาล "ไทยคู่ฟ้า Thai Khu Fah" แฟนเพจของนายพานทองแท้ ชินวัตร "Oak Panthongtae Shinawatra" และเพจของแกนนำเสื้อแดงคนต่างๆ  รวมถึงสื่อต่างๆ  

ทั้งนี้ การใช้ สัญลักษณ์ "หน้ากากเวนเดตตา" จากภาพยนตร์เรื่อง V for Vendetta นั้นไม่ได้ถูกใช้เป็นสัญลักษณ์ในการประท้วงครั้งแรก แต่หน้ากากเวนเดตต้า ได้ถูกนำมาใช้เป็นสัญลักษณ์ในการประท้วงหลายครั้ง เช่น การประท้วงตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกา หรือ Occupy Wall Street ซึ่งในไทยที่ผ่านมา หน้ากากเวนเดตต้า ถูกใช้เป็นสัญลักษณ์ประท้วงสถานทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทยหลังจากมีการวิพากษ์วิจารณ์ การบังคับใช้ ประมวลกฎหมาย อาญา ม.112 หรือ นักศึกษาใช้เป็นสัญลักษณ์ต่อต้านการนำมหาวิทยาลัยออกนอกระบบ  รวมไปถึงครั้งนี้ ที่หน้ากากนี้ ถูกใช้เป็นสัญลักษณ์ เพื่อ "ล้างบาง" ทักษิณ



แต่ก็มีผู้ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ การเคลื่อนไหวผ่าน "หน้ากากเวนเดตตา"ในเฟซบุ๊กระลอกนี้ว่า เป็นการเคลื่อนไหวที่บิดเบือนไปจากความหมายเดิม โดยเพจของ "Voice of Siam" ได้โพสต์ข้อความว่า 

กาย ฟอคส์ (Guy Fawkes) ต้นฉบับ และ แบบไทยๆ"

ความแปลกประหลาดอย่างหนึ่งของคนรักเจ้า/เกลียดทักษิณ (หรือที่หลายคนเรียก "สลิ่ม") คือ คนเหล่านี้มักจะเอาสิ่งสิ่งของความคิดจากชาติอื่นแล้วมาตีความให้เข้ากับความคิดของตัวเอง โดยไม่ได้ศึกษาหรือคำนึงถึงความหมายต้นฉบับ หรือความเป็นมาของสิ่งของความคิดนั้นๆเลย แม้บางครั้งสิ่งหรือความคิดนั้นจะตรงกันข้ามกับสิ่งที่ตนเองพยายามนำเสนอก็ตาม

 หน้ากากกาย ฟอคส์ (Guy Fawkes) เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งที่คนรักเจ้าชอบเอามาทำเป็นสัญลักษณ์ของตัวเองทั้งที่ต้นฉบับ กาย ฟอคส์ เป็นคนที่พยายามจะฆ่ากษัตริย์ ส่วนที่เป็นหน้ากากกาย ฟอคส์ ในเวลาต่อมาก็เอามาจากภาพยนตร์เรื่อง V For Vendetta ที่เป็นการต่อสู้กับเผด็จการที่ไม่มีใครเลือกมา สู้เพื่อเสรีภาพและความเท่าเทียม
ซึ่งขบวนการ Anonymous เอามาเป็นสัญลักษณ์ในการประท้วงรัฐบาลหรือกฎหมายที่เป็นเผด็จการ ด้วยความคิดแบบอนาธิปัตย์ (Anarchy)

 แต่กลับเอามาเป็นสัญลักษณ์ในการล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ใช้วาทกรรมกษัตริย์นิยม (Royalism) หรือ ชาตินิยม (Nationalism) เพื่อคืนอำนาจให้กับชนชั้นสูงที่ไม่ได้มาจากการเลือกของประชาชน เรียกร้องการแทรกแซงของเผด็จการทหาร แถมเอามาปกป้องกฎหมายอย่าง ม.112 ที่ทำลายสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกที่ถูกประนามจากทั่วโลกอีกด้วย

หน้ากาก กาย ฟอคส์ ของประเทศอื่นเขาสู้เพื่อคืนอำนาจให้ประชาชน แต่ กาย ฟอคส์ แบบไทยๆกลับต่อสู้ดึงอำนาจออกไปจากประชาชน...ย้อนแย้งสิ้นดี"


ด้านเพจเฟซบุ๊กของ"บก.ลายจุด" โพสต์ข้อความว่า

"หน้ากาก วีกาย ฟอว์กส์ ที่ถูกนำมาใช้อีกครั้งคือกลุ่ม occupy wall street หมายถึง We are 99 % แต่เมืองไทยหมายถึงพวกแพ้เลือกตั้ง"

กระแสในเฟซบุ๊กต่อปรากฎการณ์ "หน้ากากเวนเดตต้า" ในครั้งนี้ จึงเป็น "สมรภูมิแย่งชิง การนิยามความหมาย" ของสัญลักษณ์ดังกล่าว

ทั้งนี้ก็เป็นไปเพื่อ สร้างความชอบธรรม หรือบิดเบือนความหมาย เพื่อ ส่งเสริม หรือทำลาย พลังของกลุ่มที่เคลื่อนไหว

จากบทความ "หน้ากาก "เวนเดตต้า" สัญญะทางการเมืองอันทรงพลัง" ของ "เสกขภูมิ วรรณปก" ซึ่งเผยแพร่ ใน มติชนออนไลน์ เมื่อวันที่ 11 พ.ย. 2554 ได้อ้างความคิดเห็นของ ลูอิส คอลล์ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ด้านประวัติศาสตร์ของมหาวิทยาลัยแคลิฟอเนียร์ โพลิเทคนิค ซึ่งระบุว่า

"สัญลักษณ์ของฟอว์กส์ หรือ หน้ากากเวนเดตต้า ได้ถูกใช้ในวิถีทาง หรือวัตถุประสงค์ที่แตกต่างไป ตัวตนของฟอว์กส์ เริ่มกลับมา หลังจากที่เขาถูกมองว่าเป็นผู้ก่อการร้ายที่พยายามทำลายอังกฤษ แต่ในวันนี้ เขาถูกมองเป็นนักสู้เพื่อสันติภาพ ความหมายทางการเมืองของหน้ากากเปลี่ยนไป"


"คุณสามารถฉกฉวยมัน และนำมาใช้เพื่อจุดมุ่งหมายทางการเมืองได้ตามที่คุณต้องการ.. นั่นคือ พลังที่แท้จริงของมัน"


สมรภูมิ ของการนิยาม ความหมาย ภายใต้ หน้ากาก "เวนเดตต้า" ดูจะยังทอดยาวอีกไกล

และ คงเป็นเช่นเดียวกับ สมรภูมิ ในการนิยาม ความหมายของ คำหนึ่งที่ทรงพลัง ไม่แพ้กัน

คำนั้น คือ คำว่า "ประชาธิปไตย"

และหวังว่า แสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ คือ การก้าวข้าม "ประชาธิปไตยแบบไทยๆ"


"... แต่ถ้าคุณเห็นในสิ่งที่ผมเห็น รู้สึกในสิ่งที่ผมรู้สึก และแสวงหาในสิ่งที่ผมแสวงหา ผมขอให้คุณยืนเคียงข้างผม..." V

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
+++++++++++++++++++++++++

วันอาทิตย์ที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

โจทย์ใหม่ : กนง. ลดดอกเบี้ยพยุง เศรษฐกิจ !!?

ตลาดการเงินดูจะตั้งรับรอผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในวันพุธที่ 29 พ.ค.นี้อย่างใจจดใจจ่อ โดยเฉพาะหลังการเปิดเผยรายงานภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาส 1/2556 และแนวโน้มปี 2556 ของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.)

โดย สศช. ได้ปรับลดเป้าหมายการเติบโตทางเศรษฐกิจปี 2556 มาอยู่ที่ 4.2-5.2% เนื่องจากเศรษฐกิจไทยไตรมาสแรกขยายที่ 5.3% ถือว่าต่ำกว่าที่คาดก่อนหน้า ส่อเค้าถึงสัญญาณการชะลอตัวของเศรษฐกิจภายในประเทศ ขณะที่ภาคต่างประเทศ หลังคำแถลงของ "เบน เบอร์นันเก้" ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ต่อสภาคองเกรสปลายสัปดาห์

ที่ผ่านมา ส่งสัญญาณว่าอาจลดปริมาณเงินซื้อตราสาร ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (FOMA) รอบถัดไป หากเศรษฐกิจสหรัฐฟื้นตัวดีแล้ว

ทั้งนี้ การลดหรือหยุดมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ของเฟด มีผลสร้างความไม่แน่นอนในตลาดการเงินโลกอีกระลอก สะท้อนจากความเคลื่อนไหวของค่าเงินบาท ซึ่งมีแนวโน้มอ่อนค่าลงสัปดาห์นี้ ตามการคาดการณ์ของธนาคารกสิกรไทยว่า จะเคลื่อนไหวในกรอบ 29.80-30.30 บาท เนื่องจากเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น

ขณะที่ "ดร.พรายพล คุ้มทรัพย์" อดีต กนง. ระบุว่า แม้ส่วนตัวมองว่าขณะนี้ไม่ใช่จังหวะลดดอกเบี้ยนโยบาย แม้ตัวเลข สศช.จะออกมาชะลอตัว โดยเฉพาะด้านอุปโภคบริโภครวมไตรมาสแรก ซึ่งอยู่ที่ 3.9% แต่เมื่อดูการเติบโตทั้งปี จีดีพียังมีสัญญาณขยายตัว ยังสูงเหนือ 5% แต่หากให้ประเมินความคิด กนง. ก็มีโอกาสจะลดดอกเบี้ยนโยบาย

"ถ้าให้ประเมินความคิด กนง. มีโอกาสสูงที่จะลดดอกเบี้ยลง 0.25% ให้เหลือที่ 2.50% เนื่องจาก กนง.ต้องเอาหลักเศรษฐกิจ ความเสี่ยง และอุปสรรคต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจมาพิจารณา"

พร้อมชี้ว่า หากลดดอกเบี้ยนโยบาย ธปท. ควรมีมาตรการเสริมด้วย เพื่อป้องกันการเกิดฟองสบู่ เช่น การควบคุมการปล่อยสินเชื่อซื้อบ้าน หรือลดวงเงินปล่อยสินเชื่อ เพื่อป้องกันฟองสบู่ในภาคต่าง ๆ

ในฟากผู้ประกอบกิจการธนาคารพาณิชย์ "สมิทธ์ พนมยงค์" ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ สายเงินฝากและการลงทุน ธนาคารไทยพาณิชย์ คาดว่า กนง.ไม่น่าจะลดดอกเบี้ยรอบนี้ เนื่องจากปัจจุบันดอกเบี้ยไม่ใช่ปัจจัยหลักสกัดเงินต่างชาติ และสินเชื่อในประเทศยังเติบโตสูง หากลดดอกเบี้ยลงอาจส่งผลต่อภาคสินเชื่อให้ขยายตัวสูง เสี่ยงกับการเกิดปัญหาเศรษฐกิจได้

"หากลดดอกเบี้ยนโยบายจริง คาดว่าธนาคารพาณิชย์จะไม่ปรับลดดอกเบี้ยลงในทันทีหรือปรับลงเล็กน้อย เนื่องจากปัจจุบันสภาพคล่องเงินฝากยังคงตรึงตัว ทำให้มีการแข่งขันด้านเงินฝากยังสูง"

ขณะที่ "อภิศมา ณ สงขลา" ผู้ช่วยประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานคอร์ปอเรตไฟแนนซ์ บมจ.บัตรกรุงไทย หรือเคทีซี ระบุว่า หาก กนง.มีมติลดดอกเบี้ย จะเป็นผลบวกต่อต้นทุนการกู้ยืมเงินของบริษัทที่จะถูกลง เนื่องจากดอกเบี้ยเป็นต้นทุนหลักในการบริหารจัดการ และส่งผลทำให้ความสามารถในการทำกำไรเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม แม้เป็นปัจจัยบวกต่อต้นทุนการเงิน แต่ต้องดูว่าจะลดลงมากเท่าไหร่

หากลดลงเพียง 0.25% แบงก์พาณิชย์อาจไม่ลดดอกเบี้ยลงตาม หรือลดเล็กน้อย เพื่อรักษาความสามารถในการทำกำไรไว้ทำให้ต้นทุนการเงินไม่ลดลงมากนัก

สอดคล้องกับบทวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง ที่ว่า กลุ่มธนาคารพาณิชย์แทบไม่ได้รับผลกระทบในเชิงพื้นฐาน หากปรับลดดอกเบี้ยจริง เนื่องจากธนาคารพาณิชย์น่าจะประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากและเงินกู้ลงเช่นกัน แต่การปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จะน้อยกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝากเหมือนที่ผ่านมา เพื่อเป็นการลดผลกระทบต่อส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย (NIM)

อย่างไรก็ตาม ด้วยสภาพคล่องระบบธนาคารพาณิชย์ในปัจจุบันที่หดตัวลงเทียบกับในอดีต จึงเป็นไปได้ที่หากอัตราดอกเบี้ยนโยบายปรับลดลงเล็กน้อยไม่เกิน 0.25% ธนาคารพาณิชย์อาจไม่ลดอัตราดอกเบี้ยตาม เนื่องจากยังจำเป็นต้องแข่งระดมเงินฝาก เตรียมสภาพคล่องไว้รองรับความต้องการสินเชื่อที่ยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้การลดอัตราดอกเบี้ยอาจส่งผลให้เกิดแรงกระตุ้นความต้องการสินเชื่อของประชาชนและภาคเอกชนในประเทศมากขึ้นแต่หากดอกเบี้ยเงินกู้ไม่ได้ปรับลดลงอย่างมีนัยสำคัญผลต่อการกระตุ้นความต้องการสินเชื่อจะมีไม่มากนักผนวกกับสภาพคล่องที่ลดลง จึงเชื่อว่าธนาคารจะเพิ่มความระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น โดยเฉพาะในตลาดที่กำลังมีความเสี่ยง เช่น การเก็งกำไรในตลาดอสังหาริมทรัพย์ หรือด้านสินเชื่อเพื่อการบริโภคจึงต้องลุ้นต่อไปว่า หาก กนง.จะลดดอกเบี้ยรอบนี้ลงสัก 0.25% แต่ต้นทุนเงินกู้ก็ยังไม่ได้กระตุกอย่างทันทีทันใด กว่าจะเห็นผลของนโยบายดอกเบี้ยก็ต้องรอดูในไตรมาสถัดไป

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
//////////////////////////////////////////////////////////////////

วันเสาร์ที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

สะพานมิตรภาพแห่งที่ 4 ไม่เสร็จเปิดไม่ทัน มิ.ย. ปรับ 5 แสน ตามสัญญา !!?


กรมทางหลวงประเมินต้องใช้เวลาอีก 2-3 เดือนการก่อสร้างสะพานมิตรภาพแห่งที่ 4 (เชียงของ-ห้วยทราย) จึงจะแล้วเสร็จขณะที่สัญญาจะสิ้นสุดมิ.ย.56 นี้ ยันไม่มีการต่อสัญญาอีก หลังจากก่อนหน้านี้ขยายสัญญามาแล้วจาก สิ้นสุด 10ธ.ค.55 เป็นมิ.ย.56 จ่อปรับผู้รับเหมาประมาณวันละ 5 แสนบาทตามสัญญา
       
แหล่งข่าวจากกรมทางหลวง (ทล.) เปิดเผยถึงความคืบหน้าโครงการก่อสร้างก่อสร้างสะพานมิตรภาพแห่งที่ 4 (เชียงของ-ห้วยทราย) จังหวัดเชียงรายว่า จากการประเมินล่าสุดคาดว่า จะต้องใช้เวลาก่อสร้างอีกประมาณ 2-3 เดือนจึงจะแล้วเสร็จในขณะที่สัญญาก่อสร้างจะสิ้นสุดในเดือนมิถุนายน 2556 นี้ ซึ่งกรมทางหลวงจะไม่มีการขยายสัญญาให้กับผู้รับเหมาอีก เนื่องจาก ก่อนหน้านี้ได้มีการขยายอายุสัญญาก่อสร้างออกไปแล้ว 6 เดือน จากเดิมสัญญาก่อสร้างเริ่มต้นวันที่ 11 มิถุนายน 2553 - 10 ธันวาคม 2555 เป็นสิ้นสุด เดือนมิถุนายน 2556 ดังนั้นหากพ้นกำหนดสัญญางานยังไม่แล้วเสร็จ ผู้รับเหมาจะต้องจ่ายเงินค่าปรับประมาณวันละ 500,000 บาท จนกว่าโครงการก่อสร้างจะแล้วเสร็จสมบูรณ์
     
โดยสาเหตุของการขยายอายุสัญญาก่อสร้างเนื่องจากมีปัญหา 2 ประเด็น คือ การก่อสร้างช่วงแรกมีการเบิกจ่ายเงินล่าช้าในส่วนที่จีนรับผิดชอบ ทำให้ผู้รับเหมาต้องหยุดการก่อสร้าง และต้องชะลอก่อสร้างในช่วงเวลาที่น้ำขึ้น โดยขณะนี้โครงสร้างหลักได้ก่อสร้างเสร็จแล้ว เหลืองานสะพานข้ามคลอง 2แห่ง และถนนพื้นราบในฝั่งลาวต่อเชื่อมกับสะพานข้ามแม่น้ำโขง ก่อสร้างสะดุดล่าช้ากว่าแผน เนื่องจากบริษัท กรุงธน เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด ผู้รับเหมาฝ่ายไทย ซึ่งรับผิดชอบงานก่อสร้างส่วนดังกล่าว มีปัญหาขาดสภาพคล่อง ส่งผลทำให้การก่อสร้างสะพานไม่แล้วเสร็จและเปิดใช้งานได้ตามสัญญาภายในวันที่ 10 มิถุนายน นี้
       
สำหรับสะพานมิตรภาพแห่งที่ 4 เป็นความร่วมมือระหว่างประเทศไทย ลาว และจีน โดยไทยและจีนให้การสนับสนุนงบประมาณในการก่อสร้างฝ่ายละ 50% วงเงิน 44.81 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยมีกลุ่ม CR5-KT Joint Venture (บริษัท ไชน่าเรลเวย์ นัมเบอร์ 5 เอ็นจิเนียริ่งกรุ๊ป จำกัด ร่วมทุนกับ บริษัท กรุงธน เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด) เป็นผู้รับจ้าง วงเงิน 1,486.5 ล้านบาท เป็นสะพานความยาว 630 เมตร ถนนฝั่งไทยความยาว 5 กิโลเมตร ก่อสร้างขนาด 4 ช่องจราจร ฝั่งลาวความยาว 6 กิโลเมตร ขนาด 2 ช่องจราจร พร้อมอาคารด่านชายแดนฝั่งไทยและลาว เป็นโครงข่ายถนนสายเอเชียหมายเลข AH3 แล้วเสร็จสมบูรณ์ ทำให้การขนส่งสินค้าและการบริการการท่องเที่ยวระหว่างประเทศโดยเฉพาะจากจังหวัดเชียงรายของประเทศไทย กับเมืองห้วยทรายของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว และสาธารณรัฐประชาชนจีนทางตอนใต้มีความสะดวกรวดเร็ว

ที่มา.ผู้จัดการ
+++++++++++++++++++++++++++++++

ธุรกิจอสังหาฯขาขึ้น แต่ต้องระวังเรื่องฟองสบู่ !!?


คอลัมน์ Smart SMEs

ในตอนนี้ไม่ว่าจะหันไปทางไหน ก็จะเห็นโครงการก่อสร้างใหม่ ๆ เกิดขึ้นเป็นดอกเห็ด มีตั้งแต่กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นโครงการขนาดใหญ่จนถึงโครงการขนาดเล็ก ไม่ว่าจะเป็นบ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม โดยเฉพาะคอนโดมิเนียมที่ตั้งอยู่แนวรถไฟฟ้า หรือรถไฟใต้ดิน ที่ยังคงเป็นที่ต้องการของตลาดค่อนข้างมาก มูลค่าของตลาดสินเชื่อที่อยู่อาศัยในปี 2556 คาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 2.45 ล้านล้านบาท ซึ่งเติบโตจากปีก่อนหน้านี้ราว 8.5%

ถือว่าสอดคล้องกับการขยายตัวของตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่ยังมีศักยภาพอยู่ โดยเฉพาะตลาดตามเขตหัวเมืองใหญ่ ๆ ในภูมิภาคต่าง ๆ เช่น เชียงใหม่ นครราชสีมา ขอนแก่น พัทยา และภูเก็ต เป็นต้น เรียกว่าเป็นแหล่งทำเลทองที่ผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ได้กว้านซื้อที่ดินไปทำโครงการที่อยู่อาศัยกันหมด

สาเหตุที่ทำให้ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในพื้นที่ต่างจังหวัดเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง มาจากเหตุการณ์น้ำท่วมครั้งใหญ่ที่กรุงเทพฯ ในปลายปี 2554 ทำให้คนเริ่มกระจายความเสี่ยง มาหาซื้อที่พักอาศัยในต่างจังหวัดโดยเฉพาะจังหวัดที่ใกล้กรุงเทพฯ เพิ่มขึ้น ประกอบกับการอิ่มตัวในตลาดส่วนกลางอย่างกรุงเทพฯและปริมณฑล กลายเป็นตัวเร่งที่ทำให้ต้องเริ่มหาตลาดใหม่ ๆ

นอกจากนี้การที่ประเทศไทยจะก้าวเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในปี 2558 ทำให้จังหวัดที่เป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ และจังหวัดที่มีพื้นที่เชื่อมต่อกับประเทศในกลุ่ม AEC กลายเป็นที่ต้องการของนักลงทุน

จากความร้อนแรงของธุรกิจอสังหาริม ทรัพย์ดังกล่าว ในกลุ่มผู้ประกอบการรายใหญ่ ผมยังไม่ค่อยกังวล เพราะมีเงินทุนที่เพียงพอสำหรับการกว้านซื้อที่ดิน แต่สำหรับกลุ่มผู้ประกอบการรายเล็ก ๆ ที่ไม่มีที่ดินเป็นของตัวเอง แต่ต้องการซื้อที่ดิน ก็จะต้องไปเสาะแสวงหาสินเชื่อเพื่อมาขยายโครงการ ซึ่งถ้าโครงการได้รับความสนใจจากตลาดและสามารถขายได้หมดก็คงไม่เป็นปัญหา แต่ถ้าหากเกิดสภาวะฟองสบู่แตกขึ้นมาก็จะเกิดผลกระทบต่อธุรกิจได้

ถึงแม้ว่าในตอนนี้ยังไม่ได้เกิดสภาวะฟองสบู่ก็ตาม แต่การที่ผู้ประกอบการจะขยายโครงการเพิ่มขึ้น ก็จะต้องมีต้นทุนในการทำธุรกิจเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะต้นทุนที่เกี่ยวกับการก่อสร้าง อาทิ เรื่องค่าแรง ที่เป็นต้นทุนที่สำคัญของธุรกิจก่อสร้าง เพราะส่วนใหญ่แรงงานก่อสร้างจะรับค่าจ้างเป็นรายวันตามเกณฑ์ขั้นต่ำ 300 บาททั่วประเทศ ทำให้ผู้ประกอบการจะต้องแบกรับกับต้นทุน เพราะต้องบวกอัตราค่าแรงใหม่เข้าไปในค่าก่อสร้างด้วย

ยิ่งกว่านั้นผลกระทบของต้นทุนค่าแรงที่เกิดขึ้น ยังกระทบต่อไปยังค่าสินค้าวัสดุก่อสร้างบางรายการที่ปรับขึ้นตามค่าแรงด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะสินค้าที่ต้องใช้กำลังการผลิตจำนวนมาก

นอกจากนี้ราคาที่ดินในปี 2556 ก็มีทิศทางการปรับตัวสูงขึ้นอย่างรวดเร็วในหลาย ๆ พื้นที่เช่นกัน โดยเฉพาะพื้นที่ในย่านธุรกิจที่สำคัญทั้งในกรุงเทพฯ และในพื้นที่หัวเมืองในต่างจังหวัดที่เศรษฐกิจเติบโตสูง

อย่างไรก็ดี ผมมองว่าแม้ว่าทิศทางของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในตอนนี้ยังมีแนวโน้มที่สดใส แต่ในสภาวะเศรษฐกิจของประเทศที่ยังคงไม่มีความแน่นอน เพราะมีปัจจัยที่ส่งผลต่ออัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจในประเทศ ไม่ว่าจะเป็นการปรับค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท ความผันผวนของค่าเงินบาท ความเคลื่อนไหวของราคาทองคำที่ยังไม่แน่นอน และวิกฤตการณ์อื่น ๆ ที่เรายังไม่สามารถคาดการณ์ได้ในตอนนี้

ดังนั้น ผมขอฝากให้ผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์โดยเฉพาะรายเล็กที่คิดจะขยายธุรกิจในช่วงนี้ ต้องศึกษาตลาดให้รอบคอบและวางแผนการเงินให้รัดกุม ในฝั่งธนาคารพาณิชย์เองก็เฝ้าระวังในการปล่อยสินเชื่อสำหรับกลุ่มผู้ประกอบการที่มีความเสี่ยงสูง หากปล่อยสินเชื่อไม่รอบคอบก็จะทำให้เกิดหนี้เสียขึ้นมาได้ ซึ่งก็ส่งผลเสียต่อตัวผู้ประกอบการและธนาคารเองด้วยเช่นกันครับ

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันศุกร์ที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

เจรจา-วางปืน-ปกครองพิเศษ : หมายเหตุจากอาเจะห์ถึงชายแดนใต้ !!?

ปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ทั้งช่วงก่อนและหลังการพูดคุยสันติภาพแบบเปิดเผยที่รัฐบาลไทยริเริ่มกระบวนการกับแกนนำกลุ่มผู้เห็นต่างจากรัฐ นำโดย นายฮัสซัน ตอยิบ แกนนำขบวนการบีอาร์เอ็น เมื่อ 28 ก.พ.2556 นั้น ถูกนำไปเปรียบเทียบกับพัฒนาการของ "อาเจะห์" ดินแดนบนเกาะสุมาตรา ที่คนพื้นเมืองเปิดฉากสู้รบกับรัฐบาลกลางอินโดนีเซียมาหลายสิบปี และสุดท้ายก็จบลงด้วยการเจรจาสันติภาพเมื่อปี 2548



แม้ "อาเจะห์" จะไม่ได้รับเอกราชถึงขนาดตั้งรัฐใหม่แยกตัวเป็นอิสระจากอินโดนีเซีย แต่ก็ได้สิทธิในการปกครองตนเอง และคงอัตลักษณ์สำคัญๆ โดยเฉพาะที่เกี่ยวโยงกับศาสนาอิสลามและการใช้กฎหมายอิสลาม

หากย้อนพิจารณาการต่อสู้ของชาวอาเจะห์ผ่าน "ขบวนการอาเจะห์เสรี" หรือ กลุ่ม GAM แม้จะมีประเด็นภูมิหลังทางประวัติศาสตร์ ศาสนา และบาดแผลจากยุคล่าอาณานิคมคล้ายๆ สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย แต่ในรายละเอียดของการจัดการปัญหาโดยรัฐบาลกลางอินโดนีเซีย โดยเฉพาะความเข้มข้นของการใช้ปฏิบัติการทางทหาร ต้องยอมรับว่าแตกต่างกับกรณีของรัฐบาลไทยพอสมควร

กระนั้น ประสบการณ์จากกระบวนการสันติภาพหลังเหตุการณ์สึนามิถล่มเมื่อปี 2547 กระทั่งนำไปสู่ข้อตกลงหยุดยิง ถอนทหาร และการถ่ายโอนอำนาจให้ท้องถิ่นจัดการตนเอง นับเป็นประเด็นที่น่าสนใจในห้วงที่รัฐบาลไทยกำลังริเริ่มกระบวนการพูดคุยสันติภาพกับบีอาร์เอ็น

ที่ผ่านมาองค์กรภาคประชาสังคมที่ชายแดนใต้กับภาคประชาสังคมที่อาเจะห์มีความเกี่ยวข้องเชื่อมโยง แลกเปลี่ยนประสบการณ์ และถอดบทเรียนซึ่งกันและกันไม่น้อย โดยบทสัมภาษณ์ข้างล่างนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเหล่านั้น...

พัฒนาการชายแดนใต้เร็วกว่าอาเจะห์

ซาเดียร์ มาฮาบาน หญิงอาเจะห์วัย 40 ปี ผู้เชี่ยวชาญด้านการไกล่เกลี่ย คือหนึ่งในบุคคลสำคัญของภาคประชาสังคมอาเจะห์ที่เคยเดินทางมาเยี่ยมเยือนดินแดนปัตตานี

ซาเดียร์ มองว่า ปัญหาที่อาเจะห์กับสามจังหวัดชายแดนภาคใต้มีความคล้ายคลึงกัน คนอาเจะห์ใช้เวลากว่า 30 ปีถึงจะเกิดโต๊ะเจรจา กระทั่งถึงวันนี้สถานการณ์ที่อาเจะห์สงบลงแล้ว ส่วนสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทยน่าจะมีพัฒนาการที่เร็วกว่า

"ทราบข่าวมาว่ามีการพูดคุยกันระหว่างตัวแทนรัฐบาลไทยกับขบวนการบีอาร์เอ็น ถ้าปัญหาได้รับการพูดคุยและตกลงกันได้ ทุกอย่างก็จะจบลง" เธอบอก

"ให้เกียรติ-เท่าเทียม" ปัจจัยเจรจาสำเร็จ

ซาเดียร์ ชี้ว่า ปัจจัยแห่งความสำเร็จของการเจรจาสันติภาพ คือการให้เกียรติซึ่งกันและกัน และยอมรับความเป็นมนุษย์ว่ามีเท่าเทียมกันไม่ว่าจะนับถือศาสนาใด

"สิ่งสำคัญอย่างยิ่งบนโต๊ะเจรจาคือต้องให้เกียรติกัน ที่อาเจะห์นั้นหลังจากทั้งสองฝ่ายได้พูดคุยกันแล้ว ก็ได้ร่วมกันยุติความรุนแรงเพื่อให้การเจรจาเดินหน้าไปได้ สิ่งที่ผ่านมาแล้วถือเป็นบทเรียนของทุกฝ่าย จากนั้นก็หาแนวทางให้ปัญหาความขัดแย้งต่างๆ จบลง โดยยึดหลักความเป็นมนุษย์ที่เท่าเทียม ไม่ว่าจะนับถือศาสนาใด เชื้อชาติใด" เธอกล่าว

และว่าสิ่งที่ภาครัฐควรให้ความสำคัญในช่วงริเริ่มเจรจาสันติภาพ คือการสร้างความรู้ความเข้าใจกับประชาชน ซึ่งสามจังหวัดชายแดนภาคใต้น่าจะนำประสบการณ์ของอาเจะห์มาปรับใช้

เส้นทางการต่อสู้...กับวันนี้ของ "อาเจะห์"

 
 
ซาเดียร์ ย้อนอดีตให้ฟังว่า สาเหตุที่คนอาเจะห์ต้องต่อต้านรัฐบาลอินโดนีเซีย เพราะประเด็นประวัติศาสตร์ เกิดการแข็งข้อระหว่างทหารกับประชาชน หลังจากนั้นก็เกิดขบวนการอาเจะห์เสรี (กลุ่ม GAM) เพื่อกอบกู้เอกราช เนื่องจากประชาชนถูกทำร้าย ถูกกระทำเหมือนไม่ใช่มนุษย์ ไม่ได้รับความยุติธรรม เกิดการปล้นฆ่า ข่มขืนเด็ก ผู้หญิง เด็กๆ ไม่สามารถไปเรียนหนังสือได้ ผู้หญิงเดินทางไปไหนมาไหนไม่ได้เลยไม่อย่างนั้นจะถูกข่มขืน ผู้ชายก็ถูกทำร้าย ไม่สามารถทำมาหากินได้

"สองปีก่อนเกิดสึนามิ รัฐบาลกลางอินโดนีเซียพยายามทำให้เกิดการเจรจาที่เจนีวา (ประเทศสวิตเซอร์แลนด์) แต่ไม่สำเร็จ เพราะต่างฝ่ายต่างคิดว่าตัวเองต้องเอาชนะ โดยเฉพาะจากการใช้กำลัง แต่หลังจากเกิดสึนามิ ทั้ง 2 ฝ่ายก็หันหน้าเข้าหากัน เพราะแต่ละฝ่ายได้คิดว่าความรุนแรงไม่อาจแก้ปัญหาได้ จึงหันมาใช้วิธีเจรจาสันติภาพ และทำสัญญาสันติภาพร่วมกัน แต่กุญแจสำคัญอยู่ที่รัฐบาลกับการเมืองด้วย"

"ทุกวันนี้ชาวอาเจะห์ได้ปกครองตนเอง กลุ่ม GAM เป็นฝ่ายบริหาร ทำให้สามารถใช้ชีวิตปกติได้ จึงอยากให้คนปัตตานีนำปัญหาของอาเจะห์มาศึกษาเป็นบทเรียนด้วย ขณะที่รัฐบาลไทยก็ต้องเปิดใจเหมือนรัฐบาลกลางอินโดนีเซีย" ซาเดียร์ กล่าว

8 ปีเลือกตั้ง 3 ครั้ง - มุ่งสร้างธรรมาภิบาล

ยูวันดา ดีจามาล (Juanda Djamal) เลขาธิการใหญ่ของอาเจะห์บารู (Aceh Baru) หรือคณะกรรมการเฉพาะกิจองค์กรภาคประชาสังคมอาเจะห์ เล่าเสริมว่า นับจากวันที่มีการเจรจาสันติภาพ ถึงวันนี้ก็ผ่านมา 8 ปีแล้ว อาเจะห์มีการเลือกตั้งท้องถิ่น 3 ครั้ง ส่วนสถานการณ์บ้านเมืองก็ยังมีความขัดแย้งทางการเมืองเป็นระยะๆ

"สถานการณ์ระหว่างนั้น (หลังเจรจาสันติภาพ) แกนนำเก่าของขบวนการอาเจะห์เสรีแตกออกเป็น 2 กลุ่ม พรรคการเมืองก็แบ่งออกเป็น 2 พรรค บทบาทสำคัญจึงอยู่ที่ภาคประชาสังคมที่ต้องทำแผนระยะยาวของอาเจะห์"

ยูวันดา ขยายความว่า การทำงานของภาคประชาสังคมมุ่งเน้นการระดมความคิดเห็นของผู้คนเกี่ยวกับอนาคตของอาเจะห์ว่าอยากเห็นบ้านเมืองเป็นอย่างไร สิ่งสำคัญคือภาคประชาชนต้องเข้มแข็ง หลังได้รับสันติภาพแล้วยังมีโจทย์ข้อสำคัญคือทำอย่างไรให้เศรษฐกิจมีความเข้มแข็ง เพื่อให้ประชาชนชาวอาเจะห์มีความเชื่อมั่นและมีรายได้เพียงพอสำหรับการดำรงชีวิต

"อีกอย่างหนึ่งคือการสร้างหลักธรรมาภิบาล (ความโปร่งใส ยึดหลักกฎหมายในการบริหารจัดการ) คือเป็นความท้าทายใหม่ของขบวนการประชาธิปไตย จะทำอย่างไรเพื่อจัดการกับทรัพยากรทั้งคนและธรรมชาติ การสร้างกระบวนการยุติธรรม ดูแลเหยื่อจากความรุนแรง"

เมื่อถามถึงระบบการเลือกตั้งและรูปแบบการปกครอง ยูวันดา อธิบายว่า ใช้ระบบเลือกตั้งท้องถิ่น มีการเลือกตั้งนายอำเภอ ส่วนการปกครองก็เป็นแบบ Autonomy (เขตปกครองตนเอง) เรื่องเศรษฐกิจก็จะแบ่งสัดส่วน 70:30 กับรัฐบาลกลาง (ท้องถิ่น 70 รัฐบาลกลาง 30) การจัดการศึกษาและการเรียนการสอนต่างๆ ต้องปฏิบัติตามข้อตกลงที่ได้ทำกันไว้อย่างเคร่งครัด

"สถานการณ์ความรุนแรงบอกได้เลยว่าไม่มี เขาวางอาวุธกันหมดแล้ว แต่อาชญากรรมยังมีอยู่ ไม่เกี่ยวกับความรุนแรงทางการเมือง ทุกวันนี้เราพยายามเสริมพลังของชุมชนให้เข้มแข็ง หางานและสร้างงานให้คนในชุมชนมีงานทำ"

ส่วนเรื่องการเมือง ยูวันดา บอกว่า จากการเลือกตั้งคราวที่แล้ว ประชาชนให้การสนับสนุนกลุ่ม Aceh Party ซึ่งก็คือกลุ่มเก่า แต่ต่อมาประชาชนเห็นว่ากลุ่มเก่าไม่สามารถแก้ปัญหาให้ตนได้ ก็เลยเกิดกลุ่มใหม่ขึ้นมา ชื่อว่า Aceh National กำลังจะเข้าสู่การเลือกตั้งครั้งใหม่ในปีหน้า โดยการเลือกตั้งคราวที่แล้วยังไม่มีพรรคการเมืองนี้ ตอนนี้ยังไม่ทราบเหมือนกันว่าประชาชนจะสนับสนุนพรรคไหน

"ประเพณีการเมืองของอินโดนีเซียจะมีการคอร์รัปชั่นสูง ประชาชนต้องการเงิน จึงมีการซื้อเสียงพอสมควร ฉะนั้นเงินจึงกลายเป็นเงื่อนไขหนึ่งของการเข้าสู่อำนาจการเมือง ผมหวังว่าพรรคการเมืองท้องถิ่นจะไม่ทำแบบการเมืองอินโดนีเซียในการเลือกตั้งระดับชาติ"

"กฎหมายอิสลาม" บังคับใช้เข้ม 3 เรื่อง

เมื่อถามถึงการใช้กฎหมายอิสลามในอาเจะห์ ยูวันดา อธิบายว่า กฎหมายหลักที่ใช้ในอาเจะห์เป็นกฎหมายอิสลาม แต่ยังไม่ได้ใช้อย่างเต็มที่ โดยมี 3 มาตราที่ใช้บังคับอย่างเข้มแข็งแล้ว คือ ห้ามดื่มสุรา ห้ามเล่นการพนัน และห้ามละเมิดทางเพศ

"3 ข้อนี้จะเข้มแข็งมากในเรื่องการปฏิบัติและการบังคับใช้กฎหมาย ส่วนอื่นๆ ยังไม่สมบูรณ์ สาเหตุที่ยังไม่สามารถนำมาใช้ได้อย่างสมบูรณ์ เพราะต้องให้ความรู้กับประชาชนก่อน"

ปลุกเครือข่ายชุมชนสร้างวาระสันติภาพ

ส่วนบทเรียนของการเจรจาสันติภาพ ยูวันดา บอกว่า ในฐานะที่เป็นภาคประชาสังคม ต้องหลีกเลี่ยงวาระที่ถูกกำหนดโดยภาครัฐ จะต้องสร้างวิถีทางของภาคประชาสังคมขึ้นมาเองว่าประชาชนต้องการอะไร และต้องพัฒนาทัศนคติเกี่ยวกับสันติภาพในระดับชุมชน ให้การศึกษาหลักสูตรสันติภาพแก่ชุมชน

"นี่คือหลักที่ทำให้เครือข่ายชุมชนมีความเข้มแข็ง และพัฒนาเครือข่ายไปยังนานาชาติ เพราะเราต้องการใช้พลังจากนานาชาติกดดันรัฐบาลกลางอินโดนีเซีย"

ยูวันดา บอกด้วยว่า ในส่วนของสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ อยากให้ภาคประชาสังคมสร้างเครือข่ายกับนานาชาติ เพื่อให้รัฐบาลรับทราบว่าภาคประชาชนต้องการการเจรจาที่ยุติธรรมและเป็นธรรม ในฐานะที่เป็นคนของภาคประชาสังคม คิดว่าภาคประชาสังคมต้องเข้าไปมีบทบาทในกระบวนการสร้างสันติภาพ ทำให้รากหญ้าเข้มแข็ง ซึ่งจะต้องช่วยกันสร้างเครือข่าย ช่วยกันสนับสนุนและเผยแพร่วาระของประชาชน ให้มีสื่อสันติภาพเกิดขึ้น ต้องเรียนรู้วิธีการเจรจากับคนนอกประเทศให้สนับสนุน พร้อมนำเสนอข้อมูลข้อเท็จจริง ตลอดจนเจตนารมณ์และความต้องการของประชาชนไปยังรัฐบาล

รอจังหวะยื่นข้อเสนอภาคประชาชน

สำหรับเงื่อนไขที่เป็นภาวะสุกงอมนำไปสู่การเจรจานั้น ยูวันดา ให้น้ำหนักไปที่เงื่อนไขทางการเมือง...

"การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองของอินโดนีเซียมีผลต่อกระบวนการสันติภาพ โดยเงื่อนไขที่พลิกผันที่สุดก็คือ เมื่อประธานาธิบดีซูฮาร์โตถูกโค่นล้ม ทำให้โอกาสทางการเมืองเปิด กลายเป็นโอกาสของอาเจะห์ด้วย"

"สำหรับประเทศไทยก็เหมือนกัน ระหว่างนี้ต้องทำให้ภาคประชาสังคมเข้มแข็ง สร้างพื้นที่การพูดคุยให้มาก เพื่อให้ประชาชนมีองค์ความรู้และตื่นตัว เมื่อพร้อมก็ยื่นกรอบการทำงาน (framework) ให้รัฐบาล เป็นข้อเสนอของภาคประชาชน" ยูวันดา กล่าวในที่สุด

ที่มา.สำนักข่าวอิศรา
////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันพฤหัสบดีที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

คลัง : ไล่บี้ ไอแบงก์ อนุมัติแผนสางหนี้ !!?


 คลังไฟเขียวแผนสางหนี้ 2.43 หมื่นล้านบาทของไอแบงก์ สั่งเข้มเร่งเดินเครื่องทันที ชี้ต้องแก้หนี้เน่าให้ได้ภายในปีนี้ 1 หมื่นล้านบาท ด้าน “ทนุศักดิ์” เดือดสั่งเอสเอ็มอีแบงก์เร่งหาเอ็มดีคนใหม่ให้ได้ภายในเดือน พ.ค.56
   
นายอารีพงศ์ ภู่ชอุ่ม ปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ได้เซ็นอนุมัติแผนฟื้นฟูของธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ธอท.) หรือไอแบงก์เรียบร้อยแล้ว โดยหลังจากนี้ไอแบงก์จะต้องเร่งดำเนินการให้เกิดตามที่ตั้งเป้าไว้ โดยเฉพาะการแก้ไขหนี้เสียจำนวน 2.43 หมื่นล้านบาท ซึ่งไอแบงก์ตั้งเป้าภายในสิ้นปีนี้จะแก้ไขให้ได้ 1 หมื่นล้านบาท
   
นอกจากนี้ตามแผนฟื้นฟู ทางไอแบงก์จะต้องปรับปรุงการปล่อยสินเชื่อใหม่ให้รัดกุม เพื่อไม่ให้เกิดหนี้เสียเพิ่มขึ้นตามข้อเสนอของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่ได้เข้าไปตรวจสอบฐานะการดำเนินงานของไอแบงก์ก่อนหน้านี้
   
“เริ่มต้นของแผนฟื้นฟู ทางไอแบงก์จะได้เงินเพิ่มทุนจากกระทรวงการคลัง จำนวน 445 ล้านบาท เมื่อรวมกับในส่วนของผู้ถือหุ้นรายอื่น ทั้งธนาคารออมสินและธนาคารกรุงไทย จะรวมเป็นเงินเพิ่มทุนก้อนแรกถึง 920 ล้านบาท” นายอารีพงศ์กล่าว
   
นายอารีพงศ์กล่าวอีกว่า หลังจากนั้นหากทางไอแบงก์แก้ไขหนี้ได้ตามแผน ก็จะได้เงินเพิ่มทุนจากกระทรวงการคลังประมาณ 2 พันล้านบาท รวมกับเงินของผู้ถือหุ้นรายอื่นรวมเป็นเงิน 4 พันล้านบาท ซึ่งทางไอแบงก์น่าจะแก้ปัญหาหนี้เสียได้ตามเป้า เพราะส่วนใหญ่เป็นลูกหนี้รายใหญ่ ต่างจากธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือเอสเอ็มอีแบงก์ ที่หนี้เสียเป็นรายใหญ่และรายย่อยจำนวนมาก
   
สำหรับการแก้ไขหนี้เสียของเอสเอ็มอีแบงก์ในเดือน ม.ค.2556 ทำได้ไม่ดีนัก แต่ในเดือน ก.พ. และ มี.ค.ที่ผ่านมาทำได้ดีขึ้น ทำให้ภาพรวมการแก้ไขหนี้เสียในไตรมาสแรกของปีได้ตามเป้า โดยเอสเอ็มอีแบงก์มีหนี้เสียทั้งหมด 3.1 หมื่นล้านบาท คาดว่าจะต้องใช้เวลาแก้ไขถึง 3 ปี
   
ด้านนายทนุศักดิ์ เล็กอุทัย รมช.การคลัง ในฐานะกำกับดูแลเอสเอ็มอีแบงก์ เปิดเผยว่า ได้เร่งให้เอสเอ็มอีแบงก์สรรหากรรมการผู้จัดการใหม่ให้แล้วเสร็จภายในเดือนนี้ หากทำไม่ได้กระทรวงการคลังในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่จะจัดการเรื่องนี้ให้เรียบร้อย เพื่อที่จะได้มีคนเข้ามาเป็นผู้นำในการแก้ไขหนี้เสียของธนาคาร

ที่มา.ไทยโพสต์
/////////////////////////////////////////

วันพุธที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ประชาธิปไตย แค่ชื่อ !!?


คงจะอยู่ยาก..จนถึงขั้นอยู่ไม่ได้
ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกของพรรคการเมืองพรรคนี้..คู่ต่อสู้ของพรรคการเมืองพรรคนี้..ล้วนไม่ใช่ใครที่ไหน..ก็แตกไปจากพรรคการเมืองพรรคนี้ด้วยกันทั้งนั้น..

หัวหน้าใหญ่เสื้อแดง..คนเปิดเกมก้าวแรกให้กับการต่อต้าน..เคลื่อนขับพลังประชาชนออกมาชนกับพรรคการเมืองพรรคนี้ที่กำลังเป็นรัฐบาล..วีระ มุสิกพงษ์..หรือ วีระกานต์ มุสิกพงษ์..
ก็คืออดีตเลขาธิการพรรคการเมืองพรรคนี้..เป็นหนึ่งในขุนศึกที่กอบกู้ต่อสู้ให้กับพรรคนี้..จนยิ่งใหญ่..เป็นหน่วยกล้าตายที่อาจหาญทิ้งแผ่นดินเกิดมาสมัครเป็นผู้แทนในกรุงเทพมหานคร..และหักด่านชนในเขตทหาร..ติดคุกติดตารางมาแล้วก็หลายคุก..

อดีตนายกรัฐมนตรี...สมัคร สุนทรเวช ผู้ให้กำเนิด ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ บนเวทีปราศรัย..จนกลายเป็นแม่ทัพสนามให้กับกองทัพประชาชนเสื้อแดง..ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน..

เขาคือกระบี่หลักของพรรคการเมืองพรรคนี้..เป็นสุดยอดของผู้อภิปรายในสภา..แต่เมื่อถูกปิดกั้นความคิดและเจอกับเผด็จการในพรรค..

สมัคร ก็หักด่านมาตั้งพรรคการเมืองของตนเอง..และก็แย่งเก้าอี้ผู้แทนกรุงเทพหลายเก้าอี้..จากพรรคนี้..จนทำให้ต่ำกว่าจนไม่สามารถเป็นรัฐบาลได้

สนั่น ขจรประศาสต์..ผู้สร้างพรรคนี้จนยิ่งใหญ่..ได้เป็นรัฐบาลมาแล้วสองครั้งสองครา..ก็ต้องอำลาจากพรรคการเมืองพรรคนี้..เพราะทนต่อแรงเสียดสีของความอิจฉาริษยาไม่ไหว..

ทันทีที่ พลตรี สนั่น ขจรประศาสต์ วางมือลาจาก..ความพ่ายแพ้ติดต่อกัน 21 ปี..แบบที่ อลงกรณ์ พลบุตร พูดถึงกล่าวถึงก็เป็นประดุจคำสาป..

และ พลตรี สนั่น ขจรประศาสต์..ก็คือคนที่ตกปากเชิญชวน พันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร ให้เข้าเป็นสมาชิกพรรคนี้..

ดำรงค์ ลัทธิพิพัฒน์..ก็ใช้ปืนระเบิดสมองตนเอง..ลาจากพรรคการเมืองพรรคนี้..ว่ากันว่าหนึ่งในเหตุผลที่ต้องคิดสั้น..ก็คือเรื่องราวปวดร้าวจากการเมืองในพรรค

ไม่แน่ว่า..วันข้างหน้า..เฉลิมชัย ศรีอ่อน..กับ อลงกรณ์ พลบุตร ก็อาจจะต้องเดินจากในทิศทางที่

ประวัติศาสตร์ของพรรคเป็นซ้ำแล้วซ้ำอีก..

ประชาธิปไตยเกิดได้อย่างไรในพรรคที่เป็นประชาธิปไตยแค่ชื่อ..

โดย. พญาไม้,บางกอกทูเดย์
///////////////////////////////////////////////////////////////////////////

พท. พร้อมเดินหน้า ร่าง กม.นิรโทษกรรม ทันทีเมื่อสภาฯเปิด !!?


ส.ส.แดงย้ำเดินหน้าร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรมทันทีเมื่อเปิดประชุมสภาฯไม่รอร่างพ.ร.บ.ปรองดองฉบับ"เฉลิม" ด้าน"ส.ส.อุบลฯ"ยันไม่มีความขัดแย้งภายในพรรค

ส.ส.พรรคเพื่อไทย ซึ่งเป็นแกนนำคนเสื้อแดง ได้แถลงยืนยันว่าไม่มีความขัดแย้งระหว่างการเสนอร่างพระราชบัญญัติการปรองดองแห่งชาติ พ.ศ... (พ.ร.บ.ปรองดอง) ที่ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกฯ เป็นแกนนำในการนำเสนอต่อสภา รวมถึงไม่ยืนยันว่าจะปฏิเสธหากร่างพ.ร.บ.ปรองดองฉบับดังกล่าวเข้าสู่วาระพิจารณาของสภาฯ

นพ.เชิดชัย ตันติศิรินทร์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ส.ส.พรรคเพื่อไทย ยืนยันว่าจะเดินหน้าร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรมแก่ผู้ซึ่งกระทำความผิดเนื่องจากการชุมนุมทางการเมือง การแสดงออกทางการเมืองของประชาชน พ.ศ.... ฉบับที่ นายวรชัย เหมะ ส.ส.สมุทรปราการ กับคณะ ผู้เป็นผู้เสนอ และทันทีที่เข้าสู่การประชุมสภาผู้แทนราษฎร สมัยสามัญทั่วไป ช่วงเดือนสิงหาคม จะได้รับการพิจารณาเป็นลำดับแรก โดยไม่เกี่ยวกับร่างพ.ร.บ.ปรองดอง ฉบับร.ต.อ.เฉลิม ดังนั้นของให้พี่น้องคนเสื้อแดงสบายใจ และพรรคประชาธิปัตย์อย่าได้นำประเด็นไปตีกินกล่าวหาว่าพรรคเพื่อไทยเล่นละครปรองดอง

"ร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรม ต้องเดินหน้าพิจารณาแน่นอน และแม้ว่าร่างพ.ร.บ.ปรองดองของร.ต.อ.เฉลิม จะเข้าสู่ที่ประชุมสภาฯได้ คงไม่นำมารวมพิจารณาเรื่องเดียวกัน เพราะหลักการเป็นคนละเรื่อง อย่าไงรก็ตามในอนาคตส.ส.เสื้อแดงจะยกมือสนับสนุนร่าง พ.ร.บ.ปรองดอง ฉบับรองนายกฯ เฉลิมหรือไม่ ให้เป็นเรื่องของอนาคต" นพ.เชิดชัย กล่าว

ด้านนายสมคิด เชื้อคง ส.ส.อุบลราชธานี พรรคเพื่อไทย กล่าวว่าจากกรณีการเสนอร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรมฯ และเตรียมเสนอร่าง พ.ร.บ.ปรองดอง ไม่ถือว่าพรรคเพื่อไทยมีความขัดแย้งระหว่างกัน อย่างไรก็ตามวานนี้ (20 พ.ค.) ตนได้คุยกับร.ต.อ.เฉลิม ถึงการเสนอร่างพ.ร.บ.ปรองดอง ว่า มีเวลาอีก 3 เดือนก่อนที่สภาฯ จะเปิดประชุม ขอให้ร.ต.อ.เฉลิม ได้ชี้แจงและทำความเข้าใจกับคนทุกกลุ่มสีก่อน เพื่อลดความระแวง ทั้งนี้ขอย้ำว่า ร่างพ.ร.บ.ปรองดอง ของร.ต.อ.เฉลิมนั้น ยังไม่ผ่านการพิจารณาของกรรมการบริหารพรรคเพื่อไทย รวมถึงคณะกรรมการยุทธศาสตร์ มีเพียงการพูดผ่านสื่อฯ เท่านั้น

ขณะที่นายวรชัย กล่าวในประเด็นการเดินหน้ากระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ทั้งรายมาตราและการลงมติวาระสาม ของร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 291 เพื่อให้มีสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) มายกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ว่า จากการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง เมื่อวันที่ 19 พ.ค. ที่ผ่านมาพบว่ามีประชาชนเข้าร่วมชุมนุมจำนวนมาก ทำให้สะท้อนเจตนารมณ์ของประชาชนว่า ต้องการออกมาปกป้องรัฐบาล และสนับสนุนให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2550 ให้เป็นประชาธิปไตย และเป็นรัฐธรรมนูญฉบับของประชาชน

ดังนั้นขอเรียกร้องให้ สมาชิกรัฐสภาเดินหน้าลงมติวาระสามของร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยลำดับแรกขอให้ลงมติในร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นรายมาตรา และต่อด้วยการลงมติร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 291 ส่วนศาลรัฐธรรมนูญที่รับคำร้องการแก้ไขรัฐธรรมนูญขัดรัฐธรรมนูญไว้พิจารณานั้น ยืนยันว่าตุลาการศาลรัฐธรรมนูญไม่มีอำนาจพิจารณาประเด็นดังกล่าว เพราะรัฐธรรมนูญไม่ได้ให้อำนาจไว้

"พวกเราต้องเดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อลดอำนาจองค์กรอิสระ สร้างความเป็นประชาธิปไตย เพราะในองค์กรดังกล่าวพบว่าถูกอำนาจเผด็จการเข้ามาครอบงำ" นายวรชัย กล่าว

ทั้งนี้ นพ.เชิดชัย กล่าวเสริมขึ้นว่า หากตุลาการศาลรัฐธรรมนูญตัดสินโดยไม่มีอำนาจ ในยกแรกที่มีความเกรงใจ แต่เมื่อมีการตัดสินออกมา ทั้งที่ไม่มีอำนาจ อาจเปลี่ยนความเกรงใจเป็นความหมั่นไส้ และเกลียดชัง รวมถึงเป็นแรงขับให้รัฐสภาเดินหน้าโหวตร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญวาระสามต่อไป

ทีมา.กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
//////////////////////////////////////////////////////////////

แบงก์ชาติ กังขาตัวเลขเศรษฐกิจ สภาพัฒน์ฯ


แบงก์ชาติกังขาตัวเลขเศรษฐกิจสภาพัฒน์ฯสั่งจนท.ตรวจสอบข้อมูล ด้านสศช.ยันของจริง ปัดปั้นตัวเลขเอาใจรัฐบาล คลังแก้กฎกระทรวงสกัดบาทแข็ง

ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) แสดงความสงสัยตัวเลขการขยายตัวเศรษฐกิจที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) แถลงว่าต่ำกว่าความเป็นจริง ในขณะที่เตรียมส่งข้อมูลเศรษฐกิจให้คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ประชุมวันที่ 29 พ.ค.นี้

ข้อมูลเศรษฐกิจไตรมาสแรกมีผลต่อการตัดสินใจลดดอกเบี้ยของ กนง. โดยก่อนหน้านี้ ธปท.ระบุว่าจะรอพิจารณาตัวเลขเศรษฐกิจในไตรมาสแรก หากเห็นว่าขยายตัวต่ำกว่าศักยภาพก็พร้อมจะลดดอกเบี้ย ในขณะรัฐบาลกดดันให้ลดดอกเบี้ยเพื่อดูแลค่าเงินบาทไม่ให้แข็งค่า

นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการ ธปท. กล่าวว่า ตัวเลขเศรษฐกิจไทยไตรมาสแรกปี 2556 ที่ สศช.ประกาศออกมาเมื่อวันที่ 21 พ.ค. โดยอัตราการเติบโตอยู่ที่ 5.3% นั้น ถือเป็นตัวเลขซึ่งต่ำกว่าที่ ธปท.คาดการณ์ โดยเฉพาะตัวเลขอุปสงค์ในประเทศ ซึ่งขณะนี้ได้ให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบรายละเอียด

"เท่าที่ดูตัวเลขเบื้องต้นมีข้อสังเกตอยู่บ้าง คือ ถ้าเป็นตัวเลขการนำเข้าและส่งออกนั้นถือว่าใกล้เคียงกับที่เรามองเอาไว้ แต่ที่น่าสังเกต คือ ตัวเลขอุปสงค์ในประเทศ ซึ่งตัวเลขของสศช.ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของทางแบงก์ชาติค่อนข้างมาก โดยเฉพาะตัวเลขอุปสงค์ในประเทศที่น่าสังเกตเป็นพิเศษ เวลานี้ก็ให้ทีมงานดูอยู่ว่า สาเหตุมาจากอะไร"นายประสาร กล่าว

สำหรับ ธปท.คาดการณ์เศรษฐกิจไทยในไตรมาสแรก ว่าอัตราการขยายตัวประมาณ 7.1% ขณะที่ตัวเลขจริงของสศช. อยู่ที่ 5.3% ส่วนตัวเลขอุปสงค์ในประเทศของธปท. ประเมินการเติบโตไว้ที่ 6.1% ส่วนตัวเลขจริงของสศช.อยู่ที่ 3.9%

ในขณะที่ การบริโภคภาคเอกชนของธปท. ประเมินไว้ที่ 5.8% แต่ตัวเลขจริงออกมาที่ 4.2% และตัวเลขการลงทุนภาคเอกชนของธปท.ประเมินไว้ที่ 7.3% แต่ตัวเลขจริงของสศช.ออกมาที่ 3.1%

นายประสาร กล่าวว่า ในส่วนของตัวเลขการลงทุนภาคเอกชนที่ชะลอลงนั้น ประเด็นนี้ธปท.พอเข้าใจได้ เพราะไตรมาสที่ผ่านมาภาคธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการส่งออกไม่สู้ดีนัก ทำให้การลงทุนลดลงตามไปด้วย

อย่างไรก็ตาม ในส่วนของการบริโภคภาคเอกชนนั้น นายประสาร กล่าวว่าหากดูอัตราการจ้างงานและดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่อยู่ระดับสูงต่อเนื่องมาหลายเดือน ประกอบกับสินเชื่อภาคเอกชนของธนาคารพาณิชย์ที่แม้จะชะลอลงบ้าง แต่ก็ยังอยู่ในระดับ 13% เศษ ทำให้ ธปท.ต้องพิจารณาในรายละเอียด ว่า การบริโภคภาคเอกชนที่ต่ำกว่าคาดนั้นมาจากสาเหตุใด

"เราเห็นตัวเลขอุปโภคบริโภคร่วงลง แต่ถ้าดูตัวเลขอื่น เช่น รายได้ การจ้างงานที่ยังสูง แถมยังก่อหนี้เพิ่มอีก ถ้าข้อมูลเหล่านี้เป็นจริง มันกลายเป็นว่าตัวเลขการอุปโภคบริโภคน่าจะสูง ไม่น่าจะลดลง เพราะสมมติว่าค่าจ้างขั้นต่ำเพิ่มจาก 200 บาทเป็น 300 บาท เท่ากับเพิ่มขึ้นมา 100 บาท แถมยังก่อหนี้เพิ่มอีก ซึ่งหนี้ที่เพิ่มก็น่าจะทำให้การบริโภคโดยรวมเพิ่มขึ้น ซึ่งก็ต้องไปดูในรายละเอียด"นายประสาร กล่าว

ชี้ศก.ชะลอไม่เกินคาดหมาย

อย่างไรก็ตาม ภาพรวมเศรษฐกิจที่ชะลอลงนั้น ไม่ได้เกินความคาดหมายของธปท. เพราะก่อนหน้านี้ ธปท.ประเมินไว้ว่าเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มว่าจะชะลอลงเข้าสู่แนวโน้มปกติ ดังนั้น ตัวเลขที่ออกมาจึงไม่ได้เกิดความคาดหมายมากนัก เพียงแต่มีข้อสังเกตบ้างในเรื่องของการอุปโภคบริโภคภายในประเทศเท่านั้น ซึ่งเป็นประเด็นที่ต้องนำมาวิเคราะห์เพื่อนำไปสู่การตัดสินใจด้านนโยบาย

นายประสาร กล่าวว่า การตัดสินเรื่องดอกเบี้ยนโยบายของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) นั้น โดยปกติทาง กนง. จะดูว่าเศรษฐกิจสามารถเติบโตได้ตามศักยภาพหรือไม่ และแรงส่งทางเศรษฐกิจเริ่มลดลงหรือเปล่า แต่ก่อนจะถึงจุดนั้น ทีมเศรษฐกิจของธปท.จะทำหน้าที่รวบรวมข้อมูลทางเศรษฐกิจที่เป็นข้อมูลล่าสุดแล้วมาวิเคราะห์ดูว่าสอดคล้องกับระบบเศรษฐกิจแท้จริงหรือไม่ ก่อนที่จะนำข้อมูลเหล่านี้ส่งมอบให้กับ กนง. เพื่อใช้ตัดสินใจทางด้านนโยบาย

"ตัวเลข 5.3% ก็ดูจะลดลงกว่าศักยภาพเล็กน้อย และฐานปีที่แล้วไม่ได้สูงด้วย ความจริงถ้าอยากให้เศรษฐกิจปีนี้ทั้งปีโตได้เกินกว่า 5% เศรษฐกิจไทยไตรมาสแรกควรต้องโตมากกว่านี้ ดังนั้นตัวเลขที่ 5.3% จึงเป็นตัวเลขที่ต่ำกว่าคาด สาเหตุก็คือการอุปโภคบริโภคซึ่งเป็นตัวเลขที่น่าสังเกต"นายประสาร กล่าว

ธปท.ไม่ติดใจตัวเลขส่งออก-นำเข้า

นายประสาร กล่าวถึงตัวเลขส่งออกและนำเข้า ว่า ธปท.ไม่ได้มีข้อสังเกตเพราะถ้าดูตัวเลขมูลค่าการนำเข้าสินค้าและบริการที่ สศช. ประกาศออกมาที่ 8.4% นั้น เป็นตัวเลขเดียวกับที่ธปท.ประเมินไว้ ส่วนตัวเลขมูลค่าการนำเข้าสินค้าและบริการนั้น ธปท. ประเมินไว้ที่ 7.8% ซึ่งตัวเลขของ สศช. ออกมาที่ 8.2% ก็ไม่ได้แตกต่างกันมากนัก

ส่วนมูลค่าการส่งออกที่ลดลงจากการที่ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นนั้น นายประสาร กล่าวว่า ถ้านำไปหักกับการจ่ายเงินเพื่อนำเข้าสินค้าก็ถือว่าเสมอตัว เพราะปัจจุบันสัดส่วนการนำเข้าและส่งออกต่อจีดีพีของไทยอยู่ในระดับใกล้เคียงกันที่ 70%

"เวลานี้การนำเข้าและส่งออกจะใกล้ๆ กัน คือ 70% ของจีดีพี ดังนั้นเมื่อรายได้จากการส่งออกน้อยลง รายจ่ายเพื่อการนำเข้าก็ลดลงตามไปด้วย เมื่อนำ 2 ตัวมารวมกันมันก็เจ๊ากัน ไม่ได้หายไปไหน" นายประสาร กล่าว

ชี้ค่าบาทผันผวนจากปัจจัยนอก

นายประสาร กล่าวด้วยว่า ในส่วนของเงินเฟ้อนั้น โดยรวมในขณะนี้ยังอยู่ในกรอบเป้าหมาย และเท่าที่ติดตามดูอยู่แรงกดดันส่วนใหญ่มาจากทางด้านอุปทาน เช่น เรื่องค่าแรงที่สูงขึ้น ภาวะการจ้างงานที่ตึงตัว ซึ่งยังเป็นเรื่องที่ต้องติดตาม เพียงแต่แรงกดดันไม่ได้มีมากนัก

สำหรับการแกว่งตัวของค่าเงินบาทในช่วงนี้ นายประสารกล่าวว่า ส่วนใหญ่เป็นผลจากปัจจัยต่างประเทศ ทำให้ตลาดเงินมีความอ่อนไหวค่อนข้างมาก โดยช่วง 2 วันที่ผ่านมาเงินบาทอ่อนค่าลงจากกระแสข่าวที่มีคณะกรรมการนโยบายการเงินของสหรัฐ (FOMC) บางคนเสนอให้ธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ยุติการใช้มาตรการอัดฉีดสภาพคล่องเข้าสู่ระบบ (QE) ก่อนกำหนด

แต่เมื่อวานนี้ (21 พ.ค.) มีข่าวว่า มูดี้ส์ สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถืออาจปรับลดเครดิตเรทติ้งของสหรัฐลงหากยังไม่สามารถแก้ปัญหาทางการคลังได้ ก็ทำให้เงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนลง เงินบาทกลับมาแข็งค่า

สศช.ยันบริโภคลดลง

นายปรเมธี วิมลศิริ รองเลขาธิการ สศช.กล่าวว่า ตัวเลขการบริโภคทุกตัวลดลงหมด เว้นแต่รถยนต์ที่ยังได้รับแรงส่งจากนโยบายคืนภาษีรถยนต์คันแรกของรัฐบาล โดยยอดจำหน่ายรถยนต์นั่งขยายตัวสูงถึง 121.8%

"ถ้าหากตัวเลขการซื้อรถยนต์ไม่ช่วยพยุงการบริโภคไว้ ยิ่งจะทำให้การบริโภคภาคเอกชนต่ำมากไปกว่านี้อีก"

นายปรเมธี ออกมาชี้แจงตอบโต้ หลังจากที่นายประสาร แสดงความสงสัยตัวเลขเศรษฐกิจที่ สศช.แถลงไปเมื่อวันที่ 20 พ.ค. ที่ผ่านมา

ปฏิเสธแต่งตัวเอาใจการเมือง

นายปรเมธี กล่าวถึงกรณีนายประสารอ้างถึงการขยายตัวของสินเชื่อการบริโภคที่ยังสูงนั้นน่าจะแสดงถึงการบริโภคที่ขยายตัวดีว่าคนกู้เงินอาจจะนำไปใช้จ่ายอย่างอื่น ไม่ได้กู้เงินมาเพื่อบริโภคก็เป็นได้

นายปรเมธี กล่าวว่า สศช. ได้คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจในไตรมาสแรกของปีนี้จะขยายตัว 6-7% แต่ตัวเลขจริงที่ออกมา 5.3% ซึ่งตัวเลขเศรษฐกิจนั้น ได้หารือกันตลอดกับทีมงานของธปท. และไม่มีการแต่งตัวเลขเพื่อเอาใจรัฐบาล เพื่อบีบให้ ธปท.ลดดอกเบี้ยนโยบายลง

นายกฯปัดจับมือสศช.บี้ลดดอกเบี้ย

นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า อยากเห็นค่าเงินบาทมีเสถียรภาพและราคาที่สามารถแข่งขันได้เมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน แต่การลดดอกเบี้ยก็เป็นหนึ่งในวิธีการที่ดี

"อย่ามองอย่างนั้น เพราะว่าจริงๆ แล้ว สศช. มีหน้าที่ชี้แจงข้อเท็จจริง และข้อเท็จจริงตรงนี้เราเองถือว่าทุกส่วนต้องช่วยกันชี้แจงข้อเท็จจริงให้ทราบ ส่วนการตัดสินอย่างไรนั้นทางคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) คงจะเป็นผู้ที่พิจารณาตัดสินใจ แต่ข้อมูลต่างหากที่เป็นข้อมูลที่ควรจะได้รับฟังอย่างครบถ้วน"นายกรัฐมนตรีกล่าวเมื่อถามว่ารัฐบาลสั่งให้ สศช. ลดตัวเลขเศรษฐกิจเพื่อกดดัน ธปท.ลดดอกเบี้ยหรือไม่"

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า อยากเห็นความร่วมมือทำงานไปด้วยกัน เพราะสุดท้ายแล้ว ไม่อยากเห็นแนวโน้มเศรษฐกิจที่ดีต้องหยุดชะงัก เพราะสูญเสียโอกาสไปมากแล้วตั้งแต่อุทกภัย ซึ่งไม่อยากเห็นตัวเลขเศรษฐกิจหดตัว ในขณะที่ประเทศอื่นจะเริ่มปรับตัวแล้ว

คลังส่งรายงาน สศช. ให้แบงก์ชาติ

ร.ท.หญิง สุณิสา เลิศภควัต รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวานนี้ (21 พ.ค.) นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้แจ้งว่าจะนำรายงานภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาส 1/2556 และแนวโน้มเศรษฐกิจไทยในปีนี้ของสศช. ส่งให้ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) เพื่อใช้เป็นส่วนหนึ่งในการรวบรวมผลกระทบทางเศรษฐกิจในแง่มุมต่างๆ พร้อมกันนี้ กระทรวงการคลังจะทำหนังสือถามไปยังธปท.ว่าที่ผ่านมาได้ใช้มาตรการใดบ้างในการแก้ไขปัญหาค่าเงินบาท

ธปท.ได้ทำหนังสือมาถึงกระทรวงการคลัง เพื่อขอให้เตรียมแก้ไขข้อกฎหมายเพื่อให้การดำเนินการในมาตรการที่ธปท.เตรียมไว้สำหรับการแก้ปัญหาค่าเงินบาท ซึ่งจะมี 2 มาตรการที่จำเป็นต้องมีการแก้ไขกฎหมายก่อนจึงจะดำเนินการได้ โดยธปท.ได้ทำหนังสือมาถึงกระทรวงการคลังแล้ว และส่งร่างแก้ไขกฎหมายให้กระทรวงการคลังได้พิจารณา

ธปท.ขอแก้กฎหมาย2ฉบับ

แหล่งข่าวจากทำเนียบรัฐบาล กล่าวว่าธปท.ได้เสนอร่างแก้ไขกฎหมาย จำนวน 2 ฉบับ ไปยังกระทรวงการคลังเพื่อรองรับการออกมาตรการดูแลเงินบาท โดยประกอบด้วย กฎหมายเกี่ยวกับการเก็บภาษีและค่าธรรมเนียมจากการลงทุนในตราสารหนี้ไทยของนักลงทุนต่างชาติ และ การกำหนดให้นักลงทุนต่างชาติป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนของเงินลงทุนในตราสารหนี้เพื่อไม่ให้ได้รับผลกำไรและขาดทุน จากอัตราแลกเปลี่ยน

"แบงก์ชาติได้ส่งร่างแก้ไขกฎหมาย 2 ฉบับไปให้กระทรวงการคลัง โดยเสนอไปทั้ง 2 แบบเลย ทั้ง พ.ร.ก. และ พ.ร.บ. เพราะอยู่ในช่วงปิดสมัยประชุมสภา ก็อยู่ที่คลังจะไปดำเนินการอย่างไร" แหล่งข่าวกล่าว

เมื่อต้นเดือนนี้ นายกิตติรัตน์ ได้รายงานมาตรการแก้ปัญหาเงินบาทแข็งค่า รวม 4 ข้อ ที่เสนอโดยธปท.ให้ครม.ได้รับทราบ คือ การห้ามนักลงทุนต่างชาติลงทุนในพันธบัตร ธปท.,การกำหนดเวลาให้ต่างชาติถือครองพันธบัตรรัฐบาล อย่างน้อย 3 เดือนขึ้นไป, เก็บภาษีหรือค่าธรรมเนียมจากผลตอบแทนการลงทุนในตลาดตราสารหนี้ ส่วนมาตรการสุดท้าย กำหนดให้นักลงทุนต่างชาติที่นำเงินเข้ามาลงทุนในไทย ต้องทำประกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน(เฮดจิ้ง) เพื่อไม่ให้ได้รับผลตอบแทนในเชิงบวก แต่ก็จะไม่ขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน และกำหนดให้เงินทุนที่นำเข้ามานั้น ต้องถูกกันสำรองจำนวนหนึ่งไว้ที่ธปท.

"กิตติรัตน์"พร้อมทำตามข้อเสนอธปท.

นายกิตติรัตน์ กล่าวว่าธปท.ทำหนังสือถึงกระทรวงการคลังเมื่อวันที่ 17 พ.ค. 2556 ชี้แจงมาตรการดูแลอัตราแลกเปลี่ยนที่มีทั้งมาตรการที่ดำเนินการได้เองและถ้านำมาใช้จะหารือกระทรวงการคลังอย่างใกล้ชิด และบางมาตรการต้องแก้ประกาศกระทรวงการคลังที่อยู่ในอำนาจของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ซึ่งกระทรวงการคลังจะดำเนินการให้เร็วภายในสัปดาห์นี้

"บางมาตรการต้องแก้กฎหมายระดับ พ.ร.บ.ทำให้บางคนเข้าใจว่าจะต้องแก้เป็น พ.ร.ก.ที่มีฐานะเท่า พ.ร.บ. ซึ่งกระทรวงการคลังจะดำเนินการให้ตามที่ ธปท.เสนอมาและจะเสนอแก้ไขเป็น พ.ร.บ.แต่ขณะนี้สภาปิดสมัยประชุม โดยถ้าแก้ไขเป็น พ.ร.บ.จะใช้เวลาและถ้ามีความจำเป็นที่ต้องใช้มาตรการนี้ก่อน ก็จะพิจารณาร่วมกับ ธปท.ว่ามีความจำเป็นต้องออกเป็น พ.ร.ก.หรือไม่ แต่ไม่ขอเจาะจงว่าเป็นมาตรการใดเพราะเอกสารจาก ธปท.ตีตราลับมาก และยืนยันว่ากระทรวงการคลังจะดำเนินการตามที่ ธปท.เสนอมาทุกประการ"

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
/////////////////////////////////////////////////////////

วันอังคารที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

3 ปีแห่งการฟอกถ่านให้ขาว !!?


โดย.สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ

หลังจากที่นายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้กล่าวปาฐกถาที่มองโกเลียเมื่อวันที่ 29 เมษายน ที่ผ่านมา ซึ่งได้ชี้ให้เห็นปัญหาประชาธิปไตยในประเทศไทย ที่เกิดจากการรัฐประหาร การคุกคามของฝ่ายต่อต้านประชาธิปไตย และการกวาดล้างปราบปรามประชาชน ในที่สุด วันที่ 8 พฤษภาคม พรรคประชาธิปัตย์ก็ได้ออกแถลงการณ์ของพรรค ส่งให้กับนานาประเทศ เพื่อคัดค้านคำปาฐกถา ซึ่งแถลงการณ์ของพรรคประชาธิปัตย์ครั้งนี้ ได้สะท้อนให้เห็นอีกครั้งของการโกหกบิดเบือน ฟอกถ่านให้ขาว และใส่ร้ายป้ายสีประชาชน แถลงการณ์นี้เท่ากับว่าพรรคประชาธิปัตย์ได้ขยายวาทกรรมโกหกบิดเบือนในสังคมไทยให้เผยแพร่ไปทั่วโลก

ในคำแถลงของพรรคประชาธิปัตย์ ได้อ้างว่าที่มาของปัญหาการเมืองในประเทศไทยว่า เกิดจากการบริหารของรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่เต็มไปด้วยการคอรัปชั่น จนทำให้ฝ่ายทหารต้องเข้าแทรกแซงในเดือนกันยายน พ.ศ.2549 และแต่งตั้งรัฐบาลพลเรือนชั่วคราว ซึ่งเป็นการอธิบายเพื่อสร้างความชอบธรรมแก่การรัฐประหาร ทั้งที่จนถึงวันนี้ก็ยังไม่มีหลักฐานใดที่จะพิสูจน์ได้เลยว่า การบริหารของรัฐบาลทักษิณมีการทุจริตมากมายเช่นนั้น และยิ่งไม่สามารถที่จะเป็นข้ออ้างสำหรับการก่อรัฐประหารล้มล้างประชาธิปไตยได้เลย ต่อมา แถลงการณ์ก็อธิบายการจัดตั้งรัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะในเดือนธันวาคม พ.ศ.2551 ว่า มาจากการที่พรรคพลังประชาชนถูกยุบ และทำให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคพลังประชาชนจำนวนหนึ่งหันมาสนับสนุนนายอภิสิทธิ์ โดยไม่อธิบายพลังทางการเมืองที่แวดล้อมกดดัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งศาลรัฐธรรมนูญที่มีบทบาทสำคัญในการใช้ข้อกฏหมายอันเหลวไหลมาล้มรัฐบาลพลังประชาชนและเปิดทางให้พรรคประชาธิปัตย์ได้จัดตั้งรัฐบาล

แต่การโกหกบิดเบือนเรื่องใหญ่ที่สุดก็คือ เรื่องการกวาดล้างปราบปรามประชาชนเมื่อเดือนเมษายนและพฤษภาคม พ.ศ.2553 ที่รัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะใช้กำลังทหารเข้ากวาดล้างจนมีผู้เสียชีวิตถึง 91 คนและบาดเจ็บนับพันคน แถลงการณ์ได้ให้คำอธิบายดังนี้

“ในช่วงรัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ สภาพการเมืองไทยมีการเผชิญหน้า และมีความรุนแรง สืบเนื่องมาจากแนวทางแก้ว 3 ประการ ของพ.ต.ท.ทักษิณและกลุ่มผู้สนับสนุน คือ พรรคเพื่อไทย กลุ่มคนเสื้อแดง และกองกำลังติดอาวุธ โดยนางสาวยิ่งลักษณ์  ชินวัตรนั้นก็ได้มีส่วนร่วมในการประท้วงกับกลุ่มคนเสื้อแดง ซึ่งศาลยุติธรรมได้มีคำพิพากษาให้เป็นการกระทำที่ขัดต่อกฎหมาย และไม่ใช่เป็นไปตามแนวทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ การชุมนุมได้มีการละเมิดสิทธิ เสรีภาพพื้นฐานของผู้อื่น และยังมีกองกำลังที่เรียกว่า ชายชุดดำ ใช้อาวุธสงคราม เช่น ลูกระเบิด M67 M79 และอาวุธสงครามต่างชนิด แสดงให้เห็นชัดเจนว่า ,,,เป็นการชุมนุมที่มีกองกำลังติดอาวุธ ก่อการร้ายต่อสู้กับเจ้าหน้าที่ของรัฐ และทำร้ายประชาชนผู้บริสุทธิ์ ฝ่ายรัฐบาลนำโดยพรรคประชาธิปัตย์ได้นำประเทศกลับสู่ภาวะปกติด้วยกลไกต่างๆ ภายในขอบเขตของกฎหมาย ผู้เสียชีวิต 91 คน...มีทั้งข้าราชการ ทหาร และตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่เพื่อรักษากฎหมายและความมั่นคงของประเทศ ประชาชนผู้บริสุทธิ์ และผู้ประท้วงหลายคนถูกเข่นฆ่าด้วยกลุ่มกองกำลังติดอาวุธ”

คำอธิบายเช่นนี้ ก็เป็นการตอกย้ำถึงการโกหกโดยตลอด 3 ปีที่ผ่านมาที่ว่า การชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงในเดือนเมษายนและพฤษภาคม พ.ศ.2553 นั้นเป็นการใช้ความรุนแรงและก่อการร้ายของประชาชนต่อรัฐบาลอภิสิทธิ์ ส่วนการเข่นฆ่าสังหารเกิดจากกลุ่มชายชุดดำ ซึ่งเป็นกองกำลังของฝ่ายผู้ชุมนุม โครงเรื่องในการเล่าเรื่องนี้แบบพรรคประชาธิปัตย์จึงกลายเป็นว่า กลุ่มคนเสื้อแดงมาชุมนุมประท้วงที่ถนนราชดำเนินและราชประสงค์ โดยตั้งกองกำลังติดอาวุธมาด้วย จากนั้น ก็ใช้อาวุธเหล่านั้นยิงเจ้าหน้าที่ทหาร และยิงกันเองจนบาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก แม้ว่าจะมีการกระชับพื้นที่จนประชาชนจำนวนมากหนีไปอยู่ในวัดปทุมวนาราม คนชุดดำก็ยังตามไปยิงผู้บริสุทธิ์ในวัดอีก 6 ศพ ส่วนรัฐบาลอภิสิทธิ์ที่ประกาศภาวะฉุกเฉิน ตั้งศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน(ศอฉ.)มาควบคุมสถานการณ์ ส่งทหารติดอาวุธสงครามพร้อมมาล้อมที่ชุมนุม และแม้ว่าจะมีการยิงกระสุนนับแสนนัดก็ไม่ได้สังหารใครเลย แต่ในที่สุดก็สามารถนำประเทศคืนสู่ภาวะปกติได้ด้วยกลไกกฎหมาย

การเล่าเรื่องแบบนี้อาศัยการข้ามเรื่องหรือแกล้งไม่เล่าข้อเท็จจริงจำนวนมาก เช่น การชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงเริ่มตั้งแต่วันที่ 14 มีนาคม โดยไม่มีความรุนแรงเลย ไม่มีหลักฐานใดเลยที่แสดงว่า คนเสื้อแดงที่มาชุมนุมขนอาวุธมาจากบ้าน ข้อเรียกร้องของการชุมนุมคือ ให้อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะยุบสภาให้มีการเลือกตั้งใหม่ การจัดตั้งกำลังอาวุธจะไม่มีส่วนใดเลยที่จะช่วยให้บรรลุข้อเรียกร้อง ความรุนแรงเริ่มเกิดในวันที่ 10 เมษายน โดยการที่ทหารฝ่ายรัฐบาลเริมเปิดฉาก”กระชับพื้นที่”โดยการใช้อาวุธเข้าสลายฝูงชน จากนั้น ศอฉ.ได้ประกาศ”ผังล้มเจ้า”เพื่อกล่าวหากลุ่มผู้ชุมนุมว่า ล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ และใช้กองทหารปิดล้อมการชุมนุมทุกด้าน การกวาดล้างประชาชนครั้งใหญ่เรียกว่า “ขอพื้นที่คืน”เริ่มจากการสังหาร พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล ด้วยการยิงด้วยสไนเปอร์ ในวันที่ 13 พฤษภาคม จากนั้น ก็ยังได้ใช้สเปอร์ยิงประชาชนจำนวนมาก การล้อมกระชับและเข่นฆ่า จนถึงวันที่ 19 พฤษภาคม ฝ่ายแกนนำผู้ชุมนุมจึงประกาศยุติการชุมนุมแล้วถูกจับกุม หลังจากนั้นจึงเกิดการเผาห้างเซนทรัลเวิร์ล และศูนย์การค้าอีกหลายแห่ง โดยคนเสื้อแดงถูกกล่าวหาว่าเป็นคนทำ จึงถูกโจมตีว่าเป็นพวก”เผาบ้านเผาเมือง” แต่ในกรณีนี้ เมื่อผ่านมาแล้ว 3 ปี ก็ไม่มีหลักฐานใดที่จะระบุได้เลยว่า คนเสื้อแดงเป็นคนเผาสถานที่เหล่านั้น คนเสื้อแดงที่ถูกจับกุมดำเนินคดีก็ถูกยกฟ้องเพราะหลักฐานอ่อน และนี่เป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้การโจมตีเรื่องเผาบ้านเผาเมืองกลายเป็นเรื่องที่ไร้เหตุผล

สรุปได้ว่า โครงเรื่องที่เล่าแบบพรรคประชาธิปัตย์เป็นโครงเรื่องที่เหลวไหลมาก แต่โครงเรื่องแบบนี้มีความจำเป็น เพื่อที่จะปกปิดความชั่วของรัฐบาลอภิสิทธิ์และ ศอฉ. ที่เป็นผู้รับผิดชอบในการกวาดล้างสังหารประชาชน แต่ที่น่าแปลกใจคือ โครงเรื่องแบบนี้ได้รับการยอมรับ และฝ่ายพันธมิตรกลุ่มเสื้อเหลือง ส่วนมากก็ยอมรับและเล่าเรื่องในแบบเดียวกัน และกลับโจมตีแกนนำของผู้ชุมนุมว่าเป็นต้นเหตุของการเข่นฆ่าสังหาร

จนมาถึงขณะนี้เมื่อถึงโอกาสครบรอบ 3 ปีของการเข่นฆ่าสังหารประชาชน การดำเนินคดีต่อนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ผู้รับผิดชอบในการเข่นฆ่าก็ยังคืบหน้าช้ามาก และนายทหารที่เข้าร่วมสั่งการ ก็ยังไม่มีใครถูกจับกุมดำเนินคดีเลย ทั้งยังมีข่าวถึงการเสนอกฎหมายปรองดอง ที่จะนิรโทษให้กับฝ่ายทหารและผู้สั่งการ จึงคาดหมายล่วงหน้าได้ว่า คดีสังหารประชาชนครั้งใหญ่นี้ ก็จะเป็นมวยล้ม ศาลที่เป็นเครื่องมือสำคัญในการเล่นงานประชาชนตลอดมา จะไม่มีประสิทธิภาพในการเอาผิดฆาตกรตัวจริงได้

นี่คือความอยุธิธรรมในสังคมไทย และเป็นชะตากรรมของฝ่ายประชาชนไทย

ที่มา: นสพ.โลกวันนี้วันสุข
////////////////////////////////

วันจันทร์ที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ดร.โกร่ง ชวนให้คิด เหตุการณ์หลังต้มยำกุ้ง 2540 !!?


คอลัมน์ คนเดินตรอก โดย ดร.วีรพงษ์ รามางกูร

เหตุการณ์ต้มยำกุ้งที่เกิดขึ้นที่นำความเสียหายอย่างใหญ่หลวงมาสู่ประเทศไทย เมื่อมีการประกาศให้ค่าเงินบาทลอยตัวเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2540 ค่าเงินบาทที่เราต่อสู้กับ "กองทุนตรึงค่า" หรือ Hedge Funds เมื่อเราประกาศลอยตัวค่าเงินบาท ค่าเงินบาทก็ดำดิ่งลงทันทีจาก 25 บาทต่อดอลลาร์ ลงไปถึง 56 บาทต่อดอลลาร์ เพราะเราเอาทุนสำรองไปต่อสู้จนทุนสำรองเกือบหมด เหลือเพียง 800 ล้านเหรียญเท่านั้น แล้วเราก็ต้องขอกู้จากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ 17,000 ล้านเหรียญ และต้องยอมรับเงื่อนไขมหาโหดจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ ความผิดพลาดก่อนหน้านั้นคงไม่ต้องพูดถึง

หลังจากนั้นเศรษฐกิจก็ซบเซาอย่างหนัก อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจหดตัวลงอย่างน่าใจหาย ธุรกิจสถาบันการเงิน ห้างร้านต่าง ๆ ประสบกับการขาดทุนจนต้องปิดตัวเองลงเกือบหมด มีคนเคยเปรียบเทียบความเสียหายครั้งนี้เทียบเท่ากับการเสียกรุงศรีอยุธยาในปี 2310 เมืองถูกเผาราบเป็นหน้ากลอง

เศรษฐกิจซบเซาอย่างหนัก การนำเข้าลดลงอย่างฮวบฮาบ ธุรกิจภาคอุตสาหกรรมและบริการพังพินาศราบเรียบ เหลือแต่ภาคเกษตรกรรมเท่านั้นที่ยังยืนยงคงอยู่ได้ แถมขยายตัวอย่างรวดเร็ว เพราะค่าเงินที่ตกต่ำลงทำให้สินค้าภาคเกษตรและอุตสาหกรรมที่ต่อเนื่องจากการเกษตรสามารถขายได้ในราคาที่สูงขึ้นกว่าเท่าตัวแรงงานที่ถูก"ลอยแพ"จากภาคอุตสาหกรรมและภาคบริการหลั่งไหลกลับบ้านไปสู่ภาคเกษตรอีกครั้งหนึ่ง



ดุลการค้าและดุลบัญชีเดินสะพัดซึ่งเคยขาดดุลถึง8เปอร์เซ็นต์ก่อนวิกฤตการณ์ต้มยำกุ้งกลับมาเกินดุลถึง 8 เปอร์เซ็นต์ภายในระยะเวลาอันสั้น คือประมาณ 12 เดือนหลังจากนั้นทางการพยายามแก้ไขโดยการลดอัตราดอกเบี้ยลงจนต่ำติดดิน เพื่อหวังจะกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่การณ์กลับมิได้เป็นอย่างที่คาดหวังเอาไว้ แทนที่จะเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ เงินที่ได้จากการเกินดุลการค้าและดุลบัญชีเดินสะพัดกลับไหลออก

เข้ามาเท่าไหร่ก็ไหลออกหมด เพราะดอกเบี้ยข้างนอกสูงกว่าดอกเบี้ยข้างในมีเรื่องเรียกร้องให้ขึ้นอัตราดอกเบี้ยให้สอดคล้องกับอัตราดอกเบี้ยข้างนอกทางการก็ไม่ฟังเคยเปรียบเทียบว่า"เงิน" ก็เหมือน "น้ำ" น้ำไหลจากที่สูงไปที่ต่ำ เงินไหลจากที่มีผลตอบแทนต่ำไปยังที่ให้ผลตอบแทนสูง ตนเป็น "นายประตูน้ำ" น้ำไหลออกแทนที่จะตำหนิตัวเอง กลับไปต่อว่าด่าทอ "น้ำ" ค่าเงินก็แข็งค่าขึ้น ไม่มีเสถียรภาพจนเริ่มกระทบต่อการส่งออกอีกครั้งหนึ่ง ทางการที่กำหนดนโยบายการเงินก็ไม่ฟัง ไม่มีใครสนใจลงทุนที่นี่ ไปลงทุนต่างประเทศดีกว่า ผลตอบแทนสูงกว่า สภาพคล่องในประเทศแห้งผาก

การเปลี่ยนแปลงรัฐบาลในปี 2544 จากรัฐบาลประชาธิปัตย์มาเป็นรัฐบาลไทยรักไทย รัฐบาลไทยรักไทยจึงตัดสินใจเปลี่ยนตัว

ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ผู้ว่าการคนใหม่จึงประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยเป็นขั้นเป็นตอน เงินจึงหยุดไหลออก สภาพในตลาดการเงินจึงฟื้นคืนมาอีกครั้งหนึ่ง และอีกปีต่อมาคือปี 2545 เศรษฐกิจก็เริ่มฟื้นตัว ดุลบัญชีเดินสะพัดก็ยังเกินดุลมาเรื่อย ๆ เพราะเราลงทุนต่ำกว่าเงินออมที่เราทำมาขายได้ด้วยลำแข้งเราเอง ไม่ได้ไปกู้หนี้ยืมสินจากต่างประเทศ ค่าเงินบาทก็แข็งตัวเรื่อย ๆ มา สร้างความเดือดร้อนให้กับผู้ส่งออกและเกษตรกรเป็นระยะมาเรื่อย ๆ ผู้ส่งออกและเกษตรกรก็ต้องปรับตัวเรื่อยมา

มาบัดนี้ สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และยุโรป ลดอัตราดอกเบี้ยของตนลงจนใกล้ศูนย์ เศรษฐกิจก็ยังไม่ฟื้น จึงเพิ่มปริมาณเงินขึ้นมาจำนวนมหาศาล เงินก็หลั่งไหลมาหาที่ที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า จีนนั้นยังไม่เปิดเสรีทางการเงิน ประเทศบางประเทศก็ไม่น่าลงทุน เช่น อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ แม้แต่มาเลเซียที่ให้ดอกเบี้ยสูงกว่า ก็เหลือแต่ไทย เกาหลีใต้ และไต้หวัน ส่วนฮ่องกงก็มีระบบอัตราแลกเปลี่ยนคงที่ตรึงไว้กับดอลลาร์สหรัฐ

ก็เหลือไทยเราที่พื้นฐานดีกว่าคนอื่นขณะเดียวกันทางการก็กำหนดอัตราดอกเบี้ยทางการไว้ที่2.75เปอร์เซ็นต์ ในขณะที่ดอกเบี้ยดอลลาร์สหรัฐ เยน และยูโร มีอัตราดอกเบี้ยต่ำแค่ 0.0 ถึง 0.25 เปอร์เซ็นต์ เงินก็ไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ค่าเงินบาทจึงแข็งขึ้นมาเรื่อย ๆ จนบัดนี้

เมื่อค่าเงินแข็งขึ้น ทางการก็ออกมาเอาเงินบาทซื้อดอลลาร์ไปเก็บ พร้อม ๆ กับออกพันธบัตรดอกเบี้ยแพงตามที่ตนกำหนด เอาดอลลาร์และเงินอื่น ๆ เช่น เยนและยูโร เข้ามาเก็บเป็นทุนสำรองซึ่งมีดอกเบี้ยต่ำ ก็เกิดการขาดทุนมโหฬาร เรื่องมันก็ง่าย ๆ อย่างนี้

ที่อ้างว่ากลัวเงินจะเฟ้อถ้าลดดอกเบี้ยลงเพราะค่าเงินบาทจะไม่แข็ง อย่างนี้ก็อาจจะจริงอยู่บ้าง แต่ทางการก็ไม่ต้องการให้เงินบาทแข็งเกินไปไม่ใช่หรือ จึงออกมาแทรกแซงตลาดจนขาดทุนมากมายอย่างนี้ ส่วนเงินเฟ้อนั้นมันไปกับอัตราเงินเฟ้อของโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งราคาน้ำมันที่คิดเป็นเงินบาทเป็นหลัก

มีสื่อมวลชนบางคนออกมาโจมตี หรือมาถามตรง ๆ ต่อหน้าว่า เมื่อก่อนปี 2544 เห็นพูดดัง ๆ ว่าให้ทางการขึ้นดอกเบี้ย แล้วทำไมผ่านมา 10 ปีจึงกลายมาเป็นคนบ้าเลือดมาตะโกนให้ลดดอกเบี้ย จะเอาอย่างไรแน่ ถ้าเมื่อ 10 ปีก่อนถูก เที่ยวนี้ก็ต้องผิด ที่เคยเชื่อถือก็เชื่อถือไม่ได้แล้ว เพราะดูจะเปลี่ยนไป สงสัยมีเหตุผลการเมือง

ฟังแล้วก็เหนื่อย ไม่รู้จะอธิบายอย่างไรกับ คนไม่รู้สถานการณ์แต่ละช่วงเวลา รู้ครึ่ง ๆ กลาง ๆ สุก ๆ ดิบ ๆ และไม่รู้ว่าตัวเองไม่รู้

"ต้มยำกุ้ง" เมื่อระหว่างปี 2540-2544 กับปัจจุบัน สถานการณ์มันไม่เหมือนกัน มันกลับตาลปัตร ก่อนปี 2540 เราไปกำหนดดอกเบี้ยเอาไว้ต่ำกว่าดอกเบี้ยเงินดอลลาร์ ดอกเบี้ยเงินดอลลาร์มันไม่ได้คงที่ตายตัว เงินที่ไหลออกหมดเราทำมาหาได้เท่าไหร่ก็ออกไปกินดอกเบี้ยสูง ๆ นอกประเทศ เงินในประเทศจึงเหลือน้อย สภาพคล่องไม่มี ดอกเบี้ยต่ำก็จริงแต่ไม่มีใครกู้ การลงทุนก็ไม่เกิด การจ้างงานก็ไม่มี การบริโภคในเมืองก็หด เพราะความต้องการไม่มี การค้าระหว่างประเทศก็ซบเซา

หลังจากนั้นมาดุลบัญชีเดินสะพัดก็เกินดุลมาตลอด เหตุการณ์ขณะนี้กลับกันกับเมื่อหลังปี 2540 กล่าวคือ อเมริกา ญี่ปุ่น ยุโรป ทยอยกันลดอัตราดอกเบี้ยลงเรื่อย ๆ มิหนำซ้ำก็เพิ่มปริมาณเงินดอลลาร์ เงินเยน เงินยูโรเป็นจำนวนมาก เรากลับตรึงดอกเบี้ยไว้สูง เงินก็ไหลเข้าจากการเกินดุลเพิ่มขึ้น ๆ เงินก็แข็งขึ้น ๆ ทำให้ผู้ส่งออกเดือดร้อน เกษตรกรได้ราคาต่ำลง โครงการรับจำนำสินค้าเกษตรก็ต้องขาดทุนมากกว่าที่ควรจะเป็น แถมราคาสินค้าเกษตรเราในต่างประเทศก็แพงเกินเหตุ

อุตสาหกรรมรายย่อยที่ผลิตวัตถุดิบ ชิ้นส่วนส่งโรงงานใหญ่ก็เดือดร้อน เพราะโรงงานใหญ่ก็สั่งวัตถุดิบชิ้นส่วนจากต่างประเทศ ราคาถูกกว่าชิ้นส่วนวัตถุดิบในประเทศ เดือดร้อนกันไปหมด
ความคิดและจุดยืนทางเศรษฐศาสตร์ไม่ได้เปลี่ยนไป แต่เหตุการณ์ของโลกมันเปลี่ยนไป นโยบายการเงินก็ต้องเปลี่ยนไป ไม่ใช่หยุดอยู่กับที่อย่างที่ถูกต่อว่า
สังคมไทยเป็นสังคมเปิด เสรีภาพในเรื่องความคิดความเห็นเป็นเรื่องดี เป็นเรื่องสำคัญ ต้องอย่าหยุดคิด การเปลี่ยนแปลงล้วนมีเหตุปัจจัย ตามหลัก "อนิจจัง" เราอย่าหยุดอยู่กับที่ 


ตรรกะนั้นไม่เปลี่ยน ไม่มีอะไรแอบแฝง อธิบายได้

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
//////////////////////////////////////////////////////

บาทผันผวน : จับตา กนง. !!?


ฝ่ายค้าเงินตราต่างประเทศ ธนาคารกรุงเทพรายงานว่า ภาวะการเคลื่อนไหวของค่าเงินประจำวันจันทร์ที่ 20 พฤษภาคม 2556 ค่าเงินบาทเปิดตลาดเช้านี้ที่ระดับ 29.82/84 บาท/ดอลลาร์ ปรับตัวอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับระดับปิดตลาดเมื่อวันศุกร์ (17/5) ที่ 29.76/77 บาท/ดอลลาร์ โดยค่าเงินบาทในช่วงเช้านี้ เงินบาทอ่อนค่าตั้งแต่เปิดตลาดตามทิศทางสกุลเงินต่างประเทศ หลังจากที่นักลงทุนยังคงตอบรับกระแสตัวเลขเศรษฐกิจที่ดีเกินคาดของตลาดสหรัฐ ประกอบกับนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีกระทรวงการคลัง ได้ออกมาแสดงความเห็นในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า หลังจากรัฐบาลและธนาคารแห่งประเทศไทยได้ประชุมหารือเพื่อหาทางออกที่ดีสำหรับความผันผวนของค่าเงินบาท

ปัจจุบันก็รู้สึกพอใจที่เงินบาทเริ่มอ่อนค่าอย่างสมเหตุสมผลและดูมีเสถียรภาพมากขึ้น อีกทั้งคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) เผยตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ไตรมาสหนึ่ง ประจำปี 2556 (1/56) เติบโต 5.3% ซึ่งถือว่าเป็นการขยายตัวต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ที่ 5.7% โดยเป็นผลมาจากการส่งออกที่ไม่สามารถขยายตัวได้ตามเป้าหมายที่วางไว้เป็นอีกหนึ่งแรงกดดันเงินบาทในช่วงเช้า อย่างไรก็ตาม ในช่วงบ่ายหลังจากยุโรปเปิดตลาด ค่าเงินบาทได้เริ่มกลับมาแข็งค่าขึ้น หลังจากไม่สามารถทะยานทะลุแนวต้านที่ระดับ 29.90 บาท/ดอลลาร์ได้ จึงทำให้นักลงทุนเทขายทำกำไรเงินดอลลาร์ออมา ขณะที่นักลงทุนยังคงจับตาการประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในวันที่ 29 พ.ค.นี้ ว่าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยหรือไม่ ทั้งนี้ ตลอดทั้งวันกรอบการเคลื่อนไหวค่าเงินบาทระหว่างวันอยู่ที่ระดับ 29.77-29.91 บาท/ดอลลาร์ ก่อนปิดตลาดที่ระดับ 29.81/84 บาท/ดอลลาร์

สำหรับค่าเงินยูโรวันนี้เปิดตลาดที่ระดับ 1.2833/34 ดอลลาร์/ยูโร ปรับตัวอ่อนค่าเมื่อเทียบกับระดับปิดตลาดเมื่อวันศุกร์ (17/5) ที่ 1.2887/88 ดอลลาร์/ยูโร โดยในช่วงเช้าของตลาดเอเชียสกุลเงินยูโรยังคงรับข่าวจากตัวเลขเศรษฐกิจยุโรปที่หดตัวรุนแรงกว่าที่คาดการณ์ และมีแนวโน้มว่าธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) อาจผ่อนคลายนโยบายทางการเงินลงไปอีก ประกอบกับรับแรงกดดันจากการคาดการณ์ที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจลดปริมาณการกระตุ้นเศรษฐกิจ (QE) ภายในปลายปีนี้ ซึ่งเป็นผลบวกต่อเงินดอลลาร์สหรัฐและกดดันเงินยูโร อย่างไรก็ดี ในช่วงบ่ายเงินยูโรปรับตัวแข็งค่าขึ้น จากที่นักลงทุนกลับมาซื้อคืนเงินยูโร หลังจากที่เงินยูโรไม่สามารถผ่านแนวรับที่ระดับ 1.2800 ดอลลาร์/ยูโร ได้ ทั้งนี้ ตลอดทั้งวันกรอบการเคลื่อนไหวของสกุลเงินยูโรระหว่างวันนั้นอยู่ที่ระดับ 1.2820-1.2878 ดอลลาร์/ยูโร ได้ ทั้งนี้ตลอดทั้งวันกรอบการเคลื่อนไหวของสกุลเงินยูโรระหว่างวันนั้นอยู่ที่ระดับ 1.2820-1.2878 ดอลลาร์/ยูโร ก่อนปิดตลาดที่ระดับ 1.2869/72 ดอลลาร์/ยูโร

สำหรับค่าเงินเยนวันนี้เปิดตลาดที่ระดับ 102/74/76 เยน/ดอลลาร์ ปรับตัวอ่อนค่าเมื่อเทียบกับระดับปิดตลาดเมื่อวันศุกร์ (17/5) ที่ 102.29/32 เยน/ดอลลาร์ ค่าเงินเยนนั้นปรับตัวอ่อนค่าหลังจากที่นายชินโซะ อาเบะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ได้ออกมาให้แสดงความเห็นในช่วงสุดสัปดาห์ว่า เขาจะเป็นพนักงานขายที่ดีที่สุดในการเยือนประเทศเพื่อนบ้านเพื่อผลักดันและช่วยเหลืออุตสาหกรรมการส่งออกภายในประเทศให้มากที่สุด แต่หลังจากเปิดตลาดได้ไม่นานสกุลเงินเยนกลับมาแข็งค่าขึ้นอีกครั้ง เนื่องจากนายอากิระ อามาริ รัฐมนตรีเศรษฐกิจญี่ปุ่นออกมาระบุว่า รัฐบาลรู้สึกพอใจกับระดับค่าเงินเยนในปัจจุบัน และการอ่อนค่ามากเกินไปของค่าเงินเยนอาจส่งผลเสียและทำลายเศรษฐกิจของญี่ปุ่นได้ อย่างไรก็ตาม นักลงทุนยังคงจับตาการประชุมของธนาคารกลางญี่ปุ่นในวันที่ 21-22 พ.ค.นี้ ว่าจะมีการเพิ่มมาตรกรใดในการกระตุ้นเศรษฐกิจ และปรับการดำเนินการของตลาดพันธบัตรเพื่อสกัดความผันผวนในตลาดหรือไม่ ทั้งนี้ตลอดทั้งวันกรอบการเคลื่อนไหวของสกุลเงินเยนระหว่างวันอยู่ที่ระดับ 102.02-103.09 เยน/ดอลลาร์ ก่อนปิดตลาดที่ระดุบ 102.54/56 เยน/ดอลลาร์

อนึ่ง ข้อมูลเศรษฐกิจที่น่าสนใจในสัปดาห์นี้ ได้แก่ รายงานการประชุมของคณะกรรมการการเงินธนาคารกลางญี่ปุ่น (บีโอเจ) (21-22/5), รายงานการประชุมของคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (เฟด) (22/5), ตัวเลขผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ตัวเลขยอดขายบ้านใหม่เดือน เม.ย. (23.5), ตัวเลขยอดสั่งซื้อสินค้าคงทน (24/5)

อัตราป้องกันความเสี่ยง (Swap point) ภาคเช้า 1 เดือนในประเทศอยู่ที่ +5.5/5.75 สตางค์/ดอลลาร์ และอัตราป้องกันความเสี่ยง (Swap point) ภาคเช้า 1 เดือนต่างประเทศอยู่ที่ +8.5/9.5 สตางค์/ดอลลาร์

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
//////////////////////////////////////////////////////////////////