--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันพฤหัสบดีที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

อดีต รมว.คลัง แนะแก้บาทแข็ง กิตติรัตน์-ประสาร ผนึกกำลัง เลิกตั้งป้อม !!?


เมื่อ ปัญหาค่าเงินบาทที่แข็งค่าผิดปกติ กระทบตรงถึงธุรกิจการส่งออก ร้อนถึงทุกองคาพยพที่รับผิดชอบต่อนโยบายการเงินการคลังของประเทศ จำเป็นต้องระดมสมองหาทางแก้ไข

ฝ่ายรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มีผู้รับผิดชอบโดยตรงชื่อ "กิตติรัตน์ ณ ระนอง" รมว.คลัง และรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ ขณะที่ฝ่ายข้าราชการประจำนำทัพโดย "ประสาร ไตรรัตน์วรกุล" ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)กินเวลาหลายเดือนที่ 2 องค์กรใหญ่ระดมสมอง เพื่อค้นหายุทธวิธีแก้ปัญหาที่สมบูรณ์ที่สุด

"กิตติรัตน์" มีความเห็นให้ ธปท. ผลักดัน ให้คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) หารือเพื่อปรับลดดอกเบี้ยนโยบายเพื่อแก้ปัญหา ขณะที่ "ประสาร" เสนอมาตรการจากอ่อนไปถึงเข้มรวม 4 ข้อ เพื่อสกัดเงินทุนต่างประเทศที่ไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่อง

แต่จนถึงวินาทีนี้ "บาทแข็ง" ยังไม่มีคำตอบที่ชัดเจนออกจากปาก 2 ผู้รับผิดชอบนโยบายการเงินการคลังของประเทศ
ปรากฏเพียงแต่ภาพงัดข้อประลองกำลังระหว่าง "กิตติรัตน์-ประสาร" ที่ยังไม่มีทีท่าว่าจะสิ้นสุด

ธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล" ผู้เคยผ่านสมรภูมิรบ 2 องค์กรข้างต้น เคยเป็นทั้ง รมว.คลังคนแรกของรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ และเคยนั่งเก้าอี้รองผู้ว่าการ ธปท. เพื่อวิเคราะห์หาทางออกอีกแรงหนึ่ง

ถามความเห็นเรื่องแรงกดดันจาก รมว.คลัง ถึงการปลดผู้ว่าการ ธปท. เขาบอก "no comment" และขอพูดแต่เรื่องปัญหาค่าเงินเพียงอย่างเดียวโดย ทั้งหมดเป็นความเห็น บทวิเคราะห์ล่วงหน้า 3 วัน ก่อนที่ "กิตติรัตน์" จะเรียกประชุมทุกหน่วยงานเมื่อวันจันทร์ที่ 13 พ.ค. โปรดติดตามได้บรรทัดต่อจากนี้

- มอง 4 มาตรการที่เสนอโดย ธปท. อย่างไร

เมื่อ มองดูแล้วว่าโจทย์วันนี้เป็นเรื่องของบาทแข็ง 4 มาตรการนี้ก็ถือเป็นสิ่งที่ตอบโจทย์ ผมคิดว่าสิ่งที่เขาเสนอเป็นการแก้ปัญหาเฉพาะจุด ซึ่งเป็นเรื่องที่ผมเห็นด้วย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเรื่องของมาตรการ capital control ที่ต้องการควบคุมเงินทุนไหลเข้าโดยตรง ซึ่งเป็นมาตรการที่ ธปท.ออกแบบจากอ่อนไปหาเข้มอยู่แล้ว ทั้งหมดสามารถทำแบบค่อยเป็นค่อยไปได้ โดยประเมินปฏิกิริยาของนักลงทุนควบคู่ไปด้วย

ผมขอยกตัวอย่าง หากเราบังคับให้นัก ลงทุนในตลาดตราสารหนี้ว่าต้องมีการคุ้มครองอัตราแลกเปลี่ยน ผลตอบแทนที่เขาได้ก็จะน้อยลงทันที อาจเริ่มต้นคุ้มครอง 10-30% ก่อนที่จะไปถึง 100% แล้วสังเกตดูว่าเงินยังไหลเข้ามาหรือไม่ นี่คือการดำเนินการแบบค่อยเป็นค่อยไป และทำได้ทันทีโดยไม่ต้องยุ่งเกี่ยวกับการลดดอกเบี้ยนโยบาย

- ถ้าดำเนินการตามข้อเสนอ ธปท. ก็ไม่จำเป็นต้องลดดอกเบี้ย

ผม ว่าเรื่องมาตรการของ ธปท. และการลดดอกเบี้ย แยกส่วนเป็นอิสระต่อกัน ฉะนั้นการประชุมวันจันทร์จะทำให้คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เห็นว่า เศรษฐกิจในต่างประเทศมันเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร และเศรษฐกิจภายในยังคงมีความร้อนแรงหรือเบาบางลง เมื่อได้รับข้อมูลที่ครบถ้วน กนง.ก็อาจจะตัดสินใจลดดอกเบี้ยก็ได้

สิ่ง ที่ ธปท.เสนอมา ทั้งการเก็บภาษี การบังคับให้เงินไหลเข้าต้องคุ้มครองอัตราแลกเปลี่ยน ผมไม่มั่นใจว่าเป็นอำนาจของ ธปท.หรือไม่ แม้แต่การห้ามซื้อพันธบัตร ธปท. ก็อาจเป็นอำนาจของเขาหรือไม่ แต่ตามมารยาทการทำงาน ข้อเสนอทั้งหมดจำเป็นต้องได้รับความเห็นชอบในหลักการจาก รมว.คลัง เพราะทุกมาตรการเป็นการใช้อำนาจของ ธปท.ที่เกินกว่ากรณีปกติ

ประเด็น คือ เราจะไปเน้นว่ามาตรการใดเป็นอำนาจของใครมันเป็นเรื่องรอง เพราะทุกมาตรการล้วนมีผลกระทบเกิดขึ้นแน่นอน และจำเป็นต้องอธิบายให้สังคมรับรู้ ฉะนั้นเรื่องหลักคือ Big Move ที่ ธปท.จะได้ตัดสินใจอะไรก็ควรได้รับการสนับสนุนจากภาคการเมืองอย่างเต็มที่

- ที่ผ่านมาทั้งกระทรวงการคลัง และ ธปท. ต่างมี Big Move คนละเส้นทาง

มันเป็นการตั้งป้อม ผมก็ไม่อยากจะวิจารณ์มากว่ามันมีอะไรอยู่นอกเหนือเรื่องนี้หรือไม่

- แต่ละมาตรการควรใช้เมื่อไรถึงจะเหมาะสมที่สุด

ต้องกลับ มาดูเรื่องอัตราค่าเงิน นี่เป็นสิ่งที่ตอบยาก เพราะถามแต่ละคนว่าค่าเงินระดับไหนสมควรทำอะไร ก็จะให้คำตอบแตกต่างกัน ฉะนั้นในแง่ระดับค่าเงินบาท ผมคิดว่า ธปท.จำเป็นต้องหาข้อมูลอย่างกว้างขวางจากภาคเอกชน จากผู้เกี่ยวข้องในภาคธุรกิจ ซึ่งการที่ รมว.คลัง นัดประชุมเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ผมถือว่าเป็นการเริ่มต้นที่ถูกต้องเสียที หลังจากที่ตั้งป้อมยิงปืนใหญ่ใส่ ธปท.มาโดยตลอด

- การตั้งป้อมยิงอย่างนี้มีแต่ผลเสีย

เป็น ผลเสียมากกว่า ผมว่าต้องเลิกตั้งป้อมยิงเสียที ซึ่งมันไม่ได้หมายความว่าจะได้ผลตามที่อยากได้ เพราะ กนง.มีหน้าที่ตามกฎหมาย เขาต้องรับผิดชอบเศรษฐกิจโดยภาพรวม หมายความว่าปัญหาค่าเงินเป็นแค่ไพ่ใบเดียวในมือ กนง. ฉะนั้นการดำเนินการโดยให้ตั้งเป้าหมายไปที่ใบเดียวคงเป็นไปไม่ได้

ดัง นั้นการที่ รมว.คลังเป็นเจ้าภาพนัดหารือ ก็ถือว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้อง เป็นสิ่งที่ผมเรียกร้องมาหลายครั้งแล้วว่า ฝ่ายการเมืองกับข้าราชการประจำจะต้องเอาหัวชนกัน ไม่ใช่ขวิดเขาใส่กัน และเวลานี้ก็ต้องเอาภาคธุรกิจมาคุยด้วยก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีมาก

- บางฝ่ายวิเคราะห์ว่า การตั้งป้อมอย่างนี้ก็ช่วยให้นักลงทุนถอยออกไปส่วนหนึ่ง

ถ้า ผมเป็น รมว.คลัง และมีข้อตกลงกับผู้ว่าการ ธปท.ชัด ๆ ผมจะเดินออกมาพูดพร้อมกันว่า เรามีความเห็นว่าเงินไหลเข้าประเทศมากไปแล้วนะ หรือเงินบาทแข็งขึ้นไปหน่อยแล้วนะ ผมว่าทำแค่นี้เงินทุนก็ไหลกลับไปเอง หัวใจคือทุกฝ่ายต้องพูดเป็นเนื้อเดียวกันถึงจะจูงตลาดได้

- หากเป็น รมว.คลังอยู่จะแก้ปัญหาอย่างไร

สมัย ที่ผมดำรงตำแหน่ง สิ่งที่ผมให้ความสำคัญคือการหารือกับภาคเอกชนเป็นประจำ เพราะข้อมูลจากส่วนนี้เป็นเรื่องสำคัญ และโดยตำแหน่ง รมว.คลังเป็นผู้ใหญ่มากกว่า ธปท. คุมอำนาจทางการเมือง คุมอำนาจรัฐ และเป็นผู้ดูแลกฎหมาย ธปท. ในแง่นี้ ผมจะนัดคุยกับ ธปท. และภาคเอกชนแบบเงียบ ๆ แสดงข้อกังวล เสนอทางออกให้เขาเต็มที่ ทำแบบเงียบ ๆ และต้องแสดงให้คนข้างนอกเห็นว่า ผู้บริหารการเงินการคลังยังผนึกกำลังเป็นเนื้อเดียวกัน

- ทำไมต้องหารือทุกฝ่ายแบบเงียบ ๆ

การ ถกเถียงระหว่าง รมว.คลัง กับ ธปท. ในที่สาธารณะ มันก็เหมือนเอาผ้าปูที่นอนที่เปื้อนแล้วมาซักในที่สาธารณะ เรื่องขัดแย้งทางความคิดมันคุยกันได้แบบเงียบ ๆ เหมือนสมัยท่านสมคิด (จาตุศรีพิทักษ์) เป็นรองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ ท่านนัดประชุมแบบเงียบ ๆ เป็นประจำ เราเรียกว่า breakfast meeting เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมานั่งกินข้าวกันไป หารือกันไป แบบนี้มันทำให้ประเทศมีความราบรื่น

นโยบายทางการเงินการคลัง มันมีความเห็นที่แตกต่างกันได้ เพราะแต่ละคนมีประสบการณ์ไม่เหมือนกัน แต่ละคนมีข้อมูลต่างกัน ฉะนั้นสิ่งที่ทุกฝ่ายทำได้คือให้ข้อมูลทั้งหมด เพื่อให้คนที่มีอำนาจตัดสินใจรับรู้อย่างเต็มที่

- หากเป็นผู้ว่าการ ธปท. ในสถานการณ์เช่นนี้จะทำอย่างไร

ใน มุมนี้จะยากนิดหนึ่ง เพราะขึ้นอยู่กับหมากที่ รมว.คลังจะเดินอย่างไร สมัยนี้ต้องยอมรับว่าเหนื่อย เพราะ รมว.คลังออกมาพูดเรื่องขาดทุน ที่เป็นการตีราคาทางบัญชี อีกส่วนหนึ่งเป็นการขาดทุนจากการ

ออก พันธบัตรเพื่อดูแลปริมาณการเงิน ซึ่งการขาดทุนจากการตีราคานี้เกิดจากการที่ ธปท. มีทรัพย์สินเป็นดอลลาร์สหรัฐ เมื่อค่าเงินอ่อนตัว ทรัพย์สินทางบัญชีก็ย่อมขาดทุน

ผมไม่ได้หมายความว่าทรัพย์สินเหล่า นี้เกิดจากที่ท่านประสารเป็นผู้ซื้อมา แต่มันซื้อมาตั้งแต่สมัยผู้ว่าการคนเก่า ๆ ฉะนั้นจะเหมารวมว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นฝีมือท่านประสาร ผมว่ามันก็ไม่ค่อยเป็นธรรมนัก

มองลึกลงไปจะพบว่า กรณีขาดทุนของ ธปท. ทำเพื่อให้เงินบาทแข็งตัวช้าลง ให้เวลาคนปรับตัวมากขึ้น ไม่เช่นนั้นธุรกิจจะล้มหายตายจาก เกิดการปลดคนงาน วุ่นวายไปหมด ฉะนั้นสิ่งที่ ธปท.ยอมขาดทุน

มันทำให้ประโยชน์เกิดขึ้นกับประเทศ เราจะมามองแต่การขาดทุน แต่ไม่มองกระจกเงาที่สะท้อนกลับมาไม่ได้

- เมื่อฝ่ายการเมืองตั้งต้นแนวคิดอย่างนี้ ธปท.ที่เป็นข้าราชการประจำควรทำอย่างไร ตอบโต้หรือก้มหน้ารับผิดชอบ

มัน เป็นสิ่งที่ยากทั้งสองทาง ถ้าออกมาอธิบายมาก คนก็หาว่าอวดดี แก้ตัว แต่ในความเห็นผม ท่านประสารควรออกมาอธิบายมากกว่านี้ แต่ก็ต้องยอมรับว่าเวลานี้ก็มีความเสี่ยงที่คนจะไม่ฟัง เพราะมันมีคนตั้งป้อมรออยู่แล้ว

- เศรษฐกิจไทยตอนนี้ถึงเวลาลดดอกเบี้ยหรือไม่

ผม เองไม่ได้ตามตัวเลขเศรษฐกิจอย่างใกล้ชิด เลยแสดงความเห็นไม่ได้ แต่ผมมั่นใจอย่างหนึ่งว่าภาวะเศรษฐกิจต่างประเทศที่อ่อนตัว จากจีน ยุโรป สหรัฐ ยังไม่ได้ฟื้นตัวอย่างเต็มที่ หากรัฐบาลไทย

ไม่ได้เหยียบคันเร่งนโยบายประชานิยมเข้าไปผสม ไม่อัดเงินผ่านนโยบายการคลังลงไป กนง.อาจจะลดดอกเบี้ยได้ง่ายกว่านี้

- ถ้าสุดท้ายต้องมีการลดดอกเบี้ย

จะ ถือว่า ธปท.แพ้แรงกดดันหาก กนง.ประเมินแล้วว่า ภาวะเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มชะลอฉับพลัน จะตัดสินใจลดดอกเบี้ยก็เป็นเรื่องของเขา แต่ต้องให้เวลาเขาดูไพ่ทั้งมือ ได้รับข้อมูลที่ครบถ้วนเสียก่อน

ภาพรวมมาตรการที่เสนอผ่านมาทั้งของ ธปท. และของกระทรวงการคลังที่พยายามจะใช้หนี้ต่างประเทศของรัฐวิสาหกิจ ถือเป็นสิ่งที่ตลกมาก เพราะ รมว.คลังเสนอมาตรการในความรับผิดชอบของ กนง.

ขณะ ที่ ธปท.กลับเสนอมาตรการที่เป็นหน้าที่ของคลัง มันสวนทางกัน ดังนั้นกระทรวงการคลังทำอะไรได้มากกว่าการกดดัน ธปท.ให้ลดดอกเบี้ย ทำอะไรได้มากกว่าการใช้หนี้รัฐวิสาหกิจเยอะแยะ โดยเฉพาะมาตรการที่ ธปท.เสนอมาเป็นอำนาจของท่านรัฐมนตรีโดยเฉพาะ อยู่ที่ว่าท่านจะทำหรือไม่เท่านั้น

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
///////////////////////////////////////////////////////////////////

วันพุธที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

อลงกรณ์ ฉุนขาด! ซัดขาใหญ่ ปชป.มั่ว !!?


อภิสิทธิ์. แจงแถลงปฏิรูปประชาธิปัตย์ ยันให้เลื่อนเหตุ “อลงกรณ์” ติดภารกิจ สั่ง “เฉลิมชัย” คุยรองหัวหน้าอีกรอบ ลั่นรักษาอุดมการณ์เดิม ด้านโฆษกพรรคระบุไม่มีผิดปกติ ด้าน “อลงกรณ์” โวยขาใหญ่จ้อสื่อมั่วหาว่า “ชวน” โกรธ แถมดิสเครดิตยับ ซัดไม่ใช่ลูกผู้ชาย ก่อนแจงยิบวิถีปฏิรูปพรรค ย้ำไม่ กก.บห.ไม่ขัด
     
       ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีการเลื่อนการแถลงข่าวเกี่ยวกับการปฏิรูปพรรคประชาธิปัตย์ว่าตนเองก็เดินทางไปถึงตอนก่อนเวลาแถลง กรรมการบริหารก็มากันหลายคนแล้วก็รอนายอลงกรณ์ พลบุตร รองหัวหน้าพรรค ภาคกลางอยู่ เพราะช่วงเช้าก็ยืนยันว่าจะมาแถลงตอนบ่าย 2 แต่ว่าติดภารกิจด่วน และอยู่ระหว่างขับรถจะไปเพชรบุรี ตนจึงให้เลื่อนการแถลงข่าวออกไปก่อนเพราะอยากให้ทุกคนมาร่วมกันแถลง เพราะว่าบรรยากาศในการประชุมเมื่อวันที่ 13 พ.ค.ที่ผ่านมาเป็นไปด้วยดี และทุกคนก็อยากมีส่วนร่วม และตนก็บอกว่าต่อไปนี้การปฏิรูปนั้นถ้าจะเป็นงานสำคัญต้องเป็นงานที่ทุกคนมาพูดด้วยกัน เคลื่อนให้มันเป็นเอกภาพถึงจะเกิดพลังขึ้น
     
       เมื่อถามว่า การแถลงข่าวเป็นเรื่องของกรอบแนวคิดการปฏิรูปพรรคใช่หรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ในการประชุมก็ได้หารือประเด็นใหญ่ๆ ที่คิดว่ามีสิ่งที่จะต้องเดินหน้าในการปรับปรุงแต่ก็จะเกี่ยวข้องในเชิงตัวโครงสร้างของการบริหารพรรค ไปจนถึงการบริหารจัดการในตัวสำนักงาน บทบาทหน้าที่ของแต่ละฝ่ายที่จะต้องทำคือขับเคลื่อนให้เกิดประสิทธิภาพมากขึ้นในการทำงาน และยังไม่ถือเป็นกรอบกำหนด แต่ว่าในรายละเอียดที่อาจจะต้องไปแก้ไขข้อบังคับ หรือโครงสร้างนั้นจำเป็นจะต้องไปจัดทำกันขึ้นมา ในกรอบเวลาประมาณ 1 เดือนนี้ก็ไปทำมาให้เสร็จเรียบร้อย และถ้าจำเป็นจะต้องมีการแก้ไขข้อบังคับ จะได้มีการเรียกประชุมใหญ่ด้วย ส่วนจะมีการแถลงได้เมื่อไรนั้น เวลานี้ให้นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน เลขาธิการพรรคไปติดต่อนายอลงกรณ์อีกครั้ง
     
       “เป้าหมายเราคือชัยชนะของอุดมการณ์ของพรรค การชนะการเลือกตั้งเป็นความต้องการความปรารถนาทั้งของสมาชิก ของผู้สนับสนุนอยู่แล้ว แต่ว่ามันไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงที่แปลว่าจะเอาชนะการเลือกตั้งโดยอะไรก็ได้ มันต้องเป็นการเดินหน้าที่รักษาอุดมการณ์ แล้วก็มุ่งไปสู่ชัยชนะในการเลือกตั้ง และการทำงานให้แก่ประเทศ” นายอภิสิทธิ์กล่าว
     
       ด้านนายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงว่า ขอยืนยันว่าไม่มีสิ่งใดผิดปกติ แต่นายอลงกรณ์ดูแลพื้นที่ภาคกลางติดภารกิจด่วน ซึ่งพรรคไม่ได้มีความขัดแย้งใดๆ ทั้งสิ้น ซึ่ง นายอภิสิทธิ์ก็ไปร่วมสัมมนากับภาคกลางที่จังหวัดนครนายกด้วย อย่างไรก็ตาม ทุกคนเห็นถึงความจำเป็นในการพัฒนาพรรค เพื่อตอบสนองการเลือกตั้งที่อาจจะเกิดเร็วขึ้นกว่ากำหนด
     
       อย่างไรก็ตาม มีรายงานว่าหลังจากที่นายอลงกรณ์อ้างว่าติดภารกิจด่วนที่ จ.เพชรบุรี จึงไม่มาเข้าร่วมการแถลงข่าวเมื่อวานนี้นั้น ทำให้มีการล้มเลิกนัดหมายแถลงข่าวเกี่ยวกับการปฏิรูปพรรค และผู้สื่อข่าวไม่สามารถติดต่อนายอลงกรณ์ได้ ล่าสุดวันนี้เวลาประมาณ 08.00 น.นายอลงกรณ์ได้ใช้เว็บไซต์ทวิตเตอร์เขียนข้อความโดยระบุว่า หนังสือพิมพ์ลงข่าวว่าแหล่งข่าวอาวุโสในพรรคอ้างว่านายชวน หลีกภัย ประธานที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ โกรธมากที่ข้อเสนอการปฏิรูปพรรคของตนขัดอุดมการณ์พรรคที่เน้นประชานิยม โดยแหล่งข่าวอาวุโสในพรรคให้ข่าวแบบบิดเบือน หลังจากที่ผมเสนอพิมพ์เขียวปฏิรูปพรรค ในที่ประชุมคณะกรรมการบริหารพรรคเมื่อ 13 พ.ค. การกล่าวหาว่า ข้อเสนอปฏิรูปพรรค ขัดอุดมการณ์พรรค เน้นประชานิยม เลียนแบบพรรคเพื่อไทย นั้นนับว่า บิดเบือนและเป็นการดิสเครดิต
     
       “ผมรักษาวินัยโดยไม่ให้สัมภาษณ์สื่อใดๆ หลังเสร็จสิ้นการประชุมคณะกรรมการบริหารพรรค แต่กลับมีบางคนให้ข่าวใส่ร้ายบิดเบือนการปฏิรูป การอ้างคำพูดท่านชวนที่ผมให้ความเคารพแบบจงใจพูดโกหกขาวเป็นดำเช่นนี้ไม่ใช่ลูกผู้ชาย จะทำร้ายผมได้แต่อย่าทำร้ายการปฏิรูป 22 ปีไม่เคยไปไหน พรรคให้เป็นประธานตรวจสอบทุจริตยุคทักษิณเรืองอำนาจสูงสุด 5 ปีเต็ม เสี่ยงคุกเสี่ยงตาย คนแบบนี้ไม่มีอุดมการณ์หรือ” นายอลงกรณ์ระบุ
     
       นายอลงกรณ์กล่าวว่า นายชวนเป็นต้นแบบต่อต้านการซื้อเสียงและคอร์รัปชัน ตนก็ต่อสู้พวกซื้อเสียงพวกทุจริตและไม่สนับสนุนนโยบายประชานิยมแบบมอมเมา ตนเชื่อมั่นแนวทางเศรษฐกิจพอเพียงพึ่งตนเอง นายชวนและนายอาทิตย์ อุไรรัตน์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ให้ทำเรื่องเอทานอลตามแนวพระราชดำริก็ทุ่มเททำงานจนวันนี้มีแก๊สโซฮอล์ขายทั่วประเทศ นายบัญญัติ บรรทัดฐาน อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และนายอภิสิทธิ์ให้ตนเป็นประธานตรวจสอบทุจริตสมัย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีอำนาจสูงสุด 5 ปีเต็ม (ปี 45-49) จนโดนฟ้องโดนแจ้งความเกือบ 20 คดี นายอภิสิทธิ์ให้ผลักดันนโยบายเศรษฐกิจสร้างสรรค์และลอจิสติกส์ตอนเป็น รมช.พาณิชย์ ก็บริหารจนเป็นที่ยอมรับทั้งในและอาเซียน นายอภิสิทธิ์ให้ตนปฏิรูปราชการเพราะขีดความสามารถประเทศลดลงโดยเฉพาะการเริ่มต้นธุรกิจในไทยก็สามารถลดเวลาจาก 4 วันเหลือ 60 นาที ตนเชื่อเรื่องปฏิรูปเพราะการปฏิรูปราชการที่ว่ายากยังสามารถปรับปรุงระบบและพัฒนาคนจนสำเร็จทำให้กรมพัฒนาธุรกิจได้รางวัลที่ 1 ของประเทศ ตนนำร่องปฏิรูปภาคกลาง เช่น จัดอบรมแกนนำสมาชิกตั้งแต่ต้นปีกว่า 1,200 คนเน้นปลูกฝังอุดมการณ์สร้างวิสัยทัศน์ คิดเก่ง-ทำเก่ง
     
       “ตัวอย่างที่ยกมาเพื่อให้พิจารณาเปรียบเทียบกับการกล่าวหาใส่ร้ายว่าผมเป็นคนไร้อุดมการณ์ ไร้หลักการจริงหรือไม่ หรือการกล่าวหาใส่ร้ายเกิดขึ้นเพราะผมและเพื่อนๆ เสนอ พิมพ์เขียวปฏิรูปพรรค และความพ่ายแพ้ซ้ำซาก 21 ปี” แบบตรงไปตรงมา เพื่อไม่ให้มีการบิดเบือนใส่ร้ายข้อเสนอการปฏิรูปพรรคอีกต่อไป จึงต้องเผยแพร่พิมพ์เขียวปฏิรูปพรรคประชาธิปัตย์” นายอลงกรณ์ระบุ
     
       นายอลงกรณ์ระบุว่า พิมพ์เขียวปฏิรูปมี 36 หน้า หน้า 1 ถึง 19 เป็นการกล่าวถึงความเป็นมาของการปฏิรูปพรรคและการวิเคราะห์จุดอ่อนจุดแข็ง โอกาสและปัญหา หน้า 20 ถึง 36 เป็นแนวทางการปฏิรูปพรรค ซึ่งตนจะนำเสนอเฉพาะข้อเสนอในส่วนนี้เท่านั้น โดยจุดยืน 1. ยึดมั่นประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการทุกรูปแบบ 2. ยึดประโยชน์ประชาชนเป็นที่ตั้ง 3. ต่อต้านคอร์รัปชัน ขณะที่วิสัยทัศน์ปฏิรูปพรรคนั้น (1. เพื่ออนาคตที่ดีกว่าของประชาชนและประเทศชาติ (2. เพื่อปฏิรูปการเมืองสู่การเมืองคุณภาพและสร้างสรรค์ (3. ปฏิรูปพรรคเพื่อเอกภาพและประสิทธิภาพของพรรค (4. ปฏิรูปพรรคสู่ความทันสมัยก้าวหน้า วิสัยทัศน์กว้างไกล
     
       ขณะที่เป้าหมายการปฏิรูปพรรค นายอลงกรณ์ระบุว่า 1. เพิ่มจำนวน ส.ส.และเพิ่มความศรัทธาที่มีต่อพรรค 2. เพิ่มโครงสร้างและระบบการดูแลประชาชนครอบคลุมทั่วประเทศ 3. สร้างพรรคเป็นสถาบันทางการเมืองและองค์กรทันสมัยทรงประสิทธิภาพเพิ่มศักยภาพและขีดความสามารถในการแข่งขัน 4. สร้างสรรค์พรรคสู่ทางเลือกที่ดีของประชาชนและสู่ความหวังของชาติด้วยอุดมการณ์คุณธรรมนำการเมือง 5. Democrat Effects ส่งผลต่อการปฏิรูปพรรคเพื่อไทยและพรรคอื่นๆสู่ความเป็นสถาบันทางการเมืองของประชาชน 6. Democrat Effects ส่งผลต่อการปฏิรูปประเทศไทยสู่อนาคตที่ดีกว่า 7. เพื่อเป็นพรรคที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล โดยเป้าหมายการปฏิรูปพรรคทั้ง 7 ข้อ คือความฝันของประชาธิปัตย์ (Democrat Dream) และต้องทำให้เป็นความหวังของชาติ (Nation's Hope)
     
       รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ระบุว่า แนวทางการปฏิรูปพรรคแบบองค์รวม 1. ต้องปฏิรูปพร้อมกันทุกด้าน 2. ต้องปฏิรูปพรรคอย่างต่อเนื่อง 3. ต้องปฏิรูปพรรคแบบมีส่วนร่วม โดยมี 3 ด้าน 1. ปฏิรูปโครงสร้างและระบบ มี 5 แนวทาง 2 โครงสร้างใหม่ ดังนี้ 1. แนวทางขับเคลื่อนแบบบนลงล่าง ล่างขึ้นบน 2.มีโครงสร้างในการสื่อสารภายในและภายนอกที่มีประสิทธิภาพ 3.มีหน่วยงานด้านวิจัยและพัฒนา 4.มีโครงสร้างระดับพรรค ภาค โซน จังหวัด เขตเลือกตั้ง อำเภอ ตำบล หมู่บ้านที่มีประสิทธิภาพ 5.มีโครงสร้างและพื้นที่ทำงานให้แก่ผู้มีความสามารถไม่ว่าจะเป็นคนใหม่หรือคนเก่าได้ทำงาน
     
       ขณะที่โครงสร้างใหม่ประกอบด้วย 1.โครงสร้างใหม่สำนักงานใหญ่ ได้แก่ 1. สำนักวิจัยและพัฒนานโยบายและยุทธศาสตร์ 2. สำนักวิจัยและพัฒนางบประมาณแผ่นดิน 3. สำนักวิจัยและพัฒนากฎหมาย 4. ศูนย์ปราบปรามคอร์รัปชั่น 5. ศูนย์ช่วยเหลือประชาชน 6. ศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศ 7. สำนักกิจการสาขาและสมาชิก 8. สำนักกิจการสตรีและยุวประชาธิปัตย์ 9. สถาบันประชาธิปัตย์ ทำหน้าที่พัฒนาบุคคลากรและคิดค้นนวัตกรรมการบริหารจัดการรวมทั้งงาน e-Library 10. สำนักกิจการรายได้ 11. สำนักงานอำนวยการ โดยมีผู้อำนวยการพรรคเป็นนักบริหารมืออาชีพทำงานเต็มเวลา โดย เน้นภารกิจหลักของพรรคการเมือง (funtional designed organisation) รองรับงานไม่ว่าเป็นรัฐบาลหรือฝ่ายค้าน การวิจัยและพัฒนานโยบาย ยุทธศาสตร์ประเทศ กฎหมายและงบประมาณแผ่นดินสำคัญสำหรับอนาคตประเทศเช่นเดียวกับการดูแลประชาชนและปราบทุจริต 2. โครงสร้างส่วนภูมิภาค ประกอบด้วย 1. สำนักงานภาค 5 ภาค 2. สำนักงานโซน (กลุ่มจังหวัด) 3. คณะกรรมการจังหวัด 4. สำนักงานสาขาพรรค 5. คณะกรรมการอำเภอ 6. ศูนย์ตำบล ทั้งนี้ โครงสร้างส่วนภูมิภาคในทุกระดับต้องบริหารโดยนักบริหารมืออาชีพหรือผู้มีทักษะด้านบริหารภายใต้การกำกับของคณะกรรมการฝ่ายการเมือง
     
       นายอลงกรณ์ระบุว่า 2. ปฏิรูปการบริหารจัดการพรรค การบริหารจัดการเน้นความเด็ดขาดฉับไวในการตัดสินใจและปฏิบัติโดยกระจายอำนาจและมอบอำนาจชัดเจน ต้องปฏิรูประบบงบประมาณพรรคเน้นเป้าหมายและภารกิจโดยมีตัวชี้วัดผลลัพท์ชัดเจน การบริหารงานการเมืองแบ่งงานเป็น 2 ส่วน 1. งานตรวจสอบนโยบายโดยรัฐบาลเงา (shadow government), อดีตรัฐมนตรีและ ส.ส.อาวุโส 2. งานการเมืองเป็นหน้าที่ของคณะกรรมการยุทธศาสตร์, วิปฝ่ายค้านและ ส.ส. การบริหารองค์กรระดับสำนักงานใช้นักบริหารมืออาชีพหรือผู้มีทักษะบริหารทำงานเต็มเวลามีคณะกรรมการการเมืองกำหนดนโยบาย เป้าหมาย โดยสรุปแล้ว การปฏิรูปการบริหารพรรคเน้นการบริหารโดยนักบริหารมืออาชีพเน้นความฉับไวเด็ดขาดและแยกงานตรวจสอบนโยบายจากงานการเมือง
     
       นายอลงกรณ์ระบุต่อว่า 3. ปฏิรูปวัฒนธรรมองค์กรและบุคคลากรของพรรค มี 7 ข้อ 1.สร้างวัฒนธรรมองค์กรแบบเปิดกว้าง 2. ปลูกฝังวัฒนธรรมประชาธิปไตย 3. พัฒนาวัฒนธรรมองค์กรสู่องค์กรแห่งการเรียนรู้ที่มีวิสัยทัศน์กว้างไกลทันสมัย 4. ปรับวัฒนธรรมองค์กรสู่การทำงานเชิงคุณภาพ 5. พัฒนาบุคลากรสู่ความเป็นเลิศทางบริหารและคุณธรรม 6.สร้างพื้นที่งานและความรับผิดชอบให้บุคลากรทั้งเก่า ใหม่อย่างชัดเจน 7. นำระบบไพรมารี่และคอคัสมาใช้ในการคัดเลือกผู้สมัคร ส.ส.และท้องถิ่นเพื่อสร้างวัฒนธรรมแบบเปิดกว้างและเสมอภาคเป็นธรรม
     
       “การปฏิรูปพรรคประชาธิปัตย์ เน้นประสิทธิภาพของพรรค อุดมการณ์ประชาธิปไตยและคุณภาพของคนเพื่อคุณภาพของการเมืองและคุณภาพของประเทศ พรรคประชาธิปัตย์ต้องปฏิรูปแบบองค์รวมต้องยกเครื่องใหญ่ ต้องกลับมาเป็นทางเลือกที่ดีไม่ใช่เป็นทางเลือกสุดท้าย ต้องกล้าเปลี่ยนแปลง คณะกรรมการบริหารควรใช้พิมพ์เขียวปฏิรูปเป็นร่างหลักแล้วส่งให้ที่ประชุม ส.ส.กับสภาที่ปรึกษาพิจารณาก่อนเสนอให้ที่ประชุมใหญ่อนุมัติ” นายอลงกรณ์ระบุ
     
       อย่างไรก็ตาม นายอลงกรณ์ได้เขียนข้อความชี้แจงสมาชิกเพิ่มเติมโดยระบุด้วยว่า กรรมการบริหารพรรคไม่มีความขัดแย้งในเรื่องดังกล่าว ซึ่งปฏิรูปพรรคก็ไม่เกี่ยวประเด็นการเมืองเรื่องปรองดองกับใครทั้งนั้น

ที่มา.ผู้จัดการ
//////////////////////////////////////////////////////////////

ไทยคม - 6 เลื่อนยิงไปปลายปี เร่งจัดหาดาวเทียม ดวงอื่นมาให้บริการแทน !!?


ไทยคม.เร่งจัดหาดาวเทียมมาให้บริการรองรับธุรกิจบรอดแคสต์โตดีมานด์การใช้ช่องสัญญาณพุ่งทั้งยอมรับแผนจัดส่งไทยคม 6 เลื่อนจากกลางปีไปปลายปี

นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ ประธานกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ไทยคม เปิดเผยว่า เพื่อรองรับความต้องการการใช้งานช่องสัญญาณของลูกค้า ไทยคมได้จัดหาดาวเทียมมาให้บริการที่ตำแหน่ง 78.5 องศาตะวันออกเป็นการชั่วคราวก่อนการส่งดาวเทียมไทยคม 6 ขึ้นสู่วงโคจร ซึ่งตามแผนที่กำหนดไว้ ดาวเทียมดังกล่าวจะเริ่มให้บริการได้ในปลายเดือนกรกฎาคมนี้

โดยดาวเทียมที่นำมาให้บริการชั่วคราวนี้ มีลักษณะทางเทคนิคที่เหมาะสมสามารถรองรับการใช้งานของลูกค้าได้อย่างเพียงพอตามความต้องการ โดยเฉพาะการให้บริการด้านโทรทัศน์ดาวเทียมและการให้บริการตามกฎ Must Carry ของช่องโทรทัศน์ดิจิทัลภาคพื้นดิน (Digital Terrestrial Television; DTT) ของ กสทช.

และดาวเทียมดวงดังกล่าวจะเดินทางมาถึงตำแหน่งวงโคจรที่ 78.5 องศาตะวันออก และเริ่มให้บริการภายในปลายเดือนกรกฎาคมนี้   และเมื่อดาวเทียมไทยคม 6 ได้รับการส่งขึ้นสู่วงโคจรและพร้อมจะให้บริการแล้วก็จะย้ายดาวเทียมดวงนี้ออกไป ซึ่งการจัดหาดาวเทียมมาให้บริการในครั้งนี้เป็นการดำเนินการภายใต้ข้อกำหนดของสัญญาสัมปทาน และได้รับความเห็นชอบจากกระทรวงไอซีทีแล้ว

เดิมดาวเทียมไทยคม 6 มีกำหนดการส่งดาวเทียมในช่วงกลางปี 2556 ล่าสุด บริษัท สเปซ เอ็กซพลอเรชั่น เทคโนโลยีส์ คอร์ปอเรชั่น (Space Exploration Technologies Corporation- SpaceX) ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นผู้รับจัดส่งดาวเทียมไทยคม 6 ขึ้นสู่วงโคจร ได้แจ้งว่า เกิดความล่าช้าในกำหนดการส่งของดาวเทียมดวงอื่นที่มีลำดับการส่งขึ้นสู่วงโคจรก่อนดาวเทียมไทยคม 6 ทำให้กำหนดการส่งดาวเทียมไทยคม 6 ต้องเลื่อนออกไปเป็นช่วงปลายไตรมาส 3 หรือไตรมาส 4 ของปีนี้

“การเลื่อนกำหนดการจัดส่งดาวเทียม ในการดำเนินธุรกิจดาวเทียมถือว่าเป็นสิ่งที่สามารถเกิดขึ้นได้  เพราะการยิงดาวเทียมแต่ละดวงมีปัจจัยหลายประการที่สามารถจะส่งผลกระทบต่อกำหนดการส่งดาวเทียม อย่างกรณีนี้ ก็เกิดขึ้นจากความล่าช้าในการจัดส่งดาวเทียมดวงอื่นที่มีลำดับการส่งขึ้นสู่วงโคจรก่อนดาวเทียมไทยคม 6 แต่ก็ไม่ถือว่าเป็นเรื่องที่เป็นปัญหา เพราะการจัดสร้างดาวเทียมไทยคม 6 ยังคงเป็นไปตามแผนงานและขั้นตอนทางเทคนิคที่กำหนดไว้  และไทยคมก็สามารถจัดหาดาวเทียมมาให้บริการเพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าก่อนการส่งไทยคม 6 ขึ้นสู่วงโคจร” นางศุภจีกล่าว
       
การจัดหาดาวเทียมมาให้บริการในครั้งนี้จะเป็นประโยชน์กับทุกภาคส่วน ลูกค้าที่ใช้บริการช่องสัญญาณดาวเทียมไทยคมจะมีช่องใช้ตามความต้องการซึ่งเป็นผลดีต่ออุตสาหกรรมโทรทัศน์โดยรวมของประเทศทั้งยังเป็นประโยชน์ต่อภาครัฐในการที่จะได้รับส่วนแบ่งรายได้เพิ่มเติมจากการให้บริการของดาวเทียมดังกล่าวและในส่วนของไทยคมเองก็จะมีรายได้เพิ่มเติมเข้ามาก่อนการยิงดาวเทียมไทยคม 6 อีกด้วย
       
“การจัดหาดาวเทียมที่มีลักษณะทางเทคนิคที่เหมาะสม ในช่วงเวลาที่พอเหมาะพอดีนั้น มิใช่เรื่องง่าย แต่ด้วยความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ในธุรกิจดาวเทียมของทีมงานของไทยคม ประกอบกับความตั้งใจที่จะหาแนวทางดำเนินการเพื่อสนองตอบต่อความต้องการของลูกค้าให้ดีที่สุดโดยยึดถือประโยชน์ของทุกภาคส่วนเป็นสำคัญทำให้ไทยคมประสบความสำเร็จในการจัดหาดาวเทียมเพื่อมาให้บริการในครั้งนี้” นางศุภจีกล่าวเพิ่มเติม
       
ปัจจุบัน ไทยคม สามารถขายช่องสัญญาณล่วงหน้าบนดาวเทียมไทยคม 6 ได้แล้วกว่าร้อยละ 60 ซึ่งดาวเทียมไทยคม 6 จะช่วยตอกย้ำความเป็นดาวเทียม Hotbird ที่ตำแหน่ง 78.5 องศาตะวันออกของไทยคมต่อไป

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
/////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันอังคารที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

นายกฯ ห่วงค่าเงินบาท หวังทุกฝ่ายทำงานร่วมกัน !!?


น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงการแก้ปัญหาค่าเงินบาทในขณะนี้ว่า สื่อมวลชนคงได้ติดตามการหารือระหว่างนายกิตติรัตน์ ณระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง กับคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.) ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และภาคเอกชน และส่วนหนึ่งรัฐบาลได้ชี้แจงมาตรการของรัฐบาลไปแล้ว วันนี้มติคณะรัฐมนตรี(ครม.)ได้ฝากให้นายกิตติรัตน์ เรียกประชุมอย่างต่อเนื่องในส่วนภาคเอกชนร้องขอ รวมถึงการติดตามแก้ปัญหาการเงินการคลังโดยองค์รวมต่อไปเพราะเราเป็นห่วงเสถียรภาพค่าเงินบาท ซึ่งเราเข้าใจปัญหาของเอกชนผู้ส่งออก ความผันผวนที่เกิดขึ้นทุกฝ่ายต้องร่วมกันในการติดตามแก้ไขอย่างใกล้ชิด หวังว่าหน่วยงานทุกหน่วยงานที่รับฟังปัญหาเอกชนในการหารือเมื่อวันที่ 13 พ.ค.ที่ผ่านมาคงจะนำข้อคิดข้อเรียกร้องต่าง ๆ ไปแก้ในส่วนของผู้ที่รับผิดชอบต่อไป

สถานการณ์การทำงานร่วมกันในการแก้ปัญหาดีขึ้นหรือไม่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า เราหวังเห็นการแก้ปัญหาด้วยกัน เพราะต่างคนต่างแก้คงจะไม่สามารถทำงานสัมพันธ์กันได้ โดยเฉพาะที่ผู้เดือดร้อนคงอยากจะเห็นการคาดหวังในการทำงานร่วมกันแต่ต้องเรียนว่าเราต้องแยกบทบาทในฐานะรัฐบาล รองนายกรัฐมนตรีในฐานะรมว.คลังนั้นมีหน้าที่ดูในองค์รวม แต่รายละเอียดการปฏิบัตินั้นในส่วนมาตรการการเงินคงเป็นเรื่องของธปท.ที่จะหารือในวิธีการ แต่เป้าหมายเราต้องการเห็นเป้าหมายเดียวกันคือการรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจและเสถียรภาพของค่าเงินบาท

เมื่อถามว่า แต่ดูเหมืองทางรัฐบาลกับธปท.เข้าใจไม่ตรงกันหรือไม่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า นั่นคือวิธีการแต่ผลคือทุกคนอยากเห็นเหมือนกัน แต่วิธีการแน่นอนว่าแต่ละคนมีวิธีการต่างกัน แต่หวังว่าวิธีการนั้นจะนำมาสู่ผลเดียวกันก็คงฝากประเด็นนั้น

ผู้สื่อข่าวถามว่ารัฐบาลยังรับมือได้กับการแก้ปัญหาเศรษฐกิจที่มันเริ่มผันผวนเป็นระยะ ๆ ได้หรือไม่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ตอบว่า ก็ทำอย่างเต็มที่

เมื่อถามถึงการคัดเลือกตัวผู้สมัครรับเลือกตั้งซ่อมส.ส.กม.เขต 12 ดอนเมือง แทนนายการุณ โหสกุล ที่ถูกตัดสิทธิทางการเมือง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ตอบเพียงว่า "อยู่ที่การประชุมพรรคเพื่อไทยวันนี้"
ส่วนที่ขณะนี้มีกระแสข่าวจะมีการปรับครม.แต่น.ส.ยิ่งลักษณ์ ไม่สนใจที่จะตอบคำถามดังกล่าว โดยเดินเลี่ยงออกจากวงล้อมผู้สื่อข่าวและก้าวขึ้นรถไปทันที

ที่มา.เนชั่น
///////////////////////////////////////////

คลัง-ธปท.โต้ซดเกาเหลา ถกกดดัน กนง.ลดดอกเบี้ยนโยบาย !!?


กิตติรัตน์.เผยไม่ได้กดดันกนง.ลดดอกเบี้ยแค่ขอให้ใช้มาตรการดูแลบาทเหมาะสม ด้านผู้ว่าฯ ธปท.รับหารือคลัง-กนง.-เอกชนสร้างสรรค์ไม่มีแรงกดดัน เอกชนมั่นใจจีดีพีปีนี้โตเกิน 5% หากรัฐ-เอกชนบูรณาการแก้ปัญหาบาทมีเสถียรภาพ
   
นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง เปิดเผยว่า การประชุมร่วมกันระหว่างกระทรวงการคลัง, คณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.), ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) และภาคเอกชน 3 สถาบันในวันนี้ ได้มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลร่วมกันใน 4 เรื่องสำคัญ คือ 1.การใช้จ่ายภาครัฐอย่างมีประสิทธิภาพ 2.การสร้างบรรยากาศการลงทุนให้เกิดการลงทุนใหม่หรือขยายการลงทุนเดิม 3.ทิศทางและกำลังซื้อของผู้บริโภค 4.สถานการณ์การส่งออกและการท่องเที่ยว
   
ทั้งนี้ ที่ประชุมฯเห็นตรงกันว่าภาพรวมเศรษฐกิจไทยปีนี้ยังเติบโตได้ดี แม้ในปี 55 เศรษฐกิจจะเผชิญความยากลำบากจากการเพิ่งเริ่มฟื้นตัวจากปัญหาอุทกภัยใหญ่ในปลายปี 54 รวมทั้งปัญหาการเบิกจ่ายงบประมาณที่ล่าช้า ส่วนการส่งออกในปีนี้ เห็นว่าทุกฝ่ายทั้งภาครัฐและเอกชนควรทำงานร่วมกัน นอกเหนือจากเรื่องการดูแลปัญหาอัตราแลกเปลี่ยน
   
ส่วนปัญหาเงินบาทแข็งค่านั้น เห็นว่าเงินบาทที่แข็งค่าเกินไปและมีความผันผวนจะทำให้การส่งออกขยายตัวลำบาก ทุกภาคส่วนควรดูแลและทำงานร่วมกันให้เงินบาทเคลื่อนไหวอย่างมีเสถียรภาพไม่มีความผันผวนเมื่อเทียบกับสกุลเงินของทั้งประเทศคู่ค้าและประเทศคู่แข่ง เพื่อให้การส่งออกเติบโตได้ตามเป้าหมาย ซึ่งค่าเงินที่สามารถแข่งขันได้นั้นจึงไม่ควรเทียบเฉพาะสกุลดอลลาร์เท่านั้น แต่ต้องเทียบกับทั้งสกุลเงินของประเทศคู่ค้าและประเทศคู่แข่งด้วย
   
ส่วนภาคการท่องเที่ยวที่เป็นอีกส่วนสำคัญในการสร้างรายได้เข้าประเทศนั้น จะต้องมีการทำงานร่วมกันระหว่างกระทรวงการต่างประเทศ, กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เพื่ออำนวยความสะดวกในการเดินทางเข้ามาท่องเที่ยและพำนักของชาวต่างชาติ ขณะที่ภาคการผลิตเพื่อการส่งออกได้มีการหารือกันถึงการรักษาฝีมือแรงงาน ตลอดจนปัญหาการขาดแคลนบุคลากรที่มีฝีมือ
   
วันนี้ไม่ได้พูดเจาะจงเรื่องการส่งออก แต่พูดถึงเป้าหมายว่าจะทำอย่างไรให้ถึง เพราะเมื่อรวมกลจักรเศรษฐกิจอื่นๆ ก็น่าจะขยายตัวได้" นายกิตติรัตน์ กล่าว
   
พร้อมมองว่า กรณีอัตราดอกเบี้ยนโยบายเป็นอีกแนวทางหนึ่งที่จะดูแลการไหลเข้าออกของเงินทุน ซึ่งเป็นหนึ่งในหลายเรื่องที่ได้หารือกัน แต่โดยภาพรวมวันนี้ทุกฝ่ายต่างเห็นพ้องว่าเศรษฐกิจไทยยังเติบโตได้อย่างมีเสถียรภาพ และต้องทำให้การส่งออกเติบโตได้ตามเป้าหมาย ดังนั้นจึงต้องมีอัตราแลกเปลี่ยนในระดับเหมาะสม
   
อย่างไรก็ดี ภาคเอกชนไม่ได้คาดหวังถึงการเข้าไปควบคุมเงินทุนไหลเข้าออก แต่ต้องการให้หน่วยงานที่กำกับดูแลช่วยพิจารณาแนวทางการดูแลอัตราแลกเปลี่ยนอย่างเหมาะสม ดังนั้น กนง.และธปท.ต้องสามารถสื่อสารระหว่างกัน และขอฝากให้มีการพิจารณาให้มากขึ้นเกี่ยวกับมาตรการที่จะนำมาใช้ในการดูแลค่าเงินบาทอย่างรอบคอบระมัดระวัง ซึ่งเชื่อว่าจะสามารถดูแลอัตราแลกเปลี่ยนได้อย่างมีเสถียรภาพ
   
นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) กล่าวว่าว่า ที่ประชุมในวันนี้ ยังไม่มีการพูดถึงการออกมาตรการใด ๆ เพื่อแก้ปัญหาเงินบาทแข็งค่า ตลอดจนไม่ได้พูดถึงแนวทางการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย แต่เป็นเพียงการหารือในภาพรวมของเศรษฐกิจ และความท้าทายของเศรษฐกิจโลกที่จะต้องเผชิญในระยะกลางและระยะยาว รวมทั้งความต้องการของภาคเอกชนที่ขอให้ช่วยดูแลเงินบาทให้มีเสถียรภาพและไม่ผันผวน
   
ที่ประชุมวันนี้ได้หารือถึงภาวะเศรษฐกิจในภาพรวมทั้งระยะสั้นและระยะยาว ตลอดจนการรับทราบข้อมูลปัญหาของภาคเอกชน เช่น การขาดแรงงาน, ประสิทธิภาพด้านการผลิต และความสามารถในการแข่งขัน โดยต่างเห็นตรงกันว่ายังมีปัญหาที่ต้องเผชิญและเป็นความท้าทายในทุกภาคส่วน พร้อมมองว่ายังมีความผันผวนของเศรษฐกิจและการเงินโลก ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงโดยทั้งภาครัฐและเอกชนต้องเตรียมรับความท้าทายที่จะเกิดขึ้น
   
ทั้งนี้ ที่ประชุมฯ มีความเข้าใจร่วมกันว่า แม้เงินบาทจะมีความผันผวน แต่จะเห็นว่าในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมา เงินบาทปรับตัวอ่อนค่าเช่นเดียวกับทิศทางสกุลเงินอื่นในภูมิภาคที่อ่อนค่าลง หลังจากที่เงินดอลลาร์ปรับตัวแข็งค่าขึ้น แต่ถือเป็นอุธาหรณ์ว่าไม่ควรประมาทหรือวางใจแม้สถานการณ์จะเริ่มคลี่คลาย โดยต้องมีการพิจารณาแนวทางแก้ไขสำหรับภาพรวมในระยะกลางและระยะยาวที่ยังมีปัญหาต้องเผชิญในอีกหลายมิติ ทั้งในเรื่องของเศรษฐกิจโลกที่ไม่ใช่เฉพาะตลาดอัตราแลกเปลี่ยนหรือการเงินโลกเท่านั้น
     
ผู้ว่าฯ ธปท. มองว่า การประชุมวันนี้ไม่ได้สร้างแรงกดดันต่อการประชุม กนง.ในวันที่ 29 พ.ค. และการหารือเป็นไปอย่างสร้างสรร มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นร่วมกันไม่เฉพาะแต่เรื่องการเงินเท่านั้น
   
พร้อมเชื่อว่า การประชุม กนง.ในรอบถัดไปจะได้รับข้อมูลทางเศรษฐกิจที่เป็นจริงและใกล้เคียงข้อเท็จจริงมากที่สุด หลังจากที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สศช.) จะแถลงภาวะเศรษฐกิจของไทยในไตรมาส 1/56 และแนวโน้มภาพรวมเศรษฐกิจในปีนี้ ซึ่งจะทำให้ กนง.ได้รับทราบข้อมูลล่าสุดก่อนที่จะนำไปใช้ตัดสินใจในเรื่องการดูแลค่าเงินบาทต่อไป
   
อย่างไรก็ดี ผู้ว่าฯ ธปท.ปฏิเสธที่จะให้ความเห็นเรื่อง 4 มาตรการที่ธปท.เคยนำเสนอต่อกระทรวงการคลังไปก่อนหน้านี้ เนื่องจากมองว่าการออกมาให้ความเห็นในเรื่องดังกล่าวอาจทำให้ต่างประเทศตีความไปเกินจำเป็นได้
     
นายประสาร กล่าวด้วยว่า รมว.คลังได้แสดงความเห็นในที่ประชุมว่าการประชุมในลักษณะเช่นนี้ควรจะจัดให้มีขึ้นอีก แต่อาจเปลี่ยนหน่วยงานที่เป็นเจ้าภาพในการจัดประชุม ซึ่ง ธปท.ก็ยินดีที่จะรับเป็นเจ้าภาพจัดประชุมและรับฟังความคิดเห็นจากภาคเอกชน เพราะหลายปัญหาต้องมีการบูรณาการร่วมกันจากหลายฝ่าย
     
นายพยุงศักดิ์ ชาติสุทธิผล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ที่ประชุมร่วมระหว่างกระทรวงการคลัง, ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.) และภาคเอกชน 3 สถาบันในวันนี้ไม่ได้หยิบยกมาตราการใดมาหารือเป็นพิเศษ รวมถึงการลดดอกเบี้ย เพียงแต่ ธปท.ได้รับฟังปัญหาของทางภาคเอกชน โดยธปท.ยืนยันว่าจะดูแลอย่างใกล้ชิด และเพื่อรับทราบถึงผลกระทบ เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ตรงกัน
   
ทั้งนี้ ถือว่าบรรยากาศการพูดคุยวันนี้เป็นไปด้วยดี เชื่อว่าหากภาครัฐและภาคเอกชนยังร่วมมือกันทำงานแบบนี้ ยังมีโอกาสที่จีดีพีจะเติบโตในระดับเกิน 5% ขึ้นไปได้
   
อย่างไรก็ตาม ภาคเอกชนได้สะท้อน ข้อมูลผลกระทบเรื่อง Supply Chain จากสถานการณ์ค่าเงินบาทแข็งค่า รวมถึงสะท้อนให้เห็นว่าปัญหาค่าเงินบาทได้ได้เข้าไปมีผลกระทบต่อภาคอุตสาหกรรม ไม่ว่าจะเป็นไฟฟ้า อิเลคทรอนิคส์ ยานยนต์
   
พร้อมกันนี้ ภาคเอกชนยืนยันว่าหากทุกหน่วยงานร่วมมือร่วมใจเข้ามาช่วยกันการทำงาน ก็เป็นการตอกย้ำการทำงานแบบบูรณาการมากขึ้น ซึ่งภาคเอกชนต้องการให้ดูแลค่าเงินบาทให้มีเสถียรภาพและดูแลค่าเงินบาทในช่วงเวลาที่เหมาะสม
     
นายพยุงศักดิ์ กล่าวต่อว่า อยากให้ดูแลค่าเงินบาทให้สอดคล้องกับภูมิภาค เนื่องจากหากเทียบกับเงินเยนของประเทศญี่ปุ่นแล้ว เงินบาทถือว่ามีช่วงห่างกับเงินเยนค่อนข้างมาก
     
นอกจากนี้ ที่ประชุมฯยังได้พูดถึงการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการ รวมทั้งการพัฒนาเศรษฐกิจในระยะยาว ซึ่งที่ประชุมฯเห็นตรงกันว่าเศรษฐกิจโลกยังมีความผันผวนอยู่จึงจำเป็นต้องดูแลให้ดี

ที่มา.สยามรัฐ
//////////////////////////////////////////////////////////

กำลังซื้อเปิดเทอมวูบ ของแพงเบียดเงินพ่อแม่หมดแรงจ่าย !!?


วงการค้าปลีกชี้กำลังซื้อชาวบ้านวูบกว่า 20 % ชี้รถคันแรกเบียดงบใช้จ่ายประจำวัน  ม.หอการค้าไทยชี้เงินเปิดเทอมสะพัดกว่า 5.3 หมื่นล.แต่ยังต่ำกว่าคาดการณ์  ของแพงซ้ำเติมผู้ปกครองจำใจปรับตัว จำกัดงบซื้ออุปกรณ์การเรียนให้ลูกหลาน โรงตึ๊งเผยลูกค้ายุคนี้จำนำทองน้ำหนักน้อยลง หลังปล่อยทองเส้นใหญ่หลุดตั้งแต่ตอนราคาดิ่งเหว คนแห่เข้าดิสเคาต์สโตร์ยักษ์แทน เหตุของครบ ติดราคาชัด แถมอัดฉีดราคาถูกกว่าตลาด

 แม้ทางการได้ปรับเพิ่มเป้าการเติบโตทางเศรษฐกิจ ปี 2556 ขึ้นจากเดิม เมื่อตัวเลขเศรษฐกิจหลักในไตรมาสแรกขยายตัวต่อเนื่อง แต่ล่าสุดทั้งสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สศช.) และสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ต่างชี้ตรงกันว่า เมื่อเทียบตัวเลขเดือนต่อเดือนพบว่า มีเศรษฐกิจไทยสัญญาณแผ่วตัวลง สะท้อนผ่านการส่งออก การลงทุนภาคเอกชน และการบริโภค โดยตัวเลขการบริโภคมีทิศทางลดลงในเดือนกุมภาพันธ์และมีนาคม ชี้ว่าประชาชนมีข้อจำกัดเรื่องรายได้ ทำให้ต้องชะลอการใช้จ่าย นั้น

-ยันกำลังซื้อหด 20 %
   
นายประพจน์  นันทวัฒน์ศิริ  กรรมการสมาคมสบู่  ผงซักฟอก และผลิตภัณฑ์ซักล้าง และอยู่ในวงการซัพพลายเออร์ระดับประเทศ  เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า ตั้งแต่ต้นปีมานี้ กำลังซื้อของผู้บริโภคลดลงไปจากปกติแล้วประมาณ 20 % เป็นผลจากนโยบายรถคันแรก ที่ทำให้ประชาชนมีภาระเพิ่มขึ้น จึงชะลอการใช้จ่ายสินค้าในชีวิตประจำวันลง ขณะที่ราคาสินค้าได้ปรับเพิ่มมากขึ้นด้วย  จากต้นทุนการผลิตต่าง ๆ  ที่สูงขึ้น ประกอบกับเวลานี้เป็นช่วงเปิดเทอม ผู้ปกครองที่มีบุตรหลานในวัยเรียน มีภาระค่าใช้จ่ายเพื่อการศึกษา ยิ่งทำให้กำลังซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคต้องถูกจำกัดลงไปอีก เชื่อว่ากำลังซื้อจะกลับมาเป็นปกติได้ ในช่วงหลังการเปิดเทอมไปแล้ว
   
"สิ่งที่เห็นได้ชัดเจนว่ากำลังซื้อในตลาดลดลงคือ  เจ้าของสินค้าและห้างสรรพสินค้าต่าง ๆ เร่งกระตุ้นยอดขาย ด้วยการแข่งขันเสนอโปรโมชัน มีการลดแลกแจกแถมกันอย่างรุนแรง อาทิ  ซื้อสินค้าครบ 800 บาท จะได้รับเงินคืน 80 บาท เป็นต้น  หากภาวะเศรษฐกิจดีคนมีกำลังซื้อมาก  ก็ไม่จำเป็นจะต้องจัดโปรโมชัน เพราะสินค้าของกินของใช้เป็นของจำเป็นที่ขายได้เรื่อย ๆ  แต่ปัจจุบันของแพงขึ้น  กำลังซื้อลดลงจึงต้องกระตุ้นยอดขาย  ซึ่งปัญหาที่เกิดขึ้นนี้รัฐบาลไม่ได้ให้ความสำคัญเข้ามาแก้ไขเลย" นายประพจน์  กล่าว
   
ด้านดร.ลักขณา  ลีละยุทธโยธิน  ประธานกรรมการบริหารฝ่ายผลิตภัณฑ์อาหารเสริมเพื่อสุขภาพ บริษัท เซเรบอส แปซิฟิก จำกัด  ผู้ผลิตและจำหน่ายอาหารเสริม อาทิ แบรนด์, วีต้า เป็นต้น   กล่าวว่า  ช่วงไตรมาสแรกภาพรวมสินค้าอุปโภคบริโภคได้รับผลกระทบบ้าง จากนโยบายรถคันแรก  แต่ในส่วนของบริษัทยังคงเติบโตจากสินค้าที่ตอบโจทย์ผู้บริโภค การทำตลาดและกระตุ้นกำลังซื้อสำหรับฐานลูกค้าเดิม  แต่สำหรับลูกค้ารายใหม่อาจจะดึงกำลังซื้อได้ยากขึ้น  แต่เชื่อว่าเมื่อเศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะปกติกำลังซื้อจะกลับมาเหมือนเดิม

เปิดเทอมภาระพ่อแม่เฉียดหมื่น
   
ขณะที่นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย  เปิดเผยผลสำรวจพฤติกรรมการใช้จ่ายของผู้ปกครอง ช่วงเปิดเทอมใหญ่ปีนี้  ว่า  น่าจะมีเงินสะพัด 53,614  ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.7% จากปีก่อน แต่ถือว่าต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ว่า จะเติบโต 8-10 % คิดเป็นมูลค่า 5.5 หมื่นล้านบาท   ซึ่งแม้มูลค่าเม็ดเงินจะเพิ่มขึ้น แต่จำนวนชิ้นในการซื้อสินค้าและอุปกรณ์การเรียนลดลง  โดยมีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยอยู่ที่ 9,128 บาทต่อ
   
สำหรับค่าใช้จ่ายเฉลี่ยเกี่ยวกับการเล่าเรียนของบุตร พบว่า  เป็นค่าเล่าเรียน/ค่าหน่วยกิต 10,455 บาท เพิ่มจากปีก่อนที่ 8,608 บาท ค่าบำรุงโรงเรียน 1,422 บาท เพิ่มขึ้นจาก 1,247 บาท ค่าแป๊ะเจี๊ยะ 7,400 บาท เพิ่มจาก 7,062 บาท ค่าหนังสือ 1,371 บาท เพิ่มจาก 1,095 บาท ค่าอุปกรณ์การเรียน 992 บาท เพิ่มจาก 673 บาท ค่าเสื้อผ้า รองเท้า 1,721 บาท เพิ่มจาก 1,226 บาท ค่าบริการพิเศษ ค่าประกันชีวิต 1,515 บาท เพิ่มจาก 1,290 บาท
   
ซึ่งปัจจัยที่ส่งผลกระทบ ให้การจับจ่ายในปีนี้ชะลอตัวมากที่สุดคือ ปัญหาราคาสินค้าที่แพงขึ้น ประกอบกับค่าเงินบาทที่แข็งตัว ทำให้ผู้ปกครองมีความระมัดระวังในการใช้เงิน  ขณะที่การจำนำสินค้าและการกู้นอกระบบในปีนี้ก็ลดลงไปจากปกติด้วย  สะท้อนเรื่องของกำลังซื้อที่หายไป ขณะที่การจับจ่ายผ่านบัตรเครติดมีมากขึ้น ส่งผลให้เกิดหนี้ต่อครัวเรือนเพิ่มตามไปด้วย
   
สำหรับปัญหาค่าเงินบาทที่แข็งตัว กระทบถึงธุรกิจเอสเอ็มอี ทำให้การจับจ่ายในภาคเกษตรกรรมลดลง ส่งผลไปสู่กำลังซื้อทั่วประเทศ ดังนั้นจึงควรมีการดูแลอย่างใกล้ชิด  หากมีความจำเป็นควรลดอัตราดอกเบี้ย  และหากอัตราแลกเปลี่ยนอยู่ที่ 28.5-29  บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ในช่วง 3 เดือนนับจากนี้ จะทำให้ภาพรวมเศรษฐกิจทั่วประเทศ ยังคงเติบโตไปตามเป้าหมายที่วางไว้ระดับ 4.8-5.2 %

ลูกค้าลดซื้อ ลดจ่าย

สำรวจกำลังซื้อช่วงเปิดเทอม พบผู้ปกครองจำกัดจำเขี่ยงบประมาณเต็มที่  โดยที่ "ศูนย์การค้าเอ็นมาร์ท" (น้อมจิตต์)  ซึ่งเป็นแหล่งจำหน่ายสินค้าสำหรับนักเรียน นักศึกษา มีลูกค้ามาใช้บริการจำนวนมาก เพราะมีสินค้าครบครัน พร้อมบริการปักชื่อและตราโรงเรียน แต่เทียบแล้วน้อยลงกว่าปีก่อน ไม่ต้องต่อแถวหรือรอคิวซื้อสินค้าอย่างเคย  เช่นเดียวกับร้านจำหน่ายชุดนักเรียนย่านดินแดง ลูกค้ามาซื้อสินค้าบางตา รวมทั้งเลือกซื้อน้อยชิ้นลง โดยใช้งบประมาณเฉลี่ยคนละ 1.5 -2 พันบาท ซึ่งจะได้เสื้อ พร้อมกระโปรงหรือกางเกงนักเรียน 2 ชุด รวมถุงเท้า รองเท้าเท่านั้น

 -จำนำทองแค่ครึ่งสลึง
   
ขณะที่การใช้บริการโรงรับจำนำก็เงียบเหงาลงเช่นกัน โดยนายสุทธิชัย  อภิวัฒนานุกุล  ผู้จัดการ โรงรับจำนำบางหว้า  เขตภาษีเจริญ  กรุงเทพฯ กล่าวว่า  บรรยากาศการรับจำนำในช่วง 10 วันแรกของเดือนพฤษาภาคมนี้  ค่อนข้างซบเซาเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา  โดยจำนวนลูกค้าลดลงไปถึง 20%  ขณะที่สินค้าที่นำมาจำนำก็มีมูลค่าลดลงไปกว่า 50%  ซึ่งสินค้าหลักยังเป็นทองคำรูปพรรณ  โดยมีน้ำหนักทองคำที่นำมาจำนำอยู่ที่ครึ่งสลึงถึง 50 สตางค์  จากในช่วงปีที่ผ่านมา น้ำหนักจะเฉลี่ยที่ 1 บาท ส่วนสินค้าประเภทอื่น ๆ เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้า  มีลูกค้านำมาจำนำน้อยมาก
   
บรรยากาศปีนี้คนนำของมาจำนำน้อยมาก  สาเหตุสำคัญเพราะคนไม่มีของมาจำนำแล้ว    โดยเฉพาะทองคำที่ช่วงก่อนหน้าราคาบาทละ 2.2-2.3 หมื่นบาท  และราคาได้ลดลงมาเหลือ 1.7-1.8 หมื่นบาท  คนเลยทิ้งไม่มาไถ่ถอนคืนทำให้ตอนนี้ไม่มีของมาจำนำอีก  แสดงให้เห็นว่าเศรษฐกิจปีนี้ไม่ดีเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว  แม้ว่าปีนี้จะมีการปรับค่าแรงขึ้น 300 บาท แต่สินค้าของกินของใช้ก็ปรับราคาเพิ่มขึ้นพอ ๆ กัน  คนเลยไม่มีกำลังซื้อมากขึ้น  ตอนนี้โรงรับจำนำให้ราคาทองที่มาจำนำถ้าครึ่งสลึง 2.1 พันบาท  และถ้าน้ำหนัก 1 บาทจะให้ประมาณ 1.7-1.8 หมื่นบาท"
   
ที่ย่านบางกะปิมีผู้ปกครองมาใช้บริการโรงรับจำนำน้อยลงเช่นกัน โดยเจ้าหน้าที่ประจำโรงรับจำนำ เผยว่า  ค่อนข้างเงียบเหงา เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ทั้งที่เป็นช่วงโค้งท้ายใกล้เปิดเทอมซึ่งปกติจะมีพ่อแม่ ผู้ปกครองมาใช้บริการโรงรับจำนำจำนวนมาก เพื่อนำเงินไปจับจ่ายซื้อเสื้อผ้า  รองเท้า อุปกรณ์การเรียน ตลอดจนจ่ายค่าเล่าเรียน จากการประเมินเบื้องต้นคาดว่าจะลดลงราว 10-15%   ขณะที่ทองคำยังเป็นสินค้าที่นิยมนำมาจำนำมากที่สุด คิดเป็นสัดส่วน 80-90% ส่วนที่เหลือเป็นนาฬิกา  กล่องถ่ายรูป โทรทัศน์  คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก เป็นต้น
   
เท่าที่พูดคุยกับลูกค้า พบว่าหลายคนหันไปกู้นอกระบบ  เพราะไม่ต้องมีสินทรัพย์ และยังให้กู้ยืมง่าย"

-โรงตึ๊งกทม.ลดดอกดูดลูกค้า
   
ส่วนโรงรับจำนำกทม.กลับมา ลูกค้าคึกคัก โดยนายชัชวาล ศรีนนท์  ผู้อำนวยการสถานธนานุบาล กทม.(โรงรับจำนำกทม.) กล่าวว่า  ปัจจุบันประชาชนยังใช้บริการอย่างคึกคักมาตั้งแต่เดือนมีนาคมนี้ โดยมีอัตราเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบช่วงเดียวกันปีก่อน ส่วนหนึ่งอาจเป็นผลจากนโยบายของผู้ว่าฯ กทม.ที่ประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงตลอดไป  อย่างไรก็ตามเนื่องจากราคาทองคำยังค่อนข้างผันผวน จึงมีนโยบายให้ทุกสาขาติดตามแนวโน้มราคาทองคำ และสามารถปรับเพิ่มหรือลดวงเงินรับจำนำตามสถานการณ์ เช่น สูงสุด 87.5 %หรือปรับลด 85 %
   
โดยตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน ที่ผ่านมา สถานธนานุบาล กรุงเทพมหานคร ประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง ประกอบด้วยเงินต้นไม่เกิน 5,000 บาท คิดดอกเบี้ยอัตรา 0.25 % ต่อเดือน สำหรับเงินต้น 5,001 - 15,000 บาท คิดดอกเบี้ย 1.00 % ต่อเดือน ส่วนเงินต้นเกิน 15,000 บาทนั้น แบ่งเป็น เงินต้น 2,000 บาทแรก คิดดอกเบี้ย 2 %  และส่วนเกิน 2,000 บาทขึ้นไปคิดดอกเบี้ย 1.25 % ต่อเดือน

-หนีซื้อของห้างดิสเคาต์ยักษ์
   
ขณะที่นายกุฎาธาร นาควิโรจน์ ผู้อำนวยการฝ่ายองค์กรสัมพันธ์ บริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) (บมจ.)  กล่าวว่า  ปีนี้มีผู้ปกครองมาซื้อสินค้าช่วงเปิดเทอมที่บิ๊กซี จำนวนมากเป็นพิเศษ  น่าจะเกิด 2 ปัจจัยคือ มีการติดป้ายราคาที่ชัดเจน และมีราคาถูกกว่าสินค้าที่วางจำหน่ายทั่วไป 20-30 %  มีสินค้ามากกว่า 20  แบรนด์ และมีขนาดให้เลือกได้หลากหลาย สามารถเลือกซื้อได้ครบครันและอยู่ในงบประมาณที่วางไว้
   
เดิมเราตั้งเป้าที่จะมียอดขายเติบโตขึ้น 8-10% ตลอดช่วงที่จัดโปรโมชัน แต่ในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นโค้งท้ายของการจับจ่ายก่อนเปิดเทอม พบว่ามีลูกค้ามาใช้บริการจำนวนมาก ส่งผลให้มียอดขายเติบโตกว่า 10 % เร็วกว่าที่ตั้งเป้าไว้  อีกทั้งเป็นการเติบโตทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด แสดงให้เห็นว่าพฤติกรรมลูกค้า เลือกซื้อสินค้าที่คุ้มค่ามากขึ้น"
   
ด้านนางจินดา เมฆบุตร  ผู้จัดการ บริษัท อินซไพรด คิดดิ จำกัด  ผู้ผลิตและจำหน่ายเสื้อผ้า  กล่าวว่า   บริษัทขายส่งชุดนักเรียนให้กับร้านค้าต่าง ๆ ทั่วประเทศ  ซึ่งยอดการสั่งชุดนักเรียนมีเข้ามาเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาเล็กน้อย   โดยมีลูกค้าใหม่ที่เข้ามาซื้อสินค้าไปขายต่อเพิ่มขึ้น 30% สาเหตุคงเป็นเพราะบริษัทมีช่องทางอินเตอร์เน็ตในการสั่งซื้อสินค้า  และราคาขายส่งของบริษัทปรับราคาเพิ่มขึ้นเพียงชุดละ 5 บาทจากปีที่ผ่านมาเท่านั้น  แม้ต้นทุนของบริษัทจะเพิ่มขึ้นก็ตาม โดยเฉพาะค่าแรงที่ปรับเพิ่มขึ้นถึง 30 %  ที่สำคัญชุดนักเรียนเป็นสินค้าจำเป็นที่ผู้ปกครองต้องซื้อ  อย่างน้อย 2-3 ชุดต่อคน  ทำให้ยอดขายในปีนี้จึงยังดีต่อเนื่อง

ที่มา.นสพ.ฐานเศรษฐกิจ
///////////////////////////////////////////////

วันจันทร์ที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ประสาร. เผยหารือ กิตติรัตน์. เป็นไปอย่างสร้างสรรค์ ไม่ถูกกดดันให้ลดดอกเบี้ย !!?


ประสาร. เผยหารือร่วม “คลัง-กนง.-เอกชน” วันนี้ บรยากาศเป็นไปอย่างสร้างสรรค์ ไม่มีแรงกดดันให้ลดดอกเบี้ยหลังเงินบาทอ่อนค่าลง พร้อมปฏิเสธที่จะให้ความเห็นเรื่อง 4 มาตรการ ซึ่งเคยนำเสนอต่อกระทรวงการคลังไปก่อนหน้านี้ เนื่องจากมองว่าการออกมาให้ความเห็นในเรื่องดังกล่าวอาจทำให้ต่างประเทศตีความไปเกินจำเป็นได้
     
นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ที่ประชุมร่วมระหว่างกระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) และภาคเอกชน 3 สถาบันในวันนี้ ยังไม่มีการพูดถึงการออกมาตรการใดๆ เพื่อแก้ปัญหาเงินบาทแข็งค่า ตลอดจนไม่ได้พูดถึงแนวทางการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย แต่เป็นเพียงการหารือในภาพรวมของเศรษฐกิจ และความท้าทายของเศรษฐกิจโลกที่จะต้องเผชิญในระยะกลาง และระยะยาว รวมทั้งความต้องการของภาคเอกชนที่ขอให้ช่วยดูแลเงินบาทให้มีเสถียรภาพ และไม่ผันผวน
     
ที่ประชุมวันนี้ ได้หารือถึงภาวะเศรษฐกิจในภาพรวมทั้งระยะสั้น และระยะยาว ตลอดจนการรับทราบข้อมูลปัญหาของภาคเอกชน เช่น การขาดแรงงาน ประสิทธิภาพด้านการผลิต และความสามารถในการแข่งขัน โดยต่างเห็นตรงกันว่า ยังมีปัญหาที่ต้องเผชิญและเป็นความท้าทายในทุกภาคส่วน พร้อมมองว่า ยังมีความผันผวนของเศรษฐกิจและการเงินโลก ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงโดยทั้งภาครัฐ และเอกชนต้องเตรียมรับความท้าทายที่จะเกิดขึ้น
     
 ทั้งนี้ ที่ประชุมฯ มีความเข้าใจร่วมกันว่า แม้เงินบาทจะมีความผันผวน แต่จะเห็นว่าในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมา เงินบาทปรับตัวอ่อนค่าเช่นเดียวกับทิศทางสกุลเงินอื่นในภูมิภาคที่อ่อนค่าลง หลังจากที่เงินดอลลาร์ปรับตัวแข็งค่าขึ้น แต่ถือเป็นอุทาหรณ์ว่าไม่ควรประมาท หรือวางใจแม้สถานการณ์จะเริ่มคลี่คลาย โดยต้องมีการพิจารณาแนวทางแก้ไขสำหรับภาพรวมในระยะกลาง และระยะยาวที่ยังมีปัญหาต้องเผชิญในอีกหลายมิติ ทั้งในเรื่องของเศรษฐกิจโลกที่ไม่ใช่เฉพาะตลาดอัตราแลกเปลี่ยน หรือการเงินโลกเท่านั้น
     
ผู้ว่าฯ ธปท. มองว่า การประชุมวันนี้ไม่ได้สร้างแรงกดดันต่อการประชุม กนง.ในวันที่ 29 พ.ค. และการหารือเป็นไปอย่างสร้างสรรค์ มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นร่วมกันไม่เฉพาะแต่เรื่องการเงินเท่านั้น พร้อมเชื่อว่า การประชุม กนง.ในรอบถัดไปจะได้รับข้อมูลทางเศรษฐกิจที่เป็นจริง และใกล้เคียงข้อเท็จจริงมากที่สุด หลังจากที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) จะแถลงภาวะเศรษฐกิจของไทยในไตรมาส 1/56 และแนวโน้มภาพรวมเศรษฐกิจในปีนี้ ซึ่งจะทำให้ กนง.ได้รับทราบข้อมูลล่าสุดก่อนที่จะนำไปใช้ตัดสินใจในเรื่องการดูแลค่าเงินบาทต่อไป
     
 อย่างไรก็ดี ผู้ว่าฯ ธปท.ปฏิเสธที่จะให้ความเห็นเรื่อง 4 มาตรการที่ ธปท.เคยนำเสนอต่อกระทรวงการคลังไปก่อนหน้านี้ เนื่องจากมองว่า การออกมาให้ความเห็นในเรื่องดังกล่าวอาจทำให้ต่างประเทศตีความไปเกินจำเป็นได้
     
 นายประสาร กล่าวด้วยว่า รมว.คลังได้แสดงความเห็นในที่ประชุมว่า การประชุมในลักษณะเช่นนี้ควรจะจัดให้มีขึ้นอีก แต่อาจเปลี่ยนหน่วยงานที่เป็นเจ้าภาพในการจัดประชุม ซึ่ง ธปท.ก็ยินดีที่จะรับเป็นเจ้าภาพจัดประชุม และรับฟังความคิดเห็นจากภาคเอกชน เพราะหลายปัญหาต้องมีการบูรณาการร่วมกันจากหลายฝ่าย

ที่มา.ผู้จัดการ
////////////////////////////////////////////////////////

ชาติจนคนรวย !!?


ทำอย่างไรถึงจะรู้ว่า..เรื่องค่าเงินบาทนั้น..ระหว่างกระทรวงการคลังกับธนาคารแห่งประเทศไทย..ใครเป็นฝ่ายถูกใครเป็นฝ่ายผิด

และเรื่องราวถูกผิดในเรื่องนี้นั้นจะส่งผลต่ออนาคตของประเทศชาติอย่างไรเช่นไร..และจะทำให้เกิดความล่มสลายอย่างในปี 2540 หรือไม่

ทว่าก่อนหน้าจะถึงปี 2540..ประมาณปี 2534..ประเทศนี้ได้มีการปฏิวัติเกิดขึ้นเรียกว่าปฏิวัติ รสช. ..เหตุผลที่ รสช. นำมาใช้ในการปฏิวัติกับความเป็นจริงเป็นคนละเรื่องกัน และยิ่งกว่านั้นฝ่ายยึดอำนาจยังใช้มาตราการตรวจสอบความมั่งคั่งมีการยึดทรัพย์สินของนักการเมืองไว้ตรวจสอบ

ครั้งนั้น..เราได้เขียนบทความไว้ว่า..ในอนาคตข้างหน้าปัญหาเงินจะกลายเป็นปัญหาใหญ่ของชาติ
เพราะว่าเรื่องการตรวจสอบทรัพย์สินหรือการอายัดทรัพย์อย่างเป็นวงกว้างเช่นนี้..เป็นเรื่องไม่ปรกติทางการเมือง..เกรงว่านับตั้งแต่วันนั้นจะไม่มีข้าราชการหรือนักการเมืองหรือพ่อค้าที่มีความเกี่ยวข้องกับแวดวงการเมือง..จะไว้วางใจในระบบฝากเงินผ่านสถาบันการเงิน

เงินการเมืองแบบนี้..จะถูกฝังไว้ในที่ที่ปลอดภัย..และในที่สุดจะถูกลำเลียงออกไปฝากนอกประเทศ..ในเกาะการเงินต่างๆ หรือแม้แต่เกาะสิงคโปร์

เราประเมินไว้ว่า..ประเทศไทยจะเหลือแต่ลูกหนี้

ก่อนหน้านั้น..รัฐบาลของ พลเอก ชาติชาย ชุณหะวัณ ได้สร้างปรากฏการ์ณทางเศรษฐกิจมาใหม่..นั้่นคือ ทำให้หุ้นในท้องตลาดขึ้นไปสูงถึง 1700 จุด..

แต่เพราะวิบากกรรมคนไทยยังไม่สิ้น..การปฏิวัติที่เกิดขึ้นจึงกระชากชาติลงสู่ความพินาศ..กว่าการเมืองจะนำชาติมาสู่ประชาธิปไตยอีกครั้ง..ก็ต้องมีการทำให้บาดเจ็บล้มตาย

แต่ผลพวงของการกล่าวหาเพื่อการกล่าวหาเพื่อการปฎิวัติ..จึงนำประเทศชาติไปกลายเป็นต้มยำกุ้ง..และประวัติศาสตร์จะกลับมาเป็นอนาคต..ตราบเท่าที่เงินตรายังหลั่งไหลออกไป..เพราะเก็บไว้ไม่ได้ในประเทศไทย

ธนาคารมีแต่บัญซีลูกหนี้..ที่หมดกำลังในการชดใช้หนี้..

ธนาคารจะมีแต่ลูกหนี้..เพราะจะมีแต่คนขอกู้..แต่ไม่มีเงินฝากก้อนใหญ่..เพราะเงินบาทไทยนั้นวันนี้อยู่แต่ในมือของผู้ที่หวาดหวั่นกับการตรวจสอบ

ไปตรวจกันดูก็ได้..คนที่ว่ามั่งคั่ง..ไม่มีใครฝากไว้กับธนาคารในประเทศ

โดย.พญาไม้.บางกอกทูเดย์
////////////////////////////////////////////////

การเมืองมาเลเซียจะก้าวกระโดด...จริงหรือ !!?


ควันหลงที่ยังคงมีไออุ่นของ "การเมืองมาเลเซีย" ที่ยังน่าจะมีความครุกรุ่นของความเคลื่อนไหวทางการเมืองที่ไม่ยอมรับผลการเลือกตั้งของพรรคร่วมฝ่ายค้าน นำโดยนายอันวาร์ อิบราฮิม
   
จริงๆ แล้ว ถ้าจะให้คาดการณ์ว่าผลการเลือกตั้งครั้งนี้ ผมคาดล่วงหน้าว่าน่าชนะแบบสูสีชนิดอาจต้องใช้กล้องถ่ายรูปก็เป็นได้ แต่ปรากฎว่าผลการเลือกตั้งครั้งนี้ "พรรคแนวร่วมแห่งชาติ" นำโดย "พรรคอัมโน" คว้าชัยชนะเลือกตั้งทั่วไป ทำให้นายนาจิบ ราซัก หวนกลับเข้าสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีสมัยที่ 2 และจะได้ยึดครองอำนาจบริหารประเทศไปได้อีก 5 ปี ทั้งๆ อายุเพียง 59 ปีเท่านั้น
   
จำนวนที่นั่งของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร์ 222 ที่นั่ง พรรคแนวร่วมแห่งชาติพรรคอัมโนคว้าชัยชนะได้ 133 ที่นั่ง ขณะที่พรรคร่วมฝ่ายค้านได้เพียง 89 ที่นั่ง ซึ่งถือว่าได้คะแนนเกินกึ่งหนึ่งของสมาชิกทั้งหมด
   
ถามว่า การที่นายอันวาร์ อิบราฮิม ปฏิเสธการพ่ายแพ้การเลือกตั้งทั่วไปครั้งนี้ โดยพุ่งเป้าไปที่คณะกรรมการการเลือกตั้งแห่งชาติมาเลเซียว่า "โกง!" จนต้องมีการประท้วงเมื่อสัปดาห์ก่อนหน้านี้ แต่ไม่น่าจะมีอะไรรุนแรงไต่ระดับสู่ความยุ่งเหยิง เหตุผลเพราะว่า นายนาจิบ ราซัก ปฏิญาณตนดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีสมัยที่สองเรียบร้อยแล้ว พร้อมบริหารชาติบ้านเมืองต่อทันที
   
แต่ที่สำคัญที่สุดคือ "การโกงการเลือกตั้ง" นั้น ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ เนื่องด้วยชาวมาเลเซียที่มีสิทธิมีเสียงในการลงคะแนนเลือกตั้งจำนวน 13 ล้านคน ผู้มีสิทธิประมาณร้อยละ 80 หรือคิดเป็นจำนวน 10 ล้านคน ใน 8,000 หน่วยเลือกตั้งทั่วประเทศ จึงขอย้ำว่า "โปร่งใส-ธรรมาภิบาล" ที่สุด และนอกเหนือจากนั้น การเลือกตั้งในประเทศมาเลเซียไม่เคยถูกครหานินทาว่ามีการโกงแต่ประการใด
   
ว่าไปแล้ว พรรคอัมโนยึดครองอำนาจการเมืองมายาวนานหลังผูกขาดอำนาจทางการเมืองมามากถึง 56 ปี นับตั้งแต่ประกาศเอกราชจากอังกฤษเมื่อปี 2500 เพราะฉนั้น ความรู้ความเข้าใจของประชาชนชาวมาเลเซีย ที่น่าจะสืบทอดอุปนิสัยใจคอที่มี "วินัย" ทางการเมืองที่เคารพสิทธิและเสรีภาพของประชาชนจากการตกเป็นอาณานิคมของอังกฤษมายาวนาน น่าจะเป็นเหตุผลสำคัญ ตลอดรัฐธรรมนูญก็ยังมีชาวอังกฤษเป็นผู้ร่วมร่าง
   
ทั้งนี้ การที่ประเทศมาเลเซียเคยเป็นอาณานิคมของอังกฤษนั้น จะนับว่าดีหรือไม่ต้องอยู่ที่วิจารณญาณของแต่ละคน เพียงแต่ว่า อังกฤษเป็นต้นแบบของระบอบประชาธิปไตย ที่ยึดมั่นในความถูกต้องและระเบียบวินัย จะเห็นได้จากการซึมซับวัฒนธรรมอังกฤษ จนมาเลเซียวันนี้มีระบบการเมือง สังคม เศรษฐกิจที่มั่นคง ซึ่งมีประชากรเพียง 30 ล้านคนเท่านั้น แต่บ้านเมืองของเขาสวยงาม มีระเบียบ ถนนหนทาง ต้นไม้รายล้อมทั่วบ้านทั่วเมือง
   
จริงๆ แล้วน่าจะผิดกับสิงคโปร์ที่ขอหยาบคายเรียกว่าเป็น "สังคมพลาสติค (PLASTIC SOCIETY)" กล่าวคือ จะเป็นโลหะก็ไม่ใช่ เสมือนของปลอมคล้ายพลาสติค ที่มีกรอบวินัย และผู้คนเคารพกฎหมาย (หรือกลัวกฎหมาย) บ้านเมืองเจริญทันสมัย เพียงแต่อาจจะ "วัตถุนิยม (MATERIALISTIC)" และ "ของปลอม" กับ "ของแท้" แตกต่างกันมากแค่ไหน!
   
อย่างไรก็ตาม ถ้าถามว่าทั้งสองประเทศยึดมั่นในระบอบการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ก็ต้องตอบว่า "แน่นอน!" เพียงแต่ว่าทั้งวัฒนธรรมและค่านิยมของชาวมาเลเซียกับชาวสิงคโปร์อาจจะแตกต่างกันมากพอสมควร เนื่องด้วยชาวสิงคโปร์เวลามาเที่ยวหาดใหญ่หรือกรุงเทพฯ จะสูบบุหรี่ทิ้งก้นบุหรี่และหมากฝรั่งเกลื่อนกลาด ทั้งนี้มิได้หมายความว่าทุกคนปฏิบัติกัน เพียงแต่บางคนบางกลุ่มเท่านั้นที่ปฏิบัติกัน ถามว่าทำไมมักจะตอบว่า เมืองไทยสามารถทำได้ เพราะไม่ผิดกฎหมาย "ว่าไปนั่น!?!"
   
การเมืองในมาเลเซียไม่น่ามีอะไรที่จะต้องวิตกแต่ประการใด ถึงแม้ว่าพรรคร่วมฝ่ายค้านจะประท้วงอย่างไร พรรคอัมโนจะยึดครองอำนาจการเมืองต่อไปอีก 5 ปี จนยาวนานถึง 61 ปีทีเดียว
   
ดร.มหาเธร์ ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีมาเลเซียหลายสมัย เป็นยุคที่มาเลเซียก้าวกระโดดอย่างมาก จนเกิดแนวคิดพัฒนาวิสัยทัศน์ประเทศจนถึงค.ศ.2020 และเป็นผู้ที่ปลดนายอันวาร์ อิบราฮิม ออกจากตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี และติดคุกในข้อกล่าวหา ทุจริตคดโกงและประพฤติผิดทางเพศ จึงน่าจะเป็นบ่วงที่ดึงคะแนนนิยมและการยอมรับนายอิบราฮิม
   
ประวัติของนายนาจิบ ราซัก นั้นสืบทอดจากบิดาที่เคยดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 2 ของมาเลเซีย ประกอบกับนายนาจิบ ราซัก นั้นอาจมิเคยคิดเล่นการเมือง เพราะหลังจบการศึกษาจากประเทศอังกฤษด้านเศรษฐศาสตร์อุตสาหกรรมและทำงานที่บริษัทน้ำมันปิโตรเลียม บังเอิญบิดาเสียชีวิตทำให้ตำแหน่งในสภาว่างลง ทำให้นายนาจิบ ลงสมัครเล่นการเมือง และได้เป็นสมาชิกรัฐสภาด้วยอายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ อายุเพียง 23 ปี
   
ผลการเลือกตั้งครั้งนี้ นอกเหนือจากนายนาจิบ ราซัก ได้ปฏิญาณตนแล้ว ประเทศสหรัฐอเมริกาได้แสดงความยินดีต่อชัยชนะของนายนาจิบแล้ว บวกกับอีกหลายประเทศทั่วโลก ดังนั้นจึงเป็นการยากที่จะทำให้การเมืองมาเลเซียวุ่นวายยุ่งเหยิง
   
ประเด็นสำคัญที่ "ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC)" จะเริ่มปลายปี ค.ศ.2015 (พ.ศ.2558) อีกเพียง 2 ปีกว่าเท่านั้น บ้านเรายังคงมีตายรายวันที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่น่าจะมีแนวร่วมกลุ่มก่อการร้ายภูมิภาคที่ต้องการ "นครรัฐอิสระ" แยกจากประเทศไทยและมาเลเซีย
   
จึงต้องถามว่า มาเลเซียจริงใจมากน้อยเพียงใดกับความร่วมมือกับประเทศไทยในการ "ผลักดัน-กดดัน" มิให้เกิด "นครรัฐอิสระ" ขึ้นได้ อย่างไรก็ตาม เพียงแต่ว่ามาเลเซียสามารถเป็นประเทศที่ 3 หรือ ที่ 4 จากการเป็นกลุ่มผู้นำในประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน
   
ต้องคอยติดตาม!

ที่มา.สยามรัฐ
////////////////////////////////////////////

วันเสาร์ที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

จับสัญญาณลดดอกเบี้ย !!?


จนถึงขณะนี้มุมมองต่อแนวทางการดำเนินนโยบายเพื่อแก้ปัญหา "บาทแข็ง" ของกระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ยังไม่ไปในทิศทางเดียวกัน เพราะกระทรวงการคลังก็ยังคงยืน

ความเห็นที่ต้องการให้มีการลด ดอกเบี้ย ขณะที่ยังไม่มีความเคลื่อนไหวกับการดำเนิน 4 มาตรการที่ ธปท.เสนอ โดยในวันจันทร์ที่ 13 พ.ค.นี้ รัฐบาลโดยนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ก็ได้นัดประชุมพิเศษกับคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ธปท. รวมทั้งภาคเอกชนและหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง เพื่อทำความเข้าใจถึงภารกิจและหน้าที่ในการดูแลค่าเงินบาทให้ตรงกัน

สำหรับ 4 มาตรการสกัดเงินทุนไหลเข้าเพื่อแก้ไขการแข็งค่าของเงินบาท ที่ ธปท.เสนอ ได้แก่ 1.การกำหนดห้ามไม่ให้ต่างชาติซื้อพันธบัตรของ ธปท. 2.กำหนดการถือครองพันธบัตรกระทรวงการคลังและรัฐวิสาหกิจ 3-6 เดือน 3.การเก็บภาษีและค่าธรรมเนียมสำหรับต่างชาติที่มาลงทุนในตลาดตราสารหนี้ เมื่อได้รับผลตอบแทน และ 4.นักลงทุนต่างประเทศนำเงินเข้ามาต้องทำประกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน และต้องกันเงินจำนวนหนึ่งเพื่อตั้งสำรองไว้ที่ ธปท.

ผู้ว่าการ ธปท.ส่งซิกลดดอกเบี้ย

นาย ประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) บอกว่า ตอนนี้สถานการณ์ค่าเงินบาทเคลื่อนไหวเกาะกลุ่มสกุลเงินในภูมิภาค และ ธปท.ก็ยังเฝ้าตามดูแลอย่างใกล้ชิดอยู่

"ถ้าจำได้ 2-3 สัปดาห์ที่แล้ว ผมให้ความเห็นว่า อัตราแลกเปลี่ยน ณ ขณะนั้น มันเกินพื้นฐานไปนั้น ซึ่งการแทรกแซงก็เป็นเครื่องมือหนึ่ง ขณะนี้มีเครื่องมือต่าง ๆ ไว้หลายด้าน ก็เป็นสิ่งที่ดี ซึ่งเราก็เลือกใช้ในแต่ละสถานการณ์ อาจไม่ต้องใช้ทั้งหมด หรืออาจใช้ผสมผสานกัน" นายประสารกล่าว

ทั้งนี้ หลังจากที่ค่าเงินบาทแข็งค่าสุดที่ 28.5 บาท/ดอลลาร์ เมื่อวันที่ 19 เม.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งแข็งค่าสุดในภูมิภาคเอเชีย และมีการปรับอ่อนค่าลงต่อเนื่องจนล่าสุดอยู่ที่ 29.53 บาท/ดอลลาร์ (เช้าวันที่ 10 พ.ค.) ซึ่งเกาะกลุ่มกับภูมิภาค

อย่างไรก็ตาม ผู้ว่าการ ธปท.ยังเห็นว่ากระแสเงินทุนยังไหลเข้าต่อค่อนข้างมาก ทำให้ตลาดการเงินมีการเปลี่ยนแปลงเคลื่อนไหวค่อนข้างเร็ว ซึ่งได้เสนอไป 4 มาตรการ พร้อมทั้งให้ข้อมูลผลกระทบของแต่ละมาตรการพร้อมกันไปด้วย แต่จะนำมาตรการใดมาใช้ ธปท.ต้องติดตามสถานการณ์และดูความเหมาะสม

"มาตรการ ให้ต่างชาติทำเฮดจิ้ง ถือเป็นมาตรการที่เข้มที่สุด เพราะเป็นการประกาศว่า การเข้ามาลงทุนก็อย่าหวังกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน เฮดจ์คือต้องประกันตัวอัตราแลกเปลี่ยน" นายประสารกล่าว

นายประสารได้ ยอมรับว่า เงินทุนเคลื่อนย้ายที่เข้ามาในปัจจุบัน ดอกเบี้ยอาจจะเป็นเรื่องหนึ่งที่นักลงทุนต่างชาติดู ขณะที่การเก็งกำไรอัตราแลกเปลี่ยน เมื่อลงทุนจะคิดกำไรเป็นเปอร์เซ็นต์ออกมาได้สูง เมื่อลงแค่เดือนสองเดือน และคำนวณออกมาทั้งปี จะเป็นตัวเลขที่สูง ซึ่งต่างกับดอกเบี้ยที่มีส่วนต่าง (กำไร) 1% ต่อปี

โดยระบุว่า ดอกเบี้ยเป็นหนึ่งในเครื่องมือแก้ปัญหาเงินทุนไหลเข้าได้ นอกเหนือจากการดูแลอัตราแลกเปลี่ยน และการบริหารจัดการเงินทุนเคลื่อนย้าย แต่ว่าปัจจุบันดอกเบี้ยในประเทศไทย รับภาระหนักที่ต้องพยายามรักษาดุลยภาพทางเศรษฐกิจของประเทศ การจะใช้ดอกเบี้ยลดหรือไม่ จึงต้องพยายามดูให้เหมาะสมว่าจะผ่อนได้ขนาดไหน ถ้าหากเศรษฐกิจในประเทศไม่ได้เติบโตสูง หรือร้อนแรงมากนัก ก็จะผ่อนภารกิจของดอกเบี้ย

ขณะที่เสียงสะท้อนของคนแวดวงการเงินหลาก หลายมุมมอง โดยนายบรรยง พงษ์พานิช ประธานกรรมการ บริษัท ทุนภัทร จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ส่วนตัวเชื่อในเรื่องระบบเศรษฐกิจตามกลไกตลาดเสรี การที่จะออกมาตรการอะไรออกมานั้นจะต้องทำอย่างระมัดระวัง ทั้งมีความชัดเจน และต้องมีกำหนดระยะเวลาในการดำเนินมาตรการชัดเจนด้วย เพราะระบบเศรษฐกิจปัจจุบันมีความซ้ำซ้อนมากกว่าที่คิด ดังนั้นต้องคำนึงถึงผลกระทบอย่างรอบคอบ

นักวิชาการหนุนห้าม ตปท.ซื้อบอนด์ ธปท.

ด้าน รศ.ดร.สมภพ มานะรังสรรค์ อธิการบดีสถาบันเทคโนโลยีปัญญาภิวัฒน์ เห็นว่ามี 2 มาตรการที่ควรทำคือ การห้ามนักลงทุนต่างชาติซื้อพันธบัตร ธปท. เนื่องจากปัญหาที่ ธปท.ประสบอยู่ขณะนี้คือ เงินดอลลาร์ที่ล้นระบบ ทำให้ ธปท.ต้องออกพันธบัตรเพื่อมาดูดซับสภาพคล่อง ดังนั้น เพื่อลดปัญหาการทำงาน ธปท.ให้เบาลงคือ ต้องหยุดเม็ดเงินลงทุนต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในพันธบัตร ธปท.

และอีกแนวทางคือ ห้ามนักลงทุนซื้อพันธบัตรรัฐบาล และรัฐวิสาหกิจระยะสั้น 3-6 เดือน เพื่อป้องกันเงินร้อนที่เข้ามาเพื่อหวังเก็งกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน และส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย และหากถือครองต่ำกว่า 6 เดือน ควรจะมีการเก็บภาษีระดับ 2% เพื่อลดความเหลี่ยมล้ำของอัตราดอกเบี้ยไทยกับต่างประเทศ เชื่อว่า 2 แนวทางข้างต้นเป็นวิธีที่ง่าย และสามารถทำได้เลยทันที ไม่ต้องใช้ขั้นตอนในการออกนโยบายมากนัก

ส่วนมาตรการเก็บค่าธรรมเนียม การลงทุนในตราสาร และมาตรการต้องตั้งสำรองและทำประกันความเสี่ยงของเม็ดเงินที่นำเข้ามาลงทุน จะส่งผลกระทบในเชิงลบต่อนักลงทุนขาดความเชื่อมั่นในการลงทุน อาจทำให้การลงทุนชะงักได้ ซึ่งไม่เพียงแต่หยุดเงินทุนระยะสั้น แต่อาจกระทบไปถึงเงินทุนระยะยาว

สำหรับมาตรการด้านดอกเบี้ย เชื่อว่า ไม่ใช่แนวทางการแก้ไขปัญหา เพราะเต็มที่ ธปท.อาจลดได้เพียง 0.25% ถือว่าไม่มีผลต่อตลาดมากนัก หากจะได้ผลต้องลดมากกว่า 1% แต่ ธปท.ไม่สามารถดำเนินนโยบายดังกล่าวได้ เนื่องจากดอกเบี้ยเป็นเครื่องมือในการดูแลเศรษฐกิจ ซึ่งจะทำให้เกิดความเสี่ยงต่อระบบเศรษฐกิจ ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดฟองสบู่ตามมาในที่สุด

SCB เชื่อลด ดบ.ไม่สามารถสกัดเงินไหลเข้า

ขณะ ที่นางสุทธาภา อมรวิวัฒน์ หัวหน้าศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ และผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า ไม่เห็นด้วยกับการใช้มาตรการด้านดอกเบี้ยดูแลค่าเงินบาท เนื่องจากการลดดอกเบี้ย ไม่ใช่ทางออก และไม่ได้สกัดเงินทุนไหลเข้าจากต่างชาติได้ เพราะหากเทียบกับเงินที่มีในระบบจำนวนมาก ทั้งจาก QE ญี่ปุ่น ยุโรป สหรัฐแล้ว เห็นว่าแม้จะลดดอกเบี้ยแล้ว เม็ดเงินต่างชาติก็ไหลเข้ามาอยู่ดี เพราะพื้นฐานเศรษฐกิจไทยดี ความเสี่ยงน้อย

หากยืนยันที่จะใช้นโยบาย ดังกล่าว ก็ต้องออกมาตรการคุมสินเชื่อ เพื่อกำจัดปัญหาฟองสบู่ตามมา เช่น ภาคอสังหาริมทรัพย์ ที่ต้องมีการออกกฎควบคุมเงินดาวน์ เหมือนสิงคโปร์ที่เพิ่มเงินดาวน์บ้านหลังที่สอง

"เชื่อว่า ทุกมาตรการทำได้หมด แต่การทำนโยบายดังกล่าวต้องไม่ให้กระทบต่อการลงทุนของนักลงทุนมากนัก และอย่าให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยเหมือนอดีตที่เคยให้กันสำรอง 30% อาจต้องมีการปรับใช้ให้เหมาะและเข้ากับสถานการณ์นั้น ๆ"

สภาตลาดทุนฯค้านมาตรการเก็บค่าฟี

นาย ไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานกรรมการ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย กล่าวว่า เห็นด้วยกับมาตรการข้อแรก เพราะจะช่วยจำกัดการเก็งกำไรในตราสารหนี้ระยะสั้น ซึ่งน่าจะเพียงพอและมีผลต่อค่าเงินบาทในขณะนี้ เพราะตลาดตราสารหนี้ระยะสั้นถือเป็นช่องทางหลักที่นักลงทุนต่างชาติใช้เข้า มาเก็งกำไรอัตราแลกเปลี่ยน

แต่ไม่เห็นด้วยกับมาตรการที่ 2 ที่กำหนดระยะเวลาการถือครองพันธบัตรในช่วงเวลาหนึ่ง เพราะจะมีผลกระทบต่อการลงทุนในพันธบัตรระยะยาวโดยตรง ทั้งนี้เห็นว่าควรปรับเปลี่ยนมาเป็นห้ามนักลงทุนต่างชาติลงทุนในพันธบัตร ของกระทรวงการคลัง และรัฐวิสาหกิจที่มีอายุต่ำกว่า 6 เดือน ซึ่งจะแก้ปัญหาได้ตรงจุด

สำหรับมาตรการที่ 3 และ 4 นายไพบูลย์ระบุว่าไม่เห็นด้วย เพราะการเก็บค่าธรรมเนียมและภาษีจากนักลงทุนต่างประเทศที่ได้ผลตอบแทนจากการ ลงทุนในตลาดตราสารหนี้นั้น เป็นการลดผลตอบแทนที่ได้รับ อีกทั้งในทางปฏิบัติทำได้ยาก ส่วนการทำประกันป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนนั้น จะมีผลต่อการตัดสินใจลงทุน เพราะนักลงทุนต่างชาติที่เข้าลงทุนส่วนใหญ่ยังต้องการมีกำไรจากอัตราแลก เปลี่ยน

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
/////////////////////////////////////////////////////////////////////

ตัวทำลาย เศรษฐกิจ ประเทศ !!?


ปมปัญหาเงินบาทแข็งค่าจนทำให้ผู้ส่งออกเสียหายหนัก ประเทศชาติส่อแวววิกฤตเศรษฐกิจอีกรอบ แต่การแก้ไขหรือดูแลค่าเงินบาทให้อ่อนตัวลงตามเสียงเรียกร้องของภาคเอกชนยังคงไม่เกิดขึ้นแถมยังบานปลายเป็นประเด็นขัดแย้งอย่างหนัก ระหว่าง นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กับนายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย

ประเด็นสำคัญที่เกิดขึ้นก็คือ เมื่อเงินบาทแข็งค่าขึ้น การส่งออกก็จะได้รับผลกระทบในทันที ประการแรกผลกระทบจากการลดลงของผู้ซื้อสินค้าของไทย เพราะเดิม 1 ดอลลาร์สหรัฐ เคยซื้อสินค้าไทยได้ 30-31 บาท แต่มาตอนนี้กลับซื้อสินค้าไทยได้แค่ 28-29 บาทเท่านั้น

เท่ากับว่าสินค้าไทยแพงขึ้น ผู้นำเข้าจึงหันไปสั่งซื้อสินค้าจากประเทศอื่นๆที่เป็นคู่แข่งของไทยแทน
นั่นคือเจ๊งแรกของประเทศ ที่ส่งออกสินค้าได้น้อยลง อย่าว่าแต่เป้าในการส่งออกจะลดลงเลย การที่รายได้เข้าประเทศน้อยลงเช่นที่กำลังเกิดขึ้นขณะนี้ สิ่งที่รัฐบาลนายกฯปู ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่เคยหวังเอาไว้ว่า GDP ของไทยปีนี้จะโต 8-9% ถ้ายังเป็นเช่นนี้ต่อไปก็ลืมไปได้เลย

เจ๊งที่ 2 ก็คือบรรดาผู้ส่งออกที่ขาดทุนบักโกรกไปตามๆกัน จากที่เคยกำหนดราคาขายเอาไว้ 1 ดอลลาร์เพราะคิดว่าจะได้เงิน 30 -31 บาท พอจะมีกำไรบ้างเนื่องจากต้นทุนอยู่ที่ 29 บาท กลับกลายเป็นขาดทุนในทันที... แค่ขายก็ขาดทุนแล้ว อย่าว่าแต่ลดราคาแข่งกับประเทศเพื่อนบ้านเลย ซึ่งก็ทำไม่ได้เหมือนกัน เพราะค่าเงินบาทแข็งค่ามากที่สุดในโลกเมื่อเทียบกับค่าเงินในประเทศอื่นๆ

ฉะนั้นนี่คือเหตุผลที่ทำไมทั้งสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสภาหอการค้าไทย ต่างออกมาประสานเสียง ร้องลั่นไปหมดว่าแย่แล้ว ไม่ไหวแล้ว ทำอย่างไรก็ได้ ช่วยดูแลค่าเงินบาทให้อ่อนลงด้วยเถิด

นี่คือความเสียหายที่เกิดขึ้นในขณะนี้ และคือเหตุผลว่าทำไมภาคธุรกิจเอกชนจึงโหยหวนขอความเห็นใจว่า แบงก์ชาติช่วยทำให้ค่าเงินบาทอ่อนตัวลงทีเถิด

และเป็นเหตุให้นำมาซึ่งการถกเถียงกันเรื่องของอัตราดอกเบี้ย ที่กระทรวงการคลัง ภาคธุรกิจเอกชนต้องการให้ แบงก์ชาติ ให้คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ลดอัตราดอกเบี้ยลงมาเสียที เงินทุนไหลเข้าจากต่างประเทศจะได้ลดน้อยลง ค่าเงินบาทจะได้อ่อนตัวลงมาบ้าง

แต่ทางแบงก์ชาติ และ กนง.กลับไม่เห็นด้วยในการที่จะลดอัตราดอกเบี้ย

ประเด็นของการลดไม่ลดอัตราดอกเบี้ย ที่ไปเกี่ยวข้องกับการแข็งขึ้นของค่าเงินบาท ก็เนื่องจากว่า เมื่อแบงก์ชาติ และ กนง. คงอัตราดอกเบี้ยเอาไว้ในระดับที่สูงกว่าประเทศต่างๆ โดยอัตราดอกเบี้ยของไทยอยู่ที่ 2.75% ในขณะที่ประเทศอื่นๆอยู่ที่ 0 – 1.25% จึงเท่ากับดอกเบี้ยไทยเป็นแม่เหล็กขนาดมหึมาที่จะดึงให้ต่างชาติเอาเงินเข้ามาฝากมาลงทุนในไทย

ฝากที่ประเทศตัวเองได้ไม่ถึง 1% แต่มาซื้อตราสารหนี้มาซื้อพันธบัตรของไทย ได้ดอกเบี้ย 2.75 – 3% มีหรือต่างชาติจะไม่สนใจเข้ามา

ซึ่งวิธีการเข้ามาพวกนี้ก็จะต้องมาซื้อเงินบาท เพื่อเข้ามาลงทุนในไทย เมื่อเงินต่างชาติทะลักเข้ามามากมาย ค่าเงินบาทก็เลยแข็งค่าขึ้นอย่างที่เห็น และนี่เองเป็นเหตุผลที่มีการเรียกร้องให้แบงก์ชาติ และ กนง.ช่วยลดอัตราดอกเบี้ยลงมาบ้าง ประเทศอื่นๆเขาลดอัตราดอกเบี้ยกันอุตลุดแล้ว ล่าสุดธนาคารกลางของออสเตรเลียก็ลดอัตราดอกเบี้ยลงไปอีก 0.25% แล้ว

ถ้าดอกเบี้ยลดลงไปใกล้เคียงกับประเทศอื่นๆ เงินที่เคยไหลเข้ามามากมาย ก็จะชะลอตัวลง หรือดึงเงินกลับคืนไปลงทุนที่ประเทศอื่นแทน ค่าเงินบาทจะได้อ่อนตัวลงมาบ้าง
แต่แบงก์ชาติยืนกรานที่จะไม่ลดอัตราดอกเบี้ยลง เพราะกลัวจะเกิดภาวะฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์

ในขณะที่ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล อดีตรองนายกฯและอดีตรัฐมนตรีคลัง แถมเป็นอดีตผู้ว่าแบงก์ชาติ ซึ่งมีบทบาทสำคัญใน กนง. และยังเคยเป็นผู้บริหารระดับสูงธนาคารกสิกรไทย ซึ่งเป็นแบงก์ที่นายประสารเคยไปนั่งเป็นเอ็มดีมาแล้ว ก็ได้มีการออกมาสนับสนุนแนวทางของนายประสารแบบเต็มที่ โดยอ้างว่า การลดดอกเบี้ยไม่ช่วยอะไรได้มาก

ดังนั้นจึงไม่แปลกที่นายประสารจะเสียงแข็งที่จะไม่ลดดอกเบี้ย แถม กนง. ก็ยังเล่นบทลอยตัว เห็นได้จากการออกแถลงการณ์เมื่อวันที่ 30 เมษายน ที่บอกว่า ห่วงใยต่อความผันผวนและการแข็งค่าอย่างรวดเร็วของเงินบาทในระยะที่ผ่านมา ซึ่งบางช่วงอาจไม่สอดคล้องกับปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจของประเทศ คณะกรรมการจึงเห็นพ้องถึงความจำเป็นในการดำเนินนโยบายที่เหมาะสมต่อสถานการณ์ ภายใต้กรอบการบริหารจัดการอัตราแลกเปลี่ยนที่ได้วางไว้แล้ว รวมถึงการผสมผสานมาตรการและประสานงานอย่างใกล้ชิดกับกระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

บอกว่าห่วง แต่ก็ไม่มีมาตรการใดๆที่ชัดเจนออกมา ทำให้ล่าสุดทางนายพยุงศักดิ์ ชาติสุทธิผล ประธานสภาอุตสาหกรรมฯ ต้องออกมาเรียกร้องให้ กนง.ประชุมพิจารณาลดดอกเบี้ยภายใน 24 ชั่วโมง

ชัดเจนว่าเดินพันในเรื่องความเสียหายของประเทศรุนแรงมากขึ้นทุกที

ในขณะที่ทั้งนายกิตติรัตน์ และนายประสาร ก็ยังไม่สามารถที่จะคุยกันได้รู้เรื่อง กระทั่งนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ต้องใช้สิทธิของการเป็นนายกรัฐมนตรี สั่งให้ทั้ง 2 คน ไปเปิดร้านอาหารคุยกันให้รู้เรื่องเสียที เพราะขืนปล่อยเอาไว้อย่างนี้ ประเทศชาติจะยิ่งเสียหาย

ปัญหาในขณะนี้นอกจากการเมือง จะมีการแบ่งแยกแตกขั้วกันอย่างชัดเจนแล้ว แม้แต่ในภาคเศรษฐกิจก็มีการแบ่งแยกแตกขั้วเกิดขึ้นด้วยเช่นกัน ทั้งๆที่เวลาที่เกิดวิกฤต เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจเกิดขึ้น มันเป็นความเสียหายที่เกิดขึ้นกับทั้งหมดทุกภาคส่วนของประเทศ

ท่าทีของนายประสาร ที่เลือกจะไม่ยอมลดดอกเบี้ยเลยแม้แต่สักนิด แต่กลับเลือกเสนอมาตรการดูแลค่าเงินบาท 4 แนวทาง ออกมาแทน โดยมาตรการที่ 1 คือ การออกพันธบัตรของธปท. ที่สามารถกำหนดห้ามไม่ให้ต่างชาติซื้อพันธบัตร มาตรการที่ 2 การออกพันธบัตรของกระทรวงการคลังให้กำหนดระยะเวลาการถือครอง เช่น 3 เดือน หรือ 6 เดือน เพื่อป้องกันการเก็งกำไร มาตรการที่ 3 คือ เสนอให้เก็บภาษีและค่าธรรมเนียมสำหรับต่างชาติที่มาลงทุนในตลาดตราสารหนี้เมื่อได้รับผลตอบแทน
และมาตรการที่ 4 ยังไม่มีประเทศไหนในโลกนี้ใช้กัน คือ กรณีที่นักลงทุนต่างประเทศนำเงินเข้ามา ต้องทำประกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน เพื่อบังคับไม่ให้ได้รับผลตอบแทนทางบวก ขณะเดียวกันก็ไม่ได้รับผลกระทบในเชิงลบ

มองให้ลึกลงไปในข้อเสนอทั้ง 4 ข้อของแบงก์ชาติ ไม่ว่าอย่างไรก็เห็นแต่เงาของนายประสารและ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร นั่นแหละที่อยู่เบื้องหลังแนวคิด

และทำให้หลายฝ่ายอดคิดไม่ได้ว่า หรือว่าที่ไม่ยอมให้ลดอัตราดอกเบี้ย เพราะต้องการให้เกิดเหตุซ้ำรอย เหมือนเมื่อปี 2549 ซึ่ง ม.ร.ว.ปรีดิยาธร ประกาศใช้มาตรการสำรอง 30% กับเงินทุนจากต่างประเทศที่เข้ามาลงทุนในไทย

ครั้งนั้น ตลาดหุ้นไทยตกวินาศสันตะโร 100 กว่า 200 จุดมาแล้วในชั่วข้ามคืน... หรือว่าครั้งนี้ ก็อยากจะให้เกิดเหตุการณ์ในลักษณะนั้นซ้ำรอยขึ้นมาอีก

ทำให้มีการตั้งประเด็นสงสัยว่า แล้วทำไมจึงอยากให้ตลาดหุ้นไทยพังพาบลง ซึ่งก็น่าจะมีเพียงเหตุผลเดียวก็คือ การฟื้นตัวของตลาดหุ้นไทย จนดัชนีหุ้นมาจ่อที่ระดับ 1600 จุด และคาดการณ์กันว่า สิ้นปีดัชนีหุ้นไทยน่าจะไปที่ 1,700 จุดได้

ถ้าเป็นอย่างนั้น ก็จะยิ่งเป็นการเพิ่มเครดิต เพิ่มคะแนนบวกให้กับรัฐบาลยิ่งลักษณ์มากขึ้น
แต่หากเจอมาตรการ Capital Control เข้าให้ ตลาดหุ้นตก 200 กว่าจุดเหมือนเมื่อปี 49 ก็เท่ากับเป็นการเปิดช่องให้มีการถล่มแหลกทางการเมืองได้ในทันทีว่า เป็นความผิดพลาดล้มเหลวของรัฐบาล

การออกมาตรการสำรอง 30% ของ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร ครั้งนั้น โดนด่าหนักเพียงใด หม่อมอุ๋ยย่อมรู้ซึ้งแก่ใจ เพียงแต่บังเอิญตอนนั้นเป็นรัฐบาลมาคลอดมาจากมดลูกของ คมช. ไม่ใช่รัฐบาลที่เลือกตั้งมาตามระบอบประชาธิปไตย ไม่เช่นนั้นรัฐบาลก็คงอยู่ลำบาก

แต่ขนาดนั้นสุดท้าย ม.ร.ว.ปรีดิยาธร ก็อยู่ไม่ได้ในที่สุด

ปัญหาก็คือ การแข็งขืนไม่ยอมลดดอกเบี้ยของแบงก์ชาติ และการออกมาหนุนท่าทีแบงก์ชาติ ของบรรดาขั้วตรงข้ามรัฐบาลทั้งหลายนั้น มีเจตนาอย่างที่ผู้คนในแวดวงตลาดทุนตั้งข้อสงสัยกันหรือไม่???

หากเป็นจริง ก็ต้องถือว่าเป็นเกมการเมืองที่โหดเหี้ยมเอามากๆ เพราะการพุ่งขึ้นของตลาดหุ้น ไม่ใช่เป็นเพราะลำพังผลงานรัฐบาล หรือไม่ใช่มีแต่นักการเมืองหรือคนที่เกี่ยวข้องในรัฐบาลเข้าไปลงทุน แต่ยังมีนักลงทุนรายย่อย รายบุคคล อีกเป็นจำนววนนับแสนๆคนที่เข้าไปลงทุนโดยสุจริตอยู่ด้วย

หากตลาดหุ้นต้องพังลงด้วยเหตุผลลึกๆทางการเมือง หรือเพียงเพื่อผลประโยชน์ตัณหาทางการเมืองจริงๆแล้ว ก็เป็นสิ่งที่นักลงทุนไทยควรจะต้องจดจารึกซื่อคนที่เกี่ยวข้องใส่บัญชีหนังสุนัขกันเอาไว้เลยว่า เพื่อเกมทางการเมือง ทำกันจนนักลงทุน จนเศรษฐกิจพัง ก็ยังทำได้เช่นนั้นหรือ

แต่หากไม่ใช่ทางผู้ว่าแบงก์ชาติ ควรจะต้องพูดให้ชัดเจนไปเลยว่า ทำไมจึงยอมลดดอกเบี้ยลดไม่ได้แม้แต่เพียงแค่สลึงเดียว

ทั้งๆที่ในอดีตที่ผ่านมา การลดดอกเบี้ยลง 0.25% เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นประจำ จะมีฮือฮาหน่อยก็คือลด 0.50% ซึ่งอดีตก็มีเกิดขึ้นหลายครั้ง แต่ครั้งนี้ขนาดว่าภาคธุรกิจเอกชนวิงวอนกันขนาดนี้แล้ว แต่ไม่ยอมเป็นไม่ยอม ตรงนี้แหละลูกผู้ชายอย่างนายประสารน่าจะพูดให้ชัดเจนไปเลย

ขณะเดียวกัน นายกิตติรัตน์เอง วันนี้ก็จะมัวมาเล่นบทอ่อนแออยู่ไม่ได้แล้วเช่นกัน ไม่ใช่เอาแต่โอดครวญว่าอยากจะปลดนายประสารเป็นรายวัน แต่ผ่านมาเป็นเดือนแล้ว ก็ไม่สามารถทำอะไรได้ นอกจาบ่นไปเรื่อยๆ ทำให้นายประสารเกิดภาพเป็นลบในสายตาของภาพธุรกิจ

ถ้าคิดว่านี่เป็นเกมที่จะทำให้นายประสารเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำได้ในที่สุด ก็เป็นแผนที่ไม่เข้าท่า เพราะระหว่างนั้น กลายเป็นเศรษฐกิจ ผู้ประกอบการ นักลงทุน ตกอยู่ในสภาพที่ย่ำแย่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

วันนี้สังคมไทยรู้หมดแล้วว่ามีการเผชิญหน้ากันระหว่าง รัฐมนตรีคลัง กับ ผู้ว่าแบงก์ชาติ

แต่ก็เป็นการรับรู้ภายใต้การสับสนงุนงง ว่าตกลงแล้วใครผิดใครถูก ใครเดินเกมเดินแผนร้าย และสุดท้ายใครจะต้องเป็นฝ่ายพ่ายเป็นฝ่ายไป

จริงแล้วทั้ง 2 คน คือนายกิตติรัตน์ และนายประสาร ควรจะต้องตระหนักด้วยกันทั้ง 2 ฝ่ายว่า การมองต่างมุม และการเผชิญหน้ากันในครั้งนี้ เป็นศึกที่คนทั้งคู่สามารถกุมชะตาเศรษฐกิจของประเทศ ชนิดที่จะทำให้ประเทศชาติพลิกคว่ำพลิกหงายได้

แล้วทำไมยังดันอุตริเล่นเกม หรือยังดันทุรังคาราคาซังกันอยู่แบบนี้

ถ้านายกิตติรัตน์ ยอมรับว่าไม่มีปัญญาจัดการกับผู้ว่าแบงก์ชาติให้ดำเนินการตามนโยบายรัฐบาลได้ ก็ลาออกไปเลย

หรือถ้านายประสารเห็นว่าไม่สามารถจะทำตามทิศทางของรัฐบาลได้ ไม่ยอมรับการแทรกแซง ก็ลาออกไปเสียไม่ดีกว่าหรือ?

นายประสารเป็นนักเรียนทุนแบงก์ชาติ ควรจะต้องจำคำของ ดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์ ได้เป็นอย่างดีว่า หากผู้ว่าแบงก์ชาติ อึดอัดใจ ไม่สามารถทำงานได้ ก็ต้องลาออกไป

ดังนั้นวันนี้ไม่ใช่แค่ทั้ง 2 คน จะไปนั่งกินอาหารคุยกันว่าจะตกลงเรื่องนี้อย่างไร แต่ทั้งคู่ควรจะต้องมีสำนึกว่า แล้วประเทศชาติจะอยู่อย่างไร

หากยังขัดแย้งกันไม่เลิกราอย่างที่เกิดขึ้นขณะนี้

ที่มา.บางกอกทูเดย์
///////////////////////////////////////////////////////

กู้วิกฤติศรัทธา : แบงก์ชาติแจงรายละเอียดยิบ เอกสาร 9 หน้า !!?


แบงก์ชาติร่อนเอกสาร 9 หน้า แจงละเอียดยิบ หลังถูกกระแสการเมือง-เอกชน ถล่มหนักความอิสระธปท.-การบริหารค่าเงิน-นโยบายดอกเบี้ย-บริหารเจ๊ง

ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ออกเอกสารชี้แจงข้อเท็จจริงเพื่อสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับการดำเนินงานของธนาคารแห่งประเทศไทยในระยะนี้ มีกระแสข่าวตามสื่อต่างๆ เกี่ยวกับการทำหน้าที่ดูแลเศรษฐกิจของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ซึ่งอาจทำให้สาธารณชนเกิดความสับสนและกระทบต่อความเชื่อมั่นในการทำหน้าที่ธนาคารกลางของประเทศได้ธปท. จึงขอชี้แจงข้อเท็จจริงแก่สื่อมวลชนและสาธารณชน เพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องในประเด็นสาคัญเกี่ยวกับการทำหน้าที่ของ ธปท. อันเป็นหนึ่งในสถาบันหลักที่ทำหน้าที่ดูแลเสถียรภาพเศรษฐกิจการเงินของประเทศมากว่า 70 ปี โดยจะครอบคลุมใน 4 ประเด็นหลัก ได้แก่ 1) บทบาทหน้าที่และความเป็นอิสระของ ธปท. 2) การดูแลความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน 3) การดาเนินนโยบายอัตราดอกเบี้ย และ 4) การขาดทุนจากการดาเนินงานของ ธปท.

ประเด็นที่หนึ่ง เรื่องบทบาทหน้าที่และความเป็นอิสระของ ธปท.

หน่วยงานหลักด้านเศรษฐกิจของไทย ไม่ว่าจะเป็น ธปท. หรือกระทรวงการคลังหรือหน่วยงานอื่นใด ต่างมีจุดมุ่งหมายสูงสุดร่วมกัน คือ ความกินดีอยู่ดีของประชาชน ซึ่งจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อเศรษฐกิจสามารถเติบโตได้เต็มศักยภาพอย่างยั่งยืน ไม่สะดุดหยุดลงจากปัญหาวิกฤตเสถียรภาพเศรษฐกิจการเงิน ตลอดจนมี การกระจายรายได้ที่ทั่วถึงและเป็นธรรม ดังนั้น นโยบายเศรษฐกิจมหภาค ไม่ว่าจะเป็นนโยบายการเงินหรือนโยบายการคลัง ต่างต้องสอดประสานให้เหมาะสมกับภาวะและพื้นฐานของเศรษฐกิจ

พระราชบัญญัติธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ พรบ.ธปท. กำหนดพันธกิจหลักของ ธปท. ไว้อย่างชัดเจนตามมาตรา 7 คือการดารงไว้ซึ่งเสถียรภาพทางการเงิน และเสถียรภาพของระบบสถาบันการเงินและระบบการชาระเงิน โดยต้องคานึงถึงการดาเนินนโยบายทางเศรษฐกิจของรัฐบาลด้วย และมาตรา 28/8 กาหนดให้คณะกรรมการนโยบายการเงิน หรือ กนง. จัดทาเป้าหมายของนโยบายการเงินทุกปี โดยทาความ ตกลงร่วมกับรัฐมนตรี และให้รัฐมนตรีเสนอต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอนุมัติ

นอกจากนี้ ธปท. มีหน้าที่ตาม มาตรา 60 และ 61 ในการจัดทารายงานภาวะเศรษฐกิจการเงินเสนอต่อรัฐมนตรีเป็นประจาทุกเดือน และรายงานผลการดาเนินนโยบายของ ธปท. ต่อคณะรัฐมนตรีทุก 6 เดือน

ในทางปฏิบัติ กระทรวงการคลังและ ธปท. ได้มีการประชุมหารือและประสานงานกันอย่างสม่าเสมอ โดยมีผู้ว่าการ ธปท. หรือผู้แทนร่วมอยู่ในคณะกรรมการหรือคณะทางานต่างๆ ร่วมกับกระทรวงการคลังและหน่วยงานด้านนโยบายเศรษฐกิจอื่นๆ ตลอดจนมีการเข้าชี้แจงต่อที่ประชุมคณะทางานกากับการบริหารนโยบายเศรษฐกิจ ซึ่งมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานและประชุมเป็นรายสัปดาห์

ในการพิจารณาประเด็นเชิงนโยบายต่างๆ นั้น เป็นเรื่องธรรมดาที่ผู้ว่าการ ธปท. และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง อาจมีความเห็นหรือมุมมองที่แตกต่างกันได้ โดยเฉพาะการให้น้าหนักกับเศรษฐกิจในระยะสั้นกับระยะยาว ซึ่งต้องอาศัยการหารือและพิจารณาในภาพรวมว่า การดาเนินการอย่างไรจะเป็นผลดีที่สุดต่อประเทศ ในเมื่อทุกๆ ฝ่ายต่างมีความหวังดีต่อประเทศเป็นที่ตั้ง ดังนั้น การร่วมกันพิจารณาอย่างรอบด้าน โดยยึดประโยชน์ของประเทศเป็นหลัก ย่อมจะนาไปสู่ข้อสรุปที่เหมาะสมกับสถานการณ์ได้

ประเทศไทยเลือกใช้กรอบเป้าหมายเงินเฟ้อแบบยืดหยุ่น หรือ Flexible Inflation Targeting ใน การดาเนินนโยบายการเงิน ซึ่งเป็นแนวทางที่ธนาคารกลางใช้กันแพร่หลายในปัจจุบัน แม้จะมีชื่อว่า กรอบเป้าหมายเงินเฟ้อ แต่ในการตัดสินนโยบายนั้นมีการพิจารณาด้านการเติบโตของเศรษฐกิจด้วยเสมอ การที่ ธปท. เลือกใช้เป้าหมายเงินเฟ้อในการดูแลเสถียรภาพของเศรษฐกิจ ก็เพราะการมีระดับอัตราเงินเฟ้อที่เหมาะสมเป็นสิ่งจาเป็น (prerequisite) ที่จะช่วยให้เศรษฐกิจขยายตัวได้อย่างยั่งยืน ประชาชนกินดีอยู่ดี

ในการพิจารณาตัดสินนโยบายการเงินเพื่อให้อัตราเงินเฟ้ออยู่ในเป้าหมายที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติไว้นั้น คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ซึ่งประกอบด้วยทั้งผู้บริหารระดับสูงของ ธปท. และผู้ทรงคุณวุฒิจากภายนอก ที่ผ่านกระบวนการคัดสรรมาแล้วว่าเป็นผู้มีความรู้และประสบการณ์สูง จะพิจารณาข้อมูลรอบด้านและตัดสินนโยบายในลักษณะมองไปข้างหน้า ไม่ได้มุ่งให้ความสาคัญแต่เฉพาะเสถียรภาพด้านราคาหรือ เงินเฟ้อ แต่ให้ความสาคัญกับการเติบโตของเศรษฐกิจ และคานึงถึงการดาเนินนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาล ในขณะนั้นด้วย โดยมุ่งให้เศรษฐกิจขยายตัวได้อย่างต่อเนื่องใกล้เคียงศักยภาพ ตลอดจนพยายามรักษาสมดุลของภาคส่วนต่างๆ ของเศรษฐกิจ เพื่อป้องกันการเกิดปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจในประเทศ

ทั้งนี้ จากผลการศึกษาและการประเมินโดยผู้เชี่ยวชาญอิสระ กองทุนการเงินระหว่างประเทศ ตลอดจนบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือต่างๆ ในช่วงที่ผ่านมา2 สะท้อนว่าการดาเนินนโยบายการเงินของไทยเป็นที่เชื่อถือและยอมรับ มีกระบวนการที่ชัดเจน มีความโปร่งใส เป็นไปตามมาตรฐานสากล ตลอดจนมีประสิทธิภาพในการดูแลเสถียรภาพเศรษฐกิจได้เป็นอย่างดี

ประเด็นที่สอง การดูแลความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน

การแข็งค่าของเงินบาทประมาณร้อยละ 4 ตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมา เป็นผลจากทั้งปัจจัยภายนอกและภายในประเทศที่เป็นแรงจูงใจให้นักลงทุนเข้ามาลงทุนในประเทศไทย โดยปัจจัยภายนอกคือ ความอ่อนแอของเศรษฐกิจประเทศหลักและการดาเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายพิเศษที่เน้นการอัดฉีดสภาพคล่องเข้าสู่ระบบ ส่งผลให้ผลตอบแทนจากการลงทุนของประเทศเหล่านี้อยู่ในระดับต่ามาก นักลงทุนที่ต้องการแสวงหาผลตอบแทนที่สูงขึ้นจึงจาเป็นต้องกระจายการลงทุนไปยังประเทศที่มีศักยภาพในการเติบโตและมีผลตอบแทนที่สูงกว่า รวมทั้งประเทศไทยซึ่งมีปัจจัยภายในประเทศที่ดึงดูดการลงทุนเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค เนื่องจากมีพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่ดี สะท้อนจากอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจที่ประมาณร้อยละ 5 ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตที่ร้อยละ 4.23 และค่าเฉลี่ยของประเทศพัฒนาแล้วที่ร้อยละ 1.34 ภาครัฐมีโครงการลงทุนต่างๆ เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานซึ่งจะส่งผลให้ภาคธุรกิจทางานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นและมีต้นทุนการดาเนินการที่ถูกลง อันจะเป็นการยกระดับศักยภาพในการแข่งขันของประเทศ

นอกจากนี้ เสถียรภาพทางการเมืองและระบบสถาบันการเงินของไทยโดยรวมที่อยู่ในเกณฑ์ดี เป็นปัจจัยเสริมให้ไทยเป็นที่สนใจของนักลงทุนต่างชาติแม้ว่าอัตราดอกเบี้ยของไทยจะต่ากว่าหลายประเทศในภูมิภาค ทาให้ในช่วงกลางเดือนเมษายน ค่าเงินบาทแข็งค่ามากที่สุดถึงประมาณร้อยละ 6.5 จากต้นปีและแข็งค่ามากในที่สุดในภูมิภาค อย่างไรก็ดี ในช่วงปลายเดือนที่ผ่านมา แรงกดดันต่อค่าเงินบาทผ่อนคลายลงบ้างหลังจากที่ค่าเงินบาทแข็งค่าไปมากแล้วและนักลงทุนเริ่มกังวลว่าทางการอาจมีมาตรการควบคุมเงินทุนไหลเข้า ในขณะที่ เงินภูมิภาคก็เริ่มปรับแข็งค่าขึ้นหลังจากปัจจัยชั่วคราวของแต่ละประเทศ เช่น ความกังวลเกี่ยวกับกรณีพิพาทในคาบสมุทรเกาหลี และการเลือกตั้งในมาเลเซีย เริ่มหมดไป

หากมองในระยะยาว เงินบาทที่โน้มแข็งค่าขึ้นนับตั้งแต่หลังวิกฤตการเงินไทยปี 2540 สอดคล้องกับพัฒนาการที่ดีขึ้นเป็นลาดับของเศรษฐกิจไทย เศรษฐกิจที่เติบโตดี ส่งออกสินค้าและบริการไปต่างประเทศได้มากขึ้น มีศักยภาพในการผลิตสูงขึ้น ได้ดึงดูดเงินลงทุนจากต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง สะท้อนความเชื่อมั่นที่นักลงทุนมีต่อเศรษฐกิจไทย แต่ก็เป็นแรงกดดันให้เงินบาทปรับแข็งค่าขึ้น อย่างไรก็ดี การแข็งค่าของเงินบาทก็มีส่วนช่วยให้คนไทยซื้อสินค้าและบริการจากต่างประเทศและใช้น้ามันในราคาที่ถูกลง ช่วยให้เอกชนไทยลงทุนในต่างประเทศได้ด้วยต้นทุนที่ลดลง และช่วยลดภาระหนี้ต่างประเทศไทยอีกทางหนึ่งด้วย แม้ค่าเงินบาทจะมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง ผู้ประกอบการไทยก็ได้ปรับตัว โดยการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต ขยายตลาดสินค้าส่งออก ตลอดจนใช้เครื่องมือทางการเงินเพื่อป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งมีส่วนสาคัญในการช่วยลดทอนผลกระทบของค่าเงิน และทาให้ภาคการส่งออกของไทยยังขยายตัวได้ดีและเพิ่มส่วนแบ่งในตลาดโลกได้ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา

ในภาวะปัจจุบันที่ประเทศหลัก เช่น สหรัฐฯ ยุโรป และญี่ปุ่น ดาเนินนโยบายอัดฉีดสภาพคล่องเพื่อแก้ปัญหาเศรษฐกิจในประเทศ ทาให้นักลงทุนย้ายมาลงทุนในประเทศที่มีการเติบโตดีและให้ผลตอบแทนสูงกว่า ตามที่กล่าวข้างต้น ส่งผลให้ค่าเงินในภูมิภาคมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น หากค่าเงินบาทเคลื่อนไหวตามกลไกตลาดไปในทิศทางที่สอดคล้องกับภูมิภาคและพัฒนาการของเศรษฐกิจไทย ก็ถือเป็นเรื่องที่เหมาะสม เพราะในภาวการณ์ที่ว่านี้ การฝืนไม่ให้ค่าเงินเคลื่อนไหวตามกลไกตลาดจะทาให้ความสามารถในการแข่งขันของประเทศในระยะยาวลดลง เพราะภาคธุรกิจอาจขาดแรงจูงใจในการปรับตัวตามสภาวะแวดล้อมที่เกิดขึ้นจริง ไม่ได้ใช้โอกาสในการลงทุนและปรับปรุงประสิทธิภาพในการผลิตอย่างเต็มที่ ในขณะที่คู่แข่งปรับตัวอย่างต่อเนื่อง

การแข็งค่าของเงินบาทในช่วงต้นปีนี้ แม้จะส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออกแต่คาดว่าจะไม่ส่งผลกระทบรุนแรงต่อแนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจโดยรวมมากนัก โดยในไตรมาสแรก ทั้งมูลค่าและปริมาณการส่งออกยังขยายตัวได้ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้า และจากข้อมูลเบื้องต้นของเดือนเมษายนที่เงินบาทแข็งค่าขึ้นเร็ว ธุรกิจที่บริหารจัดการความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนได้ดีก็ยังสามารถรองรับผลจาก การแข็งค่าของเงินบาทได้ ทั้งนี้ จากการหารือเพื่อประเมินผลกระทบจากการแข็งค่าของเงินบาทต่อเศรษฐกิจระหว่างสานักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) สานักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) และ ธปท. ภายใต้สมมติฐานการแข็งค่าของเงินบาทที่ระดับต่างๆ ได้ผลที่ค่อนข้างสอดคล้องกัน โดยพบว่าในกรณีเลวร้าย คือ สมมติให้ค่าเงินบาทแข็งค่าเร็วมากต่อเนื่องในช่วงที่เหลือของปี ถึงแม้จะทาให้การขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในปีนี้ปรับลดลงบ้าง แต่ก็ยังอยู่ในระดับใกล้เคียงกับระดับศักยภาพ ซึ่งไม่มีสัญญาณบ่งชี้ว่าการแข็งค่าของค่าเงินจะทาให้เศรษฐกิจหดตัวลงมากถึงขั้นวิกฤตแต่อย่างใด

จากการศึกษาพบว่า การส่งออกของไทยขึ้นอยู่กับภาวะเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าเป็นหลัก (รูปที่ 1: ความสัมพันธ์ระหว่างมูลค่าการส่งออก อัตราแลกเปลี่ยน และเศรษฐกิจประเทศคู่ค้า) ส่วนหนึ่งเป็นเพราะความสามารถในการแข่งขันด้านคุณภาพของผู้ผลิตบางส่วน ที่ช่วยลดผลกระทบของค่าเงินแข็งต่อการขายสินค้า แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ารายได้ของผู้ส่งออกเมื่อแปลงเป็นเงินบาทย่อมจะมีมูลค่าน้อยลง ประกอบกับการที่ผู้ส่งออกของไทยส่วนใหญ่ไม่มีอานาจต่อรองราคาในรูปดอลลาร์สหรัฐฯ ทาให้กาไรและสภาพคล่องในรูปเงินบาทของผู้ส่งออกลดลงได้ การตั้งราคาซื้อขายสินค้าในรูปสกุลเงินต่างประเทศก็อาจทาได้ยากภายใต้สถานการณ์ที่ค่าเงินมีความผันผวนสูง

ธปท. ตระหนักดีว่า ภาคธุรกิจขนาดเล็กที่มีศักยภาพจากัดย่อมได้รับผลกระทบมากกว่าธุรกิจ ขนาดใหญ่ ทางการจึงควรต้องมีมาตรการเยียวยาที่เจาะจงเฉพาะกลุ่ม เช่น การช่วยเหลือด้านสภาพคล่อง และการค้าประกันสินเชื่อให้กับผู้ประกอบการขนาดเล็ก เพื่อช่วยให้ภาคเอกชนสามารถปรับตัวได้อย่างราบรื่นและยั่งยืนในการรับมือกับแนวโน้มค่าเงินบาท รวมทั้งผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างที่สาคัญ ด้านอื่นๆ โดยเฉพาะการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่า และปัญหาการขาดแคลนแรงงาน ซึ่งในส่วนนี้ ธปท. ได้ดาเนินการผลักดันมาตรการเพื่อช่วยเหลือผู้ส่งออก ทั้งในด้านการผ่อนผันเกณฑ์การถือครองเงินตราต่างประเทศเพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นในการบริหารรายรับและรายจ่ายสกุลเงินต่างประเทศ และการพิจารณา แนวทางการค้าประกันธุรกรรมซื้อขายอัตราแลกเปลี่ยนล่วงหน้าของผู้ประกอบการรายเล็กร่วมกับบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหรรมขนาดย่อม (บสย.) เป็นต้น

อย่างไรก็ดี ในระยะนี้ที่ภาวะตลาดการเงินโลกมีความผันผวนมาก อาจทาให้ค่าเงินบาทเปลี่ยนแปลงรวดเร็วและเบี่ยงเบนจากระดับที่สอดคล้องกับปัจจัยพื้นฐานได้ในบางช่วง ธปท. ตระหนักถึงความจาเป็นที่ทางการต้องมีมาตรการดูแล เพื่อป้องกันไม่ให้ค่าเงินบาทมีความผันผวนมากเกินไปจนเกิดความเสียหายรุนแรงต่อเศรษฐกิจ

ธปท. มีการติดตามสถานการณ์ค่าเงินบาทและเงินทุนเคลื่อนย้ายอย่างใกล้ชิด ตลอดจนประเมินผลกระทบต่อเศรษฐกิจจากข้อมูลทั้งเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพและรายงานให้ กนง. ทราบโดยละเอียดอย่างต่อเนื่อง กนง. ซึ่งมีหน้าที่ในการดูแลให้อัตราเงินเฟ้อและการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทเหมาะสมกับสถานการณ์และเอื้อให้เศรษฐกิจเติบโตอย่างยั่งยืนและมีดุลยภาพ ได้มีการพิจารณาใช้เครื่องมือบริหารจัดการอัตราแลกเปลี่ยนที่เป็นระบบ โดยคานึงถึงประสิทธิผลของเครื่องมือ ตลอดจนผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากการดาเนินการต่างๆ

ทั้งนี้ หาก กนง. ประเมินว่าการเคลื่อนไหวของเงินบาทมีความผันผวนผิดปกติ จนอาจส่งผลกระทบทาให้เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มที่อาจจะไม่สามารถเติบโตได้ตามศักยภาพ กนง. ก็พร้อมที่จะพิจารณาทบทวนอัตราดอกเบี้ยนโยบาย และพิจารณาความจาเป็นในการใช้มาตรการเสริมเข้าดูแล รวมถึงประสาน การใช้มาตรการอื่นๆ ภายใต้อานาจกระทรวงการคลัง โดยจะพิจารณาความเข้มของมาตรการตามความจาเป็นและเหมาะสมของสถานการณ์ ทั้งนี้ การใช้มาตรการดูแลเงินทุนไหลเข้านั้น จาเป็นต้องใช้ความรอบคอบและระมัดระวัง เพราะอาจส่งผลข้างเคียง ทั้งผลทางจิตวิทยาที่อาจทาให้เกิดความผันผวนระยะสั้นในตลาดเงิน ตลอดจนผลต่อปริมาณเงินทุนและต้นทุนการกู้เงินของประเทศในระยะยาว


สาหรับประเด็นที่มีความเข้าใจคลาดเคลื่อนว่าสถานการณ์ในปัจจุบันอาจนาไปสู่วิกฤตเศรษฐกิจเหมือนที่เคยเกิดขึ้นในปี 2540 นั้น ธปท. ขอชี้แจงว่าสถานการณ์และปัจจัยแวดล้อมในปัจจุบันแตกต่างกับในช่วงก่อนเกิดวิกฤตครั้งก่อนโดยสิ้นเชิง ซึ่งทาให้โอกาสที่จะเกิดวิกฤตเศรษฐกิจการเงินเช่นในอดีตมีน้อยมาก

ประการแรก การใช้ระบบอัตราแลกเปลี่ยนแบบยืดหยุ่นในปัจจุบัน แทนระบบอัตราแลกเปลี่ยนแบบคงที่ ทางการไม่จาเป็นต้องรักษาระดับอัตราแลกเปลี่ยนไว้ที่ระดับใดระดับหนึ่ง แต่สามารถปล่อยให้ค่าเงินเคลื่อนไหวในระดับที่สอดคล้องกับพื้นฐานทางเศรษฐกิจของประเทศ ดังนั้น จึงไม่มีโอกาสที่จะถูกโจมตีค่าเงินเช่นในอดีต

ประการที่สอง เศรษฐกิจไทยในปัจจุบันมีโครงสร้างที่แข็งแกร่งกว่าในอดีตมาก ทาให้ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อเสถียรภาพทางการเงินจากการเปลี่ยนแปลงค่าเงินลดลงไปมาก เนื่องจาก (1) การกู้เงินตราต่างประเทศเพื่อใช้จ่ายและลงทุนในประเทศของภาคเอกชนลดลงมากเมื่อเทียบกับช่วงก่อนวิกฤตปี 2540 สะท้อนจากระดับหนี้ต่างประเทศของภาคเอกชนที่ลดลงจากร้อยละ 65 ของ GDP ในช่วงก่อนเกิดวิกฤต เหลือเพียงร้อยละ 35 ในปัจจุบัน ประกอบกับการบริหารจัดการความเสี่ยงของภาคเอกชนที่ระมัดระวังมากขึ้น จึงทาให้ความเสี่ยงจากการที่สกุลเงินด้านสินทรัพย์และหนี้สินไม่ตรงกัน (currency mismatch) น้อยลงกว่าในอดีตมาก (2) สถานะด้านการค้าต่างประเทศของไทยในปัจจุบันอยู่ในเกณฑ์ดีต่อเนื่อง ต่างกับในช่วงก่อนวิกฤตที่ไทยประสบปัญหาการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดสูงถึงร้อยละ 8 ของ GDP ในปี 2539 และ (3) ระบบสถาบันการเงินในปัจจุบันมีฐานะการเงินที่แข็งแกร่งและมีเสถียรภาพมากกว่าในอดีต มีการบริหารจัดการความเสี่ยงอย่างเป็นระบบและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

ประการที่สาม ค่าเงินที่เคลื่อนไหวได้ตามกลไกตลาดภายใต้ระบบอัตราแลกเปลี่ยนปัจจุบัน สามารถทาหน้าที่เป็นกลไกอัตโนมัติในการรักษาสมดุลของระบบเศรษฐกิจ โดยหากเศรษฐกิจเติบโตได้ดีและมีเงินทุนไหลเข้ามาก ซึ่งทาให้ค่าเงินแข็งขึ้นจนเริ่มเกินกว่าระดับที่สอดคล้องกับปัจจัยพื้นฐาน ดุลบัญชีเดินสะพัดและเงินทุนไหลเข้าจะเริ่มชะลอลง นักลงทุนจะระมัดระวังในการนาเงินเข้ามาลงทุนมากขึ้น ซึ่งจะช่วยลดความร้อนแรงของเศรษฐกิจและลดแรงกดดันต่อค่าเงิน ในทางกลับกัน ในยามที่เศรษฐกิจอ่อนแอ ค่าเงินก็มักปรับอ่อนลงด้วย ช่วยกระตุ้นการส่งออก และเพิ่มแรงจูงใจในการลงทุนในสินทรัพย์ไทย ทาให้โดยรวมแล้วระบบเศรษฐกิจจะไม่เบี่ยงเบนไปจากจุดสมดุลมากหรือยาวนานนัก

ประการที่สี่ การที่ทางการไม่จาเป็นต้องแทรกแซงเพื่อรักษาระดับอัตราแลกเปลี่ยนไว้ที่ระดับใดระดับหนึ่ง ยังเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพของนโยบายการเงินที่มีอัตราดอกเบี้ยเป็นเครื่องมือในการดูแลเสถียรภาพเศรษฐกิจการเงินภายในประเทศอีกด้วย ต่างจากประเทศที่ใช้เป้าหมายอัตราแลกเปลี่ยนเช่นฮ่องกงหรือสิงคโปร์ที่จาเป็นต้องปล่อยให้อัตราดอกเบี้ยปรับตามประเทศหลัก ไม่สามารถใช้ดอกเบี้ยเพื่อดูแลเศรษฐกิจในประเทศที่มีความร้อนแรงในตลาดอสังหาริมทรัพย์ได้

ประเด็นที่สาม การดาเนินนโยบายอัตราดอกเบี้ย

อัตราดอกเบี้ยนโยบาย ซึ่งหมายถึงอัตราดอกเบี้ยระยะ 1 วัน เป็นเครื่องมือในการดูแลเสถียรภาพเศรษฐกิจการเงินระดับมหภาค การปรับขึ้นหรือลดอัตราดอกเบี้ยมีผลกว้างขวางต่อเศรษฐกิจทุกภาคส่วน เพราะนอกจากจะมีผลต่อเงินเฟ้อ ผ่านต้นทุนการกู้ยืมเพื่อการบริโภคและลงทุนแล้ว ยังมีผลต่อผลตอบแทนและพฤติกรรมของผู้ออมอีกด้วย

ระดับอัตราดอกเบี้ยนโยบายปัจจุบันที่ร้อยละ 2.75 ไม่ได้สูงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต และไม่ได้สูงกว่าหลายประเทศในภูมิภาคที่มีระบบการเงินคล้ายคลึงกับไทย (รูปที่ 2: อัตราดอกเบี้ยนโยบายของประเทศต่างๆ) และหากพิจารณาอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง (real interest rate) ซึ่งก็คืออัตราดอกเบี้ยหักด้วยอัตราเงินเฟ้อปัจจุบัน ของไทยก็อยู่ในระดับใกล้ศูนย์ (รูปที่ 3: อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงของประเทศต่างๆ) หมายถึง ประเทศไทยมีนโยบายการเงินที่ยังเอื้อต่อการใช้จ่ายและการขยายตัวทางเศรษฐกิจโดยรวม อย่างไรก็ดี บทเรียนจากวิกฤตเศรษฐกิจในต่างประเทศแสดงให้เห็นว่า อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงที่ต่าต่อเนื่องเป็นเวลานาน อาจส่งผลให้ประชาชนก่อหนี้มากขึ้น และผู้ออมเกิดแรงจูงใจนาเงินไปลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้นเพื่อหาผลตอบแทนที่สูงกว่า

ในปัจจุบันเริ่มมีสัญญาณความร้อนแรงอยู่บ้าง ทั้งในตลาดหุ้นและตลาดอสังหาริมทรัพย์ตาม หัวเมืองใหญ่ ขณะที่สินเชื่อภาคเอกชนยังขยายตัวสูง และหนี้ครัวเรือนเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยเฉพาะในระยะหลังที่เร่งขึ้นมากมาอยู่ที่ร้อยละ 78 ของ GDP ทาให้การพิจารณาใช้อัตราดอกเบี้ยเป็นเครื่องมือจาเป็นต้องมี ความระมัดระวังมากขึ้น เพื่อให้สามารถรักษาสมดุลในระบบเศรษฐกิจได้ในระยะปานกลางและระยะยาว

มาตรการดูแลเสถียรภาพเศรษฐกิจผ่านสถาบันการเงินหรือที่เรียกว่า macroprudential เพื่อลดความร้อนแรงในบางภาคธุรกิจ เป็นเครื่องมือที่อาจนามาใช้เสริมกับนโยบายอัตราดอกเบี้ยในการดูแลเศรษฐกิจได้ ซึ่งหากจะนาเครื่องมือนี้มาใช้กับธนาคารพาณิชย์ ก็ควรต้องพิจารณานามาใช้กับสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ ตลอดจนสถาบันอื่นๆ ที่มีการให้กู้ยืมเงินด้วย ซึ่งมีสัดส่วนการให้สินเชื่อประมาณ 1 ใน 3 ของปริมาณสินเชื่อทั้งระบบ เพื่อให้มาตรการมีประสิทธิผลอย่างเต็มที่

ทั้งนี้ นโยบาย macroprudential ควรนามาใช้เป็นเครื่องมือเสริมในกรณีที่นโยบายเศรษฐกิจมหภาคได้ทาหน้าที่ดูแลเศรษฐกิจอย่างเหมาะสมกับสถานการณ์แล้วเท่านั้น ไม่เช่นนั้นประสิทธิผลของเครื่องมือนี้ก็จะถูกลดทอนลงไป

ประเด็นที่สี่ การขาดทุนจากการดาเนินงานของ ธปท.

การขาดทุนจากการดาเนินงานเกิดขึ้นจากการดาเนินการตามพันธกิจของ ธปท. ในการดูแลเสถียรภาพของระบบเศรษฐกิจตลอดเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมา เพื่อให้เศรษฐกิจเติบโตตามศักยภาพได้อย่างยั่งยืนและมีเสถียรภาพ โดยเฉพาะในช่วงหลังวิกฤตการเงินโลกปี 2551 เศรษฐกิจโลกตกต่า ส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทยและการขยายตัวของเศรษฐกิจโดยรวม ธปท. จึงจาเป็นต้องบริหารจัดการค่าเงินบาทไม่ให้ผันผวนมากหรือแข็งค่าเร็วเกินไป โดยการซื้อเงินตราต่างประเทศ ทาให้มีการสะสมเงินสารองทางการเพิ่มขึ้นมาก และในการซื้อเงินตราต่างประเทศดังกล่าว หน้าที่ของธนาคารกลางโดยทั่วไปก็ต้องดูดซับ สภาพคล่องเงินบาทไปพร้อมๆ กัน เพื่อรักษาให้ปริมาณเงินในระบบเศรษฐกิจการเงินอยู่ในระดับที่เหมาะสมสอดคล้องกับระดับอัตราดอกเบี้ยนโยบาย

การทาหน้าที่ของธนาคารกลางเพื่อรักษาเสถียรภาพทางการเงินดังกล่าว เป็นแนวปฏิบัติของ ธนาคารกลางโดยทั่วไป โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยลดทอนผลกระทบต่อภาคเอกชนในภาวะที่ค่าเงินแข็งค่า และเป็นการยืดเวลาให้ภาคเอกชนได้มีการปรับตัว แต่ในอีกด้านหนึ่งก็มีต้นทุนต่องบดุลของธนาคารกลาง

ต้นทุนในส่วนแรกมาจากส่วนต่างระหว่างอัตราดอกเบี้ยรับและอัตราดอกเบี้ยจ่าย ในภาวะปัจจุบันที่อัตราดอกเบี้ยของประเทศหลักถูกกดลงให้ต่าผิดปกติเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ดอกเบี้ยรับจากสินทรัพย์ต่างประเทศที่ ธปท. ถือ จึงอยู่ในระดับที่ต่ามาก ในขณะที่ ธปท. มีภาระต้องจ่ายดอกเบี้ยในประเทศเพื่อ

ดูดซับสภาพคล่องส่วนเกินในระบบการเงินไทยในอัตราที่สูงกว่าและเป็นอัตราที่สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจไทยที่เติบโตได้ดี

ต้นทุนในส่วนที่สอง คือ ผลขาดทุนทางบัญชีจากการเปลี่ยนแปลงของค่าเงิน หากเงินบาทแข็งค่าขึ้นซึ่งสะท้อนเศรษฐกิจที่ขยายตัวได้ดี สินทรัพย์ต่างประเทศที่ ธปท. ถือไว้ยังคงมีมูลค่าในสกุลเงินตราต่างประเทศเท่าเดิม แต่เมื่อมีการตีราคาเป็นเงินบาท ก็จะมีมูลค่าที่ลดลง ทาให้เกิดผลขาดทุนทางบัญชี ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่หลายประเทศในภูมิภาคกาลังประสบเช่นกัน

ในภาวะที่ ธปท. มีผลขาดทุน แต่หากการดาเนินงานของ ธปท. ยังเป็นที่เชื่อถือและ ธปท. สามารถอธิบายสาเหตุของการขาดทุนให้สาธารณชนเข้าใจและยอมรับได้ ผลขาดทุนของ ธปท. ก็จะไม่กระทบต่อความเชื่อมั่นและประสิทธิผลในการดาเนินนโยบายการเงิน แต่ในทางกลับกัน หากสาธารณชนเข้าใจผิดว่า ธปท. ไม่ทาหน้าที่ดูแลเศรษฐกิจในภาวะที่ประชาชนเดือดร้อน กรณีเช่นนี้ก็อาจก่อให้เกิดความสับสนและกระทบต่อความเชื่อมั่นและประสิทธิผลของนโยบายการเงินในการดูแลเสถียรภาพเศรษฐกิจได้

ทั้งนี้ ธปท. ตระหนักในภาระการขาดทุนจากการดาเนินงานดังกล่าว และได้วางแนวทางเพื่อลด การขาดทุนดังกล่าวและปรับปรุงฐานะการเงินของ ธปท. ให้เข้มแข็งขึ้น โดยได้ดาเนินการขยายประเภทสินทรัพย์ที่นาเงินสารองทางการไปลงทุนอย่างต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มโอกาสในการหาผลตอบแทน และขอเรียนเพิ่มเติมให้ประชาชนสบายใจได้ว่า เงินทุนที่หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน ได้เมตตารวบรวมบริจาคมานั้น ยังคงมีอยู่ครบถ้วนในบัญชีทุนสารองเงินตรา

ธปท. ขอให้ความมั่นใจกับประชาชนว่า ธปท. จะยังคงดาเนินการตามหลักการและมาตรฐานใน การดาเนินงานของธนาคารกลางที่เป็นที่ยอมรับตามหลักสากล โดยยึดมั่นต่อพันธกิจตามกฎหมายในการดูแลรักษาเสถียรภาพของเศรษฐกิจการเงิน และมุ่งทาหน้าที่อย่างเข้มแข็งเช่นที่เคยเป็นมา เพื่อการเติบโตที่ยั่งยืนของเศรษฐกิจและความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชนคนไทยสืบไป

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
//////////////////////////////////////////////////////////////