--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันพุธที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

คลังเตรียมถก ธปท. เล็งออกมาตรการเพ็คเกจ ดูแลค่าเงิน !!?


นายอารีพงศ์  ภู่ชอุ่ม ปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยถึงแนวทางในการดูแลค่าเงินบาทว่ากระทรวงการคลังเตรียมหารือธนาคารแห่งประเทศ (ธปท.) เพื่อพิจารณาออกมาตรการเป็นแพ็กเกจ แต่ทั้งนี้ต้องคำนึงถึงผลกระทบในหลายด้านด้วย

อย่างไรก็ดีหากคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีเครื่องมือใดที่พร้อมจะดูแลค่าเงินก็ให้ดำเนินการได้ ยกเว้นในกรณีของการใช้มาตรการภาษี ซึ่งเป็นอำนาจของกระทรวงการคลัง  ส่วนมาตรการกีดกันไม่ให้เงินทุนไหลเข้ามา ในลักษณะทำให้การเคลื่อนย้ายเงินทุนมีอุปสรรค กระทรวงการคลังมีความเห็นว่าขณะนี้ยังไม่มีประเทศไหนใช้และเป็นเรื่องละเอียดอ่อน หากใช้มาตรการดังกล่าว จะทำให้คนที่เข้ามาลงทุนในตลาดตราสารระยะยาวหนีออกไปแล้วจะมีผลกระทบต่ออัตราดอกเบี้ยระยะยาวสูงขึ้น

ปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวต่อว่าหากกนง.จะลดดอกเบี้ยนโยบายเพื่อชะลอการไหลเข้าของเงินทุน แต่ห่วงเรื่องฟองสบู่เศรษฐกิจ ก็เป็นความรับผิดชอบซึ่งธปท.สามารถดำเนินการโดยการออกมาตรการควบคุมสินเชื่อ ธนาคารพาณิชย์ได้อยู่แล้ว

ทั้งนี้กระทรวงการคลัง ได้ติดตามสถานการณ์ค่าเงินบาทอย่างต่อเนื่อง ที่ระดับ 29.5-29.6 บาทต่อดอลลาร์  ต่อความห่วงใยค่าเงินบาทของกระทรวงการคลังนั้น ปลัดกระทรวงการคลัง มองว่า สถานการณ์บาทแข็งอยู่ในระดับที่ทรงตัว ไม่ได้แข็งค่ามากเหมือนกับสถานการณ์ค่าเงินบาทแข็งที่ระดับ 28 บาทต่อดอลลาร์  และการบริหารค่าเงินบาท ก็ยังเป็นภาระหน้าที่ของ ธปท.  และจะต้องหารือมาตรการดูแลค่าเงินบาทที่ยังหารือกันและมีการรายงานต่อเนื่อง

นายอารีพงศ์ กล่าวด้วยว่า จากการประชุมเอดีบีในสัปดาห์ที่ผ่านมานี้  ต่างชาติยังให้ความสนใจและเห็นว่าประเทศไทย ยังมีศักยภาพที่ดี โดยเห็นโอกาสจากตราสารหนี้ของไทยให้ผลตอบแทนดีกว่ามาก ญี่ปุ่น สหรัฐ และยุโรป ที่ผลตอบแทนติดดิน  โดยเฉพาะฟันด์เมเนเจอร์ รีไทร์เม้นท์อินคัม  ที่ต้องการผลตอบแทนระยะยาว ที่ทำให้กองทุนมีรายได้ จึงเป็นประเด็นที่ว่า ความคิดของ ธปท.  ยังไม่แน่ใจว่า ถ้าลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายแล้ว จะทำให้อัตราดอกเบี้ยพันธบัตรระยะยาวลดลงจริงหรือไม่  เพราะว่าบางประเทศที่ใช้วิธีการนี้แล้ว แต่อัตราดอกเบี้ยพันธบัตรระยะยาวไม่ได้ลดลง

ขณะเดียวกันในที่ประชุมเอดีบีก็ได้ถามถึงประเด็นดังกล่าวต่อประเทศในภูมิภาคอาเซียนที่เงินแข็งค่าขึ้น คิดอย่างไรบ้าง โดยประเทศส่วนใหญ่ในภูมิภาคนี้ มองในทิศทางเดียวกันว่า ไม่ว่า ญี่ปุ่น สหรัฐฯ หรือยุโรป จะใช้มาตรการอะไรเข้ามาเพื่อทำให้เศรษฐกิจของประเทศกลับแข็งแรงขึ้นก็ตาม  จะทำให้เศรษฐกิจของทั้งโลกแข็งแรงขึ้นด้วย

 “ตอนนี้ไทยเข้าสู่มิติของโลกที่มีการเปลี่ยนแปลงสูง และวิธีการดังกล่าวในบางประเทศใหญ่ๆ ก็ยังไม่เคยมีประเทศใดดำเนินการมาก่อน  แต่ถ้าเมื่อญี่ปุ่นใช้มาตรการดังกล่าวแล้ว เศรษฐกิจญี่ปุ่นฟื้นตัวก็จะเป็นผลดีต่อประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคและการส่งออกจะฟื้นตัวด้วย แต่แน่นอนว่า จะทำให้ค่าเงินในภูมิภาคนี้แข็งค่าขึ้น

ที่มา.นสพ.ฐานเศรษฐกิจ
////////////////////////////////////////////////

วันอังคารที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

คลัง - ผู้ว่าธนาคารกลางอาเซียน รับเสี่ยงฟองสบู่ !!?


คลัง-ผู้ว่าธนาคารกลางอาเซียน+3 ยอมรับเอเชียเสี่ยงฟองสบู่-เงินทุนเคลื่อนย้ายผันผวน

นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะหัวหน้าคณะผู้แทนไทย พร้อมกับนายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ได้เข้าร่วมการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้ว่าการธนาคารกลางอาเซียน+3 ครั้งที่ 16 (ASEAN+3 Finance Ministers and Central Bank Governors’ Meeting: AFMGM+3) ณ กรุงนิวเดลี ประเทศอินเดีย

ที่ประชุมได้หารือร่วมกันเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจโลก สถานการณ์เศรษฐกิจในภูมิภาค และเศรษฐกิจของประเทศสมาชิก โดยเห็นว่าเศรษฐกิจในภูมิภาคอาเซียน+3 จะยังคงขยายตัวได้อย่างต่อเนื่องในปี 2556 ท่ามกลางความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก โดยการขยายตัวของเศรษฐกิจในภูมิภาคได้รับแรงสนับสนุนจากความแข็งแกร่งของอุปสงค์ภายในประเทศ สถาบันการเงิน และระบบการเงิน

อย่างไรก็ตาม ประเทศในภูมิภาคอาเซียน+3 ยังจะต้องเผชิญความท้าทายทางเศรษฐกิจจากความเสี่ยงของการขยายตัวทางเศรษฐกิจของจีน และปัญหาที่อาจเกิดขึ้นจากสภาพคล่องทางการเงินของโลกที่มีอยู่ในระดับสูง เนื่องจากการดำเนินนโยบายทางการเงินที่ผ่อนคลายของประเทศพัฒนาแล้ว เช่น ความเสี่ยงที่เกิดขึ้น จากการขยายตัวของสินเชื่อ ปัญหาฟองสบู่ และความผันผวนของเงินทุนเคลื่อนย้าย ซึ่งอาจส่งผลต่อเสถียรภาพทางการเงินของภูมิภาค

ทั้งนี้ ประเทศสมาชิกจะให้ความสำคัญต่อการดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจมหภาค ที่เหมาะสมกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ ตลอดจนยกระดับความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการเงิน เพื่อรักษาอัตราการเจริญเติบโตและเสถียรภาพทางเศรษฐกิจในภูมิภาค

ที่ประชุมได้หารือความคืบหน้าการแก้ไขความตกลงเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของกลไกความช่วยเหลือทางการเงินระหว่างกันของประเทศสมาชิกในภูมิภาคอาเซียน+3 หรือมาตรการริเริ่มเชียงใหม่ไปสู่การเป็นพหุภาคี (Chiang Mai Initiative Multilateralisation: CMIM) ที่กำหนดให้ (1) เพิ่มขนาดของ CMIM เป็น 2 เท่า จากเดิม 120 พันล้านเหรียญสหรัฐ เป็น 240 พันล้านเหรียญสหรัฐ (2) เพิ่มสัดส่วนการให้ความช่วยเหลือทางการเงินส่วนที่ไม่เชื่อมโยงกับเงื่อนไขการให้ความช่วยเหลือของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF Delinked Portion) เพื่อลดการพึ่งพากองทุนการเงินระหว่างประเทศ (International Monetary Fund: IMF) ในยามวิกฤต และ (3) การจัดตั้งกลไกให้ความช่วยเหลือช่วงก่อนเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ (Crisis Prevention Facility) เพื่อป้องกันวิกฤตเศรษฐกิจที่อาจจะเกิดขึ้นและป้องกันการลุกลามไปยังของประเทศสมาชิกอื่นๆ ในภูมิภาค ซึ่งภายหลังจากนี้ ประเทศสมาชิกจะดำเนินกระบวนการภายในประเทศเพื่อเข้าร่วมลงนามในความตกลง CMIM ฉบับแก้ไขนี้ โดยคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปี 2556 นี้

ที่ประชุมได้ติดตามการดําเนินงานของมาตรการริเริ่มพัฒนาตลาดพันธบัตรเอเชีย (Asian Bond Markets Initiative: ABMI) เพื่อสนับสนุนการพัฒนาตลาดพันธบัตรสกุลเงินท้องถิ่นของภูมิภาคอาเซียน+3 ให้มีความแข็งแกร่งและมีประสิทธิภาพ สามารถเป็นแหล่งระดมเงินทุนและเป็นทางเลือกในการออมของภูมิภาค

โดยมีประเด็นหลัก ได้แก่ 1) ความสำเร็จของกลไกการค้ำประกันเครดิตและการลงทุน (Credit Guarantee and Investment Facility: CGIF) ของภูมิภาคอาเซียน+3 ซึ่งบริษัทเอกชนที่ CGIF ให้การค้ำประกันเครดิตในการออกพันธบัตร ได้ออกพันธบัตรสกุลเงินบาทในประเทศไทยได้สำเร็จแล้ว เมื่อวันที่ 26 เม.ย. 2556 โดยมีมูลค่า 2,850 ล้านบาทหรือประมาณ 100 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งถือเป็นความสำเร็จครั้งสำคัญของความร่วมมือ

2) การให้ความเห็นการศึกษาความเป็นไปได้เรื่องการพัฒนาตลาดพันธบัตรเพื่อการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน (Fostering Infrastructure Financing Bonds Development) โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อสนับสนุนด้านการเงิน สำหรับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศสมาชิกอาเซียน+3 ซึ่งไทยได้กล่าวสนับสนุนการศึกษาดังกล่าว โดยเห็นว่าการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานมีความสำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนของภูมิภาค

นายกิตติรัตน์ฯ ได้หารือทวิภาคีกับ ผู้บริหารระดับสูงของสำนักงานเพื่อการพัฒนาแห่งสาธารณรัฐฝรั่งเศส โดยได้หารือเกี่ยวกับความเป็นไปได้ในการเข้ามามีส่วนร่วมของสำนักงานฯ เพื่อพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานของไทยโดยเฉพาะด้านระบบรถไฟที่จะพัฒนาภายใต้ "ไทยแลนด์ 2020" และ ผู้บริหารระดับสูงของบริษัทหลักทรัพย์ไดวะ (Daiwa Securities) โดยหารือเกี่ยวกับสถานการณ์ค่าเงินเยนของญี่ปุ่น ความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างญี่ปุ่นกับไทยและแนวทางการร่วมมือเพื่อพัฒนาอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
////////////////////////////////////////////////

ปรีดิยาธร : รับ ธปท.ดูแลค่าเงินบาทช้า !!?


ปรีดิยาธร ยอมรับแบงก์ชาติดูแลค่าบาทช้าบางจังหวะ แต่ขณะนี้ถือว่าเงินบาทอยู่ระดับน่าพอใจ ค้านลดดอกเบี้ย ชี้ไม่ช่วยชะลอเงินไหลเข้า

การประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ประกอบด้วย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (สอท.) สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย วันนี้ (7 พ.ค.) โดยมีนายพยุงศักดิ์ ชาติสุทธิผล ประธานสอท.ทำหน้าที่เป็นประธาน โดยก่อนประชุม ได้เชิญ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล อดีตผู้ว่าการ ธปท. มาบรรยายถึงทิศทางของค่าเงินบาทว่าจะเป็นอย่างไรบ้าง

ม.ร.ว.ปรีดิยาธร บอกว่า ได้อธิบายภาพรวมถึงสถานการณ์ค่าเงินบาท เพื่อไม่ให้ผู้ประกอบการตื่นตระหนกกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยยอมรับว่าที่ผ่านมา ธปท.เข้าไปดูแลค่าเงินบาทช้าเกินไปในบางจังหวะ เหมือนสมัยที่ตัวเองเป็นผู้ว่าธปท. ปี 2549 และยุคนางธาริษา วัฒนเกส อดีตผู้ว่า ธปท. เมื่อปี 2553 และล่าสุดเดือน ม.ค.2556 ที่ นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการ ธปท. ทำได้ช้าทำให้เงินบาทแข็งค่าแตะระดับ 28 บาทต่อดอลลาร์

ปัจจุบัน ธปท.ถือว่าดูแลเงินบาทได้ดี เห็นได้จากเงินบาทอ่อนค่าลง ซึ่งระดับปัจจุบันถือว่าเป็นระดับที่เหมาะสมและสบายใจ ส่วนการเรียกร้องให้ลดดอกเบี้่ยนโยบายนั้น เห็นว่าการลดดอกเบี้ยไม่ช่วยชะลอเงินทุนไหลเข้า โดยค่าเงินบาทเช้าวันนี้อยู่ที่ 29.55 บาทต่อดอลลาร์

ม.ร.ว.ปรีดิยาธร ยังบอกถึงกรณีที่มีข่าวว่าผู้ว่าธปท.ได้หารือร่วมกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในต่างประเทศ และมีข้อสรุปร่วมกันถึงมาตรการดูแลค่าเงินบาทนั้นถือว่าเป็นสัญญาณที่ดี เพราะการดูแลอัตราแลกเปลี่ยนทั้งสองหน่วยงานต้องร่วมมือกัน

ทั้งนี้ ค่าเงินบาทตั้งแต่ปี 2554 จนถึงปัจจุบัน เคลื่อนไหวแข็งค่าขึ้นประมาณ 6.5% ซึ่งถือว่าเป็นระดับที่ใกล้เคียงภูมิภาค เช่นมาเลเซีย แข็งค่าเกือบ 6% และสิงคโปร์ 5%

อย่างไรก็ตาม วันพรุ่งนี้  นายอิสระ ว่องกุศลกิจ ประธานสภาหอการค้าฯพร้อมคณะกรรมการจะเข้าพบกับผู้ว่าการ ธปท. เพื่อหารือถึงสถานการณ์ค่าเงินบาท และขอคำแนะนำในการปรับตัวของผู้ประกอบการ

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
//////////////////////////////////////////////

วันจันทร์ที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

14-20 พ.ค.56 ประชุมน้ำโลก..ที่เชียงใหม่ !!?


ใน ช่วงวันที่ 14-20 พฤษภาคมนี้ จังหวัดเชียงใหม่ได้รับเลือกให้เป็นสถานที่จัดการประชุมระดับผู้นำด้านน้ำ แห่งภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ครั้งที่ 2 The 2nd Asia-Pacific Water Summit (2nd APWS) ภายใต้หัวข้อเรื่อง ความมั่นคงด้านทรัพยากรน้ำ ณ ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติเฉลิมพระเกียรติ 7 รอบพระชนมพรรษา จังหวัดเชียงใหม่

หัวข้อหลักของการประชุมมีทั้งหมด 7 หัวข้อ คือ 1.ความมั่นคงด้านน้ำ อาหาร และเศรษฐกิจ 2.ความมั่นคงด้านน้ำเพื่อชุมชนเมือง 3.ความมั่นคงด้านน้ำเพื่อสิ่งแวดล้อม 4.ความมั่นคงด้านน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภคในครัวเรือน 5.ความเสี่ยงจากภัยพิบัติด้านน้ำและการรับมือ 6.การจัดการน้ำเชิงบูรณาการเพื่อโลกแห่งความมั่นคงด้านน้ำ 7.ความท้าทายจากภัยพิบัติด้านน้ำ

โดยงานนี้จะมีผู้นำและเจ้าหน้าที่ อาวุโสของประเทศในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก เข้าร่วมประชุมถึง 49 ประเทศ มีผู้เข้าร่วมประชุมพร้อมผู้ติดตามราว 3,000 คน

นายจักรกฤษณ์ ศรีวลี รองอธิบดีกรมสารนิเทศ เปิดเผยว่า มีประมุขของรัฐและหัวหน้ารัฐบาลตอบรับเข้าร่วมการประชุมแล้ว 9 ประเทศ และระดับผู้แทนอีก 12 ประเทศ ซึ่งจะเริ่มทยอยเข้ามาเรื่อย ๆ

เมื่อ สิ้นสุดการประชุมแล้วจะร่วมกันรับรอง "ปฏิญญาเชียงใหม่" (Chiang Mai Declaration) ซึ่งจะย้ำเจตนารมณ์ทางการเมืองให้ประเทศในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ตระหนักถึงความสำคัญในการส่งเสริมความร่วมมือด้านการจัดการทรัพยากรน้ำใน ภูมิภาคอย่างใกล้ชิด

นายธานินทร์ สุภาแสน ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวว่า จังหวัดเชียงใหม่ได้เตรียมความพร้อมอย่างเต็มที่ทั้งการตกแต่งเมือง การปรับปรุงสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ ๆ การรักษาความปลอดภัย ระบบขนส่งจราจร และการจัดแสดงสินค้า OTOP ของชุมชนภายในศูนย์ประชุม

ขณะที่ พล.ต.ท.สุเทพ เดชรักษา ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 กล่าวว่า จะมีการปิดถนนบางสายเพื่อความคล่องตัวของผู้เข้าร่วมประชุม ขณะที่ระบบรักษาความปลอดภัยจะอยู่ในขั้นสูงสุด เพราะบางประเทศที่เดินทางมาเป็นผู้นำระดับกษัตริย์ โดยได้จัดกำลังตำรวจ 2,500 นาย และจะใช้รถสี่ล้อแดงเป็นหลักในการรับส่งผู้เข้าร่วมประชุม

ดร.ศรา วุฒิ ศรีศกุน ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาพิงคนคร (องค์การมหาชน) เปิดเผยว่า การประชุมเรื่องน้ำเป็นอีเวนต์ใหญ่ และอีเวนต์แรกของศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติจังหวัดเชียงใหม่ ขณะนี้มีความพร้อมสมบูรณ์ที่จะให้บริการในทุกส่วน ซึ่งสำนักงานพัฒนาพิงคนครได้เตรียมพร้อมทั้งระบบโครงสร้างพื้นฐานและ สาธารณูปโภค อาทิ เตรียมน้ำสำรอง 3,500 ลูกบาศก์เมตรกรณี

น้ำประปาปกติขัดข้อง รวมถึงระบบไฟฟ้าสำรอง ระบบไอที ตู้กดเงินอัตโนมัติ และจุดรับแลกเปลี่ยนเงิน เป็นต้น

ด้าน นายภูณัช ธนาเหล่าพานิช นายกสมาคมโรงแรมไทย (ภาคเหนือตอนบน) กล่าวว่า มีโรงแรมที่เป็นสมาชิกของสมาคมเข้าร่วมให้บริการกว่า 30 แห่ง โดยเตรียมห้องพักโรงแรมระดับ 5 ดาว และ 4 ดาวไว้จำนวนกว่า 3,000 ห้อง เพื่อรองรับผู้เข้าร่วมประชุมและผู้ติดตามที่คาดว่าจะเดินทางเข้ามา เชียงใหม่เกือบ 3,000 คน

การประชุมครั้งนี้จะช่วยส่งเสริมการท่อง เที่ยวของเชียงใหม่ในภาพรวมได้เป็นอย่างดี ทั้งโรงแรม ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยว เช่น ร้านอาหาร สถานที่ท่องเที่ยว ร้านขายของที่ระลึก ฯลฯ คาดว่าจะมีเงินสะพัดมากกว่า 200 ล้านบาท

การ ประชุมครั้งนี้จะเป็นการพิสูจน์ฝีมือของผู้บริหารศูนย์ประชุมและแสดงสินค้า นานาชาติจังหวัดเชียงใหม่ ที่จะได้เปิดฉากต้อนรับงานยักษ์ และยังจะมีอีเวนต์ใหญ่ ๆ ตามมาอีก และจังหวัดเชียงใหม่ที่พร้อมจะเป็นศูนย์กลางการประชุมและแสดงสินค้านานาชาติ ในกลุ่มประเทศอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงและเอเชียใต้อย่างเต็มระบบแล้ว

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
//////////////////////////////////////////////////////////////////

วอน ธปท - คลัง ยุติศึก กิตติรัตน์ รับ 2 มาตรฐาน กนง.คุมค่าเงินบาท รูดไร้ทิศทาง !!?

รมว.คลังรับ 2 มาตรการ กนง.ยุติศึก หวั่นเฮดจ์ฟันด์ยกระดับโจมตีบาท ด้านส.อ.ท.เดินสายไม่หยุดเข้าทำเนียบเสนอ 5 ข้อ ยํ้าเร่งแก้ด่วน หอการค้าวอน 2 หน่วยงานยุติศึก ชี้ส่งผลกระทบความเชื่อมั่น นักลงทุนถอยจากตลาดรอดูสถานการณ์ เปิด 5 มาตรการ แบงก์ชาติชงรับมือบาทแข็ง ไม่ยอมแตะดอกเบี้ยอาร์/พี ทำความอดทนคลัง ขาดผึง "โกร่ง" ร้องนายกฯปูดูแลด้วยตนเอง
 
ความขัดแย้งคลังกับแบงก์ชาติ จากความเห็นต่างในมาตรการดูแลค่าบาท บานปลายเป็นวิกฤติความเชื่อมั่นแล้ว เมื่อกระแสข่าวปลดนายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)ยังลือกระฉ่อนไม่หยุด โดยทั้งนายวีรพงษ์ รามางกูร ประธานคณะกรรมการธปท. และนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกฯและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง แสดงตนชัดเจนว่าต้องการเปลี่ยนตัวผู้ว่าการธปท. เพียงแต่ยังเกี่ยงว่าเป็นอำนาจของใคร นั้น

-แก้บาท รอ นายกฯปู
 
ที่ผ่านมา นายวีรพงษ์ รามางกูร ประธานบอร์ดธปท. ได้เปิดแถลงที่ทำเนียบรัฐบาล วิจารณ์การทำงานของผู้ว่าการ ธปท. และคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.)อย่างหนักว่า ทำให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรง แต่ก็ยอมรับว่าไม่สามารถเข้าไปก้าวก่ายการทำงานของคณะกรรมการในธปท.ได้  "คงต้องฝากท่านนายกรัฐมนตรีให้เข้ามาดูแล ส่วนที่ครม.อาจจะมีอำนาจหน้าที่ในการถอดถอนผู้ว่าการธปท.ได้ ก็ไม่อยากให้ไปถึงขั้นนั้น"
 
ขณะที่ภาคเอกชนเดินสายต่อร้องทางการเร่งแก้บาทแข็ง โดยเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคมที่ผ่านมา นายพยุงศักดิ์ ชาติสุทธิผล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) พร้อมด้วยกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ อาหาร และสิ่งทอ เข้าพบนายกฯ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร หลังจากที่ไปพบผู้ว่าการ ธปท. มาก่อนแล้ว
 
เพื่อยื่นหนังสือเสนอ 5 มาตรการแก้ปัญหาค่าเงินบาท  พร้อมระบุว่า แม้ค่าเงินบาทในตอนนี้อ่อนค่าลง แต่ก็มีแนวโน้มจะแข็งค่าต่อเนื่อง  ขณะที่ผลกระทบที่เกิดขึ้นกับภาคอุตสาหกรรม ได้ขยายวงกว้างครอบคลุมทุกระดับแล้ว เห็นได้จากหลายธุรกิจสั่งซื้อสินค้าจากต่างประเทศ ทดแทนสินค้าในประเทศแล้ว และคาดว่ามูลค่าการส่งออกที่ลดลง เห็นได้ชัดเจนในไตรมาส 2 และ 3 ทำให้ทั้งปีนี้การส่งออกจะขยายตัวเพียง 4-5% หรือครึ่งหนึ่งของเป้าที่ตั้งไว้ 8-9%  
 
ด้านนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ยอมรับว่า ภาครัฐกังวลถึงสถานการณ์อัตราแลกเปลี่ยนที่แข็งค่าขึ้น เพราะกลัวว่าเงินทุนที่ไหลเข้ามาจำนวนมาก จะไม่ได้ลงสู่ระบบเศรษฐกิจที่แท้จริง แต่เป็นการเข้าไปเก็งกำไรในตราสารหนี้ ซึ่งหลังจากนี้ก็จะเร่งไปหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งกระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และเร่งเดินหน้าโครงการลงทุน 2 ล้านล้านบาท ซึ่งจะเป็นการนำเงินบาทมาใช้ในการลงทุน เพื่อลดแรงกดดันปัญหาเงินบาทแข็งค่า

-วิวาทะหนัก"หนุน-ปลด"ประสาร
 
ส่วนเรื่องการปลดผู้ว่าการ ธปท.กลายเป็นประเด็นร้อนที่มีการแสดงความคิดเห็นตอบโต้กันอย่างกว้างขวาง มีทั้งที่สนับสนุนจุดยืนของฝ่ายการเมือง-รัฐบาล ที่เห็นว่าต้องเปลี่ยนตัวผู้ว่าการ ธปท. และที่เห็นคัดค้าน อาทิ นายพรายพล  คุ้มทรัพย์ อดีตบอร์ดกนง.กล่าวว่า ส่วนตัวมองไม่ควรปลด เพราะยังไม่เห็นมีรายละเอียดอะไรที่เป็นความผิดร้ายแรงในการทำหน้าที่ของผู้ว่าการ ธปท.ถ้าจะปลดต้องอธิบายเหตุผลให้ชัด   ถ้าตอบไม่ได้แปลว่า"มั่ว"
 
อย่างไรก็ตาม ในที่สุดกระทรวงการคลังอาจจะบรรลุเป้าหมายในการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย และปลดผู้ว่าการธปท.  ถ้ามีการปลดผู้ว่าการธปท. ย่อมทำให้ภาพรวมของประเทศไทยไม่ดีแน่ และเชื่อว่าจะตามมาด้วยการสรรหาผู้ว่าการ ธปท.คนใหม่ และการวางคนใหม่ให้บอร์ดกนง.ใหม่ว่านอนสอนง่าย
 
ขณะเดียวกันนายพรายพลยังได้แนะนำให้มองรอบด้าน ถึงกรณีที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย  เพราะการลดอาร์/พีไม่ใช่มีผลเพียงสกัดกั้นเงินทุนไหลเข้าเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบกับผู้ออมเงิน หรือผู้ลงทุน และปัจจัยอื่นที่ต้องคำนึงด้วย (อ่านประกอบล้อมกรอบ)

-วอนยุติความขัดแย้ง
 
ความขัดแย้งที่บานปลายนี้ส่งผลให้ภาคเอกชนกังวลหนัก โดยนายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการบริษัทศรีไทยซุปเปอร์แวร์ จำกัด (มหาชน) ในฐานะรองประธานกรรมการหอการค้าไทย กล่าวว่า หากธปท.และรัฐบาลขัดแย้งกัน จะทำให้นักธุรกิจไม่เชื่อมั่น โดยเห็นได้จากข่าวปลดผู้ว่าการ ธปท. ทำให้เช้าวันที่ 23 เมษายนที่ผ่านมา เงินบาทอ่อนค่ามาอยู่ที่ 29.65 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ จากที่แข็งค่าขึ้นไปแตะที่กว่า 27 บาท
 
ข่าวเช่นนี้เป็นเรื่องไม่ดี เพราะนักลงทุนต่างประเทศกำลังเฝ้ามองข่าวที่เกิดขึ้นอยู่ ว่าจะแก้ปัญหาเงินทุนไหลเข้าจำนวนมากนี้อย่างไร และภาคเอกชนก็เห็นว่า รัฐบาลและธปท.ควรทำงานไปในทิศทางเดียวกัน โดยต่างฝ่ายต่างใช้กลไกที่มีในการเข้ามาจัดการเงินที่ไหลเข้ามาเก็งกำไร เชื่อว่าถ้ามีเอกภาพในการทำงานร่วมกัน จะดูแลค่าเงินบาทให้มีเสถียรภาพได้"
 
ทั้งนี้ ในวันศุกร์ที่  3 พฤษภาคมที่ผ่านมา  เงินบาทอยู่ที่ระดับ 29.56 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ปรับตัวอ่อนค่าลงต่อเนื่อง จากวันก่อนหน้าที่ 29.42 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ และเมื่อวันศุกร์ที่ 26 เมษายนที่ผ่านมา อยู่ที่ 28.61 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุ เงินบาทอ่อนค่าลงจากแรงซื้อดอลลาร์สหรัฐฯต่อเนื่องท่ามกลางความกังวลต่อท่าทีของทางการ ในการดูแลความเคลื่อนไหวของเงินบาท  นอกจากนี้นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิหุ้น และพันธบัตรไทยเป็นปัจจัยกดดันเงินบาทด้วย

-5มาตรการธปท.จุดแตกหักคลัง
 
ความขัดแย้งคลัง-แบงก์ชาติ มาถึงจุดแตกหัก เมื่อนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกฯและรมว.คลัง ได้รับหนังสือตอบกลับจากผู้ว่าการ ธปท. ตอบข้อถามถึงสถานการณ์และการแก้ปัญหาค่าบาท โดยก่อนหน้านี้มีท่าทีว่าทั้งสองหน่วยงานจะร่วมมือกันดูแล  โดยหนังสือธปท.ระบุได้เตรียมมาตรการ 5 ข้อดูแลค่าเงินบาทในสถานการณ์ความรุนแรงระดับต่าง ๆ โดยไม่ระบุการลดอัตราดอกเบี้ยอาร์/พีอย่างที่คลังต้องการเลย
 
แหล่งข่าวกระทรวงการคลัง เปิดเผย"ฐานเศรษฐกิจ"ว่า มาตรการ 5 ข้อของธปท.ดังกล่าว ประกอบด้วย  1.กันสำรองเงินทุนนำเข้าจากต่างประเทศ (เคยใช้ปี 2549 กันสำรอง 30%)  2.การประกันความเสี่ยงเต็มจำนวน(Fully Hedge) 3.กำหนดระยะเวลาการถือครองพันธบัตรไม่น้อยกว่า 6 เดือน 4.ภาษีหัก ณ ที่จ่ายจากดอกเบี้ยและกำไรในการลงทุนพันธบัตร(Withholding Tax อัตราภาษี 15%) 5.ภาษีที่จัดเก็บจากธุรกรรมการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ (Tobin Tax)
 
แหล่งข่าวรายเดิมกล่าวว่า เมื่อรัฐบาลรับรู้เช่นนี้จึงสั่งเบรก และตีกลับไปให้พิจารณาอย่างรอบคอบอีกครั้ง รวมถึงมีการสอบถามถึงอำนาจในการปลดผู้ว่าการ ธปท. จนนำไปสู่ข่าวลือในตลาดหุ้น  ทำให้นักลงทุนต่างชาติต้องถอยเพื่อตั้งหลัก รอดูว่ารัฐบาลและธปท.จะทำอย่างไรต่อไป ซึ่งทำให้เงินบาทอ่อนค่าลงเล็กน้อย เท่ากับว่างานนี้ยังไม่มีใครต้องออกมาตรการอะไรมาสกัดเงินทุนไหลเข้า ค่าบาทได้อ่อนลงแล้วแต่เกิดจากวิกฤติความเชื่อมั่นในการบริหารนโยบายของรัฐ ที่ยังคาราคาซังอยู่จนถึงตอนนี้

-โต้งรับ 2ข้อเสนอคุมเงินบาท
 
นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง เปิดเผยว่า ข้อเสนอของ ธปท.ที่สำคัญ 2 มาตรการ คือ1.การกำหนดให้นักลงทุนต่างชาติถือครองเงินบาทที่ลงทุนในตราสารหนี้ รวมถึงพันธบัตรของรัฐบาลและ ธปท.ตามระยะเวลาที่ ธปท.กำหนดและ2.การคิดค่าธรรมเนียมกับนักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในประเทศไทย
   
มาตราการที่ ธปท.ส่งมาให้กระทรวงการคลังรับทราบ มันกว้างมากๆ จึงถือว่า ยังไม่มีความชัดเจนใดๆ ที่จะออกมาตรการช่วงนี้ เพื่อดูแลค่าเงินบาทเพราะตัวผมเองก็ไม่รู้ว่า ธปท.จะนำมาตรการใดมาใช้ในเวลาไหนเพียงแต่ผู้ว่าการ ธปท.บอกว่า ขึ้นอยู่กับความเหมาะสม"

-หนุนคุมลงทุนระยะสั้น
 
นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานสภาธุรกิจตลาดทุนไทย เปิดเผยว่า ที่ประชุมสมาชิกสภาตลาดทุนได้หารือถึงสถานการณ์บาทแข็งแล้ว มีความเห็นร่วมกันว่า บาทแข็งเกิดจากนักลงทุนต่างชาติเข้ามาเก็งกำไรในตลาดตราสารหนี้ระยะสั้นของไทย จึงเสนอภาครัฐออกมาตรการจำกัดการเก็งกำไรของต่างชาติ ด้วยการห้ามนักลงทุนต่างชาติเข้าลงทันตราสารหนี้ระยะสั้นที่มีอายุไม่ถึง 6 เดือน เพราะการเก็งกำไรในตลาดตราสารหนี้ระยะสั้นดังกล่าว ถือเป็นต้นตอของปัญหาบาทแข็งในช่วงที่ผ่านมา
 
การจำกัดการเก็งกำไรในตราสารหนี้ระยะสั้นของนักลงทุนต่างชาติ เป็นการแก้ปัญหาที่ตรงจุดมากที่สุด เราไม่เห็นด้วยที่จะออกมาตรการที่กระทบความเชื่อมั่นเศรษฐกิจ ตลาดทุน และการลงทุนในตราสารหนี้ระยะยาว เพราะไทยยังต้องการเม็ดเงินระยะยาวมาลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน"
-แหยงเฮดจ์ฟันด์ยกระดับโจมตีเงินบาท
 
แหล่งข่าวจากสภาอุตสาหกรรมตั้งข้อสังเกตว่า  ความขัดแย้งคลัง-ธปท.เวลานี้  อาจทำให้นักเก็งกำไรฉวยจังหวะยกระดับโจมตีเงินบาท ซึ่งในที่สุดทำให้ธปท.ต้องงัดมาตรการเข้มข้น ให้กันสำรองเงินทุนนำเข้าจากต่างประเทศในอัตรา 30 % ซึ่งมาตรการดังกล่าวจะเป็นปัญหาในอนาคต เนื่องจากนักลงทุนไม่กล้าเข้ามา ยกเว้นเมืองไทยไม่ต้องการกู้เงินจากต่างประเทศแล้ว
 
ขณะเดียวกันยังมีความเป็นห่วงกรณีนักลงทุนรับทราบว่าเมืองไทยสนับสนุนเงินลงทุนโดยตรง(FDI) จึงเสนอให้มีการแยกบัญชี FDI ให้ชัด เพราะกลัวว่านักลงทุนจะฉวยโอกาสโยกเงินไปทำกำไร ก่อนจะโอนกลับเข้ามาในบัญชีFDI แต่จนถึงตอนนี้ทางธปท.ยังไม่แยกรายละเอียดนักลงทุนที่เข้ามา อย่างไรก็ตาม ระยะสั้นที่ยังเป็นสุญญากาศ อยากเสนอให้ธปท.ลดดอกเบี้ยนโยบายครั้งเดียวในอัตรา 1%

ที่มา.นสพ.ฐานเศรษฐกิจ
///////////////////////////////////////////////////

สรุป ลอบเผาสถานที่ราชการ 4 อำเภอ ภาคใต้ !!?


สรุปเหตุการณ์กลุ่มก่อความไม่สงบก่อเหตุป่วนลอบวางเพลิงสถานที่ราชการในพื้นที่ 4 อำเภอ จังหวัดปัตตานี

ศูนย์รับแจ้งเหตุฉุกเฉิน กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ได้สรุปเหตุการณ์กลุ่มก่อความไม่สงบลอบวางเพลิงสถานที่ราชการ เผายางรถยนต์ เผาเสาสัญญาณโทรศัพท์ และโปรยตะปูเรือใบจำนวนหลายจุดในพื้นที่ 4 อำเภอของจังหวัดปัตตานี โดยเหตุการณ์เริ่มเกิดขึ้นตั้งแต่เวลา 18.50 น.ของวันที่ 5 พ.ค.56 ที่ผ่านมา มีดังนี้ พื้นที่ อ.ยะรัง จ.ปัตตานี เกิดเหตุจำนวน 8 จุด คือ 1.ลอบวางเพลิง ที่ทาการ อบต.ประจัน ซึ่งเป็นอาคารไม้ชั้นเดียว ม.4 ต.ประจัน อ.ยะรัง จ.ปัตตานี ได้รับความเสียหายทั้งหลัง

2.ลอบวางเพลิงที่ทำการเทศบาลตำบลยะรัง เป็นอาคารปูน 2 ชั้น ม.4 ต.ยะรัง อ.ยะรัง จ.ปัตตานี ได้รับความเสียหาย บริเวณชั้นล่างประมาณ 30 เปอร์เซ็น ซึ่งที่นี้เคยถูกลอบวางเพลิงมาแล้ว 1 ครั้ง เมื่อวันที่ 18 ก.ย.52 ได้รับความเสียหายทั้งหลัง 3.ลอบวางเพลิงที่ทำการ อบต.คลองใหม่ เป็นอาคารปูน 2 ชั้น ม.5 ต.คลองใหม่ อ.ยะรัง จ.ปัตตานี ได้รับความเสียหายทั้งหลัง 4.เผายางรถยนต์ บนถนนสาย 410 ต.ยะรัง อ.ยะรัง จ.ปัตตานี 5.เผายางรถยนต์และโปรยตะปูเรือใบ บนถนนสาย 410 ต.เมาะมาวี อ.ยะรัง จ.ปัตตานี

6.เผายางรถยนต์และโปรยตะปูเรือใบ บนถนนสาย 4061 ต.ยะรัง อ.ยะรัง จ.ปัตตานี 7.วางวัตถุต้องสงสัย เป็นถังแก๊ส และโปรยตะปูเรือใบ หน้าโรงเรียนบ้านละหาร ม.2 ต.กอลำ อ.ยะรัง จ.ปัตตานี 8.เวลา 20.50 น. ขณะที่เจ้าหน้าที่ทหารพราน ร้อย.ทพ.2211 ฉก.ทพ.22 ทำการลาดตระเวนมาถึงบริเวณหน้า อบต.กอลำ อ.ยะรัง จ.ปัตตานี พบคนร้ายพยายามจะลอบวางเพลิง จึงใช้อาวุธปืนยิงคนร้าย แต่คนร้ายอาศัยความมืดหลบหนีไปได้ จากการตรวจสอบพบว่า คนร้ายใช้น้ำมันราด ที่ทำการ อบต.กอลำ และพบรอยเลือดคาดว่า คนร้ายอาจจะได้รับบาดเจ็บ

ส่วนพื้นที่ อ.หนองจิก จ.ปัตตานี เกิดเหตุจำนวน 2 จุด คือ 1.ลอบวางเพลิงที่ทำการ อบต.ดาโต๊ะ เป็นอาคารคอนกรีต 2 ชั้น ม.1 ต.ดาโต๊ะ อ.หนองจิก จ.ปัตตานี ได้รับความเสียหายทั้งหลัง (ซึ่งอาคารดังกล่าวเคยถูกลอบวางเพลิงมาแล้ว 2 ครั้ง เมื่อ 24 มิ.ย.47 และวันที่ 26 ธ.ค.51 2.ลอบวางเพลิงศูนย์เทคโนโลยีการเกษตร อบต.คอลอตันหยง เป็นอาคารไม้ชั้นเดียว ม.1 ต.คอลอตันหยง อ.หนองจิก จ.ปัตตานี ได้รับความเสียหายเล็กน้อย

พื้นที่ อ.มายอ จ.ปัตตานี เกิดเหตุจำนวน 3 จุด คือ 1.ลอบวางเพลิงที่ทำการ อบต.สาคอบน ม.1 ต.สาคอบน อ.มายอ จ.ปัตตานี ได้รับความเสียหายทั้งหลัง 2.ลอบวางเพลิงสำนักงานบริหารราชการตำบลสาคอใต้ ม.1 ต.สาคอบน อ.มายอ จ.ปัตตานี ได้รับความเสียหายประมาณ 30 เปอร์เซ็น จำนวน 1 ห้อง 3.ลอบวางเพลิงที่ทำการ อบต.ปะโด ม.1 ต.ปะโด อ.มายอ จ.ปัตตานี ได้รับความเสียหาย ประมาณ 60 เปอร์เซ็น

สุดท้ายพื้นที่ อ.แม่ลาน จ.ปัตตานี เกิดเหตุจำนวน 2 จุด คือ 1.เผาเสาสัญญาณโทรศัพท์ดีแทค ม.4 ต.ม่วงเตี้ย อ.แม่ลาน จ.ปัตตานี ได้รับความเสียหายเล็กน้อย 2.เผาเสาสัญญาณโทรศัพท์ดีแทค ม.5 ต.ป่าไร่ อ.แม่ลาน จ.ปัตตานี ได้รับความเสียหายเล็กน้อย

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
/////////////////////////////////////////////////////////

วันอาทิตย์ที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ปัญหาค่าเงินบาท : เสียงขู่ จาก รบ. ถามความในใจ ถึง ธปท. !!?


ปัญหาค่าเงินบาทที่แข็งค่ายังคงเป็นเรื่องที่ท้าทายของรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในการวางแผนบริหารนโยบายทางด้านเศรษฐกิจ เป็นปัญหาที่รัฐบาลจำเป็นต้องเร่งแก้ไข เพื่อช่วยเหลือประชาชน โดยเฉพาะภาคการส่งออกที่ได้รับผลกระทบอย่างสูง เพราะตลอด 4 เดือนแรก มีตัวเลขการเจริญเติบโตในส่วนนี้เพียง 4% จากเป้าทั้งปีที่วางไว้ที่ 9%

แม้ทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลจะได้รับบัญชาจากนายกรัฐมนตรีให้เร่งสปีดหาทางออก แต่ดูเหมือนว่าตลอด 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา การหารือของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ก็ยังไม่มีถ้อยแถลงถึงมาตรการการแก้ไข

ปัญหาอย่างชัดเจน

เพราะการแก้ปัญหา "เงินบาทแข็ง"

ทุกองคาพยพที่เกี่ยวข้อง จำเป็นต้องจับมือร่วมกันเดินไปในแนวทางเดียวกัน ลำพังแค่หน่วยงานใต้กำกับของรัฐบาลมิอาจแก้ปัญหาให้เบ็ดเสร็จได้

"รัฐบาลยิ่งลักษณ์" จำเป็นต้องพึ่งกลไกทางการเงินขั้นสูงของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) องค์กรอิสระที่มีภารกิจกำกับเรื่องการเงิน และเฝ้าระวัง

อัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทเทียบกับสกุลเงินตราอื่น

แม้ ธปท. และรัฐบาล จะเดินเข้า-ออกห้องประชุมร่วมกันไปหลายครั้ง แต่สุดท้ายแนวความคิด มาตรการการแก้ไขปัญหา ยังคงแตกต่างกันอย่างชัดเจน

เพราะฝั่งรัฐบาลต้องการให้ดำเนินการ "ลดดอกเบี้ยนโยบาย" ขณะที่ ธปท.ผู้รับผิดชอบเชื่อว่ามีเครื่องมือที่ดีกว่า ฉะนั้นข้อเสนอของรัฐบาลจึงไม่ได้รับการตอบรับ

เป็นที่มาของอาการหน่ายส่ายหน้าหนีของหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ "กิตติรัตน์ ณ ระนอง" รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง ที่เปรยออกอากาศว่า "คิดจะไล่ผู้ว่าการออกจากตำแหน่งทุกวัน"

เป็นที่มาของ "จดหมายน้อย" ที่ถูกเขียนจากขุนคลัง ส่งถึง "ประสาร ไตรรัตน์วรกุล" ผู้ว่าการ ธปท.คนปัจจุบัน เพื่อเรียกร้องลดดอกเบี้ย หากไม่ดำเนินการและเกิดความเสียหายกับเศรษฐกิจ ก็ต้องมีคนรับผิดชอบ

ไม่เพียงมีแค่ความในใจ-จดหมายน้อยจากขุนคลังเท่านั้นที่ถูกตีความกดดันให้ "ประสาร" ลาออก

หากเพียงแต่องคาพยพอื่น ๆ ที่เลือกยืนข้างเดียวกันกับรัฐบาล ต่างก็เห็นพ้องต้องกัน กับท่าทีไม่ลดดอกเบี้ยของ ธปท. หากเกิดผลกระทบกับเศรษฐกิจประเทศมากกว่านี้ ผู้ว่าการต้องรับผิดชอบ

เช่นเดียวกันกับเมื่อวันที่ 1 พ.ค.

ที่ผ่านมา ที่ประชุมคณะกรรมาธิการการเงิน การคลัง การธนาคารและสถาบันการเงิน ได้ทำหนังสือเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยมีผู้แทน ธปท., สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง, นายกสมาคมค้าทองคำ, สมาคมธนาคารไทย, สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสภาหอการค้าไทย ฯลฯ เพื่อเปิดประเด็นถกเถียงขึ้นอีกครั้ง

ทั้ง "ไชยา พรหมา" ส.ส.หนองบัวลำภู จากฝั่งเพื่อไทย ในฐานะประธานกรรมาธิการ เป็นผู้เปิดประเด็นตั้งคำถาม-โยงเรื่องหาคำตอบว่า "เหตุใดไม่ลดดอกเบี้ยนโยบาย

และถ้าหากเกิดผลกระทบกับเศรษฐกิจ ธปท.จะรับผิดชอบหรือไม่ ?"

ขณะที่พล-พรรคเพื่อไทยกล่าวย้ำ

การดำเนินงานของ ธปท. แบบ

Conservative เปรียบเสมือน "เด็กดื้อ"

ที่ใครเตือนก็ไม่ฟัง ตั้งใจจะทำในแบบของตนเองอย่างเดียว

ตลอดเวลาการประชุมกว่า 1 ชั่วโมง ทั้งห้องประชุมกรรมาธิการรุมซักถาม-

ยิงประเด็นถึง ธปท. โดยมักมีคำถามพ่วงท้ายว่า "หาก ธปท.ไม่ลดดอกเบี้ย ไม่มีมาตรการที่ชัดเจน แล้วประเทศเสียหาย ใครจะรับผิดชอบ ?"

นอกจากนี้ยังมีองคาพยพวงนอกของรัฐบาลอย่าง "วีรพงษ์ รามางกูร" ประธานคณะกรรมการ ธปท. ก็ออกมาเปิดเผยความในใจทำนองเดียวกันว่า หากเศรษฐกิจจะพังล้มละลาย นายกรัฐมนตรีก็ไม่สามารถรับผิดชอบต่อรัฐสภาได้ เพราะเป็นหน้าที่ของคณะกรรมการอิสระ

"ผมเคยตักเตือนแล้ว ดูในรายงานการประชุมได้ เริ่มตั้งแต่ปีที่แล้ว และตั้งคณะกรรมการมี นายคณิศ แสงสุพรรณ เป็นประธานคณะกรรมการให้สอบข้อเท็จจริงว่า ความเสียหายที่เกิดขึ้นกับงบดุล

ธนาคารนั้นเป็นอย่างไร จะแก้ไขอย่างไร และส่งให้ผู้ว่าการ ธปท. และให้แจ้งต่อ กนง. ซึ่งผู้ว่าการก็ดูไม่เดือดร้อน"

"ผมได้แสดงความหนักใจต่อที่ประชุมคณะกรรมการ จะให้ผมเป็นตัวกลางก็ไม่ใช่ เพราะผมก็เป็นผู้ใหญ่ ถ้าเขาฟังก็ดี

เขาไม่ฟังก็เสียหน้า เรื่องนี้ต้องฝากให้นายกรัฐมนตรีเป็นตัวกลาง และไม่อยากให้ไปถึงขั้นคณะรัฐมนตรี (ครม.) ถอดถอนกันเลย"

ขณะที่พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ตีความตามแบบฉบับฝ่ายค้านว่า เหตุที่ทั้งองคาพยพของรัฐบาลออกมาโจมตี ธปท. มีเหตุผลเหนือชั้นกว่าการปะทะคารมเรื่อง ลด-ไม่ลด ดอกเบี้ยนโยบาย

โดย "สรรเสริญ สมะลาภา" หนึ่งผู้เชี่ยวชาญด้านการเงิน การธนาคารฝั่ง ปชป. บอกว่า ความต้องการที่แท้จริง

ของรัฐบาล คือการสร้างกระแสจากทั้งองคาพยพ เพื่อกดดันให้ ผู้ว่าการ ธปท.ลาออก

"ประเด็นนี้มันใหญ่กว่าเรื่องดอกเบี้ย หากดูเรื่องราวมาตั้งแต่ต้นจะพบว่า ตั้งแต่ที่รัฐบาลเข้ามาทำงาน เขาพยายามสร้างแรงกดดันมาที่ ธปท.ตลอด ตั้งแต่สัญญาณจากนายวีรพงษ์อยากใช้เงินทุนสำรองระหว่างประเทศ ทั้งการกดดันให้ ธปท.แก้ปัญหาค่าเงินบาทอ่อนเมื่อปีที่แล้ว และตอนนี้ก็เรื่องแก้บาทแข็ง"

"เหตุผลทุกอย่างทำให้ผมเข้าใจได้อย่างเดียวว่า การสร้างข้ออ้างเพื่อปลดผู้ว่าการ ธปท. และถามว่าจะทำเพื่ออะไร ผมเชื่อว่าเขาต้องการหาคนที่ควบคุมได้ มาช่วยรัฐบาลนำเงินทุนสำรองระหว่างประเทศออกมาใช้ในการดำเนินโครงการต่าง ๆ"

ทั้งหมดเป็นสัญญาณเสียงถึง ธปท.

ที่มีทั้งดอกไม้ ก้อนอิฐ แฝงนัยทั้งคำถาม คำขู่ และความในใจ

เป็นถ้อยคำที่ "ประสาร" ต้องพินิจ พิเคราะห์ และประมวลผลว่า สุดท้ายจะพิจารณาหาทางออกให้กับตนเอง และ ธปท. อย่างไร

ที่มา.ประชาติธุรกิจ
////////////////////////////////////////////////////////////

วันเสาร์ที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ดันวายุภักษ์ 2 เข้า ครม.


 สคร.ชง “โต้ง” เคาะจัดตั้งวายุภักษ์ 2 เข้า ครม. การันตีผลตอบแทนไม่ต่ำกว่า 6%
   
นายประสงค์ พูนธเนศ ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) เปิดเผยว่า สคร.ได้สรุปแผนการจัดตั้งกองทุนวายุภักษ์ 2 เสนอให้ นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.การคลัง พิจารณาแล้ว โดยคาดว่ากระทรวงการคลังน่าจะเสนอให้คณะรัฐมนตรี (ครม.)  พิจารณาเร็วๆ นี้ และหากเป็นไปตามขั้นตอนที่วางไว้ มั่นใจว่าจะสามารถเปิดขายหน่วยลงทุนได้ภายในปีนี้แน่นอน
   
ทั้งนี้ ยืนยันว่าผลตอบแทนการลงทุนในกองทุนวายุภักษ์ 2 อยู่ในเกณฑ์ที่ดี โดยจะไม่ต่ำกว่า 3-6% แน่นอน โดยรูปแบบการจ่ายผลตอบแทน จะมีการกำหนดอัตราขั้นต่ำและขั้นสูงแก่ผู้ถือหน่วยลงทุน รวมถึงกองทุนฯ จะมีการรับประกันผลตอบแทนด้วยตัวเอง ซึ่งแตกต่างจากกองทุนวายุภักษ์ 1 ที่กระทรวงการคลังเป็นผู้รับประกันผลตอนแทนจากการลงทุน โดยขนาดของกองทุนจะอยู่ที่ 3-5 แสนล้านบาท
   
หลักการเบื้องต้น เป็นกองทุนแบบเปิด ซึ่งเป็นการแปรสภาพมาจากกองทุนวายุภักษ์ 1 ที่กำลังจะหมดอายุในวันที่ 1 ธ.ค.2556” นายประสงค์กล่าว
   
สำหรับกรอบการลงทุนของกองทุนวายุภักษ์ 2 เบื้องต้นจะยังเน้นการลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำ หรือโครงการที่มีผลตอบแทนดี รวมถึงอาจเข้าไปลงทุนในโครงการต่างๆ ตามการลงทุนของรัฐบาล.

ที่มา.ไทยโพสต์
////////////////////////////////////////////

ค่าเงินบาท !!?

นับตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว เงินบาทมีความผันผวนและแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็วจากอยู่ที่ประมาณ 30.63 บาท ต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐ ในเดือนธันวาคม 2555มาอยู่ที่อัตราอ้างอิงเฉลี่ยประมาณ......

29.51 บาท ต่อ 1 ดอลลาร์ ในเดือน มี.ค. 56

29.07 บาท ต่อ 1 ดอลลาร์ ในเดือน เม.ย.56 และ

29.41 บาท ต่อ 1 ดอลลาร์ เมื่อ 2 พ.ค. 56 ที่ผ่านมานี้

โดยอัตราอ้างอิงเงินบาทเฉลี่ยทั้งปี ต่อ 1 ดอลลาร์ ในรอบ 10 ปี ที่ผ่านมา มีดังนี้



ที่มา : ธนาคารแห่งประเทศไทย (http://www2.bot.or.th/statistics/ReportPage.aspx?reportID=123&language=th (30 เม.ย. 56)

………………………….

ย้อนกลับไปประมาณร้อยปีที่แล้ว พ.ศ. 2451(สมัยรัชกาลที่ 5)ค่าเงิน 1 ดอลลาร์สหรัฐ เท่ากับ 2.69บาท...เพื่อที่จะเข้าใจเส้นทางเดินของอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทไทยกับเงินดอลลาร์สหรัฐ จาก 1 ดอลลาร์สหรัฐ เท่ากับ 2.69 บาท ในปี 2451..มาอยู่ในระดับอ่อนที่สุดประมาณ 56 บาทต่อดอลลาร์ ในเดือนมกราคม ปี 2541 หลังเกิดวิกฤติต้มยำกุ้งปี 2540 และปัจจุบัน(2 พ.ค. 56) อยู่ที่ประมาณ 29.41บาท ต่อ 1 ดอลลาร์..เราจำเป็นต้องเริ่มมองจากภาพใหญ่ก่อน คือ ระบบการเงินระหว่างประเทศ(International Financial System)

ระบบการเงินระหว่างประเทศสมัยใหม่ เริ่มต้นประมาณศตวรรษที่19 อันเป็นผลสืบเนื่องจากการปฏิวัติอุตสาหกรรมในยุโรป ทำให้การค้าขายภายในและระหว่างประเทศเจริญเฟื่องฟูขึ้นมาก ขณะที่ในแต่ละประเทศมีสกุลเงินตราของตัวเอง ดังนั้นจึงจำเป็นต้องสร้างระบบการเงินระหว่างประเทศ ที่เป็นมาตรฐานสากลอันเป็นที่ยอมรับโดยทั่วไปขึ้นมา เพื่อคำนวณหาอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศ ช่วยอำนวยความสะดวกในการทำธุรกรรมการค้าระหว่างประเทศที่กำลังขยายตัวมากขึ้นๆ ในช่วงเวลาดังกล่าว นับจากนั้นมาถึงปัจจุบัน พัฒนาการของระบบการเงินระหว่างประเทศแบ่งได้เป็น 4 ยุคสมัย

ยุคแรก:­­­­­ระบบมาตรฐานทองคำ ช่วงปี พ.ศ. 2413-2457(The Gold Standard : 1870-1914)คือ วิธี

เงินตรา(วิธีที่กำหนดค่าของเงินตราสกุลใดสกุลหนึ่งเทียบกับเงินตราของอีกสกุลหนึ่ง) อันกำหนดให้แต่ละประเทศที่อยู่บนระบบนี้ต้องมีกฎหมายกำหนดให้ใช้ทองคำเป็นมาตรฐานกำหนดค่าของเงินหนึ่งหน่วยเท่ากับทองคำบริสุทธิ์เป็นจำนวนที่แน่นอน ซึ่งเรียกว่า“การกำหนดอัตราค่าเสมอภาค” (Par Value)

ยกตัวอย่างเช่น ช่วงเวลานั้นที่ระบบการเงินระหว่างประเทศกำลังใช้ระบบมาตรฐานทองคำ

อังกฤษ กำหนดอัตราค่าเสมอภาค1 ปอนด์ เท่ากับ ทองคำบริสุทธิ์หนัก 7.32237 กรัม

สหรัฐอเมริกา กำหนดอัตราค่าเสมอภาค 1 ดอลลาร์สหรัฐเท่ากับทองคำบริสุทธิ์หนัก 1.50465กรัม

สำหรับประเทศไทย พระราชบัญญัติมาตรฐานทองคำ ร.ศ. 127 กำหนดให้เงินบาทมีราคาเท่ากับทองคำบริสุทธิ์หนัก 0.558กรัม

ดังนั้น การคำนวณอัตราแลกเปลี่ยนระหว่างเงินตราสกุลปอนด์ต่อเงินตราสกุลบาท ก็คือ การเอาค่าเทียบเท่าน้ำหนักทองคำของค่าเงินหนึ่งปอนด์ คือ 7.32233 หารด้วยค่าเทียบเท่าน้ำหนักทองคำของค่าเงินหนึ่งบาท คือ 0.558 (7.32233 / 0.558 = 13.12)

ดังนั้นด้วย พระราชบัญญัติมาตรฐานทองคำ ร.ศ. 127 (พ.ศ.2451) อัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทต่อเงินปอนด์จึงเท่ากับ 13.12 บาท ต่อ 1 ปอนด์ในเวลานั้น

หรือ ถ้าจะคำนวณอัตราแลกเปลี่ยนระหว่างเงินตราสกุลดอลลาร์สหรัฐต่อเงินตราสกุลบาท ก็คือ การเอาค่าเทียบเท่าน้ำหนักทองคำของเงินหนึ่งดอลลาร์ ซึ่งในเวลานั้นประเทศสหรัฐอเมริกา กำหนดอัตราค่าเสมอภาค(Par Value) 1 ดอลลาร์สหรัฐ เท่ากับ ทองคำบริสุทธิ์หนัก 1.50465กรัม เมื่อนำมาหารด้วยค่าเทียบเท่าน้ำหนักทองคำของค่าเงิน 1บาท คือ 0.558 กรัม ก็จะสามารถคำนวณอัตราแลกเปลี่ยนระหว่างเงินตราสกุลดอลลาร์สหรัฐต่อเงินตราสกุลบาทได้ เท่ากับ 1.50465 / 0.558 = 2.69 ทำให้ ค่าเงิน 1 ดอลลาร์สหรัฐ เท่ากับ 2.69 บาทตามที่กฎหมายกำหนด (พระราชบัญญัติมาตรฐานทองคำ ร.ศ. 127) ณ เวลานั้น

ในระบบมาตรฐานทองคำนอกจากจะให้แต่ละประเทศกำหนดอัตราค่าเสมอภาคต่อน้ำหนักทองคำแล้ว ยังกำหนดให้ประเทศต่างๆ ต้องรักษาระดับเงินทุนสำรองที่เป็นทองคำให้เพียงพอกับจำนวนธนบัตรที่พิมพ์ออกใช้ เพื่อเป็นการรักษาเสถียรภาพของค่าเงินในประเทศนั้น

เช่น ประเทศไทยกำหนดอัตราค่าเสมอภาค(Par Value) 1 บาท เท่ากับทองคำบริสุทธิ์หนัก 0.558 กรัม ดังนั้นถ้าต้องการจะพิมพ์ธนบัตรเพิ่ม 1 ล้านบาท เพื่อนำออกใช้หมุนเวียนในระบบการเงิน ประเทศไทยต้องหาปริมาณทองคำเข้ามาสำรองเก็บในท้องพระคลังเพิ่มอีก 0.558 ล้านกรัม หรือ 558,000กรัม (เท่ากับ558กิโลกรัม หรือประมาณ ครึ่งตัน) เพื่อให้เป็นไปตามข้อกำหนดของระบบมาตรฐานทองคำ

ยุคที่สอง : ระบบการเงินระหว่างประเทศช่วงสงครามโลก พ.ศ.2457-2488 (The Interwar Years:1914 –1945) ระยะเวลานี้เป็นช่วงที่ระบบการเงินระหว่างประเทศมีความยุ่งเหยิง อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากภาวะสงครามโลกทั้งสองครั้ง (ครั้งที่ 1 ปี1914-1919 และครั้งที่ 2 ปี1939-1945)ทำให้ระบบมาตรฐานทองคำที่เคยใช้อยู่ก่อนหน้านั้น ประสบความยุ่งเหยิงวุ่นวายไปด้วย สาเหตุต่าง ๆ ดังนี้

1)บรรดาประเทศต่างๆที่อยู่บนระบบมาตรฐานทองคำต้องนำทองคำที่ใช้เป็นทุนสำรองหนุนค่า

เงินตราของตนออกมาใช้ในกิจการสงคราม เพื่อซื้ออาวุธและยุทธ์ปัจจัยทางสงครามต่าง ๆ

2)มีการห้ามการส่งออกทองคำในประเทศต่างๆ เพราะกลัวว่าจะสูญเสียทองคำที่จะต้องใช้ชำระ

ค่าใช้จ่ายในการทำสงคราม ซึ่งนำไปสู่การขาดแคลนทองคำขึ้นในเวลานั้น

3)ผลจาก ข้อ1) และ 2) ทำให้แต่ละประเทศที่อยู่บนระบบมาตรฐานทองคำมาตกลงเจรจาเพื่อ

อนุญาตเงินตราของแต่ละสกุลที่อยู่บนระบบนี้ สามารถเคลื่อนไหวขึ้นลงได้ในช่วงที่กว้างขึ้นกว่าเดิม

4)ผลจาก ข้อ 3) ทำให้เกิดผลเสียมากว่าผลดี เพราะถึงแม้ว่าการกระทำดังกล่าวจะทำให้ค่าเงิน

สกุลตราต่างๆมีความยืดหยุ่นมากขึ้น แต่กลับเป็นการเปิดช่องทางให้นักเก็งกำไรค่าเงิน ใช้โอกาสตรงนี้เก็งกำไรค่าเงินตราระหว่างประเทศ สร้างแรงกดดันให้เงินตราที่สกุลอ่อน ให้อ่อนค่าลงไปเรื่อยๆ ขณะที่เงินตราสกุลแข็ง ก็ถูกปั่นให้มีค่าสูงเกินกว่าความเป็นจริง ผลที่ตามมาก็คือ ระบบการเงินระหว่างประเทศเกิดความไร้เสถียรภาพมากยิ่งขึ้น ๆ

ประเทศไทยก็หนีไม่พ้นผลกระทบดังกล่าว ทำให้ต้องมีการปรับปรับแก้ไขกฎหมายเกี่ยวกับเงินตราที่กระจัดกระจายกันอยู่หลายฉบับ ให้มารวมกันเป็นฉบับเดียว เพื่อความเป็นเอกภาพและมีประสิทธิภาพในการกำหนดกฎเกณฑ์เกี่ยวกับวิธีเงินตราของประเทศในเวลานั้น

ในปี พ.ศ. 2471 ช่วงรัชกาลที่ 7 ได้มีการตร “พระราชบัญญัติเงินตรา พ.ศ. 2471” ซึ่งสาระสำคัญข้อหนึ่งคือ การประกาศยกเลิก พระราชบัญญัติมาตรฐานทองคำ ร.ศ.127 และกำหนดให้ค่าเงินหนึ่งบาทมีราคาเท่ากับทองคำบริสุทธิ์หนัก 0.66567 กรัม จากเดิมที่พระราชบัญญัติมาตรฐานทองคำ ร.ศ.127 ได้เคยกำหนดไว้ให้เงินหนึ่งบาทมีราคาเท่ากับทองคำบริสุทธิ์หนัก 0.558กรัม ด้วยบทบัญญัติดังกล่าว ทำให้การคำนวณอัตราแลกเปลี่ยนระหว่างเงินตราสกุลบาทกับสกุลต่างประเทศต้องเปลี่ยนไปด้วย เช่น

ขณะที่ สหรัฐ ยังคงกำหนดอัตราค่าเสมอภาค (Par Value) 1 ดอลลาร์ เท่ากับทองคำบริสุทธิ์หนัก 1.50465กรัมเท่าเดิมอยู่

ประเทศอังกฤษ ยังคงกำหนดอัตราค่าเสมอภาค (Par Value) 1 ปอนด์ เท่ากับ/ต่อ ทองคำบริสุทธิ์หนัก 7.3223 กรัมเท่าเดิมอยู่

ประเทศไทย ได้ปรับเปลี่ยนการกำหนดอัตราค่าเสมอภาค (Par Value) ใหม่ เป็น1บาท เท่ากับทองคำบริสุทธิ์หนัก0.66567กรัม ด้วยวิธีการคำนวณที่กล่าวมาข้างต้น จึงทราบได้ว่า เงิน 1 ดอลลาร์มีค่าตามกฎหมายเท่ากับ 2.26 บาท(1.50465/0.66567 = 2.26) และ เงิน 1 ปอนด์ก็มีค่าตามกฎหมายเท่ากับ 11 บาท (7.32237/0.66567 = 11)ในเวลานั้น พ.ศ. 2471

ภายหลังจากที่มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติเงินตรา พศ. .2471 ต่อมาในเดือนกันยายน พ.ศ. 2474 ประเทศอังกฤษได้ออกจากมาตรฐานทองคำ กล่าวคืออังกฤษประกาศงดการจ่ายทองคำแลกเปลี่ยนกับเงินสกุลปอนด์สเตอร์ลิงค์ การที่อังกฤษเลิกใช้มาตรฐานทองคำนั้น ทำให้เงินปอนด์มีค่าลดลง ในขณะที่เงินบาทยังคงมีค่าเท่าเดิม เพราะประเทศไทยยังอยู่ในระบบมาตรฐานทองคำ จากเดิมที่มีค่าประมาณ 11 บาทต่อ 1 ปอนด์ แข็งค่าขึ้นเป็นประมาณ 8-9 บาทต่อปอนด์ ซึ่งส่งผลกระทบต่อการค้าของไทยกับต่างประเทศ โดยเฉพาะรายได้ของเกษตรกรจากการขายข้าวและรายได้ของรัฐบาล

ดังนั้นในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2475 ประเทศไทยจึงยกเลิกการกำหนดอัตราค่าเสมอภาค(Par Value) ค่าเงิน 1 บาทกับน้ำหนักทองคำ(ระบบมาตรฐานทองคำ)โดยออกพระราชบัญญัติเงินตราแก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2475เปลี่ยนวิธีเงินตราที่ผูกค่าเงินบาทไว้กับน้ำหนักทองคำ เป็นผูกไว้กับค่าของเงินปอนด์แทน ที่เรียกว่า“มาตรปริวรรตปอนด์สเตอร์ลิงค์”(Sterling Exchange Standard)คือ การกำหนดค่าของเงินบาทเทียบเงินปอนด์สเตอร์ลิงค์ ไว้ที่อัตรา 11บาทต่อ1 ปอนด์สเตอร์ลิงค์ ส่วนการกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราสกุลบาทกับเงินตราสกุลต่างประเทศอื่นๆ จะเป็นเท่าไรนั้น รัฐบาลจะประกาศเป็นครั้งคราวไป

พระราชบัญญัติเงินตรา พศ. .2471 ได้มีถูกปรับปรุง แก้ไขเพิ่มเติมทั้งหมด 9 ครั้งเพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ระบบการเงินระหว่างประเทศในช่วงสงครามโลกที่มีความผันแปรเป็นอย่างยิ่งโดยฉบับแก้ไขเพิ่มเติมครั้งสุดท้ายคือ “พระราชบัญญัติเงินตรา (ฉบับที่ 10) พ.ศ.2487”หนึ่งปีก่อนที่สงครามโลกครั้งที่สองจะสิ้นสุดลงในปี 2488 .......



ที่มา.นสพ.แนวหน้า
///////////////////////////////////////////////////

เศรษฐกิจยูโร ถดถอยเกินคาด !!?


เศรษฐกิจยูโรโซน,ถดถอย
เศรษฐกิจในเขตยูโรโซนอาจถดถอยเกินกว่าที่คาดไว้ในปีนี้ จีดีพีฝรั่งเศสส่อเค้าติดลบ ส่วนกรีซคาดหลุดภาวะถดถอยปีหน้า

คณะกรรมาธิการยุโรป คาดว่าเศรษฐกิจในเขตยูโรโซน 17 ประเทศจะหดตัวลงเกินกว่าที่คาดในปีนี้ โดยผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศหรือจีดีพี จะลดลง 0.4% จากที่เคยคาดการณ์ไว้ก่อนหน้าว่าจะติดลบ 0.3% ส่วนอัตราการว่างงานไม่เปลี่ยนแปลงที่ระดับ 12%

แต่สถานการณ์ในปี 2557 จะดีขึ้น โดยคาดว่าเศรษฐกิจจะเติบโต 1.2% ซึ่งยังต่ำกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้ในเดือนกุมภาพันธ์เล็กน้อย

ขณะที่ในรายประเทศนั้น คาดว่าเศรษฐกิจฝรั่งเศสจะเข้าสู่ภาวะถดถอยด้วยตัวเลขติดลบ 0.1% ปีนี้ ผลจากความต้องการภาคครัวเรือนที่อ่อนแอ ส่วนการว่างงานเพิ่มขึ้นจาก 10.6% ปีนี้ เป็น 10.9% ปีหน้า ขณะที่ปีหน้านั้น ฝรั่งเศสจะกลับมาขยายตัวได้ที่ 1.1%

ส่วนเศรษฐกิจของกรีซที่ถดถอยมาถึงหกปี คาดว่าจะกลับมาขยายตัวปีหน้าที่ 0.6% หลังจากปีนี้คาดว่าจะติดลบ 4.2% สำหรับไซปรัสจะถดถอยหนัก ด้วยจีดีพีที่ติดลบรวมกัน 15% ระหว่างปี 2555-2558

ด้านสเปนคาดว่าจะติดลบ 1.5% ปีนี้ ก่อนกระเตื้่องขึ้นมาขยายตัว 1.4% ปีหน้า

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
//////////////////////////////////////////////////////

วันศุกร์ที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ปูออกศึก !!?


กลายเป็นเรื่องกล่าวขวัญพูดถึงกันสนั่นเมือง..เรื่องที่นายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ไปปาฐกถาพิเศษในประเทศมองโกเลียเกี่ยวของความเป็นประชาธิปไตย

ความเป็นประชาธิปไตยมีความสำคัญต่อดิฉันอย่างมากและที่สำคัญยิ่งกว่าคือความไม่เป็นประชาธิไตยมีผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนในประเทศบ้านเกิดของดิฉันประเทศไทยที่ดิฉันรัก
รัฐบาลของประชาชนโดยประชาชนและเพื่อประชาชนไม่ได้ได้มาฟรีๆ สิทธิเสรีภาพความเชื่อที่ว่ามนุษย์ทุกคนไม่ว่าชายหรือหญิงมีความเท่าเทียมกันนั้นได้มาด้วยการต่อสู้และที่น่าเศร้าใจคือทำไมต้องมีผู้เสียชีวิต

บางตอนเป็นคำถาม เช่น รัฐบาลที่ได้รับการเลือกตั้งถึงสองครั้งสองหนด้วยเสียงส่วนใหญ่ถูกล้มลงในปี 2006 ประเทศไทยเสมือนรถไฟตกรางและประชาชนคนไทยใช้เวลาเกือบ 10ปีกว่าจะได้เสรีภาพแห่งประชาธิปไตยกลับคืนมา

ตลอดเวลาเกือบสองปี นายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ เกือบจะไม่มีการก้าวก่ายองค์กรอิสระ..แต่ในปาฐกถาหนนี้..นายกรัฐมนตรีจัดไปเต็มด้วยประโยคที่ว่า..จำนวนครึ่งหนึ่งของวุฒิสภาไทยมาจากการเลือกตั้งแต่อีกครึ่งหนึ่งกลับได้รับการแต่งตั้งโดยกลุ่มคนเล็กๆ กลุ่มหนึ่ง

ยิ่งกว่านั้นกลไกที่เรียกว่าองค์กรอิสระได้ใช้อำนาจเกินขอบเขตแทนประชาชนเจ้าของอำนาจที่แท้จริง เป็นการดำเนินการเพื่อคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งมากกว่าเพื่อส่วนรวมของสังคม

และทีเด็ดที่สำคัญ..คือการใช้สังคมโลกมาพิทักษ์ประชาธิปไตยของประเทศ คือ การกดดันจากนานาชาติที่เชื่อในระบอบประชาธิปไตยทำให้กระบวนการประชาธิปไตยในประเทศไทยคงอยู่ใต้การคว่ำบาตรและการไม่ยอมรับเป็นกลไกสำคัญ

ก็ต้องยอมรับว่า..ปาฐกถาของนายกรัฐมนตรีในมาดปูดำออกศึกคราวนี้..เป็นก้าวแรกของการจะเป็นนายกรัฐนตรีที่สมบูรณ์แบบที่สุด

และใครก็ตาม..ที่คิดจะมีอำนาจแบบรวบรัดตัดตอน..คำเตือนก็คือ..คิดให้ดีและนานๆ ที่สุด

โดย.พญาไม้.บางกอกทูเดย์
///////////////////////////////////////////

ฝ่าสมรภูมิ สินเชื่อ เอสเอ็มอี !!?


ตลาดสินเชื่อเอสเอ็มอีในวันนี้ หลายธนาคารที่เป็นผู้เล่นหลักในตลาดนี้เริ่มขยับในทิศทางเดียวกัน โดยพุ่งไปที่กลุ่มเป้าหมายไล่ไซซ์ธุรกิจ ขยายไปสู่เอสเอ็มอีรายเล็กและรายจิ๋ว ที่มียอดขายประมาณไม่เกิน 50 ล้านบาท หรือยอดสินเชื่อประมาณ 10-20 ล้านบาท

การแข่งขันที่เกิดขึ้นในวันนี้จึงเห็นแพ็กเกจสินเชื่อเอสเอ็มอีที่พุ่งตรงไปยังกลุ่มเป้าหมายที่เป็นธุรกิจขนาดเล็กเป็นหลัก ล่าสุดจากธนาคารทหารไทย (ทีเอ็มบี) ที่ออกสินเชื่อ "3 เท่า 3 ก๊อก" ก๊อก 1 ให้ทั้งวงเงิน 3 เท่าของหลักประกัน ก๊อก 2 ให้วงเงินเสริมเผื่อฉุกเฉินอีก 15% และก๊อก 3 หากขยายกิจการก็ให้กู้ได้อีก 1 เท่า แพ็กเกจสินเชื่อนี้เจาะกลุ่มธุรกิจที่มีรายได้ไม่เกิน 50 ล้านบาท/ปี

"ปพนธ์ มังคละธนะกุล" ประธานเจ้าหน้าที่บริหารเอสเอ็มอีและซัพพลายเชน ธนาคารทหารไทย (ทีเอ็มบี) บอกว่า การแข่งขันในตลาดเอสเอ็มอีรายเล็กตอนนี้ยังถือว่าไม่แรงมาก เพราะต้องปรับระบบงานพอสมควร เช่น ปล่อยสินเชื่อวงเงิน 2-3 ล้านบาท ต้องมีวิธีอนุมัติให้เร็ว ภายในเวลาราว 2 สัปดาห์ ฉะนั้นโมเดลสินเชื่อต้องชัด และคุมความเสี่ยงให้ได้ เพราะตลาดนี้มีสเปรดดี แต่ก็ต้องบริหารต้นทุนให้ได้ด้วย

"เราตัดสินใจทำเรื่องซัพพลายเชนกันใหม่มาตั้งแต่ 4-5 ปีที่แล้ว ก็ต้องจัดการระบบกันมากพอสมควร ตอนนี้ก็เห็นธนาคารพาณิชย์หลายแห่งเริ่มปรับแล้ว จึงเชื่อว่าปีหน้าคงจะแข่งขันกันหนักขึ้น" ปพนธ์กล่าว

สอดคล้องกับสิ่งที่ "พัชร สมะลาภา" รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า ตลาดนี้เป็นส่วนที่หลายธนาคารยังไม่ค่อยได้เข้ามาจับอย่างจริงจัง แม้จะมีสเปรดสูง แต่ความเสี่ยงก็สูง ที่ผ่านมาจึงยังไม่ค่อยมีธนาคารใดเข้ามาจับตลาดนี้ เพราะติดข้อจำกัดด้านการประเมินความเสี่ยง เช่น แผนธุรกิจ หลักประกัน และหลักฐานการเดินบัญชี (Statement)

"เรื่องการเดินบัญชีเป็นข้อจำกัดใหญ่สำหรับการขอสินเชื่อของธุรกิจรายเล็ก ทำให้ล่าสุดธนาคารออกสินเชื่อ "SME กู้ง่ายหมดกังวลเรื่องเดินบัญชี" ซึ่งสามารถใช้เอกสารอื่น เช่น ใบเสร็จรับเงิน ใบสั่งซื้อสินค้า รวมถึงเข้าพบลูกค้าเพื่อสำรวจกิจการและสต๊อกสินค้าแทนได้ สำหรับเอสเอ็มอีที่ต้องการวงเงินตั้งแต่ 5 แสน-10 ล้านบาท ก็จะเป็นอีกวิธีที่จะเข้าถึงลูกค้าในกลุ่มรายเล็กได้ลึกขึ้น เพราะในพอร์ตเรามีสินเชื่อกลุ่มรายเล็กและไมโครอยู่ถึง 50%" พัชรกล่าว

เช่นเดียวกับธนาคารกรุงศรีอยุธยา ที่ใช้โมเดล "กรุงศรี แวลูเชน โซลูชั่นส์" โดยต่อยอดจากฐานลูกค้าเดิม ไปสู่กลุ่มที่เป็นซัพพลายเออร์รายย่อย ๆ ลงไป ซึ่งธนาคารต้องการขยายตลาดสินเชื่อธุรกิจรายเล็กและรายย่อย วงเงินสินเชื่อไม่เกิน 30 ล้านบาท เพราะเป็นตลาดที่ให้มาร์จิ้นสูง ซึ่งธนาคารได้ปรับมาใช้ระบบ "One Scan" ที่เข้ามาช่วยเรื่องพิจารณาสินเชื่อรายย่อยให้เร็วขึ้น ทราบผลใน 3 วัน และจะพยายามทำให้เร็วขึ้นเป็น 2 วันให้ได้ในปีนี้

แนวทางนี้ใกล้เคียงกับ "ธนาคารกรุงไทย" ที่เร่งปรับปรุงขั้นตอนการทำงานเพื่ออนุมัติสินเชื่อได้เร็วขึ้นสำหรับกลุ่มที่ต้องการวงเงิน 10-20 ล้านบาท โดยจะทำโมเดลพิจารณาสินเชื่อไว้ล่วงหน้าเพื่อให้ทำงานได้เร็วขึ้น ซึ่งตั้งเป้าหมายขยายพอร์ตนี้จาก 18% ให้เป็น 30% ของพอร์ตรวมในปีนี้

นอกจากนี้อีก 2 ค่ายอย่าง "ธนาคารไทยพาณิชย์" และ "ธนาคารกรุงเทพ" ก็เป็นอีกสองผู้เล่นในตลาดที่ละสายตาไม่ได้ แม้ช่วงนี้จะยังไม่มีความเคลื่อนไหวใหม่ออกมาให้เชยชมก็ตาม

ทั้งหมดนี้เป็นสัญญาณที่บอกว่า ตลาดสินเชื่อเอสเอ็มอีไซซ์เล็ก-จิ๋ว จะยังเป็น "โฟกัส" ที่สำคัญของหลายแบงก์ เพื่อสร้างทั้งโอกาส รายได้ และกำไรให้ดีในช่วงต่อไป แล้วแน่นอนว่าการวิ่งเข้าสู่สมรภูมินี้ย่อมตามมาด้วยการแข่งขันที่ดุเดือดเช่นกัน

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
///////////////////////////////////////////////////////