--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันอาทิตย์ที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ปัญหาค่าเงินบาท : เสียงขู่ จาก รบ. ถามความในใจ ถึง ธปท. !!?


ปัญหาค่าเงินบาทที่แข็งค่ายังคงเป็นเรื่องที่ท้าทายของรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในการวางแผนบริหารนโยบายทางด้านเศรษฐกิจ เป็นปัญหาที่รัฐบาลจำเป็นต้องเร่งแก้ไข เพื่อช่วยเหลือประชาชน โดยเฉพาะภาคการส่งออกที่ได้รับผลกระทบอย่างสูง เพราะตลอด 4 เดือนแรก มีตัวเลขการเจริญเติบโตในส่วนนี้เพียง 4% จากเป้าทั้งปีที่วางไว้ที่ 9%

แม้ทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลจะได้รับบัญชาจากนายกรัฐมนตรีให้เร่งสปีดหาทางออก แต่ดูเหมือนว่าตลอด 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา การหารือของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ก็ยังไม่มีถ้อยแถลงถึงมาตรการการแก้ไข

ปัญหาอย่างชัดเจน

เพราะการแก้ปัญหา "เงินบาทแข็ง"

ทุกองคาพยพที่เกี่ยวข้อง จำเป็นต้องจับมือร่วมกันเดินไปในแนวทางเดียวกัน ลำพังแค่หน่วยงานใต้กำกับของรัฐบาลมิอาจแก้ปัญหาให้เบ็ดเสร็จได้

"รัฐบาลยิ่งลักษณ์" จำเป็นต้องพึ่งกลไกทางการเงินขั้นสูงของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) องค์กรอิสระที่มีภารกิจกำกับเรื่องการเงิน และเฝ้าระวัง

อัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทเทียบกับสกุลเงินตราอื่น

แม้ ธปท. และรัฐบาล จะเดินเข้า-ออกห้องประชุมร่วมกันไปหลายครั้ง แต่สุดท้ายแนวความคิด มาตรการการแก้ไขปัญหา ยังคงแตกต่างกันอย่างชัดเจน

เพราะฝั่งรัฐบาลต้องการให้ดำเนินการ "ลดดอกเบี้ยนโยบาย" ขณะที่ ธปท.ผู้รับผิดชอบเชื่อว่ามีเครื่องมือที่ดีกว่า ฉะนั้นข้อเสนอของรัฐบาลจึงไม่ได้รับการตอบรับ

เป็นที่มาของอาการหน่ายส่ายหน้าหนีของหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ "กิตติรัตน์ ณ ระนอง" รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง ที่เปรยออกอากาศว่า "คิดจะไล่ผู้ว่าการออกจากตำแหน่งทุกวัน"

เป็นที่มาของ "จดหมายน้อย" ที่ถูกเขียนจากขุนคลัง ส่งถึง "ประสาร ไตรรัตน์วรกุล" ผู้ว่าการ ธปท.คนปัจจุบัน เพื่อเรียกร้องลดดอกเบี้ย หากไม่ดำเนินการและเกิดความเสียหายกับเศรษฐกิจ ก็ต้องมีคนรับผิดชอบ

ไม่เพียงมีแค่ความในใจ-จดหมายน้อยจากขุนคลังเท่านั้นที่ถูกตีความกดดันให้ "ประสาร" ลาออก

หากเพียงแต่องคาพยพอื่น ๆ ที่เลือกยืนข้างเดียวกันกับรัฐบาล ต่างก็เห็นพ้องต้องกัน กับท่าทีไม่ลดดอกเบี้ยของ ธปท. หากเกิดผลกระทบกับเศรษฐกิจประเทศมากกว่านี้ ผู้ว่าการต้องรับผิดชอบ

เช่นเดียวกันกับเมื่อวันที่ 1 พ.ค.

ที่ผ่านมา ที่ประชุมคณะกรรมาธิการการเงิน การคลัง การธนาคารและสถาบันการเงิน ได้ทำหนังสือเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยมีผู้แทน ธปท., สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง, นายกสมาคมค้าทองคำ, สมาคมธนาคารไทย, สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสภาหอการค้าไทย ฯลฯ เพื่อเปิดประเด็นถกเถียงขึ้นอีกครั้ง

ทั้ง "ไชยา พรหมา" ส.ส.หนองบัวลำภู จากฝั่งเพื่อไทย ในฐานะประธานกรรมาธิการ เป็นผู้เปิดประเด็นตั้งคำถาม-โยงเรื่องหาคำตอบว่า "เหตุใดไม่ลดดอกเบี้ยนโยบาย

และถ้าหากเกิดผลกระทบกับเศรษฐกิจ ธปท.จะรับผิดชอบหรือไม่ ?"

ขณะที่พล-พรรคเพื่อไทยกล่าวย้ำ

การดำเนินงานของ ธปท. แบบ

Conservative เปรียบเสมือน "เด็กดื้อ"

ที่ใครเตือนก็ไม่ฟัง ตั้งใจจะทำในแบบของตนเองอย่างเดียว

ตลอดเวลาการประชุมกว่า 1 ชั่วโมง ทั้งห้องประชุมกรรมาธิการรุมซักถาม-

ยิงประเด็นถึง ธปท. โดยมักมีคำถามพ่วงท้ายว่า "หาก ธปท.ไม่ลดดอกเบี้ย ไม่มีมาตรการที่ชัดเจน แล้วประเทศเสียหาย ใครจะรับผิดชอบ ?"

นอกจากนี้ยังมีองคาพยพวงนอกของรัฐบาลอย่าง "วีรพงษ์ รามางกูร" ประธานคณะกรรมการ ธปท. ก็ออกมาเปิดเผยความในใจทำนองเดียวกันว่า หากเศรษฐกิจจะพังล้มละลาย นายกรัฐมนตรีก็ไม่สามารถรับผิดชอบต่อรัฐสภาได้ เพราะเป็นหน้าที่ของคณะกรรมการอิสระ

"ผมเคยตักเตือนแล้ว ดูในรายงานการประชุมได้ เริ่มตั้งแต่ปีที่แล้ว และตั้งคณะกรรมการมี นายคณิศ แสงสุพรรณ เป็นประธานคณะกรรมการให้สอบข้อเท็จจริงว่า ความเสียหายที่เกิดขึ้นกับงบดุล

ธนาคารนั้นเป็นอย่างไร จะแก้ไขอย่างไร และส่งให้ผู้ว่าการ ธปท. และให้แจ้งต่อ กนง. ซึ่งผู้ว่าการก็ดูไม่เดือดร้อน"

"ผมได้แสดงความหนักใจต่อที่ประชุมคณะกรรมการ จะให้ผมเป็นตัวกลางก็ไม่ใช่ เพราะผมก็เป็นผู้ใหญ่ ถ้าเขาฟังก็ดี

เขาไม่ฟังก็เสียหน้า เรื่องนี้ต้องฝากให้นายกรัฐมนตรีเป็นตัวกลาง และไม่อยากให้ไปถึงขั้นคณะรัฐมนตรี (ครม.) ถอดถอนกันเลย"

ขณะที่พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ตีความตามแบบฉบับฝ่ายค้านว่า เหตุที่ทั้งองคาพยพของรัฐบาลออกมาโจมตี ธปท. มีเหตุผลเหนือชั้นกว่าการปะทะคารมเรื่อง ลด-ไม่ลด ดอกเบี้ยนโยบาย

โดย "สรรเสริญ สมะลาภา" หนึ่งผู้เชี่ยวชาญด้านการเงิน การธนาคารฝั่ง ปชป. บอกว่า ความต้องการที่แท้จริง

ของรัฐบาล คือการสร้างกระแสจากทั้งองคาพยพ เพื่อกดดันให้ ผู้ว่าการ ธปท.ลาออก

"ประเด็นนี้มันใหญ่กว่าเรื่องดอกเบี้ย หากดูเรื่องราวมาตั้งแต่ต้นจะพบว่า ตั้งแต่ที่รัฐบาลเข้ามาทำงาน เขาพยายามสร้างแรงกดดันมาที่ ธปท.ตลอด ตั้งแต่สัญญาณจากนายวีรพงษ์อยากใช้เงินทุนสำรองระหว่างประเทศ ทั้งการกดดันให้ ธปท.แก้ปัญหาค่าเงินบาทอ่อนเมื่อปีที่แล้ว และตอนนี้ก็เรื่องแก้บาทแข็ง"

"เหตุผลทุกอย่างทำให้ผมเข้าใจได้อย่างเดียวว่า การสร้างข้ออ้างเพื่อปลดผู้ว่าการ ธปท. และถามว่าจะทำเพื่ออะไร ผมเชื่อว่าเขาต้องการหาคนที่ควบคุมได้ มาช่วยรัฐบาลนำเงินทุนสำรองระหว่างประเทศออกมาใช้ในการดำเนินโครงการต่าง ๆ"

ทั้งหมดเป็นสัญญาณเสียงถึง ธปท.

ที่มีทั้งดอกไม้ ก้อนอิฐ แฝงนัยทั้งคำถาม คำขู่ และความในใจ

เป็นถ้อยคำที่ "ประสาร" ต้องพินิจ พิเคราะห์ และประมวลผลว่า สุดท้ายจะพิจารณาหาทางออกให้กับตนเอง และ ธปท. อย่างไร

ที่มา.ประชาติธุรกิจ
////////////////////////////////////////////////////////////

วันเสาร์ที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ดันวายุภักษ์ 2 เข้า ครม.


 สคร.ชง “โต้ง” เคาะจัดตั้งวายุภักษ์ 2 เข้า ครม. การันตีผลตอบแทนไม่ต่ำกว่า 6%
   
นายประสงค์ พูนธเนศ ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) เปิดเผยว่า สคร.ได้สรุปแผนการจัดตั้งกองทุนวายุภักษ์ 2 เสนอให้ นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.การคลัง พิจารณาแล้ว โดยคาดว่ากระทรวงการคลังน่าจะเสนอให้คณะรัฐมนตรี (ครม.)  พิจารณาเร็วๆ นี้ และหากเป็นไปตามขั้นตอนที่วางไว้ มั่นใจว่าจะสามารถเปิดขายหน่วยลงทุนได้ภายในปีนี้แน่นอน
   
ทั้งนี้ ยืนยันว่าผลตอบแทนการลงทุนในกองทุนวายุภักษ์ 2 อยู่ในเกณฑ์ที่ดี โดยจะไม่ต่ำกว่า 3-6% แน่นอน โดยรูปแบบการจ่ายผลตอบแทน จะมีการกำหนดอัตราขั้นต่ำและขั้นสูงแก่ผู้ถือหน่วยลงทุน รวมถึงกองทุนฯ จะมีการรับประกันผลตอบแทนด้วยตัวเอง ซึ่งแตกต่างจากกองทุนวายุภักษ์ 1 ที่กระทรวงการคลังเป็นผู้รับประกันผลตอนแทนจากการลงทุน โดยขนาดของกองทุนจะอยู่ที่ 3-5 แสนล้านบาท
   
หลักการเบื้องต้น เป็นกองทุนแบบเปิด ซึ่งเป็นการแปรสภาพมาจากกองทุนวายุภักษ์ 1 ที่กำลังจะหมดอายุในวันที่ 1 ธ.ค.2556” นายประสงค์กล่าว
   
สำหรับกรอบการลงทุนของกองทุนวายุภักษ์ 2 เบื้องต้นจะยังเน้นการลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำ หรือโครงการที่มีผลตอบแทนดี รวมถึงอาจเข้าไปลงทุนในโครงการต่างๆ ตามการลงทุนของรัฐบาล.

ที่มา.ไทยโพสต์
////////////////////////////////////////////

ค่าเงินบาท !!?

นับตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว เงินบาทมีความผันผวนและแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็วจากอยู่ที่ประมาณ 30.63 บาท ต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐ ในเดือนธันวาคม 2555มาอยู่ที่อัตราอ้างอิงเฉลี่ยประมาณ......

29.51 บาท ต่อ 1 ดอลลาร์ ในเดือน มี.ค. 56

29.07 บาท ต่อ 1 ดอลลาร์ ในเดือน เม.ย.56 และ

29.41 บาท ต่อ 1 ดอลลาร์ เมื่อ 2 พ.ค. 56 ที่ผ่านมานี้

โดยอัตราอ้างอิงเงินบาทเฉลี่ยทั้งปี ต่อ 1 ดอลลาร์ ในรอบ 10 ปี ที่ผ่านมา มีดังนี้



ที่มา : ธนาคารแห่งประเทศไทย (http://www2.bot.or.th/statistics/ReportPage.aspx?reportID=123&language=th (30 เม.ย. 56)

………………………….

ย้อนกลับไปประมาณร้อยปีที่แล้ว พ.ศ. 2451(สมัยรัชกาลที่ 5)ค่าเงิน 1 ดอลลาร์สหรัฐ เท่ากับ 2.69บาท...เพื่อที่จะเข้าใจเส้นทางเดินของอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทไทยกับเงินดอลลาร์สหรัฐ จาก 1 ดอลลาร์สหรัฐ เท่ากับ 2.69 บาท ในปี 2451..มาอยู่ในระดับอ่อนที่สุดประมาณ 56 บาทต่อดอลลาร์ ในเดือนมกราคม ปี 2541 หลังเกิดวิกฤติต้มยำกุ้งปี 2540 และปัจจุบัน(2 พ.ค. 56) อยู่ที่ประมาณ 29.41บาท ต่อ 1 ดอลลาร์..เราจำเป็นต้องเริ่มมองจากภาพใหญ่ก่อน คือ ระบบการเงินระหว่างประเทศ(International Financial System)

ระบบการเงินระหว่างประเทศสมัยใหม่ เริ่มต้นประมาณศตวรรษที่19 อันเป็นผลสืบเนื่องจากการปฏิวัติอุตสาหกรรมในยุโรป ทำให้การค้าขายภายในและระหว่างประเทศเจริญเฟื่องฟูขึ้นมาก ขณะที่ในแต่ละประเทศมีสกุลเงินตราของตัวเอง ดังนั้นจึงจำเป็นต้องสร้างระบบการเงินระหว่างประเทศ ที่เป็นมาตรฐานสากลอันเป็นที่ยอมรับโดยทั่วไปขึ้นมา เพื่อคำนวณหาอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศ ช่วยอำนวยความสะดวกในการทำธุรกรรมการค้าระหว่างประเทศที่กำลังขยายตัวมากขึ้นๆ ในช่วงเวลาดังกล่าว นับจากนั้นมาถึงปัจจุบัน พัฒนาการของระบบการเงินระหว่างประเทศแบ่งได้เป็น 4 ยุคสมัย

ยุคแรก:­­­­­ระบบมาตรฐานทองคำ ช่วงปี พ.ศ. 2413-2457(The Gold Standard : 1870-1914)คือ วิธี

เงินตรา(วิธีที่กำหนดค่าของเงินตราสกุลใดสกุลหนึ่งเทียบกับเงินตราของอีกสกุลหนึ่ง) อันกำหนดให้แต่ละประเทศที่อยู่บนระบบนี้ต้องมีกฎหมายกำหนดให้ใช้ทองคำเป็นมาตรฐานกำหนดค่าของเงินหนึ่งหน่วยเท่ากับทองคำบริสุทธิ์เป็นจำนวนที่แน่นอน ซึ่งเรียกว่า“การกำหนดอัตราค่าเสมอภาค” (Par Value)

ยกตัวอย่างเช่น ช่วงเวลานั้นที่ระบบการเงินระหว่างประเทศกำลังใช้ระบบมาตรฐานทองคำ

อังกฤษ กำหนดอัตราค่าเสมอภาค1 ปอนด์ เท่ากับ ทองคำบริสุทธิ์หนัก 7.32237 กรัม

สหรัฐอเมริกา กำหนดอัตราค่าเสมอภาค 1 ดอลลาร์สหรัฐเท่ากับทองคำบริสุทธิ์หนัก 1.50465กรัม

สำหรับประเทศไทย พระราชบัญญัติมาตรฐานทองคำ ร.ศ. 127 กำหนดให้เงินบาทมีราคาเท่ากับทองคำบริสุทธิ์หนัก 0.558กรัม

ดังนั้น การคำนวณอัตราแลกเปลี่ยนระหว่างเงินตราสกุลปอนด์ต่อเงินตราสกุลบาท ก็คือ การเอาค่าเทียบเท่าน้ำหนักทองคำของค่าเงินหนึ่งปอนด์ คือ 7.32233 หารด้วยค่าเทียบเท่าน้ำหนักทองคำของค่าเงินหนึ่งบาท คือ 0.558 (7.32233 / 0.558 = 13.12)

ดังนั้นด้วย พระราชบัญญัติมาตรฐานทองคำ ร.ศ. 127 (พ.ศ.2451) อัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทต่อเงินปอนด์จึงเท่ากับ 13.12 บาท ต่อ 1 ปอนด์ในเวลานั้น

หรือ ถ้าจะคำนวณอัตราแลกเปลี่ยนระหว่างเงินตราสกุลดอลลาร์สหรัฐต่อเงินตราสกุลบาท ก็คือ การเอาค่าเทียบเท่าน้ำหนักทองคำของเงินหนึ่งดอลลาร์ ซึ่งในเวลานั้นประเทศสหรัฐอเมริกา กำหนดอัตราค่าเสมอภาค(Par Value) 1 ดอลลาร์สหรัฐ เท่ากับ ทองคำบริสุทธิ์หนัก 1.50465กรัม เมื่อนำมาหารด้วยค่าเทียบเท่าน้ำหนักทองคำของค่าเงิน 1บาท คือ 0.558 กรัม ก็จะสามารถคำนวณอัตราแลกเปลี่ยนระหว่างเงินตราสกุลดอลลาร์สหรัฐต่อเงินตราสกุลบาทได้ เท่ากับ 1.50465 / 0.558 = 2.69 ทำให้ ค่าเงิน 1 ดอลลาร์สหรัฐ เท่ากับ 2.69 บาทตามที่กฎหมายกำหนด (พระราชบัญญัติมาตรฐานทองคำ ร.ศ. 127) ณ เวลานั้น

ในระบบมาตรฐานทองคำนอกจากจะให้แต่ละประเทศกำหนดอัตราค่าเสมอภาคต่อน้ำหนักทองคำแล้ว ยังกำหนดให้ประเทศต่างๆ ต้องรักษาระดับเงินทุนสำรองที่เป็นทองคำให้เพียงพอกับจำนวนธนบัตรที่พิมพ์ออกใช้ เพื่อเป็นการรักษาเสถียรภาพของค่าเงินในประเทศนั้น

เช่น ประเทศไทยกำหนดอัตราค่าเสมอภาค(Par Value) 1 บาท เท่ากับทองคำบริสุทธิ์หนัก 0.558 กรัม ดังนั้นถ้าต้องการจะพิมพ์ธนบัตรเพิ่ม 1 ล้านบาท เพื่อนำออกใช้หมุนเวียนในระบบการเงิน ประเทศไทยต้องหาปริมาณทองคำเข้ามาสำรองเก็บในท้องพระคลังเพิ่มอีก 0.558 ล้านกรัม หรือ 558,000กรัม (เท่ากับ558กิโลกรัม หรือประมาณ ครึ่งตัน) เพื่อให้เป็นไปตามข้อกำหนดของระบบมาตรฐานทองคำ

ยุคที่สอง : ระบบการเงินระหว่างประเทศช่วงสงครามโลก พ.ศ.2457-2488 (The Interwar Years:1914 –1945) ระยะเวลานี้เป็นช่วงที่ระบบการเงินระหว่างประเทศมีความยุ่งเหยิง อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากภาวะสงครามโลกทั้งสองครั้ง (ครั้งที่ 1 ปี1914-1919 และครั้งที่ 2 ปี1939-1945)ทำให้ระบบมาตรฐานทองคำที่เคยใช้อยู่ก่อนหน้านั้น ประสบความยุ่งเหยิงวุ่นวายไปด้วย สาเหตุต่าง ๆ ดังนี้

1)บรรดาประเทศต่างๆที่อยู่บนระบบมาตรฐานทองคำต้องนำทองคำที่ใช้เป็นทุนสำรองหนุนค่า

เงินตราของตนออกมาใช้ในกิจการสงคราม เพื่อซื้ออาวุธและยุทธ์ปัจจัยทางสงครามต่าง ๆ

2)มีการห้ามการส่งออกทองคำในประเทศต่างๆ เพราะกลัวว่าจะสูญเสียทองคำที่จะต้องใช้ชำระ

ค่าใช้จ่ายในการทำสงคราม ซึ่งนำไปสู่การขาดแคลนทองคำขึ้นในเวลานั้น

3)ผลจาก ข้อ1) และ 2) ทำให้แต่ละประเทศที่อยู่บนระบบมาตรฐานทองคำมาตกลงเจรจาเพื่อ

อนุญาตเงินตราของแต่ละสกุลที่อยู่บนระบบนี้ สามารถเคลื่อนไหวขึ้นลงได้ในช่วงที่กว้างขึ้นกว่าเดิม

4)ผลจาก ข้อ 3) ทำให้เกิดผลเสียมากว่าผลดี เพราะถึงแม้ว่าการกระทำดังกล่าวจะทำให้ค่าเงิน

สกุลตราต่างๆมีความยืดหยุ่นมากขึ้น แต่กลับเป็นการเปิดช่องทางให้นักเก็งกำไรค่าเงิน ใช้โอกาสตรงนี้เก็งกำไรค่าเงินตราระหว่างประเทศ สร้างแรงกดดันให้เงินตราที่สกุลอ่อน ให้อ่อนค่าลงไปเรื่อยๆ ขณะที่เงินตราสกุลแข็ง ก็ถูกปั่นให้มีค่าสูงเกินกว่าความเป็นจริง ผลที่ตามมาก็คือ ระบบการเงินระหว่างประเทศเกิดความไร้เสถียรภาพมากยิ่งขึ้น ๆ

ประเทศไทยก็หนีไม่พ้นผลกระทบดังกล่าว ทำให้ต้องมีการปรับปรับแก้ไขกฎหมายเกี่ยวกับเงินตราที่กระจัดกระจายกันอยู่หลายฉบับ ให้มารวมกันเป็นฉบับเดียว เพื่อความเป็นเอกภาพและมีประสิทธิภาพในการกำหนดกฎเกณฑ์เกี่ยวกับวิธีเงินตราของประเทศในเวลานั้น

ในปี พ.ศ. 2471 ช่วงรัชกาลที่ 7 ได้มีการตร “พระราชบัญญัติเงินตรา พ.ศ. 2471” ซึ่งสาระสำคัญข้อหนึ่งคือ การประกาศยกเลิก พระราชบัญญัติมาตรฐานทองคำ ร.ศ.127 และกำหนดให้ค่าเงินหนึ่งบาทมีราคาเท่ากับทองคำบริสุทธิ์หนัก 0.66567 กรัม จากเดิมที่พระราชบัญญัติมาตรฐานทองคำ ร.ศ.127 ได้เคยกำหนดไว้ให้เงินหนึ่งบาทมีราคาเท่ากับทองคำบริสุทธิ์หนัก 0.558กรัม ด้วยบทบัญญัติดังกล่าว ทำให้การคำนวณอัตราแลกเปลี่ยนระหว่างเงินตราสกุลบาทกับสกุลต่างประเทศต้องเปลี่ยนไปด้วย เช่น

ขณะที่ สหรัฐ ยังคงกำหนดอัตราค่าเสมอภาค (Par Value) 1 ดอลลาร์ เท่ากับทองคำบริสุทธิ์หนัก 1.50465กรัมเท่าเดิมอยู่

ประเทศอังกฤษ ยังคงกำหนดอัตราค่าเสมอภาค (Par Value) 1 ปอนด์ เท่ากับ/ต่อ ทองคำบริสุทธิ์หนัก 7.3223 กรัมเท่าเดิมอยู่

ประเทศไทย ได้ปรับเปลี่ยนการกำหนดอัตราค่าเสมอภาค (Par Value) ใหม่ เป็น1บาท เท่ากับทองคำบริสุทธิ์หนัก0.66567กรัม ด้วยวิธีการคำนวณที่กล่าวมาข้างต้น จึงทราบได้ว่า เงิน 1 ดอลลาร์มีค่าตามกฎหมายเท่ากับ 2.26 บาท(1.50465/0.66567 = 2.26) และ เงิน 1 ปอนด์ก็มีค่าตามกฎหมายเท่ากับ 11 บาท (7.32237/0.66567 = 11)ในเวลานั้น พ.ศ. 2471

ภายหลังจากที่มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติเงินตรา พศ. .2471 ต่อมาในเดือนกันยายน พ.ศ. 2474 ประเทศอังกฤษได้ออกจากมาตรฐานทองคำ กล่าวคืออังกฤษประกาศงดการจ่ายทองคำแลกเปลี่ยนกับเงินสกุลปอนด์สเตอร์ลิงค์ การที่อังกฤษเลิกใช้มาตรฐานทองคำนั้น ทำให้เงินปอนด์มีค่าลดลง ในขณะที่เงินบาทยังคงมีค่าเท่าเดิม เพราะประเทศไทยยังอยู่ในระบบมาตรฐานทองคำ จากเดิมที่มีค่าประมาณ 11 บาทต่อ 1 ปอนด์ แข็งค่าขึ้นเป็นประมาณ 8-9 บาทต่อปอนด์ ซึ่งส่งผลกระทบต่อการค้าของไทยกับต่างประเทศ โดยเฉพาะรายได้ของเกษตรกรจากการขายข้าวและรายได้ของรัฐบาล

ดังนั้นในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2475 ประเทศไทยจึงยกเลิกการกำหนดอัตราค่าเสมอภาค(Par Value) ค่าเงิน 1 บาทกับน้ำหนักทองคำ(ระบบมาตรฐานทองคำ)โดยออกพระราชบัญญัติเงินตราแก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2475เปลี่ยนวิธีเงินตราที่ผูกค่าเงินบาทไว้กับน้ำหนักทองคำ เป็นผูกไว้กับค่าของเงินปอนด์แทน ที่เรียกว่า“มาตรปริวรรตปอนด์สเตอร์ลิงค์”(Sterling Exchange Standard)คือ การกำหนดค่าของเงินบาทเทียบเงินปอนด์สเตอร์ลิงค์ ไว้ที่อัตรา 11บาทต่อ1 ปอนด์สเตอร์ลิงค์ ส่วนการกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราสกุลบาทกับเงินตราสกุลต่างประเทศอื่นๆ จะเป็นเท่าไรนั้น รัฐบาลจะประกาศเป็นครั้งคราวไป

พระราชบัญญัติเงินตรา พศ. .2471 ได้มีถูกปรับปรุง แก้ไขเพิ่มเติมทั้งหมด 9 ครั้งเพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ระบบการเงินระหว่างประเทศในช่วงสงครามโลกที่มีความผันแปรเป็นอย่างยิ่งโดยฉบับแก้ไขเพิ่มเติมครั้งสุดท้ายคือ “พระราชบัญญัติเงินตรา (ฉบับที่ 10) พ.ศ.2487”หนึ่งปีก่อนที่สงครามโลกครั้งที่สองจะสิ้นสุดลงในปี 2488 .......



ที่มา.นสพ.แนวหน้า
///////////////////////////////////////////////////

เศรษฐกิจยูโร ถดถอยเกินคาด !!?


เศรษฐกิจยูโรโซน,ถดถอย
เศรษฐกิจในเขตยูโรโซนอาจถดถอยเกินกว่าที่คาดไว้ในปีนี้ จีดีพีฝรั่งเศสส่อเค้าติดลบ ส่วนกรีซคาดหลุดภาวะถดถอยปีหน้า

คณะกรรมาธิการยุโรป คาดว่าเศรษฐกิจในเขตยูโรโซน 17 ประเทศจะหดตัวลงเกินกว่าที่คาดในปีนี้ โดยผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศหรือจีดีพี จะลดลง 0.4% จากที่เคยคาดการณ์ไว้ก่อนหน้าว่าจะติดลบ 0.3% ส่วนอัตราการว่างงานไม่เปลี่ยนแปลงที่ระดับ 12%

แต่สถานการณ์ในปี 2557 จะดีขึ้น โดยคาดว่าเศรษฐกิจจะเติบโต 1.2% ซึ่งยังต่ำกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้ในเดือนกุมภาพันธ์เล็กน้อย

ขณะที่ในรายประเทศนั้น คาดว่าเศรษฐกิจฝรั่งเศสจะเข้าสู่ภาวะถดถอยด้วยตัวเลขติดลบ 0.1% ปีนี้ ผลจากความต้องการภาคครัวเรือนที่อ่อนแอ ส่วนการว่างงานเพิ่มขึ้นจาก 10.6% ปีนี้ เป็น 10.9% ปีหน้า ขณะที่ปีหน้านั้น ฝรั่งเศสจะกลับมาขยายตัวได้ที่ 1.1%

ส่วนเศรษฐกิจของกรีซที่ถดถอยมาถึงหกปี คาดว่าจะกลับมาขยายตัวปีหน้าที่ 0.6% หลังจากปีนี้คาดว่าจะติดลบ 4.2% สำหรับไซปรัสจะถดถอยหนัก ด้วยจีดีพีที่ติดลบรวมกัน 15% ระหว่างปี 2555-2558

ด้านสเปนคาดว่าจะติดลบ 1.5% ปีนี้ ก่อนกระเตื้่องขึ้นมาขยายตัว 1.4% ปีหน้า

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
//////////////////////////////////////////////////////

วันศุกร์ที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ปูออกศึก !!?


กลายเป็นเรื่องกล่าวขวัญพูดถึงกันสนั่นเมือง..เรื่องที่นายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ไปปาฐกถาพิเศษในประเทศมองโกเลียเกี่ยวของความเป็นประชาธิปไตย

ความเป็นประชาธิปไตยมีความสำคัญต่อดิฉันอย่างมากและที่สำคัญยิ่งกว่าคือความไม่เป็นประชาธิไตยมีผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนในประเทศบ้านเกิดของดิฉันประเทศไทยที่ดิฉันรัก
รัฐบาลของประชาชนโดยประชาชนและเพื่อประชาชนไม่ได้ได้มาฟรีๆ สิทธิเสรีภาพความเชื่อที่ว่ามนุษย์ทุกคนไม่ว่าชายหรือหญิงมีความเท่าเทียมกันนั้นได้มาด้วยการต่อสู้และที่น่าเศร้าใจคือทำไมต้องมีผู้เสียชีวิต

บางตอนเป็นคำถาม เช่น รัฐบาลที่ได้รับการเลือกตั้งถึงสองครั้งสองหนด้วยเสียงส่วนใหญ่ถูกล้มลงในปี 2006 ประเทศไทยเสมือนรถไฟตกรางและประชาชนคนไทยใช้เวลาเกือบ 10ปีกว่าจะได้เสรีภาพแห่งประชาธิปไตยกลับคืนมา

ตลอดเวลาเกือบสองปี นายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ เกือบจะไม่มีการก้าวก่ายองค์กรอิสระ..แต่ในปาฐกถาหนนี้..นายกรัฐมนตรีจัดไปเต็มด้วยประโยคที่ว่า..จำนวนครึ่งหนึ่งของวุฒิสภาไทยมาจากการเลือกตั้งแต่อีกครึ่งหนึ่งกลับได้รับการแต่งตั้งโดยกลุ่มคนเล็กๆ กลุ่มหนึ่ง

ยิ่งกว่านั้นกลไกที่เรียกว่าองค์กรอิสระได้ใช้อำนาจเกินขอบเขตแทนประชาชนเจ้าของอำนาจที่แท้จริง เป็นการดำเนินการเพื่อคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งมากกว่าเพื่อส่วนรวมของสังคม

และทีเด็ดที่สำคัญ..คือการใช้สังคมโลกมาพิทักษ์ประชาธิปไตยของประเทศ คือ การกดดันจากนานาชาติที่เชื่อในระบอบประชาธิปไตยทำให้กระบวนการประชาธิปไตยในประเทศไทยคงอยู่ใต้การคว่ำบาตรและการไม่ยอมรับเป็นกลไกสำคัญ

ก็ต้องยอมรับว่า..ปาฐกถาของนายกรัฐมนตรีในมาดปูดำออกศึกคราวนี้..เป็นก้าวแรกของการจะเป็นนายกรัฐนตรีที่สมบูรณ์แบบที่สุด

และใครก็ตาม..ที่คิดจะมีอำนาจแบบรวบรัดตัดตอน..คำเตือนก็คือ..คิดให้ดีและนานๆ ที่สุด

โดย.พญาไม้.บางกอกทูเดย์
///////////////////////////////////////////

ฝ่าสมรภูมิ สินเชื่อ เอสเอ็มอี !!?


ตลาดสินเชื่อเอสเอ็มอีในวันนี้ หลายธนาคารที่เป็นผู้เล่นหลักในตลาดนี้เริ่มขยับในทิศทางเดียวกัน โดยพุ่งไปที่กลุ่มเป้าหมายไล่ไซซ์ธุรกิจ ขยายไปสู่เอสเอ็มอีรายเล็กและรายจิ๋ว ที่มียอดขายประมาณไม่เกิน 50 ล้านบาท หรือยอดสินเชื่อประมาณ 10-20 ล้านบาท

การแข่งขันที่เกิดขึ้นในวันนี้จึงเห็นแพ็กเกจสินเชื่อเอสเอ็มอีที่พุ่งตรงไปยังกลุ่มเป้าหมายที่เป็นธุรกิจขนาดเล็กเป็นหลัก ล่าสุดจากธนาคารทหารไทย (ทีเอ็มบี) ที่ออกสินเชื่อ "3 เท่า 3 ก๊อก" ก๊อก 1 ให้ทั้งวงเงิน 3 เท่าของหลักประกัน ก๊อก 2 ให้วงเงินเสริมเผื่อฉุกเฉินอีก 15% และก๊อก 3 หากขยายกิจการก็ให้กู้ได้อีก 1 เท่า แพ็กเกจสินเชื่อนี้เจาะกลุ่มธุรกิจที่มีรายได้ไม่เกิน 50 ล้านบาท/ปี

"ปพนธ์ มังคละธนะกุล" ประธานเจ้าหน้าที่บริหารเอสเอ็มอีและซัพพลายเชน ธนาคารทหารไทย (ทีเอ็มบี) บอกว่า การแข่งขันในตลาดเอสเอ็มอีรายเล็กตอนนี้ยังถือว่าไม่แรงมาก เพราะต้องปรับระบบงานพอสมควร เช่น ปล่อยสินเชื่อวงเงิน 2-3 ล้านบาท ต้องมีวิธีอนุมัติให้เร็ว ภายในเวลาราว 2 สัปดาห์ ฉะนั้นโมเดลสินเชื่อต้องชัด และคุมความเสี่ยงให้ได้ เพราะตลาดนี้มีสเปรดดี แต่ก็ต้องบริหารต้นทุนให้ได้ด้วย

"เราตัดสินใจทำเรื่องซัพพลายเชนกันใหม่มาตั้งแต่ 4-5 ปีที่แล้ว ก็ต้องจัดการระบบกันมากพอสมควร ตอนนี้ก็เห็นธนาคารพาณิชย์หลายแห่งเริ่มปรับแล้ว จึงเชื่อว่าปีหน้าคงจะแข่งขันกันหนักขึ้น" ปพนธ์กล่าว

สอดคล้องกับสิ่งที่ "พัชร สมะลาภา" รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า ตลาดนี้เป็นส่วนที่หลายธนาคารยังไม่ค่อยได้เข้ามาจับอย่างจริงจัง แม้จะมีสเปรดสูง แต่ความเสี่ยงก็สูง ที่ผ่านมาจึงยังไม่ค่อยมีธนาคารใดเข้ามาจับตลาดนี้ เพราะติดข้อจำกัดด้านการประเมินความเสี่ยง เช่น แผนธุรกิจ หลักประกัน และหลักฐานการเดินบัญชี (Statement)

"เรื่องการเดินบัญชีเป็นข้อจำกัดใหญ่สำหรับการขอสินเชื่อของธุรกิจรายเล็ก ทำให้ล่าสุดธนาคารออกสินเชื่อ "SME กู้ง่ายหมดกังวลเรื่องเดินบัญชี" ซึ่งสามารถใช้เอกสารอื่น เช่น ใบเสร็จรับเงิน ใบสั่งซื้อสินค้า รวมถึงเข้าพบลูกค้าเพื่อสำรวจกิจการและสต๊อกสินค้าแทนได้ สำหรับเอสเอ็มอีที่ต้องการวงเงินตั้งแต่ 5 แสน-10 ล้านบาท ก็จะเป็นอีกวิธีที่จะเข้าถึงลูกค้าในกลุ่มรายเล็กได้ลึกขึ้น เพราะในพอร์ตเรามีสินเชื่อกลุ่มรายเล็กและไมโครอยู่ถึง 50%" พัชรกล่าว

เช่นเดียวกับธนาคารกรุงศรีอยุธยา ที่ใช้โมเดล "กรุงศรี แวลูเชน โซลูชั่นส์" โดยต่อยอดจากฐานลูกค้าเดิม ไปสู่กลุ่มที่เป็นซัพพลายเออร์รายย่อย ๆ ลงไป ซึ่งธนาคารต้องการขยายตลาดสินเชื่อธุรกิจรายเล็กและรายย่อย วงเงินสินเชื่อไม่เกิน 30 ล้านบาท เพราะเป็นตลาดที่ให้มาร์จิ้นสูง ซึ่งธนาคารได้ปรับมาใช้ระบบ "One Scan" ที่เข้ามาช่วยเรื่องพิจารณาสินเชื่อรายย่อยให้เร็วขึ้น ทราบผลใน 3 วัน และจะพยายามทำให้เร็วขึ้นเป็น 2 วันให้ได้ในปีนี้

แนวทางนี้ใกล้เคียงกับ "ธนาคารกรุงไทย" ที่เร่งปรับปรุงขั้นตอนการทำงานเพื่ออนุมัติสินเชื่อได้เร็วขึ้นสำหรับกลุ่มที่ต้องการวงเงิน 10-20 ล้านบาท โดยจะทำโมเดลพิจารณาสินเชื่อไว้ล่วงหน้าเพื่อให้ทำงานได้เร็วขึ้น ซึ่งตั้งเป้าหมายขยายพอร์ตนี้จาก 18% ให้เป็น 30% ของพอร์ตรวมในปีนี้

นอกจากนี้อีก 2 ค่ายอย่าง "ธนาคารไทยพาณิชย์" และ "ธนาคารกรุงเทพ" ก็เป็นอีกสองผู้เล่นในตลาดที่ละสายตาไม่ได้ แม้ช่วงนี้จะยังไม่มีความเคลื่อนไหวใหม่ออกมาให้เชยชมก็ตาม

ทั้งหมดนี้เป็นสัญญาณที่บอกว่า ตลาดสินเชื่อเอสเอ็มอีไซซ์เล็ก-จิ๋ว จะยังเป็น "โฟกัส" ที่สำคัญของหลายแบงก์ เพื่อสร้างทั้งโอกาส รายได้ และกำไรให้ดีในช่วงต่อไป แล้วแน่นอนว่าการวิ่งเข้าสู่สมรภูมินี้ย่อมตามมาด้วยการแข่งขันที่ดุเดือดเช่นกัน

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
///////////////////////////////////////////////////////

วันพฤหัสบดีที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

อุกฤษ. ปลุกอำนาจนิติบัญญัติ-บริหาร อารยะขัดขืน คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ !!?


ในอดีต อุกฤษ มงคลนาวิน ประธานคณะกรรมการอิสระว่าด้วยการส่งเสริมหลักนิติธรรมแห่งชาติ (คอ.นธ.) เคยเป็นประธานสภาผู้แทนราษฎร เคยเป็นประธานตุลาการรัฐธรรมนูญ สวมหมวกทั้งประมุขนิติบัญญัติ และประมุขผู้ชี้ขาดกฎหมาย-ปัญหาที่ขัดแย้งกับรัฐธรรมนูญ

ในปัจจุบัน เมื่อฝ่ายนิติบัญญัติขัดแย้งกับฝ่ายตุลาการ เจาะจงที่ศาลรัฐธรรมนูญเป็นการเฉพาะ ในเกมอำนาจที่ก้าวก่ายซึ่งกันและกัน

"อุกฤษ" จึงร่อนจดหมายเปิดผนึก 4 ข้อ แนะนำให้มีการลดอำนาจ-ปฏิรูปศาลรัฐธรรมนูญ เขาเปิดอาณาจักร "Navin Court" ย่านเพลินจิต ไขรหัสสาระของจดหมายเปิดผนึกดังกล่าว

และเขายังแนะนำให้ฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหารอารยะขัดขืน ไม่ยอมรับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ไม่ว่ากรณีใด ๆ

- ทำไมถึงมีจดหมายเปิดผนึก 4 ข้อปฏิรูปศาลรัฐธรรมนูญในตอนนี้

ที่จริงเราคิดกันมาก่อนนานแล้ว เพราะมีหลายกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่ากฎหมายบางมาตราขัดรัฐธรรมนูญ เช่น พ.ร.บ.ความร่วมมือระหว่างประเทศในเรื่องทางอาญา พ.ศ. 2535 ใช้บังคับ

ไม่ได้ ทั้งที่กฎหมายดังกล่าวมีการบังคับใช้มานาน ทำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องไปแก้ไขกฎหมายเกินกว่า 100 ฉบับ ซึ่งการแก้ไขกฎหมายแต่ละฉบับไม่ใช่เรื่องง่าย และทำให้ขณะนั้นการทำงานต่าง ๆหยุดชะงักลง เพราะคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญผูกพันทุกองค์กร ทั้งที่ตัดสินด้วยคะแนนเสียง 5 ต่อ 4 มันเฉียดฉิวมาก

กรณีสำคัญอย่างนี้ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 216 บอกว่า องค์ประชุม 9 คน ต้องมี 5 คน ถือว่าครบองค์ประชุม แต่คะแนนเสียงใช้เสียงข้างมากธรรมดา เช่น องค์ประชุม5 คน ใช้คะแนนเสียง 3 ต่อ 2 ได้ อย่างนี้มันไม่ถูก จึงคิดว่ามี 2 แนวทางที่จะทำให้ศาลรัฐธรรมนูญรอบคอบมากขึ้น 1.องค์คณะ 9 คน จะต้องมีคะแนนเสียงเป็นเสียงข้างมากในการวินิจฉัยเด็ดขาด 7 ต่อ 2 หรือ 8 ต่อ 1 2.แก้ไขรัฐธรรมนูญเฉพาะองค์ประกอบตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเป็น 15 คน มีองค์คณะในการประชุมตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป และการวินิจฉัยต้องใช้เสียงข้างมากเด็ดขาดไม่ต่ำกว่า 10 เสียงซึ่งตุลาการที่เพิ่มมา 6 คน ก็ให้ผ่านกระบวนการรัฐสภาในการคัดเลือก

เพื่อเป็นการยึดโยงประชาชน และไม่ควรมีวาระนานเกินไป 4 ปี หรือมีสิทธิ์อีก 1 วาระ ไม่เกิน 8 ปี ส่วนที่ตุลาการบางท่านบอกว่า เหมือนคนดูมาไล่กรรมการ แต่ถ้ายกตัวอย่างในสมัยก่อน การแข่งฟุตบอล คนดูเชื่อกรรมการ ต่อให้คนเห็นว่าลูกนี้ไม่สมควรได้ลูกโทษก็ตาม เพราะกรรมการตัดสินแล้วก็แล้วไป คนดูก็ไม่ว่าอะไร ตอนหลังพฤติการณ์มันหนักขึ้น ๆ เพราะการตัดสินมันผิดพลาดมาก

หลายครั้งกลายเป็นว่ากรรมการกับไลน์แมนลงมาเล่นด้วย เล่นทีไร อีกทีมหนึ่งก็แพ้ทุกที ผลคืออะไร คนดูทนไม่ได้ใช่ไหม เหตุการณ์เช่นนี้กำลังเกิดขึ้นกับศาลรัฐธรรมนูญของไทย มันพิสูจน์ได้โดยคำวินิจฉัยของศาลเอง

การที่สมาชิกรัฐสภาเคลื่อนไหวไม่รับอำนาจศาลรัฐธรรมนูญก็เป็นสิทธิ์ที่เขาทำได้ เพราะเขาเป็นองค์กรนิติบัญญัติ เป็น 1 ใน 3 อำนาจสำคัญของบ้านเมือง ศาลรัฐธรรมนูญเป็นศาลพิเศษ ไม่ใช่อยู่ในองค์กรสำคัญของบ้านเมือง ดังนั้น ทำซ้ำซากเขาไม่ยอมรับ ถ้าต่อไปใช้คำว่าอารยะขัดขืน ไม่ให้ความร่วมมือ ไม่ฟังคำสั่งของศาลรัฐธรรมนูญที่สั่งให้ชี้แจง จะเรียกว่าอารยะขัดขืนได้ไหม ให้ไปลองคิดกันดู

- เมื่อรัฐธรรมนูญระบุว่าคำวินิจฉัยของศาลผูกพันทุกองค์กร แล้วอารยะขัดขืนจะใช้ช่องทางไหน

ก็ใช้ช่องทางเหมือนกับพรรคประชาธิปัตย์ไม่ส่งคนลงเลือกตั้ง หรือตอนที่ฉีกบัตรเลือกตั้ง มันเป็นช่องทางที่เป็นพฤติการณ์เรียกว่าขัดขืน เพราะคำวินิจฉัยไม่ชอบด้วยกฎหมาย เขาก็มีสิทธิ์ไม่รับฟัง ก็ให้สังคมเป็นผู้วินิจฉัยว่าฝ่ายใดเป็นฝ่ายผิดถูก เพราะเหตุว่ามันไม่มีศาลอื่นที่จะพิจารณาเรื่องนี้ได้อีกแล้ว ไม่มีศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกา แต่ศาลรัฐธรรมนูญมีศาลเดียว

เมื่อมันหมดทาง ก็มีนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหาร ฝ่ายตุลาการ ที่จะหาทางแก้ไขยับยั้ง ทางสุดท้ายคือประชาชนที่จะรับหรือไม่รับอันนี้ เพราะระบอบประชาธิปไตยถือประชาชนเป็นใหญ่

- เมื่อเห็นว่าตุลาการศาลรัฐธรรมนูญออกมานอกเลนแบบนี้ แล้วสุดท้ายศาลกลับตัดสินยุบพรรคเพื่อไทยอีกรอบ จะอารยะขัดขืนอย่างไร

ก็เขาไม่รับ ถามจริงเถอะ ถ้าตัดสินอย่างนี้ ใครเป็นคนบังคับคดีได้ (เน้นเสียง) ศาลรัฐธรรมนูญไม่มีอำนาจไปสั่งตำรวจ ไปสั่งใครให้จัดการ ฝ่ายบริหารกับฝ่ายนิติบัญญัติต่างหากที่เขามีอำนาจ ระหว่างช่วงนั้น เขาก็แก้ไขรัฐธรรมนูญซะ ไม่ฟังไอ้มาตรา 68 เพราะมันไม่มีอำนาจอยู่แล้ว ถ้าเขาบอกว่าแก้ไขรัฐธรรมนูญล่ะ แล้วแก้ไขเพิ่มจำนวนตุลาการ แก้ไขเรื่ององค์ประกอบ แก้ไขเรื่องการลงคะแนน ถ้าขัดขวางอีกก็เจอประชาชน เขาเรียกว่าศาลประชาชน นั่นล่ะคือกรรมการสูงสุดในการตัดสิน

- สรุปว่า แม้ศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำสั่งให้ยุบพรรค แต่ก็ไม่มีกระบวนการมาบังคับให้ต้องทำตาม

(สวนทันที) ถูกต้อง ถูกต้อง ให้ยุบพรรค คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จะยุบ เขาก็ไม่รับ กกต.จะกล้าไหม ประชาชนจะยุบ กกต.เสียเอง หรือฝ่ายนิติบัญญัติแก้กฎหมายยุบ กกต.เสียเอง นอกจากนั้น

ฝ่ายบริหารก็ให้ระงับการจ่ายค่าตอบแทน จ่ายเงินเดือน อยู่ได้ไหม ถ้าเขาจะตอบโต้จริง ๆ แล้วใครจะไปฟ้องล่ะ งบประมาณก็อยู่ที่ฝ่ายบริหาร ถ้าสังคมเอาด้วย ประชาชนเอาด้วย เขาก็ทำได้ แต่ที่ประชาชนเขาไม่ทำ เพราะเห็นว่าเกินไป

- ถ้าอารยะขัดขืนอย่างนี้ ฝ่ายบริหาร นิติบัญญัติ และตุลาการจะออกนอกเลน ล้ำเส้นกันหมด

ศาลรัฐธรรมนูญไม่ใช่อยู่ในอำนาจตุลาการ ศาลรัฐธรรมนูญเป็นศาลพิเศษ ไม่ใช่ตุลาการศาลยุติธรรม ศาลรัฐธรรมนูญเป็นศาลการเมือง มันผิดกัน

- ทำไมบ่อยครั้งข้อเสนอของอาจารย์ถูกวิจารณ์ว่าเป็นข้อเสนอที่ย้อนยุค ล้าหลัง

ความเห็นของคนแตกต่างกัน แล้วคนที่ให้ความเห็นนั้นเคยออกความเห็นอะไรที่ว่าทันสมัยบ้าง ใครที่ว่าย้อนยุคจะย้อนยังไง ในเมื่ออะไรที่ไม่ได้ผลมันก็ต้องแก้ไขเปลี่ยนแปลงได้ แล้วถ้าล้ำยุคจะต้องมีตุลาการ สัก 30 คนเหรอถึงไม่ย้อนยุค จะพูดจะอะไรให้ศึกษาเสียก่อนว่าย้อนยุคคืออะไร แล้วการที่วันดีคืนดี ผู้ที่วิจารณ์แบบนี้ไปเสนออะไรที่มัน...ไม่เกิดประโยชน์ แล้วไม่เป็นประชาธิปไตย ท่านเคยทำไหม เช่นเคยเสนอให้มีนายกรัฐมนตรีพระราชทาน มาตรา 7 มันยิ่งกว่าย้อนยุค นี่มันเผด็จการ ถูกไหม

- แต่ในอดีตที่มีตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ 15 คน ตอนคดีซุกหุ้นภาค 1 ก็ถูกเสียงวิจารณ์ว่าเป็นการตัดสินผิดพลาดเหมือนกัน และเสียงข้างมากก็ชนะกัน 8 ต่อ 7 ห่างกันเพียงเสียงเดียว

คดีซุกหุ้นเราก็ต้องเคารพเขา มันก็ไม่มีปัญหาอะไร เราไม่ได้พูดถึงตัวบุคคล

แต่การที่ไปวินิจฉัยเอานายกฯคนหนึ่งออกจากตำแหน่ง ตีความกฎหมายอะไรก็ไม่ได้ ไปเอาพจนานุกรมมาตัดสิน มันเลวร้ายกว่าการตัดสินคดีซุกหุ้น เรื่องการ

ซุกหุ้นมันเป็นวาทกรรม แต่เอาผิดอะไรเขาไม่ได้ เราอย่ามาพูดในเรื่องนี้เลย เอาว่าต้องแก้ไขกันดีกว่า ว่าถ้าเชื่อตัวบุคคลก็เลิกศาลรัฐธรรมนูญสิ ไปสู่ศาลยุติธรรมธรรมดาเลยก็ได้ ถ้าจะคิดอย่างนี้

อย่าไปเอาตัวบุคคลเป็นหลัก อย่างตอนนี้ที่เหตุการณ์บ้านเมืองเป็นแบบนี้ เพราะเราก้าวข้ามคนคนหนึ่งไม่พ้นเท่านั้นเอง อย่าไปกลัวเขา สองมือสองเท้าเท่ากัน มีพรรคการเมืองเท่ากัน สู้กันในระบอบประชาธิปไตยเท่านั้นแหละ บ้านเมืองจะเรียบร้อย

- ศาลรัฐธรรมนูญก็ก้าวข้ามคนคนหนึ่งไม่พ้น

ไม่พ้น ไม่พ้น ก็นี่ไงถึงตำหนิ อย่างน้อยการวินิจฉัยด้วยคนจำนวนมาก ก็ดีกว่าวินิจฉัยด้วยคนจำนวนน้อย น้อยเท่าไหร่ก็เป็นเผด็จการมากขึ้นเท่านั้น ถ้า 15 คน คะแนนเสียงก้ำกึ่ง 9 คน ก็คะแนนเสียงก้ำกึ่ง ก็เพิ่มไป 25 คนก็ได้ เอาผู้ทรงคุณวุฒิเข้ามา

- คนที่ศาลรัฐธรรมนูญ พรรคการเมืองต่าง ๆ ก้าวไม่พ้นคือคุณทักษิณ ชินวัตร

ใคร ๆ ในโลกนี้ก็รู้ ถ้ายังมีชื่อทักษิณอยู่ ต่อให้เปลี่ยนชื่อยังไงก็ไม่ได้ เหมือนเห็นเงาปีศาจ ซึ่งมันแปลก ผมไม่เคยกลัวเลย ใครจะชื่ออะไรก็ตาม อยู่ที่หลักการความถูกต้อง แล้วใครเป็นอย่างไร ประชาชนจะเป็นผู้พิพากษาเอง

- ศาลรัฐธรรมนูญการันตีตลอดว่าวินิจฉัยตามพยานหลักฐาน ไม่เกี่ยวข้องกับคุณทักษิณ ทำไมถึงคิดว่าศาลรัฐธรรมนูญก้าวข้ามคุณทักษิณไม่พ้น

ไม่ใช่...ที่อ้างมาว่า 15 คนก็แล้ว 9 คนก็แล้ว เป็นเพราะก้าวข้ามคนคนหนึ่งใช่ไหม แล้วเอามาเป็นข้ออ้าง เวลาเราถูกใจ ก็บอกว่าตัดสินอย่างนี้ดีแล้ว ถ้าเวลาไม่ถูกใจ

ก็บอกว่าเป็นเพราะคนคนหนึ่ง เลิกพูดถึงเรื่องนี้ดีกว่า คนเราเกิดมาสองมือสองเท้า ไปกลัวใคร ทุกอย่างอยู่ที่กรรมดี กรรมชั่ว ถ้าเราทำดีแล้ว ไม่ต้องไปกลัวใคร แต่ถ้าทำชั่ว แม้วันนี้เรารู้สึกว่าชนะ แต่วันข้างหน้าเราต้องรับผลกรรมอยู่ดี

- เคยเป็นตุลาการรัฐธรรมนูญในยุคประชาธิปไตยครึ่งใบ มองตุลาการศาลรัฐธรรมนูญในยุคประชาธิปไตยเต็มใบในปัจจุบันต่างกับครึ่งใบไหม

ผิดกันสิครับ จะว่าครึ่งใบอะไรก็ตาม มันเป็นไปตามระบอบประชาธิปไตย ตุลาการรัฐธรรมนูญมาจากการโปรดเกล้าฯ มาจากการคัดเลือกมาโดยชอบธรรมเป็นที่ยอมรับ แต่จะมานับถือตุลาการศาลรัฐธรรมนูญปี 2550 มันยากแล้วล่ะ เพราะ คมช.

ใช้อำนาจคณะปฏิวัติมาตั้งคนของตัวเอง 9 คน ซึ่งเป็นตุลาการส่วนใหญ่ ก็คือเลือกตุลาการภิวัตน์ ที่มามันก็ผิดแล้ว มันเทียบกันไม่ได้ อย่ามาเทียบกันเลย

แล้วตุลาการรัฐธรรมนูญ หรือตุลาการศาลรัฐธรรมนูญปี 2540 เขาก็ไม่มีตุลาการภิวัตน์อย่างนี้

- ที่ทำให้แตกต่าง มองว่ามีใบสั่งทางการเมือง

ไม่ทราบ จิตใจของตัวเองรู้ ใบสั่งไม่สั่ง กรรมเป็นเครื่องชี้เจตนา นักกฎหมายเขาอ่านกันออกว่าตัดสินยังไง การตีความกฎหมายใช้พจนานุกรมแค่นี้ก็รู้แล้ว ตัดสินมา 9 ต่อ 0 (คดีชิมไปบ่นไป)

เขียนคำวินิจฉัยส่วนตนว่าไง เอางี้ ให้นักกฎหมายรุ่นเหลนไปวิเคราะห์ดู มันเป็นการละเมิดกฎหมาย ละเมิดการตีความ ละเมิดหลักกฎหมายที่เราสอนกันมา

ตั้งแต่สมัยพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ บรรพบุรุษตุลาการไม่เคยมีปรากฏอย่างนี้ หรือจะเถียงว่าการตัดสินอย่างนี้ถูก..หา !..ไม่เคยมีตุลาการคนไหนในระบอบครึ่งใบ เต็มใบ ไม่เคยมีใครคิดแบบนี้

- ตกลงมันผิดที่ตัวตุลาการ 9 คน หรือผิดที่ตัวระบบ

มันผิดตั้งแต่ต้น องค์ประกอบที่มา อำนาจ แล้วการเลือกตัวบุคคล คนดี ๆ นะ ไม่ใช่ไม่ดี ลูกศิษย์พวกนี้เก่งทั้งนั้น อัจฉริยะไม่มีใครเกิน แต่ตอนนี้ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร ที่ทำให้คำวินิจฉัยออกมาเป็นที่ยอมรับไม่ได้ ก็ไม่เข้าใจ

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
/////////////////////////////////////////////////////////////

วันพุธที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

แรงงานไทย และ สรส. เรียกร้องรัฐหยุดละเมิดผู้นำแรงงานรัฐวิสาหกิจ !!?


หลายองค์กรออกแถลงการณ์ในวันแรงงานสากล โดย สมานฉันท์แรงงานไทย และ สรส. ออกแถลงการณ์ร่วมกัน พร้อมเสนอข้อเรียกร้องเร่งด่วน 5 ข้อ ด้าน "พรรคการเมืองใหม่" ซึ่งเตรียมเปลี่ยนชื่อเป็น "พรรคสังคมประชาธิปไตยไทย" ออกแถลงการณ์ระบุเมื่อแรงงานสามัคคีกันแล้วฝันจะเป็นจริง

สมานฉันท์แรงงาน และ สรส. เสนอ 5 ข้อเรียกร้องเร่งด่วนวันแรงงาน

คณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย (คสรท.) และสมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ (สรส.) ได้เสนอข้อเรียกร้องเนื่องในวันกรรมการสากล โดยมีรายละเอียดดังนี้

ข้อเรียกร้องเร่งด่วน ประกอบด้วย "1. รัฐต้องให้สัตยาบันอนุสัญญาองค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) ฉบับที่ 87 ว่าด้วยเสรีภาพในการสมาคมและการคุ้มครองสิทธิในการรวมตัวกัน และอนุสัญญาฯ ฉบับที่ 98 ว่าด้วยการปฏิบัติตามหลักการแห่งสิทธิในการรวมตัวและการร่วมเจรจาต่อรอง เพื่อสร้างหลักประกันในสิทธิในการรวมตัวและการเจรจาต่อรอง"

"2. รัฐต้องยุตินโยบายและกฎหมายที่ละเมิดสิทธิแรงงาน กรณีผู้นำสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจรถไฟแห่งประเทศไทย 13 คน และแรงงานในภาคเอกชนเป็นจำนวนมาก ซึ่งขัดต่ออนุสัญญาองค์การแรงงานระหว่างประเทศ ฉบับที่ 87 และ ฉบับที่ 98"

"3. รัฐต้องสร้างระบบสวัสดิการสังคม มีมาตรการควบคุมราคาสินค้า ค่าบริการสาธารณูปโภค ลดค่าครองชีพ สร้างหลักประกันในการเข้าถึงการศึกษา สาธารณสุข การบริการสาธารณะ เพื่อลดความเหลื่อมล้ำสร้างความเป็นธรรมทางสังคม"

"4. รัฐต้องยกเลิกนโยบายการแปรรูปรัฐวิสาหกิจหรือการแปลงสภาพรัฐวิสาหกิจทุกรูปแบบ จัดตั้งกองทุนพัฒนารัฐวิสาหกิจ เพื่อให้เกิดการพัฒนาศักยภาพหน่วยงานรัฐวิสาหกิจในการให้บริการประชาชน และยุติการแทรกแซงการบริหารงานรัฐวิสาหกิจ โดยขาดความเป็นธรรมและขาดธรรมาภิบาล"

"5. รัฐและรัฐสภาต้องเร่งรัดการปฏิรูประบบประกันสังคม ประกันสุขภาพคนทำงานถ้วนหน้า โครงสร้างการบริหารงานเป็นอิสระโปร่งใสตรวจสอบได้ ผู้ประกันตนมีส่วนร่วม เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมทางสังคม

นอกจากนี้ทั้ง คสรท. และ สรส. ได้มีข้อเรียกร้องติดตามอีก 7 ข้อ ได้แก่ "1. รัฐต้องกำหนดค่าจ้างแรงงานที่เป็นธรรมให้ครอบคลุมผู้ใช้แรงงานทุกภาคส่วน โดยกำหนดนิยามค่าจ้างขั้นต่ำให้เป็นค่าจ้างแรกเข้าที่มีรายได้พอเพียงเลี้ยงชีพตนเองและครอบครัวอีก 2 คน ตามหลักการขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ ทั้งนี้ โครงสร้างค่าจ้างของแรงงานให้มีการปรับค่าจ้างทุกปี โดยคำนึงถึงค่าครองชีพ ทักษะฝีมือ และลักษณะงาน ทั้งนี้ รัฐจะต้องทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2554 ที่ให้คงอัตราค่าจ้างขั้นต่ำวันละ 300 บาท ในปี พ.ศ. 2557 และปี พ.ศ. 2558"

"2. รัฐต้องแก้ไขกฎหมายเลือกตั้งในระดับชาติ และระดับท้องถิ่น เพื่อให้ผู้ใช้แรงงานที่ทำงานในเขตพื้นที่สถานประกอบการใดๆ ตั้งแต่ 2 ปีขึ้นไป มีสิทธิเลือกตั้งและลงสมัครรับเลือกตั้งในพื้นที่นั้น ๆ เพื่อให้สะท้อนถึงเจตนารมณ์ของประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่"

"3. รัฐต้องเร่งรัดให้มีการพัฒนากลไกการเข้าถึงสิทธิ์ การบังคับใช้ พ.ร.บ.ความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน พ.ศ.2554 อย่างจริงจัง ภายใต้การมีส่วนร่วมของกลุ่มผู้ใช้แรงงานทุกภาคส่วน"

"4. รัฐต้องจัดตั้งกองทุนประกันความเสี่ยงจากการลงทุน โดยให้นายจ้างและรัฐบาลสมทบเงินเข้ากองทุน เพื่อเป็นหลักประกันในการคุ้มครองสิทธิแรงงาน เมื่อมีการเลิกจ้างหรือเลิกกิจการไม่ว่ากรณีใดก็ตาม ผู้ใช้แรงงานควรมีสิทธิได้รับเงินชดเชยจากกองทุน รวมทั้งการสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีระหว่างนายจ้างกับลูกจ้างได้"

"5. รัฐต้องสนับสนุนการจัดตั้งศูนย์เลี้ยงเด็กหรือศูนย์พัฒนาเด็กให้แก่ผู้ใช้แรงงาน ในเขตพื้นที่อุตสาหกรรมหรือสถานที่ทำงาน"

"6. รัฐต้องเร่งรัดให้มีการพัฒนากลไกการคุ้มครองสิทธิแรงงานและสวัสดิการสังคมของแรงงานนอกระบบ และแรงงานข้ามชาติ"

และ "7. รัฐต้องยกเว้นภาษี กรณีเงินก้อนสุดท้ายของคนงานผู้เกษียณอายุ"

"การเมืองใหม่" เตรียมเปลี่ยนชื่อเป็น "พรรคสังคมประชาธิปไตยไทย"
พร้อมออกแถลงการณ์เรียกร้องแรงงานให้สามัคคีกันแล้วฝันจะเป็นจริง

ด้าน "พรรคการเมืองใหม่" ซึ่งอยู่ขั้นตอนจดทะเบียนชื่อพรรคใหม่คือ "พรรคสังคมประชาธิปไตยไทย" ได้ออกแถลงการณ์ในวันแรงงานสากลด้วยเช่นกัน โดยตอนหนึ่งของแถลงการณ์ระบุว่า "ถึงวันนี้นับเป็นเวลา 123 ปี แต่พี่น้องแรงงานไทยก็ยังถูกละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐานดังกล่าว มีตัวอย่างให้เห็นมากมาย แล้วยังส่งเสียงตะโกนหลอกลวงพี่น้องแรงงานว่าอย่าไปยุ่งกับการเมือง ให้อยู่อย่างผู้ถูกปกครองไปตลอดชีวิต ให้พูดเสนอได้เฉพาะเรื่องปากท้องเท่านั้น นี่คือวาทะกรรมอัปยศที่พวกนายทุนหลวกลวงผู้ใช้แรงงาน เมื่อผู้ใช้แรงงานเข้าชื่อเสนอกฎหมายประกันสังคมพวกนักการเมืองทั้งฝ่าย รัฐบาลและฝ่ายค้านต่างๆฉีกทิ้งไม่สนใจแม้แต่น้อย นี้คือความจริงที่ปรากฎมิอาจบิดเบือนได้อย่างเด็ดขาด และพวกนายทุนต้องการยึดกุมอำนาจรัฐเป็นของนายทุน โดยนายทุน เพื่อนายทุนตลอดไป เพื่อกอบโกยขูดรีดคนส่วนใหญ่ของประเทศ

"เนื่องในวันแรงงานสากลนี้ ขอให้พี่น้องแรงงานทั้งหลายศึกษาเรียนรู้ประวัติศาสตร์และสรุปบทเรียนร่วม กัน ขออย่าดูถูกตนเองว่าไร้ค่าจงภาคภูมิใจว่า “ เราแรงงานคือผู้สร้างโลก ” และคือคนส่วนใหญ่ของประเทศที่ยังถูกกดขี่ ขูดรีด จากระบอบทุนนิยมสามานย์ และเราคือมนุษย์ จึงต้องใช้สิทธิเสรีภาพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ตามหลักสิทธิมนุษยชน ซึ่งเป็นไปตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2550 รับรองสิทธิในการรวมตัวกันเป็นสหภาพ สหพันธ์ สหกรณ์ กลุ่มเกษตร ฯลฯ เพื่อต่อรองทางด้านเศรษฐกิจ แต่จะไม่ประสบความสำเร็จหากไม่ยกระดับใช้สิทธิเสรีภาพรวมตัวกัน จัดตั้งพรรคการเมือง เพื่อยกระดับต่อสู้ทางการเมืองควบคู่ไปด้วย เพื่อเข้าสู่อำนาจรัฐตามวิถีทาง
ประชาธิปไตย เพื่อใช้อำนาจในสภาออกกฎหมายที่เป็นธรรม เพื่อผู้ใช้แรงงานและเกษตรกรคือคนส่วนใหญ่ของประเทศ เพื่อป้องกันการถูกเอารัดเอาเปรียบจากนายทุนและพ่อค้าคนกลาง นี่คือเส้นทางการต่อสู้ที่ทำให้ผู้ใช้แรงงานมีชีวิตที่ดีขึ้น มีความมั่นคงในการทำงานการดำรงชีวิตอย่างยั่งยืน และโปรดระลึกเสมอว่าเรา “ ผู้ใช้แรงงานทั้งผองคือพี่น้องกัน ” จงสามัคคีกันถือประโยชน์ส่วนรวมเป็นที่ตั้ง สามัคคีกันให้กว้างใหญ่ไพศาล เพื่อสืบทอดอุดมการณ์และเจตนารมณ์แห่งชนชั้นแรงงานอย่างจริงจัง รวมพลังกันสร้างสรรสังคมที่เป็นธรรม และร่วมกันต่อต้านการทุจิตคอรัปชั่นทุกรูปแบบ ต่อสู้ให้ได้มาซึ่งสิทธิเสรีภาพ ความเสมอภาคทั้งทางด้านเศรษฐกิจสังคม และภราดรภาพให้ปรากฏเป็นจริงโดยเร็วที่สุด แรงงานทั้งผองต้องสามัคคีกันแล้วความฝันจะเป็นจริง"

ที่มา.ประชาไท
////////////////////////////////

นายกฯ จ้อทีวี ขอบคุณแรงงานทุกสาขาอาชีพ !!?


นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้ปราศรัยเนื่องในงานวันแรงงานแห่งชาติ ประจำปี 2556ซึ่งออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์และสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทยว่าในนามของรัฐบาลขอส่งความระลึกถึงและความปรารถนาดีมายังพี่น้องผู้ใช้แรงงานทุกสาขาอาชีพและครอบครัว และขอขอบคุณพี่น้องผู้ใช้แรงงานที่มีส่วนสำคัญในการสร้างความเจริญมั่นคงให้แก่เศรษฐกิจและสังคมของประเทศมาโดยตลอด มา ณ โอกาสนี้ด้วย

รัฐบาลมีความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ เพื่อเป็นการสร้างงาน สร้างรายได้ให้กับพี่น้องประชาชนคนไทย โดยรัฐบาลต้องการเห็นผู้ใช้แรงงานทุกประเภทได้รับผลตอบแทนที่คุ้มค่า มีการพัฒนาศักยภาพ และทักษะที่หลากหลาย เพื่อให้รายได้นั้นเพิ่มพูน โดยนโยบายค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาทของรัฐบาลที่ประกาศใช้ทั้งประเทศมาตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม จึงเป็นเพียงจุดเริ่มต้นขั้นพื้นฐานที่จะต้องเติบโตต่อไป

นางสาวยิ่งลักษณ์ยังกล่าวอีกว่าในขณะเดียวกัน รัฐบาลต้องการเห็นการทำงานที่ปลอดจากสภาพที่เลวร้ายหรือเสี่ยงอันตราย ประเทศไทยต้องปราศจากการค้ามนุษย์ การเอารัดเอาเปรียบผู้ใช้แรงงาน การใช้แรงงานเด็ก หรือการใช้แรงงานต่างด้าวอย่างผิดกฎหมาย ทุกคนต้องได้รับการคุ้มครองสิทธิแรงงานตามกฎหมาย ได้รับการดูแลอย่างเป็นธรรม และได้ทำงานภายใต้สภาพแวดล้อมที่ถูกสุขลักษณะและปลอดภัย

ทั้งนี้ประเทศไทยกำลังเร่งเตรียมความพร้อมเพื่อเข้าสู่ประชาคมอาเซียน รัฐบาลจึงต้องยกระดับคุณภาพแรงงานให้มีทักษะสูงขึ้น เพื่อให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่ใช้แรงงานฝีมือทั้งระบบ สามารถตอบสนองความต้องการของผู้ประกอบการ และเป็นการยกระดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศ จึงเชื่อว่า ความสามารถของแรงงานไทยไม่แพ้ชาติอื่น ความอดทน มุ่งมั่น ขยันหมั่นเพียร พัฒนาตนเองจะทำให้เราก้าวไปด้วยกัน เพื่อสร้างโอกาส สร้างรายได้ใหม่สำหรับคนไทยทุกคน

นายกรัฐมนตรีกล่าวอีกว่า ในโอกาสนี้ ตนและรัฐบาลขออาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัยและอำนาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายที่ทุกท่านเคารพนับถือ อีกทั้งพระบารมีแห่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ โปรดดลบันดาลให้พี่น้อง ผู้ใช้แรงงานและพี่น้องประชาชนชาวไทยทุกท่าน จงประสบแต่สิริสวัสดิ์พิพัฒนมงคล เป็นพลังสำคัญในการสร้างสรรค์พัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศให้ก้าวหน้ารุ่งเรืองตลอดไป

ที่มา.มติชนออนไลน์
////////////////////////////////////////////////////

วันอังคารที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2556

ประวัติความเป็นมา วันแรงงานแห่งชาติ !!?




เพื่อเป็นการยกย่องและชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของแรงงาน เพื่อให้เกิดการพัฒนาทั้งในคุณภาพ ความเป็นอยู่ ตลอดจนสิทธิอันชอบธรรมที่ผู้ใช้แรงงานสมควรจะได้รับการดูแลเอาใจใส่อย่างจริงจัง รัฐบาลจึงได้กำหนดให้วันที่ 1 พฤษภาคม ของทุกปีเป็น "วันแรงงานแห่งชาติ" ตามที่คณะพรรคสังคมนิยมระหว่างชาติได้กำหนดไว้ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2432
happy-labor-day

ในประเทศยุโรปส่วนมาก ก็กำหนดให้วันที่ 1 พฤษภาคม เป็นวันแรงงานเช่นเดียวกัน และเรียกว่า "วันกรรมกรสากล" หรือ "วันเมย์เดย์" ยกเว้น ประเทศสหรัฐอเมริกาและประเทศแคนาดา ที่ถือเอาวันจันทร์แรกของเดือนกันยายนเป็นวันแรงงาน

ความเป็นมา 

ในระบบเศรษฐกิจ แรงงานถือเป็นปัจจัยสำคัญอันหนึ่งที่ก่อให้เกิดผลผลิต พลังของผู้ใช้แรงงานจะแฝงอยู่ในผลผลิตทุกชิ้น ดังนั้นความมั่นคงก้าวหน้าหรือความอ่อนแอทางเศรษฐกิจ แรงงานย่อมมีส่วนสำคัญเป็นอย่างมาก แต่ในความเป็นจริงแล้ว ยังมีผู้ใช้แรงงานถูกเอารัดเอาเปรียบจากนายจ้าง ทั้งในด้านผลประโยชน์ค่าตอบแทน และสวัสดิการ

ดังนั้นเพื่อเป็นการยกย่องและชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของแรงงาน เพื่อให้เกิดการพัฒนาทั้งในคุณภาพ ความเป็นอยู่ ตลอดจนสิทธิอันชอบธรรมที่ผู้ใช้แรงงานสมควรจะได้รับการดูแลเอาใจใส่อย่างจริงจัง รัฐบาลจึงได้กำหนดให้วันที่ 1 พฤษภาคม ของทุกปีเป็น " วันแรงงานแห่งชาติ " ตามที่คณะพรรคสังคมนิยมระหว่างชาติได้กำหนดไว้ตั้งแต่ปี พ.ศ.2432

ในประเทศยุโรปส่วนมาก ก็กำหนดให้วันที่ 1 พฤษภาคม เป็นวันแรงงานเช่นเดียวกัน และเรียกว่า "วันกรรมกรสากล" หรือ วันเมย์เดย์ ยกเว้น ประเทศสหรัฐอเมริกาและประเทศแคนาดา ที่ถือเอาวันจันทร์แรกของเดือนกันยายนเป็นวันแรงงาน
       
ในเมืองไทยเริ่มมีการจัดการบริหารแรงงานขึ้นใน พ.ศ.2475 เมื่อรัฐบาลได้ออกพระราชบัญญัติจัดหางานประจำท้องถิ่น พ.ศ.2475
       
 เมื่อ พ.ศ. 2477 ได้มีการจัดตั้งกองกรรมกรขึ้น ทำหน้าที่ด้านการจัดหางานและศึกษาภาวะความเป็นอยู่ของคนงานทั่วไป พ.ศ. 2499 รัฐบาลได้ ขยายกิจการด้านแรงงานสัมพันธ์มากขึ้นและประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับแรกในปี พ.ศ. 2508 และปีเดียวกันได้มีการตั้งกรมแรงงานขึ้น อีกทั้งประกาศใช้ พระราชบัญญัติกำหนดวิธีระงับข้อพิพาทแรงงาน ปัจจุบัน การบริหารแรงงานอยู่ในความรับผิดชอบของกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคมมีงานสำคัญเกี่ยวข้อง กับแรงงานดังนี้
             
1. การจัดหางาน ด้วยการช่วยเหลือคนว่างงานให้มีงานทำ ช่วยเหลือนายจ้างให้ได้คนมีคุณภาพดีไปทำงาน รวบรวมเผยแพร่ข่าวสารเกี่ยวกับการทำงาน แหล่งงาน ภาวะตลาดแรงงาน
2. งานแนะแนวอาชีพ ให้คำปรึกษาแก่เยาวชนและผู้ประสงค์จะทำงาน เพื่อให้สามารถเลือกแนวทางประกอบอาชีพที่เหมาะสมตามความถนัด ความ สามารถทางร่างกาย คุณสมบัติ บุคลิกภาพและความเหมาะสมแก่ความต้องการทางเศรษฐกิจ
3. การพัฒนาแรงงาน ส่งเสริมพัฒนาฝีมือแก่คนงานและเยาวชนที่ไม่มีโอกาสศึกษาต่อโดยการฝึกแบบเร่งรัด
4. งานคุ้มครองแรงงาน วางหลักการและวิธีการเกี่ยวกับชั่วโมงทำงาน วันหยุดงาน ตลอดจนการจัดให้มีสวัสดิการต่างๆ
5. งานแรงงานสัมพันธ์ทำการส่งเสริมและสร้างสัมพันธ์อันดีระหว่างนายจ้างกับลูกจ้างให้ทั้งสองฝ่ายเข้าใจถึงลักษณะและสภาพของปัญหา ตลอดจน วิธีการที่เหมาะสมที่จะช่วยขจัดความเข้าใจผิดและข้อขัดแย้งอื่นๆ
 
หน้าที่ของกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน 

หน้าที่ของกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน
1.การจัดหางาน ด้วยการช่วยเหลือคนว่างงานให้มีงานทำ ช่วยเหลือนายจ้างให้คนมีคุณภาพในการทำงาน รวบรวมเผยแพร่ข่าวสารเกี่ยวกับการทำงาน แหล่งงาน ภาวะตลาดแรงงาน
2.งานแนะแนวอาชีพ ให้คำปรึกษาแก่เยาวชนและผู้ประสงค์จะทำงานเพื่อให้สามารถเลือกแนวทางประกอบอาชีพเหมาะตามความถนัด ความสามารถทางร่างกาย คุณสมบัติ บุคลิกภาพและความเหมาะสมแก่ความต้องการเศรษฐกิจ
3.การพัฒนาแรงงาน ส่งเสริมพัฒนาฝีมือแก่คนงานและเยาวชน ที่โอกาสศึกษาต่อ
4.งานคุ้มครองแรงงาน วางหลักการและวิธีการเกี่ยวกับชั่วโมงการทำงาน วันหยุดงาน ตลอดจนสวัสดิการต่าง ๆ
5.งานแรงงานสัมพันธ์ ทำการส่งเสริมและสร้างสัมพันธ์อันดีระหว่างนายจ้างกับลูกจ้าง

ด้านกรรมกร ได้จัดตั้งกลุ่มสหภาพแรงงานขึ้นหลายกลุ่ม และรวมกันตั้งสภาองค์การลูกจ้างขึ้น ทำหน้าที่พิทักษ์สิทธิให้กับผู้ใช้แรงงาน ปัจจุบันมี 3 สภา ได้แก่
1.    สภาองค์การลูกจ้างแรงงานแห่งประเทศไทย
2.    สภาองค์การลูกจ้างแห่งประเทศไทย
3.    สภาองค์การแรงงานแห่งประเทศไทย

krotron-MayDay1

กิตติรัตน์ เชื่อ ธปท. ออกมาตรการ รับมือค่าบาทแข็ง ในสัปดาห์นี้ !!?


กิตติรัตน์ ชี้ทิศทางบาทเริ่มดีหลังถกแบงก์ชาติ คาดสัปดาห์นี้ ธปท.ชงมาตรการรับมือ สศค.แจงไตรมาสแรก ศก.โต 6.9% ทั้งปียังคงเป้า 5.3% ส.อ.ท.เสนอ กนง.ถกนัดพิเศษ ชี้ประชุมปกติแก้ปัญหาไม่ทัน

โต้งชี้บาทเริ่มดีหลังถกร่วม

นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ในที่ประชุมหารือแนวทางรับมือค่าเงินบาทในสัปดาห์ที่ผ่านมานั้น ทุกฝ่ายมีแนวคิดที่ตรงกันในหลายเรื่อง และหากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะมีมาตรการอะไรออกมาเพื่อรับมือการแข็งค่าของค่าเงินบาทนั้นกระทรวงการคลังก็พร้อมที่จะสนับสนุน

"หลังจากที่ประชุมในสัปดาห์ที่ผ่านมา ค่าเงินบาทเริ่มมีทิศทางที่ดีขึ้น และมีเสถียรภาพมากขึ้น แม้จะยังไม่มีมาตรการอะไรออกมาเพื่อรองรับการแข็งค่าของค่าเงินบาท ทำให้ยังไม่มีมาตรการอะไรออกมารับมือในระยะสั้นและหากมีมาตรการอะไรออกมาเชื่อว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้น" นายกิตติรัตน์กล่าว

ธปท.ชงมาตรการสัปดาห์นี้

นายกิตติรัตน์กล่าวว่า แม้ในระยะสั้นนั้นยังไม่ต้องมีมาตรการอะไรเข้ามารองรับการแข็งค่าของค่าเงินบาท แต่ในระยะกลางและระยะยาวนั้นก็ต้องหามาตรการมารองรับด้วย หาก ธปท.มีมาตรการอะไรรับมือค่าเงินบาทและเกี่ยวข้องกับกฎระเบียบของกระทรวงการคลังก็พร้อมจะสนับสนุนและถ้ามีมาตรการอะไรที่ดำเนินการอยู่แล้วก็สามารถก็ดำเนินการต่อได้ แต่หากมีมาตรการอะไรเพิ่มเติม ควรจะแจ้งกับกระทรวงการคลังรับทราบ คาดว่า ธปท.จะเสนอมาตรการเพื่อรับมือค่าเงินบาทที่แข็งค่ามาในสัปดาห์นี้

นายกิตติรัตน์กล่าวว่า ส่วนแนวคิดของนักวิชาการบางรายที่เสนอให้มีการเก็บภาษีดอกเบี้ยเงินฝากนั้น ปัจจุบันประเทศไทยได้มีการทำสนธิสัญญาการเก็บภาษีซ้ำซ้อน กับ 50 ประเทศ สนธิสัญญานี้ได้ระบุว่า ห้ามเก็บภาษีจากดอกเบี้ยเงินฝาก เกิน 10% ปัจจุบันกระทรวงการคลังก็ดำเนินการอยู่และไม่สามารถเก็บภาษีเกิน 10% ในส่วนของการเก็บภาษีเงินฝากของชาวต่างชาตินั้น รัฐบาลชุดนี้ก็ไม่ได้ละเลยโดยได้ดำเนินการต่อเนื่องมาตั้งแต่สมัยที่มี นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และดำเนินการต่อเนื่อง

ศก.ไตรมาสแรกโต6.9% 

นายสมชัย สัจจพงษ์ ผู้อำนวยการ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เปิดเผยถึงเศรษฐกิจไทยในเดือนมีนาคมและไตรมาสที่ 1 ของปี 2556 ว่า ยังขยายตัวได้ต่อเนื่องจากช่วงเดียวกันปีก่อน แต่มีสัญญาณแผ่วลงจากไตรมาสก่อนหน้า ทั้งด้านการผลิตและการใช้จ่ายในประเทศ จากเครื่องชี้วัดการบริโภคภาคเอกชนและการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ในไตรมาส 1 ขยายตัว 6.9% ชะลอลงจากไตรมาสก่อนหน้า ที่ขยายตัวถึง 18% แม้ว่าจะยังไม่รุนแรง แต่ก็ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด แต่ตัวเลขที่ยังอยู่ในระดับดีคือการส่งออกที่ยังขยายตัว แต่ก็เป็นระดับที่ต่ำกว่าที่ควรจะเป็น

นายสมชัยกล่าวว่า ค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น ทำให้การส่งออกของไตรมาสแรกปีนี้ขยายตัวเพียง 4.3% จากประมาณการที่คาดว่าจะขยายตัว 7% หากจะให้การส่งออกทั้งปีขยายตัวได้ที่ 9% ตามตัวเลขของกระทรวงพาณิชย์ จะต้องดูแลให้การส่งออกในไตรมาสที่เหลือขยายตัวให้ได้เฉลี่ยไตรมาสละ 10% ภายใต้ประมาณการค่าเงินบาทที่ 29.40 บาทต่อดอลลาร์

นำเข้ายังไม่ปรับแผนรับบาท

นายสมชัยกล่าวว่า ขณะที่การนำเข้าขยายตัว 5.1% แต่หดตัวลงถึง 4% เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 4 แม้ว่าค่าเงินบาทจะแข็งค่าขึ้น ส่วนหนึ่งเพราะภาคธุรกิจจะวางแผนล่วงหน้าเป็นปี จึงยังไม่ได้ปรับแผนที่ได้วางไว้ และติดตามดูการแก้ไขปัญหาค่าเงินบาทจากทางการด้วย แต่หากผลการประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ยังคงยืนยันดอกเบี้ยนโยบายที่ 2.75% ก็จะทำให้คาดการณ์แนวโน้มค่าเงินบาทว่าจะยังคงแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง เชื่อว่าผู้นำเข้าก็น่าจะปรับแผนนำเข้าใหม่และน่าจะเห็นผลชัดเจนในไตรมาสที่ 2

"ปัจจัยหลักที่ทำให้สัญญาณการขยายตัวของเศรษฐกิจแผ่วๆ ลงมาจากปัญหาการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ทำให้แต่ละประเทศต่างหามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการเพิ่มปริมาณเงิน ทั้งสหรัฐอเมริกา ยุโรป และญี่ปุ่น ส่งผลให้เกิดการเคลื่อนย้ายเงินทุนที่ไหลเข้ามาลงทุนในไทยจำนวนมากขนทำให้ค่าเงินบาทไทยแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องและมากกว่าประเทศเพื่อนบ้าน แต่โดยรวมแล้วไตรมาสแรกเศรษฐกิจไทยขยายตัวได้ 6% และทั้งปีก็ยังคงเป้าเศรษฐกิจขยายตัวที่ 5.3%" นายสมชัยกล่าว

 รายย่อยยังซื้อขายล่วงหน้าน้อย

นายพิสิทธิ์ พัวพัน ผู้อำนวยการส่วนวิเคราะห์เศรษฐกิจมหภาค สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) กระทรวงการคลัง กล่าวว่า การบริหารนโยบายอัตราแลกเปลี่ยนในแต่ละครั้งมีความยากลำบาก เนื่องจากเป็นเรื่องที่มีความอ่อนไหวต่อการค้าการส่งออกของประเทศ อย่างไรก็ตาม ภาครัฐควรใช้โอกาสนี้ในการนำเข้าวัตถุดิบสำคัญตามโครงการลงทุน 2 ล้านล้านบาท คาดว่าต้องนำเข้ามาคิดเป็น 40% ของการลงทุนในภาพรวม จะช่วยบรรเทาปัญหาการแข็งค่าของเงินบาทได้ และนักลงทุนไทยควรออกไปลงทุนในต่างประเทศมากขึ้น ขณะที่รัฐวิสาหกิจในไทยควรใช้โอกาสนี้ชำระหนี้ต่างประเทศก่อนกำหนด

นายพิสิทธิ์กล่าวว่า ที่ผ่านมากระทรวงการคลังได้มอบหมายให้ธนาคารในสังกัดของรัฐทั้งธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (ธสน.) และธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (เอสเอ็มอีแบงก์) ทำสัญญาซื้อหรือขายเงินตราต่างประเทศล่วงหน้า หรือฟอร์เวิร์ด คอนแทร็ค ให้กับเอสเอ็มอีที่ต้องการ เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน แต่ที่ผ่านมาพบว่ามีการทำฟอร์เวิร์ด คอนแทร็ค น้อย ไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ อาทิ ธนาคารกรุงไทยทำฟอร์เวิร์ดให้เอสเอ็มอีเพียง 640 ราย วงเงิน 2,000 ล้านบาทเท่านั้น

 พณ.ดูแลส่งออกรายกลุ่ม

น.ส.พัดชา วุฒิพันธุ์ นักวิชาการพาณิชย์ชำนาญการพิเศษ กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า กระทรวงพาณิชย์ได้ข้อสรุปตั้งคณะกรรมการย่อยขึ้นมาดูแลอุตสาหกรรมรายกลุ่ม เพราะเข้าใจว่าผู้ประกอบการเผชิญหลายปัจจัยจนเกิดความลำบาก ประกอบด้วย ค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท มาตรการกีดกันทางการค้า เศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว และผลจากค่าเงินบาทที่แข็งค่าแล้ว 5-6%

น.ส.พัดชากล่าวว่า มาตรการที่กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการช่วยเหลือผู้ส่งออกแล้ว อาทิ อนุมัติงบเพื่อช่วยเหลือเอสเอ็มอี วงเงิน 300 ล้านบาท เพื่อหาตลาดใหม่ อาทิ ตะวันออกกลาง แอฟริกา และขยายตลาดเดิมที่มีอยู่แล้วให้กว้างขึ้น เช่น เมืองที่ยังเป็นโอกาสในสหรัฐ เป็นต้น ตลาดที่ผู้ส่งออกสามารถเข้าไปทำการค้า กระทรวงพาณิชย์แบ่งเป็น 3 ตลาด คือ ประเทศดาวรุ่งแต่มีความเสี่ยงสูง อาทิ ประเทศในภูมิภาคอาเซียน เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย ประเทศดาวเด่น อาทิ ตะวันออกกลาง แอฟริกา ถือเป็นประเทศที่อัตราการนำเข้าสินค้าจากไทยและทั่วโลกเติบโตดี และตลาดทั่วไปที่การนำเข้าเริ่มลดลงแต่ทิ้งไม่ได้ อาทิ สหภาพยุโรป สหรัฐ และญี่ปุ่น

 พณ.เล็งเสนอครม.เพิ่มงบช่วย

นางอัมพวัน พิชาลัย รองอธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กล่าวว่า ขณะนี้กรมกำลังประชุมร่วมกับหอการค้าไทย ส.อ.ท. สมาคมธนาคารไทย และสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย กำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการให้ความช่วยเหลือเอสเอ็มอีภายในโครงการส่งเสริมและเพิ่มศักยภาพของผู้ประกอบการขนาดกลางและย่อม (เอสเอ็มอี โปร-แอ๊กทีฟ) หลังจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้อนุมัติเพิ่มงบประมาณช่วย

เหลือเอสเอ็มอี จาก 15 ล้านบาทต่อปี เป็น 100 ล้านบาท และจัดทำโครงการต่อเนื่อง 3 ปี วงเงิน 300 ล้านบาท และงบฉุกเฉินอีก 100 ล้านบาท หลักเกณฑ์ใหม่จะเพิ่มงบช่วยเหลือต่อรายจากเดิมเฉลี่ย 3-5 หมื่นบาทต่อปี ให้สูงสูดถึง 2 แสนบาทต่อราย และยื่นขอไม่เกิน 4 ครั้งใน 3 ปี เพราะขณะนี้ต้นทุนค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นและตลาดมีการแข่งขันมากขึ้น

"ผู้ประกอบการสามารถยื่นเรื่องขอรับความช่วยเหลือได้แล้วกับองค์กรที่ร่วมกับกรมฯ และจะคัดเลือกให้แล้วเสร็จภายในไม่เกิน 60 วัน" นางอัมพวันกล่าว

บุญทรงสั่งรวบรวมผลกระทบ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ สั่งการให้กรมหารือภาคเอกชน รวบรวมว่าธุรกิจมีผลกระทบมากน้อยแค่ไหน เพื่อทบทวนงบประมาณช่วยเหลือ และยื่นของบประมาณเพิ่มเติมจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) จากที่ได้อนุมัติให้ดึงเงินต้นจากกองทุนส่งเสริมการส่งออกมาใช้จ่ายได้ วงเงิน 300 ล้านบาท เพราะวิตกว่างบประมาณไม่เพียงพอและงบ 300 ล้านบาท ครอบคลุมถึง 3 ปี โดยประเมินว่าจะของบประมาณเพิ่มเฉพาะกิจในปีนี้อีก 200-300 ล้านบาท

ร้อยเอก สุวิพันธุ์ ดิษยมณฑล รองอธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (สค.) กล่าวว่า จากการหารือภาคเอกชนผู้ส่งออกอาหารไทยยังยืนยันต่อตัวเลขส่งออกขยายตัว 10% ในปีนี้ จากปีก่อนมีมูลค่าส่งออก 8.3 แสนล้านบาท แม้ไตรมาสแรกจะติดลบเล็กน้อย เนื่องจากไทยมีแผนจะผลักดันครัวไทยสู่ครัวโลกตามนโยบายรัฐบาล และหลายประเทศหันซื้อวัตถุดิบประกอบอาหารจากไทยมากขึ้นดูจากการจัดงานแสดงอาหารไทยเฟ็กซ์ 2013 วันที่ 22-26 พฤษภาคม ที่เมืองทองธานี มีผู้ซื้อจากต่างประเทศเข้างาน 7 พันราย และประเมินมูลค่าจากการจัดงานครั้งนี้กว่า 7 หมื่นล้านบาท แต่อย่างไรก็ตามในการประชุมทูตพาณิชย์ช่วงจัดงานแสดงสินค้าก็จะหารือและทบทวนแผนการทำตลาดเพื่อผลักดันตัวเลขรวม 8-9%

 ส.อ.ท.ชงถกกนง.นัดพิเศษ

นายพยุงศักดิ์ ชาติสุทธิผล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ในวันที่ 30 เมษายน ส.อ.ท.จะเข้าพบผู้บริหาร ธปท.เพื่อหารือมาตรการในการรับมือค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น โดย ส.อ.ท.จะเสนอ 7 มาตรการ มี 2 มาตรการใหม่เร่งด่วนจะเสนอ คือ 1.ต้องการให้ค่าเงินบาทไม่มีความผันผวน และ 2.ต้องการให้ค่าเงินบาท หากแข็งค่าก็อยากให้สอดคล้องกับภูมิภาค ส่วนอีก 5 มาตรการ คือ 1.จัดการอัตราแลกเปลี่ยนแบบภาวะวิกฤต 2.เปลี่ยนเป้าหมายนโยบายการเงินจากยึดเงินเฟ้อเป็นยึดอัตราแลกเปลี่ยน 3.ลดดอกเบี้ยนโยบายการเงิน 1% ในครั้งเดียว 4.ใช้นโยบายควบคุมเงินทุนเคลื่อนย้ายและ 5.ปรับปรุงนโยบายการออกพันธบัตรของ ธปท.ที่ขณะนี้เป็นแหล่งลงทุนขนาดใหญ่ของนักลงทุน

"ต้องการให้ ธปท.เร่งดำเนินการผสมผสานมาตรการตามความเหมาะสม และต้องการให้เรียกประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน หรือ กนง.นัดพิเศษ เพื่อลดอัตราดอกเบี้ยตามที่ภาคเอกชนเสนอให้เห็นผลทันที ไม่ใช่เป็นการเรียกประชุมรายเดือนตามวาระปกติ ไม่ทันการณ์" นายพยุงศักดิ์กล่าว

นายวัลลภ วิตนากร รองประธาน ส.อ.ท.กล่าวว่า ธปท.จะต้องลดดอกเบี้ยนโยบายครั้งเดียว 1% จาก 2.75% เหลือ 1.75% เพราะสถานการณ์ปัจจุบันต้องใช้ยาแรง หากลดดอกเบี้ยไม่มากจะไม่เห็นผล

ขอตั้งกองทุนหมื่นล.ช่วย

นายธนิต โสรัตน์ เลขาธิการ ส.อ.ท.กล่าวในงานเสวนา "ทิศทางการแข็งค่าเงินบาท และกรณีศึกษาการแก้ปัญหาของผู้ประกอบการส่งออก" ที่โรงแรมวินเซอร์ สวีทส์ สุขุมวิท 20 ว่าในวันที่ 30 เมษายนนี้ ส.อ.ท.จะยื่นข้อเสนอมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการให้กับ ธปท.และกระทรวงการคลังเพื่อให้พิจารณาทันที เช่น ขอให้กระทรวงพาณิชย์ตั้งกองทุนช่วยเหลือผู้ส่งออกในการออกไปขยายตลาดส่งออกใหม่ๆ ขอให้กระทรวงการคลัง ตั้งกองทุนช่วยเหลือด้านสภาพคล่องและการเข้าถึงแหล่งเงินทุนให้กับผู้ส่งออกที่เป็นเอสเอ็มอี กองทุนของทั้ง 2 กระทรวง ควรมีวงเงินไม่ต่ำกว่า 5,000-10,000 ล้านบาท

แบงก์กรุงเทพชี้บาทแข็งต่อ

นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ กล่าวว่า ในช่วง 3 เดือนแรกของปีนี้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นสวนทางกับค่าเงินของประเทศคู่แข่ง เช่น มาเลเซีย สิงคโปร์ เป็นต้น ที่อ่อนค่าลงต่อเนื่อง ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นไปแล้ว 6-7% สูงสุดในภูมิภาค ขณะที่ค่าเงินของประเทศคู่แข่งในภูมิภาคแข็งค่าขึ้น 1% จึงส่งผลกระทบต่อการแข่งขันของผู้ส่งออกไทยลดลง 5-7%

"ธปท.ควรดูแลเงินบาทให้เคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกับภูมิภาค เงินบาทที่แข็งค่าขึ้นไม่ได้ทำให้ทุนสำรองของประเทศเพิ่มขึ้น แต่กลับลดลงด้วยซ้ำ สะท้อนว่า ธปท.ยังไม่ได้แทรกแซงค่าเงิน หรือหากแทรกแซงก็ยังไม่มากเท่าที่ควร" นายกอบศักดิ์กล่าว

นายกอบศักดิ์กล่าวว่า แนวโน้มเงินบาทยังจะแข็งค่าต่อไป ช่วง 2-3 ปีข้างหน้า ภูมิภาคเอเชียจะมีเศรษฐกิจที่ดี ขณะที่เศรษฐกิจโลกยังไม่ฟื้นตัวดีนัก ส่งผลให้สภาพคล่องที่มีจำนวนมากมีโอกาสไหลเข้าภูมิภาคเอเชีย และยากที่จะใช้มาตรการต่างๆ ควบคุมการไหลเข้าของเงินทุน ดังนั้น ผู้ส่งออกจะต้องปรับตัวใช้เงินสกุลบาทในการค้าขาย ปรับเปลี่ยนตลาดไปยังตลาดที่ไม่ถูกกระทบจากค่าเงิน การประกันความเสี่ยง และลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต

ที่มา : นสพ.มติชน
///////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

ธปท.คาด 7 ปี กู้ 2 ล้านล้าน ได้เพียง ร้อยละ 70 !!?


กมธ. พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาทเชิญตัวแทนธปท.และผอ.สำนักบริหารหนี้ชี้แจง คาด7 ปีกู้2ล้านล้านได้เพียง70%

การประชุมคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งประเทศ หรือ พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาท เมื่อวานนี้(29 เม.ย.) มีนายวราเทพ รัตนากร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะรองประธานคนที่ 1 ทำหน้าที่ประธานการประชุม เป็นการพิจารณามาตราที่ 5 เรื่องการให้อำนาจกระทรวงคลังมีอำนาจกู้เงินบาท หรือเงินตราต่างประเทศในนามรัฐบาลไทยเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื่้นฐานด้านคมนาคมตามยุทธศาสตร์และแผนงานที่กำหนด ในวงเงินไม่เกิน 2 ล้านล้านบาท ไม่เกินวันที่ 31 ธันวาคม 2563

โดยเป็นคิวที่ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) และ ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ ต้องมาชี้แจง อย่างไรก็ตาม นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าธนาคารแห่งประเทศ ไม่ได้มา แต่ส่งน.ส.พรเพ็ญ สดศรีชัย จากฝ่ายเศรษกิจการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย มาชี้แจงแทน ซึ่งกรรมาธิการจากพรรคประชาธิปัตย์ อาทิ นายกรณ์ จาติกวนิช อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายเจือ ราชสีห์ และนายพีระพันธ์ สาลีรัฐวิภาคได้บอกว่า อยากให้ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย มาชี้แจงด้วยตัวเอง เพราะถือว่าเป็นเรื่องสำคัญของประเทศ เป็นการกู้ครั้งใหญ่ของประเทศ และมีผลกระทบหลายด้าน และถือได้ว่าเป็นนโยบายบายของรัฐบาล ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ต้องมีนโยบายรองรับนโยบายรัฐบาลด้วย คนที่ต้องให้ข้อมูลคือผู้ว่าฯหรือผู้บริหารระดับสูงขององค์กร ประธานที่ประชุมจึงบอกว่าจะเชิญผู้ว่าแบงก์ชาติมาอีกครั้ง

กรรมาธิการซีกพรรคประชาธิปัตย์ ได้ถามตัวแทนธนาคารแห่งประเทศ ว่า อยากให้พูดถึงสภาพแวดล้อมทางการเงิน เพราะการกู้ยืมจะมีผลกระทบต่อตลาดเงินอย่างแน่นอน สถานะทางการเงินของประเทศเป็นอย่างไร สภาพคล่องต่อการกู้ยืมเงินหรือไม่ และมุมมองแบงค์ชาติ ได้พิจารณาความเหมาะสมของการกู้ยืมเงิน และผลกระทบที่อาจจะตามมาในการกู้ยืมเงินในลักษณะนี้หรือไม่สภาพคล่องประเทศจะเป็นอย่างไร และมีผลกระทบต่อการบริหารนโยบายการเงินหรือไม่ จะมีผลกระทบต่อเงินเฟ้อหรือไม่ ขยับขึ้นขยับลงเท่าไหร่ จะทำให้เกิดฟองสบู่หรือไม่ รัฐบาลถามความเห็นแบงค์ชาติหรือไม่ หากช่วงนี้ค่าเงินบาทแข็ง การกู้ต่างประเทศหรือในประเทศอันไหนดีกว่ากัน และทุนสำรองระหว่างประเทศมีผลหรือไม่อย่างไรกับการลงทุนครั้งใหญ่รัฐบาล

น.ส.พรเพ็ญ ชี้แจงว่า จะมีผลกระทบต่อสภาพคล่องหรือตลาดการเงินมากน้อยแค่ไหน อยู่ที่แนวทางดำเนินการ ว่า มีการกระจายการกู้เงินในช่วง7 ปีหรือไม่ จะต้องมีการกระจายการกู้เงิน 7 ปี และหลีกเลี่ยงกู้ล็อตใหญ่ๆในคราวเดียว จะช่วยลดผลกระทบต่อสภาพคล่อง ซึ่งสิ่งที่รัฐบาลตั้งใจจะทำงบประมาณสมดุล และถ้าเป็นเงินนอกงบประมาณ วงเงินกู้รวมในแต่ละปี ก็จะไม่มากจนเกินไป ถ้าลดการกู้เงินในงบประมาณ น่าจะช่วยลดผลกระทบลงได้บ้าง และวางแผนการกู้เงินในทางปฎิบัติอย่างเหมาะสม และสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.)ก็หารือกับแบงค์ชาติอยู่สม่ำเสมอ และถ้ากู้มาแล้ว เร่งใช้จ่ายตามแผนงาน หลีกเลี่ยงการกู้มากอง เงินจะหมุนเวียนในระบบ ถ้าทำได้ตามนี้ก็จะไม่กระทบมากนัก

"ถ้าเร่งใช้จ่ายมากขึ้น เศรษฐกิจขยายตัวมากขึ้น น่าจะช่วยลดทอนผลกระทบต่อสภาพคล่องและอัตรราดอกเบี้ย ซึ่งเข้าใจว่ารัฐบาลพยายามที่จะเร่งรัดให้ใช้จ่ายเงินเร็วอยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม ช่วง7 ปี คาดว่าจะกู้ 70 เปอร์เซ็นของแผนงานที่ตั้งไว้ ประมาณ 1.4 ล้านล้านทั้งโครงการ หลังจากนั้นก็มีการทำงานโครงการต่อเนื่อง หลังจากปี 2563"

น.ส.พรเพ็ญ ชี้แจงต่อว่า ส่วนเรื่องฟองสบู่ ยังไม่มีการศึกษา ผลกระทบจากโครงการ 2 ล้านล้าน อย่างไรก็ตามโครงการอสังหาริมทรัพย์ต่างจังหวัดขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ไม่เฉพาะโครงการ 2 ล้านล้านเท่านั้น

ตัวแทนแบค์ชาติ ชี้แจงว่า เรื่องทุนสำรองระหว่างประเทศ เป็นแค่จุดจุดหนึ่ง และไม่ได้ลิ้งกับโครงการ 2 ล้านล้านส่วนการจะนำเงินทุนสำรองของแบงก์ชาติมาใช้ลงทุนในโครงการ 2 ล้านล้านบาทได้หรือไม่เงินสำรองฯส่วนหนึ่งเป็นเงินที่ใช้สำหรับการดำเนินนโยบายการเงิน ขณะเดียวกันเรายังเป็นหนี้ต่างชาติ ติดลบอยู่นิดหน่อย

"เงินสำรองที่มีอยู่เพื่อใช้ในการบริหารสภาพคล่อง เงินสำรองเพื่อดูแลบริหารอัตรราคาแปลกเปลี่ยน เผื่อต่างชาติต้องการนำเงินออกไป"

ผู้บริหารแบงก์ชาติ กล่าวอีกว่า ภาพรวมฐานะการลงทุนระหว่างประเทศของแบงก์ชาติ โดยสุทธิติดลบนิดหน่อย บทบาทแบงค์ชาติ เป็นฝ่ายตั้งรับ สุดท้ายเราจะดูเรื่องการดูดหรือปล่อยสภาพคล่องอย่างไร ในตลาดเป็นตัวกำหนดแบงก์ชาติไม่ได้เป็นคนกำหนด

จากนั้นได้กมธ.ได้ให้สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ เข้าชี้แจง โดยกมธ.ได้ถามกมธ. ว่า รัฐบาลจะกู้เงินบาทจำนวนเท่าไหร่ เงินตราต่างประเทศเท่าไหร่ โครงการไหนบ้างเป็นเงินบาทและโครงการไหนเป็นเงินตราต่างประเทศ

น.ส.จุฬารัตน์ สุธีธร ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ ชี้แจงว่า การกู้ในประเทศหรือต่างประเทศ กำหนดไว้ว่ากู้ในประเทศหรือต่างประเทศก็ได้ แต่ต้องดูว่า โครงการควรกู้ ในประเทศหรือต่างประเทศ หรือความต้องการของโครงการ และภาวะตลาดหรือต้นทุนที่เหมาะสมด้วย ต้องพิจารณาจากหลายองค์ประกอบ ต้องคำนึงถึงต้นทุน ความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนและดอกเบี้ย ทั้งนี้ยืนยันว่าทุกโครงการกู้ในประเทศก่อน ซึ่งจะกู้ภายใน 31 ธ.ค.2563 แน่นอน และหากโครงการยังไม่ผ่านขั้นตอน จะกู้ไม่ได้ และหลังจากวันที่ 31 ธ.ค. 2563 นั้นก็ไม่กู้ แต่เบิกจ่ายที่มีการลงนามโครงการแล้วได้

จากนั้นที่ประชุมได้ถกเถียงกันเรื่อง ว่า ทำไมต้องกู้ภายในวันที่ 31 ธ.ค.63 และกู้ภายใน31 ธ.ค. หมายความว่าอย่างไร ซึ่ง ผอ.สบน. ชี้แจงว่า ในแง่กฎหมายได้กำหนดเวลาว่าการใช้เงิน ในโครงสร้างพื้นฐาน ประเมินการว่าใช้เวลาดำเนินการ 7 ปี และเราต้องทำสัญญากู้ให้แล้วเสร็จภายใน 31 ธ.ค.63

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
///////////////////////////////////////////////////////////////////