--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันจันทร์ที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2556

วิกฤต : เอสเอ็มอี ส่งออก เอาต์ซอร์ซ อุตลุด ยุบแผนก-จ่ายตามจริง !!?


ผล จากค่าแรง 300 บาทเริ่มใช้เมื่อมกราคม 2556 ที่ผ่านมา ตามด้วยค่าเงินบาท ต้นทุนพลังงาน ผลก็คือรายย่อยไม่อาจจะรับภาระต้นทุนที่สูงขึ้น ขณะที่ยอดขายรายได้ลดลง

สัมภาษณ์:นายจิรบูลย์ วิทยสิงห์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท แดช อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด ถึงแนวทางในการลดต้นทุนใน 3 เดือนที่ผ่านมา

ชัดล่ะ เอาต์ซอร์ซอุตลุด...

กรณีของ บริษัท คือ บริษัทรับจ้างผลิตและส่งออกของชำร่วยของตกแต่งบ้านไปยังยุโรปและอเมริกา ผล กระทบมาจากหลาย ๆ ส่วน ประการแรกคือ ค่าแรง 300 บาท ต้นทุนพลังงานค่าเงินบาท ที่สำคัญคือ ออร์เดอร์จาก

ต่างประเทศลดลงมาก และมีการปรับตัวของลูกค้าจากต่างประเทศ จากเคยออร์เดอร์ครั้งละ 5,000 ชิ้น เหลือเพียงแค่ 1,000-5,000 ชิ้นเท่านั้น

เป็น สาเหตุสำคัญที่ทำให้บริษัทต้องหาวิธีในการลดต้นทุนลง แนวทางแรกคือการเอาต์ซอร์ซ ตั้งแต่การยุบบางแผนกลง เช่น ส่วนของโลจิสติกส์ คนขับรถส่งสินค้า ในอดีตจะต้องจ้างประจำ ทั้งคนขับและเด็กนั่งรถ บริษัทเปลี่ยนเป็นการจ้างพนักงานมาขับรถส่งของเป็นครั้งคราว และจ่ายเป็นครั้ง ทำให้ลดค่าใช้จ่ายที่เป็นรายได้ประจำต่าง ๆ เช่น ค่าสวัสดิการและเงินเดือน

"จากเมื่อก่อนเคยจ่ายทุกเดือนไม่ต่ำกว่าเดือนละ 50,000 บาท สำหรับแผนกนี้ ตอนนี้เหลือเพียงเดือนละ 2-3 หมื่นบาท"

ขณะ ที่เมสเซนเจอร์ปกติมาทำงานทุกวัน แต่เมื่องานลดลง ผมหันมาจ้างมอเตอร์ไซค์รับจ้างแทน และอบรมให้เขาสามารถรับส่งเอกสาร โดยมอเตอร์ไซค์รับจ้างเขาจะมีรับส่งคนเฉพาะช่วงเช้าและเย็น ส่วนช่วงเก้าโมงจะเข้ามารับงานส่งเอกสารเป็นงานสำรอง ขณะที่เราได้งานที่ตรงเวลามากขึ้น ไม่ต้องสำรองเงินสด เช่น ค่าน้ำมัน ค่าซ่อม เพราะจะมีการวางบิลตอนปลายเดือนอีกครั้ง

ฝ่ายต่างประเทศใช้น้อยจ่ายน้อย

ใน ส่วนของงานต่างประเทศ คุณจิรบูลย์กล่าวว่า ปกติเวลาออกงานในต่างประเทศ จะต้องมีผู้ช่วย ซึ่งทำหน้าที่ติดตามลูกค้าส่งตัวอย่าง ตอบอีเมล์ รับออร์เดอร์ ตรงนี้ในแผนกต่างประเทศจะต้องจ่ายพนักงานไม่ต่ำกว่า 35,000-50,000 บาทต่อเดือน/คน ประกอบกับเมื่องานน้อยลง พนักงานต้องการความมั่นคงในอาชีพ จึงตัดสินใจออกมาเปิดบริษัท รับงาน โดยรับงานจากเราเป็นครั้ง คิดจากการตอบจดหมายลูกค้า ตามอีเมล์ ส่งตัวอย่างสินค้า

อีก ส่วนคือ การออกบูทต่างประเทศจะคิดเป็นครั้ง โดยบริษัทจะออกค่าเครื่องบินค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ค่าอาหาร เบี้ยเลี้ยงให้ ซึ่งปีหนึ่งไปออกงานไม่กี่ครั้ง เฉลี่ยครั้งละ 30,000-50,000 บาทเท่านั้น

เมื่อเทียบกับการจ่ายต่อครั้ง วิธีนี้อาจจะมีค่าใช้จ่ายที่สูงกว่า แต่หากเทียบกับภาพรวมแล้ว บริษัทไม่จำเป็นต้องแบกรับต้นทุนที่ต้องจ่ายทุกเดือน

จ้างเหมาแก้ปัญหาค่าแรง 300

ใน ส่วนของโรงงานผลิต คุณจิรบูลย์แก้ปัญหาแรงงานขาดแคลน เพราะแรงงานบางส่วนกลับบ้าน เนื่องจากไม่มีงาน บางส่วนเปลี่ยนไปอยู่ที่ใหม่ที่ค่าแรงสูงกว่า ขณะที่ลูกค้าจากต่างประเทศสั่งออร์เดอร์เล็กลง เพราะลูกค้าไม่ต้องการสต๊อกสินค้า จึงยอมจ่ายในราคาสูงขึ้น 10-15% แต่จำนวนชิ้นน้อยลง แต่ระยะเวลาในการส่งสินค้าสั้นขึ้น จาก 20 วันเหลือเพียง 10 วันเท่านั้น

"งานที่ไม่ต้องใช้แรงงานฝีมือ เราใช้วิธีการ จ้างเหมาจ่าย เช่น การประกอบพวงกุญแจไม่ต้องใช้แรงงานฝีมือ และโรงงานของเราอยู่ในเขตชุมชน หาคนงานยาก จะมีผู้มารับงานและกระจายไปตามหอพักต่าง ๆ ให้กับนักศึกษา ที่ต้องการรายได้พิเศษ ซึ่งจะมีการจ้างเหมางานแบบนี้ เฉพาะช่วงที่ออร์เดอร์เร่ง ๆ เท่านั้น แทนที่จะจ่ายโอที การจ้างงานแบบเหมาจ่ายคุ้มกว่า เพราะได้งานตรงเวลาอีกด้วย"

คุณจิร บูลย์กล่าวต่อด้วยว่า "ตอนนี้ลูกค้าต่างประเทศออร์เดอร์ใหญ่หายไปเกือบ 100% ซึ่งลูกค้ากลุ่มนี้จะต้องมาดูโรงงาน ตรวจสอบคุณภาพ เหลือแต่รายเล็ก ๆ และในแถบเอเชียซึ่งสั่งน้อยไม่เคร่งครัดเรื่องนี้มากนัก"

จูงใจ จ่ายสด ลด 5%

และสุดท้ายคือ เรื่องของกระแสเงินสด ทำอย่างไรให้เกิดกระแสเงินสดเข้ามา คุณจิรบูลย์แนะว่า ลูกค้าในประเทศ เช่น ห้างสรรพสินค้า ร้านค้า มีการยืดเครคิตยาวขึ้น ซึ่งตนเองได้กลับมาคิดวิธีที่จะให้ลูกค้าจ่ายเงินสดมากขึ้น คือ จูงใจให้ลูกค้าจ่ายเงินสด จะลดราคาลง 5%

วิธีนี้เป็นการ กระตุ้นให้ลูกค้าตัดสินใจจ่ายสดมากขึ้น เพราะลดค่าใช้จ่าย ขณะที่ผู้ประกอบการเอง ลดความเสี่ยงลงเพราะมีกระแสเงินสดเข้ามาต่อเนื่องอีกด้วย

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
////////////////////////////////////////////////////////

ห่วงค่าบาทฉุด SME ล้ม !!?


แบงก์พาณิชย์"ชี้ครึ่งหลังบาทผันผวนแน่ เข็นเอสเอ็มอีซื้อฟอร์เวิร์ด-บริหารต้นทุนป้องกำไร  ค่าย "กรุงไทย"จับลูกค้าทำเฮจจิ้ง  เตือนถ้าบาทแข็งต่อเนื่องอีก 2-3 เดือนมีโอกาสเห็นธุรกิจล้ม ขณะที่ "กสิกรไทย-ทหารไทย" แนะไทยเอาย่างญี่ปุ่นทำเฮจจิ้ง 50-70% เตือนธุรกิจอย่าเก็งค่าเงิน-ฟิกซ์เรตทำเฮจจิ้ง ส่วน "กรุงศรีฯ"ใส่เกียร์ถอยเทรดไฟแนนซ์รอสถานการณ์

 หลังจากที่ธนาคารกลางชั้นนำของโลกทั้งญี่ปุ่น (บีโอเจ) และสหรัฐอเมริกา (เฟด) ยังมีแนวโน้มเดินหน้ามาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ต่อไป ตลาดยังติดตามกระแสการเคลื่อนย้ายเงินทุนระหว่างประเทศโดยเงินบาทเคลื่อนไหวต่ำสุดระหว่างวันศุกร์ที่ 19 เมษายนที่ระดับ 28.66 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ เทียบกับระดับ 29.00 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ เมื่อวันที่ 12 เมษายนที่ผ่านมา  ทั้งนี้ ผลจากเงินบาทแข็งค่าในรอบ 16 ปี ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)ได้ขอให้ธนาคารพาณิชย์ช่วยเหลือธุรกิจเอสเอ็มอีนั้น
 
ต่อประเด็นดังกล่าวนายประสิทธิ์  วสุภัทร  รองกรรมการผู้จัดการ  ผู้บริหารสายงาน สายงานธุรกิจขนาดกลาง ธนาคารธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) (บมจ.) เปิดเผยว่า  ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาธนาคารได้เข้าไปให้ความช่วยเหลือลูกค้าจากผลกระทบของค่าเงินบาทอย่างต่อเนื่อง  ทั้งการออกผลิตภัณฑ์การป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน  การปล่อยสินเชื่อหมุนเวียน  การแนะนำในเชิงลึกเป็นรายกรณี ทำให้สถานการณ์ของลูกค้าในภาพรวมยังไม่มีปัญหา
 
ส่วนลูกค้าที่เริ่มได้รับผลกระทบ ได้แก่ ภาคการเกษตร สิ่งทอ รองเท้า ผักผลไม้แช่แข็ง และธุรกิจที่ใช้วัตถุดิบในประเทศในการผลิตเพื่อส่งออก เป็นต้น แม้ขณะนี้ยังสามารถประคับประคองธุรกิจเพื่อความอยู่รอดได้ แต่หากเงินบาทปรับแข็งค่าต่อเนื่องไปอีก 2-3 เดือน ถ้าภาคธุรกิจไม่สามารถปรับราคาขึ้นได้ หรือไม่สามารถปรับตัวได้ โดยเฉพาะรายสายป่านสั้นนั้นน่าเป็นห่วง  เนื่องจากการค้าขายของผู้ประกอบการส่วนใหญ่กำหนดราคาผ่านเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐฯ
 
"ภาพรวมช่วงที่ค่าเงินบาทแข็งค่าหนักในระดับ 29 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ หรือหลุดกรอบไม่มากอาจไม่ได้กระทบธุรกิจมากนัก รวมถึงแบงก์ไม่ต้องมีการตั้งสำรองหรือเพิ่มค่าความเสี่ยง แต่หากระยะข้างหน้าเงินบาทยังแข็งค่าต่อเนื่องไปเรื่อยๆ ลูกค้าต้องเร่งปรับตัว  เพราะแบงก์ช่วยได้เต็มที่เพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น  แต่ลูกค้าจะเป็นผู้ที่สามารถทำให้ธุรกิจตัวเองผ่านพ้นวิกฤติไปได้ เช่น อาจจำเป็นต้องนำเข้าเครื่องจักรหรือสินค้าทุนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนการผลิต เป็นต้น"
 
นายประสิทธิ์ กล่าวอีกว่า ที่ผ่านมาธนาคารเน้นปล่อยสินเชื่อเป็นแพ็กเกจกับวงเงินการซื้อประกันความเสี่ยง (แพ็กกิ้งเครดิต) เนื่องจากตระหนักถึงความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน ทำให้ลูกค้าที่มีการทำธุรกรรมการค้าระหว่างประเทศของธนาคารมีการป้องกันความเสี่ยง 100% โดยระยะเวลาการซื้อเครื่องมือป้องกันความเสี่ยงจะขึ้นอยู่กับระยะการค้าของลูกค้า  ซึ่งส่วนใหญ่จะกำหนดราคาอัตราแลกเปลี่ยนล่วงหน้าตามระยะเวลาสัญญา
 
นายทรงพล  ชีวะปัญญาโรจน์ รองกรรมการผู้จัดการ บมจ.ธนาคารกสิกร ไทย กล่าวว่า แนวโน้มผู้ส่งออกเอสเอ็มอีน่าจะตื่นตัวมากขึ้นจากสัญญาณความผันผวนของค่าเงิน  ส่วนที่ผ่านมาแม้ว่าทุกธนาคารพาณิชย์พยายามจะให้คำแนะนำลูกค้าป้องกันความเสี่ยงแต่พบว่ามีกลุ่มธุรกิจเอสเอ็มอีที่ส่งออกเพียง 15-20%เท่านั้นที่มีการป้องกันความเสี่ยงไว้โดยการประกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน(เฮจจิ้ง) แต่ส่วนใหญ่ไม่ยอมเฮจจิ้ง  เมื่อเทียบกับตลาดญี่ปุ่นนั้นมีการเฮจจิ้ง 50-70% แต่ธุรกิจไทยมีการกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนเผื่อบางส่วนเก็งกำไร  นอกจากนี้โดยทั่วไปแล้วธนาคารจะมีเครื่องมือและวงเงินรวมป้องกันความเสี่ยงให้ลูกค้าโดยไม่เรียกหลักประกันเพิ่ม แต่ขึ้นอยู่กับลูกค้าจะเลือกใช้หรือไม่
 
นายปพนธ์  มังคละธนะกุล  ประธานเจ้าหน้าที่บริหารเอสเอ็มอีและซัพพลายเชน บมจ.ธนาคารทหารไทย หรือทีเอ็มบีแบงก์ (TMB) กล่าวว่า ล่าสุดธนาคารเพิ่งออกผลิตภัณฑ์ใหม่ "พรีเพด ฟอร์เวิร์ด"โดยให้ลูกค้าสินเชื่อไม่ต้องมีวงเงินกับธนาคารสามารถซื้อฟอร์เวิร์ดในระดับอัตราแลกเปลี่ยนที่พอใจได้ เพียงวางเงินมัดจำกับ  12-15% ของมูลค่าธุรกรรม  อย่างไรก็ตาม เมื่อแนวโน้มธุรกิจเห็นความผันผวนและโอกาสที่เงินบาทจะแข็งต่อเนื่องแล้ว จึงควรตัดสินใจคำนวณกำไรที่คาดหวังแล้วล็อกอัตราแลกเปลี่ยนซื้อฟอร์เวิร์ดโดยรวมควรซื้อไม่ต่ำกว่า 50% ทั้งนี้ ธุรกิจที่ที่ไม่สามารถแข่งขันหรือไม่มีตลาดรองรับบวกกับไม่สามารถปรับตัวบริหารต้นทุนนั้นมีโอกาสจะทำให้กำไรลดลงกว่าที่ควรจะได้รับ
 
ทั้งนี้เงินบาทที่แข็งค่าทำให้ต้นทุนการผลิตของธุรกิจเอสเอ็มอีสูงขึ้น จึงมีโอกาสฉุดให้รายได้และกำไรลดลง  โดยเวลานี้ผลกระทบลูกค้ายังไม่ถึงขั้นปิดกิจการ  หรือไม่สามารถชำระหนี้  เพียงแต่ทำให้กำไรลดลงเท่านั้นเอง  ขณะที่ทุกธนาคารพยายามแนะนำลูกค้า  และแจ้งสถานการณ์ให้ลูกค้าทราบเพื่อปรับตัวแล้ว แต่ขึ้นอยู่กับความตระหนักและตื่นตัวของลูกค้าว่าจะมีแค่ไหน  แต่แนวโน้มเชื่อว่าลูกค้าน่าจะตื่นตัวขึ้น
 
ด้านนายสยาม  ประสิทธิศิริกุล  ประธานคณะเจ้าหน้าที่ด้านลูกค้าธุรกิจเอสเอ็มอี บมจ. ธนาคารกรุงศรีอยุธยา กล่าวยอมรับว่า ผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากบาทแข็งต่อเนื่องจากการปรับค่าแรงขั้นต่ำยิ่งเพิ่มผลกระทบเป็น2เท่า เช่น ธุรกิจสิ่งทอ  อุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับไม้  โดยในส่วนของธนาคารเองมีพอร์ตสินเชื่อเอสเอ็มอีที่ส่งออกไม่ถึง 5% ซึ่งเดิมธนาคารมองว่าเป็นสัดส่วนที่น้อยเกินไป  และเตรียมจะขยายเพิ่มสินเชื่อดังกล่าว แต่ต้องพับเก็บแผนไว้ก่อน เพื่อรอสถานการณ์ให้นิ่ง
 
ขณะที่ปริมาณการซื้อประกันป้องกันความเสี่ยงของลูกค้าเอสเอ็มอีของธนาคาร ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาไม่ได้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ  เนื่องจากลูกค้าส่วนใหญ่ 90.4% หรือกว่า 4.52 หมื่นราย จากจำนวนลูกค้ารวม 5 หมื่นราย ยังเป็นผู้ประกอบการรายเล็กที่มียอดขายน้อยกว่า 50 ล้านบาทต่อปี  หรือมีวงเงินกู้น้อยกว่า 30 ล้านบาท  และในจำนวนดังกล่าวยังมีสัดส่วนผู้ประกอบการส่งออกไม่มากนัก
 
"ลูกค้าผู้ประกอบการส่งออกเรามีไม่มาก ไม่ถึง 5% ของพอร์ตเอสเอ็มอีรวม  โดยส่วนใหญ่เป็นผู้ประกอบการรายเล็กจึงไม่ค่อยทำประกันความเสี่ยงมากนัก  ยกกรณีบางรายส่งออกในบางครั้งเพียง 1-2 ตู้คอนเทรนเนอร์ มูลค่าสินค้าไม่ถึง 1 ล้านบาท  หากทำประกันความเสี่ยงจะต้องจ่ายอีกประมาณ 10 สตางค์ ของมูลค่าสินค้า  และยังมีค่าบริหารจัดการ  หรือทำเอกสารเพิ่มเติม  ส่วนใหญ่จึงเลือกรับความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนแทนการเสียค่าพรีเมียมเพิ่มขึ้น"
 
อย่างไรก็ตาม  หากพิจารณาในส่วนของลูกค้าเอสเอ็มอีรายใหญ่ที่มียอดขายตั้งแต่ 50 ล้านบาท ขึ้นไป พฤติกรรมการซื้อประกันความเสี่ยงยังเลือกซื้อในบางรอบ ขึ้นอยู่กับโอกาส จังหวะ และความสามารถของคู่ค้าเป็นสำคัญ  และส่วนใหญ่จะมองค่าเงินมีแนวโน้มแข็งค่าสามารถบริหารจัดการได้ง่ายกว่าค่าเงินที่มีเคลื่อนไหวลักษณะผันผวน
 
อนึ่ง ธปท.ขอให้ธนาคารพาณิชย์ช่วยเหลือเอสเอ็มอีใน 4เรื่องคือ  1.การให้คำแนะนำ  2.ออกโปรดักส์ประกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน (FX) ที่มีขนาดเล็กลง  3.การทำประกันความเสี่ยงไม่ควรตัดวงเงินเครดิตเดิม  และ4.อำนวยความสะดวกไม่แลกเงินตราต่างประเทศเป็นเงินบาทโดยสามารถฝากในบัญชีเงินฝากสกุลเงินต่างประเทศ (FCD) และลดค่าธรรมเนียม

ที่มา.นสพ.ฐานเศรษฐกิจ
//////////////////////////////////////////////////

วันเสาร์ที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2556

อลินา มิรอง อาวุธลับน็อกเขมร ขวัญใจคนไทย !!?


 หากไม่นับ “วีรชัย พลาศรัย” หัวหน้าทีมกฎหมายฝ่ายไทยในการสู้ศึกปราสาทพระวิหารที่ศาลโลก ณ กรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ ซึ่งทำหน้าที่ได้อย่างโดดเด่นจนได้รับคำชมจากคนไทยทั้งชาติแล้ว คงต้องบอกว่า อีกหนึ่งบุคคลที่โดดเด่นไม่แพ้กันก็คือ “มิสอลินา มิรอง” (Alina Miron) ทนายความสาวชาวโรมาเนีย ซึ่งเป็นผู้ช่วยของ ศ. อแลง แปลเล่ต์
     
       โดดเด่นชนิดที่กลายเป็นขวัญใจของคนไทยในชั่วข้ามคืน โดยเฉพาะในโลกออนไลน์ที่มีการโพสต์ข้อความชื่นชมกันเป็นจำนวนมาก กระทั่งเกิดกระแสมิสอลินา มิรอง ฟีเวอร์ขึ้นในโลกโซเชียลมีเดีย ทันที
     
       กล่าวสำหรับอลินา มิรองแล้ว เธอถือเป็น “อาวุธลับ” หรือ “หมัดเด็ด” ที่เรียกว่า มีผลต่อการแพ้ชนะเลยก็ว่าได้ เพราะเธอสามารถงัดข้อมูลทางกฎหมายเพื่อต่อสู้กับข้อมูลฝ่ายกัมพูชาได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะข้อมูลในเรื่องความมั่วนิ่มของแผนที่ ซึ่งสามารถเล่นงาน The annex 1 map หรือแผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 200,000 ที่ฝ่ายกัมพูชาหมายมั่นปั้นมือว่าเป็นหมัดเด็ดน็อกฝ่ายไทยให้ง่อยเปลี้ยเสียขาในสายตาของชาวโลกในทันที
     
       อลินา มิรอง สามารถชี้ให้เห็นถึงปัญหาของกัมพูชาในเรื่องการกำหนดเส้นเขตแดนในแผนที่ภาคผนวก 1 ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงไปมาและแผนที่ดังกล่าวขัดต่อหลักภูมิศาสตร์ไม่สามารถถ่ายทอดลงแผนที่ในโลกปัจจุบันได้ และแผนที่ภาคผนวก 1 ที่กัมพูชาอ้างถึงนั้นไม่ได้มีแค่ฉบับเดียวแต่ทีมฝ่ายไทยพบถึง 6 ฉบับ ทำให้แผนที่นี้ขาดความน่าเชื่อถือ และยังขาดความแม่นยำทางเทคนิคด้วย"
     
       “แม้ว่าจะมีความชัดเจนเรื่องปราสาท แต่แผนที่ภาคผนวก 1 ไม่สามารถปฏิเสธว่ากัมพูชามีสิทธิเหนือพื้นที่อื่นๆ จึงคิดว่าแผนที่นี้มีคุณค่าในการพิสูจน์ แต่จะใช้กำหนดเขตแดนหรือไม่เพราะไม่ชัดเจนเรื่องภูมิศาสตร์ ภูมิรัฐต่างๆ และแผนที่อีกฉบับที่ไทยได้ส่งเมื่อปี 1947 ซึ่งเสนอต่อคณะกรรมการประนีประนอมที่ให้ความสนใจในที่ตั้งของปราสาทพระวิหาร และมีความคล้ายกันทั้งหมดที่แสดงให้เห็นว่าปราสาทตั้งอยู่ทางตอนใต้ของเขตแดน จึงสามารถสรุปได้ว่าแผนที่ภาคผนวก 1 ไม่สามารถใช้เป็นตราสารที่แยกจากสนธิสัญญา 1904 เนื่องจากไม่มีความแม่นยำทางเทคนิค จึงไม่สามารถนำแผนที่เก่าๆ มาใช้ในการปักปันเขตแดน จึงควรใช้แผนที่ภาคผนวก 1 หลายๆ ฉบับมากกว่า การที่นายร็อดแมน บันดี ทนายชาวอเมริกันของฝ่ายกัมพูชา บอกว่าการมีหลายฉบับไม่สำคัญ แต่ที่สำคัญคือแผนที่ที่กัมพูชาแนบมากับคำร้องเมื่อปี 1959 ซึ่งถือเป็นการด่วนสรุปเกินไปว่า แผนที่ที่ศาลใช้นั้นมีฉบับเดียว แต่ที่จริงศาลได้มีการเผยแพร่แผนที่ภาคผนวก 1 แล้วทำไมเอกสารที่ศาลนำเผยแพร่จึงมีความสำคัญน้อยกว่า”มิสอลินา มิรองอธิบายให้คนทั้งโลกเห็นว่ากัมพูชาไม่ได้มีสิทธิ์ในพื้นที่บริเวณรอบปราสาทพระวิหาร
     
       ปณิธาน วัฒนายากร อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย ให้ความเห็นต่อการทำหน้าที่ของมิสอลินา มิรองว่า “ไม้เด็ดของการแถลงฝ่ายไทยครั้งนี้ถือว่าเป็นครั้งแรกที่มีผู้เชี่ยวชาญด้านแผนที่คือ อลินา มิรอง ทนายความหญิงฝ่ายไทยมายืนยันความล้มเหลวของแผนที่ 1 ต่อ 200,000 ของกัมพูชา โดยอ้างแผนที่ที่มีความแม่นยำกว่าจากการศึกษาของไอบีอาร์ยู ที่มีหลักฐานทั้งทางประวัติศาสตร์และวิทยาศาสตร์อันน่าเชื่อถือได้ ที่สำคัญการยกข้อมูลแผนที่อีกฉบับมาหักล้างกัมพูชาถือเป็นการเน้นย้ำว่า หากศาลตีความซ้ำในคำพิพากษาเดิมที่ยึดแผนที่ 1 ต่อ 200,000 ก็ไม่สามารถยุติความขัดแย้งของ 2 ชาติได้ตามที่กัมพูชากล่าวอ้าง แต่จะยิ่งเพิ่มทวีความขัดแย้งขึ้นมา เพราะแผนที่ที่กัมพูชาเรียกร้องนั้นไม่มีประสิทธิภาพ”
     
       เช่นเดียวกับ คำนูณ สิทธิสมาน ส.ว.สรรหา ซึ่งอยู่ที่ศาลโลก กรุงเเฮก เนเธอร์แลนด์ ถึงกับชื่นชมว่า “เธอเป็นอาวุธลับที่ขึ้นมาพูดเรื่อง 'map'(แผนที่) โดยเฉพาะ”
     
       นอกจากนี้ จากการตรวจสอบในโซเชียลเน็ตเวิร์กพบว่า ชื่อของมิสอลินา มิรองดังกระฉ่อนในชั่วข้ามคืน ยกตัวอย่างเช่น หน้าเพจของ "สายตรงภาคสนาม" ที่โพสต์ข้อความเกี่ยวกับเธอ ปรากฏว่า มีคนกดไลค์มากว่า 5 พันไลค์และกด แชร์มากถึง 2,310 แชร์ เพียงแค่โพสต์ข้อความนี้ลงไปแค่ 22 ชั่วโมง
     
       หรือแม้แต่ในเว็บไซต์พันทิพย์ ก็มีการหยิบยก เรื่องนี้ขึ้นมาพูดคุยเช่นกัน เช่น BaaD ตั้งกระทู้ ชื่อว่า "ชาวเน็ตแห่ชม อลินา มิรอง ทีมกฎหมายไทยแจงคดีเขาพระวิหาร หลังนำแผนที่ The big map โต้ the Annex I map ของกัมพูชาขาดกระจุย" เป็นต้น
     
       สำหรับประวัติส่วนตัวนั้น มิสอนินา มิรอง ปัจจุบันอายุ 34 ปี ถือสัญชาติโรมาเนียและฝรั่งเศส มีความสามารถถึง 5 ภาษาด้วยกันคือ โรมาเนียที่เป็นภาษาแม่ ภาษาอังกฤษและฝรั่งเศสที่จัดอยู่ในระดับเชี่ยวชาญ ภาษาอิตาลีที่เข้าขั้นดี ภาษาสเปนและโปรตุเกสที่จัดอยู่ในระดับพอใช้
     
       ส่วนประวัติการศึกษา เธอจบปริญญาตรี เกียรตินิยมอันดับหนึ่ง นิติศาสตรบัณฑิต (2543-2546)ปริญญาโท เกียรตินิยมอันดับสอง กฎหมายระหว่างประเทศ แผนกคดีเมือง (2546-2547)มหาวิยาลัย เด ซิอองส์ โซซิอัล ที่เมืองตูลูส ประเทศฝรั่งเศส โดยขณะนี้กำลังศึกษาระดับปริญญาเอก
     
       ขณะที่ประสบการณ์การทำงาน มิสอลินา มิรองทำหน้าที่เป็นผู้ช่วย ศ.อแลง แปลเล่ต์ว่าความในหลายคดีด้วยกัน อาทิ ว่าความให้ประเทศญี่ปุ่น คดีล่าวาฬในมหาสมุทรแอนตาร์กติก (ออสเตรเลีย ฟ้อง ญี่ปุ่น) ว่าความให้ประเทศนิการากัว คดีความเคลื่อนไหวละเมิดอธิปไตยบริเวณชายแดน (คอสตาริก้า ฟ้อง นิการากัว) ว่าความให้ประเทศกรีซ คดีความชอบธรรมเอกสารข้อมติรัฐบาลชั่วคราว ปี 1995 (มาเซโดเนีย ฟ้อง กรีซ) ว่าความให้ประเทศรัสเซีย คดีความชอบธรรมพิธีสารว่าด้วยการยุติการแบ่งแยกทางเชื้อชาติ (จอร์เจีย ฟ้อง รัสเซีย) เป็นต้น
     
       นี่คือความไม่ธรรมดาของทนายสาวชาวโรมาเนียที่วันนี้ได้กลายเป็นขวัญใจคนไทยไปเรียบร้อยแล้ว

ที่มา.ผู้จัดการออนไลน์
/////////////////////////////////////////////////

ทูตฯ วีรชัย ยืนยันทำดีที่สุด โปร่งใส ไม่ซ่อนเร้น ผลออกมาอย่างไรก็สบายใจแล้ว !!?


รายการรัฐบาลยิ่งลักษณ์ พบประชาชน เป็นการสัมภาษณ์  นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รองนายกฯและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ และนายวีรชัย พลาศรัย  เอกอัครราชทูตไทยประจำประเทศเนเธอร์แลนด์ ในฐานะผู้นำคณะฝ่ายไทยต่อสู้คดีปราสาทพระวิหาร เป็นการสัมภาษณ์ผ่านทางโทรศัพท์ จากกรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์   กรณีการแถลงให้การด้วยวาจาในคดีปราสาทพระวิหาร ระหว่าง 15-19 เมษายน 2556  ซึ่งดำเนินรายการโดย จอม เพชรประดับ

นายวีรชัย กล่าวถึง การต่อสู้คดีในครั้งนี้ว่า  มุมมองของเราคือกัมพูชาต้องการขึ้นทะเบียนมรดกโลกฝ่ายเดียว และเสนอแผนที่ที่ล้ำเข้ามาในดินแดนไทย วัดได้ 4.6 ตารางกิโลเมตร ก็เลยเป็นที่มาของ 4.6 ตารางกิโลเมตร แต่เขามองโลกกลับจากเรา เขามองว่าเป็นของเขามาตลอด แต่ผมเอาแผนที่มา เรามองว่ามันเป็นของเรา ก็เลยต้องประท้วงแต่เจรจากันไม่ได้ เขาก็เลยมาฟ้อง เขาเป็นฝ่ายฟ้อง อันนี้ต้องไม่ลืม เราถูกฟ้องก็ต้องป้องกันตัวเองในการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก ก่อนหน้าปี 2550 ฝ่ายไทยทุกรัฐบาลก็บอกว่าจะร่วมกัน เราเอาพื้นที่รอบๆไปร่วมกันพัฒนา ส่วนพื้นที่ไหนเป็นของใครก็ไม่เปลี่ยนแปลงอะไรวางแผนไว้เป็นอย่างนั้น แต่ไปๆมาๆเขาก็ไปขึ้นคนเดียวเลย

เมื่อถามถึงน้ำหนักที่เป็นข้อหักล้างของฝ่ายไทย นายวีรชัย กล่าวว่า มีหลายอย่าง คือ เรื่องเขตแดนอยู่นอกกรอบคดีเดิม วิธีอ้างของเขาอ้างเส้นเขตแดนบนแผนที่ภาคผนวก 1  ประการที่สอง ไม่ได้มีการขัดแย้งกัน แต่อยู่ๆเขามาเปลี่ยนใจ ไม่เอาเรื่องสมัยก่อน ผมก็คิดว่าข้อเท็จจริงอันนี้เราก็แข็งพอสมควร แผนที่เราก็เป็นจุดแข็ง แต่เขากลับไม่สนใจประเด็น เขาไม่มีผู้เชี่ยวชาญด้านแผนที่ด้วยซ้ำ และเรื่องนี้ศาลก็ไม่มีอำนาจพิจารณาเรื่องเขตแดน เพราะมีอำนาจพิจารณาว่าอธิปไตยเหนือปราสาทเป็นของใคร ไม่ใช่เรื่องเขตแดน เมื่อไม่มีอำนาจพิจารณาเรื่องเขตแดน ทำให้ไม่สามารถมาผูกพันเราได้ในเรื่องเขตแดน ผูกพันเฉพาะอธิปไตยเป็นของใครกรณีที่ถูกกัมพูชาวิจารณ์ว่าฝ่ายไทยแพ้แล้วไม่ยอมแพ้ นายวีรชัย กล่าวว่า ยื่นข้อมูลไปให้ศาล 1,300 กว่าหน้าว่ากัมพูชาประท้วงเรามาตลอด แต่ก็ไม่เคยประท้วงเรื่องเราไม่ได้ถอนออกจากพื้นที่ แต่กัมพูชาเขาไม่ได้ยื่นอะไรเลย ดังนั้นเมื่อกัมพูชาจะมาโต้เรา  ก็มาจิ๊กหลักฐานเราไป แต่เราดูแล้วไม่มีตรงไหนเลยที่กัมพูชาร้องเรียนว่าเราไม่ได้ถอน ผมก็คิดว่าหลักฐานเราน่าจะแน่น

"เราไม่ปฏิเสธว่ามีข้อคิดเห็นไม่ตรงกันในเรื่องตีความคำพิพากษา แต่เกิดขึ้นเมื่อปี 2550 ซึ่งเราอยู่กันมาได้  45 ปีไม่เคยมีความเห็นแตกต่าง จะเป็นไปได้อย่างไร เมื่ออยู่มา 45 ปีไม่เคยไปหาตำรวจ ไปแจ้งตำรวจ แต่พออยู่ๆมาหลัง 45 ปีแล้ว ไปแจ้งตำรวจอันนี้ก็คงอยู่กันไม่ได้หรอก "

เมื่อถามถึง ผลการตัดสินที่จะออกมา นายวีรชัย กล่าวว่า เราคงไม่ไปก้าวล่วงอำนาจศาล แต่สิ่งที่เราพูดได้คือ เราทำดีที่สุด และละเอียดที่สุดแล้ว โปร่งใส และวินาทีที่พูดตรวจได้หมด ไม่มีอะไรซ่อนเลย ผมจะออกมาอย่างไรก็สบายใจ

เมื่อถามว่า เปรียบเทียบการทำงานในฐานะที่ผ่านมา 2รัฐบาล ในการทำงานมีความแตกต่างหรือไม่ นายวีรชัย กล่าวว่า ผมคิดว่าไม่ต่าง ได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่ทุกอย่างแต่ต้นถึงปัจจุบัน เรียกได้ว่าไม่มีรอยต่อ ทั้งงบประมาณ บุคลากร แม้แต่กำลังใจไม่มีความแตกต่างเลย

เมื่อถามถึง สิ่งที่ประทับใจเนื่องจากคดีนี้เป็นคดีประวัติศาสตร์ของประเทศไทย นายวีรชัย กล่าวว่า ความร่วมมือร่วมใจของคนไทยทุกฝ่ายให้ความร่วมมือหมดเลย ผมคิดว่าถ้ามีอะไรดีหรือสำเร็จก็เป็นผลงานของพวกเราร่วมกันทั้งหมด

นายวีรชัย ยังได้กล่าวขอบคุณคนไทย และขอบคุณในแง่ข้อมูลที่ส่งให้ ถ้ามีอะไรดีก็เป็นผลงานร่วมกัน และอยากเชิญชวนให้ศึกษาเอกสารที่เว็บไซต์ของกระทรวงต่างประเทศหรือศาลโลก ซึ่งต้องอ่านนาน เป็นเดือน เพราะเมื่อคำพิพากษาออกจะได้เข้าใจได้เร็ว

ที่มา.นสพ.ฐานเศรษฐกิจ
/////////////////////////////////////////////

วันศุกร์ที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2556

กิตติรัตน์ ณ ระนอง ชื่นชม กรณ์ จาติกวณิช มองมีโอกาสเป็นนายกฯ !!?


2 ขุนคลังแสดงสปิริตชื่นชมผลงานฝ่ายตรงกันข้าม "กิตติรัตน์"มอง"กรณ์"มีโอกาสเป็นนายกฯ ขณะที่"กรณ์"ชม"กิตติรัตน์"มีความมุ่งมั่น ผ่านเวทีดีเบต

นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวแสดงความชื่นชมต่อนายกรณ์ จาติกวณิช อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในเวทีดีเบตหัวข้อ "อนาคตประเทศไทย"ว่า ตนได้มีโอกาสพบกับนายกรณ์ตอนที่เข้าสู่ธุรกิจตลาดทุน ซึ่งเห็นว่า คุณกรณ์ เป็นผู้ที่มีความสามารถสูงที่สุดในตลาดทุนเท่าที่เคยพบมา และความตั้งใจสร้างกิจการ โดยตั้งแต่เริ่มกิจการได้รวบรวมคนไม่กี่คน และ สร้างกิจการจนกลายเป็นบริษัทที่มีส่วนแบ่งตลาดสูงที่สุด การที่เขาสามารถทำในสิ่งเหล่านี้ได้ ต้องเป็นคนที่มีความสามารถและมีศิลปะการบริหารทำงานสูง

"คุณกรณ์เป็นบุคคลสำคัญของพรรคประชาธิปัตย์ มีโอกาสเป็นนายกรัฐมนตรี ขอเรียนว่า คุณกรณ์อยู่ในหน้าที่ไหนก็มีความสามารถ จำได้ว่า แม้เราอยู่ต่างขั้วการเมือง ก็มีโอกาสสอบถามความเห็นกัน ในมุมของผู้ที่สนใจรับฟังหรือรับฟังข้อมูล สะท้อนว่า คุณกรณ์เป็นบุคคลที่มีความตั้งใจสูง"เขากล่าว

นายกิตติรัตน์ กล่าวว่า ตนเองมีศรัทธาในประเทศนี้ มีความศรัทธาในระบอบประชาธิปไตย ในกลไกของคณะรัฐมนตรี ถ้ากฎหมายกู้เงิน 2 ล้านล้านบาท ผ่านการพิจารณา ถ้าหากมีการเลือกตั้งใหม่แล้วพรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาล ท่านจะมีเครื่องมือสำคัญในการบริหารโครงการเหล่านี้ให้สำเร็จ และมีศรัทธาว่า ถ้ารัฐบาลใดเข้ามา ก็จะบริหารเศรษฐกิจเพื่อประเทศ

"กรณ์"ชม"กิตติรัตน์"มีความมุ่งมั่น

ด้านนายกรณ์ จาติกวณิช อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวชื่นชมนายกิตติรัตน์ว่า นายกิตติรัตน์เป็นบุคคลที่มีความแตกต่างกับบุคคลอื่น คือ เป็นคนที่มีความมุ่งมั่น โดยตนและนายกิตติรัตน์ได้รู้จักกันมานานถึง 20 ปี และก็ไม่เคยคิดว่า จะอยู่ต่างขั้วการเมืองกัน ในอดีตเราอยู่ในบริษัทที่เป็นคู่แข่ง แต่ก็ได้เห็นความมุ่งมั่น ซึ่งท่านก็มีมิติในเรื่องการช่วยเหลือสังคม ยกตัวอย่าง สมัยที่ท่านเป็นผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ก็ได้ทำกิจกรรมเพื่อสังคมในบริเวณพื้นที่รอบตลาดหลักทรัพย์ และ เป็นคนที่มีวิสัยทัศน์

"ต้องสารภาพว่า ในวันที่ท่านรับตำแหน่งผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ ผมก็นั่งทบทวนว่า บทบาทของผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์นั้น มีอะไรที่ทำได้บ้าง ซึ่งท่านก็ทำหลายอย่างที่ผมคิดไม่ถึง ซึ่งเป็นบทบาทที่สร้างสรรค์ มีวิสัยทัศน์ รวมถึง ความสนใจในสังคมและผู้ด้อยโอกาส ซึ่งท่านก็ได้ใช้อำนาจหน้าที่ในการตอบโจทก์"

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
////////////////////////////////////////////////////////////

เจาะเส้นทางชีวิต ดร.วีรชัย พลาศรัย ทรัพยากรบุคคลที่มีค่าของ ไทย. !!?


ต้องจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ชาติไทย สำหรับชื่อของ  “ดร.วีรชัย พลาศรัย” เอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์  ในฐานะหัวหน้าคณะฝ่ายไทย ที่นำทีมทนายมือหนึ่ง เข้าชี้แจงต่อศาลโลก ณ กรุงเฮก ในคดีปราสาทพระวิหารตามที่ฝ่ายกัมพูชายื่นคำร้อง

งานนี้  ทูตวีรชัย และทีมงาน ได้รับเสียงชื่นชมอย่างล้นหลาม ถึงความชาญฉลาดในการวางแผน และแก้ต่างข้อกล่าวหาฝ่ายกัมพูชา
 จึงขอนำประวัติชีวิต และเส้นทางการต่อสู้เกี่ยวกับเรื่อง ดินแดนปราสาทพระวิหารของ ทูตวีรชัย มาให้ทุกท่านได้ทราบกัน

ข้าราชการ “ครุฑทองคำ”

ดร.วีรชัย พลาศรัย  เกิดเมื่อวันที่ 9 มิ.ย. 2503  จบการศึกษาระดับปริญญาตรี และปริญญาโท มหาวิทยาลัยปารีส (นองแตร์) ปริญญาเอกจากซอร์บอนน์ ฝรั่งเศส เข้ารับราชการที่กระทรวงการต่างประเทศในตำแหน่งเลขานุการตรี กองแอฟริกา และกลุ่มอาหรับ   ต่อมาดำรงตำแหน่ง อธิบดีกรมการเศรษฐกิจระหว่างประเทศ  ,อธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย  ปัจจุบันได้รับโปรดเกล้าให้ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูต ณ กรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์

นอกจากนี้เขายังเคย ได้รับรางวัล  “ครุฑทองคำ” ประจำปี 2553-2554  ซึ่งเป็นรางวัล สำหรับข้าราชการพลเรือน ที่มอบให้เพื่อเป็นการประกาศเกียรติคุณกับข้าราชการที่ปฏิบัติงานด้วยความรู้ความสามารถ ซื่อสัตย์สุจริต และมีคุณธรรม

ค้านแผนที่เขตแดนกัมพูชา

สำหรับเส้นทางการต่อสู้เรื่องดินแดนเขาพระวิหาร ระหว่างไทยกับกัมพูชา   ในปี 2551 ชื่อของ ดร.วีรชัย  เริ่มเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย ในฐานะ อธิบดีกรมสนธิสัญญาระหว่างประเทศ

โดยเมื่อวันที่ 10 เม.ย. 2551 ดร.วีรชัย ได้เชิญนายโลรองต์ บิลี  เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐฝรั่งเศสประจำประเทศไทย และนายอึง เซียน เอกอัครราชทูตราชอาณาจักรกัมพูชาประจำประเทศไทย มาพบเพื่อแจ้ง ท่าทีของไทยเกี่ยวกับแผนที่โบราณคดีจังหวัดอุดรเมียนเจย และแผนที่โบราณคดีจังหวัดพระวิหาร  โดยอาศัยข้อมูลจากกรมภูมิศาสตร์กัมพูชา ซึ่งไทยเห็นว่าแผนที่ทั้งสองฉบับแสดงข้อมูลเกี่ยวกับเส้นเขตแดนคลาดเคลื่อน

ครั้งนั้น ดร.วีรชัย  ได้ขอให้กัมพูชาถอนกำลังทหาร และตำรวจของกัมพูชาออกไป จากดินแดนปราสาทพระวิหาร  ซึ่งพื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่ที่ไทย  กับกัมพูชา อ้างสิทธิทับซ้อนกันอยู่

เด้ง"วีรชัย"เซ่นคดี “ซีทีเอ็กซ์”

วันที่ 6 พ.ค.2551ครม.สมัคร สุนทรเวช มีมติ โยกย้าย ดร.วีรชัย จากอธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย ไปเป็น เอกอัครราชทูตประจำกระทรวง การโยกย้ายดังกล่าวได้รับการวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากในหมู่ข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศ  เพราะ ดร.วีรชัย  เป็นผู้ที่ได้รับการยอมรับว่าเชี่ยวชาญงานกฎหมายระหว่างประเทศมากที่สุดคนหนึ่ง  และมีหลายฝ่ายวิเคราะห์ว่า  สาเหตุที่แท้จริงของคำสั่งโยกย้ายครั้งนี้คือ  ฝ่ายการเมืองมีการประสานด้วยวาจา เพื่อขอเอกสารคดีทุจริตการจัดซื้อเครื่องตรวจวัตถุระเบิดซีทีเอ็กซ์ 9000 ที่กรมสนธิสัญญาและกฎหมาย ช่วยแปลให้ คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำ ที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ซึ่งนายวีรชัย ไม่ส่งมอบให้ เพราะเห็นว่าต้องมีเอกสารแจ้งขอเป็นลายลักษณ์อักษร  จึงสร้างความไม่พอใจให้กับฝ่ายการเมือง จนนำมาสู่การโยกย้ายดังกล่าว

ขณะที่ นายวีระศักดิ์ ฟูตระกูล ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ ในขณะนั้น  ได้เขียนจดหมายเปิดผนึกด้วยลายมือ เมื่อวันที่ 7 พ.ค.2551 ระบุตอนหนึ่งว่า

"...มีความภูมิใจที่ราชอาณาจักรไทยมีนักการทูตที่เก่งกาจ ท่านอธิบดีวีรชัย ซึ่งทำหน้าที่อย่างดีเลิศในการปกป้องผืนแผ่นดินไทยและผลประโยชน์ของชาติ...ขอให้ข้าราชการทุกท่านของกรมสนธิสัญญาฯยึดถือท่านอธิบดีวีรชัยเป็นบุคคลตัวอย่าง ที่ได้ปฏิบัติหน้าที่รับใช้ชาติอย่างสุดความสามารถ  และรักษาเกียรติยศของชาติ ของกระทรวงการต่างประเทศ และของตนอย่างสมศักดิ์ศรี ของข้าราชการของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว"

ปกป้องประโยชน์ชาติโดนเด้ง!

ปมความขัดแย้งของดร.วีรชัย และฝ่ายการเมือง สอดคล้องกับ คำบรรยายฟ้องของ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ( ป.ป.ช.)  ที่เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง นายนพดล ปัทมะ อดีต รมว.ต่างประเทศ เมื่อวันที่ 19 มี.ค. 2556  เป็นจำเลย ในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้ใดผู้หนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157   กรณีที่นายนพดล  ขณะเป็น รมว.ต่างประเทศ ได้ลงนามในแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา  ฉบับลงวันที่ 18 มิ.ย.2551 ที่สนับสนุนให้ประเทศกัมพูชา ขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก โดยไม่ผ่านการพิจารณาของรัฐสภาไทย

คำบรรยายฟ้อง ของ ปปช. ระบุตอนหนึ่งว่า “ หลังจากนายสมัคร สุนทรเวช เป็นนายกรัฐมนตรีแล้ว วันที่ 3 – 4  มี.ค.2551 นายสมัครไปพบผู้นำกัมพูชา เรื่องขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก และนายนพดล รมว.ต่างประเทศ ขณะนั้น ไปหารือกับนายสก อาน รองนายกฯ และรมต.ประจำสำนักนายกฯกัมพูชา ที่ทางกัมพูชาขอให้ไทย สนับสนุนการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหาร

จากนั้น นายนพดล ได้นำแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา ให้ข้าราชการกระทรวงต่างประเทศพิจารณา แต่นายวีรชัย พลาศรัย อธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ (ขณะนั้น)  มีบันทึกช่วยจำคัดค้านเรื่องดังกล่าว แต่นายนพดล ไม่เห็นด้วย จึงเสนอ ครม. ให้นายวีรชัย พลาศรัย พ้นจากตำแหน่ง ทั้งที่นายวีระศักดิ์ ฟูตระกูล ปลัดกระทรวงต่างประเทศ  ทักท้วงว่านายวีรชัย  เป็นทรัพยากรบุคคลที่สำคัญ ไม่ควรโยกย้าย แต่นายนพดล ยังยืนยันว่า  ไม่สามารถร่วมงานกับอธิบดีฯ ที่มีความคิดเช่นนี้ได้”

คืนเก้าอี้เจ้ากรมสนธิสัญญา ฯ

ช่วงเดือน ก.ค. 2551  ภายหลังเกิดการเผชิญหน้ากันระหว่างทหารไทย-กัมพูชา   ดร.วีรชัย ก็มีโอกาสเข้าร่วมคณะเจรจา ปัญหาพื้นที่ทับซ้อนบริเวณปราสาทพระวิหาร อยู่หลายครั้ง จนนำไปสู่การลดกำลังทหาร  และ จัดประชุมคณะกรรมการเขตแดนร่วม(เจบีซี) ต่อไป

ด้วยผลงานเป็นที่ประจักษ์ ต่อมาวันที่ 5 ส.ค. 2551 ช่วงปลายสมัย ครม.สมัคร สุนทรเวช จึงมีการย้าย ดร.วีรชัย  จากเอกอัครราชทูตประจำกระทรวง กลับมาเป็นอธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย เช่นเดิม  ครั้งนั้น นายเตช บุนนาค  รมว.ต่างประเทศ ในขณะนั้น ให้สัมภาษณ์สั้นๆ ว่า  “ได้ให้กลับไปอยู่สถานะเดิมก่อนการโยกย้าย เพราะจะช่วยให้การทำงานดีขึ้น”

ย้ายไป “กรุงเฮก” วางแผนสู้คดี

หลังหวนคืนสู่ตำแหน่งเดิม ตลอดช่วงปลายปี 2551   ดร.วีรชัย ได้เดินหน้าเจรจาและเข้าร่วมประชุม เพื่อลดความตึงเครียดแนวชายแดนไทย-กัมพูชาหลายครั้ง โดยในระหว่างนี้มีเหตุปะทะกันระหว่างทหารไทย และกัมพูชา

17 มี.ค.2552  ครม.อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ  มีมติย้าย ดร.วีรชัย จากอธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย ไปเป็น เอกอัครราชทูตไทย ประจำเนเธอร์แลนด์  โดยหลายฝ่ายมองว่า ดร. วีรชัย เป็นผู้มีความเชี่ยวชาญด้านกฎหมาย  รัฐบาลจึงให้ไปเตรียมการ ในการต่อสู้ข้อพิพาทเขาพระวิหาร เนื่องจากประเทศเนเธอร์แลนด์นั้น เป็นที่ตั้งของศาลโลก

ภายหลังจากย้ายมาดำรงตำแหน่ง เอกอัครราชทูตไทย ประจำเนเธอร์แลนด์  ดร.วีรชัย  ได้ใช้เวลาร่วมกับทีมงาน วางแผน และต่อสู้คดีปราสาทพระวิหารอย่างเต็มที่

ไม่ว่าผลการพิจารณาของศาลโลกจะออกมาเป็นเช่นไร อย่างน้อยคนไทยทั้งประเทศ ก็ได้ประจักษ์ถึงความพยายามอย่างเต็มที่ของ ทีมทนายไทย  ดังคำพูดของ   ดร.วีรชัย ที่กล่าวว่า...

“ผมไม่เคยพูดว่าเราชนะแน่ ปกติผมจะตอบสามคำ สู้เต็มที่ !!!

ที่มา.นสพ.แนวหน้า
///////////////////////////////////////////////////

นี่แหละเหตุและผล !!?



ฟังข่าว..บริษัทที่รับประมูลสร้างบ้านให้กับกองบัญชาการตำรวจแห่งชาติ..ออกข่าวจะฟ้องตำรวจหากถูกบอกเลิกสัญญา..แล้วก็ได้แต่สงสัยว่า..ประเทศนี้มันคงกำลังเพี้ยนกันใหญ่
เรื่องแบบนี้หากเกิดขึ้นในประเทศจีน..ก็มีแต่คนทำกับคนรับจ้าง จะต้องถูกเอาตัวไปยิงเป้าประจานกันกลางเมือง

หากเกิดในประเทศเกาหลีใต้..คนสั่งการคนให้สัญญาหากไม่โดดตึกตาย..ก็ต้องติดคุกยาวนาน
เพราะโดยสามัญสำนึกเพียงอย่างเดียว..มันก็แทบจะ พิพากษาได้แล้ว
เขาทำสัญญาแยกไว้..มันเอาไปรวมเป็นสัญญาเดียว

มีการตระเตรียมคนเซ็นสัญญาไว้ล่วงหน้าโดยการให้เป็นรักษาการยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์..เพราะหากตั้งคนอื่นขึ้นไปเขาก็คงไม่กล้าอนุมัติ

ไม่เชื่อก็ลองถาม พลตำรวจเอก จุมพล มั่นหมาย..คนที่จะได้เป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติแล้วไม่ได้เป็น..ว่าจะลงนามว่าจ้างหรือไม่กับสัญญาแบบนี้

และหากเอารูปแบบแห่งคดีไปเปรียบเทียบกับคดีที่เอานายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร ไปเป็นจำเลยแล้วลงโทษพิพากษาจำคุกเขาสองปีแล้ว..ผู้ก่อการในคดีนี้ทั้งหมดจะมีโทษแค่สองสถานไม่ประหารก็จำคุกตลอดชีวิต

เพราะคดีของนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชิณวัตร ภริยาของเขาเอาเงินจากบ้านมาซื้อที่ดินที่ทางราชการยึดมา..เขาให้ราคาแพงกว่ารายอื่นๆ ในลักษณะเดียวกัน..และแล้วในที่สุดศาลสถิตยุติธรรม อันเป็นสากลก็ประกาศคำพิพากษาว่า..การซื้อขายถูกต้อง

แต่แปลกวันนี้โทษจำคุกสองปียังกลายเป็นของทักษิณ.

นี่แหละคือเหตุและผลที่ทำให้ประชาชนต้องไปยืนฝั่งยืนข้างทักษิณ..เพราะเขาเข้าใจและเชื่อว่า อำนาจที่มีเจ้าของนั้นเป็นอำนาจที่เขาไม่สามารถจะต่อสู้ด้วยได้..ไม่ว่าเขาจะกระทำความผิดหรือไม่ก็ตาม
นี่แหละคือเหตุและผลที่ทำให้ประชาชนส่วนใหญ่..ลงคะแนนให้กับทุกพรรคที่ ทักษิณ. ชิณวัตร บอกให้เลือกให้ลง..รวมไปถึงใครก็ได้ที่ ทักษิณ ชิณวัตร อยากให้เป็นนายกรัฐมนตรี

นี่เองแหละคือเหตุและผลที่..พรรคการเมืองของประชาชนทั้งหลายต้องรวมตัวกัน..เพื่อสร้างอำนาจของประชาชนขึ้นมา

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น..ประชาชนไม่ได้ปรารถนาอำนาจเพื่อการแก้ไขเปลี่ยนแปลงใดๆ..แต่เขาแค่อยากจะมีอำนาจนั้นไว้เพียงเพื่อจะคุ้มครองครอบครัวและตัวเขา..จากความอำมหิตของอำนาจที่ปราศจากมาตราฐานและไร้คุณธรรม

โดย.พญาไม้,บางกอกทูเดย์
/////////////////////////////////////////////////

วันพฤหัสบดีที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2556

และแล้วยามอัศดง ของ พีซี ก้อมาถึง !!?


คอลัมน์ IT. Talentz

ถึงตอนนี้น่าจะเป็นสิ่งที่ชัดเจนแล้วว่าพีซีเริ่มเข้าสู่ยุคโรยราอย่างแท้จริง เมื่อตัวเลขยอดส่งพีซีจากโรงงาน

รายไตรมาสที่รายงานโดยไอดีซีและการ์ตเนอร์ออกมาตรงกัน นั่นคือการหดตัวอย่างรุนแรงของตลาดพีซีทั่วโลก

เป็นความตกต่ำหนักที่สุดเท่าที่ทั้งสองบริษัทเริ่มจัดทำรายงานยอดพีซีรายไตรมาสมาเลยก็ว่าได้

ไตรแรกของปีนี้ ตัวเลขของไอดีซีระบุว่ายอดส่งจากโรงงานของพีซีทั่วโลกลดลงถึงร้อยละ 14 จากเดิมที่คาดการณ์ไว้ว่าจะลดลงร้อยละ 7.7 นับเป็นความตกต่ำที่หนักหน่วงที่สุดตั้งแต่ไอดีซีเริ่มติดตามข้อมูลรายไตรมาสมาตั้งแต่ปี 1994 และเป็นการลดลงต่อเนื่องกันมาเป็นไตรมาสที่สี่แล้ว

เช่นเดียวกันกับข้อมูลของการ์ตเนอร์ที่แสดงให้เห็นว่า ยอดส่งออกจากโรงงานของพีซีทั่วโลกในไตรมาสแรกของปีนี้ลดลง

ร้อยละ 11 เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้ว คิดเป็นจำนวนต่ำกว่า 80 ล้านเครื่องเป็นครั้งแรกนับแต่ไตรมาสที่สองของปี 2009 เป็นต้นมา

ยอดพีซีตกต่ำลงในทุกภูมิภาคทั่วโลก แม้ว่าบางภูมิภาคเศรษฐกิจจะเริ่มฟื้นตัวขึ้นมาบ้างแล้วก็ตาม

ขณะที่แต่เดิมหวังกันว่าวินโดวส์ 8 ระบบปฏิบัติการยกเครื่องใหม่ของไมโครซอฟท์จะมีส่วนช่วยหนุนตลาด ในความเป็นจริงกลับไม่ได้เป็นเช่นนั้น ระบบสัมผัสของวินโดวส์ 8 กลับโดนละเลยจากผู้บริโภคที่เห็นว่าแพงเกินไป เมื่อเทียบกับทางเลือกที่ถูกกว่าอย่างแท็บเลต แนวโน้มที่คนหันเหจากพีซีไปหาแท็บเลตหรืออุปกรณ์โมบายนั้นเห็นกันได้อย่างชัดเจน

จากข้อมูลของ "ไอดีซี" สหรัฐ และเอเชีย-แปซิฟิก ยกเว้นญี่ปุ่น ยอดพีซีลดลงร้อยละ 13 ยุโรป ตะวันออกกลาง และแอฟริกา ลดลงเป็นเลขสองหลัก ขณะที่ตลาดญี่ปุ่นก็ยังอ่อนยวบยาบ

แม้ว่าเมื่อพิจารณาจากผู้ผลิต จะมีอยู่สองสามบริษัทที่ทำได้ดีขึ้นบ้างในตลาดสหรัฐ นั่นคือ เลอโนโว ซัมซุง และเอซุส แต่ก็ถือว่าเป็นรายเล็กในสหรัฐ โดยมีเพียงเลอโนโวเท่านั้นที่ติดอันดับ 1 ใน 5

ยอดขายของเลอโนโวในไตรมาสเดียวกันในสหรัฐเพิ่มขึ้นร้อยละ 13 แต่ยอดทั่วโลกก็ทรงตัว

นั่นหมายความว่าเลอโนโวเอาชนะคู่แข่งได้ภายใต้สภาพตลาดที่กำลังดำดิ่งลง ขณะที่ซัมซุงทำได้ดีจากโครมบุ๊ก ที่ใช้ระบบปฏิบัติการโครมของกูเกิล แต่ก็ยังเป็นเพียงส่วนเล็ก ๆ ของตลาด

ส่วนผู้ผลิตพีซีเจ้าอื่น ๆ ทั้งเอชพี, เดลล์ และเอเซอร์เผชิญกับปัญหาหนัก ยอดส่งจากโรงงานของเอชพีทั่วโลกจากข้อมูลของไอดีซีลดลงถึงร้อยละ 24 และเอเซอร์ลดลงร้อยละ 31

ที่น่าสนใจก็คือในตลาดผู้บริโภคทั่วไป ยังไม่เห็นสัญญาณของการฟื้นตัวของตลาดพีซี

หรือว่านี่คือการเข้าสู่ยุคอัสดงของมันหลังจากที่เบ่งบานต่อเนื่องกันมายาวนาน

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
//////////////////////////////////////////////////////////

หายนะ (ทอง) !!?


    ประมาณ 3-4 ปีที่ผ่านมา คนไทยตกอยู่ในภาวะตื่นทอง ปริมาณนักเก็งกำไร “ทองคำ” เพิ่มขึ้นในอัตราที่สูงมาก แต่วันนี้ คนที่แห่เล่นทองทั้งหลายกำลังหมดเนื้อหมดตัว
     
       ช่วงที่ประเทศไทยกำลังเฉลิมฉลองงานในเทศกาลสงกรานต์ ร้านค้าทองปิดทำการ 4 วันติด ราคาทองคำในตลาดโลกดิ่งลงเหว ตั้งแต่คืนวันศุกร์และต่อด้วยคืนวันจันทร์ รวมสองวันราคาทองคำในตลาดตกลงไปเกือบ 200 ดอลลาร์ต่อออนซ์
     
       จากระดับ 1,560 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ลงไปต่ำสุดที่ประมาณ 1,320 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ก่อนจะดีดตัวขึ้นมายืนอยู่แถว 1,370 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในคืนวันอังคาร
     
       ส่วนราคาทองคำแท่งในประเทศ ปิดเมื่อวันศุกร์ที่บาทละ 21,250 บาท ในราคาที่ร้านทองเสนอซื้อ และเสนอขายบาทละ 21,350 บาท แต่ล่าสุดเช้าวันพุธเสนอซื้อบาทละ 18,900 บาท เสนอขายบาทละ 19,000 บาท
     
       เพียงชั่วข้ามไม่กี่คืน ราคาทองคำรูดมหาราชถึงบาทละ 2,350 บาท และไม่มีใครขายหนีตายได้ทัน ใครที่ซื้อทองไว้ขาดทุนกันป่นปี้ ยิ่งกักตุนมาก ยิ่งเจ็บมาก
     
       คนที่เก็บทองคำแท่งไว้ ยังพอมีทางออก เพราะถือทองคำไว้ลูบๆ คลำๆ เพื่อปลอบประโลมใจได้ และเมื่อยังไม่ขายก็ยังไม่ขาดทุน
     
       แต่คนที่เล่นทองคำกระดาษหรือโกลด์ฟิวเจอร์ส ต้องหมดเนื้อหมดตัวในทันที เพราะจะถูกโบรกเกอร์บังคับขาย หากลูกค้าไม่นำเงินมาวางเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันเพิ่ม เนื่องจากหลักทรัพย์ที่วางค้ำประกันไว้ ไม่สามารถครอบคลุมราคาทองคำที่ร่วงลงไป
     
       ราคาทองคำที่ถล่มทลายลงครั้งนี้ ทำให้คนไทยจำนวนมากเสียหายหนักต้องสูญเงิน เนื่องจากสินทรัพย์ทองคำด้อยค่าลง
     
       การที่คนไทยตื่นไปเล่นทองกัน เพราะแรงกระตุ้นจากหลายด้าน ส่วนหนึ่งเป็นเพราะราคาทองคำพุ่งขึ้น โดยไม่กี่ปีราคาทองคำแท่งเพิ่มขึ้นจากระดับประมาณบาทละ 8,000 บาท พุ่งขึ้นไปสูงสุดที่บาทละประมาณ 27,000 บาท
     
       ราคาทองคำที่พุ่งขึ้นอย่างหวือหวา ทำให้คนอยากรวยและแห่ไปเก็งกำไร
     
       นอกจากนั้น การจัดตั้งตลาดอนุพันธ์หรือ “ทีเฟค” โดยมี “ทองคำ” เป็นสินค้านำร่อง เปิดการซื้อขายทองคำกระดาษหรือโกลด์ฟิวเจอร์ส ก็ทำให้เกิดการโหมกระพือการเล่นทอง
     
       ทองคำกระดาษซื้อขายกันด้วยรูปแบบสัญญา โดยอายุสัญญาไม่เกิน 6 เดือน เริ่มต้นด้วยสัญญาซื้อขายทองคำน้ำหนัก 50 บาท วางเงินค้ำประกัน 50,000 บาท ซึ่งเงิน 50,000 บาท ปกติจะซื้อทองคำแท่งได้ประมาณ 2 บาท แต่เมื่อซื้อขายทองคำกระดาษ จะซื้อขายทองคำได้ถึง 50 บาท
     
       ทองคำกระดาษได้แตกสัญญาการซื้อขาย จากสัญญาซื้อขายทองคำน้ำหนัก 50 บาท เหลือสัญญาละ 10 บาท เพื่อดึงให้นักลงทุนที่มีเงินน้อยสามารถเข้ามาเล่นได้ โดยเป็นแผนขยายฐานผู้เล่น เพื่อที่จะมีค่าต๋งหรือค่าธรรมเนียมเพิ่มขึ้น
     
       เพราะคนที่มีเงินวางค้ำประกันเพียง 10,000 บาทเศษ สามารถซื้อขายทองคำน้ำหนัก 10 บาทได้
     
       โบรกเกอร์ตลาดโกลด์ฟิวเจอร์สเริ่มต้นมีเพียงไม่กี่ราย แต่ล่าสุดมีถึง 41 ราย โดยได้ค่าต๋งจากการซื้อขายทองคำกระดาษสัญญาละ 500 บาท สำหรับการซื้อขายทองคำ 50 บาท และสัญญาละ 100 บาท จากการซื้อขายทองคำ 10 บาท
     
       ตลาดอนุพันธ์และโบรกเกอร์ค้าทองคำ ร่วมมือกันโหมกระพือประชาสัมพันธ์ โฆษณาจูงใจปลุกเร้าให้ประชาชนเข้ามาเล่นทองคำกระดาษ โดยอ้างว่าเป็นทางเลือกใหม่ของการลงทุน และบรรยายสรรพคุณของความร่ำรวยจากการเก็งกำไรทองไว้อย่างสวยหรู
     
       ทั้งที่รู้ว่า ทองคำกระดาษ คือ การเล่นพนัน เป็นการเดิมพันระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย มีฝ่ายหนึ่งได้ จะต้องมีฝ่ายหนึ่งเสีย แต่คนที่ได้แน่ๆ คือ โบรกเกอร์และตลาดอนุพันธ์ ซึ่งเป็นเสือนอนกินรอชักค่าต๋ง
     
       ช่วงราคาทองคำขาขึ้น ทองคำกระดาษซื้อขายวันละประมาณ 15,000 สัญญา แต่เมื่อราคาทองคำอ่อนตัว ปริมาณการซื้อขายลดฮวบ ล่าสุดซื้อขายประมาณวันละ 2,000 สัญญา
     
       ใครก็ตามที่เป็นต้นคิดการเปิดตลาดซื้อขายทองคำกระดาษ ควรต้องเป็นผู้ที่ถูกรุมประณาม เพราะทองคำกระดาษ ไม่มีประโยชน์ต่อประชาชนและระบบเศรษฐกิจ นอกจากการเปิดบ่อนพนันอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ส่งเสริมให้คนมาเล่นได้เสีย โดยหวังรวยบนความเพ้อฝัน
     
       ไม่มีตัวเลขแน่ชัดว่า ประเทศไทยมีทองคำอยู่ในจำนวนเท่าใด กี่ร้อยหรือกี่พันตัน แต่ทุกตันมูลค่าลดลงไปแล้วประมาณตันละ 180 ล้านบาท
     
       ราคาทองคำที่ดิ่งลงมาในช่วงเวลาไม่กี่วัน ทำให้สินทรัพย์ทองคำของประเทศไทยด้อยค่านับแสนล้านบาท
     
       คนที่ครอบครองทองคำไว้ ไม่ว่าจะเป็นทองคำแท่งหรือทองคำกระดาษ ต้องบาดเจ็บล้มตายกันเป็นเบือ
     
       แม้แต่โบรกเกอร์ทองคำกระดาษ ก็จะเจ๊งไปด้วย เพราะถูกลูกค้าชักดาบ ไม่ยอมจ่ายส่วนต่างราคาทองคำที่ขาดทุน
     
       ร้านค้าทองที่มีทองไว้เต็มตู้ ก็ขาดทุนกันบานเบอะ หรือโรงรับจำนำก็อยู่ในข่ายเจ๊งเป็นลูกโซ่ เพราะลูกค้าที่นำทองมาจำนำไว้ คงไม่มาไถ่คืน
     
       ราคาทองคำโลกถล่มทลายครั้งนี้ นำไปสู่โศกนาฏกรรมนักเก็งกำไรครั้งใหญ่ ธุรกิจค้าขายทองคำพังแทบทั้งระบบ
     
       อย่าถามใครว่า แนวโน้มราคาทองคำจะเป็นอย่างไร จะขึ้นหรือลงเมื่อไหร่ เพราะประเทศไทยไม่มีใครรู้จริงเรื่องราคาทองคำ มีแต่คนขี้โม้และอวดรู้เท่านั้น เพราะถ้ามีคนรู้จริง คนไทยคงไม่เจ๊งกันทั้งประเทศ
     
       วิกฤตทองคำที่ประเทศและประชาชนได้รับ เป็นผลพวงของการส่งเสริมลัทธิเก็งกำไร มอมเมายั่วยุให้คนไทยอยากรวยรัด โดยไม่คำนึงถึงความเสี่ยงและผลกระทบต่อสังคม
     
       ถ้ายึดหลักเศรษฐกิจพอเพียง ไม่โหมกระพือการเก็งกำไร จนเกิดการหมกมุ่นไขว่คว้าความร่ำรวยอย่างเพ้อฝัน คนไทยจำนวนมากคงไม่ตกเป็นเหยื่อของทองคำ
     
       แต่ลัทธิเก็งกำไรระบาดไปทุกหัวระแหงแล้ว เล่นทั้งบ่อนและบอล เล่นทั้งหวยและหุ้น เล่นทั้งที่ดินและคอนโดฯ เล่นทั้งทองและน้ำมัน
     
                 จะปลุกให้คนไทยตื่นจากการแสวงหาช่องทางรวยรัดอย่างเพ้อฝันกันอย่างไรดี เพราะเห็นแล้วว่า การเก็งกำไรอย่างบ้าคลั่ง กำลังนำประเทศและประชาชนไปสู่หายนะ

ที่มา.ผู้จัดการออนไลน์
/////////////////////////////////////////////////////////////////////

ฝึกแก้ปัญหา ในสิ่งที่ยาก !!?


โดย : สกุณาประยูรศุข

ก่อนหน้านี้สักปีสองปี จำได้ว่าระหว่างสัมภาษณ์ผู้ใหญ่ท่านหนึ่งที่เคารพนับถือกันเสมือนครูอาจารย์ คำพูดหนึ่งของท่านนั้นบอกว่า

"จงทำในสิ่งที่ยาก เพราะไม่มีคนทำ แต่สิ่งที่ง่ายนั้นใคร ๆ ก็แย่งกันทำ"

ตอนนั้นไม่ใคร่ใส่ใจอะไรมากนัก เพราะเห็นว่าคนเราย่อมมีความเห็นที่แตกต่าง และแสวงหาในสิ่งที่ตัวเองพึงพอใจ แต่เมื่อนานวันเข้ากลับเห็นว่า สิ่งที่ผู้ใหญ่ท่านนั้นชี้แนะ คือขุมทรัพย์อันประเสริฐ

สิ่งที่ท่านกล่าวมันเป็น "ของจริง" และ "รู้" กันเป็นส่วนใหญ่ เพียงแต่ไม่เคยใคร่ครวญและ "ยอมรับ" โดยมากจะปล่อยผ่านเลยไป รวมทั้งตัวเองเมื่อครั้งโน้นด้วย

กระทั่งวันหนึ่ง มีน้องนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ที่มาฝึกงานกับกองบรรณาธิการ ได้เวลาฝึกเสร็จมาสวัสดี ลากลับ เลยมีโอกาสถามน้องคนนั้นว่า คิดจะเป็น "นักข่าว" หรือไม่ ? หลังจากมาฝึกงาน

น้องผู้หญิงยิ้มพยักหน้าบอกว่า "หนูชอบค่ะ"

เธอตอบไม่ตรงคำถาม เลยต้องถามย้ำกลับไปว่า

"ชอบเป็นนักข่าว ?" คราวนี้น้องต้องพยักหน้าซ้ำบอกว่า "ค่ะ"

ถามกลับไปอีกว่า "ทำไม เป็นนักข่าวแล้วได้อะไร ?" น้องผู้หญิงคนเดิมบอกเล่าได้ความรู้ ความสนุกสนานแบบไม่ซ้ำซาก จำเจ สนุกที่ได้พบปะเจอะเจอผู้คนไม่ซ้ำหน้า ได้พูดคุยแลกเปลี่ยนความรู้ ความคิดเห็น และอื่น ๆ อีกหลายอย่างแต่พอถามว่า แล้วอยากเป็นนักข่าวสายไหน คราวนี้น้องนิ่ง ไม่ตอบคำถาม

ใจเธอคงกำลังเรียบเรียงความคิด ว่าจะตอบอย่างไรดี เพราะจากข้อเท็จจริงแล้ว เธอเองก็ยังไม่รู้ความแตกต่างของสายงานข่าวแต่ละสายว่ามันเป็นอย่างไร เพราะการฝึกงานของเธอนั้น ฝึกอยู่เพียงสายเดียว ยังไม่ได้โยกย้ายหรือไปทำความรู้จักกับสายงานสายอื่น ๆ

ให้เวลาเธอคิด แต่เธอก็ยังเงียบ ในที่สุดเลยต้องบอกกลับไปว่า อยากทำงานนักข่าวน่ะดีแล้ว เพราะเรียนมาทางด้านนี้ การได้ทำงานตรงกับสิ่งที่เรียนมา น้อยคนที่จะ "ได้ทำ"

"แต่ขอไว้อย่างหนึ่งว่า-ไม่ว่างานอะไรก็ตาม หากจะต้องทำ ขอให้หัดทำในสิ่งที่ยาก อย่าทำในสิ่งที่ง่าย"

แววตาฉงนปรากฏบนใบหน้าของเธอทันที เลยต้องอธิบายกันต่อว่า ความหมายของคำพูดที่พูดให้ฟัง ไม่มีอะไรมากไปกว่าอยากบอกให้เธอได้รู้เพิ่มเติมอีก ว่า นอกเหนือจากความรู้ที่ร่ำเรียนมา ไม่ว่าจากตำราในห้องเรียน หรือที่มาฝึกงาน มันยังไม่เพียงพอที่จะนำพาชีวิตในปัจจุบันไปสู่จุดหมายปลายทางอย่างที่คิดฝัน

มันยังต้องมี "ความขยัน อดทน อดกลั้น ความมุ่งมั่น" ที่จะเอาชนะอุปสรรค ปัญหาต่าง ๆ ที่ถาโถมเข้ามาเป็นบททดสอบ และสร้างความแข็งแกร่งให้ชีวิต

ถ้ารักสบาย เลือกทำแต่สิ่งที่ง่าย ๆ ก็ไม่ได้ฝึกฝนความคิด ไม่ได้ฝึกฝนการแก้ปัญหา ในระยะยาวก็จะมีแต่ความอ่อนด้อย อ่อนแอ สุดท้ายก็อยู่ไปวัน ๆ ไม่รู้สึกถึงคุณค่าตัวเอง

การที่บอกกับน้องฝึกงานเช่นนี้ เพราะทุกครั้งหรือเกือบจะทุกครั้งที่รับสมัครนักข่าวใหม่เข้าทำงาน เมื่อถึงขั้นตอนสัมภาษณ์ คำถามเบสิกว่า อยากทำงานสายไหน ร้อยทั้งร้อยตอบว่า อยากเป็นนักข่าวสารคดีท่องเที่ยว อยากเขียนเกี่ยวกับไลฟ์สไตล์ หรือข่าวบันเทิง

ขอทำงานแบบชิล ชิล ชอบชีวิตชิล ชิล

น้อยมากหรือแทบไม่มีเลยที่จะบอกว่า อยากทำสายการเงิน การคลัง เศรษฐกิจมหภาค ฯลฯ

เหตุผลของคนเหล่านั้น คือข่าวเศรษฐกิจยากเกินไป ทำแล้วเครียด ปวดหัว ไม่เข้าใจ มีแต่ตัวเลข

ที่สำคัญงานยากแล้วยังได้เงินน้อย

ฟังแล้วก็ต้องอึ้ง กับความคิดของคนรุ่นใหม่สมัยนี้ส่วนมากที่เขาคิดกัน

เงินสำคัญก็จริง แต่ไม่ใช่เรื่องใหญ่ในชีวิต และชีวิตก็ไม่ควรจะอยู่ไปวัน ๆ

หัดทำสิ่งที่ยาก เพราะไม่มีคนทำ แต่สิ่งที่ง่ายนั้น ใคร ๆ

ก็แย่งกันทำ !

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
//////////////////////////////////////////////////////

SME ประเมิน 3 เดือน เจ็บ-เจ๊ง เสนอรัฐ ตั้งกองทุน !!?


ถึงขณะนี้ ผู้ประกอบธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมยังตกอยู่ในสภาพเหมือนถูกเคราะห์ซ้ำกรรมซัด จากสารพัดปัญหาที่รุมเร้าไล่ ทั้งการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็น 300 บาท/วัน ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 1 มกราคม 2556 ที่ผ่านมา ทำให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้นมาก โดยเฉพาะกิจการที่จำเป็นต้องใช้แรงงานเป็นหลักในการผลิต ตลาดส่งออกที่ซบเซาลง ผลพวงจากวิกฤตหนี้ในสหภาพยุโรป และสหรัฐ รวมทั้งความผันผวนและการแข็งค่าของค่าเงินบาท ฯลฯ ปัจจัยลบเหล่านี้ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อกลุ่มธุรกิจเอสเอ็มอี ที่ส่วนใหญ่เพิ่งฟื้นจากวิกฤตน้ำท่วมปี 2554 ขณะที่มาตรการช่วยเหลือเยียวยาที่ภาครัฐทยอยประกาศออกมาหลายระลอกไม่สามารถช่วยแบ่งเบาภาระได้ สาเหตุมาจากเอสเอ็มอีส่วนใหญ่เข้าไม่ถึง

เอสเอ็มอีประเมินผลงานรัฐบาลช่วง 3 เดือน หลังการขึ้นค่าแรง 300 บาท ได้ข้อสรุปว่าผู้ประกอบการส่วนใหญ่อยู่ในสภาพที่ยังเจ็บหนัก เพราะนอกจากต้องรับภาระต้นทุนสูงขึ้นแล้ว ยังต้องเผชิญกับปัญหาค่าเงินบาทแข็ง ทำให้ไม่สามารถแข่งกับคู่แข่งได้ ขณะเดียวกันก็มีปัญหาขาดแคลนแรงงาน ปัญหาไม่สามารถเข้าถึงมาตรการช่วยเหลือกว่า 10 มาตรการ ทั้งเรื่องของภาษี กองทุน ตลอดจนการปล่อยกู้ผ่านสถาบันการเงิน

อุตฯรองเท้าเข้าไม่ถึงแหล่งทุน

นายครรชิต จันทนพรชัย นายกสมาคมส่งเสริมอุตสาหกรรมรองเท้าไทย กล่าวว่า ปัญหาที่พบในสามเดือนก็คือเรื่องการเข้าถึงแหล่งทุน เพราะกองทุนต่าง ๆ ที่ต้องผ่านมาทางบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) โดยให้ บสย.เป็นผู้ค้ำประกันและแบงก์รัฐเป็นผู้ปล่อยสินเชื่อนั้น ผู้ประกอบการซึ่งมีในสมาคมถึง 300 รายเข้าไม่ถึง โดยเฉพาะเอสเอ็มอี เพราะแบงก์มองว่าอุตสาหกรรมรองเท้าเป็นกลุ่มที่ไม่ได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ เนื่องจากเป็นธุรกิจที่ไม่มีการเติบโต

และส่วนใหญ่ไม่มีความพร้อม ไม่เข้าเกณฑ์ ธนาคารจึงไม่ปล่อยกู้ เพราะมองว่ามีความเสี่ยง ซึ่งหากเอสเอ็มอีมีความพร้อมก็จะไม่มาเข้าโครงการ ตนจึงมองว่าหากภาครัฐจะช่วยในกองทุนต่าง ๆ จริง น่าจะมีการเจาะจงลงไปเลยว่าจะช่วยในอุตสาหกรรมอะไร และมีเงื่อนไขที่ตรงกับความต้องการของอุตสาหกรรมนั้น ๆ

ตอนนี้ในกลุ่มอุตสาหกรรมรองเท้าระดับล่าง ๆ มีความสามารถในการผลิต แต่หาตลาดไม่ได้ หากภาครัฐให้ความสนใจ การหาตลาดให้เอสเอ็มอีเป็นสิ่งแรกที่ควรจะทำ ขณะที่การช่วยเหลือตัวเองภายในกลุ่มมีการออกงานแสดงสินค้ากันภายในกลุ่มอยู่แล้ว ปีละ 3 ครั้ง โดยที่ทางสมาคมเป็นคนดูแลเรื่องค่าใช้จ่ายต่าง ๆ แต่ก็ยังไม่เพียงพอที่จะช่วยผู้ประกอบการได้

เครื่องหนัง หลายเด้ง ยอดตก

ขณะที่ ดร.เนาวรัตน์ ทรงสวัสดิ์ชัย นายกสมาคมเครื่องหนัง กล่าวว่า ตอนนี้ได้รับผลกระทบหลายด้านทั้งค่าเงินบาท ต้นทุน แม้ค่าแรงขึ้น แต่ค่าครองชีพก็ขึ้นตาม ไม่ได้ช่วยให้ขายกระเป๋าได้มากขึ้น เพราะการที่ค่าครองชีพขึ้น คนมีเงินเท่าเดิม ก็ต้องหันมาซื้อของที่จำเป็นก่อน ส่วนกระเป๋าไม่ใช่ของจำเป็น คนก็ไม่ซื้อ ยอดขายภายในประเทศของกลุ่มขณะนี้หายไปกว่า 30% ซึ่งถือว่าอันตรายมาก

ในส่วนตลาดต่างประเทศการเปิดตลาดใหม่ในเออีซี หรือในประเทศ CLMV อย่างที่ภาครัฐแนะนำ ก็ใช่ว่าจะได้ออร์เดอร์มาเลย เพราะตลาดเหล่านั้นก็มีเศรษฐกิจใกล้เคียงกับตลาดไทย และต้องใช้เวลาในการสร้างแบรนด์ สร้างความน่าเชื่อถือซึ่งไม่ต่ำกว่าปี

ทั้งนี้ ตนมองว่าที่พอจะช่วยได้คือ โครงการ SMEs Pro-Active โดยกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ ที่เริ่มเมื่อเดือนเมษายน 2556 ที่ผ่านมา เงื่อนไขคือผู้ประกอบการจะต้องออกเงินไปก่อนแล้วไปขอรับคืนตอนหลัง ในการออกงานต่างประเทศ ซึ่งผู้ประกอบการเองไม่มีเงินพอในช่วงเวลานี้

ในส่วนของภาษีนิติบุคคลที่ปรับเหลือร้อยละ 20 ก็เช่นเดียวกัน ตนมองว่าถ้าเอสเอ็มอีมีกำไร ก็สามารถที่จะจ่ายภาษีได้ แต่ถ้าเอสเอ็มอีไม่ได้รับการสนับสนุน ไม่มีการขายสินค้า การลดภาษีก็ไม่ได้ช่วยผู้ประกอบการมากนัก

อุตฯแม่พิมพ์ขอ "วันสต็อปเซอร์วิส"

ด้าน นายวิโรจน์ ศิริธนาศาสตร์ นายกสมาคมอุตสาหกรรมแม่พิมพ์ไทย กล่าวว่า หลังจากขึ้นค่าแรง 300 สมาชิกในกลุ่มอุตสาหกรรม แม่พิมพ์เอง มีการลดต้นทุนโดยหากมีคนงานลาออก จะไม่มีการจ้างเพิ่ม และหันไปใช้แรงงานเดิมให้มีคุณภาพมากขึ้น ในรูปแบบที่ 2 คือมีการปรับใช้เครื่องจักรกลมาทดแทนคน แต่ปัญหาคือการใช้เครื่องจักรก็ต้องใช้ระยะเวลาเป็นปีในการปรับตัว เพราะการปรับจากแรงงานคนมาใช้เครื่องมือกล แขนกล ต้องมีการอบรมเรียนรู้ ซึ่งภาครัฐไม่มีการเตรียมความพร้อมตรงนี้ให้กับเอสเอ็มอี

ส่วนเรื่องกองทุนที่จะให้เอสเอ็มอี ตนมองว่าอุปสรรคสำคัญก็คือ ขั้นตอนที่ภาครัฐใช้ตรวจสอบเอสเอ็มอี ก่อนที่จะอนุมัติเงินทุน เช่น การไปดูโรงงาน รวมทั้งการอนุมัติมีระยะเวลานาน ซึ่งการที่เอสเอ็มอีไปกู้เอง ยังรู้สึกว่าง่ายกว่าการเข้าถึงกองทุนดังกล่าว

จึงอยากเสนอว่า หากภาครัฐต้องการแก้ปัญหาดังกล่าว ก็ควรปรับกระบวนการโดยอนุมัติไปก่อน แล้วไปตรวจสอบทีหลังแบบระบบภาษี และควรจะมีระบบ "วันสต็อปเซอร์วิส" คือ ถ้าเอสเอ็มอี

ติดต่อผ่านทางกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม จะต้องมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในส่วนของกรมสรรพากร หน่วยงานกระทรวงการคลัง กระทรวงแรงงาน อยู่ในที่เดียวกัน เพื่อช่วยให้การดำเนินการรวดเร็วขึ้น ที่ผ่านมาเอกชนต้องไปหลายที่เสียเวลา

ขณะที่ปัญหาแรงงาน ภาครัฐควรมีการสนับสนุนให้เกิดการพัฒนาฝีมือแรงงานในอาชีวศึกษา เพื่อป้อนอุตสาหกรรมต่าง ๆ
ที่ขาดแคลนด้วย

5 มาตรการช่วยเอสเอ็มอี

เกี่ยวกับกรณีดังกล่าว นางเพ็ญทิพย์ พรจะเด็ด นายกสมาคมส่งเสริมผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย หรือ สสวท. กล่าวว่า ทางสมาคมมีการหารือร่วมกับรัฐบาล โดยมีรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี

นายนิวัฒน์ธำรง เป็นประธานการทำงานในการออกมาตรการช่วยเหลือเอสเอ็มอี ขณะนี้มีเรื่องอยู่ในกระบวนการทำงาน 5 เรื่อง คือ

1.การจัดตั้งกองทุนช่วยเหลือเอสเอ็มอีในรูปแบบคล้ายกับสหกรณ์ เป็นกองทุนที่รัฐออกให้ส่วนหนึ่ง และมีเอกชนมาเป็นสมาชิกร่วม โดยรัฐมีงบประมาณผูกพัน 5 ปี ปีละ 2 หมื่นล้านบาท อยู่ในระหว่างการเขียนแผนว่ารูปแบบจะออกมาอย่างไร

รูปแบบนี้จะช่วยให้เกิดความยั่งยืน แก้ปัญหาเรื่องของกฎเกณฑ์ที่ภาคเอกชนเข้าไม่ถึง เพราะภาคเอกชนที่เข้ามาใช้กองทุนจะต้องเป็นสมาชิกของกองทุน และมีหุ้นในกองทุน เมื่อมีการนำเงินของกองทุนไปใช้ ภาคเอกชนก็จะต้องนำมาคืนด้วย

2.ด้านการตลาด การโรดโชว์ของคณะนายกรัฐมนตรีในต่างประเทศจะต้องมีผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไปด้วย 3.สมาคมเตรียมการที่จัดงานเอสเอ็มอี เอ็กซ์โป ร่วมกับกระทรวงอุตสาหกรรม ซึ่งจะต้องมีการจัดขึ้นทุกปีเพื่อให้คนจดจำได้ 4.มีการพัฒนาทักษะแรงงาน โดยการปรับปรุงหลักสูตรให้เหมาะสมกับเออีซีเพื่อแก้ปัญหาแรงงาน และ 5.เรื่องการค้าชายแดน มีการเสนอจัดตั้งศูนย์ประสานงานการค้าชายแดนโดยมีภาคเอกชนเป็นผู้ดำเนินการ 6.จะมีการจัดทำระบบข้อมูลของเอสเอ็มอี เพื่อให้ภาครัฐเข้าถึงได้มากขึ้น

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
//////////////////////////////////////////////////////////

วันพุธที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2556

เอกอัครราชทูตไทยประจำเนเธอร์แลนด์ ฝากถึงคนไทยให้มั่นใจ สู้เต็มที่ - สนุกแน่ !!?


นายวีรชัย พลาศรัย เอกอัครราชทูตไทยประจำเนเธอร์แลนด์ ในฐานะตัวแทนประเทศไทย ในการอธิบายชี้แจงด้วยวาจาต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ กรณีที่กัมพูชาขอให้ศาลตีความคำพิพากษาคดีปราสาทพระวิหาร ปี 2505 เปิดเผยกับคณะสื่อมวลชนไทยว่า สิ่งที่กัมพูชาพูดเมื่อวันที่ 15 เม.ย.ที่ผ่านมา มีเรื่องใหม่น้อย ส่วนใหญ่อยู่ในข้อเขียน สิ่งที่ใหม่คือ เรื่องแผนที่ ที่นอกเหนือจากแผนที่ภาคผนวกหนึ่ง ซึ่งเป็นผนวกคำฟ้องเมื่อปี 2505 แต่ไม่ใช่ผนวกคำพิพากษา โดยเขายึดแผนที่อันเดียวมาตลอด แต่เมื่อวานเขาบอกว่ามีแผนที่อื่นๆ ซึ่งในการพิจารณาคดีเก่า มีการนำแผนที่มาใช้อ้างอิง 60 ฉบับ ซึ่งศาลได้นำมาผลิตแนบเข้ามาในประมวลคดี 6 ฉบับ ซึ่งแผนที่อื่นๆ กัมพูชาไม่ได้มีท่าทีออกมาชัดเจนในข้อเขียน จนกระทั่งเมื่อวันที่ 15 เม.ย.

นายวีรชัย กล่าวด้วยว่า อันหนึ่งที่เป็นของใหม่ คือเรื่องข้อเท็จจริงหลังคำพิพากษา คือพฤติกรรมของคู่คดีจาก 2505 ถึงปัจจุบัน ช่วงต้นกัมพูชาเสนอหลักฐานเพียงนิดหน่อยในช่วงข้อเขียน แต่เมื่อวานได้ออกมาแสดงท่าที ซึ่งมีเพียง 2 ประเด็นที่เป็นเรื่องใหม่ ซึ่งเราก็ได้ศึกษาและเตรียมการที่จะโต้ตอบเขา และคิดว่าพอจะโต้ตอบได้

ระหว่างพักกลางวันเมื่อวาน เราอยู่ในห้องฝ่ายถูกฟ้อง ได้นั่งไล่ทีละประเด็นที่คิดว่าจำเป็นต้องตอบในวาจานี้ เพราะหลายประเด็นได้ตอบไปแล้วในข้อเขียน ซึ่งเราใช้วิธีอ้างก็ได้ แต่บางประเด็นเราต้องพัฒนาข้อโต้แย้งข้อต่อสู้ เมื่อตกลงกันเสร็จ ก็ต้องแจกลูกกันว่า ใครจะเป็นคนทำระหว่างผมและที่ปรึกษาอีก 4 คน หลังช่วงบ่ายก็ทำประเด็นและแจกกันอีกครั้ง เมื่อวาน 6 โมงเย็น ก็แยกย้ายกันไปเขียนใหม่ค่อนข้างเยอะ เหมือนกังฟูว่าเราต้องปรับให้เข้ากับที่เขาออกอาวุธมาก เมื่อคืนจึงนอนน้อยมาก เพราะวันที่เขากล่าว ยากที่สุด ฟังแล้วต้องมาคิดและเขียนออกมา เมื่อคืนเขียนใหม่และส่งร่างใหม่ในวันนี้ ตอนนี้เป็นขั้นแก้ขั้นสุดท้าย ของผมตอนนี้ 99.99% คืนนี้ก็จะไปซักซ้อมการพูดอีกครั้ง" นายวีรชัย กล่าว

นายวีรชัย กล่าวว่า ประเด็นที่เป็นไฮไลท์สำคัญมากๆ คือเรื่องแผนที่ โดยศาลไม่ได้ดูแผนที่ฉบับเดียวแต่มีแผนที่อื่นๆมากมาย แต่กัมพูชาก็จำเป็นต้องพูดเช่นนั้น เพราะมันเป็นท่าทีของเขา แต่เราจะมีอะไรให้ศาลดูเยอะ เชิญชวนดูช่วงแผนที่ จะมีการนำเสนอแผนที่มาใช้หลายฉบับ

เมื่อถามว่าฝ่ายกัมพูชาอ้างว่า มีการประท้วงคัดค้านเกี่ยวกับการดำเนินการตามคำตัดสินของศาล ไทยจะหักล้างว่าไม่ควรรับตีความอย่างไร นายวีรชัย กล่าวว่า เรื่องนี้เป็นส่วนใหม่ที่ออกมาเมื่อวาน เพราะในข้อเขียนของเขา เขาบอกว่ามันไม่เกี่ยวและไม่เข้าใจว่าไทยต้องมาเสนอเอกสารมากมาย ซึ่งเป็นการไม่เคารพศาล ในที่สุดเขาก็ออกมาในส่วนนี้ ซึ่งเราเชื่อว่าเราพอจะโต้แย้งเขาได้ นอกจากนี้แผนที่มีหลายฉบับ ไม่ได้มีฉบับเดียว และไม่ได้พูดถึงแผนที่ซึ่งเกิดขึ้นหลังประเด็นอื่นๆ ที่ศาลใช้เป็นเหตุผลในการตัดสิน ซึ่งแผนที่เป็นหนึ่งในเหตุผล จะมีการโต้ตอบตรงนี้ที่ว่ามีเหตุผลอื่นด้วย

นายวีรชัย กล่าวด้วยว่า ฝ่ายไทยที่จะขึ้นพูดเรื่องแผนที่ คือ ทนายความหญิงอลินา มิรอง ผู้ช่วยของ ศ.อแลน แปลเล่ต์ เพราะเป็นผู้ที่ทำงานเรื่องแผนที่โดยเฉพาะกว่า 60 ฉบับ ซึ่งตนกับอลินา ทำงานเรื่องแผนที่ด้วยกันมาถึง 3 ปี และมีผู้เชี่ยวชาญด้านแผนที่จากมหาวิทยาลัยเดอรัมอีก 2 คน ซึ่งตนเห็นว่าเก่งที่สุดในโลก คือ นายมาร์ติน แครป และ นายอสาสแตร์ เม็กโคนัล สำหรับวันที่ 17 เม.ย.นี้ ตนจะขึ้นพูดเป็นลำดับแรก จากนั้น ศ.โดนัล เอ็ม แม็คเรย์ น.ส.อลินา มิรอง ศ.เจมส์? ครอว์ฟอร์ด และสุดท้ายคือ ศ.แปลเล่ต์ ส่วนที่มีการสลับลำดับขึ้นพูดหลายครั้ง ก็เพื่อให้ตรงกับสถานการณ์

ผู้สื่อข่าวถามว่า ภารกิจครั้งนี้ถือเป็นความรับผิดชอบค่อนข้างใหญ่ จะฝากอะไรถึงคนไทยที่ติดตามดู นายวีรชัย กล่าวว่า "ผมไม่เคยพูดว่าเราชนะแน่ ปกติผมจะตอบสามคำ "สู้เต็มที่" แต่วันนี้ขอเพิ่มสองคำ "สนุกแน่" และสำหรับวันที่ 17 เม.ย.นี้ ตนก็สวมชุด "มอร์นิ่ง โค้ต" ซึ่งเป็นชุดทางการของเนเธอร์แลนด์

ที่มา.เนชั่น
/////////////////////////