--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันเสาร์ที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2556

ไทยโชติช่วง : พบขุมทองปิโตรเลียม !!?


นับถอยหลังอีก 10 ปีก๊าซธรรมชาติของไทยจะหมดเกลี้ยง ถ้าหากไม่มี การขุดเจาะพบเพิ่มเติมจากทุกวันนี้ที่มีปริมาณสำรองอยู่ 10 ล้านล้านลูกบาศก์ ฟุตต่อวัน มีกำลังการผลิตอยู่ที่ 3.5 พัน ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน แต่ยอดการใช้ได้ขยับขึ้นไปอยู่ที่ 4.4 พันล้านลูกกบาศก์ฟุตต่อวัน นั่นหมายความว่าประเทศไทยต้องนำเข้าก๊าซธรรมชาติอีกจำนวนหนึ่ง เพื่อให้เพียงพอกับปริมาณการใช้ในแต่ละวัน ซึ่งเป็นที่มาของการนำเข้าก๊าซธรรมชาติจากประเทศพม่า 2 แหล่งคือ แหล่งก๊าซธรรมชาติยาดานา และเยตากุน เมื่อถึงเวลาแหล่งก๊าซทั้งสองแห่งหยุดซ่อมประจำปี จึงผลกระทบต่ออุตสาหกรรมชนิดสั่นสะเทือนไปทั่วประเทศ จากการพึ่งจมูกคนอื่นหายใจ

หันมาดูศักยภาพการผลิตปิโตรเลียมของไทยเรา นายทรงภพ พลจันทร์ อธิบดีกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ เปิดเผยว่า ในปี 2555 ประเทศไทยสามารถจัดหาปิโตรเลียม แบ่งเป็นก๊าซธรรมชาติ 3,680 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน ก๊าซธรรมชาติเหลว 91,000บาร์เรลต่อวัน และน้ำมันดิบ 145,000 บาร์เรลต่อวัน

ขณะที่ความต้องการใช้สำหรับก๊าซธรรมชาติอยู่ที่ 4,800 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน และน้ำมันดิบอยู่ที่ 1.1 ล้านบาร์เรลต่อวัน ประเทศไทยจึงต้องพึ่งพาพลังงานจากการนำเข้าจากต่างประเทศ

อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมากรมเชื้อเพลิงธรรมชาติได้เปิดสัมทานปิโตรเลียมในประเทศอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันมีแหล่งปิโตรเลียมที่มีการผลิต จำนวน 60 แปลง มีสัมปทานที่ดำเนินการอยู่ 61 แปลง 76 แหล่งสำรวจ ได้แก่ บนบก 38 แปลงสำรวจ อ่าวไทย 35 แปลงสำรวจ และอันดามัน 3 แปลงสำรวจ

ในปี 2556 กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติกำลังจะเปิดให้สัมปทานปิโตรเลียมใหม่ รอบที่ 21ครอบคลุมพื้นที่ 32 จังหวัดทั่วประเทศ ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณาอนุมัติจากนายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน

การเปิดให้สัมปทานปิโตรเลียมใหม่ รอบที่ 21 รวม 22 แปลง ครอบคลุมพื้นที่ 32 จังหวัดทั่วประเทศ แบ่งเป็น ภาคเหนือและภาคกลาง 6 แปลง ภาคอีสาน 11 แปลง และอ่าวไทย 5 แปลง โดยยึดหลักการเลือกเปิดเฉพาะพื้นที่ที่มีศักยภาพสูง หลีกเลี่ยงพื้นที่อ่อนไหว วงเงินลงทุน 3,200 ล้านบาท คาดว่าจะได้ปิโตรเลียมคิดเป็นมูลค่า 9.6 แสนล้านบาท

สำหรับพื้นที่ที่มีศักยภาพมีกระจายอยู่ทั่วประเทศ โดยนายภูมี ศรีสุวรรณ หัวหน้ากลุ่มงานพัฒนาศักยภาพเชื้อเพลิงธรรมชาติ กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ กล่าวว่า จากโครงสร้างทางธรณีวิทยาของประเทศไทยพบว่า มีโครงสร้างของปิโตรเลียมกระจายอยู่ทั่วทุกภาคของประเทศ โดยภาคอีสานได้ขุดพบก๊าซธรรมชาติแล้วที่แหล่งดงมูล อำเภอหนองกุงศรี จังหวัดกาฬสินธุ์ และคาดว่ามีพื้นที่ที่มีศักยภาพอีก ได้แก่ จังหวัดมุกดาหาร และจังหวัดอุบลราชธานี

ส่วนพื้นที่ภาคเหนือก็มีหลายพื้นที่พบว่า มีปิโตรเลียม เช่น เชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง และพะเยา ภาคกลางที่จังหวัดพิษณุโลก และอ่าวไทย รวมถึงฝั่งอันดามัมบริเวณรอยต่อชายแดนไทยกับพม่าตามแนวสันทราย และด้านใต้อันดามันไปทางเกาะสุมตรา เพราะอยู่ใกล้กับแหล่งก๊าซธรรมชาติยาดานา ประเทศพม่า

ต้องลุ้นกันต่อไปเมื่อเปิดสัมปทานแล้วจะพบปิโตรเลียมกี่แปลงจากทั้งหมด 22 แปลง เมื่อผู้รับสัมปทานปิโตรเลียมสำรวจพบและลงทุนพัฒนาจนผลิตและขายปิโตรเลียมได้จะต้องจ่าย “ค่าภาคหลวง” ให้กับรัฐอัตรา 5-15% ของมูลค่าปิโตรเลียมที่ขาย และเมื่อผู้รับสัมปทนเริ่มมีกำไรรายปีจะต้องเสียภาเงินได้ปิโตรเลียมให้ไก่รัฐอีก 50% ของกำไรสุทธิในปีนั้น นอกจากนี้ รัฐยังมีรายได้จากผลประโยชน์ตอบแทนพิเศษ (SRB) ซึ่งเป็นเงินที่เก็บเมื่อผู้รับสัมปทานในปีนนั้นมีรายได้รายปีสูงเกินควรอันเกิดจากปัจจัยที่ไม่ได้เกี่ยวกับเงินลงทุน เช่ น ราคาปิโตรเลียมสูงขึ้นมากในช่วงนั้น หรือผลิตได้มากกว่าที่ได้คาดการณ์ไว้

และถ้าพื้นที่มีการผลิตปิโตรเลียมบนบก อย่างเช่น “แหล่งดงมูล” จังหวัดกาฬสินธุ์ เรียกว่า สุดเฮงทีเดียว เพราะค่าภาคหลวงที่จัดเก็บได้จากสัมปทานในเขตพื้นที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นตามประกาศคณะกรรมการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จะส่งเป็นรายได้ให้แผ่นดิน 40% และจัดสรรให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 60% แบ่งเป็น อบต.และเทศบาลในเขตพื้นที่ผลิตปิโตรเลียม 20% อบต.และเทศบางอื่นที่อยู่ในจังหวัดที่มีพื้นที่ผลิตปิโตรเลียม 10% อบต.และเทศบาลที่อยู่ในจังหวัดอื่น 10% และอบจ.ในเขตพื้นที่ผลิตปิโตรเลียม 20%

ที่สำคัญถ้าขุดพบปิโตรเลียมเป็นบ้านเรือน ไร่นา หรือที่ดินของประชาชนไม่ต้องห่วง จะได้รับผลตอบอย่างงาม และที่ผ่านมาไม่เคยใช้กฎหมายเวนคืนบีบบังคับ เผลอๆ จะกลายเป็นเศรษฐีในพริบตา

ที่มา.สยามธุรกิจ
///////////////////////////////////////////////

วันศุกร์ที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2556

รู้ไหม เอรียา. ไม่ชนะเพราะเหตุใด !!?


สัปดาห์ที่แล้วมีอยู่วันหนึ่งเล่าเรื่องความเชื่อของคนอเมริกันที่งานวิจัยของสถาบันวิจัยทางศาสนาของอเมริกาเขาทำสำรวจว่าคนอเมริกันเชื่อหรือไม่ว่าการแข่งขันกีฬาทุกนัดทุกแมตช์พระเจ้าท่านได้กำหนดผลการแข่งขันไว้ล่วงหน้าแล้วว่าจะให้ใครแพ้ ใครชนะ หรือท่านต้องการให้ผลออกมาเสมอกัน

เชื่อไหมครับว่าคนอเมริกัน ค.ศ.นี้ 27 เปอร์เซ็นต์เชื่อว่าพระเจ้า "ล็อกผล" ล่วงหน้าไว้แล้ว

ในจำนวนคนที่เชื่อว่าพระเจ้าล็อกผล ปรากฏว่าเป็นคนนับถือศาสนาคริสต์ 40 เปอร์เซ็นต์ ถ้าแยกเป็นนิกาย 38 เปอร์เซ็นต์ เป็นโปรเตสแตนต์ 29 เปอร์เซ็นต์ เป็นคาทอลิก

เมื่อแยกเป็นภูมิภาค ปรากฏว่าคนอเมริกันในรัฐทางตอนใต้เชื่อว่าพระเจ้าล็อกผลล่วงหน้าไว้แล้วมากกว่าภาคอื่นๆ คือ 36 เปอร์เซ็นต์ เชื่อน้อยสุดคือภาคตะวันตก 15 เปอร์เซ็นต์

ผมเขียนถึงพระเจ้าล็อกผลการแข่งขันไว้ล่วงหน้าเพื่อปลอบใจแฟนกอล์ฟชาวไทยที่ชมการถ่ายทอดสดกอล์ฟ ฮอนด้า แอลพีจีเอ ไทยแลนด์ 2013 เมื่อวันอาทิตย์ที่ 24 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา

ทุกคนหัวใจสลายแบบคาดไม่ถึงที่เห็น เอรียา จุฑานุกาล ไม่ได้แชมป์ทั้งๆ ที่เมื่อเหลืออีกหลุมเดียวเธอทำคะแนนนำ ปาร์ก อิน บี ถึง 2 แต้ม แถมหลุมสุดท้ายเป็นหลุมพาร์ 5 ซึ่งถือเป็นหลุมง่ายสำหรับนักกอล์ฟอาชีพ

ตอนที่เอรียาเดินลงจากแท่นทีออฟหลุมสุดท้าย ผู้ชมทั้งสนามมั่นใจว่าเธอคือคนไทยคนแรกในประวัติศาสตร์ที่ได้แชมป์แอลพีจีเอ ทัวร์ ได้แชมป์โดยที่คู่แข่งของเธอทั้ง 60 คน คือนักกอล์ฟที่เก่งที่สุดของโลก ณ เวลานี้

ทุกคนมั่นใจเพราะเธอตีช็อตแรกของหลุมสุดท้ายลูกไปอยู่กลางแฟร์เวย์ พอช็อตแรกอยู่ในแฟร์เวย์ งานที่เหลือก็ง่ายแล้ว

ขนาดผู้บรรยายภาษาอังกฤษที่บรรยายการแข่งขันแพร่ภาพไปทั่วโลกยังพากย์ว่าสาวไทยวัย 17 ปีเป็นแชมป์ 99 เปอร์เซ็นต์แล้ว

เธอไม่พูดว่า 100 เปอร์เซ็นต์ ไม่ใช่เพราะคิดว่าเอรียาจะพลาด ที่ไม่พูดเพราะต้องรักษามารยาท เนื่องจากการแข่งขันยังไม่จบ

ไม่มีใครคิดว่าหลุมสุดท้ายพาร์ 5 เอรียาจะตี 8 ที หลุมเดียวเสีย 3 คะแนน จากนำ 2 แต้มกลายเป็นแพ้ 1 แต้ม นักกอล์ฟเกาหลีใต้ได้แชมป์ไปแบบเธอเองก็คาดไม่ถึง


เย็นวันอาทิตย์จนถึงเที่ยงวันจันทร์ผมรับโทรศัพท์จากเพื่อนฝูงและคนรู้จักที่เป็นนักกอล์ฟสิบกว่าคน

ทุกคนโทร.มาบ่น มาปรับทุกข์ว่ามันเป็นไปได้อย่างไร

ผมก็บอกอย่างที่อ่านงานวิจัยของฝรั่งเพื่อปลอบใจเขา ว่าสงสัยพระเจ้าท่านกำหนดผลมาแล้ว ไม่อย่างนั้นไม่เป็นอย่างนี้หรอก

ไม่เชื่อลองให้เอรียากลับไปเริ่มเล่นช็อต 2 ที่หลุมสุดท้ายใหม่อีกห้าพันรอบก็ได้ รับรองว่าเธอตีไม่เกิน 6 ที ต่อให้เธอใช้เหล็ก 7 อันเดียวเล่นทั้งไดรฟ์ ชิพ และพัตต์ เธอก็ยังตีไม่เกิน 6 ที ได้แชมป์แน่นอน

แล้วทำไมช็อต 2 เธอจึงใช้หัวไม้ตีกะ 2 ออนทั้งๆ ที่ลูกอยู่ในตำแหน่งหน้าต่ำหลังสูง แทนที่จะใช้เหล็ก 6 หรือเหล็ก 7 ตีวางตัวแบบให้อยู่ในแฟร์เวย์ล้านเปอร์เซ็นต์ เพื่อว่าช็อตที่ 3 จะได้ตีเหล็กสั้นจากไลดี ทำอีก 2 พัตต์ ได้แชมป์แบบไม่ต้องเสี่ยงแม้แต่เปอร์เซ็นต์เดียว?

คำตอบ...เพราะพระเจ้ากำหนดผลไว้แล้วไงครับ

จึงทำให้อะไรก็ไม่รู้ดลใจให้เธอตีบุกแล้วท็อปหัวลูกวิ่งลงหลุมทรายซึ่งอยู่ห่างธงประมาณ 65 หลา

แล้วสิ่งที่ผู้ชมทั้งสนามไม่เห็น แต่ผู้ชมทีวีทางบ้านเห็นแล้วใจหายวาบก็คือลูกกอล์ฟของเอรียาไปค้างอยู่กับชายแผ่นผ้าสังเคราะห์ที่ปูรองพื้นหลุมทรายเพื่อป้องกันไม่ให้ดินผสมกับทราย-ซึ่งเป็นเทคนิคปกติของการสร้างสนามกอล์ฟ

และช่างบังเอิญเหลือเกินที่ลูกกอล์ฟพุ่งมาด้วยความแรงที่พอเหมาะพอเจาะชนิดที่ตีอีก 1 ล้านครั้งก็ไม่มีทางไปอยู่ตรงนั้นได้

หนักหรือเบากว่านี้นิ้วเดียวลูกจะไหลลงไปอยู่กลางทรายได้สบาย

เมื่อเห็นลูกกอล์ฟไปติดค้างอยู่ตรงชายแผ่นผ้าสังเคราะห์และอยู่ใต้ขอบด้านหน้าของหลุมทราย เอรียายืนมองแล้วนึกไม่ออกว่าจะตีอย่างไร ตีออกด้านข้างก็ไม่ได้

ถามกรรมการว่าฟรีดร็อปมั้ย (เร่ตำแหน่งของลูกโดยไม่ต้องโดนปรับ 1 แต้ม)

กรรมการบอกว่าไม่ใช่

สุดท้ายเธอยอมโดนปรับ 1 แต้มแล้วหยิบลูกดร็อปในหลุมทราย

ตอนแรกผมคิดว่าเธอโชคดีที่ดร็อปในทรายแล้วลูกไหลไปหยุดในไลลอยดีมาก

แต่ในสภาพที่ถูกกดดันทำให้เธอสวิงแรงและตีไกลกว่าที่ตั้งใจประมาณ 3 หลา ลูกตกเลยกรีนและเลยธงไปอยู่ในไลที่นักกอล์ฟทุกคนไม่ต้องการไปอยู่ตรงนั้นถ้าธงอยู่ส่วนหลังของกรีน เนื่องจากช็อตต่อไปเป็นไลลงเนินอย่างแรง

ช็อตที่ 5 เธอใช้พัตเตอร์นอกกรีน (ซึ่งในทางทฤษฎีเป็นการเลือกที่ถูกต้องเมื่ออยู่ในภาวะถูกกดดัน)

แต่วินาทีนั้นวัยของเธอรับมือกับความกดดันไม่ไหว เธอพัตต์ไปได้แค่ 2 หลาเท่านั้นเองเพราะถ้าพัตต์แรงกลัวถูกวิ่งตกกรีน พัตต์ต่อไประยะคันธงเศษทั้งลงเนินและข้างเนินซึ่งเป็นช็อตที่ 6...

ถ้าลงเธอได้แชมป์

แต่ตอนนั้นไม่มีใครคิดว่าเธอจะพัตต์ลง เพราะไลน์ยากมาก บรรยากาศกดดันสุดขีด

ทุกคนภาวนาว่าจากตรงนี้ทำอีก 2 ที รวมเป็น 7 เสมอกับ ปาร์ก อิน บี ได้ออกไปเพลย์ออฟ แต่เอรียาพัตต์เลยหลุมไป 2 ฟุตครึ่ง แล้วพัตต์อีกทีลูกสะบัดปากหลุม กระฉอกออกมา

เธอทำ 8 ทีที่หลุมสุดท้ายพาร์ 5...

เธอกอดพี่สาวร้องไห้ข้างกรีนทันทีที่จบการแข่งขัน

วันรุ่งขึ้นขณะนั่งรถออกจากบ้านไปสนามบินเพื่อเดินทางไปเล่นรายการต่อไปที่สิงคโปร์ เธอกอดแม่แล้วร้องไห้สะอึกสะอื้น

เธอบอกแม่ว่าเสียใจที่สุดในชีวิต

แม่ปลอบได้น่ารักว่าให้รีบลืมซะ ให้คิดว่าลูกได้ที่ 2 สองรายการติดต่อกันของการเริ่มต้นแข่งในฐานะนักกอล์ฟอาชีพ 2 ทัวร์นาเมนท์ ถือเป็นการเริ่มต้นที่ยอดเยี่ยมมาก

ที่มา มติชนสุดสัปดาห์
//////////////////////////////////////////////////////////////

วันพฤหัสบดีที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

กพฝ.ระดมแผนรับมือวิกฤติพลังงาน !!?


รัฐระดมแผนรับมือพม่าหยุดจ่ายก๊าซ ทำไฟดับไฟตก “วิฑูรย์” สั่งโรงงานทั่วประเทศลดใช้ไฟ 10% หวังเพิ่มปริมาณสำรองช่วงวิกฤติอีก 1,200 เมกะวัตต์ กฟผ.ถกผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน ขอรับซื้อไฟฟ้าเพิ่ม เพื่อบรรเทาความเดือดร้อน ประชาชนจากกรณีที่พม่าหยุดส่งก๊าซธรรมชาติให้ไทยในช่วงวันที่ 5-14 เมษายน 2556 เพื่อซ่อมบำรุงแหล่งก๊าซยานาดาทำให้หลายหน่วยงานต้องเร่งหามาตรการมารองรับป้องกันวิกฤติพลังงานโดยนายวิฑูรย์ สิมะโชคดี ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่าจะประสานงานไปยังอุตสาหกรรมจังหวัดทั่วประเทศ เพื่อกำชับให้โรงงานทั่วประเทศ ที่กำกับดูแลโดยกรมโรงงานอุตสาหกรรม เพื่อช่วยกันลดปริมาณการใช้ไฟฟ้าลงให้ได้อย่างน้อย 10% ตามนโยบายรัฐบาล หากโรงงานใดปฏิบัติได้ จะได้รับการพิจารณาจัดลำดับประเภทโรงงานใหม่ โดยประกาศดังกล่าวอยู่ระหว่างการพิจารณาของกรมโรงงาน ซึ่งจะเสนอให้กระทรวงพิจารณาจัดอันดับเกรดภายในเดือนมีนาคมนี้

ปัจจุบันทั่วประเทศมีโรงงานอุตสาหกรรมรวมอยู่ที่ประมาณ 70,000 โรงงาน ใช้ไฟฟ้าเฉลี่ยวันละ 12,000 เมกะวัตต์ หากโรงงาน 70,000 โรงงานสามารถลดไฟฟ้าได้ 10%ก็จะช่วยให้การสำรองไฟฟ้าในช่วงฮอตสแตนบายเพิ่มขึ้นอีกเกือบ 1,200 เมกะวัตต์

นอกจากนี้ จะรณรงค์ให้โรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ ประหยัดพลังงานมากขึ้น เบื้องต้นจะทำคู่มือ 70,000 ฉบับ ส่งให้ทุกโรงงานเพื่อขอความร่วมมือด้านต่างๆ เช่น การดับไฟ การลดอัตราเร่งของเครื่องจักร และเปิดให้ร่วมโครงการเปลี่ยนหลอดผอมประหยัดไฟ

ขณะที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ประชุมร่วมกับผู้ผลิตไฟฟ้าภาคเอกชน (ไอพีพี) ปตท. และสำนักงานกำกับกิจการพลังงาน เพื่อรับมือกับปัญหาดังกล่าวเช่นเดียวกันโดยนายธนา พุฒรังษี รองผู้ว่าการ กฟผ. กล่าวว่า กฟผ. ได้ทำแบบสอบถามมาตรการใช้ไฟฟ้า ส่งให้กับประกอบการภาคอุตสาหกรรม เพื่อนำมาใช้เป็นข้อมูลในบริหารจัดการระบบไฟฟ้า ทั้งนี้คาดว่าจะได้รับข้อมูลทั้งหมดในวันที่ 5 มีนาคมนี้ ซึ่ง กฟผ. จะนำมาใช้เป็นข้อมูลในการประชุมร่วมกับไฟฟ้านครหลวง หรือ กฟน. และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค หรือ กฟภ. เพื่อกำหนดแผนจัดการไฟฟ้าในช่วงดังกล่าว

“การหยุดส่งก๊าซดังกล่าวจะกระทบต่อการผลิตไฟฟ้าประมาณ 4.1 พันเมกะวัตต์ที่จะหายไปจากระบบการผลิตไฟฟ้า และมีการประมาณการว่าในวันที่ 5 เมษายน จะผลิตกระแสไฟฟ้าได้ประมาณ 2.7 หมื่นเมกะวัตต์ ที่จะสามารถจ่ายไปยังประชาชนผู้บริโภคได้ ขณะที่มีการคาดการณ์ว่าวันดังกล่าวจะมีความต้องการใช้กระแสไฟฟ้าจำนวน 2.6 หมื่นเมกะวัตต์ และกำลังผลิตมาตรฐานที่ กฟผ.พยายามสำรองไว้ที่ 1.2 พันเมกะวัตต์ หากเกิดเหตุฉุกเฉินขึ้นเรายังสามารถที่จะดึงส่วนนี้ขึ้นสำรองใช้ได้”

“ส่วนวันที่ 6-8 เมษายนนั้นเป็นวันหยุดตรงนี้เราไม่ค่อยเป็นห่วงเท่าไรแต่ในวันที่ 10-11 เมษายนต้องดูแลกันพิเศษอีกครั้ง ซึ่งขณะนี้ผู้บริหารของกฟผ.ได้มีการสั่งไปแล้วว่าการดำเนินการทั้งหมดประชาชนจะต้องได้รับผลกระทบน้อยที่สุด นอกจากนี้ กฟผ.จะขอความร่วมมือไปยังโรงผลิตกระแสไฟฟ้าเอกชนให้ดำเนินการผลิต ไฟฟ้าเพิ่มขึ้น ซึ่งจะช่วยเพิ่มจำนวนกระแสไฟฟ้าสำรองมากขึ้นมาอีก” นายธนา กล่าว

นายวิวัฒน์ชัย รัตนชัย ผู้ช่วยผู้ว่าการการประปานครหลวง (กปน.) กล่าวว่ากปน.ให้ความสำคัญกับการเตรียมแผนสำรองด้านพลังงาน และการบริหารความเสี่ยงที่อาจเกิดจากการผลิต ส่งและบริการน้ำประปา ซึ่งจำเป็นต้องใช้ไฟฟ้าในการผลิตและสูบจ่ายน้ำประปาไปยังทุกครัวเรือนในเขตพื้นที่รับผิดชอบ คือ กรุงเทพมหานคร นนทบุรี และสมุทรปราการ ตลอด 24 ชั่วโมง จึงเตรียมความพร้อมรับมือวิกฤตการณ์ดังกล่าวอย่างจริงจัง ลดผลกระทบที่อาจเกิดต่อภาคเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ

“ปัจจุบัน กปน.ผลิตน้ำประปาวันละประมาณ 5 ล้านลูกบาศก์เมตร โดยมีค่าไฟฟ้าใช้ในระบบผลิต สูบส่งและจ่ายน้ำทั้งสิ้นปีละประมาณ 350 ล้านกิโลวัตต์หรือคิดเป็นค่าใช้จ่ายประมาณ 1,087 ล้านบาทต่อปี อย่างไรก็ตาม ต้องขอความร่วมมือประชาชนให้ช่วยกันประหยัดพลังงานไฟฟ้าและการใช้น้ำประปา เพื่อร่วมกันใช้พลังงานที่มีอยู่อย่างจำกัดให้เกิดประโยชน์สูงสุด”นายวิวัฒน์ชัย กล่าว

ที่มา.นสพ.แนวหน้า
//////////////////////////////////////////

กิตติรัตน์. พบปะนักลงทุน ณ เขตบริหารพิเศษฮ่องกง พร้อมแจง 4 ยุทธศาสตร์พัฒนาประเทศ !!?


นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายชัชชาติ สุทธิพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม นายอารีพงศ์ ภู่ชอุ่ม ปลัดกระทรวงการคลัง นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ นางสาวจุฬารัตน์ สุธีธร ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง พร้อมด้วยนายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานสภาธุรกิจตลาดทุนไทย ได้ร่วมจัดงานพบปะนักลงทุน (Roadshow) ในหัวข้อ “Thailand’s Strategies : A Roadmap for the Real Opportunities” เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2556 ณ โรงแรมไอแลนด์ แชงกรีล่า เขตบริหารพิเศษฮ่องกง สาธารณรัฐประชาชนจีน เพื่อเสริมสร้างความมั่นใจด้านเศรษฐกิจแก่นักลงทุนต่างชาติกว่า 120 ราย โดยมีสาระสำคัญของงานพบปะนักลงทุนโดยสรุป ดังนี้

นายกิตติรัตน์กล่าวเปิดงานพบปะนักลงทุนว่า ภายใต้ภาวะของเศรษฐกิจโลกที่ผันผวนและผลกระทบจาก ภัยพิบัติทางธรรมชาติ เศรษฐกิจไทยสามารถขยายตัวได้อย่างมีเสถียรภาพ โดยในปี 2555 เศรษฐกิจไทยได้ขยายตัวในอัตราที่สูงถึงร้อยละ 6.4 ต่อปี ทั้งนี้ นโยบายของรัฐบาลในปีแรก ที่มุ่งเน้นการเพิ่มรายได้ ลดรายจ่าย และขยายโอกาส ได้ส่งผลให้เศรษฐกิจภายในประเทศมีความเข้มแข็งและสามารถรองรับความเสี่ยงจากเศรษฐกิจโลกและภัยพิบัติทางธรรมชาติได้ อย่างไรก็ดี เพื่อรองรับต่อความท้าทายเชิงเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมในอนาคต รัฐบาลจะดำเนินการตามยุทธศาสตร์ของประเทศใน 4 ด้าน ได้แก่ ยุทธศาสตร์ที่ 1 การเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขัน ด้วยการเพิ่มรายได้จากฐานเดิมและสร้างรายได้จากโอกาสใหม่ ยุทธศาสตร์ที่ 2 การสร้างโอกาสความเสมอภาคและความเท่าเทียมกันในสังคม ด้วยการสร้างโอกาสในการเข้าถึงทรัพยากร และการคุ้มครองสิทธิผลประโยชน์อย่างเป็นธรรมและเท่าเทียม ยุทธศาสตร์ที่ 3 การสร้างความเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ด้วยการลดการใช้พลังงาน การฟื้นฟูป่าและต้นน้ำ และการพัฒนาพลังงานสะอาดและพลังงานทดแทน และยุทธศาสตร์ที่ 4 การปรับสมดุลและการพัฒนาระบบการบริหารจัดการภาครัฐ

นอกจากนี้ รัฐบาลยังได้ตระหนักถึงความจำเป็นในการปรับปรุงและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการเสริมสร้างขีดความสามารถและการกระจายความพัฒนาไปสู่พื้นที่ต่าง ๆ ของประเทศ และอยู่ระหว่างการดำเนินการเพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ 2 ล้านล้านบาท ทั้งนี้ ระดับหนี้สาธารณะต่อจีดีพีในระหว่างปี 2556-2563 จะเพิ่มขึ้นสูงสุดไม่เกินร้อยละ 50 ซึ่งยังคงอยู่ภายใต้กรอบความยั่งยืนทางการคลัง

นายชัชชาติกล่าวถึงโอกาสของไทยภายใต้การรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจของอาเซียนว่า การพัฒนาระบบโลจิสติกส์เป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้ไทยและอาเซียนได้รับประโยชน์จากการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจอย่างแท้จริง โดยในปัจจุบัน ประเทศไทยยังพึ่งพาการขนส่งทางถนนที่สูงกว่าร้อยละ 86 ของการขนส่งทั้งหมด ซึ่งทำให้ต้นทุนทางโลจิสติกส์ของประเทศอยู่ในระดับที่สูงถึงร้อยละ 15.2 ของจีดีพี การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ 2 ล้านล้านบาท ทั้งรถไฟรางคู่ รถไฟความเร็วสูง และการขนส่งมวลชน จะช่วยลดต้นทุนด้านโลจิสติกส์ และลดการนำเข้าพลังงานเพื่อการขนส่ง อันจะเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศได้อย่างยั่งยืน

ทั้งนี้ คาดว่าการดำเนินการตามยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศจะส่งผลให้ต้นทุนโลจิสติกส์ต่อจีดีพีของประเทศลดลงจากปัจจุบันไม่น้อยกว่าร้อยละ 2.0 และระดับจีดีพีที่แท้จริงจะขยายตัวเพิ่มขึ้นในช่วงการก่อสร้างจากกรณีฐานอีกร้อยละ 1.0 ต่อปี

นายอาคมกล่าวถึงเศรษฐกิจไทยในปี 2555 ว่าการขยายตัวร้อยละ 6.4 จากปีก่อนแสดงให้เห็นถึงการฟื้นตัวจากสถานการณ์อุทกภัยในช่วงปลายปี 2554 โดยอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยได้รับการสนับสนุนจากการบริโภคภายในประเทศผ่านการดำเนินมาตรการของภาครัฐ เช่น การลดภาษีนิติบุคคล มาตรการรถยนต์คันแรก และการปรับเพิ่มแรงงานขั้นต่ำ เป็นต้น รวมทั้งการผลิตภาคเอกชนที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน ซึ่งเห็นได้จากการขยายตัวของอัตราการใช้กำลังการผลิตที่กลับมาอยู่ในระดับก่อนสถานการณ์อุทกภัย ในขณะเดียวกัน เสถียรภาพภายในประเทศและต่างประเทศ ยังอยู่ในเกณฑ์ดี ทั้งจากอัตราเงินเฟ้อที่ยังอยู่ในระดับที่ควบคุมได้ อัตราการว่างงานที่อยู่ในระดับต่ำ และเงินสำรองระหว่างประเทศที่อยู่ในระดับสูง โดยในปี 2556 คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะสามารถขยายตัวได้ในอัตราร้อยละ 4.5-5.5 โดยอุปสงค์ภาคต่างประเทศคาดว่า จะเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สำคัญตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก

นายอารีพงศ์ฯ กล่าวถึง เสถียรภาพความยั่งยืนเชิงเศรษฐกิจว่า เศรษฐกิจไทยในปัจจุบันนับว่ามีเสถียรภาพมากกว่าในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจปี 2540 อย่างมาก ทั้งจาก 1) ความเข้มแข็งของเศรษฐกิจภายในประเทศและการกระจายตัวของแหล่งการส่งออกอันช่วยลดผลกระทบจากความผันผวนของเศรษฐกิจโลก 2) ความสมดุลระหว่างตลาดหุ้น ตลาดพันธบัตรและธนาคารพาณิชย์ ซึ่งช่วยลดการพึ่งพาการระดมทุนผ่านช่องทางธนาคารพาณิชย์เพียงอย่างเดียวดังเช่นในอดีต และ 3) ความเพียงพอของเงินทุนสํารองระหว่างประเทศต่อหนี้ต่างประเทศระยะสั้น นอกจากนี้ เสถียรภาพทางการคลังในปัจจุบันอยู่ในระดับดีในระยะต่อไป นโยบายการคลังเป็นส่วนสำคัญในการสนับสนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจและการเสริมสร้างขีดความสามารถของประเทศ ทั้งในด้านการดำเนินนโยบายการคลังแบบขาดดุลเพื่อสนับสนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจภายใต้ภาวะเศรษฐกิจโลกที่ผันผวน การปรับอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลจากร้อยละ 30 เป็นร้อยละ 23 ในปี 2555 และร้อยละ 20 ในปี 2556 และการจัดหาแหล่งทุนให้เพียงพอสำหรับการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ ทั้งนี้ กระทรวงการคลังมีแผนที่จะเข้าสู่งบประมาณสมดุลในอีก 4-5 ปีข้างหน้า และจะรักษาระดับหนี้สาธารณะให้อยู่ภายใต้กรอบความยั่งยืน

นางสาวจุฬารัตน์ได้กล่าวว่าในช่วงที่ผ่านมา ตลาดตราสารหนี้ได้มีพัฒนาการที่สำคัญหลายประการ ทั้งในด้านความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ตราสารหนี้ ผ่านการออกพันธบัตรรัฐบาลในรูปแบบใหม่ อาทิ พันธบัตรรัฐบาลที่ผลตอบแทนอ้างอิงกับอัตราเงินเฟ้อ และการจําหน่ายพันธบัตรออมทรัพย์ให้นักลงทุนรายย่อยผ่านตู้ ATM เป็นต้น และในด้านการเสริมสร้างสภาพคล่องของตลาดตราสารหนี้ไทย ผ่านการขยายช่วงอายุของพันธบัตรรัฐบาลอ้างอิง ออกไปถึง 50 ปี พัฒนาการของตลาดตราสารหนี้ไทยดังกล่าวได้ส่งผลให้ตราสารหนี้ไทยเป็นที่สนใจมากจากนักลงทุนต่างประเทศ นอกจากนี้ แม้ว่าสภาพคล่องภายในประเทศจะมีเพียงพอที่จะสนับสนุนความต้องการกู้เงินของภาครัฐ โดยเฉพาะการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน อย่างไรก็ตาม

การออกพันธบัตรรัฐบาลในสกุลเงินต่างประเทศยังคงมีความสำคัญที่จะรักษาความตระหนัก และความคุ้นเคยกับตราสารหนี้ไทยนายไพบูลย์ฯ ได้เชิญชวนให้นักลงทุนเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นของไทย โดยกล่าวว่า ในช่วงปีที่ผ่านมา ตลาดหุ้นไทยได้ปรับสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยมีปัจจัยสำคัญจากความมั่งคั่งและกำลังซื้อของประชาชนที่เพิ่มขึ้นและการลงทุนภาคเอกชนที่เร่งตัว ส่งผลให้ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยปรับเพิ่มขึ้นตามลำดับ ทั้งนี้ นายไพบูลย์ฯ เห็นว่า แม้ว่าในช่วงที่ผ่านมาตลาดหุ้นไทยจะปรับตัวสูงขึ้นมาก แต่ยังสามารถปรับขึ้นได้อีกจาก P/E Ratio ของไทยที่ 12 เท่า ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของภูมิภาคที่ 13-14 เท่า

การพบปะนักลงทุนในครั้งนี้ถือว่าประสบผลสำเร็จอย่างมาก สะท้อนจากความสนใจจำนวนมากของผู้จัดการกองทุนและนักลงทุนขนาดใหญ่จำนวนมากเข้าร่วมงาน และจากคำถามต่าง ๆ ทางด้านเศรษฐกิจที่นักลงทุนได้สอบถาม ซึ่งประเทศไทยได้ชี้แจงให้ข้อมูลอย่างครบถ้วนและชัดเจน

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
////////////////////////////////////////////////

วันพุธที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ประสาร.แจงดอกเบี้ยต่ำ เก็งหุ้น-อสังหาฯ


ประสาร.แจงราคาสินทรัพย์เสี่ยงทั้งตลาดหุ้น-อสังหาฯ วิ่งขึ้น จากปัจจัยดอกเบี้ยต่ำ ทำคนออมมองหาทางเลือกการลงทุนอื่น ย้ำไม่เกี่ยวทุนนอกไหลเข้า

ช่วง 1-2 เดือนที่ผ่านมา เริ่มมีการตั้งคำถามมากขึ้นว่า "ดอกเบี้ยนโยบาย" ของไทยที่ 2.75% เป็นระดับที่ “สูง” เกินไปหรือไม่...และดอกเบี้ยระดับนี้ ถือเป็นตัวดึงดูดเงินทุนเคลื่อนย้ายจากต่างประเทศให้เข้ามาลงทุนในประเทศไทย ทำให้สภาพคล่องการเงินในประเทศล้น ส่งผลต่อราคาสินทรัพย์ต่างๆ ที่ปรับขึ้น ไม่ว่าจะเป็นดัชนีตลาดหลักทรัพย์ ราคาอสังหาริมทรัพย์ จนเข้าข่ายว่า "ฟองสบู่" ใช่หรือไม่ ?

เรื่องนี้ บนเวทีเสวนา "Nation Exclusive Insights for CEOs : จับสัญญาณ ค่าเงินบาท 2013" ซึ่งมีขึ้นเมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา “ประสาร ไตรรัตน์วรกุล” ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้อธิบายทุกข้อสงสัย โดยระบุว่า คำอ้างที่บอกกันว่า ดอกเบี้ยไทยสูง ทำให้เงินทุนไหลเข้า ส่งผลต่อเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น ทำให้สภาพคล่องในระบบเพิ่ม จนกระทบต่อราคาสินทรัพย์และเกิดเป็นฟองสบู่ขึ้นมานั้น แถมยังบอกวิธีแก้ด้วยว่า ควรต้อง “ลด” ดอกเบี้ย...เรื่องนี้ "ประสาร" ยืนยันว่า ล้วนเป็น "มายาคติ" ทั้งสิ้น

สาเหตุที่มองเช่นนั้น เพราะแท้จริงแล้ว เงินทุนต่างชาติที่ไหลเข้ามา ไม่ได้ทำให้สภาพคล่องเงินบาทในระบบเพิ่มขึ้น โดยเงินดอลลาร์ที่เข้ามาเป็นการแลกเงินบาทซึ่งมีอยู่แล้วในระบบ เว้นแต่ ธปท.จะเข้าไปรับซื้อเองถึงจะทำให้ปริมาณเงินบาทในระบบเพิ่มขึ้น แต่ทุกครั้งที่ ธปท. เข้าไปรับซื้อ ก็มักจะดูดเงินบาทเหล่านั้นกลับเข้ามาด้วยการออกพันธบัตร เพื่อรักษาปริมาณเงินในระบบไม่ให้มีมากเกินไป...ดังนั้นข้อกล่าวหาเงินทุนไหลเข้า ดันสภาพคล่องในระบบเพิ่มจนเกิดฟองสบู่นั้น เป็นแค่ “มายาคติ” ตัดทิ้งได้เลย

แล้วราคาสินทรัพย์ที่เพิ่มขึ้นเกิดจากอะไร?..."ประสาร" อธิบายว่า เป็นเพราะดอกเบี้ยไทยอยู่ระดับต่ำ โดยเฉพาะดอกเบี้ยแท้จริงที่หักเงินเฟ้อแล้วติดลบ ทำให้ผู้ออมเริ่มมองหาทางเลือกการลงทุนอื่นๆ ที่ให้ผลตอบแทนได้มากกว่าการฝากเงิน

เขาบอกว่า ถ้าดูผลตอบแทนเฉลี่ยย้อนหลัง 3 ปี ของการฝากเงินในธนาคารพาณิชย์ จะเห็นว่า เงินฝากประจำ 12 เดือน ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยเพียงแค่ 2% เทียบกับการลงทุนในคอนโดมิเนียมในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ซึ่งเฉลี่ยที่ 6.4% ขณะที่การลงทุนในคอนโดมิเนียมตามหัวเมืองใหม่ๆ ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยที่ 9.9% และการลงทุนในตลาดหุ้นให้ผลตอบแทนเฉลี่ยที่ 28.9% ทั้งหมดนี้เป็นสาเหตุที่ทำให้ราคาสินทรัพย์ต่างๆ ทั้งตลาดหุ้น ตลาดอสังหาริมทรัพย์ปรับเพิ่มขึ้น

"พวกนี้ถือเป็นสาเหตุใหญ่ที่ทำให้คนอยากเข้ามาลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง ถ้าเราปล่อยให้ดอกเบี้ยต่ำไปนานๆ คนมีเงินออมจะรู้สึกอยากขยายไปลงทุนในสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนได้ดีกว่า ยิ่งถ้าดอกเบี้ยต่ำกว่าเงินเฟ้อ คนฝากเงินจะมองว่าไม่คุ้มค่า เริ่มมองหาแหล่งลงทุนอื่น ดังนั้นสาเหตุการปรับเพิ่มขึ้นของราคาสินทรัพย์เหล่านี้ จึงเกิดจากการที่เรามีดอกเบี้ยต่ำ ไม่ใช่เพราะดอกเบี้ยสูง"

นอกจากนี้ดอกเบี้ยที่ต่ำยังเป็นตัวเร่งความรู้สึกของคนให้อยากใช้เงิน เพราะมองว่าดอกเบี้ยระดับนี้ไม่ได้เป็นภาระ เห็นได้จากสินเชื่อธนาคารพาณิชย์ที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะสินเชื่อครัวเรือนซึ่งปีที่ผ่านมาเติบโตถึง 21.6% ในขณะที่หนี้ครัวเรือนช่วง 4-5 ปีมานี้ เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว จากสัดส่วนหนี้ต่อจีดีพีที่ 58% มาอยู่ที่ 73% ในปีล่าสุด

"ประสาร" บอกด้วยว่า ราคาสินทรัพย์ที่เพิ่มขึ้นนั้น ถ้าดูลึกในรายละเอียดจะเห็นว่า ส่วนใหญ่เพิ่มขึ้นเพราะแรงซื้อของคนในประเทศ มากกว่าที่จะเป็นแรงซื้อของนักลงทุนต่างประเทศ เพราะถ้าดูในตลาดหุ้น จะเห็นว่าหุ้นที่ขึ้นร้อนแรงส่วนใหญ่เป็นหุ้นขนาดเล็ก ซึ่งหุ้นพวกนี้นักลงทุนต่างชาติไม่เข้าลงทุนอยู่แล้ว ขณะที่อสังหาริมทรัพย์ ก็มีกฎชัดเจนว่า ห้ามต่างชาติถือครองที่ดิน

"อย่าไปอ้างว่า เงินทุนไหลเข้าทำให้หุ้นขึ้นร้อนแรง เพราะส่วนใหญ่เป็น local investors ไม่ใช่ foreign investors"

ส่วนคำกล่าวอ้างที่มักจะพูดกันว่าดอกเบี้ยของไทยสูงกว่าต่างประเทศ ทำให้เงินทุนไหลเข้ามานั้น “ประสาร” บอกว่า คงต้องดูว่าวัดจากอะไร เพราะถ้าวัดกับอัตราดอกเบี้ยของประเทศอื่นในภูมิภาคแล้ว ของไทยไม่ได้สูงกว่าคนอื่นเลย ซึ่งในภูมิภาคหากไม่นับสิงคโปร์กับฮ่องกงแล้ว มีเพียงไต้หวันประเทศเดียวที่ดอกเบี้ยต่ำกว่าไทย และถ้าดูอัตราดอกเบี้ยแท้จริงจะเห็นว่า ของไทยต่ำสุดในภูมิภาค ซึ่งปัจจุบันติดลบอยู่ 0.64%

นอกจากนี้ เท่าที่ทำการศึกษาในเชิงสถิติเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของเงินทุนเคลื่อนย้ายนั้น พบว่า ประเด็นที่มีอิทธิพลต่อเงินทุนเคลื่อนย้ายมากที่สุด คือ ความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่ทำให้เกิดภาวะ Risk on (กล้ายอมรับความเสี่ยง) หรือ Risk off (กลัวความเสี่ยง) ซึ่งมีอิทธิพลต่อเงินทุนเคลื่อนย้ายถึง 18% รองลงมา คือ การเก็งกำไรในอัตราแลกเปลี่ยน สัดส่วนอยู่ที่ 15%

ส่วนถัดมา คือ ภาวะเศรษฐกิจ โดยดูจากความเชื่อมั่นทางธุรกิจ สัดส่วนอยู่ที่ 11% อันต่อมา คือ ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนอยู่ที่ 10% ในขณะที่ปัจจัยเรื่องส่วนต่างระหว่างดอกเบี้ย มีความสัมพันธ์ต่อการเคลื่อนย้ายของเงินทุนน้อยมาก แค่ 3% เท่านั้น สะท้อนว่าเรื่องดอกเบี้ยมีผลต่อการไหลเข้าของเงินทุนต่างประเทศน้อยมาก

"ถ้าย้อนไปดูช่วงเดือนต.ค. ถึงเดือนธ.ค. 2554 ช่วงนั้นดอกเบี้ยนโยบายของเราสูง 3% เศษ แต่เงินไหลออก ในขณะที่เดือนม.ค. 2555 ดอกเบี้ยนโยบายลดต่ำลงกว่า 3% แต่ปรากฏว่าเงินทุนไหลเข้า ซึ่งประเด็นนี้อธิบายในเชิงสถิติได้ว่า ดอกเบี้ยมีความสัมพันธ์กับเงินทุนไหลเข้าน้อยมาก"


ทั้งหมดนี้ คือ คำชี้แจงจาก ผู้ว่าการแบงก์ชาติ ซึ่งปฏิเสธทุกข้อกล่าวหาที่ว่า “ดอกเบี้ยสูง” เป็นตัวการดึงดูดเงินทุนไหลเข้า ทำให้สภาพคล่องในระบบล้น จนเสี่ยงต่อภาวะฟองสบู่ เพราะภาพทั้งหมดนี้เป็นเพียงแค่ “มายาคติ” เท่านั้น!

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
//////////////////////////////////////////////////

ดอนเมืองบทพิสูจน์ ยุค ปชป. !!?


ทุกครั้งที่เรานั่งรถผ่านสนามบินดอนเมือง อดคิดไม่ได้ว่า ยุคหนึ่งที่รัฐบาลประชาธิปัตย์ครองเมือง ได้สั่งการให้ปิดสนามบินที่มีมูลค่าเชิงพาณิชย์ของการเดินทางทางอากาศหายไปแบบสูญเปล่า แถมต้องใช้งบรัฐคอยปัดหยากไย่ไม่ให้อาคาร และอุปกรณ์ต่างๆ ต้องเสียหายเพราะทิ้งร้างอีกถึงปีละเกือบ 750 ล้านบาท

เพราะไปยกอำนาจให้นักการเมืองระดับ “ซาเล้ง” ของพรรคร่วมรัฐบาล ขณะนั้น ใช้มันสมองส่วนไหนก็ไม่รู้ “ปิดสนามบิน” เหมือนทารกไร้เดียงสา

คิดจะขายขนมก็เปิดขาย แต่พอคิดจะไม่ขาย ก็ปิดร้านเอาดื้อๆ

ผู้นำรัฐบาลขนาดคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ขณะนั้น ไม่ทัดทาน แม้แต่จะหาทางชะลอปิดสนามบินก็ไม่กล้าแม้แต่จะคิด เนื่องด้วยเกรงว่า พรรคภูมิใจไทยจะงอแงไม่ร่วมรัฐบาลหรือเปล่า

หรือว่า หากปิดสนามบินด้วยเหตุผลที่ขุดมาจากหลุมไหนก็ไม่รู้ แค่พอฟัง ได้ก็ยอมตามพรรคเล็กเหมือน “งูแพ้เชือกกล้วย”

ทั้งๆ ที่อำนาจเต็มเปี่ยมอยู่ในมือนายกรัฐมนตรีแท้ๆ

ดอนเมืองจึงเป็นสนามบินที่รกร้างอย่างน่าเสียดายและเสียหายยิ่ง เพื่อสนองตัณหาบางอย่างเพื่อพุ่งเป้าไปยังสนามบินแห่งใหม่ที่ฟู่ฟ่าล่าสุดอย่าง “สุวรรณภูมิ”

“เวลา” ผ่านมาถึงวันนี้ที่เป็นตัวตัดสิน ให้ผู้คนเขาเห็นและรู้ทันนักการเมืองบางกลุ่มบางพวกว่า การปิดสนามบินดอนเมืองขณะนั้น “มีวาระซ่อนเร้น” ที่เป็นผลประโยชน์ของใครบางคนไม่ใช่น้อย

เมื่อสนามบินดอนเมืองถูกเปิดใช้อีกครั้งในยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ปรากฏว่าแค่ 3 เดือนแรก (ตุลาฯ-ธันวาฯ 2555) ก็เห็นตัวเลขชัดทันทีว่ามีรายได้ เกือบ 800 ล้านบาท...ประเมินกันว่ารายได้ทั้งปีน่าจะประมาณ 3,000-4,000 ล้าน บาท (ยังไม่รวมธุรกิจรอบสนามบินที่คึกคักทันตาอีกต่างหาก)

นี่ขนาดอนุญาตให้สายการบินโลว์คอสต์แค่ 3 เจ้าบริการเท่านั้น แถมยังไม่เปิดใช้ในส่วนของคลังสินค้า (Cargo) ซึ่งจะทำรายได้เพิ่มอีกมาก

พูดง่ายๆ ว่า ถ้าเปิดใช้เต็มอัตราศึก รับผู้โดยสารที่ปริมาณ 15-16 ล้านคนต่อปี จะมีรายได้ครบวงจรอีกมหาศาลแค่ไหน

แต่สนามบินดอนเมืองปิด 3 ปี ต้องจ่ายค่าดูแลรักษามากกว่า 2,200 ล้านบาท เสียมูลค่าเชิงพาณิชย์ที่เกิดกับสนามบินและธุรกิจภาคเอกชนรอบๆ สนามบิน ที่มีแต่กำไร ต้องสูญหายไปอย่างน่าเขกหัว

ผมไม่ใช่นักประเมินทางธุรกิจ แต่ก็มีปากถามผู้เชี่ยวชาญบางคนได้ คำตอบคือ มันมีมูลค่าไม่น้อยกว่าปีละ 5,000 ล้านบาท ถ้าปิดสนามบิน 3 ปี เงินที่ควรได้ก็หายเป็นลมไป 15,000 ล้านบาท
ถามว่าคุณโสภณ ซารัมย์ เจ้ากระทรวงคมนาคมแห่งพรรคภูมิใจไทย อดีต ครูผู้ช่ำชองจากหนองหมาว้อ แกเคยประกาศรับผิดชอบแสดงความภูมิใจในผลงาน ชิ้นโบดำให้พรรคตนเองและประชาชนคนไทยสักกระผีกไหมเนี่ย

แล้วอดีตผู้นำอภิสิทธิ์ละครับ ไม่รับทราบ ไม่รู้ไม่ชี้แบบ “ใบ้กิน” หน้าตาเฉย กันเลยหรือ

หรือว่าเห็นแต่ความผิดพลาดของผู้นำคนอื่น ก็ขยันตอกย้ำเหลือเกินให้คน อื่นรับผิดชอบ

แต่ไม่เคยเห็นความผิดพลาด บกพร่องในฐานะผู้นำรัฐบาลของตนเองแม้แต่น้อยหรือว่าลืมอดีตหมดสิ้น สมอง “เออเร่อ” จำอะไรไม่ได้...เพราะแค่เรื่องโรงพัก ร้าง 396 แห่ง กับเรื่องความตายของคนไทย 90 กว่าศพในยุคที่ท่านเป็นนายกฯ ก็แทบกระอักโลหิตจะบ้าตายอยู่แล้ว

กรณีปิดสนามบินดอนเมือง จึงเป็นบทพิสูจน์การบริหารงานยุครัฐบาลอภิสิทธิ์อีกตัวอย่างหนึ่งที่คนไทยไม่ควรทำเป็นลืม แต่ต้องฉุกคิดทบทวนมากกว่า ว่า คนที่เป็นผู้นำนั้นต้องรับรู้ รับทราบและถือเป็นบันทึกประวัติศาสตร์ทั้งส่วนตัวและส่วนรวมตลอดไปในฐานะผู้อาสาเข้ามามีพันธสัญญากับประชาชน ทั้งแผ่นดินเป็นบทพิสูจน์ว่า มีความสามารถในเชิงการบริหารประเทศ รวมทั้งเป็นประวัติ ผลงานชั้นเยี่ยม หรือชั้นแย่แค่ไหน...โดยหยิบเอาไปเปรียบเทียบเป็นตัวชี้วัดในการ บริหารบ้านเมืองทั้งขนาดใหญ่ และระดับบริหารเมืองหรือมหานครได้อย่างเป็นรูปธรรมจะบริหารประเทศหรือบริหารเมืองเล็กเมืองใหญ่ก็ตาม เขาไม่ได้วัดกันที่ ปากเก่งปากดีอย่างเดียวหรอกครับ!

ที่มา.สยามธุรกิจ
/////////////////////////////////////

ลุงจิ๋ว..เชนคัมแบ็ก.เคลียร์ไฟใต้ !!?


กรองสถานการณ์ “ไฟใต้” ที่นับวันยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นไปทุกขณะ...เหตุการณ์ความไม่สงบนี้ เกิดขึ้นมาอย่างต่อเนื่องในพื้นที่ปัตตานี ยะลา นราธิวาส รวมไปถึง 4 อำเภอในจังหวัดสงขลา ซึ่งกอปรไปด้วย อำเภอจะนะ นาทวี เทพา และสะบ้าย้อย โดยมีเหตุความรุนแรงไปทุกหัวระแหง ทั้งเหตุลอบทำร้าย วางเพลิง วางระเบิด จนมีผู้บาดเจ็บ ล้มตายเป็นจำนวนมากถือเป็นความพยายามที่จะเปิดประตู ไปสู่ “มิคสัญญี” ของกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบ

แม้ที่ผ่านมาจะเคยมีการเคลื่อนไหวที่นำไปสู่การ “แบ่งแยกดินแดน” ในจังหวัดปัตตานีมาเป็นเวลาหลายทศวรรษ แต่ความไม่สงบในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ ได้ถูก “ขยายวง” จนเริ่มบานปลายไปสู่พื้นที่ ใกล้เคียงหลังจากปี 2547 เป็นต้นมา เกือบทุกรัฐบาลได้เล็งปรับกลยุทธ์ใหม่ และขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ไปมากมาย แต่สถานการณ์ก็ยิ่งเลวร้ายลงไปเรื่อยๆ แม้ จะเปลี่ยนตัวบุคคลที่มา “รับผิดชอบ” มาแล้วกี่คนก็ยังมิอาจคลี่คลาย ทำให้ “ฝ่ายการเมือง” เริ่มถูกถล่ม จมกระเบื้องว่า “แก้ปัญหาไม่ได้...ทำงานไม่เป็น” พอมาถึงยุคที่ “ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง” ทำหน้าที่รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง ก็พยายามเข้าไปแก้ปัญหา และ “สร้างผลงาน” ด้วยการประกาศ “เคอร์ฟิว” ในตำบลกระสุนตก “3 จังหวัดชายแดน” และ 4 อำเภอในพื้นที่สงขลา แต่ได้ถูก “กองทัพ” ท้วงติงกลับมาว่า “ทำทุกอย่าง ดีอยู่แล้ว...” และคง “ไม่จำเป็น” ต้องใช้ “เคอร์ฟิว” เข้ามาตีกรอบคนในพื้นที่ จึงเป็น “เหตุ” ที่ทำให้หลายคนชี้ไปถึง “ความไม่เป็นเอกภาพ” ของฝ่ายการเมืองและกองทัพ?!!

ที่ผ่านมาแม้ทั้ง 2 ฝ่ายจะเคยไขยุทธ ศาสตร์ “ดับไฟใต้” ร่วมกันมาแล้ว จากนโยบายเปิดเวทีสันติภาพของ “นายกฯ ปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่เล็งใช้ “ฝ่ายความมั่นคง” เป็นตัวกลางเข้าเจรจากับ “กลุ่มก่อความไม่สงบ” ที่มีเบื้องหลังยึดโยงไปถึง “ก๊วนการเมือง” ทั้งระดับชาติและท้องถิ่น... แต่ที่สุดก็คว้าน้ำเหลวอีกเช่นเคย จวบจนล่าสุด เมื่อข่าวปรับ “ครม.ปู 4” ถูกจุดขึ้นมาเป็นระลอก พลันเกิดกระแส “เปลี่ยนตัว” ผู้รับผิดชอบสายความมั่นคง ที่มี “ข่าววงใน” เขย่าออกมาว่า...“วังจันทร์ส่องหล้า” เริ่มขยับแล้ว โดยทาง “ซ้อใหญ่” แห่งอาณาจักรชินฯ เล็งยกเก้า อี้เสนาบดี...ปูนบำเหน็จให้แก่ “จิ๋วหวานเจี๊ยบ” พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตประธานที่ปรึกษาพรรคเพื่อไทย ที่เคยช่วย เคลียร์ทาง-เคลียร์ใจให้คนในครอบครัวอยู่ บ่อยครั้ง

ล็อกสเปกให้ “บิ๊กจิ๋ว” เชน..คัมแบ็ก!! เข้ามาดูแลงานด้านความมั่นคง แทนที่ “ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง” ด้วยสาเหตุที่ว่า “รัฐบาล” กำลังถูกต้อนเข้าสู่ทางตัน จากปัจจัยความล้มเหลวในการแก้ปัญหาภาคใต้ เพราะถือเป็น เรื่องที่ “อ่อนไหว” และ “เปราะบาง” อย่างยิ่ง...จนทำให้ “คนไกล” และ “เจ๊ใหญ่-เจ๊เล็ก” ที่เกาะกุมอำนาจแห่งรัฐนาวา พยายามปัดฝุ่น “คัมภีร์จิ๋ว” เอามา ใช้เป็น “โรดแมป..ดับไฟใต้” เหมือนดังเช่น “นโยบาย 66/2523” ที่เคยใช้สลาย คอมมิวนิสต์ได้ผลมาแล้ว บทบาทของ “พล.อ.ชวลิต” นั้น ได้มีการวิเคราะห์กันไปหลายทาง ทั้งการเป็น “สายเหยี่ยว” ซึ่งปฏิบัติการลับใต้ดิน หรืออยู่ในสถานการณ์หลังฉาก กับอีกบทบาทใน “สายพิราบ” ด้วยคัมภีร์แห่งการนิรโทษ กรรม ตามแบบฉบับของคำสั่งสำนักนายก รัฐมนตรีที่ 66/2523 นำมาซึ่งการวางอาวุธของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย เพื่อเข้าร่วมเป็นผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย

ทั้งนี้หาก “เอกซเรย์” ให้ถึงเนื้อในแล้ว “พล.อ.ชวลิต” ย่อมตรงสเป็กที่สุด เพราะเคยเป็นทั้งอดีตผู้บัญชาการทหารบก และอดีตนายกรัฐมนตรี เส้นทางของ “พล.อ.ชวลิต” ก่อนการยึดอำนาจ “19 กันยายน 2549” เพื่อโค่นล้มรัฐบาล “พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร” ในขณะนั้น “พล.อ.ชวลิต” ยังเดินเคียงข้าง “พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์” ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ซึ่งถูกฝ่าย “ทักษิณ” ประทับตราว่าเป็นศัตรูคู่อาฆาต แต่นับจากนั้นอีก 2 ปี เมื่อ “พรรคพลังประชาชน” ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้ง และได้กลับมาเป็นรัฐบาล “พล.อ. ชวลิต” ก็ก้าวเข้ามารับตำแหน่ง “รองนายก รัฐมนตรี” ในรัฐบาลสมชาย วงศ์สวัสดิ์ แล้วหลังหมดอายุขัย “รัฐบาลสมชาย” ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์ได้โอกาสจัดตั้ง “รัฐบาลในค่ายทหาร” โดยที่ “พรรคเพื่อไทย” ตกอยู่ในฐานะ “ฝ่ายค้านพรรคเดียว” ทาง “พล.อ.ชวลิต” ได้ตัดสินใจเดินกลับเข้ามาสู่วังวนการเมืองอีกครั้ง ด้วยการเข้าสวมเสื้อ “พรรคเพื่อไทย” ประกาศตัวสู้ใน “สงครามครั้งสุดท้าย” ..อยู่ฝ่าย “ทักษิณ” ซึ่งเท่ากับว่าต้องยืนคนละฟากฝั่งกับ “ป๋าเปรม” อย่างเต็มตัว

จากนั้นในทุกย่างก้าวของ “พล.อ. ชวลิต” ไม่ว่าจะเหยียบย่างไปที่ไหน “อดีตขงเบ้งแห่งกองทัพไทย” ก็สามารถกำหนดเกมสั่นคลอน “รัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ได้ทุกครั้ง ด้วยบารมี และสายสัมพันธ์อันแนบ แน่นกับ “กลุ่มอำนาจ” รวมถึงการเป็น “มือประสานสิบทิศ” ที่สามารถเข้าได้กับ ทุกฝ่าย โดยเฉพาะกับ “ป๋าเปรม” ที่เป็นสัญลักษณ์ของกลุ่มชนชั้นนำ ก็ย่อมจะเป็นผลดีมากกว่าสำหรับรัฐบาลชุดนี้ ยิ่งไปกว่านั้น ความสำคัญของ “รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง” ซึ่ง “พล.อ. ชวลิต” เคยทำหน้าที่มาแล้วหนหนึ่งนั้น ก็ถือได้ว่าเป็น “ห้องเครื่องใหญ่” ที่คุมความมั่นคงทางการเมืองของ “รัฐบาลปู” อีกทั้งยังเป็นเกราะกำบังกายให้ “รัฐบาล” สามารถยืนหยัดได้ท่ามกลางมรสุมรุมเร้า ซึ่งผู้ที่มาดูแลต้องเข้าใจ “ขุนทหาร” ทุกฝ่ายเป็นอย่างดีและสามารถเชื่อมโยงกับกองทัพได้ ที่สำคัญคือสายสัมพันธ์อันแนบแน่น กับ “กลุ่มก๊วนการเมือง” ที่ทรงอิทธิพลในพื้นที่ชายแดนใต้ ย่อมทำให้ภารกิจผลักดันสันติภาพหนนี้ น่าจะดำเนินไปอย่าง ราบรื่นมากขึ้น...!!!

ในอีกด้านหนึ่ง การปรับทัพใหม่โดย ดึงคนหน้าเก่าเข้ามาร่วมวง “รัฐบาลปู 4” นอกจากเป็นเชื้อไฟให้ “ฝ่ายตรงข้าม” เบี่ยงเป้ากระสุนไปตกใส่ “พล.อ.ชวลิต” แล้ว..ยังเป็นการซึมลึกแนวทางสถาปนา “เขตปกครองพิเศษ” ที่มีผู้ดูแลมาจากการ เลือกตั้งใน 3 จังหวัดไฟใต้ ซึ่งลอกแบบมาจากข้อเสนอตั้ง “นครรัฐปัตตานี” ที่ให้มีรูปแบบการปกครองแบบเมือง “ชินเกียว” ในสาธารณรัฐประชาชนจีน พร้อมดึงคนในท้องถิ่นมาร่วมแก้ปัญหา ซึ่งประเด็นนี้ได้มีการพูดกันมาตลอดทุกรัฐบาล ท่ามกลางกระแส “บิ๊กจิ๋ว..รีเทิร์น” สู่รัฐบาล “ปู 4” ได้เกิดคำถามตามมามากมาย ว่าเหตุใดต้องเป็น “พล.อ.ชวลิต” ทั้งที่ชื่อนี้ไม่ต่างจาก “สายล่อฟ้า” นั่นย่อม สะท้อนถึง “นัยสำคัญ” ทางการเมืองในเดือนเมษายนที่ “คนไกล” มองทะลุปรุ โปร่งที่ต้องใช้คนอย่าง “บิ๊กจิ๋ว” มากำกับภารกิจใหญ่หลวงนี้

ภารกิจสำคัญที่ “คนไกล” มอบหมายคือการใช้ท่อร้อยสายพันคอนเน็กชั่น ที่มีความสนิทสนมกับเหล่าหมู่มวลสหาย เพื่อเจรจาต่อรองไม่ให้เข้าร่วมกับ “ทิศทางไทย” และ “พคท.” ในการคัดค้าน 3 ภารกิจใหญ่และสกัดแผนโค่นล้ม “รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ว่ากันว่า การต่อรองระหว่าง “ผู้มากบารมีในรัฐบาล” กับ “พล.อ.ชวลิต” ได้พูดคุยกันถึง 2 ขยัก โดยขยักแรกทีมงานของ “บิ๊กจิ๋ว” ต้องเดินทางไปขึ้นเครื่อง บินที่มาเลเซีย เพื่อบินไปพบ “คนไกล” ที่สิงคโปร์ เพื่อต่อรองเงื่อนไขในการเข้าร่วม รัฐบาล ขยักที่สอง...ทีมงานคนดังกล่าวต้อง นำความจาก “คนไกล” มาต่อรองกับ “บิ๊กจิ๋ว” ว่ารอบนี้ห้ามทิ้งพาย โดดเรือหนีเหมือน รอบที่แล้วเป็นอันขาด

สรุปคือ 2 ฝ่าย เคาะกันจบเสร็จสรรพ เหลือเพียงแค่ภารกิจของ “คนไกล” ที่ต้องไปต่อรองกับ “นายกฯ ปู” ซึ่งมีฝ่าย ที่ไม่เห็นด้วยกับการมาของ “บิ๊กจิ๋ว” อย่างไรก็ดี ในเมื่อเป็นโควตา “ฝ่ายความมั่นคง” ซึ่งก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับโควตา “ก๊วนไทยคู่ฟ้า”.. จึงมีแนวโน้มเป็น ไปได้สูงว่ารอบนี้ “พี่ชาย” จะกล่อม “น้องสาว” สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี...การปรับ ครม. หลังการปรับเล็กเฉพาะ โควตาพรรคชาติไทยพัฒนา หากมีชื่อของ “พล.อ.ชวลิต”...“ขงเบ้งแห่งกองทัพไทย” เข้าร่วมทีม “เสนาบดีปู 4” ในฐานะ รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง ก็มีแนวโน้มสูงยิ่งที่จะไป “กินรวบ” ...ควบเก้าอี้ “ว่าการกลาโหม” หากกระแสคัดค้านไม่รุนแรง เช่นที่ว่านี้ “จิ๋วหวานเจี๊ยบ” พล.อ. ชวลิต ยงใจยุทธ อาจกลายเป็น “จิ๊กซอว์” ชิ้นสุดท้าย ที่มีส่วนสำคัญยิ่งต่อกระบวน- การผลักดัน “สันติภาพ” ให้ปรากฏขึ้นใน แดนมิคสัญญี ในขณะที่ “ไฟใต้” กำลังลามเลียไปทุกหัวระแหง?!!

ที่มา.สยามธุรกิจ
//////////////////////////////////////////////

วันอังคารที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

สัญญาณเสื่อม คนไทยเมินศาสนา !!?


ทั้งที่ประเทศไทยได้ชื่อว่าเป็นศูนย์กลางแห่งพุทธศาสนาที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของโลก แต่จากผลสำรวจความเห็นความเข้าใจของคนไทยต่อวันมาฆบูชาอันเป็นวันสำคัญทางพุทธศาสนาโดยสำนักวิจัยเอแบคโพลล์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญกลับสะท้อนให้เห็นสัญญาณแห่งความเสื่อมและน่าวิตกเพราะคนส่วนใหญ่ถึง 81.6% ที่ไม่ทราบถึงหลักธรรมที่พระพุทธเจ้าแสดงในวันมาฆบูชา มีเพียง 18.4% เท่านั้นที่ทราบว่าหลักธรรมสำคัญในวันมาฆบูชาก็คือโอวาทปาติโมกข์

วันมาฆบูชานั้นเป็นวันสำคัญของพุทธศาสนา โดยเกิดเหตุการณ์อัศจรรย์ 4 ประการคือเป็นวันเพ็ญเดือน 3 ที่พระสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้า 1,250 รูปมาประชุมพร้อมกันที่เวฬุวันวิหารในนครราชคฤห์โดยมิได้นัดหมาย และทุกองค์ที่มาประชุมล้วนเป็นผู้ได้
รับการอุปสมบทโดยตรงจากพระพุทธเจ้าทั้งสิ้น อีกทั้งล้วนเป็นผู้บรรลุพระอรหันต์แล้วทุกองค์ และที่สำคัญพระพุทธเจ้าได้แสดงโอวาทปาติโมกข์แก่เหล่าพระสงฆ์สาวกเป็นครั้งแรก

ยิ่งไปกว่านั้นในกลุ่มคนที่ทราบว่าหลักธรรมสำคัญในวันมาฆบูชาคือโอวาทปาติโมกข์แต่มีเพียง 38.9% เท่านั้นที่รู้ความหมายสาระของโอวาทปาติโมกข์ที่หมายถึงการทำความดี ละเว้นความชั่ว ทำจิตใจให้บริสุทธิ์ ขณะที่ส่วนใหญ่ 61.1% ไม่เข้าใจความหมายคำว่าโอวาทปาติโมกข์

ด้านผลสำรวจของนิด้าโพลล์ สถาบันบัณฑิตพัฒนาบริหารศาสตร์(นิด้า)สะท้อนแนวโน้มสถานกรณ์ที่น่าวิตกยิ่งกว่า โดยประชาชนส่วนใหญ่ร้อยละ 67.64 ไม่ทราบว่าวันมาฆบูชามีความสำคัญอย่างไร

ปรากฏการณ์ที่สะท้อนจากผลสำรวจของโพลล์ ทั้งสองสำนักชี้ให้เห็นถึงความเสื่อมของคนไทยที่นอกจากนับวันจะเหินห่างจากศาสนาและวัดแล้ว ในกลุ่มที่ยังสนใจศาสนาอยู่บ้างกลับยึดถือแต่เพียงพิธีกรรมนั่นคือเข้าวัดเวียนเทียน โดยหาเข้าใจถึงแก่นแท้หัวใจในปรัชญาหลักธรรมคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่

การที่นับวันคนไทยจะห่างเหินและไม่เข้าใจหัวใจแห่งหลักธรรมคำสอนของพุทธศาสนาก็เนื่องจากค่านิยมทางสังคมที่เปลี่ยนไปทำให้คนรุ่นใหม่ส่วนใหญ่มีความเห็นแก่ตัวมากขึ้นและยึดถือวัตถุ และถูกสิ่งเย้ายวนมอมเมาต่างๆ ดึงดูดความสนใจจนไม่สนใจหลักธรรมของพระพุทธศาสนา จึงไม่แปลกที่ผลสำรวจของโพลล์แทบจะทุกสำนักในช่วงที่ผ่านมาสะท้อนให้เห็นทัศนคติของคนรุ่นใหม่ที่ยอมรับนักการเมืองที่เก่งแต่โกง หรือยอมรับแม้แต่การที่นักการเมืองโกงบ้านกินเมืองแล้วนำเงินทุจริตมาแบ่งปันคืนให้สังคมบ้าง

นอกจากการที่คนรุ่นใหม่ไม่สนใจหลักพุทธศาสนาหรือแม้แต่การเข้าวัดก็เพราะขาดการปลูกฝังรณรงค์อย่างจริงจังและการทำตัวเป็นแบบอย่างให้เยาวชนหันมาสนใจพุทธศาสนาทั้งจากภาครัฐ บุคคลสาธารณะที่เป็นผู้นำของสังคม รวมทั้งครอบครัว ซ้ำร้ายไปกว่านั้นแม้แต่พระสงฆ์โดยเฉพาะพระเถระชั้นผู้ใหญ่บางรูปยังประพฤติตัวไม่เหมาะสมทำให้ประชาชนโดยเฉพาะในหมู่เยาวชนยิ่งเสื่อมศรัทธาไม่สนใจพระพุทธศาสนามากยิ่งขึ้น

นอกจากนี้ด้วยวิถีชีวิตของสังคมยุคใหม่ที่ทุกคนต่างต้องเร่งรีบแข่งกับเวลาในการหาเลี้ยงชีพแบบปากกัดตีนถีบ มือใครยาวสาวได้สาวเอาโดยมุ่งเพื่อวัตถุนิยมเป็นสำคัญซึ่งเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้นับวันคนไทยจะเหินห่างจากพระพุทธศาสนาและวัดออกไปทุกที เนื่องจากเวลาส่วนใหญ่ของแต่ละวันหมดไปกับการทำงานที่เผชิญปัญหาเคร่งเครียดมากมายในแต่ละวันทั้งการเร่งรีบ การจราจรที่ติดขัด และความเครียดจากการทำงาน และเมื่อกลับถึงบ้านก็หมดเรี่ยวแรงที่จะมานั่งตั้งสติทบทวนตัวเองหรือศึกษาเรื่องศาสนา

แนวโน้มสถานการณ์ที่คนไทยห่างเหินจากพระพุทธศาสนาจึงถือเป็นสัญญาณที่น่าวิตกเพราะการที่สังคมโลกหรือสังคมไทยตึงเครียด ปั่นป่วน วุ่นวายทั้งในอดีต ปัจจุบัน และยังจะเกิดขึ้นในอนาคตก็เนื่องจากไม่ปฏิบัติตามปรัชญาของพระพุทธศาสนา ซึ่งในทางตรงกันข้ามหากมนุษยชาติหรือคนไทยปฏิบัติตามหลักธรรมคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วแน่นอนว่า โลกและประเทศไทยจะอยู่เย็นเป็นสุขสงบสันติและเจริญรุ่งเรือง ไม่ปั่นป่วนตึงเครียดขัดแย้งอย่างที่เห็นกันอยู่ในทุกวันนี้

ที่่มา.นสพ.แนวหน้า
//////////////////////////////////////////

นายกฯ ให้ความเชื่อมั่นผู้ประกอบการท่องเที่ยวฮ่องกง เน้นพัฒนาเส้นทางคมนาคม.


ณ โรงแรม Island Shangri-La ฮ่องกง คณะผู้แทนระดับสูงของบริษัทท่องเที่ยวฮ่องกง เข้าเยี่ยมคารวะและหารือกับนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เพื่อแลกเปลี่ยความคิดเห็นและแนวทางการส่งเสริมการท่องเที่ยวไทยและฮ่องกง สรุปสาระสำคัญดังนี้

นายกรัฐมนตรีกล่าวขอบคุณบทบาทสำคัญของบริษัทท่องเที่ยวฮ่องกง ที่มีบทบาทสำคัญในฐานะพันธมิตรที่ช่วยส่งเสริมอุตสาหกรรมท่องเที่ยว พร้อมทั้งขอขอบคุณ สมาพันธ์อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวฮ่องกง ที่ให้ความเชื่อมั่นต่อนักเดินทางในการเดินทางไปประเทศไทย ปัจจุบัน รัฐบาลมีการส่งเสริมและพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวในประเทศไทยใหม่ๆให้มีความหลากหลาย ทั้งแหล่งช็อปปิ้ง ธรรมชาติ ศิลปวัฒนธรรม รวมทั้งขณะนี้ ไทยกำลังพัฒนาเส้นทางคมนาคม การขยายสนามบิน เพื่อเป็นศูนย์กลางการเชื่อมโยงในประเทศ และประเทศเพื่อนบ้าน ไปจนถึงภูมิภาค ซึ่งการพัฒนาเส้นทางต่างๆ จะช่วยเพิ่มศักยภาพรองรับการท่องเที่ยวให้มีการเดินทางที่สะดวก มีทางเลือกในการเดินทางไม่ว่าจะเป็นรถไฟ หรือทางอากาศ รวมทั้งการนำไปสู่สถานที่ท่องเที่ยวใหม่ๆ

นอกจากนี้ ไทยกำลังพัฒนาการท่องเที่ยวในเชิง Medial Tourism ซึ่งไทยจะเป็น Medical Hub ของภูมิภาค ทั้งนี้ นักท่องเที่ยวที่เดินทางมาประเทศไทย รัฐบาลได้ให้ความสำคัญเรื่องการดูแลรักษาความปลอดภัย เพื่อสร้างความมั่นใจในการท่องเที่ยวในประเทศไทยด้วย รวมทั้ง จะร่วมมือกับสมาพันธ์อุตสาหกรรมท่องเที่ยวฮ่องกงในลักษณะ Strategic Partnership ต่อไป ในโอกาสนี้ ผู้ประกอบการท่องเที่ยวฮ่องกงได้แสดงความเชื่อมั่นในการส่เงสริมการท่องเที่ยวในประเทศไทย ที่มีความพร้อมและความสะดวก อีกทั้ง ไทยถือเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมของฮ่องกง และหากไทยพัฒนาเส้นทางการเดินทางให้กว้างขวางและหลากหลาย ตามที่ไทยวางแผนไว้ ก็จะยิ่งช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยวได้มากยิ่งขึ้น

ที่มา.มติชนออนไลน์
//////////////////////////////////////

วันจันทร์ที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

สรรพสามิตมึนรีดภาษีน้ำมันวืดเป้า เหตุคนใช้รถแห่เติมเอ็นจีวี-แอลพีจี !!?


นายสมชาย พูลสวัสดิ์  อธิบดีกรมสรรพสามิต เปิดเผยว่ากรมฯกำลังติดตามการจัดเก็บภาษีน้ำมันอย่างใกล้ชิด เนื่องจากต่ำกว่าประมาณการค่อนข้างมาก โดยในช่วง 4 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2556 พบว่าจัดเก็บภาษีน้ำมันได้ 21,406.58 ล้านบาท ต่ำกว่าประมาณการ 4,604.66 ล้านบาท คิดเป็น -17.70% จากที่คาดไว้คือ 26,011.24 ล้านบาท ส่วนในเดือนมกราคม2556 ภาษีน้ำมันจัดเก็บได้ 5,856 ล้านบาท ต่ำกว่าประมาณการ 1,046 ล้านบาท คิดเป็น 15.2%

การจัดเก็บภาษีน้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมันได้ต่ำกว่าประมาณการเนื่องจากมีการใช้ก๊าซธรรมชาติ (เอ็นจีวี) และก๊าซหุงต้ม(แอลพีจี) ทดแทนเบนซินเพิ่มมาก อีกทั้งรถรุ่นใหม่ๆ ที่ออกมามีการติดตั้งเอ็นจีวีออกมาจากบริษัทเลย เห็นได้ขณะนี้สัดส่วนการใช้เอ็นจีวีเพิ่มขึ้นจากเมื่อช่วง 6 เดือนแรกของปี 2555 เฉลี่ยเดือนละ 200 ล้านกิโลกรัม แต่ในช่วง 6 เดือนหลัง ปี 2555 เพิ่มขึ้นประมาณเดือนละ 30 ล้านกิโลกรัม เป็น 230 ล้านกิโลกรัม

สำหรับภาษีน้ำมันที่ประมาณการไว้ไม่ได้รวมภาษีดีเซลที่ขณะนี้ลดให้เหลือ 0.005 บาท/ลิตร จากเดิมที่เคยเก็บอยู่ 5.31 บาท/ลิตร การลดภาษีน้ำมันดีเซลทำให้กรมฯต้องสูญเสียรายได้เดือนละกว่า 9,000 ล้านบาทซึ่งต่ออายุการลดภาษีน้ำมันเป็นรายเดือนมานานเกือบ 2 ปีแล้วตั้งแต่วันที่ 21 เมษายน 2554 ขณะนี้ยังไม่สามารถบอกได้ว่าจะเก็บคืนภาษีดีเซลเมื่อไหร่ เพราะเป็นการตัดสินใจของระดับนโยบาย

“ยอมรับว่าในช่วงน้ำมันแพงโดยเฉพาะเบนซินและแก๊สโซฮอล์ 95 ที่มีราคากว่า 40 บาท/ลิตร ทำให้รถยนต์หันไปใช้ก๊าซฯ มากขึ้น แม้ว่าการจัดเก็บภาษีน้ำมันต่ำกว่าเป้าหมายแต่เชื่อว่าตลอดทั้งปียังสามารถจัดเก็บภาษีเป็นไปตามเป้าหมาย 4.12 แสนล้านบาท”นายสมชายกล่าว

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าการจัดเก็บภาษีจากน้ำมันไม่เป็นไปตามเป้าหมาย แต่ในภาพรวมการจัดเก็บภาษีของกรมฯยังสูงกว่าประมาณการ  โดยในช่วง 4 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2556 จัดเก็บรายได้รวม 157,046 ล้านบาท สูงกว่าเป้าหมาย 21,169 ล้านบาท หรือ 15.6% และ สูงกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้ว 41.4%

การจัดเก็บภาษีที่สูงขึ้นเป็นผลดีมาจากโครงการรถยนต์คันแรกที่ทำให้ภาษีสรรพสามิตรถยนต์จัดเก็บได้สูงถึง 60,898 ล้านบาท สูงกว่าเป้าหมาย 20,175 ล้านบาท หรือ 49.5% และสูงกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้ว 163.2%  ส่วนภาษียาสูบและภาษีเบียร์จัดเก็บได้รวมกัน 47,500 ล้านบาท สูงกว่าเป้าหมาย 6,400 ล้านบาท ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการปรับเพิ่มอัตราภาษีสรรพสามิตยาสูบและสุราเมื่อเดือนสิงหาคม 2555

ที่มา.นสพ.แนวหน้า
////////////////////////////////////////

ส.ว.ชี้โรงพักฉาว ส่อซ้ำรอย โฮปเวลล์ เหตุหาทางออกส่งมอบพื้นที่คืนไม่คืบ !!?


กมธ.การยุติธรรมและตำรวจ วุฒิฯ ชี้ปมโครงการโรงพักฉาว มีการตั้งโต๊ะขายช่วงต่อ ส่อมหากาพย์คล้ายโครงการโฮปเวลล์ เหตุไม่รู้ว่าจะบังคับส่งมอบพื้นที่คืนอย่างไร ชี้คนแก้สัญญาต้องรับผิดชอบ
     
  พล.ต.ท.สมยศ ดีมาก ส.ว.สรรหา เลขานุการคณะกรรมาธิการการยุติธรรมและการตำรวจ วุฒิสภา กล่าวว่าตามที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ระบุว่า บริษัท พีซีซี ดีเวลลอปเมนท์ แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด เข้าข่ายมีเจตนาฉ้อโกง โครงการจัดสร้างสถานีตำรวจทดแทนและอาคารที่พักอาศัย (แฟลตตำรวจ) 396 แห่ง ว่า การตรวจสอบของคณะอนุกรรมาธิการพัฒนากิจการตำรวจไม่ได้ชี้ว่าใครผิดใครถูก แต่จากการตรวจสอบและรวบรวมข้อมูลมีความชัดเจนว่าการขายช่วงต่อเป็นการทำขัดสัญญากับทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) มีการตั้งโต๊ะขายช่วงต่อ อย่างโครงการโรงพักขนาดใหญ่ราคากลางอยู่ที่ 27 ล้านบาท แต่จ่ายให้บริษัทรับจ้างช่วงต่อ 20 ล้านบาท ขณะนี้โรงพักขนาดกลางและขนาดเล็กก็ลดหลั่นกันลงไป ซึ่งเรื่องนี้คงต่อสู้กันอีกนาน แต่ความเสียหายและเดือดร้อนได้เกิดขึ้นแล้วกับตำรวจทั่วประเทศ
     
 พล.ต.ท.สมยศ กล่าวต่อว่า ตนหวั่นว่ากรณีนี้จะกลายเป็นมหากาพย์การโกงแบบโฮปเวลล์อีกกรณีหนึ่ง เพราะยังไม่แน่ใจว่าถึงจะยกเลิกโครงการไปแล้ว จะบังคับคดีให้เขาส่งมอบพื้นที่เพื่อดำเนินการก่อสร้างให้เสร็จได้อย่างไร เพราะจนถึงขณะนี้มี 118 แห่งที่ยังไม่ได้เริ่มทำอะไรเลย ขณะที่อีก 200 กว่าแห่งก็ยังสร้างไม่เสร็จ กรณีดังกล่าวถึงแม้จะพาดพิงไปถึงอดีต ผบ.ตร.หลายคน แต่คนที่ต้องรับผิดชอบโดยตรงคือคนที่ไปเปลี่ยนแปลงแก้ไขสัญญา ข้ออ้างที่ว่าช่วยประหยัดงบหลวงได้ 800 ล้านบาท มันฟังไม่ขึ้น เพราะถึงวันนี้ความเสียหายมันปรากฏชัดเจนแล้ว ซึ่งได้ข่าวว่าขณะนี้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เริ่มขยับโดยเตรียมตั้งอนุกรรมการตรวจสอบเรื่องนี้แล้ว เพราะกรณีดังกล่าวสร้างความเสียหายทั่วประเทศ

ที่มา.ผู้จัดการ
----------------------------------------------------

ความมั่นคง ทางด้านพลังงานไฟฟ้า !!?


คอลัมน์ : คนเดินตรอก โดย. วีรพงษ์ รามางกูร

ข่าว ที่ท่านรัฐมนตรีพลังงานเรียกทุกหน่วยงานมาหารือเรื่องไฟฟ้าจะดับในเดือน เมษายน โดยให้ทุกหน่วยผลิตไฟฟ้าทั้งน้ำมันเตา และน้ำมันดีเซลเตรียมพร้อม ให้ยืดอายุการใช้งานของโรงไฟฟ้าบางปะกง พระนครใต้ วังน้อย พร้อมเพิ่มกำลังผลิตไฟฟ้าเขื่อนน้ำงึม 2 และเขื่อนน้ำเทิน 2 ใน สปป.ลาว

สาเหตุ สำคัญมาจากข่าวที่ว่า พม่าแจ้งการหยุดส่งก๊าซธรรมชาติจากแหล่งยาดานา ระหว่างวันที่ 4-12 เมษายนนี้ เนื่องจากต้องหยุดซ่อมบำรุงเพราะเกิดการทรุดตัวของแท่นขุดเจาะ ซึ่งจะเป็น

ผล ให้ก๊าซธรรมชาติหายไปวันละ 1,100 ล้าน ลบ.ฟุต คิดเป็นกำลังผลิต 6,000 เมกะวัตต์ โดยก๊าซที่หายไปจะส่งผลกระทบต่อโรงไฟฟ้าในฝั่งตะวันตกของไทยทั้งหมด ได้แก่ โรงไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) โรงไฟฟ้าราชบุรีเพาเวอร์ จำกัด และโรงไฟฟ้าบริษัท ไตร เอนเนอร์ยี่ จำกัด และโรงไฟฟ้าอื่น ๆ

ข่าวดังกล่าวก่อให้เกิดความกังวลเป็นอย่างมาก เพราะถ้าเกิดเรื่องดังกล่าวขึ้น

จริง ๆ คงจะก่อให้เกิดความโกลาหลเสียหายแก่เศรษฐกิจของเราอย่างมาก เพราะอุปกรณ์เครื่องมือเครื่องใช้ในอุตสาหกรรมโรงงานต่าง ๆ จะต้องหยุด หรือไม่เช่นนั้น บรรดาโรงงานอุตสาหกรรมต่าง ๆ ก็คงต้องเตรียม

การตรวจตราเครื่องกำเนิดไฟฟ้าสำรองให้อยู่ในสภาพที่ใช้งานได้ หรือถ้าโรงงาน โรงแรม หรือหน่วยธุรกิจใดที่ยังไม่มีเครื่องกำเนิดไฟฟ้าสำรอง ก็ต้องลงทุนติดตั้งเครื่องผลิตไฟฟ้าสำรอง หากเกิดปัญหาเช่นว่านั้นจริง

ข่าว เช่นว่านี้ไม่ใช่ไม่เคยเกิดขึ้น จำได้ว่า 2 ปีก่อนก็เคยมีข่าวเรื่องพม่าไม่สามารถส่งก๊าซธรรมชาติให้ได้ เพราะมีปัญหาเรื่องต้องซ่อมท่อก๊าซธรรมชาติ ซึ่งพอดีเป็นช่วงที่โรงไฟฟ้าจากเขื่อนน้ำงึม 2 สร้างเสร็จพอดี แล้วข่าวก็เงียบหายไป

การเจรจากับพม่าให้เลื่อนการหยุดส่งก๊าซเพื่อ ซ่อมบำรุงฐานขุดเจาะยาดานา เพื่อให้เลื่อนไปทำการซ่อมในวันที่การใช้ไฟฟ้าของเราไม่อยู่ในช่วงการใช้ไฟ สูงจะเป็นผลสำเร็จหรือไม่ ก็คงจะเป็นอีกเรื่องหนึ่ง เพราะพม่าก็แจ้งมาว่า หากจะเลื่อนกำหนดการซ่อมบำรุง ทางเขาก็จะกระทบกระเทือนหลายเรื่อง ซึ่งอาจจะเป็นเรื่องทางเทคนิคที่เขาเลื่อนไม่ได้

ความมั่นคงทางด้าน พลังงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งความมั่นคงในเรื่องไฟฟ้า นับวันจะเป็นเรื่องใหญ่สำหรับประเทศที่มีระดับการพัฒนาสูงขึ้น โดยเฉพาะประเทศอย่างประเทศของเรา

ดู ๆ ไปแล้ว โครงสร้างของอุตสาหกรรมไฟฟ้าซึ่งน่าจะเป็นอุตสาหกรรมที่ใหญ่ที่สุดของเราน่า จะเป็นโครงสร้างที่เปราะบาง เข้าใจว่าระบบไฟฟ้าของเราต้องพึ่งพาก๊าซธรรมชาติจากแหล่งในอ่าวไทยกับแหล่ง ในอ่าวเมาะตะมะในประเทศพม่าถึงร้อยละ 70 แม้ว่าจะเป็นก๊าซจากแหล่งอ่าวไทยเป็นส่วนใหญ่ จากแหล่งในประเทศพม่าเป็นส่วนน้อยก็ตาม

นอกจากนั้น ตามที่ติดตามข่าว ก๊าซธรรมชาติจากแหล่งอ่าวไทยจะค่อย ๆ หมดลงในอีก 10 ปีข้างหน้า ไม่แน่ใจว่าการจะร่วมมือกับกัมพูชาในพื้นที่ที่จะพัฒนาการขุดเจาะก๊าซ ธรรมชาติร่วมกันอย่างที่เราเคยทำกับประเทศมาเลเซีย

ที่จะมีพื้นที่ พัฒนาร่วมกัน หรือที่เรียกว่า Joint Development Area หรือ JDA จะทำได้หรือไม่ เพราะปัญหาการเมืองในประเทศของเราไม่เอื้ออำนวย

ขณะ เดียวกัน โครงการพัฒนาระบบการขนส่งทางบกของเรา ไม่ว่าจะเป็นระบบขนส่งทางราง เช่น รถไฟความเร็วสูง หรือระบบรถไฟรางคู่ การขยายท่าเรือน้ำลึก การยกระดับระบบการขนส่งทางบก ทางอากาศ ทางน้ำ ล้วนแต่เป็นโครงการที่จะต้องใช้ไฟฟ้าในปริมาณที่มากขึ้นอย่างมหาศาลในอนาคต

การ ที่จะต้องเร่งพัฒนาแหล่งผลิตไฟฟ้าให้ทันกับความต้องการของประเทศก็ยิ่งมี ความจำเป็นมากขึ้นเท่านั้น แต่การจะพัฒนาแหล่งผลิตไฟฟ้าภายในประเทศก็มีข้อจำกัดหลายอย่าง เป็นต้นว่า การลงทุนสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ ก็คงจะเป็นไปไม่ได้ ใครขืนยกขึ้นมาในตอนนี้ก็คงจะถูกต่อต้านอย่างรุนแรง การจะคิดสร้างโรงไฟฟ้าโดยใช้ถ่านหิน ซึ่งน่าจะเป็นเชื้อเพลิงที่ถูกที่สุดรองลงมาจากการใช้

เชื้อเพลิงนิวเคลียร์ก็คงจะถูกต่อต้าน

ทั้ง ๆ ที่ปัจจุบันเทคโนโลยีในเรื่องการขจัดมลภาวะจากการผลิตไฟฟ้าด้วย ถ่านหินก็ก้าวหน้าไปมากจนเกือบจะไม่มีปัญหาแล้ว

แหล่ง ที่จะสร้างเขื่อนเพื่อผลิตไฟฟ้าภายในประเทศก็หมดแล้ว ถ้าจะมีเหลือก็คงมีปัญหาเรื่องการอพยพโยกย้ายผู้คนซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เสียแล้ว ตกลงการที่จะตั้งโรงงานผลิตไฟฟ้าในประเทศไม่ว่าจะ

ใช้เชื้อเพลิงอะไรผลิตอย่างเป็นเรื่องเป็นราวก็คงจะเป็นไปได้ยาก หรือเป็นไปไม่ได้แล้ว

จะ มีเหลือก็คือไปลงทุนหาแหล่งผลิตไฟฟ้าในประเทศเพื่อนบ้าน แล้วส่งไฟฟ้าเข้ามาขายให้ประเทศไทย ประเทศที่มีศักยภาพที่จะเป็นแหล่งผลิตไฟฟ้าทั้งจากพลังน้ำ หรือเป็นที่ตั้งสำหรับโรงไฟฟ้า

ขนาดใหญ่ ใช้เชื้อเพลิงอย่างอื่น เช่น ถ่านหิน ก๊าซธรรมชาติ หรือแม้แต่นิวเคลียร์ ก็เห็นจะมีอยู่เพียง 2-3 ประเทศ คือ พม่า ลาว และจีน ส่วนเวียดนามก็มีไฟฟ้ายัง

ไม่พอใช้ มีโครงการลงทุนจากพลังน้ำ

ใน ลาว และส่งไปขายในเวียดนาม กัมพูชาก็เช่นเดียวกัน ก็ต้องซื้อไฟฟ้าจากโครงการผลิตไฟฟ้าในลาว คงไม่มีศักยภาพเพียงพอที่จะผลิตไฟฟ้าส่งเข้ามาขายให้ประเทศไทย มาเลเซียก็เช่นเดียวกัน แหล่งผลิตน้ำมันของมาเลเซียก็อยู่บนเกาะบอร์เนียวเก่าซึ่งก็อยู่ไกล

โครงการสนับสนุนให้เอกชนผลิตไฟฟ้าขนาดเล็กทั่วไป ก็คงจะไม่เพียงพอกับความต้องการใช้ไฟฟ้าที่จะเพิ่มขึ้นตามการพัฒนาประเทศในระยะต่อไป

ปัญหา เรื่องความมั่นคงทางด้านพลังงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องของแหล่งผลิตไฟฟ้า จึงเป็นเรื่องที่เราจะต้องให้ความสนใจให้มากขึ้นกว่านี้อีกมาก

การให้การศึกษาและข้อเท็จจริงอย่างตรงไปตรงมากับประชาชนก็น่าจะเป็น

สิ่ง จำเป็น ถ้าจะรอจนกระทั่งมีโครงการที่จะลงทุน โดยกำหนดสถานที่แล้วจึงเริ่มให้การศึกษาแก่ประชาชนอาจจะไม่ทันการณ์ และดูจะเป็นการลำเอียงไปในทางใดทางหนึ่ง

สิ่งที่สำคัญคือ ข้อกล่าวหาถึงผลเสีย

ทาง สภาพแวดล้อมก็ดี ทางนิเวศวิทยาก็ดี ทางสังคมก็ดี โครงการต่าง ๆ ที่ทำมาแล้วที่ได้รับการต่อต้าน เมื่อมีข้อเท็จจริงปรากฏว่าความจริงเป็นอย่างไร ถ้ามีผลเสียหายก็ได้แก้ไขเยียวยาอย่างไรบ้าง ภาครัฐก็จะได้เผยแพร่ให้เป็นที่ประจักษ์ว่าข้อเท็จจริงต่าง ๆ เป็นอย่างไร เหตุใดประเทศ

ต่าง ๆ ที่ควรใช้ไฟฟ้าต่อหัวสูงกว่าของเราเป็นจำนวนมาก เขาจึงยังสามารถผลิตไฟฟ้าสนองความต้องการของผู้ใช้ไฟฟ้าทั้งที่เป็นครัว เรือน อุตสาหกรรม โรงงาน

ได้อย่างปลอดภัย

เทคโนโลยีในด้าน การผลิตไฟฟ้า เทคโนโลยีในด้านการป้องกันและการกำจัดมลภาวะได้ก้าวหน้าไปถึงไหนแล้ว ก็น่าจะต้องตั้งงบประมาณจากการไฟฟ้าฝ่ายผลิตและการไฟฟ้าอื่น ๆ รวมถึงระบบมาตรฐานและการตรวจตราระหว่างประเทศที่เข้ามา

มีส่วนในการ ตรวจสอบควบคุมในเรื่องสิ่งแวดล้อม การป้องกันและขจัดมลภาวะระหว่างประเทศในเรื่องสิ่งแวดล้อม การป้องกันและขจัดมลภาวะระหว่างประเทศซึ่งมีความเข้มแข็งขึ้นตามลำดับก็น่า จะต้องเผยแพร่ให้มากกว่านี้ มิฉะนั้นความตื่นกลัวก็เป็นสิ่งที่จะแก้ไขได้ยาก

ประเด็นสำคัญอีก ประเด็นหนึ่งที่ฝ่ายต่อต้านยกขึ้นมาโจมตีอยู่เสมอก็คือ ไม่เชื่อมั่น และไม่ไว้วางใจในรัฐบาลและระบบราชการของตน ว่าจะมีประสิทธิภาพในการตรวจตราควบคุมให้ได้มาตรฐานทัดเทียมกับระบบสากล การบังคับใช้กฎหมายที่เคร่งครัดและตรงไปตรงมา

รวมทั้งระบบยุติธรรม ว่าจะมีประสิทธิภาพมากพอที่จะทำให้เกิดความอุ่นใจให้กับประชาชนได้ว่าจะไม่ เกิดปัญหาในเรื่องสุขภาพ สิ่งแวดล้อม และอื่น ๆ ได้

เมื่อเกิดปัญหาความเสียหายในด้าน

สิ่งแวดล้อม เรื่องการขจัดมลภาวะ ก็ต้องมีการบังคับใช้กฎหมายอย่างตรงไปตรงมา ไม่ปล่อยให้หายไปในอากาศและสายลม

ซึ่งจะเป็นการทำลายความเชื่อมั่นและความเชื่อถือของประชาชน

ในส่วนของผู้ต่อต้านเอง บางครั้งหรือหลายครั้งข้อมูลความคิดเห็นก็อาจจะไม่ค่อยตรงกับข้อเท็จจริง สร้างความ

ตื่น กลัวให้กับผู้คนเกินความเป็นจริง ก็เป็นหน้าที่ของภาครัฐบาลต้องให้ข้อเท็จจริงที่ถูกต้องต่อสาธารณชนทันที แต่ถ้าหากประชาชนมีความรู้พื้นฐานอยู่แล้ว เพราะการให้การศึกษาและการสร้างความเชื่อมั่นกับประชาชนมีเป็นพื้นฐานอยู่ แล้ว ปัญหาก็คงจะเบาบางลง

ปัญหาเรื่องการพัฒนาประเทศ ในด้านการพัฒนาระบบการขนส่ง ระบบการเงิน ระบบความคิด ก็พอจะมองเห็นทางออกทั้งในระยะสั้น ระยะปานกลาง และระยะยาว แต่มองไปทางการสร้างความมั่นคงทางพลังงานโดยเฉพาะเรื่องไฟฟ้า ซึ่งไม่ใช่ปัญหาทางเทคโนโลยี เรื่องเทคนิค วิศวกรรม ต้นทุนทางเศรษฐกิจและสังคมเท่านั้น แต่เป็นเรื่องที่สลับซับซ้อน เป็นเรื่องทางจิตวิทยามวลชน การแก้ปัญหาจึงเป็นเรื่องที่ไม่ง่าย และมักจะสายเกินไป เช่น คนเชื่อแล้วว่ามี "ผี" จะไปอธิบายให้ตายว่าผีไม่มีในโลกก็คงไม่มีใครเชื่อ

ในระยะข้างหน้าอย่างน้อยภายใน 5-10 ปีข้างหน้า มองไปแล้วการลงทุนก่อสร้างโรงไฟฟ้าในประเทศ การจะกระจายความเสี่ยง

ใน เรื่องเชื้อเพลิงที่จะใช้ในการผลิตไฟฟ้าก็คงจะเป็นเรื่องที่ยาก นักวางแผนการพัฒนาแหล่งผลิตไฟฟ้าก็คงต้องศึกษาหาทางเลือกอื่น ๆ ให้มากขึ้นว่าจะทำอย่างไร

ทางออกที่เห็นจะมีอยู่ทางเดียว คือ ต้องแสวงหาความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านที่ยังมีศักยภาพในการผลิตไฟฟ้าสูง แต่ยังมีความต้องการใช้ไฟฟ้าไม่มากพอที่จะลงทุนในโครงการผลิตไฟฟ้าขนาดใหญ่ เพราะตลาดเล็กเกินไป พร้อมกับการขาดแคลนเงินทุนจำนวนมาก ในขณะที่ประเทศไทยมีความต้องการสูง ความต้องการขยายตัวเร็ว ขณะเดียวกันก็มีเงินทุนเพียงพอที่จะลงทุนในประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งวิสัยทัศน์

เช่น ว่าน่าจะเป็นที่ยอมรับได้สำหรับประเทศเพื่อนบ้านของเรา เพราะจะเป็นหนทางที่จะเป็นประโยชน์ร่วมกันทั้งสองฝ่าย พร้อม ๆ กับการแบ่งประโยชน์อย่างเป็นธรรม

ทางออกในขณะนี้ก็เห็นมีเพียงเท่านี้

ที่มา:ประชาชาติธุรกิจ
////////////////////////////////////////