--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันอาทิตย์ที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ธปท.ต้องรีบดำเนินคดีกับมหาโจรเสื้อสูท !!?


เป็นที่ทราบกันทั่วไปในบ้านเมืองของเราในบัดนี้แล้วว่า มีธนาคารของรัฐอย่างน้อยสองแห่งที่มีฐานะดำเนินการอยู่ในขั้นวิกฤต ซึ่งถ้าหากเป็นกิจการของเอกชน ก็เป็นที่แน่นอนว่าฐานะการดำเนินงานอยู่ในขั้นที่ต้องถูกควบคุมตามกฎหมายแล้ว

                การควบคุมกิจการธนาคารหรือสถาบันการเงินคือ แบบอย่างที่เคยเกิดขึ้นให้เห็นมาแล้วเมื่อครั้งเกิดวิกฤตทางการเงินในปี 2540 นั่นคือ การหยุดหรือปิดกิจการ การตรวจสอบความเสียหาย การดำเนินคดีอย่างเฉียบขาดกับมหาโจรเสื้อสูท ที่ปล้นสะดมสินทรัพย์ของสถาบันการเงินนั้นๆ ไปดำเนินคดี ซึ่งมีบทปฏิบัติถึงขั้นริบทรัพย์ จำคุก และห้ามเดินทางออกนอกประเทศ เป็นต้น

                แต่เมื่อเป็นธนาคารของรัฐก็ย่อมมีอภิสิทธิ์อยู่บ้าง แต่ถึงกระนั้นทางการก็ได้ส่งเจ้าหน้าที่เข้าไปควบคุมการดำเนินงานของธนาคารรัฐทั้งสองแห่งนี้แล้ว และกำหนดกรอบเวลาในการฟื้นฟูให้แล้วเสร็จภายใน 90 วัน หรือประมาณ 3 เดือนจากนี้ไป  โดยที่ยังไม่อาจคาดเดาผลข้างหน้าได้ว่าจะออกรูปใด

                ธนาคารรัฐทั้งสองแห่งนี้ ปล่อยสินเชื่อหรือให้กู้ยืมเป็นเงินรวมกันประมาณ 160,000 ล้านบาท และตัวเลขที่มีการแถลงว่าเงินที่ปล่อยกู้เหล่านี้ได้กลายเป็นหนี้เสีย หนี้สูญ หรือที่เรียกเป็นภาษานักบัญชีว่าทรัพย์สินที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หรือสินทรัพย์จัดชั้นต้องสำรองหนี้สูญเป็นจำนวนถึง 76,000 ล้านบาท

                ในขณะที่มีข่าวซุบซิบกระเซ็นกระสายให้ได้ยินว่าในจำนวนเงินปล่อยกู้ 160,000 ล้านบาทนั้น อาจจะมีหนี้เสีย หนี้สูญ ถึง 120,000 ล้านบาท

                และไม่ว่าจะเป็นหนี้เสีย หนี้สูญ แค่ 76,000 ล้านบาท หรือ 120,000 ล้านบาท มันก็เป็นหนี้จำนวนมหาศาล และทำให้ฐานะการดำเนินงานตกอยู่ในสภาพที่เรียกว่าเจ๊งแล้ว แต่ที่ยังไม่ประกาศการเจ๊งอย่างเป็นทางการก็เพราะอาศัยอำนาจรัฐ อาศัยอำนาจนักการเมืองคุ้มครองป้องกันช่วยเหลือกันอยู่

                หนี้เสีย หนี้สูญ เหล่านี้ชัดเจนเหลือเกินว่าไม่ได้เกิดจากพี่น้องประชาชนคนยากคนจนหรือชนชั้นกลาง แต่เป็นของนักการเมือง ลิ่วล้อบริวารของนักการเมือง ที่ส่งคนเข้ามาเป็นผู้บริหารธนาคารรัฐทั้งสองแห่งนี้ และปลุกเสกให้ลิ่วล้อบริวารหรือพวกผีโม่แป้งมาขอกู้เงินเอาไปจากธนาคาร โดยมิได้เอาไปดำเนินงานทางธุรกิจแต่ประการใด

                คือกู้แล้วก็ไม่มีการใช้หนี้ทั้งเงินต้นและดอกเบี้ย จัดเป็นกระบวนท่ากู้แล้วโกงอย่างหนึ่ง คือกู้เงินจากธนาคารของรัฐ แล้วโกงธนาคารของรัฐ ไม่ใช้หนี้ เอาเงินกู้ไปจับจ่ายใช้สอยส่วนตัว นับเป็นการปล้นสะดมโดยคนเสื้อสูทที่สร้างความเสียหายร้ายแรงแก่บ้านเมือง

                เป็นวิชาเดียวกันกับการกู้แล้วโกงระดับชาติ คือเอาฐานะของประเทศไปกู้หนี้ยืมสินมาจับจ่ายใช้สอย แล้วฉ้อฉลคอร์รัปชั่นเงินที่กู้มานั้นระหว่าง 30-50% โดยโยนภาระชำระหนี้ให้เป็นของประเทศชาติและประชาชน

                ดังนั้นการกู้แล้วโกงทั้งที่ใช้ในธนาคารรัฐทั้งสองแห่ง และที่ใช้ในวงการเมืองระดับชาติจึงเป็นการปล้นประเทศชาติ ปล้นประชาชนที่ให้อภัยไม่ได้ และเป็นภารกิจของลูกไทยหลานไทยทั้งปวงจะต้องติดตามยึดทรัพย์กลับคืนแผ่นดินให้ได้ในสักวันหนึ่ง

                แม้ว่าการกู้แล้วโกงที่เกิดขึ้นนั้น เป็นการเกิดขึ้นในธนาคารของรัฐ แต่มิได้หมายความว่าเมื่อเป็นธนาคารของรัฐแล้วจะไม่มีใครรับผิดชอบในการกำกับควบคุมตรวจสอบ หรือเมื่อเป็นธนาคารของรัฐแล้วจะสามารถโกงกันได้ตามอำเภอใจ

                ก็ต้องประกาศให้ดังลั่นสนั่นประเทศว่าผู้ที่มีหน้าที่รับผิดชอบในการกำกับ ควบคุม ตรวจสอบในการดำเนินงานของธนาคารของรัฐทั้งสองแห่งนี้รวมทั้งแห่งอื่นๆ ด้วย คือหน่วยงานสองหน่วย ได้แก่ ฝ่ายกำกับและตรวจสอบธนาคารในธนาคารแห่งประเทศไทย และหน่วยงานของกระทรวงการคลัง

                กล่าวให้ครอบคลุมก็คือธนาคารแห่งประเทศไทยและกระทรวงการคลังเป็นหน่วยงานที่มีหน้าที่รับผิดชอบในการกำกับควบคุมตรวจสอบในการดำเนินงานของธนาคารของรัฐทั้งสองแห่งนี้และแห่งอื่นๆ ด้วย

                ผู้บริหารของทั้งธนาคารแห่งประเทศไทย และทั้งกระทรวงการคลัง จะต้องเปิดเผยแก่ประชาชนว่าใครโกงธนาคารรัฐทั้งสองแห่งนี้ ผู้บริหารธนาคารของรัฐทั้งสองแห่งนี้คือใคร มาจากการเสนอแต่งตั้งของใคร

                จะต้องเปิดเผยต่อประชาชนว่าจำนวนเงินทั้งหมดที่กู้ไปเป็นจำนวนเท่าใด และจัดชั้นสำรองหนี้ประเภทต่างๆ แล้วเท่าใด ส่วนที่เหลือมีสภาพที่อาจต้องจัดชั้นสำรองหนี้อีกหรือไม่เท่าใด และการให้กู้เงินเหล่านั้นใครบ้างที่ต้องรับผิดชอบ

                ที่สำคัญ ต้องให้ประชาชนเชื่อและมั่นใจได้ว่ามีใครบ้างที่ต้องรับผิดชอบในการปล่อยสินเชื่อที่เกิดความเสียหายเหล่านั้น และจะป้องกันแก้ไขความเสียหายเหล่านั้นได้อย่างไร เช่น

                การเตรียมการมีคำสั่งห้ามผู้บริหารหรืออดีตผู้บริหารที่ต้องรับผิดชอบเดินทางออกนอกประเทศ หรือ

                การอายัดหรือยึดทรัพย์ของผู้บริหารไว้เป็นการชั่วคราวในระหว่างการตรวจสอบ หรือ

                การแต่งตั้งคณะกรรมการกำกับควบคุมตรวจสอบตามกฎหมายเพื่อปฏิบัติการรักษาประโยชน์ของรัฐให้เป็นไปตามกฎหมายอย่างมีประสิทธิภาพและทันกาล

                เพราะถ้าหากปากพูดว่าควบคุม แต่แท้จริงเป็นเพียงแค่การปิดประตูช่วยโจรแล้วไซร้ คนที่มีอำนาจหน้าที่นั่นแหละที่จะต้องรับผิดชอบในสักวันหนึ่ง


ที่มา.นสพ.แนวหน้า
////////////////////////////////////////////////////////////////

3 ทหารหน่วยรบพิเศษบนราง BTS เบิกคดี 6 ศพ วัดปทุมฯ รับยิงกระสุนจริงเข้าวัด !!?

ไต่สวนการตาย 6 ศพ วันปทุมฯ ทหารรบพิเศษ 3 นาย เบิกความรับทหารในหน่วยยิงเข้าไปในวัดจริง แต่ไม่ทราบว่าใครเป็นผู้ยิง รับทหารในภาพบนรางรถไฟหน้าวัดเป็นทหารหน่วยเดียวกัน ชี้มีกลุ่มติดอาวุธยิงตอบโต้ จนท.ตรงตอหม้อรถไฟฟ้า และเสื้อขาวยิงมาจากกุฏิวัด จึงยิงกระสุนจริงสวนกดดัน นัดไต่สวนต่อ 21 ก.พ.นี้



ภาพที่ถูกถ่ายจากดาดฟ้า สตช.เย็นวันที่ 19 พ.ค.53 ซึ่งพยานรับเป็นทหารในหน่วย(คลิกดูภาพขนาดใหญ่)

14 ก.พ.56 ที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ ศาลไต่สวนคำร้องชันสูตรการเสียชีวิต ในคดีที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญากรุงเทพใต้ 4 ยื่นคำร้องขอให้ศาลไต่สวนชันสูตรการเสียชีวิตของ นายสุวัน ศรีรักษา อายุ 30 ปี อาชีพเกษตรกร ผู้เสียชีวิตที่ 1, นายอัฐชัย ชุมจันทร์ อายุ 28 ปี บัณฑิตคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง ผู้เสียชีวิตที่ 2, นายมงคล เข็มทอง อายุ 36 ปี เจ้าหน้าที่อาสามูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ผู้เสียชีวิตที่ 3, นายรพ สุขสถิต อายุ 66 ปี อาชีพพนักงานขับรถรับจ้างในสนามบิน ผู้เสียชีวิตที่ 4, น.ส.กมนเกด ฮัคอาด อายุ 25 ปี อาชีพพยาบาลอาสา ผู้เสียชีวิตที่ 5, และนายอัครเดช ขันแก้ว อาชีพรับจ้าง ผู้เสียชีวิตที่ 6 โดยทั้ง 6 ศพ ถูกยิงเสียชีวิตภายในวัดปทุมวนาราม เมื่อวันที่ 19 พ.ค.2553 ในเหตุการณ์สลายการชุมนุมของแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช. สมัยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี

โดยพนักงานอัยการนำประจักษ์พยานเข้าเบิกความรวม 3 ปาก ประกอบด้วย พ.ท.นิมิตร วีระพงษ์ สังกัด ฝ่ายกิจการพลเรือน ค่ายสมเด็จพระนารายณ์มหาราช จ.ลพบุรี ขณะเกิดเหตุดำรงตำแหน่งรองผู้บังคับกองพันรบพิเศษที่ 1 กรมรบพิเศษที่ 3 ในฐานะ หัวหน้าชุดทหารรบพิเศษ ที่ปฏิบัติการบนรางรถไฟฟ้าสถานีสยาม ระหว่างวันที่ 18 และ 19 พฤษภาคม 2553 รวมด้วยจ่าสิบเอกสมยศ ร่มจำปา อายุ 45 ปี และสิบเอกเดชาธร มาขุนทด อายุ 38 ปี ทหารจากกองพันชุดจู่โจม รบพิเศษ 3 ค่ายเอราวัณ จังหวัดลพบุรี ในฐานะทหารชุดปฏิบัติการบนรางรถไฟฟ้าหน้าวัดปทุมฯ

พ.ท.นิมิตร วีระพงษ์ เบิกความว่า ได้รับคำสั่งให้มาปฏิบัติการร่วมกับ ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือ ศอฉ. ตั้งแต่วันที่ 13 มี.ค.53 โดยได้รับคำสั่งจากผู้บังคับบัญชา หน่วยรบพิเศษที่ 3 เพื่อรักษาความปลอดภัยบุคคลสำคัญและสถานที่ ในวันที่ 10 เม.ย.53 บริเวณสี่แยกคอกวัว พื้นที่ที่ พ.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม รับผิดชอบอยู่ มีการยิงกันอย่างหนักเป็นเหตุให้ พ.อ.ร่มเกล้า เสียชีวิต ส่วนที่พยานรับผิดชอบอยู่คือบริเวณสะพานมัฆวาน จากเหตุการณ์วันที่ 10 เม.ย.53 ศอฉ.พบว่ามีกลุ่มบุคคลที่แอบแฝงอยู่ในกลุ่มผู้ชุมนุมและใช้กำลัง จึงได้มีคำสั่งให้ปฏิบัติต่อผู้ชุมนุมโดยวิธีการจากเบาไปหาหนัก 7 ขั้นตอน ส่วนบุคคลที่ใช้กำลังต่อสู้กับเจ้าหน้าที่ทหารให้ใช้วิธีการที่เรียกว่า “กฎการใช้กำลังของกองทัพไทย” โดย ศอฉ.ได้ประกาศกฎการขอคืนพื้นที่และการใช้อาวุธ

ภายหลังเดือน เม.ย.53 ผู้ชุมนุมประกาศจัดการชุมนุมที่บริเวณสีลม พยานจึงได้รับคำสั่งให้มาระวังป้องกันให้กับกองพลทหารม้า พยานจึงได้มายังพื้นที่ถนนสีลมตรงจุดทางเชื่อต่อรถไฟฟ้าบริเวณสี่แยกศาลาแดงหน้าบริเวณโรงแรมดุสิตธานี ตอมาวันที่ 15 พ.ค.53 ได้รับคำสั่งให้ระวังป้องกันให้กับกลุ่มทหารที่อยู่บริเวณถนนราชปรารภ โดยก่อนที่พยานจะเข้าไปนั้นมีคนใช้อาวุธปืนยิง M79 ตอบโต้กับเจ้าหน้าที่ทหารที่อยู่บริเวณแยกราชปรารภ เมื่อหน่วยของพยานเข้าไปจึงได้ใช้อาวุธปืนยิงคุ้มกันเพื่อไม่ให้คนที่มีอาวุธปืนดังกล่าวยิงมายังเจ้าหน้าที่ทหาร

ต่อมาวันที่ 18 พ.ค.53 ศอฉ. ต้องการกระชับพื้นที่บริเวณแยกราชประสงค์ พยานและหน่วยของพยานจึงประจำที่แยกปทุมวัน ในเวลา 17.00 น. ต่อมาในวันที่ 19 พ.ค.53 พยานและหน่วยพยานได้ขึ้นไปประจำบนสถานีรถไฟฟ้าคุ้มกันให้กับเจ้าหน้าที่ทหารจากกรมทหารราบที่ 31 กองพันที่ 2 รักษาพระองค์ (ร.31 พัน 2 รอ.) โดยทหารดังกล่าวมีหน้าที่คุ้มกันประชาชนที่ต้องการเดินทางออกจากพื้นที่กลับยังภูมิลำเนา โดย ศอฉ. ได้เตรียมรถเพื่อรับผู้ชุมนุมอยู่บริเวณสนามกีฬาแห่งชาติ ต่อมาเจ้าหน้าที่ได้ประชาสัมพันธ์และมีการส่งข้อความหากลุ่มผู้ชุมนุมเพื่อแจ้งว่าสามารถเดินทางออกจากพื้นที่การชุมนุมได้ โดยวันที่ 19 พ.ค.53 เวลา 13.00 น. กลุ่มผู้ชุมนุมแจ้งความประสงค์ว่าต้องการจะเดินทางออกจากพื้นที่ประมาณ 200 คน หลังจากนั้นมีผู้ชุมนุมเดินทางออกมาจากพื้นที่ชุมนุม

และเวลาต่อมาเกิดเหตุเพลิงไหม้ที่โรงหนังสยาม พยานได้รับคำสั่งจาก ร.31 พัน 2 รอ. ให้ พยานไปตรวจค้นบริเวณแนวบังเกอร์ เพื่ออำนวยความสะดวกให้เจ้าหน้าที่ ร.31 พัน 2 รอ. เดินทางนำเจ้าหน้าที่ดับเพลิงไปยังโรงหนังสยาม ขณะรับคำสั่งนั้นพยานประจำอยู่บริเวณสนามกีฬาแห่งชาติ โดยก่อนหน้าที่พยานและหน่วยได้รับคำสั่งทราบว่ามีกองกำลังติดอาวุธยิงกระสุนมายังเจ้าหน้าที่ดับเพลิงเป็นเหตุให้เจ้าหน้าที่ดับเพลิงไม่สามารถปฏิบัติงานได้

ศอฉ.มีคำสั่งให้หน่วยของพยานที่มีประมาณ 60 คน ทำหน้าที่ป้องกันให้กับหน่วยภาคพื้น ซึ่งมี ร.31 พัน 2 รอ. ปฏิบัติหน้าที่บนพื้นราบ ส่วนหน่วยของพยานประจำอย่าบนสถานีรถไฟฟ้าเพื่อทำหน้าที่ระวังป้องกัน โดยหน่วยของพยานใช้อาวุธปืน M16

วันที่ 19 พ.ค.53 เวลาประมาณ 15.00 น. หน่วยของพยานได้ปฏิบัติการระวังป้องกันโดยเริ่มจากแยกปทุมวันฯ หลังจากนั้นได้เดินบนสะพานลอยรถไฟฟ้ากระทั้งข้ามแยกปทุมวัน และเดินไปยังสถานีรถไฟฟ้าสยาม โดยผู้ใต้บังคับบัญชาของพยานที่อยู่ด้านหน้าทำการสำรวจ ขณะนั้นมีชาย 2 คนใช้อาวุธปืนยิงใส่ โดยผู้ใต้บังคับบัญชาของพยานแจ้งว่าชาย 2 คนดังกล่าวยืนอยู่บริเวณแยกเฉลิมเผ่าตรงจุดที่รถ 6 ล้อจอดอยู่ ขณะนั้น ร.31 พัน 2 รอ. ได้แจ้งให้หน่วยของพยานถอนตัวออกมาจากบริเวณดังกล่าวก่อนเนื่องจากสถานการณ์ยังไม่ชัดเจน รวมทั้งเกรงว่ายังคมมีกลุ่มผู้ชุมนุมหลงเหลืออยู่บริเวณดังกล่าว ขณะที่หน่วยของพยานถอนตัวนั้นพยานทราบว่ามีกลุ่มผู้ชุมนุมหลบเข้าไปในวันปทุมฯ รวมทั้งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ

ขณะที่หน่วยของพยานได้รับคำสั่งให้ถอนตัวออกจากบริเวณดังกล่าว ผู้ใต้บังคับบัญชาของพยานยิงไปยังบริเวณรถ 6 ล้อ ที่บริเวณแยกเฉลิมเผ่าเพื่อกดดันไม่ให้ชาย 2 คนที่มีอาวุธ โดยนอกจากยิงไปยังบริเวณรถหกล้อแล้วยังยิงไปยังตอหม้อเสารถไฟฟ้า จากนั้นหน่วยของพยานได้ถอนออกมาจากบริเวณดังกล่าวแล้วมายังบริเวณสถานีรถไฟฟ้าสนามกีฬาแห่งชาติ หลังจากนั้นเห็นเพลิงไหม้ที่ห้างเซ็นทรัลเวิลด์ ร.31 พัน 2 รอ. ได้รับคำสั่งให้อำนวยความสะดวกเจ้าหน้าที่ดับเพลิงเพื่อไปยังห้างเซ็นทรัลเวิลด์และบริเวณสยามสแควร์

พยานทราบว่า ศอฉ. ได้มีคำสั่งให้เจ้าหน้าที่ทหารที่แยกเพลินจิตร แยกปทุมวันและแยกสีลม ให้อำนายความสะดวกให้รถเข้าไปดับเพลิงที่ห้างเซ็นทรัลเวิลด์และบริเวณสยามแควร์ หากทางด้านใดใน 3 ทางนั้นอำนวยความสะดวกได้ก็ให้อำนวยการไป โดย ร.31 พัน 2 รอ. ที่ประจำอยู่ แยกปทุมวันนั้น ไปทางพื้นราบถนนพระราม 1 และอำนวยความสะดวกให้เจ้าหน้าที่ดับเพลิงเพื่อไปยังสยามสแควร์และห้างเซ็นทรัลเวิลด์ โดยหน่วยของพยานจะประจำป้องกันให้บนพื้นที่สูง บนรางรถไฟฟ้าสถานีสนามกีฬาแห่งชาติและเดินไปกระทั้งถึงสถานีสยามสแควร์ โดยหน่วยของพยานจะทำการล้อมป้องกันไม่ให้บุคคลใดยิงปืนมายังเจ้าหน้าที่ทหาร ร.31 พัน 2 รอ. ที่ประจำอยู่บริเวณภาคพื้นดิน

หน่วยของพยานเดินทางไปบนรางรถไฟฟ้าชั้น 2 และชั้น 3 บนสถานีสนามกีฬาแห่งชาติมาจนกระทั้งถึงก่อนชานชาลาสถานีสยามมองเห็นตาขายสีเขียวและกองยางรถยนต์วางปิดกั้นอยู่จนไม่สามารถมองเข้าไปเห็นด้านในของชานชาลาของสถานีรถไฟฟ้าสยามได้ ตรวจพบเศษอาหารและระเบิดเพลิงกองอยู่ 5-6 ขวด หน่วยของพยานเดินทางออกจากสถานีรถไฟฟ้าสยามกีฬาเวลาประมาณ 17.20 น. และไปถึงสถานีสยามเวลาประมาณ 18.00 น. เหตุที่ทราบเนื่องจากได้ยินเสียงเพลงชาติ และพยานได้ให้ผู้ใต้บังคับบัญชาอยู่บริเวณรางรถไฟฟ้าชั้น 2 และ 3 ตั้งแต่สถานีจนถึงท้ายของชานชาลา เนื่องจากชั้นที่เป็นสถานีจำหน่ายตั๋วนั้นพยานไม่สามารถเดินเข้าไปได้เพราะมีตะแกรงเหล็ก

ขณะที่ประจำอยู่บริเวณชั้น 3 ของสถานีรถไฟฟ้าเห็นรอยไหม้ของร้านเสริมสวยบริเวณสยามสแควร์ ซึ่งพยานเห็นว่าน่าจะเกิดจากการขว้างระเบิดเพลิงจากบนลงล่าง พยานยังได้ให้ผู้ใต้บังคับบัญชานำคีมมาตัดตะแกรงเหล็ก ขณะรอนั้นหน่วยของ ร.31 พัน 2 รอ. ได้ประจำอยู่ด้านล่างของสถานีรถไฟฟ้าสยาม ขณะนั้นได้ยินเสียงปืนดังมาจากแยกเฉลิมเผ่า ผู้ใต้บังคับบัญชาที่ประจำอยู่บริเวณชั้น 2 ของสถานีรถไฟฟ้า ได้ยินเจ้าหน้าที่ทหารจาก ร.31 พัน 2 รอ. ด้านล่างร้องขอความช่วยเหลือ ขณะนั้นเจ้าหน้าที่ทหารจาก ร.31 พัน 2 รอ. ขึ้นจากบันไดด้านล่างมายังชั้นจำหน่ายตั๋วของสถานีฯ แต่ยังไม่สามารถเข้าไปได้เนื่องจากตะแกรงเหล็กปิดกั้นอยู่ พยานจึงสั่งให้ผู้ใต้บังคับบัญชาที่ประจำอยู่บนรางรถไฟฟ้า 2 ทำหน้าที่ระวังป้องกันให้กับทหาร ร.31 พัน 2 รอ. จากนั้นผู้ใต้บังคับบัญชาของพยานได้แจ้งว่ามีกลุ่มคนยิงปืนมายังชั้น 2 ของสถานีรถไฟฟ้าสยาม โดยผู้ใต้บังคับบัญชาของพยานได้ปฏิบัติตามกฎของกองทัพไทยที่เริ่มต้นด้วยการเตือนก่อน จากนั้นยิงอาวุธปืนเล็งมายังพื้นถนนซึ่งไม่ได้มุ่งหมายไปยังบุคคล แต่หากยังมีภัยคุกคามอยู่อย่างต่อเนื่องจึงจะยิงไปยังกลุ่มคนเพื่อกดดันให้ถอยร่นไป

หลังจากนั้นเวลา 18.10 น. หลังจากหน่วยของพยานได้ประจำอยู่บนรางรถไฟฟ้าชั้น 2 ชั้น 3 และชั้นล่างตรงสถานีเพื่อเฝ้าระวังให้หน่วยที่ปฏิบัติยังภาคพื้นซึ่งขณะนั้น เวลาประมาณ 18.00 น. หน่วยพยานได้เคลื่อนกำลังจากสถานีรถไฟฟ้าสยามไปกระทั้งด้านหน้าวัดปทุม โดยผู้ใต้บังคับบัญชาของพยาน 7 นายเคลื่อนที่บนรางรถไฟฟ้าชั้น 2 ไปจนกระทั้งบริเวณหน้าวัดปทุม เนื่องจากขณะนั้นมีภัยคุกคามเกิดขึ้นภายในวัดปทุมและบริเวณนอกวัด โดยภัยคุกคามนั้นหมายถึงคนที่อยู่ในวัดปทุมและนอกวัดยิงปืนใส่

เวลาประมาณ 18.20 น. พยานได้เรียกกำลังทั้ง 7 นาย กลับมาประจำการอยู่ที่สถานีรถไฟฟ้าสยามและพยานประจำอยู่ที่สถานรถไฟฟ้าสยามจนกระทั้งวันที่ 21 พ.ค.53 เมื่อวันที่ 20 พ.ค.53 หน่วยของพยานได้รับคำสั่งให้เฝ้าระวัง ร.31 พัน 2 รอ. เข้าตรวจค้นในวัดปทุม โดยหน่วยของพยานประจำอยู่บนรางรถไฟฟ้าเช่นเดิม ศอฉ.ให้ ร.31 พัน 2 รอ. เข้าไปตรวจค้นในวัดปทุมและนำกลุ่มผู้ชุมนุมออกจากวัด ในการปฏิบัติหน้าที่ทั้งหมดหน่วยของพยานใช้กระสุนปืนน้อยมากแต่จำไม่ได้ว่าเท่าไหร่ ในการปฏิบัติหน้าที่หน่วยของพยานไม่มีเจ้าหน้าที่ในหน่วยผู้ใดได้รับบาดเจ็บ พยานได้ทราบจากรายงานของสื่อมวลชนว่าภายในวัดปทุมมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บในวันที่ 19 พ.ค.53

ในการปฏิบัติหน้าที่หน่วยของพยานมีประมาณ 60 นาย ได้รับคำสั่งโดยตรงจาก ศอฉ. ให้ M16 ชนิด A2 และ A4 ซึ่งจะใช้กับลูกกระสุนปืน M866 มีหัวสีเขียว กระสุนปืน M855 มีหัวสีเขียวสามารถใช้กับปืนทราโวหรือปืนชนิดอื่นได้ด้วย และสามารถให้กับ M16 ชนิด A1 ได้ แต่ประสิทธิภาพในการยิงอาจจะลดลงและอาจจะก่อให้เกิดการชำรุดของปืน หน่วยของพยานไม่มีพลซุ่มยิง หน่อยของพยานจะทำหน้าที่ระวังป้องกันเมื่อมีการร้องขอ และเป็นหน่วยที่ชำนาญที่สุดในการปฏิบัติหน้าที่ในเมือง

ตามกฎการใช้กำลังหากมีการใช้อาวุธปืนหรือขว้างระเบิดเพลิงมายังเจ้าหน้าที่ทหารๆ สามารถจะยิงปืนไปเพื่อยับยั้งไม่ให้เกิดการกระทำนั้นต่อไป แต่จะไม่ยิงไปเพื่อมุ่งหมายต่อชีวิต

ภาพที่ปรากฏบนรางรถไฟฟ้าเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของพยาน ขณะที่ผู้ใต้บังคับบัญชาของพยานปฏิบัติหน้าที่บนรางรถไฟฟ้านั้นจะรายงานมายังพยานผ่านทางวิทยุสื่อสาร หากจะใช้อาวุธปืนยิง จ่าสิบเอกสมยศ ไม่จำเป็นต้องขออนุญาตพยานก่อน ขณะที่อยู่บนรางรถไฟฟ้าพยานอยู่ตรงกลางสถานีและมอบภารกิจให้ผู้ใต้บังคับบัญชาไปตรวจระวังป้องกันตามที่ได้รับการร้องขอ โดยผู้ใต้บังคับบัญชาของพยานได้ปฏิบัติหน้าที่บริเวณหน้าวัดปทุมบนรางรถไฟฟ้า ซึ่งภายหลังได้รับรายงานด้วยว่าจ่าสิบเอกสมยศ ได้ยิงปืนไปยังบริเวณหน้าศาลและผู้ใต้บังคับบัญชาของพยานอีก 1 นาย ได้ยิงปืนไปยังบริเวณรถซึ่งจอดภายในวัดปทุมด้วย ซึ่งเป็นการรายงานด้วยวาจาหลังเสร็จสิ้นการปฏิบัติหน้าที่

หน่วยของพยานได้เคยฝึกควบคุมฝูงชนและปราบจลาจล กระสุนปืนที่พยานใช้นั้นหากยิงไปกระทบของแข็งกระสุนปืนจะแตกกระจายออก จึงเป็นไปได้น้อยมากที่จะแฉลบ การที่กระสุนไประทบของแข็งจะแฉลบได้นั้นจะต้องทำมุม 10-15 องศา เท่านั้น กระสุนที่ไปกระทบของแข็งหรือปูนจะมีการกระจายออกรอบทิศทาง

จ่าสิบเอก สมยศ ร่มจำปา เบิกความกรณีการชุมนุมของ นปช. นั้น พยานมาปฏิบัติหน้าที่ในวันที่ 5 พ.ค.53 ภายใต้การบังคับบัญชาของ ศอฉ.และผู้บังคับบัญชาคือ พ.ท.วินัย พิมาย ที่เป็นผู้บังคับกองพัน ส่วน พ.ท.นิมิตร วีรพงษ์ นั้นพยานมาขึ้นต่อการบังคับบัญชาในวันดังกล่าว ซึ่งประจำอยู่ที่ราบ 11 แล้วไปที่บริเวณสี่แยกสีลม และในวันที่ 15 พ.ค.ได้ไปประจำการอยู่ที่แอร์พอตลิงค์ มีหน้าที่รับผิดชอบในการป้องกันอาคารสถานที่ หลังจากนั้นพยานได้กลับไปที่ราบ 11 อีก จนวันที่ 18 พ.ค.53 ได้เดินทางลงรถที่กระทรวงพลังงานและได้เคลื่อนไปที่สถานีรถไฟฟ้า BTS สนามกีฬา มีคำสั่งให้รักษาความปลอดภัยให้กับเจ้าหน้าทีทหารจากกรมทหารราบที่ 31 กองพันที่ 2 รักษาพระองค์ (ร.31 พัน 2 รอ.)

วันที่ 19 พ.ค.53 เวลาประมาณ 10.00 น. ศอฉ. เริ่มมีการประกาศให้ประชาชนทยอยออกมาจากพื้นที่ชุมนุมมาทางด้านสนามกีฬา โดยพยานยังรักษาความปลอดภัยให้กับ ร.31 พัน 2 รอ. ในด้านล่างและคุ้มกันกลุ่มผู้ชุมนุมที่ต้องการออกพื้นที่

ต่อมาก่อน 15.00 น. ได้รับคำสั่งจากผู้บังคับบัญชา คือ พ.ท.นิมิตร ให้เข้าไปเคลียร์พื้นที่ด้านล่างที่มีกองยาง ถังน้ำมันและสิ่งกีดขวางอื่นๆ ที่อยู่บริเวณหน้าสนามกีฬาไปจนถึงแยกปทุมวัน รวมทั้งให้ดูแลคุ้มกันให้กับเจ้าหน้าที่ดับเพลิง เนื่องจากในตอนนั้นโรงภาพยนตร์ สยาม เกิดเหลิงไหม้แล้ว

ซึ่งขณะนั้นพยานเป็นหัวหน้าชุดปฏิบัติการมีกำลัง 9 นาย หลังจากได้รับคำสั่งให้เคลียร์พื้นที่เข้าไปในพบเต้นท์และสิ่งกีดขวางกองอยู่และได้ยินเสียงปืนมาจากด้านหน้า โดยก่อนหน้าพยานจะเข้าไป ได้มีเจ้าหน้าที่ทหารเข้าไปชุดหนึ่งแล้วในพื้นราบ ขณะนั้นพยานอยู่เลยบริเวณแยกปทุมวันฯ ไปประมาณ 15 เมตร จึงทำให้เข้าไปต่อไม่ได้ เนื่องจากถูกยิงโดนมาจากกองกำลังไม่ทราบฝ่าย จึงกลับไปอยู่ที่บริเวณสถานีรถไฟฟ้า BTS สนามกีฬาแห่งชาติ อย่างไรก็ตามตอนที่ได้รับแจ้งว่ามีกองกำลังไม่ทราบฝ่ายยิงสกัดนั้น พยานไม่ได้เห็นด้วยตาแต่มีการวิทยุมาแจ้ง

จนกระทั้งเวลา 17.00 น.เศษ มีการจัดกำลังใหม่ เคลื่อนที่ไปยังสถานีรถไฟฟ้าสยามฯ โดยมีคำสั่งจาก พ.ท.นิมิตร เนื่องจากในตอนนั้นเกิดเหตุเพลิงไหม้ที่ห้าง CTW สำหรับเหตุที่ต้องเคลื่อนกำลังเนื่องจากตอนนั้นหน่วย ร.31 พัน 2 รอ. จะต้องเคลื่อนไปด้านล่าง หน่วยของพยานมีหน้าที่รักษาความปลอดภัยให้กับหน่วยดังกล่าว แกละจะต้องพาพนักงานดับเพลิงไปดับไฟด้วย โดยขณะนั้นหน่วยของพยานได้เคลื่อนไปที่สถานีรถไฟฟ้าสยาม บนชานชรารถไฟฟ้าชั้นล่าง เริ่มออกเวลาประมาณ 17.30 น. ก่อนถึงสถานีสยามประมาณ 5 เมตร พบบังเกอร์และสแลนตาข่ายสีเขียวดำที่เป็นของฝ่าย นปช. อยู่บนรางรถไฟ จึงเข้าตรวจวัตถุระเบิดบริเวณดังกล่าวก่อน และเมื่อเข้าไปยังสถานีรถไฟฟ้าสยาม เวลา 18.00 น. เพราะขณะนั้นได้ยินเสียงเพลงชาติจากด้านหน้า เมื่อเข้าไปในพื้นที่สถานีรถไฟฟ้าสยามก็ควบคุมพื้นที่ พบร่องรอยการอยู่อาศัย มีกล่องอาหาร หนังสือพิมพ์สำหรับปูนอน และถังน้ำมันชุดคบเพลิงไว้ในถัง ขวดเครื่องดื่มชูกำลังที่มีเศษผ้าที่ปากขวดสามารถจุดไฟแล้วกว้างให้เกิดเพลิงได้ ระหว่างตรวจสอบสถานที่นั้นได้ยินเสียงปืนดังขึ้นด้านล่าง และเจ้าหน้าที่ทหารจาก ร.31 พัน 2 รอ. ที่อยู่ด้านล่างได้เรียกให้หน่วยของพยานคุ้มกันจากกองกำลังไม่ทราบฝ่ายซึ่งใช้อาวุธปืนยิงใส่เจ้าหน้าที่ทหาร โดยที่ขณะนั้นพยานยังไม่เห็นกองกำลังไม่ทราบฝ่ายดังกล่าว พยานจึงแจ้งผ่านวิทยุสื่อสารไปที่ผู้บังคับบัญชาคือ พ.ท.นิมิตร เพื่อขออนุมัติให้คุ้มกัน จึงได้มีคำสั่งมาให้คุ้มกัน หลังจากนั้นพยานเคลื่อนที่ออกมาจากสถานีรถไฟฟ้าสยามฯ โดยอยู่บนรางรถไฟฟ้าชั้นแรกเคลื่อนที่ไปทางห้างเซ็นทรัลเวิลด์ ประมาณ 5 เมตร พยานได้โผล่หน้าไปตรวจการพบชายชุดดำ 4 คน อยู่ตรงบริเวณตอหม้อรถไฟฟ้าถืออาวุธปืนยาว และหนึ่งในนั้นได้ยิงขึ้นมาแต่ไม่โดนใคร หลังจากนั้นพยานจึงได้ยิงสวนไปยังตอหม้อบริเวณแยกเฉลิมเผ่า 4-5 นัด ในเวลาประมาณ 18.10 น. กระสุนถูกตอหม้อรถไฟฟ้า แต่ไม่โดนใคร

หลังจากนั้น 4 คน ดังกล่าวได้วิ่งหลบหายไปหลังตอหม้อ พยานได้สั่งให้ผู้ใต้บังคับบัญชาไปตรวจด้านซ้ายของรางรถไฟฟ้าด้านที่ติดกับห้างสยามพารากอน และหน่วยของพยานได้เคลื่อนที่ไปเรื่อยๆ มาถึงคลองตรงระหว่างห้างสยามพารากอนกับวัดปทุมฯ มองไปยังกุฏิวัดปทุมฯ เห็นบุคคลอยู่บริเวณนั้น เป็นชายสวมเสื้อสีขาว กางเกงลายพรางสวมโม่งสีดำถืออาวุธปืน M16 เล็งมาที่พยานอยู่ ประมาณ 18.10 น. เศษ ซึ่งขณะนั้นยังไม่มืด และพยานห่างจากชขายเสื้อขาวดังกล่าวประมาณ 30 เมตร พยานได้ยิงไปยังแนวกำแพงวัดด้านข้างติดกับคลอง 1 นัด ชายคนดังกล่าวจึงได้หลบไปด้านในกุฏิวัด ต่อจากนั้นพยานได้เคลื่อนไปเรื่อยๆ เนื่องจากมีภัยคุกคามอยู่ด้านหน้า และต้องทำหน้าที่คุ้มกัน ร.31 พัน 2 รอ. ที่อยู่ด้านล่าง

จนกระทั้ง 18.25 น. ได้รับการสั่งการจาก พ.ท.นิมิตร สั่งถอนกลับไปที่สถานีรถไฟฟ้าสยาม แต่ช่วงที่เคลื่อนมาประจำอยู่นั้นพยานอยู่บนรางหน้าวัดปทุมฯ ตางหน้าเป็นสระน้ำ มีกลังที่แบ่งไปทางด้านหน้าพยาน(ไปทางห้าง CTW) 10 เมตร จำนวน 3 นาย โดยมีพยานยืนตรงกลาง และมีการกระจายกำลังไปด้านหนังพยานห่างไป 3 เมตรด้วย ขณะนั้นพยานใช้อาวุธ M16 A 2 เป็นอาวุธประจำกายในการปฏิบัติหน้าที่ โดยทาง ศอฉ.และผู้บังคับบัญชากำชับให้ใช้จากเบาไปหาหนัก ห้ามยิงใส่กลุ่มคน เด็กและสตรี โดยให้ยิงขึ้นฟ้าหรือในทิศทางที่ปลอดภัย และหากยังปรากฏภัยคุกคามอีกให้ยิงไปทางส่วนล่างของร่างกายที่ไม่เป็นอันตราย

นอกจากตัวพยานยิงไปที่ตอหม้อรถไฟฟ้าและกำแพงวัดแล้วยังมีผู้ใต้บังคับบัญชาอีกที่ยิง และมีมีผู้ใต้บังคับบัญชาที่อยู่ในส่วนหน้าได้ยิงไปที่แนวถนนและกำแพงวัดอีกด้วย โดยได้รับแจ้งจากผู้ใต้บังคับบัญชาว่ามีชายชุดดำอยู่บริเวณดังกล่าวทำให้ผู้ใต้บังคับบัญชายิงไปยังบริเวณนั้น ขณะปฏิบัติหน้าที่นั้นหน่วยของพยานไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ หลังจากถอนกำลังไปอยู่ที่สถานีรถไฟฟ้าสยามฯ แล้วพยานอยู่ที่นั่นจนถึงวันที่ 23 พ.ค.53 จึงถอนกำลังกลับออกไป

จ่าสิบเอก สมยศ ได้ตอบการซักของทนายญาติผู้ตายด้วยว่า การมาปฏิบัติหน้าที่มาวันที่ 5 พ.ค.53 โดยมาปฏิบัติหน้าที่ทดแทนกำลังที่มีอยู่ ปืนประจำกายเป็นปืน M16 A2 นั้นได้มาจากเจ้าหน้าที่ทหารที่ถอนกำลังออกไป เช่นเดียวกับทหารในหน่วยของพยานด้วย สำหรับ M16 A2 นั้น พยานสามารถถอดประกอบเพื่อเอามาทำความสะอาดได้ ในระดับผู้ใช้เท่านั้น ซึ่งสมารถถอดได้ทั้งในส่วนล่าง ส่วนบนและลูกเลื่อน ใช้เวลาประมาณ 5 นาทีสำหรับถอด และ 5 นาทีสำหรับการประกอบ โดย M16 A2 มีระยะในการยิงหวังผลที่มีเป้าหมายเป็นจุดอยู่ที่ 150 เมตร แต่ถ้าเป็นพื้นที่กว้าง 350 เมตร อาวุธปืนชนิดนี้มีแรงสะท้อนถอยหลัง โดยการเล็กนั้นเป็นการเล็กจากศูนย์หลังไปศูนย์หน้า สำหรับระยะ 150 เมตร หากเล็งแบบปราณีก็จะแม่นยำ โดยปืนชนิดนี้จะมีการปรับการยิงได้แบบ 1 นัด และ 3 นัด แต่ไม่สามารถยิงแบบออโต้ได้

ในวันที่ 19 พ.ค.53 พยานเป็นหัวหน้าชุด รวมตัวพยานด้วยชุดนั้น มี 9 นาย ตอนเคลื่อนมาจากสนามกีฬาเพื่อมาที่สยามพารากอนนั้น ในช่วงแรกมีกำลังส่วนหน้าบนพื้นราบอยู่ ส่วนที่ไม่ได้เคลื่อนไปต่อในครั้งแรกนั้น เพราะถูกต่อต้านจากกองกำลังไม่ทราบฝ่าย โดยช่วยที่เคลื่อนไปช่วงแรงนั้นหน่วยของพยานไม่ได้ขึ้นไปบนรางรถไฟฟ้า ส่วนการเคลื่อนอีกครั้งในเวลา 17.30 น. นั้นพยานได้มีการยิงไปที่ตอหม้อรถไฟฟ้าร่วมกับ ส.อ.วิฑูรย์ อินทำ โดยบริเวณนั้นมีชายชุดดำ พยานยิงไป 4-5 นัด ส่วน ส.อ.วิฑูรย์ ยิงไป 2 นัด โดยยิงแบบชะโงกหน้าไปยิงตรงช่องว่าง โดยในขณะนั้นไม่มีประชาชนที่อยู่บริเวณถนนพระราม 1 แล้ว หลังจากที่พยานได้ยิงแล้วนั้น 4-5 คนนั้นก็หลบไปหลังตอหม้อ แต่ยังคงได้ยินเสียงยิงปะทะกันด้านล่าง เสียงดังเป็นระยะๆ ต่อๆ กัน จากทั้งทางฝั่งทหารและจากด้านหน้าข้างล่างบนถนน

ความสูงของพนังรางรถไฟฟ้าที่พยานอยู่ประมาณ 1.2 เมตร การเคลื่อนที่ไปนั้นเป็นการเคลื่อนแล้วหยุด แล้วขยับไปเรื่อยๆ เพื่อตรวจการ โดยในขณะนั้นฝั่งสำหนักงานตำรวจแห่งชาติไม่มีเจ้าหน้าที่ทหารประจำการอยู่ ขณะตรวจการมองไปที่วัดปทุมนั้นยังคงเห็นได้ชัดเจน ในวัดมีคนประมาณการไม่ได้ แต่มีมากพอสมควร ส่วนบริเวณริมสระน้ำด้านในนั้นมีกลุ่มเล็กๆอยู่ แต่เข้าไปในวัดมีมากพอสมควร มีทั้งเด็ก ผู้หญิง คนชรา ที่เป็นผู้ชุมนุมหลบเข้าไป และทราบว่าที่นั่นเป็นเขตอภัยทาน

ตอนถอนกำลังกลับไปนั้นผู้ใต้บังคับบัญชาได้รายงานกับพยานโดยการยิงทั้งหมดยิงไปด้วยกระสุนจริง สำหรับการตัดสินใจยิงนั้นเป็นการใช้ดุลยพินิจของแต่ละบุคคล โดยพยานไม่ได้สั่ง สำหรับระยะเวลาที่เคลื่อนกำลังไปหน้าวัดปทุมถึงถอนกำลังนั้น ใช้เวลา 15 นาที ขณะที่พยานใช้อาวุธปืนยิงนั้นตัวพยานไม่ได้เตือน แต่มีลูกน้องคือ ส.อ.วิฑูรย์ ที่แจ้งว่ามีชายชุดดำหลบอยู่ใต้รถ และแจ้งชายดังกล่าวให้ออกมา แต่พยานไม่ทราบว่า ส.อ.วิฑูรย์ ได้ยิงคนที่หลบอยู่ใต้รถหรือไม่ แต่ ส.อ.วิฑูรย์ มีการยิงไปในบริเวณนั้น

ทนายญาติผู้ตายได้นำภาพชายแต่งกายคลายทหารที่อยู่บนรางรถไฟฟ้าหน้าวัดปทุมฯ ให้ จ่าสิบเอก สมยศ ดู พร้อมกับสอบถามว่าเป็นใคร จ่าสิบเอก สมยศ เบิกความต่อศาลว่าไม่ทราบว่าคนในภาพเป็นใคร แต่คิดว่าเป็นทหาร และบนรางรถไฟฟ้าตรงหน้าวัดปทุมฯนั้น มีเฉพาะชุดของพยาน 9 นาย โดยการปฏิบัติการนั้นพยานกับลูกน้องมีกระสุนคนละ 140 นัด เวลาส่งกระสุนคืนจะมีนายสิบประจำหมวดรวบรวมนับส่งคืน ในการปฏิบัติการตรงนั้นพยานใช้ไป 5 นัด ส่วนคนอื่นนั้นไม่ทราบว่าใช้ไปกี่นัด

ส.อ.วิฑูรย์ อยู่หน้าพยาน ซึ่งมี 3 นาย ห่างไปจากจุดที่พยานอยู่ประมาณ 10-15 เมตร และตรงจุดนั้นหลังวันที่ 19 พยานได้เคยเดินไปและหากมองจากจุดนั้นจะมองเห็นด้านหน้าประตูทางเข้าวัดปทุมได้ชัด วันที่ 20 พ.ค.53 ยังมีเต้นท์และเห็นรถที่จอดอยู่หลายคัน โดย ส.อ.วิฑูรย์ ได้แจ้งให้กับพยานทราบว่าเห็นชายชุดดำหลบเข้าไปในรถ และ ส.อ.วิฑูรย์ ยังแจ้งพยานด้วยว่าได้ยิงไปยังพื้นถนนหน้าวัดด้วย

หลังจากนั้นทนายได้นำภาพกลุ่มคนที่แต่งกลายคล้ายทหารมาให้พยานพิจารณาอีกครั้ง จำนวน 4 ภาพพร้อมตั้งคำถาว่าจากในภาพมีการหลบหรือไม่ จ่าสิบเอก สมยศ เบิกความต่อศาลว่า เป็นไปได้ว่าจะเป็นการหลบกระสุนหรืออาจจะกำลังเล็งก็ได้ โดยการหลบกระสุนปืนต้องหลบให้ต่ำกว่าแนวที่บังถึงจะหลบได้ แต่ถ้าหลบจากแนวกำแพงที่กระสุนมาจากด้านล่างก็เพียงแค่หลบวิถีกระสุนก็ได้ มันอาจไม้ต้องหลบตามแนวทั้งหมด แต่เป็นการหลบในลักษณะตกใจก็ได้

ส.อ.เดชาธร มาขุนทด เบิกความว่า เข้ามาปฏิบัติหน้าที่เมื่อ เม.ย.53 โดยมาในส่วนของหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ มี พ.ท.นิมิตร วีรพงษ์ (ยศขณะนั้น พ.ต.) เป็ยผู้บังคับบัญชา ได้รับคำสั่งให้เป็นหน่วยคุ้มกันให้กับ ร.31 พัน 2 รอ. ที่สีลม ก่อนจะกลับไปที่ราบ 11 หลังจากนั้นวันที่ 18 พ.ค.53 เวลาประมาณ 17.00 น. ได้เคลื่อนกำลังจาก ราบ 11 มาที่กระทรวงพลังงาน โดยมีหน้าที่คุ้มกัน ร.31 พัน 2 รอ. เหมือนเดิม เวลาตี 1 ของวันที่ 19 พ.ค.53 ได้เคลื่อนกำลังจากกระทรวงพลังงานมายังสถานีรถไฟฟ้าสนามกีฬาแห่งชาติ จนกระทั้งบ่าย 3 โมง โดยประมาณ ขณะนั้นเกิดเพลิงไหม่ที่โรงหนังสยาม มีเจ้าหน้าที่ดับเพลิงไม่สามารถเข้าไประงับเหตุได้ เนื่องจากบริเวณด้านหน้าทางเข้ามีสิ่งกีดขวาง พยานและหน่วยจึงเข้าไปเคลียร์พื้นที่ด้านล่าง เพื่อให้รถดับเพลิงสามารถไปดับเพลิงได้ โดยเริ่มเคลียร์พื้นที่ตั้งแต่แยกสนามกีฬาฯ มุ่งหน้าไปเรื่อยๆ แต่เคลียร์ไปได้เล็กน้อยเนื่องจากมีเสียงปืนดังมาจากด้านหน้าพยานฝั่งทางโรงหนังสยาม หลังจากนั้น พ.ท.นิมิตร ได้สั่งให้พยานถอนกำลังกลับมายังที่สถานีรถไฟฟ้าสนามกีฬาฯ

เวลา 17.30 น. พยานได้รับคำสั่งให้ไปปฏิบัติหน้าที่ระวังป้องกันให้ ร.31 พัน 2 รอ. เพราะหน่วยดังกล่าวจะต้องเข้าไปเคลียร์พื้นที่ด้านล่าง โดยพยานมี จ่าสิบเอก สมยศ เป็นหัวหน้าชุด ปฏิบัติหน้าที่บนรางรถไฟฟ้า โดยจ่าสิบเอกสมยศ ให้พยานเคลียร์พื้นที่บนรางรถไฟฟ้าตั้งแต่สถานีรถไฟฟ้าสนามกีฬาฯ ถึง สถานีรถไฟฟ้าสยามฯ ซึ่งขณะนั้นพบสิ่งกีดขวางเป็นยางรถยนต์กับสแลนสีดำเขียวขวางอยู่ระหว่างสถานีสนามกีฬาฯ กับสถานีสยามฯ วางอยู่บนรางรถไฟฟ้า หลังจากเคลียร์แล้วก็เคลื่อนคู่ขนานไปกับ ร.31 พัน 2 รอ. ที่อยู่ด้านล่าง ถึงสถานีสยามในเวลา 18.00 น. ทราบเวลาจากการได้ยินเสียงเพลงชาติ หลังจากนั้นได้ยินเสียงปืนจากรอบทิศทาง มีทหารด้านล่างตะโกนให้หน่วยของพยานคุ้มกัน หน่วยของพยานจึงได้ทำการตรวจการด้วยสายตาโดยมองไปด้านล่างพบเป็นชายผมสั้นเสื้อขาวสวมหมวกโม่ง กางเกงลายพราง ถือปืนตรงข้างกำแพงวัด พยานจึงได้แจ้งไปยังจ่าฯสมยศ ทราบ แต่ไม่ทราบว่าจ่าฯ สมยศได้ยิงลงไปหรือไม่เนื่องจากพยานเดินไปด้านหน้าต่อเพื่อตรวจการ ขณะนั้นเห็นชายชุดดำบริเวณกำแพง 1 คน จึงได้แจ้งให้ ส.อ.ภัทรนนท์ มีแสง เพื่อให้ตรวจดูชายชุดดำแทนพยาน เนื่องจากพยานต้องการเคลื่อนไปหน้าห้างเซ็นทรัลเวิลด์

ระหว่างตรวจการอยู่บนรางรถไฟฟ้า พยานไม่เห็นชุดของจ่าสิบเอกสมยศ ยิงปืนไปทางด้านใด เนื่องจากพยานอยู่ทางด้านหน้า ต่อมาผู้บังคับบัญชามีคำสั่งให้หน่วยของพยานถอนกำลังไปที่สถานีรถไฟฟ้าสยาม พยานอยู่ตรงนั้นจนถึงวันที่ 22 พ.ค.53 จึงกลับลพบุรี

ในวันที่ 19 พ.ค.53 นั้น ชุดของพยานและทหารในบังคับบัญชาของ พ.ท.นิมิตร แต่งกายชุดลายพรางและมีสติ๊กเกอร์ สีชมพูติดด้านหลังหมวกทุกนาย ที่ติดสติ๊กเกอร์ ที่หมวกเพื่อเป็นสัญญาลักษณ์บอกว่าเป็นทหารหน่วยเดียวกัน ซึ่งปกติจะไม่ติดมีการติดในวันที่ 19 พ.ค.วันเดียว สำหรับในหน่วย 9 นายที่พยานอยู่นั้นพยานทำหน้าที่เป็นพนักงานวิทยุ

บนรางรถไฟฟ้าไม่มีการยิงปะทะกันเนื่องจากไม่มีใครอยู่บนรางนั้น ส่วนกรณีชายเสื้อขาวสวมหมวกไหมพรมนั้นถืออาวุธ M16 ในท่าเล็งมาทางรางรถไฟฟ้า ระยะห่างจากจุดที่พยานอยู่ประมาณ 50 เมตร นอกจากคนนั้นแล้วไม่พบคนอื่นอยู่บริเวณนั้น โดยขณะที่พยานเห็นบุคคลดังกล่าวไม่มีการยิง แต่หลังจากนั้นไม่แน่ใจว่ามีการยิงขึ้นมาหรือไม่ ระหว่างที่อยู่หน้าวัดปทุมไม่เห็นและไม่ได้ยินทหารในชุดของพยานยิงปืน ในระหว่างที่เดินตรวจการนั้นเห็นประชาชนเดินในวัดปทุมฯ ตัวพยานนั้นไม่ถูกใครยิงปืนใส่และไม่ได้รับบาดเจ็บ


ที่มา.ประชาไท
//////////////////////////////////////

วันเสาร์ที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

รายงานพิเศษ : มะรอโซ จันทราวดี จากเหยื่อสู่ แกนนำ RKK.

รายงานชิ้นนี้ เกิดขึ้นภายหลังจากการลงพื้นที่เพื่อรับฟังและบันทึกข้อเท็จจริงเหตุการณ์รอบด้านจากการปะทะกันระหว่างกลุ่ม RKK ที่นำโดยนายมะรอโซ จันทราวดี (ผู้ต้องหาตามหมายจับ ป.วิอาญา และ พรก.ฉุกเฉินหลายคดี) กับเจ้าหน้าที่ทหารนาวิกโยธิน ประจำฐานปฏิบัติการทหารร้อยปืนเล็กที่ 2 หน่วยเฉพาะกิจนราธิวาส 32 บ้านยือลอ หมู่ 3 ต.บาเร๊ะเหนือ อ.บาเจาะ จ.นราธิวาสเมื่อเวลา ตี 1 ของวันที่ 13 กุมพาพันธ์ 2556 และการเดินทางลงพื้นที่เกิดเหตุในช่วงเย็นของวันเดียวกัน



หากผู้อ่านรายงานชิ้นนี้ ที่ไม่รู้จักนายมะรอโซ จันทราวดี ผู้เขียนแนะนำให้ไปค้นหาใน google แล้วพิมพ์ชื่อนี้ลงไป จะพบข่าวการรายงานเกี่ยวกับเรื่องนี้เป็นจำนวนมาก ส่วนใหญ่ก็มาจากการให้ข่าวของเจ้าหน้าที่รัฐเกือบทั้งหมด พร้อมด้วยข่าวการก่อเหตุ ณ ที่ต่างๆ ตามด้วยหมายจับจำนวนมาก ล่าสุดมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเสียชีวิตของคุณครูชลธี เจริญชล อีกด้วยที่ได้เป็นข่าวในช่วงก่อนหน้านี้

ปฐมเหตุของความคับแค้น

นางเจ๊ะมะ เจ๊ะนิ อายุ 53 ปี ผู้เป็นแม่ได้เล่าว่า หลังจากเหตุการณ์ประท้วงที่หน้า สภ.ตากใบ มะรอโซก็เปลี่ยนไปมาก มะรอโซกลับมาเล่าเหตุการณ์ตากใบให้คนที่บ้านฟังว่า วันนั้นตนเองโดนซ้อนทับ โดนถีบ มัดมือ ในรถบรรทุกของทหารที่จับตัวผู้ชุมนุมในคราวนั้น โดยได้ขนผู้ชุมนุมไปยังค่ายอิงคยุทธบริหาร จ.ปัตตานี ในขณะที่อยู่บนรถตัวเค้าเองพยายามดิ้นจนเชือกหลุดและได้ช่วยแก้มัดที่ข้อมือให้เพื่อนคนอื่นๆ ที่อยู่บนรถคันเดียวกัน โดยตลอดทางเค้าก็โดนถีบโดนเจ้าหน้าที่เอาปืนทุบที่ร่างกายของผู้ชุมนุมที่อยู่บนรถตลอดทาง มะรอโซได้บอกที่บ้านเสมอว่า เค้ารู้สึกเจ็บปวดและแค้นใจมาก เพราะว่าตัวเองไม่ได้ทำอะไรผิด



"ตอนกลับมาจากที่ชุมนุมใหม่ๆมะรอโซชอบเก็บตัวอยู่คนเดียว ไม่เหมือนก่อนหน้านี้เลย" นางเจ๊ะมะ เจ๊นิ ผู้เป็นแม่ตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับลูกชายของตนเอง

ขณะที่พูดคุยกับแม่ของนายมะรอโซ สังเกตได้ว่า แม่ของนายมะรอโซ ย้ำว่ารู้สึกผิดหวังกับการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐ ที่ปฎิบัติต่อผู้ชุมนุมเหตุการณ์ตากใบในครั้งนั้นเป็นอย่างมากและได้ย้ำตลอดว่า นายมะรอโซเปลี่ยนไป กลายเป็นคนเก็บตัว ไม่ค่อยได้คุยอะไรกับเค้า ทั้งที่จริงก่อนหน้านั้นนายมะรอโซ เป็นคนขยันขันแข็ง มีอาชีพรับจ้างทั่วไป ปลอกมะพร้าวขาย นำเสื้อผ้ามาขาย ทำเรื่องการค้าขายเก่ง ฯลฯ แต่เหตุการณ์ตากใบได้ทำให้นายมะรอโซกลายเป็นคนละคน

หลังจากนั้นไม่นานได้เกิดเรื่องใหญ่ในหมู่บ้านมีเหตุการณ์ลอบวางระเบิดรถเจ้าหน้าที่ทหารที่ลาดตระเวนในหมู่บ้าน ทำให้เจ้าหน้าที่เสียชีวิตทันที 10-11 คน ด้วยเหตุการณ์ในครั้งนั้น นายมะรอโซถูกศาลออกหมายจับในคดีข้างต้น จากเหตุการณ์ครั้งนั้นเป็นต้นมาชื่อของนายมะรอโซ ก็เป็นที่ต้องการของเจ้าหน้าที่ ทำให้นายมะรอโซต้องหนีออกจากหมู่บ้านโดยทันที ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาคดีต่างๆ ที่เกิดขึ้นในเขตพื้นที่ของอำเภอบาเจาะ ชื่อของนายมะรอโซได้ถูกระบุชื่อเกือบทุกครั้งว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทุกกรณี ไม่ว่าในฐานะผู้ปฎิบัติการเองหรือเป็นผู้สั่งการ !!!

เพื่อไม่ปล่อยให้เหตุการณ์ผ่านไป จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องทำความเข้าใจการกระทำของผู้ใช้ความรุนแรง ‪เพื่อจะเข้าใจวงจรการแก้แค้นและแสวงหาแนวทางใหม่ๆ ในการรับมือ รวมทั้งตั้งคำถามว่า ยุทธการจิตวิทยาของเจ้าหน้าที่รัฐ ยังมีช่องว่างอย่างไร ‪ หากจะตอบด้วยกรณีของนายมะรอโซ ช่องว่างที่ว่านี้ น่าจะเป็นเรื่องการไม่ทำความเข้าใจ ความรู้สึกถึงการไม่ได้รับความยุติธรรม และเป็นเงื่อนไขที่มีนักรบรุ่นใหม่เกิดขึ้นอยู่เสมอ เพราะกรณีเช่นนี้ ไม่ใช่เป็นบาดแผลทางประวัติศาสตร์ หากแค่เพียงในรอบทศวรรษกลุ่มขบวนการสามารถผลิตผู้ใช้ความรุนแรงได้เป็นจำนวนมาก และมีประสิทธิภาพที่แข็งแกร่งในเชิงการต่อสู้กับกองกำลังของรัฐ

ทั้งนี้ น่าสนใจว่าหากเป็นประสบการณ์ที่ประชาชนจำนวนมากมีส่วนร่วมทางการเมืองและเคลื่อนไหวเพื่อเรียกร้องความเป็นธรรม ด้วยการประท้วง ชุมนุม กดดันผู้มีอำนาจรัฐ ได้รับผลของการสลายชุมนุมเฉกเช่นเดียวกับเหตุการณ์ตากใบ ความรู้สึกคับข้องใจ โกรธแค้น และความรู้สึกไม่ได้รับความยุติธรรมจะมีลักษณะหน้าตาเป็นอย่างไร มีข้อถกเถียงอย่างไร และจะสามารถนำไปสู่การสร้างแนวทางในการจัดการกับความรู้สึกที่ไม่ได้รับความยุติธรรมได้อย่างไร



ครอบครัวมะรอโซ

การตัดสินใจเลือกเส้นทางนี้ก็ได้ทำให้ครอบครัวของมะรอโซ ถูกเจ้าหน้าที่ติดตามและบุกค้นบ้านอยู่บ่อยครั้ง นางเจ๊ะมะ เจ๊ะนิ ผู้เป็นแม่เล่าให้ฟังว่า ตนเองยังเคยโดนจับข้อหามีกระสุนปืนวางอยู่บนกล่องน้ำตาลทรายในบ้าน หลังจากเจ้าหน้ามาค้นบ้านทำให้แม่โดนจับไปที่ค่าย แต่ขังได้ไม่นานก็ปล่อยตัวกลับมา และน้องชายของนายมะรอโซก็โดนขังมาแล้ว 21 วัน ในข้อหาขว้างระเบิด แต่ก็ไม่มีหลักฐานที่จะเอาผิดได้ ก็ต้องปล่อยตัวออกมา แม่ของนายมะรอโซ วิเคราะห์ให้ฟังว่าการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐที่มีต่อครอบครัวก็เพื่อต้องการบีบบังคับให้นายมะรอโซออกมามอบตัวกับเจ้าหน้าที่รัฐ



สำหรับน้องชายของนายมะรอโซ ที่มีใบหน้าเหมือนกับพี่ ก็เคยโดนเจ้าหน้าที่ทหารจับในหมู่บ้านมาแล้ว โดยเจ้าหน้าที่คิดว่าเป็นนายมะรอโซ จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์วันหนึ่งที่เจ้าหน้าที่ได้สั่งให้น้องชายหมอบลงกับพื้นและจะลั่นไกยิง แต่ผู้เป็นแม่ตะโกนออกมาว่านั้นคือน้องชายของนายมะรอโซ

ขณะที่ผู้เป็นแม่เล่าให้ฟังและพลางชี้นิ้วไปหาน้องชายของนายมะรอโซที่กำลังยืนละหมาดใกล้ๆ แล้วกล่าวเบาๆว่า "น้องชายของนายมะรอโซแกสติไม่ค่อยดี" ทำไมต้องมาทำอย่างนี้อีก ส่วนรุสนีผู้เป็นภรรยากล่าวเสริมและย้ำว่า น้องชายหน้าเหมือนพี่ชายจริงๆ สองคนพี่น้องหน้าเหมือนกันมาก

นางเจ๊ะมะ เจ๊ะนิ ผู้เป็นแม่เล่าให้ฟังอย่างออกรสว่า ทหารมาค้นที่บ้านบ่อยมาก หลังๆ นี้หากว่าฉันอยู่ ทหารจะไม่ค่อยเข้ามาในบ้าน จะยืนอยู่หน้าบ้าน เพราะฉันจะด่าไม่หยุด จะด่าตลอด ทำไมต้องมาค้นบ้านทุกวันด้วย แต่หากว่าฉันไม่อยู่ทหารก็จะเข้ามาในบ้าน หากพิจารณาประสบการณ์ของครอบครัวนายมะรอโซ ดูเหมือนว่าหน่วยงานเจ้าหน้าที่รัฐมาเยี่ยมบ่อยกว่าญาติมิตรซะอีก

สำหรับการเสียชีวิตครั้งนี้ของนายมะรอโซ ผู้เป็นแม่รับได้ ไม่ได้กล่าวโทษเจ้าหน้าที่รัฐ เพราะเป็นการต่อสู้กันทั้งสองฝ่ายที่มีอาวุธ แต่ก็เชื่อและมั่นใจว่าลูกของตนเองเป็นคนดี แต่เหตุการณ์ตากใบต่างหากที่ทำให้ลูกเค้าต้องเปลี่ยนไปจนกระทั่งเสียชีวิต ทั้งๆ ที่การชุมนุมวันนั้นมะรอโซแค่เดินทางผ่านไปยังเส้นทาง ที่มีการชุมนุมเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาไปร่วมชุมนุมแต่อย่างใด



ชีวิตรัก นักรบ

ปี 2548 หลังจากเหตุการณ์ตากใบหนึ่งปีให้หลัง นายมะรอโซ ก็ได้ตัดสินใจแต่งงานกับ รุสนี แมเราะ อายุ 25 ปี ภรรยาของนายมะรอโซ ได้เล่าว่า ก่อนตัดสินใจแต่งงานกับนายมะรอโซ มะรอโซได้บอกกับตนแล้วว่าชีวิตของเค้าเป็นอย่างไร มะรอโซบอกว่า ตนเองนั้นมีหมายจับอยู่หลายคดีและชีวิตต้องหลบๆ ซ่อนๆ จะยอมแต่งงานกับเค้าไหม ? คำตอบของนางรุสนี ก็คือ ได้ตอบตกลงแต่งงานและครองรัก ไม่ได้ครองเรือน ตลอดระยะ 7 ปีที่ผ่านมา...

การดำเนินชีวิตคู่ของนายมะรอโซ ช่วงแรกๆก็ต้องไปใช้ชีวิตที่ประเทศมาเลเซีย เพื่อไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ แต่ไปได้ไม่นาน ก็กลับมาบ้าน เพราะมาเลเซียก็ไม่สามารถทำงานเลี้ยงชีพได้ดีนัก ประกอบกับไม่มีญาติพี่น้องอยู่ที่มาเลเซีย ทำให้ทั้งสองต้องเดินทางกลับมาที่บาเจาะ บ้านเกิดอีกครั้ง แต่สำหรับนายมะรอโซ แน่นอนไม่สามารถอยู่ที่บ้านได้ เพราะมีหน่วยทหารและเจ้าหน้าที่มาตรวจค้นที่บ้านเกือบทุกวันตลอดระยะเวลา 7 ปีที่ผ่านมา จนกระทั่ง เที่ยงคืนของวันที่ 13 กุมพาพันธ์ หลังจากที่มะรอโซเสียชีวิตแล้ว เจ้าหน้าที่ก็ยังมาบุกค้นบ้านนายมะรอโซ

"เจ้าหน้าที่จะมาค้นบ้านเสมอและฝากบอกที่บ้านว่าให้บอกนายมะรอโซ ให้มามอบตัวกับเจ้าหน้าที่ ฉันก็เคยพูดกับเค้าว่าจะมอบตัวไหม เค้าก็ตอบว่า เค้ามีหมายจับจำนวนมาก ถึงมอบตัวก็ไม่คุ้มและคงไม่มีโอกาสได้ออกมา" รุสนี แมเราะกล่าวทิ้งท้าย

ก่อนหน้านี้ประมาณ 5 วัน มีเจ้าหน้าที่ทหาร 4 คันรถ มาบุกค้นที่บ้านถือว่าเป็นครั้งล่าสุดก่อนที่มะรอโซจะเสียชีวิต ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาหลังจากนายมะรอโซโดนเจ้าหน้าที่ตามล่าอย่างหนัก เจ้าหน้าที่ระดับสูงบางคนถึงขั้นกล่าวว่า

"หากบาเจาะไม่มีมะรอโซ พื้นที่นี้จะสงบสุขทันที"

และตลอดระยะเวลาตามล่าตัว บุกค้นบ้านนายมะรอโซอย่างหนัก รุสนีก็ได้มีพยานรักกับนายมะรอโซ สองคน เด็กผู้หญิงอายุ 6 ขวบ และเด็กผู้ชายอายุ 17 เดือน มะรอโซกลับมาเยี่ยมลูกเดือนละสามครั้ง ครั้งล่าสุดนายมะรอโซได้มาเยี่ยมตอนกลางคืนของวันจันทร์ที่ 11 กุมพาพันธ์ สองคืนก่อนเกิดเหตุ ซึ่งครั้งนั้นอยู่ได้ไม่นานเท่าไร แต่การติดต่อครั้งนั้นไม่ใช่ครั้งสุดท้าย การสื่อสารทางเสียงเกิดขึ้นเมื่อคืนวันเกิดเหตุเวลาประมาณสามทุ่ม

"อาแบได้โทรมาคุย ฉันก็ถามว่าวันนี้จะกลับมาไหม อาแบบอกว่าคืนนี้มีงานนิดหน่อย และไม่แน่อาจจะกลับมาบ้าน"

ทว่าเช้าตรู่วันรุ่งขึ้นรุสนีได้ยินเสียงโทรศัพท์ปลายสายจากทหารที่คุ้นเคยกันดี ได้โทรมาบอกว่า นายมะรอโซอาจจะตายแล้ว และจะโทรมาบอกอีกครั้ง หกโมงเช้ารุสนีก็ได้รับโทรศัพท์อีกครั้ง ยืนยันว่านายมะรอโซได้เสียชีวิตแล้ว รุสนีได้เดินทางไปรับศพที่โรงพยาบาล หากแต่ทว่าศพของนายมะรอโซ ยังไม่ได้รับอนุญาตให้รับกลับไป เพราะว่ามีผู้ใหญ่ของเจ้าหน้าที่รัฐต้องการดูศพจำนวนมาก ทำให้กว่าได้รับศพกลับบ้านก็ตอน 11 โมงแล้ว

สำหรับบรรยากาศพิธีการฝังศพของนายมะรอโซ มีคนจำนวนมากมาร่วมงานศพและกล่าวสรรเสริญ พร้อมทั้งอวยพรให้ศพของนายมะรอโซ แต่ในเย็นวันนั้นหลังจากงานศพของนายมะรอโซ เด็กวัยรุ่นในหมู่บ้านก็โดนเจ้าหน้าที่รัฐจับไป 3 คน หลังจากเจ้าหน้าที่มาปิดล้อมหมู่บ้านอีกครั้ง

พิธีฝังศพก็เป็นไปในตามแบบฉบับของนักต่อสู้ ก็คือการไม่อาบน้ำศพและไม่ละหมาดศพ ฝังโดยทันที และเป็นไปตามความต้องการของผู้ตายที่ได้กำชับภรรยาใว้ ก่อนหน้านี้



รุสนีได้เล่าให้ฟังว่า มะรอโซเป็นคนที่เกรงใจคน ไม่ยอมไปหลบซ่อนหรือขอนอนบ้านชาวบ้าน เพราะเกรงว่าจะทำให้ชาวบ้านต้องเดือดร้อน มะรอโซก็จะผูกแปลนอนในป่าเป็นส่วนใหญ่ ส่วนตัวเราก็สงสารเพราะแฟนเหนื่อยมาก ต้องหลบๆ ซ่อนๆ แฟนทำงานหนักมากและมีความตั้งใจอย่างมาก

มะรอโซเค้ามักย้ำกับภรรยาเสมอว่า อยากให้ลูกสาวเรียนศาสนาเยอะๆ หากเป็นไปได้ อยากให้เรียนถึงต่างประเทศ โดยจะให้ความสำคัญกับเรื่องของศาสนามากๆ เพราะอยากให้ลูกทั้สองมีการศึกษาและเรียนสูงๆ เท่าที่ลูกจะเรียนได้

มะรอโซเป็นที่รักครอบครัวมาก อยากให้ครอบครัวสบายและเป็นคนที่ตามใจลูกมากๆ ลูกอยากได้อะไรก็พยายามหามาให้ มะรอโซเป็นคนที่รับผิดชอบสูงมากต่อครอบครัว แม้ว่าชีวิตของเค้าเองจะลำบากก็ตาม เค้าได้วางแผนเรื่องครอบครัว เรื่องเศรษฐกิจ การศึกษาของลูกๆ เพราะว่าต้องการให้ลูกเรียนสูงๆ โดยเฉพาะทางด้านศาสนา

หลังจากทราบข่าวจากทหารในพื้นที่ ที่ได้โทรมาบอกตอนเช้าว่า นายมะรอโซ ได้เสียชีวิตแล้ว ก็เหมือนว่าภารกิจของนายมะรอโซ เสร็จสิ้นแล้ว...

รุสนีได้กล่าวว่า เธอภูมิใจกับสามีอย่างมากที่ได้ทำหน้าที่ดูแลครอบครัวได้ดีเสมอมา และการเสียชีวิตครั้งนี้เธอไม่เสียใจเลย เพราะภรรยาของนายสุไฮดี ตะเห ผู้เป็นเพื่อนสนิทของนายมะรอโซ ที่ถูกเจ้าหน้าที่ยิงตาย ก็ไม่เสียใจ

คำถามสุดท้ายจากผู้เขียน "นายมะรอโซทำเพื่ออะไร" ?

รุสนี ภรรยานายมะรอโซ ทิ้งท้ายว่า "ก็รู้ๆ กันอยู่แล้วว่าทำเพื่ออะไร" ? พร้อมรอยยิ้มและคว้ามือไปจับตัวเด็กผู้หญิงที่กำลังนั่งเล่นซนอยู่ข้างๆ กับของเล่นชิ้นใหม่

ที่มา.pataniforum.
///////////////////////////////////////////////////

เสวนา : ประชาคมอาเซียน ผลกระทบต่อ ภาคประชาสังคม.

เตรียมพร้อมสู่การเป็นประชาคมอาเซียน ในปี 2015 “หนึ่งวิสัยทัศน์ หนึ่งเอกลักษณ์ หนึ่งประชาคม” บนก้าวย่างสู่ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ สิ่งที่ภาคประชาสังคมต้องเตรียมพร้อมรับมือคืออะไร การเปิดเสรีทางการค้า การรวมกันเป็นตลาดเดียว การหมุนเวียนสินค้าทางการเกษตร และอีกหลากหลายสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอาเซียนภายใต้กระแสทุนนิยมโลก นั่นอาจไม่ได้มีเพียงภาพที่สวยงามเสมอไป

เมื่อวันที่ 13 ก.พ.56 ภาควิชารัฐศาสตร์ วิทยาลัยบริหารรัฐกิจและรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต ร่วมกับ สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร และมูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ จัดสัมมนารัฐศาสตร์รังสิตวิชาการ 2556 ‘อาเซียนภิวัตน์’ (ASEANIZATION) ณ มหาวิทยาลัยรังสิต เมืองเอก โดยมีการแตกประเด็นเสวนาย่อยในเรื่อง ‘ผลกระทบของประชาคมอาเซียนต่อภาคประชาสังคม’
 
 
‘อาเซียน’ ในฐานะสายพานการผลิต มองมุมประเทศพัฒนา

กิ่งกร นรินทรกุล ณ อยุธยา รองผู้อำนวยการมูลนิธิชีววิถี กล่าวว่า อาเซียนอาจมองได้ในฐานะตลาดที่มีผู้บริโภคถึง 600 ล้านคน แต่ในสายตากลุ่มประเทศ G8 หรือกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำของโลก เราคือผู้รับจ้างผลิต ยิ่งเมื่อเราเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนหรือ AEC ภาพสายพานการผลิตสินค้าจากประเทศหนึ่งส่งต่อไปยังอีกประเทศหนึ่งก็จะชัดเจนขึ้น

ในส่วนของไทยที่ถือได้ว่าเป็นผู้นำการส่งออกสินค้าเกษตรที่ติดอันดับโลก ทั้งมันสำปะหลัง ยางพารา อ้อย ไก่และกุ้ง อย่างไรก็ตามสินค้าเหล่านี้แม้ผลิตจำนวนมากแต่มูลค่าไม่สูง เมื่อเปรียบเทียบกับสินค้าเพื่อการลงทุนที่เรานำเข้ามาจำนวนมาก และสัดส่วนเม็ดเงินที่มีผลต่อ GDP ของประเทศก็มาจากการส่งออกสินค้าที่รับจ้างผลิตและการบริการ ซึ่งมีมูลค่าสูงขึ้นเรื่อยๆ

อย่างไรก็ตาม ฐานทรัพยากรทางชีวภาพที่อยู่ในซีกโลกตะวันออกจะเป็นขุมทรัพย์ในอนาคต

‘เปิดเสรีการลงทุนภาคเกษตร’ เปิดทางขุดขุมทรัพย์สำหรับอนาคต

กิ่งกร กล่าวว่า ที่ผ่านมาภาวะวิกฤติเศรษฐกิจของโลกนั้นมักเกิดพร้อมๆ กับวิกฤติพลังงานและวิกฤติอาหาร โดยวิกฤตเศรษฐกิจโลกเมื่อปี 2551 นั้นน้ำมันมีราคาพุ่งขึ้นสูงถึงกว่า 40 บาทต่อลิตร ขณะที่คนประสบปัญหาขาดแคลนอาหาร ในครั้งนั้นธนาคารโลกได้ทำนายว่าวิกฤติดังกล่าวจะกลายเป็นวิกฤติอาหารถาวร เราจะเข้าถึงอาหารได้ยากขึ้นเรื่อย ในช่วงเวลาเดียวกันนั้นเอง กระบวนการแย่งยึดที่ดินได้เกิดขึ้นอย่างมหาศาล คาดการณ์ว่ามีจำนวนถึงกว่า 300 ล้านไร่ ทั่วโลก ส่วนหนึ่งอาจเนื่องมาจากความตระหนักว่าต่อให้มีเงินก็ไม่ได้หมายความว่าจะซื่ออาหารได้ในช่วงภาวะวิกฤติ

สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้หลายประเทศต้องปรับตัว ยกตัวอย่าง สิงคโปร์มีการส่งเสริมการลงทุนทำเกษตรในพื้นที่สมบูรณ์ บางประเทศมีการนำกองทุนบำเหน็จบำนาญไปกว้านซื้อที่ดินและซื้อผลผลิตทางการเกษตรล่วงหน้า ซึ่งตรงนี้เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้กลไกราคาสินค้าเกษตรผิดเพี้ยน

กิ่งกร กล่าวถึงการเปิดเสรีสินค้าว่า ที่ผ่านมามีการทยอยทำมานานแล้ว ตั้งแต่ AFTA หรือเขตการค้าเสรีอาเซียน เมื่อปี 2538 มาจนถึงปัจจุบันจึงค่อนข้างเสรีอยู่แล้ว และตรงนี้ส่งผลทำให้การตัดสินใจของรัฐอยู่ภายใต้ทุน ไม่ได้เป็นการตัดสินใจโดยอิสระ

แต่ข้อตกลงของอาเซียนมีสิ่งที่น่าจับตาคือ ‘การเปิดเสรีการลงทุนในภาคเกษตร’ ทั้งการผลิต เลี้ยงสัตว์ ประมง เพาะปลูก ไปจนถึงพันธุ์พืช-พันธุ์สัตว์ และเหมืองแร่

“กิจกรรมทางการเกษตรตรงนี้เป็นขุมทรัพย์การลงทุนในอนาคต โดยเฉพาะการผลิตพันธุ์พืช-พันธุ์สัตว์ซึ่งเป็นปัจจัยในการผลิต การเปิดเสรีการลงทุนในภาคเกษตรแสดงถึงการที่ทุนต้องการเคลื่อนย้ายการลงทุนในเรื่องนี้อย่างเสรี” กิ่งกรกล่าว

รองผู้อำนวยการมูลนิธิชีววิถี กล่าวถึงแผนการผลิตในอาเซียนว่า มีการวางให้ลาวและพม่าเป็นฐานการผลิตทางการเกษตร ส่วนไทย ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม เป็นประเทศที่ทำการผลิตขั้นที่ 2 คือทำการแปรรูปและผลิตปัจจัยการผลิต เพื่อป้อนประชากรในประเทศที่ทำข้อตกลงทางการค้ากับอาเซียน ทั้งอาเซียน+3 +6 และ +10 จำนวนกว่า 3,200 ล้านคน ทั้งนี้เพราะภูมิภาคนี้ยังมีทรัพยากรชีวภาพที่อุดมสมบูรณ์ เป็น ‘ประเทศหน้าดินใหม่’ ขณะที่แอฟริกาแห้งแล้งเกินไป ส่วนลาตินอเมริกาทรัพยากรชีวภาพถูกใช้จนพรุนไปหมดแล้ว

การป้องกันการแสวงหาผลประโยชน์ตรงนี้ทำได้โดยใช้ภาษี แต่ไทยกลับเปิดหมดทุกอย่าง ไม่มีการสงวนสิทธิ์ในสินค้าที่อ่อนไหว เพราะประเมินว่าเราได้เปรียบทางการค้า และคิดว่าจะส่งผลดีต่อการไหลเวียนของวัตถุดิบในการผลิต เช่น ในอุตสาหกรรมอาหารสัตว์

แต่ในทางตรงข้าม จากข้อมูลที่มีกลับพบว่าไทยเก่งเพียงในเชิงปริมาณแต่ไม่มีผลิตภาพ ยกตัวอย่าง การปลูกข้าว ของไทยนั้นมีผลผลิตต่อไร่ต่ำ โดยอยู่ที่ 440 กิโลกรัมต่อไร่ เป็นอันดับที่ 7 ของอาเซียน ขณะที่ต้นทุนการผลิตต่อไร่สูงกว่าเพื่อนบ้านมาก อย่างไรก็ตามไทยก็ยังมีความได้เปรียบในเรื่องปริมาณพื้นที่ในการผลิต และรอบการผลิตที่สูงกว่าซึ่งก็ทำให้คุณภาพของข้าวลดลงด้วย

กิ่งกร กล่าวด้วยว่า กระเทียมเป็นตัวอย่างของผลกระทบจากการเปิดเสรีทางการค้า ที่ผลผลิตจากต่างประเทศเข้ามาตีตลาดภายในประเทศ ทำให้เกิดความหวั่นเกรงต่อพืชผลที่เป็นยุทธศาสตร์สำคัญของประเทศที่ต้องแข่งขันอย่างเข้มข้นโดยเฉพาะในกลุ่มประเทศอาเซียนล้วนแต่ผลิตสินค้าชนิดเดียวกัน ซึ่งก็คงจะต้องแข่งขันจนตายกันไปข้างหนึ่ง

นอกจากนี้ การเปิดเสรีการค้าการลงทุนกับยุโรป (FTA) และอเมริกา (TPP) ที่กำลังจะมีขึ้น บริษัทข้ามชาติขนาดใหญ่อย่าง ซินเจนทา ดูปองท์ และมอนซานโต้ ฯลฯ จะเป็นผู้ที่ได้รับประโยชน์ โดยบริษัทเหล่านี้จะร่วมกับนักลงทุนในภูมิภาคเข้ามาแย่งยึดเมล็ดพันธุ์ซึ่งเป็นหัวใจในการผลิตทางการเกษตรและยังเป็นหัวใจของโลกในอนาคตไป ตรงนี้จะทำให้เกษตรกรสูญเสียความสามารถในการผลิตและเปิดทางให้บริษัทยักษ์ใหญ่ของโลกเข้ามาครอบครองทรัพยากรพันธุกรรม

ฝากความหวัง ‘คนรุ่นใหม่’ มองปัญหากว้าง ตื่นตัวเป็นพลเมืองที่มีสิทธิมีเสียง

ในส่วนของข้อเสนอ กิ่งกร กล่าวว่า ควรมีการปรับโครงสร้างการผลิตภายในให้เข้มแข็ง พัฒนาผลิตภาพการผลิต ส่งเสริมการชลประทานให้ครอบคลุม และให้มีการปฏิรูปที่ดิน ตรงนี้จะเป็นทางรอดของเกษตรกร คนกิน และเศรษฐกิจของประเทศด้วย นอกจากนี้ รัฐควรปิดกันนักลงทุนบ้าง ในขณะเดียวกันก็ควรส่งเสริมวิสาหกิจของเกษตรกรรายย่อยเพื่อให้สามารถไปสู้กับทุนได้

กิ่งกร ยังได้ฝากถึงคนรุ่นใหม่ว่า อยากให้มองปัญหาให้กว้างไปถึงในบริบทของโลก ใช้กระบวนการของโลกาภิวัตน์และเทคโนโลยีการสื่อสารให้เป็นประโยชน์ ศึกษาข้อมูลในฐานะพลเมืองของประเทศ ของอาเซียน และของโลก เมื่อโลกกำลังก้าวเข้าสู่ภาวะวิกฤติของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการเปิดเสรีทางการค้าก่อผลกระทบจริงๆ และใกล้ตัวเรามากขึ้น คนรุ่นใหม่จะลุกขึ้นมาทำตัวเองให้เป็นพลเมืองที่มีสิทธิมีเสียง แสดงความตื่นตัวต่อสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างไรบ้าง

“เป็นพลเมืองที่ตื่นรู้ ทำความเข้าใจต่อโลก ภูมิภาค และท้องถิ่นที่ตนเองอยู่” กิ่งกรฝากความหวังต่อคนรุ่นใหม่

หนุนแนวคิดดูแล ‘ลูกของแผ่นดิน’ คุ้มครองผู้บริโภคในประเทศ

อิฐบูรณ์ อ้นวงษา หัวหน้าศูนย์พิทักษ์สิทธิผู้บริโภค มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค กล่าวให้ข้อมูลว่า ตัวเลขสินค้าเข้าและสินค้าออก ปี 2555 จากเว็บไซต์กระทรวงพาณิชย์ พบว่าสินค้านำเข้าอันดับ 1-5 ของไทย คือ 1.น้ำมันดิบ 2.เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ 3.เครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ 4.เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ และ 5.เคมีภัณฑ์ ตามลำดับ เหล่านี้ล้วนเป็นสินค้าเพื่อการลงทุน

ขณะที่สินค้าส่งออกอันดับต้นๆ ของไทยส่วนใหญ่ล้วนเป็นผลผลิตจากภาคอุตสาหกรรม โดยมีน้ำมันสำเร็จรูปอยู่ในอันดับ 4 และยางพาราที่เป็นสินค้าภาคเกษตรอยู่ใน อันดับ 5

น้ำมันสำเร็จรูปที่ไทยส่งออกนั้น ผลิตได้จาก 2 ส่วนคือน้ำมันดิบน้ำเข้าและโรงกลั่น 6 แห่งที่มีอยู่ภายในประเทศ โดยได้สิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษี (BOI) การนำเข้าวัตถุดิบ แต่ราคาขายสำหรับผู้บริโภคในประเทศกลับไม่ได้ต่ำลง และมีการตั้งราคาขายตามราคาสิงคโปร์ ส่วนน้ำมันที่ส่งออกไปยังสิงคโปร์กลับไม่บวกค่าขนส่งโดยให้เหตุผลว่าเพื่อการแข่งขันทางการตลาด ส่งผลให้น้ำมันสำเร็จรูปในไทยราคาแพง ทั้งที่เรามีความสามารถผลิตเพื่อส่งออกได้

หัวหน้าศูนย์พิทักษ์สิทธิผู้บริโภค ยกตัวอย่างแนวคิดของมาเลเซีย ในเรื่องการปกป้องคุ้มครองลูกของแผ่นดิน โดยรัฐดูแลให้คนในประเทศได้ใช้สินค้าราคาถูกกว่าคนภายนอก ซึ่งไม่ใช่การอุดหนุนเงินของคนกลุ่มหนึ่งไปให้คนอีกกลุ่มหนึ่ง โดยเทียบกับการที่ประเทศไทยส่งออกน้ำมันสำเร็จรูปให้พม่าเป็นอันดับ 10 แต่คนพม่ากลับได้ใช้น้ำมันถูกกว่าคนไทย

อิฐบูรณ์ กล่าวว่า การรวมตัวเป็น AEC ที่มีการพูดถึงข้อดีว่าสินค้าจะไหลเวียนเปลี่ยนผ่าน แต่นั่นจะไม่รวมไปถึงน้ำมันสำเร็จรูป เพราะรัฐไทยมีการสร้างกำแพงโดยมาตรการพิเศษ จากการที่เพื่อนบ้านอย่างอินโดนีเซียและมาเลเซียผลิตน้ำมันภายใต้มาตรฐานยูโรทู แต่โรงกลั่นในไทยใช้มาตรฐานยูโรโฟร์เพื่อให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมซึ่งสูงกว่า ทำให้น้ำมันที่ไม่ได้มาตรฐานนี้ไม่สามารถเข้ามาขายได้ ตรงนี้คือมาตรการกีดกันทางการค้า ทั้งที่คนทั่วไปต้องการซื้อน้ำมันราคาถูก

“เมื่อเศรษฐกิจมีการแข่งขันสูงขึ้น ประชาชนแทนที่จะได้ประโยชน์ แต่ภาคธุรกิจเห็นเป็นลบกีดกันไม่ให้ประชาชนได้ประโยชน์จากการแข่งขัน” หัวหน้าศูนย์พิทักษ์สิทธิผู้บริโภคกล่าวถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้น

ชี้ ‘ทุน’ มีอำนาจเหนือรัฐ ยิ่งมี ‘AEC’ รัฐยิ่งจำกัดกรอบอำนาจ

อิฐบูรณ์ กล่าวต่อมาว่า ทิศทางการพัฒนาเศรษฐกิจของอาเซียนมีทุนเข้ามาเกี่ยวข้อง และกลไกลตลาดเสรีแบบ AEC รวมทั้งนโยบายทางเศรษฐกิจต่างๆ ของรัฐ สิ่งเหล่านี้ล้วนถูกออกแบบไว้อยู่แล้วโดยคนกลุ่มหนึ่งที่มีอิทธิพลของโลก การรวมตัวของอาเซียนเป็นส่วนหนึ่งในการเข้าสู่ประชาคมโลก ซึ่งจะก้าวสู่ลัทธิจักรวรรดินิยมโดยที่ไม่ต้องมีการสู้รบเพื่อยึดครอง อีกทั้งยังมีการประชาสัมพันธ์อย่างต่อเนื่องถึงผลดี แต่สิ่งที่มองไม่เห็นคือมาตรการที่ค่อยเป็นค่อยไป และปัญหาที่ยังไม่ได้มีการเตรียมการแก้ไข

ในส่วนของประเทศไทย อิฐบูรณ์ กล่าวว่า กฎหมายเพื่อตรวจสอบถ่วงดุลอย่างกฎหมายองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภคถูกดอง การเข้าสู่ AEC ทำให้มีการปลดล็อคทางเศรษฐกิจ การส่งออก-นำเข้า แต่กลับไม่ปลดล็อคการมีส่วนร่วม การมีปากมีเสียงของประชาชน

“ขอย้ำว่าทุนมีอำนาจเหนือรัฐในทุกด้าน โดยเฉพาในการเข้าถึงการจัดสรรทรัพยากร และ AEC จะยิ่งทำให้รัฐจำกัดกรอบอำนาจของตัวเองและเปิดให้ทุนต่างชาติเข้าถึงทรัพยากร ส่งผลให้เกิดการจัดสรรทรัพยากรที่ไม่เป็นธรรมและจะเกิดการแย่งชิงทรัพยากรขึ้นในทุกพื้นที่” อิฐบูรณ์กล่าว


ที่มา.ประชาไท
////////////////////////////////////////

วันศุกร์ที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

เปิดใจลูกผู้ชายชื่อ.ชัชวาลย์ คงอุดม กลางมรสุม ชำระแค้น !!?


เปิดใจลูกผู้ชายชื่อ...“ชัชวาลย์  คงอุดม”กลางมรสุม “ชำระแค้น”!!!
“ใครจะมาบีบคั้นผมไม่ได้หรอก ผมผู้ชาย ผมตัดสินใจไปแล้ว ตายเป็นตาย”

ชัชวาลย์ คงอุดม อดีตสว. กทม. และคอลัมนิสต์อาวุโส หนังสือพิมพ์สยามรัฐ หลังต้องเผชิญกับกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก เมื่อ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) สั่งอายัดทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดในรายคดีสำคัญไว้ชั่วคราว คือโฉนดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง เนื้อที่ 2 งาน 40 ตารางวา ราคาประเมิน 10 ล้าน 8 แสนบาท กลางชุมชนตรอกข้าวสาร ย่านบางซื่อ ตามความผิดการกระทำผิดเกี่ยวกับการพนัน ตามมาตรา 3(9) แห่งพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542

 นับจากวันที่ 6 ก.พ.2556 ที่ผ่านมาชัชวาลย์ ถูกพาดพิงมาโดยตลอด ทั้งทางตรงและทางอ้อม จากคนในรัฐบาลและจากสื่อบางสำนัก ด้วยการโยงใยชื่อของเขาเข้าไปเกี่ยวพัน โดยที่เขาเองไม่เคยออกมาชี้แจงข้อเท็จจริง แต่อย่างใด และนี่คือการเปิดใจครั้งแรกอย่างเป็นทางการ ผ่าน “สยามรัฐสัปดาหวิจารณ์” ถึงความรู้สึกและเรื่องราวต่างๆ ดังนี้

ผู้สื่อข่าว-ตั้งแต่พรรคเพื่อไทย เข้ามาเป็นรัฐบาล และร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง มาเป็นรองนายกฯ ดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ก็มีการพูดถึงบ่อนเตาปูนมาอย่างต่อเนื่อง ขณะที่สื่อบางส่วนก็พาดพิง มาถึงคุณชัชวาลย์ ซึ่งข้อเท็จจริงที่ผ่านมา โดยส่วนตัวก็ยังไม่เคยออกมาพูดอะไร ล่าสุดเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ป.ป.ง. มีคำสั่งอายัดที่ดินและสิ่งปลูกสร้างบริเวณที่เชื่อว่าเป็นบ่อนการพนัน มีสื่อบางสำนักเช่นโพสต์ทูเดย์ และรายการทีวีของสนธิ ลิ้มทองกุล เอ่ยถึงชื่อโดยตรง อยากให้เล่าให้ฟัง ว่าเรื่องราวเป็นมาอย่างไร
   
ชัชวาลย์- รู้สึกว่าจะมี “โพสต์ ทูเดย์” ลงชื่อชัดเจนว่าเป็นนายชัชวาลย์ คงอุดม จริงๆแล้วผมไม่เล่นการพนันมานานแล้ว เลิกมาประมาณ 20 ปีแล้วและไม่เคยไปเห็นบ่อนไหนเลย ไม่เคยไปเข้าที่ไหนทั้งสิ้น ตอนเป็น สว.กทม. ก็เคยแค่ไปเยี่ยมพรรคพวกที่มาเก๊า แต่ไม่ได้เล่น แต่เสมัยก่อนที่เป็นเด็ก อายุยังน้อย เรายอมรับว่าเราเล่น ชอบเล่น อาจเป็นเพราะเรา ยังไม่มีอาชีพอะไรเป็นหลักแหล่ง เราถือว่าเรื่องของการพนันเป็นเรื่องของการเสี่ยง ได้ก็เอา เสียก็ให้ เราไม่ได้ไปลักขโมยใครมา มันไม่ใช่เรื่องเลวทรามอะไร แต่บังเอิญว่าเรามาเกิดในประเทศไทย ก็เลยกลายเป็นคนไม่ดีไป ที่มาเล่นการพนัน ทั้งที่ในโลกเขาก็มีกันหมด มันเป็นวิถีชีวิตของแต่ละคน
   
แต่ปรากฎว่าระยะหลังๆ มีมาตลอด ได้ข่าวได้อะไร ก็พยายามพาดพิงเรา แต่ในเมื่อเขาไม่ได้เอ่ยชื่อ เราก็ไม่รู้จะพูดอย่างไร แต่อย่างกรณีที่บางสื่อ (โพสต์ ทูเดย์) มีการเอ่ยชื่อกันมา ลงชัดเจน ถ้าเราไม่พูดเสียเลย ก็กลายเป็นว่าเราไปยอมรับ เป็นเจ้าของ จึงต้องพูด
   
ผมไม่เล่นการพนันมาเกือบ 20 ปีแล้วนะ ไม่เคยสนใจอะไร ตื่นเช้าขึ้นมาก็ทำแต่งาน ระยะหลัง ๆ เมื่ออาจารย์หม่อมฝากหนังสือพิมพ์สยามรัฐเอาไว้ เราก็มาทำงาน ตื่นมาก็มาสยามรัฐ เมื่อก่อนนี้ตอนที่ลูกชายยังไม่มาดูแลสยามรัฐ เพราะยังไม่กลับจากอังกฤษ ผมก็จะมาดูแลเอง เสร็จงานก็ตีสาม ถึงจะกลับบ้านได้ ไม่เคยไปใส่ใจกับเรื่องอะไรเลย

มีการระบุว่าระหว่างคุณชัชวาลย์ กับ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกฯ มีปัญหาส่วนตัวกัน
   
ชัชวาลย์-ผมจะเล่าความเป็นมาระหว่างผมกับ คุณเฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรีให้ฟังนะครับ เมื่อปี 2531 คุณเฉลิม ส่งคนลงสมัครผู้ว่าฯ กทม. จำได้ว่าชื่อคุณชิงชัย ต่อประดิษฐ์ อดีตอัยการ ซึ่งได้ให้คุณพัลลภ บัวสุวรรณ (อดีต สว.) ตอนนั้นเป็นผู้อำนวยการองค์การสื่อสารมวลชนแห่งประเทศไทย (อ.ส.ม.ท.) ในฐานะที่เคยรู้จักกัน แต่ไม่ถึงสนิท แต่เมื่อมีคนรักชอบกับเรามาบอกแบบนี้ ผมก็เอา หลังจากนั้นคุณเฉลิม ก็มางานวันเกิดผม ขึ้นไปบนเวที เราก็อยากจะช่วยเขา จึงบอกกับพรรคพวกว่า ให้ช่วยคุณเฉลิมด้วย เพราะชอบพอกัน แต่ตอนนั้นเราก็รับปากว่า เราจะช่วยเฉพาะที่เขตบางซื่อเท่านั้นนะ ที่อื่นคงช่วยไม่ได้ เพราะในสมัยนั้นพล.ต.จำลอง ศรีเมือง (อดีตหัวหน้าพรรคพลังธรรม) ท่านแข็งแกร่งมาก มีคนนิยมศรัทธามาก
     
หลังจากนั้นคุณเฉลิม ก็ติดต่อผมมาอีก ว่า “มหามิตร ขอให้ช่วยสนับสนุนเพื่อนหน่อย” โดยขอให้ช่วยจัด สก.และ สข. ลงในเขตบางซื่อให้หน่อย แต่ผมบอกว่า ผมคงจัดให้ไม่ได้ เพราะถ้าผมจัดลงให้แล้วอาจารย์หม่อม (ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช) ซึ่งผมเคารพนับถือเหมือนพ่อผม ท่านจะว่าผมได้ว่าไปจัดให้คนอื่นได้อย่างไร ผมจึงไม่กล้าจัด ตั้งแต่วันนั้นคุณเฉลิมก็ไม่พอใจ โกรธผม มองว่าผมเป็นคนทำบ่อน ก็เลยเอาตำรวจมาตั้งด่าน ที่หน้าบ้านผมซึ่งเป็นที่ตั้งของบริษัทคงอุดมในปัจจุบันนี้
     
เท่านั้นยังไม่พอ มีคนเห็นเจ้าหน้าที่ตำรวจไปกรีดรถคนที่เข้าออก ในซอย ซึ่งเขาไม่เกี่ยวข้องอะไรเลย แต่ไปกรีดรถเขา ตอนนั้นจำได้ว่าเป็นตำรวจยศรองผู้กำกับอยู่กองปราบ ผมก็ไปบอกเขาว่า ในเรื่องของการพนันหากเห็นว่าผิดก็ให้ไปจับ ไม่มีปัญหาหรอก แต่มันไม่ถูกต้องที่จะมากรีดรถคนอื่น เราก็ไม่ทราบว่าเขารายงานกันอย่างไร คุณเฉลิม ก็ไปที่บ้านซอยสวนพลู ไปถามอาจารย์คึกฤทธิ์ ว่า ผมเป็นลูกจริงหรือไม่ อาจารย์หม่อม ก็ถามว่า ถามทำไม คุณเฉลิม คนเขารู้กันทั้งประเทศ จากนั้นก็มีคำสั่งให้ถอนกำลังออกไป และอาจารย์หม่อมก็ให้คุณสละ ผดุงวรรณ ซึ่งเป็นคนดูแลท่านโทรมาบอกผมว่า คุณเฉลิมเข้ามาพบท่าน และจากวันนั้นมาคุณเฉลิม ก็หยุดไป จะด้วยเหตุผลอันใด ผมไม่ทราบ
     
ต่อมาในปี 2533 ก็มีเหตุการณ์คณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.) ทำการปฏิวัติขึ้น คุณเฉลิม ก็ได้หนีออกนอกประเทศไป ด้วยความที่เราเป็นคนไทย เราเองยังรู้สึกว่ามันไม่เป็นธรรมกับคุณเฉลิมเขา ระหว่างคนที่มีปืนกับอีกคนที่ไม่มี จนกระทั่งทราบว่าตอนหลังที่คุณเฉลิม สามารถเดินทางกลับเข้าประเทศไทยได้นั้น เป็นเพราะ พี่หมอเพรา นิวาตวงษ์ ที่ผมเองก็เคารพนับถือท่านมาก ไปขอกับ “บิ๊กสุ” พล.อ.สุจินดา คราประยูร ให้ จึงได้กลับประเทศไทย
   
จากนั้นในปี 2539 เมื่อพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ได้เป็นนายกรัฐมนตรี ขณะที่คุณเฉลิม ได้เป็น มท.6 ขณะที่ผมเอง ในช่วงนั้นก็ได้เข้ามาทำงานที่สยามรัฐแล้ว และคืนหนึ่งเท่าที่จำได้ ประมาณตีหนึ่งคุณเผด็จ ภูรีปฎิภาณ หรือที่รู้จักในนามปากกานักหนังสือพิมพ์ว่า “พญาไม้”ได้โทรมาบอกผมว่า “น้า ผมนั่งอยู่กับร.ต.อ.เฉลิม และพี่ร่าง (พล.ต.อ.สล้าง บุนนาค) ที่ร้านอาหารเท็น สาธร น้ามาหน่อยสิ” ผมก็ไป ในครั้งนั้นคุณเฉลิมก็บอกว่า “น้าดูแลเพื่อนฝูงหน่อย” ซึ่งที่คุณเฉลิมพูดนั้นหมายความถึงให้สยามรัฐช่วยดูแลเรื่องข่าวให้ และผมก็รับปาก เพราะผมถือว่า เรื่องเก่าๆลืมมันไปเสีย ในครั้งนั้นก็มีการพูดคุยกันเป็นอย่างดี
   
แต่พอ 2-3 วันต่อมา คุณเฉลิมไปภูเก็ต และพาลูกชายไปด้วย และลูกชายเกิดไปมีเรื่องที่ภูเก็ต นสพ.สยามรัฐก็ลงข่าวตามปกติตามจรรยาบรรณของหนังสือพิมพ์ โดยที่ไม่ได้แสดงความเห็นอะไรให้คุณเฉลิมเกิดความเสียหายแต่อย่างใดเลย เพียงแต่ข่าวก็ต้องเป็นข่าวเท่านั้น เพราะเราเป็นหนังสือพิมพ์ แต่คุณเฉลิมกลับโกรธจัด และมีการตั้งด่านตรวจ ค้นคนเข้าออกหน้าบริษัทคงอุดมเหมือนอย่างปี 2531 จากนั้นได้เรียกประชุมทั้งการไฟฟ้า ประปา และเขตบางซื่อ เพื่อจะให้เขตรื้อรั้วบ้าน แต่เขตบอกไม่สามารถรื้อได้ เนื่องจากเป็นที่ส่วนบุคคล จากนั้นก็จะให้รื้อบ้าน โดยบอกว่า ปลูกโดยไม่มีแบบ ซึ่งเขตก็บอกรื้อไม่ได้ เพราะบ้านหลังนี้ปลูกก่อนที่จะมีเทศบัญญัติออกมา
   
ต่อมาหลังหมดรัฐบาลยุคพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธไปแล้ว คุณเฉลิมก็ให้คุณเผด็จติดต่อกลับมาอีก ว่าเขาจะลงสมัครรับเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม. ขอมากินข้าวเที่ยงกับผมที่สยามรัฐ เพื่อต้องการจะพูดคุยกับผมเรื่องขอให้ช่วยในการลงสมัครผู้ว่าฯกทม. ผมก็ตอบตกลง ในวันนั้นที่นั่งกินข้าวกันก็มี ผม มีคุณเฉลิม คุณเผด็จ คุณประสงค์ (บารอน) และคุณวิโรจน์(บก.สยามรัฐ)นั่งอยู่ด้วย แต่คุณเฉลิมไม่ได้พูดถึงเรื่องของการลงสมัครผู้ว่าฯกทม.เลย เพียงแต่เล่าให้ผมฟังว่า ลูกชายของคุณเฉลิมหลุดจากคดียิงดาบยิ้มได้อย่างไรเท่านั้น
     
พอคุณเฉลิมกลับไป ก็โทรไปหาหาลูกชายผม คือ “แมน” โดยบอกว่า “อาได้มาเจอกับพ่อแล้ว ให้แมนช่วยอาหน่อยนะ” “แมน”ก็มาถามผมว่า พ่อจะช่วยเขาหรือ ผมก็บอกกับลูกชายผมว่า “เขามาเจอพ่อจริงลูก แต่เขาไม่ได้ขอให้พ่อช่วยเรื่องเลือกตั้งเลย แล้วเราจะไปช่วยได้อย่างไร” พอผลการเลือกตั้งออกมา คุณเฉลิมก็สอบตก แล้วจากนั้นเราก็ไม่ได้ติดต่อกันอีกเลย
     
จนกระทั่งปี 2550 ที่คุณสมัคร สุนทรเวช เป็นนายกฯ คุณเฉลิมเป็นรัฐมนตรีมหาดไทยอีก ก็มีการตั้งด่านตรวจค้นบริเวณหน้าบ้านผมอีก ซึ่งผมก็ไม่เคยไปว่า เขาจะทำอะไร เพราะผมถือว่า เป็นเรื่องของเจ้าหน้าที่ตำรวจ และเมื่อกลับมาเป็นรัฐมนตรีอีกครั้งในสมัยนี้ ก็มีเหตุการณ์อย่างที่ท่านผู้อ่านทั้งหลายทราบว่า มีเฉพาะบ่อนเตาปูนที่ถูกบีบคั้น ผมก็ไม่เข้าใจว่า อะไรกันนักหนา แค่ผมไม่ช่วยจัดสก.สข.ลงในพรรคของคุณเฉลิมในครั้งนั้น จะมีการเจ็บแค้นกันได้ถึงขนาดนี้
     
เพราะฉะนั้นการที่เขาจะยึดที่ดินหรือบ้านใคร ก็เรื่องของเขา ไม่ใช่เรื่องที่ผมจะวิตกหรอกครับ ที่เล่าให้ท่านผู้อ่านฟังทั้งหมดนี้ เพียงอยากให้ท่านทั้งหลายได้ทราบว่า มันเป็นเรื่องส่วนตัว บ้านหลังนี้ผมขายไปตั้งแต่ปี 2550 ก่อนที่จะมีกฎหมายฟอกเงินที่ออกมาในปี 2552 เสียอีก และก็ขายกันอย่างถูกต้องครับ ไม่มีนอกไม่มีใน ไปตรวจสอบการเสียภาษีที่กรมที่ดินได้ครับ และก็ขายกันเพียง 4 ล้านเท่านั้นเองครับ เพราะเป็นที่ที่รถเข้าไม่ถึง คนจะต้องเดินเข้าไปเป็น 100 เมตร เพราะฉะนั้นราคา 10 ล้าน มันเป็นไปไม่ได้หรอกครับ ใครที่ไหนจะมาซื้อ
     
ผมเชื่อว่า เขาคงไม่ยอมรับหรอกครับ เพราะที่ผมเล่ามานี้เป็นเรื่องจริง แต่ผมเป็นลูกผู้ชายครับ ผมพูดอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น ผมไม่ใช่คนโกหกปลิ้นปล้อน ไม่เคยสร้างภาพ ยืนยันครับ ผมชอบเล่นการพนัน ผมก็บอกว่า ผมชอบเล่น แต่ผมไม่เคยบอกเลยครับว่า ผมเปิดบ่อน ที่พูดอย่างงี้ เพราะผมเห็นว่า มันไม่ผิดตรงไหนเลยกับคนที่ชอบเล่นการพนัน ในต่างประเทศเขาอนุญาตให้เปิดบ่อนได้ มันก็เป็นเรื่องถูกต้อง แต่ประเทศไทยไม่อนุญาตให้เปิดบ่อน มันก็เป็นเรื่องผิดกฎหมาย ทั้งที่ทั่วโลกเขามีบ่อนการพนันกัน เพียงแต่พูดให้หรูหน่อยว่า “กาสิโน”นั่นเอง
     
และในทุกๆประเทศรอบบ้านเรานี้ ก็มีทั้งพม่า มาเลย์ เขมร เขาก็มีกันหมดทุกประเทศแหละครับ แต่ประเทศของเราบ่อนถูกกฎหมายไม่มี จึงทำให้คนไทยของเราต้องออกไปเล่นยังเพื่อนบ้านเหล่านี้ เรื่องอย่างงี้คุณเฉลิมก็รู้ดี เพราะคุณเฉลิมเป็นคนมีเพื่อนเยอะ ใครเปิดอยู่ตรงไหน คุณเฉลิมก็รู้หมด แม้แต่ในประเทศพม่า คุณเฉลิมก็รู้ดีว่า ใครไปเปิด

มีการพูดกันว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ส่วนหนึ่งมีการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย เนื่องจากคุณชัชวาล ไปให้การสนับสนุนผู้สมัคร ผู้ว่าฯกทม. ของพรรคประชาธิปัตย์ เพื่อหวังตัดกำลังพรรคเพื่อไทย
   
ชัชวาลย์-พูดจริงๆแล้ว ผมเองก็รู้จักผู้สมัครผู้ว่ากทม.เที่ยวนี้แทบทุกคน ทั้งพล.ต.อ.เสรีพิสุทธิ์ เตมียาเวส , ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ หรือคุณเมตตา เต็มชำนาญหรือที่รู้จักกันคือ”ตู่ ติงลี่” อย่างคุณโฆษิต สุวินิจจิต เองก็มากินข้าวที่สยามรัฐกันบ่อยๆ แล้วผมจะไปยุ่งได้อย่างไร มันพวกกันทั้งนั้น ไม่เคยคิดว่าจะไปเข้าข้างใครเลย
   
อย่างพล.ต.อ.พงศพัศ เจอที่ไหนเขาก็เป็นคนนอบน้อม ถือว่าเด็กกว่าเราก็เข้ามาหา มาพูดคุย จะขึ้นรถก็มาส่ง นี่คือความรู้สึกส่วนตัวนะ คือมันชอบกัน แล้วเราจะไปทำให้มันเสียพวกทำไม คิดกันไปเอง แต่ผมก็เคยได้ยินนะว่าต้องหาทางบล็อคให้ได้ ผมว่าคุณพงศพัศ ไม่รู้เรื่องหรอก

-ดูเหมือนว่าเขาได้เลือกข้างให้คุณชัชวาลย์ เป็นประชาธิปัตย์ไปแล้ว
     
ชัชวาลย์-มันไม่ถูกหรอกครับ ตั้งแต่สมัยที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จะตั้งพรรคไทยรักไทย ท่านก็โทรศัพท์มาผม ไปกินข้าวกันที่ร้านหูฉลาม สกาล่า ให้ผมพาพรรคพวกไปด้วย ผมก็พาคุณเผด็จ พญาไม้ คุณมดคันไฟ(อนันต์ อัศวนนท์) คุณสองคม(สันทัด วณิชพันธ์) คุณบารอน และคุณศักดา นพเกตุ ซึ่งตอนนั้นเป็นบก.อำนวยการอยู่ ก็ไปกัน ท่านอดีตนายกฯทักษิณ ก็บอกว่า “พี่ผมจะตั้งพรรค ผมรวยแล้ว ผมอยากรับใช้ประเทศชาติ” ผมก็มองว่าเขาเก่ง ผมจึงรับปากช่วย ตอนที่ท่านอดีตนายกฯทักษิณส่งคนลงเขตบางซื่อ ผมก็ช่วยนะ ผมออกตังค์ให้ ผมไม่เคยเอาเงินเลย แล้วอย่างงี้จะบอกว่าผมเป็นพวกปชป.ได้อย่างไร
     
ตอนหลังที่ผมไม่ยุ่งด้วย ก็เพราะทำไมปล่อยให้ดา ตอปิโด ไปพูดจาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ทำไมไม่ห้ามกัน ผมถึงไม่เอาด้วยไงครับ เพราะผมเป็นคนตรงนะ ผมไม่กลัวอะไรหรอก ใครจะมาบีบคั้นผมไม่ได้หรอก ผมผู้ชาย ผมตัดสินใจไปแล้ว ตายเป็นตาย อย่ามาคิดอะไรกับผม ผมไม่เคยสน เราผู้ชาย ถ้าจะให้เราทำอะไรให้ ก็พูดกันดีๆ เราก็โคนันทวิศาลนะ เป็นไงเป็นกัน ผมเลือกข้างแล้ว ข้างพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพราะเป็นปณิธานที่ผมได้รับคำสั่งจากอาจารย์หม่อม และส่วนตัวผม ตั้งแต่สมัยยังเด็กจนเติบโตมา ผมยังไม่เคยเห็นในหลวงของเราทำอะไรให้ใครเดือดร้อน มีแต่คิดให้ประชาชน เพราะฉะนั้นใครจะเป็นนายกฯ ใครจะทำอะไรก็ทำไปเถอะ อย่าก้าวล่วงในหลวงอย่างเดียว ผมพอใจแล้ว
     
หรืออย่างในปี 2548 ตอนที่ท่านอดีตนายกฯทักษิณ ยุบสภา ปี2549 ต้นปี ผมยังนั่งอยู่ที่สยามรัฐ(อาคารราชดำเนิน) ตอนนั้นถ้าผมจำไม่ผิดคือ วันที่2 เม.ย.ที่มีการนำคนมาที่สนามหลวงร่วมประมาณ 1 หรือ 2 แสนคน และท่านอดีตนายกฯทักษิณ ได้ขึ้นไปพูดให้กับประชาชนฟัง ก็มีคนมาท้องสนามหลวงแน่นไปหมด ผมอยู่ในห้องทำงานของผม ซึ่งตอนนั้นคุณเนวิน ชิดชอบ คุณเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช คุณปรีชา เลาหพงศ์ชนะ และคุณยงยุทธ ติยะไพรัช ก็มาหาผมกันหมด แต่มาไม่พร้อมกัน โดยเขามาบอกว่า “พี่ครับ ขอห้องใช้หน่อย” ผมก็บอกว่า “เอาซิ ให้ไปใช้ห้องข้างล่างที่กว้างกว่า” จากนั้นคุณเนวิน ก็โทรศัพท์ คุยกันว่า “คุณอยู่ที่ไหน ตอนนี้ผมอยู่กับพี่ชัช แล้วคุณเอาคนมาเท่าไหร่” ซึ่งผมให้ใช้ห้องผม ผมถามว่า ถ้าพวกพันธมิตรฯ เขารู้ เขาจะด่าผมไหม
     
เรานี่ด้วยความเป็นพวก เราเสี่ยงให้ พอยุบสภาก็ให้พล.อ.สัมพันธ์ บุญญานันท์ รมว.กลาโหม ในขณะนั้นมาพบผม โดยขอให้ผมช่วยที่เขตบางซื่อ ดุสิต จตุจักรอีก ผมถามว่า แล้วอย่างนี้ นี่ผมเป็นพวกใคร ? ที่ผมรับไม่ได้คือ ทำไมไม่ห้ามดา ตอปิโด พูดจาพาดพิงสถาบัน ขนาดในงานวันเกิดของผมที่จัดขึ้นเมื่อปี 2551 คุณหรั่ง ร็อคเครสต้า มาร้องเพลงในงานวันเกิดผม คุณหรั่งขึ้นไปด่าท่านอดีตนายกฯทักษิณ ด่าคนเสื้อแดง ผมยังสั่งปิดไมค์ทันที โดยผมบอกว่าวันเกิดเรา ไม่เกี่ยวกับใคร
     
พวกนักการเมืองจะคิดอย่างไรก็เรื่องของเขา แล้วใครจะมองอย่างไร ก็เรื่องของเขา ผมคือตัวผม สยามรัฐคือสยามรัฐ ใครจะมาทำอะไรกับสยามรัฐไม่ได้ มาซื้อไม่ได้ จะมาใช้อำนาจบังคับก็ไม่ได้ เป็นอย่างไรก็เป็นกัน หมดตัวก็หมดกัน อาจารย์หม่อมสั่งมาว่าอย่าให้มันล้ม ผมถึงสู้มาจนถึงวันนี้ ท่านอดีตนายกฯทักษิณ จะเป็นอะไร ก็เป็นไป ขอให้ทำให้ประเทศชาติเจริญ เท่านั้นพอ นี่คือเหตุผลที่ผมช่วยท่าน เพราะถือว่าท่านเก่ง ที่ทำให้ประเทศเจริญได้ แต่เรื่องของเบื้องบนนี่ ถ้าใครแตะต้อง ผมยอมไม่ได้
     
เมื่อปี 2549 มีการเลือกตั้งใหม่ พล.อ.สัมพันธ์ ได้มาพบกับผมที่เซ็นทรัล มื้อนั้นผมก็เลี้ยงเขา หกหมื่นกว่า บาท ตอนนั้นมี ดร.ลลิตา ฤกษ์สำราญมา มีคุณนกหรือคุณเฉลิมชัย จีนะวิจารณะมา ซึ่งคุณนกก็เคยอยู่สยามรัฐ
     
ช่วงหนึ่ง แล้วขอให้ผมช่วยพูดให้ว่า อยากเป็น ส.ส. ผมก็พูดให้กับพรรคไทยรักไทยให้ อย่างวันนั้นเรารับปากช่วยเขา ด้วยความกลัวว่าเขาจะแพ้ ก็เรียกลูกสาวที่เป็นสก.อยู่ประชาธิปัตย์ ให้ไปลาออก แล้วมาช่วยไทยรักไทย ซึ่งคุณอภิสิทธิ์ เวชาชีวะ หัวหน้าพรรคขณะนั้นก็บอกกับลูกสาวผมว่า “พ่อคุณนักเลง ลูกผู้ชาย พูดแล้วต้องทำ ผมไม่เซ็นลาออกให้ คุณไปช่วยเขาเถอะ”
   
จากนั้นคุณส่วน “บรรณพจน์ ดามาพงศ์” มาบอกว่า หลังเลือกตั้งเสร็จแล้ว เมื่อสก.หมดวาระให้ลูกสาวผมลง สองคน บางซื่อมีสก. 2 เขต ลูกสาวผมเป็นสก.ของเขต 1 อีกเขตหนึ่งสก.ชื่อสมพงษ์ ที่มีคนมาขอผมให้ช่วยเขาได้เป็นสก. และเมื่อหมดวาระแล้ว เขาก็มาหาผมที่สยามรัฐ 3-4 ครั้ง และยืนยันกับผมว่า “พี่จะให้ผมไปอยู่พรรคไหน ผมไปด้วยทั้งนั้น” แต่พอท่านพลตรีสนั่น ขจรประศาสน์ท่านโทรมาหาขอให้ลูกสาวผมไปอยู่กับพรรคปชป. และผมก็รับปากท่าน เพราะผมถือว่า ตอนที่ท่านเป็นรมว.มหาดไทย ผมขอท่านให้พรรคพวกผมเป็นผู้กำกับ ท่านก็ช่วย ผมจึงถือว่า ท่านมีบุญคุณกับผม

ดังนั้นผมถึงบอกกับคุณสมพงษ์ว่า “ตกลงไปอยู่ประชาธิปัตย์นะ” ซึ่งคุณสมพงษ์ก็รับปากผมต่อหน้า แต่พอรับหลังเมื่อกินเหล้าเข้าไป ก็พูดว่า “กูจะอยู่ทำไม กับพวกเจ้าพ่อ” นี่คือเหตุผลหนึ่งที่ผมบอกคุณส่วนว่า ลูกผมต้องลงทั้งสองเขต

ผู้สื่อข่าว-คิดยังไงกับในคดีนี้ที่ปปง.อายัดทรัพย์ แล้วสื่อบางสำนักติดตามไปบ้านคนซื้อ เพื่อที่จะมาโยงว่า มีการซื้อขายจริงๆ หรือเปล่า หรือเป็นนอมินีหรือไม่
     
ชัชวาลย์- ผมก็มีความรู้สึกน้อยใจว่า สื่อทำไมมองแต่แง่ร้าย พยายามไปสืบเสาะ เหมือนพยายามจะโยงมาถึงผมให้ได้ แต่สิ่งดีๆที่ผมเคยทำมา ไม่เคยไปสืบเสาะเลย อย่างเช่นที่ผมส่งให้เด็กเรียนจนจบด็อกเตอร์หรือแม้แต่หมอจุฬา หมอขอนแก่น สื่อน่าจะติดตามไปสัมภาษณ์เบื้องหน้าเบื้องหลังชีวิตของพวกเขาดีกว่าว่า พวกเขาประสบความสำเร็จอย่างไร ใครอยู่เบื้องหลัง เพื่อเป็นการยกย่องเชิดชูคนที่เสียสละ
     
ไหนๆจะพูดก็ขอพูดเถอะ อย่างบริเวณหน้าบ้านที่จอดรถ พอจะโอนคอนโดให้ลูกค้า เราต้องไปโอนถนนรอบๆคอนโดกลับมาเป็นของเรา ไม่อย่างงั้นจะเป็นของนิติบุคคล ซึ่งจะไม่ให้คนใช้ถนน ผมถึงกับต้องไปโอนมาเป็นชื่อของผม ปรากฎว่า เสียค่าโอนไป 9 แสนกว่า แล้วเจ้าหน้าที่ของเราสมัยนั้นบังเอิญไปเสียแต่ภาษีกรมที่ดิน ไม่ได้เสียภาษีธุรกิจเฉพาะที่สรรพากรเขต ปรากฎว่า จากเดิมเราต้องเสีย 9 กว่าแสนบาท ในปี 2535 พอไปถึงปี 2537 ขยับกลายเป็น 2 ล้านกว่าบาท และปี 2539 เป็น 4 ล้านกว่าบาท ซึ่งเราก็พยายามเจรจาขออุทธรณ์กับกรมสรรพากรว่า เราใช้ที่ดินตรงนั้นเป็นทางสาธารณะ ไ ม่ได้เก็บเงินเก็บทอง หรือหาประโยชน์จากตรงนั้น กรมสรรพากรก็บอกว่า ไม่เกี่ยวกัน สรรพากรมีหน้าที่เก็บเงิน
     
ทำไปทำมา ตอนนั้นคุณสมใจนึก เองตระกูล ท่านเป็นปลัดกระทรวงการคลัง ผมก็เลยขอความเป็นธรรมกับท่าน ซึ่งท่านก็ช่วยเจรจาลดให้จากที่ต้องเสีย 4 ล้านกว่าบาท ก็เหลือแค่ 2 ล้านกว่าบาท เราก็เลยผ่อนส่ง เดือนละ 1.5 แสนบาท ซึ่งตอนนี้ก็หมดไปแล้ว ผมก็ให้คนใช้ทางฟรี ทั้งที่เป็นเงินของผม ผมถามว่า คนอื่นทำอย่างเราหรือไม่ ทำไมไม่เห็นมีใครไปเช็คบ้างเลย มันน่าน้อยใจไหมล่ะครับ

-สุดท้ายนี้คุณชัชอยากจะพูดอะไรสักนิดไหม
     
ชัชวาลย์- คือว่า อย่างงี้นะครับ ตั้งแต่มีข่าวยึดทรัพย์บ่อนเตาปูน ก็มีคนถามเข้ามาเยอะ เป็นเพราะคุณเฉลิมมาไถเงินไม่ได้หรือ? ผมต้องขอบอกเสียตรงนี้เลย เพื่อท่านผู้อ่านจะได้ไม่เข้าใจคุณเฉลิมผิด คุณเฉลิมไม่เคยไถเงินผมเลย เพียงแต่คุณเฉลิมแค่โกรธผม ที่ผมไม่ยอมอยู่ภายใต้อำนาจเขาเท่านั้น!!!

ที่มา.สยามรัฐ
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันพฤหัสบดีที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

นปช.อีสาน แยกตัวไม่ร่วมสังฆกรรม นปช.ส่วนกลาง.. !!?


แกนนำ นปช.สุรินทร์ประกาศนำคนเสื้อแดง 20 จังหวัดภาคอีสานแยกตัวไม่ร่วมทำกิจกรรมกับ นปช.ส่วนกลาง ที่นำโดย “ธิดา-จตุพร-ณัฐวุฒิ” เนื่องจากไม่พอใจที่เคลื่อนไหวกดดันรัฐบาลให้เร่งออกกฎหมายนิรโทษกรรม ระบุจะหันไปทำกิจกรรมส่งเสริมเสถียรภาพรัฐบาลร่วมกับ “ขวัญชัย” และต่อไปจะเคลื่อนไหวอะไรต้องมีมติจากที่ประชุม ด้านแกนนำ นปช.อุตรดิตถ์ ย้ำคนเสื้อแดงภาคเหนือไม่มีปัญหากับแกนนำส่วนกลาง พร้อมสนับสนุนผลักดันกฎหมายนิรโทษกรรม เพราะต้องการให้นักโทษพ้นคุก “สุขุม” ชี้เสื้อแดง-เสื้อเหลืองคุยนิรโทษกรรมได้แต่ภาพความปรองดอง ไม่เชื่อผลักดันกฎหมายล้างโทษสำเร็จหากแกนนำไม่ได้ประโยชน์ เพราะจะมีใครเสียสละยอมติดคุก

การเคลื่อนไหวกดดันให้รัฐบาลเร่งออกกฎหมายนิรโทษกรรมทำให้เกิดความแตกแยกทางความคิดในกลุ่มคนเสื้อแดงมากขึ้น

นายเทพพนม นามลี ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) แดงทั้งแผ่นดิน จังหวัดสุรินทร์ เปิดเผยว่า ได้ส่งตัวแทนเข้าร่วมประชุมกับแกนนำเสื้อแดงในภาคเหนือและอีสาน 20 จังหวัด เพื่อกำหนดทิศทางการเคลื่อนไหว ซึ่งที่ประชุมมีมติจะไม่ร่วมสังฆกรรมกับนางธิดา ถาวรเศรษฐ ประธาน นปช. นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ นายจตุพร พรหมพันธุ์ นพ.เหวง โตจิราการ แกนนำ นปช. และกลุ่ม 29 มกรา ปลดปล่อยนักโทษการเมือง ที่กดดันให้รัฐบาลเร่งออกกฎหมายนิรโทษกรรม

“นปช.สุรินทร์ขอสนับสนุนและพร้อมเข้าร่วมกิจกรรมทางการเมืองกับนายขวัญชัย ไพรพนา ประธานชมรมคนรักอุดร เพื่อสนับสนุนรัฐบาลให้เดินหน้าบริหารประเทศต่อไปได้อย่างราบรื่น และขอเตือนเสื้อแดงกลุ่มอื่นๆอย่ากดดันรัฐบาลเรื่องนิรโทษกรรม เพราะนอกจากจะส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพรัฐบาลแล้ว ยังจะเพิ่มความแตกแยกในกลุ่มคนเสื้อแดงมากขึ้น คนเสื้อแดง 20 จังหวัดภาคอีสานจะไม่ยอมเป็นลูกหม้อให้ นปช.ส่วนกลางอีกต่อไป การเคลื่อนไหวอะไรต้องผ่านมติที่ประชุมเท่านั้น”

นายปัณณวัฒน์ นาคมูล ประธาน นปช. จังหวัดอุตรดิตถ์ ยืนยันว่าคนเสื้อแดงภาคเหนือยังสนับสนุนแกนนำเสื้อแดงในส่วนกลาง และไม่มีปัญหากับการผลักดันการออกกฎหมายนิรโทษกรรม เพราะต้องการคืนอิสรภาพให้กับนักโทษโดยเร็ว

นายขวัญชัย ไพรพนา ประธานชมรมคนรักอุดร กล่าวว่า คนเสื้อแดงยังศรัทธาแกนนำ นปช.ส่วนกลางเหมือนเดิม ยกเว้นนางธิดาเพียงคนเดียว เพราะแสดงพฤติกรรมไม่เหมาะสมหลายเรื่อง

“ทุกวันนี้ นปช. เสื่อมลงเรื่อยๆ เคลื่อนไหวโดยไม่ฟังคนแดนไกล ทั้งที่ขับเคลื่อนด้วยเงินของคนแดนไกล หลงตัวเองว่ารัฐบาลชุดนี้เกิดได้เพราะเสื้อแดง” นายขวัญชัยกล่าวพร้อมย้ำว่า คนเสื้อแดงอีสานจะไม่ร่วมกิจกรรมกับ นปช. อีกหากยังมีนางธิดาเป็นแกนนำ และหวังว่าหลังจากนี้นายจตุพร พรหมพันธุ์ จะหูตาสว่างมากขึ้น

รศ.สุขุม นวลสกุล นักวิชาการอิสระด้านรัฐศาสตร์ เชื่อว่าการที่ตัวแทนคนเสื้อเหลืองเสื้อแดงมาหารือกันเรื่องออกกฎหมายนิรโทษกรรมจะได้เพียงภาพความปรองดอง แต่กฎหมายนิรโทษกรรมคงออกมายากหากไม่เหมารวมยกโทษให้แกนนำ

“เรื่องจะให้แกนนำเสียสละเข้าคุกคงเป็นไปไม่ได้ หากจะหลุดก็ต้องหลุดด้วยกันทั้งหมด ผมไม่เชื่อว่าแกนนำจะเสียสละเข้าคุก ปัญหาของการนิรโทษกรรมอยู่ตรงนี้ ถ้าพวกแกนนำไม่ได้รับการยกเว้นโทษ รับรองความขัดแย้งไม่จบแน่นอน”

ที่มา.นสพ.โลกวันนี้
**********************************************************************

ยื้อ!!? กิตติรัตน์ ณ ระนอง หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ...

กระแสการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ของรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กลับมากระหึ่มอีกครั้งหลังพรรคชาติไทยพัฒนา ของ “หลงจู๊ใหญ่” ยื่นเสนอคนที่จะเข้ามาแทนนายชุมพล ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่า การกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาที่เสียชีวิตลงทำให้สังคมจับตามองว่า จะมีการ ปรับครม.ในลักษณะปรับใหญ่ปรับเฉพาะ แค่คนที่เข้ามาแทนตำแหน่งที่ว่างลงเท่านั้น หรือรื้อโละรัฐมนตรีของพรรค เพื่อไทยไปพร้อมกันทีเดียวเลย!

หลังคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ กรณีคำร้องที่ประธานวุฒิสภาส่งความเห็นของส.ว. 24 คน ขอให้วินิจฉัย คุณสมบัติการดำรงตำแหน่งของนายวราเทพ รัตนากร รัฐมนตรีประจำสำนัก นายกรัฐมนตรี กรณีต้องคำพิพากษาจำคุก 2 ปี และให้รอลงอาญา 2 ปี ของ ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่ง ทางการเมืองในคดีทุจริตหวยบนดิน

ผลที่ออกมาคือ นายวราเทพยังไม่ขาดคุณสมบัติ! ยังสามารถดำรงตำแหน่ง ทางการเมือง ในตำแหน่งรัฐมนตรีประจำ สำนักนายกรัฐมนตรีต่อไป หลังคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญออกมา ทำให้เริ่มชัดเจนขึ้นในเรื่องการตัดสินใจของ “นายกฯปู” น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กับการปรับเปลี่ยน ครม. ที่ถึงไฟต์บังคับ

โดยเฉพาะจากกระแสข่าว “นายใหญ่” อยากให้ยกเครื่อง “ทีมเศรษฐกิจ” ที่ประเมินแล้วทีมซี รัฐมนตรีแถว 3 ปั่นงานไม่เข้าเป้า นโยบายที่ “ทักษิณคิด” พรรคเพื่อไทยทำ (รัฐมนตรีทำ) ออกมาแล้ว “เสียของ” ไม่เจ๋งอย่างที่คาดหวัง รวมไปถึงบรรดารัฐมนตรีในสาย “เจ๊แดง-เยาวภา” ที่เส้นแข็งโป๊ก ไม่มีโยกคลอน

บรรดาพี่น้องใน “กลุ่มชินวัตร” จะเคลียร์ลงตัวยังไง ที่สำคัญ หากทอดเวลาปรับ ครม. ใหญ่ออกไป ก็หมายความว่า “นายกฯปู” ยังสามารถยื้อ “ทีมเศรษฐกิจ” ของตัวเอง มีเวลาให้พิสูจน์ฝีมืออีกพักใหญ่ โดยเฉพาะ “เดอะโต้ง” กิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกฯ และ รมว.คลัง ในห้วงที่สารพัดนโยบาย เมกะโปรเจกต์ ตามแผนยุทธศาสตร์ชาติของรัฐบาลตามแผนงบฯ ปี 2557 จะทยอยคลอดออกมาเรียกเรตติ้งเก็บ แต้มจากแฟนคลับกองเชียร์และมีโอกาสปั่นงานให้ “เข้าตา” นายใหญ่

ขณะเดียวกันนายกฯปู ก็เริ่มโอนอ่อนผ่อนตามพี่ชาย โดยเฉพาะ “มือเศรษฐกิจ” ที่พี่ชายส่งมาเป็นกองหนุน ช่วยงานน้องสาว ไม่ว่าจะเป็น “พันศักดิ์ วิญญรัตน์” ประธานที่ปรึกษานโยบาย/ของนายกฯ หรือ “ดอกเตอร์โกร่ง” วีรพงษ์ รามางกูร ที่หลังจากได้รับการแต่งตั้งเป็นประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ (กยอ.) หลังน้ำลดที่พักหลังเงียบไป

ล่าสุด มือเศรษฐกิจทั้ง “พันศักดิ์- ดอกเตอร์โกร่ง” เริ่มได้รับความสำคัญมากขึ้น เช่น ล่าสุด นายกฯ สั่งเรียกประชุม ครม.เศรษฐกิจ เพื่อหารือกำหนด มาตรการที่จำเป็นรับมือ “ค่าเงินบาทผันผวน” นอกจากรองนายกฯ รมว.คลัง หน่วยงานที่เกี่ยวข้องธนาคารแห่งประเทศไทย ยังมีผู้เชี่ยวชาญและนักเศรษฐศาสตร์

ทั้ง “ดร.พันศักดิ์” และ “ดร.โกร่ง” ในฐานะประธานบอร์ด ธปท.เข้าร่วมประชุมด้วย ซึ่งก็ถือว่า “นายกฯปู” ยอมอ่อนในท่าที พร้อม “ปรับจูน” ทีมกุนซือเศรษฐกิจมืออาชีพที่พี่ชายส่งมา เพื่อให้ทีมเศรษฐกิจ “รัฐบาลปู” มีโอกาสเดินหน้าต่อเนื่องที่สำคัญ ขณะนี้ความจำเป็นต้อง ปรับครม.มีน้อยมาก เพราะแรงกดดันจากประชาชนต่อรัฐบาลมีน้อย ส่วนภาพลักษณ์ของรัฐบาล แม้หลายคนจะบอกว่าประสิทธิภาพมีปัญหา แต่โดยรวมก็พอไปได้จึงเหลือเพียงแรงกดดันจากภายในพรรคเพื่อไทยเท่านั้น ที่จะมีผลต่อการตัดสินใจปรับครม.ช่วงนี้ เชื่อว่าแรงกดดันภายในพรรคจะมีมาก เพราะมีกลุ่มต่างๆ อยู่มาก ต่าง คนต่างอยากได้ตำแหน่ง

ที่มา.สยามธุรกิจ
////////////////////////////////////////////////////////////////////

เศรษฐศาสตร์ชวนคิด ในช่วงเทศกาลวาเลนไทน์ !!?


ถึงเทศกาลวาเลนไทน์ คนมักพูดคุยประเด็นเกี่ยวกับความรัก เซ็กซ์ ปัญหาวัยรุ่น การแต่งงาน รวมถึงการแสดงออกถึงความรักแบบแปลกๆ

วันนี้ จะขออนุญาตนำเสนอประเด็นทั้งหลาย ผ่านมุมมองและแนวคิดทางเศรษฐศาสตร์ โดยรวบรวมและสรุปความมาจากเว็บไซต์ “setthasat.com” ซึ่งมักจะนำประเด็นที่น่าสนใจมาอธิบายผ่านมุมมองทางเศรษฐศาสตร์อย่างแยบคาย มีเสน่ห์ชวนคิด ชวนถกเถียง ชวนเรียนรู้

1) ดอกกุหลาบสำคัญแค่ไหนในการจีบกัน?

ช่วงวาเลนไทน์ ดอกกุหลาบจะแพงเป็นพิเศษมีนักเศรษฐศาสตร์สงสัยว่า การให้ดอกกุหลาบมีความสำคัญแค่ไหนในการจีบกัน? ช่วยให้ฝ่ายชายประสบความสำเร็จมากขึ้นจริงหรือ?

เรื่องนี้ มีการศึกษาในประเทศเกาหลี พบว่า ดอกกุหลาบเพิ่มโอกาสประสบความสำเร็จในการขอเดทมากขึ้น

โดยเฉพาะหากว่าผู้รับเป็นคนที่มีเสน่ห์ระดับกลางๆ คือ หน้าตาปานกลาง พอไปวัดไปวาได้ ไม่ใช่ประเภทสวยหยาดฟ้าซูเปอร์สตาร์ดาวล้านดวง

สาเหตุสำคัญ คือ ดอกกุหลาบได้กลายเป็นรูปแบบของการส่งสัญญาณถึงความรู้สึกพิเศษของผู้ให้ที่มีต่อผู้รับ

ยิ่งมีอยู่จำกัด ยิ่งหามายาก สัญญาณยิ่งแรงชัด

อันที่จริง ถ้าไม่ใช้ดอกกุหลาบก็อาจจะเป็นอย่างอื่นก็ได้ที่สามารถส่งสัญญาณถึงความรู้สึกพิเศษได้

ทำให้ฝ่ายหญิงรับรู้ว่า “เธอเป็นคนพิเศษ” และ “ฉันพยายาม
ทำเพื่อเธอ”

2) ทำไมผู้หญิงสวยมักลงเอยกับผู้ชายไม่หล่อ?

มุมมองทางเศรษฐศาสตร์อธิบาย โดยศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างเสน่ห์ทางร่างกาย (หน้าตา) กับความพึงพอใจในชีวิตสมรสของคู่แต่งงานใหม่

หล่อไม่หล่อ สวยไม่สวย มันมีผลต่อความสุขในชีวิตสมรสอย่างไร?

ในด้านการปฏิบัติต่อกันของสามีภรรยา ผลการศึกษา พบว่า

ความหล่อของสามี มักจะส่งผลทางลบทั้งต่อการปฏิบัติของตัวสามีเอง เช่น ให้เกียรติภรรยาน้อยลง และส่งผลต่อการปฏิบัติของตัวภรรยา เช่น มักเกิดความหึงหวง หวาดระแวงสามีที่หล่อ

ส่วนความสวยของภรรยานั้น จะส่งผลบวกต่อการปฏิบัติของตัวภรรยา เช่น ให้เกียรติสามี เพราะต้องรักษาภาพพจน์ของตัวเอง และส่งผลบวกต่อการปฏิบัติของตัวสามี เช่น คอยเอาอกเอาใจมากขึ้น เพราะภรรยาสวย

เรื่องนี้ มีคำอธิบายจากสองแนวคิด

(1) แนวคิดทางด้านมานุษยวิทยา อธิบายได้ว่า การมีรูปร่างหน้าตาดีของผู้หญิงนั้นตัวผู้หญิงเองจะถือว่าเป็นทรัพยากร (หรือทรัพย์สิน) และมักใช้ไปเพื่อคัดเลือกคู่ครองที่เหมาะสม ขณะที่การมีรูปร่างหน้าตาดีของผู้ชายนั้น ตัวผู้ชายจะถือว่ามันเป็นอาวุธที่ใช้ในการล่า เพื่อขยายเผ่าพันธุ์ ดังนั้น เมื่อมีการลงเอยกันแล้ว ผู้หญิงมักถือว่าตนเองได้คู่ครองที่เหมาะสม และสร้างครอบครัวต่อไป แต่ผู้ชายจะยังคงใช้เพื่อการล่า และนำมาซึ่งปัญหาครอบครัวต่อไป

(2) แนวคิดทางด้านเศรษฐศาสตร์พฤติกรรม อธิบายได้ว่า ผู้หญิงเป็นเพศที่มีความงามมากกว่าผู้ชาย พวกเธอจึงไม่ขาดแคลนทรัพยากรความงาม พวกเธอจึงให้ความสำคัญกับด้านอื่นๆ ที่พวกเธออาจขาดแคลนแทน เช่น ฐานะ ความสามารถ ไหวพริบ หรือแม้แต่มุขตลก (แล้วแต่ว่าใครให้น้ำหนักกับด้านไหน) ขณะที่ผู้ชายให้ความสนใจกับความงามของผู้หญิงก็เพราะเป็นสิ่งที่พวกเขาขาดแคลน

3) ทำไมวัยรุ่นจึงมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควรมากขึ้น?

ในต่างประเทศ เมื่อวัยรุ่นเขามีเพศสัมพันธ์ในวัยละอ่อน ในทางเศรษฐศาสตร์สามารถวิเคราะห์ได้ว่า วัยรุ่นตะวันตกอาจจะตอบสนองต่อทางเลือกที่ดีที่สุดที่เขาพึงมี เมื่อพวกเขาต้องตัดสินใจว่าจะมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควรหรือไม่ พวกเขาชั่งน้ำหนักระหว่างความสุขที่ได้จากการมีเพศสัมพันธ์ (Joy of Sex) กับต้นทุนของมัน ซึ่งก็คือโอกาสที่จะตั้งท้องไม่พร้อม มีโรคติดต่อ ฯลฯ เพราะการมีลูกโดยที่ยังไม่พร้อมจะนำมาซึ่งต้นทุนอีกมหาศาลของผู้เป็นแม่ ทั้งลดโอกาสในการได้รับการศึกษาและได้งานที่ดีและยังลดโอกาสที่จะได้พบคู่ครองที่ดีในอนาคตด้วย อีกทั้งก็อาจจะรู้สึกอับอายและเสียชื่อเสียง แต่ปัจจุบัน โอกาสตั้งท้องไม่พร้อมจากการมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควรลดลง เนื่องจากการคุมกำเนิดที่มีประสิทธิภาพและถูกนำมาใช้มากขึ้นจริงๆ ความเสี่ยงจึงลดลง วัยรุ่นตะวันตกจึงแสวงหาความสุขจากการมีเพศสัมพันธ์ และมีพฤติกรรมลดต้นทุนด้วยการคุมกำเนิด ใช้ถุงยางอนามัย ฯลฯ

แต่สำหรับประเทศไทยของเรา แตกต่าง
ออกไป

เพราะวัยรุ่นของเรามีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควรมากขึ้น แต่อัตราการติดเอดส์ก็ดี การตั้งท้องไม่พร้อมก็ดี ก็เพิ่มขึ้นตาม
ไปด้วย สะท้อนอะไร...

สะท้อนว่า วัยรุ่นไทยให้ความสนใจเฉพาะความสุขที่ได้จากการมีเพศสัมพันธ์ (Joy of Sex) เท่านั้น โดยในส่วนของต้นทุนจากการ
มีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควรไม่ค่อยจะได้คำนึงถึงอย่างแท้จริง ไม่มีการลดต้นทุน หรือแม้แต่จะลดความเสี่ยง ไม่ว่าจะเรื่องติดโรคหรือติดลูก วัยรุ่นไทยยังไม่ป้องกันตัว ไม่มีความรู้ ไม่ตระหนักรู้ (แถมยังอายน้อยลงที่จะมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควร)

4) วัยรุ่นมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควร เป็นเพราะพ่อแม่ไม่สั่งสอน หรือเพราะพวกเขาคบเพื่อนไม่ดี?

อย่างไหน มีผลต่อพฤติกรรมดังกล่าว มากกว่ากัน?

ปรากฏว่า จากการศึกษาแบบจำลองทางเศรษฐศาสตร์เปรียบเทียบทั้งสองปัจจัย โดยควบคุมปัจจัยอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อดูว่าใครกันที่ควรรับผิดชอบ

ผลสรุปว่า บทบาทของ “พ่อแม่ไม่สั่งสอน” สำคัญกว่า“คบเพื่อนไม่ดี”!

(อันที่จริง ทั้งพ่อแม่ไม่สั่งสอนและคบเพื่อนไม่ดี ต่างก็มีผลต่อการตัดสินใจเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควร)

พูดง่ายๆ คือ ถ้าพ่อแม่สอนมาดี คบเพื่อนไม่ดีก็ยังไม่ค่อยเป็นไรมาก

แต่ถ้าพ่อแม่สอนไม่ดี คบเพื่อนดีก็ไม่ได้ช่วยมากนัก

เพราะฉะนั้น คนเป็นพ่อแม่จึงไม่อาจโทษเพื่อนหรือโทษโรงเรียนได้ และพ่อแม่ต้องหันกลับมาดูวิธีการดูแลลูกของตนเองด้วย

ทั้งหมดนี้ ขอขอบคุณเว็บไซต์ “setthasat.com” ที่ช่วยกระตุ้นต่อมคิดสนุกๆ ได้ลองเปลี่ยนมุมคิด พลิกมุมมอง เป็นการบริหารสมองได้เป็นอย่างดี

ที่มา.นสพ.แนวหน้า
/////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันพุธที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

เงินร้อน !!?


คอลัมน์ คนเดินตรอก

"เงิน ร้อน" เป็นคำแปลตรง ๆ มาจากภาษาฝรั่งว่า "hot money" หมู่นี้มีการกล่าวถึง "hot money" กันบ่อยครั้ง พอคนถามว่า เงินร้อนมันเป็นอย่างไร เป็นเงินของประเทศไหน เคยได้ยินแต่ "เงินเย็น" ของญี่ปุ่นเขา เงินร้อนเป็นของใครประเทศไหน

เงินร้อนก็คือเงินดอลลาร์สหรัฐซึ่งเป็น เงินสกุลหลักของโลก เป็นเครื่องมือในการชำระหนี้ระหว่างประเทศ เป็นเงินที่ธนาคารกลางของประเทศต่าง ๆ ใช้เป็นทุนสำรองระหว่างประเทศ เป็นเงินที่ใช้กู้ยืมกันไปมาระหว่างประเทศ และเป็นเงินตราสกุลเดียวที่ใช้เป็นเครื่องมือในการ "เก็งกำไร" จากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ เช่น น้ำมัน แร่ธาตุต่าง ๆ รวมทั้งการเก็งกำไรในตลาดทุน เช่น ตลาดหลักทรัพย์และตลาดตราสารหนี้ ทั้งที่เป็นตราสารหนี้ของรัฐบาลต่าง ๆ และตราสารหนี้ของเอกชน รวมทั้งการเก็งกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน

การที่สหรัฐอเมริกาสามารถขาดดุลการค้าและดุลบัญชีเดินสะพัดอย่างต่อเนื่อง โดย การผลิตเงินดอลลาร์ออกมาให้ชาวโลกถือไว้ได้โดยไม่เป็น "เศษกระดาษ" ก็เพราะไม่มีเงินตราสกุลใดมีจำนวนมากพอที่จะสนองตอบต่อการถือเงินไว้เพื่อ วัตถุประสงค์หลักทั้ง 3 อย่างนั้นได้ เพราะประเทศอื่นที่เป็นเจ้าของเงินไม่ต้องการพิมพ์เงินออกมาในตลาดโลกมาก มายอย่างนั้น

อัตราแลกเปลี่ยนระหว่างเงินตราสกุลต่าง ๆ ทั่วโลก เช่น อัตราแลกเปลี่ยนระหว่างเงินบาทกับเงินหยวน กับเงินริงกิต เงินยูโร เงินปอนด์และเงินอื่น ๆ ทั่วโลก ก็จะเริ่มจากอัตราแลกเปลี่ยนระหว่างเงินบาทกับเงินดอลลาร์ แล้วอัตราแลกเปลี่ยนระหว่างเงินบาทกับเงินหยวน กับเงินริงกิต เงินยูโร เงินปอนด์และเงินอื่น ๆ ทั่วโลกก็จะปรับตามให้สอดคล้องกัน ไม่เขย่งกัน ถ้าเขย่งกันไม่สอดคล้องกัน

ก็จะมีผู้ที่หากำไรคอยจ้องซื้อขายเงินตรา สกุลนั้นจนทำให้อัตราแลกเปลี่ยนระหว่างเงินบาทกับเงินดอลลาร์ เงินบาทกับเงินหยวน เงินริงกิตหรือเงินอื่น ๆ สอดคล้องกัน สมมติเช่น หนึ่งดอลลาร์เท่ากับสามสิบบาท หนึ่งดอลลาร์เท่ากับหกหยวน ฉะนั้นหนึ่งหยวนต้องเท่ากับห้าบาทจึงเรียกว่าสอดคล้องกัน ไม่เขย่งกัน

เงิน ดอลลาร์จึงเป็นสกุลเงินที่ยังมีความสำคัญอยู่เสมอมา โดยเฉพาะสัดส่วนของความต้องการถือเงินดอลลาร์เพื่อใช้เก็งกำไรจะมีสัดส่วน มากขึ้นตามลำดับ เมื่อเทียบกับความต้องการถือเพื่อเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน และการถือเพื่อใช้เป็นทุนสำรอง

การเคลื่อนย้ายไหลไปมาของเงินดอลลาร์นั้นอาจจะแยกออกได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆประเภท แรกเป็นการเคลื่อนย้ายอันเกิดจากการเกินดุลหรือขาดดุลบัญชีเดินสะพัด เป็นเงินที่ได้ขาด ไม่มีพันธะจะต้องจ่ายคืนหรือได้คืนในอนาคต ปัญหาไม่ค่อยมี

อีกประการหนึ่งก็คือปัญหาการเคลื่อนย้ายเงินทุนไปมาระหว่างประเทศในรูปของเงินกู้ยืมและเงินลงทุน เงินประเภทนี้มีทั้งที่ เป็นปัญหาและไม่เป็นปัญหา เช่น การนำเงินมาลงทุนจริง ๆ ตั้งโรงงาน ซื้อที่ดิน เครื่องจักร นำมาหมุนเวียน เงินลงทุนอย่างนี้เรียกว่าเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ หรือ foreign direct investment หรือ FDI เมื่อได้กำไรก็โอนเงินกำไรกลับ หรือเมื่อขาดทุนมากเข้าก็โอนเงินมาเพิ่มทุนในบริษัท

เงินลงทุนอีก ประเภทหนึ่งคือ เงินลงทุนซื้อหุ้นหรือซื้อตราสารทางการเงินต่าง ๆ หรือที่เรียกว่า portfolio investment ในตลาดรอง หรือ secondary markets เงินที่ไหลเข้ามาในประเภทนี้เกือบทั้งหมดหรือจะเรียกว่าทั้งหมดก็ได้เรียก ว่า "เงินร้อน" หรือ "hot money" เพราะสามารถขายตราสารและนำเงินออกเมื่อไหร่ก็ได้ ซึ่งมีทั้งในรูปเป็นทางการบนดินและไม่เป็นทางการอยู่ใต้ดิน แม้จะเป็นตราสารระยะยาวก็อาจจะขายขาดทุนแล้วนำเงินกลับไปก็ได้

เงิน ร้อนพวกนี้แหละที่ตำราเศรษฐศาสตร์ทุกตำรากล่าวว่า เป็นเงินที่ไม่ได้สร้างสรรค์ เป็นเงินที่ไม่มีประโยชน์หรือ "unproductive" เป็นเงินที่เป็นอันตรายและมีพลังการทำลายสูง หรือ "destructive" เพราะเงินพวกนี้เข้ามาเพื่อวัตถุประสงค์หากำไรจากช่องว่างที่เขย่งกันของ อัตราผลตอบแทนของตลาดต่าง ๆ ทั่วโลก หากำไรจากประเทศที่มีความเสี่ยงทางการเงินต่ำแต่มีผลตอบแทนสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการกำหนดอัตราผลตอบแทนโดยทางการที่ทำให้เกิดการเขย่งกัน ของดอกเบี้ยหรือผลตอบแทนอื่น ๆ ที่กลไกตลาดไม่สามารถทำให้ความแตกต่างหายไปจนเหลือแต่ความแตกต่างจากความ เสี่ยงด้านการเงิน

ยกตัวอย่างเช่นประเทศไทยมีความมั่นคงทางการเงิน สูง ดุลการค้าและดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล ทุนสำรองระหว่างประเทศสูง ความเสี่ยงในด้านนโยบายการเงินมีน้อย เพราะทางการประกาศว่าจะยึดมั่นในเป้าหมายเงินเฟ้ออย่างมั่นคง พร้อมกับจะไม่ยอมลดอัตราดอกเบี้ย ความเสี่ยงทางด้านการเมืองก็ดีขึ้นตามลำดับ ซึ่งต่างกับประเทศอื่น ๆ ที่ยังมีความเสี่ยงในด้านต่าง ๆ สูงอยู่ ดังนั้น "เงินร้อน" จึงไหลเข้ามาหากำไรจากความแตกต่างของผลตอบแทนที่สูงกว่า รวมทั้งเข้ามาเพื่อ "ปั่นราคา" ตลาดที่มีสภาพคล่องสูง ให้ราคาสูงขึ้น เมื่อราคาสูงขึ้นถึงจุดหนึ่งก็ขายทำกำไร เมื่อถึงจุดนั้นเศรษฐกิจก็ทรุดตัวทำความเสียหายได้

การไหลเข้ามาของ "เงินร้อน" ดังกล่าวในประเทศที่มีพื้นฐานทางเศรษฐกิจมหภาคมั่นคงเท่ากันแต่ทางการให้ผลตอบแทนต่อ เงินสูงกว่าประเทศอื่น จะเริ่มจากตลาดหุ้น ตลาดตราสารแล้วก็ลุกลามไปยังตลาดอสังหาริมทรัพย์ แล้วก็ขยายไปยังภาคเศรษฐกิจอื่น ๆ โดยที่การลงทุนจริง ๆ ในการสร้างโรงงานขยายโรงงานและอื่น ๆ เพื่อขยายการผลิตของภาคเอกชนมีน้อย

หรือ ไม่มีเลย ทำให้เศรษฐกิจร้อนแรงขึ้นในภาคการเงินและภาคอสังหาริมทรัพย์ สภาพการณ์อย่างนี้นิยมเรียกกันในสมัยหลังว่า "เศรษฐกิจฟองสบู่" หรือ "bubble economies" เมื่อร้อนแรงถึงจุดหนึ่งที่ฟองสบู่แตก ทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นตลาดหลักทรัพย์ ตลาดตราสารหนี้ ตลาดอสังหาริมทรัพย์ และสถาบันการเงินก็จะล่มสลายกลายเป็นวิกฤตการณ์ทางการเงินได้อย่างที่เคยพบมาแล้วในประเทศไทยและประเทศ

อื่น ๆสิ่งที่น่าห่วงก็คือ ความรู้ความเข้าใจของทางการที่มีอำนาจหน้าที่ในการกำหนดนโยบายการเงิน บทบาทของดอกเบี้ยและมาตรการทางการเงินในภาคเศรษฐกิจที่แท้จริงหรือ real sector กับบทบาทในภาคการเงินหรือ financial sector

บทบาทดอกเบี้ยใน ภาคเศรษฐกิจที่แท้จริงจะเป็นตัวกดหรือกระตุ้นการบริโภคและการลงทุนจริง ๆ หรือ direct investment เช่น การขึ้นอัตราดอกเบี้ยมีผลต่อการชะลอตัวของการบริโภคและการลงทุนโดยตรง แต่ก็มีผลไม่มากเท่ากับการขยายตัวหรือการหดตัวของรายได้ประชาชาติ ซึ่งเป็นตัวการสำคัญของการขยายตัวหรือชะลอตัวของการบริโภคและการลงทุน

แต่ ในภาคการเงินสำหรับเศรษฐกิจเล็กและเปิดอย่างประเทศไทย การเพิ่มดอกเบี้ยเพื่อให้ดอกเบี้ยภายในประเทศมีความแตกต่างกับดอกเบี้ยภาย นอก ถ้าพื้นฐานความมั่นคงทางเศรษฐกิจยังอยู่เหมือนเดิม จะทำให้เงินทุนไหลเข้ามาในประเทศมากขึ้นแทนที่จะน้อยลง

การ จะลดความร้อนแรงทางเศรษฐกิจที่เกิดจากภาคการเงินอันมีพื้นฐานมาจากการหลั่ง ไหลเข้ามาปั่นตลาดของ "เงินร้อน" หรือเงินทุนระยะสั้นโดยการขึ้นดอกเบี้ยจึงเป็นการกระทำที่ผิด ผลจะออกมาตรงกันข้ามกับที่เข้าใจ กล่าวคือ เศรษฐกิจจะร้อนแรงยิ่งขึ้น แทนที่จะลดความร้อนแรงลง เพราะจะมี "เงินร้อน" ไหลเข้ามามากขึ้น

การพิจารณาเรื่องนี้จึงเป็นเรื่องจะเอาไปเปรียบกับประเทศอื่น ๆ ที่มีความเสี่ยงทาง ด้านมหภาคที่แตกต่างกันไม่ได้ เพราะนั่นเป็นความรู้สึกของเราเองซึ่งแตกต่างกับความรู้สึกของนักค้าเงินที่ นำเงินเข้ามาแสวงหากำไรอย่างตรงกันข้ามก็ได้ พฤติกรรมของตลาดเก็งกำไรนั้นไม่สามารถคาดการณ์ไปจากตัวเราเองได้ เป็นพฤติกรรมที่คาดการณ์ได้ยาก ทฤษฎีที่ว่าด้วยพฤติกรรมของตลาดเก็งกำไรจึงไม่มี

แม้ แต่เศรษฐกิจของเราเองในแต่ละช่วงเวลา ความเสี่ยงทางด้านมหภาคในสายตาของนักเก็งกำไรก็แตกต่างกัน ซึ่งเขาต้องนำมาพิจารณาด้วย ตัวอย่างเช่น มีผู้กล่าวว่า "เราเคยตรึงอัตราดอกเบี้ยไว้สูงกว่าดอกเบี้ยดอลลาร์ถึงกว่า 3 เปอร์เซ็นต์มาเป็นเวลาหลายปีก็ไม่เห็นเป็นไร" เป็นการกล่าวที่ไม่เข้าใจ เพราะเมื่อ 3-4 ปีก่อนประเทศเราอาจจะมีความเสี่ยงด้านอื่น เช่น ความเสี่ยงทางด้านการเมือง ความเสี่ยงทางด้านนโยบายการคลัง ความเสี่ยงทางด้านนโยบายการเงิน หรือประเทศอื่นมีความเสี่ยงน้อยกว่าของเรา รวมทั้งปริมาณเงินดอลลาร์ในตลาดโลก ความเสี่ยงใน ความมั่นคงของยุโรป ญี่ปุ่น หรือแม้แต่อเมริกาที่เปลี่ยนไป การเปรียบเทียบกับประเทศอื่นจึงทำไม่ได้หรือไม่ควรทำ ต้องดูตัวเราเองเป็นหลัก

ความเสียหายร้ายแรงจากการมาของเงินร้อนนั้น มีมากนัก จะเบาใจไม่ได้ ต้องช่วยกันคิด อย่าคิดว่าตนเองรู้ดีคนเดียว ที่สำคัญโลกทุกวันนี้ไม่มีความลับ อย่านึกว่าเราปิดได้

ความลับมีอย่างเดียวคือ เรารู้หรือไม่รู้เท่านั้น

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันอังคารที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

อดีต รมว.คลัง ธีระชัย อัดกิตติรัตน์ ตื่นเต้นเรื่องแบงก์ชาติเกินไป !!?


นายธีระชัย ภูวนารถนรานุบาล เลขาธิการ ก.ล.ต.


จากประเด็นเรื่อง นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ส่งหนังสือถึงธนาคารแห่งประเทศไทยเรื่องอัตราดอกเบี้ยและการขาดทุนของ ธปท. จนกลายเป็นวิวาทะเรื่องขอบเขตการทำงานระหว่างกระทรวงการคลัง/รัฐบาล กับ ธปท. ตามหน้าสื่อยาวนานหลายวัน

นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีกระทรวงการคลังในรัฐบาลยิ่งลักษณ์ 1/1 (ก่อนจะเปลี่ยนตัวมาเป็นนายกิตติรัตน์ในภายหลัง) ได้โพสต์ข้อความบน Facebook ส่วนตัว ระบุว่าปัญหาการขาดทุนของธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นเรื่องปกติ สามารถอธิบายได้ตามหลักการทำงานของธนาคารกลางนานาชาติ และนายกิตติรัตน์นั้น “ตื่นเต้นตกใจเกินไป”


ข้อความของนายธีระชัยมีดังนี้

นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกและรัฐมนตรีคลังออกมาเตือนแบงค์ชาติ ว่าขาดทุนสี่แสนหรือห้าแสนล้านบาท ชาวบ้านฟังแล้ว ก็ย่อมตกใจเป็นธรรมดา เพราะตัวเลขสี่แสนหรือห้าแสนล้านบาทเป็นตัวเลขที่สูงมาก

นี่ไม่ใช่ห้าแสน “บาท” นะครับ แต่เป็นห้าแสน “ล้านบาท”

แต่สำหรับคนที่มีความรู้เศรษฐศาสตร์แล้ว ขาดทุนแบงค์ชาติ เป็นเรื่องที่ไม่ต้องไปตื่นเต้นตกใจเกินไปหรอกครับ

ในฐานะที่ผมเคยเป็นรองผู้ว่าการแบงค์ชาติ และผมเข้าใจกลไกการทำงานของธนาคารกลาง ผมจึงขออธิบายเพื่อเป็นความรู้

ทำไมแบงค์ชาติจึงขาดทุน

แบงค์ชาติขาดทุนเพราะเงินบาทแข็ง ดูตัวเลขง่ายๆ ถ้าประเทศมีทุนสำรองสองแสนล้านดอลลาร์ แล้วเงินบาทแข็งขึ้นหนึ่งบาทต่อดอลลาร์ เมื่อตีราคาปิดบัญชีปลายปี แบงค์ชาติก็จะขาดทุนสองแสนล้านบาท ถ้าแข็งขึ้นสองบาท ขาดทุนก็จะเพิ่มเป็นสี่แสนล้านบาท

แต่ในทางกลับกัน หากเงินบาทอ่อน ถ้าอ่อนลงหนึ่งบาทต่อดอลลาร์ จะกลับเป็นกำไรสองแสนล้านบาท ถ้าอ่อนสองบาท กำไรก็จะเพิ่มเป็นสี่แสนล้านบาท

ทำให้แบงค์ชาติ ไม่ต้องขาดทุนได้หรือไม่

ทำให้แบงค์ชาติไม่ขาดทุนนั้น ง่ายมาก เพียงแต่ให้แบงค์ชาตินั่งเฉยๆ กินเงินเดือนไปวันๆ ปล่อยให้เงินบาทแข็งไปตามภาวะตลาด โดยไม่ต้องเข้าไปแทรกแซง ทำเท่านี้ ก็จะไม่ขาดทุนแล้วครับ ทุนสำรองก็ไม่จำเป็นต้องมี

แต่ถ้าทำแบบนี้ ธุรกิจขนาดกลางและเล็ก จะต้องปรับตัวอย่างหนัก สินค้าใดที่มีมูลค่าเพิ่มต่ำ ต้องเลิกผลิต ต้องทำให้มูลค่าเพิ่มสูงขึ้นๆ เหมือนกับรถยนต์เยอรมัน ซึ่งราคาแพงขึ้นๆ มาตลอดยี่สิบปี แต่คนก็ยอมควักกระเป๋าซื้อใช้โดยตลอด เพราะคุณภาพเยี่ยมเหลือเกิน

ที่จริงประเทศเราควรทำแบบนี้ คือบีบให้ภาคเอกชนปรับตัว เพื่อพร้อมแข่งขันในเวทีโลกเต็มที่ แต่ถ้าทำแบบนี้ รัฐจะต้องเน้นการศึกษา โดยเฉพาะด้านอาชีวะ เร่งพัฒนาฝีมือแรงงาน ฝีมือการออกแบบผลิตภัณฑ์ ฝีมือการตลาด ซึ่งต้องใช้เวลา

ดังนั้น ที่ผ่านมา แบงค์ชาติจึงได้เข้าไปแทรกแซงเพื่อให้เงินบาทแข็งตัวช้าลง เพื่อให้เวลาธุรกิจปรับตัว

สำหรับประเทศพัฒนาแล้ว ธนาคารกลางเขาจะไม่ค่อยเข้าไปแทรกแซง เขาจะปล่อยให้ค่าเงินของเขาขึ้นลงตามตลาดเต็มที่

แต่บางประเทศทนไม่ได้ การเมืองกดดันให้ธนาคารกลางเข้าไปแทรกแซง กรณีนี้ ธนาคารกลางของประเทศนั้นๆ ก็จะประสบปัญหาขาดทุน ไม่ต่างจากกรณีแบงค์ชาติของไทย

เมื่อเร็วๆ นี้ ประเทศที่มีข่าวปัญหาธนาคารกลางขาดทุน ก็คือสวิตเซอร์แลนด์ พิสูจน์ให้เห็นว่า แม้แต่ประเทศต้นแบบของระบบธนาคาร ก็มีปัญหานี้เกิดขึ้นได้

มีโอกาสที่เงินบาท จะกลับอ่อนตัวลงหรือไม่

เงินบาทจะไม่แข็งไปตลอดกาล ในช่วงที่ไทยใช้อัตราแลกเปลี่ยนระบบตะกร้า ระหว่างปี 2521 – 2540 นั้น เงินบาทอ่อนตัวโดยตลอด เป็นเวลาร่วมยี่สิบปี

ในช่วงนั้น ไทยมีการลงทุนมาก มากจนเกินกำลังการออมภายในประเทศ ทำให้ขาดดุลบัญชีเดินสะพัด

เงินบาทที่อ่อนตัวนั้น ทำให้แบงค์ชาติมีกำไรทุกปี

ในช่วงนี้ ภาวะการลงทุนลดลง การนำเข้าเครื่องจักรอุปกรณ์ไม่บูมเหมือนเดิม บัญชีเดินสะพัดกลับเป็นเกินดุล เงินบาทแข็ง ทำให้แบงค์ชาติขาดทุน

แต่ในระยะยาว เมื่อการลงทุนเอกชนกลับมาบูมเต็มที่ ประกอบกับรัฐบาลมีโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานกว่า2.2 ล้านล้านบาท การนำเข้าเครื่องจักรอุปกรณ์จะเพิ่มขึ้น เงินบาทที่แข็งก็จะกลับอ่อนลงได้ครับ

นอกจากนี้ สภาวะการเมืองของไทย หากเกิดปัญหาแบบเฉียบพลัน ก็จะทำให้เงินบาทอ่อนลงอีกด้วย

แบงค์ชาติจะเจ๊งเพราะขาดทุนหรือไม่

ธุรกิจทั่วไป หากขาดทุนติดต่อกันไประยะหนึ่ง ก็จะขาดเงินสดหมุนเวียน สภาพคล่องจะติดขัด และต้องปิดกิจการ

แต่ธนาคารกลางของทุกประเทศ เขาสามารถสร้างปริมาณเงินขึ้นมา เพื่อหล่อเลี้ยงตัวเองได้

ธนาคารกลาง จึงเป็นองค์กรเดียว ที่ไม่มีวันที่จะประสบปัญหาสภาพคล่อง เป็นองค์กรเดียว ที่ไม่มีวันต้องถูกบีบให้ปิดกิจการ

จึงขอให้สบายใจนะครับ แบงค์ชาติไม่มีวันเจ๊ง

ธนาคารกลางของประเทศอื่นมีขาดทุนหรือไม่

มีครับ ถ้าประเทศใด ค่าเงินแข็ง และมีทุนสำรองมาก ย่อมขาดทุน

และถ้าประเทศนั้น ธนาคารกลางมีการแทรกแซงไม่ให้ค่าเงินแข็งเร็ว ยิ่งขาดทุนเพิ่มขึ้นไปอีก เป็นอย่างนี้ทุกประเทศ

ข้อมูลขาดทุนของธนาคารกลางทุกประเทศ เป็นข้อมูลสาธารณะ แบงค์ชาติจึงควรจะสำรวจ แล้วแสดงให้ประชาชนรับทราบ ว่ามีประเทศใด ที่ธนาคารกลางขาดทุน

ประชาชนต้องรับภาระขาดทุนแบงค์ชาติหรือไม่

ไม่ต้องครับ

กรณีรัฐบาลขาดดุลงบประมาณ เป็นภาระแก่ประชาชน เพราะในที่สุด รัฐบาลต้องเก็บภาษีมาชดเชย

แต่ธนาคารกลางของทุกประเทศนั้น อยู่นอกระบบงบประมาณ รัฐบาลไม่ต้องเก็บภาษีมาชดเชยขาดทุนแบงค์ชาติ ประชาชนไม่ต้องรับภาระขาดทุนนี้

และในระยะยาว เมื่อแนวโน้มเงินบาทแข็งตัวชะลอลง หรือเปลี่ยนเป็นอ่อนตัว ปัญหาขาดทุนแบงค์ชาติ ก็จะคลี่คลายไปเอง

ขาดทุนแบงค์ชาติเป็นหนี้สาธารณะหรือไม่

ไม่เป็นครับ

รัฐมนตรีคลังผู้ใด ที่พูดว่า กลัวขาดทุนแบงค์ชาติไปเพิ่มหนี้สาธารณะ แสดงว่าไม่มีความรู้จริง

ขาดทุนแบงค์ชาติไม่นับเป็นหนี้สาธารณะ หลักการนี้ใช้กับทุกประเทศครับ ไม่เฉพาะประเทศไทย

การแทรกแซงให้เงินบาทแข็งตัวช้าลง แบงค์ชาติจำเป็นต้องออกพันธบัตรแบงค์ชาติเป็นจำนวนมาก ถามว่าประชาชนต้องรับภาระดอกเบี้ยนี้หรือไม่ ประชาชนต้องรับภาระชำระคืนหนี้ดังกล่าวหรือไม่ และหนี้เหล่านี้เป็นหนี้สาธารณะหรือไม่

กรณีที่รัฐบาลออกพันธบัตร ประชาชนต้องเป็นผู้รับภาระดอกเบี้ยโดยตรงครับ รัฐบาลต้องเก็บภาษีมาจ่ายเป็นดอกเบี้ย

แต่กรณีที่แบงค์ชาติออกพันธบัตร ประชาชนไม่ต้องรับภาระดอกเบี้ยใดๆ แบงค์ชาติเขารับภาระเองแต่ผู้เดียว รัฐบาลไม่ต้องเข้าไปอุ้มดอกเบี้ยนี้เลย แม้แต่น้อย

ผู้ใดที่อธิบายแก่สื่อมวลชน ว่าดอกเบี้ยดังกล่าว เป็นแผนที่วางไว้ เพื่อทำให้ธนคารพาณิชย์กำไร และเป็นภาระแก่ประชาชน ผู้นั้นให้ข้อมูลที่บิดเบือนครับ

กรณีรัฐบาลออกพันธบัตร ประชาชนต้องเป็นผู้รับภาระชำระคืนพันธบัตรนั้นโดยตรงอีกเช่นกัน

แต่กรณีแบงค์ชาติออกพันธบัตร ประชาชนไม่ต้องรับภาระชำระคืนใดๆ แบงค์ชาติเขาจะดูแลบริหารคืนเงินตามพันธบัตรที่ครบกำหนดเอง รัฐบาลไม่ต้องเข้าไปชำระหนี้แทน แม้แต่น้อย

กรณีรัฐบาลออกพันธบัตร ต้องนับเป็นหนี้สาธารณะทันที

กรณีแบงค์ชาติออกพันธบัตร จะไม่นับเป็นหนี้สาธารณะ เพราะรัฐบาลไม่มีภาระต้องมาชำระหนี้แทนแบงค์ชาติครับ

ผู้ใดที่อธิบายแก่สื่อมวลชน ว่าขาดทุนแบงค์ชาติ และพันธบัตรแบงค์ชาติ ต่อไปจะเป็นภาระแก่ประชาชน ผู้นั้นให้ข้อมูลที่บิดเบือนครับ

ขาดทุนจะกระทบการทำงานของแบงค์ชาติหรือไม่

นี่เป็นเรื่องเดียวที่ต้องระมัดระวังครับ

ไม่ต้องกังวลว่าขาดทุน จะทำให้แบงค์ชาติเจ๊ง เพราะแบงค์ชาติสร้างสภาพคล่องดูแลตัวเองได้เสมอ

ไม่ต้องกังวลว่าพันธบัตรแบงค์ชาติ จะเป็นภาระแก่ประชาชน เพราะรัฐบาลไม่มีการเก็บภาษีไปชำระหนี้แทนแบงค์ชาติอยู่แล้ว

ไม่ต้องกังวลว่าขาดทุนแบงค์ชาติ จะเป็นหนี้สาธารณะ เพราะรัฐบาลไม่มีภาระต้องชำระหนี้แทนแบงค์ชาติ

แต่ที่ควรจะกังวล คือขาดทุนกระทบการทำงานของแบงค์ชาติหรือไม่

ขาดทุนจะกระทบการทำงานของแบงค์ชาติได้อย่างไร

มีกรณีเดียวครับ หากแบงค์ชาติประสาทเสีย และพยายามแก้ปัญหาการขาดทุน ด้วยการพิมพ์เงินออกมาเกินความจำเป็น ก็จะทำให้เงินเฟ้ออุตลุด

เวลาที่แบงค์ชาติพิมพ์เงินออกมานั้น แบงค์ชาติไม่มีต้นทุน

พวกเราที่มีเงินอยู่ในกระเป๋าสตางค์ ไม่ว่าจะเก็บไว้นานเท่าใด จนธนบัตรเปื่อยแล้วเปื่อยอีก ก็จะไม่สามารถไปเรียกร้อง ขอดอกเบี้ยใดๆ จากแบงค์ชาติได้เลย

แต่ในขณะเดียวกัน เงินที่ได้นั้น แบงค์ชาติสามารถนำไปซื้อพันธบัตรรัฐบาล หรือเอาไปให้แบงค์พาณิชย์กู้ ทำให้แบงค์ชาติได้ดอกเบี้ย โดยไม่มีต้นทุน

ข้อที่ควรกลัว จึงมีอย่างเดียวครับ ว่าหากแบงค์ชาติเสพติดการหากำไรแบบง่ายๆ เช่นนี้ แล้วพิมพ์เงินออกมาเกิน จะทำให้เงินเฟ้อ

ด้วยเหตุนี้ กฎหมายจึงกำหนดให้แบงค์ชาติ ต้องทำข้อตกลงกับรัฐบาล เพื่อวางเป้าหมายเงินเฟ้อร่วมกัน เพื่อป้องกันมิให้แบงค์ชาติเสพติดเรื่องนี้

ซึ่งขณะนี้ รัฐบาลและแบงค์ชาติ ก็มีข้อตกลงกันอยู่แล้วครับ

ดังนั้น เรื่องแบงค์ชาติขาดทุน จึงไม่ใช่เรื่องที่ใหญ่โต ถึงขั้นที่สมควรต้องตกใจกระตู้วู้

ขอให้ใจเย็นๆ ครับ

แต่ถ้ายังไม่หายตื่นเต้น จะอ่านข้างบนนี้ซ้ำก็ได้นะครับ

ที่มา.Siam Intelligence Unit
////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันจันทร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

มันมากับมรดกโลก !!?


โดย.บูรพา โชติช่วง





21 ปีของอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย ศรีสัชนาลัย และกำแพงเพชร ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกภายใต้ชื่อ เมืองประวัติศาสตร์สุโขทัยและเมืองบริวาร ในปี พ.ศ. 2534

โดยมีคุณสมบัติของการเป็นมรดกโลกตรงตามหลักเกณฑ์ข้อ 1 เป็นตัวแทนในการแสดงผลงานชิ้นเอกที่จัดทำขึ้นด้วยการสร้างสรรค์อันชาญฉลาดของมนุษย์ และข้อ 3 เป็นสิ่งที่ยืนยันถึงหลักฐานของวัฒนธรรม หรืออารยธรรมที่ปรากฏให้เห็นอยู่ในปัจจุบันหรือว่าที่สาบสูญไปแล้ว

แน่นอน การมีชื่ออยู่ในบัญชีมรดกโลก ย่อมนำมาความภาคภูมิใจของประเทศประการหนึ่ง และประการต่อมาคือเม็ดเงิน รายได้เป็นกอบเป็นกำจากอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว โดยเฉพาะอุทยานฯ ทั้ง 3 แห่งมีนักท่องเที่ยวไปเยี่ยมชมแล้วหลายล้านคนนับตั้งแต่เป็นมรดกโลก และหากคิดจำนวนตัวเลขของผู้ไปเยือนเฉพาะปีที่แล้ว อุทยานฯ สุโขทัย “กว่า 4.1 แสนคน” อุทยานฯ ศรีสัชนาลัย “กว่า 1.4 แสนคน” และอุทยานฯ กำแพงเพชร “กว่า 1.5 แสนคน” (ข้อมูลกรมศิลปากร ก.ย.2555)

แน่ละ ในภาพรวมของการท่องเที่ยวเมืองไทย รัฐบาลปัจจุบันตั้งเป้าตัวเลขของผู้มาเยือนไว้ 21 ล้านคนให้ได้ภายในปี 2558 “จะมีรายได้จากการท่องเที่ยว 2 ล้านล้านบาท” สนธยา คุณปลื้ม รมว.วัฒนธรรม เอ่ยก่อนหน้านี้ และแหล่งโบราณสถานเป็นอีกด้านหนึ่งนำมาซึ่งรายได้จากการท่องเที่ยว จากการประชุมคณะรัฐมนตรีที่จ.อุตรดิตถ์ รัฐบาลมีแผนขับเคลื่อนการพัฒนาท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนในพื้นที่มรดกโลก อุทยานฯ สุโขทัย ศรีสัชนาลัย และกำแพงเพชร

“เราจะนำโครงการที่อยู่ในแผนแม่บทพัฒนาอุทยานฯ ทั้ง 3 แห่งที่ทำก่อนหน้านี้มาดูความเป็นไปได้ของการต่อยอดพัฒนาท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนได้อย่างไรบ้าง และปัญหาเรื่องของผลกระทบต่อภูมิทัศน์มรดกโลกเพื่อที่จะหาทางแก้ไข” พีรพน พิสณุพงศ์ ผู้อำนวยการสำนักศิลปากรที่ 6 สุโขทัย กล่าวหลังรับนโยบายจากรมว.วัฒนธรรมคราวลงพื้นที่มรดกโลก

น่าสนใจ ตรงที่จะต่อยอดพัฒนาท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนได้อย่างไร โดยที่ยังไม่ต้องคิดเรื่องสินค้าโอทอปที่ขายให้กับนักท่องเที่ยว แต่ควรจะมองโปรแกรมทัวร์อุทยานฯ ทั้ง 3 แห่งให้นักท่องเที่ยวได้ไปเยือนครบได้อย่างไรก่อน หากดูจำนวนตัวเลขนักท่องเที่ยวไปเยี่ยมชมอุทยานฯ สุโขทัยพบว่ามีถึง 4.1 แสนคน นั่นเป็นเพราะส่วนหนึ่งมาจากการเดินทางที่สะดวก มีสนามบินรองรับ มีที่พักตั้งแต่ราคาเบาๆ คืนละห้าร้อยบาทไปถึงเฉียดหมื่นบาทร่วม 50 โรง

ขณะที่อุทยานฯ ศรีสัชนาลัย ดูเหมือนเมืองที่ต้องตั้งใจไป เพราะอยู่ไกลออกไป ส่วนอุทยานฯ กำแพงเพชร แถบไม่ต้องพูดถึง นอกจากเป็นเมืองทางผ่านแล้ว ทัวร์ที่มาทางเครื่องบินแถบจะไม่มีโปรแกรมอุทยานฯ นี้บรรจุอยู่ในตารางทัวร์ นี่คือสิ่งที่ต้องขบคิดให้แตกก่อน ว่าทำอย่างไรให้ทัวร์ลงอ้างค้างแรมที่นี่ พร้อมๆ กับมาตรฐานโรงแรมมีรองรับพอหรือไม่เมื่อเทียบกับสุโขทัย

กระนั้นก็ตาม ในเรื่องของการพัฒนาพื้นที่อุทยานฯ ทั้ง 3 แห่ง ผอ.พีรพน กล่าวว่า “เร็วๆ นี้สำนักศิลปากรที่ 6 สุโขทัยจะเชิญนักจัดทำแผนแม่บทอุทยานฯ สุโขทัยรุ่นแรกๆ บุกเบิกไว้มาร่วมระดมความคิดเห็นและสะท้อนแผนแม่บทนี้ ว่าเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของโครงการที่วางไว้หรือไม่ ขณะที่ในส่วนของอุทยานฯ กำแพงเพชร จะต้องมาศึกษารายละเอียดการพัฒนาท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนได้อย่างไรบ้าง แต่ขณะนี้จะมีการสร้างสะพานข้ามแม่น้ำปิงผ่านเข้าพื้นที่อุทยานฯ เพื่อการท่องเที่ยวอิโคทัวร์หรือขี่จักรยาน ซึ่งการสร้างสะพานนี้เกรงว่าจะส่งผลกระทบภูมิทัศน์โบราณสถานรอบๆ และรวมไปถึงถนนในเขตอรัญญิกมีขนาดกว้างเกินจำเป็น ตนเห็นว่าควรจะลดถนนให้แคบลง ไม่ให้รถยนต์วิ่งผ่านไปมามาก เพราะแรงสั่นสะเทือนของรถส่งผลกระทบต่อโบราณสถานได้”


   
ขณะที่ เอนก สีหามาตย์ รองอธิบดีกรมศิลปากร ให้ความเห็นเพิ่มเติม “เราคงต้องกางแผนแม่บททั้ง 3 แห่งมาดูว่ามีอะไรบ้างที่ยังไม่ได้ดำเนินการ อย่างงานบูรณะโบราณสถานเกือบ 30 ปีที่แล้ว ตอนนี้พบว่าพระพุทธรูปปางลีลาบางองค์เริ่มมีรอยสึกกร่อนให้เห็น จำเป็นต้องซ่อมแซมและเสริมความมั่นคง”

รองฯ เอนก กล่าวถึงปัญหาของรถยนต์วิ่งผ่านอุทยานฯ ส่งผลกระทบต่อโบราณสถานและภูมิทัศน์มีอยู่หลายแห่ง เช่นที่อุทยานฯ ศรีสัชนาลัย ได้มีการสร้างถนนตัดสันภูเขาวัดเขาสุวรรณคีรี เพื่อที่ให้รถยนต์ใช้สัญจรข้ามไปอีกฟากหนึ่งของกำแพงเมือง ซึ่งภูเขาลูกนี้มีขนาดย่อมตั้งอยู่กลางเมืองโบราณทางด้านทิศตะวันตก บนยอดเขามีกลุ่มของโบราณสถานที่สำคัญ อาทิ เจดีย์ประธานทรงกลมองค์ระฆังขนาดใหญ่ก่อด้วยศิลาแลง ที่สันนิษฐานว่าพ่อขุนรามคำแหงสร้างไว้ ตามที่ปรากฏในศิลาจารึกหลักที่1 และภูเขาลูกนี้แสดงสัญลักษณ์ของเขาพระสุเมรุศูนย์กลางของจักรวาลหรือวัดกลางเมืองศรีสัชฯ สามารถมองเห็นได้ในระยะไกล เมื่อมีการสร้างถนนขึ้นส่งผลกระทบให้ภูมิทัศน์รอบๆ โบราณสถานได้รับความเสียหาย

“ตามแผนแม่บทอุทยานฯ ศรีสัชนาลัยปี 2530 – 2539 ได้เสนอให้ปรับสภาพทางหลวงในพื้นที่นี้ให้กลับสู่สภาพเดิม และเสนอให้สร้างอุโมงค์ลอดสันเขาแทน มีระยะทางยาวประมาณ 50 - 100 เมตร เพื่อเป็นการฟื้นฟูสภาพภูมิทัศน์ป่าโบราณคืนกลับมา” รองฯ เอนก กางแผนแม่บทให้ดู และกล่าวเพิ่มเติม “กรมศิลปากรจะเสนอต่อรมว.วัฒนธรรมว่าเห็นชอบด้วยหรือไม่ที่จะสร้างอุโมงค์ รวมทั้งแผนแม่บทอุทยานฯ ทั้ง 3 แห่งฉบับใหม่ปี 2548 ได้ว่าจ้างคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวรดำเนินการจัดทำ วางแผนผังเพื่อพัฒนาพื้นที่อย่างยั่งยืน ก่อนที่จะมีการประชุมครม.ในเดือนมีนาคม ที่จ.กำแพงเพชร”

อย่างไรก็ดี ประเด็นของการสร้างอุโมงค์ลอดสันเขาสุวรรณคีรี อันเสมือนเขาพระสุเมรุศูนย์กลางของจักรวาลหรือวัดกลางเมืองศรีสัชฯ นั้น “ต้องศึกษารายละเอียด และยูเนสโกมีกฎระเบียบอยู่แล้ว” รมว.สนธยา กล่าว แน่นอนว่า ไม่ว่าผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมทางกายภาพของพื้นที่ ผลกระทบต่อความเป็นมรดกโลกที่อาจเข้าข่ายอยู่ในภาวะเสี่ยงอันตรายจนนำอุทยานฯ ศรีสัชนาลัยไปสู่การถอดมรดกโลก และกรณีสร้างสะพานข้ามแม่น้ำปิงผ่านเข้าอุทยานฯ กำแพงเพชร ก็มีสิทธิ์ถูกถอดออกจากมรดกโลกได้

เพราะมีตัวอย่างเมืองเก่ามรดกโลกในเยอรมนีให้เห็นมาแล้วเช่นกัน
ที่มา.สยามรัฐ
--------------------------------------------------------------------------------