--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันพุธที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2555

คิดอย่างมีตรรกะ : ทางเศรษฐศาสตร์และการเมือง !!?


โดย : วีรพงษ์ รามางกูร
ในขณะที่นักคิดทางเศรษฐศาสตร์การเมือง conomique politique (ภาษาฝรั่งเศส) มีความคิดให้เหตุผลไป 2 ทาง กล่าวคือ ฝ่ายเสรีนิยมเริ่มจากหนังสือเรื่องความมั่นคั่งของชาติ หรือ The wealth of Nation ของอดัม สมิท ตามด้วย The Principles of Political Economy and Taxation ของเดวิด ริคาร์โด หนังสือของยีน แบบติสก์ เซย์ ที่เรียบเรียงเพิ่มเติมหนังสือของอดัม สมิท เป็นภาษาฝรั่งเศสชื่อ Trait d′Economie Politique แล้ว หนังสือเรื่อง Cours Complete d′Economie Pratique ทำให้ผู้คนในฝรั่งเศสและยุโรปรู้จักอดัม สมิท มากขึ้น เดวิด ริคาร์โด 
ก็รับเอากฎของเซย์ การว่างงานเกิดขึ้นไม่ได้ ถ้าปล่อยให้ตลาดแรงงานเป็นตลาดเสรี รัฐบาลหรือสหภาพแรงงานอย่าเข้ามายุ่ง 

เพราะผลผลิตสินค้าและบริการ ทำให้เกิดกำลังซื้อและความต้องการซื้อเท่ากันพอดี สินค้าไม่มีวันล้นตลาด แรงงานก็ไม่มีวันว่างงานจนกระทั่งมัลทัสเป็นคนแรกที่เห็นว่า ไม่แน่ว่าสินค้าและบริการผลิตออกมาแล้วจะขายหมด ความต้องการจริง effective demand อาจจะน้อยกว่าความต้องการขายจริง effective supply ก็ได้ ถ้าสินค้าล้นตลาดอย่างมากเป็นเวลานาน ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ คนว่างงานก็จะเกิดขึ้นอย่างที่มีให้เห็นในประวัติศาสตร์ก็หลายครั้ง

ต่อมาจอห์น เมนาร์ด เคนส์ จึงสานต่อจากมัลทัส อธิบายว่า ทำไมโดยปกติแล้ว ความต้องการสินค้าและบริการจริงจึงมักจะมีต่ำกว่าความต้องการขาย สินค้าจึงล้นตลาด ขายไม่หมดอยู่เสมอ ทำให้ธุรกิจล้มละลาย ต้องลอยแพคนงาน เศรษฐกิจตกต่ำ คนว่างงานมากขึ้น

สาเหตุที่เป็นเช่นนี้ เพราะโดยปกติแล้วเมื่อครัวเรือนมีรายได้เพิ่มขึ้นก็จะไม่ใช้จ่ายหมด แต่จะเก็บเป็นเงินออมไว้ส่วนหนึ่ง ยิ่งรวยมาก สัดส่วนของเงินออมต่อรายได้ก็ยิ่งมาก เช่น คนมีรายได้เดือนละหมื่นบาท อาจจะไม่มีเงินออมเลย มีเงินเดือน 30,000 บาท อาจจะออม 10 เปอร์เซ็นต์ คือเดือนละ 3,000 บาท ถ้าเงินเดือน 50,000 บาท อาจจะออม 15 เปอร์เซ็นต์ คือเดือนละ 4,500 บาท ถ้าเงินเดือน 100,000 บาท อาจจะออม 20 เปอร์เซ็นต์ คือ 20,000 บาท ถ้ามีเงินเดือนล้านบาท อาจออม 80 เปอร์เซ็นต์ คือ 800,000 บาทต่อเดือน เป็นต้น

ถ้าออมแล้วเอาเงินออม ทั้งหมดไปฝากธนาคาร แล้วมีผู้มากู้ไปใช้จ่ายลงทุน หรือบริโภคจนหมด ก็ไม่เป็นไร ผลิตสินค้ามาเท่าไหร่ ก็ขายหมด การว่างงานไม่เกิด แต่ถ้าไม่มีผู้กู้ไปใช้จ่ายลงทุน หรือมีกู้ไปน้อยกว่าเงินออมที่นำมาฝากธนาคาร สินค้าก็ขายไม่หมด บริษัทต้องลดการผลิตลง ปลดคนงานออก การว่างงานก็เกิดขึ้น

ดังนั้น ถ้าเอกชนลงทุนไม่พอกับเงินออมที่ประชาชนออม รัฐบาลต้องออกมากู้จากธนาคาร และจากประชาชนเอาไปลงทุนชดเชยส่วนที่ขาด เศรษฐกิจจึงจะหดตัวน้อยลง การว่างงานก็จะน้อยลง การมีสหภาพแรงงานที่กำหนดค่าแรงขั้นต่ำหรือ ค่าแรงที่แท้จริงลดลงไม่ได้ ทั้ง ๆ ที่ระดับราคาลดลง ทำให้ต้นทุนของนายทุนสูงเกินจริง สินค้าลดราคาไม่ได้ เมื่อขายไม่ออก ของเหลือมาก การปลดคนงานจึงเกิดขึ้น การว่างงานก็มากขึ้น วัฏจักรเศรษฐกิจก็เกิดขึ้นเป็นช่วง ๆ
คาร์ล มาร์กซ์ เห็นข้อเท็จจริงอันนี้ ก็เสริมต่อไปอีกว่า แม้ไม่มีสหภาพแรงงาน และรัฐบาลจะกู้มาลงทุนชดเชย ค่าแรงที่แท้จริงก็จะไม่เพิ่ม ตาม "กฎเหล็กของค่าจ้างแรงงาน" หรือ "the iron law of wages" สาเหตุก็เพราะค่าจ้างที่แท้จริงจะไม่มีวันสูงกว่าค่าแรงที่จะพอประทังชีวิตอยู่ได้ หรือ subsistence level เท่านั้น เพราะถ้าค่าแรงที่แท้จริงเพิ่มสูงกว่านี้ จะมีแรงงานหลั่งไหลเข้ามาหางานทำมากขึ้น เพราะจะมีลูกมากขึ้น ตามกฎของมัลทัส

ถ้าค่าจ้างที่แท้จริงต่ำกว่านี้ กรรมกรก็จะอดอยากล้มตายและมีลูกน้อยลง ในที่สุดค่าแรงที่แท้จริงก็จะขึ้นไปอยู่ที่ระดับพอประทังชีวิตอยู่ได้เท่า นั้น ชนชั้นกรรมาชีพจึงยากจนข้นแค้นตลอดกาล ทั้ง ๆ ที่มูลค่าของแรงงานที่ใส่เข้าไปมีมูลค่ามากกว่านั้น มาร์กซ์เรียกว่า "มูลค่าส่วนเกินของแรงงาน" หรือ "labor surplus of value" ส่วนนี้นายทุนและเจ้าของที่ดินเอาไป เศรษฐีนายทุนเจ้าของที่ดินมีน้อยกว่าแรงงานเสมอ ดังนั้น ถ้าจะให้กรรมกร

ผู้ใช้แรงงานได้ผลตอบแทนเท่ากับมูลค่าแรงงานที่ตนใส่เข้าไปในผลผลิต ก็ต้องกำจัดการเป็นเจ้าของทุน เจ้าของที่ดิน เอามาเป็นของส่วนรวม หรือของสังคมเสีย แล้วเอามาแจกจ่ายให้กรรมกรผู้ใช้แรงงานในการผลิต

ความคิดอย่างหลังนี้ มีผู้ร่วมขบวนการหลายคน เช่น ออสก้า ลังเก้ เองเกล ได้พิมพ์หนังสือของคาร์ล มาร์กซ์ เป็นภาษาเยอรมันชื่อ Das Kapital Kritik Politischen Oekonomic มี 3 เล่ม คาร์ล มาร์กซ์ เดินตามทฤษฎีของอดัม สมิท เดวิด ริคาร์โด และมัลทัสอย่างเคร่งครัดแล้ว

ต่อยอดที่ว่า เมื่อชาติมั่งคั่ง แล้วความมั่งคั่งจะแผ่ลงไปยังผู้ใช้แรงงานที่ยากจนนั้น เป็นไปไม่ได้ เพราะ "กฎเหล็กของค่าจ้างแรงงาน" รัฐบาลจะเก็บภาษีมาแจกจ่ายก็ไม่ได้ เพราะรัฐบาลก็เป็นตัวแทนของนายทุนและเจ้าของที่ดิน มีทางเดียวเท่านั้น คือกรรมกรผู้ใช้แรงงานต้องรวมตัวกันปฏิวัติโค่นล้มนายทุน เจ้าของที่ดินเสีย แล้วนำมาเป็นของสังคม หรือของส่วนกลาง ที่มีแต่ชนชั้นกรรมาชีพเท่านั้น
แนวความคิด 2 ขั้วมีผลในความคิดในตรรกะทางการเมืองเป็นอันมาก เพราะตรรกะของคาร์ล มาร์กซ์ ไม่อาจโต้เถียงได้ในยุคนั้น เพราะกษัตริย์เป็นตัวแทนของเจ้าที่ดินในยุคศักดินา สภาราษฎรเป็นตัวแทนของนายทุน เมื่อเจ้าที่ดินและนายทุนสามารถรวมตัว ตั้งพรรคการเมืองได้ แต่กรรมกรไม่สามารถรวมตัวตั้งพรรคการเมืองที่จะชนะการเลือกตั้งได้ แม้จะมีจำนวนมากกว่า ข้อเท็จจริงก็เป็นเช่นนั้นในยุคนั้น

ดังนั้น กรรมกรชาวนาก็ต้องพึ่งพาปัญญาชน นายทุนน้อยและนายทุนใหญ่ที่เข้าใจชะตากรรมของตน ตั้งพรรคคอมมิวนิสต์ขึ้นเป็นตัวแทนของชนชั้นกรรมาชีพและชาวนาที่ไม่มีที่ทำ กิน รับจ้างเขาทำ ดัง "คำประกาศแสดงเจตจำนงของพรรคคอมมิวนิสต์" หรือ "Manifest der Kommunischen Partei" เมื่อมาร์กซ์และเองเกลร่วมกันเขียนและถือเป็นคัมภีร์ของพรรคคอมมิวนิสต์ทั่ว โลกในเวลาต่อมา

หลังการปฏิวัติโค่นล้มพระเจ้าซาร์ นิโคลัส ที่ 2 โดยพรรคบอลเชวิค แล้วกลายมาเป็นพรรคคอมมิวนิสต์รัสเซีย พรรคคอมมิวนิสต์ก็เกิดขึ้นเป็นดอกเห็ดทั่วโลก

บรรดานายทุนเจ้าที่ดิน ซึ่งส่วนใหญ่มีเชื้อสายยิวจากรัสเซียและยุโรปตะวันออก ต่างหลั่งไหลหนีมาอยู่ยุโรปตะวันตก แต่ส่วนใหญ่หนีไปอยู่สหรัฐอเมริกา และเป็นพ่อค้าร่ำรวย เป็นนายธนาคาร เจ้าของโรงงาน และเป็นผู้จ่ายเงินหนุนหลังพรรคการเมืองใหญ่ทั้ง 2 พรรค คือพรรคดีโมแครตและพรรครีพับลิกัน

บรรดาปัญญาชนและนายทุนที่ร่ำรวย ก็เป็นคนมาจากอังกฤษ ฝรั่งเศส สแกนดิเนเวีย โดยปรัชญาพื้นฐานของชนชั้นปัญญาชนที่มาจากยุโรปตะวันตก คือเกลียดชังรัฐบาล หรือกษัตริย์ ที่กดขี่ไม่ให้เสรีภาพในการนับถือศาสนา เพราะประชาชนประเทศไหนต้องนับถือศาสนาคริสต์นิกายที่กษัตริย์นับถือ พระเจ้าแผ่นดิน สแกนดิเนเวียนับถือโรมันคาทอลิก ใครไม่ใช่แคทอลิกก็ถูกขับไล่ออกไป กษัตริย์อังกฤษนับถือคริสต์นิกายอังกฤษ ใครไม่นับถือก็ถูกขับออกไป เยอรมัน ออสเตรเลีย ฮังการี นับถือนิกาย

ลู เทอรัล นักปฏิรูปศาสนาเยอรมัน ใครไม่นับถือก็ถูกขับออกไป ประชาชนที่ไม่ยอมนับถือศาสนาคริสต์นิกายที่พระเจ้าแผ่นดินนับถือก็ถูกไล่ล่า จึงเกิดการอพยพมาที่โลกใหม่ "New World" หรืออเมริกาอย่างขนานใหญ่

ปรัชญาการเมืองของชาวอเมริกาที่อพยพมาจากยุโรป จึงไม่ต้องการกษัตริย์ และไม่ต้องการผู้นำเผด็จการ เพราะเข็ดขยาดจากการไล่ล่าจากการไม่นับถือศาสนาคริสต์ที่ผู้ปกครองนับถือ ไม่ต้องการรัฐบาลที่เข้มแข็ง และเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเสรีภาพส่วนตัว

การทำมาหากิน ที่ดินก็มีมากมาย ไม่มีราคา ไม่เหมือนยุโรป หรือแม้แต่เอเชีย รัฐบาลควรทำหน้าที่แค่ปกป้องประเทศชาติ ดูแลความมั่นคงในชีวิตและทรัพย์สินส่วนบุคคล รัฐสภาทำหน้าที่แทนประชาชนในการตรากฎหมาย และควรจะมีกฎหมายให้น้อยที่สุด ถ้าจะมีก็ต้องละเอียดที่สุด ป้องกันรัฐบาลตีความเอาอำนาจเข้าตัวเอง ละเมิดสิทธิส่วนบุคคล มีศาลไว้ตัดสินข้อพิพาทขัดแย้ง คำว่า "สังคมนิยม" จึงเป็น "คำสกปรก" สำหรับคนอเมริกัน

ส่วนยุโรปเจ้านายเจ้าที่ดินและนายทุนต้องประนีประนอมกับกรรมกร ถ้าไม่อยากถูกโค่นล้มเป็นคอมมิวนิสต์ จึงเกิดความคิดทางการเมือง เช่น รัฐสวัสดิการบ้าง สังคมนิยมประชาธิปไตยบ้าง ตามดีกรีความเข้มความอ่อนที่ต่างกัน เกิดพรรคกรรมกรขึ้นมาหลายประเทศ

ในเอเชียพรรคก๊ก มิน ตั๋ง ถูกโค่นล้มโดยพรรคคอมมิวนิสต์จีน พรรคคอมมิวนิสต์ก็ต่อสู้กับเจ้าอาณานิคม โฮจิมินห์ประสบความสำเร็จในการต่อสู้กับฝรั่งเศสเจ้าอาณานิคม ความคิดเรื่องคอมมิวนิสต์จึงแพร่ไปยังประเทศอื่น เช่น ลาว กัมพูชา คิวบา มองโกเลีย เจ้าอาณานิคมจึงต้องรีบให้เอกราชแก่อาณานิคมของตัวเอง โดยเริ่มจากอินเดีย นำโดยมหาตมะ คานธี หลังได้รับเอกราชอินเดียเป็นเสรีประชาธิปไตยในทางการเมือง แต่ทางเศรษฐกิจเป็นสังคมนิยมอย่างเข้มงวดเกือบจะเป็นคอมมิวนิสต์

กระดาษหมดแล้ว ขอจบเท่านี้


ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
************************************************************************************************************

วันอังคารที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2555

Instagram เพื่อธุรกิจ !!?


โดย.นาวิกนำเสียง

หลังจาก Instagram ถูกควบรวมกิจการไปอยู่ในวงแขนของ Facebook ทำให้มีการพูดถึงของ Instagram มากขึ้น

มีการพัฒนาให้สามารถใช้ได้ทั้ง iOS และ Android จนมีผู้ใช้ทั่วโลกมากกว่า 100 ล้านคน เป็นผู้ใช้คนไทยมากกว่า 3 แสนคน ซึ่งจะว่าไปแล้วกระแสของ Instagram ก็ไม่น้อยไปกว่า Twitter หรือสื่อสังคมออนไลน์อื่นๆเลย จนทำให้บริษัทต่างๆ ให้ความสำคัญกับ Instagram มากขึ้น และถูกนำมาใช้เป็นส่วนหนึ่งของการตลาดออนไลน์

ถึงแม้ว่า Instagram จะไม่ได้เป็นสื่อสังคมออนไลน์หลักอย่าง Facebook, Twitter หรือ G+ แต่เชื่อหรือไม่ว่าในปี 2556 แนวโน้มการใช้ สื่อสังคมออนไลน์รอง จะมีสูงมากยิ่งขึ้น และผู้บริโภคจะใช้เวลากับสื่อสังคมออนไลน์รองมากขึ้นด้วย และอาจจะแซงสื่อสังคมออนไลน์หลักบางตัวด้วยซ้ำ หนึ่งในพระเอกของสื่อสังคมออนไลน์รองก็คือ Instagram

Instagram เป็นสื่อสังคมออนไลน์ที่ผู้ใช้จะแชร์รูปภาพกัน ยังสามารถที่จะแชร์ร่วมไปกับ Facebook และ Twitter ได้ การสร้างการมีส่วนร่วม (Engagement) จะผ่านรูปภาพที่นำเสนอ ถ้าต้องการสร้างการมีส่วนร่วมมากขึ้น คุณก็ต้องโพสต์รูปภาพและข้อความที่สร้างสรรค์ เรามาดูไอเดียเหล่านี้ว่าบริษัทสามารถนำไปใช้ได้อย่างไร

รูปสินค้าและบริการ

ผู้บริโภคที่ติดตาม Instagram ของคุณ พวกเขาส่วนใหญ่จะเป็นลูกค้าหรือชื่นชอบในสินค้าและบริการของคุณอยู่แล้ว จึงไม่แปลกอะไรที่พวกเขาจะเฝ้าติดตามสินค้าและบริการใหม่ๆ จากคุณ ดังนั้นสิ่งง่ายๆ ที่คุณทำได้คือแชร์รูปสินค้าและบริการของคุณ อาจจะแชร์สินค้าเป็นชุดตามฤดูกาล แล้วตั้งคำถามให้เดาว่าสินค้านี้คืออะไรเป็นต้น เพื่อสร้างการมีส่วนร่วมของผู้บริโภค คุณจะได้ทั้ง Like และก็คอมเมนท์มากยิ่งขึ้น

รูปภาพขั้นตอนการผลิต

นอกเหนือจากสินค้าสำเร็จรูปแล้ว ผู้ติดตาม Instagram ก็อยากจะทราบกระบวนการผลิตด้วยเช่นกัน อยากรู้ว่ามาได้อย่างไร ใช้วัตถุดิบอะไร ผลิตกันอย่างไร เรียกได้ว่า พวกเขาต้องการทราบต้นกำเนิดกว่าจะมาเป็นสินค้าที่พวกเขาชื่นชอบ ถ้าคุณขายไวน์ คุณก็โพสต์รูปไร่องุ่นต้นกำเนิด หรือวิธีการบ่มไวน์ เป็นต้น

รูปภาพเบื้องหลังการทำงาน

ก่อนที่จะโปรโมทสินค้าและบริการผ่านสื่อโฆษณาคุณก็อาจจะสร้างกระแสใน Instagram ก่อน ด้วยการนำเสนอรูปเบื้องหลังการทำงานในการโปรโมทสินค้า รูปภาพโฆษณาหรือแคตตาล็อกก่อนที่จะใช้จริง รูปนางแบบหรือนายแบบ เป็นต้น

การนำเสนอภาพเบื้องหลังของการทำงานหนักของทีมงานจะสามารถสร้างการมีส่วนร่วมของผู้บริโภคกับแบรนด์ของเราได้เป็นอย่างดี

รูปภาพการใช้งานของสินค้า

สินค้าบางอย่างสามารถนำไปประยุกต์การใช้งานที่หลากหลายได้รูปภาพการใช้งานของสินค้าที่หลากหลายใน Instagram จะช่วยสร้างจินตนาการของผู้บริโภคได้ บางครั้งพวกเขาอาจจะไม่ทราบมาก่อนก็ได้

คุณสามารถให้ผู้บริโภคส่งรูปภาพประกวดแข่งขันกันได้ ด้วยการส่งรูปภาพการใช้งานแปลกๆ และอย่าลืมให้ Hash tag ด้วยนะครับ สินค้าประเภทเครื่องสำอางสามารถนำไอเดียนี้ไปใช้ได้เป็นอย่างดีเช่นใครแต่งหน้าสวยเก๋ถูกใจเป็นต้น

รูปภาพหลุด

ผู้บริโภคจะมีอยากรู้อยากเห็นสินค้าใหม่ที่กำลังจะออกวางขายภาพหลุดหรือสินค้าต้นแบบจะได้รับความสนใจเป็นอย่างดีคุณอาจจะแชร์ส่วนหนึ่งของสินค้าใหม่ให้ดูหรือร้านค้าใหม่หรือสถานที่ใหม่ๆ ก็ได้แล้วตั้งคำถามให้เกิดเป็นกระแสต้อนรับสินค้าใหม่นั้นๆ

รูปภาพของสำนักงาน

เชื่อหรือไม่ว่า ผู้บริโภคที่ชื่นชอบในสินค้าของคุณ เค้าก็อยากจะร่วมทำงานกับคุณด้วยเช่นกัน รูปภาพออฟฟิศ​สถานที่ทำงาน การทำงานประจำวัน การอบรมพนักงาน เป็นต้น ก็สามารถสร้างความตื่นเต้นให้กับผู้บริโภคได้เช่นกัน

บางบริษัทจะแชร์ภาพพนักงานที่มีเอกลักษณ์เฉพาะโดดเด่น หรือทีมงานที่สร้างสินค้าเหล่านั้น เพื่อให้ผู้บริโภคเห็นหน้าตาของทีมงานผู้สร้างสรรค์สินค้าตัวจริงๆ เป็นต้น

ภาพลักษณ์สถานที่ทำงานและการทำงานจะช่วยเสริมสร้างภาพลักษณ์ของแบรนด์ได้ด้วยเช่นกัน อีกอย่างจะสร้างความใกล้ชิดของผู้บริโภคกับแบรนด์ได้มากยิ่งขึ้น

รูปกิจกรรม

คุณอาจจะต้องแสดงตัวเป็นผู้สื่อข่าวกิจกรรมของบริษัทผู้บริโภคก็ต้องการติดตามความเคลื่อนไหวของแบรนด์ที่พวกเขาชื่นชอบการรายงานความเคลื่อนไหวของการแสดงสินค้าการออกงานการอบรมลูกค้าก็เป็นสิ่งที่ผู้บริโภคอยากที่จะติดตามด้วยเช่นกันผู้บริโภคจะได้รับความรู้ใหม่ด้วยเช่นกันพวกเขาก็จะเฝ้าติดตามอย่างต่อเนื่อง

สุดท้าย รูปภาพน่ารักๆ

คงจะไม่มีใครปฏิเสธรูปภาพน่ารักหรือรูปภาพที่น่าสนใจเช่นภาพสัตว์ บุคคล สถานที่หรือสิ่งของ เป็นต้น เราก็สามารถแชร์รูปเหล่านี้ได้ มันจะช่วยผ่อนคลายและไม่ดูเป็นการขายสินค้าหรือยัดเยียดผู้บริโภคมากจนเกินไป คุณอาจจะซ่อนโลโก้ของบริษัทเป็นพื้นหลังหรือบังเอิญถ่ายภาพร่วมกับสินค้าของคุณก็ได้ ก็สามารถสร้างการรับรู้ในแบรนด์ของคุณไปด้วยเช่นกัน

คุณจะต้องให้สัดส่วนของรูปภาพเหล่านี้อย่างเหมาะสมไม่มากเกินไปและไม่น้อยเกินไป การประเมินการมีส่วนร่วมทุกครั้งที่แชร์จะบอกให้คุณทราบเองว่าผู้บริโภคของคุณชอบรูปภาพประเภทไหนอย่างไร

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
///////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

มท.1 เผยสานเสวนาปรองดอง เริ่มเดินหน้าหลังปีใหม่ !!?


นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ รมว.มหาดไทย ในฐานะประธาน ปคอป. กล่าวถึงความคืบหน้าการจัดเวทีสานเสวนาว่า หลังจากการจัดงานเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวแล้ว ก็จะเดินหน้าในเรื่องการจัดการจัดเวทีสานเสวนาเพื่อสร้างความปรองดอง โดยจะเชิญนักวิชาการที่เกี่ยวข้องกับการประนีประนอม เป็นคนกลางมาหารือกัน แล้วให้เป็นผู้วางกรอบกฎเกณฑ์กติกา ที่จะทำให้ประเทศเดินหน้าต่อไปได้ คาดว่ากลางเดือน ธ.ค.เราจะได้กติกาที่ชัดเจน แล้วจากนั้นก่อนสิ้นเดือนนี้จะมีการอบรมวิทยากรปฏิบัติการทั้งหมด 20 ชุด เพื่อที่จะลงพื้นที่จัดเวทีฯ 108 แห่งทั่วประเทศ แล้วการสานเสวนาจะเริ่มในช่วงหลังปีใหม่ และในช่วงสิ้นเดือน มี.ค. หลังจากที่ระดมความคิดเห็นของประชาชนจำนวน 75,000 คนแล้ว ก็จะสามารถมองออกว่าตัวแทนประชาชนส่วนใหญ่มีความเห็นไปในทิศทางใด จากนั้นจะนำมาสรุปและเปิดเผยต่อสาธารชนต่อไป

รมว.มหาดไทย กล่าวอีกว่า เราไม่ได้จำกัดว่าจะเน้นเรื่องไหนเป็นพิเศษ เพียงแต่คิดว่าให้ประเทศเดินหน้าไปได้ ยุติกลุ่มสีต่างๆ และนายกรัฐมนตรี ก็อยากจะฟังความเห็นของประชาชนว่าเป็นอย่างไร ยืนยันว่ากระทรวงมหาดไทย ไม่ได้เป็นผู้ดำเนินการ หรือชี้แนะ ชี้นำ แต่เป็นผู้ประสานงาน อำนวยความสะดวกในเรื่องสถานที่ และจำนวนคน รวมทั้งงบประมาณ ส่วนนักวิชาการจะมีอิสระในการดำเนินการจัดการจัดเวทีสานเสวนาฯ เพื่อให้ได้คำตอบว่าประเทศจะเดินหน้าไปอย่างไร

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 13.30 น. นางคริสตี้ เคนนีย์ เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกา ประจำประเทศไทย ได้เดินทางมาพบ นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ รมว.มหาดไทย โดยนางคริสตี้ กล่าวว่า ตนมาที่นี่เพราะมาทำความรู้จักกับรัฐมนตรีคนใหม่ ส่วนความร่วมมือกับไทยและสหรัฐยังคงแข็งแกร่ง และ2ประเทศเราก็มีความสัมพันธ์กันมา 180 ปี และในปีหน้าความร่วมมือต่อกระทรวงมหาดไทยก็จะเดินหน้าต่อไป เช่นเรื่องผู้อพยพชาวพม่า

ที่มา.เนชั่น
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันจันทร์ที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2555

แนวทางต่อสู้ เหลือง เหนือกว่า แดง !!?


หลังนายก่อแก้ว พิกุลทอง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) แดงทั้งแผ่นดิน ถูกศาลถอนการประกันตัว ต้องกลับเข้าไปใช้ชีวิตในเรือนจำทันทีที่รัฐสภาปิดสมัยประชุม

เป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าหมดเอกสิทธิ์คุ้มครองเมื่อไร แกนนำเสื้อแดงก็ยังได้ลุ้นเสียวตลอด

ต่างจากแกนนำอีกฝ่ายที่จนถึงวันนี้คดีความต่างๆอันเกี่ยวเนื่องจากการชุมนุมในอดีตที่ผ่านมายังไม่ถูกส่งถึงศาลแต่ประการใด

แถมมีแนวโน้มว่าเมื่อเรื่องส่งถึงศาลจะได้รับการประกันตัวค่อนข้างแน่ พนักงานสอบสวนพูดชัดไม่คัดค้านประกันตัว เพราะไม่เห็นว่าเป็นคดีความที่ร้ายแรง

เสื้อเหลือง เสื้อแดง เป็นการเมืองต่างขั้วที่ยังต้องต่อสู้กันต่อไปตามวิถีทางของตัวเองเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย

แต่วันนี้มีคนมองว่าการเมืองของเสื้อเหลืองได้ยกระดับไปอีกขั้นจนสูงกว่าแนวทางการต่อสู้ทางการเมืองของคนเสื้อแดง

ดร.พิชญ์ พงษ์สวัสดิ์ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ระบุว่า ที่ผ่านมาเคยเตือน นปช. หลายครั้งแล้วว่าคนเสื้อแดงไม่มีความหมายในแง่การเคลื่อนไหวทางการเมืองในระดับสูงเลย

ความจริงคนเสื้อแดงควรต้องมีกลุ่มย่อยและแตกตัวสร้างเครือข่ายแบบกลุ่มพันธมิตรฯที่แตกเป็นกลุ่มโน้นกลุ่มนี้ เพื่อแยกกันเคลื่อนไหว แทรกซึมเข้าไปอยู่ในระบบต่างๆ

หากยังไม่มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญพื่อทำลายโครงสร้างที่อีกฝ่ายหนึ่งปูทางเอาไว้ ในอนาคตจะสู้ฝ่ายเสื้อเหลืองไม่ได้เลย

เห็นทีจะจริงอย่างที่ ดร.พิชญ์ว่า

ทุกวันนี้ในวุฒิสภามี ส.ว.ลากตั้งที่มาจากแนวร่วมคนเสื้อเหลืองอยู่จำนวนไม่น้อย หากไม่มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ปล่อยให้มีระบบ ส.ว.ลากตั้งกันต่อไป อีกไม่กี่ปีข้างหน้าในวุฒิสภาจะเต็มไปด้วยแนวร่วมคนเสื้อเหลือง

หากในวุฒิสภามีแนวร่วมของฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลเกินครึ่งจะเกิดอะไรขึ้น

ประการแรก ส.ว. มีหน้าที่กลั่นกรองกฎหมาย ซึ่งกฎหมายคือเครื่องมือในการบริหารงานของรัฐบาล หากเสนอกฎหมายอะไรไปแล้วถูกเตะถ่วง ถูกยื้อ ก็จะทำให้รัฐบาลมีอุปสรรคในการทำงานได้

ประการที่สอง ส.ว. มีหน้าที่ควบคุมการบริหารราชการแผ่นดิน โดยการตั้งกระทู้ถามรัฐมนตรี หรือเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อให้คณะรัฐมนตรีแถลงข้อเท็จจริงหรือชี้แจงปัญหาโดยไม่มีการลงมติ

สามารถเปิดอภิปรายเพื่อให้สอดคล้องกับฝ่ายค้านหรือการเคลื่อนไหวนอกสภาให้รัฐบาลมีปัญหาความน่าเชื่อถือได้

ประการที่สามนี่สำคัญมาก เพราะว่า ส.ว. มีหน้าที่เลือก แต่งตั้ง ให้คำแนะนำ หรือให้ความเห็นชอบให้บุคคลเข้าดำรงตำแหน่งต่างๆ ประกอบด้วย

ประธานกรรมการและกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ผู้ตรวจการแผ่นดิน ประธานกรรมการและกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ประธานศาลรัฐธรรมนูญและตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม

ประธานศาลปกครองสูงสุดและตุลาการในศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการตุลาการศาลปกครอง ประธานกรรมการและกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และเลขาธิการ ป.ป.ช. ประธานกรรมการและกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน และผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน

นอกจากนี้ยังมีหน้าที่พิจารณาและมีมติให้ถอดถอนนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี ส.ส. ส.ว. ประธานศาลฎีกา ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ประธานศาลปกครองสูงสุด อัยการสูงสุด กกต. ผู้ตรวจการแผ่นดิน ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ กรรมการตรวจเงินแผ่นดิน ผู้พิพากษาหรือตุลาการ พนักงานอัยการ หรือหัวหน้าส่วนราชการระดับกรมหรือเทียบเท่า ออกจากตำแหน่งได้

ว่ากันว่านายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานกลุ่มกรีน ซึ่งเป็นอีกหนึ่งแนวร่วมเสื้อเหลือง กำลังแต่งตัวเพื่อที่จะเข้ารับการสรรหาเป็น ส.ว. ในปีหน้า เข้าไปสมทบกับพวกเดียวกันที่มีอยู่ในวุฒิสภาแล้วจำนวนมาก

ถ้าถึงวันที่แนวร่วมคนเสื้อเหลืองมีเกินกว่าครึ่งหนึ่งของวุฒิสภาจะมีอะไรเกิดขึ้นบ้างก็ขอให้พิจารณาจากอำนาจหน้าที่ของ ส.ว. เพราะสามารถแผ่อิทธิพลครอบคลุมไปได้อีกหลายองค์กรที่ชี้เป็นชี้ตายฝ่ายตรงข้ามได้

การเมืองของเสื้อเหลืองกำลังแทรกซึมเข้าสู่ระบบ ถือว่ากำลังยกระดับการต่อสู้เหนือกว่าคนเสื้อแดงที่ยังไม่ตั้งหลักกับเรื่องนี้

ที่มา.หนังสือพิมพ์โลกวันนี้
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

พิพากษาจำคุก อริสมันต์ 1ปี ไม่รอลงอาญาหมิ่นประมาท มาร์ค.


 ที่ห้องพิจารณา 803 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลพิพากษาลงโทษจำคุก นายอริสมันต์ หรือ กี้ร์ พงศ์เรืองรอง แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) จำเลย ในความผิดฐานหมิ่นประมาทผู้อื่นโดยการโฆษณา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326 และ 328 รวม 2 กระทง ลงโทษจำคุกกระทงละ 6 เดือน รวมจำคุกเป็นเวลา 1 ปี โดยไม่รอลงอาญา

คดีนี้ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และอดีตนายกรัฐมนตรี เป็นโจทก์ยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 12 พ.ย.52 สรุปว่า เมื่อวันที่ 11 และ 17 ต.ค.52 เวลากลางวันและกลางคืน ต่อเนื่องกัน จำเลยได้กล่าวปราศรัยเวทีอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยและทำเนียบรัฐบาล ต่อกลุ่มผู้ชุมนุมเสื้อแดงซึ่งได้มีการถ่ายทอดสดผ่านทางโทรทัศน์พีเพิล แชนแนล ทำให้เข้าใจประชาชนว่า รัฐบาลโจทก์เอาประเทศชาติไปกู้เงินมาแล้วโกง โจทก์เป็นนายกรัฐมนตรีใจอำมหิต ปล้นอำนาจจากประชาชน สั่งให้ทหารสร้างสถานการณ์โดยใช้อาวุธสงครามฆ่าประชาชน โดยรัฐบาลโจทก์ยังทุจริตคอร์รัปชั่นหลายโครงการ

ศาลพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามฟ้อง มาตรา 326 และ 328 การกระทำนั้นเป็นความผิดหลายกรรม ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิด ให้จำคุกจำเลย 2 กระทงๆ 6 เดือน รวมจำคุกทั้งสิ้น 12 เดือน ซึ่งพฤติการณ์ของจำเลยมีการปราศรัยพาดพิงถึงสถาบันพระมหากษัตริย์อันเป็นที่รักของประชาชนไทย จึงไม่มีเหตุให้รอการลงโทษ

ส่วนที่โจทก์ขอให้จำเลยโฆษณาคำพิพากษาย่อในหนังสือพิมพ์รายวัน 9 ฉบับนั้น ศาลเห็นว่าเกินความจำเป็น จึงให้จำเลยโฆษณาคำพิพากษาย่อใน น.ส.พ.มติชน และเดลินิวส์ เป็นเวลา 7 วันติดต่อกันโดยให้จำเลย เป็นผู้ชำระค่าโฆษณา

ภายหลังทนายความ ได้นำหลักทรัพย์เป็นเงินสด จำนวน 100,000 บาท ยื่นคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราวระหว่างยื่นอุทธรณ์สู้คดี

ที่มา.มติชนออนไลน์
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

ผู้ทำ & ผู้นำ !!?


โดย: วิเชียร เมฆตระการ
ผมว่าเรื่องการบริหารจัดการ เป็นศิลปะที่ไม่มีจุดสิ้นสุด ศาสตร์นี้มีพูดถึงกันแพร่หลายจากการเรียนรู้สั่งสมมากขึ้นเรื่อย ๆ อีกทั้งไม่ได้หมายความว่า สิ่งที่ได้เคยถูกพูดถึงเมื่อ 100 ปีก่อนจะเป็นเรื่องล้าสมัย ไม่สามารถนำมาใช้ได้ ตรงกันข้ามน่าจะเป็นรากฐานสำคัญที่นำมาใช้ต่อยอดได้อย่างแข็งแรงในการทำให้ องค์กรเดินไปข้างหน้า

หลาย ๆ แห่งมองเหมือนกันว่า สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ "คน" นั่นเอง ที่เป็นทั้งทรัพยากรอันหาค่ามิได้ เป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อนองค์กร เป็นจิตวิญญาณขององค์กร ง่าย ๆ ก็คือ เป็นทุกอย่างขององค์กร

พูดเป็นหลักการแบบนี้อาจนึกภาพไม่ออก ลองนึกถึงเวลาก่อนหรือหลังเลิกงาน ที่ office ไม่มีพนักงานอยู่แล้วซิครับ นั่นแหละที่ผมเรียกว่า องค์กรที่ไม่มีชีวิต เปรียบเทียบกับเวลาที่พนักงานอยู่กันเต็ม มันมีจิตวิญญาณที่ทำให้องค์กรนั้นเคลื่อนไหวได้

ดังนั้น "องค์กรจะมีชีวิตชีวา มอบสิ่งต่าง ๆ ที่ถูกคาดหวังได้ ก็ต้องมาจากคนนั่นแหละ" ศาสตร์ของทรัพยากรบุคคล เป็นเรื่องล้ำลึกเกินกว่าจะพูดได้เพียงครั้งเดียว

ฉะนั้น ผมจึงเลือกที่จะเน้นเรื่องนี้ให้เป็นอันดับ 1 หากใครมาถามผมว่า การที่จะ run บริษัทให้เติบโต ก้าวไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคง ปัจจัยใดที่สำคัญที่สุด

พวกเราคงคุ้นหูกับคำว่า Management ง่าย ๆ ก็คือ ผู้บริหาร แล้วคำว่า Leader ที่แปลว่า "ผู้นำ" ใหญ่กว่า ผู้บริหารรึเปล่า หรือว่า Management ก็คือ Leader

ใช่หรือไม่ พูดแล้วชักงง เอาเป็นว่า ทั้ง "ใช่" และ "ไม่ใช่" ก็แล้วกันครับ

ขอแปลด้วยคำจำกัดความส่วนตัวของผมแล้วกันนะครับว่า Management ก็คือ "ผู้ทำ" ส่วน Leader คือ "ผู้นำ" (ใครเห็นต่างก็ลองแลกเปลี่ยนกันได้นะครับ)

"ผู้ทำ" มีหน้าที่ไปลงมือทำงานตามกระบวนการ หรือตามขั้นตอนความถนัดของตัวเอง พูดง่าย ๆ คือ ปฏิบัติตามสิ่งที่ได้วางเป็น guideline ไว้แล้ว คุณอาจมีการพลิกแพลง พัฒนาขั้นตอนนั้น หรือบริหารจัดการตามแนวของคุณ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพ หรือประสิทธิผลที่ดีขึ้น ซึ่งนี่ก็อาจบ่งบอกว่า คุณมีแววที่จะก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำได้ หากผ่านขั้นตอนการ "ทำ" มาอย่างโชกโชน และเก๋าพอที่จะบอกได้ว่า สิ่งที่คุณกำลังมุ่งมั่นทำอยู่นั้น มีผลต่อองค์กรในภาพรวมอย่างไร

ส่วน "ผู้นำ" นั้น ผมมีวิธีคิดของ Jack Welch CEO ของ GE มา share โดยเขามองว่า คือคนซึ่งมีความคิดใหม่ ๆ และแสดงวิสัยทัศน์ซึ่งดลใจให้คนอื่นปฏิบัติตาม โดยบางครั้งไม่จำเป็นต้องลงรายละเอียดมากเกินไป รวมถึงรู้จักที่จะสรรหาและส่งเสริมบุคลากรที่สามารถทำให้วิสัยทัศน์เป็นจริงได้

ใช่แล้วครับ ความแตกต่างระหว่าง ผู้ทำ กับ ผู้นำ อยู่ที่การสร้างวิสัยทัศน์ และศักยภาพในการสร้างแรงบันดาลใจ
ผลักดันให้ทีมงานพร้อมใจที่จะเดินไปด้วยกันเพื่อบรรลุถึงเป้าหมายนั้นให้ได้

ถามว่าอะไรเป็นยากกว่ากัน ผมว่ายากด้วยกันทั้งคู่ แต่ยากกันไปคนละแบบ เพราะบางคนเกิดมาเพื่อเป็นผู้ทำ มีความสุขที่จะมุ่งมั่นลงมือทำในสิ่งที่ตนเองรักและหลงใหลให้ดีที่สุด เข้าข่ายแบบศิลปินเดี่ยวนั่นแหละครับ ส่วนที่ยากคือ ถ้าคุณจะก้าวสู่การเป็น "ผู้ทำ" ที่มีความสามารถเป็นเลิศ ชนิดหาไม่ได้อีกแล้วในแผ่นดินนี้ คุณก็ต้องผ่านกระบวนการฝึกฝนหนักหนาสาหัสจนฝีมือก้าวไปสู่ขั้นเทพ แบบนี้ผมเรียกว่า พรแสวง หรือบางท่านที่ต้องถือว่าโชคดีสุด ๆ ก็คือ เป็นผู้ทำอัจฉริยะเพราะพรสวรรค์

แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า คนที่มีพรสวรรค์จะเป็น ผู้ทำ ที่ประสบความสำเร็จทุกคน เพราะหากคุณก้าวไม่ผ่านขั้นตอนในการผลักดันตัวเองให้ลงมือทำ โดยไม่มีใครบังคับได้แล้วล่ะก็ คุณอาจไม่เหลือความพิเศษในตัวและแทบจะไม่แตกต่างจากสามัญชนทั่วไป

อย่างไรก็ตาม สำหรับผมในเชิงขององค์กร ผู้ทำ คือ บุคลากรที่ทรงคุณค่า เนื่องจากเป็นพลังงานหลักในการขับเคลื่อน
ที่ไม่อาจคำนวณความแรงได้ หาก ผู้ทำ นั้น มีทั้งความรู้ความชำนาญในกระบวนการทำงานของพวกเขา แล้วยิ่งหากเป็นการ "ทำ" อย่างเต็มอกเต็มใจ มีความสุขที่จะลงมือทำ โดยไม่เหน็ดเหนื่อย รวมถึงยังเดินหน้าพัฒนาขั้นตอนการทำงานให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ แหม ! ผมล่ะไม่กล้าคำนวณเลยทีเดียวว่า เมื่อพลังของเขามารวมกันแล้ว จะมหาศาลขนาดไหนแต่...ช้าก่อน พลังเหล่านั้นหากขาดการนำอย่างมีวิสัยทัศน์ อาจแปรเปลี่ยนเป็นพลังที่ "แรง" แต่ไม่มีประโยชน์ก็เป็นได้

ดังนั้นความท้าทายของคนที่จะเป็น ผู้นำ ก็คือ ทำอย่างไรจึงจะดึงพลังของบุคลากรผู้ทำออกมาสร้างเป็นพลังงาน เพื่อขับเคลื่อนองค์กรให้ได้ขอบอกว่าไม่ง่ายเลยทีเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งการนำคนมาก ๆ ในองค์กรใหญ่ ที่มีจำนวนพนักงานเป็นหลักพัน หรือหลักหมื่น

ยกตัวอย่างให้เห็นภาพแล้วกันนะครับ เอาใกล้ตัวผมนี่แหละ คือในองค์กรอย่าง "เอไอเอส" ที่มีจำนวนพนักงานอยู่เกือบหมื่น ลำพังเรื่อง basic อย่างการสื่อสารเพื่อให้พนักงานรับรู้เรื่องราว ข่าวสาร ทิศทางองค์กร หากต้องการให้รู้โดยไม่ผิดเพี้ยนกลายเป็นคนละเรื่องยังไม่ง่ายเลยครับ ต้องอาศัยเครื่องมือหลายอย่างในการนำสารส่งไปยังพนักงาน

นี่ขนาดเป็นเพียงขั้นตอนของการสื่อสารทางเดียวนะครับ ยังไม่พูดถึงเรื่องการ feed back, interactive รวมไปถึงการส่งมอบวิสัย ทัศน์ ที่เป็นเป้าหมายขององค์กร ซึ่งบางครั้งก็มีความซับซ้อน แถมบางเรื่องก็ละเอียดอ่อน ต้องการการชี้แจงเป็นขั้นเป็นตอน ก็ย่อมยากขึ้นไปอีก

ที่ผ่านมาผมเลยต้องกลายเป็นคนเร่ร่อน เพราะต้องเป็น "ป๋าสัญจร" ไปตามภูมิภาคเพื่อพบปะกับบรรดาเพื่อน ๆ พี่ ๆ น้อง ๆ ชาวเอไอเอส พูดคุยกันแบบถึงเนื้อถึงตัว ซึ่งเชื่อว่าทำให้เข้าใจกัน สนิทกันมากขึ้น และแน่นอนทำให้เกิดความเข้าใจ เห็นภาพขององค์กร ที่สำคัญเราได้รับฟังความคิดเห็นจากเจ้าตัวโดยตรงอีกด้วย

ดังนั้นผมขอเพิ่มคุณสมบัติผู้นำจากของคุณ Jack ว่า หากคุณจะเป็นผู้นำที่ดี คุณต้องเห็นภาพและเข้าใจในรายละเอียด
ขั้นตอนตลอดจนข้อจำกัดและข้อได้เปรียบของงานแต่ละประเภทด้วย ไม่อย่างนั้นคุณจะไปนำเขาได้อย่างไร ถ้าตัวคุณเองยังไม่รู้ถึงวิธีการทำเลย

อีกประการคือ "ผู้นำ" ต้องสามารถจุด ประกายให้คนอื่นอยากทำงาน ที่สำคัญต้องมี "พลัง" ในตัวเอง ทั้งพลังงานทางกายและพลังงานทางใจ และมีกลยุทธ์ในการส่งมอบให้แก่ทีมงานได้ โดยไม่ทำให้ทีมกลัวหรือรู้สึกว่ากำลังโดนสั่ง !

ส่วนความท้าทายที่ผม เห็นว่า ยากมากสำหรับการเป็น "ผู้นำ" ที่ดี ก็คือ การสร้างวิสัยทัศน์ และวาง position ขององค์กรให้แม่นยำ อย่างที่ "อาร์คิมิดีส"

นัก คณิตศาสตร์และนักปรัชญาชาวกรีก บอกว่า Give me a place to stand on, and I will move the Earth ที่แปลได้ว่า หากผู้นำที่ดีสามารถกำหนด a place to stand on หรือวาง position องค์กรได้อย่างแม่นยำแล้ว ย่อมจะสามารถนำพาองค์กรสู่ความสำเร็จได้ไม่ยาก ซึ่งการจะกำหนดตำแหน่งอย่างที่ว่าได้ ต้องอาศัยความรู้ ความชำนาญในสายอาชีพ
การสั่งสมของประสบการณ์ ที่สำคัญต้องได้รับการยอมรับจากทีมด้วย

สำหรับ ผม ทั้ง "ผู้ทำ" และ "ผู้นำ" ต่างมีความสำคัญกับองค์กรไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน การที่จะประสบความสำเร็จในการเป็น "ผู้ทำ" หรือ "ผู้นำ" ต่างก็ท้าทายกันไปคนละแบบ ดังนั้นไม่ว่าคุณจะเลือกเป็นแบบไหนก็ตาม ขอให้ก้าวผ่านความท้าทายทั้งหลายไปให้ได้ แล้วเมื่อนั้น

คุณจะสามารถ Move The Earth ได้อย่างแน่นอน ผมเชื่ออย่างนั้น !


ที่มา.ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
************************************************************************************************************

แนวโน้มหุ้นขึ้้นไม่แรง จับตาศาลสั่งคดี 3 จี !!?


โบรกฯมองแนวโน้มหุ้นไทยขึ้นต่อแต่คาดว่าจะไม่แรงมากนัก เหตุนักลงทุนรอลุ้นคดี 3 จี ศาลปกครองเตรียมอ่านคำสั่งบ่ายนี้ แนวต้าน 1,330-1,335 จุด

นายอภิชาต ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการสายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ สำนักวิจัยทิสโก้ เปิดเผยถึงแนวโน้มการลงทุนตลาดหุ้นไทยวันนี้ (3 ธ.ค.) ว่า หุ้นไทยเช้าวันนี้น่าจะขยับตัวขึ้นต่อได้ทำดัชนีสูงสุดใหม่ได้ หลังจากทะลุจุดสูงสุดเดิมที่ 1,314 จุด ที่ทำไว้ในช่วง 2 เดือนที่แล้ว ปัจจัยมามากกระแสเงินทุนที่ไหลเข้ารอบใหม่เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ต่างชาติซื้อสุทธิถึง 3 พันกว่าล้านบาท และมูลค่าการซื้อขายค่อนข้างหนาแน่นอยู่ที่ 7.7 หมื่นล้านบาท เป็นสัญญาณที่ดีแสดงถึงภาวะตลาดที่คึกคักและเป็นแนวโน้มขาขึ้น

ขณะเดียวกันปัจจัยจากประเทศจีนที่ประกาศตัวเลข PMI ภาคอุตสาหกรรม เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา มีการขยายตัวดีขึ้น จากเดิม 50.2 ในเดือนตุลาคม ขยายตัวเป็น 50.6 ในเดือนพฤศจิกายน ช่วยคลายความกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน ซึ่งเป็นผลดีให้กับตลาดหุ้นไทยและตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชีย

"วันนี้การปรับตัวขึ้นของตลาดฯไม่น่าจะขึ้นแรงเหมือนสัปดาห์ที่แล้ว เพราะตลาดหุ้นไทยขยับตัวขึ้นมา 7 วันติดต่อกัน ฉะนั้นโอกาสที่ขึ้นต่อไปอีกมีน้อยมาก น่าจะเห็นการปรับฐานลงชั่วคราวภายใน 1-2 วันจากวันนี้"

ส่วนประเด็นที่ยังต้องติดตามในวันนี้คงเป็นการอ่านคำสั่งศาลปกตรองเกี่ยวกับการประมูล3G และการประกาศตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาในคืนนี้

กรอบการเคลื่อนไหวดัชนีวันนี้คาดแนวรับ 1,317-1,320 จุด แนวต้าน 1,330-1,335 จุด

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
******************************************************************************

ป.ป.ช. ประกาศค่าความโปร่งใสหน่วยงานรัฐ 6.6 จากเต็ม 10 .


กรรมการ ป.ป.ช. กล่าวถึงค่าคะแนนความโปร่งใสหน่วยงานรัฐในปีงบประมาณ 2554 ที่ดำเนินการวัดโดยคณะอนุกรรมการจัดทำดัชนีวัดความโปร่งใสสังคมไทยเฉพาะหน่วยงานภาครัฐ สำนักงาน ป.ป.ช.นั้น ได้ผลปรากฏว่า มีค่าความโปร่งใสอยู่ที่ระดับ 6.6 จากคะแนนเต็ม 10 และเมื่อพิจารณาในรายละเอียดตามดัชนีรายตัวชี้วัดย่อยตามปัจจัยหลัก 4 ด้านที่สะท้อนค่าความโปร่งใสหน่วยงานภาครัฐนั้น สามารถสรุปได้ดังนี้ คือ ด้านความโปร่งใสในการกำหนดยุทธศาสตร์ หน่วยงานภาครัฐมีความโปร่งใสในการกำหนดยุทธศาสตร์สำหรับพันธกิจหลักของแต่ละหน่วยงานในระดับสูง (6.8 )แต่มีความโปร่งใสในการนำยุทธศาสตร์ไปปฏิบัติในระดับปานกลาง(5.5 ) ส่วนค่าความโปร่งใสในการติดตามประเมินผล (6.1) และการดำเนินงานตามยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ( 8.0 ) มีค่าอยู่ในระดับค่อนข้างสูงถึงสูงมาก สะท้อนถึงความพยายามในการดำเนินงานให้มีความโปร่งใสเป็นไปตามที่กำหนดไว้ในกฎหมาย

การวัดค่าคะแนนความโปร่งใสหน่วยงานของรัฐระดับกรมหรือหน่วยงานที่มีฐานะเทียบเท่ากรมของประเทศไทยในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ เพื่อตรวจวัดความโปร่งใส โดยยึดถือความถูกต้องของข้อมูลจากหลักฐานการดำเนินงานตามภารกิจหลักเพียง 1 ภารกิจของแต่ละหน่วยงานที่สามารถแสดงหลักฐานอ้างอิงให้เห็นเป็นที่ประจักษ์ ซึ่งเป็นการสร้างความน่าเชื่อถือและลดอคติที่อาจเกิดจากการสำรวจความคิดเห็นสาธารณะในการประเมินความโปร่งใสและภาพลักษณ์การทุจริตของหน่วยงาน

ทั้งนี้มีหน่วยงานที่เข้าร่วมโครงการประเมินความโปร่งใสประจำปีงบประมาณ 2554 ทั้งสิ้น 45 หน่วยงาน แบ่งเป็น 5 กลุ่มภารกิจ คือ กลุ่มภารกิจด้านสาธารณูปโภค กลุ่มภารกิจด้านสังคม กลุ่มภารกิจด้านการยุติธรรมและความมั่นคง กลุ่มภารกิจด้านเศรษฐกิจ กลุ่มภารกิจด้านนโยบายและวิชาการ

สำหรับกลุ่มภารกิจด้านสาธารณูปโภค มีหน่วยงานเข้าร่วมโครงการประเมินฯ อาทิ กรมการขนส่งทางบก กรมทางหลวงชนบท กรมชลประทาน กรมทางหลวง กรมเจ้าท่า กลุ่มภารกิจด้านสังคม อาทิ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข กลุ่มภารกิจด้านการยุติธรรมและความมั่นคง อาทิ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรมสอบสวนคดีพิเศษ กลุ่มภารกิจด้านเศรษฐกิจ อาทิ กรมที่ดิน กรมธนารักษ์ กรมสรรพสามิต กลุ่มภารกิจด้านนโยบายและวิชาการ อาทิ สำนักงานปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง

"ค่าคะแนนเฉลี่ยความโปร่งใสของหน่วยงานภาครัฐที่วัดเฉพาะตามภารกิจหลักของหน่วยงาน เมื่อจำแนกตามกลุ่มภารกิจ ค่อนข้างใกล้เคียงกันทุกกลุ่มโดยมีค่าคะแนนเฉลี่ยอยู่ระหว่าง 6.3- 6.7 ทั้งนี้สำนักงาน ป.ป.ช. กำหนดจัดพิธีมอบรางวัลแก่หน่วยงานภาครัฐที่มีค่าคะแนนความโปร่งใสสูงสุด และหน่วยงานที่ผ่านการประเมินความโปร่งใสในวันที่ 3 ธันวาคมนี้

ที่มา.เนชั่น
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันอาทิตย์ที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2555

จีนทุบทิ้งแล้ว บ้านที่ตั้งอยู่กลางถนนซึ่งโด่งดังไปทั่วโลก !!?


จีนทุบทิ้งแล้วบ้านที่ตั้งอยู่กลางถนนซึ่งโด่งดังไปทั่วโลก

เจ้าหน้าที่จีนได้ทุบทำลายบ้านขนาด 5 ชั้นที่ตั้งอยู่กลางถนนสายหลักสายใหม่ ที่
เป็นสัญลักษณ์ของการขัดขืนทางการของบรรดาเจ้าของบ้าน เนื่องจากมองว่าทาง
การจ่ายเงินชดเชยสำหรับการย้ายบ้านให้กับพวกเขาอย่างไม่เป็นธรรม

ผู้ใหญ่บ้านหมู่บ้านเซี๊ยะหยางจ้าง เปิดเผยว่าบ้านหลังดังกล่าวถูกทุบทิ้งในวันนี้
หลังนายโหลว เปา เจิน และภรรยา ที่ทำมาหากินด้วยการเลี้ยงเป็ด ตกลงรับเงิน
ชดเชย 2 แสน 6 หมื่นหยวน หรือราว 1 ล้าน 2 แสน 3 หมื่นบาทสำหรับการย้าย
บ้าน โดยการตกลงครั้งนี้เป็นไปตามความสมัครใจ ไม่ได้มีการบังคับแต่อย่างใด

สองสามีภรรยาคู่นี้ เป็นคนกลุ่มเดียวในพื้นที่ ที่ยังไม่ยอมย้ายออกไป แม้ทางการ
จะได้ตัดถนนใหญ่ที่มุ่งหน้าไปยังสถานีรถไฟแห่งใหม่ที่เมืองเหวินหลิง ในมณฑล
เจ้อเจียง ทำให้บ้านของพวกเขาต้องตั้งอยู่กลางถนน

เจ้าของบ้านวัย 67 ปี เพิ่งจะสร้างบ้านของเขาเสร็จ และใช้เงินไปถึง 2 ล้าน 8 แสน
5 หมื่นบ้าน แต่ในเบื้องต้นทางการเสนอเงินชดเชยให้เขาแค่ 1 ล้าน 5 หมื่นบาท

เหตุที่เขายอมรับข้อเสนอของรัฐบาล ที่เสนอให้เพิ่มจากเดิมแค่เล็กน้อยนั้น ผู้ใหญ่
บ้านบอกว่า เจ้าของบ้านรู้สึกเบื่อกับความสนใจเรื่องบ้านของเขาจากบรรดาสื่อต่างๆ
ที่แห่กันมาพบเขาเป็นสิบๆรายทุกวัน ก็เลยตัดสินใจทิ้งบ้านไป


ที่มา.เนชั่น
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันเสาร์ที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2555

จีนส่งสัญญาณแก้ปัญหาทะเลจีนใต้เอง !!?


นายเฉิน เป่าเซิง รองอธิการบดี สถาบันการเมืองแห่งพรรคคอมมิวนิสต์จีน ระบุ จีนไม่ได้เป็นผู้จุดชนวนความขัดแย้งในทะเลจีนใต้ ส่งสัญญาณไม่ต้องการอาเซียนร่วมแก้ปัญหา พร้อมย้ำจีนสามารถแก้ปัญหาด้วยตนเอง

วันที่ 1 ธ.ค. 2555 ที่ห้องรัตนโกสินทร์ โรงแรมเดอะสุโกศล สำนักงานวิเทศสัมพันธ์ พรรคคอมมิวนิสต์จีนแห่งประเทศจีน, มูลนิธิสถาบันสราญรมย์, มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติร่วมกับสถาบันศึกษาความมั่นคงนานาชาติ ร่วมจัดการเสวนา “มังกรพลิกกาย...ท่วงท่าใหม่ที่ไทยควรรู้”

โดย ดร.สุรเกียรติ์ เสถียรไทย ประธานมูลนิธิสถาบันสราญรมย์เปิดงาน โดยระบุว่าจีนน่าจะมองไทยเป็นตัวอย่างความสัมพันธ์ของอาเซียนเพราะเป็นความสัมพันธ์ที่มีทุกมิติ รวมภาคประชาชนไว้อย่างแน่นแฟ้น มีการไปมาหาสู่ซึ่งกันและกันอย่างต่อเนื่อง จีนคงต้องการนำอาเซียนเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์

อย่างไรก็ตาม ปัญหาความเห็นที่แตกต่างในภูมิภาคนี้ อาจจะนำไปสู่ความความขัดแย้งกันได้ เช่น กรณีทะเลจีนใต้ ซึ่งต้องเร่งเปลี่ยนความขัดแย้งนั้นเป็นความร่วมมือให้เร็วที่สุด โดยดร.สุรเกียรติ์เห็นว่า ปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้นอาจจะคลี่คลายได้โดยใช้ “เพื่อน” หรือกลุ่มประเทศที่เป็นมิตรกับคู่ขัดแย้งในการร่วมแก้ปัญหา

“วิธีการแบบนี้ในเอเชีย เพื่อนจะช่วยทำให้ในที่สุดแล้วเพื่อนอีกสองฝ่ายสามารถกลับมาพูดกันได้ แต่ประเด็นสำคัญคือต้องทำการโดยไม่เป็นข่าว ไม่เช่นนั้นจะเกิดการตึงเครียด ทำให้เกิดความแข็งของประเด็นในการเจรจา การมีเพื่อนมาช่วยในลักษณะนี้ไม่ถือเป็นการแทรกแซง เป็นการหารือเพื่อคลายความตึงเครียด”

โดยดร. สุรเกียรติ์ระบุถึงคณะมนตรีเพื่อสันติภาพและความปรองดองแห่งเอเชีย-APRC ซึ่งตั้งขึ้นเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ เมื่อเดือน ก.ย. ที่ผ่านมาที่กรุงเทพฯ โดยหวังว่าจะเป็นรูปแบบเพื่อนที่ช่วยให้มีการเสวนาเพื่อสันติภาพเกิดขึ้นได้ โดยถือว่ายังเป็นการหารือทวิภาคี เพียงแต่มีผู้ช่วยเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม นายเฉิน เป่าเซิง รองอธิการบดี สถาบันการเมืองแห่งพรรคคอมมิวนิสต์จีน ระบุว่าสำหรับปัญหาทะเลจีนใต้และเพื่อนบ้านนั้น ไม่ใช่จีนที่ก่อปัญหาก่อน

“ในประวัติศาสตร์จีนห้าพันปีที่ผ่านมาเรามีนโยบายที่ชัดเจน เราใช้น่านทะเลเป็นประโยชน์แสวงหาจุดร่วมสงวนจุดต่าง เป็นการเต้นรำคู่เมื่อเขามาเหยียบเท่าคุณ คุณก็ต้องถอย ก็เป็นการเต้นระบำคู่ ไม่มีอะไรพิสดาร กรณีเตี้ยวหวี เป็นปัญหาเป็นปัญหาเชิงประวัติศาสตร์ แต่ญี่ปุ่นไปจัดการฝ่ายเดียว เรามีหลักการไม่เปลี่ยนแปลงคือเอาข้อโต้แย้งวางไว้ก่อน แต่ร่วมกันพัฒนา ก็ใช้วิธีเจรจา สร้างสมดุล ไม่มีเจตนาไปใช้กำลังแก้ปัญหา แต่เราก็มีความตั้งใจเหนียวแน่นที่จะรักษาอธิปไตยของจีน”

นายเฉิน เป่าเซิง  กล่าวด้วยว่าปัญหาทะเลจีนใต้ จริงๆ มีปัญหาตั้งแต่มีนาคม 2554  และมีบางประเทศยึดผลประโยชน์ในทะเลจีนใต้เป็นผลประโยชน์ส่วนตัว ทั้งนี้ จีนไม่อยากให้ปัญหาทะเลจีนใต้เป็นปัญหาที่ซับซ้อน และอยากแก้ไขปัญหาเฉพาะระหว่างคู่กรณี และเป็นปัญหาทวิภาคี ไม่อยากนำปัญหาสู่เวทีภูมิภาคหรืออาเซียน

“ทุกประเทศคงมีปัญหาภายในอยู่แล้ว เหมือนนิยายจีนเรื่องความลับในหอแดงที่กล่าวว่า ครอบครัวใหญ่ก็มีปัญหาของครอบครัวใหญ่ ครอบครัวเล็กก็มีปัญหาของครอบครัวเล็ก ครอบครัวที่มีความสุขก็มีปัญหา ครอบครัวที่มีทุกข์ก็มีปัญหา จีนไม่เห็นด้วยกับการโอนปัญหาเหล่านี้ไปให้ประเทศอื่น จีนจะแก้ปัญหานี้ด้วยตัวเอง” รองอธิการบดี สถาบันการเมืองแห่งพรรคคอมมิวนิสต์จีนกล่าวย้ำ


ที่มา.ประชาไท
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

ธปท.เผยเศรษฐกิจไทย พ้นจุดต่ำสุดแล้ว !!?


นายเมธี สุภาพงษ์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายนโยบายเศรษฐกิจการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดกล่าวในการแถลงข่าวเศรษฐกิจเดือน ต.ค.2555 ว่าเศรษฐกิจในภาพรวมเติบโตจากการใช้จ่ายภาคเอกชนทั้งการบริโภคและการลงทุนที่ขยายตัวในเกณฑ์ดี สอดคล้องกับการผลิตของอุตสาหกรรมเพื่อจำหน่ายในประเทศที่ขยายตัว ขณะที่การท่องเที่ยวยังคงขยายตัวดีต่อเนื่อง แต่การส่งออกสินค้ายังได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจโลก สำหรับเสถียรภาพเศรษฐกิจอยู่ในเกณฑ์ดี โดยอัตราการว่างงานยังอยู่ในระดับต่ำต่อเนื่อง และอัตราเงินเฟ้อชะลอลงเล็กน้อยจากราคาอาหารเป็นสำคัญ

“การวิเคราะห์ข้อมูลเศรษฐกิจในเดือนนี้ใช้การเทียบกับข้อมูลในเดือนก่อนหน้า เนื่องจากสามารถสะท้อนแรงส่งของเศรษฐกิจที่ชัดเจนกว่าการวิเคราะห์โดยเปรียบเทียบกับเดือนเดียวกันปีก่อน ที่ข้อมูลเกือบทั้งหมดจะมีอัตราการขยายตัวสูงผิดปกติจากผลของฐานที่ต่ำในปีก่อนที่เกิดอุทกภัย”

นายเมธีกล่าวในรายละเอียดข้อมูลการขยายตัวของเศรษฐกิจเดือน ต.ค.ว่าการใช้จ่ายภาคเอกชนขยายตัวในเกณฑ์ดี การอุปโภคบริโภคภาคเอกชนขยายตัวจากเดือนก่อน 0.4% (9.3%หากเทียบกับช่วงเดียวกันในปีก่อนหน้า) ใกล้เคียงกับแนวโน้มการเติบโตในช่วงปกติ ตามการนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภคโดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าอาหารและเครื่องดื่ม และการใช้จ่ายในหมวดยานยนต์ที่เร่งขึ้นเป็นสำคัญ


ส่วนดัชนีการลงทุนภาคเอกชนขยายตัวจากเดือนก่อน 0.9% (16.4% หากเทียบกับช่วงเดียวกันในปีก่อนหน้า) จากการลงทุนในหมวดเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่ขยายตัวตามการนำเข้าเครื่องจักรในเกือบทุกกลุ่มอุตสาหกรรม เพื่อทดแทนความเสียหายจากอุทกภัยที่ยังเหลืออยู่บางส่วนและเพื่อรองรับการขยายตัวของอุปสงค์ในประเทศ การลงทุนในหมวดก่อสร้างขยายตัวจากการลงทุนด้านที่อยู่อาศัยและพาณิชยกรรม


ผู้อำนวยการอาวุโสฯกล่าวว่าจากการใช้จ่ายภาคเอกชนที่อยู่ในเกณฑ์ดีสนับสนุนให้การผลิตภาคอุตสาหกรรมขยายตัวดี โดยหากเทียบกับเดือนก่อน ดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรมขยายตัวที่ 5.4% (36.1% หากเทียบกับช่วงเดียวกันในปีก่อนหน้า) ตามการผลิตของอุตสาหกรรมที่ผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศ โดยเฉพาะหมวดอาหารและเครื่องดื่ม ปูนซีเมนต์และวัสดุก่อสร้าง นอกจากนี้ อุตสาหกรรมที่เน้นผลิตเพื่อการส่งออกขยายตัวจากเดือนก่อนเล็กน้อย ตามการผลิตเครื่องนุ่งห่มและเครื่องใช้ไฟฟ้า ขณะที่การผลิตหลอดอิเล็กทรอนิกส์และส่วนประกอบ และฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ยังคงหดตัวจากความต้องการจากต่างประเทศที่อยู่ในระดับต่ำ สำหรับภาคเกษตร

นอกจากนี้ การใช้จ่ายภาคเอกชนและการผลิตภาคอุตสาหกรรมที่ขยายตัวส่งผลให้การนำเข้าสินค้ามีมูลค่าเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้า 11.5% (21.2% หากเทียบกับช่วงเดียวกันในปีก่อนหน้า) แต่หากไม่รวมการนำเข้าทองคำการขยายตัวจะอยู่ที่ 8.5% โดยเป็นการเติบโตตามการนำเข้าวัตถุดิบ สินค้าทุน และสินค้าเพื่อการอุปโภคบริโภค

ขณะที่การส่งออกสินค้ายังคงได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจโลก โดยมูลค่าการส่งออกสินค้าในเดือนนี้หดตัวจากเดือนก่อน 3.5% (14.4% หากเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน) แต่หากไม่รวมการส่งออกทองคำการส่งออกจะขยายตัวเป็นบวกที่ 2.4% ตามการส่งออกสินค้าเกษตรโดยเฉพาะข้าวที่เพิ่มขึ้น และการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมสำคัญ ส่วนใหญ่ที่ปรับดีขึ้น

อย่างไรก็ตาม นายเมธีระบุว่าขณะนี้ดัชนีชี้นำการส่งออกหลายตัวทั้งเศรษฐกิจสหรัฐฯ จีน ได้ปรับตัวดีขึ้น ขณะที่ผลที่ได้จากการสอบถามผู้ส่งออกก็พบว่าส่วนใหญ่เห็นว่าการส่งออกจะทรงตัวอยู่ในระดับปัจจุบันไปอีกระยะหนึ่ง ดังนั้น ธปท. จึงเชื่อว่าการส่งออกจะไม่มีการทรุดตัวลงไปอีกจะจะค่อย ๆ ปรับตัวดีขึ้นตามประเทศผู้ส่งออกในเอเชียอื่น ๆ เช่นจีน เกาหลีใต้ ไต้หวัน

“การส่งออกของประเทศอื่น ๆ ในเอเชีย เช่น จีน เกาหลีใต้ ใต้หวัน ที่เป็นกลุ่มที่นำการส่งออกไทยอยู่ได้ปรับตัวขึ้นไปแล้วและคาดว่าอีกระยะหนึ่งการส่งออกไทยจะปรับตัวขึ้นตาม”

นายเมธีกล่าวว่า สำหรับอุปสงค์ในประเทศในระยะต่อไปมีแรงส่งที่ดี โดยการบริโภคจะยังขยายตัวได้ต่อเนื่องทั้งจากปัจจัยดอกเบี้ยที่ผ่อนคลายสนับสนุนการขยายตัวของสินเชื่อ ขณะที่โครงการรถยนต์คันแรกก็จะมีผลไปถึงกลางปีหน้า ขณะที่การลงทุนก็มีสัญญาณที่ดีจากแนวโน้มการไหลเข้าของเงินลงทุนโดยตรงระดับสูง รวมถึงการขอบัตรส่งเสริมการลงทุน (BOI) ใน 10 เดือนแรกที่ผ่านไปก็อยู่ในระดับสูงกว่ายอดการขอ BOI ของทั้งปีของหลายปีที่ผ่านมา ดังนั้นจึงเชื่อว่าจะมีการลงทุนของภาคเอกชนจำนวนมากในระยะต่อไป

ทั้งนี้ เครื่องชี้เศรษฐกิจที่ปรับตัวดีขึ้น ทำให้กล่าวได้ว่าเศรษฐกิจไทยได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว




 ที่มา.ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
******************************************************************************************************

ฑูตฯจีน ย้ำซื้อข้าวไทยเป็นหน้าที่เอกชน !!?


ทูตจีน"เผยรัฐบาลจีนซื้อข้าวไทย เป็นหน้าที่เรื่องของเอกชน ระบุไม่ทราบการเปิดแอลซี แต่ยังไม่มีสัญญาซื้อขาย 5 ล้านตัน

นายก่วน มู่ เอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย ได้ให้สัมภาษณ์ถึงการขายข้าวแบบจีทูจี ระหว่างไทยกับจีนว่า เป็นประเพณีที่เกิดขึ้นมาหลาย10 ปีแล้ว เพราะประเทศไทยผลิตข้าวมากที่สุด และขายข้าวได้เป็นอันดับหนึ่งของโลกตลอดมา จึงมีการหารือกันขอให้จีนซื้อข้าวเพิ่มเพื่อช่วยเหลือชาวนาไทย ให้มีรายได้ดีขึ้น ต่อมาก็มีการลงนามในข้อตกลงสนับสนุนค้าสินค้าเกษตร และ สนับสนุนการค้า โดยในเรื่องข้าวนั้น จีนก็เห็นว่าควรที่จะสนับสนุนจึงลงนามในหลักการเรียกว่า ระหว่างรัฐบาลเป็นในระดับหลักการเท่านั้น แต่ถ้าจะซื้อขายจริงๆจะมอบหมายให้บริษัทไปหารือกับประเทศไทยโดยตรง ทั้งนี้ทราบว่ามีการเซ็นสัญญากับบริษัทแล้ว โดยประมาณหลายแสนตัน แต่ไม่เคยมีสัญญาซื้อขาย 5 ล้านตันตามที่รัฐบาลไทยกล่าวอ้าง เพราะจีนไม่ได้ซื้อข้าวจากไทยประเทศเดียว จึงไม่ได้ซื้อมากมาย เพราะเราก็ไม่ได้ขาดข้าวอยู่แล้ว เพียงแต่ซื้อเพื่อปรับตามความต้องการของตลาดที่ชอบรสชาติข้าวไทย แต่บางครั้งก็ซื้อจากเวียดนาม รัสเซีย และอีกหลายประเทศ

ผู้สื่อข่าวถามว่าบริษัทที่จีนมอบหมายให้ซื้อข้าวกับบริษัทจีเอสเอสจี กับไทยใช่หรือไม่ นายก่วนมู่ กล่าวว่า ไม่ได้มีบริษัทเดียว แต่มีหลายบริษัทประมาณ 4 - 5 บริษัท ซึ่งสัญญาซื้อขายก็ยังไม่ได้ยุติทั้งหมด ต้องตกลงกันต่อไป ซึ่งสาเหตุที่จีนเลือกซื้อข้าวไทยขณะที่ราคาสูงกว่าประเทศอื่นเพราะคุณภาพและรสชาติต่างกัน โดยเฉพาะข้าวหอมมะลิของไทยมีซื้อเสียงในประเทศจีน โดยเฉพาะผู้บริโภคทางภาคใต้ของจีนชอบข้าวไทย แม้ราคาจะสูงแต่บริษัทเอกชนต้องคิดว่าคุ้ม ไม่เช่นนั้นก็คงไม่ซื้อข้าวจากไทย เพราะทุกอย่างมีกลไกตลาดกำกับ

เมื่อถามว่า สังคมกำลังสงสัยว่าจีทูจีในการขายข้าวระหว่างไทยกับจีน กำลังเป็นเครื่องมือบังหน้าในการทุจริต เอกอัครราชทูตจีน ปฏิเสธที่จะตอบคำถามนี้โดยกล่าวว่า ไม่ทราบ และอยากอธิบายว่าการซื้อข้าวจากไทยเป็นประเพณีที่ทุกปีต้องซื้อ ส่วนการเปิดแอลซี รัฐบาลจะไม่ทราบเพราะเป็นเรื่องของบริษัท เนื่องจากการดำเนินการของบริษัทหรือรัฐวิสาหกิจจะทำเอง รัฐบาลมีบทบาทเพียงแค่ชี้นำให้มีการซื้อขายเท่านั้น จากนั้นบริษัทจะไปตกลงกันเองกับประเทศไทย

“ ระบบที่ทำอยู่ตอนนี้ไม่ใช่ว่ารัฐบาลจีนเป็นผู้ซื้อ แต่มีบทบาทชักนำให้รัฐวิสาหกิจ หรือภาคเอกชนเข้ามาซื้อเท่านั้น หลังจากนั้นก็ไม่เกี่ยวกับรัฐบาลแล้ว รวมถึงเรื่องการตกลงราคาก็เป็นเรื่องที่สองฝ่ายคุยกัน หลักการอยู่ที่กลไกตลาด บริษัทที่ซื้อไปต้องขายได้กำไร เพราะถ้าขาดทุนคงไม่ซื้อเพราะรัฐบาลไม่ได้ช่วย เนื่องจากมีกฏเกณฑ์และระเบียบหลายอย่าง”นายก่วน มู่ ระบุ

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++