--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันศุกร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ดาบนั้นคืนสนอง !!?


มหากาพย์ไตรภาค ถล่ม “นายกฯปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร คนเดียว หวังให้กอง
ตั้ง “มาตรฐาน” ผู้เป็น “นายกรัฐมนตรี” ต้องรับผิดชอบคนเดียว
“รัฐมนตรี” ที่รับผิดชอบโดยตรง “ท่าน” ประกาศ เขาไม่เกี่ยว
ฉะนั้น, เมื่อ “ศาลยุติธรรม” พิพากษา “คนเสื้อแดง” ตาย ๒ ศพ เป็นฝีมือเจ้าหน้าที่
“อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ”..หมดสิทธิ์ปัดสวะ..ในฐานะอดีตนายกฯ จึงรับผิดคนเดียวไปสิพี่

...................................................

ดึง “ทหาร” มาเป็นพวก
หวังคดีฆ่าหมู่ประชาชน ที่ ราชดำเนิน-ราชประสงค์ จะติดขัด หวังให้เดินไม่สะดวก
แต่ “ประชาธิปัตย์” โดย “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ตั้งป้อมเองเสร็จสรรพ
ทุกอย่างภายใต้ สั่งการคอนโทรล ของ “นายกฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ท่านต้องรับ
เมื่อชี้ทางสว่าง ว่าทุกอย่างใต้ “รัฐบาล” นั้น “นายกรัฐมนตรี” ต้องยอมรับในการสั่งการ
คดีฆ่าประชาชน...ฉะนั้นจึงปัดไม่พ้น...คนเป็นนายกฯอย่าโยนผิดให้ทหาร

.................................................

ฉายตัวอย่าง เสียตื่นเต้น
มาอีหรอบเดิม “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” และสาวกแก๊งค์ไอติม ก็อภิปราย “ทักษิณ ชินวัตร” ให้คนเห็น
ความผิดเต็ม ๆ ของ “นายกฯปู” ไม่ยักลากออกกระหน่ำ
เมื่ออภิปรายผิดที่-ผิดทาง-ผิดโรง คนจึงเซ็งมะด้องก้อง ในพฤติกรรม
ที่ว่าเป็น “พรรคฝ่ายค้านอันดับหนึ่งในแผ่นดิน” ก็ไม่มีน้ำยาจริง ๆ
“ทักษิณ”ไม่ใช่ผู้บริหารประเทศ...มาซักฟอกทุเรศ...จึงเป็นสาเหตุ ต้องขอท้วงติง

...............................................

เดินหน้ารับชะตา
ทั้งคดีหนีทหาร และ ในฐานะอดีตนายกรัฐมนตรี ยุคที่ชาวบ้านถูกฆ่า
ฉะนั้น, “ประชาธิปัตย์” ต้องรับรู้ถึงความเหมาะสม ของ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ”
เพียงแค่เรื่องตัวเอง ถูก “ถอดถอน” พ้นจาก “ ส.ส.” หรือ “ผู้แทน” จิ๊บจ๊อบนะจ๊ะ
เมื่อทั้งหมดรับรู้ ถึงพฤติการณ์ “อภิสิทธิ์” กันถ้วนทั่วทุกตัวคน
แทนที่จะระงับความผิด..แต่ยังหนุน “อภิสิทธิ์”..ความผิดน่าจะโดนยุบพรรค สักหน

................................................

เพชรยอมเป็นเพชร
“นายกฯ” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร บริหารกิจการแผ่ก้านสาขามากมาย จึงมีทีเด็ด
“เธอ” ไม่ใช่นักการเมืองป้ายแดงหัดขับ ที่ “ประชาธิปัตย์” คิดจะรุมยำ
ของจริงเห็นกันแล้ว..แต่ละเม็ด แต่ละดอก ที่ตอบโต้กลางสภาฯ..ถูกใจชาวบ้านขาประจำ
เพราะ, เธอคือ “มืออาชีพ”..ไม่ใช่นักการเมืองที่ เกาะสมบัติพ่อกิน..ขายที่ดินของพ่อแล้วกินเปอร์เซ็นต์
สมบัติของพ่อยังกินได้...ขืนใครไว้ใจ...มีหวังได้ตายกันทั้งเป็น

ที่มา.คอลัมน์ตอดนิดตอดหน่อย,บางกอกทูเดย์
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

เพื่อไทย ส่ง พงศพัศ ชิงผู้ว่า กทม. !!?


รายงานความคืบหน้าในการคัดเลือกผู้สมัครลงสมัครรับเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.ในนามพรรคเพื่อไทย ล่าสุดได้ตัดสินใจจะส่ง พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ รองผบ.ตร. และเลขาธิการ ปปส. ลงรับเลือกตั้ง โดยการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.ครั้งนี้พรรคให้ความสำคัญมากเป็นพิเศษ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี อาสาที่จะลงมาดูแลในภาพรวมทั้งด้านนโยบายจนถึงการคัดเลือกตัวผู้สมัครด้วยตนเองด้วย เพื่อที่จะได้ทำงานสอดรับกันระหว่างนโยบายของรัฐบาลและนโยบายของกทม. ส่วนเหตุผลที่พรรคเลือกพล.ต.อ.พงศพัศนั้น เนื่องจากทั้งพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีและน.ส.ยิ่งลักษณ์ไว้วางใจและให้ความเห็นชอบ โดยจะชูจุดขายตรงที่พล.ต.อ.พงศ์พัศมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักของประชาชน และมีผลงานด้านสังคมโดยเฉพาะการปราบปรามยาเสพติด ที่สอดรับกับนโยบายของพรรคเพื่อไทย ขณะที่นโยบายที่จะใช้หาเสียงนั้นจะออกนโยบายมาใหม่เพื่อชาวกทม.โดยเฉพาะ ซึ่งจะเน้นการแก้ไขปัญหาจราจร ด้านสังคม และการปราบปรามยาเสพติดที่เป็นจุดแข็งของพล.ต.อ.พงศพัศ

ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า หลังเสร็จสิ้นการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลแล้ว พรรคมีแผนที่จะเปิดตัวพล.ต.อ.พงศพัศอย่างเป็นทางการ แม้ว่าขณะนี้จะยังมีตำแหน่งสำคัญอยู่ 2 ตำแหน่งคือ รองผบ.ตร.และเลขาธิการปปส.ด้วยก็ตาม โดยเร็วๆ นี้พรรคจะแจ้งให้พล.ต.อ.พงศพัศลาออกจากทั้ง 2 ตำแหน่งดังกล่าว ภายใต้สัญญาใจเบื้องต้นกับแกนนำพรรคว่า หากพลาดท่าพ่ายแพ้ในสนามเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ผู้ใหญ่ในพรรคเพื่อไทยจะผลักดันให้อยู่ในตำแหน่งเดิมหรือมอบตำแหน่งบอร์ดสำคัญในองค์กรรัฐวิสาหกิจหรือหน่วยงานของรัฐให้เพื่อเป็นการทดแทน ทั้งนี้ พรรคเตรียมจะติดตั้งบิลบอร์ดขนาดใหญ่กว่า 200 จุดทั่วกทม. พร้อมทั้งสติ๊กเกอร์ที่กระจายไปให้กับส.ส. ส.ก. และส.ข.ของพรรคเพื่อลงพื้นที่ช่วยเหลือพล.ต.อ.พงศพัศในการหาเสียงในเร็วๆ นี้อีกด้วย อีกทางหนึ่งไว้แล้ว โดยใช้แนวคิด "รัฐบาลเพื่อไทย พร้อมรับใช้คนกทม.

ที่มา.เนชั่น
**************************************************************************

กระบวนการยุติธรรม : กับคดีความ ชาวบ้าน รุกที่ทำกิน !!?


โดย:ศรายุทธ ฤทธิพิณ

 
นับจากอดีตถึงปัจจุบัน ความขัดแย้งข้อพิพาทเรื่องที่ดินทำกินจำนวนมาก เกิดขึ้นเนื่องจากประชาชน เกษตรกร ที่ได้รับความเดือดร้อน รวมทั้งความไม่เป็นธรรมจนนำมาสู่กระบวนการต่อสู้ทางสังคม เพื่อเรียกร้องให้ได้คืนมาซึ่งสิทธิ วิถีชีวิตการดำรงคงอยู่ของชุมชน วิถีการทำมาหากิน และการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติดังที่เคยเป็น
 
การเรียกร้องคืนวิถีของชุมชน วิถีแห่งสังคมท้องถิ่นคืนมานั้น กลับกลายเป็นที่มาของข้อพิพาทและความขัดแย้งเรื่องที่ดิน ระหว่างประชาชน ภาครัฐ และกลุ่มนายทุน บทสรุปสุดท้ายของข้อพิพาท มักถูกนำเข้าบรรจุสู่กระบวนการทางยุติธรรม เสมือนว่ากระบวนการยุติธรรมในสังคมไทย เป็นสิ่งสุดท้ายที่กำหนดชะตาชีวิตของชุมชนว่าจะสามารถดำรงชีวิตอยู่ในวิถีดั้งเดิม บนผืนดินเดิมต่อไปได้หรือไม่
 
ผู้เขียน ขอยกบางกรณีของปัญหาคดีความที่เกิดจากข้อพิพาทและความขัดแย้งเรื่องที่ดิน โดยเฉพาะพื้นที่ ที่ผู้เขียนร่วมทำงานในพื้นที่ของเครือข่ายปฏิรูปที่ดินภาคอีสาน (คปอ.) พบว่า มีชาวบ้านถูกหน่วยงานราชการ รัฐวิสาหกิจ ฟ้องร้องดำเนินคดีทั้งสิ้น 107 ราย จำนวน 29 คดี
 
ดังเช่นข้อพิพาทเรื่องที่ดิน กรณีสวนป่าคอนสาร ต.ทุ่งพระ อ.คอนสาร จ.ชัยภูมิ ระหว่างชาวบ้านกับองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ (อ.อ.ป.) ที่เกิดขึ้นมาแต่ปี 2521 นั้น กรณีดังกล่าว อ.อ.ป.ได้ขับไล่ชาวบ้านออกจากพื้นที่ แล้วดำเนินการปลูกสร้างสวนป่ายูคาลิปตัส ตามเงื่อนไขการสัมปทานป่าไม้ในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติภูซำผักหนาม โดยครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 4,401 ไร่ ทำให้ชาวบ้านสูญเสียที่ดินทำกินพร้อมที่อยู่อาศัยจำนวนกว่า 277 ราย
 
กรณีสวนป่าคอนสาร
 
ในการตรวจสอบข้อเท็จจริงทั้งคณะทำงานระดับพื้นที่เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม 2548 พบว่าสวนป่าคอนสารได้ปลูกสร้างทับที่ทำกินของชาวบ้านจริง และมีมติให้ยกเลิกสวนป่าคอนสารให้นำพื้นที่มาจัดสรรให้กับชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบนั้น
 
ต่อมาเมื่อ 28 ธันวาคม 2550 คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ได้ลงมาตรวจสอบพื้นที่ พร้อมรายงานผลการละเมิดสิทธิออกมาว่า การกระทำของกรมป่าไม้ และ อ.อ.ป.ก่อให้เกิดผลกระทบกับชาวบ้านที่ได้รับความเดือดร้อนในที่ดินทำกิน ทั้งที่ผู้เดือดร้อนได้ครอบครองทำประโยชน์ในพื้นที่มาก่อนการปลูกสร้างสวนป่าคอนสาร ถือเป็นการกระทำที่ละเมิดทั้งในสิทธิที่ดินและทรัพย์สินของผู้เดือดร้อน
 
พร้อมกันนี้ได้กล่าวถึงการแก้ไขปัญหาของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของภาครัฐนั้น ก็ถือเป็นการกระทำที่ไม่เป็นธรรมต่อผู้เดือดร้อน ดังนั้นคณะอนุกรรมการฯ จึงได้กำหนดมาตรการในการแก้ไขปัญหา พร้อมมีข้อเสนอแนะเชิงนโยบายให้รัฐบาลมีคำสั่งยกเลิกสวนป่าคอนสารตามมติคณะทำงานตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีสวนป่าคอนสาร รวมทั้งให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สนับสนุนการพัฒนาระบบการผลิตและการจัดการทรัพยากรที่ยั่งยืนให้แก่ผู้เดือดร้อน โดยสนับสนุนให้ชุมชนร่วมกับหน่วยงานภาครัฐจัดทำแผนการจัดการและใช้ประโยชน์ที่ดิน รวมทั้งการจัดเป็นป่าชุมชน ภายใน 90 วัน นับจากวันที่ยกเลิกสวนป่าคอนสาร
 
นอกจากนี้ ที่ประชุมประชาคมตำบลทุ่งพระได้มีการพิจารณากรณีปัญหาดังกล่าว และมีมติว่าสวนป่าคอนสารปลูกสร้างทับที่ทำกินชาวบ้านจริง ให้ยกเลิกสวนป่าแล้วนำที่ดินมาจัดสรรให้ราษฎรต่อไป โดยในระหว่างการแก้ไขปัญหาจนกว่าจะได้ข้อยุติ
 
เมื่อข้อพิพาทเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม
 
แม้การตรวจสอบพื้นที่ของหน่วยงานดังกล่าวจะมีความชัดเจน แต่องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ยังไม่ดำเนินการใดๆ รวมทั้งหน่วยงานภาครัฐที่รับผิดชอบในหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ก็ยังไม่ปรากฏการแก้ไขปัญหาให้เกิดเป็นรูปธรรมแต่อย่างใด กระทั่งล่วงมาถึงการเกิดปรากฏการณ์ที่ชาวบ้านผู้ได้รับผลกระทบ ได้รวมตัวกันเข้ายึดพื้นที่ทำกินเดิมคืนมา แล้วตั้งชุมชนบ่อแก้ว ขึ้นมาในวันที่ 17 กรกฎาคม 2552 เพื่อต่อรองให้รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการแก้ไขปัญหา
 
ต่อมา อ.อ.ป.ได้ฟ้องดำเนินคดีชาวบ้านจำนวน 31 ราย พร้อมบริวาร เมื่อ 27 สิงหาคม 2552 ในข้อหาขับไล่ บุกรุกป่าสงวนแห่งชาติภูซำผักหนาม ทั้งหมดถูกนำเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมของศาลจังหวัดภูเขียว อ.ภูเขียว จ.ชัยภูมิ
 
เมื่อความขัดแย้งข้อพิพาทเรื่องที่ดินทำกินนำเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม โดยทาง อ.อ.ป.เป็นโจทก์ยื่นฟ้องในวันดังกล่าวนั้น ศาลชั้นต้นนัดฟังคำพิพากษา เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2553 ให้จำเลย ที่ 1 ถึง 31 ออกจากพื้นที่พร้อมมีคำสั่งให้ รื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง ต้นไม้ ที่จำเลยและบริวารได้นำไปปลูกไว้ในพื้นที่พิพาท และห้ามเข้ามาเกี่ยวข้องในพื้นที่สวนป่าคอนสารอีก
 
ต่อมาจำเลยได้อุทธรณ์และยื่นคำร้องขอทุเลาการบังคับคดีไว้ชั่วคราว กระทั่งล่วงมาถึงวันที่ 21 ธันวาคม 2554 ศาลอุทธรณ์ได้นัดฟังคำพิพากษา โดยยืนตามศาลชั้นต้น และจำเลยได้ฎีกาในวันที่ 21 มีนาคม 2555
 
 
ปมขัดแย้ง กรณีสวนป่าโคกยาว
 
ส่วนอีกกรณีในพื้นที่สวนป่าโคกยาว ต.ทุ่งลุยลาย อ.คอนสาร จ.ชัยภูมิ ที่ได้รับผลกระทบในพื้นที่ดินทำกิน นับแต่มีการประกาศเขตป่าสงวนแห่งชาติภูซำผักหนาม เมื่อปี 2516 และมีโครงการปลูกสวนป่าด้วยการนำไม้ยูคาฯ มาปลูกในพื้นที่เมื่อปี 2528 จนเกิดเป็นกรณีพิพาทที่ชาวบ้านเคยทำกินในพื้นที่มาก่อน
 
ล่วงมาถึงเมื่อเช้ามืดวันที่ 1 กรกฎาคม 2554 เจ้าหน้าที่ป่าไม้ ตำรวจ ประมาณ 200 นาย โดยการนำของนายอำเภอคอนสาร บุกเข้ามาจับกุมชาวบ้านรวม 10 ราย พร้อมทั้งมีการฟ้องร้องดำเนินคดีกับชาวบ้าน ในข้อหาร่วมกันบุกรุกป่าสงวนแห่งชาติภูซำผักหนาม โดยเจ้าหน้าที่ป้องรักษาป่าที่ ชย.4 คอนสาร เป็นโจทก์ โดยแยกเป็น 4 คดี ทั้งหมดถูกนำเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมของศาลจังหวัดภูเขียว อ.ภูเขียว จ.ชัยภูมิ ล่าสุดศาลชั้นต้นพิพากษาไปทั้ง 4 คดีแล้ว
 
คดีแรก เมื่อ 22 พฤษภาคม 2555 ศาลพิพากษานายคำบาง กองทุย อายุ 65 ปี และนางสำเนียง กองทุย อายุ 61 ปี (สามี-ภรรยา) จำคุก 4 เดือน ไม่รอลงอาญา
 
ส่วนคดีที่ 2 เมื่อ 13 มิถุนายน 2555 ศาลพิพากษานายทอง กุลหงส์ อายุ 72 ปี และนายสมปอง กุลหงส์ อายุ 48 ปี (สองพ่อลูก) จำคุก 4 เดือน โดยคดีนี้ ศาลได้เพิ่มวงเงินประกันจากรายละ 100,000 บาท เป็นรายละ 200,000 บาท เป็นเหตุให้เงินที่เตรียมไว้ต้องถูกรวมมาประกันจำเลยเพียงรายเดียวคือนายสมปอง ด้วยนายทอง ยอมเสียสละนอนอยู่ในคุกตามคำสั่งของศาล เพื่อให้ลูกชายที่มีอาการพิการทางสมอง เป็นโรคประสาท ได้รับการประตัวออกมาก่อน ต่อมาวันที่ 28 มิถุนายน 2555 นายแพทย์นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ได้ใช้ตำแหน่งประกันตัวออกมา
 
คดีที่ 3 วันที่ 9 สิงหาคม 2555 ศาลพิพากษานายสนาม จุลละนันท์ อายุ 59 ปี จำคุก 6 เดือน ไม่รอลงอาญา
 
ในคดีที่ 4 วันที่ 28 สิงหาคม 2555 ศาลพิพากษานายเด่น คำแหล้ อายุ 60 ปี (จำเลยที่ 1) และนางสุภาพ คำแหล้ อายุ 57 ปี (จำเลยที่ 4) ตัดสินจำคุก 6 เดือน ไม่รอลงอาญา ส่วนจำเลย อีก 3 ราย คือนายบุญมี วิยาโรจน์ อายุ 51 จำเลยที่ 2 ,นางหนูพิศ วิยาโรจน์ อายุ 70 ปี (ภรรยานายบุญมี)จำเลยที่ 5 และนางเตี้ย ย่ำสันเทียะ อายุ 54 ปี จำเลยทั้ง 3 รายนี้ ศาลยกฟ้อง
 
 
ทั้งกรณีสวนป่าคอนสาร และสวนป่าโคกยาวที่ผู้เขียนยกขึ้นมาเป็นกรณีตัวอย่าง มีคำถามว่าสิ่งที่เกิดขึ้นต่อชาวบ้านที่ถูกนำขึ้นไปแขวนไว้กับกระบวนการยุติธรรมนั้น ถือว่าจะสิ้นสุดได้หรือยัง บางมุมของชีวิตชาวบ้านก็แสนยากลำบากอยู่แล้ว เสมือนชีวิตถูกกระหน่ำซ้ำไปที่จุดเดิมอีกในการที่หน่วยงานภาครัฐประกาศเขตป่าฯ ทับที่ทำกิน พร้อมกับอาศัยกลไกกระบวนการยุติธรรมมาทำลายชาวบ้าน ตั้งข้อกล่าวหาว่าบุกรุกพื้นที่ โดยนับจำนวนหลายครั้ง คำพิพากษาจะตกอยู่กับชาวบ้านเป็นผู้กระทำผิดโดยเสมอ
 
ถามต่อว่า ถูกต้อง เป็นธรรม กับชาวบ้านคนจนๆ ธรรมดาๆ หรือไม่ หน่วยงานที่รับผิดชอบจะดำเนินการให้นำไปสู่สิ่งที่ดีในการแก้ไขได้อย่างไร หรือจะให้พวกเขา กลายเป็นผู้ไร้ที่อยู่ทำกิน เป็นคนตกขอบของแผ่นดิน อย่างนั้นหรือไม่
 
ข้อพิพาทในความขัดแย้งเรื่องที่ดินทำกินจึงเป็นเรื่องสำคัญ ที่บุคลากรในกระบวนการยุติธรรมซึ่งถือว่าเป็นองค์กรที่มีความสำคัญ ด้วยเปรียบเสมือนเป็นผู้ตัดสิน กุมชะตากรรมของชาวบ้านที่เรียกร้องความเป็นธรรมในสังคม โดยเฉพาะปัญหาความขัดแย้งเรื่องที่ดิน อันเป็นปัญหาวิกฤตของสังคม จึงเป็นประเด็นเกี่ยวพันอย่างยิ่งในการรวบรวมข้อมูลคดีความ ข้อกฎหมายที่ใช้ฟ้อง และคำพิพากษาคดีความ ที่จะทำให้การวินิจฉัยเป็นไปด้วยความเป็นธรรม เพื่อประโยชน์สุขแก่สังคมโดยรวม
 
ถึงกระนั้นก็ตามในกระบวนการยุติธรรมควรสะท้อนให้สังคมได้รับรู้และเข้าใจปัญหาที่ดินทำกินด้วยว่า กลุ่มผู้ถูกคดีและผู้ต้องหา เป็นเพียงเกษตรกรและคนยากจนในสังคม เป็นชุมชนและชาวบ้านที่มีวิถีและการดำเนินชีวิตด้วยการพึ่งพาฐานทรัพยากรธรรมชาติ ชุมชนเหล่านั้นเรียกร้องให้รัฐแก้ไขปัญหาที่ดินทำกิน และจัดสรรที่ดินให้อย่างเป็นธรรม เพราะฉะนั้นด้วยอำนาจทางกฎหมาย ควรชี้ให้เห็นว่าในความขัดแย้งข้อพิพาทเรื่องที่ดินทำกิน ที่เป็นอยู่แท้จริงแล้วมีความชัดเจนเป็นอย่างไร มิใช่เพียงเพื่อพิพากษาให้เสร็จสิ้นไปตามกระบวนการทางกฎหมายเท่านั้น
 
 


ที่มา.ประชาไท
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
 
 

วันพฤหัสบดีที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ส่อง : อุปสรรค รบ. หลังฝ่าดงม็อบ-ผ่านซักฟอก !!?

เราได้รับความไว้วางใจจากประชาชน ทำงานโดยยึดประโยชน์ประเทศ พี่น้องประชาชน ไม่เคยคิดทำเพื่อใครคนใดคนหนึ่ง ไม่เคยเข้าไปแทรกแซงเพื่อใคร ที่กล่าวหาว่าทำลอยตัวเหนือปัญหา ไม่เป็นความจริง เพราะลอยตัวต่างกับความไม่รับผิดชอบ ในฐานะนายกรัฐมนตรี เรื่องการแทรกแซงการปฏิบัติงานยืนยันว่าไม่มี แต่ละตำแหน่งมีอำนาจหน้าที่ของตัวเองกำหนดไว้”

เสียงของนายกฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กล่าวสรุปทิ้งท้ายในศึกการอภิปรายไม่ไว้วางใจที่เพิ่งผ่านพ้นไปสดๆร้อนๆ

ผลการลงมติ นายกฯยิ่งลักษณ์ได้คะแนนความไว้วางใจท่วมท้นให้ทำงานต่อ 308 ต่อ 159 เสียง งดออกเสียง 9 ไม่ ลงคะแนน 9

การซักฟอกรัฐบาลที่ผ่านมา จุดที่น่าสนใจในการทำงานของฝ่ายค้านภายใต้การนำของพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ใช่เรื่องปัญหาการบริหารงานหรือการทุจริตคอร์รัปชันของรัฐบาล แต่ไฮไลท์อยู่ที่การโจมตีนายกฯยิ่งลักษณ์

นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ ประธานวิปฝ่ายค้าน สรุปการอภิปรายเรียกร้องให้นายกฯยิ่งลักษณ์ยุติเหตุแห่งความเสื่อม 5 ข้อคือ 1.หยุดทำผิดกฎหมาย หรือปล่อยให้มีการทุจริต 2.ต้องมีวุฒิภาวะในการเป็นนายกรัฐมนตรีในสภา

3.เลิกการบริหารประเทศแบบลอยตัว หนีปัญหาและความรับผิดชอบ 4.อย่าปล่อยให้คนอยู่นอกเหนืออำนาจหน้าที่มาล้วงลูก โดยเฉพาะการแต่งตั้ง

5.นายกรัฐมนตรีต้องก้าวข้ามผลประโยชน์ของพวกพ้อง หรือทำเพื่อคนคนเดียว เพราะเรื่องนี้จะทำให้ประเทศก้าวเข้าสู่วิกฤตอีกครั้ง

การพุ่งเป้าใหญ่ไปที่ตัวนายกฯยิ่งลักษณ์ก็เพื่อตอกย้ำภาพการเป็นนอมินีของพี่ชาย เพื่อให้สอดคล้องกับความพยายามประทับตรานี้ขององค์กรนอกสภา

แม้ว่ารัฐบาลจะฝ่าดงม็อบนอกสภาของ “เสธ.อ้าย” พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ ผ่านศึกซักฟอกในสภาของฝ่ายค้านไปได้

แต่หนทางเบื้องหน้าก็ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ยังคงมีขวากหนามมากมายรออยู่

ขวากหนามที่สำคัญคือ องค์กรอิสระที่ฝ่ายค้านได้ยื่นเรื่องให้ตรวจสอบ หลายเรื่อง หลายองค์กร ที่ต้องรอลุ้นผลว่าจะออกมาเป็นบวกหรือลบต่อรัฐบาล

ขณะที่แรงเสียดทานนอกสภาจะมีมากขึ้น แม้ เสธ.อ้ายประกาศเลิกม็อบไปแล้ว แต่จะมีกลุ่มต่างๆรับไม้ต่อเพื่อเคลื่อนไหวโค่นล้มรัฐบาลต่อไป

ประเด็นเรื่องทุจริตโกงกินจะมีใบเสร็จหรือไม่ไม่สำคัญสำหรับการเมืองไทย

แต่ประเด็นอยู่ที่ว่าจะทำให้นายกรัฐมนตรีมีภาพลักษณ์เป็นคนโกงกินได้หรือไม่ ถ้าทำให้คนเชื่อได้ว่าโกงรัฐบาลก็มีสิทธิพังเร็ว

ยุทธศาสตร์ของฝ่ายค้านและฝ่ายต่อต้านรัฐบาลที่จะดำเนินต่อไปคือ ต้องหมั่นทาสีเพื่อให้ภาพของนายกฯยิ่งลักษณ์มัวหมองด้วยเรื่องทุจริตโกงกินให้ได้

นอกจากนี้แล้วยังต้องพยายามสร้างภาพให้นายกรัฐมนตรีเป็นคนไม่รักชาติ ไม่รักสถาบัน เพราะเป็นประเด็นอ่อนไหวที่จะใช้โค่นล้มรัฐบาลได้ง่าย

แม้สุดท้ายจะไม่สามารถสร้างภาพให้นายกฯยิ่งลักษณ์เป็นคนทุจริตโกงกินได้ ก็ต้องประทับตราให้เป็นคนลอยตัวเหนือปัญหา ไม่มีความรับผิดชอบ ปล่อยให้รอบข้างโกงกิน

นี่เป็นจุดอันตรายที่อาจเป็นจุดตายของรัฐบาล เพราะสามารถชงเรื่องให้องค์กรอิสระต่างๆเล่นงานนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลได้ถนัดมือ

หากทำให้คนส่วนใหญ่รู้สึกว่านายกรัฐมนตรีเป็นคนโกงกิน หรือสนับสนุนให้มีการทุจริตโกงกินได้เมื่อไร เงื่อนไขก็สุกงอมพร้อมปลุกม็อบขึ้นมาขับไล่รัฐบาลได้ทันที

ยุทธศาสตร์ของฝ่ายต่อต้านรัฐบาลจึงเป็นยุทธศาสตร์ระยะยาว เป็นยุทธศาสตร์ของช่างทาสี ที่ใจเย็นไม่เร่งร้อน ค่อยๆทาทับไปเรื่อยๆ จนสีของการเป็นรัฐบาลทุจริตโกงกินเด่นชัดในความรู้สึกของประชาชน

เมื่อประชาชนมีความรู้สึกร่วมก็เป่านกหวีดกันได้ทันที

นี่คือขวากหนามสำคัญที่รออยู่เบื้องหน้า รัฐบาลจะอยู่ต่อไปได้หรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับว่าจะแก้หมากปมของฝ่ายต่อต้านอย่างไร

แก้ได้ก็ไปต่อได้ แก้ไม่ได้ก็รอวันพัง

ที่มา.หนังสือพิมพ์โลกวันนี้
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ศันสนีย์เผยยังไม่ได้คุยส.ส.หญิงถูกทักษิณตำหนิ


น.ส.ศันสนีย์ นาคพงศ์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ตำหนิ ส.ส.หญิง พรรคเพื่อไทย ที่ไม่ปกป้อง นายกรัฐมนตรี ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ว่า การอภิปรายไม่ไว้วางใจ ถือเป็นเรื่องสำคัญในการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และสภาคือสถาบันที่สำคัญ ที่ทุกคนจะต้องควบคุมตัวเองในการพูดให้เป็นไปอย่างสร้างสรรค์ โดยขณะเกิดเหตุ ตนเองไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ และยังไม่ได้มีการพูดคุยกับใครในเรื่องนี้ ซึ่งสิ่งที่จะเกิดขึ้นมาแล้วนั้น ก็ไม่สามารถย้อนไปแก้ไขได้ แต่ต้องนำมาเป็นบทเรียน และระมัดระวังให้มากยิ่งขึ้น ส่วนที่ทางฝ่ายค้าน และรัฐบาล ได้ยื่นตรวจสอบในเรื่องดังกล่าว ถือเป็นครรลอง ที่จะต้องมีกรรมการมาเป็นผู้ตัดสิน และอยากให้ทุกคนช่วยกันดูแลไม่ให้เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้นอีกครั้ง

ส่วนท่าทีของ ส.ส.หญิง พรรคเพื่อไทย นั้น ทุกคนทำงานอย่างเต็มที่ ซึ่ง น.ส.ศันสนีย์ ก็มั่นใจว่า ส.ส.หญิง ในพรรคเพื่อไทย ทุกคน ทราบดีว่า นายกรัฐมนตรี มีภารกิจ แต่อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรี พยายามที่จะหาโอกาสในการเชื่อมความสัมพันธ์กับ ส.ส.หญิง ในพรรค ผ่านโครงการกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี ตามที่ได้เสียงไว้

ส่วนกระแสข่าวที่ตนเองถูกตำหนิ เนื่องจากไม่เผยแพร่การควบคุมการชุมนุมของกลุ่มองค์การพิทักษ์สยาม ว่า ตนเองได้พูดคุยกับบุคคลที่ปรากฏเป็นข่าวแล้ว ซึ่งก็ได้รับการปฏิเสธว่าไม่ได้มีการตำหนิเกิดขึ้น และเชื่อว่าเรื่องดังกล่าวไม่เป็นปัญหา เพราะตนเองตั้งใจทำหน้าที่ตนเองให้ดีที่สุด รวมถึงรัฐบาลก็พยายามให้การชุมนุมเป็นไปตามสิทธิ์ของประชาชน และให้ทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่น

นอกจากนี้ทาง ศอ.รส. ก็ได้เชิญอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ เข้าไปทำความเข้าใจถึงแนวทางในการปฏิบัติก่อนการชุมนุมแล้ว นอกจากนี้ เมื่อตนเองได้พบกับ นายกรัฐมนตรี และ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ที่เป็นผู้ดูแลควบคุมการชุมนุมดังกล่าว ก็ไม่ได้มีการตำหนิแต่อย่างใด ทั้งนี้ส่วนตัว เข้าใจในหน้าที่การทำงานของสื่อมวลชน ที่ต้องเป็นตัวกลางในการทำความเข้าใจกับประชาชน ซึ่งผลจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้น ก็จะนำมาปรับปรุงเพื่อนำมาปฏิบัติต่อไป

ที่มา.หนังสือพิมพ์โลกวันนี้
/////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

มาตรการลดผลกระทบขึ้นค่าจ้าง300 บาท เพิ่มวงเงินกู้ช่วยนายจ้าง ลดเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคม !!?


นพ.สมเกียรติ ฉายะศรีวงศ์ ปลัดกระทรวงแรงงาน ในฐานะประธานคณะกรรมการประกันสังคม (บอร์ด สปส.) เปิดเผยว่า ที่ประชุมบอร์ด สปส.เห็นชอบขยายเวลาการใช้มาตรการช่วยเหลือธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำเป็นวันละ 300 บาท ทั่วประเทศ ใน 2 มาตรการ อีก 1 ปี โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2556 ได้แก่ 1.ขยายเวลาการลดเงินสมทบประกันสังคมทั้งฝ่ายนายจ้างและลูกจ้าง จากปัจจุบันเก็บเงินสมทบฝ่ายละร้อยละ 5 ลดลงเหลือจัดเก็บฝ่ายละร้อยละ 4 ส่วนเงินสมทบในส่วนของรัฐบาลยังส่งในอัตราเดิมร้อยละ 2.75 ทั้งนี้ จะทำให้เงินสมทบใน 4 กรณี ได้แก่ เจ็บป่วย ทุพพลภาพ ตาย และคลอดบุตร จะเก็บได้เพียง 20,000 ล้านบาท จากที่เคยเก็บได้ 60,000 ล้านบาท แต่ยืนยันว่าไม่ส่งผลกระทบต่อการให้สิทธิประโยชน์ทั้ง 4 กรณี แก่ผู้ประกันตนแน่นอน

นพ.สมเกียรติกล่าวอีกว่า 2.ขยายเวลาการดำเนินโครงการสินเชื่อเพื่อเสริมสภาพคล่องให้แก่ภาคธุรกิจ ซึ่งปัจจุบันมีวงเงินที่สามารถปล่อยกู้ได้อยู่ 10,000 ล้านบาท แต่มีผู้ประกอบการยื่นกู้เพียง 794 ล้านบาท และที่ประชุมได้เห็นชอบปรับเพิ่มวงเงินกู้ โดยสถานประกอบการที่มีลูกจ้างต่ำกว่า 50 คน จากเดิมกู้ได้ 1 ล้านบาท เพิ่มเป็น 2 ล้านบาท สถานประกอบการที่มีลูกจ้าง 51-200 คน เดิมกู้ได้ 2 ล้านบาท เพิ่มเป็น 4 ล้านบาท และสถานประกอบการที่มีลูกจ้างเกิน 200 คน เดิมกู้ได้ 4 ล้านบาท เพิ่มเป็น 8 ล้านบาท และที่ประชุมได้มอบให้ สปส.หารือกับธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกรุงไทย ธนาคารเกียรตินาคิน ธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์ และธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่ง สปส.ฝากเงินกองทุนประกันสังคมไว้ ปรับขั้นตอนการกู้ให้สะดวกมากขึ้น

"ที่ประชุมยังเห็นชอบให้ขยายเวลาการจ้างพนักงานเร่งรัดหนี้สิน 179 คน ไปอีก 1 ปี เนื่องจากสามารถทำงานได้ดีในช่วง 8 เดือนที่ผ่านมา โดยสามารถทวงหนี้จากนายจ้างที่ค้างชำระเงินสมทบกองทุนประกันสังคม 1,290 ล้านบาท จากยอดหนี้ค้างชำระสะสมอยู่กว่า 4,000 ล้านบาท ซึ่งการจ้างเจ้าหน้าที่กลุ่มนี้ใช้เงินทั้งหมด 22 ล้านบาท ถือว่าคุ้มค่ากับเงินเดือนที่จ่ายไป" นพ.สมเกียรติกล่าว

นายเผดิมชัย สะสมทรัพย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวถึงกรณีที่คณะกรรมการสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) มีมติปลดนายพยุงศักดิ์ ชาติสุทธิผล ประธาน ส.อ.ท. ออกจากตำแหน่ง เนื่องจากละเลยการช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากการปรับค่าจ้างขั้นต่ำวันละ 300 บาทว่า นายพยุงศักดิ์ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการปรับค่าจ้าง เพราะการปรับค่าจ้างเป็นเรื่องของคณะกรรมการค่าจ้าง หรือคณะกรรมการไตรภาคี ที่มีตัวแทนจาก 3 ฝ่าย ได้แก่ ฝ่ายรัฐบาล ฝ่ายนายจ้าง และฝ่ายลูกจ้าง จึงไม่อยากให้โยงเรื่องการปลดนายพยุงศักดิ์กับการปรับค่าจ้างเข้าด้วยกัน เพราะไม่เป็นธรรมกับนายพยุงศักดิ์

นายเผดิมชัยกล่าวว่า ยืนยันว่าไม่ได้เข้าข้างหรือรู้จักกับนายพยุงศักดิ์เป็นการส่วนตัว เพราะที่ผ่านมา การที่ ส.อ.ท.เดินทางเข้าพบที่กระทรวงแรงงาน ไม่ใช่นายพยุงศักดิ์ มีเพียงนายทวีกิจ จตุรเจริญคุณ รองประธาน ส.อ.ท.สายแรงงาน และนายธนิต โสรัตน์ รองประธาน ส.อ.ท. สายงานเศรษฐกิจโลจิสติกส์เท่านั้น จึงเชื่อว่าความขัดแย้งครั้งนี้จะไม่ส่งผลกระทบต่อการออกมาตรการช่วยเหลือภาคธุรกิจ อย่างไรก็ตาม แม้จะมีการตั้งข้อสังเกตว่าหลังจากนี้จะมีการเคลื่อนไหวของภาคธุรกิจ เพื่อคัดค้านการปรับค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาทนั้น ไม่รู้สึกกังวล เนื่องจากกระทรวงแรงงานได้เตรียมพร้อมรับมือไว้อยู่แล้ว แม้ที่ผ่านมาจะไม่ได้รับความร่วมมือในการส่งข้อมูลผลกระทบจาก ส.อ.ท.ก็ตาม

นายเผดิมชัยกล่าวว่า ส่วนความคืบหน้าในการส่งรายชื่อตัวแทนจาก ส.อ.ท.เข้ามาเป็นคณะกรรมการร่วม 3 ฝ่าย ประกอบด้วย กระทรวงแรงงานและกระทรวงต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ภาคธุรกิจ และตัวแทนลูกจ้าง เพื่อติดตามปัญหาและผลกระทบจากการปรับขึ้นค่าจ้าง ขณะนี้ ส.อ.ท.ยังไม่มีการส่งรายชื่อตัวแทนเข้ามา แต่สั่งการไปยังหน่วยงานในสังกัดทั่วประเทศหาข้อมูลผลกระทบจากการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาท โดยวันที่ 8 ธันวาคมนี้ จะเรียกผู้บริหารหน่วยงานของกระทรวงแรงงานทั่วประเทศเข้ามาประชุม เพื่อรับทราบข้อมูลผลกระทบของภาคธุรกิจ โดยแบ่งตามลักษณะผลกระทบและพื้นที่ โดยเฉพาะธุรกิจเอสเอ็มอี เพื่อหามาตรการในการช่วยเหลือภาคธุรกิจต่อไป

รศ.ยงยุทธ แฉล้มวงษ์ ผู้อำนวยการการวิจัยการพัฒนาแรงงาน สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) กล่าวว่า การที่คณะกรรมการ ส.อ.ท.มีมติปลดนายพยุงศักดิ์พ้นจากตำแหน่งประธาน ส.อ.ท.น่าจะเกิดจากการที่ไม่ได้ออกมาแสดงบทบาทในการคัดค้านการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำเป็นวันละ 300 บาททั่วประเทศอย่างเต็มที่ ขณะเดียวกันผู้บริหาร ส.อ.ท.บางส่วนก็มีธุรกิจซึ่งต้องใช้แรงงานแบบเข้มข้น ทำให้ได้รับผลกระทบจากนโยบายการปรับขึ้นค่าจ้างอย่างมาก ส่งผลให้ผู้บริหารและสมาชิก ส.อ.ท.เกิดความไม่พอใจในการทำงานของนายพยุงศักดิ์

"เวลานี้ ส.อ.ท.ควรเร่งคัดเลือกตัวแทนเข้าร่วมเป็นคณะกรรมการ 3 ฝ่าย เพื่อศึกษาผลกระทบและวางมาตรการช่วยเหลือภาคธุรกิจโดยเฉพาะธุรกิจเอสเอ็มอีใน 29 จังหวัด ที่อัตราค่าจ้างมีการปรับเพิ่มแบบก้าวกระโดด และควรกำหนดกลุ่มเป้าหมายให้ชัดเจน เน้นธุรกิจเอสเอ็มอีที่มีลูกจ้างตั้งแต่ 10-200 คน ส่วนที่เหลือเป็นธุรกิจขนาดกลางและขนาดใหญ่ซึ่งสามารถปรับตัวได้ โดย ส.อ.ท.ควรผลักดันให้รัฐบาลออกมาตรการช่วยเหลือภายในเดือนธันวาคมนี้ เพื่อให้ทันกับการปรับขึ้นค่าจ้าง" รศ.ยงยุทธกล่าว


ที่มา นสพ.มติชนรายวัน
////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

ทะเลจีนใต้เสี่ยงเป็น ปาเลสไตน์แห่งเอเชีย !!?


เลขาธิการอาเซียนเตือนความขัดแย้งในทะเลจีนใต้เสี่ยงทำให้ภูมิภาคกลายสภาพเป็น 'ปาเลสไตน์แห่งเอเชีย'

ความขัดแย้งในทะเลจีนใต้ยังคงเป็นประเด็นร้อน ซึ่งเสี่ยงที่จะบานปลายกลายเป็น "ปาเลสไตน์แห่งเอเชีย" โดยหากสถานการณ์ไปสู่ความขัดแย้งรุนแรงจะส่งผลให้เกิดความแตกแยกระหว่างประเทศต่างๆ ในเอเชีย และส่งผลให้ไม่มีเสถียรภาพในภูมิภาคนี้

เลขาธิการอาเซียน นายสุรินทร์ พิศสุวรรณ ให้สัมภาษณ์กับไฟแนนเชียล ไทม์ส ระบุว่า เอเชียกำลังเข้าสู่ยุคที่มีความขัดแย้งสูงสุดในช่วงไม่กี่ปีมานี้ เนื่องจากจีนกล่าวอ้างกรรมสิทธิ์พื้นที่แทบทั้งหมดในทะเลจีนใต้ ส่งผลให้เกิดความขัดแย้งกับหลายประเทศ ทั้งฟิลิปปินส์ เวียดนาม และประเทศอื่นๆ

เลขาธิการอาเซียน กล่าวว่า เราต้องใส่ใจกับข้อเท็จจริงที่ว่า ทะเลจีนใต้อาจจะพัฒนาไปเป็นปาเลสไตน์อีกแห่งหนึ่งได้ หากประเทศต่างๆ ไม่พยายามอย่างหนักที่จะปลดชนวนระเบิด แทนที่จะเติมเชื้อไฟแห่งความตึงเครียด

หลังจากคู่กรณีในเอเชียต่างอ้างกรรมสิทธิ์เหนือน่านน้ำพิพาท ทั้งเวียดนาม ฟิลิปปินส์ บรูไน มาเลเซีย และไต้หวัน ล่าสุด จีนโหมประเด็นนี้ให้ร้อนแรงขึ้น ด้วยการออกพาสปอร์ตใหม่ที่ตีพิมพ์แผนที่ประเทศจีนที่รวมถึงพื้นที่พิพาทลงไปด้วย ทำให้คู่กรณีหลายรายออกมาแสดงความไม่พอใจ และตอบโต้ในรูปแบบที่แตกต่างกัน

ล่าสุด เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองเวียดนาม ที่ประจำท่าอากาศยานนอยไบในกรุงฮานอย และเจ้าหน้าที่จังหวัดหลั่งเซิง ปฏิเสธที่จะประทับตราวีซ่าเข้าเมืองลงบนหนังสือเดินทางแบบใหม่แก่ชาวจีน แต่ได้ประทับการตรวจลงตราในกระดาษแยกต่างหากจากหนังสือเดินทางแบบใหม่ของจีน ซึ่งชาวจีนยังสามารถเดินทางในเวียดนามผ่านด่านต่างๆ ได้ตามปกติ

นอกจากนี้ ฟิลิปปินส์ บรูไน มาเลเซีย และเวียดนาม ซึ่งอ้างสิทธิเหนือหมู่เกาะในทะเลจีนใต้เช่นเดียวกัน มีกำหนดการจะหารือกันในวันที่ 12 ธันวาคม กรณีหนังสือเดินทางใหม่ของจีนมีอายุการใช้งาน 10 ปี และออกให้กับประชาชนชาวจีนไปแล้วกว่า 1 ล้านเล่ม

ไม่เพียงเหตุพิพาทบริเวณทะเลจีนใต้ แต่จีนยังขัดแย้งกับอินเดียเนื่องจากพาสปอร์ตใหม่ โดยก่อนหน้านี้ รัฐมนตรีกิจการต่างประเทศอินเดีย นายซาลมาน เคอร์ชิด ออกมาตำหนิการปรับแผนที่บนหนังสือเดินทางของจีนที่นับรวมรัฐอรุณาจัลประเทศและดินแดนอัคสัย จิน แถบเทือกเขาหิมาลัยเป็นส่วนหนึ่งของจีน และอินเดียตอบโต้ด้วยการออกวีซ่าใหม่แก่ชาวจีน โดยใช้แผนที่ของอินเดีย ซึ่งครอบคลุมดินแดนทั้งหมดตามที่ทางการนิวเดลีอ้างสิทธิ

ด้านโฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐ นางวิคตอเรีย นูแลนด์ กล่าวว่า สหรัฐรู้สึกวิตกต่อเหตุการณ์นี้ว่าอาจทำให้สถานการณ์ขัดแย้งหมู่เกาะทะเลจีนใต้บานปลาย แต่ขึ้นอยู่กับประเทศคู่กรณีจีนว่าตัดสินพาสปอร์ตดังกล่าวอย่าไร สำหรับสหรัฐยังคงถือว่าพาสปอร์ตใหม่ของจีนเป็นเอกสารที่ถูกต้องตามกฎหมาย

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันพุธที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

แรงคลิป แรงแค้น ระบบตรวจสอบล้มเหลว !!?


ศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจในสภา 3 วันสาดใส่กันมันหยด

รัฐบาลจะผ่านการซักฟอกหรือไม่ รู้ผลกันในวันนี้ ซึ่งผลที่จะออกมาเป็นอะไรที่พอคาดเดากันได้ว่าจะมีเสียงสนับสนุนท่วมท้นให้รัฐบาลนายกฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้ไปต่อ

การอภิปรายไม่ไว้วางใจไม่ว่ารัฐบาลไหนไม่เคยเพลี่ยงพล้ำให้กับฝ่ายค้านในสภา อาจมีบ้างสักครั้งสองครั้งที่เกิดอาฟเตอร์ช็อกหลังการอภิปรายจนต้องปรับรัฐมนตรีที่มีปัญหาออก หรือยุบสภา

แต่สถิติในอดีตที่ผ่านมาถือว่าน้อยมาก

การอภิปรายไม่ไว้วางใจจึงเป็นระบบตรวจสอบที่ไร้ประสิทธิภาพ แต่ ส.ส. ก็ยังอยากอภิปรายจนกลายเป็นเทศกาลประจำปี

เหตุที่การอภิปรายไม่ไว้วางใจเป็นระบบตรวจสอบที่ไร้ประสิทธิภาพ เพราะการอภิปรายส่วนมากเน้นโวหารและการกล่าวหา

ขาดพยานหลักฐานที่มีน้ำหนักเพียงพอที่จะสนับสนุนข้อกล่าวหา

แต่ที่ ส.ส. ชอบการอภิปรายไม่ไว้วางใจเพราะได้โผล่หน้าออกทีวี. ที่ถ่ายทอดสดให้คนทางบ้านได้เห็นว่า ส.ส. ที่เลือกมาทำงานในสภา

อีกอย่างที่ ส.ส. ชอบอภิปรายไม่ไว้วางใจ เพราะว่าจะกล่าวหาใครอย่างไรก็ได้ เนื่องจากมีเอกสิทธิ์คุ้มครองไม่ถูกฟ้องร้องเป็นคดีความ

จะชี้หน้าด่าใครว่าโกงกิน ทุจริต ไร้ประสิทธิภาพอย่างไรก็ทำได้เต็มที่

ดีหน่อยตรงที่กฎหมายสมัยนี้ห้ามพาดพิงถึงบุคคลที่สามที่อยู่นอกสภา

หากพาดพิงคนอภิปรายต้องรับผิดชอบต่อคำพูดตัวเอง เพราะสามารถฟ้องร้องเป็นคดีได้ ไม่อย่างนั้นจะมีการผูกโยงกล่าวหากันมั่วไปหมดว่าขบวนการโกงกินผูกโยงไปถึงคนนอกอย่างไร

ในอดีตที่ผ่านมาจึงเห็น ส.ส. บางคนลุกขึ้นพูดโดยถือกระดาษแผ่นเดียวกล่าวหาคนนั้นคนนี้ไปทั่ว

ในยุคปัจจุบันกฎหมายมีออพชั่นบังคับว่า หากอภิปรายว่ารัฐบาลหรือรัฐมนตรีคนไหนทุจริตต่อหน้าที่ต้องยื่นต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ตรวจสอบเรื่องที่กล่าวหาด้วย

เป็นการป้องกันไม่ให้กล่าวหากันลอยๆ มั่วๆ โดยขาดพยานหลักฐาน

อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่ผ่านมาแม้จะมีการยื่นให้ ป.ป.ช. สอบสวนเพื่อถอดถอนนายกรัฐมนตรี หรือรัฐมนตี่ที่ถูกกล่าวหาว่าโกง แต่ก็ไม่ปรากฏว่ามีใครถูก ป.ป.ช. ชี้มูลความผิด

สะท้อนความล้มเหลวของการตรวจสอบด้วยการอภิปรายไม่ไว้วางใจ

การอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลครั้งนี้มีการเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดอย่างหนึ่งคือ พรรคประชาธิปัตย์เน้นใช้วิดีโอคลิปเปิดในห้องประชุมสภาเพื่อให้ประชาชนได้เห็นทั้งภาพและเสียง

เหมือนว่าจะเป็นหลักฐานเด็ดมัดรัฐบาลได้

แต่เอาเข้าจริงคลิปที่นำมาเปิดส่วนใหญ่เป็นคลิปที่ทำขึ้นให้สอดคล้องกับข้อกล่าวหาที่ใช้อภิปรายโจมตีรัฐบาล

จะเกี่ยวโยงกับการทุจริตบ้างก็เป็นระดับปฏิบัติไม่ถึงตัวรัฐมนตรี หรือนายกรัฐมนตรี คลิปที่นำมาเปิดจึงไม่อยู่ในสถานะที่เป็นหลักฐานเด็ด

คลิปที่นำมาเปิดเน้นปริมาณมากกว่าคุณภาพของเนื้อหา จนถูกสังคมออนไลน์ยกการอภิปรายไม่ไว้วางใจไปเปรียบเทียบกับละครฮิตเรื่องแรงเงา ที่เอะอะอะไรก็เปิดคลิปแฉกัน

ต่างกันตรงที่คลิปละครแรงเงาเป็นกระแสทอล์ค ออฟ เดอะ ทาวน์ ทุกครั้งที่ออกอากาศ แต่คลิปที่พรรคประชาธิปัตย์นำมาเปิดเรียกเรทติ้งไม่ได้ไม่มีใครพูดถึงนอกสภา

การอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล 3 วัน แม้จะมีประโยชน์อยู่บ้างแต่ก็ไม่ถึงที่สุดเท่าที่ควรจะเป็น

เป็นการอภิปรายที่มีเป้าหมายใหญ่เพื่อลงมติไม่ไว้วางใจให้รัฐบาลได้บริหารประเทศต่อ แต่การอภิปรายกลับไม่มีอะไรแตกต่างจากการอภิปรายทั่วไปโดยไม่มีการลงมติของวุฒิสภา

ข้อมูลหลักฐาน ประเด็นข้อกล่าวหา แทบคัดลอกกันมาจากต้นฉบับเดียวกัน

แรงคลิปจากแรงแค้นของประชาธิปัตย์จึงไม่แรงทะลุเป้าเหมือนคลิปละครแรงเงา

ที่มา.หนังสือพิมพ์โลกวันนี้
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

นายกฯ ขอข้อมูลทุจริตจำนำข้าว ลั่นพบใครโกงพร้อมดำเนินคดี !!?


ยิ่งลักษณ์. ร้องขอเอกสารหลักฐานทุจริตโครงการรับจำนำข้าวจากฝ่ายค้านเพื่อนำมาตรวจสอบ ยืนยันหากพบว่ามีการทำผิดพร้อมดำเนินคดีตามกฎหมาย “อภิสิทธิ์” ชี้รัฐบาลไม่สามารถตอบคำถามของฝ่ายค้านได้หลายเรื่อง ฟุ้งข้อมูลที่ใช้อภิปรายเป็นข้อมูลเชิงลึก ลบคำสบประมาทจากรัฐบาลได้ สัปดาห์หน้า ส.ส.ประชาธิปัตย์นำหลักฐานส่ง ป.ป.ช. กับ ปปง. ให้สอบขยายผลกรณีโอนเงินผ่าน 4 แบงก์ใหญ่ สงสัยอ้างขายข้าวจีทูจีเพื่อฟอกเงิน

การอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลเป็นวันที่ 3 ที่รัฐสภา เมื่อวันที่ 27 พ.ย. เริ่มจาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ชี้แจงข้อซักถามของนายสาธิต ปิตุเตชะ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ที่อภิปรายถึงความไม่เหมาะสมในการใช้งบประมาณเพื่อจ่ายเยียวยาและประกันตัวคนเสื้อแดง

อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้ พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ชี้แจงแทนในรายละเอียด แต่ถูก ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์รุมประท้วง ทำให้ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ต้องใช้สิทธิทำความเข้าใจกับที่ประชุมว่า ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 178 ให้ถือว่าคณะรัฐมนตรีมีส่วนรับผิดชอบร่วมกัน งานแต่ละด้านนายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้รัฐมนตรีรับผิดชอบแล้ว แต่เมื่อรัฐมนตรีจะตอบก็ประท้วงไม่ให้พูด แสดงว่าผู้ถามไม่อยากรู้

จากนั้น น.ส.ยิ่งลักษณ์ได้ลุกขึ้นชี้แจงว่า ได้นั่งฟังการอภิปรายโดยตลอดในฐานะที่มีหน้าที่กำกับดูแลนโยบายทั่วไป แต่การอภิปรายในหัวข้อต่างๆ เช่น การทุจริตโครงการรับจำนำข้าวนั้นขอโอกาสให้รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องได้ชี้แจง

“ทุกคนรู้ดีว่าไม่มีนายกรัฐมนตรีคนไหนรู้ดีไปหมดทุกเรื่อง ไม่ต้องห่วงว่าจะไม่ชี้แจง แต่ขอให้รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องที่เขารู้เรื่องการปฏิบัติได้พูดเพื่อความกระจ่าง เรื่องที่กล่าวหาว่ามีการทุจริตคอร์รัปชันได้มอบนโยบายไปอย่างชัดเจนว่าต้องป้องกันให้ได้ และได้ตั้งทีมงานดูแลเรื่องนี้อย่างเต็มที่ หากฝ่ายค้านมีข้อมูลหลักฐานรัฐบาลพร้อมรับไปตรวจสอบและดำเนินคดี”

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ให้สัมภาษณ์ว่า นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรียังไม่ได้ตอบอีกหลายคำถาม โดยเฉพาะเรื่องโครงการรับจำนำข้าวที่ใช้งบประมาณไปกว่า 200,000 ล้านบาท แต่ถึงชาวนาเพียงครึ่งเดียว

“นายกฯไม่ได้มีท่าทีว่าจะรับผิดชอบเรื่องนี้อย่างไร รวมถึงการให้บริษัทเอกชนใช้สิทธิขายข้าวแบบจีทูจีแต่ไม่ได้เป็นไปตามเงื่อนไขก็ยังไม่ได้ตอบ ที่ให้รัฐมนตรีท่านอื่นตอบแทนก็ตอบไม่ชัดเจน โดยเฉพาะเรื่องขบวนการทุจริตโครงการรับจำนำข้าวนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ซึ่งไม่สามารถตอบคำถามได้ บอกเพียงว่าได้รายงานให้นายกฯรับทราบทุกอย่าง เมื่อรับทราบปัญหาแล้วทำไมไม่เปลี่ยนนโยบาย”

นายอภิสิทธิ์กล่าวอีกว่า ข้อมูลของฝ่ายค้านที่หลายฝ่ายสบประมาทนั้นเป็นข้อมูลเชิงลึก และหวังว่าจะให้ฝ่ายอื่นๆในสังคมตรวจสอบต่อไป ส่วนการอภิปราย 2 วันที่ผ่านมาฝ่ายค้านสอบผ่านเพราะรัฐบาลไม่มีคำตอบ

นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ที่พรรคประชาธิปัตย์ไม่ยื่นถอดถอนนายกรัฐมนตรีเรื่องทุจริตโครงการรับจำนำข้าวเพราะเห็นว่าเป็นแค่ความบกพร่องในการบริหารที่ปล่อยปละละเลยให้มีการทุจริตจึงไม่ถึงขั้นที่จะยื่นถอดถอน ที่อภิปรายเรื่องนี้เพราะต้องการให้ประชาชนเห็นถึงภาวะผู้นำของนายกรัฐมนตรี

“สัปดาห์หน้าจะไปยื่นเรื่องให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ตรวจสอบกรณีตรวจพบการโอนเงินผ่านธนาคารใหญ่ 4 แห่งที่โอนเข้ามาในช่วงเช้าและถอนออกหมดในช่วงบ่าย ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์อ้างว่าเป็นการขายข้าวแบบจีทูจี แต่เราสงสัยว่าเป็นการใช้บัญชีรัฐฟอกเงิน”

ที่มา.หนังสือพิมพ์โลกวันนี้
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

สรรพสามิตฯยันไม่จำกัดวงเงินคืนภาษีรถคันแรก !!?


นายสมชาย พูลสวัสดิ์ ธิบดีกรมสรรพสามิต กล่าวว่า ความคืบหน้าโครงการรถคันแรก จากข้อมูลล่าสุด 27 พ.ย.มีผู้ยื่นขอใช้สิทธิ 5.81 แสนราย รวมเป็นเงินภาษีที่จะต้องจ่ายคืนประมาณ 4.3 หมื่นล้านบาท และคาดว่าเมื่อสิ้นสุดโครงการจะมีมากกว่า 6 แสนราย ทั้งนี้แม้ว่าจะสูงกว่าที่รัฐบาลตั้งเป้าไว้ที่ 5 แสนราย คิดเป็นเงิน 3.2 หมื่นล้านบาท แต่จะจ่ายคืนให้ทั้งหมด ไม่จำกัดจำนวนเงินแต่อย่างใด
"โครงการนี้ ทำให้ยอดการจัดเก็บภาษีรถยนต์ปรับเพิ่มขึ้น โดยในปีงบประมาณที่ผ่านมา จัดเก็บได้กว่า 1.1 แสนล้านบาท สูงกว่า 84% เทียบกับประมาณการ และ เพียง 2 เดือนแรกของปีงบประมาณปัจจุบัน สามารถจัดเก็บได้กว่า 2.8 หมื่นล้านบาท สูงกว่าประมาณการกว่า 46%"

ทั้งนี้เมื่อโครงการสิ้นสุดลง 31 ธ.ค. นี้ จะทำให้การจัดเก็บภาษีลดลง แต่มั่นใจว่าพื้นฐานเศรษฐกิจที่ยังเติบโต และความต้องการของบริโภคยังคงมีอยู่ ทำให้การจัดเก็บภาษีลดลงไม่มากนัก โดยเป้าหมายการจัดเก็บภาษีปีงบประมาณ 2556 อยู่ที่ 4.12 แสนล้านบาท

ที่มา.เนชั่น
*************************************************************************

วันอังคารที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ชัยชนะที่แท้จริง !!?


       
แม้ม็อบขับไล่รัฐบาลจะยุติเร็วเกินความคาดหมาย หรือการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลจะไม่มีผลอะไรกับเสถียรภาพรัฐบาล แต่รัฐบาลก็ต้องให้ความสำคัญกับเสียงส่วนน้อยและประชาชนที่ออกมาขับไล่รัฐบาล โดยเฉพาะข้อครหาหรือข้อกล่าวหาต่างๆ รวมทั้งต้องเร่งสร้างผลงานให้ประชาชนเชื่อมั่นและศรัทธา

อย่างผลวิจัยเชิงสำรวจของสำนักวิจัยเอแบคโพลล์สะท้อนชัดเจนว่า ประชาชนส่วนใหญ่ไม่สนใจการอภิปรายไม่ไว้วางใจ แต่อยากให้โอกาส น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ทำงานเพื่อแก้ปัญหาให้กับบ้านเมืองและประชาชน ปกปักษ์รักษาการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และอยากเห็นความปรองดอง บ้านเมืองมีความสงบสุขและก้าวไปข้างหน้า ไม่ใช่จมปลักอยู่กับความแตกแยกทางการเมือง ขณะที่การสำรวจความเห็นของสวนดุสิตโพลพบว่าประชาชนส่วนใหญ่ไม่เชียร์ทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้าน ทั้งยังตอกย้ำว่าเบื่อการเมืองไทย ที่มีแต่การทะเลาะเบาะแว้ง แบ่งพรรคแบ่งพวก เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน ฯลฯ

ที่น่าสนใจคือ ประชาชนอยากให้รัฐบาลบริหารประเทศต่อไป เห็นด้วยที่ฝ่ายค้านจะตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล แต่อยากให้เป็นไปอย่างสร้างสรรค์ คือทำงานเพื่อบ้านเมืองอย่างแท้จริง

ดังนั้น ไม่ว่าการชุมนุมขับไล่รัฐบาลขององค์การพิทักษ์สยาม หรือการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลของพรรคฝ่ายค้าน จึงไม่มีผู้แพ้และผู้ชนะ แต่ควรเป็นบทเรียนของทุกฝ่าย รวมทั้งประชาชนที่จะตระหนักถึงความแตกแยกนั้น มีแต่ทำให้บ้านเมืองหายนะ ไม่ว่าจะเป็นการเมืองหรือเศรษฐกิจ

ที่มา.หนังสือพิมพ์โลกวันนี้
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

กลัวคนกว้างขวางครองเมือง !!?


โดย ชลิต กิติญาณทรัพย์

เสธอ้าย พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ จะจุดม็อบหรือเรียกชุมนุมผู้คนมาขับไล่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร สำเร็จหรือไม่สำเร็จ ไม่ใช่เรื่องสำคัญ แต่เนื้อหาหรือวัตถุประสงค์ต่างหากที่สำคัญ

พล.อ.บุญเลิศประกาศ ชัดเจนถึงเหตุผลที่ต้องขับไล่รัฐบาลที่มาจากเลือกตั้ง เพราะต้องการแช่แข็งประเทศ 5 ปี ไม่ให้นักการเมืองเข้ามาบริหารประเทศ แต่จะให้คณะบุคคลเข้ามาดูแลแล้วปฏิบัติภารกิจ 4 ข้อ คือ

1.แก้รัฐธรรมนูญ

2.เพิ่มการศึกษา

3.เพิ่มความรู้ให้กับประชาชนเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์

4.นำตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กลับมารับโทษตามกฎหมาย

เนื้อหาสาระดังกล่าวมีความหมายในทำนองเดียวกับคณะปฏิวัติในอดีต ซึ่งนิยมนำมาแอบอ้างหลังจากเข้ายึดอำนาจจากรัฐบาลที่ถูกต้องตามกฎหมาย ทั้งนี้ เพื่อเหตุผลสร้างความชอบธรรมให้กับการกระทำของตัวเอง

น่าแปลกใจจริง ๆ คนไทยกลุ่มหนึ่งนิยมชมชอบ พล.อ.บุญเลิศ นั่นย่อมหมายถึงการสนับสนุนแนวคิดให้แช่แข็งประเทศ 5 ปี ทั้ง ๆ ที่ประเทศไทยก้าวเดินอยู่บนเวทีประชาธิปไตยมาช้านานแล้วเมืองไทยเคยได้รับความชื่นชมจากนานาชาติว่า เป็นผู้นำประเทศประชาธิปไตยในกลุ่มอาเซียน

ขณะ นั้น พม่า ลาว เวียดนาม ปิดประเทศฟื้นฟูตัวเอง ปัจจุบันนี้ ลาว เวียดนาม พม่า เปิดประเทศเชิญชวนให้นักลงทุนต่างประเทศเข้ามาลงทุนโครงการต่าง ๆ ขณะที่เมืองไทย เดินสวนทางกับชาติเพื่อนบ้าน จะแช่แข็งประเทศ 5 ปี บนเส้นทางธุรกิจ การหยุดนิ่งอยู่กับที่ เท่ากับถอยหลัง

ถ้าเสธ.อ้ายทำสำเร็จ เห็นจะต้องเอาปี๊บคลุมหัวกันทั้งประเทศ แล้วชาติบ้านเมืองที่ปิดประเทศเขาเป็นอย่างไรบ้าง พลิกประวัติศาสตร์ไปดู ประเทศยูกันดา และอีกชาติในทวีปแอฟริกา ดูไม่จืดจริง ๆ นึกไม่ออก ว่าสภาพจะเป็นเช่นไร

ผมอยากจะถามว่า ความชอบธรรมของเสธ.อ้ายอยู่ตรงไหนครับ อยู่ ดี ๆ มาเรียกร้องให้ล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นรัฐบาลที่ชนะการเลือกตั้ง ภายใต้กติกาที่คณะปฏิวัติ 19 กันยายน เขียนขึ้นมา

รัฐบาลยิ่งลักษณ์คือชัยชนะของตัวแทนประชาชนที่มีต่ออำนาจเผด็จการทหาร คณะปฏิวัติเขียนกติกาขึ้นเอง แถมยังโดดลงมาเล่นเอง แต่ในที่สุดก็แพ้ประชาชน เขารู้ว่า ประชาธิปไตยนั้นดีกว่าเผด็จการอย่างไร อย่างน้อยที่สุด หากให้นักการเมืองบริหารประเทศ เขาสามารถตรวจสอบนักการเมืองเหล่านั้น ได้ตามวิถีทางประชาธิปไตย ผิดกับรัฐบาลปฏิวัติ ประชาชนตรวจสอบไม่ได้

พูดถึงม็อบเสธ.อ้าย ได้ยินได้ฟังว่า มีนักการเมืองกลุ่มหนึ่งสนับสนุน ไม่อยากจะเชื่อเลยว่า นักการเมืองกลุ่มนั้นจะทรยศต่ออุดมการณ์ประชาธิปไตย พวกเขาไม่มีจิตวิญญาณของประชาธิปไตยแม้แต่น้อยวินาทีนี้ อยากให้พวกเราใช้สติใคร่ครวญไตร่ตรอง ระหว่างการเมืองระบอบประชาธิปไตยกับม็อบ เราควรจะยืนข้างใคร

ขอส่งเสียงหน่อย เดี๋ยวคนกว้างขวางครองเมือง

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
/////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////