--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันพฤหัสบดีที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

มาตรการลดผลกระทบขึ้นค่าจ้าง300 บาท เพิ่มวงเงินกู้ช่วยนายจ้าง ลดเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคม !!?


นพ.สมเกียรติ ฉายะศรีวงศ์ ปลัดกระทรวงแรงงาน ในฐานะประธานคณะกรรมการประกันสังคม (บอร์ด สปส.) เปิดเผยว่า ที่ประชุมบอร์ด สปส.เห็นชอบขยายเวลาการใช้มาตรการช่วยเหลือธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำเป็นวันละ 300 บาท ทั่วประเทศ ใน 2 มาตรการ อีก 1 ปี โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2556 ได้แก่ 1.ขยายเวลาการลดเงินสมทบประกันสังคมทั้งฝ่ายนายจ้างและลูกจ้าง จากปัจจุบันเก็บเงินสมทบฝ่ายละร้อยละ 5 ลดลงเหลือจัดเก็บฝ่ายละร้อยละ 4 ส่วนเงินสมทบในส่วนของรัฐบาลยังส่งในอัตราเดิมร้อยละ 2.75 ทั้งนี้ จะทำให้เงินสมทบใน 4 กรณี ได้แก่ เจ็บป่วย ทุพพลภาพ ตาย และคลอดบุตร จะเก็บได้เพียง 20,000 ล้านบาท จากที่เคยเก็บได้ 60,000 ล้านบาท แต่ยืนยันว่าไม่ส่งผลกระทบต่อการให้สิทธิประโยชน์ทั้ง 4 กรณี แก่ผู้ประกันตนแน่นอน

นพ.สมเกียรติกล่าวอีกว่า 2.ขยายเวลาการดำเนินโครงการสินเชื่อเพื่อเสริมสภาพคล่องให้แก่ภาคธุรกิจ ซึ่งปัจจุบันมีวงเงินที่สามารถปล่อยกู้ได้อยู่ 10,000 ล้านบาท แต่มีผู้ประกอบการยื่นกู้เพียง 794 ล้านบาท และที่ประชุมได้เห็นชอบปรับเพิ่มวงเงินกู้ โดยสถานประกอบการที่มีลูกจ้างต่ำกว่า 50 คน จากเดิมกู้ได้ 1 ล้านบาท เพิ่มเป็น 2 ล้านบาท สถานประกอบการที่มีลูกจ้าง 51-200 คน เดิมกู้ได้ 2 ล้านบาท เพิ่มเป็น 4 ล้านบาท และสถานประกอบการที่มีลูกจ้างเกิน 200 คน เดิมกู้ได้ 4 ล้านบาท เพิ่มเป็น 8 ล้านบาท และที่ประชุมได้มอบให้ สปส.หารือกับธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกรุงไทย ธนาคารเกียรตินาคิน ธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์ และธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่ง สปส.ฝากเงินกองทุนประกันสังคมไว้ ปรับขั้นตอนการกู้ให้สะดวกมากขึ้น

"ที่ประชุมยังเห็นชอบให้ขยายเวลาการจ้างพนักงานเร่งรัดหนี้สิน 179 คน ไปอีก 1 ปี เนื่องจากสามารถทำงานได้ดีในช่วง 8 เดือนที่ผ่านมา โดยสามารถทวงหนี้จากนายจ้างที่ค้างชำระเงินสมทบกองทุนประกันสังคม 1,290 ล้านบาท จากยอดหนี้ค้างชำระสะสมอยู่กว่า 4,000 ล้านบาท ซึ่งการจ้างเจ้าหน้าที่กลุ่มนี้ใช้เงินทั้งหมด 22 ล้านบาท ถือว่าคุ้มค่ากับเงินเดือนที่จ่ายไป" นพ.สมเกียรติกล่าว

นายเผดิมชัย สะสมทรัพย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวถึงกรณีที่คณะกรรมการสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) มีมติปลดนายพยุงศักดิ์ ชาติสุทธิผล ประธาน ส.อ.ท. ออกจากตำแหน่ง เนื่องจากละเลยการช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากการปรับค่าจ้างขั้นต่ำวันละ 300 บาทว่า นายพยุงศักดิ์ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการปรับค่าจ้าง เพราะการปรับค่าจ้างเป็นเรื่องของคณะกรรมการค่าจ้าง หรือคณะกรรมการไตรภาคี ที่มีตัวแทนจาก 3 ฝ่าย ได้แก่ ฝ่ายรัฐบาล ฝ่ายนายจ้าง และฝ่ายลูกจ้าง จึงไม่อยากให้โยงเรื่องการปลดนายพยุงศักดิ์กับการปรับค่าจ้างเข้าด้วยกัน เพราะไม่เป็นธรรมกับนายพยุงศักดิ์

นายเผดิมชัยกล่าวว่า ยืนยันว่าไม่ได้เข้าข้างหรือรู้จักกับนายพยุงศักดิ์เป็นการส่วนตัว เพราะที่ผ่านมา การที่ ส.อ.ท.เดินทางเข้าพบที่กระทรวงแรงงาน ไม่ใช่นายพยุงศักดิ์ มีเพียงนายทวีกิจ จตุรเจริญคุณ รองประธาน ส.อ.ท.สายแรงงาน และนายธนิต โสรัตน์ รองประธาน ส.อ.ท. สายงานเศรษฐกิจโลจิสติกส์เท่านั้น จึงเชื่อว่าความขัดแย้งครั้งนี้จะไม่ส่งผลกระทบต่อการออกมาตรการช่วยเหลือภาคธุรกิจ อย่างไรก็ตาม แม้จะมีการตั้งข้อสังเกตว่าหลังจากนี้จะมีการเคลื่อนไหวของภาคธุรกิจ เพื่อคัดค้านการปรับค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาทนั้น ไม่รู้สึกกังวล เนื่องจากกระทรวงแรงงานได้เตรียมพร้อมรับมือไว้อยู่แล้ว แม้ที่ผ่านมาจะไม่ได้รับความร่วมมือในการส่งข้อมูลผลกระทบจาก ส.อ.ท.ก็ตาม

นายเผดิมชัยกล่าวว่า ส่วนความคืบหน้าในการส่งรายชื่อตัวแทนจาก ส.อ.ท.เข้ามาเป็นคณะกรรมการร่วม 3 ฝ่าย ประกอบด้วย กระทรวงแรงงานและกระทรวงต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ภาคธุรกิจ และตัวแทนลูกจ้าง เพื่อติดตามปัญหาและผลกระทบจากการปรับขึ้นค่าจ้าง ขณะนี้ ส.อ.ท.ยังไม่มีการส่งรายชื่อตัวแทนเข้ามา แต่สั่งการไปยังหน่วยงานในสังกัดทั่วประเทศหาข้อมูลผลกระทบจากการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาท โดยวันที่ 8 ธันวาคมนี้ จะเรียกผู้บริหารหน่วยงานของกระทรวงแรงงานทั่วประเทศเข้ามาประชุม เพื่อรับทราบข้อมูลผลกระทบของภาคธุรกิจ โดยแบ่งตามลักษณะผลกระทบและพื้นที่ โดยเฉพาะธุรกิจเอสเอ็มอี เพื่อหามาตรการในการช่วยเหลือภาคธุรกิจต่อไป

รศ.ยงยุทธ แฉล้มวงษ์ ผู้อำนวยการการวิจัยการพัฒนาแรงงาน สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) กล่าวว่า การที่คณะกรรมการ ส.อ.ท.มีมติปลดนายพยุงศักดิ์พ้นจากตำแหน่งประธาน ส.อ.ท.น่าจะเกิดจากการที่ไม่ได้ออกมาแสดงบทบาทในการคัดค้านการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำเป็นวันละ 300 บาททั่วประเทศอย่างเต็มที่ ขณะเดียวกันผู้บริหาร ส.อ.ท.บางส่วนก็มีธุรกิจซึ่งต้องใช้แรงงานแบบเข้มข้น ทำให้ได้รับผลกระทบจากนโยบายการปรับขึ้นค่าจ้างอย่างมาก ส่งผลให้ผู้บริหารและสมาชิก ส.อ.ท.เกิดความไม่พอใจในการทำงานของนายพยุงศักดิ์

"เวลานี้ ส.อ.ท.ควรเร่งคัดเลือกตัวแทนเข้าร่วมเป็นคณะกรรมการ 3 ฝ่าย เพื่อศึกษาผลกระทบและวางมาตรการช่วยเหลือภาคธุรกิจโดยเฉพาะธุรกิจเอสเอ็มอีใน 29 จังหวัด ที่อัตราค่าจ้างมีการปรับเพิ่มแบบก้าวกระโดด และควรกำหนดกลุ่มเป้าหมายให้ชัดเจน เน้นธุรกิจเอสเอ็มอีที่มีลูกจ้างตั้งแต่ 10-200 คน ส่วนที่เหลือเป็นธุรกิจขนาดกลางและขนาดใหญ่ซึ่งสามารถปรับตัวได้ โดย ส.อ.ท.ควรผลักดันให้รัฐบาลออกมาตรการช่วยเหลือภายในเดือนธันวาคมนี้ เพื่อให้ทันกับการปรับขึ้นค่าจ้าง" รศ.ยงยุทธกล่าว


ที่มา นสพ.มติชนรายวัน
////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

ทะเลจีนใต้เสี่ยงเป็น ปาเลสไตน์แห่งเอเชีย !!?


เลขาธิการอาเซียนเตือนความขัดแย้งในทะเลจีนใต้เสี่ยงทำให้ภูมิภาคกลายสภาพเป็น 'ปาเลสไตน์แห่งเอเชีย'

ความขัดแย้งในทะเลจีนใต้ยังคงเป็นประเด็นร้อน ซึ่งเสี่ยงที่จะบานปลายกลายเป็น "ปาเลสไตน์แห่งเอเชีย" โดยหากสถานการณ์ไปสู่ความขัดแย้งรุนแรงจะส่งผลให้เกิดความแตกแยกระหว่างประเทศต่างๆ ในเอเชีย และส่งผลให้ไม่มีเสถียรภาพในภูมิภาคนี้

เลขาธิการอาเซียน นายสุรินทร์ พิศสุวรรณ ให้สัมภาษณ์กับไฟแนนเชียล ไทม์ส ระบุว่า เอเชียกำลังเข้าสู่ยุคที่มีความขัดแย้งสูงสุดในช่วงไม่กี่ปีมานี้ เนื่องจากจีนกล่าวอ้างกรรมสิทธิ์พื้นที่แทบทั้งหมดในทะเลจีนใต้ ส่งผลให้เกิดความขัดแย้งกับหลายประเทศ ทั้งฟิลิปปินส์ เวียดนาม และประเทศอื่นๆ

เลขาธิการอาเซียน กล่าวว่า เราต้องใส่ใจกับข้อเท็จจริงที่ว่า ทะเลจีนใต้อาจจะพัฒนาไปเป็นปาเลสไตน์อีกแห่งหนึ่งได้ หากประเทศต่างๆ ไม่พยายามอย่างหนักที่จะปลดชนวนระเบิด แทนที่จะเติมเชื้อไฟแห่งความตึงเครียด

หลังจากคู่กรณีในเอเชียต่างอ้างกรรมสิทธิ์เหนือน่านน้ำพิพาท ทั้งเวียดนาม ฟิลิปปินส์ บรูไน มาเลเซีย และไต้หวัน ล่าสุด จีนโหมประเด็นนี้ให้ร้อนแรงขึ้น ด้วยการออกพาสปอร์ตใหม่ที่ตีพิมพ์แผนที่ประเทศจีนที่รวมถึงพื้นที่พิพาทลงไปด้วย ทำให้คู่กรณีหลายรายออกมาแสดงความไม่พอใจ และตอบโต้ในรูปแบบที่แตกต่างกัน

ล่าสุด เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองเวียดนาม ที่ประจำท่าอากาศยานนอยไบในกรุงฮานอย และเจ้าหน้าที่จังหวัดหลั่งเซิง ปฏิเสธที่จะประทับตราวีซ่าเข้าเมืองลงบนหนังสือเดินทางแบบใหม่แก่ชาวจีน แต่ได้ประทับการตรวจลงตราในกระดาษแยกต่างหากจากหนังสือเดินทางแบบใหม่ของจีน ซึ่งชาวจีนยังสามารถเดินทางในเวียดนามผ่านด่านต่างๆ ได้ตามปกติ

นอกจากนี้ ฟิลิปปินส์ บรูไน มาเลเซีย และเวียดนาม ซึ่งอ้างสิทธิเหนือหมู่เกาะในทะเลจีนใต้เช่นเดียวกัน มีกำหนดการจะหารือกันในวันที่ 12 ธันวาคม กรณีหนังสือเดินทางใหม่ของจีนมีอายุการใช้งาน 10 ปี และออกให้กับประชาชนชาวจีนไปแล้วกว่า 1 ล้านเล่ม

ไม่เพียงเหตุพิพาทบริเวณทะเลจีนใต้ แต่จีนยังขัดแย้งกับอินเดียเนื่องจากพาสปอร์ตใหม่ โดยก่อนหน้านี้ รัฐมนตรีกิจการต่างประเทศอินเดีย นายซาลมาน เคอร์ชิด ออกมาตำหนิการปรับแผนที่บนหนังสือเดินทางของจีนที่นับรวมรัฐอรุณาจัลประเทศและดินแดนอัคสัย จิน แถบเทือกเขาหิมาลัยเป็นส่วนหนึ่งของจีน และอินเดียตอบโต้ด้วยการออกวีซ่าใหม่แก่ชาวจีน โดยใช้แผนที่ของอินเดีย ซึ่งครอบคลุมดินแดนทั้งหมดตามที่ทางการนิวเดลีอ้างสิทธิ

ด้านโฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐ นางวิคตอเรีย นูแลนด์ กล่าวว่า สหรัฐรู้สึกวิตกต่อเหตุการณ์นี้ว่าอาจทำให้สถานการณ์ขัดแย้งหมู่เกาะทะเลจีนใต้บานปลาย แต่ขึ้นอยู่กับประเทศคู่กรณีจีนว่าตัดสินพาสปอร์ตดังกล่าวอย่าไร สำหรับสหรัฐยังคงถือว่าพาสปอร์ตใหม่ของจีนเป็นเอกสารที่ถูกต้องตามกฎหมาย

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันพุธที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

แรงคลิป แรงแค้น ระบบตรวจสอบล้มเหลว !!?


ศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจในสภา 3 วันสาดใส่กันมันหยด

รัฐบาลจะผ่านการซักฟอกหรือไม่ รู้ผลกันในวันนี้ ซึ่งผลที่จะออกมาเป็นอะไรที่พอคาดเดากันได้ว่าจะมีเสียงสนับสนุนท่วมท้นให้รัฐบาลนายกฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้ไปต่อ

การอภิปรายไม่ไว้วางใจไม่ว่ารัฐบาลไหนไม่เคยเพลี่ยงพล้ำให้กับฝ่ายค้านในสภา อาจมีบ้างสักครั้งสองครั้งที่เกิดอาฟเตอร์ช็อกหลังการอภิปรายจนต้องปรับรัฐมนตรีที่มีปัญหาออก หรือยุบสภา

แต่สถิติในอดีตที่ผ่านมาถือว่าน้อยมาก

การอภิปรายไม่ไว้วางใจจึงเป็นระบบตรวจสอบที่ไร้ประสิทธิภาพ แต่ ส.ส. ก็ยังอยากอภิปรายจนกลายเป็นเทศกาลประจำปี

เหตุที่การอภิปรายไม่ไว้วางใจเป็นระบบตรวจสอบที่ไร้ประสิทธิภาพ เพราะการอภิปรายส่วนมากเน้นโวหารและการกล่าวหา

ขาดพยานหลักฐานที่มีน้ำหนักเพียงพอที่จะสนับสนุนข้อกล่าวหา

แต่ที่ ส.ส. ชอบการอภิปรายไม่ไว้วางใจเพราะได้โผล่หน้าออกทีวี. ที่ถ่ายทอดสดให้คนทางบ้านได้เห็นว่า ส.ส. ที่เลือกมาทำงานในสภา

อีกอย่างที่ ส.ส. ชอบอภิปรายไม่ไว้วางใจ เพราะว่าจะกล่าวหาใครอย่างไรก็ได้ เนื่องจากมีเอกสิทธิ์คุ้มครองไม่ถูกฟ้องร้องเป็นคดีความ

จะชี้หน้าด่าใครว่าโกงกิน ทุจริต ไร้ประสิทธิภาพอย่างไรก็ทำได้เต็มที่

ดีหน่อยตรงที่กฎหมายสมัยนี้ห้ามพาดพิงถึงบุคคลที่สามที่อยู่นอกสภา

หากพาดพิงคนอภิปรายต้องรับผิดชอบต่อคำพูดตัวเอง เพราะสามารถฟ้องร้องเป็นคดีได้ ไม่อย่างนั้นจะมีการผูกโยงกล่าวหากันมั่วไปหมดว่าขบวนการโกงกินผูกโยงไปถึงคนนอกอย่างไร

ในอดีตที่ผ่านมาจึงเห็น ส.ส. บางคนลุกขึ้นพูดโดยถือกระดาษแผ่นเดียวกล่าวหาคนนั้นคนนี้ไปทั่ว

ในยุคปัจจุบันกฎหมายมีออพชั่นบังคับว่า หากอภิปรายว่ารัฐบาลหรือรัฐมนตรีคนไหนทุจริตต่อหน้าที่ต้องยื่นต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ตรวจสอบเรื่องที่กล่าวหาด้วย

เป็นการป้องกันไม่ให้กล่าวหากันลอยๆ มั่วๆ โดยขาดพยานหลักฐาน

อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่ผ่านมาแม้จะมีการยื่นให้ ป.ป.ช. สอบสวนเพื่อถอดถอนนายกรัฐมนตรี หรือรัฐมนตี่ที่ถูกกล่าวหาว่าโกง แต่ก็ไม่ปรากฏว่ามีใครถูก ป.ป.ช. ชี้มูลความผิด

สะท้อนความล้มเหลวของการตรวจสอบด้วยการอภิปรายไม่ไว้วางใจ

การอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลครั้งนี้มีการเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดอย่างหนึ่งคือ พรรคประชาธิปัตย์เน้นใช้วิดีโอคลิปเปิดในห้องประชุมสภาเพื่อให้ประชาชนได้เห็นทั้งภาพและเสียง

เหมือนว่าจะเป็นหลักฐานเด็ดมัดรัฐบาลได้

แต่เอาเข้าจริงคลิปที่นำมาเปิดส่วนใหญ่เป็นคลิปที่ทำขึ้นให้สอดคล้องกับข้อกล่าวหาที่ใช้อภิปรายโจมตีรัฐบาล

จะเกี่ยวโยงกับการทุจริตบ้างก็เป็นระดับปฏิบัติไม่ถึงตัวรัฐมนตรี หรือนายกรัฐมนตรี คลิปที่นำมาเปิดจึงไม่อยู่ในสถานะที่เป็นหลักฐานเด็ด

คลิปที่นำมาเปิดเน้นปริมาณมากกว่าคุณภาพของเนื้อหา จนถูกสังคมออนไลน์ยกการอภิปรายไม่ไว้วางใจไปเปรียบเทียบกับละครฮิตเรื่องแรงเงา ที่เอะอะอะไรก็เปิดคลิปแฉกัน

ต่างกันตรงที่คลิปละครแรงเงาเป็นกระแสทอล์ค ออฟ เดอะ ทาวน์ ทุกครั้งที่ออกอากาศ แต่คลิปที่พรรคประชาธิปัตย์นำมาเปิดเรียกเรทติ้งไม่ได้ไม่มีใครพูดถึงนอกสภา

การอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล 3 วัน แม้จะมีประโยชน์อยู่บ้างแต่ก็ไม่ถึงที่สุดเท่าที่ควรจะเป็น

เป็นการอภิปรายที่มีเป้าหมายใหญ่เพื่อลงมติไม่ไว้วางใจให้รัฐบาลได้บริหารประเทศต่อ แต่การอภิปรายกลับไม่มีอะไรแตกต่างจากการอภิปรายทั่วไปโดยไม่มีการลงมติของวุฒิสภา

ข้อมูลหลักฐาน ประเด็นข้อกล่าวหา แทบคัดลอกกันมาจากต้นฉบับเดียวกัน

แรงคลิปจากแรงแค้นของประชาธิปัตย์จึงไม่แรงทะลุเป้าเหมือนคลิปละครแรงเงา

ที่มา.หนังสือพิมพ์โลกวันนี้
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

นายกฯ ขอข้อมูลทุจริตจำนำข้าว ลั่นพบใครโกงพร้อมดำเนินคดี !!?


ยิ่งลักษณ์. ร้องขอเอกสารหลักฐานทุจริตโครงการรับจำนำข้าวจากฝ่ายค้านเพื่อนำมาตรวจสอบ ยืนยันหากพบว่ามีการทำผิดพร้อมดำเนินคดีตามกฎหมาย “อภิสิทธิ์” ชี้รัฐบาลไม่สามารถตอบคำถามของฝ่ายค้านได้หลายเรื่อง ฟุ้งข้อมูลที่ใช้อภิปรายเป็นข้อมูลเชิงลึก ลบคำสบประมาทจากรัฐบาลได้ สัปดาห์หน้า ส.ส.ประชาธิปัตย์นำหลักฐานส่ง ป.ป.ช. กับ ปปง. ให้สอบขยายผลกรณีโอนเงินผ่าน 4 แบงก์ใหญ่ สงสัยอ้างขายข้าวจีทูจีเพื่อฟอกเงิน

การอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลเป็นวันที่ 3 ที่รัฐสภา เมื่อวันที่ 27 พ.ย. เริ่มจาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ชี้แจงข้อซักถามของนายสาธิต ปิตุเตชะ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ที่อภิปรายถึงความไม่เหมาะสมในการใช้งบประมาณเพื่อจ่ายเยียวยาและประกันตัวคนเสื้อแดง

อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้ พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ชี้แจงแทนในรายละเอียด แต่ถูก ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์รุมประท้วง ทำให้ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ต้องใช้สิทธิทำความเข้าใจกับที่ประชุมว่า ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 178 ให้ถือว่าคณะรัฐมนตรีมีส่วนรับผิดชอบร่วมกัน งานแต่ละด้านนายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้รัฐมนตรีรับผิดชอบแล้ว แต่เมื่อรัฐมนตรีจะตอบก็ประท้วงไม่ให้พูด แสดงว่าผู้ถามไม่อยากรู้

จากนั้น น.ส.ยิ่งลักษณ์ได้ลุกขึ้นชี้แจงว่า ได้นั่งฟังการอภิปรายโดยตลอดในฐานะที่มีหน้าที่กำกับดูแลนโยบายทั่วไป แต่การอภิปรายในหัวข้อต่างๆ เช่น การทุจริตโครงการรับจำนำข้าวนั้นขอโอกาสให้รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องได้ชี้แจง

“ทุกคนรู้ดีว่าไม่มีนายกรัฐมนตรีคนไหนรู้ดีไปหมดทุกเรื่อง ไม่ต้องห่วงว่าจะไม่ชี้แจง แต่ขอให้รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องที่เขารู้เรื่องการปฏิบัติได้พูดเพื่อความกระจ่าง เรื่องที่กล่าวหาว่ามีการทุจริตคอร์รัปชันได้มอบนโยบายไปอย่างชัดเจนว่าต้องป้องกันให้ได้ และได้ตั้งทีมงานดูแลเรื่องนี้อย่างเต็มที่ หากฝ่ายค้านมีข้อมูลหลักฐานรัฐบาลพร้อมรับไปตรวจสอบและดำเนินคดี”

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ให้สัมภาษณ์ว่า นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรียังไม่ได้ตอบอีกหลายคำถาม โดยเฉพาะเรื่องโครงการรับจำนำข้าวที่ใช้งบประมาณไปกว่า 200,000 ล้านบาท แต่ถึงชาวนาเพียงครึ่งเดียว

“นายกฯไม่ได้มีท่าทีว่าจะรับผิดชอบเรื่องนี้อย่างไร รวมถึงการให้บริษัทเอกชนใช้สิทธิขายข้าวแบบจีทูจีแต่ไม่ได้เป็นไปตามเงื่อนไขก็ยังไม่ได้ตอบ ที่ให้รัฐมนตรีท่านอื่นตอบแทนก็ตอบไม่ชัดเจน โดยเฉพาะเรื่องขบวนการทุจริตโครงการรับจำนำข้าวนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ซึ่งไม่สามารถตอบคำถามได้ บอกเพียงว่าได้รายงานให้นายกฯรับทราบทุกอย่าง เมื่อรับทราบปัญหาแล้วทำไมไม่เปลี่ยนนโยบาย”

นายอภิสิทธิ์กล่าวอีกว่า ข้อมูลของฝ่ายค้านที่หลายฝ่ายสบประมาทนั้นเป็นข้อมูลเชิงลึก และหวังว่าจะให้ฝ่ายอื่นๆในสังคมตรวจสอบต่อไป ส่วนการอภิปราย 2 วันที่ผ่านมาฝ่ายค้านสอบผ่านเพราะรัฐบาลไม่มีคำตอบ

นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ที่พรรคประชาธิปัตย์ไม่ยื่นถอดถอนนายกรัฐมนตรีเรื่องทุจริตโครงการรับจำนำข้าวเพราะเห็นว่าเป็นแค่ความบกพร่องในการบริหารที่ปล่อยปละละเลยให้มีการทุจริตจึงไม่ถึงขั้นที่จะยื่นถอดถอน ที่อภิปรายเรื่องนี้เพราะต้องการให้ประชาชนเห็นถึงภาวะผู้นำของนายกรัฐมนตรี

“สัปดาห์หน้าจะไปยื่นเรื่องให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ตรวจสอบกรณีตรวจพบการโอนเงินผ่านธนาคารใหญ่ 4 แห่งที่โอนเข้ามาในช่วงเช้าและถอนออกหมดในช่วงบ่าย ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์อ้างว่าเป็นการขายข้าวแบบจีทูจี แต่เราสงสัยว่าเป็นการใช้บัญชีรัฐฟอกเงิน”

ที่มา.หนังสือพิมพ์โลกวันนี้
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

สรรพสามิตฯยันไม่จำกัดวงเงินคืนภาษีรถคันแรก !!?


นายสมชาย พูลสวัสดิ์ ธิบดีกรมสรรพสามิต กล่าวว่า ความคืบหน้าโครงการรถคันแรก จากข้อมูลล่าสุด 27 พ.ย.มีผู้ยื่นขอใช้สิทธิ 5.81 แสนราย รวมเป็นเงินภาษีที่จะต้องจ่ายคืนประมาณ 4.3 หมื่นล้านบาท และคาดว่าเมื่อสิ้นสุดโครงการจะมีมากกว่า 6 แสนราย ทั้งนี้แม้ว่าจะสูงกว่าที่รัฐบาลตั้งเป้าไว้ที่ 5 แสนราย คิดเป็นเงิน 3.2 หมื่นล้านบาท แต่จะจ่ายคืนให้ทั้งหมด ไม่จำกัดจำนวนเงินแต่อย่างใด
"โครงการนี้ ทำให้ยอดการจัดเก็บภาษีรถยนต์ปรับเพิ่มขึ้น โดยในปีงบประมาณที่ผ่านมา จัดเก็บได้กว่า 1.1 แสนล้านบาท สูงกว่า 84% เทียบกับประมาณการ และ เพียง 2 เดือนแรกของปีงบประมาณปัจจุบัน สามารถจัดเก็บได้กว่า 2.8 หมื่นล้านบาท สูงกว่าประมาณการกว่า 46%"

ทั้งนี้เมื่อโครงการสิ้นสุดลง 31 ธ.ค. นี้ จะทำให้การจัดเก็บภาษีลดลง แต่มั่นใจว่าพื้นฐานเศรษฐกิจที่ยังเติบโต และความต้องการของบริโภคยังคงมีอยู่ ทำให้การจัดเก็บภาษีลดลงไม่มากนัก โดยเป้าหมายการจัดเก็บภาษีปีงบประมาณ 2556 อยู่ที่ 4.12 แสนล้านบาท

ที่มา.เนชั่น
*************************************************************************

วันอังคารที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ชัยชนะที่แท้จริง !!?


       
แม้ม็อบขับไล่รัฐบาลจะยุติเร็วเกินความคาดหมาย หรือการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลจะไม่มีผลอะไรกับเสถียรภาพรัฐบาล แต่รัฐบาลก็ต้องให้ความสำคัญกับเสียงส่วนน้อยและประชาชนที่ออกมาขับไล่รัฐบาล โดยเฉพาะข้อครหาหรือข้อกล่าวหาต่างๆ รวมทั้งต้องเร่งสร้างผลงานให้ประชาชนเชื่อมั่นและศรัทธา

อย่างผลวิจัยเชิงสำรวจของสำนักวิจัยเอแบคโพลล์สะท้อนชัดเจนว่า ประชาชนส่วนใหญ่ไม่สนใจการอภิปรายไม่ไว้วางใจ แต่อยากให้โอกาส น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ทำงานเพื่อแก้ปัญหาให้กับบ้านเมืองและประชาชน ปกปักษ์รักษาการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และอยากเห็นความปรองดอง บ้านเมืองมีความสงบสุขและก้าวไปข้างหน้า ไม่ใช่จมปลักอยู่กับความแตกแยกทางการเมือง ขณะที่การสำรวจความเห็นของสวนดุสิตโพลพบว่าประชาชนส่วนใหญ่ไม่เชียร์ทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้าน ทั้งยังตอกย้ำว่าเบื่อการเมืองไทย ที่มีแต่การทะเลาะเบาะแว้ง แบ่งพรรคแบ่งพวก เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน ฯลฯ

ที่น่าสนใจคือ ประชาชนอยากให้รัฐบาลบริหารประเทศต่อไป เห็นด้วยที่ฝ่ายค้านจะตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล แต่อยากให้เป็นไปอย่างสร้างสรรค์ คือทำงานเพื่อบ้านเมืองอย่างแท้จริง

ดังนั้น ไม่ว่าการชุมนุมขับไล่รัฐบาลขององค์การพิทักษ์สยาม หรือการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลของพรรคฝ่ายค้าน จึงไม่มีผู้แพ้และผู้ชนะ แต่ควรเป็นบทเรียนของทุกฝ่าย รวมทั้งประชาชนที่จะตระหนักถึงความแตกแยกนั้น มีแต่ทำให้บ้านเมืองหายนะ ไม่ว่าจะเป็นการเมืองหรือเศรษฐกิจ

ที่มา.หนังสือพิมพ์โลกวันนี้
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

กลัวคนกว้างขวางครองเมือง !!?


โดย ชลิต กิติญาณทรัพย์

เสธอ้าย พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ จะจุดม็อบหรือเรียกชุมนุมผู้คนมาขับไล่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร สำเร็จหรือไม่สำเร็จ ไม่ใช่เรื่องสำคัญ แต่เนื้อหาหรือวัตถุประสงค์ต่างหากที่สำคัญ

พล.อ.บุญเลิศประกาศ ชัดเจนถึงเหตุผลที่ต้องขับไล่รัฐบาลที่มาจากเลือกตั้ง เพราะต้องการแช่แข็งประเทศ 5 ปี ไม่ให้นักการเมืองเข้ามาบริหารประเทศ แต่จะให้คณะบุคคลเข้ามาดูแลแล้วปฏิบัติภารกิจ 4 ข้อ คือ

1.แก้รัฐธรรมนูญ

2.เพิ่มการศึกษา

3.เพิ่มความรู้ให้กับประชาชนเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์

4.นำตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กลับมารับโทษตามกฎหมาย

เนื้อหาสาระดังกล่าวมีความหมายในทำนองเดียวกับคณะปฏิวัติในอดีต ซึ่งนิยมนำมาแอบอ้างหลังจากเข้ายึดอำนาจจากรัฐบาลที่ถูกต้องตามกฎหมาย ทั้งนี้ เพื่อเหตุผลสร้างความชอบธรรมให้กับการกระทำของตัวเอง

น่าแปลกใจจริง ๆ คนไทยกลุ่มหนึ่งนิยมชมชอบ พล.อ.บุญเลิศ นั่นย่อมหมายถึงการสนับสนุนแนวคิดให้แช่แข็งประเทศ 5 ปี ทั้ง ๆ ที่ประเทศไทยก้าวเดินอยู่บนเวทีประชาธิปไตยมาช้านานแล้วเมืองไทยเคยได้รับความชื่นชมจากนานาชาติว่า เป็นผู้นำประเทศประชาธิปไตยในกลุ่มอาเซียน

ขณะ นั้น พม่า ลาว เวียดนาม ปิดประเทศฟื้นฟูตัวเอง ปัจจุบันนี้ ลาว เวียดนาม พม่า เปิดประเทศเชิญชวนให้นักลงทุนต่างประเทศเข้ามาลงทุนโครงการต่าง ๆ ขณะที่เมืองไทย เดินสวนทางกับชาติเพื่อนบ้าน จะแช่แข็งประเทศ 5 ปี บนเส้นทางธุรกิจ การหยุดนิ่งอยู่กับที่ เท่ากับถอยหลัง

ถ้าเสธ.อ้ายทำสำเร็จ เห็นจะต้องเอาปี๊บคลุมหัวกันทั้งประเทศ แล้วชาติบ้านเมืองที่ปิดประเทศเขาเป็นอย่างไรบ้าง พลิกประวัติศาสตร์ไปดู ประเทศยูกันดา และอีกชาติในทวีปแอฟริกา ดูไม่จืดจริง ๆ นึกไม่ออก ว่าสภาพจะเป็นเช่นไร

ผมอยากจะถามว่า ความชอบธรรมของเสธ.อ้ายอยู่ตรงไหนครับ อยู่ ดี ๆ มาเรียกร้องให้ล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นรัฐบาลที่ชนะการเลือกตั้ง ภายใต้กติกาที่คณะปฏิวัติ 19 กันยายน เขียนขึ้นมา

รัฐบาลยิ่งลักษณ์คือชัยชนะของตัวแทนประชาชนที่มีต่ออำนาจเผด็จการทหาร คณะปฏิวัติเขียนกติกาขึ้นเอง แถมยังโดดลงมาเล่นเอง แต่ในที่สุดก็แพ้ประชาชน เขารู้ว่า ประชาธิปไตยนั้นดีกว่าเผด็จการอย่างไร อย่างน้อยที่สุด หากให้นักการเมืองบริหารประเทศ เขาสามารถตรวจสอบนักการเมืองเหล่านั้น ได้ตามวิถีทางประชาธิปไตย ผิดกับรัฐบาลปฏิวัติ ประชาชนตรวจสอบไม่ได้

พูดถึงม็อบเสธ.อ้าย ได้ยินได้ฟังว่า มีนักการเมืองกลุ่มหนึ่งสนับสนุน ไม่อยากจะเชื่อเลยว่า นักการเมืองกลุ่มนั้นจะทรยศต่ออุดมการณ์ประชาธิปไตย พวกเขาไม่มีจิตวิญญาณของประชาธิปไตยแม้แต่น้อยวินาทีนี้ อยากให้พวกเราใช้สติใคร่ครวญไตร่ตรอง ระหว่างการเมืองระบอบประชาธิปไตยกับม็อบ เราควรจะยืนข้างใคร

ขอส่งเสียงหน่อย เดี๋ยวคนกว้างขวางครองเมือง

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
/////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันจันทร์ที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

เฉลิม. ขอเอกสารทุจริตจำนำข้าวฝ่ายค้าน ยันดำเนินการทันที

 การประชุมสภาผู้แทนราษฎร นัดพิเศษ เพื่อพิจารณาญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล วันที่สอง ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกฯ ฐานะประธานคณะกรรมการอำนวยการตรวจสอบเพื่อป้องกันการทุจริตในการรับจำนำข้าว ได้ลุกขึ้นชี้แจงแทน นายกฯ ว่า การดำเนินการจับกุมผู้ทำทุจริตได้ดำเนินการไปแล้ว ทั้งหมด 81 คดี และส่งให้ศาลตัดสินไปแล้ว 2 คดี ที่เหลืออยู่ระหว่างดำเนินการ มูลค่าความเสียหาย 325 ล้านบาท ส่วนประเด็นที่ฝ่ายค้านอภิปรายพบการทุจริต ขอให้นำเอกสาร หลักฐานมาให้กับตน โดยจะเปิดห้อง 3310 รอข้อมูล ทั่งนี้ตนขอชี้แจงว่ารัฐบาลจริงใจที่จะแก้ปัญหา ดังนั้นขอให้นำหลักฐานที่ได้อภิปรายมามอบให้กับตนเพื่อดำเนินการ ทั้งนี้ตนจะเรียกตำรวจที่มีหน้าที่มารับเรื่องร้องทุกข์

จากนั้น นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ ประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน อภิปรายว่า กรณีที่บอกว่ามีการจับกุมผู้ที่กระทำทุจริต เป็นการปาหี่เท่านั้น ซึ่งการอภิปรายของ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์รอบต่อไป จะแสดงให้เห็นว่ากระบวนการปาหี่เรื่องจับทุจริตโครงการรับจำนำข้าวเป็นอย่างไร ทันใดนั้น ร.ต.อ.เฉลิม ลุกขึ้นชี้แจงว่า "ยืนยันไม่มีปาหี่ เพราะเป็นเอกสารทางราชการ ผมไม่มีความจำเป็นต้องปาหี่

ที่มา .เนชั่น
////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

นายกฯแจง.. ยันเคารพ ระบบรัฐสภา !!?

น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้ลุกชี้แจงประกอบนำชาร์จภาพมาอธิบายในประเด็นที่พรรคฝ่ายค้านกล่าวหาในญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ โดยใช้เวลาชี้แจงรวม 45 นาที ว่า ช่วงเวลา 6-7 ปีที่ผ่านมาประเทศไม่ได้รับการพัฒนา ไม่มีบรรยากาศของการลงทุน มีแต่ภาพความแตกแยก และความขัดแย้งทางการเมือง ดังนั้นเมื่อตนเข้ามาบริหารประเทศ มีเจตนารมย์ที่อยากเห็นประเทศก้าวไปข้างหน้า มีความรัก และความสามัคคี และเข้ามาช่วยแก้ไขสิ่งที่ไม่ถูกต้องให้ได้รับความเป็นธรรม อย่างเสมอภาพ ไม่มีแบ่งแยกพื้นที่ และสีเสื้อ ตามที่ได้ปวารณาตัวกับประชาชนแล้วว่าต้องการมาแก้ไข ไม่แก้แค้น โดยการทำงานนั้นได้ยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตย และยึดความเป็นมืออาชีพ รวมถึงมีความซื่อสัตย์ ยุติธรรม ซึ่งการทำงานได้เน้นความเป็นทีม และให้ประชาชนมีส่วนร่วม ซึ่งรัฐบาลยินดีรับฟังความเห็น ข้อเรียกร้องของ ส.ส. และประชาชน รวมถึงหน่วยราชการต่างๆ

น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชี้แจงต่อว่า หลักการทำงานที่ยึดหลักทำงานเป็นทีม คือ คณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่งเป็นความรับผิดชอบร่วมกันภายใต้รัฐธรรมนูญ โดยวิธีการทำงานของ ครม. คือ มีนายกฯ ทำหน้าที่ กำกับตามระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน มีการมอบนโยบายต่างๆ ส่วนรองนายกฯ มีหน้าที่กำกับบริหารราชการในกระทรวงต่างๆ ตามที่ได้รับมอบหมาย ด้านรัฐมนตรีมีหน้าที่เป็นผู้บังคับบัญชาในกระทรวง กำหนดนโยบาย กำหนดผลสัมฤทธิ์ในกระทรวง ทั้งนี้ตนไม่ปฏิเสธความรับผิดชอบ ยังทำงานติดตามความสำเร็จของงาน ทุกระยะ แต่การทำงานตามที่ได้รับมอบหมาย ต้องแบ่งชั้นความรับผิดชอบ ไม่ใช่ก้าวก่ายงาน รวมถึงต้องให้เกียรติซึ่งกันและกันในการทำงาน

"กรณีที่บอกว่า ดิฉันเลือกปฏิบัติ เช่น ตำรวจต้องไม่เลือกข้าง ต้องเลือกประชาชน ต้องเลือกความถูกต้อง และไม่เลือกปฏิบัติ ในการทำงานดิฉัน ยึดมั่นหลักประชาธิปไตย และเคารพสามเสาหลัก คือ นิติบัญญัติ บริหาร และตุลาการ ซึ่งพยายามทำงานอย่างสมดุลและมีเสถียรภาพ โดยงานนิติบัญญัติ ดิฉันพร้อมผลักดันกฎหมายที่สำคัญ และเป็นประโยชน์ ดิฉันเคารพและให้เกียรติรัฐสภา แต่ลักษณะการทำงานที่มีการมอบหมาย ดังนั้นการตั้งกระทู้ จึงได้มอบหมายให้รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องมาตอบกับ ส.ส.โดยตรง" น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชี้แจง

นายกฯ ชี้แจงต่อว่า งานด้านบริหารราชการแผ่นดิน ตนทำงาน 7 วันไม่ได้หยุด เพราะต้องเร่งแก้ปัญหาและเตรียมวางแผนอนาคตประเทศให้เข้าสู่ประชาคมอาเซียน ในปี 55 โดยปัญหาที่สำคัญ นับตั้งแต่เข้ามาบริหารประเทศ คือ ปัญหาอุทกภัย ที่ไม่เคยเจอพายุเข้าติดต่อกัน 5 ลูก อีกทั้งประเทศไม่มีการเตรียมพร้อมรองรับ ดังนั้นจึงเป็นที่มา คือการกำหนดงบกลาง จำนวน 1.2 แสนล้านบาท ผลที่ออกมาทำให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมประเทศ (จีดีพี) ฟื้นขึ้นมาภายใน 6 เดือน คือ ไตรมาสแรก จีดีพี อยู่ที่ 0.4 กลับฟื้นมาอยู่มาอยู่ที่ 4.4 ในไตรมาสสอง ซึ่งการดำเนินโครงการต่างๆ ภายใต้งบประมาณดังกล่าว ยืนย้นว่าได้มีการพิจารณาอย่างรอบคอบ และได้มอบหมายรัฐมนตรีกำกับดูแล

ที่มา.เนชั่น
///////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

อ้าย..ย่ะ มาเร็ว-เคลมเร็ว-ไปเร็ว !!?


ม็อบ เสธ.อ้าย พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ มาเร็วเคลมเร็วอย่างเหลือเชื่อ
จากที่ฮึกเหิมประกาศเผด็จศึกรัฐบาลแบบม้วนเดียวจบ เพื่อให้เสียเลือดเสียเนื้อน้อยที่สุด กลับเป็นการชุมนุมต้องยุติลงอย่างรวดเร็วภายในวันเดียว จนหลายคนงงเป็นไก่ตาแตกไปตามๆกัน

แม้แต่ผู้มาร่วมชุมนุมเองก็งงทำไมเลิกเร็ว บางคนเพิ่งออกจากบ้าน บางคนยังอยู่ระหว่างเดินทาง บางคนเพิ่งอาบน้ำเสร็จยังไม่ทันแต่งตัวก็ได้ยินแกนนำประกาศเลิกม็อบซะแล้ว

สาเหตุของการเลิกเร็วในเบื้องหน้าแม้ เสธ.อ้ายจะบอกว่าทำเพื่อไม่ให้มีคนต้องตาย จนได้รับการปรบมือถึงความรับผิดชอบต่อชีวิตผู้มาชุมนุม
แต่เบื้องหลังมีอะไรที่มากกว่านั้น

หากไม่มีอะไรมากไปกว่านั้นท่าทีของ เสธ.อ้ายคงไม่อ่อนลงเร็วอย่างกะทันหัน ทั้งที่เพิ่งประกาศสู้แบบตายเป็นตาย หลังจากที่เจ้าหน้าที่ใช้แก๊สน้ำตากับผู้ชุมนุมที่พยายามฝ่าแนวกั้นเข้ามา
เรียกร้องให้คนออกมาร่วมกันให้มากขึ้นอีก เพื่อใช้หมัดเด็ดที่เตรียมไว้ และไม่ลืมเรียกร้องให้ทหารออกมาปกป้องชีวิตผู้ชุมนุม

แต่ไม่กี่ชั่วโมงให้หลังกลับประกาศยุติการชุมนุมหน้าตาเฉย ประกาศวางมือไม่ขอเป็นผู้นำการชุมนุมอีก ไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง ขอหันหน้าเข้าวัดทำบุญทอดกฐิน ทอดผ้าป่าไปตามเรื่อง
บ่งบอกออกอาการน้อยใจสุดๆ
การปิดฉากลงอย่างรวดเร็วของม็อบไล่รัฐบาลขององค์การพิทักษ์สยาม ถูกประเมินไว้หลายประการ

หนึ่ง เพราะแกนนำไม่โดดเด่น ไม่มีประสบการณ์ด้านงานมวลชน นำคนจำนวนมากไม่ได้ ปราศรัยไม่เป็น ไม่อาจดึงคนออกจากบ้านให้มานั่งฟัง

สอง ภาพลักษณ์แกนนำไม่ดี ถูกมองว่าเป็นพวกไดโนเสาร์ ล้าหลัง ปฏิเสธระบอบประชาธิปไตย โหยหาอำนาจเผด็จการ

สาม จัดชุมนุมในสถานการณ์ที่ยังไม่สุกงอมเพียงพอ ขาดเหตุผลที่จะใช้ขับไล่รัฐบาล

สี่ พรรคการเมืองบางพรรคไม่ได้ขนมาเติมม็อบอย่างเพียงพอตามที่ได้ตกลงกันไว้ ทำให้ความฝันอันสูงสุดที่จะมีคนเรือนแสนกลับมาแค่หลักหมื่นต้นๆ

ห้า เมื่อจำนวนคนไม่เอื้อ ผู้คุมกำลังที่นัดกันว่าจะเดินทางไกลก็โดดหนี เพราะก่อนประกาศเลิกม็อบมีการโทรศัพท์ไปทวงถามแต่ได้รับคำตอบว่ายกเลิกภารกิจ

หก ที่ไม่มีการเคลื่อนไหวเพราะอำนาจการสั่งเคลื่อนย้ายกำลังตาม พ.ร.บ.รักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรเป็นของนายกรัฐมนตรีแต่ผู้เดียว ใครขืนทะลึ่งเคลื่อนย้ายกำลังโดยไม่มีคำสั่งจะถูกจับข้อหากบฏในทันที
เจ็ด ตำรวจเด็ดขาดกว่าที่ผ่านมา จุดไหนห้ามเข้า คือห้ามเข้า ฝ่าฝืนเป็นจับ ไม่เล่นชักเย่อดันกันไปดันกันมาแล้วถอนกำลังให้ม็อบได้ใจเหมือนในอดีต

นั่นคือปัจจัยที่ทำให้ม็อบไล่รัฐบาลของ เสธ.อ้ายมาเร็ว เคลมเร็ว และไปเร็วกว่าที่คิด
แต่ก็อย่าได้คิดว่าฝ่ายต่อต้านรัฐบาลจะยุติปล่อยให้นายกฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตร บริหารประเทศต่อไปอย่างราบรื่น
อย่างไรก็ตาม กว่าจะตั้งหลักรวมตัวกันได้ใหม่ฝ่ายต่อต้านคงต้องใช้เวลาอีกสักระยะ โดยเฉพาะโจทย์หินเรื่องแกนนำที่ผู้อยู่เบื้องหลังต้องตีให้แตกว่าจะโปรโมตใครขึ้นมาเป็นนอมินีรายต่อไป

กวาดตาไปทั่วสยามประเทศ แม้ยังพอมีคนให้จับมาเชิดเล่น แต่ก็คงไม่ง่าย เพราะหากคนอยู่เบื้องหลังยังไม่เปิดหน้าเล่นอย่างเต็มตัวเพื่อสร้างหลักประกันในชัยชนะ ก็คงไม่มีใครอยากเปลืองตัวรับงานเป็นนอมินี เพราะกลัวจะเจ็บช้ำซ้ำรอย เสธ.อ้าย

รัฐบาลจึงน่าจะอยู่อย่างสงบไปได้สักระยะหลังจากนี้


ที่มา.หนังสือพิมพ์โลกวันนี้

บุญทรงยืนยันเดินหน้าจำนำข้าว !!?

ายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รมว.พาณิชย์ กล่าวก่อนการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี จะชี้แจงการอภิปรายของฝ่ายค้านในภาพรวมของนโยบายต่างๆ แต่หากตนถูกพาดพิงก็จะใช้สิทธิชี้แจง โดยเฉพาะเรื่องโครงการรับจำนำข้าว พร้อมยืนยันไม่จำเป็นต้องทบทวนการดำเนินโครงการรับจำนำข้าว เพราะไม่มีสิ่งใดผิดพลาด และที่ผ่านมาก็เปิดเผยการดำเนินการทุกขั้นตอน แต่ยอมรับรายละเอียดตัวเลขการขายข้าวแบบจีทูจี จำเป็นต้องปิดเป็นความลับ เนื่องจากเป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่ต้องคำนึงถึงความสัมพันธ์ระหว่างประเทศมากกว่าประเด็นการเมือง ส่วนการอภิปรายของรัฐมนตรีทั้ง 3 คนเมื่อวันที่ 25 พ.ย.ถือว่าชี้แจงกับฝ่ายค้านได้ แต่เห็นว่าข้อมูลที่ ฝ่ายค้านเตรียมมานั้นยังไม่ละเอียด

ที่มา.เนชั่น
/////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันเสาร์ที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

แผนปฏิบัติการ ศอ.รส และประกาศฉบับที่ 1-4 !!?


รวมประกาศ ศอ.รส. ฉบับที่ 1-4 ลงนามโดย พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์รักษาความสงบเรียบร้อย (ผอ.ศอ.รส.)


ประกาศ ศอ.รส.ฉบับที่ 1/2555

เรื่องห้ามบุคคลเข้าหรือต้องออกจากบริเวณพื้นที่อาคาร หรือสถานที่ที่กำหนด ลงวันที่ 22 พ.ย.55
1. ห้ามบุคคล หรือกลุ่มบุคคลใด เข้าหรือต้องออกจากบริเวณพื้นที่ และอาคารทำเนียบ รัฐบาล และรัฐสภา เว้นแต่ผู้ซึ่งได้รับอนุญาต หรือได้รับคำสั่งจากพนักงานเจ้าหน้าที่
2. ห้ามบุคคล หรือกลุ่มบุคคลใด เข้าหรือต้องออกจากบริเวณพื้นที่ ดังต่อไปนี้ เว้นแต่ผู้ซึ่งได้รับอนุญาต หรือได้รับคำสั่งจากพนักงานเจ้าหน้าที่

ก.ถนนราชดำเนินนอก ตั้งแต่สะพานมัฆวาน ถึงแยกถนนศรีอยุธยา
ข.ถนนลูกหลวงตั้งแต่สะพานวิศุกรรมนฤมาณ ถึงสะพานเทวกรรม
ค.ถนนพิษณุโลก ตั้งแต่แยกวังแดง ถึงแยกพาณิชย์
ง.ถนนนครปฐม ตั้งแต่สะพานอรทัย ถึงแยกวัดเบญจมบพิตร
จ.ถนนพระราม 5 ตั้งแต่แยกพาณิชย์ ถึงถนนลูกหลวง
ฉ.ถนนลิขิต
ช.ถนนราชวิถี ตั้งแต่แยกการเรือนถึงแยกราชวิถี ซ.ถนนพิชัย ตั้งแต่แยกขัตติยานี ถึงถนนราชวิถี
ญ.ถนนอู่ทองใน  ตั้งแต่แยกอู่ทองใน ถึงลานพระราชวังดุสิต ด้านหลังพระบรมรูปทรงม้า

3.ให้ ผอ.รมน. ผอ.ศอ.รส. หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายซึ่งเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ชั้นสัญญาบัตรหรือเทียบเท่าเป็นผู้ดำเนินการตามประกาศนี้

ประกาศ ศอ.รส. ฉบับที่ 2/2555 

เรื่องห้ามการใช้เส้นทางคมนาคม หรือการใช้ยานพาหนะ ลงวันที่ 22 พ.ย.55
1. ห้ามการใช้เส้นทางคมนาคมดังนี้  เว้นแต่ได้รับการอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ เจ้าหน้าที่
ก.ถนนราชดำเนินนอก ตั้งแต่สะพานมัฆวาน ถึงแยกถนนศรีอยุธยา
ข.ถนนลูกหลวงตั้งแต่สะพานวิศุกรรมนฤมาณ ถึงสะพานเทวกรรม
ค.ถนนพิษณุโลก ตั้งแต่แยกวังแดง ถึงแยกพาณิชย์
ง.ถนนนครปฐม ตั้งแต่สะพานอรทัย ถึงแยกวัดเบญจมบพิตร
จ.ถนนพระราม 5 ตั้งแต่แยกพาณิชย์ ถึงถนนลูกหลวง
ฉ.ถนนลิขิต
ช.ถนนราชวิถี ตั้งแต่แยกการเรือนถึงแยกราชวิถี
ซ.ถนนพิชัย ตั้งแต่แยกขัตติยานี ถึงถนนราชวิถี
ญ.ถนนอู่ทองใน  ตั้งแต่แยกอู่ทองใน ถึงลานพระราชวังดุสิต ด้านหลังพระบรมรูปทรงม้า

2.ห้ามใช้ยานพาหนะใดๆ กระทำการอันอาจก่อให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อย แก่ประชาชน หรือกระทำการยั่วยุหรือปั่นป่วนการปฏิบัติงานของเจ้าพนักงาน หรือพนักงานเจ้าหน้าที่หรือความสงบสุขของประชาชนในพื้นที่ตามข้อ 1

3.ห้ามนำรถบรรทุกน้ำมันเชื้อเพลิง แก๊ส สารเคมี หรือวัตถุอัตรายใดๆ เข้าไปในพื้นที่ตามข้อ 1 เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่

4.ให้ผู้ประกอบกิจการสถานบริการน้ำมันเชื้อเพลิงหรือแก๊สในพื้นที่ตามข้อ 1  ควบคุมการเก็บรักษาน้ำมัน แก๊ส และรถบรรทุกสิ่งดังกล่าวให้อยู่ในสภาพที่เหมาะสม ปลอดภัย

5.ห้ามมิให้จอดยานพาหนะกีดขวางการจราจรในพื้นที่ตามข้อ 1

6.ให้ผอ.รมน. ผอ.ศอ.รส. หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายซึ่งเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ชั้นสัญญาบัตรหรือเทียบเท่าเป็นผู้ดำเนินการตามประกาศนี้

ประกาศ ศอ.รส.ฉบับที่ 3/2555
เรื่องห้ามนำอาวุธออกนอกเคหสถาน ลงวันที่ 22 พ.ย.55
1.ห้ามนำอาวุธออกนอกเคหสถาน
2.ห้ามบุคคลหรือกลุ่มบุคคลนำสิ่งใดที่อาจนำมาใช้ได้อย่างอาวุธ เช่นหนังสติ๊ก ลูกเหล็ก ท่อนเหล็ก ดอกไม้เพลิง หรือสิ่งอื่นใดทำนองเดียวกันที่อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย ของบุคคลใด รวมถึงเกิดความเสียหายต่อทรัพย์สินของประชาชน หรือทางราชการ ในพื้นที่ ที่ประกาศเป็นพื้นที่ปรากฎเหตุการณ์อันกระทบต่อความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (เขตดุสิต พระนคร และป้องปราบศัตรพ่าย)
3.ให้ ผอ.รมน. ผอ.ศอ.รส. หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายซึ่งเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ชั้นสัญญาบัตรหรือเทียบเท่าเป็นผู้ดำเนินการตามประกาศนี้ โดยให้ประกาศมีผลตั้งแต่ออกประกาศ (22 พ.ย.55)

ประกาศ ศอ.รส. ฉบับที่ 4/2555
เรื่องห้ามการใช้ยานพาหนะในเส้นทางคมนาคม ลงวันที่ 23 พ.ย.55

ตามที่ได้มีการประกาศให้เขตพื้นที่ดุสิต เขตพระนคร เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพมหานคร เป็นพื้นที่ปรากฎเหตุการณ์อันกระทบต่อความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ระหว่างวันที่ 22 พฤศจิกายน 2555 ถึงวันที่ 30 พฤศจิกายน 2555และมีข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 18 แห่ง พระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ.2551 ลงวันที่ 22 พฤศจิกายน 2555 ซึ่งได้มอบอำนาจให้ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ผู้อำนวยการหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายจากผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร หรือผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการกำหนดเงื่อนเวลาในการปฏิบัติตามข้อกำหนดหรือเงื่อนไขในการปฏิบัติของพนักงานเจ้าหน้าที่ตามที่เห็นสมควรนั้น

เพื่อประโยชน์ในการป้องกัน ปราบปราม ระงับ ยับยั้ง และแก้ไขหรือบรรเทาเหตุการณ์ในพื้นที่ตามวรรคหนึ่งให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย และเกิดประสิทธิภาพ สามารถป้องกันและควบคุมไม่ให้สถานการณ์ขยายลุกลาม จนเกิดความารุนแรงเกิดผลเสียหายต่อเศรษฐกิจ กระทบต่อความมั่นคงในราชอาณาจักร รวมทั้งการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐ  อาศัยอำนาจตามความในข้อ 4 และวรรคสามของข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 18 แห่งพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรพ.ศ. 2551 ผู้อำนวยนการศูฯย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อยจึงออกประกาศกำหนดดังนี้

1. ห้ามการใช้ยานพาหนะในเส้นทางคมนาคมดังต่อไปนี้ เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่
ก.ถนนศรีอยุธยาตั้งแต่สะพานวัดเบญจมบพิตร ถึงแยกกองพล 1
ข.ลานพระราชวังดุสิต

2. ห้ามมิให้จอดยานพาหนะทุกชนิดกีดขวางการจราจรในพื้นที่ตามข้อ 1
3. ให้ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อยหรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย ซึ่งเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ชั้นสัญญาบัตรหรือเทียบเท่าเป็นผู้ดำเนินการตามประกาศนี้
4. ประกาศกำหนดนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป


แผนปฏิบัติการ "ศอ.รส." รับมือการชุมนุมขององค์การพิทักษ์สยาม

พล.ต.อ.วรพงษ์ ชิวปรีชา รอง ผบ.ตร. ในฐานะรองผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย (ศอ.รส.) และเลขาธิการ ศอ.รอ. แถลงแนวทางการปฏิบัติของ ศอ.รส.ตาม พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร เมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยการชุมนุมขององค์การพิทักษ์สยาม ที่ลานพระบรมรูปทรงม้า ในวันที่ 24 พฤศจิกายน โดยเนื่องจากการชุมนุมในครั้งนี้ ใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ สำนักงานตำรวจแห่งชาติจึงไม่ใช้แผนกรกฎ 52 แต่ ศอ.รส.ได้ออกแผนปฏิบัติการที่ 1/2555 เป็นหลักในการปฏิบัติงาน แบ่งเป็น 4 ขั้นตอน ได้แก่

1.ขั้นเตรียมการจะเป็นขั้นที่ดำเนินการก่อนการชุมนุม โดยดำเนินการด้านการข่าว การเตรียมการด้านกำลังพล การจัดเตรียมสถานที่ควบคุมกรณีเหตุการณ์บานปลาย การเตรียมการด้านแผนต่างๆ ที่สำคัญ

2.ขั้นการเผชิญเหตุจะเป็นขั้นที่ดำเนินการขณะชุมนุม โดยยึดถือแนวทางตามมาตรา 63 ของรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 ที่ระบุให้ตำรวจท้องที่เข้ารักษาความสงบบริเวณที่ชุมนุมและใกล้เคียง ดำเนินการรักษาความปลอดภัยสถานที่และบุคคลสำคัญ ใช้ศูนย์ปฏิบัติการทุกระดับ ในการติดตาม ควบคุม และสั่งการ ชี้แจงทำความเข้าใจต่อแกนนำและกลุ่มผู้ชุมนุมให้ทราบถึงขอบเขตของการใช้สิทธิและเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ ดำรงการเจรจาต่อรอง เพื่อคลี่คลายสถานการณ์

3.ขั้นการใช้กำลังเข้าคลี่คลายสถานการณ์จะเริ่มปฏิบัติตั้งแต่ 22-30 พฤศจิกายน โดยแจ้งเตือนและเจรจากับผู้ชุมนุม เพื่อป้องกันการปลุกระดมและสร้างความวุ่นวาย พร้อมทั้งปฏิบัติการข่าวสารควบคู่กับการปฏิบัติงานในทุกขั้นตอน เมื่อการเจรจาต่อรองหรือการปฏิบัติการอื่นใดไม่เป็นผล สถานการณ์กลับทวีความรุนแรงให้ผู้บัญชาการเหตุการณ์พิจารณาสั่งใช้กำลังเข้าแก้ไขสถานการณ์และรายงานให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติผ่านศูนย์อำนวยการรักษาความสงบ (ศอ.รส.) ทราบทันที และการใช้กำลังให้ปฏิบัติตามกฎการใช้กำลังในการควบคุมฝูงชน

4.ขั้นการฟื้นฟู เป็นขั้นตอนที่ดำเนินการหลังการชุมนุม โดยจะดำเนินการสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานดำเนินคดีต่อผู้กระทำความผิด การฟื้นฟู เยียวยาการจัดทำรายงานภายหลังการปฏิบัติ และบทเรียนจากการปฏิบัติงาน และชี้แจงข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นต่อสาธารณชน

สำหรับกฎการใช้กำลังตำรวจต้องพึงระลึกและยึดถือรัฐธรรมนูญว่า การชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธเป็นเสรีภาพของประชาชนที่ได้รับการรับรองตามกฎหมายโดยมีแนวทางการปฏิบัติ ดังนี้ 1.ต้องพิจารณาถึงความชอบธรรมในการใช้กำลังตามที่กฎหมายกำหนด 2.ยึดหลักในการคุ้มครองเสรีภาพและหลักในการรักษาความสงบเรียบร้อย 3.การใช้กำลังตามกฎนี้ให้หมายความรวมถึงการใช้อุปกรณ์หรืออาวุธประกอบการใช้กำลังด้วย และ 4.การจัดการเมื่อมีการชุมนุมที่ผิดกฎหมาย ตำรวจจะต้องดำเนินการจัดการตามอำนาจหน้าที่เพื่อให้กลับสู่ภาวะปกติโดยเร็ว ทั้งนี้ หลักการใช้กำลังของตำรวจที่ควบคุมฝูงชนที่มีผลต่อชีวิตร่างกายตำรวจต้องคำนึงถึงปัจจัยต่อไปนี้ หลักแห่งความจำเป็นให้ตำรวจใช้กำลังเท่าที่จำเป็น พยายามใช้วิธีการอื่นเท่าที่สามารถทำได้ก่อน เลือกวิธีการใช้กำลังที่เบาที่สุด (เป็นอันตรายต่อผู้ชุมนุมน้อยที่สุด) และหากผู้ชุมนุมลดหรือยุติความรุนแรง ต้องลดระดับหรือยุติระดับกำลังด้วย หลักแห่งความได้สัดส่วน ให้ใช้วิธีการและกำลังที่เหมาะสม สอดคล้องกับภยันตรายที่คุกคามเพื่อป้องกันสิทธิของตนเองหรือของผู้อื่น หลักความถูกต้องตามกฎหมายให้พิจารณาใช้กำลังและเครื่องมือ หรือยุทโธปกรณ์ตามที่มีกฎหมาย ระเบียบ หรือตามหลักสากลกำหนด และหลักความรับผิดชอบให้พิจารณาถึงผลที่เกิดจากการใช้กำลังโดยต้องมีผู้รับผิดชอบในการสั่งการ

ตำรวจต้องใช้กำลังตามระดับความรุนแรงของผู้ชุมนุมหรือได้สัดส่วนกับความรุนแรงที่คุกคาม เพื่อให้การบังคับใช้กฎหมายมีประสิทธิผล ตามภัยคุกคามหรือความรุนแรงของผู้ชุมนุมดังนี้ 1.ผู้ชุมนุมโดยสงบ ให้ตำรวจดูแลรักษาความสงบเรียบร้อย ด้วยการแสดงกำลัง การเจรจา ให้ข้อมูลข่าวสาร หรือชักจูงแนะนำ 2.ผู้ชุมนุมไม่ปฏิบัติตามคำสั่งหรือคำแนะนำของตำรวจในการดูแลรักษาความสงบเรียบร้อย แต่ไม่มีพฤติการณ์ก้าวร้าวหรือก่อเหตุ หรือกระทำผิดกฎหมายเล็กน้อย ให้ตำรวจแสดงกำลัง หรือใช้วิธีการในการเจรจาหรือดำเนินกลยุทธ์กดดันผู้ชุมนุม (Offensive Movement) ที่ได้สัดส่วนกับการกระทำผิดเล็กน้อย หรือการก่อเหตุนั้นๆ หากจำเป็นต้องใช้อุปกรณ์ประกอบก็ให้ใช้อุปกรณ์ที่ไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต 3.สถานการณ์การชุมนุมที่ไม่สงบหรือมีอาวุธหรือมีการก่อเหตุวุ่นวาย ทำร้ายตำรวจหรือบุคคลอื่น ให้ตำรวจพิจารณาใช้กำลังและเครื่องมือที่เหมาะสมในรูปแบบที่เป็นระดับที่สูงขึ้นเพื่อป้องกันพอสมควรแก่เหตุ การใช้กำลังที่อาจจะเกิดอันตรายต่อผู้ชุมนุม ได้แก่ การใช้แก๊สน้ำตา หรือเครื่องเปล่งเสียงความถี่สูง การใช้กำลังผลักดัน การใช้น้ำฉีดแรงดันสูง และการยิงกระสุนยาง ต้องมีการประกาศแจ้งเตือนผู้ชุมนุมก่อนทุกครั้ง และให้เวลาพอสมควรเพื่อให้ ผู้ชุมนุมสามารถปฏิบัติตามคำเตือนได้ทันเว้นแต่ไม่สามารถประกาศเตือนได้ก่อนหรือหากไม่ใช้กำลังเช่นว่านั้นในทันทีทันใดจะเกิดภัยอันตรายต่อบุคคล สถานที่ หรือทรัพย์สิน

แนวทางการปฏิบัติหลังการใช้กำลัง เมื่อสถานการณ์คลี่คลายแล้วจะต้องดำเนินการ คือ 1.การช่วยเหลือทางการแพทย์ โดยผู้ที่ได้รับบาดเจ็บต้องได้รับการปฐมพยาบาล และรีบส่งไปรับการรักษาพยาบาลตามความจำเป็นรวมทั้งแจ้งญาติให้รับทราบ 2.การบันทึกและการรายงาน หน่วยจะต้องบันทึกรายละเอียดของเหตุการณ์ทั้งหมดและรายงานตามสายการบังคับบัญชาโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ 3.การปฏิบัติต่อพื้นที่เกิดเหตุ ให้ปิดกั้นบริเวณพื้นที่ที่เกิดเหตุการณ์ ไว้จนกระทั่งมีการดำเนินการตรวจสถานที่เกิดเหตุ และรวบรวมหลักฐานสำหรับใช้ดำเนินการทางกฎหมายต่อไป 4.โดยถือปฏิบัติด้วยความมีมนุษยธรรมและคำนึงถึงหลักสิทธิมนุษยชน

นอกจากนี้ ศอ.รส.มีข้อกำหนด ออกตามความในมาตรา 18 แห่งพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร คือ 1.ให้เจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้องปฏิบัติการหรืองดเว้นการปฏิบัติการอย่างหนึ่งอย่างใดเพื่อช่วยเหลือหรือสนับสนุนการดำเนินการในอำนาจหน้าที่ของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ทั้งนี้ ตามที่ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการ หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายจากผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร หรือ ผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการ มีคำสั่ง หรือเป็นการปฏิบัติตามแผนการดำเนินการ เพื่อป้องกัน ปราบปราม ระงับ ยับยั้ง และแก้ไขหรือบรรเทาเหตุการณ์ที่กระทบต่อความมั่นคงในราชอาณาจักร

2.ห้ามบุคคลใดเข้าหรือต้องออกจากบริเวณพื้นที่ อาคาร หรือสถานที่ที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติหน้าที่ของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร และภายในระยะเวลาปฏิบัติหน้าที่ของ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ทั้งนี้ ตามที่ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการ หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายจากผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร หรือผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการ ประกาศกำหนด เว้นแต่เป็นบุคคลที่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ หรือเป็นบุคคลที่มีประกาศของบุคคลดังกล่าวเป็นบุคคลที่ได้รับการยกเว้น

3.ห้ามนำอาวุธออกนอกเคหสถาน 4.ห้ามการใช้เส้นทางคมนาคมหรือการใช้ยานพาหนะหรือต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขการใช้เส้นทางคมนาคมหรือการใช้ยานพาหนะ ทั้งนี้ ตามที่ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ผู้อำนวยการ หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายจากผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร หรือผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการ ประกาศกำหนด

5.ให้บุคคลปฏิบัติหรืองดเว้นการปฏิบัติอย่างใดอันเกี่ยวกับเครื่องมือหรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ตามชนิด ประเภทลักษณะการใช้หรือภายในเขตบริเวณพื้นที่ที่ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการ ประกาศกำหนด เพื่อป้องกันอันตรายที่จะเกิดแก่ชีวิต ร่างกาย หรือทรัพย์สินของประชาชน

ที่มา.ประชาไท
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////