--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันพฤหัสบดีที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2555

รับจำนำข้าว รัฐบาลระวัง ตายน้ำตื้น !!?

แปลกแต่จริง! บ้านนี้เมืองนี้กำลังมีคนจะเป็นจะตายเพราะชาวนาขายข้าวได้ราคา อันเป็นผลมาจากโครงการรับจำนำข้าวทุกเมล็ดของรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร

นักการเมือง นักวิชาการ พ่อค้านายทุน ต่างออกมากดดันให้รัฐบาลล้มเลิกโครงการ

มีทั้งเรียกร้องปรกติ ออกมาให้ข้อมูลเชิงลบ และใช้กฎหมายเพื่อหยุดยั้งการรับจำนำ

ไม่เว้นแม้แต่นายวีรพงษ์ รามางกูร ที่มีตำแหน่งเป็นถึงประธานที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจนายกรัฐมนตรี และประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ (กยอ.)

สื่อพาดหัวกันเอิกเกริก “โกร่ง” เตือนรัฐบาลจะพังเพราะจำนำข้าว แม้จะออกตัวว่าไม่อยากให้สัมภาษณ์ เดี๋ยวจะเสียน้ำใจกับคนอื่น ซึ่งได้เขียนไปแล้วส่งให้นายกฯและคนที่เกี่ยวข้องกับมือ

ไม่ตอกย้ำไม่ซ้ำเติม เพราะเขากำลังจะพัง และพังแน่ เพราะเป็นโครงการที่ควบคุมคอร์รัปชันไม่ได้ ให้แน่มาจากไหนก็ควบคุมไม่ได้ แต่ถ้าจะถอยก็ต้องยกเลิกไปเลย

คำทักท้วงของนายวีรพงษ์ไม่ต่างจากฝั่งประชาธิปัตย์

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อ้างว่า มีชาวนามาร้องเรียนเอาข้าวไปจำนำเป็นเดือนแต่ไม่ได้เงิน แสดงให้เห็นว่ามีการคอร์รัปชัน

การรับจำนำในราคาสูงยังต้องใช้เงินหมุนเวียนหลายแสนล้านบาท รัฐบาลจะได้เงินคืนเมื่อขายข้าวได้ แต่ประมูลข้าวทีไรขายไม่ค่อยได้ หากถลำลึกไปเรื่อยๆ ระบบการค้าข้าวจะเสียหาย ข้าวที่เก็บไว้จำนวนมากก็จะเสื่อมคุณภาพ เกิดความเสียหายซ้ำซ้อน

ไม่คุ้มทุน ทุจริต คือมุมมองของฝ่ายค้าน

แล้วก็เป็นอะไรที่จะตามแห่กันมาเป็นขบวน

นายอดิศร อิศรางกูร ณ อยุธยา คณบดีคณะพัฒนาการเศรษฐกิจ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) รวบรวมรายชื่อนักวิชาการจากนิด้า 60 คน ธรรมศาสตร์ 20 คน ยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความการรับจำนำข้าวขัดรัฐธรรมนูญ มาตรา 84 วรรค 1 ที่ห้ามรัฐทำธุรกิจแข่งกับเอกชน

การรับจำนำข้าวจึงไม่อาจทำต่อไปได้แม้จะเป็นการช่วยเหลือเกษตรกร แต่เห็นว่าเป็นการช่วยเหลือเกษตรกรรายใหญ่ มากกว่าเกษตรกรรายย่อย

คือมุมมองของนักวิชาการกลุ่มนี้

ไม่ต่างจากมูลนิธิสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) ที่ระบุว่า โครงการรับจำนำข้าวใช้งบประมาณ 300,000 ล้านบาท จะขาดทุนราว 110,000 ล้านบาท และเป็นเงินที่จ่ายให้เกษตรกรจริงๆแค่ประมาณ 1,000,000 กว่าครัวเครือน เม็ดเงินประมาณ 50,000-60,000 ล้านบาท ที่เหลือเข้ากระเป๋าโรงสี

สรุปแนวความคิดของฝ่ายต้านคือ หาเสียง ไม่คุ้มทุน ทำลายระบบ และทุจริต

แม้จะถูกต่อต้านอย่างหนักแต่รัฐบาลก็เดินหน้ารับจำนำต่อ เพราะเห็นว่าผลประโยชน์ตกอยู่กับชาวนาโดยตรง

ล่าสุดคณะรัฐมนตรีอนุมติงบประมาณอีก 240,000 ล้านบาท เพื่อใช้รับจำนำข้าวนาปี ฤดูกาลผลิต 2555-2556 จำนวน 15 ล้านตัน

ไม่ใช่ว่าไม่ฟังคำคัดค้าน ไม่รู้จุดบกพร่อง แต่รัฐบาลเลือกที่จะแก้ไขข้อผิดพลาดไปพร้อมกับเดินหน้าโครงการมากกว่าการล้มเลิกตามกระแสเรียกร้อง

ครั้งนี้รัฐบาลสั่งตรวจสอบชาวนาที่นำข้าวมาจำนำเกิน 500,000 บาท เพราะเกรงว่าจะมีการนำข้าวที่อื่นมาสวมสิทธิ

ตั้งคณะกรรมการระดับโรงสีเพื่อตรวจสอบคุณภาพข้าว

ขยับเพื่อปิดจุดอ่อนที่ถูกโจมตีเรื่องทุจริต

นางวัชรี วิมุกตายน ปลัดกระทรวงพาณิชย์ ยืนยันว่า เดือนต.ค. นี้จะมีเงินเข้ามาจากการระบายข้าวออก 40,000 ล้านบาท และสิ้นปีจะมีเงินจากการระบายข้าวอีก 100,000 ล้านบาท

ตัวเลขรายได้จากการขายข้าวในสต็อกรัฐบาลได้แน่ๆ 140,000 ล้านบาท

น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ย้ำว่า การรับจำนำข้าวเป็นเจตนารมณ์ของรัฐบาลที่จะดูแลความเป็นอยู่ของเกษตรกร ทุกข้อห่วงใยเรารับไว้พิจารณา และจะปรับปรุงข้อบกพร่อง ต้องขอเวลาในการปรับปรุงให้ดีขึ้นเรื่อยๆ

นายกฯยังเล่นบทนอบน้อมไม่ชนตรงๆกับฝ่ายต่อต้าน แต่ที่ได้ใจชาวนาคงเป็นคำพูดที่ว่า

“ทำให้ชาวนามีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น สามารถใช้หนี้สินต่างๆได้ จะเป็นวงจรหมุนเวียนเศรษฐกิจ อยากให้ดู 2 ส่วนนี้ประกอบกัน”

ยังไงก็มองประโยชน์ที่ชาวนาเป็นหลัก

อย่างไรก็ตาม แม้รัฐบาลจะมองประโยชน์ชาวนาป็นหลัก และการทุจริตยังอยู่แค่ระดับปฏิบัติไม่เกี่ยวข้องกับรัฐบาลโดยตรง

แม้ว่าศาลรัฐธรรมนูญจะตีกลับคำร้องของนักวิชาการจากนิด้าและธรรมศาสตร์

แต่รัฐบาลก็วางใจไม่ได้โดยเฉพาะเรื่องแง่มุมกฎหมาย เพราะการตีกลับคำร้องไม่ใช่ปฏิเสธไม่รับคำร้อง

แค่ให้กลับไปเขียนให้ชัดว่าร้องเรื่องอะไร และจะให้ศาลสั่งว่าอะไร ยังเปิดช่องรอรับเรื่องอยู่

ทราบมาว่าประเด็นที่จะส่งกลับเข้าไปใหม่จะให้ตีความคำว่า “จำนำ” เพราะหลักการของการ “จำนำ” คือต้องรับของไว้ในราคาที่ต่ำกว่าตลาด เพื่อให้คนจำนำมาไถ่ถอนไปขายเมื่อราคาขึ้นถึงในจุดที่ต้องการ

การให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าราคาตลาดจึงไม่ถือเป็นการ “จำนำ” แต่เป็นการ “ซื้อ”

เมื่อเป็นการ “ซื้อ” แล้วเอาไป “ขาย” ก็เข้าข่ายทำธุรกิจ ผิดรัฐธรรมนูญแน่นอน

รัฐบาลอาจตายน้ำตื้นเพราะการเปิดพจนานุกรมตัดสินด้วยการตีความคำว่า “จำนำ” ซ้ำรอยรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช ที่เปิดพจนานุกรมตีความคำว่า “ลูกจ้าง” อีกครั้งก็เป็นได้

ที่มา.หนังสือพิมพ์โลกวันนี้
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันพุธที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2555

จับตา จริยธรรมนักการเมือง จับทางอนาคต ยงยุทธ !!?

คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีมติว่า นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ กระทำผิดวินัยร้ายแรง ฐานทุจริตต่อหน้าที่ราชการ กรณี ที่ดินสนามกอล์ฟอัลไพน์เมื่อครั้งเป็นรองปลัดกระทรวงมหาดไทยปี 2543 ป.ป.ช.ส่งหนังสือสั่งการให้กระทรวงมหาดไทยพิจารณา “ลงโทษ” นายยงยุทธ และที่ประชุมคณะอนุกรรมการข้าราชการพลเรือน (อ.ก.พ.) กระทรวงมหาดไทย เมื่อ วันที่ 14 กันยายน 2555 จึงอยู่ใน “ภาวะจำยอม” มีมติ “ลงโทษไล่นายยงยุทธออกจากราชการ” แต่ห้อยท้ายด้วย “ให้มีผลย้อนหลังตั้งแต่ 30 กันยายน 2545”

กรณีของนายยงยุทธ คณะกรรมการ ข้าราชการพลเรือน ได้อ้างเหตุผลตามความ เห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกาว่า เข้าข่าย เงื่อนไขของกฎหมายล้างมลทินปี 2550 การอธิบายของ อ.ก.พ. เหมือนง่ายๆ เพื่อให้ทุกอย่างจบและสงบเงียบ แต่ตรงกัน ข้ามกลับเต็มไปด้วยความยุ่งยาก คลุมเครือ จนเกิดช่องว่างให้พรรคประชาธิปัตย์แทรกตัว มาหยิบ “ความยุ่งยาก” ไปขยายผลสู่เกมการเมืองถล่มนายยงยุทธว่า เป็นบุคคลมีสถานภาพขัดรัฐธรรมนูญ

* เกมรุก “ประชาธิปัตย์”

ลึกๆ แล้ว พรรคประชาธิปัตย์ต้องการเล่นงานนายยงยุทธ ใน 2 ระดับ คือ 1 ให้สังคมวิจารณ์ โจมตีจริยธรรมทางการเมือง และ 2 ให้นายยงยุทธหลุดจาก ส.ส. และ รัฐมนตรีมหาดไทย เพื่อทำให้ความเชื่อมั่นของรัฐบาลระส่ำระสาย นายวิรัตน์ กัลยาศิริ ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า พรรคได้พิจารณาความผิดของนายยงยุทธ และเตรียมยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความ “การเป็น ส.ส.และรัฐมนตรี” ว่า “ขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่”

สิ่งนี้ กลายเป็นจุดเริ่มของเกมการ เมืองที่โหมรุกให้ตำแหน่ง “ส.ส.และรัฐมนตรี” ของนายยงยุทธต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่ล่อแหลมอย่างยิ่ง การตีความ “การเป็น ส.ส.และรัฐมนตรี” นั้น พรรคประชาธิปัตย์เชื่อว่า โทษ “ไล่ออก” ของนายยงยุทธ เข้าข่ายลักษณะ “ต้องห้าม” ในตำแหน่ง ส.ส.และรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญ 2550 ซึ่งควรส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยชี้ขาดให้เป็นข้อยุติ

แนวโน้มท่าทีของพรรคประชาธิปัตย์ มีความเป็นไปได้ว่า ต้องนำเรื่องสู่ศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อหวังผล “วัดใจ” ตุลาการศาล รัฐธรรมนูญในข้อกฎหมายและต้องการเน้น ให้สังคมเกิดการวิพากษ์วิจารณ์จริยธรรมนักการเมือง โดยเฉพาะบุคคลดำรงตำแหน่ง รัฐมนตรีบริหารประเทศจึงต้องมีจริยธรรมที่สูงกว่านักการเมืองทั่วๆ ไป

ประเด็นในข้อกฎหมายขึ้นอยู่กับการตีความของศาลรัฐธรรมนูญตามมาตรา 102 (6) ซึ่งเป็นลักษณะต้องห้ามสำคัญในการใช้ เล่นงานนายยงยุทธ สาระสำคัญของมาตรา นี้อยู่ที่ “โทษทางวินัยข้าราชการ” ซึ่งไม่ใช่ “ความผิด” รัฐธรรมนูญ 2550 กำหนดลักษณะต้องห้ามของ ส.ส.และรัฐมนตรี เชื่อมโยงกัน ไว้หลายมาตรา นับตั้งแต่มาตรา 182, 174, 102 และประกอบด้วยมาตรา 91

พิจารณา “โทษ” ของนายยงยุทธ ย่อมเข้าข่ายตามมาตรา 182 (5) ซึ่งกำหนด ความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเฉพาะตัว “เมื่อ ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 174” ในมาตรา 174 (4) กำหนดคุณสมบัติ และไม่มีลักษณะต้องห้ามของรัฐมนตรีว่า “ไม่มีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 102 (6)” แก่นกลางของมาตรา 102 เป็นลักษณะต้องห้ามบุคคล มิให้ใช้สิทธิสมัครรับ เลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และ ใน (6) กำหนดว่า “เคยถูกไล่ออก ปลดออก หรือให้ออกจากราชการ หน่วยงานรัฐวิสาหกิจ หรือรัฐวิสาหกิจ เพราะทุจริตต่อหน้าที่ หรือ ถือว่ากระทำการทุจริตและประพฤติมิชอบในวงราชการ”

ปัญหาทุกสิ่งทุกอย่างของนายยงยุทธ เข้าข่ายรัฐธรรมนูญทุกมาตราที่กำหนด “คุณสมบัติต้องห้าม” ไว้ จนยากจะดิ้นหลุด ไม่เพียงเท่านั้น กรณีนายยงยุทธยังถูกลากยาวไปสู่การสิ้นสมาชิกภาพ ส.ส. ตามมาตรา 106 (5) ที่กำหนดว่า “มีลักษณะ ต้องห้ามตามมาตรา 102” อีกด้วย

อย่างไรก็ตาม “โทษไล่ออก” ของนายยงยุทธ แม้มีคำสั่งให้มีผลย้อนหลังไปตั้งแต่ 30 กันยายน 2545 ซึ่งเป็นวันเกษียณ ราชการนั้น แต่ได้รับผลของกฎหมายล้างมลทินปี 2550 ตามมาตรา 5 ซึ่งกำหนดว่า “ให้ล้างมลทินให้แก่บรรดาผู้ถูกลงโทษ ทางวินัยในกรณีซึ่งได้กระทำก่อนหรือในวันที่ 5 ธันวาคม 2550 และได้รับโทษหรือทัณฑ์บนทั้งหมดหรือบางส่วนไปก่อนหรือในวันที่ที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ โดยให้ถือว่า ผู้นั้นมิได้เคยถูกลงโทษหรือลงทัณฑ์บนในกรณีนั้นๆ” ดูเหมือนนายยงยุทธมีตัวช่วยให้รอด ตัวจากคุณสมบัติข้อห้ามตามรัฐธรรมนูญ แต่ปัญหายังไม่จบง่ายๆ

ควรขีดเส้นใต้หนาๆ กับวลี “เคย” เพราะเป็นการบ่งชี้ถึงลักษณะโทษที่มีมิติกว้างขวางอย่างยิ่ง และวลีนี้ยังบ่งถึงตำแหน่ง ทางการเมืองของนายยงยุทธอย่างยิ่ง อาจ ตกอยู่ในสถานการณ์ล่อแหลมวลีว่า “เคยถูกไล่ออก” นั้น พรรคประชาธิปัตย์มุ่งหวังให้ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญตีความในด้านการบังคับแบบเด็ดขาดเป็นการเฉพาะกับนักการเมือง เพื่อนำมาเล่นงานนายยงยุทธ พร้อมๆ กับเป็นการ สร้างบรรทัดฐานทางจริยธรรมของนักการเมืองขึ้นมาใหม่ให้เป็นมาตรฐาน

หากพรรคประชาธิปัตย์นำกรณีนายยงยุทธไปสู่ศาลรัฐธรรมนูญจริงแล้ว ย่อมมี ความเป็นไปได้สูงว่า ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ จะใช้ “พจนานุกรม” มาหาคำจำกัดความคำว่า “เคย” แล้วมัดเป็นข้อกฎหมายมาใช้เล่นงานนายยงยุทธได้ คำว่า “เคย” ในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานปี 2542 ให้ความหมายว่า ได้เป็นมาแล้ว, ปฏิบัติมาแล้ว โดยอธิบาย ถึงคำที่ใช้เป็นคำประกอบหน้ากริยาแสดงว่ากริยานั้นๆ ได้เป็นมาแล้ว เช่น เคยทำ = ได้ทำมาแล้ว หรือ เคยเห็น = ได้เห็นมาแล้ว

การใช้พจนานุกรมมาให้คำนิยามข้อกฎหมายนั้น เคยเกิดขึ้นมาแล้วในเหตุการณ์ ทางการเมือง 2 กรณี กรณีที่ชัดเจนคือ เหตุการณ์นายสมัคร สุนทรเวช ต้องพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เนื่องจากตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ นิยามคำว่า “ลูกจ้าง” ตามความหมายของ พจนานุกรม อีกกรณีล่าสุด ป.ป.ช.ใช้พจนานุกรมมานิยามคำว่า “แทรกแซงหรือก้าวก่าย” มาอธิบายข้อกฎหมายชี้ความผิดของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ จนนำไปสู่การยื่นเรื่อง ให้วุฒิสภาลงมติถอดถอนออกจากตำแหน่ง หรือไม่ด้วย ดังนั้น ในด้านกฎหมายนายยงยุทธอาจมีโอกาสรอดข้อกล่าวหา เพราะมีกฎหมาย ล้างมลทินปี 2550 มาเป็นตัวช่วย แต่ถ้าศาลรัฐธรรมนูญคำนึงถึงด้าน “จริยธรรมนักการเมือง” แล้วนำมาเป็นองค์ ประกอบการการวินิจฉัย ย่อมทำให้ตำแหน่ง ทางการเมืองมีโอกาสสั่นสะเทือนได้สูง

*  ก้าวข้ามข้อกฎหมาย

เป็นไปตามคาดว่า นายยงยุทธ ลาออกจาก รมว.กระทรวงมหาดไทย และรองนายกรัฐมนตรี ตามเสียงเรียกร้องของพรรคประชาธิปัตย์และวุฒิสภากลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่กดดันอย่างหนักในขณะนี้ เพราะนายยงยุทธได้หันหน้ามาต่อสู้ และดูเหมือนเขามั่นใจความบริสุทธิ์ของตัวเองว่า ไม่ผิดข้อกฎหมาย เนื่องจากได้กฎหมาย ล้างมลทินปี 2550 มาปกป้องสถานภาพทาง การเมืองของเขาไว้

ด้วยเหตุนี้ เขาจึงตัดสินใจเปิดเกมรุกทางการเมืองก่อนพรรคประชาธิปัตย์ ด้วยการยื่นหนังสือให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ตรวจสอบคุณสมบัติทาง การเมืองของตัวเอง เกมนี้คือ ช่วงชิงเหตุผลมาเป็นข้ออ้าง จากแรงกดดันให้ลาออก

หากพิจารณาบนพื้นฐาน “เกมการเมือง” แล้ว มีความเป็นไปได้ว่า กกต.คงส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยชี้ขาดตาม ช่องทางรัฐธรรมนูญมาตรา 182 วรรคสาม ที่กำหนดให้กระทำได้ ดังนั้น กรณีของนายยงยุทธ อย่างน้อยมีข้อพิจารณา 2 ประการสำคัญ คือ 1.นายยงยุทธ ในฐานะข้าราชการกระทรวง มหาดไทยได้รับโทษ “ไล่ออก” จากราชการแล้วหรือไม่ และ 2.โทษของนายยงยุทธจะกระทบต่อตำแหน่งทางการเมืองในปัจจุบันนี้หรือไม่

เมื่อพิจารณาเฉพาะ “โทษไล่ออก” ของนายยงยุทธแล้ว ย่อมเข้าข่ายตามลักษณะต้องห้ามของบุคคลที่เป็น ส.ส.และรัฐมนตรีอย่างชัดเจน แต่ได้ประโยชน์จากกฎหมายล้างมลทินปี 2550 ตามมาตรา 5 ซึ่งกำหนดว่า “ให้ล้างมลทินให้แก่บรรดาผู้ถูกลงโทษทางวินัยในกรณีซึ่งได้กระทำก่อนหรือ ในวันที่ 5 ธันวาคม 2550 และได้รับโทษหรือทัณฑ์บนทั้งหมดหรือบางส่วนไปก่อนหรือในวันที่พระราชบัญญัตินี้บังคับใช้ โดยให้ถือว่า ผู้นั้น “มิได้เคยถูกลงโทษ” หรือลงทัณฑ์ทางวินัยในกรณีนั้นๆ”

ผลของคำสั่งให้ย้อนหลังจึงเท่ากับว่า นายยงยุทธ “ได้รับโทษ” แล้ว และโทษ ดังกล่าวนั้นได้เปลี่ยนสถานภาพ “ข้าราชการ” จาก “เกษียณราชการ” กลายเป็นถูกไล่ออกจากราชการตั้งแต่วันที่ 30 กันยายน 2545 แต่ความผิดของนายยงยุทธ เกิดขึ้นเมื่อปี 2543 และถูกลงโทษเมื่อกันยายน 2545 ในระหว่างมีความผิดและการลงโทษที่เกิดขึ้นนั้น ในปี 2550 มีกฎหมายล้าง มลทินมาบังคับใช้

นายยงยุทธจึงเข้าข่ายตามเงื่อนไขของกฎหมายนี้ทุกประการ ประกอบกับกฤษฎีกาได้ยกกรณีคดี ที่ 440/2526 มาเทียบเคียงกรณีผู้กระทำผิดได้เกษียณราชการ ซึ่งระบุว่า “ผู้บังคับบัญชาจะมีคำสั่งลงโทษภายหลังจากที่พระราชบัญญัติล้างมลทินใช้บังคับแล้วก็ตาม แต่ถ้าผลของคำสั่งลงโทษนั้น ทำให้ข้าราชการผู้ใดได้รับโทษก่อนหรือในวันที่พระราชบัญญัติล้างมลทินฯ ใช้บังคับแล้ว ข้าราชการผู้นั้นย่อมอยู่ในหลักเกณฑ์ที่จะได้รับการล้างมลทินตามพระราชบัญญัติดังกล่าวด้วย”

นายยงยุทธ เกษียณราชการเมื่อ 30 กันยายน 2545 ดังนั้นมติ อกพ.มหาดไทยจึงย้อนหลังไปในวันที่ 30 กันยายน 2545 เขาโชคดีได้ประโยชน์จากกฎหมายอีก แต่ความจริงในปัจจุบันคือ สถานภาพ ของนายยงยุทธ ในฐานะ “ความเป็นมนุษย์” เขายัง “มีความผิดวินัยร้ายแรงฐานทุจริตต่อหน้าที่ราชการ” ติดตัว นั่นเท่ากับบ่งบอกพื้นฐานจิตใจอยู่ลึกๆ และยากจะสลัดออกได้ ส่วนการบังคับใช้โทษบนฐานความผิด นี้ ได้ถูกลบล้างด้วยกฎหมายล้างมลทินปี 2550 ตามมาตรา 5 มนุษย์เมื่อมีปมความผิดร้ายแรงอันเป็นที่ชิงชังของสังคมถูกทับถมอยู่ในใจลึกๆ แม้มีอิสระจากโทษ แต่ไม่สามารถล้างประวัติ ในเครดิตบูโรชีวิตให้ขาวสะอาดได้ ช่างเป็น อาการทรมานยิ่ง

* สถานการณ์อันตราย

กรณีของนายยงยุทธ นอกจากข้อกฎหมายมีความสำคัญแล้ว ในด้านจริยธรรมนักการเมืองอาจทำให้ลากไปเกี่ยวข้อง กับประเด็นข้อกฎหมายได้อย่างระทึกและน่าสนใจ น่าสนใจกับวลีที่ว่า “เคยถูกไล่ออก” แม้ความหมายตามตัวอักษรเข้าใจได้ง่ายๆ แต่สาระสำคัญในข้อกฎหมายตามมาตรา 102 (6) มีลักษณะเป็นการกำหนดคุณธรรม ของนักการเมืองที่ควรจะมีในระดับสูงเหนือ กว่าบุคคลทั่วไป ด้วยเหตุนี้ จึงมีความเป็นไปได้ที่ศาลรัฐธรรมนูญจะใช้การตีความกฎหมายอย่าง เคร่งครัด เพื่อกำหนดคุณธรรมและจริยธรรม ของนักการเมืองไว้เป็นมาตรฐาน และสิ่งสำคัญคือ กฎหมายล้างมลทิน มีสาระหลักอยู่ที่การ “ล้างโทษ” ไม่ได้ล้าง “ความผิด” ซึ่งความผิดเป็นการสะท้อนถึงคุณธรรมและจริยธรรมของพฤติกรรมมนุษย์

แม้นายยงยุทธได้รับการล้างโทษตาม กฎหมายล้างมลทิน แต่ในด้านจริยธรรมนักการเมืองแล้ว อาจมีความเป็นไปได้ว่า ศาลรัฐธรรมนูญจะไม่นำมา “ลบล้าง” วลี “เคยถูกไล่ออก” ดังนั้น ในด้านคุณธรรมและจริยธรรมนักการเมืองนายยงยุทธจึงมีความเสี่ยงสูง และมีแนวโน้ม “ตายน้ำตื้น” กับการตีความกฎหมายแบบเด็ดขาด

ขณะนี้ สถานการณ์ทางการเมืองอยู่ในช่วงกลุ่มอำนาจต่อต้านพรรคเพื่อไทยและรัฐบาลพยายาม “สะสมพลัง” ให้มีคุณภาพเพื่อกดดันรัฐบาล ปัจจัยที่จะทำให้กลุ่มต่อต้านมีพลังมากขึ้นคือ การทำลายความเชื่อมั่นรัฐบาล รัฐมนตรี ดังนั้นพรรคประชาธิปัตย์และกลุ่ม พลังอื่นๆ จึงเคลื่อนไหวทางการเมืองแบบไม่ ต้องคิดมาก เพราะไม่มีอะไรต้องสูญเสียอีกการกดดันให้ล้มโครงการจำนำข้าว การโจมตีด้านการทุจริต แล้วมาถึงกรณีของ นายยงยุทธ ที่เป็นการโจมตีด้านจริยธรรมนักการเมืองเป็นหลัก มากกว่าจะมุ่งเล่นงาน ด้านกฎหมาย บนสถานการณ์ความกดดันเหล่านี้ พรรคประชาธิปัตย์และกลุ่มพลังต่อต้านได้รับการตอบรับจากสื่อมวลชนนำไปขยายผลและวิจารณ์ให้รัฐบาลเกิดการเสียหายทางการเมืองอย่างมีน้ำหนักน่าเชื่อถือกล่าวเฉพาะกรณีนายยงยุทธแล้ว นับว่าเป็นเกมที่กลุ่มพลังต่อต้านได้รุกกดดัน และมีอำนาจในการกำหนดผล คือการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ

ด้วยเหตุนี้ เมื่อมี “เกม” อำนาจการ เมืองเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ดังนั้น การวินิจฉัย ในข้อกฎหมายจึงเป็นด้านรอง สิ่งสำคัญอยู่ที่การนำเหตุผลด้านคุณธรรมและจริยธรรมนักการเมืองมาตีความข้อกฎหมาย เพื่อให้เป็นบรรทัดฐาน ย่อมมีความเป็นไปได้สูง ดังนั้น เครดิตบูโรชีวิตของนายยงยุทธที่ไม่อาจล้างให้หมดจดได้ ย่อมส่อสัญญาณให้ตำแหน่ง ส.ส.และรัฐมนตรีอยู่ในสถานการณ์ล่อแหลมและอันตรายยิ่งดิ้นรอดยากจริงๆ นอกจากตัดใจ “ลาออก” หรือจะปล่อยให้ถูก “ปลดออก” ซ้ำสองก็ควรเลือกเอา


ที่มา.สยามธุรกิจออนไลน์
/////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันอังคารที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2555

พม่าแซงไทยใน UNGA .





คอลัมน์ : วิเทศวิถี โดย วรรัตน์ ตานิกูจิ

ใครต่อใครที่จับตาดูการเดินทางไปเยือนประเทศสหรัฐอเมริกาครั้งแรกของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ชินวัตร นายกรัฐมนตรี คงมองผลการเดินทางเยือนครั้งนี้แตกต่างกันไป สำหรับคนเสื้อแดงที่มีบางส่วนมาต้อนรับและรอส่งที่หน้าโรงแรมพลาซ่า แอทธินี ในนครนิวยอร์ก กับคนเสื้อเหลืองที่ขนคนมาประท้วงต่อเนื่องกันหลายวันหน้าโรงแรมที่พักแห่งเดียวกัน

การเดินทางครั้งนี้ถือว่าเป็นความสำเร็จŽ หรือไม่ ย่อมเป็นมุมมองที่ต่างกันคนละขั้ว ไม่ว่าจะมีความคิดเห็นแตกต่างกันอย่างไร นาทีนี้ประเทศไทยก็ยังมีนายกรัฐมนตรีหญิงที่ชื่อยิ่งลักษณ์ ซึ่งแม้จะถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่ามักจะพูดไม่ค่อยคล่องแคล่วในที่สาธารณะ หรือเป็นนายกรัฐมนตรีนอมินีของพี่ชาย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร

แต่สิ่งหนึ่งที่เห็นได้ระหว่างการมาร่วมประชุมสมัชชาใหญ่สหประชาชาติ (ยูเอ็นจีเอ) สมัยที่ 67 ครั้งแรกนี้ คือ นายกรัฐมนตรีหญิงของไทยมีความ อึดŽมากกว่าที่ใครต่อใครคาดคิด เห็นได้จากการเข้าร่วมกำหนดการที่ค่อนข้างอัดแน่นในทุกๆ วันตั้งแต่เช้ายันค่ำ

ใครที่อยากรู้ว่าการขึ้นพูดในสมัชชาใหญ่สหประชาชาติสมัยที่ 67 ของ น.ส.ยิ่งลักษณ์เป็นอย่างไร สามารถเปิดดูที่เว็บไซต์ของสหประชาชาติได้ตามสะดวก

หากจะให้คำจำกัดความสั้นๆ คงต้องบอกว่าไม่มีอะไรที่เหนือความคาดหมาย และถือว่าเอาตัวรอดไปได้ เพราะขนาดในเวทีเอเปคซึ่งมี 21 เขตเศรษฐกิจ มาตรฐานการ อ่านŽ หรือ พูดŽ ภาษาอังกฤษของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ก็ไม่ได้ถือว่าย่ำแย่ที่สุดเมื่อเทียบกับผู้นำอีกหลายชาติ แต่จะถูกใจคนฟังแค่ไหนก็ขึ้นกับจริตของแต่ละคน

ขณะที่ในเวทีอื่นๆ ที่เดินทางไปเข้าร่วมนอกเหนือจากนั้นในกรอบสหประชาชาติ อาทิ การเข้าร่วมงานเลี้ยงที่จัดขึ้นเพื่อส่งเสริมโครงการ Every Woman Every Child ที่เป็นความริเริ่มของ นายบัน คี มุน เลขาธิการสหประชาชาติ โดยมีเป้าหมายเพื่อลดอัตราการเสียชีวิตของสตรีและเด็กให้ได้ถึง 16 ล้านคนภายในปี 2558 น.ส.ยิ่งลักษณ์ก็ได้รับมอบหมายให้เป็นผู้กล่าวสุนทรพจน์คนแรกในงานดังกล่าว

อย่างไรก็ดี หากจะถามว่าอะไรน่าจะเป็น ความสำเร็จŽ ที่แท้จริงของการเดินทางมาร่วมประชุมครั้งนี้ความสนใจของผู้คนควรเปลี่ยนมาจับจ้องที่การพบปะกันระหว่าง นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กับ เจ้าชายอับดุลอาซิส บิน อับดุลลาห์ อับดุลอาซิส รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงต่างประเทศซาอุดีอาระเบีย ที่คณะทูตถาวรซาอุดีอาระเบียในนครนิวยอร์ก เมื่อวันที่25 กันยายน ตามเวลาท้องถิ่นสหรัฐมากกว่า

เพราะนี่คือการพบปะกันในระดับรัฐมนตรีต่างประเทศอย่าง เป็นทางการŽ ครั้งแรกในรอบ 21 ปี

ซึ่งทั้งสองฝ่ายต่างก็ทราบดีว่าสิ่งที่จะหารือกันคือปัญหาที่ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศประสบภาวะชะงักงันมาอย่างยาวนาน ไม่ใช่เพียงการหารือกันระหว่างไปร่วมงานหรือด้วยเหตุผลอื่นเช่นที่ผ่านมาในอดีต

สิ่งที่เห็นทำให้เข้าใจว่าดูเหมือนฝ่ายซาอุดีอาระเบียก็ต้องการเผยแพร่ข่าวการพบปะหารือครั้งนี้ด้วยเช่นกัน เพราะไม่เพียงแต่จะอนุญาตให้สื่อมวลชนไทยสามารถขึ้นไป เก็บภาพŽ การหารือได้เท่านั้น แต่ยังมีสื่อซาอุดีอาระเบียอีกหลายสำนักพากันขึ้นไปถ่ายภาพการหารือที่มีขึ้นเช่นกัน

แน่นอนว่าคงไม่อาจมีข้อสรุปใดๆ ที่ชัดเจนได้ในการพูดคุยเพียงครั้งเดียว หลังจากนี้ คงต้องมีการเดินหน้าแก้ไขสิ่งที่ยังค้างคาความรู้สึกกันต่อไป แต่อย่างน้อยประตูอีกบานหนึ่งก็ถูกแง้มออกมาให้ได้เห็นแสงสว่างกันบ้าง แม้จะเป็นเพียงแสงแรกก็ตามที

สัจธรรมหนึ่งในชีวิตคือหากไม่คาดหวัง จะไม่ผิดหวัง เพียงแต่คิดว่าเมื่อมีโอกาส เราได้ทำอย่างดีที่สุด แล้วผลจะเป็นอย่างไรก็คงต้องคอยดูกันต่อไป

อย่างไรก็ดี ต้องยอมรับว่าเอกภาพในการทำงานของหน่วยราชการไทย โดยเฉพาะความพยายามที่จะแข่งกันให้ข่าว อาจส่งผลกระทบต่อกระบวนการและความพยายามในการแก้ไขปัญหาทั้งหมดได้เช่นกัน

อีกเรื่องสำคัญที่มีความคืบหน้าคือการหารือระหว่างผู้นำไทยและพม่าในความร่วมมือเพื่อการพัฒนาท่าเรือน้ำลึกทวาย ที่สองฝ่ายได้ตกลงจะตั้งคณะกรรมการขึ้นเป็น 3 ระดับ เพื่อเดินหน้าผลักดันโครงการดังกล่าวให้เป็นรูปธรรมอย่างแท้จริง ซึ่งคาดว่าจะมีการประกาศความร่วมมืออีกครั้งในการประชุมผู้นำอาเซียนเดือนพฤศจิกายนนี้ที่กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา

ประเด็นหลักที่ผู้นำชาติต่างๆ พูดถึงอย่างมากในเวทียูเอ็นจีเอครั้งนี้คงไม่มีเรื่องใดร้อนแรงเท่าปัญหาในซีเรีย ซึ่งจนถึงปัจจุบันนี้ยังหาทางออกแบบสันติวิธีใดๆ ไม่ได้ และยังมองไม่เห็นหนทางเช่นกันว่าจะยุติลงเมื่อใด ขณะที่ชาติมุสลิมหลายชาติตั้งคำถามถึง เสรีภาพŽ ที่ประธานาธิบดีบารัค โอบามา ของสหรัฐยังคงยกย่องเชิดชู หลังเกิดวิกฤตการณ์ขึ้นในหลายประเทศทั่วโลกอันมีสาเหตุจากวิดีโอเจ้าปัญหา อินโนเซนซ์ ออฟ มุสลิมส์Ž ที่ชาวอเมริกันเชื้อสายยิวเป็นผู้นำขึ้นเผยแพร่ในเว็บไซต์ยูทูบ

ขณะที่หนึ่งในผู้ที่ได้รับความสนใจเป็นลำดับต้นๆ ย่อมต้องมีชื่อประธานาธิบดีเต็ง เส่ง ของพม่า ที่เดินทางมากล่าวถ้อยแถลงในเวทียูเอ็นจีเอปีนี้ หลังผลักดันการปฏิรูปประเทศไปสู่ประชาธิปไตยจนได้รับความยอมรับจากประชาคมโลก แม้จะยังมีการตั้งเงื่อนไขอะไรบางอย่างก็ตามที ซึ่งเป็นห้วงเวลาเดียวกับที่ นางออง ซาน ซูจี ผู้นำฝ่ายค้านของพม่าเดินทางเยือนสหรัฐเช่นกัน ซึ่งข่าวว่าทั้งคู่ยังได้พบกันในโรงแรมที่พักของประธานาธิบดีเต็ง เส่ง ด้วย

แต่ที่สร้างความตกตะลึงมากกว่าการมาปรากฏตัวในเวลาเดียวกันของผู้นำรัฐบาลและผู้นำฝ่ายค้านพม่าในสหรัฐคือคำพูดของประธานาธิบดีเต็ง เส่ง ที่ชื่นชมยกย่องการแสดงบทบาทของซูจีในด้านประชาธิปไตยกลางเวทียูเอ็นจีเอ ที่เชื่อเถิดว่าหากเป็นเมื่อไม่กี่ปีก่อนหน้านี้คงไม่มีใครคาดคิดว่าจะได้ฟังคำยกย่องชื่นชมซูจีออกจากปากผู้นำพม่าเป็นแน่

พม่าที่ว่าเปลี่ยนยากเขายังเปลี่ยนแปลงแล้ว

ส่วนไทยไม่รู้ต้องรอถึงเมื่อไหร่จึงจะเกิดการเปลี่ยนแปลงที่ทำให้ประเทศเราพ้นจากความขัดแย้งไปและเดินไปข้างหน้ากันได้เสียที

 ที่มา มติชนรายวัน
///////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

ปลัดพาณิชย์ โต้อาจารย์นิด้าจำนำข้าว ไม่ขัด รธน. !!?

ปลัดพาณิชย์คนใหม่ โต้อาจารย์นิด้า โครงการรับจำนำข้าว เพราะไม่ขัดรัฐธรรมนูญ

นางวัชรี วิมุกตายน ปลัดกระทรวงพาณิชย์ กล่าวถึงโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาล ว่าจากการหารือระหว่างทีมที่ปรึกษาของกระทรวงพาณิชย์ ร่วมกับนักวิชาการหลายสถาบัน ถึงข้อท้วงติงของอาจารย์สถาบันพัฒนาบริหารศาสตร์ หรือ นิด้า มีความเห็นตรงกันว่า โครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาล ไม่ได้ขัดรัฐธรรมนูญ มาตรา 84 (1) โดยเห็นว่าเป็นการดำเนินการแบบเสรี และเป็นธรรมอีกทั้ง ยังอาศัยกลไกตลาด ในขณะที่มองว่านโยบายแทรกแซงราคาข้าวที่ผ่านมา ไม่เป็นธรรม และมีจุดอ่อนมาก อีกทั้ง ตลาดยังเป็นของผู้ซื้อและผู้ขาย ถูกกดราคาข้าวมาตลอด แต่นโยบายรับจำนำข้าวของรัฐบาลชุดนี้ สามารถยกระดับคุณภาพชีวิต ซึ่งรัฐบาลพยายามดำเนินนโยบายการแข่งขันอย่างเสรีและเป็นธรรม เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อชาวนาไทย

ปลัดกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า จากข้อมูลที่สำรวจมาพบว่าโครงการรับจำนำ สามารถช่วยให้เกษตรกร มีรายได้เพิ่มขึ้นรวมทั้งระบบ 2 แสนล้านบาท แบ่งเป็นรายได้จากกลุ่มเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการรับจำนำ 140,000 ล้านบาท และรายได้ของเกษตรกรที่ไม่ได้เข้าร่วมโครงการรับจำนำแต่ได้รับอานิสสงส์จากการที่ราคาข้าวปรับตัวสูงขึ้นอีกประมาณ 57,000 -6 หมื่นล้านบาท

ช่วงท้ายปี กระทรวงพาณิชย์จะร่วมกับผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่ ดำเนินนโยบายเร่งรัดการส่งออกข้าว โดยจะช่วยอำนวยความสะดวกให้ผู้ส่งออก อย่างไรก็ตาม ปัจจัยที่มีผลให้การส่งออกข้าวลดลง มาจากเรื่องการรับจำนำข้าว ทำให้ราคาข้าวของไทยสูง ทำให้ผู้ซื้อชะลอการซื้อ และคู่แข่งสำคัญในการส่งออกข้าว เช่น อินเดีย ขายตัดราคา แต่ในอนาคต

มั่นใจว่าจะรักษาแชมป์ส่งออกข้าวได้อย่างแน่นอน

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

อย่า : อกตัญญูประชาชน !!?

ในสังคมประชาธิปไตยของโลกนั้น..สิ่งที่ยากที่สุดก็คือการเอาชนะการเลือกตั้ง..เพื่อเข้าไปทำหน้าที่เป็นรัฐบาลบริหารประเทศ..เพราะจะต้องได้รับความไว้วางใจจากประชาชนจำนวนที่มากกว่า..
ดังนั้น..ตำแหน่งที่ได้มาจากการเลือกตั้งของประชาชน จึงมีความสำคัญสูงสุด..อย่างเช่น..ตำแหน่งประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา..หรือตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของสหราชอาณาจักรอังกฤษ

เมื่อใดที่การเลือกตั้ง..คือความสำคัญสูงสุด..และได้รับการยอมรับจากมวลชนทุกฝ่าย..การเมืองในประเทศนั้นก็จะเป็นเพียงกลไกเพื่อจะให้ได้มาซึ่งส่วนที่ดีที่สุดของการพัฒนาประเทศ.
การเมืองในประเทศนั้นก็จะราบนิ่ง..ไม่วุ่นวายไม่บ่อนทำลายความมั่งมีศรีสุขของประชาชนและความมั่นคงของประเทศชาติ

ทว่าหากว่า..อำนาจจากการเลือกตั้ง..เป็นเพียงสิ่งแปลกปลอมหรือการย้อมแมว..และมีอำนาจอีกมากมายที่เหนือกว่ายิ่งใหญ่กว่า..และสามารถดลบันดาลให้อำนาจที่มาจากการเลือกตั้งล่มสลายหรือกลายเป็นอื่นได้..
ประเทศนั้นก็จะจมอยู่ในปลักตมแห่งความวุ่นวายไร้ความสงบ ไม่บังเกิดสันติสุขล้นพ้นไปด้วยความทุกข์และท่วมทันไปด้วยไฟแห่งความแตกแยก..ในที่สุดจะแหลกยับ

วันนี้ พรรคที่ชนะการเลือกตั้งอย่างท่วมท้น..เลือกนาย ยงยุทธ วิชัยดิษฐ..หัวหน้าพรรคให้ดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีมหาดไทย..เช่นเดียวกับที่อดีตนายกรัฐมนตรี สมัคร สุนทรเวช เคยได้รับ..เป็นอำนาจที่ประชาชนมอบให้..
แต่ สมัคร สุนทรเวช..หลุดจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี..เพราะการกล่าวหาในข้อหาที่จิ๊บจ๊อยจนเรียกได้ว่าไร้สาระ..วันนี้ ยงยุทธ วิชัยดิษฐ..กำลังโดนในแบบเดียวกัน

เป็นคำกล่าวหา..ที่ไม่ถูกนำขึ้นสู่ศาลสถิตยุติธรรมอันเป็นปรกติธรรมเนียม..แต่เพียงเพราะคนจำนวนหนึ่งเชื่อว่า..และบอกว่า..ผิด

และแม้ว่าความผิดนั้นจะได้รับการผ่อนผันไปแล้ว..จากพระบรมราชโองการแห่งองค์พระมหากษัตริย์..แต่ขบวนการไล่ล่า..ก็ยังบิดเบือนไม่ยอมรับ..

หากพรรคเพื่อไทย..ยอมจำนนต่อขบวนการไล่ล่า..ไม่กล่าเผชิญหน้ากับ..สิ่งแปลกเปื้อนปลอมปน..ก็จงประกาศยุบพรรคและล้างมือไปจากการเมืองเสีย..และนั่นเป็นการอกตัญญูต่อชีวิตและการบาดเจ็บล้มตายของประชาชน..ที่ต่อสู้เพื่อจะให้พรรคเพื่อไทยได้มายืนอยู่ตรงจุดนี้..
เพราะถึงไม่มีพรรคเพื่อไทย..ประชาชนก็จะสู้เพื่อประชาธิปไตยต่อไป..

โดย.พญาไม้,บางกอกทูเดย์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันจันทร์ที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2555

หัวเว่ย จ้องฮุบสุวรรณภูมิ 2 ซินเซียง ผุดคลังสินค้า 3 พันไร่ ทุนจีนถือฤกษ์ AEC บุกไทย !!?

ทำเนียบฯ - ยักษ์ใหญ่ “แดนมังกร” รุกขยาย ฐานลงทุนในไทย “หัวเว่ย” จ้องฮุบงานใหญ่ สุวรรณภูมิเฟส 2 ด้าน “ไทยแลนด์ ซินเซียง รับเบอร์” กว้านซื้อที่ดินใกล้สะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งใหม่ ในพื้นที่จังหวัดเชียงราย กว่า 3,000 ไร่ สร้างคลังกระจายสินค้ารับ AEC "เซี่ยงไฮ้ มอเตอร์ ออโตโมบิล" ทุ่ม 15,000 ล้านบาท ลงทุนในไทยผลิตรถเก๋งภายใต้แบรนด์ ็เอ็มจีิ เผย 6 เดือนแรกของปีนี้นักธุรกิจ จีนยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุน 18 โครงการ

ภายหลังจาก 10 ประเทศอาเซียนได้มีการตกลงเข้าร่วมประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน Economics Community (AEC) เพื่อผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจร่วมกัน และมีจะผลวันที่ 1 มกราคม 2558 ส่งผลให้นักลงทุนต่างประเทศ โดยเฉพาะจากประเทศจีนได้เข้าลงทุนในประเทศไทยกันอย่างคึกคัก

ล่าสุดแหล่งข่าวจากทำเนียบรัฐบาลเปิดเผยว่า ขณะนี้ทาง "หัวเหว่ย" ยักษ์วงการสื่อสารจากสาธารณรัฐประชา ชนจีนได้ประสานติดต่อกับนักการเมืองเพื่อเข้ามาขอรับทราบข้อมูลโครงการขนาดใหญ่ในประเทศไทย หนึ่งในนั้นก็คือโครงการพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เฟส 2 มูลค่ากว่า 62,000 ล้านบาท ที่กำลังจะเปิดประมูลในเร็ว ๆ นี้ ตามคำสั่งของน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีเร่งรัดการแก้ไขปัญหาความแออัดสนามบินสุวรรณภูมิ

"หัวเหว่ยได้มอบหมายให้ตัวแทนประสานไปยังผู้รับเหมาฯที่จะเข้ามารับช่วงงานแต่ละส่วน เพื่อเตรียมพร้อมรับงานใหญ่นี้แล้ว โดยในส่วนของงานก่อสร้างก็ได้มีการสั่งซื้อทรายและวัสดุก่อสร้างไว้ล่วงหน้าเพื่อยืนยันถึงความพร้อม โดยมั่นใจว่าจะคว้างานใหญ่นี้ได้อย่างแน่นอน"

นายชวลิต สุธรรมวงศ์ ประธานหอการค้าจังหวัดเชียงราย เปิดเผยว่า การชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนที่ผ่านมาเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้กลุ่มนักลงทุนประเทศจีนได้ขยายมายังประเทศในในอาเซียน โดยเฉพาะประเทศไทยที่มีชัยภูมิที่เป็นเหมาะแก่การลงทุกกว่าประเทศข้างเคียง ซึ่งเชียงรายถือเป็นจังหวัดที่มีศักยภาพในการลงทุน เนื่องจากมีชายแดนสำคัญ 3 จุด นั่นคือ ที่อำเภอแม่สาย เขตติดต่อกับท่าขี้เหล็ก ประเทศพม่า ที่อำเภอเชียงแสน ติดกับแขวงบ่อแก้ว ประเทศลาว และที่อำเภอเชียงของ ติดกับแขวงบ่อแก้ว ประเทศลาว

ปัจจุบันการค้าชายแดนจังหวัดเชียงรายแต่ละปีไม่ต่ำกว่า 3-4 หมื่นล้านบาท หากเปิดเสรีการค้าแล้วเชื่อว่าจะมีเงินสะพัดไม่ต่ำกว่าแสนล้านบาทอย่างแน่นอน นอกจากมีจุดค้าชายแดนใหญ่ๆ ทั้ง 3 จุดแล้ว ยังมีปัจจัยเอื้ออื่นๆ อีก เช่น การคมนาคมในแม่น้ำโขง สะพานข้ามแม่น้ำโขงที่เชียงของ ท่าเรือแห่งใหม่ที่เชียงแสน ที่เปิดใช้แล้วตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2555 ที่ผ่านมา รองรับเรือสินค้าจากจีน และประเทศเพื่อนบ้านใกล้เคียง นอกจากนี้ เชียงรายยังมีถนนเชื่อมระหว่างประเทศสายสำคัญอีกคือ อาร์สามเอ ลากจากจีน ผ่านลาวสู่ไทยที่เชียงของ และอาร์สามบี ลากเส้นจากจีน ผ่านพม่า เข้าไทยที่แม่สาย โดยเฉพาะบริเวณถนนอาร์สามเอ ผ่านลาวเข้ามาเชียงของนั้น มีสะพานข้ามโขงเชื่อมโยง จุดนี้นักธุรกิจไทยเข้าไปจับจองพื้นที่ทำธุรกิจกันคับคั่ง ไม่ว่าจะเป็นสหฟาร์มที่เข้าไปตั้งโกดังซื้อข้าวโพดผลิตอาหารสัตว์ และโครงการนาคราช นคร ของ ดร.สิชา สิงห์สมบุญ เข้าไปเช่าพื้นที่ฝั่งลาวระยะยาว พัฒนาเป็นแหล่งสินค้าปลอดภาษี โรงแรมและแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม

"ตอนนี้มีกลุ่มนักลงทุนจากประเทศจีนได้เข้ามาซื้อที่ดินไว้ในพื้นที่อำเภอเชียงของกว่า 3,000 ไร่ เพื่อจัดสร้างเป็นคลังและศูนย์กระจายสินค้าเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ยางพารา โดยดำเนินในนามบริษัท ซินเซียง รับเบอร์ จำกัด ขณะที่ห้างฯโลตัส และไทวัสดุในเครือเซ็นทรัลก็ได้เข้ามาสำรวจพื้นที่แล้ว" นายชวลิตกล่าว

อย่างไรก็ดีเมื่อเร็ว ๆ นี้ ัเซี่ยงไฮ้ มอเตอร์ ออโตโมบิล็ เตรียมเข้ามาใช้ไทยเป็นฐานผลิตรถเก๋งภายใต้แบรนด์ ัเอ็มจี็ โดยใช้เงินลงทุนราว 15,000 ล้านบาท มีกำลังการผลิตปีละ 100,000 คัน ทั้งขนาดเครื่องยนต์ 1,300 ซีซี, 1,500 ซีซีและ 1,800 ซีซี เน้นส่งออกไปยังประเทศอาเซียน จากข้อมูลการยื่นขอรับการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) พบว่า ในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ นักธุรกิจจีนยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุน 18 โครงการ มูลค่าการลงทุน 5,532 ล้านบาท

แหล่งข่าวระดับสูงในรัฐบาลจีน เปิดเผยว่า การลงทุนของนักธุรกิจจีนในช่วงนี้ที่คึกคักอย่างมาก เพราะรัฐบาลจีนมองว่าการเมืองไทยเริ่มนิ่ง ที่ผ่านมาจีนมีเม็ดเงินจำนวนมากอยากขนเข้ามาลงทุนในเมืองไทย แต่ยังกังวลในเสถียรภาพของรัฐบาลไทย ซึ่งยังมีอีกหลายธุรกิจจ่อเข้ามาลงทุนในช่วง 1-2 ปีนับจากนี้


ที่มา.สยามธุรกิจออนไลน์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ธาริต.จัดแบบไม่มีกั๊ก’ มาร์ค-เทือก กระอักเลือด 98 ศพ !!?

รายงานตรวจสอบเหตุการณ์ความรุนแรงเมื่อเมษายน-พฤษภาคม 2553 ของคณะกรรมการอิสระตรวจสอบ และค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) ที่มีนายคณิต ณ นคร เป็นประธาน กำลังได้รับการตรวจสอบซ้ำจากกลุ่มพลังอีกหลายกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช. ย่อมวิพากษ์อย่าง มีอารมณ์ไม่พอใจกับความเห็นเชิงความจริงของ คอป. ที่มีสีสันแบบให้ร้าย พร้อมๆ กับมีความเห็นออกไปแนวให้พรรคประชาธิปัตย์ได้ประโยชน์ นักวิชาการ และภาคประชาชนอีกหลายกลุ่ม ล้วนตรวจสอบและพุ่งเป้าแบบ ประชดประชันและใช้วาทะแรงๆ ว่า รายงาน คอป.เป็นใบอนุญาตให้ฆ่าคน

นั่นเป็น “ดับเบิลตรวจสอบ” เพื่อให้ได้ความจริงที่กระจ่าง และอย่างเที่ยงตรง ชัดเจนมากที่สุด ถึงที่สุดแล้วการตรวจสอบพร้อมกับวิพากษ์กลับมีเป้าหมาย ลึกๆ อยู่ที่ต้องการ “ปัด” ความเห็นในเชิงประเด็นทางการเมืองออกไปให้มากเพราะความจริงเชิง “ปัญหาทาง การเมือง” ของรายงาน คอป.มีข้อสรุปความรุนแรงวางน้ำหนักไว้ที่ต้นเหตุปัญหา เกิดจาก “ชายชุดดำ” ที่ปะปนอยู่กับผู้ชุมนุม ทางการเมืองเป็น “กลุ่มกระทำการ” ให้เกิดความตาย 98 ศพ และบาดเจ็บอีกมากกว่า 2,000 คน

- ความเห็นที่ถูกปั่นให้เป็น “ความจริง”

ข้อสรุปของ คอป.สอดคล้องกันชนิดบรรทัดต่อบรรทัดกับชุดข้อมูลบ่งชี้ของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ, นายสุเทพ เทือกสุบรรณ แห่งพรรคประชาธิปัตย์ ที่มีส่วนร่วมในเหตุการณ์ความรุนแรงครั้งนี้อย่างมากที่สุด เพราะเกี่ยวข้องกับ “ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.)” ที่ออกคำสั่งให้สลายการชุมนุมของ นปช. หนำซ้ำยังเป็นข้อสรุปที่ตรงกับคำให้การในชั้นศาลของ พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด (ไก่อู) โฆษกกองทัพบก ที่ยืนยันว่า ชายชุดดำเป็นผู้ก่อความรุนแรงขึ้น

บัดนี้ “ชายชุดดำ” และ “ความตาย 98 ศพ” กลับฟื้นขึ้นมามีชีวิตตามจินตนาการของบุคคลที่เกี่ยวข้อง ศอฉ. ซึ่งจัดตั้ง ขึ้นเมื่อวันที่ 7 เมษายน 2553 ตามอำนาจ ใน พ.ร.ก.การบริหารราชการแผ่นดินในสถานการณ์ฉุกเฉินปี 2548 เพื่อทำหน้าที่ควบคุมการชุมนุมของ นปช. นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ เป็นกรรมการรวมอยู่ใน ศอฉ.ด้วย และตามกติกามารยาทต้องรับผิดชอบทุกการกระทำอันเป็นผลงานของ ศอฉ. ด้วยทุกกรณี

ผลงานที่โดดเด่นของ ศอฉ. คือ ออก คำสั่งให้กองกำลังทหารเข้า “กระชับพื้นที่” และ “กระชับวงล้อม” เพื่อกดดันให้ นปช. สลายการชุมนุมเมื่อเมษายนและพฤษภาคม 2553 แต่ด้วยภาษาอันไพเราะนั้น กลับเต็ม ไปด้วยใจเหี้ยมโหด ชอบความรุนแรง จึงใช้อาวุธสงครามมาจัดการผู้ชุมนุมทาง การเมือง และมีความตาย “98 ศพ” บาดเจ็บมากกว่า 2,000 คน ตามมา

หากทหารแบกปืน ไม่ยิงปืนแล้วความตาย 98 ศพ เกิดจากอะไรกัน ในส่วน นี้ คอป. ศอฉ.และนายอภิสิทธิ์กับนายสุเทพ ตอกย้ำชุดความเห็นที่ค่อนไปทางความเชื่อว่า เป็นการกระทำของชายชุดดำ กระทั่ง “ความเห็น” ในปฏิบัติการของชายชุดดำ ได้ถูกแปรรูปให้เป็น “ความจริง” ที่บรรจุในรายงาน คอป.

- ดีเอสไอ เชื่อศาล-เจ้าหน้าที่ฆ่า

ดีเอสไอ หน่วยงานที่ “ธาริต” บังคับบัญชาอยู่รับผิดชอบคดีคนตาย 98 ศพ เขา พิจารณาบาดแผลที่เกิดจากวิถีความรุนแรง ของอาวุธสงคราม ทำให้เขาเชื่อว่า เป็นความตายที่มาจากการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐความเชื่อของ “ธาริต” แตกต่างจากข้อสรุปของ คอป. ไม่ตรงกับข้อมูลของ นายอภิสิทธิ์ นายสุเทพ พ.อ.สรรเสริญ และ พวก ศอฉ.

ดังนั้น ความเชื่อของ “ธาริต” จึงเป็นชุดข้อมูลการตรวจสอบแบบดับเบิลตรวจสอบ ที่น่ารับฟังอย่างใส่ใจสิ่งสำคัญคือ ธาริตมีความเชื่อบนฐานข้อมูลที่ตรงกันกับคำวินิจฉัยของศาลอาญาที่ไต่สวนการเสียชีวิตของนายพัน คำกอง ชาวจ.ยโสธร อาชีพขับรถแท็กซี่ ผู้ชุมนุมกลุ่ม นปช. ว่า ตายจากการกระทำ ของเจ้าหน้าที่รัฐ

สาเหตุการตายของนายพัน เป็นข้อยุติในกระบวนการยุติธรรม แต่ความตาย 98 ศพของ คอป.ยังพร่ามัวผสมส่วน กับจินตนาการบรรจงสร้างขึ้น ไม่เป็นข้อยุติ นายพัน เป็นศพหนึ่งในจำนวน 98 ศพ ที่มาร่วมชุมนุมทางการเมืองเพื่อเรียกร้อง ให้นายอภิสิทธิ์ใชอำนาจนายกรัฐมนตรียุบสภาเพื่อยุติความขัดแย้งในสังคมการเรียกร้องตามครรลองประชาธิปไตย กลับได้รับความตายที่ศาลอาญาวินิจฉัยว่า มาจากเจ้าหน้าที่กระทำ นั่นเท่ากับโยงไปถึงเจ้าหน้าที่ผู้ถืออาวุธสงครามออกมาปฏิบัติงานตามคำสั่งของ ศอฉ. และเป็น ศอฉ.ที่มีนายอภิสิทธิ์กับนายสุเทพมีส่วนเกี่ยวข้องอย่างเด่นชัด ด้วยเหตุนี้ ความตายของนายพันจึง เท่ากับทำให้นายอภิสิทธิ์กับนายสุเทพต้อง มีส่วนร่วมรับผิดชอบด้วย

นายธาริตกล่าวว่า ความตายเพียงหนึ่งศพของนายพัน ย่อมเพียงพอกับการตั้งข้อหาดำเนินคดีกับนายอภิสิทธิ์กับ นายสุเทพเพื่อให้ศาลวินิจฉัยเป็นข้อยุติ นั่นเท่ากับเป็นปฐมบทของเหตุการณ์ “เมษา-พฤษภา อำมหิต” ที่กำลังจะเริ่มต้นกลายเป็นคดีอาญา “ฆาตกรรม” กับผู้ต้องหาที่ชื่อ ศอฉ. แล้วการตอบโต้ชนิดกล่าวหา “ธาริต” ให้เสียผู้เสียคน และเลยเถิดไปสู่ “คนเปลี่ยน สี” ทำงานตามใบสั่งทางการเมืองจึงเกิดขึ้น

แน่ละ การเมืองเพื่อความได้เปรียบ และต้องการเป็นผู้ชนะมากกว่าแพ้ ย่อมทำ ได้ทุกอย่าง แม้แต่กล่าวหาและทำให้คนเปลี่ยนสี เลือกข้างก็ยังได้

- “ธาริต” จัดให้ไม่มีกั๊ก

ธาริต เคยให้สัมภาษณ์ “สยามธุรกิจ” ชนิดที่ไม่เคยพูดที่ไหนว่า เขาไม่เคยเปลี่ยน สี เพราะสีของเขาคือ สีข้าราชการ แน่ละ “ข้าราชการ” ย่อมมีสีมีศักดิ์ มีหน้าที่ มีผู้บังคับบัญชา มีชุดอุดมการณ์ในการปฏิบัติงานเฉพาะ ยากที่คนทั่วไปจะ เข้าใจ “นิสัยเถรตรง” ของนายธาริตในคราบของสีข้าราชการที่ไม่เคยเปลี่ยนได้ถึงแก่นนัก

สีข้าราชการของ “ธาริต” อยู่ในตัว เขามาตลอดในยามทำหน้าที่ให้ “ความเป็นธรรม” กับประชาชน แม้การเมืองเปลี่ยนสี พลัดกลุ่มอำนาจ เลือกข้างแบ่งฝ่ายเข้ามาเป็นรัฐบาล ธาริตก็ยังเป็นข้าราชการทำหน้าที่ตามสีเดิม คือ ยังคุม หน่วยงาน ดีเอสไอ

อันที่จริงแล้ว ทั้งพรรคเพื่อไทย (ยุค พรรคไทยรักไทย) และพรรคประชาธิปัตย์ ล้วนมีส่วนทำให้หน้าที่การงานของธาริตเติบใหญ่ในดีเอสไอทั้งสิ้น ธาริต มีชื่อเป็นผู้ร่วมก่อตั้งพรรคไทย รักไทยในยุค พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และมีบทบาทให้ช่วยราชการในสำนักนายกรัฐมนตรี ทำงานกับน.พ.พรหมมินทร์ เลิศสุริย์เดช รองนายกรัฐมนตรี และเคยเป็น คณะที่ปรึกษาของนายพันศักดิ์ วิญญรัตน์ อีกด้วย ในยุค พ.ต.ท.ทักษิณ เขาถูกโอนมาเป็นรองอธิบดี ดีเอสไอ และได้เป็น “อธิบดี” ในสมัยรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์แต่งตั้ง

แต่เมื่อธาริตทำหน้าที่ในสีของข้าราชการแล้ว ทั้งนักการเมืองในซีกประชาธิปัตย์และฝ่ายเพื่อไทยล้วนถูกเขาเล่นงาน แบบไม่เลือกที่รักมักที่ชังทั้งสิ้น ในยุคพรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาล ธาริต ตั้งข้อหาผู้ก่อการร้ายกับแกนนำ นปช. ต้องติดคุกนานหลายเดือน และข้อหา ก็ยังอยู่ระหว่างการไต่สวนในปัจจุบัน ในยุคพรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาล ธาริตยังอยู่ดีเอสไอแบบมีความสุข รับคดี 98 ศพ มาสอบสวนเพื่อดำเนินคดีกับผู้กระทำการอันเหี้ยมในชั้นศาล เขาเรียก นายอภิสิทธิ์, นายสุเทพ, พ.อ.สรรเสริญ และผู้ที่เกี่ยวข้องกับ ศอฉ. มาสอบสวนอย่างต่อเนื่องในระยะเวลาไม่ต่ำกว่าคนละ 10 ชั่วโมงทุกอย่างที่เกี่ยวกับกระบวนการยุติธรรม ธาริต ดำเนินการมาเป็นขั้นตอนหมด แล้ว เมื่อศาลอาญาวินิจฉัยความตายของ นายพัน จึงเท่ากับเริ่มตั้งธงให้เขาเดินหน้า ตั้งข้อหาดำเนินคดีกับ ศอฉ. และผู้เกี่ยวข้องนั่นคือ คิวบังคับไปถึงนายอภิสิทธิ์ กับนายสุเทพในฐานะ “ผู้ต้องหา” ที่ธาริต กำลังเดินหน้านำตัวไปขึ้นศาลไต่สวน ลงโทษสังเวยความตาย 98 ศพ
ที่มา.หนังสือพิมพ์โลกวันนี้
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันเสาร์ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2555

10 เรื่องน่าสนใจ เกี่ยวกับเทคโนโลยี ที่อยู่ใกล้ตัวคุณ !!?

ในปัจจุบันเทคโนโลยีเป็นสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวมากกว่าที่เราคิด อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อันทันสมัยก็เริ่มกลายเป็นของใช้จำเป็นสำหรับชีวิตประจำวันเข้าไปทุกที ไม่ว่าจะเป็นโทรศัพท์มือถือ นาฬิกา หูฟัง หรือแม้กระทั่งกล้องถ่ายรูป เชื่อว่าอุปกรณ์แทบทุกชิ้นที่ยกตัวอย่างมา ทุกคนที่กำลังอ่านอยู่น่าจะมีใช้งานกัน"อย่างน้อย" คนละหนึ่งชิ้นอย่างแน่นอน ดังนั้น วันนี้เราจะมาสำรวจเทคโนโลยีใกล้ตัวของเราไปพร้อม ๆ กัน เพราะอุปกรณ์ใกล้ตัวเรานี่แหละ สามารถทำอะไรได้มากกว่าที่เราคิด

1. Smartphone อวัยวะลำดับที่ 33 ของทุกคน

คนแทบทุกเพศทุกวัย ทุกสาขาอาชีพน่าจะต้องมีโทรศัพท์มือถือเป็นของใช้ประจำกายกันแทบทุกคน แต่รู้หรือเปล่าว่าสมาร์ทโฟนในยุคนี้ทำอะไรได้มากกว่าที่เราคิด ปัจจุบันเราสามารถพูดคุยกับมือถือของเรา สั่งงานด้วยเสียงได้โดยที่ไม่ต้องกดปุ่ม สมาร์ทโฟนใหม่ ๆ แทบทุกรุ่นมี GPS ติดตั้งในตัว เราสามารถใช้เป็นเครื่องมือนำทางได้ ล่าสุดมีการประยุกต์ใช้สมาร์ทโฟนให้กลายเป็นเครื่องมือนำทางของคนตาบอด โดยใช้ความสามารถของการสั่งงานด้วยเสียงและการระบุตำแหน่งด้วยระบบ GPS ไม่แน่ว่าในอนาคตอันใกล้ เมื่อเราอยากจะตัดสินใจอะไร เราอาจจะต้องหันมาพูดคุยปรึกษากับอวัยวะลำดับที่ 33 นี้ก็เป็นได้นะ

2. Bluetooth Headset เทคโนโลยีที่ซ่อนอยู่ข้างใบหู

รู้หรือเปล่าว่าหูฟังชิ้นเล็ก ๆ นี้มีเทคโนโลยีมากมายที่ได้ถูกบรรจุเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยีในการตัดเสียงรบกวนรอบข้างที่จะช่วยให้การสนทนาของเรา เป็นไปอย่างราบรื่น ซึ่งมีเทคโนโลยีหลายรูปแบบที่ถูกออกแบบมาเพื่อการนี้โดยเฉพาะ เช่น การใช้ไมค์รับเสียงแบบพิเศษที่สามารถตรวจสอบคลื่นรบกวน เสียงลม เสียงรอบข้างที่ไม่ใช่เสียงพูดได้ หรือการใช้เซ็นเซอร์ในการตรวจจับการขยับของกล้ามเนื้อเพื่อใช้เป็นข้อมูล ประกอบการตัดสินใจในการตัดเสียงรบกวน นอกจากนี้หูฟังบลูทูธอย่าง Jawbone ยังสามารถลงแอพพลิเคชั่นเพื่อเพิ่มความสามารถ เพิ่มฟังก์ชั่นการทำงานได้อีกด้วย

3. Headphone นวัตกรรมเพื่อความบันเทิง

รู้หรือเปล่าว่าเสียงคุณภาพดีที่ได้จากหูฟังแต่ละประเภทมีเทคโนโลยีระดับสูง ซ่อนอยู่มากมาย การออกแบบหูฟังตัวใหญ่ ๆ กับการออกแบบหูฟังแบบ In-Ear ก็จะใช้เทคโนโลยีที่แตกต่างกัน พื้นฐานของการออกแบบหูฟัง ก็คือการพยายามย่อขนาดส่วนประกอบต่าง ๆ ของลำโพงมาบรรจุไว้ในหูฟัง โดยรักษาระดับคุณภาพของเสียงไว้ให้ได้มากที่สุด ฉะนั้นหูฟังจึงมีหลายระดับราคา ในหูฟังราคาระดับหมื่นบาทนั้นภายในจะประกอบด้วยวงจรตัวขับที่ออกแบบอย่าง พิถีพิถัน เพื่อให้ได้เสียงร้องที่ชัดเจน เสียงเบสที่หนักแน่น ลองฟังเพลงเดิมด้วยหูฟังดี ๆ สักตัวดูสิ แล้วจะรู้ว่าความแตกต่างของคุณภาพเสียงเป็นอย่างไร

4. Watch เมื่อนาฬิกาเป็นมากกว่าเครื่องบอกเวลา

ถามว่านาฬิกาเรือนนี้ "ทำอะไรได้บ้าง?" คงจะได้คำตอบมากมายเพราะนาฬิกาในยุคที่เทคโนโลยีก้าวกระโดดแบบนี้ เพราะมักมีฟังก์ชั่นการทำงานที่นอกเหนือจากความสามารถพื้นฐานอย่างใช้จับ เวลา หรือใช้บอกเวลาทั่วโลก นาฬิกาบางรุ่นสามารถเดินได้เองโดยไม่ต้องใช้ถ่านและยังคงความเที่ยงตรงไว้ ได้สมบูรณ์ 100% ซึ่งยากที่นาฬิกาแบบออโตเมติกรุ่นก่อน ๆ จะทำได้ หรือนาฬิกาที่ใช้เป็นโทรศัพท์ นาฬิกาที่ออกแบบมาเพื่อนักดำน้ำ นักปีนเขา หรือกิจกรรมเฉพาะด้าน ลองมองดูนาฬิกาที่เราสวมอยู่สิครับว่าทำอะไรได้บ้าง? มองดูแล้วอยากจะเปลี่ยนนาฬิกากันบ้างหรือยัง?

5. Tablet เมื่อความบันเทิงพกติดตัวไปได้ทุกที่

ตั้งแต่แอปเปิลเปิดตัว iPad เราก็ได้เห็นพฤติกรรมและรูปแบบการใช้ชีวิตของคนในยุคดิจิตอลเปลี่ยนไปพอ สมควร และในตอนนี้ก็มีแท็บเล็ตออกมามากมายหลายรุ่นให้เลือกใช้งาน แต่จะมีสักกี่คนที่สามารถใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ? รู้หรือไม่ว่าเราสามารถเข้าไปศึกษาหรือเข้าเรียนคอร์สต่าง ๆ ของมหาวิทยาลัยชั้นนำในต่างประเทศแบบออนไลน์ได้ เราสามารถแก้ไขไฟล์เอกสารงานต่าง ๆ ได้ด้วยชุดแอพพลิเคชั่นออฟฟิศที่มีประสิทธิภาพโดยไม่ต้องพึ่งพาคอมพิวเตอร์ อีกต่อไป และถ้าเราเป็นผู้ที่ชื่นชอบความบันเทิงรูปแบบใหม่ ๆ เดี๋ยวนี้มีเกมบนแท็บเล็ตที่เราสามารถเล่นกับเพื่อน ๆ ที่ออนไลน์อยู่อีกฝั่งนึงของโลกได้แบบเรียลไทม์เลยทีเดียว


6. E-Reader เพื่อนคู่ใจหนอนหนังสือ

หลายคนอาจจะไม่คุ้นเคยกับอุปกรณ์ E-Reader อย่าง Amazon Kindle หรือ Nook อุปกรณ์อ่านหนังสืออิเล็กทรอนิกส์คู่ใจหนอนหนังสือยุคไอที แต่ไม่ช้าก็เร็วเจ้า E-Reader จะเข้ามาแทนที่หนังสือเกือบ 100% อย่างแน่นอน รู้หรือเปล่าว่าเจ้าอุปกรณ์ชิ้นนี้ช่วยให้เราสามารถขนหนังสือเป็นพัน ๆ เล่มติดตัวไปได้โดยมีน้ำหนักไม่ถึงหนึ่งกิโลกรัม เทคโนโลยีที่ใช้ในการแสดงผลก็ให้รู้สึกในการอ่านที่ใกล้เคียงกับกระดาษอ่าน สบายตา และยังมีฟังก์ชั่นดี ๆ อย่างระบบ Note และ Bookmark ที่เราสามารถซิงค์ข้อมูลการอ่านของเราได้กับอุปกรณ์หลายตัว ทำให้สามารถอ่านหนังสือเล่มโปรดได้ทุกที่ทุกเวลาเลยล่ะ

7. Laptop เมื่อต้องพกคอมพิวเตอร์ติดตัวไปทุกที่

ไม่ว่าเราจะทำงานในสาขาอาชีพอะไร เครื่องคอมพิวเตอร์ก็ดูจะเป็นสิ่งจำเป็นในการทำงานไปแล้ว และนับตั้งแต่วันที่แล็ปท็อปเครื่องแรกถือกำเนิดขึ้น ทำให้เราหอบหิ้วเครื่องคอมพิวเตอร์ไปได้ทุกที่ จนถึงวันนี้ก็มี Ultrabook ที่เป็นแล็ปท็อปดีไซน์บางเฉียบ มีน้ำหนักเบา พกพาสบายไม่เป็นภาระ แต่ยังคงไว้ซึ่งประสิทธิภาพระดับเดียวกับเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องใหญ่ ๆ หรือแล็ปท็อปเครื่องหนัก ๆ ที่น่าสนใจคือแล็ปท็อปรุ่นใหม่เดี๋ยวนี้มีระบบรักษาความปลอดภัยทั้งแบบสแกน นิ้วมือและแบบจดจำใบหน้า มีหน้าจอการแสดงผลที่ละเอียดและแสดงผลได้สวยงามไม่แพ้จอรุ่นใหญ่ ๆ ในอนาคตอันใกล้เราคงจะได้เห็นการรวมกันระหว่างแท็บเล็ตและแล็ปท็อปก็เป็นได้

8. Compact Camera กล้องขนาดเล็กคุณภาพเกินตัว

กล้องคอมแพคถือเป็นกล้องที่ขายดีที่สุด เพราะมีขนาดเล็ก พกพาสะดวก ราคาไม่แพง เมื่อก่อนการใช้งานกล้องคอมแพคก็เพียงเพื่อเก็บภาพประทับใจโดยไม่ได้คาดหวัง กับคุณภาพของภาพสักเท่าไร แต่รู้หรือเปล่าว่าในปัจจุบันเทคโนโลยีที่อยู่ในกล้องตัวเล็ก ๆ นี้ก้าวหน้าไปมาก กล้องคอมแพคสามารถโฟกัสใบหน้าคนได้อัตโนมัติ สามารถจดจำใบหน้าของคนที่เรารู้จัก และยังสามารถบันทึกพิกัดของสถานที่ที่เราเก็บภาพได้ด้วยระบบ GPS แถมยังสามารถส่งข้อมูลผ่าน WiFi เพื่อโอนหรือแชร์ภาพถ่ายได้ทันที และนวัตกรรมใหม่ที่เรียกว่า Mirrorless ซึ่งเป็นกล้องตัวเล็กที่สามารถเปลี่ยนเลนส์ได้ ก็ช่วยให้เราได้ภาพในระดับมืออาชีพเลยทีเดียว


9. GPS เพื่อนคู่ใจในการเดินทาง

ไลฟ์สไตล์ของคนที่ชื่นชอบการท่องเที่ยวชอบการเดินทาง อุปกรณ์นำทางอย่าง GPS Navigator ก็คงจะเป็นอุปกรณ์คู่ใจที่ช่วยให้การเดินทางมีสีสันมากยิ่งขึ้น บางคนอาจจะใช้เพียงฟังก์ชั่นพื้นฐานเท่านั้น แต่รู้หรือเปล่าว่าอุปกรณ์ GPS ในสมัยนี้มีราคาที่ถูกลงมาก แถมมีฟังก์ชั่นการใช้งานที่เพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะเป็นจุด POI ที่ครอบคลุมมากขึ้น ระบบการจับสัญญาณดาวเทียมเพื่อคำนวณพิกัดที่ดียิ่งขึ้น ลูกเล่นในการบอกเส้นทาง เช่น การแสดงภาพทางร่วมทางแยกต่าง ๆ เป็นรูปภาพพร้อมแสดงช่องจราจรให้เสร็จสรรพ ป้องกันการเข้าเลนผิดช่องในเมืองใหญ่ ๆ ที่ถนนพันกันเป็นเส้นก๋วยเตี๋ยวได้ดียิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังมีลูกเล่นของการพูดบอกเส้นทางเป็นภาษาต่าง ๆ ทั้งไทยและเทศ ไทยเหนือ ไทยอีสาน เสียงผู้ชาย เสียงผู้หญิง และลูกเล่นอีกมากมายที่จะช่วยให้การเดินทางเป็นเรื่องน่าสนุกมากยิ่งขึ้น

10. Handheld Game Console พกความสนุกไปทุกที่

ในยุคดิจิตอลที่เกมและความบันเทิงเป็นของคู่กัน เครื่องเกมแบบพกพา จึงเป็นสิ่งที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย เครื่องเล่นเกมแบบพกพาอย่าง Nintendo DS, 3DS และ Sony PSP, Vita เป็นเครื่องเล่นเกมแบบพกพาที่อัดแน่นทั้งความบันเทิงและเทคโนโลยี แต่รู้หรือเปล่าว่าเครื่องเล่นเกมเครื่องเล็ก ๆ เหล่านี้ สามารถเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตเพื่อเล่น เกมออนไลน์ได้ และถึงจะมีหน้าจอเล็ก ๆ แบบนี้แต่ก็สามารถใช้ดูหนังฟังเพลงด้วยการแสดงผลภาพและเสียงที่ทำได้อย่างดี เยี่ยม นอกจากนี้ การเล่นเกมยังเพิ่มอรรถรสด้วยระบบสั่นสะเทือนในตัว สามารถเล่นเกมที่แสดงผลในแบบ 3 มิติได้ ทั้งยังมีเทคโนโลยีล่าสุดอย่าง AR (Augmented Reality) ที่พลิกโฉมรูปแบบในการเล่นเกมแบบพกพาไปอย่างสิ้นเชิง ใครที่ยังไม่ไม่เคยเล่น ลองหาโอกาสไปสัมผัสกันดูนะครับ

ที่มา: TENN Magazine IT PLAZA
///////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันศุกร์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2555

เต็ง เส่ง. ชม ซูจี. บนเวทียูเอ็น !!?



ประธานาธิบดีเต็ง เส่ง ของพม่า กล่าวชื่นชมนางอองซาน ซูจี ในที่ประชุมสหประชาชาติ

ประธานธิบดี เต็ง เส่ง ของพม่า กล่าวสุนทรพจน์ในที่ประชุมสมัชชาใหญ่สหประชาชาติ ครั้งที่ 67 ที่นครนิวยอร์กว่า พม่าอยู่บนเส้นทางที่ไม่ย้อนกลับเพื่อมุ่งสู่การเป็นประชาธิปไตย และกำลังก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ เพื่อเป็นสมาชิกใหม่ร่วมกับประชาคมโลก

ผู้นำพม่า ยังกระทำในสิ่งที่เหนือความคาดหมาย ด้วยการกล่าวชื่นชมนางอองซาน ซูจี ผู้นำฝ่ายค้านว่า เป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญต่อการปฏิรูปการเมือง และประเทศของเขาได้ทิ้งยุคแห่งความเป็นเผด็จการของเมื่อ 5 ทศวรรษก่อนไว้เบื้องหลัง อันเป็นการสะท้อนถึงความเปลี่ยนแปลงในพม่าในช่วงกว่า 1 ปีที่ผ่านมา ซึ่งนางซูจี ได้รับเลือกตั้งให้เป็น ส.ส. หลังถูกกักบริเวณในบ้านพักนานถึง 15 ปี

นับเป็นครั้งแรก ที่การกล่าวสุนทรพจน์ในที่ประชุมสมัชชาสหประชาชาติ ท่ามกลางผู้นำโลก ได้ถูกถ่ายทอดสดผ่านทางสถานีโทรทัศน์ของพม่าด้วย และเป็นครั้งแรกที่ผู้นำพม่ากล่าวยกย่องนางซูจี โดยบอกว่า ในฐานะพลเมืองของพม่า เขาขอแสดงความยินดีต่อนางซูจี ที่ได้รับเกียรติสูงสุดในสหรัฐ ที่เล็งเห็นถึงความมุ่งมั่นของเธอในการพัฒนาประชาธิปไตย

เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว นางซูจีเพิ่งได้รับมอบเหรียญเชิดชูเกียรติ จากสภาคองเกรสสหรัฐ ซึ่งถือเป็นรางวัลสูงสุดที่สภาสหรัฐมอบให้กับพลเรือน

ประธานาธิบดีเต็ง เส่ง เข้ารับตำแหน่งเมื่อ 18 เดือนก่อน และได้พยายามให้มีการปฏิรูปออกมาหลายรูปแบบ ขณะที่ล่าสุด ฮิลลารี คลินตัน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐ ได้ประกาศว่า สหรัฐจะผ่อนคลายมาตราการคว่ำบาตรเพื่อนำเข้าสินค้าจากพม่า

ประธานาธิบดีเต็ง เส่ง ยังบอกให้นานาประเทศ มองพม่าในมุมมองที่ต่างไปจากเดิม เพราะจำเป็นที่จะต้องทำงานร่วมกันเพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อประโยชน์และดีกว่าเดิม เขายังได้กล่าวถึงความสำเร็จที่รัฐบาลพม่า ดำเนินการไปแล้ว รวมถึงการปล่อยตัวนักโทษทางการเมืองหลายร้อยคน การจัดการเลือกตั้งที่เสรีและเป็นธรรม และยกเลิกการคงวบคุมสื่อและยอมให้มีการใช้อินเตอร์เน็ตในประเทศ

เขาบอกด้วยว่า สิ่งที่สำคัญพอ ๆ กับการปฎิรูปทั้งด้านการเมืองและเศรษฐกิจ ก็คือความพยามที่จะแก้ไขปัญหาความขัดแย้งเพื่อสร้างความปรองดองกับชนกลุ่มน้อย ซึ่งรัฐบาลได้ตกลงหยุดยิงกับกลุ่มติดอาวุธแล้ว 10 กลุ่ม เพื่อสร้างมาตราการความมั่นใจว่าจะมีการเจรจาสันติภาพอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ได้มีข้อตกลงทางสันติภาพในที่สุด

เขายังได้พูดถึงความรุนแรงในรัฐยะไข่ โดยเฉพาะความขัดแย้งระหว่างชาวพุทธยะไข่และมุสลิม โรฮิงญา โดยบอกว่า ประชาชนชาวพม่ามีสิทธิ์ที่จะอาศัยอยู่ในพม่า และได้มีการจัดตั้งคณะกรรมการที่ประกอบด้วยชาวคริสต์ พุทธ มุสลิมและฮินดูเพื่อสอบสวนถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพื่อนำเสนอรายงานและข้อเสนอแนะต่อเขาต่อไป

ประธานธิบดีเต็ง เส่ง เยือนนครนนิวยอร์ก ช่วงเดียวกับที่นางซูจี อยู่ระหว่างเยือนสหรัฐนาน 17 วัน แม้ว่าบางคนจะมองว่าการเยือนของนางซูจี จะดึงความสนใจ แต่ดูเหมือนประธานาธิบดีเต็ง เส่ง จะไม่ได้คิดเช่นนั้น และยังแสดงความยินดีต่อนางซูจีด้วย

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
///////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

ถึงศาล-ลุ้นเสียวการเมืองถล่ม ยิ่งลักษณ์. !!?

เสียงเป่านกหวีด “ปรี๊ด”ส่งสัญญาณเริ่มต้นขับไล่รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เริ่มแล้ว เป็นการเริ่มต้นจากแนวร่วมเดิมๆที่แยกกันเดิน แยกกันตีมาพักใหญ่ เมื่อเป้าหมายเริ่มน่วมก็กลับมารวมตัวกันอีกครั้ง
หลังขาใหญ่พันธมิตรฯประกาศใกล้ถึงเวลาทำสงครามครั้งสุดท้าย ดูเหมือนว่าเงื่อนไขที่จะเข้าสู่สงครามเริ่มมีมากขึ้น

น.ส.มนัสนันท์ หนูคำ ที่มีภาพปรากฏไปต่อว่านางดารุณี กฤตบุญญาลัย กลางห้างดัง โดยมีเรื่องสถาบันเข้ามาเกี่ยวข้อง

ก่อนหน้านี้เป็นใครไม่มีใครรู้ แต่วันนี้ได้รับการหนุนหลังจากพันธมิตรฯเต็มแรง
นายสุวัตร อภัยภักดิ์ ทนายมือหนึ่งของพันธมิตรฯ ที่โชว์ฝีมือสะท้านวงการนักกฎหมาย ทำให้ไม่มีใครในเสื้อเหลืองต้องติดคุกสักวินาทีเดียวทั้งที่มีคดีความติดตัวยาวเป็นหางว่าว
ตั้งแต่คดีเล็กอย่างหมิ่นประมาท จนถึงคดีใหญ่ก่อการร้ายยึดสนามบิน โดดเข้ามาช่วยเหลือทางคดีแก่ น.ส.มนัสนันท์เต็มตัว

ไม่เพียงเท่านั้น แกนนำพันธมิตรฯยังออกแถลงการณ์สนับสนุนอย่างเป็นทางการ
โยนการปะทะระหว่างม็อบ 2 สีที่หน้ากองปราบปราม เป็นการการยั่วยุ คุกคาม โดยคนเสื้อแดงและตำรวจ
ตอกย้ำความคิด “เสื้อเหลือง เสื้อหลากสี ไม่มีวันผิด”

“เราขอยืนยันอีกครั้งหนึ่งว่า จุดยืนของแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยให้กำลังใจและสนับสนุนผู้ที่ปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์”

แสดงท่าทีชัดเจนเพื่อรักษามวลชน เลี้ยงกระแส ไม่ให้ก้มหัวยอมอีกฝ่ายที่ถูกประทับตราว่าไม่จงรักภักดี
ประเด็นเรื่องสถาบันจึงคุกรุ่นพร้อมปะทุขึ้นมาได้ทุกเมื่อ

น่าจับตาว่า วันที่ 29 ต.ค. ที่กองปราบปรามเรียกตัว น.ส.มนัสนันท์ หนูคำ มาให้ปากคำอีกครั้ง จะมีการปะทะเดือดระหว่างสองฝ่ายเกิดขึ้นหรือไม่
ทางหนึ่งแสดงจุดยืน ตอกย้ำท่าทีเพื่อรักษามวลชน

อีกทางหนึ่งก็ยกคำพิพากษาศาลอาญา ที่ยกฟ้องนายสนธิ ลิ้มทองกุล คดีหมิ่นสถาบันจากการนำคำพูดของ น.ส.ดารณี ชาญเชิงศิลปกุล หรือ “ดา ตอร์ปิโด” มาถ่ายทอดซ้ำบนเวทีปราศรัยของพันธมิตรฯที่มีการถ่ายทอดสดไปทั่วประเทศ มาตอกย้ำว่ากฎหมายอาญา มาตรา 112 ไม่ได้เป็นปัญหา เพราะศาลดูที่เจตนา

“จะใช้มาตรา 112 กลั่นแกล้งใครหรือไม่ขึ้นอยู่กับสันดานคน”
บลั๊ฟกลับกลุ่มเคลื่อนไหวให้แก้ไขมาตรา 112 ให้ขาดความชอบธรรมไปในตัว
การหลุดพ้นข้อกล่าวหาหมิ่นสถาบันเหมือนปลดพันธนาการให้แกนนำพันธมิตรฯมีความชอบธรรม เพิ่มน้ำหนักต่อต้านการแก้ไขมาตรา 112 ได้มากขึ้น

แสดงตนเป็นผู้มีความจงรักภักดีมากกว่าฝ่ายตรงข้ามได้มากขึ้น เต็มปากขึ้น
จะใช้ประเด็นปกป้องสถาบันออกมาเคลื่อนไหวเพื่อยกระดับขยายผลไปเรื่องอื่นๆเหมือนที่เคยทำมาในอดีต ก็ทำได้ง่ายมากขึ้น
เงื่อนไขเริ่มเข้าทาง

และที่วางใจไม่ได้เลยคือ ประเด็นการตีความคุณสมบัติของนายยงยุทธ วิชัยดิษฐ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย

แม้จะชิงยื่นเรื่องให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ตรวจสอบคุณสมบัติของตัวเองว่าขัดต่อข้อกำหนดรัฐธรรมนูญที่ห้ามผู้ที่เคยถูกไล่ออก ให้ออก จากราชการ เป็น ส.ส. เป็นรัฐมนตรีหรือไม่ ก็ไม่มีอะไรการันตีว่าหาก กกต. ชี้ว่าขัดต่อข้อกำหนดความซวยจะไม่ตกไปถึงนายกฯยิ่งลักษณ์

ยิ่งพรรคประชาธิปัตย์ไม่รอการตัดสินของ กกต. ชิงส่งเรื่องตรงขึ้นศาลรัฐธรรมนูญให้ตีความ ก็ได้เสียวกันอีกรอบ

เพราะทุกเรื่องที่ขึ้นถึงศาลรัฐธรรมนูญ ผลออกมาในทางไม่ค่อยเป็นคุณกับลูกข่ายทักษิณเท่าไร
หากชี้ว่าขาดคุณสมบัติ มีคนขยายผลเอาผิดถึงนายกฯยิ่งลักษณ์แน่ที่ไม่ปรับออกจากคณะรัฐมนตรี
คำยืนยันจากคณะกรรมการกฤฎีกา สำนักงานข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) ว่าได้รับประโยชน์จาก พ.ร.บ.ล้างมลทินปี 2550 แล้ว ไม่อาจใช้เป็นหลักเกาะยึดโต้งแย้งกับศาลรัฐธรรมนูญได้ เหมือนกับที่มีบทเรียนมาแล้วหลายกรณี

ไม่เพียงแค่นี้ นายอดิศร อิศรางกูร ณ อยุธยา คณบดีคณะพัฒนาการเศรษฐกิจ นิด้า ยังยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาลว่าขัดรัฐธรรมนูญ มาตรา 84 วรรค 1 ที่ระบุว่า รัฐบาลต้องสนับสนุนเศรษฐกิจแบบเสรีและเป็นธรรม โดยอาศัยกลไกตลาดที่มีการแข่งขัน โดยต้องยกเลิกการทำธุรกิจที่มีลักษณะแข่งขันกับเอกชน เว้นแต่ว่ามีความจำเป็นเพื่อประโยชน์ในการรักษาความมั่นคงของรัฐและส่วนรวม หรือไม่อีก

เข้าคิวให้ได้ลุ้นเสียวกันอีกเรื่อง

เงื่อนไขหลายเรื่องกำลังถูกปั่น ถูกเร่งให้โต ถ้ารัฐบาลและนายกฯยิ่งลักษณ์ประมาท เตรียมรับมือไม่ดี อาจหมดอายุก่อนครบวาระ 4 ปี

ที่มา.หนังสือพิมพ์โลกวันนี้
////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันพฤหัสบดีที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2555

จะเอาตัวรอดในอาเซียนอย่างไร ? เมื่อความท้าทายไม่ใช่แค่ ภาษาอังกฤษ อย่างเดียว !!?

โดย ชัชชล อัจนากิตติ





ชั่วโมงนี้ไม่ว่าใครก็พูดถึง "อาเซียน"


เพราะตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ.2558 เป็นต้นไป สมาชิกทั้ง 10 ประเทศจะก้าวเข้าสู่ "ประชาคมอาเซียน" ซึ่งเป็นความร่วมมือเพื่อสร้างเสถียรภาพในภูมิภาค โดยเฉพาะในส่วนของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ที่เป็นความร่วมมือหาศักยภาพของตนเองภายใต้ภาวะที่ตลาดโลกมีการแข่งขันสูง

จึงไม่แปลกที่ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ตลอดจนภาคประชาชน จะออกมาแสดงความพร้อมรับความเปลี่ยนแปลงที่ตลาดภายในของแต่ละประเทศจะหลอมรวมกับประเทศเพื่อนบ้าน ในลักษณะตลาดเดียว ฐานการผลิตเดียว ซึ่งจะเป็นการเปิดเสรีทางการค้า, การบริการ, การลงทุน, การเงิน และการเคลื่อนย้ายแรงงานมีฝีมือ

และความเปลี่ยนแปลงนี้ย่อมส่งผลกระทบต่อชีวิตเราๆ ท่านๆ อย่างแน่นอน จะมากหรือน้อย จะดีหรือร้าย ก็คงไม่อาจเลี่ยง

โดยเฉพาะอย่างยิ่งบรรดา "บัณฑิตจบใหม่"ซึ่งเป็นเจเนอเรชั่นที่ต้องเร่งปรับตัวให้ทันอนาคต

ทั้งอนาคตของตนเอง และอนาคตของประเทศชาติ

ด้วยเหตุนี้เอง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จึงได้บรรยายพิเศษในหัวข้อ "มาตรฐานวิชาชีพอาเซียน : ความท้าทายที่บัณฑิตไทยต้องไปให้ถึง" โดยมี ดร.ธัญญลักษณ์ วีระสมบัติ รองผู้อำนวยการโครงการพิเศษหลักสูตรพัฒนาแรงงานและสวัสดิการมหาบัณฑิต อาจารย์ประจำสาขาพัฒนาแรงงานและสวัสดิการ คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มาให้ความรู้แก่นักศึกษาและผู้สนใจ

ดร.ธัญญลักษณ์กล่าวว่า ปัจจุบันนักเรียน นักศึกษา ซึ่งจะเป็นแรงงานในอนาคต ยังขาดความรู้ความเข้าใจทั้งต่อประชาคมอาเซียน ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน และการเคลื่อนย้ายแรงงาน ซึ่งประเด็นสุดท้ายนี้จะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญต่อการประกอบอาชีพในอนาคต

"จากการสำรวจทัศนคติและการตระหนักรู้เกี่ยวกับอาเซียน โดยใช้กลุ่มตัวอย่างนักศึกษา 2,170 คน จาก มหาวิทยาลัยชั้นนำในประเทศสมาชิกอาเซียนทั้ง 10 ประเทศ ชี้ว่า นักศึกษาไทยมีความรู้และมีทัศนคติต่อความรู้เกี่ยวกับอาเซียนในระดับต่ำ เมื่อเปรียบเทียบกับนักศึกษาในชาติอาเซียนอื่นๆ และเมื่อถามว่าคุ้นเคยกับอาเซียนแค่ไหน มีเพียง 68% ที่คุ้นเคย แต่เมื่อถามว่ามีความรู้เกี่ยวกับอาเซียนหรือไม่ นักศึกษาไทยกลับตกลงมาเป็นอันดับสุดท้าย มี 27.5% เท่านั้นที่มีความรู้"


ดร.ธัญญลักษณ์ วีระสมบัติ
ดร.ธัญญลักษณ์ วีระสมบัติ
ดร.ธัญญลักษณ์ชี้ให้เห็นจุดอ่อนของนักศึกษาไทย ก่อนจะอธิบายว่า หลายคนอาจจะไม่ให้ความสำคัญกับการเปิด "ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน" เพราะคิดว่าเดิมการไหลเวียนเหล่านี้ก็มีอยู่แล้ว แต่จริงๆ การเปิดเสรีอย่างเป็นทางการนั้นจะยิ่งทำให้ความสัมพันธ์เข้ามาใกล้ชิดกันมากขึ้น อีกทั้งปกติทุนไทยลงทุนในภูมิภาคอาเซียนกว่า 75% เมื่อเทียบกับภูมิภาคอื่น หากพิจารณาให้ดีจะเห็นว่าอัตราการส่งออกและนำเข้าในอาเซียนขยายตัวโดยตลอด และที่สำคัญยังมีศักยภาพที่จะขยายตัวได้อีก

"นี่เป็นโอกาสจากการเปิดเสรีทางการค้าสินค้า การบริการ และการลงทุน เนื่องจากภูมิภาคอาเซียนมีตลาดขนาดใหญ่ ประชากรกว่า 580 ล้านคน ดึงดูดการค้าการลงทุนจากประเทศทั้งภายในและภายนอก นอกจากนี้ อาเซียนยังมีแหล่งวัตถุดิบที่หลากหลาย และอุดมสมบูรณ์ ซึ่งจะทำให้ราคาวัตถุดิบถูกลง ต้นทุนผลิตสินค้าต่ำลง และขีดความสามารถในการแข่งขันสูงขึ้น เป็นการเพิ่มกำลังการต่อรองในเวทีการค้าโลก" ดร.ธัญญลักษณ์ กล่าว

อย่างไรก็ดี โอกาสใหม่ๆ ที่กำลังจะเกิดขึ้นนี้ ก็เป็นทั้งข่าวดีและข่าวร้ายต่อบัณฑิต หรือแรงงานมีฝีมือที่จะเข้าสู่ตลาดแรงงานในอนาคต

ดร.ธัญลักษณ์กล่าวว่า ข่าวดีของแรงงาน คือ มีโอกาสในการขยายประสบการณ์การทำงาน มีโอกาสในการมีรายได้เพิ่มสูงขึ้น และที่สำคัญ ทักษะฝีมือจะเป็นตัวกำหนดระดับรายได้ ขณะเดียวกัน ข่าวร้าย คือ ความสามารถด้านภาษา โดยเฉพาะภาษาอังกฤษและภาษาของประเทศอื่นในอาเซียน ในระดับที่จะสามารถปฏิบัติงานได้อย่างชำนาญ ทั้งนี้ ปัญหาเรื่องภาษานั้นเป็นปัญหาเก่าๆ ที่ถูกพูดถึงเป็นประจำอยู่แล้ว

แต่ข้อจำกัดอื่นที่มีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน และยังไม่ถูกพูดถึงมากนัก คือ พฤตินิสัยของคนไทยที่มักจะขาดความกระตือรือร้น ไม่กล้าตัดสินใจ และไม่สามารถการดูแลตัวเอง หรือเรียกรวมๆ ว่าขาดทักษะผจญภัย (adventurous skill) ที่จะไปประกอบอาชีพในต่างแดน ซึ่งต้องอาศัยทักษะการคิดวิเคราะห์ แก้ไขปัญหา ทำงานเป็นทีม ตรงต่อเวลา และมีระเบียบวินัย

"เด็กสมัยนี้ไม่มีปัญหาเรื่องการใช้เทคโนโลยี พวกเขาเติบโตมากับการสื่อสารสมัยใหม่ที่เข้าถึงได้ง่ายและมีความรวดเร็ว ทำให้พวกเขาเป็นคนที่กล้าแสดงออก คิดเร็ว ทำเร็ว แต่มีข้อเสียคือ พูดไม่รู้เรื่อง ไม่มีความอดทน รอไม่เป็น ขาดการจัดระบบความคิด และระเบียบในการใช้ชีวิต" รองผู้อำนวยการโครงการพิเศษหลักสูตรพัฒนาแรงงาน ชี้ให้เห็นข้อด้อยของแรงงานไทยในอนาคต

ปัจจุบันประเทศไทยได้ลงนามข้อตกลงยอมรับร่วมคุณสมบัตินักวิชาชีพแล้ว7 สาขา คือ แพทย์ ทันตแพทย์ พยาบาล นักบัญชี วิศวกร สถาปนิก ช่างสำรวจ ส่วนสาขาวิชาชีพอื่นๆ จะทยอยทำข้อตกลงร่วมกันในอนาคต อาทิ สาขาวิชาชีพท่องเที่ยว ที่ทั้ง 9 ประเทศได้ลงนามข้อตกลงร่วมกันแล้ว แต่ไทยยังอยู่ในกระบวนการเตรียมความพร้อม

อย่างไรก็ดี บรรดาบัณฑิตจะนิ่งนอนใจ รอคอยการช่วยเหลือจากภาครัฐแต่ฝ่ายเดียวไม่ได้ ต้องวิเคราะห์จุดอ่อนจุดแข็งของตัวเองด้วย ทั้งนี้ จากการสำรวจจุดแข็งจุดอ่อนแรงงานไทยในทรรศนะนายจ้าง พบว่า จุดแข็งของแรงานไทยอยู่ที่ฝึกฝนได้ เรียนรู้ง่าย มีความสุภาพอ่อนน้อม และไม่ก้าวร้าว ส่วนจุดอ่อนคือ ขาดการฝึกอบรมอย่างเพียงพอ ขาดทักษะที่เป็นมาตรฐาน และระเบียบในการทำงานต่ำ

ในตอนท้าย ดร.ธัญลักษณ์ได้สรุป "คุณลักษณะบัณฑิตไทยที่พึงประสงค์ในประชาคมอาเซียน" ไว้ 7 ข้อด้วยกัน ได้แก่ 1.มีทักษะและความสามารถใช้ภาษาอังกฤษ-ภาษาประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียน 2.มีความรู้เกี่ยวกับเพื่อนบ้าน ทั้งในด้านวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ 3.ติดตามข่าวสารเกี่ยวกับอาเซียนและเรียนรู้เกี่ยวกับกฎระเบียบต่างๆ ของอาเซียน 4.พัฒนาทักษะฝีมือให้สามารถปรับตัวเข้ากับมาตรฐานการทำงานที่เป็นสากล 5.พัฒนาความสามารถในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ 6.ปรับกระบวนทัศน์การเรียนรู้ในการพัฒนาศักยภาพรอบด้าน และ 7.สร้างความสามารถในการทำงานร่วมกับผู้อื่น โดยเฉพาะการทำงานกับผู้คนต่างวัฒนธรรม

ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น และข้อเสนอทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่บัณฑิตและแรงงานทั้งหลายต้องรับฟัง

หากต้องการปรับตัวให้เท่าทันกระแสการค้าเสรีเพื่อความอยู่รอด

อย่าตระหนก แต่ต้องตระหนัก!



เกร็ดอาเซียน

หน่วยงานของ"อาเชียน"

เกี่ยวกับหน่วยงานที่สำคัญของอาเซียนนั้น มีอยู่ 2 ระดับ

1. คือ สำนักเลขาธิการอาเซียน หรือ ASEAN Secretariat ตั้งอยู่ที่กรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย เปรียบเสมือนศูนย์กลางในการติดต่อระหว่างประเทศสมาชิก โดยมีเลขาธิการอาเซียน (ASEAN Secretary -General) ซึ่งมีวาระตำแหน่ง 5 ปี เป็นหัวหน้าสำนักงาน ซึ่งปัจจุบันคือ ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ

2. คือ สำนักงานอาเซียนแห่งชาติ หรือ ASEAN National Secretariat เป็นหน่วยงานระดับกรม ในกระทรวงการต่างประเทศของประเทศสมาชิกอาเซียน มีหน้าที่ประสานกิจการอาเซียนในประเทศนั้นและติดตามผลการดำเนินงาน สำหรับประเทศไทย หน่วยงานที่รับผิดชอบคือ กรมอาเซียน กระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งปัจจุบันมี ร.ท.อรรถยุทธ์ ศรีสมุทร เป็นอธิบดี


ที่มา นสพ.มติชนรายวัน
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

ชาวนา เหนือ-อีสาน รวยเงียบปลูกข้าวพรีเมี่ยม ตันละ 7 หมื่น ส่งญี่ปุ่น-อเมริกา !!?

เชียงราย - ชาวนาเชียงราย เชียงใหม่ ลำพูน พิษณุโลก ชัยนาท สกลนคร หนองคาย ปลูกข้าวญี่ปุ่น ขายตันละ 5-7 หมื่นบาท โบรกเกอร์ ไทย-ฮ่องกงกว้านซื้อเรียบ ปล่อยต่อตลาดคนรวย สหรัฐฯ ญี่ปุ่น ยุโรป และประเทศในตะวันออกกลาง ขณะ ที่ข้าวสังข์หยดพัทลุง ขายในห้าง กิโลกรัมละ 80 บาท หรือตันละ 8 หมื่นบาท ‘เจ้าสัวซี.พี.’ แนะลดพื้นที่เพาะปลูกจาก 63 ล้านไร่เหลือ 25 ล้านไร่ เน้นขายตลาดบน ส่วนตลาดล่างรับจากพม่ามาปล่อยแทน

แหล่งข่าวระดับสูงในวงการข้าว เปิดเผย “สยามธุรกิจ” ว่า จังหวัดเชียงราย เป็นแหล่งปลูกข้าวพันธุ์ดีอีกแหล่งหนึ่ง ซึ่งนอกเหนือจากสายพันธุ์ที่ปลูกและคิดค้นโดยคนไทยแล้ว ยังมีข้าวสายพันธ์จากต่างประเทศเช่นข้าวญี่ปุ่นปลูกขายอีกด้วย โดยเฉพาะข้าวญี่ปุ่นนั้นทำรายได้ให้กับเกษตรกรในจังหวัดเชียงรายอย่างมาก เพราะมีราคาขายค่อนข้างสูง คือข้าวสารราคาตันละ 5 หมื่นบาท (เปรียบเทียบข้าวสารไทยราคาตันละ 2-3 หมื่นบาท) โดยมีการประกันราคารับซื้อจากโบรกเกอร์ในจังหวัดเชียงรายหลายราย ซึ่งโบรกเกอร์เหล่านี้จะส่งไปขายต่อญี่ปุ่นอีกทอดหนึ่ง เท่าที่ทราบญี่ปุ่นรับซื้อในราคาตันละ 7 หมื่นบาท ปัจจุบันปลูกกันมากในหลายอำเภอ เช่น อำเภอแม่จัน อำเภอเวียงป่าเป้า อำเภอพาน เป็นต้น

“สยามธุรกิจ” ได้ตรวจสอบข้อมูลพบว่า ศูนย์วิจัยข้าวเชียงราย เป็นศูนย์วิจัยข้าวแห่งแรกที่นำ “ข้าวญี่ปุ่น” เข้ามาทดลองปลูกในประเทศไทย ตั้งแต่ปี 2507 โดยได้ดำเนินการที่สถานีทดลองข้าวพาน และสถานีทดลองข้าวสันป่าตอง จากนั้นนำไปปลูกทดสอบผลผลิตในนาเกษตรกรจังหวัดเชียงราย เชียงใหม่ ลำพูน พิษณุโลก ชัยนาท สกลนคร และจังหวัดหนองคาย ใช้ชื่อพันธุ์ว่า ‘ข้าวญี่ปุ่น ก.วก.1 และข้าวญี่ปุ่น ก.วก.2’ มีลักษณะเด่นคือให้ผลผลิตสูงในสภาพดินที่มีความอุดมสมบูรณ์ สามารถปรับตัวได้ดีในพื้นที่ดินนาเขตภาคเหนือตอนบน ภาคเหนือตอนล่าง และภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ทนทานต่อสภาพอากาศร้อนได้ดีกว่าข้าวญี่ปุ่นพันธุ์อื่นๆ คุณภาพการหุงต้มและรับประทานดี ตรงตามมาตรฐานสำหรับผู้บริโภคข้าวญี่ปุ่น ราคาสูงกว่าข้าวทั่วไป

แหล่งข่าวกล่าวต่อไปว่า นอกจากข้าวญี่ปุ่นแล้ว ข้าวที่มีคุณลักษณะพิเศษ อาทิ ข้าวกล้อง ข้างสังข์หยดจังหวัดพัทลุง ยังเป็นที่ต้องการของตลาดโลก จำหน่ายในราคาตันละ 4-5 หมื่นบาท แปรรูปเป็นข้าวสารขายกิโลกรัมละ 80 บาทหรือตันละ 8 หมื่นบาท โดยมีโบรกเกอร์ชาวฮ่องกงบินมากว้านซื้อเพื่อไปปล่อยต่อในตลาดโลก เท่าที่ทราบโบรกเกอร์ชาวฮ่องกงจะได้ออเดอร์จากต่างประเทศก่อน แล้วจึงมาหาซื้อสินค้าในเมืองไทย

สอดคล้องกับข้อมูลที่ “สยามธุรกิจ” ได้รายงานไปก่อนหน้านี้ว่ามีกลุ่มพ่อค้าคนกลางหรือเทรดเดอร์ จากฮ่องกงบินมาเจรจาขอซื้อข้าวสารไทยไปขายต่อในตลาดโลก โดย นายพอลล์ อลัน คาร์โดนา ผู้แทนบริษัท ไคลอง บิสซิเนส ดีเวลลอปเม้นท์ เซอร์วิส จำกัด ที่เป็นทั้งเทรดดิ้งและเป็นตัวแทนจัดหาจัดซื้อสินค้าให้แก่ลูกค้า ซึ่งกระจายอยู่ทั่วทุกภูมิภาคในหลายตลาด เช่น สหรัฐฯ ยุโรป และประเทศในตะวันออกกลาง นอกจากบริษัท ไคลอง บิสซิเนส ดีเวลลอปเม้นท์ เซอร์วิส แล้วยังมีบริษัทฮ่องกงอีกอย่างน้อย 3-5 บริษัทสั่งซื้อข้าวไทยไปปล่อยต่อ
สำหรับข้าวสังข์หยดเป็นข้าวพันธุ์พื้นเมืองจังหวัดพัทลุงที่มีการปลูกและเป็นที่นิยมในท้องถิ่นมานานหลายชั่วอายุคนแล้ว โดยเป็นข้าวนาสวนที่มีคุณภาพ ต้านทานต่อโรคและแมลงศัตรูพืช สามารถปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมได้ดี และที่สำคัญเมื่อหุงสุกแล้ว ข้าวสังข์หยดจะมีความอ่อนนุ่ม ค่อนข้างเหนียว ทำให้ย่อยง่าย เหมาะกับผู้สูงอายุและผู้ที่ไม่ใช้แรงงานหนัก ปัจจุบันกระแสความนิยมของผู้บริโภคได้ให้ความสำคัญกับอาหารสุขภาพ ปลอดภัยจากสารพิษ ข้าวสังข์หยดเป็นหนึ่งในสินค้าที่ได้รับความนิยมจากผู้บริโภคอย่างกว้างขวาง ปัจจุบันขยายพื้นที่เพาะปลูกไปในภาคอีสานด้วย

นางนันทวัลย์ ศกุนตนาค อธิบดีกรมส่งเสริมการส่งออก เปิดเผยว่า สิวสเซอร์แลนด์เป็นอีกหนึ่งประเทศที่ต้องการข้าวคุณภาพสูง เนื่องจากมีการวิจัยในยุโรปว่าข้าวเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย และไม่มีสารที่ก่อให้เกิดการแพ้ และเนื่องจากสวิสเป็นประเทศที่มีคุณภาพชีวิตสูงกว่ามาตรฐานทั่วไป ปัจจัยสำคัญของข้าวที่จะได้รับความนิยมและสามารถจำหน่ายในสวิสได้ต้องเป็นข้าวคุณภาพสูงเพียงอย่างเดียวเท่านั้น โดยไม่เกี่ยงเรื่องราคา เช่น ข้าวหอมมะลิ ข้าวกล้อง ฯลฯ

นายธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานกรรมการและประธานคณะผู้บริหารเครือเจริญโภคภัณฑ์ กล่าวปาฐกถาพิเศษ จุดเปลี่ยนการค้าโลก ไทยจะเดินอย่างไร ในงานวันสถาปนากระทรวงพาณิชย์ ครบรอบ 92 ปีว่า ควรลดพื้นที่ปลูกข้าวลงให้เหลือเพียง 25 ล้านไร่ในเขตชลประทาน จากปัจจุบัน 63 ล้านไร่ โดยพัฒนาการผลิตให้สมบูรณ์แบบ ดีกว่าปลูกมากแต่ไม่ได้คุณภาพ เพื่อเพิ่มระดับราคาให้สูงขึ้น และรักษาระดับตลาดบนไว้ ในขณะที่ตลาดระดับล่าง ควรให้ภาคเอกชนซื้อข้าวจากประเทศเพื่อนบ้านโดยเฉพาะพม่ามาส่งออกแทน

ที่มา.สยามธุรกิจออนไลน์
////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////