กระบวนการปรองดองเป็นกระบวน การที่ต้องอาศัยเวลา ความอดทน และ การมีส่วนร่วมจากทุกฝ่ายและทุกภาคส่วนในประเทศ การดำเนินการใดๆ ของ ผู้ที่เกี่ยวข้อง โดยพยายามที่จะรวบรัดหรือเร่งรัดกระบวนการปรองดองนั้น เป็นการกระทำที่ไม่เอื้อต่อบรรยากาศของการปรองดอง
นับเนื่องมาจนถึงวันนี้ คำว่า “ปรองดอง”..ยังเป็นเหมือนภาพฝันในอากาศ คำพูดที่สวยหรู แต่ขาดความเป็นรูปธรรม.. จนสงสัยว่า..เมื่อไหนคนไทยจะรักกันเสียทีมีนักวิชาการหลายท่านกล่าวว่า ความเห็นที่แต่ต่างทางการเมือง คือวิถีของ ประชาธิปไตย แต่ก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าประชาธิปไตยบ้านเราทำไมถึงกลายเป็นความแตกแยก..ชนิดร้าวลึก!!
“ดร.ชาญชัย ชัยสุขโกศล” จากสถาบันสิทธิมนุษยชน และสันติศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล อธิบายถึงพลวัตของการเปลี่ยนผ่านทางการเมืองว่า ทุกๆ การ เปลี่ยนผ่านทางสังคมการเมืองจะเกิดขึ้นในลักษณะที่สังคมการเมืองเผชิญกับความ แตกแยกร้าวลึกกินวงกว้างระดับประเทศ มีกลุ่มความคิดทางการเมืองสองกลุ่มที่ไม่สามารถเห็นพ้องต้องกันได้ในประเด็น พื้นฐานทางการเมืองปกติที่มีอยู่ เช่น การ ตัดสินโดยเสียงส่วนใหญ่ในรัฐสภา
ในขณะเดียวกันก็มีการใช้วิธีการต่างๆ เพื่อกำราบฝ่ายที่ได้ชัยชนะ เช่น การ เดินขบวนเคลื่อนไหวมวลชน หรือแทรกแซง ทางการเมืองรูปแบบอื่น เป็นต้น
“ในสถานการณ์ปัจจุบันฝ่ายเสื้อเหลืองและฝ่ายเสื้อแดงนั้นมีความคิดกันคนละแบบ ในขณะที่ต่างฝ่ายต่างก็มีจุดอ่อน โดยแนวคิดของเสื้อเหลือง มีลักษณะ คล้ายรัฐธรรมนูญปี 2550 ที่ประชาชนไม่มี ส่วนร่วม แม้จะมีเสรีภาพแต่อำนาจการตรวจสอบไม่ได้อยู่ที่ประชาชน ในขณะที่ฝ่ายเสื้อแดงในระดับหนึ่งคล้ายคลึงกับรัฐธรรมนูญปี 2540 ที่ทำให้เสรีนิยมหายไปโดยมีประชาธิปไตยเข้ามาแทรกแซง ดังนั้นอาจสรุปได้ว่า ประชาธิปไตยขณะนี้ เป็นประชาธิปไตยที่ไม่เสรีและไม่มีประชาชน อยู่ร่วมด้วย”
ปรากฏการณ์เหล่านี้บ่งชี้ว่า สัญญา ประชาคมที่เคยกำกับความสัมพันธ์ของแต่ละฝ่ายนั้นในช่วงที่ผ่านมาไม่สามารถใช้การได้ และจำเป็นต้องมีการสร้างขึ้นมา ใหม่ เพื่อให้ทุกฝ่ายรู้สึกถึงความมั่นคงแน่นอนและคาดการณ์ได้ระดับหนึ่งว่า ใครควรทำอะไร มีขอบเขตเพียงใด หรือใครควรตอบสนองใครในเรื่องใดเพียงใด โดยอาศัยเวทีร่วมที่เป็นพื้นที่กลาง ซึ่งมีทั้งอำนาจหน้าที่ ที่ชอบธรรมเพียงพอที่จะ ตัดสินใจเกี่ยวกับรูปแบบและลักษณะการอยู่ร่วมกันของเราทุกฝ่ายในอนาคต และเป็นพื้นที่ที่รวมทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับความ ขัดแย้ง ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายที่ต้องการเปลี่ยนแปลง ฝ่ายที่ต้องการคงสภาพเดิมหรือฝ่าย อื่นๆ ด้วย โดยไม่มีการครอบงำจากฝ่ายใด ฝ่ายหนึ่งมากเกินไป เพื่อให้ทุกฝ่ายสามารถ เสนอวาระเนื้อหาของตนเองได้เต็มที่
“สิ่งสำคัญประการหนึ่งที่ต้องทำ คือ การฟื้นฟูและสร้างความไว้วางใจขึ้นมาใหม่ ให้ได้ โดยแต่ละฝ่ายจำเป็นจะต้องยอมเสี่ยง เพื่อที่จะสร้างความสัมพันธ์ชนิดใหม่ กับผู้ที่เลิกไว้วางใจไปแล้ว” ดร.ชาญชัย กล่าว และว่าแม้กระบวนการดังกล่าวนี้ไม่ง่าย เต็มไปด้วยอุปสรรคและอาจถูก “ป่วน” ได้ตลอดเวลาจากการขัดแย้งกันในเชิงสิทธิอำนาจ และผลประโยชน์ของแต่ละฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ดังนั้นต้องอาศัยเวลา และความอดทนมุ่งมั่น และประคับประคอง กระบวนการทั้งหมดนี้ให้เป็นไปอย่างสืบเนื่อง”
ขณะที่ “รศ.ดร.โคทม อารียา” ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาและพัฒนาสันติวิธี มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวเกี่ยวกับสัญญาประชาคมว่า การที่คนในสังคมเห็นพ้องต้องกันในเรื่องหนึ่งเรื่องใด นั่นเสมือนว่า เรามีคำสัญญาว่าเราจะอยู่ร่วมกันได้ ในกรอบดังกล่าว โดยอาจจะทำเป็นลายลักษณ์ อักษรหรือไม่ก็ได้
“สำหรับประเทศไทยแล้ว คำว่าสัญญาประชาคมในความหมายของตะวันตก เราไม่ได้ให้ความสำคัญกันมาก แต่เราก็อยู่กันได้ในประวัติศาสตร์มา 700 กว่าปีแล้ว นั่นคือที่ผ่านมาเรามีอะไรบางอย่างที่สามารถยึดเหนี่ยวสังคมนี้ร่วมกัน ในขณะเดียวกันก็ไม่ได้แปลว่า เราไม่มีปัญหา โดยมองว่าขณะนี้เรามัวแต่ทะเลาะ กันมากเกินไป และมีความเสี่ยงที่จะเข่นฆ่า กันอีก ทั้งในถนนของกรุงเทพฯ และ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ สะท้อนว่าความแน่นแฟ้นกลมเกลียวกันในสังคมของเราขณะนี้เปราะบางมาก”
สังคมขณะนี้มองเห็นแต่ความแตกต่าง และมองข้ามสิ่งที่คิดเหมือนกัน เช่น ไม่มีใครเถียง คำว่า “ประชาธิปไตย” แต่เราเถียงกันในรายละเอียด เช่น ประชาธิปไตยแบบเลือกตั้งไม่ดีชวนให้คนทะเลาะกัน ซึ่งในลักษณะเช่นนี้ก็ต้องมาคุยกัน เพื่อสร้างข้อตกลงภายใต้กรอบประชาธิปไตย โดยตัดความระแวงกันว่า ฝ่ายหนึ่งจะล้มล้างประชาธิปไตย หรือล้มเจ้า
ทั้งนี้ รศ.ดร.โคทม กล่าวถึงงาน วิจัยของ ดร.ชาญชัยด้วยว่า จะมีการนำไป เผยแพร่ต่อ พร้อมจะสร้างพลังในทางปฏิบัติที่จะมาช่วยสนับสนุนแนวคิดที่จะสร้างประชาคมใหม่ แนวคิดที่จะเห็นร่วมและผลักดันให้เกิดเพื่อที่จะก้าวข้ามความขัดแย้งที่รุนแรงไปได้
เมื่อถามถึงวิธีการที่จะทำให้เกิดสิ่งเหล่านี้ได้นั้น รศ.ดร.โคทม กล่าวว่า ต้องเริ่มในทางความคิดผ่านนักวิชาการ ต่อมา คือเริ่มในทางปฏิบัติบางอย่างผ่านนักกิจกรรม โดยอาศัยสื่อมวลชนในการช่วยสร้างกระแสในสังคม ที่จะช่วยนำไปสู่การ มีปณิธานทางการเมือง โดยผ่านกระบวนการ จัดเสวนาในระดับรากหญ้าว่า อะไรที่เราเห็นพ้องกันในหลักการสำคัญ เพื่อให้เห็นภาพอนาคตที่พึงปรารถนาของสังคม ขณะเดียวกันคนข้างบนระดับผู้นำก็ต้องมาทำความเข้าใจกับปัญหาที่ค้างอยู่ ที่ทำให้บรรยากาศของความเข้าใจกันไม่เกิดขึ้นจนกลายเป็นบรรยากาศของความ หวาดระแวง ไม่ไว้วางใจ เอาเปรียบ มีการ แข่งขันกันตลอดเวลา ซึ่งถ้ามีการพูดคุยกันทั้งสองระดับแล้วก็เชื่อว่าจะทำให้เกิดความเห็นพ้องกันได้ และทำให้เกิดสิ่งที่เรา เรียกว่า สัญญาประชาคมใหม่
ปรากฏการณ์ในแนวทางใหม่ของ การเมืองที่เปิดโอกาสให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมมากขึ้นน่าจะเป็นวิถีของประชาธิปไตยที่สวยหรู..หากเรายังดำรงไว้ซึ่งอัตลักษณ์ง่ายๆ ของความเป็นไทย นั่นคือการให้อภัย..และรู้จักขอโทษซึ่งกันและกัน เชื่อว่าวันนั้นคำว่า “ปรองดอง”..คงไม่ไกลเกินเอื้อม!!..
ที่มา.สยามธุรกิจออนไลน์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
วันพุธที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2555
เวิร์กช็อป : AECไทยต้องตั้งรับอย่างมีสติ !!?
นับเป็นโอกาสทองของ นักธุรกิจชาวจังหวัดแพร่และจังหวัดใกล้เคียงที่ได้มีโอกาสได้รับฟังแนวคิดและแนวทางของผู้รู้ทางเศรษฐกิจระดับโลกมาคุยให้ฟังอย่าง “ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ” เลขาฯ ประชาคมเศรษฐกิจ อาเซียน จัดขึ้นเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ที่ห้องสักทอง โรงแรมแม่ยม พาเลส อ.เมือง จ.แพร่
ชาวแพร่โดยการนำของนายเกษม วัฒนธรรม ผู้ว่าราชการจังหวัดแพร่ ข้าราชการภาคเอกชนประกอบด้วย นักธุรกิจน้อยใหญ่เข้าร่วมรับฟัง อย่างสภาอุตสาหกรรมจังหวัด มีนายประดิษฐ์ ศศิภัทรกุล หอการค้าจังหวัด นางสุด-สวาท มงคลเจริญวงศ์ ส่วนผู้ที่คร่ำ-หวอดในเรื่องธุรกิจการใหญ่อย่างนายสุวิทย์ วงศ์วรกุล ผู้ก่อตั้งสภาอุตสาหกรรมจังหวัดแพร่ ก็มาร่วมรับฟัง สำหรับ นักการเมืองท้องถิ่นมี นายโชคชัย พนมขวัญ นายกเทศมนตรีเมืองแพร่
การเดินทางมาของเลขาฯ อาเซียนฯ ที่จังหวัดแพร่ เป็นการมาปาฐกถาพิเศษ “จังหวัดแพร่จะได้รับประโยชน์อย่างไรจาก AEC ตามโครงการเตรียมความพร้อมภาครัฐและเอกชน สู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน” ตามคำเชิญของประธานสภาอุตสาหกรรมจังหวัดแพร่ คือ นายประดิษฐ์ ศศิภัทรกุล งานนี้ แม่เลี้ยงติ๊ก นางศิริวรรณ ปราศจากศัตรู รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ถือว่าเป็นเจ้าภาพอีกคนหนึ่งได้ถือโอกาสนี้มาร่วมพบปะนักธุรกิจชาวแพร่ ไปด้วย
บรรยากาศในงานเป็นแบบกันเอง ท่านผู้ว่าฯ เกษม วัฒนธรรม ในฐานะพ่อเมืองให้เกียรติกล่าวต้อนรับ ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ เลขาฯ ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน และคณะฯ ก่อนมีการปาฐกถาฯ มีการแสดงรำไทยจากโรงเรียนบ้านแม่หล่าย เพื่อสร้างบรรยากาศแบบเมืองเหนือให้ท่านเลขาฯ อาเซียนฯ เข้าถึงบรรยากาศเมืองเหนือด้วย
สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หรืออาเซียน ก่อตั้งที่ตั้งประเทศไทยตามปฏิญญากรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2510 ได้มีการพัฒนาความสัมพันธ์เรื่อยมา ในเรื่องความร่วมมือหลายๆ ด้าน รวมทั้งการลดภาษีระหว่างสมาชิกในยุคแรก การค้าเสรี ในยุคที่ 2 และปัจจุบันเข้าสู่ยุคที่ 3 มีการรวมตัวที่มีบูรณาการมากขึ้น
ส่งผลให้เกิดแนวคิดของการเกิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ASEAN Economic Community หรือ ACE ในปี 2015 เป็นเป้าหมายหลักคือ ให้อาเซียนมาตลาดและฐานการผลิตร่วมกัน และมีการเคลื่อนย้ายสินค้า บริการ การลงทุน เงินลงทุน และแรงงาน มีฝีมืออย่างเสรี และเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย อาเซียนจึงได้กำหนดแผนงาน สำหรับการดำเนินการในภาพรวม 4 ส่วน หลัก ทั้งการตลาด และฐานการผลิตเดียว การสร้างขีดความสามารถในการ แข่งขันทางเศรษฐกิจของอาเซียน การ พัฒนาเศรษฐกิจอย่างเสมอภาคและการบูรณาการเข้ากับเศรษฐกิจโลก
โดย ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ เลขาธิการอาเซียน ปาฐกถาว่า ในภาพรวมของจังหวัดแพร่ การเตรียมความพร้อมเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ต้องตั้งรับอย่างมีสติในด้านต่างๆ ซึ่งจริงๆ แล้ว คิดว่าจังหวัดแพร่มีความพร้อมทุกด้าน วัตถุดิบ ศักยภาพ ต้นทุน ทางสังคม แต่จะทำอย่างไร เตรียมพร้อมอย่างไรให้ไปสู่ประชาคมเศรษฐกิจ อาเซียนอย่างสวยงาม และเป็นไปอย่าง อินเตอร์อยู่ที่ทุกฝ่ายจะต้องร่วมมือกัน เริ่มตั้งแต่วิสาหกิจขนาดเล็ก ขนาดกลาง หรือขนาดย่อม เป็นตัวหลักในการผลักดันระบบการขยายการลงทุน
“สิ่งที่สำคัญยิ่งคือ ต้องเพิ่มความ สามารถในด้านการติดต่อสื่อสารเรื่องภาษา พฤติกรรมของคนไทยส่วนใหญ่ ยังไม่กล้าที่จะเป็นฝ่ายเดินหน้าเพื่อการ เจรจา หรือสร้างขยายแนวธุรกิจ อีกทั้งความไม่กล้าที่จะใช้ภาษาอื่น โดยเฉพาะภาษาอังกฤษ หรือภาษาต่างประเทศ เพื่อช่องทางขยายการลงทุน อย่ากลัวที่จะพบกับการเปลี่ยนแปลง บทบาทของนักลงทุนในอนาคตจะต้องพึ่งพาคนกลางให้น้อยลง ภาครัฐต้องให้การสนับสนุนการลงทุน เพราะธุรกิจ ต้องการความมั่นคง นโยบายของรัฐบาล ต้องเข้มแข็ง”
เลขาธิการอาเซียน ระบุอีกว่า “ตอนนี้เป็นเรื่องที่น่าตกใจเป็นอย่างยิ่งอีกว่า สำหรับปัญหาของภาคธุรกิจ ในบ้านเรามักจะติดขัดและที่กลายเป็นวัฒนธรรมจนวิตกอย่างยิ่งของสังคมคือ การคอร์รัปชั่นหนักสุดๆ ถึง 20-30 เปอร์เซ็นต์ของมูลค่าการลงทุนในรูปแบบต่างๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่อันตรายมาก เป็น ตัวบั่นทอนขัดขวางต่อการพัฒนาและยกระดับสังคม แต่ก็ไม่ใช่ว่า ประเทศใน อาเซียนจะไม่มีในเรื่องนี้ มีเหมือนกัน แต่ไม่น่าเกลียดและสามารถควบคุมได้ ขณะนี้ประเทศที่น่าลงทุนมากที่สุด คือ สิงคโปร์ เพราะมีเรื่องเหล่านี้ในระดับที่ต่ำหรือน้อยมาก เพราะความโปร่งใสของระบบการจัดการ ทำให้การจัดการ การลงทุนในด้านต่างๆ อยู่ในประเทศสิงคโปร์ถึง 50 เปอร์เซ็นต์ ในกลุ่มประเทศอาเซียนทั้ง 10 ประเทศ ที่เหลือ 50 เปอร์เซ็นต์ กระจายไปในประเทศที่เหลือ”
“นอกจากนี้ ประเทศไทยยัง ขาดการพัฒนาด้านสินค้าของเราเอง มูลค่าการลงทุนปัจจุบันส่วนใหญ่ยังคงลงด้านแรงงานเป็นหลัก สินค้าที่ผลิตเป็นสินค้าภายใต้ลิขสิทธิ์ภายใต้เครื่องหมายการค้าของประเทศอื่น ประเทศไทยมีมูลค่าด้านนี้ต่ำมากเมื่อเทียบกับประเทศในเอเชียด้วยกัน สำหรับภาคเอกชน เช่นสภาอุตสาหกรรม ต้องมีกิจกรรมของตนเองให้เด่นชัด มีหน่วยงานที่ออกไปพัฒนาธุรกิจนอกพื้นที่ หาช่องทางและพยายาม พัฒนาตัวเอง ศักยภาพของจังหวัดแพร่ ที่อยู่ใกล้แนวชายแดนประเทศพม่า และจีน”
ดร.สุรินทร์ ย้ำอีกว่า ในเบื้องต้นควรใช้ภาษาของประเทศพม่าและจีนให้ได้ เมื่อสามารถทำได้ย่อมมีโอกาสในด้านการดึงนักลงทุนเข้ามาร่วมทุนหรือกระจายการลงทุนไปยังตลาดที่มีแรงงานถูก มีแรงงานจำนวนมาก วัตถุดิบราคาถูก มีมากพร้อมรองรับและมีระบบการรองรับที่สามารถควบคุมได้ และได้ยกตัวอย่างที่ใกล้ตัวอย่างเช่น โรงงานก๋วยเตี๋ยวที่มีอยู่ในจังหวัดแพร่ ทุกประเทศในอาเซียนต้องทาน สำหรับ โอกาสการขยายการลงทุนไปยังพม่าเป็นไปได้ เพื่อโอกาสในการสร้างและขยายเศรษฐกิจไปสู่ภูมิภาคในอาเซียนและภาคีรอบข้าง เช่น อินเดีย, จีน, ออสเตรเลีย และที่สำคัญทุกจังหวัดมีศักยภาพของตนเอง แต่จะมีวิธีการอย่างไรเท่านั้นเอง แต่ทั้งนี้ในการเตรียม ความพร้อมเข้าสู่อาเซียนในปี 2015 นั้น ต้องตั้งรับอย่างมีสติ ค่อนข้างชัดเจนสำหรับปาฐกถา ของ ดร.สุรินทร์ ที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ในทุกจังหวัดว่า AEC กำลังจะมาแล้ว..เราต้องตั้งรับอย่าง มีสติ!!!
ที่มา.สยามธุรกิจออนไลน์
///////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
ชาวแพร่โดยการนำของนายเกษม วัฒนธรรม ผู้ว่าราชการจังหวัดแพร่ ข้าราชการภาคเอกชนประกอบด้วย นักธุรกิจน้อยใหญ่เข้าร่วมรับฟัง อย่างสภาอุตสาหกรรมจังหวัด มีนายประดิษฐ์ ศศิภัทรกุล หอการค้าจังหวัด นางสุด-สวาท มงคลเจริญวงศ์ ส่วนผู้ที่คร่ำ-หวอดในเรื่องธุรกิจการใหญ่อย่างนายสุวิทย์ วงศ์วรกุล ผู้ก่อตั้งสภาอุตสาหกรรมจังหวัดแพร่ ก็มาร่วมรับฟัง สำหรับ นักการเมืองท้องถิ่นมี นายโชคชัย พนมขวัญ นายกเทศมนตรีเมืองแพร่
การเดินทางมาของเลขาฯ อาเซียนฯ ที่จังหวัดแพร่ เป็นการมาปาฐกถาพิเศษ “จังหวัดแพร่จะได้รับประโยชน์อย่างไรจาก AEC ตามโครงการเตรียมความพร้อมภาครัฐและเอกชน สู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน” ตามคำเชิญของประธานสภาอุตสาหกรรมจังหวัดแพร่ คือ นายประดิษฐ์ ศศิภัทรกุล งานนี้ แม่เลี้ยงติ๊ก นางศิริวรรณ ปราศจากศัตรู รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ถือว่าเป็นเจ้าภาพอีกคนหนึ่งได้ถือโอกาสนี้มาร่วมพบปะนักธุรกิจชาวแพร่ ไปด้วย
บรรยากาศในงานเป็นแบบกันเอง ท่านผู้ว่าฯ เกษม วัฒนธรรม ในฐานะพ่อเมืองให้เกียรติกล่าวต้อนรับ ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ เลขาฯ ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน และคณะฯ ก่อนมีการปาฐกถาฯ มีการแสดงรำไทยจากโรงเรียนบ้านแม่หล่าย เพื่อสร้างบรรยากาศแบบเมืองเหนือให้ท่านเลขาฯ อาเซียนฯ เข้าถึงบรรยากาศเมืองเหนือด้วย
สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หรืออาเซียน ก่อตั้งที่ตั้งประเทศไทยตามปฏิญญากรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2510 ได้มีการพัฒนาความสัมพันธ์เรื่อยมา ในเรื่องความร่วมมือหลายๆ ด้าน รวมทั้งการลดภาษีระหว่างสมาชิกในยุคแรก การค้าเสรี ในยุคที่ 2 และปัจจุบันเข้าสู่ยุคที่ 3 มีการรวมตัวที่มีบูรณาการมากขึ้น
ส่งผลให้เกิดแนวคิดของการเกิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ASEAN Economic Community หรือ ACE ในปี 2015 เป็นเป้าหมายหลักคือ ให้อาเซียนมาตลาดและฐานการผลิตร่วมกัน และมีการเคลื่อนย้ายสินค้า บริการ การลงทุน เงินลงทุน และแรงงาน มีฝีมืออย่างเสรี และเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย อาเซียนจึงได้กำหนดแผนงาน สำหรับการดำเนินการในภาพรวม 4 ส่วน หลัก ทั้งการตลาด และฐานการผลิตเดียว การสร้างขีดความสามารถในการ แข่งขันทางเศรษฐกิจของอาเซียน การ พัฒนาเศรษฐกิจอย่างเสมอภาคและการบูรณาการเข้ากับเศรษฐกิจโลก
โดย ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ เลขาธิการอาเซียน ปาฐกถาว่า ในภาพรวมของจังหวัดแพร่ การเตรียมความพร้อมเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ต้องตั้งรับอย่างมีสติในด้านต่างๆ ซึ่งจริงๆ แล้ว คิดว่าจังหวัดแพร่มีความพร้อมทุกด้าน วัตถุดิบ ศักยภาพ ต้นทุน ทางสังคม แต่จะทำอย่างไร เตรียมพร้อมอย่างไรให้ไปสู่ประชาคมเศรษฐกิจ อาเซียนอย่างสวยงาม และเป็นไปอย่าง อินเตอร์อยู่ที่ทุกฝ่ายจะต้องร่วมมือกัน เริ่มตั้งแต่วิสาหกิจขนาดเล็ก ขนาดกลาง หรือขนาดย่อม เป็นตัวหลักในการผลักดันระบบการขยายการลงทุน
“สิ่งที่สำคัญยิ่งคือ ต้องเพิ่มความ สามารถในด้านการติดต่อสื่อสารเรื่องภาษา พฤติกรรมของคนไทยส่วนใหญ่ ยังไม่กล้าที่จะเป็นฝ่ายเดินหน้าเพื่อการ เจรจา หรือสร้างขยายแนวธุรกิจ อีกทั้งความไม่กล้าที่จะใช้ภาษาอื่น โดยเฉพาะภาษาอังกฤษ หรือภาษาต่างประเทศ เพื่อช่องทางขยายการลงทุน อย่ากลัวที่จะพบกับการเปลี่ยนแปลง บทบาทของนักลงทุนในอนาคตจะต้องพึ่งพาคนกลางให้น้อยลง ภาครัฐต้องให้การสนับสนุนการลงทุน เพราะธุรกิจ ต้องการความมั่นคง นโยบายของรัฐบาล ต้องเข้มแข็ง”
เลขาธิการอาเซียน ระบุอีกว่า “ตอนนี้เป็นเรื่องที่น่าตกใจเป็นอย่างยิ่งอีกว่า สำหรับปัญหาของภาคธุรกิจ ในบ้านเรามักจะติดขัดและที่กลายเป็นวัฒนธรรมจนวิตกอย่างยิ่งของสังคมคือ การคอร์รัปชั่นหนักสุดๆ ถึง 20-30 เปอร์เซ็นต์ของมูลค่าการลงทุนในรูปแบบต่างๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่อันตรายมาก เป็น ตัวบั่นทอนขัดขวางต่อการพัฒนาและยกระดับสังคม แต่ก็ไม่ใช่ว่า ประเทศใน อาเซียนจะไม่มีในเรื่องนี้ มีเหมือนกัน แต่ไม่น่าเกลียดและสามารถควบคุมได้ ขณะนี้ประเทศที่น่าลงทุนมากที่สุด คือ สิงคโปร์ เพราะมีเรื่องเหล่านี้ในระดับที่ต่ำหรือน้อยมาก เพราะความโปร่งใสของระบบการจัดการ ทำให้การจัดการ การลงทุนในด้านต่างๆ อยู่ในประเทศสิงคโปร์ถึง 50 เปอร์เซ็นต์ ในกลุ่มประเทศอาเซียนทั้ง 10 ประเทศ ที่เหลือ 50 เปอร์เซ็นต์ กระจายไปในประเทศที่เหลือ”
“นอกจากนี้ ประเทศไทยยัง ขาดการพัฒนาด้านสินค้าของเราเอง มูลค่าการลงทุนปัจจุบันส่วนใหญ่ยังคงลงด้านแรงงานเป็นหลัก สินค้าที่ผลิตเป็นสินค้าภายใต้ลิขสิทธิ์ภายใต้เครื่องหมายการค้าของประเทศอื่น ประเทศไทยมีมูลค่าด้านนี้ต่ำมากเมื่อเทียบกับประเทศในเอเชียด้วยกัน สำหรับภาคเอกชน เช่นสภาอุตสาหกรรม ต้องมีกิจกรรมของตนเองให้เด่นชัด มีหน่วยงานที่ออกไปพัฒนาธุรกิจนอกพื้นที่ หาช่องทางและพยายาม พัฒนาตัวเอง ศักยภาพของจังหวัดแพร่ ที่อยู่ใกล้แนวชายแดนประเทศพม่า และจีน”
ดร.สุรินทร์ ย้ำอีกว่า ในเบื้องต้นควรใช้ภาษาของประเทศพม่าและจีนให้ได้ เมื่อสามารถทำได้ย่อมมีโอกาสในด้านการดึงนักลงทุนเข้ามาร่วมทุนหรือกระจายการลงทุนไปยังตลาดที่มีแรงงานถูก มีแรงงานจำนวนมาก วัตถุดิบราคาถูก มีมากพร้อมรองรับและมีระบบการรองรับที่สามารถควบคุมได้ และได้ยกตัวอย่างที่ใกล้ตัวอย่างเช่น โรงงานก๋วยเตี๋ยวที่มีอยู่ในจังหวัดแพร่ ทุกประเทศในอาเซียนต้องทาน สำหรับ โอกาสการขยายการลงทุนไปยังพม่าเป็นไปได้ เพื่อโอกาสในการสร้างและขยายเศรษฐกิจไปสู่ภูมิภาคในอาเซียนและภาคีรอบข้าง เช่น อินเดีย, จีน, ออสเตรเลีย และที่สำคัญทุกจังหวัดมีศักยภาพของตนเอง แต่จะมีวิธีการอย่างไรเท่านั้นเอง แต่ทั้งนี้ในการเตรียม ความพร้อมเข้าสู่อาเซียนในปี 2015 นั้น ต้องตั้งรับอย่างมีสติ ค่อนข้างชัดเจนสำหรับปาฐกถา ของ ดร.สุรินทร์ ที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ในทุกจังหวัดว่า AEC กำลังจะมาแล้ว..เราต้องตั้งรับอย่าง มีสติ!!!
ที่มา.สยามธุรกิจออนไลน์
///////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
วันอังคารที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2555
วิปลาส !!?
ทำไมใส่สีแดง เพราะผมบอกก่อนว่า สีแดงเป็นของทุกคน มีหลายคนเขาเบื่อเขารำคาญครับ แม้แต่ศิลปินรุ่นใหญ่ยังบอกว่าเอาสีแดงคืนมา สีแดงอยู่ในธงชาติ ต้องหมายถึงว่าเป็นของคนทั้งชาติ ไม่ใช่ของคนกลุ่มเดียว ผมจะใส่สีแดงเป็นสิทธิของผม พวก คุณไม่ต้องมาต่อว่าในวันพรุ่งนี้ อย่างนี้เป็นสิทธิเสรีภาพ ไม่ใช่เที่ยวไม่ขัดขวางผู้อื่น ผมตั้งใจจะใส่สีแดง เพื่อที่จะบอกกับคนที่อ้างตัวเป็นคนเสื้อแดงว่า วันนี้ถ้าคุณอยากใส่เสื้อสีแดง แล้วบอกสีแดงเป็นอุดมการณ์ คุณต้องใส่แบบนี้ที่เขียนว่าหยุดปรองดองจอมปลอม ล้างผิดคนโกง”
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ปราศรัยที่เวทีประชาชน “เดินหน้าผ่าความจริง หยุดล้มรัฐธรรมนูญ ออกกฎหมายล้างผิดคนโกง” เป็นครั้งสุดท้ายก่อนเปิดประชุมสภาสมัยสามัญทั่วไปวันที่ 1 สิงหาคม ที่อาคารกีฬาเวสน์ 2 ศูนย์เยาวชนกรุงเทพฯ (ไทย-ญี่ปุ่น) ดินแดง เมื่อค่ำวันที่ 29 กรกฎาคมที่ผ่านมา โดยสร้างความฮือฮาด้วยการใส่ “เสื้อสีแดง” ที่มีสกรีนคำว่า “หยุดปรองดองจอมปลอม ล้างผิดคนโกง”
นายอภิสิทธิ์ยังกล่าวว่า ขอทวงคืนสีแดงมาเป็นของคนไทยทุกคน ปัญหาบ้านเมืองที่วุ่นวายจนมีการเสียชีวิต เพราะ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี วันนี้คนใส่เสื้อแดงจะต้องตัดสินใจ ถ้าเป็นเสื้อแดงที่ยึดอุดมการณ์ต้องรู้แล้วว่าใครชักชวนให้มาต่อสู้เพียงเพื่อเป็นเครื่องมือให้เขา แต่ไม่มีความจริงใจต่อกัน และไม่มีแม้แต่จะหยิบยื่นความเป็นธรรมให้ แม้ตนและนายสุเทพ เทือกสุบรรณ จะถูกกล่าวหาและยกป้ายให้เป็น “ฆาตกร” แต่ก็ไม่เคยเรียกร้องให้นิรโทษกรรม เพราะไม่ได้ทำ แต่คนที่รู้แก่ใจว่ามีการฝึกฝนให้คนติดอาวุธใส่ชุดดำแฝงตัวกับกลุ่มผู้ชุมนุมกำลังจะให้นิรโทษกรรมแก่ตัว เอง ถ้าใส่เสื้อแดงเพราะอุดมการณ์ก็ต้องเรียกร้องว่าห้ามออกกฎหมายนิรโทษกรรม แล้วต้องไม่ยอมเป็นเครื่องมือให้คนคนหนึ่งล้างผิดในการทุจริตการโกงของตัวเอง แต่ถ้าใส่เสื้อแดงแล้วไม่ยอมเขียนหยุดปรองดองอย่างนี้ ไม่มาร่วมต่อต้าน เรียกร้องความเป็นธรรมให้กับวิญญาณของคนที่เคยใส่เสื้อแดง เสื้อแดงของคุณไม่มีความหมายอะไร นอก จากการเป็น “ขี้ข้าทักษิณ”
“ถ้ามีใครใส่เสื้อแดงเพราะไม่ชอบ 2 มาตรฐาน คุณก็ต้องใส่เสื้อแดงที่เขียนว่าหยุดปรองดองจอมปลอมเหมือนกัน เพราะอะไรครับ เพราะประเทศไทยหรือประเทศไหนก็ตามครับ ไม่เคยสามารถทำให้คนร่ำรวยเท่ากันได้หรอกครับ อย่างที่ท่านนายกฯชวนพูด แต่ทุกคนต้องอยู่ภายใต้กฎหมายอย่างเสมอภาคกัน
ถ้าคุณใส่เสื้อแดงเพราะคุณไม่ชอบ 2 มาตร ฐาน แล้วพวกคุณใส่เสื้อแดงมาต่อสู้ ถูกจับ ถูกศาลลงโทษจำคุก ต้องเข้าไปอยู่ในคุก แล้วทำไมคุณจะปล่อยให้คนที่ปลุกระดมคุณนั้นทำผิดไม่รู้กี่คดี บอกว่าตัวเองไม่ต้องเข้าคุก นั่นแหละครับ 2 มาตร ฐานอย่างแท้จริง”
มาร์คสภาโจ๊ก
ต้องยอมรับว่าการเดินสายอภิปรายนอกสภาของพรรคประชาธิปัตย์นับตั้งแต่การตีรวนไม่ยอม รับ พ.ร.บ.ปรองดอง และการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ได้รับความสนใจจากมวลชนที่ชอบพรรคประชาธิปัตย์ไม่น้อย รวมถึงความสนใจของสื่อต่างๆที่พรรคประชาธิปัตย์ใช้ลีลาการพูดของนายอภิสิทธิ์เป็นกลยุทธ์ ไม่ใช่แค่การใส่เสื้อแดงเท่านั้น แต่ก่อนหน้านี้นายอภิสิทธิ์ยังลงทุนเล่น “มาร์คสภาโจ๊ก” ดัดเสียงล้อเลียน “จ่าเซาะกราว” จ.ส.ต.ประสิทธิ์ ไชยศรีษะ ส.ส.สุรินทร์ พรรคเพื่อไทย ที่ทำหน้าที่ยกมือค้านการอภิปรายของพรรคประชาธิปัตย์ ด้วยสีหน้าท่าทางที่เรียกเสียงเฮและปรบมือพอใจของแม่ยกพ่อยกที่เล่นงาน “จ่าบ้านนอก” ได้อย่างสะใจ
แต่คนอีกจำนวนหนึ่ง รวมถึงนักวิชาการที่ติด ตามการเมืองไทยกลับเห็นว่านายอภิสิทธิ์ไปไกลจนกู่ไม่กลับแล้ว เพราะกลายเป็น “ตลกการเมือง” มาก กว่าการสร้างความน่าเชื่อถือให้กับตนเองและพรรค ประชาธิปัตย์ที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าตกต่ำที่สุดยุคหนึ่ง
แม้การใส่เสื้อแดงหรือล้อเลียน “จ่าบ้านนอก” จะเป็นคลิปยอดฮิตในยูทูบที่มีคนคลิกเข้าไปดูจำนวน มาก แต่ส่วนหนึ่งกลับรู้สึกสังเวชและไม่เชื่อว่าคนระดับอดีตนายกรัฐมนตรีจะสามารถเป็นได้เช่นนี้
แทนที่นายอภิสิทธิ์จะแสดงให้เห็นถึงการเป็นฝ่ายค้านที่มีคุณภาพ ซึ่งเคยเป็นสัญลักษณ์ของพรรคประชาธิปัตย์ กลับออกอาการหลุดเหมือนเป็นมวยรุ่นใหญ่ แต่กลับไปท้าชกมวยรุ่นเด็กอย่าง “จ่าประสิทธิ์” แล้วยังโชว์วาทกรรม “ดีแต่พูด” และ “เอาดีใส่ตัว เอาชั่วใส่ผู้อื่น” ซึ่งไม่ใช่แค่คนเสื้อแดงเท่านั้นที่กล่าวหาว่าเป็น “ฆาตกร” แต่ประชาคมโลกเองก็ประณามการใช้ความรุนแรงในเหตุการณ์ “เมษา-พฤษภาอำมหิต” ซึ่งเกิดในยุคที่นายอภิสิทธิ์เป็นนายกรัฐมนตรี
ใครฮากว่ากัน?
อย่างที่นายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชาย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร โพสต์ผ่านเฟซบุ๊คว่า มีคนส่งคลิปให้ดู 2 คลิป คลิปแรกเป็นคลิป “พระเทศน์เป็นจังหวะร็อก” และคลิป 2 “อภิสิทธิ์ล้อเลียนเสียงจ่าประสิทธิ์” เปิดเข้าไปดูต้องยอมรับว่าอดขำไม่ได้เมื่อได้ยินบทสวดมนต์ในคลิป
“แต่อีกคลิปผมขำก๊ากเลยครับ เป็นครั้งแรกที่ผมหัวเราะท่านอภิสิทธิ์ปราศรัย (เฉพาะตอนเล่นตลกนี้นะครับ ไม่ใช่ตอนด่าคุณพ่อผม) ในทางการตลาดเรื่องแบบนี้ไม่ซีเรียสครับ ถือเป็นกลยุทธ์ในการดึงดูดผู้ฟังได้เป็นอย่างดี แต่พอฟังคำวิจารณ์จากผู้ใหญ่ในแวดวงการเมืองและการศาสนา หลายๆ ท่านอาจไม่ค่อยสบายใจในเรื่องวุฒิภาวะของท่านอภิสิทธิ์ และการสำรวมตนของสงฆ์ ก็เกิดการถกเถียงกันเป็นหย่อมๆทั่วไปในโลกไซเบอร์ ซึ่งต่างฝ่ายต่างก็มีเหตุผลของตัวเอง และมีผู้สนับสนุนทั้งคู่ ในเรื่องพระสวดนี้เห็นว่ามีพระผู้ใหญ่ออกมาติงแล้วว่าไม่เหมาะสม ผมว่าเมืองไทยเราเมืองพุทธครับ พระท่านท้วงติงมาเราก็ต้องฟัง และคอยระมัดระวัง อย่าไปทำอะไรที่ไม่เหมาะสมอีก ส่วนเรื่องท่าน อภิสิทธิ์นี่เหมาะสมหรือไม่ ผมว่าเป็นเรื่องที่ท่านจะต้องชี้แจงเอง แต่ถ้าถามผม ผมว่าท่านมีอารมณ์ขันบ้าง บรรยากาศของการปรองดองมันดีกว่าการเผชิญหน้าในสภาช่วงที่ผ่านมาเยอะเลยครับ”
นอกจากนี้นายพานทองแท้ยังแสดงความเห็นกรณีนายเทพไท เสนพงษ์ วิจารณ์ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เดินทางเยือนเยอรมนีและฝรั่งเศสว่า หนีวิกฤตบ้านเมืองและถือโอกาสโชว์แฟชั่น-เที่ยวต่างประเทศว่า เหมือนลูกสมันน้อยพลัดหลงไปอยู่ใจกลางฝูงไฮยีน่าตัวเดียวกลางป่า แล้วถูกผลัดกันต้อนซ้ายที ขวาที พอเผลอก็โดนกัด ตะปบ เหน็บ แขวะ จิก ทั้งที่เป็น “มนุษย์เพศหญิง” ทำหน้าที่แทนคนไทยทั้งประเทศ กลับมาถูกผู้ชายอกสามศอกรุมตำหนิเรื่องไม่เป็นเรื่อง ไม่ว่าการแต่งตัว ตำส้มตำ พูดวนกันไปมาเหมือน “ชกไม่สมศักดิ์ศรี” ในฐานะทีมงาน “ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษ ฎร” แล้วยังเปรียบเทียบระหว่างนายกฯยิ่งลักษณ์แต่งชุดสวยจากศูนย์ศิลปาชีพเพื่อโปรโมตสินค้าไทย กับนายอภิสิทธิ์เปลี่ยนชุดถ่ายแบบเป็นสิบๆชุดเพื่อโปรโมตตัวเอง และใส่หมวกถุงยางอนามัยยืนยิ้มว่าอันไหนดู “ติ๊งต๊อง” กว่ากัน
ตลกร้าย “ฆาตกร”?
การใส่เสื้อแดงและปราศรัยของนายอภิสิทธิ์ที่เสียดสีคนเสื้อแดงให้เลิกเป็น “ขี้ข้าทักษิณ” และไม่มีอุดมการณ์นั้น ย่อมได้รับความสนใจจากสื่อในประเทศและสื่อต่างชาติ แม้จะเป็นการแสดงการตอบโต้ในเชิงสัญลักษณ์ แต่ในมุมกลับกันก็น่าจะเป็น “ตลกร้าย” ที่ยิ่งทำให้นายอภิสิทธิ์ต้องตอบประชาชนและประชาคมโลกถึงคำว่า “จริยธรรม” และ “สำนึกทางการเมือง” ในฐานะผู้นำรัฐบาลที่ทำให้มีการเข่นฆ่าประชาชนและเจ้าหน้าที่รัฐถึง 98 ศพและบาดเจ็บพิการเกือบ 2,000 คน เพราะจนทุกวันนี้ยังไม่มี “คำขอโทษ” แม้แต่คำเดียวจากนายอภิสิทธิ์แล้ว ยังพยายามยัดเยียดและกล่าวหา “ไอ้โม่งชุดดำ” และผู้อื่นผู้อยู่เบื้องหลังอีก
อย่าง ม.ล.มิ่งมงคล โสณกุล โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ค Taona Sonakul ว่า
“เรียนนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หากท่านเชื่ออย่างจริงใจว่าประชาชนไทยเป็นผู้มีจิตใจเป็นเสรีชน สามารถมีความให้เกียรติในความเห็นที่แตกต่างของเพื่อนร่วมชาติด้วยกันอย่างแท้จริงแล้ว..ถ้าหากพวกเขาอยากจะใส่เสื้อสีอะไรก็ให้เขาใส่ไปเหอะ จะสีเหลือง สีแดง สีฟ้า สีม่วง สีดำ ฯลฯ ไม่มีความ จำเป็นอะไรเลยที่จะต้องไปบอกให้เขาไปเปลี่ยนเสื้อเป็นสีโน้นสีนี้ พวกเขาอยากจะใส่เสื้อสีห่าอะไรก็ให้เขาใส่ไป อย่าไปขออะไรกับคนอื่นที่เขามีที่มาที่ไปกันคนละแบบกับท่านเลย..คนที่เขาเลือกใส่สีแดง สีเหลือง ก็เพราะเขาใส่แล้วเขามีความสุขของเขา..
ความแตกแยกไม่ได้มาจากสีเสื้อ ความแตก แยกมาจากความเจ็บช้ำน้ำใจ และความรู้สึกว่าไม่มี ความยุติธรรม และตราบใดที่ท่านยังไม่สามารถแสดงน้ำใจขอโทษประชาชนไทย และวิญญาณของคนที่ต้องตายไปกว่าร้อยศพ โดยการบริหารงานที่ผิดพลาดของท่านในฐานะนายกรัฐมนตรี..
ท่านอย่าได้มาเสียเวลาเปลืองน้ำลายฝันบ้าๆบอๆไปว่าจะมีใครลุกขึ้นบ้าใส่เสื้อแดงเพื่อเป็นแนวร่วมกับท่านเพื่อทวงคืนความยุติธรรมให้คนที่ท่านเองนั่นแหละเป็นคนทำพวกเขาตาย..ท่านเป็นคนที่จิตป่วยมากๆแล้ว ท่านต้องพบจิตแพทย์ และหลบไปอยู่ในที่สงบๆสักพัก”
ไล่ “มาร์ค” ใส่ชุดพลทหาร
ขณะที่นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) กล่าวถึงพฤติกรรมของนายอภิสิทธิ์ว่า การแสดงความเห็นเป็นเสรีภาพ แต่การแสดงออกบางอย่างของนายอภิสิทธิ์ที่วันหนึ่งแต่งตัวล้อเลียน จ.ส.ต.ประสิทธิ์ และใส่เสื้อแดงเรียกร้องให้เสื้อแดงสนับสนุน ถือว่าผิดปรกติและอาการอยู่ในขั้นที่ประชาชนต้องพิจารณาแล้ว เพราะหลังจากพรรคประชาธิปัตย์เปิดเวทีปราศรัยทั่วประเทศอาการก็เริ่มหนักขึ้นทุกวัน ตนอยากให้ความรู้นายอภิสิทธิ์ว่า ปัญหาทางการเมืองขณะนี้ไม่ได้อยู่ที่สีเสื้อ ไม่ใช่ว่าใส่เสื้อสีเดียวกันแล้วจะนับเป็นพวก จนลืมหลักการประชาธิปไตยที่ผลักดันให้ประชาชนออกมาต่อสู้โดยไม่กลัวเสียอิสรภาพ แต่สีเสื้อเป็นสัญ ลักษณ์ของการรวมกลุ่มเท่านั้น นายอภิสิทธิ์ไม่เคยเข้าใจเรื่องนี้ เพราะหากเข้าใจประชาชนจะไม่ถูกสไนเปอร์ยิงตายเกือบร้อยชีวิต และมีนายกรัฐมนตรี ที่ไม่เคยรับผิดชอบอะไร
“ผมอยากให้นายอภิสิทธิ์ใส่ชุดพลทหาร เพื่อสื่อสารไปถึงคนทั้งประเทศว่า ลูกชาวนา คนยากจน ต้องเกณฑ์ทหาร” นายณัฐวุฒิกล่าวและว่า การใส่เสื้อแดงไม่มีความหมายอย่างที่นายอภิสิทธิ์ต้องการ การแต่งกายของนายอภิสิทธิ์ไม่มีผลอะไรกับการเคลื่อนไหวหรือการต่อสู้ของคนเสื้อแดงให้อ่อนแอหรือแตกแยก ตรงข้ามจะเข้มแข็งและรวมพลังกันมากขึ้น เพราะรู้ว่านายอภิสิทธิ์ไม่จริงใจ แต่มีเป้าหมาย ทางการเมืองแอบแฝง ยิ่งทำให้คนเสื้อแดงตื่นตัวและ รวมพลังกัน เหมือนอยู่ในบ้านและเห็นแมลงสาบจะเข้าบ้าน เป็นธรรมดาที่เจ้าของบ้านต้องต่อต้าน
ปชป. ยุคผู้นำ “ป่วย”!
อย่างไรก็ตาม พฤติกรรมของนายอภิสิทธิ์และจุดยืนของพรรคประชาธิปัตย์ที่ประกาศชัดเจนว่าจะต่อต้านร่าง พ.ร.บ.ปรองดอง และการแก้ไขรัฐ ธรรมนูญที่เกี่ยวข้องกับองค์กรอิสระ และมาตรา 309 โดยการสร้างกระแสให้เชื่อว่าทั้งหมดเป็นการปรองดองจอมปลอม และล้างความผิดให้ พ.ต.ท. ทักษิณนั้น ก็มีคำถามว่าจุดยืนของพรรคประชาธิปัตย์ต้องการให้บ้านเมืองมีระบอบประชาธิปไตยที่มาจากประชาชน และเป็นของประชาชนอย่างแท้จริง หรือเป็นระบอบประชาธิปไตยแบบไทยๆที่ต้องยึดโยงกับอำนาจนอกระบบ และผู้มีบารมีนอกระบบอย่างทุกวันนี้
โดยเฉพาะนายอภิสิทธิ์ที่มีคำถามถึง “จริย ธรรม” ในฐานะเป็นทั้งผู้นำรัฐบาลและผู้นำฝ่ายค้าน ซึ่งวันนี้ยังใช้วาทกรรมเป็นอาวุธทิ่มแทงฝ่ายตรงข้ามทุกรูปแบบนั้น จะทำให้ประชาชนเชื่อและเลือกพรรคประชาธิปัตย์ให้กลับมาเป็นรัฐบาลในอนาคตได้ หรือแค่ต้องการให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่ไม่ปรกติอย่างที่ผ่านมา เพื่อมี “กลไกพิเศษ” ให้พรรคประชาธิปัตย์ได้เป็นรัฐบาลอีกครั้ง เพราะเชื่อว่าแม้จะมีการเลือกตั้งใหม่ พรรคประชาธิปัตย์ก็จะพ่ายแพ้การเลือกตั้งเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา
โดยเฉพาะครั้งล่าสุด พรรคประชาธิปัตย์แพ้พรรคเพื่อไทยอย่างราบคาบนั้น มีสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์จำนวนหนึ่งต้องการให้ปฏิรูปพรรคแบบถอนรากถอนโคน ไม่ใช่แค่เปลี่ยนหัวหน้าพรรค และกรรมการบริหารพรรค อย่างที่นายพิเชษฐ พันธุ์วิชาติกุล ผู้อาวุโสพรรคประชาธิปัตย์ ระบุถึงความพ่ายแพ้ของพรรคประชาธิปัตย์ว่า เป็นเพราะ “สร้างศัตรู” ไว้มาก แม้แต่คะแนนเสียงในภาคใต้ยังลดลง ในพรรคก็มีปัญหาความไม่เท่าเทียมในแต่ ละกลุ่มก๊วน เปรียบเทียบรัฐบาลชวน 2 จะเห็นคนเก่าคนแก่ในพรรคเป็นหลัก แต่รัฐบาลอภิสิทธิ์กลับหายหน้าไปหมด เพราะ “นายกฯโดดเดี่ยวตัวเอง”
เช่นเดียวกับนายพิชัย รัตตกุล อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ที่วิจารณ์จุดอ่อนสำคัญของพรรคประชาธิปัตย์คือการบริหารงาน ส่วนจุดอ่อนของนายอภิสิทธิ์คือใช้คนไม่เป็น ไม่ฟังคนเก่าคนแก่ โดยนายอภิสิทธิ์เคยมาหาตน 2 ครั้งสมัยเป็นนายกฯ และให้คำแนะนำไปหลายอย่าง แต่ไม่ทำสักอย่าง เคยคุยวิธีจะแก้ไขความปรองดอง บอกขั้นตอนทุกอย่าง แม้กระทั่งก่อนเลือกตั้งหลายเดือนให้เตรียมบินไปคุยกับ พ.ต.ท.ทักษิณแบบส่วนตัว ไม่เกี่ยวกับพรรค ซึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณก็ตกลงหมดทุกอย่าง แต่นายอภิสิทธิ์ก็รับฟังเฉยๆ
อย่างไรก็ตาม นายพิชัยยอมรับว่านายอภิสิทธิ์เป็นคนดี มีความซื่อสัตย์ แต่ใช้คนไม่เป็น ใช้คนไม่กี่คนที่ล้อมรอบ แม้กระทั่งนายชวน หลีกภัย นายบัญญัติ บรรทัดฐาน ก็เคยเตือน แต่ก็ไม่ฟัง “มันมาจากสันดานคนที่ไม่เหมือนกัน สันดานของคนที่ไม่รู้จักใช้คน”
พรรคประชาธิปัตย์ภายใต้การนำของนายอภิสิทธิ์จึงมีปัญหาทั้งในพรรคและนอกพรรค โดยเฉพาะพฤติกรรมของนายอภิสิทธิ์ที่ถูกกล่าวหาเป็น “ฆาตกร” ซึ่งทำให้นายอภิสิทธิ์ถูกตั้งคำถามถึง “จริยธรรม” และ “สำนึกทางการเมือง” ที่นายอภิสิทธิ์พร่ำสอนและเรียกร้องให้คนอื่นมี “จริย ธรรม” และ “สำนึกทางการเมือง” แต่นายอภิสิทธิ์ กลับถูกสังคมวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากมายว่าไม่มีสำนึกทางการเมืองและจริยธรรมเสียเอง
แต่จากเหตุการณ์และพฤติกรรมที่แสดงออกมาทั้งหมด โดยเฉพาะหลังแพ้การเลือกตั้งซ้ำซาก คนไทยอาจต้องคิดใหม่และเปลี่ยนมาเห็นอกเห็นใจนายอภิสิทธิ์มากขึ้น
เพราะคนเสื้อสีต่างๆ แม้แต่เสื้อหลากสีเองก็ชักจะเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่านายอภิสิทธิ์มีอาการ “ป่วยทางจิต” จนถึงขั้น “สติวิปลาส” ไปแล้วหรือไม่?
ถ้ามีการเปลี่ยนตัวหัวหน้า พรรคประชาธิ ปัตย์ขึ้นมาจริงๆ ..เห็นทีพรรคเพื่อไทยจะเดือดร้อน!
ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ปราศรัยที่เวทีประชาชน “เดินหน้าผ่าความจริง หยุดล้มรัฐธรรมนูญ ออกกฎหมายล้างผิดคนโกง” เป็นครั้งสุดท้ายก่อนเปิดประชุมสภาสมัยสามัญทั่วไปวันที่ 1 สิงหาคม ที่อาคารกีฬาเวสน์ 2 ศูนย์เยาวชนกรุงเทพฯ (ไทย-ญี่ปุ่น) ดินแดง เมื่อค่ำวันที่ 29 กรกฎาคมที่ผ่านมา โดยสร้างความฮือฮาด้วยการใส่ “เสื้อสีแดง” ที่มีสกรีนคำว่า “หยุดปรองดองจอมปลอม ล้างผิดคนโกง”
นายอภิสิทธิ์ยังกล่าวว่า ขอทวงคืนสีแดงมาเป็นของคนไทยทุกคน ปัญหาบ้านเมืองที่วุ่นวายจนมีการเสียชีวิต เพราะ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี วันนี้คนใส่เสื้อแดงจะต้องตัดสินใจ ถ้าเป็นเสื้อแดงที่ยึดอุดมการณ์ต้องรู้แล้วว่าใครชักชวนให้มาต่อสู้เพียงเพื่อเป็นเครื่องมือให้เขา แต่ไม่มีความจริงใจต่อกัน และไม่มีแม้แต่จะหยิบยื่นความเป็นธรรมให้ แม้ตนและนายสุเทพ เทือกสุบรรณ จะถูกกล่าวหาและยกป้ายให้เป็น “ฆาตกร” แต่ก็ไม่เคยเรียกร้องให้นิรโทษกรรม เพราะไม่ได้ทำ แต่คนที่รู้แก่ใจว่ามีการฝึกฝนให้คนติดอาวุธใส่ชุดดำแฝงตัวกับกลุ่มผู้ชุมนุมกำลังจะให้นิรโทษกรรมแก่ตัว เอง ถ้าใส่เสื้อแดงเพราะอุดมการณ์ก็ต้องเรียกร้องว่าห้ามออกกฎหมายนิรโทษกรรม แล้วต้องไม่ยอมเป็นเครื่องมือให้คนคนหนึ่งล้างผิดในการทุจริตการโกงของตัวเอง แต่ถ้าใส่เสื้อแดงแล้วไม่ยอมเขียนหยุดปรองดองอย่างนี้ ไม่มาร่วมต่อต้าน เรียกร้องความเป็นธรรมให้กับวิญญาณของคนที่เคยใส่เสื้อแดง เสื้อแดงของคุณไม่มีความหมายอะไร นอก จากการเป็น “ขี้ข้าทักษิณ”
“ถ้ามีใครใส่เสื้อแดงเพราะไม่ชอบ 2 มาตรฐาน คุณก็ต้องใส่เสื้อแดงที่เขียนว่าหยุดปรองดองจอมปลอมเหมือนกัน เพราะอะไรครับ เพราะประเทศไทยหรือประเทศไหนก็ตามครับ ไม่เคยสามารถทำให้คนร่ำรวยเท่ากันได้หรอกครับ อย่างที่ท่านนายกฯชวนพูด แต่ทุกคนต้องอยู่ภายใต้กฎหมายอย่างเสมอภาคกัน
ถ้าคุณใส่เสื้อแดงเพราะคุณไม่ชอบ 2 มาตร ฐาน แล้วพวกคุณใส่เสื้อแดงมาต่อสู้ ถูกจับ ถูกศาลลงโทษจำคุก ต้องเข้าไปอยู่ในคุก แล้วทำไมคุณจะปล่อยให้คนที่ปลุกระดมคุณนั้นทำผิดไม่รู้กี่คดี บอกว่าตัวเองไม่ต้องเข้าคุก นั่นแหละครับ 2 มาตร ฐานอย่างแท้จริง”
มาร์คสภาโจ๊ก
ต้องยอมรับว่าการเดินสายอภิปรายนอกสภาของพรรคประชาธิปัตย์นับตั้งแต่การตีรวนไม่ยอม รับ พ.ร.บ.ปรองดอง และการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ได้รับความสนใจจากมวลชนที่ชอบพรรคประชาธิปัตย์ไม่น้อย รวมถึงความสนใจของสื่อต่างๆที่พรรคประชาธิปัตย์ใช้ลีลาการพูดของนายอภิสิทธิ์เป็นกลยุทธ์ ไม่ใช่แค่การใส่เสื้อแดงเท่านั้น แต่ก่อนหน้านี้นายอภิสิทธิ์ยังลงทุนเล่น “มาร์คสภาโจ๊ก” ดัดเสียงล้อเลียน “จ่าเซาะกราว” จ.ส.ต.ประสิทธิ์ ไชยศรีษะ ส.ส.สุรินทร์ พรรคเพื่อไทย ที่ทำหน้าที่ยกมือค้านการอภิปรายของพรรคประชาธิปัตย์ ด้วยสีหน้าท่าทางที่เรียกเสียงเฮและปรบมือพอใจของแม่ยกพ่อยกที่เล่นงาน “จ่าบ้านนอก” ได้อย่างสะใจ
แต่คนอีกจำนวนหนึ่ง รวมถึงนักวิชาการที่ติด ตามการเมืองไทยกลับเห็นว่านายอภิสิทธิ์ไปไกลจนกู่ไม่กลับแล้ว เพราะกลายเป็น “ตลกการเมือง” มาก กว่าการสร้างความน่าเชื่อถือให้กับตนเองและพรรค ประชาธิปัตย์ที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าตกต่ำที่สุดยุคหนึ่ง
แม้การใส่เสื้อแดงหรือล้อเลียน “จ่าบ้านนอก” จะเป็นคลิปยอดฮิตในยูทูบที่มีคนคลิกเข้าไปดูจำนวน มาก แต่ส่วนหนึ่งกลับรู้สึกสังเวชและไม่เชื่อว่าคนระดับอดีตนายกรัฐมนตรีจะสามารถเป็นได้เช่นนี้
แทนที่นายอภิสิทธิ์จะแสดงให้เห็นถึงการเป็นฝ่ายค้านที่มีคุณภาพ ซึ่งเคยเป็นสัญลักษณ์ของพรรคประชาธิปัตย์ กลับออกอาการหลุดเหมือนเป็นมวยรุ่นใหญ่ แต่กลับไปท้าชกมวยรุ่นเด็กอย่าง “จ่าประสิทธิ์” แล้วยังโชว์วาทกรรม “ดีแต่พูด” และ “เอาดีใส่ตัว เอาชั่วใส่ผู้อื่น” ซึ่งไม่ใช่แค่คนเสื้อแดงเท่านั้นที่กล่าวหาว่าเป็น “ฆาตกร” แต่ประชาคมโลกเองก็ประณามการใช้ความรุนแรงในเหตุการณ์ “เมษา-พฤษภาอำมหิต” ซึ่งเกิดในยุคที่นายอภิสิทธิ์เป็นนายกรัฐมนตรี
ใครฮากว่ากัน?
อย่างที่นายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชาย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร โพสต์ผ่านเฟซบุ๊คว่า มีคนส่งคลิปให้ดู 2 คลิป คลิปแรกเป็นคลิป “พระเทศน์เป็นจังหวะร็อก” และคลิป 2 “อภิสิทธิ์ล้อเลียนเสียงจ่าประสิทธิ์” เปิดเข้าไปดูต้องยอมรับว่าอดขำไม่ได้เมื่อได้ยินบทสวดมนต์ในคลิป
“แต่อีกคลิปผมขำก๊ากเลยครับ เป็นครั้งแรกที่ผมหัวเราะท่านอภิสิทธิ์ปราศรัย (เฉพาะตอนเล่นตลกนี้นะครับ ไม่ใช่ตอนด่าคุณพ่อผม) ในทางการตลาดเรื่องแบบนี้ไม่ซีเรียสครับ ถือเป็นกลยุทธ์ในการดึงดูดผู้ฟังได้เป็นอย่างดี แต่พอฟังคำวิจารณ์จากผู้ใหญ่ในแวดวงการเมืองและการศาสนา หลายๆ ท่านอาจไม่ค่อยสบายใจในเรื่องวุฒิภาวะของท่านอภิสิทธิ์ และการสำรวมตนของสงฆ์ ก็เกิดการถกเถียงกันเป็นหย่อมๆทั่วไปในโลกไซเบอร์ ซึ่งต่างฝ่ายต่างก็มีเหตุผลของตัวเอง และมีผู้สนับสนุนทั้งคู่ ในเรื่องพระสวดนี้เห็นว่ามีพระผู้ใหญ่ออกมาติงแล้วว่าไม่เหมาะสม ผมว่าเมืองไทยเราเมืองพุทธครับ พระท่านท้วงติงมาเราก็ต้องฟัง และคอยระมัดระวัง อย่าไปทำอะไรที่ไม่เหมาะสมอีก ส่วนเรื่องท่าน อภิสิทธิ์นี่เหมาะสมหรือไม่ ผมว่าเป็นเรื่องที่ท่านจะต้องชี้แจงเอง แต่ถ้าถามผม ผมว่าท่านมีอารมณ์ขันบ้าง บรรยากาศของการปรองดองมันดีกว่าการเผชิญหน้าในสภาช่วงที่ผ่านมาเยอะเลยครับ”
นอกจากนี้นายพานทองแท้ยังแสดงความเห็นกรณีนายเทพไท เสนพงษ์ วิจารณ์ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เดินทางเยือนเยอรมนีและฝรั่งเศสว่า หนีวิกฤตบ้านเมืองและถือโอกาสโชว์แฟชั่น-เที่ยวต่างประเทศว่า เหมือนลูกสมันน้อยพลัดหลงไปอยู่ใจกลางฝูงไฮยีน่าตัวเดียวกลางป่า แล้วถูกผลัดกันต้อนซ้ายที ขวาที พอเผลอก็โดนกัด ตะปบ เหน็บ แขวะ จิก ทั้งที่เป็น “มนุษย์เพศหญิง” ทำหน้าที่แทนคนไทยทั้งประเทศ กลับมาถูกผู้ชายอกสามศอกรุมตำหนิเรื่องไม่เป็นเรื่อง ไม่ว่าการแต่งตัว ตำส้มตำ พูดวนกันไปมาเหมือน “ชกไม่สมศักดิ์ศรี” ในฐานะทีมงาน “ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษ ฎร” แล้วยังเปรียบเทียบระหว่างนายกฯยิ่งลักษณ์แต่งชุดสวยจากศูนย์ศิลปาชีพเพื่อโปรโมตสินค้าไทย กับนายอภิสิทธิ์เปลี่ยนชุดถ่ายแบบเป็นสิบๆชุดเพื่อโปรโมตตัวเอง และใส่หมวกถุงยางอนามัยยืนยิ้มว่าอันไหนดู “ติ๊งต๊อง” กว่ากัน
ตลกร้าย “ฆาตกร”?
การใส่เสื้อแดงและปราศรัยของนายอภิสิทธิ์ที่เสียดสีคนเสื้อแดงให้เลิกเป็น “ขี้ข้าทักษิณ” และไม่มีอุดมการณ์นั้น ย่อมได้รับความสนใจจากสื่อในประเทศและสื่อต่างชาติ แม้จะเป็นการแสดงการตอบโต้ในเชิงสัญลักษณ์ แต่ในมุมกลับกันก็น่าจะเป็น “ตลกร้าย” ที่ยิ่งทำให้นายอภิสิทธิ์ต้องตอบประชาชนและประชาคมโลกถึงคำว่า “จริยธรรม” และ “สำนึกทางการเมือง” ในฐานะผู้นำรัฐบาลที่ทำให้มีการเข่นฆ่าประชาชนและเจ้าหน้าที่รัฐถึง 98 ศพและบาดเจ็บพิการเกือบ 2,000 คน เพราะจนทุกวันนี้ยังไม่มี “คำขอโทษ” แม้แต่คำเดียวจากนายอภิสิทธิ์แล้ว ยังพยายามยัดเยียดและกล่าวหา “ไอ้โม่งชุดดำ” และผู้อื่นผู้อยู่เบื้องหลังอีก
อย่าง ม.ล.มิ่งมงคล โสณกุล โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ค Taona Sonakul ว่า
“เรียนนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หากท่านเชื่ออย่างจริงใจว่าประชาชนไทยเป็นผู้มีจิตใจเป็นเสรีชน สามารถมีความให้เกียรติในความเห็นที่แตกต่างของเพื่อนร่วมชาติด้วยกันอย่างแท้จริงแล้ว..ถ้าหากพวกเขาอยากจะใส่เสื้อสีอะไรก็ให้เขาใส่ไปเหอะ จะสีเหลือง สีแดง สีฟ้า สีม่วง สีดำ ฯลฯ ไม่มีความ จำเป็นอะไรเลยที่จะต้องไปบอกให้เขาไปเปลี่ยนเสื้อเป็นสีโน้นสีนี้ พวกเขาอยากจะใส่เสื้อสีห่าอะไรก็ให้เขาใส่ไป อย่าไปขออะไรกับคนอื่นที่เขามีที่มาที่ไปกันคนละแบบกับท่านเลย..คนที่เขาเลือกใส่สีแดง สีเหลือง ก็เพราะเขาใส่แล้วเขามีความสุขของเขา..
ความแตกแยกไม่ได้มาจากสีเสื้อ ความแตก แยกมาจากความเจ็บช้ำน้ำใจ และความรู้สึกว่าไม่มี ความยุติธรรม และตราบใดที่ท่านยังไม่สามารถแสดงน้ำใจขอโทษประชาชนไทย และวิญญาณของคนที่ต้องตายไปกว่าร้อยศพ โดยการบริหารงานที่ผิดพลาดของท่านในฐานะนายกรัฐมนตรี..
ท่านอย่าได้มาเสียเวลาเปลืองน้ำลายฝันบ้าๆบอๆไปว่าจะมีใครลุกขึ้นบ้าใส่เสื้อแดงเพื่อเป็นแนวร่วมกับท่านเพื่อทวงคืนความยุติธรรมให้คนที่ท่านเองนั่นแหละเป็นคนทำพวกเขาตาย..ท่านเป็นคนที่จิตป่วยมากๆแล้ว ท่านต้องพบจิตแพทย์ และหลบไปอยู่ในที่สงบๆสักพัก”
ไล่ “มาร์ค” ใส่ชุดพลทหาร
ขณะที่นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) กล่าวถึงพฤติกรรมของนายอภิสิทธิ์ว่า การแสดงความเห็นเป็นเสรีภาพ แต่การแสดงออกบางอย่างของนายอภิสิทธิ์ที่วันหนึ่งแต่งตัวล้อเลียน จ.ส.ต.ประสิทธิ์ และใส่เสื้อแดงเรียกร้องให้เสื้อแดงสนับสนุน ถือว่าผิดปรกติและอาการอยู่ในขั้นที่ประชาชนต้องพิจารณาแล้ว เพราะหลังจากพรรคประชาธิปัตย์เปิดเวทีปราศรัยทั่วประเทศอาการก็เริ่มหนักขึ้นทุกวัน ตนอยากให้ความรู้นายอภิสิทธิ์ว่า ปัญหาทางการเมืองขณะนี้ไม่ได้อยู่ที่สีเสื้อ ไม่ใช่ว่าใส่เสื้อสีเดียวกันแล้วจะนับเป็นพวก จนลืมหลักการประชาธิปไตยที่ผลักดันให้ประชาชนออกมาต่อสู้โดยไม่กลัวเสียอิสรภาพ แต่สีเสื้อเป็นสัญ ลักษณ์ของการรวมกลุ่มเท่านั้น นายอภิสิทธิ์ไม่เคยเข้าใจเรื่องนี้ เพราะหากเข้าใจประชาชนจะไม่ถูกสไนเปอร์ยิงตายเกือบร้อยชีวิต และมีนายกรัฐมนตรี ที่ไม่เคยรับผิดชอบอะไร
“ผมอยากให้นายอภิสิทธิ์ใส่ชุดพลทหาร เพื่อสื่อสารไปถึงคนทั้งประเทศว่า ลูกชาวนา คนยากจน ต้องเกณฑ์ทหาร” นายณัฐวุฒิกล่าวและว่า การใส่เสื้อแดงไม่มีความหมายอย่างที่นายอภิสิทธิ์ต้องการ การแต่งกายของนายอภิสิทธิ์ไม่มีผลอะไรกับการเคลื่อนไหวหรือการต่อสู้ของคนเสื้อแดงให้อ่อนแอหรือแตกแยก ตรงข้ามจะเข้มแข็งและรวมพลังกันมากขึ้น เพราะรู้ว่านายอภิสิทธิ์ไม่จริงใจ แต่มีเป้าหมาย ทางการเมืองแอบแฝง ยิ่งทำให้คนเสื้อแดงตื่นตัวและ รวมพลังกัน เหมือนอยู่ในบ้านและเห็นแมลงสาบจะเข้าบ้าน เป็นธรรมดาที่เจ้าของบ้านต้องต่อต้าน
ปชป. ยุคผู้นำ “ป่วย”!
อย่างไรก็ตาม พฤติกรรมของนายอภิสิทธิ์และจุดยืนของพรรคประชาธิปัตย์ที่ประกาศชัดเจนว่าจะต่อต้านร่าง พ.ร.บ.ปรองดอง และการแก้ไขรัฐ ธรรมนูญที่เกี่ยวข้องกับองค์กรอิสระ และมาตรา 309 โดยการสร้างกระแสให้เชื่อว่าทั้งหมดเป็นการปรองดองจอมปลอม และล้างความผิดให้ พ.ต.ท. ทักษิณนั้น ก็มีคำถามว่าจุดยืนของพรรคประชาธิปัตย์ต้องการให้บ้านเมืองมีระบอบประชาธิปไตยที่มาจากประชาชน และเป็นของประชาชนอย่างแท้จริง หรือเป็นระบอบประชาธิปไตยแบบไทยๆที่ต้องยึดโยงกับอำนาจนอกระบบ และผู้มีบารมีนอกระบบอย่างทุกวันนี้
โดยเฉพาะนายอภิสิทธิ์ที่มีคำถามถึง “จริย ธรรม” ในฐานะเป็นทั้งผู้นำรัฐบาลและผู้นำฝ่ายค้าน ซึ่งวันนี้ยังใช้วาทกรรมเป็นอาวุธทิ่มแทงฝ่ายตรงข้ามทุกรูปแบบนั้น จะทำให้ประชาชนเชื่อและเลือกพรรคประชาธิปัตย์ให้กลับมาเป็นรัฐบาลในอนาคตได้ หรือแค่ต้องการให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่ไม่ปรกติอย่างที่ผ่านมา เพื่อมี “กลไกพิเศษ” ให้พรรคประชาธิปัตย์ได้เป็นรัฐบาลอีกครั้ง เพราะเชื่อว่าแม้จะมีการเลือกตั้งใหม่ พรรคประชาธิปัตย์ก็จะพ่ายแพ้การเลือกตั้งเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา
โดยเฉพาะครั้งล่าสุด พรรคประชาธิปัตย์แพ้พรรคเพื่อไทยอย่างราบคาบนั้น มีสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์จำนวนหนึ่งต้องการให้ปฏิรูปพรรคแบบถอนรากถอนโคน ไม่ใช่แค่เปลี่ยนหัวหน้าพรรค และกรรมการบริหารพรรค อย่างที่นายพิเชษฐ พันธุ์วิชาติกุล ผู้อาวุโสพรรคประชาธิปัตย์ ระบุถึงความพ่ายแพ้ของพรรคประชาธิปัตย์ว่า เป็นเพราะ “สร้างศัตรู” ไว้มาก แม้แต่คะแนนเสียงในภาคใต้ยังลดลง ในพรรคก็มีปัญหาความไม่เท่าเทียมในแต่ ละกลุ่มก๊วน เปรียบเทียบรัฐบาลชวน 2 จะเห็นคนเก่าคนแก่ในพรรคเป็นหลัก แต่รัฐบาลอภิสิทธิ์กลับหายหน้าไปหมด เพราะ “นายกฯโดดเดี่ยวตัวเอง”
เช่นเดียวกับนายพิชัย รัตตกุล อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ที่วิจารณ์จุดอ่อนสำคัญของพรรคประชาธิปัตย์คือการบริหารงาน ส่วนจุดอ่อนของนายอภิสิทธิ์คือใช้คนไม่เป็น ไม่ฟังคนเก่าคนแก่ โดยนายอภิสิทธิ์เคยมาหาตน 2 ครั้งสมัยเป็นนายกฯ และให้คำแนะนำไปหลายอย่าง แต่ไม่ทำสักอย่าง เคยคุยวิธีจะแก้ไขความปรองดอง บอกขั้นตอนทุกอย่าง แม้กระทั่งก่อนเลือกตั้งหลายเดือนให้เตรียมบินไปคุยกับ พ.ต.ท.ทักษิณแบบส่วนตัว ไม่เกี่ยวกับพรรค ซึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณก็ตกลงหมดทุกอย่าง แต่นายอภิสิทธิ์ก็รับฟังเฉยๆ
อย่างไรก็ตาม นายพิชัยยอมรับว่านายอภิสิทธิ์เป็นคนดี มีความซื่อสัตย์ แต่ใช้คนไม่เป็น ใช้คนไม่กี่คนที่ล้อมรอบ แม้กระทั่งนายชวน หลีกภัย นายบัญญัติ บรรทัดฐาน ก็เคยเตือน แต่ก็ไม่ฟัง “มันมาจากสันดานคนที่ไม่เหมือนกัน สันดานของคนที่ไม่รู้จักใช้คน”
พรรคประชาธิปัตย์ภายใต้การนำของนายอภิสิทธิ์จึงมีปัญหาทั้งในพรรคและนอกพรรค โดยเฉพาะพฤติกรรมของนายอภิสิทธิ์ที่ถูกกล่าวหาเป็น “ฆาตกร” ซึ่งทำให้นายอภิสิทธิ์ถูกตั้งคำถามถึง “จริยธรรม” และ “สำนึกทางการเมือง” ที่นายอภิสิทธิ์พร่ำสอนและเรียกร้องให้คนอื่นมี “จริย ธรรม” และ “สำนึกทางการเมือง” แต่นายอภิสิทธิ์ กลับถูกสังคมวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากมายว่าไม่มีสำนึกทางการเมืองและจริยธรรมเสียเอง
แต่จากเหตุการณ์และพฤติกรรมที่แสดงออกมาทั้งหมด โดยเฉพาะหลังแพ้การเลือกตั้งซ้ำซาก คนไทยอาจต้องคิดใหม่และเปลี่ยนมาเห็นอกเห็นใจนายอภิสิทธิ์มากขึ้น
เพราะคนเสื้อสีต่างๆ แม้แต่เสื้อหลากสีเองก็ชักจะเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่านายอภิสิทธิ์มีอาการ “ป่วยทางจิต” จนถึงขั้น “สติวิปลาส” ไปแล้วหรือไม่?
ถ้ามีการเปลี่ยนตัวหัวหน้า พรรคประชาธิ ปัตย์ขึ้นมาจริงๆ ..เห็นทีพรรคเพื่อไทยจะเดือดร้อน!
ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
หนึ่งปี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กับบทบาท ซีอีโอ ประเทศไทย !!?
ประเทศไทยก็เริ่มประวัติศาสตร์การเมืองหน้าใหม่โดยมี “นายกรัฐมนตรี” เป็นสุภาพสตรีเป็นครั้งแรก หลังจาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องสาวคนสุดท้องของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้รับเสียงโหวตข้างมากจากสภาผู้แทนราษฎร เห็นชอบแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 28 ของประเทศไทย
นับจากวันนั้นมาเป็นเวลาได้หนึ่งปีพอดี ประเทศไทยเกิดเหตุการณ์ต่างๆ มากมาย ถึงแม้สถานการณ์ทางการเมืองจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงมากนัก แต่ประเทศไทยก็ต้องเผชิญกับภาวะวิกฤตครั้งใหญ่คืออุทกภัยในช่วงปลายปี 2554 รับน้อง “นายกรัฐมนตรีคนใหม่” ที่เพิ่งทำงานได้เพียงหนึ่งเดือน
ย้อนดูการทำงานของยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในรอบ 1 ปีที่ผ่านมา SIU ตัดสินให้เธอ “สอบผ่าน”
“สอบผ่าน” ในที่นี้ไม่ใช่ในฐานะ “นายกรัฐมนตรีของประเทศไทย”
แต่เป็นในฐานะ “ซีอีโอของประเทศไทย” ซึ่งเป็นตำแหน่งใหม่ที่เกิดขึ้นพร้อมกับตัวเธอในวันที่ 5 ส.ค. ปีที่แล้วนั่นเอง

ถ้าย้อนกลับไปดูประวัติศาสตร์การเมืองไทยในรอบ 5-6 ปีมานี้ เราจะเห็นความพยายามของขั้วอำนาจฝั่งพรรคเพื่อไทย (ซึ่งรวมถึงพรรคไทยรักไทย และพรรคพลังประชาชนเดิม) ในการรักษารัฐบาลให้อยู่รอดไปตลอดรอดฝั่ง ซึ่งก็ล้มเหลวมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลของ พ.ต.ท.ทักษิณเอง รัฐบาลสมัคร และรัฐบาลสมชาย
ถึงแม้ว่าขั้วอำนาจตรงข้ามจะมีอาวุธอย่างขบวนการเคลื่อนไหวนอกสภา แม่ทัพนายกอง และกลไกทางกฎหมายต่างๆ คอยทิ่มแทงรัฐบาลฝั่งพรรคเพื่อไทยให้ล้มลงไป แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าความนิยมของตัวบุคคลที่เป็น “นายกรัฐมนตรี” ก็มีผลต่อความอยู่รอดของรัฐบาลเช่นกัน
สมัคร สุนทรเวช และสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ไม่ใช่นักการเมืองที่ก้าวขึ้นมาด้วยคะแนนนิยมของตัวเอง และบทบาทในตำแหน่ง “นายกรัฐมนตรีไทย” ที่เป็นศูนย์รวมการต่อรองอำนาจทางการเมืองของฝักฝ่ายต่างๆ ในประเทศไทย ก็ไม่ได้เอื้อให้คนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้นายกรัฐมนตรี สามารถรักษาตัวให้สะอาดและไม่เจ็บช้ำได้อย่างที่ใจต้องการ
คนที่รับทราบบทเรียนและความเจ็บปวดของตำแหน่ง “นายกรัฐมนตรี” อย่างลึกซึ้งกว่าใคร หนึ่งในนั้นก็มีชื่อของ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” อยู่ด้วยซ้ำ
ในการเลือกตั้งปี 2554 พรรคเพื่อไทยแก้ปัญหานี้ด้วยแนวทาง “คิดใหม่ทำใหม่” คือแยก “บทบาท” ของนายกรัฐมนตรีออกเป็นสองส่วนจากกัน
งานเบื้องหลังที่ต้องต่อรอง ตุกติก เจ็บช้ำ แต่สำคัญกับฐานอำนาจและการคงอยู่ของรัฐบาลทั้งหมด พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จะรับไปทำเอง ไม่ว่าจะเป็นการต่อรองกับพรรคร่วม บริหารมวลชนคนเสื้อแดง รวมไปถึงการเจรจาเงื่อนไขผลประโยชน์กับรัฐบาลต่างชาติ
ส่วนงานเบื้องหน้าที่ต้องพึ่งทักษะการบริหารงานทั่วไป การสั่งการผ่านกลไกรัฐอย่างคณะรัฐมนตรีและหน่วยงานของรัฐอื่นๆ งานพิธีการ รวมถึงงานทางการทูตในต่างประเทศ เป็นหน้าที่ของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
เราขอเรียกตำแหน่งใหม่อย่างไม่เป็นทางการนี้ว่า “ซีอีโอประเทศไทย” โดยมี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ดำรงตำแหน่งเป็นซีอีโอประเทศคนแรก
ตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา การแบ่งหน้าที่ของนายกรัฐมนตรีออกเป็นสองส่วน เป็นผลดีต่อเสถียรภาพของรัฐบาลเพื่อไทยเป็นอย่างมาก (อ่านรายละเอียดในบทความ ระบอบนายกรัฐมนตรีคู่ – ยิ่งลักษณ์ออกหน้า ทักษิณคุมหลัง)
สถาปัตยกรรมทางการเมืองลักษณะนี้ถูกออกแบบขึ้นมาใต้ข้อจำกัดว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ในฐานะผู้มีอำนาจตัวจริง ไม่สามารถอาศัยอยู่ในประเทศไทยได้ และภายใต้ข้อจำกัดว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ไม่ได้มีพื้นฐานทางการเมืองมาอย่างนอมินีคนก่อนๆ อย่างนายสมัครและสมชาย
หนึ่งปีที่ผ่านมานี้ ต้องบอกว่า ยิ่งลักษณ์ “สอบผ่าน” ในตำแหน่งนี้ เพราะเธอสามารถทำงานตามที่ได้รับมอบหมายมาได้เป็นอย่างดี การบริหารประเทศทั่วๆ ไปทำได้ไม่ติดขัดนัก (ถ้าไม่นับวิกฤตน้ำท่วมที่เป็นภัยจู่โจมแบบไม่ตั้งตัว) การดำเนินนโยบายของพรรคเพื่อไทยเป็นไปได้ด้วยดี (ส่วนนโยบายจะดีหรือแย่แค่ไหนกับประเทศ ต้องมาพิจารณากันในรายละเอียดอีกครั้ง) งานพิธีไม่มีปัญหาอะไร และการเยือนต่างประเทศก็ได้รับความสนใจจากชาวโลก เนื่องจากความเป็นผู้หญิงและบุคคลิกหน้าตาของตัวยิ่งลักษณ์เอง
มิหนำซ้ำ การที่เธอหลีกเลี่ยงการปะทะทางการเมืองโดยตรง (ในสถานะ “นายกรัฐมนตรีไทย”) ยิ่งส่งผลดีต่อเสถียรภาพของรัฐบาลเพื่อไทยด้วยซ้ำ
ถ้าไม่นับปัญหาเรื่อง “พูดผิด” ที่เรามักได้เห็นกันอยู่เสมอ (อันเนื่องมาจากทักษะการพูดของยิ่งลักษณ์ที่ไม่ดีนัก ซึ่งก็ควรตำหนิและวิจารณ์ เพราะเป็นประเด็นสำคัญของคนที่อยู่ในตำแหน่งนี้) ก็ต้องถือว่ายิ่งลักษณ์ทำได้ดีมากทีเดียวกับการประคองรัฐบาลเพื่อไทยในฐานะ “หัวหน้าคณะรัฐมนตรี” หรือ “ซีอีโอของประเทศ”
แต่ถ้าเรานำกรอบการประเมิน “นายกรัฐมนตรีไทย” แบบเดิมๆ มาประเมินตัวยิ่งลักษณ์ ก็คงเป็นไปได้ยาก เพราะยิ่งลักษณ์ไม่ได้ทำงานหลายๆ อย่างที่นายกรัฐมนตรีไทยในอดีตต้องลงมาทำด้วยตัวเอง
ไม่ว่าจะเป็นการเจรจากับพรรคร่วมรัฐบาล
ไม่ว่าจะเป็นการตอบโต้กับฝ่ายค้าน
กิจการของรัฐสภาก็แทบไม่ได้ยุ่งเกี่ยว มีบ้างตามหน้าที่ และส่วนใหญ่ก็มอบหมายให้รองนายก-รัฐมนตรีเป็นคนทำหน้าที่แทน
การให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนก็อยู่ในประเด็นเรื่องนโยบายและการบริหารเท่านั้น แทบไม่มี “การเมือง” ในความหมายดั้งเดิมเลย
ดังนั้นการประเมิน “ยิ่งลักษณ์” ในฐานะ “นักการเมือง” จึงกระทำได้ยากยิ่ง เพราะหน้าที่การงานของเธอฉีกออกไปจากธรรมเนียมปฏิบัติทางการเมืองแบบเดิมๆ ของประเทศไทย
เราอาจพูดได้ว่ายิ่งลักษณ์นั้น “สอบตก” ในฐานะนักการเมือง แต่ถ้าลองมองออกไปในมุมที่แตกต่าง ก็อาจจะตั้งคำถามกลับได้ว่า บุคคลที่ดำรงตำแหน่ง “นายกรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการ” จำเป็นต้องลงมาทำงานการเมืองลักษณะนี้จริงๆ งั้นหรือ
โดยเฉพาะในห้วงยามที่ประเทศไทยแบ่งแยกทางความคิดอย่างหนัก การเมืองขาดเสถียรภาพอย่างรุนแรง และพรรคเพื่อไทยเองก็มี “นายใหญ่” นั่งสั่งการจากระยะไกล มีขุนพลจำนวนมากคอยทำหน้าที่นี้แทนอยู่แล้ว
หนึ่งปีแรกของยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จึงอาจไม่จำเป็นต้องสนใจว่า “สอบตก” หรือ “สอบผ่าน” ในฐานะนายกรัฐมนตรี-นักการเมืองเลยด้วยซ้ำ ถ้าหากว่าเธอไปได้ในฐานะ “ซีอีโอประเทศ” ทำงานบริหารราชการแผ่นดินได้ตามที่ประชาชนคาดหวัง และรัฐบาลเพื่อไทยเองก็ยังมีความนิยมมากพอเป็นรัฐบาลต่อได้
ภายใต้สถาปัตยกรรมทางการเมืองแบบ “นายกคู่” ที่พรรคเพื่อไทยนำมาใช้ ยิ่งลักษณ์ก็คงไม่ต้องลงมาคลุกวงใน เปิดศึกตอบโต้ทางการเมืองกับฝ่ายตรงข้ามได้ตลอดวาระ 4 ปีเลยด้วยซ้ำ (ในกรณีที่เธออยู่ครบวาระ)
อย่างไรก็ตาม ปีที่สองของยิ่งลักษณ์จะต้องเผชิญกับอุปสรรคที่มากขึ้นเป็นเงาตามตัว เธอกำลังจะต้องเจอกับการอภิปรายไม่ไว้วางใจเป็นครั้งแรกในชีวิตในไม่ช้านี้ และในระยะยาวกว่านั้น อุปสรรคที่สำคัญกว่าที่เธอต้องเผชิญก็คือ เสียงเรียกร้องจากประชาชนว่า ตกลงแล้ว การดำเนินนโยบายของรัฐบาลเพื่อไทยจะสามารถสร้างสภาวะ “อยู่ดีกินดี” นำพาประเทศไทยเจริญรุ่งเรืองได้อย่างที่หาเสียงไว้หรือไม่
ความรับผิดชอบเหล่านี้ย่อมหนักหนาสาหัส และต้องการ “สภาวะผู้นำ” จากตัวของยิ่งลักษณ์ มากกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบันมาก
เธอจำเป็นต้องออกมาแสดงความกล้าหาญ แสดงภาวะผู้นำให้มากขึ้น มีความเป็นอิสระของตัวเองมากขึ้น ถึงแม้จะเป็นแค่ในสถานะ “ซีอีโอของประเทศ” ก็ตามที เพราะตำแหน่ง “ซีอีโอ” ไม่ใช่เพียงแต่ต้องบริหาร แต่ต้องเป็นผู้มีวิสัยทัศน์ชักนำองค์กรไปสู่ความสำเร็จในอนาคตด้วย
และถ้าหากนโยบายของพรรคเพื่อไทยล้มเหลว ต่อให้ไม่ต้องยุ่งกับการเมืองโดยตรงในสถานะ “นายกรัฐมนตรี” แบบเดิมๆ ก็ตาม ตัวของยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในฐานะเพียงแค่ “ซีอีโอของประเทศ” ย่อมต้องแสดงความรับผิดชอบเป็นคนแรก
ที่มา:Siam Intelligence Unit
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
นับจากวันนั้นมาเป็นเวลาได้หนึ่งปีพอดี ประเทศไทยเกิดเหตุการณ์ต่างๆ มากมาย ถึงแม้สถานการณ์ทางการเมืองจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงมากนัก แต่ประเทศไทยก็ต้องเผชิญกับภาวะวิกฤตครั้งใหญ่คืออุทกภัยในช่วงปลายปี 2554 รับน้อง “นายกรัฐมนตรีคนใหม่” ที่เพิ่งทำงานได้เพียงหนึ่งเดือน
ย้อนดูการทำงานของยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในรอบ 1 ปีที่ผ่านมา SIU ตัดสินให้เธอ “สอบผ่าน”
“สอบผ่าน” ในที่นี้ไม่ใช่ในฐานะ “นายกรัฐมนตรีของประเทศไทย”
แต่เป็นในฐานะ “ซีอีโอของประเทศไทย” ซึ่งเป็นตำแหน่งใหม่ที่เกิดขึ้นพร้อมกับตัวเธอในวันที่ 5 ส.ค. ปีที่แล้วนั่นเอง
ถ้าย้อนกลับไปดูประวัติศาสตร์การเมืองไทยในรอบ 5-6 ปีมานี้ เราจะเห็นความพยายามของขั้วอำนาจฝั่งพรรคเพื่อไทย (ซึ่งรวมถึงพรรคไทยรักไทย และพรรคพลังประชาชนเดิม) ในการรักษารัฐบาลให้อยู่รอดไปตลอดรอดฝั่ง ซึ่งก็ล้มเหลวมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลของ พ.ต.ท.ทักษิณเอง รัฐบาลสมัคร และรัฐบาลสมชาย
ถึงแม้ว่าขั้วอำนาจตรงข้ามจะมีอาวุธอย่างขบวนการเคลื่อนไหวนอกสภา แม่ทัพนายกอง และกลไกทางกฎหมายต่างๆ คอยทิ่มแทงรัฐบาลฝั่งพรรคเพื่อไทยให้ล้มลงไป แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าความนิยมของตัวบุคคลที่เป็น “นายกรัฐมนตรี” ก็มีผลต่อความอยู่รอดของรัฐบาลเช่นกัน
สมัคร สุนทรเวช และสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ไม่ใช่นักการเมืองที่ก้าวขึ้นมาด้วยคะแนนนิยมของตัวเอง และบทบาทในตำแหน่ง “นายกรัฐมนตรีไทย” ที่เป็นศูนย์รวมการต่อรองอำนาจทางการเมืองของฝักฝ่ายต่างๆ ในประเทศไทย ก็ไม่ได้เอื้อให้คนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้นายกรัฐมนตรี สามารถรักษาตัวให้สะอาดและไม่เจ็บช้ำได้อย่างที่ใจต้องการ
คนที่รับทราบบทเรียนและความเจ็บปวดของตำแหน่ง “นายกรัฐมนตรี” อย่างลึกซึ้งกว่าใคร หนึ่งในนั้นก็มีชื่อของ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” อยู่ด้วยซ้ำ
ในการเลือกตั้งปี 2554 พรรคเพื่อไทยแก้ปัญหานี้ด้วยแนวทาง “คิดใหม่ทำใหม่” คือแยก “บทบาท” ของนายกรัฐมนตรีออกเป็นสองส่วนจากกัน
งานเบื้องหลังที่ต้องต่อรอง ตุกติก เจ็บช้ำ แต่สำคัญกับฐานอำนาจและการคงอยู่ของรัฐบาลทั้งหมด พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จะรับไปทำเอง ไม่ว่าจะเป็นการต่อรองกับพรรคร่วม บริหารมวลชนคนเสื้อแดง รวมไปถึงการเจรจาเงื่อนไขผลประโยชน์กับรัฐบาลต่างชาติ
ส่วนงานเบื้องหน้าที่ต้องพึ่งทักษะการบริหารงานทั่วไป การสั่งการผ่านกลไกรัฐอย่างคณะรัฐมนตรีและหน่วยงานของรัฐอื่นๆ งานพิธีการ รวมถึงงานทางการทูตในต่างประเทศ เป็นหน้าที่ของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
เราขอเรียกตำแหน่งใหม่อย่างไม่เป็นทางการนี้ว่า “ซีอีโอประเทศไทย” โดยมี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ดำรงตำแหน่งเป็นซีอีโอประเทศคนแรก
ตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา การแบ่งหน้าที่ของนายกรัฐมนตรีออกเป็นสองส่วน เป็นผลดีต่อเสถียรภาพของรัฐบาลเพื่อไทยเป็นอย่างมาก (อ่านรายละเอียดในบทความ ระบอบนายกรัฐมนตรีคู่ – ยิ่งลักษณ์ออกหน้า ทักษิณคุมหลัง)
สถาปัตยกรรมทางการเมืองลักษณะนี้ถูกออกแบบขึ้นมาใต้ข้อจำกัดว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ในฐานะผู้มีอำนาจตัวจริง ไม่สามารถอาศัยอยู่ในประเทศไทยได้ และภายใต้ข้อจำกัดว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ไม่ได้มีพื้นฐานทางการเมืองมาอย่างนอมินีคนก่อนๆ อย่างนายสมัครและสมชาย
หนึ่งปีที่ผ่านมานี้ ต้องบอกว่า ยิ่งลักษณ์ “สอบผ่าน” ในตำแหน่งนี้ เพราะเธอสามารถทำงานตามที่ได้รับมอบหมายมาได้เป็นอย่างดี การบริหารประเทศทั่วๆ ไปทำได้ไม่ติดขัดนัก (ถ้าไม่นับวิกฤตน้ำท่วมที่เป็นภัยจู่โจมแบบไม่ตั้งตัว) การดำเนินนโยบายของพรรคเพื่อไทยเป็นไปได้ด้วยดี (ส่วนนโยบายจะดีหรือแย่แค่ไหนกับประเทศ ต้องมาพิจารณากันในรายละเอียดอีกครั้ง) งานพิธีไม่มีปัญหาอะไร และการเยือนต่างประเทศก็ได้รับความสนใจจากชาวโลก เนื่องจากความเป็นผู้หญิงและบุคคลิกหน้าตาของตัวยิ่งลักษณ์เอง
มิหนำซ้ำ การที่เธอหลีกเลี่ยงการปะทะทางการเมืองโดยตรง (ในสถานะ “นายกรัฐมนตรีไทย”) ยิ่งส่งผลดีต่อเสถียรภาพของรัฐบาลเพื่อไทยด้วยซ้ำ
ถ้าไม่นับปัญหาเรื่อง “พูดผิด” ที่เรามักได้เห็นกันอยู่เสมอ (อันเนื่องมาจากทักษะการพูดของยิ่งลักษณ์ที่ไม่ดีนัก ซึ่งก็ควรตำหนิและวิจารณ์ เพราะเป็นประเด็นสำคัญของคนที่อยู่ในตำแหน่งนี้) ก็ต้องถือว่ายิ่งลักษณ์ทำได้ดีมากทีเดียวกับการประคองรัฐบาลเพื่อไทยในฐานะ “หัวหน้าคณะรัฐมนตรี” หรือ “ซีอีโอของประเทศ”
แต่ถ้าเรานำกรอบการประเมิน “นายกรัฐมนตรีไทย” แบบเดิมๆ มาประเมินตัวยิ่งลักษณ์ ก็คงเป็นไปได้ยาก เพราะยิ่งลักษณ์ไม่ได้ทำงานหลายๆ อย่างที่นายกรัฐมนตรีไทยในอดีตต้องลงมาทำด้วยตัวเอง
ไม่ว่าจะเป็นการเจรจากับพรรคร่วมรัฐบาล
ไม่ว่าจะเป็นการตอบโต้กับฝ่ายค้าน
กิจการของรัฐสภาก็แทบไม่ได้ยุ่งเกี่ยว มีบ้างตามหน้าที่ และส่วนใหญ่ก็มอบหมายให้รองนายก-รัฐมนตรีเป็นคนทำหน้าที่แทน
การให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนก็อยู่ในประเด็นเรื่องนโยบายและการบริหารเท่านั้น แทบไม่มี “การเมือง” ในความหมายดั้งเดิมเลย
ดังนั้นการประเมิน “ยิ่งลักษณ์” ในฐานะ “นักการเมือง” จึงกระทำได้ยากยิ่ง เพราะหน้าที่การงานของเธอฉีกออกไปจากธรรมเนียมปฏิบัติทางการเมืองแบบเดิมๆ ของประเทศไทย
เราอาจพูดได้ว่ายิ่งลักษณ์นั้น “สอบตก” ในฐานะนักการเมือง แต่ถ้าลองมองออกไปในมุมที่แตกต่าง ก็อาจจะตั้งคำถามกลับได้ว่า บุคคลที่ดำรงตำแหน่ง “นายกรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการ” จำเป็นต้องลงมาทำงานการเมืองลักษณะนี้จริงๆ งั้นหรือ
โดยเฉพาะในห้วงยามที่ประเทศไทยแบ่งแยกทางความคิดอย่างหนัก การเมืองขาดเสถียรภาพอย่างรุนแรง และพรรคเพื่อไทยเองก็มี “นายใหญ่” นั่งสั่งการจากระยะไกล มีขุนพลจำนวนมากคอยทำหน้าที่นี้แทนอยู่แล้ว
หนึ่งปีแรกของยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จึงอาจไม่จำเป็นต้องสนใจว่า “สอบตก” หรือ “สอบผ่าน” ในฐานะนายกรัฐมนตรี-นักการเมืองเลยด้วยซ้ำ ถ้าหากว่าเธอไปได้ในฐานะ “ซีอีโอประเทศ” ทำงานบริหารราชการแผ่นดินได้ตามที่ประชาชนคาดหวัง และรัฐบาลเพื่อไทยเองก็ยังมีความนิยมมากพอเป็นรัฐบาลต่อได้
ภายใต้สถาปัตยกรรมทางการเมืองแบบ “นายกคู่” ที่พรรคเพื่อไทยนำมาใช้ ยิ่งลักษณ์ก็คงไม่ต้องลงมาคลุกวงใน เปิดศึกตอบโต้ทางการเมืองกับฝ่ายตรงข้ามได้ตลอดวาระ 4 ปีเลยด้วยซ้ำ (ในกรณีที่เธออยู่ครบวาระ)
อย่างไรก็ตาม ปีที่สองของยิ่งลักษณ์จะต้องเผชิญกับอุปสรรคที่มากขึ้นเป็นเงาตามตัว เธอกำลังจะต้องเจอกับการอภิปรายไม่ไว้วางใจเป็นครั้งแรกในชีวิตในไม่ช้านี้ และในระยะยาวกว่านั้น อุปสรรคที่สำคัญกว่าที่เธอต้องเผชิญก็คือ เสียงเรียกร้องจากประชาชนว่า ตกลงแล้ว การดำเนินนโยบายของรัฐบาลเพื่อไทยจะสามารถสร้างสภาวะ “อยู่ดีกินดี” นำพาประเทศไทยเจริญรุ่งเรืองได้อย่างที่หาเสียงไว้หรือไม่
ความรับผิดชอบเหล่านี้ย่อมหนักหนาสาหัส และต้องการ “สภาวะผู้นำ” จากตัวของยิ่งลักษณ์ มากกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบันมาก
เธอจำเป็นต้องออกมาแสดงความกล้าหาญ แสดงภาวะผู้นำให้มากขึ้น มีความเป็นอิสระของตัวเองมากขึ้น ถึงแม้จะเป็นแค่ในสถานะ “ซีอีโอของประเทศ” ก็ตามที เพราะตำแหน่ง “ซีอีโอ” ไม่ใช่เพียงแต่ต้องบริหาร แต่ต้องเป็นผู้มีวิสัยทัศน์ชักนำองค์กรไปสู่ความสำเร็จในอนาคตด้วย
และถ้าหากนโยบายของพรรคเพื่อไทยล้มเหลว ต่อให้ไม่ต้องยุ่งกับการเมืองโดยตรงในสถานะ “นายกรัฐมนตรี” แบบเดิมๆ ก็ตาม ตัวของยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในฐานะเพียงแค่ “ซีอีโอของประเทศ” ย่อมต้องแสดงความรับผิดชอบเป็นคนแรก
ที่มา:Siam Intelligence Unit
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
วันจันทร์ที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2555
หมิ่นหรือไม่ !!?
ผมขอร้องเถอะครับ..ถ้าจะปล่อยหล่อนไปข้างนอกไกลๆ..ช่วยหาอะไรครอบปากเธอไว้ได้มั้ยครับ..ผมไม่ไหวละ
ประโยคข้างบนดังกล่าว..ปรากฏอยู่ใน..เฟซบุ๊ก..ของ กนก รัตน์ วงศ์สกุล พูดถึงเขียนถึง..นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีแห่งประเทศไทย
คำว่า “ครอบปาก”..ไม่มีคำอธิบายในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน..แต่ไม่ใช่คำที่ไว้ใช้กับคน..เช่นเดียวกับคำว่า “ปล่อย”
แต่หากเอาคำว่าปล่อยและครอบปากมาใช้รวมกันแล้ว..จะเอามาใช้กับคนไม่ได้..แต่หมายถึงสัตว์ชนิดหนึ่ง..ซึ่งเป็นเรื่องไม่สมควรที่จะนำมาใช้กับคนที่เป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย..
ข้อความคำพูดของ นายกรัฐมนตรีที่ว่า..10 ชาติอาเซียน มีพลเมืองเป็นครึ่งหนึ่งของประชากรโลกนั้น..เป็นการประมาณการณ์..ที่ไม่ได้เกินเลยต่อความเป็นจริง
เดือนเมษายน 2552 โลกมีประชากร 6,700 ล้านคน..ในจำนวนนี้ร้อยละ60 เป็นประชากรในทวีปเอเชีย..เฉพาะ 10 ประเทศในอาเซียน มีประชากรร้อยละ 10 ของประชากรโลก..คือ 560 ล้านคน
แต่สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กับผู้เข้าร่วมประชุม..จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ อินเดีย ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์..ที่นายกรัฐมนตรีเอาไปกล่าวถึงนั้น..มีจำนวนประชากรรวมกัน..เกือบครึ่งหนึ่งของโลก..
ดังนั้น..ที่นายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ นำไปกล่าวจึง..เป็นการกล่าวที่ถูกต้อง..และมีการประชุมกันจริง
ดังนั้น ข้อความที่ นายกนก รัตน์วงศ์สกุล นำไปใส่ไคล้และให้เอาที่ครอบปากไปใส่เวลาปล่อยเธอไปที่ไหนไกลๆ จึงเป็นการหมิ่นประมาท..และใช้ข้อความอันเป็นเท็จมากล่าวหา..
หากว่า..นายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จะดำเนินการฟ้องร้องด้วยตนเองแล้ว..คดีนี้จะยอมความกันได้..แต่หากว่า..สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีจะเป็นผู้กล่าวหา..คดีจะเป็นเรื่องที่ยอมความกันไม่ได้เพราะเป็นความผิดต่อแผ่นดิน..
ปัญหาจึงอยู่ที่ว่า..สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี หรือตัวนายกรัฐมนตรีเอง จะยอมรับ..การ “ครอบปาก” ในทุกครั้งที่ถูกปล่อยให้ไปไหนไกลๆ หรือไม่..ตามคำเรียกร้องของ นายกนก รัตน์วงศ์สกุล..
สมัคร สุนทรเวช..เคยชนะคดี นายประสาน มีเฟื่องศาสตร์..หรือนามปากกา “กระแช่” มาแล้ว..กับคำว่า “จมูกชมพู่” เมื่อศาลวิเคราะห์ว่า.. “หมายถึงใคร”
โดย:พญาไม้ทูเดย์,บางกอกทูเดย์
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ประโยคข้างบนดังกล่าว..ปรากฏอยู่ใน..เฟซบุ๊ก..ของ กนก รัตน์ วงศ์สกุล พูดถึงเขียนถึง..นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีแห่งประเทศไทย
คำว่า “ครอบปาก”..ไม่มีคำอธิบายในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน..แต่ไม่ใช่คำที่ไว้ใช้กับคน..เช่นเดียวกับคำว่า “ปล่อย”
แต่หากเอาคำว่าปล่อยและครอบปากมาใช้รวมกันแล้ว..จะเอามาใช้กับคนไม่ได้..แต่หมายถึงสัตว์ชนิดหนึ่ง..ซึ่งเป็นเรื่องไม่สมควรที่จะนำมาใช้กับคนที่เป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย..
ข้อความคำพูดของ นายกรัฐมนตรีที่ว่า..10 ชาติอาเซียน มีพลเมืองเป็นครึ่งหนึ่งของประชากรโลกนั้น..เป็นการประมาณการณ์..ที่ไม่ได้เกินเลยต่อความเป็นจริง
เดือนเมษายน 2552 โลกมีประชากร 6,700 ล้านคน..ในจำนวนนี้ร้อยละ60 เป็นประชากรในทวีปเอเชีย..เฉพาะ 10 ประเทศในอาเซียน มีประชากรร้อยละ 10 ของประชากรโลก..คือ 560 ล้านคน
แต่สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กับผู้เข้าร่วมประชุม..จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ อินเดีย ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์..ที่นายกรัฐมนตรีเอาไปกล่าวถึงนั้น..มีจำนวนประชากรรวมกัน..เกือบครึ่งหนึ่งของโลก..
ดังนั้น..ที่นายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ นำไปกล่าวจึง..เป็นการกล่าวที่ถูกต้อง..และมีการประชุมกันจริง
ดังนั้น ข้อความที่ นายกนก รัตน์วงศ์สกุล นำไปใส่ไคล้และให้เอาที่ครอบปากไปใส่เวลาปล่อยเธอไปที่ไหนไกลๆ จึงเป็นการหมิ่นประมาท..และใช้ข้อความอันเป็นเท็จมากล่าวหา..
หากว่า..นายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จะดำเนินการฟ้องร้องด้วยตนเองแล้ว..คดีนี้จะยอมความกันได้..แต่หากว่า..สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีจะเป็นผู้กล่าวหา..คดีจะเป็นเรื่องที่ยอมความกันไม่ได้เพราะเป็นความผิดต่อแผ่นดิน..
ปัญหาจึงอยู่ที่ว่า..สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี หรือตัวนายกรัฐมนตรีเอง จะยอมรับ..การ “ครอบปาก” ในทุกครั้งที่ถูกปล่อยให้ไปไหนไกลๆ หรือไม่..ตามคำเรียกร้องของ นายกนก รัตน์วงศ์สกุล..
สมัคร สุนทรเวช..เคยชนะคดี นายประสาน มีเฟื่องศาสตร์..หรือนามปากกา “กระแช่” มาแล้ว..กับคำว่า “จมูกชมพู่” เมื่อศาลวิเคราะห์ว่า.. “หมายถึงใคร”
โดย:พญาไม้ทูเดย์,บางกอกทูเดย์
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
จากใจ ชุมพล ถึง ยิ่งลักษณ์ ถึงลูกถึงคน...ผมสู้ท่านไม่ได้ !!?
หลังฝ่าฝันอุปสรรคครบ 1 ปี รัฐนาวา "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" ถือโอกาสเลี้ยงสังสรรค์ ขอบคุณพรรคร่วมรัฐบาล ที่เคียงข้างทำงานมาครบ 1 ปีเต็ม
ไฮไลต์ในงานไม่ได้มีแค่การรวมตัวของบรรดา "บิ๊กเนม" ที่เป็นแกนนำพรรคร่วมรัฐบาล
ไม่ได้มีแค่การรวมตัวของนายกรัฐมนตรี 3 คน บรรหาร ศิลปอาชา-สมชาย วงศ์สวัสดิ์-ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
แต่ "สีสัน" อันเป็น "ไฮไลต์" แท้จริงของงาน คือ คำเยินยอ ผูกมิตร ผูกสัมพันธ์ระหว่างกัน โดยเฉพาะคำเยินยอจาก ชุมพล ศิลปอาชา" ในฐานะหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา ถึง "ยิ่งลักษณ์" หัวหน้ารัฐบาล
"ยิ่งลักษณ์" กล่าวว่า "1 ปีที่ผ่านมาทำงานด้วยกัน เราอยู่บ้านเดียวกันมาเกือบปีแล้ว หากคนเราแต่งงานกัน ก็ถือว่า
ตกล่องปล่องชิ้นด้วยกัน ตั้งแต่วันก็อยู่กับจนครบ 1 ปีแล้ว"
"สิ่งที่พบคือเรามีครอบครัวที่น่ารัก อบอุ่น เอื้ออาทร ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน วันนี้บรรยากาศมีความสุข ได้รับพลังความร่วมมือ ร่วมใจ ได้รับการสนับสนุน ขอบคุณที่สนับสนุนยิ่งลักษณ์มาทำงานด้วย"
ส่วน "ชุมพล" ก็ออกตัวบนเวทีว่า "วันนี้ปลื้มปีติจริง ๆ ไม่เคยมีวันไหนปลื้มเท่ากับวันนี้ เพราะท่านนายกฯให้เกียรติแต่งงานกับผมมาหนึ่งปี แล้วยังอยู่ในบ้านท่านด้วย" ทำเอา "ยิ่งลักษณ์" ที่นั่งฟังอยู่เบื้องล่างเขินอาย หัวเราะด้วยความชอบใจ
"ชุมพล" พูดต่อว่า "ขอบคุณที่ดูแลผมและพรรคชาติไทยพัฒนาอย่างดีมาโดยตลอด 1 ปีเต็ม ๆ แต่ผมมิบังอาจแต่งงานกับท่าน หรือได้อยู่บ้านเดียวกับท่าน แต่พร้อมร่วมมือทำงานไปจนตลอด"
"ปัญหาอุปสรรคของนายกฯท่านนี้
ไม่ค่อยมี คำพูดไม่มีไปล็อกอยู่ที่ไหนเด็ดขาด พูดสไตล์นิ่ม ไม่เคยพูดชนใคร"
"ที่ประทับใจมาก ไม่เคยรู้ว่าท่านทำงานเก่ง คุมงานจี้ ทุกกระเบียดนิ้วถึงลูกถึงคน ภาพที่ท่านหาเสียง ผมเองผู้ชายแท้ ๆ ยังสู้ไม่ได้ ท่านไปได้ตลอด"
แม้อายุมากกว่า "ยิ่งลักษณ์" พรรษางานก็มีมากกว่า แต่เมื่อมี "ยิ่งลักษณ์" มาเป็นผู้นำ ก็ทำให้ "ชุมพล" รู้สึกอุ่นใจ
"พอมาทำงานเป็นนายกฯ ท่านใช้ management skill ทักษะบริหารจัดการของท่าน เอามาใช้ในการบริหารจัดการรัฐบาลเต็มตัว ผมสู้ท่านไม่ได้ วิธีทำงานจำแม่น ยิ่งมีมือขวาอย่างท่านนิวัฒน์ธำรง (บุญทรงไพศาล รมต.ประจำสำนักนายกฯ) ช่วยติดตามงานให้วางแผน ผมเองรู้สึกอุ่นใจได้ทำงานกับนายกฯเข้มแข็งอย่างนี้"
เมื่อ "ชุมพล" เอ่ยถึงการทำงานของ
"นิวัฒน์ธำรง" คนจากตึกชิน ที่พลิกชิวิตมาเป็นมือทำงานคู่ใจ ข้างกาย "ยิ่งลักษณ์" ช่วย "จี้" งานจากรัฐมนตรีแทนนายกฯ ทำให้ "ยิ่งลักษณ์" ถึงกับยกมือซ้ายขึ้นปิดปาก พยายามกลั้นหัวเราะจนตัวงอ
"ชุมพล" ยกยอต่อไป ว่า "ผมผ่านทุกงานมาเยอะยังตามท่านไม่ค่อยทัน แผนงานต่าง ๆ ท่านมองไปข้างหน้า 10 ปี มีอย่างที่ไหน นายกฯแถลงผลงานนโยบายในสภาบอกว่า ปีนี้การท่องเที่ยวได้ 2 ล้านล้านบาท ภายใน 4 ปี โอ้โห...ผมตกใจ
ทำไงดี นั่งคิดไม่ตก พอดีท่านมาช่วยเหลือ ดูแล ความสบายใจก็เกิดขึ้น"
ชุมพลในนามพรรคชาติไทยพัฒนาประกาศลั่นว่า "ทิศทางตอนนี้ เส้นทางเดินไปถึงตรงนั้น ถึงแน่ครับ...ขณะนี้รายได้การท่องเที่ยวก็ปาไป 1.4 ล้านล้านบาทแล้ว"
ส่วนเรื่องรัฐธรรมนูญ และเรื่อง พ.ร.บ.ปรองดองฯ "ชุมพล" บอกว่า ไม่ใช่ปัญหาที่ทำลายรัฐบาล "ยิ่งลักษณ์"
"ไม่ต้องเป็นห่วง ไม่ใช่วิกฤตของรัฐบาล รัฐบาลจะไม่สะเทือนโดยเด็ดขาด โดยเฉพาะบุคลิกนายกฯไม่ชนใคร พูดจานิ่ม รู้จักปรับบุคลิก เป็นนักการทูต ไปประเทศไหน แต่งตัวตามประเทศนั้น อันนี้ไม่เคยมีที่ไหนทำ ขอให้ทำงานอย่างสบายใจ ขอให้เป็นไปอย่างนี้โดยตลอด เชื่อว่าตลอดภายใต้การนำของนายกฯจะราบรื่น"
ปิดท้ายคำพูดของ "ชุมพล" เอ่ยคำประกาศิตว่า "พรรคเดินทางร่วมกัน 1 ปี เป็นแค่เริ่มต้น ยังเหลือระยะทางอีก 3 ปี รวมอีกสมัยหน้าอีก 4 ปี เป็น 7 ปี"
การเกี้ยวพาราสี อันเป็น "สีสัน" บนเวที ที่เกิดขึ้นในงานเลี้ยงครบ 1 ปี พรรคร่วมรัฐบาล
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ไฮไลต์ในงานไม่ได้มีแค่การรวมตัวของบรรดา "บิ๊กเนม" ที่เป็นแกนนำพรรคร่วมรัฐบาล
ไม่ได้มีแค่การรวมตัวของนายกรัฐมนตรี 3 คน บรรหาร ศิลปอาชา-สมชาย วงศ์สวัสดิ์-ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
แต่ "สีสัน" อันเป็น "ไฮไลต์" แท้จริงของงาน คือ คำเยินยอ ผูกมิตร ผูกสัมพันธ์ระหว่างกัน โดยเฉพาะคำเยินยอจาก ชุมพล ศิลปอาชา" ในฐานะหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา ถึง "ยิ่งลักษณ์" หัวหน้ารัฐบาล
"ยิ่งลักษณ์" กล่าวว่า "1 ปีที่ผ่านมาทำงานด้วยกัน เราอยู่บ้านเดียวกันมาเกือบปีแล้ว หากคนเราแต่งงานกัน ก็ถือว่า
ตกล่องปล่องชิ้นด้วยกัน ตั้งแต่วันก็อยู่กับจนครบ 1 ปีแล้ว"
"สิ่งที่พบคือเรามีครอบครัวที่น่ารัก อบอุ่น เอื้ออาทร ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน วันนี้บรรยากาศมีความสุข ได้รับพลังความร่วมมือ ร่วมใจ ได้รับการสนับสนุน ขอบคุณที่สนับสนุนยิ่งลักษณ์มาทำงานด้วย"
ส่วน "ชุมพล" ก็ออกตัวบนเวทีว่า "วันนี้ปลื้มปีติจริง ๆ ไม่เคยมีวันไหนปลื้มเท่ากับวันนี้ เพราะท่านนายกฯให้เกียรติแต่งงานกับผมมาหนึ่งปี แล้วยังอยู่ในบ้านท่านด้วย" ทำเอา "ยิ่งลักษณ์" ที่นั่งฟังอยู่เบื้องล่างเขินอาย หัวเราะด้วยความชอบใจ
"ชุมพล" พูดต่อว่า "ขอบคุณที่ดูแลผมและพรรคชาติไทยพัฒนาอย่างดีมาโดยตลอด 1 ปีเต็ม ๆ แต่ผมมิบังอาจแต่งงานกับท่าน หรือได้อยู่บ้านเดียวกับท่าน แต่พร้อมร่วมมือทำงานไปจนตลอด"
"ปัญหาอุปสรรคของนายกฯท่านนี้
ไม่ค่อยมี คำพูดไม่มีไปล็อกอยู่ที่ไหนเด็ดขาด พูดสไตล์นิ่ม ไม่เคยพูดชนใคร"
"ที่ประทับใจมาก ไม่เคยรู้ว่าท่านทำงานเก่ง คุมงานจี้ ทุกกระเบียดนิ้วถึงลูกถึงคน ภาพที่ท่านหาเสียง ผมเองผู้ชายแท้ ๆ ยังสู้ไม่ได้ ท่านไปได้ตลอด"
แม้อายุมากกว่า "ยิ่งลักษณ์" พรรษางานก็มีมากกว่า แต่เมื่อมี "ยิ่งลักษณ์" มาเป็นผู้นำ ก็ทำให้ "ชุมพล" รู้สึกอุ่นใจ
"พอมาทำงานเป็นนายกฯ ท่านใช้ management skill ทักษะบริหารจัดการของท่าน เอามาใช้ในการบริหารจัดการรัฐบาลเต็มตัว ผมสู้ท่านไม่ได้ วิธีทำงานจำแม่น ยิ่งมีมือขวาอย่างท่านนิวัฒน์ธำรง (บุญทรงไพศาล รมต.ประจำสำนักนายกฯ) ช่วยติดตามงานให้วางแผน ผมเองรู้สึกอุ่นใจได้ทำงานกับนายกฯเข้มแข็งอย่างนี้"
เมื่อ "ชุมพล" เอ่ยถึงการทำงานของ
"นิวัฒน์ธำรง" คนจากตึกชิน ที่พลิกชิวิตมาเป็นมือทำงานคู่ใจ ข้างกาย "ยิ่งลักษณ์" ช่วย "จี้" งานจากรัฐมนตรีแทนนายกฯ ทำให้ "ยิ่งลักษณ์" ถึงกับยกมือซ้ายขึ้นปิดปาก พยายามกลั้นหัวเราะจนตัวงอ
"ชุมพล" ยกยอต่อไป ว่า "ผมผ่านทุกงานมาเยอะยังตามท่านไม่ค่อยทัน แผนงานต่าง ๆ ท่านมองไปข้างหน้า 10 ปี มีอย่างที่ไหน นายกฯแถลงผลงานนโยบายในสภาบอกว่า ปีนี้การท่องเที่ยวได้ 2 ล้านล้านบาท ภายใน 4 ปี โอ้โห...ผมตกใจ
ทำไงดี นั่งคิดไม่ตก พอดีท่านมาช่วยเหลือ ดูแล ความสบายใจก็เกิดขึ้น"
ชุมพลในนามพรรคชาติไทยพัฒนาประกาศลั่นว่า "ทิศทางตอนนี้ เส้นทางเดินไปถึงตรงนั้น ถึงแน่ครับ...ขณะนี้รายได้การท่องเที่ยวก็ปาไป 1.4 ล้านล้านบาทแล้ว"
ส่วนเรื่องรัฐธรรมนูญ และเรื่อง พ.ร.บ.ปรองดองฯ "ชุมพล" บอกว่า ไม่ใช่ปัญหาที่ทำลายรัฐบาล "ยิ่งลักษณ์"
"ไม่ต้องเป็นห่วง ไม่ใช่วิกฤตของรัฐบาล รัฐบาลจะไม่สะเทือนโดยเด็ดขาด โดยเฉพาะบุคลิกนายกฯไม่ชนใคร พูดจานิ่ม รู้จักปรับบุคลิก เป็นนักการทูต ไปประเทศไหน แต่งตัวตามประเทศนั้น อันนี้ไม่เคยมีที่ไหนทำ ขอให้ทำงานอย่างสบายใจ ขอให้เป็นไปอย่างนี้โดยตลอด เชื่อว่าตลอดภายใต้การนำของนายกฯจะราบรื่น"
ปิดท้ายคำพูดของ "ชุมพล" เอ่ยคำประกาศิตว่า "พรรคเดินทางร่วมกัน 1 ปี เป็นแค่เริ่มต้น ยังเหลือระยะทางอีก 3 ปี รวมอีกสมัยหน้าอีก 4 ปี เป็น 7 ปี"
การเกี้ยวพาราสี อันเป็น "สีสัน" บนเวที ที่เกิดขึ้นในงานเลี้ยงครบ 1 ปี พรรคร่วมรัฐบาล
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
วันเสาร์ที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2555
โอ้ชะตา ..แดงนอกแถว !!?
ควันหลงจากงานฉลองวันเกิด 63 ปี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีข่าวเล็กๆ ชิ้นหนึ่งจากเมืองแพร่
"คอนเสิร์ตแดงกร่อยสุดขีด มีคนดูแค่ 30 คน"
คอนเสิร์ตที่ว่านั้นชื่อ "คอนเสิร์ต ทอม ดันดี ฉลองวันคล้ายวันเกิด พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร" เป็นครั้งแรกในรอบ 5 ปีของ "ทอม" ที่มีคอนเสิร์ตเต็มวง บนเวที 20 เมตร แสงสีเสียงเพียบ
การแสดงมีขึ้นบริเวณพื้นที่ว่างข้างถนนสายเข้าเมืองแพร่ ตรงข้ามอนุสาวรีย์พระยาไชยบูรณ์ ต.นาจักร อ.เมือง จ.แพร่ เมื่อคืนวันที่ 25 กรกฎาคม 2555
ได้อ่านข่าวครั้งแรกก็ยังไม่เชื่อว่า คนเสื้อแดงเมืองแพร่จะใจไม้ไส้ระกำกับ "พี่ทอม" ได้อย่างไร?
จึงตรวจสอบข้อมูลจากเฟซบุ๊คของ อานนท์ แสนน่าน เลขาธิการสมาพันธ์หมู่บ้านเสื้อแดงเพื่อประชาธิปไตยแห่งประเทศไทย ก็พบร่องรอยความขัดแย้งระหว่าง "หมู่บ้านเสื้อแดง" กับ "พรรคเพื่อไทย"
ก่อนอื่นขอแนะนำ "ตัวละคร" คนสำคัญของสมาพันธ์หมู่บ้านเสื้อแดงฯ ประกอบด้วย ร.ต.ต.กมลศิลป์ สิงหะสุริยะ ประธานสมาพันธ์ , โด่ง-อรรถชัย อนันตเมฆ, ทอม ดันดี, ตุ้ย-สุริยา ชินพันธ์, นที สรวารี และ อานนท์ แสนน่าน โดยมี นพ.ประสงค์ บูรณ์พงศ์ เป็นที่ปรึกษา
กลุ่มสมาพันธ์หมู่บ้านเสื้อแดงฯ เคยเฟื่องสุดขีดเมื่อก่อนการเลือกตั้ง 3 กรกฎาคม 2554 แต่ปัจจุบันเป็นช่วง "ขาลง" ของหมู่บ้านเสื้อแดง
นับตั้งแต่ อานนท์ แสนน่าน และ พ.ต.ท.สุรทิน พิมานเมฆินทร์ มิอาจหนุน "คนของตัวเอง" เป็นนายก อบจ.อุดรธานี พร้อมกับ ดาชัย อุชุโกศลการ รองประธานสมาพันธ์หมู่บ้านเสื้อแดงฯ พ่ายศึกเลือกตั้งนายก อบจ.ลำปาง
ย้อนไปอ่านเฟซบุคของอานนท์ ก่อนการจัดงานคอนเสิร์ตที่เมืองแพร่ ก็พบว่า พวกเขากำลังมีปัญหากับเจ้าถิ่น ระดับ "รัฐมนตรี"
"ผมไม่เข้าใจเลยครับว่า รัฐมนตรีบางคนทำไมต้องการให้จังหวัดแพร่ปราศจากหมู่บ้านเสื้อแดง และจะแจ้งความดำเนินคดีกับคนที่เปิดหมู่บ้านเสื้อแดง จริงๆ แล้ว ผมเข้าใจครับว่า รัฐมนตรี หรือ ส.ส.บางคน ในพรรคเพื่อไทย ไม่ใช่แดง 100%...
"ผมขอร้องนะครับ อย่ามาหาเรื่องใส่ร้ายป้ายสีพวกเรา เพื่อหวังจะยุบหมู่บ้านเสื้อแดง ถ้าคุณไม่สนับสนุนหรือส่งเสริม ทางหมาเดินปล่อยให้ หมามันเดิน ทางเสื้อแดงเดิน ก็ปล่อยให้ เสือมันเดิน" จะดีกว่ามั้ยครับ อย่าให้พวกเรารวมตัวกันขับไล่รัฐมนตรี ที่พวกเราเลือกท่านมาเลยครับ ขอร้องเถอะครับ"
ด้วยเหตุนี้ แกนนำสมาพันธ์หมู่บ้านเสื้อแดงฯ จึงแถลงว่า มีข้าราชการในพื้นที่สกัดกั้นมิให้คนมาชมคอนเสิร์ต "ทอม ดันดี" ที่กลางเมืองแพร่
มิหนำซ้ำ วันรุ่งขึ้น นพ.ประสงค์ บูรณ์พงศ์ เป็นประธานพิธีกรรมทางศาสนา "สืบชะตา เสริมดวง บายศรีสู่ขวัญ นายกฯ ทักษิณ" วัดชัยมงคล ต.บ้านกวาง อ.สูงเม่น จ.แพร่ พร้อมกับแกนนำสมาพันธ์หมู่บ้านเสื้อแดงฯ แต่ก็มีคนเสื้อแดงมาร่วมงานไม่มากนัก
ผิดกับงานพิธีสืบชะตาทักษิณ ที่วัดป่าแดง ต.ป่าแดง อ.เมือง จ.แพร่ ที่คึกคักด้วยมวลชนและข้าราชการในพื้นที่ เมื่อ สุชาติ ธาดาธำรงเวช รัฐมนตรีศึกษาธิการ เดินทางมาเป็นประธานทอดผ้าป่าสามัคคี 4 ภาค เพื่อนำเงินบริจาคไปมอบให้กับวัด 5 แห่งที่ร่วมทำพิธีสืบชะตาทักษิณ
สำหรับเจ้าภาพตัวจริงงานนี้ คือ เพชรศักดิ์ กิตติดุษฎีกุล ประธานแนวร่วมหมู่บ้านเสื้อแดงฯ ที่อยู่คนละก๊วนกับอานนท์ แสนน่าน และปัจจุบันเขาเป็นที่ปรึกษา รมว.ศึกษาธิการ โดย "วรรณา" ภรรยาของเพชรศักดิ์เป็นชาวแพร่ จึงมีงานขึ้นที่วัดบ้านเกิดของเธอ
ภาพอันแตกต่างกันราวฟ้ากับเหวที่เมืองแพร่ สะท้อนให้เห็นว่า "แดงนอกแถว" อย่างสมาพันธ์หมู่บ้านเสื้อแดงฯ กำลังถูกโดดเดี่ยว เพราะความแข็งกร้าวของแกนนำบางคน
อย่างดาราเสื้อแดง "โด่ง อรรถชัย" ที่เคยเขียนถึงทักษิณผ่านเฟซบุ๊คส่วนตัวว่า "จากนี้ไปไม่มีอะไรติดค้างนะ โชคดี"
นายใหญ่ดูไบ ก็อาจคิดอย่างนี้อยู่ในใจ "ไม่มีอะไรติดค้างกับหมู่บ้านเสื้อแดง...โชคดีเถิดนะทอม ดันดี และ สหาย" !
ที่มา.กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
"คอนเสิร์ตแดงกร่อยสุดขีด มีคนดูแค่ 30 คน"
คอนเสิร์ตที่ว่านั้นชื่อ "คอนเสิร์ต ทอม ดันดี ฉลองวันคล้ายวันเกิด พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร" เป็นครั้งแรกในรอบ 5 ปีของ "ทอม" ที่มีคอนเสิร์ตเต็มวง บนเวที 20 เมตร แสงสีเสียงเพียบ
การแสดงมีขึ้นบริเวณพื้นที่ว่างข้างถนนสายเข้าเมืองแพร่ ตรงข้ามอนุสาวรีย์พระยาไชยบูรณ์ ต.นาจักร อ.เมือง จ.แพร่ เมื่อคืนวันที่ 25 กรกฎาคม 2555
ได้อ่านข่าวครั้งแรกก็ยังไม่เชื่อว่า คนเสื้อแดงเมืองแพร่จะใจไม้ไส้ระกำกับ "พี่ทอม" ได้อย่างไร?
จึงตรวจสอบข้อมูลจากเฟซบุ๊คของ อานนท์ แสนน่าน เลขาธิการสมาพันธ์หมู่บ้านเสื้อแดงเพื่อประชาธิปไตยแห่งประเทศไทย ก็พบร่องรอยความขัดแย้งระหว่าง "หมู่บ้านเสื้อแดง" กับ "พรรคเพื่อไทย"
ก่อนอื่นขอแนะนำ "ตัวละคร" คนสำคัญของสมาพันธ์หมู่บ้านเสื้อแดงฯ ประกอบด้วย ร.ต.ต.กมลศิลป์ สิงหะสุริยะ ประธานสมาพันธ์ , โด่ง-อรรถชัย อนันตเมฆ, ทอม ดันดี, ตุ้ย-สุริยา ชินพันธ์, นที สรวารี และ อานนท์ แสนน่าน โดยมี นพ.ประสงค์ บูรณ์พงศ์ เป็นที่ปรึกษา
กลุ่มสมาพันธ์หมู่บ้านเสื้อแดงฯ เคยเฟื่องสุดขีดเมื่อก่อนการเลือกตั้ง 3 กรกฎาคม 2554 แต่ปัจจุบันเป็นช่วง "ขาลง" ของหมู่บ้านเสื้อแดง
นับตั้งแต่ อานนท์ แสนน่าน และ พ.ต.ท.สุรทิน พิมานเมฆินทร์ มิอาจหนุน "คนของตัวเอง" เป็นนายก อบจ.อุดรธานี พร้อมกับ ดาชัย อุชุโกศลการ รองประธานสมาพันธ์หมู่บ้านเสื้อแดงฯ พ่ายศึกเลือกตั้งนายก อบจ.ลำปาง
ย้อนไปอ่านเฟซบุคของอานนท์ ก่อนการจัดงานคอนเสิร์ตที่เมืองแพร่ ก็พบว่า พวกเขากำลังมีปัญหากับเจ้าถิ่น ระดับ "รัฐมนตรี"
"ผมไม่เข้าใจเลยครับว่า รัฐมนตรีบางคนทำไมต้องการให้จังหวัดแพร่ปราศจากหมู่บ้านเสื้อแดง และจะแจ้งความดำเนินคดีกับคนที่เปิดหมู่บ้านเสื้อแดง จริงๆ แล้ว ผมเข้าใจครับว่า รัฐมนตรี หรือ ส.ส.บางคน ในพรรคเพื่อไทย ไม่ใช่แดง 100%...
"ผมขอร้องนะครับ อย่ามาหาเรื่องใส่ร้ายป้ายสีพวกเรา เพื่อหวังจะยุบหมู่บ้านเสื้อแดง ถ้าคุณไม่สนับสนุนหรือส่งเสริม ทางหมาเดินปล่อยให้ หมามันเดิน ทางเสื้อแดงเดิน ก็ปล่อยให้ เสือมันเดิน" จะดีกว่ามั้ยครับ อย่าให้พวกเรารวมตัวกันขับไล่รัฐมนตรี ที่พวกเราเลือกท่านมาเลยครับ ขอร้องเถอะครับ"
ด้วยเหตุนี้ แกนนำสมาพันธ์หมู่บ้านเสื้อแดงฯ จึงแถลงว่า มีข้าราชการในพื้นที่สกัดกั้นมิให้คนมาชมคอนเสิร์ต "ทอม ดันดี" ที่กลางเมืองแพร่
มิหนำซ้ำ วันรุ่งขึ้น นพ.ประสงค์ บูรณ์พงศ์ เป็นประธานพิธีกรรมทางศาสนา "สืบชะตา เสริมดวง บายศรีสู่ขวัญ นายกฯ ทักษิณ" วัดชัยมงคล ต.บ้านกวาง อ.สูงเม่น จ.แพร่ พร้อมกับแกนนำสมาพันธ์หมู่บ้านเสื้อแดงฯ แต่ก็มีคนเสื้อแดงมาร่วมงานไม่มากนัก
ผิดกับงานพิธีสืบชะตาทักษิณ ที่วัดป่าแดง ต.ป่าแดง อ.เมือง จ.แพร่ ที่คึกคักด้วยมวลชนและข้าราชการในพื้นที่ เมื่อ สุชาติ ธาดาธำรงเวช รัฐมนตรีศึกษาธิการ เดินทางมาเป็นประธานทอดผ้าป่าสามัคคี 4 ภาค เพื่อนำเงินบริจาคไปมอบให้กับวัด 5 แห่งที่ร่วมทำพิธีสืบชะตาทักษิณ
สำหรับเจ้าภาพตัวจริงงานนี้ คือ เพชรศักดิ์ กิตติดุษฎีกุล ประธานแนวร่วมหมู่บ้านเสื้อแดงฯ ที่อยู่คนละก๊วนกับอานนท์ แสนน่าน และปัจจุบันเขาเป็นที่ปรึกษา รมว.ศึกษาธิการ โดย "วรรณา" ภรรยาของเพชรศักดิ์เป็นชาวแพร่ จึงมีงานขึ้นที่วัดบ้านเกิดของเธอ
ภาพอันแตกต่างกันราวฟ้ากับเหวที่เมืองแพร่ สะท้อนให้เห็นว่า "แดงนอกแถว" อย่างสมาพันธ์หมู่บ้านเสื้อแดงฯ กำลังถูกโดดเดี่ยว เพราะความแข็งกร้าวของแกนนำบางคน
อย่างดาราเสื้อแดง "โด่ง อรรถชัย" ที่เคยเขียนถึงทักษิณผ่านเฟซบุ๊คส่วนตัวว่า "จากนี้ไปไม่มีอะไรติดค้างนะ โชคดี"
นายใหญ่ดูไบ ก็อาจคิดอย่างนี้อยู่ในใจ "ไม่มีอะไรติดค้างกับหมู่บ้านเสื้อแดง...โชคดีเถิดนะทอม ดันดี และ สหาย" !
ที่มา.กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
ทักษิณ ชินวัตร. ล็อบบี้ยิสต์ชั้นดีของสหรัฐ !!?
“ตอนนี้ผมไปได้ทุกที่บนโลกใบนี้ ยกเว้นแต่ประเทศไทยบ้านของตัวเอง ซึ่งทุกประเทศพร้อมต้อนรับ แต่ไม่เข้าใจเพราะอะไรทำไมจึงกลับบ้านไม่ได้...”
เสี่ยงพร่ำบ่นทำนองน้อยอกน้อยใจที่มีให้ได้ยินกันบ่อยๆจากปากของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ผู้ถูกโค่นลงจากตำแหน่งด้วยอำนาจรัฐประหาร
ช่วงปลายสัปดาห์นี้ พ.ต.ท.ทักษิณมีโปรแกรมบินไปสหรัฐอเมริกา ซึ่งจะเป็นการยืนยันคำพูดอีกครั้งว่า “ไปที่ไหนก็ได้บนโลกใบนี้ ยกเว้นแต่ประเทศไทย”
แม้กำหนดการจะถูกปิดลับเพราะไม่อยากให้ฝ่ายตรงข้ามที่มีมวลชนค่อนข้างมากในสหรัฐมารอต้อนรับขับไล่ให้ภาพออกมาดูไม่ดีเหมือนสมัยที่อดีตนายกรัฐมนตรีสมัคร สุนทรเวช เดินทางไปรักษาตัวช่วงบั้นปลายของชีวิต
แต่ก็มีข่าวออกมาว่า พ.ต.ท.ทักษิณมีโปรแกรมทัวร์พบบุคคลต่างๆ ทั้งนักธุรกิจ นักการเมือง และบุคคลสำคัญ ตั้งแต่ฝั่งตะวันตกจดฝั่งตะวันออกของสหรัฐ โดยจะจบการทัวร์ที่เกาะฮาวายก่อนบินกลับเอเชีย
แผ่นดินสหรัฐถือเป็นผืนดินสุดท้ายที่ พ.ต.ท.ทักษิณได้ยืนในฐานะนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย เพราะถูกยึดอำนาจขณะบินไปร่วมประชุมสหประชาชาติ
พ.ต.ท.ทักษิณจึงต้องอยู่ในสหรัฐหลายวัน เพื่อผลในหลายๆด้าน
หลังถูกยึดอำนาจ พ.ต.ท.ทักษิณถูกรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ และรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ไล่ล่าจนแทบไม่มีที่จะยืน
ไม่ว่าจะเดินทางไปไหนจะถูกตามบล็อกตามปิดกั้น และพยายามให้ตำรวจสากลจับตัวส่งกลับไทยจนไร้ซึ่งอิสรภาพ
แต่วันนี้ทุกประเทศที่เคยปิดกั้นตามคำขอของรัฐบาลในอดีต ทั้งอังกฤษ เยอรมนี ฝรั่งเศส ญี่ปุ่น จีน ตลอดจนสหรัฐเปิดไฟเขียวให้เข้าประเทศได้อย่างสะดวกโยธิน
นี่คือสัจธรรมของโลกใบนี้ เมื่อเวลาเปลี่ยน อำนาจเปลี่ยน ทุกอย่างก็เปลี่ยน
ในความเปลี่ยนแปลงนอกจากเงื่อนไขของเรื่องอำนาจแล้ว ยังมีเรื่องผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ทั้งประโยชน์ของ พ.ต.ท.ทักษิณเอง และประโยชน์ของประเทศต่างๆที่เปิดประตูต้อนรับ
ผศ.ดร.วิบูลพงศ์ พูนประสิทธิ์ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ สาขาการเมืองการปกครอง มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ระบุว่า ที่สหรัฐให้วีซ่าเข้าประเทศก็เพราะเห็นว่ารัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ไม่มีความลำบากใจต่อการเคลื่อนไหวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งต่างจากรัฐบาลนายอภิสิทธิ์
สหรัฐมีผลประโยชน์หลายอย่างในประเทศไทย ย่อมต้องการมีความสัมพันธ์ที่ดีกับรัฐบาลไทย เขาไม่ใช่วัวควายจึงย่อมรู้ว่าอะไรเป็นอะไร
พ.ต.ท.ทักษิณเป็นนักธุรกิจ และสามารถทำธุรกิจได้โดยอาศัยรัฐบาลไทย อาจใช้วิธีการเข้าไปเจรจาโดยบอกว่าเป็นล็อบบี้ยิสต์คนหนึ่งที่สามารถเข้าถึงรัฐบาลไทยได้
“พูดง่ายๆคือ ถ้ารัฐบาลสหรัฐตีสนิทกับ พ.ต.ท.ทักษิณไว้ก็เหมือนกับมีล็อบบี้ยิสต์ชั้นดีที่มีอิทธิพลต่อรัฐบาลไทย แถมยังเข้าถึงตัวนายกฯยิ่งลักษณ์ได้โดยตรง จะประสานประโยชน์อะไรก็ง่ายขึ้น ส่วนจะได้หรือไม่เป็นอีกเรื่องหนึ่ง”
ผศ.ดร.วิบูลพงศ์ทิ้งท้ายว่า ฝ่ายตรงข้าม พ.ต.ท.ทักษิณต้องออกมาต่อต้านแน่นอน โดยเฉพาะพรรคประชาธิปัตย์ ในสายตาคนไทยอาจดูสำคัญ มีน้ำหนัก แต่จะไม่มีความหมายอะไรในสายตาของสหรัฐ
ในทางการเมืองนั้นบรรดากูรูเห็นตรงกันว่า การเข้าสหรัฐของอดีตนายกฯก็เพื่อต้องการแสดงให้เห็นว่าเป็นที่ยอมรับของประเทศมหาอำนาจในโลก เพื่อใช้สร้างความชอบธรรมในการกลับประเทศ
ที่สำคัญการเข้าประเทศโน้นออกประเทศนี้ยังเป็นการตบหน้าพรรคประชาธิปัตย์ฉาดใหญ่ที่เคยใช้ทั้งอำนาจและงบประมาณจำนวนมากปิดกั้นการเดินทางสมัยที่ครองอำนาจ
แถมยังส่งเสริมการทำงานของรัฐบาลนายกฯยิ่งลักษณ์ ทั้งงานที่เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม และงานที่เป็นผลดีต่อ พ.ต.ท.ทักษิณ โดยเฉพาะเรื่อง พ.ร.บ.ปรองดอง ซึ่งจะช่วยจบชีวิตเร่ร่อนหลายปีในต่างแดน
ไม่ว่ามองมุมไหนก็ได้ประโยชน์ทุกประตู
ที่มา.หนังสือพิมพ์โลกวันนี้
////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
เสี่ยงพร่ำบ่นทำนองน้อยอกน้อยใจที่มีให้ได้ยินกันบ่อยๆจากปากของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ผู้ถูกโค่นลงจากตำแหน่งด้วยอำนาจรัฐประหาร
ช่วงปลายสัปดาห์นี้ พ.ต.ท.ทักษิณมีโปรแกรมบินไปสหรัฐอเมริกา ซึ่งจะเป็นการยืนยันคำพูดอีกครั้งว่า “ไปที่ไหนก็ได้บนโลกใบนี้ ยกเว้นแต่ประเทศไทย”
แม้กำหนดการจะถูกปิดลับเพราะไม่อยากให้ฝ่ายตรงข้ามที่มีมวลชนค่อนข้างมากในสหรัฐมารอต้อนรับขับไล่ให้ภาพออกมาดูไม่ดีเหมือนสมัยที่อดีตนายกรัฐมนตรีสมัคร สุนทรเวช เดินทางไปรักษาตัวช่วงบั้นปลายของชีวิต
แต่ก็มีข่าวออกมาว่า พ.ต.ท.ทักษิณมีโปรแกรมทัวร์พบบุคคลต่างๆ ทั้งนักธุรกิจ นักการเมือง และบุคคลสำคัญ ตั้งแต่ฝั่งตะวันตกจดฝั่งตะวันออกของสหรัฐ โดยจะจบการทัวร์ที่เกาะฮาวายก่อนบินกลับเอเชีย
แผ่นดินสหรัฐถือเป็นผืนดินสุดท้ายที่ พ.ต.ท.ทักษิณได้ยืนในฐานะนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย เพราะถูกยึดอำนาจขณะบินไปร่วมประชุมสหประชาชาติ
พ.ต.ท.ทักษิณจึงต้องอยู่ในสหรัฐหลายวัน เพื่อผลในหลายๆด้าน
หลังถูกยึดอำนาจ พ.ต.ท.ทักษิณถูกรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ และรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ไล่ล่าจนแทบไม่มีที่จะยืน
ไม่ว่าจะเดินทางไปไหนจะถูกตามบล็อกตามปิดกั้น และพยายามให้ตำรวจสากลจับตัวส่งกลับไทยจนไร้ซึ่งอิสรภาพ
แต่วันนี้ทุกประเทศที่เคยปิดกั้นตามคำขอของรัฐบาลในอดีต ทั้งอังกฤษ เยอรมนี ฝรั่งเศส ญี่ปุ่น จีน ตลอดจนสหรัฐเปิดไฟเขียวให้เข้าประเทศได้อย่างสะดวกโยธิน
นี่คือสัจธรรมของโลกใบนี้ เมื่อเวลาเปลี่ยน อำนาจเปลี่ยน ทุกอย่างก็เปลี่ยน
ในความเปลี่ยนแปลงนอกจากเงื่อนไขของเรื่องอำนาจแล้ว ยังมีเรื่องผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ทั้งประโยชน์ของ พ.ต.ท.ทักษิณเอง และประโยชน์ของประเทศต่างๆที่เปิดประตูต้อนรับ
ผศ.ดร.วิบูลพงศ์ พูนประสิทธิ์ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ สาขาการเมืองการปกครอง มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ระบุว่า ที่สหรัฐให้วีซ่าเข้าประเทศก็เพราะเห็นว่ารัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ไม่มีความลำบากใจต่อการเคลื่อนไหวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งต่างจากรัฐบาลนายอภิสิทธิ์
สหรัฐมีผลประโยชน์หลายอย่างในประเทศไทย ย่อมต้องการมีความสัมพันธ์ที่ดีกับรัฐบาลไทย เขาไม่ใช่วัวควายจึงย่อมรู้ว่าอะไรเป็นอะไร
พ.ต.ท.ทักษิณเป็นนักธุรกิจ และสามารถทำธุรกิจได้โดยอาศัยรัฐบาลไทย อาจใช้วิธีการเข้าไปเจรจาโดยบอกว่าเป็นล็อบบี้ยิสต์คนหนึ่งที่สามารถเข้าถึงรัฐบาลไทยได้
“พูดง่ายๆคือ ถ้ารัฐบาลสหรัฐตีสนิทกับ พ.ต.ท.ทักษิณไว้ก็เหมือนกับมีล็อบบี้ยิสต์ชั้นดีที่มีอิทธิพลต่อรัฐบาลไทย แถมยังเข้าถึงตัวนายกฯยิ่งลักษณ์ได้โดยตรง จะประสานประโยชน์อะไรก็ง่ายขึ้น ส่วนจะได้หรือไม่เป็นอีกเรื่องหนึ่ง”
ผศ.ดร.วิบูลพงศ์ทิ้งท้ายว่า ฝ่ายตรงข้าม พ.ต.ท.ทักษิณต้องออกมาต่อต้านแน่นอน โดยเฉพาะพรรคประชาธิปัตย์ ในสายตาคนไทยอาจดูสำคัญ มีน้ำหนัก แต่จะไม่มีความหมายอะไรในสายตาของสหรัฐ
ในทางการเมืองนั้นบรรดากูรูเห็นตรงกันว่า การเข้าสหรัฐของอดีตนายกฯก็เพื่อต้องการแสดงให้เห็นว่าเป็นที่ยอมรับของประเทศมหาอำนาจในโลก เพื่อใช้สร้างความชอบธรรมในการกลับประเทศ
ที่สำคัญการเข้าประเทศโน้นออกประเทศนี้ยังเป็นการตบหน้าพรรคประชาธิปัตย์ฉาดใหญ่ที่เคยใช้ทั้งอำนาจและงบประมาณจำนวนมากปิดกั้นการเดินทางสมัยที่ครองอำนาจ
แถมยังส่งเสริมการทำงานของรัฐบาลนายกฯยิ่งลักษณ์ ทั้งงานที่เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม และงานที่เป็นผลดีต่อ พ.ต.ท.ทักษิณ โดยเฉพาะเรื่อง พ.ร.บ.ปรองดอง ซึ่งจะช่วยจบชีวิตเร่ร่อนหลายปีในต่างแดน
ไม่ว่ามองมุมไหนก็ได้ประโยชน์ทุกประตู
ที่มา.หนังสือพิมพ์โลกวันนี้
////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
วันศุกร์ที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2555
ความล้มเหลว !!?
ใครที่ได้เห็นฉากไล่ฆ่าทหารของกลุ่มโจรใต้..จนทหารตายไป 4 ศพแล้ว..คงจะต้องมีความรู้สึกแบบเดียวกัน..ความแค้นนั้นไม่ต้องห่วง
แต่ที่เจ็บลึกก็คือ..ความสงสาร
กองทัพกับประเทศไทย..ให้คุณค่าต่ำ่เกินไปสำหรับชีวิตของทหารไทยที่ต้องรับใช้แผ่นดินของเขา..เขาเหล่านั้นไม่สมควรต้องตาย เพราะคำสั่งของนายที่ไร้สติปัญญาและโง่เขลา
การกำหนดให้ รถมอร์เตอร์ไซด์ 3 คันแล่นตามกันทิ้งระยะห่าง ช่วงละห้าสิบเมตรนั้น..ก็เพื่อป้้องกันมิให้ถูกซุ่มยิง
แต่ฝ่ายโจรกลับใช้ประโยชน์จากแผนนี้ โดยการวางแผนซ้อนแผน..ใช้กะบะสามคันซ้อนกันเป็นสามจุดแล้วเปิดฉากโจมตี..
หากว่ากะบะคันหลังเปิดฉากยิงก่อน..ตามมาด้วยคันกลางและคันแรก..ทหารจะตายเพิ่มอีกสองศพ..เป็นหกศพ
ไม่มีแผนยุทธการไหนที่ใช้จนกลายเป็นปรกติธรรมดา..และผู้บังคับบัญชาที่กำหนดแผนให้ทหาร คือ ผู้ที่ต้องรับผิดชอบตรงส่วนนี้
แผนสังหารที่ต้องใช้คนจำนวนมากขโมยรถกะบะพร้อมๆ กันถึงสามคัน..แต่ฝ่ายกองทัพไม่ทราบข่าวหรือระแคะระคายเลยนั้น คือ การด้อยประสิทธิภาพของงานข่าว
แน่นอนว่า..พวกโจรต้องประสานงานติดต่อกันไม่ทางวิทยุก็โทรศัพท์..แต่ฝ่ายรัฐกับไร้เบาะแสและวี่แวว
สงครามใต้ใช้เงินไปแล้วหลายแสนล้าน..แต่ฝ่ายไพร่ราบพลเลว..ไม่มีเฮลิค็อปเตอร์สักลำ..เมื่อเขาได้รับบาดเจ็บและจำเป็นจะต้องให้ถึงโรงพยาบาลอย่างฉับพลันทันที..
ทั้งๆ ที่ในทางยุทธการ..สงครามในสภาพที่ว่า..ทันทีที่ถูกโจมตี..บนท้องฟ้าต้องมีเฮลิค็อปเตอร์บินสำรวจเส้นทางหลบหนี..แต่อนิจากองทัพไทย..เรามีแต่พโยมยานที่ยังบินไม่ขึ้นไม่พองลมจนบัดนี้
และที่ยังไม่ยืนยันไว้ตรงนี้..ทหารทั้งหกนายที่เดินทางไปพบกับเหตุร้ายนั้น..หน้าที่ของพวกเขา คือ การใช้อุปกรณ์ตรวจหาวัตถุระเบิด..สำรวจระเบิดตามเส้นทาง..อุปกรณ์ที่ทหารใหญ่ยืนยันว่าใช้ได้ แต่รัฐบาลและกองทัพอังกฤษจับคนผลิตคนขายไปติดคุกในข้อหาว่าต้มตุ๋นลวงโลก..
มหาอำนาจทางทหารที่เกรียงไกรที่สุดในโลกกับกองทัพไทย..ขัดแย้งกันร้อยละร้อยในเรื่องยุทธภัณฑ์ที่เขาเป็นเจ้าของและผู้สร้าง
ถึงเวลาจะทบทวนกันหรือยัง..ว่า สงครามใต้นั้น..เอากองทัพใหญ่ไปตั้งรับ..มันก็คือหายนะทางยุทธวิธี..สงครามแบบนี้รูปนี้..เป็นสงครามที่ต้องใช้ตำรวจ..
สงครามที่แย่งกันรบ..จุดจบคือความพ่ายแพ้
โดย.พญาไม้ทูเดย์,บางกอกทูเดย์
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
แต่ที่เจ็บลึกก็คือ..ความสงสาร
กองทัพกับประเทศไทย..ให้คุณค่าต่ำ่เกินไปสำหรับชีวิตของทหารไทยที่ต้องรับใช้แผ่นดินของเขา..เขาเหล่านั้นไม่สมควรต้องตาย เพราะคำสั่งของนายที่ไร้สติปัญญาและโง่เขลา
การกำหนดให้ รถมอร์เตอร์ไซด์ 3 คันแล่นตามกันทิ้งระยะห่าง ช่วงละห้าสิบเมตรนั้น..ก็เพื่อป้้องกันมิให้ถูกซุ่มยิง
แต่ฝ่ายโจรกลับใช้ประโยชน์จากแผนนี้ โดยการวางแผนซ้อนแผน..ใช้กะบะสามคันซ้อนกันเป็นสามจุดแล้วเปิดฉากโจมตี..
หากว่ากะบะคันหลังเปิดฉากยิงก่อน..ตามมาด้วยคันกลางและคันแรก..ทหารจะตายเพิ่มอีกสองศพ..เป็นหกศพ
ไม่มีแผนยุทธการไหนที่ใช้จนกลายเป็นปรกติธรรมดา..และผู้บังคับบัญชาที่กำหนดแผนให้ทหาร คือ ผู้ที่ต้องรับผิดชอบตรงส่วนนี้
แผนสังหารที่ต้องใช้คนจำนวนมากขโมยรถกะบะพร้อมๆ กันถึงสามคัน..แต่ฝ่ายกองทัพไม่ทราบข่าวหรือระแคะระคายเลยนั้น คือ การด้อยประสิทธิภาพของงานข่าว
แน่นอนว่า..พวกโจรต้องประสานงานติดต่อกันไม่ทางวิทยุก็โทรศัพท์..แต่ฝ่ายรัฐกับไร้เบาะแสและวี่แวว
สงครามใต้ใช้เงินไปแล้วหลายแสนล้าน..แต่ฝ่ายไพร่ราบพลเลว..ไม่มีเฮลิค็อปเตอร์สักลำ..เมื่อเขาได้รับบาดเจ็บและจำเป็นจะต้องให้ถึงโรงพยาบาลอย่างฉับพลันทันที..
ทั้งๆ ที่ในทางยุทธการ..สงครามในสภาพที่ว่า..ทันทีที่ถูกโจมตี..บนท้องฟ้าต้องมีเฮลิค็อปเตอร์บินสำรวจเส้นทางหลบหนี..แต่อนิจากองทัพไทย..เรามีแต่พโยมยานที่ยังบินไม่ขึ้นไม่พองลมจนบัดนี้
และที่ยังไม่ยืนยันไว้ตรงนี้..ทหารทั้งหกนายที่เดินทางไปพบกับเหตุร้ายนั้น..หน้าที่ของพวกเขา คือ การใช้อุปกรณ์ตรวจหาวัตถุระเบิด..สำรวจระเบิดตามเส้นทาง..อุปกรณ์ที่ทหารใหญ่ยืนยันว่าใช้ได้ แต่รัฐบาลและกองทัพอังกฤษจับคนผลิตคนขายไปติดคุกในข้อหาว่าต้มตุ๋นลวงโลก..
มหาอำนาจทางทหารที่เกรียงไกรที่สุดในโลกกับกองทัพไทย..ขัดแย้งกันร้อยละร้อยในเรื่องยุทธภัณฑ์ที่เขาเป็นเจ้าของและผู้สร้าง
ถึงเวลาจะทบทวนกันหรือยัง..ว่า สงครามใต้นั้น..เอากองทัพใหญ่ไปตั้งรับ..มันก็คือหายนะทางยุทธวิธี..สงครามแบบนี้รูปนี้..เป็นสงครามที่ต้องใช้ตำรวจ..
สงครามที่แย่งกันรบ..จุดจบคือความพ่ายแพ้
โดย.พญาไม้ทูเดย์,บางกอกทูเดย์
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
เรืองไกร ย้อนศร งัด ม.68 ยุบ ปชป. !!?
สุดท้ายการลงทุนใส่เสื้อแดงของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เป็นไปได้แค่ตลกฝืดทางการเมือง ที่ไม่ได้ช่วยสร้างคะแนนนิยมอะไรเพิ่มขึ้นให้กับพรรคประชาธิปัตย์ได้เลย คนที่ชื่นชม คนที่อยู่รอบข้างกายของนายอภิสิทธิ์เท่านั้นที่พากันประจบว่า ดีแล้ว ดีเหลือเกิน เป็นการเหน็บแนมเสียดสีประชดประชันขั้นเทพอะไรทำนองนั้น
จนดูเหมือนว่าทำให้นายอภิสิทธิ์ เหลิงลอยบนลมวาจาจนกู่ไม่กลับ ก็ขนาดกล้าระดับนี้แล้ว การจะกู่ให้กลับคงยากเสียแล้ว จึงไม่น่าแปลกใจที่บรรดาผู้อาวุโสในพรรคประชาธิปัตย์หลายๆคนพากันส่ายหน้าอย่างเดียว โดยไม่พูดไม่วิจารณ์อะไรเลย
คนที่กล้าพูดกับพรรคพวกใกล้ชิดที่สนิทสนมก็บอกเพียงว่า เพราะคุณสมบัติที่หลายคนมองว่าพร้อม ไม่ว่าจะเป็นหน้าตา ชาติตระกูล ฐานะ การศึกษา การมีคำพูดคำจาที่ดูเหมือนเฉลียวฉลาด ซึ่งจริงๆแล้วสิ่งเหล่านี้ ควรจะต้องถือว่าเป็นคุณสมบัติบวกในทางการเมือง
แต่ในอีกมุมหนึ่งคุณสมบัติเหล่านี้ เมื่อถูกยกยอปอปั้นจากคนรอบข้าง กลับกลายเป็นสิ่งที่ทำให้นายอภิสิทธิ์มีอาการ “กู่ไม่กลับ”
ซึ่งในทางการเมือง พฤติกรรม “ปล่อยของ”ของนายอภิสิทธิ์ กลับกลายเป็นการ “เสียของ” ไปอย่างน่าเสียดาย
ในขณะที่อีกมุมหนึ่ง จังหวะเดียวกับที่นายอภิสิทธิ์กำลังสนุกสนานกับมุกเสียดสีเสื้อแดง แต่อีกขั้วของการเมือง มีการสัมมนา ส.ส.พรรคเพื่อไทย ในหัวข้อ “ปรับขบวนภายใน บทบาทและทิศทางการเมืองของพรรคเพื่อไทย” ที่เมืองพัทยา
กลับได้ผลสรุปที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง คือการไม่ถอนร่าง พ.ร.บ. ปรองดอง และร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ บนเหตุผลที่ว่า เป็นนโยบายของรัฐบาล ที่ได้ใช้โฆษณาหาเสียง และแถลงต่อรัฐสภา และในการที่จะเดินหน้าต่อไป ก็ให้ถือว่าเป็นเรื่องของรัฐสภา
นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี พูดชัดว่า ที่ผ่านมาอาจจะดูเหมือนรัฐบาลยอมถอยในการเผชิญหน้า ในการแก้ปัญหาเหล่านี้
แต่ทั้งหมดเป็นเพราะต้องการลดความขัดแย้งจากทุกๆฝ่าย
ส่วนว่าจะใช่การลดความขัดแย้งในลักษณะเดียวกับการพยายามแสดงออกของ นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานสภาผู้แทน ที่เจอทั้งความพยายามฉุดกระชากลากถูให้ลุกจากบัลลังก์ประธาน รวมไปถึงโดนขว้างปาด้วยแฟ้มใส่เอกสาร หรือไม่เป็นสิ่งที่น่าคิด
แต่ที่แน่ๆนายสมศักดิ์ดูเหมือนเลือกที่จะอดทน และเลี่ยงการปะทะด้วยการแนะนำว่า ควรถอนร่าง พ.ร.บ.ปรองดอง และร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ออกไปก่อน
แต่สุดท้ายไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ทั้งหมดอยู่บนการตัดสินใจของ ส.ส. และ ส.ว. ในสภา ว่าจะเลือกทางไหนเป็นประตูทางออกในกรณีนี้
เนื่องจากในหมวกของประธานสภา ถอนออกนายสมศักดิ์ก็โดนพวกเดียวกันจวก หากไม่ถอนออก ก็ไม่รู้ว่าระหว่างที่นั่งทำหน้าที่ในสภา จะเจอพฤติกรรม ถ่อย ดิบ เถื่อน อีกหรือไม่
เจ็บทั้งขึ้นทั้งล่องสำหรับกรณีแก้ไขรัฐธรรมนูญ ปี 2550 “ฉบับหน้าแหลมฟันดำ”เจ้าปัญหาฉบับนี้
เพราะในขณะที่นายโภคิน พลกุล อดีต ประธานรัฐสภา มองว่า รัฐธรรมนูญ 2550 ไม่เป็นไปตามหลักนิติธรรม แต่ก็ยังคงมีอีกฝ่ายที่มองว่า รัฐธรรมนูญ 2550 คือเครื่องมือในการกำหราบนักการเมืองโดยเฉพาะ
และที่สำคัญด้วยความที่กลายเป็นรัฐธรรมนูญที่มีกลุ่มคน กลุ่มขั้วอำนาจ พยายามที่จะทำให้เป็นรัฐธรรมนูญที่แตะต้องแก้ไขไม่ได้ จึงทำให้รัฐธรรมนูญฉบับนี้กลายเป็นเหมือนระเบิดเวลา ที่รอวันปะทุจากชนวนของความขัดแย้ง
ส่วนจะจบลงด้วยการแตกหักของ 2 ขั้ว 2 กลุ่มการเมือง หรือจะบานปลายไปเป็นดกลียุคสงครามประชาชนที่โหยหาประชาธิปไตยที่แท้จริง อย่างที่หลายๆฝ่ายเป็นห่วงกันหรือไม่ ก็เป็นเรื่องของชะตากรรมของประเทศเท่านั้น
ปัญหาสำคัญในมุมมองของพรรคเพื่อไทย ก้คือจะเดินหน้าแก้ไขให้เกิดความถูกต้อง ชอบธรรมในหลักนิติธรรมได้อย่างไร ในเมื่อมีฝ่ายที่จ้องขัดขวาง จ้องหาเรื่องในทุกวิถีทาง ไม่เว้นแม้แต่กระทั่งการสร้างจินตนาการไปเอง โดยที่ไม่มีพื้นฐานความจริงเลยสักนิดก็ยังกล้าทำ
เพียงเพราะมั่นใจว่าการบรรยายจินตนาการจะสร้างความระทึกให้ก้าวไปสู่เกมที่วางเอาไว้ได้
จนทุกวันนี้ขนาดที่ตุลาการรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยออกมาแล้ว แต่คำขู่ของขั้วการเมืองที่ไม่ยอมให้แก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับหน้าแหลมฟันดำ ก็ยังคุกรุ่นเติมฟืนเติมไฟอยู่ตลอด
ยิ่งบวกกับการเมืองนอกสภา ที่ประกาศจะรวมตัวโค่นล้มรัฐบาลด้วยแล้ว ยิ่งเห็นชัดเจนถึงอาการปกป้องผลไม้พิษที่เกิดจากการทำรัฐประหารเอาไว้อย่างสุดกำลัง
ประเด็นหลักในการก้าวเดินของ ส.ส. และ ส.ว.ฝั่งที่เห็นด้วยกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และการผ่าน พ.ร.บ.ปรองดองแห่งชาติ จึงมีโจทย์สำคัญอยู่ที่ว่าจะแตะต้องแก้ไขอย่างไร ให้เกิดการยอมรับต่อสังคมในภาพรวม
โดยที่สามารถหักล้างประเด็นของการโจมตีที่ว่าเป็นการทำเพื่อคนๆเดียวให้ได้
เพราะแม้ฝ่ายค้านและขั้วการเมืองตรงข้าม จะอาศัยกลไกของศาลรัฐธรรมนูญ มาเป็นกลไกในการเพิ่มความยุ่งยากให้กับความพยายามในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
แต่ตอนนี้คำวินิจฉัยกลางก็มีออกมาชัดเจนแล้วว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 291 ไม่เข้าข่าย ล้มล้างการปกครอง!!!
แม้ว่าจะมีข้อเสนอแนะในเรื่องของการทำประชามติเพิ่มมาด้วย ที่หลายฝ่ายพยายามที่จะใช้สร้างเป็นเงื่อนไข แต่อย่างน้อยที่สุดเงื่อนไขโจมตีในเรื่องล้มล้างการปกครองก็จบไปแล้ว
สิ่งที่เหลืออยู่ก็คือความพยายามที่จะตีรวน โดยอาศัยข้องอ้างในเรื่องของการพิทักษ์รัฐธรรมนูญบ้าง ในเรื่องของการที่จะยื่นให้ตุลาการรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตีความรอบแล้วรอบเล่านั่นเอง
เป็นการเดินเกมการเมืองเพื่อยื้ออำนาจเก่าเอาไว้ให้นานที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ในขณะเดียวกันก็หางจังหวะเพื่อขั้วการเมืองรัฐบาลพลั้งพลาดเผลอไผลในบางจุดบางประเด็น จะได้ยืมดาบตุลาการรัฐธรรมนูญเชือด
งานนี้เกมของฝ่ายค้านอ่านได้ไม่ยากว่า เป้าหมายสูงสุดคือการทำให้พรรคเพื่อไทยถูกยุบพรรคได้เท่านั้นเป็นพอ
ปัญหาก็คือ การที่จะใช้คำวินิจฉัยของตุลาการรัฐธรรมนูญ และคำแนะนำมาเป็นเครื่องมือนั้น จะทำได้อย่างที่ขั้วการเมืองตรงข้ามรัฐบาลต้องการหรือไม่เท่านั้น?
เพราะประเด็นนี้ นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ อดีตสมาชิกวุฒิสภาสรรหา ได้มีการยื่นขอให้ศาลรัฐธรรมนูญ ยกเลิกคำสั่งที่ให้รัฐสภาชะลอการดำเนินการลงมติร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ มาตรา 291 ในวาระ 3 ไปแล้ว เพื่อหวังให้ทุกอย่างชัดเจนมากขึ้นสำหรับประเทศไทย ว่าจะเดินหน้ากันต่อไปได้อย่างไร
ซึ่งนายสมฤทธิ์ ไชยวงค์ โฆษกศาลรัฐธรรมนูญ ได้ชี้แจงชัดเจนแล้วว่า หลังจากเมื่อวันที่ 13 ก.ค. ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยยกคำร้องการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 291 ไม่เข้าข่ายล้มล้างการปกครองตามรัฐธรรมนูญมาตรา 68 ทั้ง 5 คำร้อง
เมื่อวันที่ 26 ก.ค.ที่ผ่านมา ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ได้ลงนามในหนังสือ ส่งถึงเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร เพื่อแจ้งไปยังประธานรัฐสภาให้ทราบว่า
ศาลรัฐธรรมนูญ มีคำวินิจฉัยยกคำร้องคดีดังกล่าวเรียบร้อยแล้ว
มีผลให้หนังสือที่ศาลรัฐธรรมนูญ เคยมีถึงเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ขอให้ชะลอการลงมติการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 291 ในวาระ 3 นั้น... สิ้นผลไปโดยปริยาย
ดังนั้น หากสภาผู้แทนราษฎรจะเดินหน้าในเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ อย่างไรก็ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของทางรัฐสภา
เท่ากับตอนนี้ชัดเจนแจ่มกระจ่างแล้วว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญ เป็นเรื่องที่สุดแต่สภาผู้แทนราษฎรจะเอาอย่างไร เพราะไม่มีข้อกังวลในเรื่องคำวินิจฉัยของตุลาการรัฐธรรมนูญมาตรึงเอาไว้อีกแล้ว
ซึ่งเรื่องของการอาศัยกลไกอำนาจของตุลาการรัฐธรรมนูญในการวินิจฉัยหรือตีความประเด็นปัญหา เพื่อสกัดกั้นการเดินหน้าทางการเมือง ซึ่งถือเป็นสไตล์ถนัดของฝ่ายค้านและกลุ่มพันธมิตรฯก็ตาม แต่ในขณะเดียวกัน กลไกนี้ก็ถูกใช้ในการตรวจสอบพรรคประชาธิปัตย์ด้วยเช่นกัน
เพียงแต่คนที่ใช้ช่องทางนี้ตรวจสอบความถูกต้องในพฤติกรรมการเมืองของพรรคประชาธิปัตย์ คือ นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ อดีต ส.ว.จอมสอย ที่ขยันตรวจสอบเพื่อผลประโยชน์ของประเทศชาตินั่นเอง
โดยล่าสุด นายเรืองไกรได้มีการยื่นหนังสือต่อศาลรัฐธรรมนูญ มีคำวินิจฉัยให้นายวิรัตน์ กัลยาศิริ ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ และพรรคประชาธิปัตย์ โดยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรค ในฐานะพยานผู้ร้อง ยกเลิกการกระทำการกล่าวหาว่าพรรคเพื่อไทย และพรรคชาติไทยพัฒนากระทำการอันต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 วรรคหนึ่ง หลังจากศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยยกคำร้องว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 291 ไม่เป็นการล้มล้างการปกครองฯ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 ทั้ง 5 คำร้อง โดยเห็นว่ายังไม่ปรากฏข้อเท็จจริงตามคำร้องของนายวิรัตน์ และพรรคประชาธิปัตย์
จึงขอให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคประชาธิปัตย์ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 วรรคสาม และให้สั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งหัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 วรรคสี่
เนื่องจากการกระทำของนายวิรัตน์และพรรคประชาธิปัตย์ เป็นการล้มล้างอำนาจนิติบัญญัติของรัฐสภา
โดยสาเหตุที่ยื่นให้วินิจฉัยเพียงนายวิรัตน์ และพรรคประชาธิปัตย์ เนื่องจากเป็นผู้ร้องที่เป็นพรรคการเมืองเพียงผู้ร้องเดียว
งานนี้เท่ากับเป็นการย้อนศรเข้าใส่เกมจินตนาการที่ห่างไกลความจริงของประชาธิปัตย์เต็มๆนั่นเอง
ที่มา.บางกอกทูเดย์
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
จนดูเหมือนว่าทำให้นายอภิสิทธิ์ เหลิงลอยบนลมวาจาจนกู่ไม่กลับ ก็ขนาดกล้าระดับนี้แล้ว การจะกู่ให้กลับคงยากเสียแล้ว จึงไม่น่าแปลกใจที่บรรดาผู้อาวุโสในพรรคประชาธิปัตย์หลายๆคนพากันส่ายหน้าอย่างเดียว โดยไม่พูดไม่วิจารณ์อะไรเลย
คนที่กล้าพูดกับพรรคพวกใกล้ชิดที่สนิทสนมก็บอกเพียงว่า เพราะคุณสมบัติที่หลายคนมองว่าพร้อม ไม่ว่าจะเป็นหน้าตา ชาติตระกูล ฐานะ การศึกษา การมีคำพูดคำจาที่ดูเหมือนเฉลียวฉลาด ซึ่งจริงๆแล้วสิ่งเหล่านี้ ควรจะต้องถือว่าเป็นคุณสมบัติบวกในทางการเมือง
แต่ในอีกมุมหนึ่งคุณสมบัติเหล่านี้ เมื่อถูกยกยอปอปั้นจากคนรอบข้าง กลับกลายเป็นสิ่งที่ทำให้นายอภิสิทธิ์มีอาการ “กู่ไม่กลับ”
ซึ่งในทางการเมือง พฤติกรรม “ปล่อยของ”ของนายอภิสิทธิ์ กลับกลายเป็นการ “เสียของ” ไปอย่างน่าเสียดาย
ในขณะที่อีกมุมหนึ่ง จังหวะเดียวกับที่นายอภิสิทธิ์กำลังสนุกสนานกับมุกเสียดสีเสื้อแดง แต่อีกขั้วของการเมือง มีการสัมมนา ส.ส.พรรคเพื่อไทย ในหัวข้อ “ปรับขบวนภายใน บทบาทและทิศทางการเมืองของพรรคเพื่อไทย” ที่เมืองพัทยา
กลับได้ผลสรุปที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง คือการไม่ถอนร่าง พ.ร.บ. ปรองดอง และร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ บนเหตุผลที่ว่า เป็นนโยบายของรัฐบาล ที่ได้ใช้โฆษณาหาเสียง และแถลงต่อรัฐสภา และในการที่จะเดินหน้าต่อไป ก็ให้ถือว่าเป็นเรื่องของรัฐสภา
นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี พูดชัดว่า ที่ผ่านมาอาจจะดูเหมือนรัฐบาลยอมถอยในการเผชิญหน้า ในการแก้ปัญหาเหล่านี้
แต่ทั้งหมดเป็นเพราะต้องการลดความขัดแย้งจากทุกๆฝ่าย
ส่วนว่าจะใช่การลดความขัดแย้งในลักษณะเดียวกับการพยายามแสดงออกของ นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานสภาผู้แทน ที่เจอทั้งความพยายามฉุดกระชากลากถูให้ลุกจากบัลลังก์ประธาน รวมไปถึงโดนขว้างปาด้วยแฟ้มใส่เอกสาร หรือไม่เป็นสิ่งที่น่าคิด
แต่ที่แน่ๆนายสมศักดิ์ดูเหมือนเลือกที่จะอดทน และเลี่ยงการปะทะด้วยการแนะนำว่า ควรถอนร่าง พ.ร.บ.ปรองดอง และร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ออกไปก่อน
แต่สุดท้ายไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ทั้งหมดอยู่บนการตัดสินใจของ ส.ส. และ ส.ว. ในสภา ว่าจะเลือกทางไหนเป็นประตูทางออกในกรณีนี้
เนื่องจากในหมวกของประธานสภา ถอนออกนายสมศักดิ์ก็โดนพวกเดียวกันจวก หากไม่ถอนออก ก็ไม่รู้ว่าระหว่างที่นั่งทำหน้าที่ในสภา จะเจอพฤติกรรม ถ่อย ดิบ เถื่อน อีกหรือไม่
เจ็บทั้งขึ้นทั้งล่องสำหรับกรณีแก้ไขรัฐธรรมนูญ ปี 2550 “ฉบับหน้าแหลมฟันดำ”เจ้าปัญหาฉบับนี้
เพราะในขณะที่นายโภคิน พลกุล อดีต ประธานรัฐสภา มองว่า รัฐธรรมนูญ 2550 ไม่เป็นไปตามหลักนิติธรรม แต่ก็ยังคงมีอีกฝ่ายที่มองว่า รัฐธรรมนูญ 2550 คือเครื่องมือในการกำหราบนักการเมืองโดยเฉพาะ
และที่สำคัญด้วยความที่กลายเป็นรัฐธรรมนูญที่มีกลุ่มคน กลุ่มขั้วอำนาจ พยายามที่จะทำให้เป็นรัฐธรรมนูญที่แตะต้องแก้ไขไม่ได้ จึงทำให้รัฐธรรมนูญฉบับนี้กลายเป็นเหมือนระเบิดเวลา ที่รอวันปะทุจากชนวนของความขัดแย้ง
ส่วนจะจบลงด้วยการแตกหักของ 2 ขั้ว 2 กลุ่มการเมือง หรือจะบานปลายไปเป็นดกลียุคสงครามประชาชนที่โหยหาประชาธิปไตยที่แท้จริง อย่างที่หลายๆฝ่ายเป็นห่วงกันหรือไม่ ก็เป็นเรื่องของชะตากรรมของประเทศเท่านั้น
ปัญหาสำคัญในมุมมองของพรรคเพื่อไทย ก้คือจะเดินหน้าแก้ไขให้เกิดความถูกต้อง ชอบธรรมในหลักนิติธรรมได้อย่างไร ในเมื่อมีฝ่ายที่จ้องขัดขวาง จ้องหาเรื่องในทุกวิถีทาง ไม่เว้นแม้แต่กระทั่งการสร้างจินตนาการไปเอง โดยที่ไม่มีพื้นฐานความจริงเลยสักนิดก็ยังกล้าทำ
เพียงเพราะมั่นใจว่าการบรรยายจินตนาการจะสร้างความระทึกให้ก้าวไปสู่เกมที่วางเอาไว้ได้
จนทุกวันนี้ขนาดที่ตุลาการรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยออกมาแล้ว แต่คำขู่ของขั้วการเมืองที่ไม่ยอมให้แก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับหน้าแหลมฟันดำ ก็ยังคุกรุ่นเติมฟืนเติมไฟอยู่ตลอด
ยิ่งบวกกับการเมืองนอกสภา ที่ประกาศจะรวมตัวโค่นล้มรัฐบาลด้วยแล้ว ยิ่งเห็นชัดเจนถึงอาการปกป้องผลไม้พิษที่เกิดจากการทำรัฐประหารเอาไว้อย่างสุดกำลัง
ประเด็นหลักในการก้าวเดินของ ส.ส. และ ส.ว.ฝั่งที่เห็นด้วยกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และการผ่าน พ.ร.บ.ปรองดองแห่งชาติ จึงมีโจทย์สำคัญอยู่ที่ว่าจะแตะต้องแก้ไขอย่างไร ให้เกิดการยอมรับต่อสังคมในภาพรวม
โดยที่สามารถหักล้างประเด็นของการโจมตีที่ว่าเป็นการทำเพื่อคนๆเดียวให้ได้
เพราะแม้ฝ่ายค้านและขั้วการเมืองตรงข้าม จะอาศัยกลไกของศาลรัฐธรรมนูญ มาเป็นกลไกในการเพิ่มความยุ่งยากให้กับความพยายามในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
แต่ตอนนี้คำวินิจฉัยกลางก็มีออกมาชัดเจนแล้วว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 291 ไม่เข้าข่าย ล้มล้างการปกครอง!!!
แม้ว่าจะมีข้อเสนอแนะในเรื่องของการทำประชามติเพิ่มมาด้วย ที่หลายฝ่ายพยายามที่จะใช้สร้างเป็นเงื่อนไข แต่อย่างน้อยที่สุดเงื่อนไขโจมตีในเรื่องล้มล้างการปกครองก็จบไปแล้ว
สิ่งที่เหลืออยู่ก็คือความพยายามที่จะตีรวน โดยอาศัยข้องอ้างในเรื่องของการพิทักษ์รัฐธรรมนูญบ้าง ในเรื่องของการที่จะยื่นให้ตุลาการรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตีความรอบแล้วรอบเล่านั่นเอง
เป็นการเดินเกมการเมืองเพื่อยื้ออำนาจเก่าเอาไว้ให้นานที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ในขณะเดียวกันก็หางจังหวะเพื่อขั้วการเมืองรัฐบาลพลั้งพลาดเผลอไผลในบางจุดบางประเด็น จะได้ยืมดาบตุลาการรัฐธรรมนูญเชือด
งานนี้เกมของฝ่ายค้านอ่านได้ไม่ยากว่า เป้าหมายสูงสุดคือการทำให้พรรคเพื่อไทยถูกยุบพรรคได้เท่านั้นเป็นพอ
ปัญหาก็คือ การที่จะใช้คำวินิจฉัยของตุลาการรัฐธรรมนูญ และคำแนะนำมาเป็นเครื่องมือนั้น จะทำได้อย่างที่ขั้วการเมืองตรงข้ามรัฐบาลต้องการหรือไม่เท่านั้น?
เพราะประเด็นนี้ นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ อดีตสมาชิกวุฒิสภาสรรหา ได้มีการยื่นขอให้ศาลรัฐธรรมนูญ ยกเลิกคำสั่งที่ให้รัฐสภาชะลอการดำเนินการลงมติร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ มาตรา 291 ในวาระ 3 ไปแล้ว เพื่อหวังให้ทุกอย่างชัดเจนมากขึ้นสำหรับประเทศไทย ว่าจะเดินหน้ากันต่อไปได้อย่างไร
ซึ่งนายสมฤทธิ์ ไชยวงค์ โฆษกศาลรัฐธรรมนูญ ได้ชี้แจงชัดเจนแล้วว่า หลังจากเมื่อวันที่ 13 ก.ค. ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยยกคำร้องการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 291 ไม่เข้าข่ายล้มล้างการปกครองตามรัฐธรรมนูญมาตรา 68 ทั้ง 5 คำร้อง
เมื่อวันที่ 26 ก.ค.ที่ผ่านมา ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ได้ลงนามในหนังสือ ส่งถึงเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร เพื่อแจ้งไปยังประธานรัฐสภาให้ทราบว่า
ศาลรัฐธรรมนูญ มีคำวินิจฉัยยกคำร้องคดีดังกล่าวเรียบร้อยแล้ว
มีผลให้หนังสือที่ศาลรัฐธรรมนูญ เคยมีถึงเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ขอให้ชะลอการลงมติการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 291 ในวาระ 3 นั้น... สิ้นผลไปโดยปริยาย
ดังนั้น หากสภาผู้แทนราษฎรจะเดินหน้าในเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ อย่างไรก็ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของทางรัฐสภา
เท่ากับตอนนี้ชัดเจนแจ่มกระจ่างแล้วว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญ เป็นเรื่องที่สุดแต่สภาผู้แทนราษฎรจะเอาอย่างไร เพราะไม่มีข้อกังวลในเรื่องคำวินิจฉัยของตุลาการรัฐธรรมนูญมาตรึงเอาไว้อีกแล้ว
ซึ่งเรื่องของการอาศัยกลไกอำนาจของตุลาการรัฐธรรมนูญในการวินิจฉัยหรือตีความประเด็นปัญหา เพื่อสกัดกั้นการเดินหน้าทางการเมือง ซึ่งถือเป็นสไตล์ถนัดของฝ่ายค้านและกลุ่มพันธมิตรฯก็ตาม แต่ในขณะเดียวกัน กลไกนี้ก็ถูกใช้ในการตรวจสอบพรรคประชาธิปัตย์ด้วยเช่นกัน
เพียงแต่คนที่ใช้ช่องทางนี้ตรวจสอบความถูกต้องในพฤติกรรมการเมืองของพรรคประชาธิปัตย์ คือ นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ อดีต ส.ว.จอมสอย ที่ขยันตรวจสอบเพื่อผลประโยชน์ของประเทศชาตินั่นเอง
โดยล่าสุด นายเรืองไกรได้มีการยื่นหนังสือต่อศาลรัฐธรรมนูญ มีคำวินิจฉัยให้นายวิรัตน์ กัลยาศิริ ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ และพรรคประชาธิปัตย์ โดยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรค ในฐานะพยานผู้ร้อง ยกเลิกการกระทำการกล่าวหาว่าพรรคเพื่อไทย และพรรคชาติไทยพัฒนากระทำการอันต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 วรรคหนึ่ง หลังจากศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยยกคำร้องว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 291 ไม่เป็นการล้มล้างการปกครองฯ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 ทั้ง 5 คำร้อง โดยเห็นว่ายังไม่ปรากฏข้อเท็จจริงตามคำร้องของนายวิรัตน์ และพรรคประชาธิปัตย์
จึงขอให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคประชาธิปัตย์ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 วรรคสาม และให้สั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งหัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 วรรคสี่
เนื่องจากการกระทำของนายวิรัตน์และพรรคประชาธิปัตย์ เป็นการล้มล้างอำนาจนิติบัญญัติของรัฐสภา
โดยสาเหตุที่ยื่นให้วินิจฉัยเพียงนายวิรัตน์ และพรรคประชาธิปัตย์ เนื่องจากเป็นผู้ร้องที่เป็นพรรคการเมืองเพียงผู้ร้องเดียว
งานนี้เท่ากับเป็นการย้อนศรเข้าใส่เกมจินตนาการที่ห่างไกลความจริงของประชาธิปัตย์เต็มๆนั่นเอง
ที่มา.บางกอกทูเดย์
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
วันพฤหัสบดีที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2555
ความยุติธรรมแบบพอเพียง !!?
โดย:จิตรา คชเดช
เริ่มเมื่อเดือนมิถุนายน 2552 คนงานตัดเย็บชุดชั้นใน Triumph ถูกบริษัทเลิกจ้างด้วยจำนวนครึ่งหนึ่งของคนงานในโรงงานเกือบ 2000 คน ในขณะที่ฉันเป็นเจ้าหน้าที่สหภาพแรงงานไทรอัมพ์ฯ และพ่วงด้วยตำแหน่งที่ปรึกษาด้วยหน้าที่การงานทำให้ฉันได้ เข้าร่วมชุมนุมกับคนงานที่ข้างโรงงานที่ นิคมอุตสาหกรรมเมืองใหม่บางพลี
ด้วยข้อเรียกร้องที่สหภาพแรงงานมีต่อบริษัทบอดี้ แฟชั่น (ประเทศไทย)จำกัด ตอนนั้นก็คือให้รับคนงานกลับเข้าทำงานโดยไม่มีเงื่อนไข และปฏิบัติตามข้อตกลงสภาพการจ้างที่ทำไว้กับสหภาพแรงงานคือ ต้องปรึกษาหารือกับสหภาพแรงงานเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมและเสมอภาค ต้องจ่ายค่าชดเชยที่มากกว่ากฎหมายกำหนด และสุดท้ายบริษัทในฐานะบรรษัทข้ามชาติต้องยึดมั่นในหลักจรรยาบรรณทางการค้า
การเลิกจ้างครั้งนี้คนงานแบ่งเป็นสองกลุ่มคือผู้ที่ถูกเลิกจ้างกับไม่ถูกเลิกจ้างและในจำนวนผู้ไม่ถูกเลิกจ้างคือประธานสหภาพแรงงานรวมอยู่ด้วย การชุมนุมประท้วงทุกรูปแบบ และการประชุมปรึกษาหารือเพื่อวางแผนในการเจรจาคนงานเริ่มไม่เห็นประธานสหภาพแรงงานเข้าร่วม
ข่าวลือต่างๆเข้ามาไม่ขาดสายเกี่ยวกับประธานสหภาพแรงงาน ทั้งเรื่องส่วนตัวและเรื่องรับผลประโยชน์ต่างๆนาๆ สิ่งที่ฉันทำได้ตอนนั้นคือเรียกร้องให้ทุกคนหยุดพูดและไม่เชื่อเพราะเชื่อว่านี่คือขบวนการทำลายสหภาพแรงงานจากบริษัทฯ และสุดท้ายมีการลงรายมือชื่อของสมาชิกสหภาพแรงงาน เข้าชื่อกันเรียกร้องให้เปิดประชุมวิสามัญด้วยหัวข้อไม่ไว้วางใจประธานสหภาพแรงงงาน ในวันที่ 18 กันยายน 2552 และผลการประชุมก็เป็นไปตามที่คนงานต้องการ มติที่ประชุมปลดประธานสหภาพแรงงานและปลดจากการเป็นสมาชิกสหภาพแรงงานและแต่งตั้งประธานใหม่
ในวันที่ 26 กันยายน 2552 มีหมายเรียกให้ฉัน เข้าพบพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจบางเสาธง ด้วยข้อหาหมิ่นประมาทโดยการกระจายเสียงอดีตประธานสหภาพแรงงาน ในชั้นสอบสวนฉันปฎิเสธทันทีเพราะไม่เคยพูดในสิ่งที่ถูกล่าวหา และเชื่อว่านี่คือการทำลายสหภาพแรงงานโดยใช้คนงานด้วยกันเป็นเครื่องมือ
และที่สุดอัยการก็มีความเห็นสั่งฟ้อง สองกรรมต่างวาระ ในขณะที่พวกเราคนงานยังชุมนุมกันอยู่ที่กระทรวงแรงงงาน และได้มีอาจารสุธาชัย ยิ้มประเสริฐ อาจารย์คณะอักษรศาสตร์จุฬาฯใช้ตำแหน่งอาจารย์ประกันตัวในวงเงิน 100000 บาท และมีเงินสดอีก 10000 บาท และได้มีการปล่อยตัวชั่วคราว
ประมาณปี2554 เริ่มมีการสืบพยาน ฝ่ายโจทย์มีพยาน 5 ปาก พอสรุปได้ว่า โจทก์โดยผู้เสียหายไม่เคยได้ยินการหมิ่นด้วยตัวเองแต่มีเพื่อร่วมงานมาเล่าให้ฟัง และเพื่อนร่วมงานเป็นสมาชิกสหภาพที่ไม่ได้ถูกเลิกจ้างมาได้ยินในขณะที่ฉันใช้โทรโข่งกล่าวคำหมิ่นประมาทและพยานได้ยินก็เดินหนีไปขึ้นรถกลับบ้าน
พยานที่สองเป็นพนักงานขับรถได้ยินฉันหมิ่นโจทย์ผู้เสียหายในวันที่ที่มีการประชุมใหญ่วิสามัญสหภาพแรงงานวันที่ 18 กันยายน 2552 บอกว่าฉันหมิ่น โจทก์ ด้วยเครื่องเสียง และเขาไม่เคยรู้จักฉันมาก่อนเลยรีบไปถาม รปภ.ว่าใครเป็นคนพูด รปภ.ตอบว่าคือฉันเป็นคนพูด
เมื่อ รปภ.มาให้การบอกว่าไม่รู้จักฉันไม่เคยเห็นหน้าและไม่รู้ว่าใครพูดแต่ได้ยินว่ามีการกล่าวหมิ่นโจทก์จริง
ฝ่ายฉันใช้พยานคือตัวฉันเอง ประธานสหภาพแรงงาน ปัจจุบันและไม่ได้ถูกเลิกจ้าง อดีตเลขาธิการสหภาพแรงงาน เหรัญญิกสหภาพแรงงาน และพยานวัตถุคือซีดีวีดีโอบันทึกการประชุมใหญ่วิสามัญ และภาพถ่ายสถานที่ต่างๆ
พอสรุปประเด็นสู้ว่าฉันไม่เคยพูดและเรื่องข่าวลือแบบนี้เกิดขึ้นกับประธานทุกคนจนถึงคนปัจจุบัน และถ้าเกิดเรื่องแบบนี้สหภาพแรงงานมีการจัดการเกี่ยวกับเรื่องนี้เพราะฉันเป็นเจ้าหน้าที่สหภาพแรงงาน ประธานไม่เคยนำเรื่องเข้าที่ประชุม และสหภาพแรงงานไม่เคยใช้โทรโข่งในการกล่าวปราศัย การจะใช้เครื่องเสียงเลขาธิการสหภาพจะเป็นคนจัดคิว และไม่เคยมีใครเคยได้ยินฉันการกล่าวหมิ่นประมาท และในวันที่ 18 กันยายน 2552 มีการบันทึกวีดีโอจึงให้ส่งเป็นพยานวัตถุ
และวันนี้วันที่ 1 สิงหาคม 2552 ใช้เวลาทั้งหมดไปเกี่ยวกับเรื่องนี้ เกือบสามปี
วันนี้ศาลนัดอ่านคำพิพากษาสรุปได้ว่า ให้ลงโทษฉันในฐานะจำเลยจำคุก 4 เดือนโทษจำคุกรอลงอาญาไว้ 2 ปี และให้รายงานตัว 1 ปี บริการสาธารณะ 12 ชม. และเสียค่าปรับ 80000 บาท
วีดีโอที่เรายื่นเชื่อถือไม่ได้ และก่อนศาลอ่านคำพิพากษาเล็กน้อยหน้าบัลลังค์เชิญทนายเข้าไปบอกว่าขอร้องอย่าให้มีการแจกเอกสารหน้าศาล ทนายบอกว่าไม่มีและไม่เคยทำ หน้าบัลลังค์บอกว่าจำได้ว่าฉันเคยร่วมทำ
ในขณะที่ศาลอ่านคำพิพากษาฉันยืนขึ้น ผู้พิพากษาตั้งใจอ่านคำพิพากษาโดยไม่สบตากันเลยและเมื่ออ่านจบก็ลงบัลลังค์ไปทันที และตำรวจศาลก็ถามฉันว่ามีเงินค่าปรับหรือเปล่า น้องจาก Try Arm รีบบอกว่ามีเงินสดเดี๋ยวไปเสียค่าปรับ ขั้นตอนก็คือเมื่อเสียค่าปรับแล้วเอาใบเสร็จมาให้ตำรวจและฉันจะถึงจะได้รับอิสรภาพ และจากนั้นฉันต้องไปทำประวัติที่สำนักงานคุมประพฤติ ความวุ่นวายเกิดขึ้นเล็กน้อยเมือพวกเราเตรียมเงินไปแค่ 50000 บาท อีก 30000 บาทก็หาเอากันตรงนั้นก็ได้ครบก็ไปจ่ายค่าปรับ “น้องคนหนึ่งผู้ต้องหาคดีจำหน่ายยาไอซ์บอกว่าค่าปรับพี่แพงกว่าค้ายาอีกนะ” และได้ถามน้องว่าในคุกลำบากหรือเปล่า น้องบอกว่าก้ไม่หรอกถ้าเรามีเงินก็สบาย เช้ามาก็เข้าโรงงานทำหัวไฟแช็ค ลำบากตอนนอนกะอาบน้ำ ที่นอนน้อย น้ำก็แย่งกันอาบ
เริ่มกระบวนการรายงานตัวที่คุมประพฤติ ถือป้ายหมายเลขถ่ายรูป(เลยถึงถึงภาพคนที่ถ่ายรูปในค่ายกักกันในเขมรแดง) และขึ้นไปกรอกประวัติ เจ้าหน้าที่บอกว่ารีบหน่อยนะเดี๋ยวเขาจะรีบไปถวายเทียน
มีคำถามทั่วไปพ่อแม่ชื่ออะไรพักที่ไหน แต่ที่ไม่ทั่วไปคือ คุณยอมรับคำตัดสินว่าอย่างไร เช่นจะปรับปรุงตัว ไม่สนใจ ส่วนฉันตอบว่าเชื่อว่าตนเองบริสุทธิ์ ถามนิสัยก็ตอบไปว่าชอบช่วยเหลือผู้อื่น ร่าเริง แจ่มใส ใจดี รักเด็ก รักสัตว์ รักธรรมชาติ 555
ถามหาความสามารถพิเศษเลยเขียนไป"พูดในที่สาธารณะ" ก็พิเศษแล้วแค่นี้ แล้วก็เย็บผ้า อันนี้โม้เต็มที่ว่าเคยอบรมอะไรมาบ้าง และงานอดิเรกยามว่างก็อ่านหนังสือและไปฟังเสวนา ลืมบอกว่าชอบเล่นเฟชบุคด้วย
คราวนี้เจ้าหน้าที่ก็ขอทำแผนที่บ้านปัจจุบัน และให้สมุดนัดมา 1 เล่ม และวันที่ 4 กันยายน 2555 จะมีปฐมนิเทศพร้อมเพื่อนร่วมรุ่น มีทั้งขับรถประมาท หลายประเภท และวันนั้นเราจะเลือกงานบริการสังคมกันถ้าบริจาคเลือดก็ได้ 6 ชม. ใครมีความรู้สูงๆ ก็อาจจะได้ทำเอกสาร ใครความรู้น้อยๆก็ทำความสะอาดวัด (งานนี้กวาดสิ่งชั่วร้ายออกหมดวัดแน่ๆ)
อีกเรื่องให้ใส่ชื่อบุคคลที่เรารู้จักเช่นผู้นำศาสนา ผู้ใหญ่บ้าน ผู้หรับผู้ใหญ่ ก็เลยใส่ชื่อ อาจารย์เวียงรัฐ เนติโพธ์ (เผื่อเขาเห็นนามสกุลจะแอบหมั่นไส้เราบ้าง)
จบกระบวนการคุมประพฤติ ส่วนการอุทธรณ์ก็คงให้ทนายดำเนินการต่อมีทนายเสาวลักษ์ โพธ์งาม เป็นทนายความคดีนี้
ขอบคุณสหภาพแรงงานไทรอัมพ์อินเตอร์เนชั่นแนลแห่งประเทศไทย สื่อ นักวิชาการ เพื่อนๆเสื้อแดง เพื่อนในเฟชบุค เพื่อนในโลกจริง เพื่อนในโลกออนไลน์ และที่สำคัญเพื่อนในกลุ่มคนงาน Try Arm
กระบวนการยุติธรรมไทยต้องปฎิรูป การสืบค้นความจริงต้องทำให้ได้ ไม่เช่นนั้นจะมีผู้บริสุทธิ์อีกมากมายที่อยู่ในคุก
"ฉันเชื่อมั่นในสิทธิการรวมตัว ถ้าวันนี้ไม่ยืนหยัดการรวมตัวมี Try Arm ฉันคงติดคุก "
ที่มา.ประชาไท
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
เริ่มเมื่อเดือนมิถุนายน 2552 คนงานตัดเย็บชุดชั้นใน Triumph ถูกบริษัทเลิกจ้างด้วยจำนวนครึ่งหนึ่งของคนงานในโรงงานเกือบ 2000 คน ในขณะที่ฉันเป็นเจ้าหน้าที่สหภาพแรงงานไทรอัมพ์ฯ และพ่วงด้วยตำแหน่งที่ปรึกษาด้วยหน้าที่การงานทำให้ฉันได้ เข้าร่วมชุมนุมกับคนงานที่ข้างโรงงานที่ นิคมอุตสาหกรรมเมืองใหม่บางพลี
ด้วยข้อเรียกร้องที่สหภาพแรงงานมีต่อบริษัทบอดี้ แฟชั่น (ประเทศไทย)จำกัด ตอนนั้นก็คือให้รับคนงานกลับเข้าทำงานโดยไม่มีเงื่อนไข และปฏิบัติตามข้อตกลงสภาพการจ้างที่ทำไว้กับสหภาพแรงงานคือ ต้องปรึกษาหารือกับสหภาพแรงงานเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมและเสมอภาค ต้องจ่ายค่าชดเชยที่มากกว่ากฎหมายกำหนด และสุดท้ายบริษัทในฐานะบรรษัทข้ามชาติต้องยึดมั่นในหลักจรรยาบรรณทางการค้า
การเลิกจ้างครั้งนี้คนงานแบ่งเป็นสองกลุ่มคือผู้ที่ถูกเลิกจ้างกับไม่ถูกเลิกจ้างและในจำนวนผู้ไม่ถูกเลิกจ้างคือประธานสหภาพแรงงานรวมอยู่ด้วย การชุมนุมประท้วงทุกรูปแบบ และการประชุมปรึกษาหารือเพื่อวางแผนในการเจรจาคนงานเริ่มไม่เห็นประธานสหภาพแรงงานเข้าร่วม
ข่าวลือต่างๆเข้ามาไม่ขาดสายเกี่ยวกับประธานสหภาพแรงงาน ทั้งเรื่องส่วนตัวและเรื่องรับผลประโยชน์ต่างๆนาๆ สิ่งที่ฉันทำได้ตอนนั้นคือเรียกร้องให้ทุกคนหยุดพูดและไม่เชื่อเพราะเชื่อว่านี่คือขบวนการทำลายสหภาพแรงงานจากบริษัทฯ และสุดท้ายมีการลงรายมือชื่อของสมาชิกสหภาพแรงงาน เข้าชื่อกันเรียกร้องให้เปิดประชุมวิสามัญด้วยหัวข้อไม่ไว้วางใจประธานสหภาพแรงงงาน ในวันที่ 18 กันยายน 2552 และผลการประชุมก็เป็นไปตามที่คนงานต้องการ มติที่ประชุมปลดประธานสหภาพแรงงานและปลดจากการเป็นสมาชิกสหภาพแรงงานและแต่งตั้งประธานใหม่
ในวันที่ 26 กันยายน 2552 มีหมายเรียกให้ฉัน เข้าพบพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจบางเสาธง ด้วยข้อหาหมิ่นประมาทโดยการกระจายเสียงอดีตประธานสหภาพแรงงาน ในชั้นสอบสวนฉันปฎิเสธทันทีเพราะไม่เคยพูดในสิ่งที่ถูกล่าวหา และเชื่อว่านี่คือการทำลายสหภาพแรงงานโดยใช้คนงานด้วยกันเป็นเครื่องมือ
และที่สุดอัยการก็มีความเห็นสั่งฟ้อง สองกรรมต่างวาระ ในขณะที่พวกเราคนงานยังชุมนุมกันอยู่ที่กระทรวงแรงงงาน และได้มีอาจารสุธาชัย ยิ้มประเสริฐ อาจารย์คณะอักษรศาสตร์จุฬาฯใช้ตำแหน่งอาจารย์ประกันตัวในวงเงิน 100000 บาท และมีเงินสดอีก 10000 บาท และได้มีการปล่อยตัวชั่วคราว
ประมาณปี2554 เริ่มมีการสืบพยาน ฝ่ายโจทย์มีพยาน 5 ปาก พอสรุปได้ว่า โจทก์โดยผู้เสียหายไม่เคยได้ยินการหมิ่นด้วยตัวเองแต่มีเพื่อร่วมงานมาเล่าให้ฟัง และเพื่อนร่วมงานเป็นสมาชิกสหภาพที่ไม่ได้ถูกเลิกจ้างมาได้ยินในขณะที่ฉันใช้โทรโข่งกล่าวคำหมิ่นประมาทและพยานได้ยินก็เดินหนีไปขึ้นรถกลับบ้าน
พยานที่สองเป็นพนักงานขับรถได้ยินฉันหมิ่นโจทย์ผู้เสียหายในวันที่ที่มีการประชุมใหญ่วิสามัญสหภาพแรงงานวันที่ 18 กันยายน 2552 บอกว่าฉันหมิ่น โจทก์ ด้วยเครื่องเสียง และเขาไม่เคยรู้จักฉันมาก่อนเลยรีบไปถาม รปภ.ว่าใครเป็นคนพูด รปภ.ตอบว่าคือฉันเป็นคนพูด
เมื่อ รปภ.มาให้การบอกว่าไม่รู้จักฉันไม่เคยเห็นหน้าและไม่รู้ว่าใครพูดแต่ได้ยินว่ามีการกล่าวหมิ่นโจทก์จริง
ฝ่ายฉันใช้พยานคือตัวฉันเอง ประธานสหภาพแรงงาน ปัจจุบันและไม่ได้ถูกเลิกจ้าง อดีตเลขาธิการสหภาพแรงงาน เหรัญญิกสหภาพแรงงาน และพยานวัตถุคือซีดีวีดีโอบันทึกการประชุมใหญ่วิสามัญ และภาพถ่ายสถานที่ต่างๆ
พอสรุปประเด็นสู้ว่าฉันไม่เคยพูดและเรื่องข่าวลือแบบนี้เกิดขึ้นกับประธานทุกคนจนถึงคนปัจจุบัน และถ้าเกิดเรื่องแบบนี้สหภาพแรงงานมีการจัดการเกี่ยวกับเรื่องนี้เพราะฉันเป็นเจ้าหน้าที่สหภาพแรงงาน ประธานไม่เคยนำเรื่องเข้าที่ประชุม และสหภาพแรงงานไม่เคยใช้โทรโข่งในการกล่าวปราศัย การจะใช้เครื่องเสียงเลขาธิการสหภาพจะเป็นคนจัดคิว และไม่เคยมีใครเคยได้ยินฉันการกล่าวหมิ่นประมาท และในวันที่ 18 กันยายน 2552 มีการบันทึกวีดีโอจึงให้ส่งเป็นพยานวัตถุ
และวันนี้วันที่ 1 สิงหาคม 2552 ใช้เวลาทั้งหมดไปเกี่ยวกับเรื่องนี้ เกือบสามปี
วันนี้ศาลนัดอ่านคำพิพากษาสรุปได้ว่า ให้ลงโทษฉันในฐานะจำเลยจำคุก 4 เดือนโทษจำคุกรอลงอาญาไว้ 2 ปี และให้รายงานตัว 1 ปี บริการสาธารณะ 12 ชม. และเสียค่าปรับ 80000 บาท
วีดีโอที่เรายื่นเชื่อถือไม่ได้ และก่อนศาลอ่านคำพิพากษาเล็กน้อยหน้าบัลลังค์เชิญทนายเข้าไปบอกว่าขอร้องอย่าให้มีการแจกเอกสารหน้าศาล ทนายบอกว่าไม่มีและไม่เคยทำ หน้าบัลลังค์บอกว่าจำได้ว่าฉันเคยร่วมทำ
ในขณะที่ศาลอ่านคำพิพากษาฉันยืนขึ้น ผู้พิพากษาตั้งใจอ่านคำพิพากษาโดยไม่สบตากันเลยและเมื่ออ่านจบก็ลงบัลลังค์ไปทันที และตำรวจศาลก็ถามฉันว่ามีเงินค่าปรับหรือเปล่า น้องจาก Try Arm รีบบอกว่ามีเงินสดเดี๋ยวไปเสียค่าปรับ ขั้นตอนก็คือเมื่อเสียค่าปรับแล้วเอาใบเสร็จมาให้ตำรวจและฉันจะถึงจะได้รับอิสรภาพ และจากนั้นฉันต้องไปทำประวัติที่สำนักงานคุมประพฤติ ความวุ่นวายเกิดขึ้นเล็กน้อยเมือพวกเราเตรียมเงินไปแค่ 50000 บาท อีก 30000 บาทก็หาเอากันตรงนั้นก็ได้ครบก็ไปจ่ายค่าปรับ “น้องคนหนึ่งผู้ต้องหาคดีจำหน่ายยาไอซ์บอกว่าค่าปรับพี่แพงกว่าค้ายาอีกนะ” และได้ถามน้องว่าในคุกลำบากหรือเปล่า น้องบอกว่าก้ไม่หรอกถ้าเรามีเงินก็สบาย เช้ามาก็เข้าโรงงานทำหัวไฟแช็ค ลำบากตอนนอนกะอาบน้ำ ที่นอนน้อย น้ำก็แย่งกันอาบ
เริ่มกระบวนการรายงานตัวที่คุมประพฤติ ถือป้ายหมายเลขถ่ายรูป(เลยถึงถึงภาพคนที่ถ่ายรูปในค่ายกักกันในเขมรแดง) และขึ้นไปกรอกประวัติ เจ้าหน้าที่บอกว่ารีบหน่อยนะเดี๋ยวเขาจะรีบไปถวายเทียน
มีคำถามทั่วไปพ่อแม่ชื่ออะไรพักที่ไหน แต่ที่ไม่ทั่วไปคือ คุณยอมรับคำตัดสินว่าอย่างไร เช่นจะปรับปรุงตัว ไม่สนใจ ส่วนฉันตอบว่าเชื่อว่าตนเองบริสุทธิ์ ถามนิสัยก็ตอบไปว่าชอบช่วยเหลือผู้อื่น ร่าเริง แจ่มใส ใจดี รักเด็ก รักสัตว์ รักธรรมชาติ 555
ถามหาความสามารถพิเศษเลยเขียนไป"พูดในที่สาธารณะ" ก็พิเศษแล้วแค่นี้ แล้วก็เย็บผ้า อันนี้โม้เต็มที่ว่าเคยอบรมอะไรมาบ้าง และงานอดิเรกยามว่างก็อ่านหนังสือและไปฟังเสวนา ลืมบอกว่าชอบเล่นเฟชบุคด้วย
คราวนี้เจ้าหน้าที่ก็ขอทำแผนที่บ้านปัจจุบัน และให้สมุดนัดมา 1 เล่ม และวันที่ 4 กันยายน 2555 จะมีปฐมนิเทศพร้อมเพื่อนร่วมรุ่น มีทั้งขับรถประมาท หลายประเภท และวันนั้นเราจะเลือกงานบริการสังคมกันถ้าบริจาคเลือดก็ได้ 6 ชม. ใครมีความรู้สูงๆ ก็อาจจะได้ทำเอกสาร ใครความรู้น้อยๆก็ทำความสะอาดวัด (งานนี้กวาดสิ่งชั่วร้ายออกหมดวัดแน่ๆ)
อีกเรื่องให้ใส่ชื่อบุคคลที่เรารู้จักเช่นผู้นำศาสนา ผู้ใหญ่บ้าน ผู้หรับผู้ใหญ่ ก็เลยใส่ชื่อ อาจารย์เวียงรัฐ เนติโพธ์ (เผื่อเขาเห็นนามสกุลจะแอบหมั่นไส้เราบ้าง)
จบกระบวนการคุมประพฤติ ส่วนการอุทธรณ์ก็คงให้ทนายดำเนินการต่อมีทนายเสาวลักษ์ โพธ์งาม เป็นทนายความคดีนี้
ขอบคุณสหภาพแรงงานไทรอัมพ์อินเตอร์เนชั่นแนลแห่งประเทศไทย สื่อ นักวิชาการ เพื่อนๆเสื้อแดง เพื่อนในเฟชบุค เพื่อนในโลกจริง เพื่อนในโลกออนไลน์ และที่สำคัญเพื่อนในกลุ่มคนงาน Try Arm
กระบวนการยุติธรรมไทยต้องปฎิรูป การสืบค้นความจริงต้องทำให้ได้ ไม่เช่นนั้นจะมีผู้บริสุทธิ์อีกมากมายที่อยู่ในคุก
"ฉันเชื่อมั่นในสิทธิการรวมตัว ถ้าวันนี้ไม่ยืนหยัดการรวมตัวมี Try Arm ฉันคงติดคุก "
ที่มา.ประชาไท
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ลุ้นถอนประกันแกนนำ นปช.ไม่อยากติดคุก.ต้องอ่าน !!?
วันที่ 9 ส.ค. นี้ ถือเป็นวันสำคัญอีกวันหนึ่งของบรรดาแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) แดงทั้งแผ่นดิน เพราะเป็นวันชี้ชะตาว่าจะได้ใช้ชีวิตอิสระนอกเรือนจำต่อไปหรือไม่
ทั้งนายวีระกานต์ มุสิกพงศ์ นายอริสมันต์ พงศ์เรืองรอง นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ นายก่อแก้ว พิกุลทอง รวมถึงนายจตุพร พรหมพันธุ์ และคนอื่นๆอีก 20 คน ต่างมีลุ้นกันทั่วหน้า
ในรายของนายจตุพรนั้นผ่านการไต่สวนไปแล้วเมื่อวันที่ 23 ส.ค. ที่ผ่านมา แต่รอลุ้นฟังคำสั่งในวันเดียวกันแบบเหมายกเข่ง
ส่วนคนที่เป็น ส.ส. อย่างนายณัฐวุฒิ นายก่อแก้ว นับว่าโชคดีที่สภาเปิดสมัยประชุมแล้ว มีเอกสิทธิ์คุ้มครองตามกฎหมาย ไม่ต้องออกแรงลุ้น
หากพิจารณาตามคำพูดของนายทวี ประจวบลาภ อธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา ที่กล่าวไว้ว่า
“เรื่องนี้ถือว่าเป็นการกระทำผิดที่กระทบต่ออำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลอาญา เพราะนักการเมืองที่ตกเป็นจำเลยพึงระมัดระวังคำพูดว่าต้องไม่เป็นการฝ่าฝืนเงื่อนไขที่ให้ไว้ต่อศาลอาญา การพูดโดยไม่สนใจไยดีต่ออำนาจศาลย่อมส่งผลร้ายแก่ตัวเอง...”
คงพอคาดเดากันได้ว่าผลจะออกทางไหน
ยิ่งเมื่อศาลเรียกสื่อมวลชนไปทำความเข้าใจกฎเกณฑ์กติกา เพื่อสื่อไปถึงคนเสื้อแดงที่จะไปให้กำลังใจบรรดาแกนนำ
ภาพที่เลือนรางของอนาคตแกนนำที่ไม่ได้เป็น ส.ส. ยิ่งเด่นชัด เพราะก่อนหน้านี้ไม่ว่าจะพิจารณากันมากี่ครั้ง ศาลไม่เคยเรียกสื่อไปทำความเข้าใจเพื่อจะส่งสารถึงคนเสื้อแดงมาก่อน
คงเกรงว่าจะเกิดความชุลมุนวุ่นวายหลังมีคำตัดสิน
นายทวีใช้อำนาจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 30 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ออกข้อกำหนดให้คนเสื้อแดงปฏิบัติ ประกอบด้วย
1.ห้ามมิให้ผู้ใดประพฤติตนในทางที่ก่อให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อย ก่อความรำคาญในบริเวณศาล หรือกระทำการในลักษณะที่เป็นการยั่วยุสนับสนุนในบริเวณศาล
2.ห้ามมิให้ผู้ใดใช้เครื่องขยายเสียงส่งเสียงดัง อันเป็นการรบกวนการดำเนินกระบวนพิจารณาคดีในศาล
3.ห้ามมิให้ผู้ใดนำสินค้ามาวางจำหน่าย อันเป็นการกีดขวางทางเข้าออกศาลอาญา และศาลอื่นริมถนนรัชดาภิเษก ตั้งแต่ศาลแขวงพระนครเหนือ ศาลอุทธรณ์ ศาลแพ่ง จดศาลอาญา
ผู้ใดฝ่าฝืนการกระทำดังกล่าวถือว่ากระทำผิดฐานละเมิดอำนาจศาล ระวางโทษจำคุก 6 เดือน
และเพื่อไม่ให้มีการแอบแฝงเป็นสื่อมวลชน ช่างภาพ เข้าไปในบริเวณที่มีการพิจารณาคดี กำหนดให้ต้องแจ้งชื่อ แจ้งสังกัด เพื่อลงทะเบียนภายในวันที่ 8-9 ส.ค. นี้ หากไม่มีชื่อห้ามเข้าบริเวณอาคารศาล
ส่งสัญญาณสื่อสารถึงมวลชนเสื้อแดงที่จะเฮโลกันไปให้กำลังใจแกนนำชัดเจนแจ่มแจ๋ว
คนเสื้อแดงต้องท่องให้ขึ้นใจถึงข้อห้าม 3 ข้อ ที่อธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญาใช้อำนาจตามกฎหมายประกาศออกมา
อย่างไรก็ตาม หากจะเอาผิดให้ได้รับโทษกันจริงๆไม่ใช่มีเพียงข้อหากระทำผิดฐานละเมิดอำนาจศาลที่มีโทษจำคุก 6 เดือนเพียงอย่างเดียว
แต่ยังมีกฎหมายยิบย่อยให้ใช้เอาผิดได้ ทั้งกฎหมายรักษาความสะอาด กฎหมายจราจร กฎหมายอาญาเรื่องสร้างความเดือดร้อนรำคาญ ใช้เครื่องขยายเสียงโดยไม่ได้รับอนุญาต ฯลฯ
หากอารมณ์พาไป ยั้งไม่หยุด ฉุดไม่อยู่ อาจมีข้อหาอื่นๆตามมาอีกหลายข้อหา
หากเป็นเช่นนั้น ไม่ใช่แค่แกนนำที่อาจต้องกลับเข้าไปอยู่ในคุก
แต่คุกอาจจะเต็มไปด้วยมวลชนคนเสื้อแดงก็เป็นได้
ที่มา.หนังสือพิมพ์โลกวันนี้
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ทั้งนายวีระกานต์ มุสิกพงศ์ นายอริสมันต์ พงศ์เรืองรอง นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ นายก่อแก้ว พิกุลทอง รวมถึงนายจตุพร พรหมพันธุ์ และคนอื่นๆอีก 20 คน ต่างมีลุ้นกันทั่วหน้า
ในรายของนายจตุพรนั้นผ่านการไต่สวนไปแล้วเมื่อวันที่ 23 ส.ค. ที่ผ่านมา แต่รอลุ้นฟังคำสั่งในวันเดียวกันแบบเหมายกเข่ง
ส่วนคนที่เป็น ส.ส. อย่างนายณัฐวุฒิ นายก่อแก้ว นับว่าโชคดีที่สภาเปิดสมัยประชุมแล้ว มีเอกสิทธิ์คุ้มครองตามกฎหมาย ไม่ต้องออกแรงลุ้น
หากพิจารณาตามคำพูดของนายทวี ประจวบลาภ อธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา ที่กล่าวไว้ว่า
“เรื่องนี้ถือว่าเป็นการกระทำผิดที่กระทบต่ออำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลอาญา เพราะนักการเมืองที่ตกเป็นจำเลยพึงระมัดระวังคำพูดว่าต้องไม่เป็นการฝ่าฝืนเงื่อนไขที่ให้ไว้ต่อศาลอาญา การพูดโดยไม่สนใจไยดีต่ออำนาจศาลย่อมส่งผลร้ายแก่ตัวเอง...”
คงพอคาดเดากันได้ว่าผลจะออกทางไหน
ยิ่งเมื่อศาลเรียกสื่อมวลชนไปทำความเข้าใจกฎเกณฑ์กติกา เพื่อสื่อไปถึงคนเสื้อแดงที่จะไปให้กำลังใจบรรดาแกนนำ
ภาพที่เลือนรางของอนาคตแกนนำที่ไม่ได้เป็น ส.ส. ยิ่งเด่นชัด เพราะก่อนหน้านี้ไม่ว่าจะพิจารณากันมากี่ครั้ง ศาลไม่เคยเรียกสื่อไปทำความเข้าใจเพื่อจะส่งสารถึงคนเสื้อแดงมาก่อน
คงเกรงว่าจะเกิดความชุลมุนวุ่นวายหลังมีคำตัดสิน
นายทวีใช้อำนาจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 30 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ออกข้อกำหนดให้คนเสื้อแดงปฏิบัติ ประกอบด้วย
1.ห้ามมิให้ผู้ใดประพฤติตนในทางที่ก่อให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อย ก่อความรำคาญในบริเวณศาล หรือกระทำการในลักษณะที่เป็นการยั่วยุสนับสนุนในบริเวณศาล
2.ห้ามมิให้ผู้ใดใช้เครื่องขยายเสียงส่งเสียงดัง อันเป็นการรบกวนการดำเนินกระบวนพิจารณาคดีในศาล
3.ห้ามมิให้ผู้ใดนำสินค้ามาวางจำหน่าย อันเป็นการกีดขวางทางเข้าออกศาลอาญา และศาลอื่นริมถนนรัชดาภิเษก ตั้งแต่ศาลแขวงพระนครเหนือ ศาลอุทธรณ์ ศาลแพ่ง จดศาลอาญา
ผู้ใดฝ่าฝืนการกระทำดังกล่าวถือว่ากระทำผิดฐานละเมิดอำนาจศาล ระวางโทษจำคุก 6 เดือน
และเพื่อไม่ให้มีการแอบแฝงเป็นสื่อมวลชน ช่างภาพ เข้าไปในบริเวณที่มีการพิจารณาคดี กำหนดให้ต้องแจ้งชื่อ แจ้งสังกัด เพื่อลงทะเบียนภายในวันที่ 8-9 ส.ค. นี้ หากไม่มีชื่อห้ามเข้าบริเวณอาคารศาล
ส่งสัญญาณสื่อสารถึงมวลชนเสื้อแดงที่จะเฮโลกันไปให้กำลังใจแกนนำชัดเจนแจ่มแจ๋ว
คนเสื้อแดงต้องท่องให้ขึ้นใจถึงข้อห้าม 3 ข้อ ที่อธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญาใช้อำนาจตามกฎหมายประกาศออกมา
อย่างไรก็ตาม หากจะเอาผิดให้ได้รับโทษกันจริงๆไม่ใช่มีเพียงข้อหากระทำผิดฐานละเมิดอำนาจศาลที่มีโทษจำคุก 6 เดือนเพียงอย่างเดียว
แต่ยังมีกฎหมายยิบย่อยให้ใช้เอาผิดได้ ทั้งกฎหมายรักษาความสะอาด กฎหมายจราจร กฎหมายอาญาเรื่องสร้างความเดือดร้อนรำคาญ ใช้เครื่องขยายเสียงโดยไม่ได้รับอนุญาต ฯลฯ
หากอารมณ์พาไป ยั้งไม่หยุด ฉุดไม่อยู่ อาจมีข้อหาอื่นๆตามมาอีกหลายข้อหา
หากเป็นเช่นนั้น ไม่ใช่แค่แกนนำที่อาจต้องกลับเข้าไปอยู่ในคุก
แต่คุกอาจจะเต็มไปด้วยมวลชนคนเสื้อแดงก็เป็นได้
ที่มา.หนังสือพิมพ์โลกวันนี้
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)