--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันอังคารที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

เมื่อ นายบัวลอย ตามหาท่าน...อภิสิทธิ์ คนแตกต่างด้วยฐานันดรและจิตสำนึก !!?

หนังชื่อ “ยังบาว” เป็นเรื่องราว แง่ชีวิตของวงดนตรี “คาราบาว” ในสมัย หนุ่มๆ ยุคปี 2520-2530 หนังเรื่องนี้กำลังฟอร์มตัวสร้างขึ้นเพื่อ ให้แฟนคลับคนแก่ๆ รำลึกถึงความหลัง และ คนรุ่นใหม่ได้ซึมซับตำนานมนต์เพลงคาราบาว อันลือลั่นเพียงแค่ชื่อหนัง คนที่รับรู้เรื่องราวในยุค “ยังบาว” คงนั่งทางในมองเห็นภาพชีวิตได้ทะลุแจ่มแจ้งเป็นฉากๆ โดยเฉพาะช่วงเวลาที่บอกถึงพัฒนาการทางความคิดของวงดนตรีคาราบาวมาเป็นลำดับ

ยุคคาราบาวเป็นหนุ่มน้อยวัยเอ๊าะๆ ร้องเพลงเพื่อชีวิตถ่ายทอดความเสื่อมทราม ของสังคม แต่เมื่อเติบใหญ่ขึ้นมีประสบการณ์ ตกผลึก เนื้อสมองพัฒนาแนวคิดเพลงเชิดชู “ชาตินิยมไทย” ได้อย่างถึงแก่น แต่เชื่อเถอะหนังเรื่องนี้ชื่อก็บอกกันตรงๆ แล้ว คงไม่สร้างถึงยุค “โอลด์บาว” ที่เป็นยุคแห่งสัญลักษณ์เครื่องดื่มชูกำลังในปัจจุบันแน่ๆ

ถึงที่สุด ไม่รู้ว่า ในหนังจะมีฉากชีวิตตามเพลง “พลทหารบัวลอย” ผู้รักบ้านเกิดเมืองนอน ไปเป็นทหารรับใช้ชาติในสมรภูมิ รบเยี่ยงชาติชายทหารบ้านนอกเมื่อครบอายุ 20 ปี กฎหมายบังคับให้ไปเกณฑ์ทหาร เป็น รั้วปกป้องชาติ ภาพชีวิตพลทหารบัวลอยในเพลงของคาราบาว เป็นภาพสะท้อนมุมกลับกับ ชีวิต “ร.ต.อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” อดีตนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์

“บัวลอย” ในบทเพลงของคาราบาวมีชีวิตแตกต่างทั้งทางฐานันดรและจิตสำนึก สังคมกับ “ร.ต.อภิสิทธิ์” ตัวเป็นๆ ในปัจจุบัน อย่างฟ้ากับดิน

“บัวลอย” หนุ่มน้อยบ้านนอก มีการศึกษาน้อย เมื่ออายุครบเกณฑ์ทหารก็ไปจับ สลากแล้วได้เป็น “พลทหาร” ออกสนามรบ เอาชีวิตหลบอาวุธสงครามจากข้าศึก ส่วน “อภิสิทธิ์” เป็นหนุ่มรูปหล่อ ฐานะสังคมระดับสูง มีกิน เมื่ออายุครบเกณฑ์ทหาร เขาใช้สิทธิ์ผ่อนผันบินลัดฟ้าไป เรียนต่อประเทศอังกฤษ จบมารับใช้ชาติด้วยการเป็น “อาจารย์สอนโรงเรียนทหาร” ติดยศ “ร้อยตรี” แต่เขาพึงพอใจที่จะใช้ “นาย” นำหน้าชื่อมากกว่าใช้ “ยศถาบรรดาศักดิ์” คนแบบอย่าง “บัวลอยกับอภิสิทธิ์” ยังมีอีกมากในสังคมที่เต็มไปด้วยช่วงชั้น แบ่งฐานันดรยึดถือกันอย่างลึกๆ แต่ทุกชีวิต ย่อมดำเนินไปตามกติกาหรือกฎหมายสังคม กำหนดการกระทำไว้

บัวลอยใช้สิทธิ์เข้าเกณฑ์ทหารรับใช้ชาติ ส่วน “อภิสิทธิ์” ใช้สิทธิ์ผ่อนผัน ซึ่งกระทำได้มันก็จบ แต่ไม่จบหรอก เพราะ “อภิสิทธิ์” ไม่ใช่คนธรรมดา เขามีชีวิตเป็นนักการเมือง ใหญ่อยู่ในท่ามกลางการมีอำนาจบริหารประเทศ แน่นอน “อำนาจ” เป็นอะไรลึกลับ ยากต่อการอธิบาย จึงมีพลังให้เรื่องเล็กๆ กลายเป็นเรื่องใหญ่ในสังคมต้องกล่าวถึงได้เสมอ

บัวลอยจบแล้ว-อภิสิทธิ์กำลังผจญปัญหาชีวิตของหนุ่มน้อยบ้านนอกชื่อ “บัวลอย” ในบทเพลงคาราบาวถูกปิดฉากชีวิตได้สวยหรู แต่เรื่องราวของ “อภิสิทธิ์” กลับกำลังโด่งดังจากข้อกล่าวหาของพรรคเพื่อไทยที่ขุดเรื่องราวเก่าแก่มาเล่นงานว่า “หนีทหาร” หมายความว่า อายุครบ 20 ปีไม่ไปเกณฑ์ทหารตามกฎหมายกำหนด

นายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เป็นนักการเมืองระดับต้นที่เปิดหน้าเล่นกับ “อภิสิทธิ์” ด้วยข้อกล่าวหาดังกล่าวทั้งทางสาธารณะ บนเวทีปราศรัย แถลงข่าว เป็นวรรคเป็นเวรตามข้อมูลเอกสารที่มีอยู่ในมือ แม้ข้อกล่าวหาของนายจตุพร ไม่ได้ทำให้ “อภิสิทธิ์” ต้องติดคุกได้รับโทษตามกฎหมายในขณะนี้ แต่มันเป็นเหตุรุนแรงของ ชีวิตมนุษย์เพราะถูกทำลายศักดิ์ศรีและความสง่างามของความเป็น “ชาย” ซึ่งถูกผู้คนในสังคมหมิ่นหยามได้

กระทั่งเป็นเรื่องจนได้ “อภิสิทธิ์” ฟ้อง “จตุพร” ต่อศาลข้อหาหมิ่นประมาท และขณะนี้อยู่ระหว่างการไต่สวนชั้นศาลเพื่อพิพากษาให้ความเป็นธรรมแต่เรื่องราว “อภิสิทธิ์” หนีทหารกลับ ไปกันใหญ่ และได้ลากพานักการเมืองน้อยใหญ่เข้ามาถลำตัวเล่นเกมอำนาจเพื่อทำลาย ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์จนไม่เหลือชิ้นดี

ในขณะที่การไต่สวนคดีความในชั้นศาลกำลังเข้าด้ายเข้าเข็ม พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รมว.กระทรวงกลาโหม กระโจนเข้าสู่สมรภูมิหน้าตาเฉย สั่งการให้ตรวจสอบ รื้อเรื่องราวประวัติการเกณฑ์ทหารของ “อภิสิทธิ์” อีกครั้ง ผลสรุปจากการตรวจสอบกลับตอกย้ำว่า อภิสิทธิ์ ไม่ได้เข้าตรวจเลือกทหาร นั่นเท่ากับลากโยงไปสู่การบรรจุรับราชการ สอนโรงเรียนทหารย่อมขัดต่อกฎหมาย และ เอกสารที่ใช้ยื่นเข้ารับราชการทหารนั้นก็ต้องเป็นเอกสารไม่ชอบด้วยกฎหมายเช่นกัน

การลากโยงเชื่อมต่อเหตุการณ์ในชีวิตทหารของอภิสิทธิ์ไม่มีอะไรมาก นอกจาก นักเล่นเกมอำนาจการเมืองต้องการชี้ให้สังคม เชื่อคล้อยตามกันว่า “อภิสิทธิ์หนีทหาร และใช้เอกสารปลอม” ดังนั้นเพื่อให้รูปการออกไปตามธงข้อกล่าวหานี้ จึงมีความพยายาม ขุดผลการสอบสวนอภิสิทธิ์เกี่ยวกับการรับราชการเป็นอาจารย์สอนโรงเรียนทหาร ซึ่ง เป็นผลสอบตั้งปี 2542 มาเผยแพร่ และสร้างให้เป็นจริงเป็นจังยิ่งขึ้น

ผลตรวจสอบอภิสิทธิ์ในกรณีเข้ารับราชการที่โรงเรียนนายร้อย จปร. ถูกประทับ ตราเป็นเอกสาร “ลับ” ลงวันที่ 19 พฤษภาคม 2542 รายละเอียดเนื้อหามีความยาว 4 หน้ากระดาษ แต่มีข้อสรุปว่า ไม่ได้ไปตรวจเลือกทหารเมื่อเมษายน 2530-2531 และไม่มีหนังสือมีสิทธิ์ผ่อนผันมาแสดง จึงไม่เข้า หลักเกณฑ์รับบรรจุเป็นอาจารย์โรงเรียนทหาร

หากรูปการณ์ออกมาเป็นเช่นผลการสอบสวนเมื่อปี 2542 อภิสิทธิ์จึงงานเข้าทันที และเป็นจังหวะอันสวยงามของนักเล่นเกมการเมืองจากพรรคเพื่อไทยกระโจนเข้ารุมยำอย่างมันมือ ซึ่งคงเป็นโอกาสที่พวกเขารอจังหวะมานานก็ได้ แม้แต่นายพานทองแท้ ชินวัตร ลูกชาย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ยังเข้าร่วมวงรุมถล่มอภิสิทธิ์อย่างมันมือเลย

แล้วจังหวะเหมาะสมก็มาถึง เมื่อ จตุพรเปิดประเด็นอภิสิทธิ์หนีทหารขึ้นเมื่อเดือนมกราคม 2553 แล้วนำไปสู่การฟ้องร้องถึงโรงถึงศาลในปัจจุบัน

> สู้เพื่อพิทักษ์ศักดิ์ศรี “ชายไทย”

อย่าว่าแต่คนทั่วบ้านเต็มเมืองมึนงงกับกรณีนำผลการสอบสวนเก่าๆ ตั้งแต่ปี 2542 มาเล่นงานอภิสิทธิ์หนีทหารเลย โดยเฉพาะ อภิสิทธิ์ยังงงกับเหตุการณ์ที่โผล่ ขึ้นมาชนิดสอดรับกับการดำเนินฟ้องหมิ่นประมาทนายจตุพรในชั้นศาลได้อย่างใดกัน แต่เขายังยืนกรานหนักแน่นเช่นเดิมว่า เขา เป็นอาจารย์โรงเรียนนายร้อย และกว่าจะได้ รับพระราชทานยศก็ต้องไปฝึกทหาร เหมือน กับหลักสูตรนักเรียนรักษาดินแดน (ร.ด.)

“แต่ตอนนี้มีการเปลี่ยนประเด็นว่า ใช้ เอกสารไม่ถูกต้อง ผิดหลักเกณฑ์ในการเข้า รับราชการในช่วงนั้น ซึ่งก็เคยชี้แจงในสภาไปแล้วและเคยแสดงเอกสารว่า มีชื่อในบัญชีผ่อนผันอยู่ ซึ่งเรื่องนี้ทางป.ป.ช. และกระทรวงกลาโหมยุคนั้นก็บอกว่าไม่ผิด”

แน่นอนต่างฝ่ายต่างกล่าวหากันไปมา แม้ทุกฝ่ายงัดเอกสารของจริงมาโชว์เพื่อพิสูจน์ความจริงก็ตาม แต่การกล่าวหาในทาง สาธารณะย่อมไม่มีข้อยุติ ยังแต่ทำให้ผู้คนปวดหัวมึนงงกับเรื่องไม่ใช่เรื่อง ที่ค่อนข้างดำเนินไปอย่างไร้สาระเช่นนี้ในทางสาธารณะและเจือปนด้วยเกม การเมืองนั้น นายศิริโชค โสภา ส.ส.ประชาธิปัตย์ คนใกล้ชิดของอภิสิทธิ์ ก็งัดเอาเอกสารการ “ผ่อนผันทหาร” ของจริง ที่เรียกว่า “สด.41 เลขที่ 4892/29” มาโชว์เพื่อตอบโต้ข้อกล่าวหา สำทับด้วยวาทะนักการเมืองที่ชอบประชดประชันถึงขั้น “เตรียมล้างเท้ารอให้อีกฝ่ายมากราบ”

แล้วเรื่องราวก็ดำเนินไปเรื่อยๆ ตาม ประสานักการเมืองที่ชอบคิดเกมมาตอบโต้หักล้างกัน หากได้อ่านเอกสารการสอบสวน เมื่อปี 2542 แล้ว จะปรากฏใบสำคัญ สด.41 เป็น “ใบแทน” ส่วนใบจริงไร้ร่องรอย สูญหายไม่มียืนยัน

อภิสิทธิ์คงเหลือทน เขาอยากปิดเกมที่รบกวนทั้งสมอง จิตใจ และทำให้เกิดอารมณ์ขุ่นมัวนี้อย่างยิ่ง เขาตัดสินใจจะยุติปัญหาด้วยการ “ฟ้องร้องหมิ่นประมาท” กับอีกหลายคน อันที่จริง เรื่องราวของอภิสิทธิ์กับเสี้ยว ชีวิตเกี่ยวข้องทางทหารจะเป็น “ลบเป็นบวก” เช่นใดก็ตาม แต่ในทางกฎหมายแล้ว ไม่มีผลต่อโทษทางคดีความ สำหรับทาง การเมืองมีข้อยกเว้น สามารถผุดเกมขึ้นมาเล่นกันได้ชั่วลูกชั่วหลาน

หากใครเป็นอภิสิทธิ์ และมาตกระกำกับเหตุการณ์ในอดีตที่ผ่านมาแล้ว กว่า 10 ปี ย่อมมีหัวอกไม่แตกต่างกันเลย โดยเฉพาะแฟนคลับและสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ที่ศรัทธาในตัวหัวหน้าพรรคหนุ่มหล่อคนนี้คงโกรธจนลมออกหู หน้าแดง อยากกระชากกำลังออกมาปิดเกมให้สิ้นเรื่องสิ้นราวกันไปเลย

แต่อภิสิทธิ์เขาเป็นนักเรียนนอก มีฐานะทางสังคม มีคนนับหน้าถือตา และมีศักดิ์ศรีอดีตนายกรัฐมนตรีค้ำคออยู่ คนมาก เกียรติภูมิอย่างนี้ เขาย่อมอยู่นิ่งเฉยไม่ได้ หนทางเดียวก็ต้องสู้ให้ถึงที่เพื่อรักษาความสง่างามของเกียรติภูมิเอาไว้ อีกไม่กี่วัน ศาลคงพิพากษาคดีหมิ่นประมาทระหว่างอภิสิทธิ์กับจตุพร และผลคำพิพากษาจะออกมาเช่นไรก็ตาม มันย่อมสะท้อนถึงเกียรติภูมิอันสง่างามของคนสองคนแน่นอน คนหนึ่ง เป็นอดีตนายกรัฐมนตรี เป็น หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และอนาคตมีโอกาสงามๆ ยิ่งที่จะหวนกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง ดังนั้นเกียรติภูมิแห่งมนุษย์ และความสง่างามในอนาคตการเมืองย่อมต้องมีและควรรักษาไว้ให้มั่นอีกคนคือ จตุพร เป็นอดีต ส.ส.คนสำคัญของพรรคเพื่อไทย เป็นแกนนำ นปช. ผู้สร้างประวัติศาสตร์การเมืองภาคประชาชน ที่เข้มแข็งและยิ่งใหญ่ เขามีโอกาสถึงขั้น “รัฐมนตรี” ในอนาคตอันใกล้ ด้วยเหตุนี้เกียรติภูมิและความสง่างามในตำแหน่งทาง การเมืองย่อมมีเช่นกัน

แต่ “พลทหารบัวลอย” คนบ้านนอก มีการศึกษาน้อย มีชีวิตอยู่ในสังคมติดดิน ผู้คนมองผ่านเหมือนชีวิตไร้ค่า แต่เขากลับมี เกียรติภูมิแห่งมนุษย์ และความสง่างามของ ความเป็นคนอยู่เต็มสายเลือดชายไทยที่กล้า ไปเป็นทหาร “บัวลอย” เป็นเพียงมนุษย์ในเสียงเพลงของวงคาราบาว แต่เรื่องราวเช่นนี้มีอยู่ในสังคมจริง และดาษดื่นในสังคมชนบทชีวิตคนอย่างบัวลอยมีค่าแห่งชายไทยและคงไม่ไปให้ใครพิสูจน์ ประทับรับรองว่า เป็นจริง เพราะชีวิตจริงไม่มีเอกสารใดมารับรองได้

ที่มา.สยามธุรกิจออนไลน์
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

สงครามที่มีคำตอบ

พันธมิตรประกาศจะชุมนุมใหญ่...หากพรรคเพื่อไทยไม่ถอนพระราชบัญญัติปรองดองออกจากสภา...ก็ไม่รูู้ว่าคำสั่งของพันธมิตรจะศักดิ์สิทธิ์แค่ไหน

เพราะที่คนทั่วไปเขาอยากจะเห็นในวันนี้นั้น...คือจำนวนผู้คนของพันธมิตรจะมาจากไหน..
สุ่มกันออกมาแต่ละครั้งสำรวจกันมากี่ที...สิ่งที่ประชาชนพลเมืองไทยต้องการในวันนี้...กลับเป็นเรื่องความสงบสุขของประเทศไทย

เขาอยากจะให้ประเทศของเขากลับไปเป็นเหมือนเก่า...ก่อนที่จะมีเรื่องราวหลากหลายเป็นไทยต่างสีไล่ตบตีกันไม่รู้วันเลิกราไม่รู้ว่าจะจบวันไหนไม่รู้ว่าฝ่ายใดจะเป็นฝ่ายชนะ
เขาอยากเห็นสิ่งที่น่าเคารพอยู่ในตำแหน่งที่น่าเคารพ...

เขาไม่อยากต้องหลับตาเวลาปิดประตูส้วมสาธารณะ...เพราะศิลาจารึกที่ปรากฎอยู่เบื้องหน้านั้นถึงจะจับใจความได้แต่ก็ไม่สมควรแก่การจดจำ

ดังนั้น พันธมิตรต้องใคร่ครวญอย่างหนักสำหรับการเคลื่อนไหวคราวนี้...เพราะจะไม่มีประชาชนคนไทยที่รักชาติรักประเทศ สนับสนุนฉากสงครามครั้งใหม่ที่พันธมิตรจะสร้างขึ้น...
พันธมิตรพลาดมาแล้วหลายครั้ง...สำหรับการประกาศระดมผู้คน...มีแค่กระหยิบมือเดียวแทบจะทุกครั้งพันธมิตรต้องเรียนรู้ว่า...ทำไม

หัวข้อของการต่อสู้ไม่จูงใจนั่นคงเป็นสาเหตุหนึ่ง
หลายๆ เหลืองได้ปรับเปลี่ยนตัวเองไปเป็นสีแดง
สิ่งที่พวกเขาต้องการ คือ ประชาธิปไตย
นายกรัฐมนตรีคนใหม่มาจากการเลือกตั้งที่ถูกต้องและชนะท่วมท้น

ประชาชนวันนี้ไม่ใช่สัตว์ไถ่นาที่เมื่อสนตะพายแล้วจะจูงจะดึงไปทางไหนก็ได้....ตรงกันข้ามเขาติดตามการเมืองอย่างเข็มข้นและไม่ปล่อยวาง....จนสามารถเข้าถึงเรื่องราวได้ว่า...
ตรงไหนทองแท้ตรงไหนทองชุบ

นั่นอธิบายได้ว่า...ทำไม อภิสิทธิ์. เวชชาชีวะ ถึงแทบจะปรากฎตัวในที่สาธารณะแทบจะไม่ได้...ทั้งในต่างจังหวัดและกรุงเทพมหานคร...จากการรวมตัวกันของประชาชนบีบคั้นเขา

พันธมิตรกำลังจะยืนตรงกันข้ามกับประชาชนส่วนใหญ่ที่ปรารถนาความปรองดองสมานฉันท์...นั่นอาจจะหมายความถึงวาระสุดท้ายของพันธมิตร...

จง ไตร่ตรองให้หนัก....เพราะวันหนึ่งข้างหน้า...กฎหมายปรองดองคงจะต้องเข้าสภา และผ่านออกมาแน่ๆ
สงครามที่พันธมิตรเอาออกมาขู่นั้น...บางที่มันอาจจะเป็นความฝันที่อีกฝ่ายก็รออยู่เช่นกัน...เพราะมันเป็นตอนจบที่มีคำตอบชัดเจนอยู่แล้วว่า...ใครคือฝ่ายชนะ

โดย.พญาไม้ทูเดย์,บางกอกทูเดย์
***********************************************************************************

วันจันทร์ที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

Speak ไทย ในอาเซียน !!?

โดย : วรุณรัตน์ คัทมาตย์

แม้ว่าวันนี้ภาษาไทยจะไม่ใช่ภาษากลางของประชาคมอาเซียน แต่ตัวเลขการเข้ามาเรียนภาษาไทยของคนอาเซียนที่เพิ่มมากขึ้นกว่าแต่ก่อน

สะท้อนว่าสมบัติของชาติชิ้นนี้ทำให้คนไทยมีที่ยืนในเวทีอาเซียนได้อย่างเต็มภาคภูมิ

"ก. -ะ กะ ก.-า กา ข. -ะ ขะ ข.-า ขา " เสียงฝึกอ่านภาษาไทยที่คนไทยทุกคนคุ้นเคยเป็นอย่างดีเมื่อครั้งยังเด็ก เสียงนั้นถูกเปล่งออกมาอีกครั้งแต่ทว่าแปร่งหูและไม่ใช่เสียงเด็กที่กำลังหัดพูดอ่านเขียน แต่มันออกมาจากปากของนักศึกษาต่างชาติ หรือจะพูดให้ถูกก็คือนักศึกษาเพื่อนบ้านของไทยที่วันนี้พวกเขาให้ความสนใจหันมาเรียนรู้ภาษาไทยกันมากขึ้น

ครั้งหนึ่งสังคมไทยถูกกระตุ้นให้ต้องขบคิดกันไม่น้อยเกี่ยวกับประเด็นของ 'ภาษาไทย' ว่าเมื่ออาเซียนรวมตัวเป็นประชาคมเดียวกันในอนาคตอันใกล้ ภาษาไทยอาจจะมีความสำคัญในเวทีอาเซียนถึงขั้นเป็นภาษากลางเลยทีเดียว ซึ่งข้อมูลนี้ไม่ได้กล่าวกันลอยๆ แต่อ้างอิงมาจากผลงานวิจัยของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เรื่อง "การเตรียมบุคลากรเพื่อรองรับการเปิดตลาดอาเซียน" ที่พบว่าภาษาไทยจะมีความสำคัญในการสื่อสารและการมีงานทำ และจะเป็นภาษากลางของกลุ่มประเทศอาเซียนเท่าเทียมกับภาษาอังกฤษ เพราะต่อไปประเทศไทยจะถือเป็นศูนย์กลางของอาเซียน มีการเปิดเสรีการศึกษา ทั้งยังศึกษาพบว่าประเทศเพื่อนบ้าน เช่น เวียดนาม ลาว เขมร และพม่า สนใจมาเรียนภาษาไทยมากขึ้นด้วย

ภาษาไทยกันเถอะ

หากมองในแง่ร้ายที่สุด ปฏิเสธไม่ได้ว่าสถานะของภาษาไทยตอนนี้กำลังถูกบั่นทอนความสำคัญลงไปเรื่อยๆ อาจเพราะความนิยมภาษาแบบใหม่ของวัยรุ่นสมัยนี้มักเป็นการพูดไทยปนอังกฤษปนเกาหลี การใช้ภาษาแชท ภาษาอีโมติคอล และภาษาสก๊อย ทำให้คำไทยบางคำไม่มีใครใช้กันอีกต่อไป หรือคนที่ใช้คำไทยๆ ก็กลายเป็น 'เชย' ไม่ทันกระแส Social Network

ขณะที่เรากำลังละทิ้งอัตลักษณ์บางอย่างของความเป็นคนไทย แต่อีกด้านหนึ่ง คนจากประเทศเพื่อนบ้านกลับเห็นความสำคัญของภาษาไทยและเดินทางเข้ามาศึกษากันมากขึ้น ไม่ใช่เพราะความเก๋ แต่เป็นการเตรียมตัวและเพิ่มพูนทักษะทางภาษาให้กับตัวเองก่อนที่ประชาคมอาเซียนจะมาถึงในอีก 2 ปีครึ่ง

"ได้รู้ภาษาอาเซียนเพิ่มอีก 1 ภาษาผมว่าก็ดีนะ อย่างน้อยก็มีทักษะดีกว่าคนที่ไม่ได้เรียน ผมรู้ภาษาไทยได้ลึกซึ้งกว่า เวลามีบทความหรือข่าวต่างๆ ก็อ่านได้เร็วกว่า มีประโยชน์ตรงนี้ รวมถึงเรื่องหน้าที่การงานถ้าองค์กรของเรามีความร่วมมือระหว่างไทย-ลาวแบบนี้จะมีผลดีแน่นอน เราจะมีเครดิตดีกว่าเพื่อน สามารถคุยประสานงานกับคนไทยได้" อรุณยเดช บุริยผล นิสิตชาวลาวที่เข้ามาเรียนต่อระดับปริญญาโทในไทยที่คณะวิศวกรรมไฟฟ้า มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เริ่มเล่าถึงความสำคัญของการเพิ่มทักษะทางภาษา

เขาเล่าอีกว่า เข้ามาเรียนโทโดยผ่านการสอบชิงทุนรัฐบาลไทย เมื่อสอบผ่านแล้วจากนั้นต้องมาเรียนภาษาไทยเพื่อปรับพื้นฐานเป็นเวลา 3 เดือนจึงจะสามารถเข้าเรียนในคณะที่เลือกไว้ได้ แต่การเรียนภาษาไทยในช่วงเวลาสั้นๆ สามารถพัฒนาทักษะการฟัง พูด และอ่าน อาจจะยังไม่เพียงพอสำหรับทักษะการเขียน แต่อย่างน้อยก็ทำให้เขาสื่อสารกับคนไทยได้ราบรื่นและมีประโยชน์ในการทำงานของตัวเอง

"ที่ลาวผมทำงานที่การไฟฟ้าครับ คือจบปริญญาตรีสาขาไฟฟ้าที่ลาวแล้วอยากเรียนต่อในสาขาเดิมเพื่อนำความรู้ไปใช้ในการทำงานก็เลยสอบชิงทุนมาเรียนต่อที่นี่ ปกติการไฟฟ้าของที่โน่นกับที่นี่ก็มีความร่วมมือด้วยกันอยู่แล้ว ถ้าจบไปแล้วเราได้ทำงานส่วนนั้นก็จะมีผลดีกับตัวเราขึ้นไปอีก และตัวภาษาไทยเองเป็นภาษาที่สวยงาม มีคำที่มีรากศัพท์และคนไทยยังใช้คำเหล่านี้ในชีวิตประจำวันอยู่ อย่างเช่นคำที่มาจากภาษาบาลีเมื่อได้อ่านก็ทำให้รู้ลึกลงไปว่ามีความหมายและมีที่มาอย่างไร ภาษาไทยมีเสน่ห์ตรงนี้ครับผมชอบเหมือนกัน เรียนสนุกดีครับ ทั่วไปมันก็คล้ายๆ กับภาษาลาวนะครับ แต่ว่ารายละเอียดไม่เหมือนเสียทีเดียว จะมีศัพท์ยากๆ มีพวกการันต์หรือวรรณยุกต์เข้ามาด้วย ซึ่งก็จะฝึกตัวเองโดยการดูสื่อต่างๆ ที่มาจากไทย เช่น ดูทีวี ฟังเพลงครับ"

นาคินฐร์ เหวียน ไกด์ชาวเวียดนามที่พูดภาษาไทยได้คล่องเหมือนเจ้าของภาษาบอกว่า เขาเลือกเข้ามาเรียนต่อระดับอุดมศึกษาในไทยก็เพื่อให้ตนเองมีโอกาสในการงานที่ดีขึ้น ความที่นาคินฐร์มีบริษัททัวร์ของตัวเองจึงอยากเรียนต่อที่ไทยในสายท่องเที่ยวโดยตรง ซึ่งเขาสามารถสอบชิงทุนเข้ามาเรียนที่คณะการท่องเที่ยวและการโรงแรม มหาวิทยาลัยมหาสารคาม จนสำเร็จการศึกษา แต่ก่อนจะเข้าเรียนก็ต้องเรียนปรับพื้นฐานความรู้ภาษาไทยก่อนเช่นกัน

"ตอนนี้คนเวียดนามมาเรียนเมืองไทยเยอะเลยครับ ในระดับปริญญาตรีนะ คือไม่ได้มาเรียนหลักสูตรภาษาไทยโดยตรงแต่มาเรียนในสาขาอื่น ซึ่งก่อนเข้าสาขาต้องไปเรียนที่คณมนุษยฯ เอกภาษาไทยก่อน 1 ปี ตอนนี้ก็ฟัง พูด อ่าน เขียน ได้แล้วครับ ถามว่ายากไหมมันก็ขึ้นอยู่กับวิธีการเรียนและโอกาสที่ได้เรียนด้วย คือถ้าคุณเรียนภาษาไทยที่เวียดนามจะแบบหนึ่ง แต่เรียนไทยที่เมืองไทยมันจะอีกแบบ มันจะคล่องตัวกว่าเพราะเราเจอคนไทย ได้คุยกับคนไทยทุกวันทำให้เรียนรู้ได้เร็ว"

อาชีพไกด์ ภาษาเป็นเรื่องสำคัญ นาคินฐร์บอกว่ายิ่งทำทัวร์ในเมืองไทยก็ต้องเรียนภาษาไทยเสริมทักษะให้ตนเอง เพื่อที่จะได้สื่อสารกับลูกค้าคนไทยได้ง่าย อย่างการทำทัวร์นอกจากจะฟังและพูดได้แล้ว บางครั้งเอเย่นส่งโปรแกรมทัวร์มาเป็นภาษาไทย เขาก็สามารถแปลเป็นภาษาเวียดนามส่งกลับไปได้

"การสื่อสารภาษาอื่นๆ ในอาเซียนได้มันก็ย่อมดีกว่า อนาคตอาเซียนกำลังจะเปิด ไม่ใช่แค่คนประเทศผมที่เรียนภาษาไทย คนชาติอื่นๆ ในอาเซียนก็เห็นว่าเขาเรียนเหมือนกัน และมองว่าประเทศไทยเองก็ต้องเรียนภาษาของเพื่อนบ้านด้วย ถ้าคุณอยากทำธุรกิจหรือติดต่อกับประเทศใดประเทศหนึ่งที่เป็นสมาชิกอาเซียน คุณก็ต้องเรียนภาษานั้นเพื่อที่จะได้สื่อสารได้ ถ้าคุณอยากทำธุรกิจกับเวียดนามคุณก็ต้องเรียนภาษาเวียดนามไว้บ้าง การเรียนภาษายิ่งรู้มากกว่าคนอื่นเราก็จะได้เปรียบคนอื่น"

ภาษาอาเซียน

ชาวลาว เวียดนาม พม่า และเขมรที่เข้ามาเรียนภาษาไทยกันเพิ่มขึ้น นั่นเป็นเพราะกลุ่มประเทศเหล่านี้มองเห็นโอกาสในการทำธุรกิจและลงทุนในไทย จึงต้องการที่จะใช้ภาษาไทยให้ได้คล่องขึ้น แต่อีกฟากหนึ่งของอาเซียนในกลุ่มประเทศอินโดนีเซีย มาเลเซีย สิงคโปร์ บรูไน และฟิลิปปินส์ พวกเขากลับใช้ภาษาอังกฤษ มาเลย์ และจีนเป็นหลัก ฉะนั้นหากจะบอกว่าภาษาไทยจะเป็นภาษากลางของอาเซียนเท่าเทียมภาษาอังกฤษ คงใช้ไม่ได้กับทุกมิติในประชาคม

แต่ถ้าเฉพาะเจาะจงลงไปในมิติของเศรษฐกิจหรือ AEC ที่กำลังจะมาก่อนมิติอื่นๆ เชื่อว่าในบรรดาภาษาที่ใช้ติดต่อสื่อสารทางธุรกิจต้องมีภาษาไทยติดโผอยู่อันดับต้นๆ แน่นอน ประเด็นนี้ มาโนช แตงตุ้ม หน่วยสนับสนุนวิชาการคณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร ให้ความเห็นว่า ภาษาไทยจะมีความสำคัญมากขึ้นในอาเซียน แต่อาจจะต้องควบคู่ไปกับภาษามาเลย์(มลายู) เนื่องจากในกลุ่มประเทศอาเซียนโซนข้างล่างที่เป็นมุสลิมเป็นกลุ่มที่ใช้ภาษามลายูเป็นภาษาราชการ

"ภาษาอาเซียนคิดว่าไม่น่าจะใช้ภาษาเดียวแน่ๆ ถ้าไม่นับภาษาอังกฤษนะครับ มองว่าภาษากลางอย่างน้อยน่าจะมีสองภาษาเป็นภาษาราชการร่วม โซนทางเหนืออาจจะใช้ภาษาไทย โซนทางใต้อาจจะเป็นภาษามลายู แต่เราก็ไม่ได้แบ่งเป็นคนละฟากละฝ่าย แค่แบ่งตามการใช้ภาษาของคนอาเซียน ตามวัฒนธรรม ประเพณี ศาสนา แต่แน่นอนว่ายังไงทุกชาติก็ต้องใช้ภาษาอังกฤษมาก่อน"

มาโนชบอกอีกว่า คนไทยจะต้องรู้ว่าต้องการจะติดต่อธุรกิจกับชาติใดก็ต้องขวนขวายเรียนรู้ภาษาของชาตินั้นๆให้มากขึ้น เพราะภาษาเป็นสะพานแรกที่จะเชื่อมไปสู่มิติต่างๆ ของเพื่อนบ้าน ขณะเดียวกันประเทศเพื่อนบ้านที่ต้องการทำธุรกิจกับเรานอกจากภาษาอังกฤษแล้ว แน่นอนว่าหากใช้ภาษาไทยได้ด้วยจะยิ่งดี และหากมองในแง่ดีการที่ภาษาไทยมีคนอาเซียนหันมาเรียนกันมากขึ้นก็เหมือนภาษาไทยเราได้โกอินเตอร์สู่เวทีอาเซียน ถือเป็นอัตลักษณ์ที่โดดเด่นของไทยที่ชาติอื่นให้การยอมรับ

"คุณได้ประโยชน์สองเด้ง ได้ทั้งภาษาได้ทั้งงาน คนไทยไม่ได้เรื่องมากอะไรหรอกครับ แต่ปัญหาคือภาษาอังกฤษเราอ่อน เราไม่สามารถติดต่อสื่อสารได้ดีเหมือนกับเจ้าของภาษาแน่ๆ แต่คนไทยเราเก่ง มีความพร้อมที่ประเทศสมาชิกจะเข้ามาลงทุน"

นอกจากนี้ รศ.ดร.สมพงษ์ จิตระดับ อาจารย์ประจำคณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ยังเพิ่มเติมถึงความสำคัญของภาษาไทยว่า อาเซียนรับรู้แล้วว่าประเทศไทยเป็น Hub ของภูมิภาค โดยเฉพาะในส่วนของ AEC เพราะฉะนั้นการเตรียมตัวส่งนักศึกษาอาเซียนเข้ามาเรียนภาษาไทยในบ้านเราจะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นแน่นอน เพื่อตอบโจทย์ประเด็นของการศึกษาที่อาเซียนทำร่วมกัน แต่หลักสูตรกระบวนการเรียนรู้ภาษาไทยนั้นไม่ใช่แค่เพื่อให้ฟัง พูด อ่าน เขียน แต่ต้องรู้เข้าไปถึงอุปนิสัย ความชอบ ไม่ชอบ ของคนไทยด้วย

"ตอนนี้เขามียุทธศาสตร์และการวางแผนกันแล้วนะครับ สิ่งที่เห็นชัดเจนมากเลยคือ การเรียนภาษาไทยของเขาไม่ใช่เรียนเพื่อให้รู้ภาษา เขายังเตรียมการในเรื่องของการลงทุน รู้ว่าลูกค้าคนไทยชอบสินค้าและบริการแบบไหน ใช้ภาษาไทยในการสื่อความหมายแบบไหน ทำให้การลงทุนประสบความสำเร็จ ฉะนั้นการเรียนภาษาไทยจึงเป็น Key หลักในการทำธุรกิจกับเรา"

อาจารย์คณะครุศาสตร์ยังประเมินอีกว่า ปัจจุบันนี้คนอาเซียนส่วนใหญ่หันมาเรียนภาษาไทยมากขึ้นถึง 60 -70 เปอร์เซ็นต์ โดยเฉพาะคนเวียดนามที่พบว่าเป็นชาติที่มาเรียนภาษาไทยมากที่สุด และเกือบทั้งหมดก็สามารถพูดฟังอ่านเขียนได้เก่งพอๆ กันเจ้าของภาษา นั่นแสดงให้เห็นถึงความตั้งใจ และเอาใจใส่ที่จะเรียนภาษาไทยเพื่อใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด แต่ขณะเดียวกันคนไทยเองกลับยังไม่แม่นภาษาแม่ อีกทั้งภาษาอื่นก็ยังศึกษาได้ไม่ทะลุปรุโปร่ง

"เขารู้ภาษาไทยเรามากขึ้นและรู้ดี แต่เด็กไทยเราไม่ใส่ใจภาษาไทยและยังไม่รู้ภาษาเพื่อนบ้าน ภาษาอังกฤษก็ไม่ดี อันนี้เป็นความเสี่ยงในอนาคตครับ คุณจะสู้เด็กต่างชาติในกลุ่มอาเซียนไม่ได้แล้ว ตอนนี้เด็กไทยก็ต้องเลิกฟุ้งซ่านที่จะเป็นซุปเปอร์สตาร์ ไม่ใช่อยู่กันแบบสนุกสนานไร้สาระ ผมพูดตรงๆ ควรจะต้องกลับมาเรียนรู้ข้อเท็จจริง เรียนรู้ภาษาเพื่อนบ้าน ไม่ Look down ภาษาเพื่อนบ้าน รู้จักภาษาไทยให้ดี แล้วก็เริ่มภาษาอังกฤษให้แม่น ถ้าคุณไม่เปลี่ยนแปลง ไม่เพิ่มเติมสิ่งที่เป็นสาระให้ชีวิตคุณ คุณจะกลายเป็นลูกจ้างกันเยอะ แต่เป็นผู้ประกอบการหรือเป็นผู้นำด้านเศรษฐกิจใน AEC ค่อนข้างยาก"

การเริ่มเตรียมตัวเองเพื่อให้พร้อมกับ AEC อาจยังไม่สายเกินไป แต่อาจารย์สมพงษ์แนะนำว่า เด็กไทยควรเปลี่ยนแปลงทัศนคติเกี่ยวกับภาษา แม้ว่าวันนี้คนอาเซียนจะพูดไทยได้มากขึ้น แต่คนไทยเองจะนิ่งเฉยไม่ได้ ต้องเป็นเจ้าของภาษาอย่างเต็มภาคภูมิและพยายามเพิ่มเติมทั้งภาษาอังกฤษ ภาษาคอมพิวเตอร์ และภาษาของเพื่อนบ้านให้ได้ ส่วนการปรับตัวอาจเริ่มได้จากข้อแรก มองความเป็นไทยของตัวเองให้ชัดเจน และต้องมีความเป็นสากลที่ดียิ่งขึ้น ข้อสอง ต้องเรียนรู้เรื่องอาเซียนไม่ใช่แค่เปลือก ไม่ใช่เรียนรู้เรื่องธง เรื่องสัญลักษณ์ หรือเครื่องแต่งกาย ต้องรู้ลึกเข้าไปถึงแต่ละประเทศว่าเขามีจุดแข็งจุดอ่อนอย่างไร

"และข้อสาม คนไทยต้องเลิกมีอคติกับภาษาอังกฤษและภาษาเพื่อนบ้านได้แล้ว เช่น บางคนคิดว่าคนไทยไม่เคยเป็นเมืองขึ้นก็เลยพูดอังกฤษไม่เก่ง หรือคิดว่าภาษาเพื่อนเป็นภาษาที่อ่อนกว่าเรา ด้อยกว่าเรา หรือดูว่าไม่เท่ อะไรเหล่านี้เราต้องปรับทัศนคติของตัวเองใหม่ ปรับได้ยิ่งเร็วยิ่งดี" อาจารย์สมพงษ์กล่าวทิ้งท้าย


ที่มา.กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

อับดุล ทำไมต้อง อดุลย์.

คณะกรรมการนโยบายตำรวจแห่งชาติ (ก.ต.ช.) มีมติให้ความเห็นชอบเป็นเอกฉันท์โดยไม่มีผู้ใดคัดค้าน (10 ต่อ 0) ตามข้อเสนอของนายกรัฐมนตรี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ให้ พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) อาวุโสลำดับที่ 3 ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติต่อจาก พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ซึ่งจะครบเกษียณอายุราชการในวันที่ 30 กันยายนนี้

การที่นายกรัฐมนตรีผู้มีอำนาจเสนอชื่อ พล.ต.อ.อดุลย์ข้ามอาวุโสลำดับที่ 1 และ 2 คือ พล.ต.อ.ปานศิริ ประภาวัต และ พล.ต.อ.ดร.วัชรพล ประสารราชกิจ นับเป็นการตัดสินใจทางการบริหารที่กฎหมายตำรวจ พ.ศ. 2547 ได้กำหนดให้ไว้ โดยไม่ต้องคำนึงถึงธรรมเนียมปฏิบัติที่สืบทอดมากว่า 30 ปี ที่ตำแหน่งผู้นำองค์กรตำรวจ ไม่ว่าจะมีฐานะเป็นกรมสังกัดกระทรวงมหาดไทยที่เรียกชื่อว่า “อธิบดีกรมตำรวจ” หรือเป็นสำนักงานตำรวจแห่งชาติ สังกัดขึ้นตรงต่อนายกรัฐมนตรี เรียกชื่อตำแหน่งว่า “ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ”

ผู้มีอำนาจเสนอชื่อจะคัดเลือกรองอธิบดีกรมตำรวจ หรือรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติที่มีอาวุโสสูงสุดในหน่วยงานเลื่อนขึ้นเป็นผู้นำองค์กร

มีครั้งเดียวที่นายกรัฐมนตรีชื่อนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้พยายามเสนอชื่อ พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ รอง ผบ.ตร. ที่มีอาวุโสต่ำกว่า พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี และ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ขึ้นเป็น ผบ.ตร. แต่คณะกรรมการนโยบายตำรวจแห่งชาติไม่ให้ความเห็นชอบถึง 2 ครั้ง จึงจำเป็นต้องรับราชการมาจนเกือบจะเกษียณอายุถึงได้เสนอชื่อ พล.ต.อ.วิเชียรให้ ก.ต.ช. มีมติเห็นชอบ

มีหลายคนตั้งข้อสังเกตว่า พล.ต.อ.วิเชียรอาวุโสต่ำกว่า พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ จะว่าไปแล้วความเห็นดังกล่าวก็ฟังได้ถ้าพิจารณาจากการเข้าสู่ตำแหน่งรอง ผบ.ตร. ซึ่งเป็นตำแหน่งหลักนั้น พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ดำรงตำแหน่งก่อน และก่อน พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส ด้วยซ้ำไป แต่ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ประสบวิบากกรรมจากการปฏิวัติรัฐประหารเมื่อ 19 กันยายน 2549 ถูกคณะปฏิวัติ (ชื่อยาวเหยียด) ออกคำสั่งให้ไปสังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี จนเป็นเหตุให้ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ยื่นฟ้องต่อศาลปกครองจนชนะคดีได้กลับมาเป็นรอง ผบ.ตร. อีกครั้งหนึ่ง

แต่จะว่าไปแล้วในอีกมุมหนึ่ง พล.ต.อ.วิเชียรได้ยศเป็น พล.ต.อ. ในตำแหน่งหัวหน้านายตำรวจราชสำนัก ซึ่งเทียบชั้นเดียวกับรอง ผบ.ตร. ก่อน พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ถ้านับตามลำดับอาวุโส มองในมุมนี้ พล.ต.อ.วิเชียรย่อมมีอาวุโสกว่า

ฉะนั้นเมื่อรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ย้าย พล.ต.อ.วิเชียรไปเป็นเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) จึงเป็นความชอบธรรมที่ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์จะขึ้นเป็น ผบ.ตร. ด้วยประการทั้งปวง

สำหรับกรณีของ พล.ต.อ.ปานศิริ ซึ่งมีอาวุโสสูงสุดในขณะนี้เมื่อเปรียบเทียบกับ พล.ต.อ.อดุลย์ ตามกฎหมายตำรวจว่าด้วยการพิจารณาเลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่งกำหนดหลักเกณฑ์ไว้ว่าให้ดูที่อาวุโส ประวัติการรับราชการ ผลการปฏิบัติงาน ความประพฤติ และความรู้ความสามารถ ประกอบกัน (ม.57) ทั้ง 2 คนแทบจะไม่มีอะไรแตกต่างกันเลย ที่เห็นได้ชัดก็คืออาวุโสและอายุราชการเท่านั้น พล.ต.อ.ปานศิริมีอาวุโสกว่าทั้งอายุราชการและอายุตัว ทั้งคู่เป็นนักเรียนนายร้อยตำรวจห่างกัน 1 รุ่น ไล่เรียงเลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่งเกือบทุกชั้นยศห่างกันเพียง 1 ปี จนกระทั่งถึงชั้นยศนายพลตำรวจ

ที่สำคัญคือทั้ง 2 คนเป็นนายตำรวจที่ผู้บังคับบัญชา เพื่อนร่วมงาน และผู้ใต้บังคับบัญชาให้การยอมรับในฝีไม้ลายมือ ความเฉลียวฉลาด ความมุ่งมั่นเพียรพยายามในงานที่มอบหมายให้รับผิดชอบ ตลอดจนความมีมนุษยสัมพันธ์ทั้งต่อบุคลากรในองค์กรและต่างองค์กร ไม่มีใครยิ่งหย่อนกว่ากัน

ถ้าจะว่าไปแล้วเมื่อพิจาณาถึงความสัมพันธ์สนิทสนมคุ้นเคยกับฝ่ายนโยบายและการเมือง พล.ต.อ.ปานศิริดูจะใกล้ชิดได้รับความไว้วางใจเหนือ พล.ต.อ.อดุลย์ด้วยซ้ำไป นอกจากรุ่นจะใกล้เคียงกับอดีตนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร แล้วยังมีโอกาสได้ตามไปศึกษาต่อต่างประเทศในมหาวิทยาลัย Eastern Kentucky University ด้วยกันอีก จึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไมเมื่อ พ.ต.ท.ดร.ทักษิณเป็นนายกรัฐมนตรีจึงเลือก พล.ต.อ.ปานศิริให้เป็น ผบช.ภ.1 ก่อนเปลี่ยนมาเป็นตำแหน่งที่ทรงอิทธิพลต่อรัฐบาลอย่างผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ความสามารถในการสอบสวนอยู่ในระดับเกรดเอบวก จึงได้รับมอบหมายให้เป็นหัวหน้าพนักงานสอบสวนในคดีสำคัญๆเกือบทุกคดี

มองคุณสมบัติของ พล.ต.อ.ปานศิริแล้วแทบไม่มีใครคาดคิดเลยว่าทำไมนายกรัฐมนตรีถึงต้องหยิบ พล.ต.อ.อดุลย์เข้ามาแทนที่แบบออกนอกกฎเกณฑ์ธรรมเนียมปฏิบัติ

ในฐานะที่ผมเป็นครูของทั้ง 2 คนที่เป็นคู่ Candidate ตำแหน่ง ผบ.ตร. รู้จักคุ้นเคย สนิทสนมใกล้ชิดเป็นอย่างมาก เคยใช้สอยไหว้วาน บังคับบัญชาทั้งคู่ ใช้งาน ได้งานละเอียด ผลงานไม่มีอะไรบกพร่อง รักทั้งพี่ เสียดายทั้งน้องถ้าจะต้องตัดสินใจเลือกคนใดคนหนึ่ง

สถานการณ์ทางการเมืองในขณะนี้ผมเชื่อว่าเป็นองค์ประกอบสำคัญที่ทำให้ผู้มีอำนาจเลือกตกลงใจในลักษณะที่มองการณ์ไกล 2 ปีในตำแหน่งกับ 1 ปี มีผลแตกต่างกันในเชิงบริหารงานมาก โดยเฉพาะการบังคับบัญชาในองค์กรตำรวจ นกกาจะเกาะต้นไม้ใดก็ต้องดูความยั่งยืนและผลิตผลของต้นไม้นั้นๆเป็นหลัก ถ้าเป็นต้นไม้ที่ร่มเงาอยู่ไม่คงทน คำว่า “นกรู้” จึงเกิดขึ้น จะบังคับบัญชาสั่งการใดๆ ถ้าผู้ใต้บังคับบัญชารู้ดีว่านายอยู่ได้สั้นๆ คำสั่งก็จะรับฟัง ส่วนการปฏิบัติจะให้เต็มร้อยคงไม่เป็นไปตามคาดหวัง

องค์กรตำรวจไทย 5 ปี เปลี่ยน ผบ.ตร. มาแล้ว 6 คน ความต่อเนื่องในการบริหารงาน สั่งการไม่มีเอกภาพ แทบจะกล่าวได้ว่าแต่ละคนทำงานเพื่อรักษาสถานภาพ การเลือก พล.ต.อ.อดุลย์ให้ทำงานอย่างน้อย 2 ปี จึงเท่ากับเป็นการเตือน (Warning) ให้ตำรวจทุกนายทราบว่าต่อไปนี้งานบริการ การรักษาความสงบเรียบร้อยและป้องกันปราบปรามอาชญากรรมต้องเดินหน้าจริงจัง เพราะกิตติศัพท์ของ พล.ต.อ.อดุลย์เป็นที่ทราบกันดีว่าจริงจัง เอาการเอางาน กัดไม่ปล่อย และทำงานอย่างเป็นระบบ คิด วางแผน ตัดสินใจอย่างทหาร เพราะเป็นนายตำรวจระดับสูงคนเดียวที่ให้ความสำคัญกับการใช้ฝ่ายอำนวยการ (เสนาธิการ) ดังจะเห็นได้จากรูปแบบการทำงานที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ทำให้การเก็บรวบรวมข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อการวินิจฉัยสั่งการเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ

นอกจากนั้น พล.ต.อ.อดุลย์เป็นนายตำรวจระดับสูงยศ พล.ต.อ. ที่ผ่านงานในสนามรบในฐานะนักรบ (จนได้เหรียญพิทักษ์เสรีชนชั้น 1 ประดับเปลวระเบิด เป็นเครื่องหมายประกันคุณภาพถึงความกล้าหาญ) นักปฏิบัติ และเป็นผู้เสนอแนะแนวปฏิบัติ (เสนาธิการ) ทุกตำแหน่งระดับหัวหน้างาน จึงครบเครื่องของความเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ที่รู้ทุกข์รู้สุขของประชาชนอย่างแท้จริง

ความเสียสละ กล้าหาญ ตั้งแต่เป็นนายตำรวจเด็กๆจนถึงสารวัตร มีผลงานจนได้รับการยกย่องเชิดชูเกียรติจากมูลนิธิธารน้ำใจให้เป็น “คนไทยตัวอย่าง”

สำคัญที่สุดก็คือ พล.ต.อ.อดุลย์เป็นที่ประจักษ์ว่าเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่ทำงาน โตมาทุกตำแหน่งโดยไม่เคยมีข้อครหาว่าวิ่งเต้นกับผู้ใดเลย?!

ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ศาล รธน.ฟ้องกราวรูด ส.ส.-แกนนำ นปช.ข้อหาขู่เข็ญ-ข่มขืนใจ !!?

ทีมโฆษกศาลรัฐธรรมนูญนัดชี้แจงส่งเจ้าหน้าที่แจ้งดำเนินคดีแกนนำเสื้อแดง แนวร่วมเสื้อแดง ส.ส.พรรคเพื่อไทย และบุคคลอื่นๆ ข้อหาข่มขืนใจเจ้าพนักงานให้ปฏิบัติการอันมิชอบด้วยหน้าที่ หรือให้ละเว้นการปฏิบัติการตามหน้าที่ โดยใช้กำลังประทุษร้าย หรือขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย และข้อหาอื่นๆอีกรวม 6 ข้อหา ระบุเป็นหน้าที่ต้องปกป้องตุลาการทุกคนไม่ให้ได้รับผลกระทบทั้งชีวิตส่วนตัวและการทำหน้าที่ ด้านฝ่ายกฎหมายพรรคประชาธิปัตย์จี้แกนนำเลิกชักชวนคนเสื้อแดงไปชุมนุมหน้าศาลอาญาในวันที่ 9 ส.ค. ที่ศาลจะชี้ขาดถอนประกันตัวแกนนำ อ้างทำรถติด ประชาชนเดือดร้อน

นายสมฤทธิ์ ไชยวงค์ โฆษกสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ กล่าวถึงกรณีที่นายเชาวนะ ไตรมาศ เลขาธิการสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ มอบหมายให้เจ้าหน้าที่สำนักงานไปแจ้งความดำเนินคดีกับกลุ่มบุคคลที่พูดจาดูหมิ่นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญว่า เป็นเรื่องจริง โดยนายเชาวนะมอบอำนาจให้เจ้าหน้าที่สำนักงานเข้าแจ้งความที่กองปราบปรามเพื่อดำเนินคดีกับนายยศวริศ ชูกล่อม หรือ “เจ๋ง ดอกจิก” แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) แดงทั้งแผ่นดิน และ จ.ส.ต.ประสิทธิ์ ไชยศรีษะ ส.ส.สุรินทร์ พรรคเพื่อไทย ในข้อหาดูหมิ่นเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่เป็นตุลาการ โดยการข่มขู่ทำให้ตุลาการเกิดความกลัวด้วยการปราศรัยโจมตีใส่ร้ายด้วยข้อความอันเป็นเท็จ อีกทั้งยังมีการบอกเบอร์โทรศัพท์ตุลาการให้ผู้สนับสนุนโทร.ไปก่อกวนและข่มขู่

นอกจากนี้ยังแจ้งความดำเนินคดีกับนายก่อแก้ว พิกุลทอง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย แกนนำคนเสื้อแดง ข้อหาข่มขืนใจเจ้าพนักงานให้ปฏิบัติการอันมิชอบด้วยหน้าที่ หรือให้ละเว้นการปฏิบัติการตามหน้าที่ โดยใช้กำลังประทุษร้าย หรือขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้ายด้วย

นายสมฤทธิ์กล่าวว่า สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญได้แจ้งความดำเนินคดีกับนายอนุรักษ์ เจนตวนิชย์ ที่ไปแจ้งความดำเนินคดีกับตุลาการศาลรัฐธรรมนูญในข้อหาแจ้งความเท็จต่อพนักงานสอบสวน และแจ้งความดำเนินคดีนายวุฒิพงศ์ กชธรรมคุณ หรือโกตี๋ นักจัดรายการวิทยุชุมชน และพวก ที่เดินทางมาเผาโลงจำลองตุลาการ 9 คน บริเวณหน้าสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ ข้อหาข่มขู่ในลักษณะทำให้เกิดความกลัว และมีการชูป้ายด่า ดูหมิ่นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ อีกทั้งยังมีการเผาโลง และยังไปแจ้งความดำเนินคดีกับตุลาการในข้อหาแจ้งความเท็จด้วย

“นอกจากข้อกล่าวหาที่กล่าวมาแล้ว สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญจะแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติมกับบุคคลอื่นๆอีก 6 ข้อหา โดยในวันที่ 30 ก.ค. นี้ทีมโฆษกศาลรัฐธรรมนูญจะแถลงรายละเอียดให้ทราบ”

นายสมฤทธิ์กล่าวว่า การดำเนินการครั้งนี้ไม่เกี่ยวข้องกับนายวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ ประธานศาลรัฐธรรมนูญ เพราะสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญมีหน้าที่ดูแลตุลาการทุกคนตามหน้าที่ เพื่อไม่ให้มีใครมาดำเนินการใดๆที่ส่งผลกระทบต่อตัวตุลาการศาลรัฐธรรมนูญหรือการปฏิบัติหน้าที่

นายราเมศ รัตนะเชวง ฝ่ายกฎหมายพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า คนเสื้อแดงไม่ควรไปรวมตัวกันเพื่อกดดันการทำงานของศาลที่จะไต่สวนเพื่อพิจารณาถอนประกันตัวแกนนำในวันที่ 9 ส.ค. นี้

“คนเสื้อแดงสามารถให้กำลังใจแกนนำอยู่ที่บ้านได้ ไม่จำเป็นต้องไปปิดล้อมศาล เพราะจะทำให้ประชาชนเดือดร้อน เนื่องจากการจราจรติดขัด และขอให้แกนนำทุกคนหยุดปลุกระดมมวลชนให้มารวมตัวกันที่หน้าศาล”

ที่มา.หนังสือพิมพ์โลกวันนี้
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันเสาร์ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

มันต่างกันจริงๆ ..!!!?

นับแต่ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เพราะมีชัยในการเลือกตั้งเมื่อวันที่ ๓ กรกฎาคมปีที่แล้วอย่างถล่มทะลาย
คุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก็ถูกพลพรรคประชาธิปัตย์กล่าวหาโจมตีไม่เว้นแต่ละวัน ตั้งแต่เรื่องขนาดไม้จิ้มฟันไปยันขนาดเรือรบ

แต่งตัวสวยไปเยือนต่างประเทศก็หาว่าไปเดินแฟชั่น
ได้รับเชิญจากรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ให้ไปปาฐกถาให้นักธุรกิจอเมริกันฟังที่เขมรก็ถูกหาว่าทำผิดมารยาทการทูต

พูดภาษาอังกฤษกับชาวต่างประเทศก็หาว่าพูดภาษาอังกฤษไม่ชัด ทั้งๆ ที่ฝรั่งมันฟังรู้เรื่อง
และอีกสารพัดสารเพที่ยกมาเล่นงาน แต่น้อยนิดหนึ่ง คุณยิ่งลักษณ์ ก็ไม่ได้ตอบโต้ ทำตัวยังกะเป็น พระเตมีย์ใบ้ เอาแต่ตั้งหน้าตั้งตาทำงานที่ประสพความสำเร็จเป็นอย่างดี

และดีกว่าที่พรรคประชาธิปัตย์ หรือคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ทำมาด้วยซ้ำไป
ผลงานหลังสุดก็เป็นเรื่องการประชุม กตช.เพื่อแต่งตั้งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติคนที่ ๙ ซึ่งปรากฎว่า...
ที่ประชุมลงมติเอกฉันท์ด้วยคะแนน ๑๐ ต่อ ๐ เลือก พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ขึ้นดำรงตำแหน่งแทน พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ซึ่งจะเกษียณในวันที่ ๓๐ กันยายน ศกนี้

ก่อนหน้านี้ ก็เป็นประธานประชุม กตช.ที่ลงมติ ๑๐ ต่อ ๐ เลือก พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดำรงตำแหน่ง ผบ.ตช.คนที่ ๘ แทนคนเดิมที่ถูกย้ายไปเป็นเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ

ในยุคที่ คุณอภิสิทธิ์ เป็นนายกรัฐมนตรีอยู่ ๓ ปีปรากฎว่า...เรียกประชุม กตช. เพื่อแต่งตั้ง ผบ.ตช.ไม่ได้แม้แต่คนเดียว

ประชุมคราใดก็ล้มเหลวครานั้น เพราะที่ประชุมไม่เห็นชอบกับคนที่นายกรัฐมนตรีเสนอแต่งตั้ง เลยต้องใช้วิธีให้นั่งรักษาการไปจนเกษียณอายุ

มันชี้ให้เห็นว่า..การบริหารจัดการ การเจรจาประนีประนอมระหว่างนายกรัฐมนตรีกับกรรมการ กตช.ทั้ง ๑๐ คนนั้น ใครมีภาวะผู้นำที่เหนือกว่ากัน

ระหว่างนายกรัฐมนตรีที่ตั้งรัฐบาลในค่ายทหารกับนายกรัฐมนตรีที่เป็นผู้หญิงคนแรกของประเทศ
นอกจากจะทำงานกับตำรวจได้ดีแล้ว คุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตรยังทำงานประสานกับบรรดาผู้บัญชาการเหล่าทัพได้เป็นอย่างดี

จนคนทั่วไปเริ่มมีความเชื่อมั่นว่า...คุณยิ่งลักษณ์น่าจะจบได้สวย และอาจจะเป็นนายกรัฐมนตรีอยู่ได้ถึงสองสมัย เพราะจนถึงบัดนี้ยังไม่มีข้อกล่าวที่ร้ายแรงใดๆ ต่อตัวคุณยิ่งลักษณ์เลย

แต่เมื่อมองไปทางคุณอภิสิทธิ์แล้วก็ต้องเป็นห่วง เพราะนอกจากคดี ๙๘ ศพที่อาจจะต้องไปขึ้นศาลอาญาระหว่างประเทศแล้ว ก็ยังมีคดีหนีทหารที่กระทรวงกลาโหมยืนยันว่า มีหลักฐานชัดแจ้งซะอีกอย่างหนึ่ง
ลองทายกันสิว่าชะตาชีวิตของคุณอภิสิทธิ์จะลงเอยแบบใด

โดย.ศรี อินทปันตี,บางกอกทูเดย์
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันศุกร์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ป.ป.ช.ถอดถอน สุเทพ.ใช้อำนาจแทรกแซงผิดกฎหมาย !!?

ป.ป.ช.มีมติส่งเรื่องให้วุฒิสภาลงมติถอดถอน “สุเทพ” ออกจากตำแหน่งฐานใช้อำนาจสมัยเป็นรองนายกรัฐมนตรีแทรกแซงส่งส.ส.ไปทำงานในกระทรวงวัฒนธรรมเพื่อผลประโยชน์ด้านคะแนนเสียงของพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเป็นการทำผิดรัฐธรรมนูญชัดเจน “อภิสิทธิ์” รอดหลังสอบไม่พบข้อมูลหลักฐานว่าเกี่ยวข้องให้ยกคำร้อง

นายกล้านรงค์ จันทิก กรรมการและโฆษกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) แถลงว่า ที่ประชุมคณะกรรมการป.ป.ช.มีมติให้ส่งเรื่องให้วุฒิสภาพิจารณาถอดถอนนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ส.ส.สุราษฎร์ธานี พรรคประชาธิปัตย์ ออกจากตำแหน่ง ซึ่งจะมีผลให้ถูกตัดสิทธิทางการเมือง 5 ปี

ทั้งนี้สืบเนื่องจากมาที่นายสุเทพใช้อำนาจหน้าที่สมัยดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี ส่งส.ส.และบุคคลรวม 19 คนไปช่วยราชการกระทรวงวัฒนธรรม ถือเป็นการใช้ตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีก้าวก่ายหรือแทรกแซงการปฏิบัติราชการของกระทรวงวัฒนธรรม เพื่อประโยชน์ของตนเอง ส.ส. และพรรคประชาธิปัตย์ ในด้านคะแนนเสียง อันเป็นการต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 268 ประกอบมาตรา 266 (1) จึงต้องส่งเรื่องให้วุฒิสภาลงมติถอดถอน

ส่วนข้อกล่าวหาที่มีต่อนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีในขณะนั้นผลการสอบสวนไม่พบข้อมูลหลักฐานว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องดังกล่าวจึงให้ยกคำร้อง

ที่มา.หนังสือพิมพ์โลกวันนี้
--------------------------------------------------------------------------------

ประชาธิปัตย์อวยพรวันเกิด ทักษิณ !!!?

รองโฆษก ปชป. วอนให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ดลใจ "ทักษิณ" เคารพกฎหมายบ้านเมือง "อภิสิทธิ์" แนะทักษิณยึดประโยชน์ส่วนรวม แล้วจะมีทางออกชีวิต โอดเป็นไปได้อย่างไรที่ผู้บังคับบัญชาสูงสุดของตำรวจไปหาคนที่มีหมายจับอยู่

รองโฆษก ปชป. อวยพรวันเกิดให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ดลใจ "ทักษิณ" เคารพกฎหมายบ้านเมือง

กรณีที่เมื่อวานนี้ (26 ก.ค.) พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้วิดีโอลิงก์กล่าวขอบคุณครอบครัว และสมาชิกพรรคเพื่อไทย ในการสร้างห้องสมุดพรรคเพื่อไทย และขอบคุณทุกคนที่อวยพรวันเกิดนั้น เว็บไซต์พรรคประชาธิปัตย์ รายงานว่า นายราเมศ รัตนะเชวง รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ก็ต้องขออวยพรให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้กลับประเทศ ในเร็ววัน ขอให้มีจิตใจที่สงบ ยอมรับความเป็นจริงที่เกิดขึ้น ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิช่วยดลบัลดาลใจให้ยอมรับในกระบวนการยุติธรรม เคารพกฎหมายบ้านเมือง ซึ่งจะทำให้เกิดความสงบทั้งตัวคุณทักษิณเอง และประเทศไทย

นายราเมศ กล่าวต่อว่า ส่วนกรณีที่พ.ต.ท.ทักษิณ ยังกล่าวเชิญชวนให้พรรคประชาธิปัตย์ใช้ห้องสมุดที่พรรคเพื่อไทยนั้น อยากเรียนว่าต้องขอบคุณแต่เราคงไม่ไปใช้ห้องสมุดดังกล่าว เพราะพรรคประชาธิปัตย์ก็มีตำรามากมาย อาจจะมีห้องสมุดที่ไม่ใหญ่โตมากนักเหมือนของคุณทักษิณ แต่ห้องสมุดพรรคประชาธิปัตย์มีหนังสือที่ดี ไม่มีหนังสือที่จะสอนให้คนมีความรู้ในการโกงอย่างไร ไม่มีหนังสือที่สอนให้เผาบ้านเผาเมืองอย่างไร เพราะปัจจุบันความวุ่นวายในบ้านเมืองก็เกิดจากคนที่ประพฤติตนแบบนี้ การที่คนไม่มีความรู้เป็นสิ่งที่ดีที่ส่งเสริมเพิ่มความรู้ แต่การเป็นคนดีย่อมสำคัญไม่น้อยไปกว่ากัน เพราะบางครั้งคนที่มีความรู้ระดับ ดร. ใช้ความรู้ในการโกงบ้านโกงเมือง ชอบทำในสิ่งที่ผิดกฎหมาย ก็มีให้เห็นอยู่ในสังคมไทย ฉะนั้นพรรคประชาธิปัตย์คงไม่ไปใช้ห้องสมุดแห่งนี้แน่นอน

อภิสิทธิ์แนะทักษิณยึดประโยชน์ส่วนรวม แล้วจะมีทางออกชีวิต

ส่วนนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ส.ส. และหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เมื่อวานนี้ได้ให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ในรายการ 101 องศาข่าว ทางสถานีวิทยุ 101 โดยช่วงหนึ่งนายอภิสิทธิ์ได้อวยพรให้ทักษิณว่า “ก็วันเกิดก็ขอให้ปีนี้ได้คิดได้นะครับว่า ชีวิตจะมีความสุข ก็น่าที่จะต้องละวางประโยชน์ส่วนตน แล้วก็ยึดประโยชน์ส่วนรวม แล้วก็มันอาจจะมีทางออกสำหรับชีวิตของคุณทักษิณได้ครับ”

เมื่อผู้ดำเนินรายการถามว่า รู้สึกข้องใจในเรื่องที่ พล.ต.อ. เพรียวพันธ์ ดามาพงษ์ บินไปพบ พ.ต.ท.ทักษิณ หรือไม่ นายอภิสิทธิ์ตอบว่า “มันคงไม่ใช่ความข้องใจหรอกครับ แต่มันต้องบอกว่า มันเป็นไปได้อย่างไรที่หัวหน้าของตำรวจ ผู้บังคับบัญชาสูงสุดของตำรวจไปหาคนที่มีหมายจับอยู่”

ผู้ดำเนินรายการถามว่า "ไม่ได้มองว่าเขาเป็นญาติกัน" นายอภิสิทธิ์ตอบว่า "ผมไม่ปฏิเสธครับ ความเป็นญาติกัน จำเป็นจะต้อง หรือความผูกพันอะไร ผมไม่ว่า แต่ว่าเมื่อคุณดำรงตำแหน่ง คุณสวมหมวก 2 ใบ ตรงนี้ครับ คุณต้องเอาหน้าที่การงานแล้วก็สถานะของส่วนรวมมาก่อน ไม่ใช่เรื่องของส่วนตัวมาก่อน มันก็ไม่เหมาะสมแน่นอนครับ”

นายอภิสิทธิ์กล่าวถึงกรณีที่มีคนไปพบทักษิณในช่วงวันเกิดด้วยว่า “ไม่เป็นไรหรอกครับ คือคนผูกพันกัน จะไปหากันวันเกิดก็ไม่ว่ากันนะครับ แต่อย่างที่บอกก็ต้องดูสถานะว่าเป็นอย่างไร เพราะว่ามันก็มีประมวลจริยธรรม มีกฎต่าง ๆ กำกับอยู่เกี่ยวกับบุคคลซึ่งหลบหนีความผิดกฎหมาย เพราะฉะนั้นอันนี้ก็เป็นประเด็นหนึ่ง ส่วนเป็นประเด็นที่ว่าจะแทรกแซงการเมือง ก็รู้ๆ กันอยู่นะครับ ไม่รู้จะวิจารณ์กันไปอีกทำไม ผมถึงบอกว่า สำคัญมากกว่า คือมาช่วยกันยึดประโยชน์ส่วนรวมดีกว่า”

ขณะที่เมื่อผู้ดำเนินรายการถามว่าในสัปดาห์หน้า วางแผนฉลองวันเกิดให้ตัวเองหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ตอบว่า “ไม่มีอะไรเป็นพิเศษหรอกครับ ก็อายุเพิ่มมากขึ้นนะครับ”

ที่มา.ประชาไท
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ชูศักดิ์แนะแก้ม. 68 ก่อนเดินหน้าแก้รธน.ทั้งฉบับ !!?

นายชูศักดิ์ ศิรินิล ที่ปรึกษาฝ่ายกฎหมายของพรรคเพื่อไทย เปิดเผยว่า แนวทางของพรรคยังต้องการให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ เพราะเป็นนโยบายที่แถลงไว้ต่อสภา ซึ่งแนวทางที่จะทำให้การแก้ไขทั้งฉบับสามารถทำได้ ต้องมีการเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญในบางประเด็นที่เป็นอุปสรรคก่อน เช่น มาตรา 68 โดยระบุให้ชัดเจนว่ากำหนดเวลาให้อัยการสูงสุดวินิจฉัยกี่วันก่อนยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญ แต่ห้ามผู้ทราบการกระทำยื่นโดยตรงต่อศาลรัฐธรรมนูญ

แต่ประเมินแล้วว่าการลงมติในวาระ 3 ขณะนี้ยังมีความล่อแหลมและอาจดำเนินการลำบาก เพราะขนาดยังไม่มีการลงมติศาลยังเปิดช่องออกคำสั่งให้มีการชะลอการลงมติได้ และเชื่อว่าหากลงมติจริงเสียงของ สส.และสว.จะเกิดความไม่มั่นใจว่าหากลงมติแล้วจะแก้รัฐธรรมนูญได้สำเร็จหรือไม่ ดังนั้นเห็นว่าไม่สามารถลงมติวาระ 3 ได้ทันที แต่ระหว่างนี้รัฐบาลควรเร่งรณรงค์ทำความเข้าใจให้ประชาชนเห็นว่าเหตุใดจึงควรแก้รัฐธรรมนูญปี 50 ทั้งฉบับ

ขณะที่การแก้ไขรายมาตรานั้น กระบวนการต้องใช้ระยะเวลานานมาก ประกอบกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญแต่ละมาตรานั้นมีความเกี่ยวโยงกับมาตราอื่นในรัฐธรรมนูญด้วย ดังนั้นควรแก้เป็นพลวัตคือแก้ทั้งฉบับจะดำเนินการง่ายกว่าและเป็นไปตามนโยบายที่พรรคเคยแถลงไว้ด้วย

ด้านนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงแนวทางการแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 291 ว่า เชื่อว่าคำวินิจฉัยกลางของศาลรัฐธรรมนูญที่จะออกมานั้นตรงกับคำแถลงเมื่อวันที่ 13 ก.ค. แต่จะมีรายละเอียดชัดเจนสมบูรณ์ยิ่งขึ้น แต่ไม่ทราบว่าคำวินิจฉัยกลางที่ออกมาจะมีความชัดเจนเรื่องการลงมติในวาระ 3 รวมทั้งคำแนะนำเรื่องการทำประชามติหรือไม่ หากไม่มีความชัดเจนออกมาการแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับก็คงเป็นหมัน เพราะไม่ได้ปลดล็อคเรื่องการแก้รัฐธรรมนูญ หวังว่าคำวินิจฉัยกลางที่ออกมาจะมีความชัดเจน หรือว่าอาจจะชัดเจนแบบไม่ชัดเจนหรือไม่

"เท่าที่ฟังนั้นเห็นด้วยกับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ระบุว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 291 ไม่ใช่การล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตย"อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าว

ทั้งนี้ ส่วนตัวแล้วมองว่า ทางออกที่ปลอดภัยและเหมาะสมที่สุดคือ การแก้ไขเป็นรายมาตรา โดยให้ครม.หรือสมาชิกรัฐสภาเป็นผู้เสนอขอแก้ไข แม้ว่าจะช้าเพราะถูกฝ่ายค้านแปรญัตติยืดเยื้อจนใช้เวลานาน แต่ไม่ถือเป็นการผิดสัญญาเรื่องการไม่ทำตามนโยบายที่ได้หาเสียงไว้ เพราะรัฐบาลได้เดินหน้าทำอย่างเต็มที่แล้ว และไม่อยากให้เกิดความวุ่นวายหรือนองเลือดขึ้นอีก จึงเป็นเรื่องสุดวิสัยที่ไม่สามารถกระทำตามนโยบายรัฐบาลได้ จึงไม่ถือเป็นการผิดสัญญา

ที่มา.หนังสือพิมพ์โลกวันนี้
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันพฤหัสบดีที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ป.ป.ช.ตั้งอนุกรรมการ 13 ชุด แยกสอบจีที 200 - อัลฟา 6.

นายวิชา มหาคุณ กรรมการป.ป.ช. เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 24 ก.ค.ที่ผ่านมา คณะกรรมการป.ป.ช.ได้มติให้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวนข้อเท็จจริงคดีตรวจสอบกรณีการทุจริตจัดซื้อเครื่องตรวจวัตถุต้องสงสัย จีที 200 และอัลฟา 6 ภายหลังที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ได้สรุปส่งสำนวนการสอบสวนมาให้สำนักไต่สวนคดีทุจริตภาครัฐ ป.ป.ช. ตั้งแต่วันที่ 8 เม.ย.54 เลขที่ ยธ.0800/10 ซึ่งดีเอสไอสรุปผลการสืบสวนสอบสวน ภายหลังมีผู้ร้องทุกข์กล่าวโทษให้ดีเอสไอตรวจสอบตั้งแต่ ปี 53 ซึ่งผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงเบื้องต้นพบว่า เจ้าหน้าที่รัฐปฎิบัติหน้าที่โดยมิชอบ หรือละเว้นการปฎิบัติหน้าที่ในการจัดซื้อเครื่องตรวจวัตถุต้องสงสัยทั้ง 2 ประเภท ทั้งการจัดซื้อในราคาแพงเกินจริง และฮั้วประมูล ซึ่งตามระเบียบราชพัสดุของสำนักนายกฯการจัดซื้อเครื่องมือใดๆจะต้องไม่แพงเกินความจำเป็น นอกจากนี้ยังไม่ได้มีการกำหนดราคากลาง แต่กลายเป็นแต่ละหน่วยงานต่างคนต่างจัดซื้อกันเอง

นายวิชา กล่าวอีกว่า หนังสือของดีเอสไอยังได้แยกประเด็นระบุถึง 13 หน่วยงานของภาครัฐ ที่มีการจัดซื้อเครื่องตรวจวัดวัตถุระเบิดดังกล่าว ประกอบด้วย กรมการปกครองที่ได้มีการจัดซื้อเครื่องอัลฟา 6 จำนวน 63 เครื่อง จังหวัดยะลา จัดซื้อเครื่องอัลฟา 6 จำนวน 17 ชุด เทศบาลนครภูเก็ต จัดซื้อเครื่องอัลฟา 6 จำนวน 2 เครื่อง จังหวัดพิษณุโลก 1 เครื่องและเป็นการจัดซื้อด้วยวิธีพิเศษ สถานีตำรวจภูธร จ.ชัยนาท จัดซื้อเครื่องจีที 200 จำนวน 1 ชุด กรมศุลากรจัดซื้อเครื่องจีที 200 จำนวน 6 เครื่อง กรมสรรพาวุธ จัดซื้อเครื่องจีที 200 จำนวน 757 เครื่อง ศูนย์รักษาความปลอดภัย(ศรภ.)จัดซื้อเครื่องอัลฟา 6 จำนวน 8 เครื่อง สำนักป้องกันและปราบปรามยาเสพติด(ป.ป.ส.) จัดซื้อเครื่องอัลฟา 6 จำนวน 10 เครื่อง และต่อมาภายหลังได้มีการจัดซื้อเครื่องมือดังกล่าวเพิ่มอีก 5 เครื่อง สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ได้ทยอยจัดซื้อเครื่องมือจีที 200 จำนวน 7 เครื่อง และต่อมาได้มีการจัดซื้อเครื่องอัลฟา 6 อีก 2 เครื่อง สถานีตำรวจภูธรจังหวัดสิงห์บุรีจัดซื้อจีที 200 จำนวน 2 เครื่อง รวมงบประมาณที่หน่วยงานรัฐได้ใช้ในการจัดซื้อเครื่องมือทั้งสองประเภทจำนวน 683 ล้านบาท

กรรมการป.ป.ช. กล่าวอีกว่า คณะกรรมการป.ป.ช.มีความเห็นว่า หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการจัดซื้อเครื่องมือดังกล่าวมีถึง 13 หน่วย ดังนั้นจึงต้องมีการตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อตรวจสอบในแต่ละหน่วยงานจำนวน 13 ชุด เพื่อเร่งรัดให้มีการทำคดีอย่างต่อเนื่อง เพราะถือเป็นคดีใหญ่และมีมูลค่าความเสียหายจำนวนมาก โดยในวันที่ 26 ก.ค. นี้ กรรมการป.ป.ช.จะนัดหารือเพื่อพิจารณาว่า จะมอบหมายให้ใครจะรับผิดชอบเรื่องใดบ้าง หรืออาจมีความเป็นไปได้ว่ากรรมการป.ป.ช.ชุดใหญ่จะรับไว้พิจารณาเอง นอกจากนี้ป.ป.ช.ต้องขอข้อมูลจากประเทศอังกฤษ เนื่องจากอัยการประเทศอังกฤษได้ดำเนินคดีกับนายจิม แมกคอร์มิก เจ้าของธุรกิจเครื่องมือตรวจดักระเบิดจีที 200 เพื่อนำรายละเอียดมาประกอบการพิจารณาไต่สวนคดีต่อไป

นายวิชา กล่าวต่อว่า ส่วนการตรวจสอบการจัดซื้อเครื่องตรวจวัตถุระเบิดจีที 200 นั้น เบื้องต้นป.ป.ช.ได้รับข้อมูลการตรวจสอบจากสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ที่ได้ส่งผลการตรวจสอบการจัดซื้อเครื่องมือดังกล่าวของสำนักนิติวิทยาศาสตร์ กระทรวงยุติธรรมมาให้แล้ว แต่กรรมการฯยังไม่ได้ดูรายละเอียดดังกล่าวว่าเป็นอย่างไร และหากมติที่ประชุมเห็นว่าควรจะให้รวมเป็นเรื่องใหญ่เรื่องเดียวกับสำนวนที่ดีเอสไอสรุปส่งมาให้ก็คงต้องรวม

ที่มา.เนชั่น
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันพุธที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ไทย-พม่า ควงแขน สู้เศรษฐกิจโลก !!?

หงส์สีทอง ถูกแกะสลักอย่างสวยงามตั้งตระหง่านหันหน้าเข้าหารูปปั้นยักษ์บริเวณด้านหน้าทางเข้าอาคารศูนย์เศรษฐกิจการลงทุนภาคที่ 4 นิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบัง ซึ่งเป็นสัญลักษณ์การ หันหน้าเข้าหากันระหว่างไทยกับพม่า
เพื่อร่วมมือด้านโลจิสติกส์รองรับการเชื่อมโยงกับภูมิภาค ในโอกาสที่ “นายเต็ง เส่ง” ประธานาธิบดีสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียน์มาร์เดินทางตรวจเยี่ยมชมท่าเรือน้ำลึกแหลมฉบัง

“นายเต็ง เส่ง” เดินทางถึงอาคารศูนย์เศรษฐกิจการลงทุนภาคที่ 4 เวลาประมาณ 15.15 น.โดยมีม.ร.ว.พงศ์สวัสดิ์ สวัสดิวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม และนายจาตุพงศ์ เรืองสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม และคณะ ให้การต้อนรับหลังจากเป็นเจ้าภาพเลี้ยงอาหารกลางวัน ที่โรงแรมแมนดาริน โอเรียนเต็ล โดยได้รับฟังการบรรยายสรุปการเชื่อมโยงภายในภูมิภาค โดยเฉพาะการเชื่อมโยงท่าเรือน้ำลึกทวายกับพื้นที่พัฒนาเศรษฐกิจภาคตะวันออก (อีสเทิร์น ซีบอร์ด) และท่าเรือน้ำลึกแหลมฉบัง การส่งเสริมการลงทุน การพัฒนาและบริหารจัดการพื้นที่พัฒนาเศรษฐกิจภาคตะวันออก

นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เปิดเผยว่า การเชื่อมโยงท่าเรือน้ำลึกทวาย-ท่าเรือน้ำลึกแหลมฉบัง เป็นมิติใหม่ด้านการค้าการลงทุนของไทย เชื่อว่าจะสามารถลดสัดส่วนต้นทุนระบบขนส่งที่ปัจจุบันอยู่ที่ 15% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ลงได้ รวมถึงช่วยร่นระยะเวลาการขนส่งจากฝั่งจะวันออกที่อ่าวไทย ซึ่งมีสินค้าจากจีน ญี่ปุ่น เกาหลีกระจายไปฝั่งตะวันตกไม่ว่าจะเป็นอินเดีย ตะวันออกกกลาง แอฟริกา และยุโรป ได้ครึ่งหนึ่ง ก็จะเป็นประโยชน์โดยเฉพาะอุตสาหกรรมต้นน้ำ เช่น อุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์ อาหาร และน้ำตาล

และเพื่อรองรับการเชื่อมโยงระหว่างท่าเรือน้ำลึกทวายกับท่าเรือน้ำลึกแหลมฉบัง ได้เตรียมแผนก่อสร้างมอเตอร์เวย์ช่วงบางใหญ่-กาญจนบุรี ระยะทาง 96 กิโลเมตร และช่วงกาญจนบุรี-พุน้ำร้อน ระยะทาง 70 กิโลเมตร ไว้รองรับแล้ว รวมถึงเส้นทางรถไฟ นิคมอุตสาหกรรม และเขตเศรษฐกิจชายแดนด้วย

“มอเตอร์เวย์สายบางใหญ่-กาญจนบุรี ออกแบบเสร็จแล้วอยู่ระหว่างการรอเวนคืนที่ถ้าแล้วเสร็จก็จะเปิดประมูลได้ทันทีด้วยวิธี PPP จากนั้นก็จะเริ่มก่อสร้างสายกาญจนบุรี-พุน้ำร้อน เป็นลำดับต่อไป” นายศิลปชัย จารุเกษมรัตนะ ปลัดกระทรวงคมนาคม กล่าว

ด้านนายวีรพงศ์ ไชยเพิ่ม ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) กล่าวว่า ประธานาธิบดี เต็ง เส่ง และคณะตรวจเยี่ยมท่าเรือแหลมฉบังเพื่อสำรวจความพร้อมของระบบขนส่ง เตรียมผลักดันการเชื่อมต่อระหว่างท่าเรือทวายในพม่ากับท่าเรือแหลมฉบังให้เป็นรูปธรรมโดยเร็ว สำหรับกนอ.อยู่ระหว่างศึกษานิคมอุตสาหกรรมพุน้ำร้อน จังหวัดกาญจนบุรี เพื่อรองรับการเปิดท่าเรือน้ำลึกทวาย คาดว่าจะได้ข้อสรุปภายใน 1-2 เดือน

นายอรรชกา สีบุญเรือง เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน กล่าวว่า การเดินทางมาท่าเรือแหลมฉบังของคณะประธานาธิบดีเต็ง เส่ง ครั้งนี้ เพื่อร่วมมือการส่งเสริมการลงทุนเพื่อพัฒนาท่าเรือน้ำลึกทวาย ซึ่งจะมีการร่วมกันพัฒนาและกระตุ้นนักลงทุนไทยและนักลงทุนจากต่างประเทศเข้าไปลงทุนที่ท่าเรือน้ำลึกทวาย สำหรับนักลงทุนมีความสนใจไปลงทุนที่พม่าจำนวนมาก โดยเดือนมิถุนายน ที่ผ่านมา มีนักลงทุนเข้าไปจับคู่ธุรกิจในย่างกุ้ง จำนวน 100 ราย และในเดือนกรกฎาคม นี้ก็จะมีบริษัทคนไทย 50 แห่งเข้าไปย่างกุ้ง ดังนั้น เพื่ออำนวยความสะดวกนักลงทุนไทยทางบีโอไอมีแผนจะเข้าไปตั้งสำนักงานบีโอไอที่ย่างกุ้งในเร็วๆ นี้

ภายหลังการเดินทางไปหอบังคับการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง “นายเต็ง เส่ง” ได้ให้ความสนใจท่าเรือน้ำลึกแหลมฉบังมาก โดยได้สอบถามถึงรูปแบบการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ซึ่งสามารถเอาไปเป็นตัวอย่างการพัฒนาท่าเรือน้ำลึกทวายได้ส่วนหนึ่ง รวมถึงการพัฒนาและบริหารจัดการพื้นที่พัฒนาเศรษฐกิจพื้นที่ชายฝั่งตะวันออก หรือ อิสเทิร์น ซีบอร์ด ที่มีการลงทุนอุตสาหกรรมต่างๆ ของ 7 นิคมอุตสาหกรรม การตัดถนน และเส้นทางรถไฟ จะต้องพัฒนาควบคู่กันไป

จากนี้ไปต้องจับตาการจับมือเดินไปพร้อมกันระหว่างไทยกับพม่า ภายหลัง “เต็ง เส่ง” เข้าพบน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้หารือขยายความร่วมมือด้านพลังงาน การพัฒนาท่าเรือน้ำลึกทวาย เส้นทางคมนาคมเชื่อมต่อระหว่างอีสเทิร์น ซีบอร์ดกับเวสต์เทิร์น ซีบอร์ด เพื่อก้าวไปสู่สะพานเศรษฐกิจ และศูนย์กลางเศรษฐกิจแห่งใหม่ของโลก

ที่มา.สยามธุรกิจออนไลน์
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ไขทางออก : วิกฤติ รธน. ประชามติ ดับไฟการเมือง !!?

วาระร้อน!! ว่าด้วย “ศึกแก้รัฐธรรมนูญ” ดูท่าจะ ยืดเยื้อและบานปลาย หลังฝ่ายผู้ถูกร้องเริ่มออกอาการงัดข้อ กันเอง จนกลายเป็น “วิวาทะ” ระหว่าง “ขุมข่ายอำนาจรัฐ” กับ “ฝ่ายนิติบัญญัติ” ซึ่งต่างมีปม ปัญหาขัดแย้งในเรื่องการลงมติ “วาระ 3” ที่ฝ่ายหนึ่ง แนะให้เดินหน้าต่อไป โดยไม่สนใจ “คำวินิจฉัย” หรือการที่อีกฝ่าย ชี้ให้ “ค่อยเป็นค่อยไป” แก้ทีละ มาตราตาม “ข้อเสนอแนะ” ของศาลรัฐธรรมนูญ

เมื่อดูจากอาการ “เสี้ยนตำคอ” ระหว่างเหล่าเสนาบดีแห่งรัฐ และทีมยุทธ ศาสตร์ในมุ้งค่ายเพื่อไทย ต่างมี “มุมความ คิด” ที่แปลกแยกกันไป เกี่ยวกับคำวินิจฉัย ใน 4 ประเด็น ตลอดจน “ข้อเสนอแนะ” ซึ่งอีกฝ่ายมองว่าเป็นการ “มัดมือชก” โดยคณะตุลาการภิวัฒน์ นั่นยิ่งทำให้ผลวินิจฉัยอันเป็นที่สุดของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ เสมือนหนึ่ง เป็นการ “ขุดหลุมพราง” เอาไว้ล่อฝ่ายการเมือง-นิติบัญญัติ เพราะเป็นคำวินิจฉัยที่ยัง “ไม่สะเด็ดน้ำ” ทิ้งปม “ข้อเสนอแนะ” ไว้ให้แตกผลึกกันต่อไปว่า... ถ้อยคำที่ศาล

รธน.ชี้ว่า ควรจะทำประชามติถามประชาชน ก่อน หมายถึงอย่างไรกันแน่?!!

โดยเฉพาะในข้อ 2 ที่ศาล รธน. อ้าง ถึงหลักการ “อำนาจการสถาปนารัฐธรรมนูญ เป็นของประชาชน” ซึ่งที่ผ่านมาแสดงออก โดยการลงประชามติให้ความเห็นชอบรัฐธรรมนูญ 2550 มากถึง 15 ล้านเสียง หากจะแก้ไขควรผ่านการลงประชามติ และหากจะแก้ก็ควรแก้เป็นรายมาตรา ไม่เป็นการแก้ทั้งฉบับ ซึ่งสุ่มเสี่ยงที่จะเข้าข่าย ล้มล้างการปกครอง

แต่การที่ศาลไม่ได้ชี้ชัดว่า การลงประชามติควรกระทำเมื่อไหร่ ในขั้นตอนไหน ลงประชามติในหลักการใหญ่เลยว่าสมควรจะแก้หรือไม่แก้... หรือให้ลงประชามติในหลักการสำคัญๆ เป็นประเด็นไป

เช่นที่ว่านี้ ก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของที่ประชุม “รัฐสภา” ว่าจะ “เลือก” โดย ยึดหลักอะไรเป็นบรรทัดฐานรองรับ ซึ่งหาก ยึดหลักการถ่วงดุลและแบ่งแยกอำนาจ กำหนดขอบเขตอำนาจแต่ละฝ่ายอย่างชัดเจน หรือชี้ว่า “ศาลรัฐธรรมนูญ” ไม่ควรก้าว “ล้ำเส้นอำนาจ” การบัญญัติกฎหมายของรัฐสภา ก็ให้เลือกแนวทางเดินหน้า “ลงมติ” ให้ความเห็นชอบร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ “วาระ 3”

ในทางกลับกัน หากเลือกหลักการบริหารจัดการให้เกิดความเรียบร้อย ลดความขัดแย้ง และบรรลุเป้าหมายที่ต้อง การในที่สุด ก็ควรปล่อยให้ร่างรัฐธรรมนูญ ตกไป ไม่ต้องนำขึ้นมาให้ความเห็นชอบวาระ 3 แล้วเริ่มต้นกระบวนการแก้ไขราย มาตรา โดยกระบวนการรัฐสภาเอง มิต้อง มีการตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญขึ้นมา

แต่หาก “เลือก” แนวทางนี้ โดยแก้ เป็นรายมาตราตามข้อเสนอแนะของศาล รธน. ยิ่งแน่ชัดว่าจะมีการ “ลากประเด็น” หรือ “ตีรวน” โดยฝ่ายคัดค้าน ทำให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญยืดเยื้อออกไปอีก แต่ก็เชื่อว่าด้วย “เสียงข้างมาก” ย่อมจะเอา ชนะได้ไม่ยาก เมื่อมีการยกมือโหวต!

ปัญหามีอยู่ว่า...หากรัฐบาลเลือกแนวทางนี้ ก็อาจถูก “ซีกฝ่ายค้าน” นำเอา คำแถลงนโยบายต่อรัฐสภาที่ระบุไว้ว่า “จะมีสภาร่างรัฐธรรมนูญที่เป็นอิสระ ขึ้นมายก ร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่” เอามาโจมตีซึ่งรัฐบาลสามารถอธิบายเหตุผลความเปลี่ยนแปลง โดยอ้างถึงคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญได้

ทว่า...ปัญหาข้อถกเถียงเพื่อหาทางออกก็ยังไม่ตกไป เพราะคงมีประเด็นว่าด้วยการทำประชามติ ค้างคาอยู่อีก! ไม่ว่าจะทำประชามติก่อนยกร่างเป็น รายมาตรา หรือประชามติในหลักใหญ่เพียงประเด็นเดียวว่า...ควรแก้หรือไม่ควร แก้ หรือไม่ก็ให้ “รัฐสภา” ลงมติในวาระ 3 แล้วค่อยลงประชามติ หากประชาชนจำนวนมากกว่าครึ่งเห็นอย่างไร ก็ให้มีผลตามนั้น

ทำให้เกิดข้อกังขาที่ว่า...ใครจะเป็นผู้ทำประชามติ รัฐบาล รัฐสภา หรือให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เป็นผู้รับเอาไปทำ และมีคำถามต่อมาว่า จะทำได้หรือไม่...เมื่อรัฐธรรมนูญไม่ได้เขียนไว้

แต่เหนืออื่นใด การที่ศาลรัฐธรรมนูญให้ “คำแนะนำ” ซึ่งมิใช่เป็น “คำสั่ง” แต่เมื่อไม่ชี้ให้ชัดเจนถึงกระบวนการที่จะดำเนินต่อไป ปล่อยให้ผู้มีส่วนได้-เสีย ทั้งรัฐบาลและรัฐสภาไปว่ากันเอง ก็ยิ่งทำให้เกิดความสับสนวุ่นวาย จนไร้ซึ่งทางออก

ท้ายที่สุด ก็มีคำถามตามมาว่า... กลไกนิติบัญญัติและรัฐบาลจะ “เลือก” แนวทางไหน เพื่อเป็น “ทางออก” ของประเทศไทย ภายใต้วิกฤติแห่งรัฐธรรมนูญ?!! เกี่ยวกับเรื่องนี้ ศ.ดร.อุกฤษ มงคลนาวิน ประธานกรรมการอิสระว่าด้วยการ ส่งเสริมหลักนิติธรรมแห่งชาติ (คอ.นธ.) ได้ออกแถลงการณ์เรื่องแนวทางการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ภายหลังศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัย โดยมีเนื้อหาสรุปเอา ไว้อย่างน่าสนใจยิ่ง

“ข้อแนะนำของศาลรัฐธรรมนูญ ที่ว่าการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ควรให้ประชาชนลงประชามติก่อน ส่งผลให้มีการ วิพากษ์วิจารณ์ และถกเถียงในด้านวิชาการว่า ศาลรัฐธรรมนูญตั้งประเด็นและวินิจฉัยเกินเลยไปจากมาตรา 68 หรือไม่ การลงประชามติต้องทำในขั้นตอนใด ข้อแนะนำดังกล่าวมีผลผูกพันต่อฝ่ายที่เกี่ยว ข้องแค่ไหนเพียงใด ซึ่งต้องรอศึกษารายละเอียดคำวินิจฉัยกลางและคำวินิจฉัยส่วนตน แต่ที่มีความเห็นเป็น 3 แนวทาง คือ รัฐสภาควรเดินหน้าลงมติในวาระสาม ต่อไป หรือควรชะลอเอาไว้ก่อนเพื่อไปดำเนิน การออกเสียงประชามติก่อน หรือปล่อยให้ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญตกไป แล้วไปดำเนิน การแก้ไขเป็นรายมาตรา ซึ่งเห็นว่าการดำเนินการตามแนวทางที่ 1 แม้จะกระทำ ได้โดยชอบตามกฎหมาย แต่แนวทางนี้อาจเป็นชนวนหรือสาเหตุที่ทำให้เกิดความ วุ่นวายในบ้านเมืองไม่จบสิ้น”

ส่วนแนวทางที่ 2 ก็ไม่มีความชัดเจน เพราะยังไม่มีร่างให้ประชาชนพิจารณาเปรียบเทียบ ก่อนตัดสินใจลงประชามติ ซึ่ง จะถูกวิพากษ์วิจารณ์ได้เหมือนกรณีการลง ประชามติรับร่างรัฐธรรมนูญ2550 ที่ให้ประชาชนเลือกระหว่างร่างรัฐธรรมนูญ 50 กับสิ่งที่ยังมองไม่เห็น ขณะที่แนวทางที่ 3 คงต้องใช้เวลานานมาก และไม่อาจคาดหมายได้ว่าจะเสร็จเมื่อใด จึงมีข้อเสนอว่า รัฐสภาควรปล่อยให้ร่างรัฐธรรมนูญที่รอลงมติในวาระที่สามตกไป เพื่อไปดำเนินการออกเสียงประชามติ โดยกำหนดหัว ข้อให้ชัดเจน คือให้ประชาชนมีตัวเลือกว่าหากไม่เอารัฐธรรมนูญ 2550 แล้ว รัฐบาลจะนำรัฐธรรมนูญฉบับใดมาปรับปรุงแก้ไข และประกาศใช้บังคับแทน ซึ่งเห็นว่าควรนำรัฐธรรมนูญ 2517 มาเป็นตัวเลือก หากประชาชนลงประชามติไม่เอารัฐธรรมนูญ 2550 ก็จะนำรัฐธรรมนูญ 2517 มาปรับปรุงแก้ไขตามกระบวนการมาตรา 291 จากนั้นให้ประชาชนลงประชามติอีกครั้งก่อนประกาศใช้บังคับ

การที่นำรัฐธรรมนูญ 2517 มาเป็นตัวเลือก เพราะเห็นว่าเป็นรัฐธรรมนูญที่ได้ ชื่อว่าเป็นประชาธิปไตยมากที่สุด มีความก้าวหน้าและเป็นเสรีนิยม ยึดโยงกับภาคประชาชนที่สำคัญยังถูกร่างขึ้นภายหลังเหตุการณ์วันมหาวิปโยค 14 ตุลาคม 2516 ซึ่งเป็นช่วงที่กระแสประชาธิปไตยกำลังเบ่ง บาน ขณะเดียวกันยังมีการบัญญัติถึงที่มา องค์ประกอบและการทำหน้าที่ของศาลรัฐธรรมนูญ โดยให้รัฐสภา คณะรัฐมนตรี และคณะกรรมการตุลาการ เป็นผู้เลือกคณะตุลาการรัฐธรรมนูญ หากเสียงข้างมากว่าเห็นควรใช้บังคับรัฐธรรมนูญ 2550 ต่อไปก็เป็นอันยุติ ไม่ต้องดำเนินการอันใดต่อไปอีก เว้นแต่การแก้ไขเพิ่มเติมเป็นรายมาตราที่เห็นว่าเป็นปัญหาเท่านั้น

แต่หากเสียงข้างมากเห็นควรนำรัฐธรรมนูญ 2517 มาปรับปรุงแก้ไข ก็ให้ ดำเนินการยกร่างเช่นเดียวกันกับปี 2517 คือให้คณะรัฐมนตรีแต่งตั้งคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญขึ้นมายกร่างโดยใช้แนว ทางปี 2517 มาเป็นหลัก เสร็จแล้วก็ให้นำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เสนอ ครม. พิจารณาให้ความเห็นชอบ จากนั้นเสนอต่อรัฐสภาเพื่อพิจารณาตามกระบวนการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ตามมาตรา 291 ต่อไป

เมื่อรัฐสภาลงมติวาระแรกก็ตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญขึ้นมา 1 ชุด ประกอบด้วยผู้ทรงคุณวุฒิจากภายนอก ผู้แทนฝ่ายรัฐบาล ส.ส.และ ส.ว.ในสัดส่วน จำนวนที่เหมาะสมจากนั้นจัดรับฟังความเห็นจากประชาชนโดยเปิดเผย และโปร่งใส ถ่ายทอดทางโทรทัศน์วิทยุ หรือสื่ออื่น ให้ประชาชนรับรู้ เมื่อพิจารณาในวาระสองเสร็จแล้วให้รอ 15 วัน จากนั้นจึงลงมติใน วาระสาม และนำไปสู่การออกเสียงลงประชามติ จากนั้นนำขึ้นทูลเกล้าฯถวายเพื่อทรงลงพระปรมาภิไธย ให้ประกาศใช้บังคับต่อไป

หากดำเนินการตามแนวทางนี้จะแล้วเสร็จภายในไม่เกิน 15 เดือน หรือ 450 วันถึงจะต้องลงประชามติ 2 ครั้ง บางคนอาจมองว่าเป็นการสิ้นเปลืองงบ ประมาณโดยใช่เหตุ แต่แนวทางนี้จะสิ้น เปลืองน้อยกว่าการจัดตั้งสภาร่างรัฐ ธรรมนูญ (ส.ส.ร.) ที่นอกจากต้องเสียการ ใช้จ่ายเลือกตั้ง ส.ส.ร. ยังมีเงินเดือน และงบไปจัดทำประชามติอีก ที่สำคัญแนวทางที่เสนอ จะทำให้รัฐธรรมนูญได้ รับการยอมรับจากบุคคลทุกฝ่ายทุกสี และเป็นแนวทางที่สอดคล้องกับข้อแนะ นำของศาลรัฐธรรมนูญด้วย...!!


ที่มา.สยามธุรกิจออนไลน์
///////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////