--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันอังคารที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2555

เรืองไกร ย้อนศร ยื่นยุบ ปชป.ต่อศาล รธน.โดยตรง ..!!?
















นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ อดีต ส.ว.สรรหาเปิดเผยว่า วันที่ 5 มิถุนายนนี้ จะไปถอนคำร้องจากอัยการสูงสุด แล้วนำมายื่นโดยตรงต่อประธานศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยและมีคำสั่งยกเลิกผลการใช้อำนาจในการบริหารประเทศของ รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่อาจกระทำขัดรัฐธรรมนูญมาตรา 68 และพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง มาตรา 20 วรรคท้าย ประกอบมาตรา 20 วรรคหนึ่ง(5) เนื่องจากเป็นรัฐบาลที่ได้อำนาจการปกครองประเทศมาโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ ตามแนวทางที่ศาลรัฐธรรมนูญวางไว้ ในการรับคำร้องไว้วินิจฉัยว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญกระทำโดยชอบหรือไม่ ซึ่งกรณีการเสนอชื่อนายอภิสิทธิ์ เป็นนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2551 มิได้เป็นไปตามวิถีทางที่รัฐธรรมนูญบัญญัติ เนื่องจากศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำสั่งยุบพรรคพลังประชาชน พรรคชาติไทย และพรรคมัชฌิมาธิปไตย เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2551 เป็นผลให้ส.ส.ของทั้ง 3 พรรคต้องหาพรรคใหม่สังกัดภายใน 60 วันนับจากวันที่มีคำสั่งยุบพรรค

นายเรืองไกรกล่าวต่อว่า แต่จากการตรวจบันทึกการประชุมวันลงมติเลือกนายอภิสิทธิ์ เป็นนายกฯ ปรากฏข้อเท็จจริงว่า ส.ส.ของทั้ง 3 พรรคที่ไปโหวตให้เป็นการบันทึกว่างเอาไว้ ดังนั้น ส.ส.ของทั้ง 3 พรรค ยังมีสถานภาพเป็นสมาชิกพรรคที่ถูกยุบไปอยู่เช่นเดิม จึงมีประเด็นให้พิจารณาว่า การเข้าไปทำหน้าที่ในรัฐสภาของ ส.ส. ของพรรคที่ถูกยุบไป ก็เท่ากับว่ามีการละเมิดต่อคำสั่งศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งมีผลเป็นเด็ดขาดผูกพันรัฐสภา และทุกองค์กร

อีกทั้ง จำนวน ส.ส.ของทั้ง 3 พรรคมีจำนวนมาก อาจทำให้ผลของมติในวันดังกล่าวมีจำนวนไม่ถึงกึ่งหนึ่ง ดังนั้นการเข้าใจกันไปเองว่า ส.ส.ของพรรคที่ยุบไป มีความเป็นอิสระสามารถทำหน้าที่เป็นองค์ประชุมในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรได้นั้น อาจมีความคลาดเคลื่อน ไม่ต้องด้วยเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ และไม่เป็นไปตามแนวทางที่ศาลรัฐธรรมนูญเคยวินิจฉัยไว้ ซึ่งล่าสุดคือ กรณีของนายจตุพร พรหมพันธุ์ อดีตส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย

“จึงขอให้ศาลมีคำสั่งยุบพรรคประชาธิปัตย์ และเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งกรรมการบริหารพรรคและบุคคลที่เกี่ยวข้อง และใช้อำนาจตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 213 วรรคหนึ่ง ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 264 ประกอบข้อกำหนดศาลรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาและการทำคำวินิจฉัย ข้อ 6 สั่งให้พรรคประชาธิปัตย์และส.ส.ของพรรค หยุดการดำเนินกิจการและหยุดปฏิบัติหน้าที่ในฐานะส.ส.เอาไว้ก่อน จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำสั่งหรือคำวินิจฉัยเป็นอย่างใดอย่างหนึ่ง ทั้งนี้ เพื่อให้เป็นมาตรฐานเดียวกันตามมติของศาลรัฐธรรมนูญ เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2555” นายเรืองไกรระบุว่า

และว่า สาเหตุที่ต้องดำเนินการ เนื่องจากส่งเรื่องให้อัยการสูงสุดไต่สวนมากว่า 2-3 ปีแล้วยังไม่มีความคืบหน้า ดังนั้น จึงขอใช้สิทธิ์ยื่นเรื่องโดยตรงให้ศาลรัฐธรรมนูญ และหวังว่าจะเร่งพิจารณาโดยเร็วเหมือนกรณีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่ที่ตนข้องใจคือ มีคำสั่งแบบนั้นออกมาได้อย่างไร อย่างการแก้ไขรัฐธรรมนูญสมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ ตนรวมถึงส.ส.พรรคเพื่อไทยเคยยื่นร้องมาแล้ว แต่ศาลรัฐธรรมนูญยกคำร้อง โดยอ้างว่าเป็นกระบวนการของฝ่ายนิติบัญญัติ เพราะเสนอเป็นญัตติจึงไม่สามารถรับคำร้องไว้วินิจฉัยได้ แต่คราวนี้ทำไมถึงรับไว้วินิจฉัย

ที่มา.หนังสือพิมพ์แนวหน้า
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ดร.วีรพงษ์ รามางกูร : ความเป็นสูงสุดในการปกครอง !!?

คอลัมน์ : คนเดินตรอก โดย ดร.วีรพงษ์ รามางกูร

ขณะนี้ข่าวเรื่องการผลักดันให้รัฐสภาผ่านร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยความปรองดองแห่งชาติ เข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภา

ประเด็นดังกล่าวมีผู้ที่เห็นด้วยและผู้ที่ไม่เห็นด้วย ผู้ที่ไม่เห็นด้วยแน่นอนก็ต้องเป็นพรรคฝ่ายค้านและกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย แต่ที่แปลกก็คือ กลุ่ม นปช.และพรรครัฐบาลเองบางฝ่ายก็ไม่เห็นด้วย แต่ด้วยเหตุผลคนละอย่างพรรคฝ่ายค้านและพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยนั้น มุ่งไปในทางที่ว่าเป็นการนิรโทษกรรมให้กับอดีตนายกรัฐมนตรีในความผิดที่ศาลตัดสินว่า การลงนามยินยอมให้คู่สมรสทำนิติกรรมซื้อขายที่ดินที่กองทุนฟื้นฟูฯของธนาคารแห่งประเทศไทยขายให้ เป็นการใช้อำนาจของนายกรัฐมนตรีในทางมิชอบ เป็นความผิดตามคำพิพากษาของศาลฎีกา แผนกข้าราชการฝ่ายการเมืองและผู้ที่กระทำการก่อการร้าย

ส่วนฝ่าย นปช.คนเสื้อแดงส่วนหนึ่งไม่เห็นด้วย เพราะจะเป็นการนิรโทษกรรมให้กับผู้กระทำการให้เกิดความสูญเสียชีวิตประชาชนถึง 98 ศพ มีผู้บาดเจ็บทั้งสาหัส เช่น สูญเสียอวัยวะกลายเป็นคนพิการ และที่ไม่สาหัสเป็นจำนวนกว่า 2,000 คน

นอกจากนั้น ก็เท่ากับเป็นการปิดเรื่องการสอบสวนหาความจริงว่า โศกนาฏกรรมในปี 2553 เกิดขึ้นได้อย่างไร ใครที่จะต้องรับผิดชอบ ซึ่งเรื่องใหญ่โตขนาดนี้ถ้าเกิดขึ้นในประเทศอื่น ๆ มีผู้เสียชีวิตมากมายเกือบ 100 คน มีผู้คนบาดเจ็บพิการมากมาย จะปล่อยให้ผ่านไปกับสายลมไม่ได้ คงต้องสอบสวนทำรายงานไว้เป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์

ในที่สุดการถกเถียงกันมาถึงจุดอีกจุดหนึ่งว่า การผ่านพระราชบัญญัติโดยรัฐสภาจะทำได้หรือไม่ เพราะอาจจะขัดรัฐธรรมนูญสมัยปี 2550 ที่ร่างโดยสภานิติบัญญัติแห่งชาติที่ได้รับการแต่งตั้งจากคณะรัฐประหารปี 2549

โดยที่รัฐธรรมนูญปี 2549 มาตรา 309 ที่บัญญัติให้การรับรองการกระทำใด ๆ ของรัฐประหารนั้นเป็นอันชอบด้วยกฎหมายและรัฐธรรมนูญ รวมถึงการกระทำอันเป็นการต่อเนื่องไม่ว่าก่อนหรือหลังวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญ ให้ถือว่าเป็นการกระทำที่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ คณะรัฐประหารโดยสภานิติบัญญัติเขียนให้รับรองการกระทำของตัวเองไว้เรียบร้อยแล้ว

โดยที่บทบัญญัติของ พ.ร.บ.ว่าด้วยความปรองดองแห่งชาติ ที่กำลังจะนำเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภาเป็นการลบล้างการกระทำตามรัฐธรรมนูญฉบับที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน คำพิพากษาของศาลรัฐธรรมนูญก็เลยกลายเป็นส่วนหนึ่งของรัฐธรรมนูญไปด้วย

เมื่ออ่านข้อเขียนนี้แล้วก็รู้สึกมีความสับสนในความเป็นสูงสุดในการปกครองประเทศ

โดยที่การปกครองของอังกฤษนั้น ได้รับการยกย่องว่าเป็นแม่บทของระบอบการปกครองระบบรัฐสภา และระบอบการปกครองของสหรัฐอเมริกาก็ได้รับการยกย่องให้เป็นแม่แบบของการปกครองระบอบรัฐธรรมนูญ เวลามีปัญหาในเรื่องความคิดเกี่ยวกับการปกครองระบอบรัฐสภาและการปกครองระบอบรัฐธรรมนูญ ก็มักจะกลับไปดูปรัชญาการปกครองของทั้งสองระบบมาเป็นข้อกล่าวอ้าง

การปกครองระบอบรัฐสภาของอังกฤษนั้น เป็นการปกครองที่ไม่มีรัฐธรรมนูญเป็นลายลักษณ์อักษร ถ้าหากจะมีการบัญญัติที่เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ของรัฐหรืออำนาจของรัฐ หรือโครงสร้างขององค์กรทางการเมืองต่าง ๆ ซึ่งจะกำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญลายลักษณ์อักษรของประเทศต่าง ๆ ก็จะตราเป็นพระราชบัญญัติ ซึ่งไม่มีศักดิ์ศรีสูงกว่าพระราชบัญญัติอื่น ๆ แต่สูงกว่าประเพณีปฏิบัติ สูงกว่าคำพิพากษาของศาลฎีกา และสูงกว่าคำวินิจฉัยขององค์กรการเมืองใด ๆ รวมทั้งของรัฐบาลด้วย

ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะประชาชนชาวอังกฤษยึดถือความเป็นสูงสุดของรัฐสภาอังกฤษ หรือ "Supremacy of The British Parliament" รัฐสภาอังกฤษจะมีมติหรือออกกฎหมายอะไรก็ได้ ไม่มีองค์กรใดจะต้องมาวินิจฉัยว่าขัดกับรัฐธรรมนูญหรือไม่ แต่ประชาชนหรือสื่อมวลชนอาจจะวิพากษ์วิจารณ์ว่า เหมาะสมหรือไม่ ขัดกับหลักสิทธิมนุษยชนหรือไม่ ปฏิบัติได้หรือไม่ บังคับใช้ได้หรือไม่ เช่น รัฐสภาอังกฤษอาจจะออกกฎหมายบังคับให้คนฝรั่งเศสใช้ศีรษะเดินต่างเท้าก็ได้ ไม่ขัดกับรัฐธรรมนูญ แต่อาจจะถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าสติไม่ดี ไปละเมิดสิทธิเสรีภาพของประชาชนประเทศอื่น และบังคับใช้กับผู้ไม่ปฏิบัติตามไม่ได้ เป็นต้น

มติต่าง ๆ ของสภาผู้แทนราษฎรของอังกฤษก็เป็นแต่เพียงเสียงข้างมากธรรมดาของสภาเท่านั้นเอง ไม่จำเป็นต้องเป็นเสียงข้างมากพิเศษ ไม่ต้องมีการพิจารณาเรื่องใดด้วยวิธีพิเศษมากไปกว่าการลงมติเสียงข้างมากธรรมดา เหมือนกับการพิจารณาพระราชบัญญัติต่าง ๆ โดยทั่วไป

การปกครองของอังกฤษก็อาจจะถือว่าเป็นการปกครองแบบ "เผด็จการโดยรัฐสภา" ก็ได้ แต่เหตุที่ตำรารัฐศาสตร์โดยทั่วไปก็ยังถือว่าเป็นการปกครองของระบอบประชาธิปไตยโดยรัฐสภา เพราะเหตุที่ถือว่ารัฐสภาของอังกฤษเป็นตัวแทนของประชาชน การประชุมของรัฐสภาก็คือการย่อส่วนของการประชุมของประชาชน มติของรัฐสภาก็คือมติของประชาชน

แต่ความเป็นสูงสุดของรัฐสภาอังกฤษก็อาจจะถูกถ่วงดุลจากรัฐบาลได้ กล่าวคือ ถ้ารัฐบาลยังยืนยันความเห็นของตน เช่น กรณีสภาผู้แทนราษฎรไม่ผ่านพระราชบัญญัติสำคัญ หรือพระราชบัญญัติที่เกี่ยวกับการเงิน เช่น พระราชบัญญัติงบประมาณประจำปี หรือประเด็นทางการเมืองใด รัฐบาลก็อาจจะยุบสภาเพื่อให้ประชาชนเลือกตัดสินว่าเห็นด้วยกับรัฐบาล หรือเห็นด้วยกับสภาผู้แทนราษฎร ถ้าประชาชนเห็นด้วยกับรัฐบาลก็เลือกพรรครัฐบาลเข้ามาใหม่ ถ้าไม่เห็นด้วยก็เลือกพรรคฝ่ายค้านเข้ามาแทน

การที่เป็นอย่างนั้นได้ก็ต้องมีองค์ประกอบบางอย่าง เช่น ประชาชนนิยมเลือกพรรคการเมืองมากกว่าตัวบุคคล สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมีวินัยต้องออกเสียงตามมติพรรค หากไม่ปฏิบัติตามมติพรรคก็ต้องถูกขับออก หรือลาออกจากพรรค ในการเลือกตั้งพรรคก็ไม่ส่งลงเลือกตั้งในนามของพรรค และโอกาสถูกเลือกเข้ามาใหม่ก็แทบไม่มี

การมีระบอบการปกครองที่ไม่ต้องเขียนรัฐธรรมนูญเป็นลายลักษณ์อักษรนั้น ไม่มีประเทศใดลอกแบบเอาไปใช้ได้ เพราะลักษณะพิเศษของคนอังกฤษ และการวิวัฒนาการค่อยเป็นค่อยไปของอังกฤษยังใช้เวลานานกว่า 300 ปี จึงเป็นไปอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน

เมื่อประเทศต่าง ๆ จะเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบกษัตริย์ หรือจากการปกครองแบบอาณานิคมมาเป็นการปกครองของประเทศเอกราชแบบประชาธิปไตย จะอาศัยจารีตประเพณี คำพิพากษาของศาลสูง หรือค่อย ๆ วิวัฒนาการอย่างอังกฤษก็คงจะทำไม่ได้ รอเวลายาวนานอย่างนั้นไม่ได้

เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง เช่น การล้มล้างระบอบเดิมมาเป็นระบอบประชาธิปไตย มีการยอมรับอำนาจอธิปไตยว่าเป็นของปวงชน หรือมาจากปวงชน ก็มีความจำเป็นต้องตรากฎหมายซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุด หรือกฎหมายรัฐธรรมนูญ บัญญัติถึงรูปแบบของรัฐ องค์กร ที่ใช้อำนาจอธิปไตยซึ่งเป็นของปวงชนหรือประชาชน หรือมาจากปวงชน หรือประชาชนขึ้นใช้

ที่มักจะอ้างเป็นแบบอย่างก็คือ ธรรมนูญการปกครองของสหรัฐอเมริกา ซึ่งเริ่มขึ้นด้วยคำประกาศเอกราช และการตรารัฐธรรมนูญขึ้นใช้ รัฐธรรมนูญจึงเป็นสิ่งสูงสุดของการปกครองประเทศ ผู้ที่รักษารัฐธรรมนูญ หรือองค์กรที่จะวินิจฉัยว่ากฎหมายของสหรัฐก็ดี หรือกฎหมายของมลรัฐก็ดี หรือการ

กระทำของรัฐบาลก็ดี ชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือไม่ ก็เลยกลายเป็นองค์กรสูงสุดไปด้วย ในกรณีของสหรัฐอเมริกาองค์กรที่วินิจฉัยว่ากฎหมายใดหรือการกระทำใดไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ "unconstitutional" หรือไม่ก็คือศาลสูงสุดของสหรัฐอเมริกา ความเป็นสูงสุดในการปกครองสหรัฐก็คือศาลสูงสุดสหรัฐ หรือ "Supremacy of the U.S. Supreme Court"

คณะผู้พิพากษาศาลสูงสุดของสหรัฐอเมริกา แต่งตั้งโดยประธานาธิบดีด้วยความเห็นชอบของวุฒิสภา โดยไม่ต้องเกรงกลัวว่ารัฐบาลแทรกแซงศาล เมื่อ

แต่งตั้งโดยความเห็นชอบของวุฒิสภาแล้วก็อยู่ในตำแหน่งตลอดไปไม่มีวาระ จนกว่าจะถึงแก่กรรมหรือลาออก

มติของรัฐสภาก็ดี การกระทำของประธานาธิบดีก็ดี รัฐมนตรีก็ดี ผู้ว่าการมลรัฐก็ดี สภามลรัฐก็ดี หรือแม้แต่บุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคล อาจจะถูกศาลสูงสุดวินิจฉัยว่าไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญได้ คนอเมริกันนั้นให้ความเคารพต่อรัฐธรรมนูญของเขาอย่างยิ่ง และไม่ค่อยอยากให้แก้รัฐธรรมนูญถ้าไม่จำเป็นจริง ๆ เมื่อศาลสูงสุดวินิจฉัยอย่างใดแล้วก็เป็นที่ยุติ แม้ว่าคำพิพากษาอาจจะถูกวิพากษ์วิจารณ์ได้

เมื่อประเทศต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศในยุโรปที่มีกษัตริย์เป็นประมุขก็ดี หรือประเทศเกิดใหม่ที่พ้นจากการเป็นอาณานิคมของอังกฤษก็ดี เมื่อจะสถาปนาการปกครองระบอบประชาธิปไตย ก็นิยมเลือกการปกครองประชาธิปไตยระบอบรัฐสภาแบบอังกฤษ อาจจะเป็นเพราะความเคยชิน หากเคยมีกษัตริย์ก็ยังคงให้ประมุขของประเทศเป็นกษัตริย์ หากไม่มีกษัตริย์เสียแล้วก็นิยมให้รัฐสภาเลือกบุคคลใดบุคคลหนึ่งเป็นประธานาธิบดีเป็นประมุขของประเทศ แต่ไม่มีอำนาจบริหารใด ๆ แบบกษัตริย์อังกฤษ อำนาจในการบริหารประเทศอยู่ที่นายกรัฐมนตรีและรัฐสภา

แต่ในขณะเดียวกัน รัฐสภาหรือสภาผู้แทนราษฎรก็ไม่มีความเป็นสูงสุดอย่างอังกฤษ แต่รัฐธรรมนูญและผู้ที่จะวินิจฉัยว่ากฎหมายใด การกระทำใดของรัฐบาลก็ดี หรือองค์กรการเมืองอื่นก็ดี หรือแม้แต่ศาลว่าชอบด้วยรัฐธรรมนูญ หรือไม่ก็กลายเป็นผู้ที่มีความเป็นสูงสุด ก็เลยเป็นลูกผสม มีรัฐสภาแบบอังกฤษ มีรัฐธรรมนูญ

สำหรับบ้านเราไม่ค่อยแน่ใจว่าความเป็นสูงสุดในการปกครองของเราอยู่ที่ใด เพราะรัฐธรรมนูญก็ไม่ค่อยสูงสุดในความรู้สึกนึกคิดของประชาชน บางทีกฎหมายอาญาหรือกฎหมายแพ่งยังรู้สึกศักดิ์สิทธิ์กว่า รัฐสภาก็ไม่มีความเป็นสูงสุด ศาลรัฐธรรมนูญผู้คนก็ไม่ค่อยนับถือในความเป็นสูงสุด เพราะรัฐธรรมนูญนั้นจะฉีกทิ้งเมื่อไรก็ได้ พอจะมีการออก พ.ร.บ.ปรองดองผู้คนก็เลยลืมนึกไปว่าเรายังมีรัฐธรรมนูญอยู่ เพราะรัฐธรรมนูญ 2550 ก็เป็นลูกของหัวหน้าคณะรัฐประหาร ผู้เสนอ พ.ร.บ.ปรองดองนั่นเอง ก็ไม่น่าจะมีความเป็นสูงสุด

ประชาธิปไตยแบบไทย ๆ ก็เป็นอย่างนี้

ที่มา.ปะชาชาติธุรกิจออนไลน์
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

นิธิ เอียวศรีวงศ์ : ปรองดอง บนศพเกลื่อนกลาด !!?

ผมขอเดาว่า พ.ร.บ.ปรองดองผ่านสภาแน่ โดยร่างของ พลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน เป็นร่างหลัก อีกทั้งไม่เป็นเหตุให้เกิดความขัดแย้งใหญ่ในสังคม หรือยังไม่เป็นเหตุให้เกิดในตอนนี้หรอก

หากผมเดาถูก ก็ไม่ได้เก่งกาจอะไร ใครที่ติดตามสัญญาณทางการเมืองมา ก็คงเดาได้อย่างเดียวกัน พ.ร.บ.ปรองดองที่มุ่งจะเอาคุณทักษิณกลับประเทศ จะเกิดขึ้นโดยไม่มีการเจรจาต้าอวยกันก่อน อาศัยแต่เสียงข้างมากในสภาเพียงอย่างเดียว ย่อมเกิดขึ้นไม่ได้

เขาเจรจาต่อรองกันที่ไหน เมื่อไร และอย่างไร ผมไม่ทราบ แต่มีสัญญาณที่ใครๆ ก็เห็นว่า ได้ตกลงกันถึงระดับที่พอใจแก่ทั้งสองฝ่ายแล้ว จู่ๆ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ จะไปงานเลี้ยงที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์จัดขึ้น แสดงไมตรีตอบสนองกันให้สื่อได้เห็น จนแม้แต่เปิดบ้านต้อนรับการเข้าอวยพรในวันสงกรานต์แก่นายกฯยิ่งลักษณ์ และเมื่อเร็วๆ นี้ ยังพูดชมเชยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ว่าเป็นคนดี ย่อมจะร่วมต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่นได้ เหตุการณ์อย่างนี้จะเกิดขึ้นได้อย่างไร

ทางฝ่ายเสื้อแดงก็หยุดโจมตีพลเอกเปรม แกนนำบางคนถึงกับพูดยกย่อง บางคนไม่ยกย่อง แต่ก็ชี้ให้เห็นว่าเกมส์เปลี่ยนไปแล้ว วาทกรรมอำมาตย์-ไพร่ค่อนข้างเลือนรางลง

ในข้อตกลงกันนี้จะมีรายละเอียดอย่างไร ผมไม่ทราบ แต่อยากเดาว่าคงต้องมีอย่างน้อยคือ

1/ คุณทักษิณกลับประเทศได้ ภาระทางคดีที่ดินรัชดานั้น จะได้รับการนิรโทษกรรม ส่วนคดีอื่นๆ ต้องว่ากันไปในแต่ละคดี ส่วนหนึ่งคงระงับการฟ้องร้อง (เพราะการถูกฟ้องร้องเป็นการกระทำที่เนื่องกับการยึดอำนาจ ในวันที่ 19 ก.ย.49) แต่คุณทักษิณจะไม่กลับเข้าดำรงตำแหน่งทางการเมืองอีก ตรงกับที่คุณทักษิณได้ให้สัมภาษณ์เองก่อนหน้านี้

ข้อตกลงนี้ อย่างน้อยก็ทำความมั่นใจแก่ผู้ที่เคยเป็นปฏิปักษ์ต่อคุณทักษิณว่า จะไม่ถูกปลดจากตำแหน่ง อย่างน้อยก็โดยยังไม่ทันตั้งตัว ส่วนตำแหน่งที่ได้มาเพราะรัฐธรรมนูญชั่วคราวนั้น เอาไว้ต่อสู้กันใน ส.ส.ร.ต่อไปข้างหน้า

2/ ในส่วนข้าราชการประจำที่สำคัญๆ และเป็นกำลังหลักของฝ่ายปฏิปักษ์คุณทักษิณ น่าจะทำความเข้าใจกันแล้วว่า จะไม่โยกย้ายจนกว่าจะครบอายุเกษียณอายุ

3/ เมื่อเลิกแล้วต่อคุณทักษิณ ก็หมายความว่าต้องเลิกแล้วต่อฝ่ายตรงข้ามคุณทักษิณด้วย โดยเฉพาะทหารที่สังหารหมู่ประชาชน รวมทั้งฝ่ายพันธมิตร ที่ได้ละเมิดกฎหมายมาก่อน ข้อนี้เห็นได้ชัดในร่าง พ.ร.บ.ปรองดองอยู่แล้ว

4/ ฝ่ายคุณทักษิณคงสัญญาว่า จะไม่ทำอะไรที่กระทบต่อโครงสร้างอำนาจที่มีอยู่เดิมในประเทศไทย โดยอีกฝ่ายหนึ่งก็จะยุติการตามล้างตามผลาญฝ่ายคุณทักษิณในทางกฎหมาย (เช่น ละเมิดกฎหมายอาญา ม.112) ด้วย แต่ทั้งนี้ไม่รวมถึงคนอื่นซึ่งไม่ใช่คู่กรณี รัฐบาลยิ่งลักษณ์ยังมีหน้าที่ปราบปรามผู้ที่อาจสั่นคลอนโครงสร้างอำนาจที่มีอยู่เดิมนี้ต่อไป ไม่ว่าจะเป็นการกระทำที่น่าหวาดระแวงว่าผิดกฎหมายคอมพิวเตอร์, ม.112 หรือทำหนังทำละครที่ดูจะล้ำเส้น พวกนี้ต้องกำราบเอาไว้

เป็นอันว่า "ประเทศไทยจะเดินหน้าต่อไป" เพราะชนชั้นนำทั้งสองกลุ่มสามารถตกลงกันได้ในกติกาของความขัดแย้ง

อันที่จริง ชนชั้นนำไทยเคยขัดแย้งกันตลอดมา แต่ในที่สุดก็ตกลงกันได้ระดับหนึ่งเสมอ (หรือเกือบเสมอ หากไม่นับกรณีท่านรัฐบุรุษอาวุโสปรีดี พนมยงค์) ที่เกิดการนองเลือดเป็นครั้งคราว ก็เพราะมีคนหน้าใหม่ซึ่งไม่ได้อยู่วงในของชนชั้นนำเสนอหน้าเข้ามาร่วมวง จึงต้องใช้วิธีรุนแรงซึ่งทำให้เกี้ยเซี้ยกันยาก

คนหน้าใหม่เหล่านี้ ที่จริงจะว่าเข้ามาเองก็ไม่เชิงทีเดียวนัก ส่วนหนึ่งของเขาได้รับการเชื้อเชิญให้เข้ามาโดยบางกลุ่มของชนชั้นนำ ดังเช่นการลุกฮือขึ้นของประชาชนในวันที่ 14 ต.ค.2516 แต่เครื่องมือที่ใช้จนสำเร็จภารกิจแล้ว ควรกลับไปอยู่ในกล่อง ไม่ใช่มีเสียงของตัวเอง หรือไปดึงคนหน้าใหม่อื่นๆ เข้ามาในวงมากขึ้น ฉะนั้น จึงต้องเกิด 6 ตุลา ให้น่าสะพรึงกลัวเสียยิ่งกว่า 14 ตุลาเสียอีก เช่นเดียวกับพฤษฎามหาโหดใน 2535

พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ การเกี้ยเซี้ยของชนชั้นนำเริ่มจะควบคุมความขัดแย้งได้ยากขึ้น เพราะคนหน้าใหม่ที่ถูกดึงเข้ามาร่วมวงในการต่อสู้ (หรือเข้ามาเองก็ตาม) เริ่มมีจำนวนมากขึ้น และที่สำคัญกว่านั้นคือหลากหลายขึ้นด้วย

ดังนั้น การเกี้ยเซี้ยครั้งนี้จึงต้องข้าม "ศพ" คนจำนวนมาก ทั้งที่หายใจไม่ได้แล้ว และศพที่ยังหายใจได้อยู่

92 ศพ (ข้อมูลบางแห่งว่าในปัจจุบันมีถึง 102 ศพเข้าไปแล้ว) ที่เสียชีวิตเนื่องจากการกระทำของรัฐใน 2553 ถูกข้ามไปหน้าตาเฉยอย่างที่เห็นๆ กันอยู่ ยังผู้บาดเจ็บอีกกว่า 2,000 ก็ถูกข้ามไปเหมือนกัน

แต่ไม่ใช่เพียงเท่านั้น กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ซึ่งยังไม่ได้เป็นศพ ก็ถูกข้ามไปเหมือนกัน แม้พยายามดิ้นรนขัดขวางไม่ให้ข้าม เขาก็ข้ามไปจนได้

พรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งได้โอกาสจัดตั้งรัฐบาลมา 2 ปี และโอกาสกู้หนี้อีกก้อนมหึมา ก็ยังอุตส่าห์แพ้การเลือกตั้งแบบถล่มทลาย ถูกข้ามไปเหมือนกัน เพราะถูกพิจารณาว่าเป็น "ศพ" ในทางการเมืองไปเสียแล้ว ยิ่งเล่นการเมืองแบบโต้วาทีเช่นนี้ ก็คงต้องใช้เวลาอีกนานกว่าจะฟื้น (หากจะมีโอกาสฟื้น) และถึงจะเปลี่ยนการแสดงเป็นปาหี่ ก็หาทำให้สถานการณ์ดีขึ้นไม่

แม้กระนั้น ศพทั้งสองก็มิได้ถูกกระทำย่ำยีอนาจาร เพราะ พ.ร.บ.ปรองดองได้นิรโทษกรรมไว้ให้เรียบร้อยแล้ว

สมาชิก นปช.ที่ต่อต้านอำนาจอันมาจากการรัฐประหาร และบางคนก็อาจสนับสนุนคุณทักษิณด้วย อย่างน้อยก็เชิงสัญลักษณ์ นี่ก็เป็น "ศพ" ที่ถูกข้ามไปจาก พ.ร.บ.ปรองดองเช่นกัน พวกเขาไม่ได้เสี่ยงชีวิตสู้เพื่อช่วยคุณทักษิณ แต่สู้เพื่อให้คุณทักษิณได้รับความยุติธรรม อย่างที่พวกเขาอยากเห็นสังคมไทยเป็นสังคมที่เคารพความเป็นธรรม หากคุณทักษิณทำผิดกฎหมาย คุณทักษิณก็สมควรได้รับโทษตามกฎหมาย แต่กระบวนการทางกฎหมายที่จะเอาผิดกับคุณทักษิณ ต้องโปร่งใส, เป็นธรรม และให้โอกาสสู้คดีอย่างเต็มที่เท่าที่กฎหมายซึ่งยุติธรรม (อันเปรียบเทียบได้กับนานาอารยประเทศ) มอบให้

โดยไม่ต้องปรับเปลี่ยนปฏิรูปอะไรในโครงสร้างอันไม่เป็นธรรมเลย คุณทักษิณก็จะเดินข้ามศพคนจำนวนมากกลับบ้าน ดังนั้น พวกเขาจึงเป็น "ศพ" อีกชนิดหนึ่งที่คุณทักษิณต้องก้าวข้าม (แล้วลืมพวกมันไป) เหมือนกัน

คนพวกนี้จะมีสักเท่าไร ผมตอบไม่ได้ แต่รู้แน่ว่ามีจำนวนมาก (อย่างน้อยก็มากกว่าศพพันธมิตรไม่เกิน 5,000 คนที่ชนชั้นนำได้ก้าวข้ามไปแล้ว) ผมประเมินจากปัจจัยสองสามอย่าง อาจารย์ธิดา ประธาน นปช.ในปัจจุบัน ซึ่งมีสามีเป็น ส.ส.สังกัดพรรคเพื่อไทย ได้แสดงจุดยืนให้เห็นว่า ไม่อาจเห็นด้วยกับข้อเสนอนิรโทษกรรมทุกฝ่ายในร่าง พ.ร.บ.ปรองดองได้ วิทยุเสื้อแดงในจังหวัดที่ผมอยู่ระดมสนับสนุนร่าง พ.ร.บ.เกือบ 24 ชั่วโมง เสียงสะท้อนของคนเสื้อแดงจำนวนมากที่ออกมาในสื่อออนไลน์ และในการประชุมสัมมนาตามที่ต่างๆ รวมทั้งการกลับลำของคุณณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ

ถ้าคนกลุ่มนี้มีจำนวนไม่มาก ก็ไม่ต้องมีปฏิกิริยาเช่นนี้

แต่คนพวกนี้ ทั้งที่อยู่ในพันธมิตร, ใน นปช. รวมกับคนที่สนับสนุนการเคลื่อนไหวของเสื้อแดง เพราะคิดว่าจะนำไปสู่ความเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง จะเป็นศพให้ข้ามไปเฉยๆ กระนั้นหรือ

ขออนุญาตใช้สำนวนของคุณ "ใบตองแห้ง" ที่ว่า คนเหล่านี้เป็นยักษ์ที่ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมาเสียแล้ว (คงจะกลับลงขวดหรือตะเกียงอีกได้ยาก)

แต่ยักษ์ไม่ได้ตื่นเพียงเพราะเหตุการณ์ชุมนุมใน 6-7 ปีที่ผ่านมา ผมคิดว่าพวกเขาถูกปลุกให้ตื่นจากความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจสังคมที่เกิดในเมืองไทยมากว่า 20 ปีแล้ว จากคนที่ไม่อินังขังขอบทางการเมือง กลายเป็นคนที่กระตือรือร้นจะมีส่วนร่วมทางการเมือง และเมื่อไม่มีพื้นที่ให้เข้าไปมีส่วนร่วมได้มากกว่าหีบบัตรเลือกตั้ง จึงจำเป็นต้องใช้ท้องถนน

ผมไม่ได้ปฏิเสธนะครับว่า การเคลื่อนไหวของยักษ์เหลืองยักษ์แดงเหล่านี้มีชนชั้นนำบางกลุ่มสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง แต่ไม่พอหรอกครับ ไม่ว่าจะสนับสนุนอย่างไร ก็ต้องอาศัยเหตุปัจจัยบางอย่างที่ช่วยให้เขาเลือกจะตอบสนองต่อการสนับสนุนนั้นด้วย ชนชั้นนำที่คิดว่า เมื่อตนถอนการสนับสนุน ยักษ์ก็ต้องกลับลงขวดหรือลงตะเกียงไปเอง ออกจะคิดตื้นและสั้นไปหน่อย

ผมเห็นด้วยกับคุณ "ใบตองแห้ง" ว่า ยักษ์ไม่กลับลงไปแน่ ไม่ว่าแกนนำจะถอดสีไปอย่างไร เสื้อแดงและเหลืองจำนวนหนึ่ง ย่อมกระเสือกกระสนที่จะมีพื้นที่ทางการเมืองของตนเองต่อไปอย่างแน่นอน แม้อาจต้องเปลี่ยนสีเสื้อไปตามสถานการณ์ก็ตาม

ร่าง พ.ร.บ.นี้จึงไม่นำไปสู่อะไรสักอย่างเดียว นอกจากเอาคุณทักษิณกลับบ้าน (อย่างสง่างามไม่มากไปกว่าการหลบเข้าเมืองสักเท่าไรนัก) ความขัดแย้งยังคงมีอยู่ต่อไป แต่เมื่อขาดการสนับสนุนของชนชั้นนำ ก็อาจไม่บานปลายถึงขนาดยึดทำเนียบ-สนามบิน หรือยึดสี่แยกราชประสงค์ ที่สำคัญก็คือร่าง พ.ร.บ.ไม่ได้สร้างเงื่อนไขใหม่ และกติกาใหม่ สำหรับเปิดให้ความขัดแย้งสามารถดำเนินไปได้ โดยไม่กระทบถึงสิทธิเสรีภาพของผู้อื่น

ชนชั้นนำเกี้ยเซี้ยกันได้อีกครั้งหนึ่ง บนซากศพนานาชนิดอย่างเคย แต่ครั้งนี้จะไม่สามารถผัดผ่อนความขัดแย้งระดับรากฐานในสังคมได้เสียแล้ว ในที่สุด เมื่อชนชั้นนำลงมาหาประโยชน์จากความขัดแย้ง ก็จะกลับไปสู่การนองเลือดอีกครั้งหนึ่ง


ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชนรายวัน
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันจันทร์ที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2555

จับตาทุนจีน เปิดแผนอภิมหาโปรเจ็คต์ของจีนในพม่า-อาเซียน ..!!?

โดย:ศิริชัย ลีเลิศยุทธ์

จีนกำลังก้าวไปสู่การเป็นนายทุนใหญ่ของโลกมากขึ้นเป็นลำดับ หลังการจีนเปิดประเทศให้ต่างชาติเข้ามาลงทุนได้ 30 ปี จีนจึงเปลี่ยนนโยบายจาก “เชิญเข้ามา” ไปสู่การ “เดินออกไป” เมื่อปี 1999 สมัยเจียงเจ๋อหมิน โดยนายกฯจูหรงจีผลักดันนโยบายสนับสนุนการออกไปลงทุนในต่างประเทศ

จีนมีพัฒนาการอย่างก้าวกระโดดในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา มูลค่าการลงทุนในต่างประเทศ (Outward FDI) ของจีนในปี 2007 คือ 26.51 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ แต่ในปี 2008 กราฟสูงขึ้นเท่าตัวเป็น 55.91 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ตัวเลขยังสูงขึ้นเรื่อยๆ ที่น่าสังเกตคือผู้ลงทุนจากจีนนั้นไม่ใช่เอกชนเป็นส่วนใหญ่เหมือนตะวันตก แต่เป็นรัฐวิสาหกิจถึงร้อยละ 70.5 ของการออกไปลงทุนต่างประเทศทั้งหมดของจีน นัยยะสำคัญคือ กำไรจากการลงทุนมหาศาลนั้นไหลเข้ารัฐบาล

เป็นที่น่าสนใจว่า อะไรทำให้จีนเร่งฝีเท้าในการบุกโลกด้วย “ทุน” อย่างหนักหน่วงในระยะหลังนี้? โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อาเซียนเป็นภูมิภาคหนึ่งที่ยักษ์ใหญ่กำลังหาทางรุกเข้ามา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ประเทศพม่า ปริมาณการลงทุนของจีนในประเทศพม่าเพียงช่วงระยะเวลา 4 ปี พุ่งสูงขึ้นอย่างน่าตกใจถึง 3800% เกิดอะไรขึ้นกับพม่าในระยะที่ผ่านมา?

ดร.อักษรศรี พาณิชสาส์น ผู้ช่วยศาสตราจารย์ คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจของรัฐบาลจีน ได้วิเคราะห์การที่ทุนจีนเดินทางออกต่างประเทศ และเล่าถึงโครงการยักษ์ของจีนที่เกิดขึ้นในพม่าในงานสัมมนาปัญญาภิวัตน์ “อาณาจักรทุนจีนในอาเซียน” ที่โรงแรมทวินทาวเวอร์เมื่อ 30 พ.ค. 55 ที่ผ่านมา

ทุนจีนบุกทั่วโลก มีรัฐบาลอุ้มอยู่เบื้องหลัง


ดร.อักษรศรีสรุปปัจจัยที่ทำให้ทุนจีนเดินออกไปอย่างรวดเร็วในช่วงไม่กี่ปีมานี้ไว้ 7 ข้อ

1. จีนต้องการทรัพยากรทางธรรมชาติ และแสวงหาความมั่นคงด้านพลังงาน เพราะจีนเคยประสบปัญหาขาดแคลนพลังงานเมื่อ 7-8 ปีที่แล้ว ด้วยจำนวนประชากรที่มากที่สุดในโลก และการขยายอย่างรวดเร็วของเมือง ทำให้จำเป็นต้องออกไปแสวงหาแหล่งพลังงานทรัพยากรภายนอก

2. จีนต้องการวัตถุดิบหรือผลผลิตเกษตร เพื่อเป็นวัตถุดิบในการผลิตภาคอุตสาหกรรม แปรรูปเพิ่มมูลค่า เช่น การซื้อยางพาราถูกๆจากไทยนำไปผลิตยางล้อรถยนต์ในจีน

3. เพื่อเรียนรู้ระบบบริหารจัดการสมัยใหม่ และเทคโนโลยีทันสมัย โดยเฉพาะจากภูมิภาคยุโรป จีนจึงไปลงทุนในยุโรปทั้งที่มีต้นทุนในการลงทุนสูง แต่มองว่าคุ้มในการเรียนรู้

4. กระแสกดดันจากคู่ค้าหลายชาติที่ต่อต้านสินค้า “Made in China” จึงย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศอื่น เพื่อสามารถระบุข้อมูลแหล่งผลิตเป็นชื่อประเทศอื่นที่ตนไปตั้งโรงงานได้

5. เพื่อเข้าสู่ตลาดขนาดใหญ่ในต่างประเทศ บางประเทศส่งสินค้าไปขายได้ยาก หากไปตั้งโรงงานที่นั่นได้จะสะดวกกว่า

6. ต้นทุนการผลิตในจีนสูงขึ้น ค่าแรงแพงขึ้นในมณฑลชายฝั่ง จึงต้องการออกไปหาแหล่งผลิตที่มีต้นทุนต่ำกว่า ปัจจุบันค่าแรงในจีนแพงมากขึ้น เนื่องจากกฎหมายแรงงานในจีนมีการเพิ่มค่าแรง จีนจึงสนใจอาเซียนซึ่งเป็นแหล่งแรงงานราคาถูก

7. ค่าเงินหยวนแข็งค่ามากขึ้นตลอดเวลา ทำให้การส่งออกแพงขึ้น การไปซื้อโรงงานถูกๆในต่างประเทศจะคุ้มกว่า

ดร.อักษรศรี กล่าวว่าทุนจีนยังมีมือที่มองไม่เห็นมาช่วย “อุ้ม” ออกไปยังต่างประเทศ รัฐบาลจีนใช้หลายมาตรการเพื่อการสนับสนุนการ “เดินออกไป” ของทุนจีน เช่นการตั้งหน่วยประสานงานเฉพาะเพื่อการออกไปลงทุน สนับสนุนข้อมูลที่จำเป็นต่อการลงทุนในต่างประเทศ ที่สำคัญคือการสนับสนุนทางการเงินโดยให้เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำระยะยาว หรือกู้โดยปลอดดอกเบี้ยเป็นบางโครงการ รัฐบาลยังส่งเสริมการออกไปลงทุนตั้ง "นิคมเศรษฐกิจการค้า" ของทุนจีนในต่างประเทศ หรือที่รัฐบาลจีนเรียกว่า "China’s National Overseas Trade and Economic Cooperation Zone" เพื่อให้ทุนจีนได้รวมตัว และ "จับมือกัน" เดินออกไป หรือพูดง่ายๆ ว่า เป็นการออกไปสร้าง "คลัสเตอร์ จีน" ในต่างแดน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการของทุนจีนในต่างแดน

ตัวอย่างของนิคมจีนในประเทศไทยอยู่ภายในนิคมอมตะ จังหวัดระยอง มีพื้นที่ประมาณ 500 ไร่ บริหารจัดการโดยบริษัท Thai-Chinese Industrial Realty Development หรือชื่อภาษาไทยว่า "บริษัท พัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอุตสาหกรรมระยอง (ไทย-จีน) จำกัด" นิคมจีนแห่งนี้เป็นการเข้ามาลงทุนในไทยโดยกลุ่ม Holley Group จากมณฑลเจ้อเจียง ร่วมมือกับกลุ่มอมตะ (ร่วมถือหุ้นประมาณร้อยละ 25) จดทะเบียนในปี 2007 ในขณะนี้ มีนักลงทุนจีนตามเข้ามาตั้งโรงงานในนิคมจีนในไทยดังกล่าวแล้วประมาณ 32 ราย

ภูมิภาคที่จีนออกไปลงทุนมากที่สุดในปี 2010 คือเอเชีย คิดเป็นร้อยละ 46.3 หรือเกือบครึ่งของการลงทุนทั้งหมดในต่างประเทศของจีน ส่วนมากอยู่ที่ฮ่องกง รองลงมาคือแอฟริกา และละตินอเมริกา ส่วนการลงทุนในอเมริกาเหนือและยุโรปยังค่อนข้างน้อย เนื่องจากยังมีอุปสรรคในด้านกฎหมาย การเงิน นโยบายที่ให้การบริการอย่างเป็นระบบ เป็นต้น

เมื่ออาเซียนคือขุมทรัพย์สำหรับจีน ยุทธศาสตร์รุกลงใต้จึงเกิดขึ้น

เป้าหมายหนึ่งที่จีนพยายามจับให้อยู่หมัดคือ อาเซียน อาเซียนอยู่ลำดับที่ 3 ของมูลค่าการลงทุนในต่างประเทศทั้งหมดของจีน รองจากฮ่องกง และออสเตรเลีย สถิติการลงทุนของจีนในแต่ละประเทศแถบอาเซียนมีกราฟที่พุ่งกระโดดอย่างมากในช่วงปี 2008-2010
“การที่จีนเข้ามาลงทุนในอาเซียนไม่ใช่เรื่องบังเอิญ และไม่ใช่กระแสภูมิภาค แต่เป็นความตั้งใจของผู้นำจีนอย่างลุ่มลึก” ดร.อักษรศรีกล่าว

อาเซียนมีอะไรที่ดึงดูดจีน?

ดร.อักษรศรีมองว่ามีเหตุผลหลายอย่างประกอบกัน ในทางการเมือง ความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับประเทศตอนใต้อย่างอาเซียนดูจะราบรื่นกว่าประเทศเพื่อนบ้านด้านอื่นๆ มีข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) ระหว่างอาเซียนกับประเทศต่างๆที่จีนใช้เป็นสปริงบอร์ดได้ ในทางเศรษฐกิจ อาเซียนเป็นตลาดใหญ่ที่มีประชากรเกือบ 600 ล้านคน มีกำลังซื้อมาก มีทรัพยากรอุดมสมบูรณ์ มีทั้งปัจจัยการผลิตที่จีนต้องการ มีแรงงานค่าจ้างต่ำฝีมือพอใช้ มีแหล่งทุน พื้นที่สภาพอากาศเหมาะสมกับการเพาะปลูก มีวัตถุดิบหลายชนิด กรณีที่จีนเข้ามาลงทุนสร้างเขื่อนขนาดยักษ์ "มี้ตโสน" กั้นแม่น้ำอิรวดีในพม่า แล้วถูกต่อต้านกระทั่งประธานาธิบดีเตงเส่งสั่งระงับโครงการ ก็เป็นความต้องการทรัพยากรพลังน้ำเพื่อผลิตไฟฟ้า

ดร.อักษรศรีเรียกการเข้ามาของจีนในอาเซียนว่า “ยุทธศาสตร์รุกลงใต้ของจีน” (China’s Look South Policy) รัฐบาลจีนดำเนินยุทธศาสตร์นี้อย่างเป็นขั้นเป็นตอน เริ่มจากการเบิกทางการค้าด้วยการ “จีบ” อาเซียนให้ทำข้อตกลงเขตการค้าเสรีหรือ FTA ค่อยๆลดภาษีการนำเข้าให้เหลือศูนย์

“สิ่งหนึ่งในเชิงสัญลักษณ์ที่ชัดเจนมากในการรุกลงใต้ของจีนคือข้อตกลงการค้าเสรี ASEAN-China FTA ที่นายกรัฐมนตรีจูหรงจีของจีนชักชวนอาเซียนให้ทำเมื่อปี 2000 อาเซียนตกใจงงว่าจะทำไปทำไมเพราะก่อนหน้านั้นอาเซียนไม่ได้สนใจค้าขายกับจีนเลย มีแต่จะแข่งกันด้วยซ้ำ แต่อาเซียนก็ไม่ปฏิเสธที่จะขึ้นขบวนรถไฟนี้ จีนผลักดัน FTA ฉบับนี้มากตั้งแต่ปี 2000 พวกเราทราบดีถึงฤทธิ์เดชของ FTA ฉบับนี้ที่สินค้าจีนเต็มบ้านเต็มเมืองทั้งในไทยและอาเซียน จนจีนผงาดขึ้นเป็นคู่ค้าอันดับ 1 ของหลายประเทศในอาเซียน”

เมื่อเบิกทางให้ค้าขายได้ราบรื่นแล้ว สเต็ปต่อไปของยุทธ์ศาสตร์รุกลงใต้คือเบิกทางด้านการลงทุน จีนไม่ได้นำสินค้ามาอย่างเดียว แต่พ่อค้า นักธุรกิจ โรงงานจีนยังทยอยเข้ามาด้วย ทางการจีนพยายามเพิ่มอิทธิพลของสกุลเงินหยวนโดยเริ่มผลักดันโครงการชำระเงินด้วยสกุลหยวน (RMB Trade Settlement) ในปี 2007 อินโดนิเซีย มาเลเซีย สิงคโปร์ และไทยเข้าร่วม จีนพัฒนาประตูการค้าและการลงทุนกับอาเซียน โดยในปี 2009 รัฐบาลมณฑลกวางสีซึ่งเป็นเกตเวย์สู่อาเซียนผลักดันความร่วมมือทางเศรษฐกิจรอบอ่าวเป่ยปู้ หรืออ่าวตังเกี๋ย ในบริเวณทะเลจีนใต้ (Pan-Beibu Gulf Economic Cooperation: PBG) เพื่อพัฒนาโลจิสติกทางทะเล ขนานไปกับการพัฒนาโลจิสติกทางบกโดยกลุ่มความร่วมมืออนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง (Grater Mekong Sub-Region) ที่มีอยู่ก่อนแล้ว

ดร.อักษรศรีเล่าถึงกรณีล่าสุดที่สามีของ กลอเรีย อาโรโย อดีตประธานาธิบดีของฟิลิปปินส์ โดนคดีความเรื่องรับเงินสินบนจากบริษัท ZTE ของจีน ในการทำสัมปทานระบบโทรคมนาคมของฟิลิปปินส์ ในมูลค่าโครงการประมาณ 300 ล้านเหรียญสหรัฐฯ มีเงินสินบนของสามีอดีตประธานาธิบดีรวมอยู่ราว 70 ล้านเหรียญสหรัฐฯ สิ่งนี้แสดงว่าเวลาจีนไปลงทุนในประเทศที่เรื่องพิพาทกับตนอย่างฟิลิปปินส์ ซึ่งมีข้อพิพาทเรื่องพื้นที่ทับซ้อนในทะเลจีนใต้ บางครั้งการจ่ายเบี้ยใบ้รายทางก็เป็นวิธีการหนึ่งเพื่อทำให้การลงทุนนั้นราบรื่น

สิ่งที่นักธุรกิจชาวจีนต้องระวังเมื่อมาลงทุนในประเทศไทยคือ ถ้าจีนมาแบบใหญ่โตมโหฬารแล้วมีรูปแบบพฤติกรรมด้านเสียมากไปหน่อย อาจจะมีกระแสไม่เอาจีนเกิดขึ้นได้ และตอนนี้เริ่มมีกระแสแบบนี้แล้ว พม่าก็เป็นเช่นกันในบางเมืองอย่างมัณฑะเลย์ที่ชาวจีนอพยพเข้าไปอย่างรวดเร็ว การที่บางบริษัททำผิดพลาดก็อาจทำลายภาพลักษณ์ของคนชาติเดียวกัน เช่น กรณี China City Complex ที่บางนา ถูกคนไทยต่อต้านเพราะโครงการนี้เหมือนเป็นโครงการกำมะลอ มีแต่การแสดงภาพ แสดงโมเดล แต่ที่ดินก็ยังไม่ได้ซื้อ ยังไม่มีหุ้นส่วนตอนที่เปิดตัวโครงการเมื่อ 18 มกราคมเมื่อปีที่แล้ว ดร.อักษรศรีกล่าวว่าตนเองก็ไม่เคยเห็นด้วยกับโครงการนี้ เพราะโครงการนี้เป็นโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่เขาตั้งใจเปิดเพื่อขายของจีนโดยคนจีนในแผ่นดินไทย

ส่วนทุนจีนที่มีความเป็นมืออาชีพและไม่ได้สร้างผลกระทบอะไรกับไทยก็มีหลายราย เช่น บริษัทแนวหน้าจากจีนที่มาผลิตท่อไร้ตะเข็บในทะเลที่ใหญ่ที่สุดในโลก มาลงทุนในนิคมจีนในระยองด้วยมูลค่ามหาศาล ใช้ไทยเป็นฐานผลิต แต่ไม่ได้เน้นขายไทย ขายทั่วโลก

“บางคนอาจมองว่าจีนไปเที่ยวดูดทรัพยากรโลก แต่จริงๆแล้วไปว่าจีนไม่ได้ เพราะมหาอำนาจก็ทำกันทั้งนั้น อย่างสหรัฐฯเก็บน้ำมันของตัวเองไว้ดิบดีแต่ไปเที่ยวดูดน้ำมันคนอื่น นั่นคือพฤติกรรมของมหาอำนาจมากกว่า เราต้องรู้ทันว่าเขาทำเพื่อผลประโยชน์ของคนในชาติเขา อย่าไปคิดว่าจีนคือตาแป๊ะใจดี อากงใจดี มาเที่ยวช่วยนู่นช่วยนี่ เขาทำเพื่อคนของเขา และนั่นก็ไม่ผิด เราต่างหากที่จะต้องทำแบบเขาบ้าง คือทำเพื่อคนของเรา เพื่อผลประโยชน์แห่งชาติตัวเองบ้าง ภาษารัฐศาสตร์เรียกว่า National Interest” อ.อักษรศรีกล่าว

จีนเปิดอภิมหาโปรเจกต์ ผ่ากลางประเทศพม่า สร้างทางลัดสู่ทะเล

หากไปดูสถิติการลงทุนของจีนในพม่า จะพบตัวเลขที่พุ่งกระโดดอย่างน่าทึ่งกว่าทุกประเทศในอาเซียน เมื่อปี 2005 จีนมีมูลค่าการลงทุนเพียง 24 ล้านเหรียญสหรัฐฯ แต่พอถึงปี 2009 ตัวเลขสูงขึ้นไปเป็น 930 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นประมาณ 3800% ทำให้พม่าติดอันดับ 19 ของประเทศที่จีนไปลงทุนมากที่สุด

อะไรอยู่เบื้องหลังสถิติการลงทุนที่เปลี่ยนแปลงแบบทะลุเพดานเช่นนี้?

คำตอบคือโครงการยักษ์ของจีนในพม่าเพื่อแก้ปัญหาในการออกสู่ทะเลของจีน ดร.อักษรศรีกล่าวว่าทุกวันนี้จีนออกทะเลได้ข้างเดียวคือทางมหาสมุทรแปซิฟิก ถ้าจะออกมหาสมุทรอินเดียเพื่อไปยุโรป แอฟริกา ตะวันออกกลาง ต้องไปอ้อมช่องแคบมะละกา ช่องแคบมะลาจึงเป็นชีพจรทางทะเลของจีน มีสถิติว่าเรือจีนผ่านช่องแคบมะละกาเฉลี่ย 140 ลำต่อวัน แต่ช่องแคบมะละกามีโจรสลัดชุกชุม จีนจึงพยายามหาทางออกทะเลโดยลดการพึ่งพาช่องแคบมะละกาโดย “ผ่ากลางพม่า”

“ดิฉันเคยไปสอนหนังสืออยู่ที่มหาวิทยาลัยยูนนาน เมืองคุนหมิง เมื่อประมาณปี 2005 พบว่า Professor ของเขากำลังศึกษาใหญ่เลยว่าจีนจะออกทะเลทางไหนได้ เขาเน้นศึกษาพม่าทั้งหมด แล้วในที่สุดเขาเคาะว่าจะออกทางนี้ คือออกจากชายแดนจีนที่เมืองรุ่ยลี่ เข้าสู่พม่าที่เมืองมูเซ แล้วไปยังเมืองที่ภาษาพม่าเรียก จ้าวผิ่ว ภาษาจีนเรียก เจียวเพียว พอเขาตัดสินใจได้ตรงนี้ปุ๊บ 4 อภิมหาโปรเจกต์มาทันที "



อักษรศรีอธิบายถึงโครงการยักษ์ 4 โครงการที่รัฐบาลจีนสั่งดำเนินการหลังตัดสินใจเลือกเส้นทางลัดทางน้ำจากมหาสมุทรอินเดียเข้าสู่จีนได้ (โดยไม่ต้องไปอ้อมทางช่องแคบมะละกาอีกต่อไป) จากการที่ตนไปเก็บข้อมูลในคุนหมิง ประเทศจีน และย่างกุ้ง ประเทศพม่า เมื่อปี 2553

โครงการแรก ท่อส่งน้ำมันดิบ น้ำมันดิบที่ขนมาจากตะวันออกกลางจะมาลงท่อที่นี่ แนวท่อทอดจากเมืองเจียวเพียว (เรียกตามสำเนียงจีน) ผ่านมัณฑะเลย์-ลาโช-มูเซ ประเทศพม่า เข้าสู่เมืองมูเซ ไปถึงคุนหมิง ประเทศจีน ความยาวท่อ 1,100 กม. คาดว่าจะขนส่งน้ำมันดิบได้ 22 ล้านตันต่อปี

โครงการที่ 2 ท่อส่งก๊าซธรรมชาติ เชื่อมจากแหล่งก๊าซในพม่า วางแนวขนานกับท่อส่งน้ำมันดิบ คาดว่าจะขนส่งก๊าซได้ถึง 12,000 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี สี จิ้นผิง รองประธานาธิบดีของจีน ได้มาลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ว่าด้วยการขุดเจาะก๊าซธรรมชาติ ตลอดจนการบริหารท่อก๊าซดังกล่าวระหว่างการเยือนพม่าเมื่อมิถุนายนปี 2009

โครงการที่ 3 รถไฟ เจียวเพียว-มูเซ เส้นทางแนวเดียวกับท่อส่งก๊าซและท่อส่งน้ำมัน รถไฟวิ่งได้เร็ว 160 กม./ชม. ความยาวของระยะทางรถไฟคือ 810 กม. หากเปรียบเทียบแล้วจะประหยัดเวลากว่าเส้นทางท่าเรือทวาย-มูเซ ที่มีความยาว 1,700 กม. เมื่อครั้งที่ประธานาธิบดีเตงเส่งไปเยือนจีนเป็นประเทศแรกหลังได้รับตำแหน่ง พม่าได้รับเงินจาก China Development Bank ในปี 2011 เพื่อสร้างรถไฟสายนี้

โครงการที่ 4 นิคมอุตสาหกรรมและท่าเรือน้ำลึกที่เมืองเจียวเพียว ท่าเรือน้ำลึกสามารถรองรับเรือบรรทุกน้ำมัน 3 แสนตันได้ เมืองนิคมอุตสาหกรรมจะมีทุกอย่างครบวงจร ทั้งสนามบิน โรงงานปิโตรเคมี โรงงานถลุงเหล็ก เรียกได้ว่าเอามาบตาพุดกับแหลมฉบังมารวมกัน
แผนที่นิคมอุตสาหกรรมที่เมืองเจียวเพียว แหล่งที่มา http://econ.tu.ac.th/archan/aksornsri/China_%20High%20Speed%20Train%20in%20GMS_by%20Aksornsri_PDF.pdf
ดร.อักษรศรีอธิบายขั้นตอนการดำเนินโครงการว่า เริ่มจากรัฐบาลเซ็นให้ความช่วยเหลือ จากนั้น บริษัท CITIC Groups ซึ่งเป็นบริษัทลงทุนของรัฐบาลจีนจะรับงานไปดูแลทั้งหมด แล้วไปแบ่งให้บริษัทจีนที่เชี่ยวชาญเฉพาะด้านทำต่อ เช่น ท่าเรือบรรทุกน้ำมันดิบ จะดำเนินการสร้างโดย China National Petroleum Coporation (CNPC) และ CNPC จะไปตั้งบริษัทลูกในพม่ามาดูแลอีกที ในแผนระบุอย่างละเอียดว่าโครงการจะเสร็จวันที่ 23 พฤศจิกายน 2012 งานนี้ได้รับเงินอัดฉีดเต็มที่จากรัฐบาลจีน จึงไม่มีติดขัดเรื่องแหล่งทุน มีแต่รอให้โครงการเสร็จแล้วไปใช้

โครงการยักษ์ 4 โครงการนี้ทำให้มูลค่าการลงทุนของในพม่าพุ่งสูงลิ่ว เราไม่ค่อยรู้เรื่องนี้เพราะทางการจีนเองก็ไม่อยากให้ใครมารู้ เพราะนี่เป็นแผนสำคัญของเขา ถ้าโครงการเหล่านี้เสร็จ ปี 2013 จีนจะเลิกใช้เส้นทางช่องแคบมะละกาในการเดินเรือสินค้า พันอากาศโท Christopher J. Pehrson กองทัพอากาศสหรัฐฯ เรียกโครงการเหล่านี้ว่า “ยุทธศาสตร์สร้อยไข่มุกของจีน” ในบทความ String of Pearls: Meeting the challenge of China’s rising power across the Asian littoral. ซึ่งวิเคราะห์ยุทธศาสตร์การออกทะเลของจีนในมุมการทหาร

ลาวเกือบมีรถไฟที่ล้ำหน้ากว่าไทย แต่กระอักกับเงื่อนไขสุดพิสดารของจีน

ดร.อักษรศรีเล่าถึงบันทึกความเข้าใจ (MOU) รถไฟจีน-ลาว ที่รัฐมนตรีกระทรวงรถไฟของจีน กับรัฐมนตรีลาว ลงนามร่วมกันตั้งแต่ 7 เมษายน 2010 ทางรถไฟมีความยาว 421 กิโลเมตร มี 5 สถานีหลักคือ บ่อเต็น-อุดมไซ-หลวงพระบาง-วังเวียง-เวียงจันทร์ รางแบบทันสมัยกว้าง 1.4 เมตร จีนเป็นผู้ศึกษาความเป็นไปได้โดยใช้เวลาไม่นานนัก แต่จีนมีเงื่อนสารพัด เช่น สัดส่วนลงทุน 70:30 ต้องสร้างโดยบริษัทจีน และใช้เทคโนโลยีของจีนเท่านั้น ลาวก็ยอมทั้งหมด เพราะตอนนี้ลาวมีรถไฟระยะทางเพียง 3.5 กม. รางเล็กๆที่ไทยสร้างให้จากหนองคาย ไปท่านาแร้ง กระทรวงการรถไฟของจีนทำคลิปโมเดลออกโชว์ และจะวางศิลาฤกษ์ปี 2011 กำหนดสร้างเสร็จในปี 2015 ลาวกำลังจะมีรถไฟที่สุดทันสมัย

นี่คือเรื่องราวอันชวนฝัน แต่......... ณ บัดนี้ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น เกิดอะไรขึ้นกับรถไฟสายนี้?

เหตุผลที่ทำให้โครงการนี้ถูกระงับ ดร.อักษรศรีกล่าวว่ามี 4 เหตุผล ข้อแรก หลิว จื้อจวิน อดีตรัฐมนตรีกระทรวงรถไฟจีน ผู้ดูแลโครงการถูกปลดออกจากพรรคคอมมิวนิสต์ข้อหาคอรัปชัน ข้อสอง มูลค่าโครงการถไฟสายนี้ประมาณ 7,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งสูงกว่า GDP ทั้งประเทศลาว ทำให้ธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเซีย (ADB) ไม่สนับสนุน ข้อสาม จีนขอใช้แรงงานจีนสร้างทางรถไฟสายนี้ 50,000 ครอบครัว ถ้าตีว่าครอบครัวละ 10 คน ก็จะมีประมาณ 500,000 คน ซึ่ง “มาแล้วไม่กลับ” ดูได้จากคนงานจีนที่มาสร้างสนามกีฬาซีเกมส์ที่เวียงจันทน์ มีกลับประเทศเป็นส่วนน้อย

ข้อสำคัญที่สุดที่ทำให้ลาวเหลือที่จะรับ คือการขอสิทธิในการใช้ที่ดินเลียบทางรถไฟสายนี้ ข้างขวา 5 กม. และข้างซ้ายอีก 5 กม. ตลอดความยาว 421 กิโลเมตรของทางรถไฟ จีนขอสิทธิในพื้นที่แต่เพียงผู้เดียวทั้งบนฟ้า บนดิน ใต้ดิน เป็นเวลา 50 ปี รัฐบาลลาวตัดสินใจขอศึกษาความเป็นไปได้ใหม่อีกรอบ และเรื่องยังค้างจนถึงบัดนี้



ถ้ารถไฟสายนี้เกิด จะเป็นการลงสู่อาเซียนของจีนโดยใช้ทางรถไฟ ตามภาพคือแนวรถไฟที่จีนวางแผนไว้ตอนแรกสุดหากไม่เกิดปัญหาสะดุดอะไร คือรถไฟลงมาจากคุนหมิงในจีน มาถึงเวียงจันทร์ ประเทศลาว ต่อลงมาที่หนองคายซึ่งอยู่ติดเวียงจันทร์ มายังกรุงเทพฯ แล้วมุ่งลงใต้เป็นแนวที่เชื่อมลงมายังอาเซียน นี่คือสิ่งภาพทางรถไฟที่อยู่ในใจจีน แต่เกิดปัญหาเสียก่อน

จีนจับมือกับไทยสร้างรถไฟความเร็วสูง ต้องช่วยกันจับตามอง

ดร.อักษรศรี กล่าวว่าเมื่อ 17 เมษายน 2555 ที่ผ่านมา นายกฯยิ่งลักษณ์ไปเยือนจีน ตนได้ร่วมคณะของนายกฯไปด้วย มีการเซ็นบันทึกความเข้าใจ (MOU) หลายฉบับ แต่ที่น่าจับตามองที่สุดคือบันทึกความเข้าใจ “รถไฟ ไทย-จีน” ลงนามวันที่ 17 เมษายน 2555 โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคมนาคมของไทย และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงรถไฟคนใหม่ของจีน

ดร.อักษรศรีนำภาพถ่ายเอกสารบันทึกความเข้าใจฉบับภาษาอังกฤษดังกล่าวที่ชื่อหัวข้อ Railway Development Corporation between Thailand and China มาแสดง มีข้อความที่ระบุว่า รถไฟความเร็วสูง กรุงเทพ-เชียงใหม่ จะเชื่อมไปลาวและประเทศอื่นๆในอาเซียน “…hi-speed rail link from Bangkok to Chiangmai and other rail system to connect to Laos and other Asean…”

“สิ่งที่ติดใจมาก คือมีประโยคที่เขียนว่า การศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการจะทำโดยฝั่งจีน The feasibility study will be conducted by Chinese side. ทำไมไม่ศึกษาความเป็นไปได้ร่วมกัน ดิฉันอยากให้ประเทศมีรถไฟความเร็วสูง แต่ต้องรอบคอบ อย่าให้เกิดเหตุเหมือนประเทศเพื่อนบ้าน อย่าอยากได้อะไรบางอย่างจนขาดความรอบคอบ ฝากให้ทุกคนเป็นหูเป็นตา”

ที่มา.ประชาไท
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

พท.เรียกร้องศาล รธน.ทบทวนอำนาจรับวินิจฉัยร่างแก้ไข รธน.

เพื่อไทยเรียกร้องศาล รธน.ทบทวนอำนาจรับวินิจฉัยร่างแก้ไข รธน. พร้อมขอให้อัยการสูงสุดชี้แจงอำนาจหน้าที่ เผยเตรียมรวบรวมหลักฐานยื่นสอบจริยธรรมและถอด ส.ส.ประชาธิปัตย์ กระทำพฤติกรรมไม่เหมาะสม ระหว่างการประชุมสภาฯ

นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า พรรคเพื่อไทย ได้เรียกประชุม ส.ส. วันที่ 5 มิถุนายนนี้ เพื่อหารือทำความเข้าใจเรื่องการลงมติร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ วาระ 3 คาดว่าประธานรัฐสภาจะเรียกประชุม 8 มิถุนายนนี้ โดยนอกจากจะพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญแล้วยังมีกรอบความร่วมมือต่างๆ ตามมาตรา 190 พิจารณาด้วย รวมถึงพรรคจะหารือ ร่าง พ.ร.บ. ว่าด้วยความปรองดองแห่งชาติ ซึ่งในช่วงวันหยุดได้ให้สมาชิกไปทำความเข้าใจกับประชาชนในพื้นที่ว่าการเสนอ ร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยความปรองดองแห่งชาติ ไม่ได้ทำเพื่อใคร

โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า เรียกร้องให้นายวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ ประธานตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ไปดูรัฐธรรมนูญมาตรา 68 ให้ดี เพราะระบุชัดว่า ศาลรัฐธรรมนูญไม่มีอำนาจรับวินิจฉัยร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญว่าขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่ และให้รอการดำเนินการไว้ก่อน และขอให้ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญทุกคนไปดูรายงานแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 เพราะระบุชัดเจนว่าประชาชนต้องยื่นผ่านอัยการสูงสุดเท่านั้น ไม่ใช่ยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญโดยตรง ดังนั้น ขั้นตอนมิชอบ ไม่มีอำนาจสั่งสภา ก้าวล่วงอำนาจนิติบัญญัติ และศาลรัฐธรรมนูญไม่มีอำนาจชี้ว่ารัฐธรรมนูญขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่ และขอเรียกร้องให้อัยการสูงสุดให้ออกมาชี้แจงอำนาจหน้าที่ต่อประชาชน เพื่อไม่ให้เกิดความสับสน

"ผมขอถามว่าท่านจรัญ ภักดีธนากุล ท่านสุพจน์ ไข่มุกด์ ท่านนุรักษ์ มาประณีต จำการยกร่างรัฐธรรมนูญ ปี 50 ได้หรือไม่ ทำไมอ่านกฎหมายอย่างนี้ไม่เข้าใจ หรือแกล้งทำความจำสั้น รู้ทั้งรู้ว่าไม่มีอำนาจรับไว้ แต่ยังรับไว้ แสดงว่ามีวาระซ่อนเร้นหรือไม่ ตุลาการเสียงข้างมากทั้ง 7 รู้ว่าทำผิดพลาด วันนี้ยังกลับตัวทันเปลี่ยนแปลงคำสั่งได้” นายพร้อมพงศ์ กล่าว

นายพร้อมพงศ์ กล่าวว่า รู้สึกผิดหวังที่พรรคประชาธิปัตย์เสนอปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎรสมัยสามัญนิติบัญญัติ เพราะห่วงจะขัดแย้ง พร้อมขอให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ออกมาขอโทษประชาชน และตั้งกรรมการสอบ ส.ส. ที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมระหว่างการประชุมสภาผู้แทนราษฎร หากทำไม่ได้ควรลาออกและถ้าไม่มีการดำเนินการใดๆ จะติดตามชนิดที่ว่ากัดไม่ปล่อย เบื้องต้นอาจรวบรวมหลักฐานยื่นยุบพรรคประชาธิปัตย์ จากกรณีเปิดเวที่ปราศรัยลานคนเมือง และที่จังหวัดภูเก็ตที่สุ่มเสียงขัดรัฐธรรมนูญ กล่าวหาบุคคลอื่นให้เสียหายสุมไฟขัดแย้งรอบใหม่ และในวันที่ 8 มิถุนายนนี้ จะยื่นให้ประธานสภาผู้แทนราษฎร สอบจริยธรรม ส.ส.ประชาธิปัตย์ นายอภิชาติ สุภาแพ่ง นายพงศ์เวช เวชชาชีวะ น.ส.รังสิมา รอดรัศมี นายธานี เทือกสุบรรณ น.พ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ที่กระทำพฤติกรรมไม่เหมาะสม ระหว่างการประชุมสภาฯ และจะยื่นผู้ตรวจการแผ่นดินถอดถอนบุคคลดังกล่าวต่อไป.-

ที่มา:สำนักข่าวไทย
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ใครหลอกใช้ !!?

“ขอบคุณ พ.ร.บ.ปรองดอง ที่จะพาผมกลับบ้านแบบเท่ๆ”

“ผมจะกลับบ้านแบบเท่ๆ ใครจะตายผมก็ไม่สน”

ป้าย 2 ข้อความของเครือข่ายเสรีราษฎร แนวร่วมกลุ่มคนเสื้อแดง ที่แต่งตัวเลียนแบบเหตุการณ์สลายการชุมนุมโดยแต่งตัวเป็นทหารใช้ปืนจ่อศรีษะคนเสื้อแดง และมีการสวมหน้ากากพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เพื่อยื่นถึงผู้บริหารและสมาชิกพรรคเพื่อไทย คัดค้านร่างพ.ร.บ.ว่าด้วยความปรองดองแห่งชาติของพล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน หัวหน้าพรรคมาตุภูมิและคณะ โดยระบุว่า เขียนจากคณะบุคคลที่มีส่วนในการทำรัฐประหารซึ่งเนื้อหามุ่งลบล้างผลพวงรัฐประหารที่ปลายเหตุ

ขณะที่เครือข่ายเสรีราษฎร ต้องการให้ตัดข้อความเกี่ยวกับนิรโทษกรรมรัฐบาลและเจ้าหน้าที่รัฐที่จัดการเรื่องการสลายการชุมนุมจนเป็นเหตุให้มีผู้ชุมนุมบาดเจ็บละเสียชีวิตออกและต้องผลักดันการค้นหาความจริงว่าใครเป็นผู้กระทำการด้วยความรุนแรง จนทำให้ประชาชนเสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก

นอกจากนี้เครือข่ายเสรีราษฎรยังให้เร่งเอานักโทษทางการเมืองที่เกิดจากความขัดแย้งทางการเมืองที่ผ่านมาออกจากการจองจำทั้งหมดและให้เพิ่มความในร่างพ.ร.บ.ว่า การชุมนุมทางการเมืองเป็นการแสดงออกทางการเมือง รวมทั้งที่เกี่ยวเนื่องกับประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และพ.ร.บ.การกระทำผิดเนื่องจากคอมพิวเตอร์

“สนธิ”สู้ครั้งสุดท้าย(อีกแล้ว)

ขณะที่ นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้ปราศรัยในงาน “คอนเสิร์ตเมืองไทยรายสัปดาห์ภาคพิเศษ” เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคมที่ผ่านมาว่า พันธมิตรฯ จะชุมนุมต่อต้านร่างพ.ร.บ.ปรองดองจนถึงที่สุดและครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้าย

“ถ้าแพ้ ต้องตายคาลูกปืนก็จะตาย แต่ถ้าชนะเมื่อไหร่จะล้างมือในอ่างทองคำ และจะลาออกจากแกนนำไปใช้ชีวิตเงียบๆ ไม่ต้องให้ใครมาหลอกใช้อีก”

นายสนธิกล่าวว่า ตนจำเป็นต้องพูด เพราะไม่มีงานเลี้ยงใดไม่เลิกรา วันที่ 30 พฤษภาคมจะเป็นงานเลี้ยงที่สำคัญ ตนจะอยู่เคียงข้างพี่น้องตลอดไปจนกว่าเรื่องราวจะจบ แต่ไม่อยากให้ถามว่าถ้าจบแล้ว ตนหายไปไหน เพราะที่ผ่านมาพี่น้องมีความรู้มากพอแล้ว และเป็นคนคุณภาพแล้ว

“พี่น้องอย่าโกรธผม ขอให้เข้าใจผม ผมสู้มาตั้งแต่อายุ 58 จน 65 แล้ว ไม่ได้มีชีวิตอย่างมนุษย์ธรรมดาเลย สู้ครั้งสุดท้ายครั้งนี้ อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด ถ้าชนะจะยกประเทศให้เขาดูแลต่อไป ถ้าดูแลไม่ดีไม่ต้องมาเรียกผม ผมจะอยู่ในใจพี่น้องทุกคน ขอเป็นนักสู้ผู้ไม่ยอมแพ้ให้พี่น้องระลึกถึง”

นอกจากนี้แกนนำพันธมิตรฯ ยังออกแถลงการณ์ “การปฏิรูปประเทศไทย” เพื่อ “ลดอำนาจรัฐ เพิ่มอำนาจประชาชน” ซึ่งส่วนใหญ่เป็นข้อเรียกร้องเดิม โดยเฉพาะการเลือกตั้งที่ให้ปลอดจากทุนสามานย์ไม่ให้ครอบงำประเทศในทุกรูปแบบและผู้แทนประชาชนไม่จำเป็นต้องสังกัดพรรคการเมือง

ร่างพ.ร.บ.ปรองดอง

แต่ร่างพ.ร.บ.ปรองดองขณะนี้มีถึง 4 ร่างที่เสนอเข้าสู่สภา คือ นอกจากร่างพ.ร.บ.ที่เสนอโดยพล.อ.สนธิแล้ว อีก3 ร่างเป็นของส.ส.พรรคเพื่อไทยที่เสนอในนามของกลุ่มบุคคล ซึ่งเนื้อหาไม่ได้แตกต่างจากร่างของพล.อ.สนธิ แต่ที่น่าสนใจคือร่างพ.ร.บ.ปรองดองของ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะแกนนำคนเสื้อแดง และส.ส.เสื้อแดง พรรคเพื่อไทย โดยระะบุว่า การนิรโทษกรรมจะเว้นบุคคลที่ต้องคดีก่อการร้ายและคดีความผิดต่อชีวิตที่เกิดขึ้นในการชุมนุมทางการเมือง ระหว่างวันที่ 15 กันยายน 2548 ถึง 10 พฤษภาคม 2553

นายณัฐวุฒิ ให้เหตุผลว่า หากการกระทำที่ก่อให้เกิดการสูญเสียชีวิตของประชาชน รวมถึงเจ้าหน้าที่ไม่มีกระบวนการเอาผิดและลงโทษ ในอนาคตก็ไม่มีหลักประกันที่จะยืนยันว่า บุคคลที่มีอำนาจจะไม่กระทำการที่ลุแก่อำนาจหรือใช้อำนาจปราบปรามทำลายชีวิตประชาชนอีก การยื่นร่างพ.ร.บ.จึงถือเป็นการทำเพื่อวันนี้และอนาคตของประเทศ

ส่วน นายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำ นปช. อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงเหตุผลที่ต้องเสนอร่างของคนเสื้อแดง เพราะเนื้อหาร่างพ.ร.บ.ปรองดองของพล.อ.สนธินั้น คนสั่งฆ่าประชาชนได้ทั้งขึ้นและล่อง คนเสื้อแดงจึงไม่สามารถปรองดองโดยปล่อยให้ฆาตกรลอยนวลไปได้

“เราไม่ติดใจทหาร แต่ติดใจคนสั่งการ หากคดีบงการฆ่าผ่านไปโดยไม่มีคนรับผิดชอบ ต่อไปก็จะมีการฆ่าอีกนับไม่ถ้วน เมื่อฆ่าแล้วก็จะได้รับการนิรโทษฯ ส่วนตัวสนับสนุนแนวทางปรองดอง แต่ต้องเป็นไปตามหลักนิติรัฐ นิติธรรม และที่นายสุเทพประกาศสละสิทธิ์ไม่ขอรับการนิรโทษกรรม พวกเราที่เป็นแกนนำเสื้อแดง ก็จะไม่ขอใช้สิทธิได้รับนิรโทษกรรมเช่นกัน แต่ในคดีอื่นเล็กๆ น้อยๆ เช่น ผู้ชุมนุมละเมิด พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ควรที่จะได้รับการยกเว้น”

“อภิสิทธิ์”ยังดีแต่พูด?

ส่วนพรรคประชาธิปัตย์ที่ประกาศคัดค้านร่างพ.ร.บ.ปรองดอง โดยเฉพาะ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งคนเสื้อแดงและประชาคมโลกถือเป็น “ผู้นำมือเปื้อนเลือด” ไม่ต่างกับ “โมฆะบุรุษ” แต่ยังใช้วาทกรรมที่ถนัดโจมตี ร่างพ.ร.บ.ปรองดองของพล.อ.สนธิว่าเหมือน “เขียนด้วยมือ ลบด้วยเท้า” และยืนยันว่า ถ้ากฎหมายนี้ออกมาจริงก็ยุ่งวุ่นวายแน่ เพราะการนิรโทษกรรมความผิดทั้งหมดเสมือนไม่เคยมีการกระทำผิดเลย ใครที่ถูกตัดสินคดีไปแล้วก็ให้พ้นจากความผิด แม้แต่คนเอาเอ็ม 79 ไปยิง ฆ่าคน หมิ่นประมาท เผาและขโมย แทนจะจำกัดแค่เรื่องการเมืองจริงๆ ถือเป็นบรรทัดฐานที่อันตรายมาก เพราะทำลายหลักนิติรัฐและหลักนิติธรรม ซึ่งประชาชนที่สูญเสียก็ไม่ได้ต้องการเช่นกัน แต่ต้องการให้ค้นหาความเป็นจริงก่อนแล้วค่อยใช้หลักการให้อภัย ซึ่งตนและนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรี ก็ไม่ประสงค์ให้นิรโทษกรรมเช่นนี้เช่นกัน

นอกจากนี้นายอภิสิทธิ์ยังกล่าวถึงร่างพ.ร.บ.ปรองดองของส.ส.เสื้อแดงว่า เพียงต้องการลดกระแสต่อต้านจากคนเสื้อแดงที่ไม่พอใจ และหากมีชื่อนายณัฐวุฒิลงนามด้วย ก็ถือว่ามีส่วนได้ส่วนเสีย เนื่องจากยังมีคดีความต่างๆ อยู่ โดยส่วนตัวจึงเห็นว่า ร่างกฎหมายดังกล่าวน่าจะขัดกับรัฐธรรมนูญแทบทุกมาตรา แต่การยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยต้องรอให้ผ่านออกมาบังคับใช้ก่อน

อย่างไรก็ตาม นายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษากฎหมาย พ.ต.ท.ทักษิณ ได้ตอบโต้นายอภิสิทธิ์ว่า พ.ร.บ.ปรองดองเป็นการปลดล็อกความขัดแย้งและนำประเทศไปสู่การปรองดองอย่างแท้จริง ไม่ใช่ “เขียนด้วยมือ ลบด้วยเท้า” อย่างนายอภิสิทธิ์พูด เพราะพ.ร.บ.ปรองดองเป็นการเยียวยาการละเมิดหลักนิติรัฐและนิติธรรมที่เกิดจากการรัฐประหาร จึงเป็นการ “เขียนด้วยเท้า ลบด้วยมือ” มากกว่า

Bad Romance?

อย่างไรก็ต้องยอมรับว่า ไม่ว่าร่าง พ.ร.บ.ปรองดองฉบับใดก็ตามก็มีทั้งผู้สนับสนุนและต่อต้าน เพราะการนิรโทษกรรมมีทั้งผู้ได้ประโยชน์และผู้เสียประโยชน์ โดยเฉพาะพ.ต.ท.ทักษิณ ขณะที่คนเสื้อแดงก็ต้องการจะดำเนินคดีกับนายอภิสิทธิ์และนายสุเทพให้ได้

พ.ร.บ.ปรองดองจึงเหมือนการเปิดพื้นที่ความขัดแย้งรอบใหม่ ซึ่งไม่ใช่แค่การต่อสู้ของคนเสื้อแดงและพันธมิตรเสื้อเหลือง แต่ยังเป็นการต่อสู้ระหว่างพรรคเพื่อไทยกับพรรคประชาธิปัตย์อีกด้วย โดยฝ่ายอำมาตย์นั่งตีขิมสบายใจอยู่บนกำแพง ไม่ว่าฝ่ายไหนจะชนะหรือแพ้ก็ไม่ส่งผลกระทบ เพราะวันนี้ทั้ง 2 พรรคก็ต้องการเป็นมิตรกับฝ่ายอำมาตย์ โดยเฉพาะพ.ต.ท.ทักษิณและพรรคเพื่อไทยที่ถูกคนเสื้อแดงและนักวิชาการหัวก้าวหน้าถือว่าวันนี้มีพฤติกรรรมเป็น “อำมาตย์ใหม่” ไม่ใช่ไพร่เสื้อแดงที่ต้องการต่อสู้เพื่อให้ได้ประชาธิปไตยอย่างแท้จริง

อย่างที่ นายวีรพัฒน์ ปริยวงศ์ นักกฎหมายอิสระ ตั้งคำถามว่า พ.ร.บ.ปรองดองจะเป็นร่าง พ.ร.บ.จูบปากที่ในที่สุดจะมีจุดจบ “รักขม” แบบเพลงยอดนิยม “Bad Romance” ของ“เลดี้ กาก้า” มาเปิดการแสดงดนตรีที่เมืองไทยหรือไม่ ?

โดยเฉพาะประเด็นว่าร่าง พ.ร.บ.ปรองดองขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญมาตรา 309 หรือไม่ เพราะเป็นการล้มล้างผลทางกฎหมายที่สืบทอดมาจากการรัฐประหารโดยตรง เช่น การใช้อำนาจโดยคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อรัฐ (คตส.) ซึ่งมาตรา 309 รับรองสิ่งที่รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว (2549) ได้รับรองไว้ และมาตรา 36 หรือมาตรา 37 ของรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวยังได้รับรองผลทางกฎหมายของการใช้อำนาจโดย คตส.เช่นกัน หากจะล้างผลดังกล่าวได้ก็ต้องกระทำโดยการแก้ไขรัฐธรรมนูญเท่านั้น

คุมนักการเมืองเลวให้ได้?

อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าพ.ร.บ.ปรองดองจะเป็นการต่อสู้ของไพร่เสื้อแดง หรือพันธมิตรเสื้อเหลืองที่วันนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับไพร่เช่นกันนั้น ไพร่เองก็ไม่ต่างกับนักกรเมืองที่มีหลายก๊ก หลายมุ้ง ทั้งคนดีและคนเลว ไพร่จึงมีสารพัดไพร่ ไม่ว่าไพร่ที่อยากเป็นอำมาตย์ หรือไพร่ที่ต้องการเป็นอิสระและต้องการประชาธิปไตยอย่างแท้จริง

พ.ร.บ.ปรองดองจึงไม่ใช่สงครามระหว่างไพร่กับไพร่ หรือไพร่กับนักการเมืองเท่านั้น แต่ยังเป็นการทำสงครามระหว่างไพร่กับอำมาตย์อีกครั้ง ซึ่งนับวันจะยิ่งหมกเม็ดมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่ออำมาตย์เก่าและอำมาตย์ใหม่เกี๊ยะเซี๊ยกันลงตัว ไพร่เสื้อแดงและไพร่เสื้อเหลืองก็เท่ากับถูกหลอกใช้ทั้งคู่และในที่สุดก็ถูกแบ่งแยกและทำลาย ทั้งที่ไพร่เสื้อแดงและไพร่เสื้อเหลืองก็ไม่ต้องการให้ “นิรโทษกรรมเหมาเข่ง”

ปัญหาของไพร่ขณะนี้คือ จะจัดการกับนักการเมืองเลว รวมทั้งอำมาตย์เก่าและอำมาตย์ใหม่อย่างไร อย่างที่ นายนิธิ เอียวศรีวงศ์ นักวิชาการอิสระ ให้ความเห็นว่า “เราต้องคิดให้ดีว่าเราจะใช้การหย่อนบัตรเพื่อคุมนักการเมืองอย่างไร นักการเมืองส่วนใหญ่เลวทั้งนั้น แต่เราอย่าเกลียดคนเลว คนดีที่คุมไม่ได้อันตรายกว่าคนเลว ปัญหาของเราคือต้องช่วยกันคิด ช่วยกันทำสร้างองค์กรและขบวนการที่ประชาชนอย่างเราสามารถคุมคนชั่วได้ และหนึ่งในการคุมคนชั่วก็คือมีการเลือกตั้ง เราต้องกลับมาคิดเรื่องนี้ให้ดีว่าทำอย่างไรจะคุมนักการเมืองได้”

การต่อสู้ของไพร่จึงต้องทำให้เกิดประชาธิปไตยอย่างแท้จริงเพื่อเลือกส.ส.หรือส.ว.ที่มีหัวใจเป็นไพร่อย่างแท้จริง ไม่ใช่นักการเมืองที่หลอกใช้ หรือแอบอิงไพร่เพื่อไต่เต้าไปเป็นอำมาตย์ เพราะประชาธิปไตยอย่างแท้จริงนั้นอำนาจอยู่ที่ประชาชน

ใครหลอกใช้?

แต่วันนี้ไม่มีใครรู้ว่า พ.ร.บ.ปรองดองจะลงท้ายอย่างไร จะนิรโทษกรรมเหมาเข่ง หรือเว้นวรรคทั้งฆาตรกรและนักโษเพื่อตอบแทนบุญคุณ ไม่เหมือนกับบทบาทของ “2 สนธิ” ที่เห็นชัดเจน

“สนธิ” หนึ่งคือหัวหน้าม็อบเสื้อสีเหลือง ผ้าพันคอสีฟ้า ใหญ่คับนภา ชนิดที่เทวดายังต้องกลัว “สนธิ” ผู้เดินหน้าไปส่งเทียบเชิญให้อีก “สนธิ” หนึ่งซึ่งขณะนั้นเป็นผู้บัญชาการทหารบก ทำการรัฐประหารยึดอำนาจ ฉีกรัฐธรรมนูญปี 2540 เมื่อ 19 กันยายน 2549

“สนธิ” ผู้กล้าประกาศว่า จะรบครั้งสุดท้าย (แล้วสุดท้ายอีก) “จะไม่ยอมให้ใครมาหลอกใช้อีก” และจะขอไปใช้ชีวิตอยู่เงียบๆ โดยเขาแทบไม่ได้เอ่ยถึงคดีความที่ค้างคา ไม่ว่า ล้อมสภา ยึดทำเนียบ ปิดสนามบิน หรือกรณีศาลชั้นต้นสั่งจำคุกถึง 80 ปีจากกรณีเล่นแร่แปรธาตุธุรกิจส่วนตัวที่ล้มละลายไป หรือ “สนธิ” นี้เขารู้ผลล่วงหน้าว่า สุดท้ายก็ไม่มีอะไรในก่อไผ่ เตรียมไปใช้ชีวิตอยู่เงียบๆได้ดังใจปรารถนา?

อีก “สนธิ” หนึ่งเคยเป็นถึงหัวหน้าคณะปฏิรูปการปกครอง บลา บลา บลา...(ชื่อยาว ยาวมาก ยาวที่สุด จนน่าบันทึกไว้ในกินเนสบุ๊ก) แต่ต้องผิดคิวถึงกับจุก เมื่อเจอมุข “เสธ.หนั่น” ไม่ทันได้เตี๊ยม ถามว่า “ใคร(หลอก)ใช้ให้ปฏิวัติ” โดยสวนกลับทันควัน (แต่ไม่ทันคิด) ว่า “ตายไปแล้วก็บอกไม่ได้ (ว่าใครใช้ให้รัฐประหาร 19 กันยา)”

จาก “สนธิชุดเขียว” จึงแปลงกายมาใส่สูท สวม “ชฎาเลดี้ กาก้า” ในสภาผู้ทรงเกียรติ เสมือนสำนึกผิด แล้วคิดจะไถ่บาป ยอมเล่นบทหัวคณะปรองดองแห่งชาติ ยื่นร่างพ.ร.บ. “เขียนด้วยมือ ลบด้วยเท้า” (วลีนี้ถูกเปรียบเปรยโดยอดีตนายกฯ หมาดๆ ที่ได้ตำแหน่งอันเนื่องมาจากการปฏิสนธิในค่ายทหาร แต่ก็โดนทั้ง “มือตบ” และ “ตีนถีบ” จึงอาจสับสนว่า อะไรเรียกว่า “มือ” อะไรคือ “เท้า”) เมื่อ “สนธิ” หนึ่งเอ่ยคำว่า “จะไม่ให้ใครหลอกใช้อีก” เขาต้องได้อะไรตอบแทน แล้วไม่ได้กระนั้นหรือ? จึงต้องเผยความในใจว่าถูก “หลอกใช้” ในขณะที่อีก “สนธิ” หนึ่งก็เคยถึงผิดคิวหลุดปาก.. “ตายไปแล้ว ก็บอกไม่ได้” !!

ใครหลอกใช้? ใครถูกหลอก? หรือ ใครหลอกใช้ใคร? คงไม่มีคำตอบจากปากชนชั้น “อำมาตย์เก่า” , “อำมาตย์ใหม่” หรือ “ชนชั้นไพร่ที่ใคร่จะเป็นอำมาตย์” เมื่อ “อำมาตย์” ตอบไม่ได้ ก็ถึงคราข้าไพร่ แลราษฎรทั้งหลายช่วยตอบที !!

ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข

//////////////////////////////////////////////////////////////////////////

นิติราษฎร์ชงสูตร นิรโทษฯ ....

คณะนิติราษฎร์เตรียมชงสูตรนิรโทษกรรมให้เป็นทางเลือกใหม่ ไม่แยกความผิดเป็น 2 กรณี ไม่เหมารวมยกเข่ง เชื่อช่วยลดความขัดแย้งและแรงต่อต้านลงได้ เปิดรายละเอียดกลางเดือน มิ.ย. นี้ พร้อมล่า 50,000 ชื่อ เสนอกฎหมายเข้าสภา ประชาธิปัตย์พิมพ์หนังสือปกขาว 100,000 เล่ม ชี้แจงเหตุผลต้าน พ.ร.บ.ปรองดอง “พร้อมพงศ์” เย้ยยุค “อภิสิทธิ์” ทำประชาธิปัตย์ตกต่ำ ไม่ยึดกฎ กติกาประชาธิปไตย

+++++++++++++++

นายปิยบุตร แสงกนกกุล หนึ่งในแกนนำคณะนิติราษฎร์ : นิติศาสตร์เพื่อราษฎร กล่าวในการเสวนาหัวข้อ “ล้มศาลเตี้ยของชนชั้นสูง ผิดตรงไหนที่รัฐบาลประชาธิปไตยจะลบล้าง คตส. ที่มาจากเผด็จการ” ซึ่งจัดโดยกลุ่มปฏิญญาหน้าศาลว่า ประมาณกลางเดือน มิ.ย. นี้คณะนิติราษฎร์จะเสนอสูตรนิรโทษกรรมเพื่อเป็นทางเลือกให้กับสังคม นอกเหนือจาก 4 สูตรที่มีผู้เสนอให้สภาพิจารณา

“สูตรนิรโทษกรรมที่เสนอจะแยกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรกคือกลุ่มที่มีความผิดเกี่ยวกับการชุมนุมทางการเมือง เรียกว่านิรโทษกรรมขจัดความขัดแย้ง อีกกลุ่มคือกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากการรัฐประหาร เช่น คดีความที่ดำเนินการโดยคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) เรียกว่าล้มล้างผลพวงรัฐประหาร เชื่อว่าการแยกนิรโทษกรรมแบบไม่เหมารวมยกเข่งจะทำให้แรงต่อต้านมีน้อยลง คนเห็นด้วยจะมีมากขึ้น การเสนอกฎหมายของเรายึดหลักการความถูกต้อง ไม่ได้มองหน้าคนว่าใครจะได้หรือเสียประโยชน์ ไม่ว่าจะเป็น พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี หรือแกนนำเสื้อเหลือง-เสื้อแดง” นายปิยบุตรกล่าวและว่า จะใช้ช่องทางรัฐธรรมนูญให้ประชาชนเข้าชื่อจำนวน 50,000 ชื่อ ร่วมกันยื่นกฎหมายนี้ต่อสภา

นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ ประธาน ส.ส.กรุงเทพฯ พรรคประชาธิปัตย์ เรียกร้องให้รัฐบาลออกพระราชกฤษฎีกาปิดสมัยประชุมสภาเพื่อยุติความขัดแย้งเรื่องกฎหมายปรองดอง เพราะหากยังขยายเวลาประชุมออกไปเรื่อยๆอาจมีการลักไก่นำกฎหมายเข้าพิจารณาอีก และอาจนำไปสู่ความรุนแรงถึงขั้นขยายเป็นสงครามกลางเมืองได้ หากรัฐบาลมีความจริงใจในการสร้างความปรองดองควรดำเนินการสานเสวนาเพื่อให้มีความเห็นพ้องต้องกันของทุกฝ่ายก่อน

นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า พรรคได้จัดทำหนังสือ “ต้านกฎหมายล้างผิดคนโกง” ซึ่งหน้าปกเป็นสีขาว มีเนื้อหารวม 7 หน้า ให้ ส.ส. นำไปแจกจ่ายประชาชนในพื้นที่ทั่วประเทศ โดยพิมพ์ครั้งแรกจำนวน 100,000 เล่ม เนื้อหาในหนังสือเป็นการแสดงจุดยืนของพรรคต่อ พ.ร.บ.ปรองดองที่เห็นว่าสร้างความเสียหายให้บ้านเมือง นอกจากนี้จะมีการจัดเวทีปราศรัยในสถานที่ต่างๆตามความเหมาะสมควบคู่กันไปด้วย

นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย ยืนยันว่า รัฐบาลยังไม่ออกพระราชกฤษฎีกาปิดมัยประชุมสภา เพราะยังมีกฎหมายสำคัญรอการพิจารณาอีกหลายฉบับ

“ขณะนี้พรรคประชาธิปัตย์แสดงธาตุแท้ออกมาแล้วว่าไม่ได้เชื่อมั่นในระบบรัฐสภาอย่างที่กล่าวอ้าง เพราะพร้อมทำทุกอย่างเพื่อล้มรัฐบาลนี้ ตั้งแต่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ขึ้นมาเป็นหัวหน้าพรรคได้แสดงพฤติกรรมทำลายระบอบประชาธิปไตยอย่างต่อเนื่อง ทั้งนำพรรคบอยคอตการเลือกตั้งเมื่อปี 2548 ตั้งรัฐบาลในค่ายทหาร สั่งสลายการชุมนุมที่มีคนเจ็บ คนตายจำนวนมาก แต่ไม่เคยแม้แต่ขอโทษ และล่าสุดแสดงความถ่อยในสภาด้วยการขว้างปาสิ่งของและคุกคามไม่ให้ประธานสภาทำหน้าที่”

ที่มา.หนังสือพิมพ์โลกวันนี้
/////////////////////////////////////////////////////////////////////

ปรากฏการณ์112ริกเตอร์สั่นสะเทือนจากดินถึงฟ้า!

เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคมที่ผ่านมา คณะรณรงค์แก้ไขมาตรา 112 (ครก.112) ได้จัดงานที่หอประชุมศรีบูรพา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สรุปการรณรงค์ในรอบ 112 วัน เพื่อรวบรวมรายชื่อประชาชนให้ได้มากกว่า 11,200 รายชื่อ เพื่อขอแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ตามข้อเสนอของคณะนิติราษฎร์ การรณรงค์เริ่มต้นตั้งแต่วันที่ 15 มกราคมที่ผ่านมา โดยมีการรวบรวมรายชื่อประชาชนทั่วไปให้สนับสนุนข้อเสนอปฏิรูปมาตรา 112 ภายใต้หลักการ 6 ประการดังนี้

1.มาตรา 112 มีที่มาจากระบอบเผด็จการ มีเนื้อหาไม่สอดคล้องกับระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย

2.ให้แก้ไขบทลงโทษที่รุนแรงกว่าเหตุ

3.ไม่อนุญาตให้ใครก็ได้มีสิทธิฟ้องร้องกล่าวโทษต่อเจ้าหน้าที่ แต่ควรให้สำนักราชเลขาธิการเป็นผู้กล่าวโทษแทน

4.ให้แยกแยะการวิจารณ์โดยสุจริตออกจากการดูหมิ่นเหยียดหยามและคุกคาม

5.ให้มีการพิสูจน์ข้อเท็จจริงของข้อความที่ถูกกล่าวหา

6.เปลี่ยนมาตรา 112 จากหมวดความผิดต่อความมั่นคงแห่งราชอาณาจักรเป็นหมวดเฉพาะว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับพระเกียรติของพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท และเกียรติยศของผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์

ปรากฏว่าการเคลื่อนไหวของ ครก.112 ได้รับความสนใจตอบรับอย่างมากจากมวลประชาชนคนเสื้อแดง แต่ถูกต่อต้านอย่างหนักจากพวกสลิ่ม เสื้อสารพัดสี กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และพรรคประชาธิปัตย์ ยิ่งกว่านั้นยังไม่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และพรรคเพื่อไทย ส่วนกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ก็ไม่เข้าร่วมในการรณรงค์ แม้จะไม่คัดค้าน ทั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 11 พฤษภาคมที่ผ่านมา นายกฯยิ่งลักษณ์ยังแถลงว่ารัฐบาลจะไม่เข้าไปแก้ไขมาตรา 112 หน้าที่ของรัฐบาลในขณะนี้คือการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ ซึ่งก่อนหน้านี้ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ก็ได้แถลงหลายครั้งว่าไม่สนับสนุนการแก้ไขมาตรา 112 ตามข้อเสนอของนิติราษฎร์ โดยเมื่อวันที่ 24 มกราคม ร.ต.อ.เฉลิมกล่าวว่า พรรคเพื่อไทยไม่แก้มาตรานี้เด็ดขาด “ใครแก้ ผมค้าน” และว่า “ที่นี่ประเทศไทยมีความสุขสบายมาได้เพราะพระมหากรุณาธิคุณ ไม่มีงานทำกันหรือ”

เป็นที่น่าสังเกตว่ากลุ่มที่คัดค้านข้อเสนอของ ครก.112 ไม่เคยมีเหตุผลทางวิชาการที่มีน้ำหนักเลย มีแต่การใส่ร้ายป้ายสีว่าผู้ที่เสนอขอแก้ไขมาตรา 112 เป็นพวกล้มเจ้า ไม่จงรักภักดีต่อสถาบัน บ้างก็ไล่ไม่ให้อยู่บ้านพ่อ ให้ไปอยู่บ้านคนอื่น บ้างก็อ้างถึงความไม่บังควร เพราะจะละเมิดสถาบันพระมหากษัตริย์ นพ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ ที่เป็นแกนนำในการล่ารายชื่อคัดค้าน ครก.112 อธิบายว่า ต้องการปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ เพราะการแก้ไขมาตรานี้จะก่อให้เกิดการวิจารณ์พระมหากษัตริย์ได้อย่างเสรี แต่ที่ไปไกลมากคือ นายสนธิ ลิ้มทองกุล กล่าวเมื่อวันที่ 28 มกราคมว่า คณะนิติราษฎร์และกลุ่มนักวิชาการกว่าร้อยคนที่ลงชื่อร่วมกันในการแก้ไขรัฐธรรมนูญประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 “มีบางคนที่รับเงินจากองค์กรต่างชาติมาเคลื่อนไหวเพื่อล้มสถาบัน” และตั้งคำถามว่า “ทำไมคนพวกนี้ต้องมาทำร้ายในหลวง แทนที่จะซาบซึ้งบุญคุณ แต่กลับมาหาเรื่อง”

จะเห็นได้ว่าการตอบโต้ของพวกฝ่ายขวาล้วนยืนอยู่บนศรัทธาความเชื่อแบบอนุรักษ์นิยมเจ้า ไม่มีระบบเหตุผลรองรับ หลักความคิดเช่นนี้ทำให้มาตรา 112 กลายเป็นกฎหมายศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่อาจแก้ไขได้ ข้อกล่าวหาแบบที่นายสนธิอ้างก็มิได้มีหลักฐานรองรับ และจะมีองค์กรต่างชาติไหนอยากจะล้มสถาบันในประเทศไทย ข้อตอบโต้เหล่านี้ส่วนหนึ่งมาจากการตั้งธงไว้ก่อนว่าการแก้มาตรา 112 คือการละเมิดสถาบัน ทั้งที่มาตรา 112 เป็นเพียงกฎหมายข้อหนึ่งในประมวลกฎหมายอาญา และเห็นได้ว่าทั้ง 6 ข้อของนิติราษฎร์ที่ตั้งมา ไม่มีข้อใดที่จะไปแก้ไขล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์เลย

ประเด็นสำคัญอยู่ที่ว่า มาตรา 112 ถูกใช้เป็นเครื่องมือในการใส่ร้ายป้ายสีศัตรูทางการเมืองของรัฐ และเป็นกฎหมายละเมิดสิทธิมนุษยชน เป็นเครื่องมือของกระบวนการยุติธรรมในการนำคนบริสุทธิ์มาเข้าคุก ผู้ต้องหาและผู้ถูกตัดสินคดีมาตรา 112 ทั้งหมดคือเหยื่อของการละเมิดสิทธิมนุษยชนโดยรัฐและสังคม การปฏิรูปมาตรา 112 คือการแก้ไขความผิดของสังคมไทยเช่นนี้ และจะทำให้สังคมไทยก้าวหน้าในทางประชาธิปไตยต่อไป

ในคำแถลงของ ครก.112 อธิบายว่า นับแต่รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 มีผู้ถูกดำเนินคดีด้วยกฎหมายอาญา มาตรา 112 เป็นจำนวนมากจากการแสดงความคิดเห็นทางการเมือง ด้วยการตีความกฎหมายบนอุดมการณ์ที่ผิดหลักการประชาธิปไตย และตีความการกระทำผิดอย่างกว้างเกินกว่าเหตุ แม้แต่การแปลหนังสือก็กลายเป็นการกระทำผิด

การดำเนินคดีได้ปรากฏว่าผู้ถูกกล่าวหาและนักโทษคดีการเมืองมาตรา 112 ถูกละเมิดสิทธิเสรีภาพอย่างต่อเนื่อง เช่น ไม่ได้รับการสืบพยานอย่างเพียงพอ ไม่ได้รับสิทธิในการปล่อยตัวชั่วคราว ไต่สวนคดีโดยปิดลับ เป็นต้น การกระทำเช่นนี้ได้สร้างความสะเทือนใจให้กับผู้รักความเป็นธรรมและผู้ที่เรียกร้องต้องการประชาธิปไตยจำนวนมาก จึงมีผู้เรียกร้องให้มีการยุติการละเมิดสิทธิเสรีภาพของประชาชนด้วยกฎหมายอาญา มาตรา 112 มาอย่างต่อเนื่องนับแต่ปี 2553 เช่น การเรียกร้องให้ยกเลิกกฎหมายอาญา มาตรา 112 โดยกลุ่ม 24 มิถุนายนและกลุ่มแดงสยาม กระทั่งต้นปี 2554 คณะนิติราษฎร์ได้เสนอร่างแก้ไขกฎหมายอาญา มาตรา 112 ขึ้นมา และเกิดกระแสเรียกร้องให้มีการแก้ไขกฎหมายโดยกลุ่มปัญญาชน นักวิชาการ และนักเขียน นำมาสู่การตั้ง ครก.112 จนถึงขณะนี้ ครก.112 สามารถรวบรวมประชาชนที่ลงชื่อได้ 39,185 คน และยื่นรายชื่อต่อสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม

“ปรากฏการณ์ 112 ริกเตอร์” จึงเป็นปรากฏการณ์ที่สั่นสะเทือนสังคมไทย เพราะเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ไทยที่การเคลื่อนไหวทางอุดมการณ์เพื่อสิทธิเสรีภาพของประชาชนได้แผ่ซ่านลงลึกไปถึงผู้คนรากหญ้า ประชาชนเข้าใจเรื่องของมาตรา 112 เนื่องจากพวกเขาเล็งเห็นถึงปัญหาที่ใหญ่กว่าตัวบทกฎหมาย นั่นคือ ปัญหาการดึงเอาสถาบันกษัตริย์ลงมายุ่งเกี่ยวกับการเมือง ปัญหาการแทรกแซงการเมืองระบอบประชาธิปไตยโดยอำนาจนอกระบบ และปัญหาวงจรอุบาทว์จากการรัฐประหาร ปรากฏการณ์ 112 ริกเตอร์จึงสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นจากดินถึงฟ้า

ดังนั้น ปรากฏการณ์ 112 ริกเตอร์จึงสะท้อนความเป็นจริงทางสังคมที่ว่า ประชาชนไทยไม่สามารถยอมรับสถานะไพร่ฟ้าผงธุลีได้อีกต่อไป แม้จะมีการต่อต้านจากชนชั้นนำ และปราศจากการสนับสนุนจากพรรคเพื่อไทย ประชาชนก็ยังยืนยันที่จะเดินหน้าร่วมกับ ครก.112 รวบรวมชื่อเสนอให้รัฐสภาแก้ไขกฎหมาย แสดงให้เห็นเป็นอย่างดีว่าประชาชนเป็นตัวของตัวเอง ปรากฏการณ์ 112 ริกเตอร์จึงแสดงให้เห็นพัฒนาการอีกขั้นหนึ่งของระบอบประชาธิปไตยในสังคมไทยที่อุดมการณ์สิทธิเสรีภาพได้หยั่งรากลึกลงยิ่งขึ้น นักการเมืองจึงควรเข้าใจด้วยว่าประชาชนไม่ได้เพียงต้องการนโยบายประชานิยม แต่ยังต้องการสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานอีกด้วย

นายวรเจตน์ ภาคีรัตน์ ได้อธิบายปรากฏการณ์ 112 ริกเตอร์ว่า หมายถึงสัญญาณว่าสามัญชนกำลังจะลุกขึ้นยืนตัวตรง โอกาสที่จะแก้ไขหรือปฏิรูปหรือยกเลิกมาตรา 112 เป็นเรื่องสำคัญที่ไม่ใช่แค่เรื่องนักโทษการเมืองเท่านั้น แต่รวมถึงการพัฒนาประเทศในอนาคตต่อไปด้วย ปัญหาการเมืองที่เกิดขึ้นวันนี้จะละเลยมาตรา 112 ไม่ได้ ขณะนี้สังคมไปไกลมากแล้ว และดำเนินมาถึงทางแยกสำคัญ ซึ่งนายวรเจตน์ย้ำว่า

“เราพยายามลุกขึ้นยืนตรง และเรายืนตรงคนเดียวไม่พอ เราต้องพยายามชวนคนในสังคมให้ลุกขึ้น มีคนจำนวนไม่น้อยพอใจที่จะนั่งพับเพียบต่อไป เราอาจจะต้องบอกกับเขาว่านั่งพับเพียบนานๆมันเมื่อย และอธิบายให้เขาเข้าใจถึงการยืนตัวตรง และในที่สุดปรากฏการณ์ 112 ริกเตอร์จะได้เปลี่ยนสังคมไทย ปรับทรรศนะสถาบันกษัตริย์ ศาล และกองทัพ ให้อยู่ร่วมกันได้โดยสันติ และปลดวงจรความสูญเสียเสียที”

ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

นิติราษฎร์: แถลงการณ์กรณีศาลรัฐธรรมนูญสั่งระงับการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ !!?

คณะนิติราษฎร์ ออกแถลงการณ์ในประเด็น “ศาลรัฐธรรมนูญ” รับคำร้องเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ว่าศาลไม่มีอำนาจ เป็นคำสั่งที่ไม่ชอบธรรม และจะกลายเป็น “องค์กรที่อยู่เหนือรัฐธรรมนูญ”
นิติราษฎร์
แถลงการณ์
เรื่อง คำสั่งศาลรัฐธรรมนูญกรณีรับคำร้องตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๖๘ ไว้พิจารณา
และคำสั่งให้รัฐสภารอการดำเนินการเกี่ยวกับการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ

ตามที่มีบุคคลเสนอคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญตามมาตรา ๖๘ เพื่อให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ มีผลเป็นการยกเลิกรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทั้งฉบับ อันเป็นการกระทำเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขหรือเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้ โดยศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำสั่งรับคำร้องไว้พิจารณาและมีคำสั่งให้รัฐสภารอการดำเนินการเกี่ยวกับการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ดังปรากฏตามข่าวสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญที่ ๑๖/๒๕๕๕ ลงวันที่ ๑ มิถุนายน ๒๕๕๕ นั้น
คณะนิติราษฎร์พิจารณาแล้ว มีความเห็นต่อคำสั่งของศาลรัฐธรรมนูญดังกล่าวในสามประเด็น ดังนี้

๑. การกระทำที่เป็นเหตุแห่งการเสนอคำร้องตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๖๘
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๖๘ ให้สิทธิแก่บุคคลผู้ทราบการกระทำอันเป็นการใช้สิทธิและเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญเพื่อลบล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญหรือเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจใจการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ สามารถเสนอเรื่องให้อัยการสูงสุดตรวจสอบข้อเท็จจริงและยื่นคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสั่งการให้เลิกการกระทำดังกล่าว เหตุแห่งการเสนอคำร้องตามมาตรา ๖๘ ต้องเป็นการกระทำของบุคคลหรือพรรคการเมืองแต่ข้อเท็จจริงในกรณีนี้เป็นการใช้อำนาจของรัฐสภาในฐานะองค์กรตามรัฐธรรมนูญผู้ทรงอำนาจแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูฐ กรณีนี้จึงไม่ใช่การกระทำของ “บุคคล” หรือ “พรรคการเมือง” ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๖๘

รัฐสภาได้ใช้อำนาจแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญตามกระบวนการและขั้นตอนตามที่บัญญัติไว้ในหมวด ๑๕ ว่าด้วยการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ จึงเป็นกรณีที่รัฐสภาใช้อำนาจหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ มิใช่การใช้สิทธิและเสรีภาพตามที่รัฐธรรมนูญรับรองไว้ให้แก่บุคคลและพรรคการเมือง การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญในกรณีนี้เป็นการกระทำตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ ซึ่งไม่ว่าจะเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมบางส่วนหรือทั้งฉบับ ตราบเท่าที่การแก้ไขเพิ่มเติมดังกล่าวมิได้มีผลเป็นการเปลี่ยนแปลงการปกครองระบอบ
 
ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขหรือเปลี่ยนแปลงรูปของรัฐ จะถือว่าการแก้ไขเพิ่มเติมนั้นเป็นการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขมิได้ การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญอันมีผลเป็นการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ทั้งฉบับนั้นเคยเกิดขึ้นแล้วเมื่อคราวที่มีการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๔๗๕ ซึ่งก่อให้เกิดรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๔๘๙ และคราวที่มีการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๓๔ โดยการจัดให้มีสภาร่างรัฐธรรมนูญซึ่งก่อให้เกิดรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐

๒. ผู้มีสิทธิยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
 
มาตรา ๖๘ วรรคสอง กำหนดให้บุคคลมีสิทธิเสนอเรื่องให้อัยการสูงสุดตรวจสอบข้อเท็จจริงและยื่นคำ ร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย หมายความว่า บุคคลต้องเสนอเรื่องให้อัยการสูงสุดก่อน ภายหลังอัยการสูงสุดตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้วเห็นว่าข้อเท็จจริงดังกล่าวมีมูล อัยการสูงสุดจึงยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ

อย่างไรก็ตาม ศาลรัฐธรรมนูญได้ตีความว่า การเสนอคำร้องตามมาตรา ๖๘ วรรคสองนั้น อาจทำได้สองวิธี คือ หนึ่ง บุคคลมีสิทธิเสนอเรื่องให้อัยการสูงสุดตรวจสอบข้อเท็จจริงและยื่นคำร้องขอ ให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย สอง บุคคลมีสิทธิยื่นคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยได้โดยตรง โดยไม่ต้องเสนอเรื่องให้อัยการสูงสุดตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อน

คณะนิติราษฎร์เห็นว่า กรณีตามมาตรา ๖๘ วรรคสอง ไม่อาจตีความตามที่ศาลรัฐธรรมนูญตีความได้ เพราะบทบัญญัติดังกล่าวกำหนดไว้อย่างชัดเจนว่าเฉพาะแต่อัยการสูงสุดเท่านั้น ที่มีสิทธิยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ และอัยการสูงสุดก็ไม่อาจยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญได้หากปราศจากการเสนอ เรื่องของบุคคลผู้ทราบการกระทำตามมาตรา ๖๘ วรรคแรก กรณีคำร้องตามมาตรา ๖๘ วรรคสอง จึงต้องดำเนินการเป็นสองขั้นตอนตามลำดับได้แก่ บุคคลเสนอเรื่องให้อัยการสูงสุด และอัยการสูงสุดยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ จะขาดขั้นตอนใดขั้นตอนหนึ่งไปมิได้

นอกจากนี้ เมื่อได้ตรวจสอบบันทึกรายงานการประชุมสภาร่างรัฐธรรมนูญ ครั้งที่ ๒๗/๒๕๕๐ เกี่ยวกับบทบัญญัติมาตรา ๖๘ พบว่าสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญเข้าใจตรงกันว่าผู้ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ ตามมาตรา ๖๘ วรรคสอง คือ อัยการสูงสุดเท่านั้น

หากพิจารณารัฐธรรมนูญทั้งฉบับ จะเห็นได้ว่าในกรณีที่รัฐธรรมนูญมุ่งประสงค์ให้สิทธิแก่บุคคลทั่วไปในการ ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญโดยตรง รัฐธรรมนูญจะบัญญัติไว้อย่างชัดแจ้งดังกรณีปรากฏในมาตรา ๒๑๒ ว่าบุคคลซึ่งถูกละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพที่รัฐธรรมนูญนี้รับรองไว้ และไม่อาจใช้สิทธิโดยวิธีการอื่นได้แล้ว ให้มีสิทธิยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อมีคำวินิจฉัยว่าบทบัญญัติแห่ง กฎหมายขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญได้

คณะนิติราษฎร์เห็นว่าการตีความมาตรา ๖๘ วรรคสองของศาลรัฐธรรมนูญนั้น ขัดกับหลักการตีความกฎหมายทั้งในแง่ถ้อยคำ ประวัติความเป็นมา เจตนารมณ์ ตลอดจนระบบกฎหมายทั้งระบบ เป็นการตีความกฎหมายที่ส่งผลประหลาดและผิดพลาดอย่างชัดแจ้ง

๓. อำนาจของศาลรัฐธรรมนูญในการกำหนด “วิธีการชั่วคราวก่อนพิพากษา”


รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และข้อกำหนดศาลรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาและการทำคำวินิจฉัย พ.ศ. ๒๕๕๐ ไม่ได้กำหนดให้ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจในการกำหนดวิธีการชั่วคราวก่อนมีคำวินิจฉัย แต่ศาลรัฐธรรมนูญได้นำเอาวิธีการชั่วคราวก่อนพิพากษาตามประมวลกฎหมายวิธี พิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๖๔ มาใช้ โดยอาศัยข้อกำหนดศาลรัฐธรรมนูญฯ ข้อ ๖

วิธีการชั่วคราวก่อนมีคำวินิจฉัยเป็นมาตรการสำคัญในกระบวนพิจารณา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในคดีรัฐธรรมนูญ การกำหนดให้ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจดังกล่าวย่อมส่งผลกระทบต่อการใช้อำนาจตาม รัฐธรรมนูญขององค์กรตามรัฐธรรมนูญอื่นอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้ ดังนั้น หากรัฐธรรมนูญมุ่งประสงค์ให้ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจกำหนดวิธีการชั่วคราวก่อน มีคำวินิจฉัย ต้องบัญญัติไว้อย่างชัดแจ้งในรัฐธรรมนูญ หรืออย่างน้อยที่สุดก็ต้องบัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ

คณะนิติราษฎร์เห็นว่า ศาลรัฐธรรมนูญไม่อาจก่อตั้งอำนาจกำหนดวิธีการชั่วคราวก่อนมีคำวินิจฉัยได้ ด้วยตนเอง โดยอาศัยแต่เพียงข้อกำหนดศาลรัฐธรรมนูญฯ ข้อ ๖ เพื่อนำประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๖๔ มาใช้ เมื่อรัฐธรรมนูญไม่ได้กำหนดให้นำวิธีการชั่วคราวก่อนมีคำวินิจฉัยมาใช้ระงับยับยั้งกระบวนการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ การที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งในลักษณะดังกล่าว จึงเป็นการเข้าแทรกแซงกระบวนการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญโดยไม่มีอำนาจกระทำได้

ศาลรัฐธรรมนูญเป็นองค์กรที่รัฐธรรมนูญก่อตั้งขึ้นเพื่อทำหน้าที่พิทักษ์ความเป็นกฎหมายสูงสุดของรัฐธรรมนูญ และทำให้กลไกต่างๆ ที่รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ดำเนินการไปได้ตามความมุ่งหมายของรัฐธรรมนูญ แต่คำสั่งศาลรัฐธรรมนูญในกรณีนี้กลับมีผลเป็นการทำลายกลไกการแก้ไขเพิ่มเติม รัฐธรรมนูญ ซึ่งรัฐธรรมนูญได้มอบอำนาจนี้ไว้ให้แก่รัฐสภาเท่านั้น อำนาจในการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญเป็นอำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญรูปแบบหนึ่ง ที่มีลำดับชั้นทางกฎหมายสูงกว่าอำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร และอำนาจตุลาการ ซึ่งอำนาจทั้งสามเป็นเพียงอำนาจที่รับมาจากรัฐธรรมนูญอีกทอดหนึ่ง ศาลรัฐธรรมนูญเป็นองค์กรตามรัฐธรรมนูญที่ใช้อำนาจตุลาการ เมื่อรัฐธรรมนูญไม่ได้ให้อำนาจศาลรัฐธรรมนูญในการควบคุมตรวจสอบการแก้ไข เพิ่มเติมรัฐธรรมนูญไว้ ศาลรัฐธรรมนูญจึงไม่สามารถควบคุมตรวจสอบการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญดังเช่น การควบคุมตรวจสอบพระราชบัญญัติมิให้ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญได้
อาศัยเหตุผลที่กล่าวมาทั้งหมด คณะนิติราษฎร์เห็นว่า

๑. ศาลรัฐธรรมนูญไม่อาจรับคำร้องในกรณีนี้ไว้พิจารณาได้ เนื่องจากการยื่นคำร้องในกรณีดังกล่าวไม่ชอบด้วยกระบวนการและขั้นตอนตามที่ บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ มาตรา ๖๘

๒. คำสั่งศาลรัฐธรรมนูญที่ให้รัฐสภารอการดำเนินการเกี่ยวกับการแก้ไขเพิ่มเติม รัฐธรรมนูญ เป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ดังนั้น คำสั่งศาลรัฐธรรมนูญในกรณีนี้ จึงไม่มีผลผูกพันรัฐสภาให้ต้องรอการดำเนินการเกี่ยวกับการแก้ไขเพิ่มเติม รัฐธรรมนูญ

หากรัฐสภายอมรับให้คำสั่งของศาลรัฐธรรมนูญนี้มีสภาพบังคับทางรัฐธรรมนูญ ทั้งที่ไม่มีอำนาจตามรัฐธรรมนูญ ย่อมส่งผลให้ศาลรัฐธรรมนูญสามารถขยายแดนอำนาจของตนออกไปจนกลายเป็นองค์กรที่อยู่เหนือรัฐธรรมนูญ อยู่เหนือองค์กรทั้งปวงของรัฐ และมีผลเป็นการทำลายหลักนิติรัฐ-ประชาธิปไตยลงอย่างสิ้นเชิงในที่สุด

คณะนิติราษฎร์ : นิติศาสตร์เพื่อราษฎร
ท่าพระจันทร์, ๔ มิถุนายน ๒๕๕๕
 
ที่มา.Siam Intelligence Unit
/////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
 
 

ยกแรกศึกปรองดอง !!?

ท่ามกลางความขัดแย้งทางการเมืองที่ยืดเยื้อ แต่กลไกการแก้ไขรัฐธรรมนูญก็ยังคงเดินหน้าไปตามกระบวนการในสภาฯ ซึ่งแน่นอนว่า ย่อมจะมีทั้งฝ่ายที่ “เห็นด้วย” และ “คัดค้าน”

เช่นกรณีกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) ที่นัดชุมนุมใหญ่เพื่อ “คัดค้าน” ร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยการปรองดองแห่งชาติ รวม 4 ฉบับที่นำเข้าสู่เวทีรัฐสภา ในวันดีเดย์ 30 พฤษภาคม... เป็นที่น่าจับตาใน 8 มาตราร้อน!! ที่ผ่านการชงญัตติโดย “บิ๊กบัง” พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ประธาน กมธ.ปรองดองฯ และคณะรวม 35 รายชื่อ ด้วยเหตุผลเพื่อการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งและสร้างความปรองดองให้เกิดขึ้นกับคนในชาติ โดย ไม่ให้ส่งผลกระทบต่อความมั่นคง เศรษฐกิจ สังคม และการเมือง

แต่ทั้งนี้ ยังมีร่างของพรรคเพื่อไทยตามประกบอีก 3 ฉบับ กอปรไปด้วย ร่าง พ.ร.บ.ปรองดองของ “สามารถ แก้วมีชัย” และฉบับที่เสนอโดย “นิยม วรปัญญา” และ คณะรวม 21 รายชื่อ นอกจากนั้นยังมี ร่างปรองดองฯ ฉบับ “เสื้อแดง” ผ่านการ “ผลักดัน” โดย “ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ” รมช. กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่มาเป็นแพ็กเกจคู่ เสนอร่วมกับ ส.ส.ในสัดส่วนกลุ่ม นปช.และแนวร่วมฯ

นั่นคือ “จุดเริ่มต้น” แห่งการเคลื่อน ไหวทางการเมืองเที่ยวล่าสุด ซึ่งบรรยากาศ การชุมนุมใหญ่ “กลุ่มพันธมิตรฯ” ในวัน ดังกล่าว... “มวลชนเสื้อเหลือง” ได้ทยอยกันมายัง “จุดนัดหมาย” บริเวณลานพระบรมรูปทรงม้า ภายใต้กำกับคิวของ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำ พธม. ที่พร้อมนำ “กลุ่มมวลชน” เคลื่อนขบวนไปยังอาคารรัฐสภาในเวลา 15.00 น. เพื่อยื่นหนังสือต่อประธานสภาผู้แทนราษฎร ให้ถอนร่าง “พ.ร.บ.ปรองดอง” ทุกฉบับออกจากการพิจารณา

แกนนำพันธมิตรฯ ประกาศกร้าว บนเวทีชั่วคราวว่า...การชุมนุมพันธมิตรฯ ถือเป็นการ “ต่อต้าน” กฎหมายทำลายชาติทั้ง 4 ฉบับ และยืนยันว่าจะต่อสู้จนถึงที่สุด พร้อมทั้งวางกรอบให้ผู้ชุมนุมยึดมั่นตามรัฐธรรมนูญมาตรา 63 อย่างเคร่งครัด โดย การชุมนุมอย่างสงบ และปราศจากอาวุธ

พร้อมกำชับหนักแน่น ให้ยึดแนวทาง ของเวทีหลักแห่งเดียวเท่านั้น และระวังไม่ให้ “หลงเชื่อ” ผู้ไม่ประสงค์ดีที่จะเชิญชวน ยั่วยุให้ก่อเหตุหรือสร้างสถานการณ์วุ่นวาย ส่วนประการสุดท้าย “พันธมิตรฯ” จะเคลื่อน มวลชนไปหน้ารัฐสภา สุดถนนอู่ทองในเท่านั้น สำหรับพื้นที่อื่นไม่ใช่พื้นที่การรับผิดชอบของ พันธมิตรฯ และหากมีการเปลี่ยนแปลงอื่นใด จะมีการประกาศบนเวทีเท่านั้น!!!

ว่ากันว่า หากกลุ่มพันธมิตรฯ ยังไม่ได้รับ “สัญญาณ” ที่น่าพอใจ! ก็มีแนวโน้มสูงยิ่งว่า..จะมีการยกระดับการชุมนุม หรือปักหลักชุมนุมยืดเยื้อ ด้วยการปิดล้อมรัฐสภาแกนนำ พธม.ย้ำหัวตะปูว่า...ทุกอย่าง ขึ้นอยู่กับสถานการณ์!!!

นอกจากนี้ บริเวณโดยรอบรัฐสภายังถือเป็น “จุดนัดหมาย” ของกลุ่มพลเมืองอาสาปกป้องแผ่นดิน หรือ “เสื้อหลากสี” ภายใต้การนำของ “น.พ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์” ที่ร่วมเปิดเวที...ล้มร่างปรองดองทั้ง 4 ฉบับ โดยมาพร้อมกับ “ม็อบบลูสกาย” ...กลุ่มมวลชนใต้ปีกพรรคประชาธิปัตย์ ที่ได้แห่กันมา “คัดค้าน” พ.ร.บ.ปรองดอง ด้วยเช่นกัน ท่ามกลางการรักษาความปลอดภัยอย่าง เข้มข้น! โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งได้วางแผง รั้วเหล็ก ลวดหนาม มาปิดกั้นไว้ถึง 3 ชั้น และไม่อนุญาตให้รถทุกชนิดสัญจรผ่านไปมา

เช่นว่านี้...การชักแถว “ปิดล้อมรัฐสภา” ที่เคยเป็นแค่ “สีสัน” ทางการเมือง ทว่าด้วยสถานการณ์ที่สุกงอม ส่อเค้าจะ บานปลาย เมื่อทุกฝ่ายมุ่งเอาชนะคะคาน โดย ไม่คิดถอยกันคนละก้าว นั่นย่อมกลายเป็น “ชนวน” ที่นำไปสู่ความขัดแย้งรอบใหม่

ยิ่งด้วย “เงื่อนไข” ในการชุมนุมของทั้งกลุ่มพันธมิตร เสื้อหลากสี หรือม็อบเฉพาะกิจ “บลูสกาย” ที่มาแบบจัดเต็ม ก็ยิ่งดูน่าหวั่นใจว่า อาจก่อให้เกิดความสับสนวุ่นวายในอนาคตอันใกล้นี้ ...ที่สำคัญอีกประการหนึ่ง คือเวลานี้ “ประชาธิปัตย์” ได้เปิดไฟเขียว! ปล่อยแถวนักการเมืองให้ทิ้งเวทีสภาฯ แล้วหันมาเล่นเกมการเมืองข้างถนน ด้วยการร่วมขบวน “คัดค้าน” ร่างกฎหมายแก้กรรม ฉบับ “ลืมอดีต” หรือ พ.ร.บ. ว่าด้วยการปรองดองแห่งชาติ ที่มีคิวพิจารณา กันในสภาฯ ก็ยิ่งทำให้เกิดแรงไหวเอนทาง การเมือง ที่อยู่ใต้ภาวะ “แขวน..บนเส้นด้าย”

โจทย์ที่ว่าด้วยการ “ปรองดอง” กำลังเป็นระเบิดเวลาลูกใหญ่ ที่ใกล้ถึงเวลา จุดชนวนเข้าไปทุกที แน่นอนว่าศึกการเมือง รอบนี้ แม้จะเป็นเพียงการ “เรียกน้ำย่อย” ในยกแรกแห่งสงครามครั้งสุดท้าย ซึ่งว่ากันตาม “เงื่อนไข” คงได้ฟัดกันอีกยาว!?!

ที่มา.สยามธุรกิจออนไลน์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันอาทิตย์ที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2555

คำสั่งศาลรัฐธรรมนูญ...กด LIKE หรือ...กฎ LOW !!?

โดย : ดร.พีระพงษ์ ไพรินทร์

ข้อกำหนดศาลรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาและทำคำวินิจฉัย พ.ศ.2550 มิได้วางหลักเกณฑ์และวิธีการเกี่ยวกับการออกคำสั่งก่อนมีคำวินิจฉัยไว้ชัดเจน

คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ มีมติรับคำร้องของบุคคล 5 กลุ่ม ซึ่งร้องขอให้ศาลวินิจฉัย ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 ว่า การจัดทำร่างรัฐธรรมนูญที่ผ่านมาอาจเป็นการยกเลิกรัฐธรรมนูญพ.ศ.2550 ซึ่งถือเป็นการกระทำเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขและเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ

โดยชี้แจงว่า เหตุที่ต้องพิจารณารับคำร้องด้วยความรวดเร็วเป็นผลเกี่ยวข้องกับสถานการณ์บ้านเมือง อีกทั้งยังมีคำสั่งไปยังเลขาธิการรัฐสภา ให้ระงับการลงมติในวาระที่ 3 ไว้ก่อนจนกว่าจะมีคำวินิจฉัยของศาล ขณะเดียวกันก็นัดไต่สวนคู่กรณีในวันที่ 5-6 ก.ค.นี้ จึงมีประเด็นที่ต้องพิจารณาว่า

1.มติดังกล่าวอยู่ในขอบเขตอำนาจซึ่งศาลรัฐธรรมนูญ จะกระทำได้ อย่างไร หรือไม่

2.มติดังกล่าวส่งผลให้การพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ วาระที่ 3 ต้องหยุดไว้ก่อนหรือไม่

ประเด็น..มติดังกล่าวอยู่ในขอบเขตอำนาจซึ่งศาลรัฐธรรมนูญ จะกระทำได้ อย่างไร หรือไม่

แม้ว่าศาลรัฐธรรมนูญหรือ “Constitutional Court ” จะมีอำนาจพิจารณาวินิจฉัยคดีที่เกี่ยวกับกฎหมายรัฐธรรมนูญว่ากฎหมายใดมีปัญหาเรื่องความชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือไม่ และขัดกับสิทธิเสรีภาพตามที่รัฐธรรมนูญรับรองไว้หรือไม่ก็ตาม อำนาจดังกล่าวก็เป็นเพียงการทำหน้าที่ให้เป็นไปตามหลักการที่เกี่ยวกับ “การทบทวนทางกฎหมาย” หรือ “The Power of Judicial Review” ดังเช่น ศาลสูงสุดของสหรัฐอเมริกา ซึ่งถือเป็นจุดกำเนิดของระบบการตรวจสอบและทบทวนความชอบด้วยกฎหมาย “legality” ทำให้ศาลฯสามารถเข้าไปตรวจสอบความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของกฎหมาย หากระบุได้ว่าการกระทำของฝ่ายนิติบัญญัติ หรือการออกกฎหมายขัดต่อรัฐธรรมนูญที่วางหลักไว้ สำหรับเยอรมันก็เช่นเดียวกับสหรัฐอเมริกา

แต่การกระทำที่เกี่ยวกับความมั่นคงและความปลอดภัยของประเทศถือเป็นการกระทำในขอบอำนาจของรัฐบาลศาลไม่อาจเข้าไปทำการตรวจสอบได้ หากแต่ในฝรั่งเศส จะไม่มีองค์กรศาล ในการตรวจสอบความชอบด้วยกฎหมาย แต่จะมีองค์กรตรวจสอบกฎหมายและรับปรึกษาความชอบด้วยกฎหมายก่อนการบังคับใช้เป็นกฎหมายเท่านั้น

ดังนั้น การที่ศาลรัฐธรรมนูญไทย มีคำสั่งให้เลขาธิการรัฐสภา ระงับการลงมติยกร่างรัฐธรรมนูญวาระที่ 3 ย่อมต้องถือว่า เป็นการตรวจสอบความชอบด้วยกฎหมายก่อนการที่รัฐสภา จะประกาศใช้บังคับเป็นกฎหมายซึ่งแตกต่างจากวิธีการของฝรั่งเศส ทั้งนี้ เพราะศาลฯได้ใช้อำนาจออกคำสั่ง ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 ประกอบมาตรา 112 อันเป็นกรณีที่ได้มีบุคคลซึ่งถูกละเมิดสิทธิเสรีภาพร้องขอต่อศาลว่ามี “บทบัญญัติแห่งกฎหมายขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ” อีกทั้งศาลฯยังได้เร่งรัดให้มีคำสั่งโดยอ้างเหตุผลว่า หากล่าช้าอาจส่งผลต่อปัญหาสถานการณ์บ้านเมืองได้ ศาลฯจึงต้องใช้อำนาจ ตามข้อกำหนดศาลรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาและทำคำวินิจฉัย พ.ศ. 2550 ข้อ 4 และ ข้อ 17(2) ซึ่งเป็นเพียงการออกคำสั่งตามที่อ้างว่าตนมีอำนาจแต่ก็ยังมิได้มีคำวินิจฉัย ผู้เขียนจึงมีประเด็นที่สงสัยว่า

1. ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 วางหลักให้บุคคลผู้ร้องต้องยื่นเรื่องให้อัยการสูงสุด ตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อนแล้วจึงจะยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้วินิจฉัยได้ หากศาลจะพิจารณาใช้อำนาจตามข้อกำหนด ข้อ 21 ที่ระบุว่า “บุคคลซึ่งถูกละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพที่รัฐธรรมนูญรับรองไว้มีสิทธิยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อมีคำวินิจฉัยว่าบทบัญญัติแห่งกฎหมายขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญได้” จึงจำเป็นต้องพิจารณาโดยเคร่งครัดว่า บุคคลผู้ร้องต้องไม่อาจใช้สิทธิด้วยวิธีการอื่นเท่านั้น จึงจะสอดคล้องตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ มาตรา 112 วรรคสอง เหตุใดศาลจึงรับคำร้องดังกล่าวไว้พิจารณาทั้งที่ ยังมิได้รับการตรวจสอบข้อเท็จจริงจากอัยการสูงสุด

2. ต่อเมื่อข้อกำหนด ข้อ 4 มิได้ให้คำจำกัดความคำว่า “คำสั่ง” ไว้หากศาลจะมีคำสั่งใดๆ ก่อนมีคำวินิจฉัย ย่อมต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามข้อกำหนดฯ ข้อ 32 ที่วางหลักไว้ว่า “ในการพิจารณาคดีของศาล หากศาลเห็นว่าคดีใดมีพยานหลักฐานเพียงพอที่จะพิจารณาวินิจฉัยได้ศาลอาจประชุมปรึกษาเพื่อพิจารณาและวินิจฉัยโดยไม่ทำการไต่สวนก็ได้ ” ดังนั้น กรณีนี้ จึงเป็นประเด็นที่ศาลฯมีคำสั่ง ก่อนการนัดไต่สวนคู่ความ ทั้งที่ยังมิได้มีคำวินิจฉัยใดๆ เลย

3. ตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ มาตรา 112 วางหลักไว้ว่า บุคคลจะยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญได้ต้องมีเหตุที่ว่า “การมีบทบัญญัติแห่งกฎหมายขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ” การยกร่างรัฐธรรมนูญของรัฐสภาในวาระที่ 1 2 และ 3 จึงเป็นการกระทำก่อนที่จะมีกฎหมายบัญญัติมิใช่เป็นการกระทำที่ได้มีกฎหมายบัญญัติไว้แล้ว อีกทั้งตามรัฐธรรมนูญฯ และข้อกำหนดวิธีการพิจารณาและวินิจฉัยของศาล ก็มิได้วางหลักเกี่ยวกับการออกคำสั่งก่อนการที่จะมีกฎหมายบัญญัติไว้แต่อย่างใด เหตุใดศาลจึงใช้ดุลพินิจให้มีการออกคำสั่งดังกล่าว หรือหากจะอ้างเรื่องอื่นมาเทียบเคียงแล้วนำมาปรับใช้ก็ย่อมมีข้อสงสัยว่า เหตุใดศาลจึงไม่พิจารณาถึงความขัดแย้งอย่างรุนแรงที่อาจเกิดขึ้นได้ในทุกวินาที

โดยสรุป เมื่อบทบัญญัติตามรัฐธรรมนูญฯ กำหนดให้มีขั้นตอนซึ่งบุคคลผู้ร้องต้องปฏิบัติ ก่อนที่ศาลจะพิจารณาไต่สวนคำร้อง อีกทั้งยังก็ไม่มีกฎหมายใดบัญญัติให้อำนาจศาลรัฐธรรมนูญว่า มีอำนาจออกคำสั่งก่อนมีคำวินิจฉัยได้ ประกอบกับข้อกำหนดศาลรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาและทำคำวินิจฉัย พ.ศ.2550 ก็มิได้วางหลักเกณฑ์และวิธีการเกี่ยวกับการออกคำสั่งก่อนมีคำวินิจฉัยไว้อย่างชัดเจน ศาลจึงต้องคำนึงถึงประโยชน์สาธารณะเป็นสำคัญ จึงเป็นเหตุให้ศาลไม่มีอำนาจออกคำสั่งดังกล่าวและยังเป็นการก้าวล่วงต่อกระบวนวิธีพิจารณาตามอำนาจหน้าที่ของฝ่ายนิติบัญญัติอีกด้วย
ประเด็น..มติดังกล่าวส่งผลให้การพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ วาระที่ 3 ต้องหยุดไว้ก่อน หรือไม่

ต่อประเด็นข้างต้น ผู้เขียนจึงเห็นว่า ไม่มีเหตุผลความจำเป็นใดๆ ที่เลขาธิการรัฐสภาจะต้องปฏิบัติตามคำสั่งของศาลรัฐธรรมนูญดังกล่าว

ดังนั้น ท่านผู้อ่านได้โปรดพิจารณาและไตร่ตรองด้วยตนเองเถอะครับว่า คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญในครั้งนี้ ท่านจะ...กด LIKE หรือ...กฎ LOW

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

จาตุรนต์ ชี้ ศาล รธน. สั่งชะลอแก้ไข รธน. คือรัฐประหารโดยตุลาการ !!?

3 มิถุนายน 2555 นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรักษาการหัวหน้าพรรคไทยรักไทย ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญ มีคำสั่งให้สภาชะลอการลงมติร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ปี 2550 ในวาระที่ 3 ว่า ถือเป็นการรัฐประหารโดยใช้อำนาจตุลาการภิวัฒน์ เข้ามาแทรกแซงการทำงานของฝ่ายนิติบัญญัติที่มาจากตัวแทนของประชาชน

นายจาตุรนต์ กล่าวด้วยว่า คำสั่งของศาลรัฐธรรมนูญ ไม่มีผลผูกพันในทางกฎหมาย และไม่มีอำนาจเข้ามาวินิจฉัยเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพียงแต่มีหน้าที่ในการวินิจฉัยว่ากฎหมายหรือพระราชบัญญัติที่จะออกมาบังคับใช้ขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่เท่านั้น ส่วนการแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้น เป็นเรื่องของ ส.ส. และประชาชน

"รัฐสภาไม่ควรดำเนินการตามคำสั่งของศาลรัฐธรรมนูญ แต่ให้เดินหน้าตามมาตรา 291/5 พิจารณาลงมติในวาระที่ 3 ได้ทันที" นายจาตุรนต์กล่าว

อดีตรักษาการหัวหน้าพรรคไทยรักไทย ยังเรียกร้องให้ประชาชนออกมาเคลื่อนไหวเพื่อล่าลายชื่อถอดถอนตุลาการศาลรัฐธรรมนูญที่มีการลงมติในเรื่องดังกล่าว เนื่องจากตุลาการได้ใช้อำนาจขัดรัฐธรรมนูญ โดยเฉพาะมาตรา 68 ที่จะต้องให้อัยการสูงสุดเป็นผู้ส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเท่านั้น ซึ่งศาลไม่สามารถรับเรื่องจากประชาชนมาพิจารณาได้เอง

"ขณะนี้สิ่งที่ควรทำคือ การทำความเข้าใจกับประชาชนผู้สนใจปัญหาบ้านเมือง และผู้รักประชาธิปไตยทั้งหลายให้ทราบว่าขณะนี้เกิดกระบวนการรัฐประหารโดยตุลาการภิวัฒน์แล้ว ที่เกิดการกระทำที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญซึ่งจะเป็นภัยร้ายแรงต่อประชาธิปไตยของประเทศ เพื่อที่จะหาทางสกัดกั้นกระบวนการนี้กันใหม่ ซึ่งแน่นอนว่าผู้ที่ร่วมในกระบวนการนี้เป็นผู้ที่จะมีอำนาจวินิจฉัยรัฐธรรมนูญ ผลที่ตามมาคือถ้าไม่มีแรงต่อต้าน ไม่มีการแสดงความเห็นเชิงหลักการให้หนักแน่นเพียงพอก็ยากที่จะทัดทานตุลาภิวัฒน์นี้ได้ " นายจาตุรนต์ ระบุ

ที่มา.ประชาไท
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++