--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันจันทร์ที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

เฟอร์กี้ยินดีแมนซิตี้ ข่มขวัญฤดูกาลหน้าแมนยูเอาคืน !!?

 

บีบีซีรายงานควันหลงการปิดฤดูกาลพรีเมียร์ลีก ด้วยการคว้าแชมป์สุดดราม่าของแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในการพลิกเกมช่วงทดเวลาเจ็บ ทำให้แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แชมป์เก่า พลาดทำสถิติคว้าแชมป์ลีกครั้งที่ 20 ไปอย่างฉิวเฉียด โดยสองทีมมีสกอร์เท่ากัน แต่ประตูรวมแมนซิตี้เยอะกว่า 8 ลูก

หลังเกม เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน โค้ชใหญ่แมนยู กล่าวว่า "ในนามของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ขอแสดงความยินดีกับแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่ชนะแชมป์พรีเมียร์ลีก ลีกที่ไม่ง่ายเลยที่จะชนะ และใครที่ชนะได้ ก็สมควรแล้วกับตำแหน่ง เพราะเป็นการต่อสู้ที่ยาวนาน"

อย่างไรก็ตาม เซอร์อเล็กซ์ไม่วายกล่าวข่มขวัญคู่ต่อสู้ร่วมเมืองด้วย ว่าฤดูกาลหน้าแมนยูจะกลับมาแกร่งกว่าเดิมเพื่อเอาคืนแมนซิตี้ให้ได้

"พวกเขา (ซิตี้) จะตั้งเป้าหมายไปต่ออย่างไรก็ได้ อย่างที่คุณคาดไว้ แต่ประวัติศาสตร์ของเรายังคงอยู่กับเราเสมอ เราไม่จำเป็นต้องวิตกเรื่องนี้ ผมคิดว่าเรามีประวัติศาสตร์ชัยชนะที่เปี่ยมล้น ดีกว่าใครๆ ทั้งนั้น พวกเขาคงต้องอาศัยเวลาเป็นศตวรรษหากจะสร้างประวัติศาสตร์มาถึงระดับของเราได้"

"สำหรับเรา ยังมีความท้าทายรออยู่ และเราก็เก่งในการเผชิญความท้าทายต่างๆ นักเตะผิดหวังมากก็จริง และคงไม่มีทางจะเป็นอย่างอื่นไปได้ พวกเขาเล่นกับซันเดอร์แลนด์ได้ดีมาก เล่นฟุตบอลได้สวยงาม ถ้าไม่มีผู้รักษาประตูคนนี้ คงได้ซัก 6-7 ประตู ฟอร์มที่เล่นได้ดีขนาดนี้ทั้งที่อยู่ในภาวะกดดัน ทำได้สุดยอดอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน ผมพอใจกับการเล่นของนักเตะในฤดูกาลนี้ และแต้ม 89 คะแนนก็ถือว่าดีมาก ดีพอจะคว้าแชมป์ได้ในหลายๆ ลีก"

เซอร์อเล็กซ์ กล่าวด้วยว่า จะใช้ความผิดหวังนี้มาเป็นพลังและประสบการณ์สำหรับฤดูกาลหน้า

"ประสบการณ์คือสิ่งที่ดีที่จะกระตุ้นให้คนเราฮึดสู้ แม้แต่ประสบการณ์ที่แย่ๆ ก็อาจนำความเด็ดเดี่ยวมาเสริมให้คุณได้ นักเตะของเราที่มีอยู่ นักเตะรุ่นใหม่ๆ คงจะนำไปใช้ได้ดี เพราะมีคุณสมบัติที่เหมาะสมอยู่แล้ว การเสียแชมป์คงจะไม่ทำพวกเขาท้อแท้ ถึงพวกเขาจะไม่ชอบ แต่สุดท้ายแล้ว คุณต้องเดินหน้าต่อไป ต่อสู้กับอุปสรรค เพราะเราเก่งในเรื่องนี้"


ที่มา.ข่าวสดออนไลน์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันเสาร์ที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ถอดรหัส : โมเดล 111 กระชับอำนาจรัฐ !!?

เข็มทิศการเมืองกำลังหวนคืนสู่จุดเดิม! เพราะในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า กำหนดโทษ.. เว้นวรรคทางการเมือง 5 ปี ของสมาชิกบ้าน “ตองหนึ่ง” จะถึงกาล-สิ้นสุด

เมื่อคุกการเมืองอยู่ในสภาพกรุแตก! หลังการปลดพันธนาการอดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทยทั้ง 111 คน ที่นับถอยหลังรอเวลากลับสู่ยุทธจักรการเมืองอีกครั้ง...นั่นย่อมกลาย เป็นจุดเปลี่ยนทางการเมืองครั้งสำคัญ

คงยากจะปฏิเสธได้ว่า “สงครามการเมือง” ที่กินเวลายาวนานมาตลอดหลายขวบปี ได้กีดกันและขัดขวาง “ตัวจริง” ที่เคยอยู่แถวหน้าให้ถอยห่างออกไปจากวงการเมือง ทำให้เกิดภาวะสุญญากาศไร้หัวไร้หาง! ในห้วงเวลาหนึ่ง จนขาดซึ่ง “มืออาชีพ” ที่จะเข้าไปบริหารประเทศ ตลอดจนการทำหน้าที่ของฝ่าย นิติบัญญัติ

ยิ่งอยู่ท่ามกลางปัญหารุมเร้าสารพัด! ข่าวการปรับคณะรัฐมนตรีล็อตใหญ่ก็เริ่มออกมาหนาหู โดยมีการคาดการณ์ไว้ว่าจะ มีการยกเครื่องทีมรัฐมนตรีในช่วงเดือน มิ.ย.-ก.ค.นี้ แม้ว่า “นายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ยังไร้ซึ่งท่าที หรือแบ่งรับแบ่งสู้กับการปรับขบวน “ครม.ยิ่งลักษณ์ 3” ให้เป็น..ผนังทองแดงกำแพงเหล็ก! ของรัฐบาล หรือแม้การที่ “ทนายหน้าหอ-นพดล ปัทมะ” อดีต รมว.กระทรวงการต่างประเทศ ในฐานะบุคคลใกล้ชิด..ผู้มีอำนาจตัวจริงในรัฐนาวา จะยืนกรานว่า..ยังไม่ถึงเวลา!

แต่บนความเคลื่อนไหว “วงใน” กลับเป็นตรงกันข้าม เป็นเพราะชาวคณะตองหนึ่ง ล้วนมีโควตา หรือ “นอมินี” ของตัวเองอยู่ในรัฐบาล ขณะที่พรรคเพื่อไทยก็อยากได้พวกมือเก๋า-เพดานบินสูง เข้ามาเสียบแทนพวกมือใหม่หัดขับ! ที่ทำให้ “ครม.ทักษิณส่วนหน้า” ตกอยู่ในสภาวะเพลี่ยงพล้ำ เท่ากับเป็น “จังหวะ” และ “โอกาสสำคัญ” ในการปฏิรูปภายใน เพื่อเสริมเขี้ยวเล็บครั้งใหญ่ ท่ามกลางกระแสอันเชี่ยวกรากทางการเมือง

กระนั้นแม้หลายฝ่ายจะมองว่า การปรับ ครม.รอบหน้า “ไม่ตอบโจทย์ทางการเมือง” ก็ตามที แต่เมื่อรัฐบาลกำลังกลืนไม่เข้า คายไม่ออก ฉะนั้นการเอาคนบ้าน 111 เข้ามาแทน ก็อาจเป็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ เพราะเกือบหนึ่งขวบปีภายใต้ธงบริหารของ พรรคเพื่อไทย ยังไร้ซึ่ง “ผลงาน” ที่จะมาการันตีคุณภาพคับแก้วของรัฐบาลชุดนี้

เวลานี้รัฐบาลได้ดำเนินนโยบายไปมากมาย ทั้งเรื่องเศรษฐกิจ การแก้ปัญหาปากท้อง การขึ้นค่าแรง 300 บาท ...เงินเดือนคนจบ ป.ตรี 15,000 บาท ตลอดจนการรับจำนำข้าว ล่าสุดคือการ กดปุ่มลงทะเบียนพักหนี้เกษตรกรไม่เกิน 5 แสนบาท เช่นเดียวกับการเปิดศึกน้ำลายกับซีกฝ่ายค้านในสภา ทั้งเรื่องการเปิดหมาก “ปรองดอง” หรือการปลดล็อก มาตรา 291 เพื่อเดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญปี 2550

ทว่า.. การขับเคลื่อนนโยบายก็ดำเนินไปแบบถูลู่ถูกัง! ไม่เป็น ไปตามเป้าหมายที่มีไว้พุ่งชน..! ของรัฐบาล โดยเฉพาะกระบวนการจัดการ และการหวังผล ได้ ซึ่งเป็น “จุดเด่น” ของระบอบทักษิณเดิม

ยิ่งไปกว่านั้น การอธิบายความและการกำหนดนโยบายก็ยัง คงเป็นจุดอ่อน! หลายต่อหลายครั้ง แทนที่รัฐบาลจะเป็น “ฝ่ายรุก” กลับโดนฝ่ายค้านลูบหน้าปะจมูกกรีดใส่รัฐบาลจนตกอยู่ในความเพลี่ยงพล้ำ ที่สุดเลยต้องเป็นฝ่ายตั้งรับไปเสียอย่างนั้น ยิ่ง การอธิบายถึงผลงานของรัฐบาล เพื่อทำความเข้าใจกับประชาชน แทนที่จะเป็นเรื่อง “ง่าย” กลับยากยิ่งกว่าเข็นครกขึ้นภูเขา เพราะความดียังไม่ปรากฏ ผลงานรัฐบาลยังไร้ซึ่งความชัดเจน ที่สำคัญ ยังปรากฏว่า “แนวรับทางการเมือง” ก็เริ่มประสบปัญหา

แม้องค์ประกอบหลักของรัฐนาวา “ยิ่งลักษณ์” จะยังเป็นโมเดลเก่าเหมือนสมัยรัฐบาลไทยรักไทย คือมีนโยบายที่ดี ..ประชานิยมบานสะพรั่ง แถมยังมีกลไกที่ใช้การได้ แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปคือ “คนที่เข้ามาจัดการ” หรือก็คือคณะรัฐมนตรี ที่เวลานี้ยังเป็นเพียง “อะไหล่” หรือ “ตัวสำรอง!” ที่ถูกย้ำหัวตะปูว่า เป็นนักการเมืองแถวสอง-แถวสาม หรือพวกด้อยประสบการณ์ทางการเมืองนั่นเอง

ขณะเดียวกัน การปรับ ครม.ยิ่งลักษณ์ /3 ยังคงมีเงื่อนไข สำคัญคือ การรอดูท่าทีการยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจของฝ่าย ค้าน ที่ประกาศจองกฐินทันทีในช่วงเปิดสมัยประชุมทั่วไป 1 ส.ค.นี้

เกมสับขาหลอก...เวียนเก้าอี้ดนตรีหนนี้! ดูเหมือนว่ายังต้อง รอทิศทางลมไปก่อน เพราะมีศึกซักฟอกคั่นไว้ตรงกลาง ซึ่งกลวิธีนี้ เคยใช้ได้ผลมาแล้วในรัฐบาลทักษิณ เพื่อลดแรงเสียดทานทางสังคม และทำให้พรรคฝ่ายค้านหัวหมุนในการเตรียมข้อมูลซักฟอก รัฐบาล เหนืออื่นใดเมื่อสถานการณ์ยังไม่สุกงอม! ขาใหญ่หลายคน ในกลุ่ม 111 ที่รอเวลาปลดแอกมา 5 ปีเต็ม คงต้องอดใจอีกสักระยะ เพื่อรอรับสัญญาณจากแดนไกล และให้สถานการณ์เข้าที่-เข้าทางมากกว่านี้

อย่างไรก็ดี “ขุนพลตัวหลัก” ในโควตาบ้าน “ตองหนึ่ง” ที่ยังมีโอกาสก้าวเดินบนถนนสายการเมืองในการปรับ ครม.รอบหน้า มีชื่อแคนดิเดตอย่างอดีตรักษาการหัวหน้าพรรคไทยรักไทย “จาตุรนต์ ฉายแสง” บุคคลที่มีภาพของนักประชาธิปไตย และมีสัมพันธ์ใกล้ชิดกับ “ผู้มากบารมีแห่งรัฐนาวา” ซึ่งได้มีกระแสข่าวหนาหูว่า จะเข้าไปเสียบเก้าอี้ รมว.กระทรวงศึกษาธิการ หรือจะ เป็น “พงศ์เทพ เทพกาญจนา” มือกฎหมายชั้นแนวหน้าของเมืองไทย ก็รอเวลาที่สุกงอมเข้ามานั่งเก้าอี้ใหญ่ในรัฐบาลเช่นกัน

ส่วนบุคคลเบื้องหลังอย่าง “ภูมิธรรม เวชยชัย” และ “พงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล” ก็น่าจะมาแชร์เก้าอี้เสนาบดีตัวใดตัวหนึ่ง ซึ่งก็มีแนวโน้มว่า “คีย์แมน” อย่าง “เฮียเพ้ง” ไม่แคล้วจองคิว “ว่าการคมนาคม” ไว้แล้ว! ด้าน “หมอมิ้ง-น.พ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช” หากไม่อยากเป็นบุคคลเบื้องหลังฉาก ก็น่าจะเปิดหน้าทวงเก้าอี้ใหญ่ในรัฐบาลเช่นเดียวกัน

เช่นเดียวกับหัวหมู่เสื้อแดงอย่าง “จตุพร พรหมพันธุ์” ยังมีคิวต้องลุ้นชะตากรรมทางการเมืองของตัวเอง หากมีคำวินิจฉัย ของศาลรัฐธรรมนูญ ในวันที่ 18 พ.ค.นี้ ชี้ให้เขาต้องหมดจากสมาชิกภาพการเป็น ส.ส.แล้ว ย่อมหมายความว่า “นายใหญ่” คงเป็นธุระในการจัดหาที่ยืนให้..เพื่อเป็นการตอบแทนและสยบกระแสฮือต้านจากคนเสื้อแดง โดยมีให้เลือก 2 เก้าอี้ คือ มท.2 หรือ รมต.ประจำสำนักนายกฯ เสียบแทน “นลินี ทวีสิน” ที่เป็นจุดอ่อนของรัฐบาลชุดนี้ ขณะที่ “วราเทพ รัตนากร” อดีตขาประจำยุคทักษิณ ก็ถูกวางตัวโดย “เจ้าแม่วังบัวบาน” เยาวภา วงศ์สวัสดิ์ ซึ่งอาจเข้ามาคั่วเก้าอี้รัฐมนตรีเศรษฐกิจกระทรวงใด กระทรวงหนึ่ง มีให้เลือก 2 ขา ... “คลัง” หรือ “พาณิชย์” โดยทั้งหมดล้วนเป็นขุนพลชั้น 26 แห่งศูนย์บัญชาการตึกชินวัตร ที่รอเวลาเปิดตัวครั้งใหม่ เพื่อใช้เป็น “ไพ่ใบสำคัญ” สยบการเคลื่อนไหวทางการเมืองของ “ขั้วตรงข้าม”

ด้านพรรคร่วมรัฐบาล ก็ชัดเจนแล้วว่า “สนธยา คุณปลื้ม” แกนนำพรรคพลังชน จะเข้ามายึดเก้าอี้นอมินีคืน หลังส่งภรรยาสุดเลิฟ “สุกุมล คุณปลื้ม” นั่ง รมว.กระทรวงวัฒนธรรม เช่นเดียวกับ “สุวัจน์ ลิปตพัลลภ” ที่น่าจะมาแทนที่ “ม.ร.ว.พงษ์สวัสดิ์ สวัสดิวัตน์” รมว.กระทรวงอุตสาหกรรม

แน่นอนว่า หลังป่าช้าแตก! เกมการปรับ ครม.ยิ่งลักษณ์ /3 น่าจะเป็นตัวแปรสำคัญในโมเดล “กระชับอำนาจ” นำไปสู่ การผลักดันนโยบายแห่งรัฐ ซึ่งหนทางที่ “สั้น” และ “ง่าย”.. ที่สุด! คือการปลดปล่อยสมาชิก 111 เข้าไปสู่หมากกระดาน สำคัญ เพราะคนเหล่านี้ถือเป็น “มือเก๋า” ที่เจนจัดในสังเวียน การเมือง และมีความสามารถเป็นที่ประจักษ์ชัดในการบริหาร อำนาจรัฐมาแต่ครั้งอดีต!?!

ที่มา.สยามธุรกิจออนไลน์
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ไว้อาลัยอากง ลื้อกลับบ้านได้แล้ว..!!?

กลับบ้านเรานะ ตอนนี้เค้าปล่อย ตัวลื้อแล้ว..”

เป็นเสียงสะอื้น..ร่ำไห้จากภรรยาหลังการเสียชีวิตของ “อำพล ตั้งนพคุณ” หรือ “อากง-เอสเอ็มเอส” ...เหยื่อมาตรา ร้อน 112 จากคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ซึ่งถูกศาลอาญาพิพากษาจำคุก 20 ปี ในความผิดตามประมวลกฎหมาย อาญามาตรา 112
การจากไปอย่างไม่มีวันกลับของ “อากง” ได้ทำให้เรื่องของมาตรา 112 “ร้อน” ขึ้นมาอีก! โดยมีประชาชนใส่ชุดดำ ไปรวมตัวกันหน้าเรือนจำทันที ส่วนอีกกลุ่ม หนึ่งก็แต่งดำไปร่วมกิจกรรม.. จุดเทียนไว้อาลัยที่หน้าศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ในวันที่ “อากง” เสียชีวิต... โดยมีกลุ่มนักวิชาการ และคนที่ให้การสนับสนุนแนวทาง “คณะนิติราษฎร์” พร้อมใจกันมาอย่างคับคั่ง!

ในวันเดียวกัน ได้มีการปราศรัยโดยนักกิจกรรม มีการอ่านจดหมายฉบับสุดท้าย ของ “อากง” ต่อมา...ไม้หนึ่ง ก.กุนที ได้อ่านบทกวีถึง “อากง” และร่วมกันยืนสงบนิ่งไว้อาลัย จากนั้น “สุดา รังกุพันธุ์” นักวิชาการเสื้อแดง เป็นตัวแทนอ่านจดหมาย ที่เพิ่งเขียนโดยนางรสมาลินภรรยา “อากง” พร้อมกับมีการจุดเทียนไว้อาลัย

“จรัล ดิษฐาอภิชัย” อดีตแกนนำ นปก.รุ่นสอง กล่าวปราศรัยบนเวทีว่า เหตุการณ์การเสียชีวิตของ “อากง” เป็นเรื่องที่ศาลยุติธรรมจะปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้ เพราะว่าถ้าเกิดศาลยุติธรรมได้อนุญาต ให้ “อากง” ประกันตัว “อากง” ก็จะสามารถ เข้ารับการรักษาอาการป่วยอย่างเหมาะสม และคงจะไม่ต้องมาเสียชีวิต นอกจากนั้น “จรัล” ยังได้เสนอข้อเรียกร้องต่อกรมราชทัณฑ์ว่า จะต้องสอบสวนกรณีการเสียชีวิตของ “อากง” และแถลงการณ์การสอบสวนอย่างรวดเร็ว พร้อมเรียกร้อง ให้รัฐบาลหันมาสนใจในกรณีการเสียชีวิตของอากง และช่วยเหลือเยียวยาครอบครัวด้วย

ด้าน “ธิดา ถาวรเศรษฐ” ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช. กล่าวแสดงความเสียใจว่า “..รู้สึกเสียใจอย่างยิ่งต่อการเสียชีวิตของอากง ถือว่าเป็นความบกพร่อง ของกระบวนการยุติธรรมไทย ผู้ต้องหาไม่ ได้รับการดูแลในเรื่องสุขภาพอนามัยเท่าที่ควร และผู้ต้องหาที่ยังไม่ได้ตัดสินคดีความยังไม่ได้รับการประกันตัว การเสียชีวิตของอากงจะไม่เสียเปล่า โดย นปช. จะเพิ่มข้อเรียกร้องขอความเป็นธรรมเพื่อ เพิ่มน้ำหนักให้ผู้ที่ถูกกล่าวหาทางการเมือง ที่ถูกคุมขังโดยมิชอบ”

ขณะเดียวกันที่จังหวัดเชียงใหม่ ได้มีกิจกรรมคู่ขนานไปกับการชุมนุมที่กรุงเทพฯ และมีการถ่ายทอดสดกิจกรรมจากกรุงเทพฯ ไปที่เชียงใหม่ด้วย โดยมีการอ่านบท กวี กล่าวไว้อาลัย ยืนสงบนิ่งที่อนุสาวรีย์สามกษัตริย์ ก่อนจะแยกย้ายกันกลับในเวลาใกล้เคียงกัน

เวลานี้กระแสสังคม..! กำลังไหวเอน กับกรณีการเสียชีวิตของ “อากง” ที่นับเป็นบทเรียนหนึ่งสำหรับสังคมไทยและสำหรับบุคลากรในกระบวนการยุติธรรม นักกฎหมาย ตลอดจนรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ที่ต้องแก้ไขปัญหาอย่างจริงจังเกี่ยวกับ “การเลือกปฏิบัติ...อย่างไม่เป็นธรรม” ต่อบุคคลที่มีความคิดต่างทางการเมือง การตั้งข้อกล่าวหาที่รุนแรง และ การจำกัดสิทธิในกระบวนการยุติธรรมของบุคคล ตลอดจนสิทธิที่จะเข้าถึงกระบวนการยุติธรรม อันเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่ได้รับรองไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และ กฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ

ในช่วงก่อนที่ “อากง” จะเสียชีวิต ก็ได้ปฏิเสธเรื่องการส่งข้อความหมิ่นฯ และบอกด้วยว่า..ยังไม่รู้วิธีการส่ง “เอสเอ็มเอส” ทางโทรศัพท์เลยด้วยซ้ำไป เขาร่ำไห้ขณะอยู่ในกระบวนการของศาล และ กล่าวว่า “ผมรักในหลวง..!”
หนังเรื่องยาวได้รูดม่านไปพร้อมกับ ลมหายใจสุดท้าย...ขอร่วมไว้อาลัย “เหยื่อ 112” วันนี้สิ้นสุดการต่อสู้แล้ว...อากง!

ที่มา.สยามธุรกิจออนไลน์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันศุกร์ที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

นักวิชาการ : เตือนแกนนำแดงอย่าแปลกแยกมวลชน จ่อยื่นแก้กฎหมาย ม.112 วันที่ 27 พ.ค.นี้ !!?

ผศ.ดร.พวงทอง ภวัครพันธุ์ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นักวิชาการในคณะรณรงค์แก้ไข ม.112 หรือ ครก.112 ได้เปิดเผย ว่า เมื่อ 3 สัปดาห์ที่แล้ว ครก. 112 ได้ประชุม เพื่อจัดงานสรุปการรณรงค์รวบรวมรายชื่อประชาชนที่ร่วมเสนอรายชื่อแก้ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ตามร่าง กลุ่มนิติราษฎร์ โดยกำหนด จัดงานที่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ วันที่ 27 พฤษภาคม ตลอดช่วงบ่าย

เนื่องจากขณะนี้รวบรวมรายชื่อเกิน 1 หมื่นชื่อ เป็นขั้นต่ำที่กฎหมายกำหนดแล้ว อย่างไรก็ตาม ระหว่างนี้ยังมีประชาชน ส่งรายชื่อเข้ามา แล้วมีรายชื่ออีกจำนวนมาก เป็นหมื่นรายชื่อ ที่ยังไม่ได้ตรวจสอบเอกสาร จะรายงานรายชื่ออีกครั้งในวันที่ 27 พฤษภาคม

ในงานจะอ่านบทกวี รำลึกถึงการเสียชีวิตของนายอำพล หรือ “อากง” เสียชีวิตในเรือนจำ และเสวนาวิเคราะห์ปรากฎการณ์ “112 ริกเตอร์” หรือแรงเขย่าของแผ่นดินไหวจากมาตรา 112 ทั้งนี้ การทำงานของ นิติราษฎร์ และ ครก. 112 เป็นการต่อสู้วัฒนธรรมการเมืองกระแสหลัก ที่ครอบงำสังคมไทยมาตลอดด้วยการปิดกั้นจากข้อมูลด้านเดียว ฉะนั้น ต้องสร้างความเข้าใจกับสังคมให้ข้อมูลกับประชาชนมากที่สุด

ดร.พวงทอง กล่าวด้วยว่า หลายฝ่ายพยายามใช้กรณีการตายของนายอำพล หรือ “อากง” มาโจมตีซึ่งกันและกัน แต่อยากเตือนความจำว่า คนที่กล่าวโทษและแจ้งความ “อากง” คือ เลขาส่วนตัวของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ตั้งแต่สมัยที่นายอภิสิทธิ์ยังเป็นนายกรัฐมนตรี ขณะที่นายอภิสิทธิ์ บอกให้รัฐบาลชุดปัจจุบันสอบสวน การตายของ “อากง” อย่างละเอียดรอบคอบ เพราะเป็นการเสียชีวิต ขณะอยู่ในการดูแลหน่วยงานของรัฐ ซึ่งฟังดู เหมือนนายอภิสิทธิ์ ห่วงใยแทนอากงและครอบครัวที่ไม่ได้รับความยุติธรรม ขณะที่นายอภิสิทธิ์ ไม่เคย พยายามแก้ไขมาตรา 112 และนายอภิสิทธิ์เอง เป็นส่วนหนึ่งของสังคมนี้ที่เห็นว่าต้องคงมาตรา 112 ไว้ รวมถึงบทลงโทษที่รุนแรง

ดร.พวงทอง กล่าวถึงท่าทีของฝ่ายรัฐบาลและแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.)ว่า การเคลื่อนไหว แก้ไข มาตรา 112 ที่ผ่านมามีความชัดเจนว่า ทั้งรัฐบาล และ แกนนำ นปช. พยายามกีดกันตัวเอง ออกไปจากประเด็นนี้ พูดชัดเจนว่าจะไม่แตะต้องมาตรา 112 แสดงให้เห็นว่า ไม่มีความกล้าหาญพอที่จะผลักดันให้เกิดความเปลี่ยนแปลงกฎหมายนี้พวกเขาจะกล้าหาญ เฉพาะในเวลาที่พวกเขาได้ประโยชน์ หรือพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯได้ประโยชน์ จากการต่อสู้ของคนเสื้อแดง ไม่แคร์ว่ารัฐบาลและแกนนำ นปช. จะไม่เอาด้วย เพราะชัดเจนว่าจุดยืนทางการเมืองของเขาในมาตรา 112 เป็นอย่างไร เพียงแต่ เขาต้องคิดหนัก ถ้าจะทำตัวเป็นปฏิปักษ์ต่อกลุ่มคนที่พยายามจะแก้ไขมาตรา 112 เพราะในที่สุดแล้ว เขากำลังแปลกแยกออกจากมวลชนที่สนับสนุนเขา อย่างไรก็ตาม คิดว่า แกนนำ นปช.และพรรคเพื่อไทย รวมถึงแกนนำรัฐบาล ควรรับฟังเสียง ประชาชนในเรื่องการแก้ไขมาตรา 112 ให้มากขึ้น และคิดแก้ไขปัญหา ถ้าไม่อยากถูกมวลชนทอดทิ้ง

นักวิชาการผู้นี้ เล่าว่า ในฐานะเป็น 1 ใน 7 นักวิชาการ ที่ยื่นประกันตัวอากง ในครั้งที่ 7และ 8 ของการยื่นขอประกันตัวโดยทนายความทั้งหมด 8 ครั้ง แต่อากง ไม่ได้รับการประกันตัว ด้วยเหตุผลว่า เป็นคดีร้ายแรง ถูกลงโทษจำคุก 20 ปี เกรงจำเลยจะหลบหนี ส่วนกรณีทนายและญาติ บอกว่า อากงเจ็บป่วยสุขภาพไม่แข็งแรง ได้รับคำตอบว่าในทัณฑสถานมีแพทย์ มีหน่วยงานของรัฐ ที่จะดูแลรักษาได้ สำหรับ เหตุผลที่นักวิชาการรวมตัวไปประกันอากงนั้น เป็นหน้าที่ทางศีลธรรมที่ต้องช่วยเหลืออากง เพราะทราบกันดีว่ามาตรา 112 เป็นกฎหมายที่มีปัญหา ผู้ถูกกล่าวหา ไม่ได้รับการเคารพ สิทธิขั้นพื้นฐาน

ในวันที่ไปยื่นประกันในชั้นศาลอุทธรณ์ ทั้งป้าอุ๊ และลูกสาวหวังว่าจะได้ แต่ก็ผิดหวัง จึงถามครอบครัวอากงว่า ถ้า อากงไม่ได้รับการประกันตัวอีก จะขอพระราชทานอภัยโทษหรือไม่ เขาก็ลังเล เพราะรู้ว่าร่างกายอากง ไม่สามารถจะทนทุกข์ทรมานในคุกได้ เพราะมีโรค ประกอบกับสภาพในเรือนจำย่ำแย่ เขาก็สงสารอากง อยากให้อากงออกมา แต่ในอีกด้านหนึ่ง เขาก็ทำใจไม่ได้ ที่จะยอมรับผิดในสิ่งที่เขาไม่ได้ทำ ครอบครัวอากงยังยืนยันว่าอากง ไม่ได้ทำผิดตามที่ถูกกล่าวหา อากงยืนยันมีความจงรักภักดี ต่อในหลวง เคยพาหลานไปโรงพยาบาลศิริราช เพื่อร่วมลงนามถวายพระพร พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แต่เมื่อเจอข้อหาละเมิด ม. 112 ก็มีสถานะเป็นนักโทษทางการเมืองทันที และมีแนวโน้มถูกละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐาน มากกว่านักโทษคดีอาญาอื่นๆ ที่มีโอกาสได้รับการประกันตัวแทบทั้งนั้น

ดร.พวงทอง กล่าวถึงข้อสงสัยว่าการตายของ “อากง”ถูกนำมาใช้ประโยชน์โดยฝ่ายที่เคลื่อนไหวแก้ไขมาตรา 112 ว่า เชื่อว่าไม่มีใครอยากให้อากงเสียชีวิต เพียงหวังให้ มาตรา 112 เป็นประเด็นที่สังคมกลับมาถกเถียงกันอีก คนปกติทั่วไปที่มีสามัญสำนึกดีจะไม่มีความคิดแบบนี้ นี่เป็นการโยงใยที่ไร้เหตุผลที่สุด แล้วน่ารังเกียจที่สุด มีแต่คนที่ชิงชังรังเกียจและตามืดบอดต่อปัญหา ที่เกี่ยวข้องกับมาตรา 112 เท่านั้น ที่จะตั้งข้อสงสัยแบบนี้ได้

ทีมา.มติชนออนไลน์
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

เกษียร เตชะพีระ อ.ธรรมศาสตร์ โพสต์เฟซบุ๊กฝากถึง ตั๊ก บงกช-ยะใส กรณี อากง เสียชีวิต !!?

จากกรณีเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ร้อนแรงในเครือข่ายสังคมออนไลน์ หลังจาก ตั๊ก บงกช คงมาลัย ดาราสาวชื่อดัง โพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊ก แสดงความเห็นเกี่ยวกับการเสียชีวิตของนายอำพล ตั้งนพคุณ หรือ "อากง เอสเอ็มเอส" จำเลยในคดี ม.112 ด้วยข้อความระบุว่า "เวรกรรมของอากง / แต่อากงไม่อยู่ก็ดีนะคะ แผ่นดินจะได้ดีขึ้น / ถึงฉันจะเปิดนม เปิดอะไร หรือมีชื่อเสียงไม่ดี หรืออะไรก็ตามที่คุณจะสรรหามาด่า แต่ฉันก็ไม่โง่ แล้วทำไมคุณกล้าสู้เพื่ออากง แล้วเมื่อไรคุณจะตายคะ จะได้ไปช่วยอากงต่อในนรก เพราะอากงคุณตกนรกแน่ / คุณรักอากง ฉันก็รักครอบครัวพ่อของฉัน ทำไมเหรอ" และต่อมา นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานกลุ่มกรีนและอดีตผู้ประสานงานพันธมิตรฯ ได้ทวีตลิงก์ข่าวจากเว็บไซต์แห่งหนึ่งที่นำเสนอประเด็นเรื่องการโพสต์ข้อความดังกล่าวของตั๊ก บงกช โดยพาดหัวว่า "ตั๊กรับโพสต์ไม่เห็นด้วยกับพวกเชียร์ อากง ถามทำเพื่อคนที่ตนเคารพรักผิดหรือ?"

ล่าสุด นายเกษียร เตชะพีระ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความลงใน เฟซบุ๊กส่วนตัว ถึงกรณีนี้ ระบุว่า

"ฝากถึงยะใสกับคุณบงกช คงมาลัย: การแสดงความรักที่ไม่กอปรด้วยปัญญาและความเข้าใจ อาจทำร้ายผู้อื่นที่เจ็บปวดอยู่แล้วได้ ด้วยความเขลาและขาดความรับผิดชอบ การทำด้วยความรัก โดยตัวมันเองไม่ผิด แต่สิ่งที่ทำนั้น หากขาดความรู้ความเข้าใจที่รอบคอบรัดกุมรองรับ ก็อาจกลายเป็นการกระหน่ำซ้ำเติมทำร้ายผู้อื่นที่เจ็บปวดสูญเสียอยู่แล้วให้เขาเสียใจยิ่งขึ้นได้

"ลองคิดถึงกรณีทำนองเดียวกันแล้วมีคนมาโพสต์ด้วยน้ำเสียงเลือดเย็นคล้ายๆ กันกับการจากไปของน้องโบว์ดู แล้วญาติมิตรของเธอจะรู้สึกอย่างไร? มันถูกต้องหรือไม่? เป็นสิ่งที่เพื่อนมนุษย์ควรทำต่อกันหรือไม่?

"ความรักที่ไม่กอปรด้วยปัญญาหากถือเอาอารมณ์สะใจตนเองเป็นที่ตั้งจึงอาจทำร้ายพสกนิกรของในหลวงด้วยกันด้วยความเขลาและขาดความรับผิดชอบ

"น่าเสียดายที่คุณยะใสที่น่าจะมีความเข้าใจและรับผิดชอบทางการเมืองจากประสบการณ์ที่มีมากกว่าก็ดูจะเป็นแบบนี้ด้วยเหมือนกัน"

(ที่มา ข่าวสดออนไลน์)

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันพฤหัสบดีที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

จากผู้หญิงเสื้อแดงแถวหน้า..สู่เส้นทางนักการเมือง !!?

นักการเมืองรุ่นใหม่ที่มากความสามารถอย่าง “จารุพรรณ กุลดิลก” กรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ จากพรรคเพื่อไทย ทายาทคนเก่งของ “พล.ต.ท.ชัจจ์ กุลดิลก” รมช.คมนาคม ผ่านแง่มุมอันมีนัยยะสำคัญหลากหลาย ที่เธอถ่ายทอดไว้ได้น่าสนใจยิ่ง

- บทบาทก่อนเข้าสู่เวทีการเมือง

“ก่อนเข้ามาเป็นนักการเมือง ก็เป็นอาจารย์สายบริหาร ทำงานเกี่ยวกับด้านโครงสร้างและงานบริหารบุคคล เพื่อรองรับ การออกนอกระบบ แต่ปัญหาอยู่ที่ว่าบ้านเราแม้จะออกนอกระบบ ไปแล้ว แต่การบริหารยังเป็นไปในระบบ TOP DOWN คือคนนั่งหัวโต๊ะจะเป็นคนมีอำนาจสั่งการ มีอิทธิพลเหนือผู้ที่อยู่ในระดับ ที่ต่ำกว่า ตรงนี้มันไม่เอื้อต่อการพัฒนา ในทางการเมืองก็เช่นกัน ถ้าการบริหารประเทศเป็นไปในแบบ TOP DOWN ประชาชนในประเทศก็จะไม่ได้รับการพัฒนา ซึ่งประชาชนเป็นส่วนสำคัญในการพัฒนาประเทศในอนาคต”

- การร่วมชุมนุมกับคนเสื้อแดง

“เนื่องจากทำงานด้านสันติวิธี และมีโอกาสไปสังเกตการณ์ ชุมนุมใหญ่ของประเทศอยู่ตลอด และได้เข้าไปเสนอรูปแบบการชุมนุมอย่างสร้างสรรค์ ให้กับทุกๆ การชุมนุมในนามศูนย์สันติวิธี มหาวิทยาลัยมหิดล แต่ก็มักจะได้รับการปฏิเสธ จนมาวันหนึ่งได้มีการไดอะล็อกสุนทรียสนทนาขึ้นมา และได้มีการให้แต่ละคนออกมาพูดถึงความเห็นส่วนตัว โดยหลายๆ คนก็ได้สะท้อนความ เห็นเหมือนๆ กับคนเสื้อแดง คือผู้ที่รักประชาธิปไตย และเอื้อให้เกิดการพัฒนา ก็เลยเห็นว่า เสื้อแดงจะออกมาประท้วงอย่างสร้างสรรค์ก็สามารถทำได้ เลยลุกขึ้นมาใส่เสื้อแดง และก็ลองไปนั่งดื่ม กาแฟที่โรงแรมในหัวหินช่วงที่มีการประชุมอาเซียน ซัมมิท จนก็กลายเป็นที่สนใจของสื่อมวลชนต่างประเทศและรัฐบาลในยุคนั้นด้วย ก็เลยกลายเป็นที่รู้จักว่ามาประท้วงแบบสร้างสรรค์ คือมานั่งดื่มกาแฟเฉยๆ และก็ใส่เสื้อแดง”

- การเคลื่อนไหวในระดับสากล

“ที่ผ่านมาเราเห็นว่าการชุมนุมมักจะเกิดความรุนแรง ก็เลย ได้มีการป้องกันไว้ในเบื้องต้นว่า หากมีการละเมิดสิทธิมนุษยชนหรือมีการทำร้ายประชาชน ซึ่งเกี่ยวกับที่เราไปทำกฎบัตรสิทธิสัญญาสิทธิทางพลเมืองในระดับสากล ก็จะต้องมีการฟ้องร้องกัน เพื่อหาความเป็นธรรมให้ได้ในระดับโลกระดับสากล จึงเป็นตัวแทน ที่รวบรวมข้อมูลที่มีการกระทำอาชญากรรมต่อมวลมนุษยชาติ คือการชุมนุมของคนเสื้อแดงที่มีการชุมนุมทุกครั้งตลอด 4 ปี ก็เป็นการชุมนุมที่สร้างสรรค์ แล้วก็หุ้นขึ้นทุกครั้งตลอดระยะเวลา 4 ปี จนกระทั่งมีการปิดสถานีโทรทัศน์และก็ปิดวิทยุชุมชนถึงพันแห่ง”

“มีการขอกระชับพื้นที่ สื่อหลักถูกบังคับไม่ให้มีการเสนอข่าว ของคนเรือนล้านที่มาชุมนุมบนท้องถนน ซึ่งตรงนี้เป็นบ่อเกิดของ ความรุนแรง และมีการนำทหารจำนวนกว่า 8 หมื่นนาย ซึ่งมาก กว่าการไปรบกับกัมพูชาเสียอีก โดยมีอาวุธครบมือมาต่อสู้กับประชาชนมือเปล่า ตรงนี้คือการผิดหลักมนุษยธรรม ตัดน้ำ ตัดไฟ ตัดสัญญาณโทรศัพท์ ไม่ให้มีการส่งข้าวส่งน้ำ ไม่ให้กาชาดสากล เข้ามาสังเกตการณ์ ตรงนี้คือการทรมาน และมีการล้อมด้วยอาวุธ สงคราม และมีการเขียนว่านี่คือพื้นที่ใช้กระสุนจริง การกระทำทั้งหมดเขาเรียกว่าการกระทำที่ขัดต่อหลักมนุษยธรรม”

- บทบาทนักมนุษยชนบนหมวกนักการเมือง

“เราจะต้องเรียกร้องความเป็นธรรมต่อไป เพราะคิดว่า การ ขัดต่อหลักมนุษยธรรมโดยรัฐธรรมนูญปี 2550 มีเหตุการณ์หลาย เหตุการณ์เกิดขึ้นเพราะรัฐธรรมนูญปี 2550 ซึ่งมาจากการรัฐประหารและก็การร่างรัฐธรรมนูญมาจากปลายกระบอกปืน เพราะฉะนั้น เราจะต้องแก้ไขโครงสร้างหลักตรงนี้เพื่อไม่ให้เกิดโศกนาฏกรรมเช่นนี้อีก ในช่วงที่มีรัฐธรรมนูญ 2550 เรามีการละเมิดสิทธิมนุษยชนมาก เรามีการละเมิดองค์กรอิสระเรามีการปิดกั้นสื่อ และเราก็มีเหตุให้เกิดความรุนแรงต่างๆ มากมาย เพราะ ฉะนั้น บทเรียนเหล่านี้เราต้องมาแก้ไขอย่างไรเพื่อสร้างความเป็นธรรมให้กับประเทศให้ได้ และก็ประชาชนจะเป็นผู้ช่วยร่างกติกา”

- ฝ่ายค้านมองว่าการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ขาดการมีส่วนร่วมของประชาชน

“ประชาชนจะเป็นคนเลือกผู้ที่จะมาร่างรัฐธรรมนูญนี้ คือประชาชนไปเลือกโดยตรงเลย แล้วก็มีผู้เชี่ยวชาญมาคัดเลือกผ่าน รัฐสภา ส.ส.ในรัฐสภาก็เป็นตัวแทนประชาชน และเราก็ให้ผู้เชี่ยวชาญมาช่วยด้านทางเทคนิคเท่านั้น ส่วนผู้ที่เป็นตัวแทนจากจังหวัด ก็จะเข้ามาร่างกติกาเป็นรัฐธรรมนูญต่อไป”

- กระบวนการร่างที่ถูกมองว่าเร่งรีบรวบรัด

“ต้องอธิบายว่า ถ้าเร่งรีบรวบรัด ครม.ก็สามารถออกมติ ตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญออกมายกร่างรัฐธรรมนูญ และส่ง ให้สภาพิจารณาได้เลย ถ้าเร่งรีบรวบรัดจริงๆ นี่ก็สามารถทำได้ แต่สิ่งที่เรากำลังทำตอนนี้ทั้งหมดทั้งกระบวนการและอะไรต่างๆ ก็ใช้เวลาเป็นปี”

- แต่รัฐธรรมนูญ 2550 มีการทำประชามติ

“การทำประชามติครั้งนั้นอยู่ภายใต้บรรยากาศการรัฐประหาร มีทหารถือปืนอยู่ตามหมู่บ้าน และมีการทำประชามติแบบรับๆ ไป ก่อน ซึ่งพวกเราก็จะรับทราบประโยคเหล่านี้ดี คือ รับๆ ไปก่อน มีการทำประชามติแล้วค่อยมาแก้ทีหลัง แต่คราวนี้ประชาชนจะไม่ตกอยู่ในสภาพที่ต้องถูกบังคับ มีการถกเถียง ซึ่งเราจะมีการพิจารณากันอย่างละเอียดถี่ถ้วน”

- ข้อสงสัยที่ว่าจะมีการเข้าไปแตะองค์กรอิสระและศาล

“เรื่องนี้เป็นความกลัว เพราะว่าที่ผ่านมาเราได้ยินว่าองค์กร อิสระถูกแทรกแซง แต่คิดว่าอย่าให้ประชาชนประเมินจากเหตุการณ์ที่ผ่านมา ว่าองค์กรอิสระทำงานได้ถูกใจประชาชนหรือไม่ อย่างไร แล้วก็มาคุยกัน และจะทำให้อำนาจเหล่านี้มายึดโยงกับประชาชนได้อย่างไร และสร้างความเป็นธรรมโดยรวมให้ได้อย่างไร บ้าง ในแง่มุมของศาลหรือกระบวนการยุติธรรม ก็จะต้องให้ยึดโยง กับประชาชนเช่นกัน และทำให้อำนาจเกิดความสมดุล เราทราบดีว่า ถ้าอำนาจไม่ได้ยึดโยงกับประชาชน จะไม่เกิดความเป็นธรรม”

- หลายฝ่ายมองว่ามีการล็อกสเปกรัฐธรรมนูญ

“จริงๆ ต้องเรียนอย่างนี้ว่ารัฐธรรมนูญที่ดีไม่ใช่เรื่องใหม่ของ โลกนี้ เราได้เห็นรัฐธรรมนูญของทั้งโลกตอนนี้มีพัฒนาการอย่างไร รัฐธรรมนูญปี 2540 ถูกพูดถึงมากในบ้านเรา ก็จะต้องเอามาเป็น แบบอย่าง ให้ประชาชนได้เอามาพิจารณาอย่างละเอียดว่า เนื้อหา ที่ต้องการให้ตรงกันอย่างไร ซึ่งก็เป็นกติกาคร่าวๆ ที่เรียกว่าสาระ บัญญัติ และถ้าเราเรียนรู้ร่วมกันได้ ทั้งถูกและทั้งผิดเราก็จะสามารถปรับปรุงแก้ไขต่อไปให้มันไปด้วยกันได้”

- เป็นสุภาพสตรีที่มีส่วนเข้ามาผลักดันกฎหมายสูงสุดของประเทศ

“ในส่วนนี้คิดว่า ไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือชาย ใครก็ได้ที่เคารพ ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ แล้วก็ผลักดันความเป็นมนุษย์ที่สามารถ คิด พูด อ่าน เขียน ได้อย่างเป็นอิสระ มีสิทธิ์ที่จะเรียนรู้ทั้งถูกทั้งผิด เรียนรู้จากปัญหาที่เกิดขึ้น และออกจากปัญหาด้วยตนเอง นี่คือหลักง่ายๆ ในการเคารพความเป็นมนุษย์ และสิทธิเสรีภาพ ไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือชาย ถ้าหากยึดโยงอยู่กับหลักนี้ และพร้อม ที่จะพัฒนาให้คนในประเทศได้รับการพัฒนา ให้มีสิทธิ์ได้เรียนรู้อย่างเต็มที่ เพื่อให้ชีวิตเขามีความสุขก็ถือว่ามีความเท่าเทียมกันในฐานะการเป็นกรรมาธิการ”

- การออกกฎหมายนิรโทษกรรม

“ต้องเรียนว่ารัฐธรรมนูญปี 2550 มีกฎหมายนิรโทษกรรม ที่เข้มข้นมาก คือไม่ให้ผู้กระทำรัฐประหารเอาอำนาจออกจากประชาชนไม่มีความผิดใดๆ ทั้งสิ้นเลย เพราะฉะนั้น เราไม่อยากให้เรื่องแบบนี้เป็นแบบอย่างที่ดีงาม เพราะว่าไม่มีรัฐธรรมนูญฉบับไหนในโลกให้มีนิรโทษกรรมผู้กระทำรัฐประหาร อย่างรัฐธรรมนูญปี 2550 จึงเชื่อว่า จะไม่มีการนิรโทษกรรมใดๆ เช่นนั้น อีกแล้ว”

- แง่มุมปรองดอง

“ส่วนตัวเชื่อว่า นี่คือกระบวนการเรียนรู้ทางสังคม ซึ่งก็จะ เป็นขั้นตอน คือเพิกเฉยก่อน จะไม่สนใจ จนกระทั่งถึงระดับหนึ่ง จะกลับมาถกเถียงกันและเกิดความขัดแย้งสูง ตอนนี้อยู่ในขั้นขัดแย้งถกเถียงกัน และหันหน้าเข้าหากันและถกเถียงกันอย่างเข้มข้น พอถึงการถกเถียงกันในระดับหนึ่ง จะเกิดการรับฟังผ่าน ถ้อยคำเสียดสีต่างๆ พอรับฟังแล้วจะเรียนรู้ พอเรียนรู้ร่วมกันเมือไหร่ ก็จะเกิดการยอมรับและปรองดองในที่สุด”

- แต่ที่ผ่านมาเกิดความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สิน

“ตรงนี้เราต้องหาความเป็นธรรมให้ได้ เป็นไปไม่ได้ที่ประเทศ ไทยจะอยู่ในสภาพที่หาความจริงไม่ได้ เป็นไปไม่ได้ที่ประเทศไทยจะอยู่ในสภาพที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ แล้วก็เราจะต้องหาความจริง และความเป็นธรรมให้ได้ ถ้าหาไม่ได้ในประเทศไทย เราต้องหาในระดับสากล”

- งานด้านผู้หญิง

“ได้ไปร่วมชุมนุมกับคนเสื้อแดงแถวหน้าที่เป็นผู้หญิงได้เรียนรู้ร่วมกันว่า ผู้หญิงเมื่อลุกขึ้นมาสู้แล้วจะไม่มีทางถอยง่ายๆ ตรงนี้ก็ได้มีโอกาสได้ไปเป็นล่ามแปลเผยแพร่แง่มุมในการชุมนุมของคนเสื้อแดงที่เป็นผู้หญิงให้กับสื่อต่างประเทศได้นำไปถ่ายทอด ให้ชาวต่างชาติ จนกระทั่ง ทีมงานของฮิลลารี่ คลินตัน ได้รู้จัก แล้วก็เชิญไปร่วมเวิร์กช็อปสัมมนาในเรื่องที่เกี่ยวกับการทำงานของผู้หญิงในภาคสังคม ซึ่งฮิลลารี่ก็มีโครงการที่อยากให้ผู้หญิงเข้ามามีส่วนร่วมทางการเมือง มากกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ในปี 2050 ซึ่งเชื่อว่าปัญหาของประชากรอีกครึ่งหนึ่งของโลกในส่วนที่เป็นผู้หญิง เกี่ยวกับความรุนแรง และปัญหาที่เกี่ยวกับผู้หญิงต่างๆ นานา จะสามารถขึ้นสู่เวทีใหญ่ และก็พูดและนำไปสู่การแก้ไขได้ เพราะฉะนั้น มันก็จะสามารถสร้างความสมดุลได้มากขึ้นเมื่อมีผู้หญิง เข้ามาทำงานการเมือง”

- ในท่ามกลางความขัดแย้ง ภาพของ “นายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ช่วยลดความตึงเครียด ลงได้หรือไม่

“ท่านเป็นสุภาพสตรีที่มีความประนีประนอมและก็เป็นคน รุ่นใหม่ที่มีวิสัยทัศน์กว้างไกลในระดับสากล เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะมีงานใดๆ ที่ท่านนั่งเป็นประธาน เรารู้สึกมั่นใจว่างานนั้นจะประสบความสำเร็จ และท่านก็มาเป็นผู้นำในช่วงเวลาที่พอเหมาะพอดี ส่งผลให้ความขัดแย้งทุเลาเบาบางลงไปได้มาก”

- คุณพ่อชี้แนะอะไรบ้าง

“ก่อนหน้านั้นก็เดินคนละเส้นทาง แต่ท่านก็ช่วยชี้ว่าอะไรควรไม่ควร แต่ท่านก็จะให้อิสระในการทำงานมาโดยตลอด จนกระทั่งมาเดินร่วมทางเดียวกัน ซึ่งเราก็เป็นกำลังใจให้กันและกัน”

- “อดีตนายกฯ ทักษิณ” จะได้กลับบ้านเมื่อไหร่

“เมื่อประชาชนเรียกร้องให้ท่านกลับบ้าน ท่านก็จะได้กลับบ้าน ก็คิดว่าจะต้องเป็นเสียงส่วนใหญ่จริงๆ ซึ่งเสียงสะท้อนเหล่านี้ถ้าสะท้อนออกมาว่าต้องการให้ท่านกลับบ้าน ท่านก็จะได้กลับบ้าน”

- สุดท้ายอะไรคือประตูสู่ความปรองดอง

“ขณะนี้ขอให้ประชาชนตื่นตัว เราเชื่อว่าเรื่องการเมือง คนรักกันไม่ควรคุยกัน แต่เชื่อส่วนตัวว่าเราต้องคุย เพราะการเมือง เป็นเรื่องของทุกคน และมีโอกาสได้เห็นประเทศต่างๆ เจริญก้าวหน้าได้ เพราะประชาชนตื่นตัวในเรื่องการเมืองมาก เสียงสะท้อนจากประชาชนจะทำให้เกิดความสมดุล และเราจะได้รู้ว่าผิดถูก ไม่ถูก อะไรควร ไม่ควร อะไรเป็นเรื่องจริงไม่จริง และเรา ก็ช่วยกันพัฒนาประเทศกันไป ประเทศไทยไม่ใช่ประเทศใหญ่ มีประชากร 60 กว่าล้าน ประเทศอื่นเขาใหญ่กว่าเรามาก เขายังอยู่ ร่วมกันได้อย่างสามัคคีได้ เราก็น่าจะทำให้บ้านเล็กๆ หลังนี้ เป็นที่เรียนรู้ร่วมกันและก็เป็นที่ที่ทำให้ทุกคนอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข”

แหลมคมและครบถ้วนกระบวนความสำหรับมิติมุมมองทาง การเมืองของ “จารุพรรณ กุลดิลก” ผู้หญิงเสื้อแดงแถวหน้า ที่ผันตัวเข้ามาสู่สนามการเมืองในนามพรรคเพื่อไทย

ที่มา.สยามธุรกิจออนไลน์
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

แบงก์อาเซียน แข่งสยายปีกผงาดภูมิภาค !!?

อาเซียนกำลังจะรวมตัวเป็นประชาคมอาเซียนในปี 2558 อุตสาหกรรมธนาคารในภูมิภาคต่างเร่งชิงบทนำ เตรียมรับตลาดขนาดใหญ่ที่มีประชากร 600 ล้านคน

ธนาคารหลายแห่ง กำลังมุ่งสู่การเป็นผู้เล่นระดับท็อป ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เห็นได้จาก "ดีบีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์" ของสิงคโปร์ และ "ซีไอเอ็มบี กรุ๊ป โฮลดิ้งส์" ของมาเลเซีย และธนาคารท้องถิ่นอื่นๆ ที่เร่งทำข้อตกลงทางธุรกิจ เพื่อโหนกระแสการเติบโตในภูมิภาคนี้

"วอลล์สตรีท เจอร์นัล" รายงานว่า แบงก์ในภูมิภาคนี้ ไม่ได้มีภาระจากวิกฤตการเงิน เหมือนที่บรรดาผู้เล่นระดับโลกเผชิญอยู่ ยักษ์เล็กในภูมิภาค จึงเร่งทำข้อตกลงเสริมแกร่ง เฉพาะในช่วงไม่กี่สัปดาห์มานี้ ดีลต่างๆ มีมูลค่าร่วม 8 พันล้านดอลลาร์

ไม่ว่าจะเป็น "ดีบีเอส" ที่ประกาศควักเงิน 9.1 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์ (7.3 พันล้านดอลลาร์) ซื้อกิจการ "พีที แบงก์ ดานามอน" แบงก์ใหญ่อันดับ 5 ของอินโดนีเซีย ซึ่งนับเป็นข้อตกลงขนาดใหญ่สุดในแดนอิเหนา รวมถึง "ซีไอเอ็มบี" ที่เพิ่งทุ่ม 881 ล้านริงกิต (288.6 ล้านดอลลาร์) ซื้อหุ้น 60% ในแบงก์ออฟคอมเมิร์ซ ของฟิลิปปินส์

ข้อตกลงเหล่านี้ สะท้อนซีรีส์ซื้อกิจการในอุตสาหกรรมการเงินเอเชีย ที่พุ่งเป้าในภูมิภาคเดียวกัน ซึ่งมีกลุ่มผู้บริโภค และธุรกิจที่น่าสนใจ ในฐานะตลาดขนาดใหญ่ ที่มีประชากรกว่า 600 ล้านดอลลาร์ และมีจีดีพีรวมกัน 2 ล้านล้านดอลลาร์

นี่ทำให้แบงก์ในอาเซียน พยายามเร่งสยายปีกภายในภูมิภาค เพราะหวังว่า การรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจ จะช่วยลดอุปสรรคด้านการค้า การลงทุน และการเคลื่อนย้ายแรงงาน เพื่อก้าวสู่ประชาคมเศรษฐกิจในอีก 3 ปีข้างหน้า

"ดาโต๊ะ ศรี นาเซียร์ ราซัค" ประธานบริหารกลุ่มซีไอเอ็มบี กล่าวว่า ยังไม่มีภาคธุรกิจ เตรียมพร้อมสำหรับการเป็นเขตเศรษฐกิจเดียวกันมากนัก เพราะธุรกิจอื่นๆ ยังมองไม่ออกว่าจะเป็นอย่างไร แต่เรามีความเชื่อมั่นมาก

การต่อสู้ที่เริ่มก่อตัวในตลาดนี้สะท้อนว่า ผู้เล่นระดับท้องถิ่นกำลังเป็นทัพหน้า ในบรรดาอุตสาหกรรมต่างๆ ที่เริ่มจะมองเห็นการรวมตัวในอาเซียนเป็นโอกาสสำคัญที่ช่วยขับเคลื่อนการเติบโตมหาศาลจากนี้ไป และอาจกระตุกให้เกิดการผนวกรวมกิจการในตลาดร่วมกับแบงก์ขนาดเล็กจำนวนมาก ทั้งในอินโดนีเซียและไทย

"อนันต์ ปัทมากานธาน" นักวิเคราะห์จากโนมูระ อีควิตี้ รีเสิร์ช สิงคโปร์ มองว่า การค้าในอาเซียน เป็นเรื่องสำคัญในทุกวันนี้ สำหรับตลาดเกิดใหม่ในอาเซียน การปล่อยกู้แก่วิสาหกิจขนาดกลางและเล็กเป็นเหมือนชิ้นเค้กที่น่ากิน

แต่ความแตกต่างในหมู่สมาชิกอาเซียน ก็ยังเป็นขวากหนามในการรวมตลาดเดียว ทั้งด้านการค้าและการลงทุน เพราะชาติสมาชิกอาเซียน มีความแตกต่างด้านเศรษฐกิจและสังคมอย่างมาก ในขณะที่จีดีพีต่อหัวต่อปีของสิงคโปร์มากกว่า 40,000 ดอลลาร์ ในอินโดนีเซียกลับอยู่ที่ 3,000 ดอลลาร์

อุตสาหกรรมธนาคาร เป็นหนึ่งในธุรกิจแรกๆ ร่วมกับอุตสาหกรรมขนส่งทางทางอากาศและค้าปลีก ที่มองเห็นศักยภาพของการเป็นตลาดเดียว ธนาคารหลายแห่งเริ่มช้อปข้ามแดนมานานแล้ว ย้อนกลับไปตั้งแต่ปี 2547 ทั้ง "ดีบีเอส" "ยูไนเต็ด โอเวอร์ซีส์ แบงก์" (ยูโอบี) และ "โอเวอร์ซี-ไชนีส แบงกิ้ง คอร์ป" (โอซีบีซี) ต่างก็เริ่มซื้อหุ้นในแบงก์ และบริษัทการเงินของเพื่อนบ้าน เช่นเดียวกับ "ซีไอเอ็มบี" และ "มาลายัน แบงกิ้ง" ของมาเลเซีย ที่ร่วมกระแสช้อปในปี 2551

ขณะที่ชาติในเอเชีย และอาเซียนจับมือกันแน่นแฟ้นมากขึ้น การค้าและการลงทุนในภูมิภาคก็เพิ่มขึ้น แต่ผู้เล่นจากตะวันตก ต้องดิ้นรนอย่างหนัก ธนาคารระดับโลกอย่าง "ซิตี้กรุ๊ป" และ "เอชเอสบีซี โฮลดิ้งส์" พากันผ่อนคันเร่งจากภูมิภาคนี้ เพราะต้องดิ้นรนในตลาดยุโรปและสหรัฐ

"อีวาน อาซิส" หัวหน้าฝ่ายการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจ ของธนาคารเพื่อพัฒนาเอเชีย (เอดีบี) ระบุว่า ศูนย์กลางทางเศรษฐกิจที่สำคัญ เปลี่ยนมาสู่เอเชียตะวันออกแล้ว และอาเซียน เป็นตลาดสำคัญ การรวมตัวในเอเชีย เกิดขึ้นโดยไม่ได้เน้นเรื่องนโยบายหรือกฎหมาย แต่มาจากการขับเคลื่อนของตลาด

แม้ความต้องการเป็นผู้เล่นรายใหญ่ในภูมิภาคจะเหมือนกัน แต่ธนาคารแต่ละแห่ง ก็มีแผนเดินเกมที่ต่างกัน อย่างซีไอเอ็มบี เน้นตลาดอาเซียนที่ตัวเองมีศักยภาพ ส่วนดีบีเอสและยูโอบี โฟกัสที่ตลาดระดับท็อปของอาเซียน อาทิ อินโดนีเซีย และมาเลเซีย ขณะที่แบงก์ใหญ่ของแดนอิเหนา พุ่งเป้าไปที่การเติบโตในบ้าน และสาขาใหญ่ที่มีชาวอิเหนาทำงานอยู่มาก

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันพุธที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

โยนชั่ว ให้คนอื่น !!?

ลีลาถนัด “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ในการนำมาอ้าง เป็นจุดยืน
พลิ้วตลอดไปเรื่อยว่า “องค์ประชุมในสภาฯ” เป็นหน้าที่ของ “รัฐบาลปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร..สส.พรรคร่วมรัฐบาล ต้องทำให้ครบองค์ประชุม บ่ายเบี่ยงโทษใครไม่ได้
เมื่อเปิดเกมนี้ออกมา “ทักษิณ ชินวัตร” คนใหญ่จากแดนไกล จึงกำกับ “สส.พรรคเพื่อไทย” ใครที่ไปเซ็นชื่อ แล้วโบยบินไปทำภารกิจ ให้กากบาท จดชื่อเอาไว้
และหากขาดประชุมไม่มีเหตุผล ..เที่ยวหน้าตัดสิทธิ์ไม่ให้ลงสมัคร สส. กันเสร็จสรรพ
ที่แน่ ๆ สส.รัฐบาลมาครบจำนวน..มีแต่ประชาธิปัตย์ป่วน..ตีร่วนกันตลอดขอรับ

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

เกิดเป็นหญิงนั้นแสนยาก
“รังสิมา รอดรัศมี” สส.สมุทรสงคราม พรรคประชาธิปัตย์ คำนึงถึงบทบาทให้มาก
หากคิดว่าดีและเด่น ทำอย่างมีเกียรติ ชนิดที่ผู้แทนอันทรงเกียรติทั้งหลายไม่เคยทำมาก่อน...เพราะหลายครั้ง ที่ลุกอภิปราย โดยมี “ท่านสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์” ทำหน้าที่ประธาน
เธอมักกล่าวตลอดว่า “ท่านประธานที่ดิฉันไม่เคารพ” ไม่รู้ว่าพูดออกมา ทำไมกัน
อยากเรียนให้ทราบว่า “ท่านสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์”เป็นประธานสภาผู้แทนราษฎร ได้รับการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม..ควรให้เกียรติให้การเคารพ กันด้วยดี
รักหรอกจึงบอกมา...ควรทำเรื่องที่เข้าท่า?..อย่าให้ตัวเอง ต้องดูถอยหลังมากไปกว่านี้

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

เป็น “ดาวเด่น” ที่พุ่งแรง
ว่ากันว่า “คุณหมอประสงค์ บูรณพงศ์” อดีตรัฐมนตรีเก่า ผู้ใกล้ชิดนายใหญ่ ดูจะมาแรง
มีนายทุนหนุนหลังเป็นกระตั๊ก ๆ
บริษัทใหญ่ ๆ ที่มาเป็นแบ็กให้ ล้วนหนุน ล้วนที่จะควัก
เป็นฐานใหญ่ที่ครบเครื่องเป็นอย่างยิ่ง.. จนทำให้“คุณหมอประสงค์” ผู้เป็นที่รัก ของคนหมู่บ้านเสื้อแดง..ส่งเสียงดังได้กว่าใครในขณะนี้
โถ,มีนายทุนหนุนคับคั่ง...พูดอะไรก็ต้องมีคนฟัง..กระมั่งหละคุณพี่

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

รักแล้วรอหน่อย
“วราเทพ รัตนากร” สมาชิกบ้านเลขที่ ๑๑๑ ..เป็นคนสนิท ของ “คุณนายแดง” เยาวภา วงศ์สวัสดิ์ มิใช่น้อย
ปรับครม.เป็น “รัฐบาลปู ๓” ทาง อดีตรัฐมนตรีวราเทพ รัตนากร คงอยู่วงนอก
ไม่ชิงไสช้าง ไสม้า เข้าไปเป็น “รัฐมนตรี” หรอกขอบอก
ถึงจะอยู่วงนอก แต่ก็ร่วมกับ “คุณเยาวภา วงศ์สวัสดิ์” รับใช้ชาติและบ้านเมือง พร้อมกับพรรค ได้อย่างเต็มกำลัง
รอให้ปรับเป็น “รัฐบาลปู ๔”..ก็ไม่สายหรอกนะพี่...ที่จะก้าวเข้าไปเป็นรัฐมนตรี อีกครั้ง

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

“คลื่น” ไม่เคยหายไปจากทะเล
“การปฏิวัติรัฐประหาร” ถึงข่าวเงียบหายต๋อมไป..แต่ทว่า “มือนอกรัฐธรรมนูญ” ยังพร้อมที่จะทำ เพื่อให้กลุ่มตัวเองได้เฮ
เพราะครั้งนี้ การลากรถถัง ไปยึดอำนาจรัฐบาลปู ไม่ง่ายเหมือนปอกกล้วย
๒๓ ครั้ง ที่ประเทศไทย มีการปฏิวัติผ่านมา ล้วนเป็นเรื่องหมูในอวย
แต่คราวนี้ ผู้รักประชาธิปไตย “คนเสื้อแดง” พร้อมพลีชีพ เพื่อปกป้องรักษารัฐธรรมนูญ
ใครคิดทำปฏิวัติ...สร้างวงจรอุบาทว์... โอกาสติดคุกได้ด้วย นะคุณ


ที่มา:คอลัมน์ ตอดนิดตอดหน่อย,บางกอกทูเดย์
///////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันอังคารที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ทักษิณ. ส่งสัญญาณ ใครมั่นคงกับพรรคมีงานทำทุกคน !!?

โดย : โอฬาร เลิศรัตนดำรงกุล

"ทักษิณ" ส่งสัญญาณผ่าน "นพดล" ใครมั่นคงกับพรรคมีงานทำทุกคน เตรียมปฏิรูปพรรคหลัง 111 พ้นโทษ

นายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษากฎหมายพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงความเคลื่อนไหวของพ.ต.ท.ทักษิณ ว่า ขณะนี้อดีตนายกฯยังคงอยู่ในประเทศอังกฤษ และจะเดินทางไปยังประเทศจีน ประมาณสัปดาห์หน้า การที่พ.ต.ท.ทักษิณใช้เวลาอยู่ที่ประเทศอังกฤษนานพอสมควร เนื่องจากไม่ได้เข้าไปหลายปี และมีเพื่อนฝูงอยู่ที่นั่นเยอะ แต่ทราบว่ามีคนจากประเทศไทยไปพบน้อย เนื่องจากระยะทางไกล แต่เมื่อมาที่จีนหรือฮ่องกง ก็เชื่อว่าจะมีคนไปพบมากพอสมควร

ทั้งนี้ ยืนยันว่า ไม่มีการส่งสัญญาณเรื่องการปรับครม.มาจากพ.ต.ท.ทักษิณ เพราะการตัดสินใจใดๆ ในเรื่องนี้เป็นหน้าที่ของน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี วันนี้อดีตนายกฯอยู่ห่างไกล การตัดสินใจคงสู้คนที่อยู่ใกล้อย่างท่านนายกฯไม่ได้ อย่างไรก็ตามพ.ต.ท.ทักษิณ เปิดกว้างให้ทุกคนที่ทำงานกับพรรค ใครที่มั่นคงอยู่กับพรรคมาตลอดท่านบอกมีงานทำทุกคน

ส่วนกระแสข่าวการปรับครม.นั้น นายนพดล กล่าวว่า ส่วนตัวยังไม่เห็นสัญญาณจากน.ส.ยิ่งลักษณ์ จึงไม่น่าจะปรับทันทีที่สมาชิกบ้านเลขที่ 111 พ้นโทษตัดสิทธิทางการเมือง น่าจะอีกสักระยะหนึ่ง ประมาณไตรมาสที่ 3 หรือ ช่วงเปิดสมัยประชุมสภาสมัยหน้า การปรับครม.แต่ละครั้งต้องดูหลายปัจจัย ต้องดูว่ารัฐมนตรีคนไหนทำงานไม่ได้ ถ้าใครทำดีก็ต้องสนับสนุนให้อยู่ต่อ ต้องยอมรับว่าการปรับครม.แต่ละครั้งย่อมมีแรงกระเพื่อม จะมากหรือน้อยแค่นั้น

สำหรับสมาชิกบ้านเลขที่ 111 หลังพ้นโทษก็จะเข้ามาทำงานช่วยพรรคแบบเต็มตัว ทำงานได้อย่างไม่ตะขิดตะขวงใจ คณะทำงานที่เคยอยู่หลังฉาก คณะทำงานบ้านพิษณุโลก ก็ไม่จำเป็นต้องมีอีกแล้ว มาเล่นกันหน้าฉากชัดๆ ไปเลย โดยตั้งเป็นคณะยุทธศาสตร์ของพรรค เป็นคณะกรรมการคัดท้ายเรือ ดูแลประสานงานในพรรคเป็นหลัก เพื่อแบ่งเบาภาระของนายกฯ ให้ไปบริหารประเทศได้เต็มที่

หลังจากนี้คงมีการปฏิรูปพรรคให้มีคณะทำงานเหมือนพรรคไทยรักไทยในอดีต แบ่งเป็นส่วนๆ เช่น งานด้านวิชาการ กฎหมาย ประชาสัมพันธ์ เพื่อทำให้พรรคเป็นสถาบันการเมือง ผสมผสานกันระหว่างคนเก่ากับคนใหม่

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

น่าสงสาร !!?

ใครที่เกิดขึ้นมาในประเทศไทย..คงลืมสังเกต กันอยู่อย่างหนึ่งว่า..ในฐานะประชาชนคนใช้บริการ จากผู้อาสาเข้ามาบริหารประเทศนั้น

ผู้คนเหล่านั้น..ไม่เคยทำในสิ่งที่ต้องทำ

ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ..ประเทศไทยของเราพัฒนากันขึ้นมาจากสติปัญญาและการค้าการลงทุนของคนธรรมดา ที่ปราศจากอำนาจวาสนาในฐานะผู้ปกครองประเทศ

พวกเราเติบโตกันขึ้นมาเองและพาประเทศไทยของ เราเติบโตกันขึ้นมาจนป่านนี้..โดยที่ผู้ปกครองทั้งหลายทั้งๆ ที่เกิดโดยธรรมชาติและโดยการปรุงแต่งของผู้บริหาร ราชการแผ่นดิน..นอกจากจะไม่ส่งเสริมแล้วยังเป็นตัวทำลายด้วยซ้ำ

ถามกันไว้ตรงนี้..มีอาชีพไหนในประเทศไทย..ที่ไม่ต้องเสียนอกเสียในกับการคอร์รัปชั่นที่เรียกกันเบาๆ ว่าค่าน้ำร้อนน้ำชา

วันนี้..นายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร..ออกมาแสดงความวิตกห่วงใยเรื่องค่าไฟฟ้าของคนไทยที่กลาย เป็น..ทุกข์ซ้ำทุกข์

แต่เรื่องที่นายกรัฐมนตรีน่าจะให้ความสนใจไม่ใช่เรื่องค่าไฟ..แต่เป็นความจำเป็นในการใช้ไฟของคนไทย.. หากมีรัฐบาลที่สามารถ..เราจะขจัดปั๊มน้ำจำนวนหลายล้านตัวให้เกลี้ยงไปจากประเทศได้.. นั่นหมายความถึงคนไทยจะมีทุนค่าใช้ไฟไปปั๊มน้ำปีละหลายพันหลายหมื่น ล้านบาท

น้ำประปาที่ทำมาจากเขื่อนศรีนครินทร์..ที่อยู่ สูงกว่า กรุงเทพฯ มากกว่า 500 เมตรจากระดับน้ำทะเล..
และส่งผ่านทางท่อไม่ถึง 200 กิโลเมตร.. มายังกรุงเทพฯ นั้น..มันจะมีราคาขายต่ำกว่าราคาวันนี้หลายเท่า..และ
ในเส้นทางเดียวกันท่อน้ำใช้ที่ไม่ใช่น้ำประปา ที่มีราคาถูก..ก็จะทำให้คนไทยประหยัดค่าน้ำลงไปได้อีกจำนวนหนึ่ง

บัดซบกันแค่ไหน..คนไทยใช้น้ำประปาเพื่อชักโครก ขี้และล้างรถล้างถนน รดน้ำต้นไม้กันปีละหลาย หมื่นล้านบาท..โดยยังไม่มีนักวิชาการสักมหา’ลัย.. สังเกตเห็น

เราคนไทย..ใช้ไฟฟ้ามาดันน้ำกันเป็นล้านๆ หลัง คาเรือน ทั้งๆ ที่รู้กันทั้งนั้นว่า..น้ำมันไหลจากที่สูงลงสู่ที่ต่ำ..แต่ปัญญาจะนำน้ำจากเขื่อนในที่สูง ไหลมาสู่เมือง..ไม่มีสักแห่งในประเทศไทย..

แล้วจะมีกันไปทำไมผู้ปกครอง

ที่ทา.สยามธุรกิจออนไลน์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันจันทร์ที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

จำลอง ยัน พล.อ.เปรมไม่เปลี่ยน.รัฐบาลสานสัมพันธ์ไม่ได้ !!?

โดย : อรรถภูมิ อองกุลนะ สำนักข่าวเนชั่น @ poom-nna

สัมภาษณ์พิเศษ:จำลอง ศรีเมือง "ผมยืนยัน "ป๋าเปรม"ไม่เปลี่ยนไป-รัฐบาลสานสัมพันธ์ไม่ได้"เชื่อบุกบ้านเมื่อ 2ปียังจำ ย้ำปรองดองไม่ได้ผล

หนึ่งในแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย อดีตเลขาธิการนายกรัฐมนตรีสมัยพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ผู้ก่อตั้งพรรคพลังธรรมและชักชวนพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เข้าสู่การเมือง

แม้ยามนี้ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง จะไม่ค่อยปรากฏบนกระแส หากในวันที่สถานการณ์ยังคลุมเครือไม่ว่าจะเป็นการปรองดองแค่ช่วงพักรบ หรือรอนกหวีดสัญญาณรวมตัวจากคนเสื้อสี

ฟังปากคำที่ให้สัมภาษณ์พิเศษของ "มหาจำลอง" ผู้ผ่านการรบทั้งในสนามและท้องถนน กระทั่งมีหลักฐานน่าเชื่อว่าครั้งหนึ่งคุ้นเคยกันดีกับ พล.อ.เปรม และพ.ต.ท.ทักษิณ

ลองเปรียบเทียบสถานการณ์บ้านเมืองยามนี้กับก่อนรัฐประหารปี 2549 มีอะไรที่คล้ายกันบ้าง
มีบางอย่างที่คล้ายกัน คือ มีเหตุการณ์ที่รัฐบาลทำขึ้นและคนส่วนใหญ่เห็นว่ากลไกบริหารมันไปไม่ได้ มีการคุมอำนาจ ทั้งฝ่ายบริหาร นิติบัญญัติ พูดให้ชัดคือมีระบอบเผด็จการรัฐสภา มีเสียงข้างมากและอ้างความถูกต้อง เชื่อว่าทั้งหมดนี้ยิ่งนานเข้า ยิ่งจะเพิ่มความกลุ้มอกกลุ้มใจให้กับประชาชนมากขึ้น

เช่นเดียวกับที่คนกำลังจับตาดูการเคลื่อนไหวของกลุ่มพันธมิตรฯ จะมีการชุมนุมคัดค้านในเรื่องใดบ้างและเมื่อใด
มีอยู่ 3 กรณี เป็นกรณีหนึ่งกรณีใด คือ 1.มีเหตุการณ์ที่กระทบกระเทือนกับราชบัลลังก์ 2.มีการออกกฎหมายหรือแก้กฎหมายอะไรก็แล้วแต่เพื่อให้พ.ต.ท.ทักษิณพ้นผิดในคดีจัดซื้อที่ดินรัชดา ซึ่งมีโทษจำคุก 2 ปี และไม่ว่าจะได้เงินคืนหรือไม่ก็ตาม รวมไปถึงมีการละเว้นความผิดทางคดีอาญา เผาบ้านเผาเมือง ยิงทหาร ฆ่าคนตาย 3.เมื่อประชาชนเห็นว่าสถานการณ์ ณ ขณะนี้ อยู่เฉยๆไม่ได้แล้ว ต้องออกมาช่วยกันอีกครั้ง ทั้งหมดเราพูดมาชัดเจนและพูดมาก่อนหน้านี้มานานแล้ว

ที่พันธมิตรฯเงียบหายเป็นบางช่วงก็เพราะว่าเราทำตามสถานการณ์ที่มีความจำเป็น คือถ้าจำเป็นถึงจะออก ถ้าไม่มีความจำเป็นเราก็ไม่อยากจะรบกวนใคร เราชุมนุมกินนอนบนถนน รวมแล้วกว่า 384 วัน ที่บอกว่าเงียบหายคงไม่ใช่ และที่เราชุมนุมมาตลอดก็ถือว่าเสร็จทุกขั้นตอนการชุมนุม ไม่ว่าจะทำอะไรก็สำเร็จ แม้กระทั่งเรื่องการรักษาดินแดนในสมัยรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์

ไม่ใช่เฉพาะเรื่องคุณทักษิณ แต่ยังหมายถึงเรื่องคนเสื้อแดงด้วย ถ้ามีการออกกฎหมายให้พ้นผิดก็ถือเป็นเงื่อนไขหนึ่ง

ใช่ครับ เพราะถือว่ากลุ่มคนเสื้อแดงมีการเผาบ้านเผาเมืองซึ่งถือเป็นคดีอาญา ก่อความเสียหาย หากพ้นผิดจะกลายเป็นแบบอย่าง อีกหน่อยใครรวย ก็สามารถซื้อเสียงในสภา จะทำผิดร้ายแรงแค่ไหน สุดท้ายก็จะออกกฎหมายนิรโทษกรรม เกิดพฤติกรรมที่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า แล้วบ้านเมืองจะอยู่ได้อย่างไร ลองคิดดูว่าขณะที่เรามีคนติดคุกทั้งประเทศ บางคนอาจจะมีคดีทุจริต ทำลายสถานที่ราชการ ไปยิงคนอื่น ถ้าจะปรองดองโดยใช้เหตุผลเดียวกันต้องปรองดองกับคนพวกนี้หรือไม่

อย่างเรื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ขณะมีการพิจารณาในวาระที่2 เช่นนี้ถึงเวลาแล้วหรือยัง
ต้องดูสถานการณ์ก่อน คงจะบอกไปก่อนไม่ได้ สถานการณ์อาจมีอะไรแทรกซ้อน บอกแล้วอาจพลาดได้ พันธมิตรออกมาไม่เคยพลาดเลย เราไม่ได้ขู่ และการที่ไปกิน-นอนข้างถนน ขับถ่ายมันไม่ใช่เรื่องสุนทรียะแต่ละวัน มันผ่านไปด้วยความยากลำบากอย่างยิ่ง ไม่มีใครอยากมาแต่ถ้าไม่มีทางเลือกมันก็ต้องพร้อม

ประเมินหรือไม่ ถ้าพันธมิตรรวมตัวกันครั้งนี้จะมีจำนวนประมาณเท่า บางคนมองว่าพันธมิตรจบไปนานแล้ว

แต่เราเชื่อว่าอาจจะมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ เพราะหลังจากรัฐบาลเข้ามาทำงานแล้ว หลายเหตุการณ์มันแย่ลง หลายสิ่งหลายอย่างทับถม ทำคนอึดอัดมากขึ้น ทุกคนได้ยินปัญหา ซ้ำยังมีการบังคับความรู้สึกประชาชนอยู่เนืองๆ เช่น อยู่ดีๆ ก็มีข่าวว่าจะออกพระราชกฤษฎีกาอภัยโทษแต่พอประชาชนคัดค้านก็ถอย จะแก้ประมวลกฎหมายอาญาม.112 ที่จะกระเทือนถึงพระราชอำนาจ พอมีกระแสคัดค้านอีก สุดท้ายเลยถอยไปอีก ล่าสุดหนักกว่านั้น คือ เมื่อเร็วๆนี้มีทนาย นปช.ยื่นศาลรัฐธรรมนูญตีความว่า ม.112 ว่าขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่ ถ้าขัดก็ต้องยกเลิก นี่ย่อมแสดงว่าเขามองถึงการยกเลิกไม่ใช่แค่แก้ไขแล้ว กระทั่งอยู่ดีๆ ก็จะเยียวยาให้ผู้ที่มีความผิดทางอาญาแต่อ้างว่ามาชุมนุม ในขณะที่ทหาร ตำรวจ ที่ตายรายวันในภาคใต้ได้นิดเดียว หากคุณจะให้ผู้สนับสนุนถ้าเอาเงินส่วนตัวคงไม่มีใครว่า แต่อย่าใช้ภาษีอากรของทุกคนสิ ทั้งหมดมันทำให้ประชาชนที่รักบ้านเมืองอึดอัด

แต่รัฐบาลก็อ้างว่าทำเพื่อประชาชนและเรื่องนี้ต่างคนก็ต่างมองว่า กลุ่มของตัวเอง คือความเห็นคนส่วนใหญ่

ไม่มีใครรู้ว่าใครมากกว่า จนกว่าสถานการณ์นั้นจะมาถึง อย่างที่เรียกว่าจะมีเรื่องที่เรียกแขกมาสมทบหรือไม่ จะเดาจำนวนคงไม่ได้เพราะนี่ไม่ใช่ทหารหรือคนงานที่มีอยู่ในกำมือ และไม่ได้มาด้วยการจ้าง ถ้าจ้างมากก็คำนวณได้ เรื่องนี้มันไม่ได้อยู่ที่ว่าใครมีเท่าไร มันขึ้นอยู่ที่ว่าเท่าไรก็เท่ากัน อย่างที่บอกว่ายังมีอีกมากที่คิดว่าเพื่อราชบัลลังก์แล้ว เท่าไรเท่ากัน นั่นแหละจบ นี่คือตัววัด

ถ้าคนเสื้อเหลืองออกมาจริง ก็น่าห่วงว่าจะปะทะกับฝ่ายตรงข้าม
เราไม่ได้ไปปะทะกับใคร การชุมนุมที่แล้วๆมาก็มีคำถามนี้ มีการถามว่าถ้าเหลืองออกมา แดงก็มาก็จะปะทะกัน การไม่ให้ปะทะกันเป็นหน้าที่ของรัฐบาล ที่จะต้องรักษาความปลอดภัยของประชาชน ที่จะออกมาตามสิทธิทางรัฐธรรมนูญ

แต่ขณะนี้คุณสนธิ ลิ้มทองกุล อยู่ระหว่างรอลงอาญา อาจไม่สามารถมาร่วมชุมนุมได้ และคุณสนธิก็มีผลต่อการนำของพันธมิตรฯ
ไม่มีผล คดีที่คุณสนธิโดนตัดสินมันมีก่อนที่ชุมนุม แกยังเหมือนเดิม ก็ยังเจ๊งเป็นเจ๊ง ขณะนี้เขาก็เป็นอยู่ เพียงแต่วันนั้นเราเรียกประชุมด่วน เขารักษาตัวที่เมืองจีนมาไม่ได้

แกนนำพันธมิตรทั้ง5คนยังอยู่ดี ครบ
ยังอยู่ดี ยืนยัน ไม่มีอะไรทำให้อ่อนแอลง ถึงจะเกิดความเข้าใจผิดตอนช่วงพรรคการเมืองใหม่ แต่ทุกอย่างยังคงเดิม

ผมไม่ได้ประเมินตัวเองสูงเกินไปนะ ที่ผ่านมาผมประเมินต่ำกว่าความเป็นจริงด้วยซ้ำเพื่อความไม่ประมาท ดังนั้นตอบเลยได้ว่าใครจะบอกว่ามีเยอะเท่าไร มีกำลังเท่าไร เราก็ฟังไว้ แต่ไม่ได้นำเอามาคิดเป็นปัจจัย มันคงไม่ได้ เพราะถ้าเพื่อชาติบ้านเมือง เท่าไรเท่านั้น มิเช่นนั้นทหารจะออกรบ พอเห็นคนอื่นกำลังมากกว่า ก็ไม่ต้องรบสิ แล้วจะป้องกันบ้านเมืองอย่างไร คงไม่ได้ มันอยู่ที่สถานการณ์ ถ้าจำเป็นก็ต้องออกมา ถ้าไม่จำเป็น ต่อให้พวกคุณมีน้อยกว่า ผมก็ไม่จำเป็นต้องทำอะไร จำนวนไม่ใช่ตัวชี้วัดเสมอไป

แต่ขณะนี้สังคมกำลังพูดถึงความปรองดอง คนเสื้อเหลืองกับคนเสื้อแดงจะปรองดองกันได้หรือไม่
คำว่าปรองดอง ต้องถามว่าจะปรองดองใครกับใคร เราไม่ได้โกรธเคืองกับใคร เหลืองไม่ได้ไปโกรธอะไรแดง แต่สีไหนก็ตามทำให้บ้านเมืองเสียหายมันก็ต้องปกป้องต่างหาก จะบอกว่าคุณเป็นอีกสีต้องเล่นงานสีตรงข้างมันไม่ใช่ แบบนั้นมันเด็กเกินไป

สาระหนึ่งของการปรองดองที่ว่าให้ลืมอดีตและมองอนาคต รวมถึงย้อนไปสู่เหตุการณ์ก่อนรัฐประหาร49 รับได้หรือไม่

คงไม่ได้หรอกครับ รับไม่ได้ สถาบันพระปกเกล้าขอให้ผมให้ความเห็น ผมก็ตอบไปเลยว่าผมคงไม่ไป มันไม่ได้ประโยชน์ คุณจะปรองดองกับใครละ จะปรองดองคนที่ถูกกฎหมายกับคนที่ผิดกฎหมายอย่างนั้นหรือ จะมาเห็นว่าผมเป็นแกนนำพันธมิตร มาบอกให้ปรองดอง ผมถามหน่อยว่าพันธมิตรไปขัดแย้งกับใคร ถึงมาบอกให้ปรองดอง มันไม่ใช่ การปรองดองมันต้องระหว่างคนที่ทะเลาะกัน

มันเป็นเรื่องระหว่างคนที่ทำถูกกฎหมายกับคนที่ทำผิดกฎหมาย แต่เขาบวกเราไปด้วยเพื่อให้เห็นว่าเหมือนกันหมดและถ้าเหมือนกันหมดแบบนี้ อะไรที่อยู่ในคดีพวกผมก็พร้อมจะขึ้นศาลทุกเมื่อ และจนถึงขณะนี้ก็ขึ้นอยู่เป็นประจำ จนจำไม่ได้ว่าตัวเองมีกี่คดีแต่ผมก็พร้อม เพราะเมื่อเราทำไปเพื่อความถูกต้อง กระบวนการยุติธรรมจะบอกว่าผิด ผิดก็คือผิด ผมเองก็ติดคุกมาหมดแล้ว ทั้งคุกตำรวจ ทหาร พลเรือน ไม่เห็นต้องออกมาโวย อย่าเอาเรามาพ่วงเพื่อคุณได้ประโยชน์

หรือถ้าอ้างว่ากระบวนการยุติธรรมหลังรัฐประหารไม่ยุติธรรม เช่นนี้ก็อย่าพึ่งกระบวนการยุติธรรมครับ คุณทักษิณพึ่งกระบวนการยุติธรรมมาตลอด ฟ้องพวกผม คุณก็อย่าเอามาใช้สิ ถ้าไม่เชื่อ คุณพูดเอาแต่ได้ ทีเสียไม่ยอมรับคงไม่ได้ ถ้ากฎหมายไทยไม่เป็นธรรมมันก็ต้องไปอยู่บ้านเมืองอื่น ดังนั้นปรองดองแบบนี้คงไม่ได้

การปรองดองแบบพันธมิตร ต้องทำอย่างไร
ใช้กฎหมายที่มีอยู่อย่างเคร่งครัด ถ้าบ้านเมืองไหนไม่ใช้กฎหมายคงไม่ได้ แต่ที่คุณอ้างเรื่องกฎหมายมีปัญหาเพราะคุณเสียประโยชน์ อ้างว่าไม่ยุติธรรม แต่คุณก็พึ่งอยู่เรื่อย ใช้ทนายฟ้องใครกันอุตลุด
เราไม่ได้ไม่พร้อมปรองดอง แต่ปรองดองมันไม่ได้ผล มันก็เหมือนสมานฉันท์ แล้วเดี๋ยวหายไป เหมือนสุนทรียะเสวนา ที่ผมเรียกว่าเสวนานำไปสู่ความฉิบหายมากกว่า (หัวเราะ)

อยู่กันแบบนี้ ไม่ต้องปรองดอง
ใช่ มันก็ดีอยู่แล้วนิ ใครผิดก็ว่าไปตามผิด

แต่คดีของพันธมิตรเองก็มีคนมองว่ามีมาตรฐานต่างกับของคนเสื้อแดง ตัวอย่างคดีปิดสนามบินขณะนี้ยังล่าช้า ขณะเหตุการณ์ปี53 ของคนเสื้อแดงถูกตั้งข้อหาก่อการร้ายกันทั่วหน้า
ไม่ได้ 2 มาตรฐาน เราไม่ได้วิ่งเต้นกับศาลด้วย แต่มันอาจจะล่าช้าเพราะมีขั้นตอนการสืบพยานมากกว่า ผมเองก็ไม่รู้ขั้นตอน แต่อย่าเปรียบเทียบกันแค่นี้เลย คดีที่มีคนบุกบ้าน พล.อ เปรมยังช้าเลย แล้วปากคำ วีดีโอหลักฐานก็เยอะแยะ

มองอย่างไรที่ขณะนี้รัฐบาลเริ่มสานสัมพันธ์กับประธานองคมนตรีได้แล้ว
คงไม่ได้หรอกครับ (สวน) การที่ไปบ้านพล.อ.เปรม ไปรดน้ำดำหัว อ้างว่าสงกรานต์ คุณว่ามันเหมาะกับเวลาไหม สงกรานต์มัน13เมษา ไปรดน้ำวันที่26 เมษา มีที่ไหนบ้าง มันก็แค่การสร้างภาพให้เห็นว่าประธานองคมนตรีเห็นด้วยกับการปรองดอง

แต่ พล.อ.เปรม ก็ต้อนรับ
ท่านทำโดยมารยาทผู้ใหญ่ ขืนไม่เปิดบ้านพวกนั้นก็ออกมาด่าอีก หาว่านี้แหละ..ตั้งหน้าไม่ปรองดอง คนจะไปรดน้ำดำหัว ไม่ยอมเปิดบ้าน ท่านก็เสียอีก แต่อย่าไขว้เขว ผมยืนยันได้เลยว่า “ป๋า”ไม่เขวแน่ (เน้นเสียง)

ผมรู้เพราะผมเคยอยู่กับท่านมา ท่านรู้และท่านจำ ไม่ใช่ลืมง่าย คิดดูว่าเหตุการณ์เมื่อ 2 ปีกว่าที่ยกพวกไปบุกบ้าน ด่าสาดเสียเทเสีย คดียังไปไม่ถึงไหนเลย แต่มาวันนี้คุณบอกเคารพนับถือท่านแล้ว แต่วันนั้นคนที่ทำลูกน้องคุณเพียบเลยทำไมไม่จัดการ คุณมีอำนาจในมือเร่งคดีได้ก็ไม่ทำ ถ้าคุณทำยังแสดงถึงความเคารพ

นี่คือการแสดงภาพ แสดงภาพให้คนอื่นเขาหลงไปตามภาพที่ออกมา ให้เห็นว่า พล.อ.เปรม เอาด้วยในการปรองดอง นี่ต่างหาก และผมยืนยันเลยว่าคนที่เข้าบ้านป๋าไม่ว่าจะเป็นทหารชั้นผู้ใหญ่ขนาดไหนก็ตามหรือข้าราชการ ไม่ได้จริงใจเต็มที่หรอกที่ไปอวยพรท่าน แต่เพื่อสร้างภาพประจบสอพลอ ผมยืนยันไม่ใช่เอามาข่มนะ แต่คุณจะไม่เคยเห็นผมในวันสำคัญที่บ้านป๋าเพราะถ้าอยากจะช่วยท่านก็ทำอะไรเพื่อบ้านเมืองสิ ซึ่งท่านในฐานะผู้ใหญ่ จะได้เบาลงในการทำงานเพื่อบ้านเมือง

คนในรัฐบาลมักอ้างว่าตอนนี้สถานการณ์เปลี่ยน เป็นไปได้ไหมว่าการปรองดองกำลังจะเกิดขึ้นจริง
คุณเห็นว่ามันไปไม่รอดใช่ไหมเลยเปลี่ยน แล้วขอถามหน่อยว่าพวกคุณเปลี่ยนไหม ในวันเดียวกันวันที่รดน้ำดำหัวที่บ้านสี่เสาเทเวศร์ อีกกลุ่มหนึ่งก็มีการรดน้ำผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์การชุมนุมเมื่อปี53

และครอบครัวของคุณกมลเกด (อัคฮาด) ก็ยังไม่ยอมจะปรองดองด้วย ซึ่งผมถามหน่อยว่าถ้าเป็นคุณทักษิณคุณยอมได้ไหม ถ้าลูกคุณ เมียคุณ ถูกยิงตายแล้วบอกให้เลิกแล้ว เพื่อชาติบ้านเมืองจะทำได้ไหม

นี่คือความพยายามสร้างภาพจะให้หลายๆคนหันมาเห็นด้วยกับการปรองดอง เพราะมันไปไม่ได้ ต้องหาผู้ใหญ่ จึงต้องทำให้เห็นว่าท่านเปิดบ้าน ท่านต้อนรับ เหมือนกับท่านยอมรับแล้วว่าเห็นด้วยกับการปรองดอง

มีจุดมุ่งหมายหวังเอา พล.อ.เปรม เป็นเครื่องมือทางการเมือง
แน่นอนครับ (พยักหน้า) เหตุผลมันก็ชัดเจนอยู่ ขณะนี้พวกคุณยังบอกเลยว่ายังไม่สยบต่ออำมาตย์

แต่บ้านของพล.อ.เปรมไม่ใช่ว่าใครจะเข้าได้
มันก็ถูกต้อง ต้องไปบอกล่วงหน้า ถ้าผมไปเคาะบ้านบอกว่าป๋าครับผมมีเรื่องจะเรียนให้ทราบ ไม่มีปัญหา แต่ถ้าเป็นคนอื่น โดยเฉพาะคณะรัฐบาล ถ้าขอเข้าพบแล้วไม่ให้ก็จะกลายเป็นว่าผู้ใหญ่ในบ้านเมืองทำแบบนี้เหรอ ขนาดหัวหน้ารัฐบาลขอเข้าพบยังไม่ให้ และเอาเข้าจริงก็พาไปรองนายกแค่3 คนเพราะอะไรล่ะ ก็เพราะคนอื่นเขาไม่เอา พอตัวเองฝืนไม่ได้ ก็ต้องเข้าหาพล.อ.เปรม ให้แสดงว่าท่านเห็นด้วย อย่ามาโกหกคนที่รู้เรื่องบ้านเมืองดี ไปโกหกคนอื่นเถอะ ท่านรู้ ท่านไม่เคยเปลี่ยน

เหตุผลใดถึงคิดว่าลึกๆแล้วพล.อ.เปรม ไม่ได้มีสัมพันธ์ที่ดีกับรัฐบาล
(นิ่งคิด) คือผมทำงานให้ท่านมาตั้งแต่ตอนก่อนที่ท่านเป็นนายก และผมก็ช่วยท่านประสานจัดตั้งรัฐบาลตอนเปรม1 ผมทราบดีว่าท่านเป็นคนอย่างไร ผมยืนยันได้ ไม่ใช่อยู่ดีๆนึกจะวิเคราะห์ก็วิเคราะห์แล้วออกมาบอก ผมยืนยันว่าไม่ใช่แน่นอน

ถ้าให้เดาใจท่านกับสถานการณ์ที่เคยถูกฝ่ายหนึ่งด่า แต่วันนี้พยายามสร้างสัมพันธ์ด้วย ท่านกำลังคิดอะไรอยู่

คิดในฐานะเป็นข้าราชการผู้ใหญ่ ต้องคิดถึงบ้านเมือง โดยเฉพาะสถาบันกษัตริย์ จึงต้องคิดว่าทำอย่างไรจึงจะดีที่สุด เช่น เมื่อเขาเชิญให้ท่านไปที่ทำเนียบรัฐบาล ไม่ไปก็อาจจะโดนว่า ท่านก็ไป หรือเขาขอเข้าพบ หากไม่พบเขาก็ว่า และการที่ได้พบกันมันก็ดีแล้ว หรือไปงานเขาหน่อยมันก็ดีแล้ว เท่านั้นเอง

ชัดเจนว่าคู่ขัดแย้งที่ผ่านมาคือคุณทักษิณกับพล.อ.เปรม
ไม่ใช่ครับ เขาสร้างคู่ขัดแย้งขึ้นมาเอง คุณทักษิณขัดแย้งกับใครล่ะ หากกลุ่มผู้สนับสนุนจะบอกว่าขัดแย้งกับอำนาจนอกระบบ ซึ่งมีพล.อ.เปรม เป็นศูนย์กลางนั่นก็เพราะเขากลัวว่าคนจะเกลียดเขา ถ้าคุณไปดูต่างจังหวัดหลายแห่งที่สนับสนุนคุณทักษิณคุณจะรู้ว่าผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญหรืออำมาตย์เขาหมายถึงใคร เพียงแต่เขาพยายามบอกแค่ว่าอำมาตย์สิ้นสุดแค่พล.อ.เปรม ลองดูให้ดีว่า ที่ผ่านมาคุณทักษิณไม่เคยออกมาห้ามปราม ผู้ที่กระทำการจาบจ้วงสถาบันเลย ไม่เคยแสดงความชัดเจนว่าพวกนี้ไม่ใช่พวกผม แต่เขาก็เกาะติดกันเหนียวแน่น กรรมมันส่อให้เห็นเจตนา

จะบอกว่าคุณทักษิณกับกลุ่มไม่เอาสถาบันคือพวกเดียวกัน
จะเป็นพวกเดียวกันหรือไม่ก็ตาม แต่ถ้าเห็นว่ามีอะไรที่ไม่ตรงและเรื่องใหญ่ ก็ควรจะบอก ควรจะปราม แต่มีไหมสักคำจากปากคุณทักษิณที่จะห้ามปราม

ที่ผ่านมาพันธมิตรเองก็มักถูกต่อว่าชอบดึงสถาบันมายุ่งกับการเมือง
เราไม่ได้ดึง ผมถามหน่อยว่าเราเคลื่อนไหวแล้วจะได้อะไร ถ้าฝ่ายตรงข้ามไม่ได้ทำอะไรกระทบกระเทือนเราจะออกไปค้านทำไม เราไม่ได้มีอะไรขัดแย้งกับใคร ถ้าบอกเราดึง จุดมุ่งหมายของเราเพื่ออะไรล่ะ เราก็เห็นชัดว่าขณะนี้เป็นอย่างไร ไปเปิดอินเทอร์เน็ตดู คุณจะรู้ว่ามันยิ่งกว่าจาบจ้วงแล้ว แต่มันใส่ร้ายไปเลย บ่อนทำลาย เอาเรื่องไม่จริงมาใส่ร้ายพระองค์ท่าน เราไม่ได้บอกว่ารัฐบาลหรือพรรคเพื่อไทยทำ แต่คุณในฐานะรัฐบาลได้ทำอะไรเพื่อป้องกันขนาดไหน

ข้อหาเรื่องสถาบันเป็นเรื่องละเอียดอ่อน และประเด็นก็ถูกยกเป็นเหตุผลในการปฏิวัติรัฐประหาร แต่การรัฐประหารครั้งล่าสุดก็ได้รับคำตอบแล้วว่าไม่ใช่ทางออก สังคมจึงมองการเผชิญหน้าระหว่างประชาชน
ไม่ทราบ มันยากที่จะคาดเดา ไม่มีใครรู้ว่าจะเกิดเมื่อใด ผมเองก็ไม่รู้ว่าทหารในขณะนี้เป็นอย่างไร
มั่นใจกองทัพขนาดไหนเขาก็รุ่นหลังผมเยอะ ไม่ได้มีความสัมพันธ์กัน แต่พล.อ.เปรม ผมเคยทำงานให้ท่าน ผมทราบดีว่าท่านไม่เปลี่ยนไป แต่คนอื่นไม่รู้

พันธมิตรมักเรียกหาอำนาจนอกระบบ
เราไม่ได้เรียกหาอำนาจนอกระบบ ผมรู้ดีอะไรเป็นอะไร เราไม่เคยเห็นด้วยกับการปฏิวัติ แต่ถ้าบ้านเมืองเกิดวิกฤติปัญหา ไม่มีองค์กรแก้ไข มันก็เป็นหน้าที่ทหาร และการปฏิวัติที่ดีในโลกนี้ก็เคยมี นั่นคือการปฏิวัติและรีบคืนอำนาจให้ประชาชน อย่างที่ประเทศโปรตุเกส ขอย้ำอีกครั้งว่าเราไม่ได้เห็นด้วย อย่าเข้าใจผิด แต่การปฏิวัติที่ดีมันก็มี และถ้ามันไม่มีทางเลือก มันก็มีโอกาสเกิดขึ้นได้

ถึงแม้จะมองว่าเราเหลือน้อยก็ไม่เป็นไร คุณก็ลองทำสิ เพราะแม้น้อยแม้มาก เราไม่มีทางเลือก ถ้าจะให้บ้านเมืองอยู่มันก็ต้องทำ การชนะการเลือกตั้งก็ไม่ได้หมายความว่าเป็นประชาธิปไตย อย่างฮิตเลอร์ หรือมาร์กอสก็มาจากการเลือกตั้ง

แต่ในช่วงเวลาที่สังคมไทยกำลังเกิดปัญหาโดยมีคุณทักษิณเป็นเงื่อนไขหนึ่งผลการเลือกตั้งครั้งล่าสุดเป็นพรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้ง ตรงนี้บอกอะไร บอกว่าสังคมไทยกำลังต้องการคุณทักษิณหรือไม่

ไม่ใช่ครับ สังคมไทยยังต้องการเงิน เราไม่ได้ดูแคลน ผมยอมรับบางคนเลือกมาด้วยความสุจริตก็จริง แต่หลายคนเลือกมาเพราะเงิน

หากบอกว่าการยึดถือกฎหมายอย่างเคร่งครัด คือการดีที่สุดในการพาประเทศ เช่นนี้การเข้าชื่อเสนอญัติติแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันตามสิทธิทางกฎหมาย สามารถทำได้หรือไม่
เป็นการทำตามกฎหมายในแบบของเขา แต่แท้จริงแล้วมันไม่ต่างกับการเผด็จการรัฐสภาถึงว่าไม่ต่างอะไรกับฮิตเลอร์หรือมาร์คอส

แยกกันอย่างไรในการใช้เสียงข้างมากตามระบอบประชาธิปไตยกับเผด็จการรัฐสภา
เผด็จการรัฐสภาคือทั้งฝ่ายนิติบัญญัติกับฝ่ายบริหารมันอันเดียวกันเลยและรัฐบาลก็มักจะทำอะไรที่แปลกๆ เสี่ยงๆ โดยใช้วิธีเอาเข้ารัฐสภา ที่พรรคพวกของตนเองมีเสียงข้างมาก

แต่การเลือกตั้งเพื่อให้ได้ฝ่ายบริหารเป็นวิธีการที่ใช้กันทั่วโลก
เราไม่เหมือนเขา ถ้าเราเหมือนคงไม่นั่งกลุ่มอกกลุ้มใจ เห็นชัดๆว่าแบบนี้ใช้ไม่ได้ บ้านเมืองจะเสียหาย มีเงินเท่าไรก็ทำได้ เพราะยังมีการใช้เงินทำงานการเมืองอยู่ รวบรวม ส.ส.ให้ได้มากที่สุด

ถึงบอกให้ดูเจตนาที่ทำว่าเพื่อประโยชน์ส่วนตัวหรือหมู่คณะ การที่ทำอยู่และอ้างเสียงส่วนใหญ่ก็ทำได้ คือคุณเป็นนักการเมืองคือการอาสามาทำประโยชน์เพื่อประเทศชาติ ไม่มีใครมาจี้คุณ คุณมาเองก็ต้องทำประโยชน์เพื่อประเทศชาติ แต่คุณจะทำอะไรเพื่อประโยชน์ตัวเองไม่มีใครยอมหรอก รัฐธรรมนูญก็กำหนดว่าประชาชนมีหน้าที่ปกป้องชาติ สถาบัน พระมหากษัตริย์ ไม่ใช่แค่ใช้สิทธิ์หย่อนบัตรแล้วปล่อยให้ใครทำอะไรก็ได้

การฟ้องศาลรัฐธรรมนูญเพื่อให้พิจารณาว่าการแก้ไขมาตรา291 สามารถนำมาสู่การมี ส.ส.ร.เพื่อร่างรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับได้หรือไม่ ถ้าศาลรัฐธรรมนูญยกคำร้องกลุ่มพันธมิตร เช่นนี้จะปล่อยให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญไปตามกระบวนการหรือไม่

ไม่ได้ก็ถือยกฟ้องไป แต่คุณจะแก้เราก็ต้องแสดงออกอยู่ดี
แบบนี้ศาลรัฐธรรมนูญก็เชื่อไม่ได้ เพราะขนาดพิจารณาว่าสามารถทำได้แล้ว พันธมิตรยังไม่ยอมเชื่อฟัง
เชื่อได้ แต่มันอาจจะพิจารณาบางแง่ บางมุมไม่ตรงกัน คือคุณจะทำอะไรก็แล้วแต่จะเกี่ยวข้องกับอะไรก็แล้วแต่ แต่ถ้าการกระทำของคุณมุ่งไปสู่ผลกระทบกับราชบัลลังก์ ทำให้คนผิดโดนโกง ไปฆ่าเขากลับมาถูกต้อง ประชาชนเองคงยอมไม่ได้หากศาลยกคำร้องนั้นเป็นเรื่องหนึ่ง แต่เราไม่ได้คำนึงว่าศาลจะพิจารณาอย่างไร แต่เราคำนึงว่าบ้านเมืองจะเสียหายไหม

แต่พันธมิตรฯไปฟ้องเอง แต่พอศาลยกคำร้องกลับไม่ยอมรับ เช่นนี้ต่างอะไรกับคุณทักษิณ
ไม่ใช่เราไม่ยอม แต่ถ้าคุณอ้างที่จะแก้ไขแล้วเอาบ้านเมืองเสียหายคงยอมไม่ได้ เราไม่ได้ขึ้นกับเขา ไม่ใช่ว่าเขาแก้เราเลยออกมา แต่ถ้าคุณทำอะไรกระทบกระเทือนสถาบัน ทำให้คนผิดกลายเป็นถูก บ้านเมืองเสียหาย คนอื่นก็ทำบ้าง ผิดแค่ไหนก็ได้

พันธมิตรฯก้าวไม่พ้นคุณทักษิณ
ผมไม่ได้มองที่ตัวบุคคล แต่มองว่าคุณจะทำอะไรให้บ้านเมืองเสียหายไหม แต่ในวันนี้คุณทักษิณมีส่วนทำให้บ้านเมืองเสียหายเราก็ต้องแสดงออก ผมก็ดึงคุณทักษิณมา ไม่มีอคติด้วยซ้ำ วันนี้ถ้าเจอกันผมยังคิดว่าเขาคือน้องผม เพราะเขาเรียกผมพี่ทุกคำ แต่บ้านเมืองก็เป็นคนละเรื่องกับเรื่องส่วนตัว

กลายเป็นภารกิจต้องรับผิดชอบ เพราะชวนเข้ามาทำงานการเมือง
ใช่ มีผู้ใหญ่ฝากมาบอกว่า ไปบอกคุณจำลอง เปิดยักษ์ออกจากขวดต้องจับใส่(หัวเราะ)
ผมยังจำได้ตอนที่คุณเดินมาบอกผมว่า “เรื่องธุรกิจนั้นพอแล้ว กินใช้เท่าไรก็ไม่หมด ผมอยากจะมาทำงานการเมือง” ก่อนที่จะมาร่วมกับพรรคพลังธรรม แต่ผมเองก็ไม่ได้แก้ตัว ตอนนั้นไม่ใช่ผมคนเดียวที่เห็นว่าเขาเหมาะ ผู้ใหญ่ก็ว่าเหมาะ อีกอย่าง เหมือนผมมีน้องคนหนึ่ง เห็นว่าเขาดีก็สนับสนุน แต่ต่อมาใครจะรู้ว่าเขาเปลี่ยนไป วันนั้นยังดี ตอนบริหารประเทศแรกๆก็ดี แต่ที่เป็นแบบนี้จะเป็นเพราะบริวารสิ่งแวดล้อมหรือไม่ ผมเองก็ไม่รู้

ที่มา.กรุงทเพธุรกิจออนไลน์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันอาทิตย์ที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ญี่ปุ่น : ปิดเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ตัวสุดท้ายเสร็จแล้ว !!?

ญี่ปุ่นกลายเป็นประเทศที่ปลอดพลังงานนิวเคลียร์เป็นครั้งแรกใน 42 ปีหลังปิดเตาปฏิกรณ์
ตัวสุดท้ายจากทั้งหมด 50 เตาเพื่อซ่อมบำรุง ท่ามกลางความวิตกว่าจะเกิดไฟฟ้าขาดแคลน
ขณะที่ภาครัฐและเอกชนเร่งส่งเสริมการใช้พลังงานทางเลือก

เตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์หมายเลข 3 ในโรงไฟฟ้านิวเคลียร์โทมาริ จังหวัดฮ็อกไกโดของบริษัท
ฮ็อคไกโด อิเล็กทริค พาวเวอร์ ถูกปิดลงเรียบร้อยแล้วเมื่อช่วง ตี 4 วันนี้ตามเวลาท้องถิ่น
หลังจากช่างเทคนิคเริ่มใส่แท่งควบคุมเพื่อหยุดปฏิกริยาลูกโซ่ที่เตาปฏิกรณ์เมื่อเวลา 5 โมง
เย็นวานนี้ตามเวลาท้องถิ่น ส่งผลให้การผลิตไฟฟ้าจากเตาดังกล่าวเริ่มลดลงตอน 5 ทุ่มเมื่อ
คืนและหยุดลงอย่างสิ้นเชิงเมื่อเวลา ตี 4 วันนี้ และเตาปฏิกรณ์จะอยู่ในสภาพโคลด์ ชัตดาวน์
หรือมีอุณหภูมิลดลงต่ำกว่าจุดเดือด 100 องศาเซลเซียสในวันบ่ายพรุ่งนี้

การปิดเตาปฏิกรณ์ที่โรงไฟฟ้าโทมาริเพื่อซ่อมบำรุง หมายความว่าจำนวนเตาปฏิกรณ์ทั้งหมด
50 ตัวในญี่ปุ่นหยุดเดินเครื่องทั้งหมดเป็นครั้งแรกนับจากเดือนพฤษภาคม 2513

การปิดเตาเพื่อทดสอบระบบความปลอดภัยหรือซ่อมบำรุงตามตารางทั้งหมดเหล่านี้เป็นผลมา
จากวิกฤติโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟูกูชิมะไดอิจิที่ปล่อยกัมมันตภาพรังสีรั่วไหล เมื่อ 1 ปีก่อน ทำให้
ชาวญี่ปุ่นไม่มั่นใจในความปลอดภัยของเทคโนโลยนิวเคลียร์ ที่เคยผลิตไฟฟ้าให้กับญี่ปุ่นเป็น
สัดส่วนถึง 1 ใน 3 ตลอดหลายสิบปี และหากจะเปิดเดินเครื่องอีกครั้ง เตาปฏิกรณ์จะต้องผ่าน
การทดสอบว่าสามารถต้านทานแผ่นดินไหวและสึนามิได้ตามเกณฑ์ที่กำหนด รวมถึงได้รับความ
เห็นชอบจากชุมชนใกล้เคียงก่อน

และเมื่อวานนี้มีประชาชนที่ต่อต้านนิวเคลียร์ราว 5,500 คนออกมาชุมนุมเฉลิมฉลอง การปิดเตา
ปฏิกรณ์ตัวสุดท้ายที่สวนสาธารณะในกรุงโตเกียว โดยหวังว่าจะเป็นจุดเริ่มต้นของการก้าวสู่ยุค
ปลอดนิวเคลียร์

แต่มีความวิตกกันว่าญี่ปุ่นจะประสบปัญหาขาดแคลนไฟฟ้าในช่วงฤดูร้อนในขณะนี้ ซึ่งอาจมี
อุณหภูมิสูงเกินกว่า 40 องศาเซลเซียส รัฐบาลจึงเริ่มรณรงค์ให้ข้าราชการงดใส่สูทผูกไทและ
สวมเสื้อสบายๆเพื่อลดการใช้เครื่องปรับอากาศตั้งแต่ 1 พ.ค.แล้ว และรัฐบาลกำลังพิจารณา
กำหนดเป้าหมายส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียนราว 25%-35% ของการผลิตไฟฟ้าทั้งหมด
ภายในปี 2573 ขณะที่บริษัทเอกชนหลายแห่งเริ่มหันไปผลิตและใช้พลังงานหมุนเวียน

ที่มา.เนชั่น
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++