--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันอังคารที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

สื่อมวลชนต่างชาติเต็มศาลอาญา เกาะติดคดี ผอ.เว็บดังหมิ่น..!!?

สถานทูตหลายแห่ง องค์กรและสื่อมวลชนต่างชาติ เฝ้าติดตามการตัดสินคดีผู้อำนวยการเว็บไซต์ประชาไทหมิ่นสถาบันเบื้องสูง จากกรณีมีคนเข้ามาโพสต์ข้อความในเว็บ ขณะที่ศาลเลื่อนตัดสินเป็นวันที่ 30 มี.ค. เพราะยังเขียนคำพิพากษาไม่เสร็จ ทนายระบุคดีนี้จะเป็นบรรทัดฐานต่อไป หากผิดจะเกิดการปิดกั้นการแสดงความคิดเห็นตามมาอีกมาก

วันที่ 30 เม.ย. 2555 ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลนัดอ่านคำพิพากษาคดี น.ส.จีรนุช เปรมชัยพร ผู้อำนวยการเว็บไซต์ประชาไท กระทำผิดพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 14 และ 15

คำฟ้องสรุปว่า ระหว่างวันที่ 15 เม.ย.-3 พ.ย. 2551 เวลากลางคืนติดต่อกันวันเวลาใดไม่ปรากฏชัด จำเลยซึ่งเป็นผู้ให้บริการเว็บไซต์ประชาไท โดยเป็นผู้ดูแล (Web master) ได้จงใจสนับสนุนหรือยินยอมให้มีการดำเนินการนำข้อความเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งอยู่ในความควบคุม อันเป็นข้อมูลมีเนื้อหาเป็นการดูหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์

อย่างไรก็ตาม เมื่อถึงเวลานัด ศาลได้เลื่อนอ่านคำพิพากษาออกไปเป็นวันที่ 30 พ.ค. นี้ เวลา 10.00 น. เนื่องจากคดีนี้มีเอกสารจำนวนมากที่ต้องพิจารณา ยังเขียนคำพิพากษาไม่เสร็จสิ้น

ทีมตัวตัวแทนจากหน่วยงานต่างๆ และผู้สื่อข่าวต่างประเทศให้ความสนใจมาทำข่าวและสังเกตการณ์การตัดสินคดีเป็นจำนวนมาก ทั้งตัวแทนจากสมาชิกสหภาพยุโรปประจำประเทศไทย และตัวแทนสถานทูตต่างๆ เช่น สวิตเซอร์แลนด์ ฟินแลนด์ สวีเดน อังกฤษ สหรัฐอเมริกา องค์กรผู้สื่อข่าวไร้พรมแดน Reporters Without Borders (RSF), Freedom House, Human Right Watch, Google, The International Commission of Jurists (ICJ), Front Line Defenders, Amnesty International Thailand (AI), Malaysiakini, SEACAM , Bytes for All (ปากีสถาน), ilaw, FACT, เครือข่ายพลเมืองเน็ต และเครือข่ายนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน เป็นต้น

ขณะที่ Asian Correspondent เว็บไซต์ข่าวออนไลน์ ได้เตรียมรายงานสดผ่านบล็อก http://asiancorrespondent.com/81457/live-blog-chiranuch-verdict/ โดยก่อนที่ศาลจะแถลงเลื่อนการอ่านคำพิพากษา Asian Correspondent ตั้งข้อสังเกตว่า อย่างน้อยวันนี้เราจะได้รู้ในระดับหนึ่งว่าตอนนี้รัฐไทยปกครองด้วยระบอบอะไร และมีจุดยืนอย่างไรต่อประเด็นเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น

นายธีรพันธุ์ พันธุ์คีรี ทนายจำเลย ระบุว่า คดีนี้ไม่ได้สำคัญเฉพาะกับจำเลยเท่านั้น แต่สำคัญสำหรับผู้ให้บริการรายอื่นๆด้วย ในแง่การเป็นบรรทัดฐานต่อไปสำหรับ “ตัวกลาง” ว่าจะต้องมีภาระรับผิดชอบขนาดไหน การเอาผิดกับผู้ให้บริการจะสร้างภาระที่ทำให้ผู้บริการต้องตั้งเงื่อนไขจำนวนมากกับผู้ใช้บริการหรือผู้โพสต์ความเห็น จะเกิดการปิดกั้นการแสดงความคิดเห็น และจะทำให้ผู้ใช้บริการหันไปใช้พื้นที่ของเว็บไซต์หรือเว็บบอร์ดที่มีเซิร์ฟเวอร์อยู่ต่างประเทศ ซึ่งสุดท้ายก็จะทำให้มาตรการทางกฎหมายไม่บรรลุวัตถุประสงค์

นายธีรพันธุ์กล่าวว่า ในต่างประเทศจะใช้ระบบการแจ้งเตือนจากเจ้าหน้าที่รัฐมายังผู้ให้บริการ และมีกำหนดระยะเวลาในการแก้ไข จัดการ อย่างชัดเจน

ด้าน น.ส.จีรนุชกล่าวว่า ศาลคงต้องการอ่านเอกสารต่างๆอย่างละเอียดก่อนตัดสิน จึงเลื่อนการพิพากษาออกไป

ที่มา.หนังสือพิมพ์โลกวันนี้

**********************************************************************

เพื่อไทยใส่เกียร์ถอย ปลดล็อค บ้านเลขที่ 109

"คณะยุทธศาสตร์พท."สั่งถอยปลดล็อคบ้านเลขที่ 109 ออกจากพ.ร.บ.ปรองดอง แถมปล่อยฝ่ายค้านลากยาวถกแก้รธน.จนพอใจ ด้านส.ส.หน้าบานรับเงินเดือนอื้อ

ในการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์ของพรรคเพื่อไทย ที่ประชุมได้มีการหารือถึงการประชุมร่วมรัฐสภาเพื่อพิจารณาแก้ไขรัฐธรรมนูญวาระ 2 ในระหว่างวันที่ 1 - 3 พ.ค. โดยที่ประชุมได้เสนอว่า การประชุมร่วมรัฐสภาในสัปดาห์นี้พรรคควรที่จะตอบโต้ฝ่ายค้านบ้างได้แล้วหลังจากที่ก่อนหน้านี้พรรคใช้ยุทธศาสตร์ให้ส.ส.อดทนมาโดยตลอด

ส่วนกรณีที่พรรคประชาธิปัตย์อาจจะยื้อเวลาออกไปอีกนั้นที่ประชุมมองว่า หากฝ่ายค้านอยากจะยื้อเวลาก็ให้ยื้อไป จะลากยาวออกไปจากนี้อีก 2 - 3 สัปดาห์พรรคก็ยังรับได้ ไม่เป็นปัญหา นอกจากนี้ ที่ประชุมยังหารือกันถึงการออกพ.ร.บ.ปรองดองด้วยว่า เดิมที่มีการเสนอให้มีการปลดล็อคบ้านเลขที่ 109 ไว้ในพ.ร.บ.ปรองดองด้วยนั้น แต่ล่าสุดกระแสสังคมมีการวิพากษ์วิจารณ์กรณีดังกล่าวเนอย่างมาก ดังนั้นที่ประชุมจึงมองว่า ควรที่จะรอดำเนินการในเรื่องดังกล่าวไปพร้อมกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญเลยจะดีกว่า

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การประชุมส.ส.พรรคเพื่อไทยวันนี้(30 เม.ย.)ใช้เวลาการประชุมเพียงไม่นาน เนื่องจากอดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย อดีตกรรมการบริหารพรรคพลังประชาชน และส.ส.พรรคเพื่อไทย มีกำหนดการที่จะต้องเดินทางไปร่วมแข่งขันฟุตบอลกระชับมิตร อย่างไรก็ตาม ส.ส.ที่เดินทางมายังพรรคเพื่อไทยวันนี้ซึ่งเป็นวันเงินเดือนของพรรคออกนั้น ส.ส.ของพรรคจึงได้รับเงินคนละ 1.5 แสนบาท แบ่งเป็นค่าใช้จ่ายในการลงพื้นที่ 5 หมื่นบาท และเงินเดือน 1 แสนบาท

นายประวัฒน์ อุตโมท ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย และน้องชายนางพนิตา กำภู ณ อยุธยา อดีตปลัดกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กล่าวถึงกรณีที่มีกระแสข่าวว่า นางพนิตาได้ทำความเข้าใจกับนายสันติ พร้อมพัฒน์ รมว.พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จนเป็นที่เข้าใจกันดีแล้วว่า คงต้องรอผลการสอบสวนของคณะกรรมการชุดของนายธงทอง จันทรางศุ ที่จะเรียกสอบในช่วง 1 - 2 วันนี้ก่อน ซึ่งคาดหวังว่าคณะกรรมการชุดดังกล่าวจะคืนความชอบธรรมให้กับนางพนิตา ทั้งนี้ กระแสข่าวที่ว่ามีการเคลียร์ใจกับนายสันติแล้วนั้น ยืนยันว่ายังไม่มีการเคลียร์ใจหรือพูดคุยกัน เพราะเรื่องการคืนความชอบธรรม หรือการคืนตำแหน่งนั้นเป็นเรื่องของผู้ใหญ่ในพรรคที่จะกรุณา

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันจันทร์ที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2555

สอบเส้นทาง. จริยธรรมอล่างฉ่าง !!?

กระแสข่าวฉาวยังไม่ตก..ยิ่งคาวคนยิ่งชอบไม่เว้นแม้แต่ในวงการการเมือง อย่างกรณีที่มีภาพล่อแหลมขึ้นฉายอล่างฉ่างกลางการประชุมรัฐสภา สร้างความฮือฮาให้กับบรรดาสมาชิกรัฐสภาที่อยู่ในห้องประชุม

จนต้องเร่งควานหาต้นตอกันจ้าละหวั่น กระทั่งมีภาพนายณัฏฐ์ บรรทัดฐาน ส.ส.กรุงเทพมหานคร พรรคประชาธิปัตย์ นั่งดูภาพวาบหวิวกลางห้องประชุมสภาจนต้องมานั่งถกกันว่าฝีมือพี่แกจริงหรือ..แม้จะใช่หรือไม่ใช่ในด้านของจริยธรรมการทำหน้าที่ของนักการเมืองก็ต้องมาตรวจสอบกันดูอีกทีว่า เหมาะสมหรือเปล่า

ล่าสุดนายไพจิต ศรีวรขาน ส.ส.พรรคเพื่อไทย จ.นครพนม ในฐานะประธานกรรมาธิการกิจการสภาผู้แทนราษฎร ได้เชิญนายณัฏฐ์ บรรทัดฐาน ส.ส.กรุงเทพมหานคร พรรคประชาธิปัตย์ มาชี้แจงต่อกรรมาธิการแล้วโดยวางกรอบให้นายณัฏฐ์ ชี้แจงหลักฐานต่างๆ ที่มี เพื่อแสดงว่าได้กระทำไปจริงหรือไม่ อย่างไร

งานนี้จะว่าเรื่องใหญ่ก็ใหญ่..จะว่าเรื่องเล็กก็มองได้ว่า คงไม่มีเจตนาตามที่นายณัฏฐ์ ได้เคยชี้แจงแถลงไขมาแล้ว แต่ที่แน่ๆ เมื่อมีช่องทางแบบนี้ไม่ว่าใครก็คงอยู่เฉยไม่ได้ ตามวิสัยนักการเมือง แน่นอนว่า สารพัดขุนพลเพื่อไทยย่อมไม่ยอมพลาดโอกาสนี้เป็นแน่แท้

ร.ท.หญิงสุณิสา เลิศภควัต หรือหมวดเจี๊ยบคนสวย ในฐานะรองโฆษกพรรคเพื่อไทยออกบริภาษด้วยศักดิ์ศรีลูกผู้หญิงว่า

“ขอไว้อาลัย แด่ ความไร้บรรทัดฐานทางจริยธรรมของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ที่ทำได้แค่ โยนเรื่อง ส.ส.ของพรรคตัวเองดูภาพโป๊ในสภาฯ ให้สภาฯ เป็นผู้ตรวจสอบ การกระทำดังกล่าวชี้ให้เห็นว่า นายอภิสิทธิ์ ทำได้แค่ปล่อย ให้คนลืมๆ เรื่องนี้ไปเอง และไม่ได้เดือดร้อนกับเรื่องที่เกิดขึ้น ทั้งๆ ที่สังคมมองว่า นี่เป็นเรื่องใหญ่ โดยโพลระบุว่า กรณีดังกล่าวส่งผล ให้ประชาชนร้อยละ 83.4 เสื่อมศรัทธาต่อรัฐสภา และประชาชน ร้อยละ 35.5 เรียกร้องให้ ส.ส. ประชาธิปัตย์ ลาออก เพื่อแสดง ความรับผิดชอบ แต่นายอภิสิทธิ์ กลับไม่เห็นว่าเป็นเรื่องใหญ่ ทั้ง ยังประกาศว่าพรรคประชาธิปัตย์จะไม่ตั้งกรรมการตรวจสอบ ข้อเท็จจริง แต่จะปล่อยให้เป็นเรื่องของสภาฯ เท่านั้น ซึ่งเป็นการโยนกลองไปให้คนอื่น และเป็นการปัดความรับผิดชอบ”

พร้อมกะเทาะสนิมความจำอดีตนายกฯ ว่า ลืมกฎเหล็กที่ตนเองเคยตั้งไว้อย่างสวยหรูว่า “ความรับผิดชอบทางการเมือง สำคัญกว่าความรับผิดชอบทางกฎหมาย”

พร้อมย้ำว่า นายณัฏฐ์ บรรทัดฐาน เพื่อสร้างบรรทัดฐานที่ดีด้านจริยธรรมให้กับสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ ให้สมกับที่สร้าง ภาพมาตลอดว่ามีจริยธรรมเหนือกว่า มีชาติตระกูลสูงกว่า และมีการศึกษาดีกว่าผู้อื่น

ด้านพรรคประชาธิปัตย์เองก็พร้อมออกมาตีกำแพงตั้งโล่รับหอกเพื่อไทยอย่างเหนียวแน่น โดยในมุมของน.พ.วรงค์ เดชวิกรม ส.ส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ ได้ออกมาป้องว่า นายณัฏฐ์ เองได้ออกมาแสดงความเป็นลูกผู้ชายแล้วโดยการออกมา อธิบายในเรื่องดังกล่าวแล้วและมีการลบภาพดังกล่าวที่อยู่ในเฟซบุ๊ก โปรไฟล์พิกเจอร์ ออกไปจากโทรศัพท์มือถือหมดแล้ว ซึ่ง ช่วงที่นายณัฏฐ์เปิดคลิปดังกล่าวนั้นอยู่ในช่วงเวลาประมาณ 18.00 น.แต่ภาพที่เกิดขึ้นใน สภาเกิดขึ้นเวลา 15.00 น. ดังนั้น มันเป็นความ บกพร่องของระบบการที่พรรคเพื่อไทยคนหนึ่งพยายามเชื่อมโยงภาพที่นายณัฏฐ์ดูกับภาพที่ปรากฏบนจอสภา ซึ่งทางสภาก็กำลังดำเนินการสอบอยู่ ผู้เชี่ยวชาญหลายคนก็ระบุว่าอาจเป็นความบกพร่องในการสับสวิตช์ของเจ้าหน้าที่ ซึ่งมันเป็นคนละเรื่องกัน ตนถือว่า พรรคเพื่อไทยกำลังบิดเบือนต่อ นายณัฏฐ์อย่างมหาศาล จนคนถูกอาจกลายเป็นคนผิด ดังนั้น สองเรื่องนี้จึงไม่มีความเกี่ยวข้องกัน เป็นความจงใจบิดเบือนของพรรคเพื่อไทย

ส่วนในประเด็นของการซิ้งภาพฉาวขึ้นจอมอนิเตอร์ก็ได้มีผู้ทรงภูมิเฉพาะด้านออกมาไขข้อข้องใจกันมากมายอย่าง ในรายการ “แบไต๋ไฮเทค” ของคุณหนุ่ย พงศ์สุข ซึ่งเป็นรายการที่นำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับเทคโนโลยีได้ทำการทดสอบระบบโดยจำลองให้คล้ายคลึงกับความเป็นไปได้ที่อาจเกิดในห้องประชุมรัฐสภาซึ่งข้อสันนิษฐานของรายการได้ทดสอบว่า เป็นไปได้ว่าผู้ที่อยู่ในละแวกห้องประชุมอาจใช้โทรศัพท์สมาร์ทโฟนทำการเปิดดูรูป ภาพดังกล่าว แล้วกดแชร์ภาพผ่านระบบที่มีการเซ็ตไว้ที่จอของเครื่องโทรทัศน์ในห้องประชุมแบบไวไฟ ซึ่งโทรทัศน์รุ่นที่ใช้ในห้อง ประชุมทางรายการระบุว่า ได้ติดตั้งระบบรองรับการแชร์ภาพจากสมาร์ทโฟน โน้ตบุ๊ก ไอแพด รวมทั้งจากการสอบถามบริษัทดังกล่าวได้ระบุว่า ได้จำหน่ายโทรทัศน์รุ่นนี้ให้กับทางรัฐสภาด้วย

อีกด้านหนึ่งดร.ปริญญา หอมเอนก เลขานุการสมาคมความมั่นคงและความปลอดภัยสารสนเทศ ให้ความเห็นว่า กรณีการนำภาพโป๊ยิงขึ้นบนจอทีวีของรัฐสภาไทยเมื่อสัปดาห์ที่แล้วนั้น เป็นการใช้งานเทคโนโลยี DLNA (Digital Living Network Alliance) ซึ่งสามารถใช้งานได้ร่วมกับแท็บเล็ตหรือโทรศัพท์มือถือภายในเครือข่ายอินเตอร์เน็ตเดียวกัน เช่นการเปิดดูวิดีโอ จากอุปกรณ์แท็บเล็ตหรือมือถือสมาร์ทโฟน ให้เปิดบนโทรทัศน์ที่รับสัญญาณ WIFI ทั้งแบบ Built-in หรือแบบ Dongle โดยการ ใช้แอพพลิเคชั่นหรือโปรแกรมที่เกี่ยวกับระบบ DLNA เช่น iMediashare ก็จะสามารถส่งไฟล์เข้าทีวีได้ทันที

ดร.ปริญญา ยืนยันว่า ไม่ใช่เพียงแค่ระบบ Andriod เท่านั้น ที่สามารถแชร์ภาพเข้าทีวีได้ แต่ยังสามารถใช้งานได้กับเครื่องตระกูล IOS หรือ iPad และ iPhone ได้อีกด้วย จากการดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่นที่เกี่ยวข้องกับ DLNA ก็ใช้งานได้ทันที แตกต่าง เพียงแค่วิธีการหรือรูปแบบของการใช้งานเท่านั้น

ส่วนกรณีการตรวจสอบผู้ส่งภาพอนาจารขึ้นไปบนจอทีวีภายในรัฐสภาระหว่างการประชุมสภานั้น ดร.ปริญญา เห็นว่า ควร ตรวจสอบตัว Dongle หรือตัวรับสัญญาณ WIFI ว่ามีระยะรับได้ไกลแค่ไหนตั้งแต่ 10-100 เมตร เพราะอาจเป็นผู้ไม่หวังดีที่อยู่ ด้านนอกก็ได้

ในด้านกระแสสังคมที่สะท้อนออกมากับกรณีดังกล่าว โดย เฉพาะคนในพื้นที่ที่เป็นฐานเสียงของนายณัฏฐ์ บรรทัดฐาน เองกลับมองเรื่องดังกล่าวไม่ดีนักโดยกลุ่มสตรีและเยาวชนเขตบางกะปิ ประมาณ 20 คนเข้ายื่นหนังสือถึงนายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานรัฐสภา เพื่อขอให้สอบสวนจริยธรรม คุณธรรมของนายณัฏฐ์ โดยอ้างว่า พฤติกรรมดังกล่าวทำให้ผู้หญิงและเด็กเกิดความอับอายเพราะนายณัฏฐ์เป็นตัวแทนของชาวบางกะปิ แต่กลับมีภาพดังกล่าว เผยแพร่ออกต่อสาธารณชนจึงขอให้ประธานรัฐสภาตรวจสอบว่าการกระทำของนายณัฏฐ์ทำผิดคุณธรรมจริยธรรมหรือไม่ ถ้ามีผลออกมาอย่างไร ให้แถลงข่าวชี้แจง เพื่อให้ประชาชนรับทราบด้วย

แต่เรื่องดังกล่าวต้องผ่านการสอบสวนหาความจริง และนั่นคงไม่พ้นผู้ตรวจการแผ่นดิน ซึ่งมีหน้าที่โดยตรงในการทำหน้าที่ตรวจสอบจริยธรรมนักการเมือง หากผลการพิจารณา มีความเหมาะสม ทางผู้ตรวจการแผ่นดินก็จะดำเนินการตาม ความเห็นดังกล่าว แต่หากผู้ตรวจการแผ่นดินเห็นต่าง จะใช้อำนาจตามรัฐธรรมนูญมาตรา 280 เรียกให้มีการไต่สวนสาธารณะ เพิ่มเติม เพื่อเสนอเป็นแนวทางหนึ่งได้

ที่มา.สยามธุรกิจออนไลน์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันอาทิตย์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2555

Cabinet Watch: รัฐบาลอนุมัติงบสนับสนุนโครงการ SMEs 7,325 ล้านบาท !!?

ผลการประชุมของคณะรัฐมนตรี นำโดย นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ วันที่ 24 เมษายน 2555 มีมติที่น่าสนใจด้านเศรษฐกิจ ประเด็นที่ ๑๒ ว่าด้วยเรื่อง มาตรการเพิ่มขีดความสามารถ SMEs คณะรัฐมนตรีเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอ ดังนี้
  1. เห็นชอบมาตรการเพิ่มขีดความสามารถ SMEs
  2. อนุมัติให้จัดสรรงบประมาณที่ต้องใช้ในการสนับสนุนโครงการเป็นวงเงินไม่เกิน 7,325 ล้านบาท และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเบิกจ่ายตามจริง โดยให้ทำความตกลงกับสำนักงบประมาณในรายละเอียดต่อไป
  3. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกา รวม 3 ฉบับ ดังนี้ (3.1) ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ….(3.2) ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการหักค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาของทรัพย์สิน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ….(3.3) ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ….
กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอว่า ได้จัดทำมาตรการทางการเงินและมาตรการภาษีเพื่อแก้ไขปัญหาและอุปสรรคในการประกอบธุรกิจของ SMEs ใน 3 ด้าน ได้แก่
  1. การยกระดับผลิตภาพการผลิต (Productivity)
  2. การสนับสนุนการเข้าถึงแหล่งเงินทุน และ
  3. การลดภาระต้นทุนจากค่าแรงที่เพิ่มขึ้น สรุปได้ดังนีั

ภาพจาก ไทยรัฐ

1. มาตรการทางการเงิน ประกอบด้วย

1.1 โครงการสินเชื่อเพื่อพัฒนาผลิตภาพการผลิต (Productivity Improvement Loan) โดย ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) ประกอบด้วยสินเชื่อ 2 ประเภท คือ
  • สินเชื่อเพื่อพัฒนาเครื่องจักรและสินเชื่อเพื่อพัฒนากระบวนการทำงาน โดยมีวงเงินโครงการ 20,000 ล้านบาท ระยะเวลาโครงการ 2 ปี นับจากวันที่มติคณะรัฐมนตรี
  • และงบประมาณที่ใช้ในการสนับสนุนไม่เกิน 1,805 ล้านบาท
1.2 โครงการค้ำประกันสินเชื่อในลักษณะ Portfolio Guarantee Scheme ระยะที่ 4 (PGS ระยะที่ 4) ของบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.)
  • โดยมีวงเงินค้ำประกันรวม 24,000 ล้านบาท โดย บสย. จ่ายอัตราค่าประกันชดเชยให้กับสถาบันการเงินสูงสุดไม่เกินร้อยละ 18 ของภาระค้ำประกันเฉลี่ยตลอดระยะเวลาโครงการ 5 ปี
  • และรัฐบาลชดเชยส่วนต่างค่าประกันชดเชยตามจริงแต่ไม่เกิน 2,220 ล้านบาท
1.3 โครงการค้ำประกันสินเชื่อในลักษณะ Portfolio Guarantee Scheme สำหรับผู้ประกอบการใหม่ (PGS New/Start-up) ของ บสย. สำหรับ SMEs ที่มีอายุกิจกรรมไม่เกิน 2 ปี มีวงเงินค้ำประกันรวม 10,000 บาท โดย บสย. จ่ายอัตราค่าประกันชดเชย (Coverage ratio) ให้กับสถาบันการเงินในอัตราสูงสุดไม่เกินร้อยละ 48 ของภาระค้ำประกันเฉลี่ยตลอดระยะเวลาโครงการ 7 ปี และงบประมาณที่ใช้ในการสนับสนุนรวม 3,300 ล้านบาท
1.4 กองทุนพัฒนาฝีมือแรงงาน ให้ SMEs
  • กู้เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรมในอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 0.1 ต่อปี
  • วงเงินกู้ยืมสูงสุด 42,000 บาท
  • ระยะเวลาชำระคืน 4 ปี ขึ้นอยู่กับระยะเวลาการฝึกอบรม ทั้งนี้ ปัจจุบันมีเงินกองทุนอยู่ 570 ล้านบาท และคณะกรรมการกองทุนฯ มีมติเห็นชอบรายละเอียดการกู้ยืมดังกล่าว
1.5 โครงการสินเชื่อส่งเสริมการจ้างงาน (กองทุนประกันสังคม) ให้ธนาคารพาณิชย์ปล่อยสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ โดยอาศัยแหล่งเงินทุนจากกองทุนประกันสังคมให้แก่ SMEs ที่ได้รับผลกระทบจากค่าแรงที่เพิ่มขึ้นเพื่อเป็นเงินทุนในการเสริมสภาพคล่องหรือเพิ่มผลิตภาพการผลิต มีวงเงินรวม 10,000 ล้านบาท และคณะกรรมการประกันสังคมได้มีมติเห็นชอบรายละเอียดการกู้ยืมแล้ว
มาตรการตามข้อ 1.1 – 1.3 มีงบประมาณที่ต้องใช้ในการสนับสนุนทั้งสิ้นไม่เกิน 7,325 ล้านบาท ส่วนมาตรการตามข้อ 1.4 – 1.5 ไม่ต้องใช้งบประมาณในการสนับสนุน ทั้งนี้ มาตรการทั้ง 5 มาตรการดังกล่าวจะก่อให้เกิดการสร้างสินเชื่อให้กับ SMEs เพิ่มขึ้นอีกประมาณ 86,000 ล้านบาท และคาดว่าจะมี SMEs ที่ได้รับประโยชน์กว่า 28,000 ราย

2. มาตรการภาษี

โดยให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีกับ SMEs ซึ่งเป็นนิติบุคคลที่มีทุนจดทะเบียนไม่เกิน 5 ล้านบาท และรายได้จากการขายสินค้าและบริการไม่เกิน 30 ล้านบาทต่อปี ประกอบด้วยมาตรการปรับเปลี่ยนเครื่องจักรเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต มาตรการหักค่าเสื่อมเครื่องจักร และมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากการเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำ โดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกาเพื่อยกเว้นรัษฎากรและหักค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาของทรัพย์สิน รวม 3 ฉบับ
สาระสำคัญของร่างพระราชกฤษฎีกา
  • 1. ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. กำหนดให้ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลให้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลซึ่งมีทุนที่ชำระแล้วในวันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชีไม่เกินห้าล้านบาทและมีรายได้จากการขายสินค้าและบริการไม่เกินสามสิบล้านบาทต่อปี ในรอบระยะเวลาบัญชีที่ได้ใช้สิทธิยกเว้นภาษีเงินได้สำหรับเงินได้ที่ได้รับจากการขายทรัพย์สินประเภทเครื่องจักรที่ใช้ในการผลิตสินค้าให้บริการรับจ้างผลิตสินค้าเพื่อซื้อเครื่องจักรใหม่ทดแทน ทั้งนี้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2555 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2555
  • 2. ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการหักค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาของทรัพย์สิน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. กำหนดเงื่อนไขและอัตราการหักค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาของทรัพย์สินประเภทเครื่องจักรที่ใช้ในการผลิตสินค้าหรือให้บริการรับจ้างผลิตสินค้าให้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลซึ่งมีทุนที่ชำระแล้วในวันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชีไม่เกินห้าล้านบาทและมีรายได้จากการขายสินค้าและบริการไม่เกินสามสิบล้านบาทต่อปี ในรอบระยะเวลาบัญชีที่ได้ใช้สิทธิ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2555 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2555
  • 3. ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. กำหนดให้ยกเว้นภาษีเงินได้เป็นจำนวนร้อยละห้าสิบของรายจ่ายที่ได้มีการจ่ายเป็นค่าจ้างเฉพาะส่วนต่างของค่าจ้างที่ได้มีการจ่ายเพิ่มขึ้นจากอัตราค่าจ้างขั้นต่ำในปัจจุบันตามที่กำหนดในแต่ละเขตจังหวัดกับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำใหม่เป็นเงินวันละสามร้อยบาท ให้แก่บุคคลธรรมดาที่มีเงินได้พึงประเมิน ซึ่งต้องเสียภาษีเงินได้ตามประมวลรัษฎากรและบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลซึ่งมีทุนที่ชำระแล้วในวันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชีไม่เกินห้าล้านบาทและมีรายได้จากการขายสินค้าและบริการไม่เกินสามสิบล้านบาทต่อปี ในรอบระยะเวลาบัญชีที่ได้รับสิทธิยกเว้นภาษีเงินได้ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2555 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2555

ที่มา.Siam Intelligence Unit
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันเสาร์ที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2555

ปฏิกิริยาสังคมต่อกรณี นายกฯ เข้ารดน้ำดำหัว พล.อ.เปรม !!?


ปฏิกิริยาของแต่ละบุคคล และกระแสสังคมต่อกรณี 'ยิ่งลักษณ์' เข้ารดน้ำขอพร'พล.อ.เปรม' เนื่องในโอกาสปีใหม่ไทย

กระแสสังคมและบุคคลต่างๆที่มีความเห็นหลากหลายต่อการเตรียมคณะรัฐมนตรีเข้าพบ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ เพื่อขอพรในโอกาสปีใหม่ไทย โดยมีความเห็นหลากหลายอย่างต่อเนื่อง

โดยนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐมนตรีที่จะเข้าในครั้งนี้จะเป็นในส่วนของรองนายกรัฐมนตรีเท่านั้น เพื่อเป็นการขอพรเนื่องในโอกาสปีใหม่ไทย และพล.อ.เปรม ถือเป็นผู้ใหญ่ในบ้านเมืองที่ให้ความเคารพ ขออย่าโยงเป็นประเด็นทางการเมือง ซึ่งการเข้าพบในครั้งนี้ไม่ได้มีการหารือข้อราชการ หรือ เรื่องการเมือง และพร้อมที่จะรับคำแนะนำจากท่าน

พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รองนายกรัฐมนตรีที่จะเดินทางไปพร้อมนายกรัฐมนตรี จะประกอบด้วย นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง และตน ส่วนร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุงและนายชุมพล ศิลปอาชา ติดภารกิจ โดยจะเดินทางไปที่บ้านสี่เสาเทเวศร์ในเวลา 14.00 น.

ทั้งนี้การที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ นำคณะเข้าพบ พล.อ.เปรม จะทำให้ประชาชนสบายใจ และท่าที่ตรวจสอบปฏิกิริยาจากผู้นำเหล่าทัพ ตั้งแต่ระดับผบ.ส.ส.จนถึงผบ.เหล่าทัพ อย่างผบ.ทบ.ก็คุยกับตนตอนเดินทางลงภาคใต้ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ว่าการที่นายกฯเข้ารดน้ำดำหัวพล.อ.เปรมเป็นเรื่องดี การแสดงความเคารพผู้ใหญ่เป็นภาพที่ดี เหล่าทัพไม่มีปัญหาอะไร

ส่วนกรณีที่คนเสื้อแดงบางส่วนแสดงความไม่เห็นด้วย พล.อ.ยุทธศักดิ์ กล่าวว่า คงมีบางส่วน แต่อยากให้คนเหล่านั้นมองภาพรวมของประเทศ ในการสร้างความปรองดอง เพราะหากบ้านเมืองเรายังแตกแยก จะสูญเสียความสามารถในการพัฒนา ส่วนฝ่ายอื่นที่ยังไม่เห็นด้วยก็คงต้องมีการทำความเข้าใจต่อไป

ด้านผู้นำฝ่ายค้าน นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กล่าวว่า การที่ครม.จะรดน้ำขอพรผู้ใหญ่ในโอกาสสงกรานต์เป็นสิ่งที่ทำได้ไม่เกี่ยวข้องกับความปรองดอง เป็นการแสดงความเคารพ เพราะถ้าอยากแสดงความปรองดองต้องให้แกนนำเสื้อแดงไปขอขมา พล.อ.เปรมมากกว่า เช่น นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รมช.เกษตร นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.พรรคเพื่อไทย ก็ไปขอขมาได้ว่าสิ่งที่เคยกล่าวหา พล.อ.เปรม เป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง จึงจะเรียกว่าปรองดอง

แต่ถ้าเป็น ครม.เข้ารดน้ำดำหัวเป็นเรื่องของการทำตามประเพณี ถ้านายณัฐวุฒิเข้าไปและขอขมาในสิ่งที่เคยล่วงเกินก็จะได้เห็นว่าปรองดองจริงหรือไม่ แต่ถ้านายณัฐวุฒิไม่ไปก็จะยิ่งชัดเข้าไปใหญ่ว่า ในเมื่อ ครม.ว่างหมดแล้ว ทำไมนายณัฐวุฒิจะไม่ว่างอยู่คนเดียว สิ่งเหล่านี้จะสะท้อนข้อเท็จจริงว่าเป็นอย่างไร

ด้านผู้บัญชาการทหารบก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เชื่อไม่มีนัยยะทางการเมืองที่ นายกรัฐมนตีจะนำคณะรัฐมนตรี เข้ารดน้ำขอพร พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี โดยไม่มี 2 แกนนำนปช.ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ กับ จตุพร พรหมพันธุ์ เข้าร่วมด้วย

นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตนคิดว่าคงไม่มีปัญหาอะไร เพราะเป็นเรื่องดีที่ผู้ใหญ่ได้พบกัน แต่ใครจะรู้สึกอะไรก็ขอให้นึกถึงประเทศชาติในระยะยาว และความรู้สึกที่ดีต่อกันถือเป็นเรื่องดี ทั้งนี้ การทำให้คนจำนวนมากมีความเห็นเหมือนกันหมดนั้นคงเป็นไปไม่ได้

นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รมช.เกษตรและสหกรณ์ ในฐานะแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) กล่าวถึงกรณีนี้ว่า "ทั้งผู้น้อยผู้ใหญ่ควรจะหันหน้าไปในทิศทางเดียวกันเพื่ออนาคตของประเทศ ประเด็นไม่ได้อยู่ที่ใครจะขอขมาใคร ประเด็นมันอยู่ที่ต้องเห็นว่าประเทศไทยต้องเห็นร่วมกันว่าเราจะจมปลักอยู่ กับความขัดแย้งไม่ได้"

พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงกรณีนี้ว่า การที่นายกฯไป ท่านคิดไตร่ตรองแล้วและในยามสถานการณ์บ้านเมืองอย่างนี้ท่านก็มีหน้าที่ทำทุกอย่าง ส่วนตนได้นำทหารไปรดน้ำ พล.อ.เปรม ด้วยความเคารพในตัวท่าน เพราะท่านเป็นรัฐบุรุษคนหนึ่ง ยามนี้อะไรที่ทำได้และเป็นสิ่งที่ดีก็ต้องทำ ถ้ากลัวคนค้านก็ไม่ต้องทำอะไรแล้ว ส่วนจะมีการไปทำความเข้าใจหรือไม่นั้น เราต้องดูว่า คนไหนที่เราจะอธิบายได้และเขาเข้าใจก็อธิบายไป แต่บางคนอธิบายให้ตายก็ไม่รู้เรื่อง ก็ตัดทิ้งไป เราก็รู้ว่าใครเป็นใคร ก็ดูเอา

ด้านนายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรค​เพื่อ​ไทย เผยว่า ทางพรรค​เพื่อ​ไทย ​ได้รับ​โทรศัพท์ว่า ประชาชนรู้สึกสบายที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ​และ ครม. ​ได้​เข้าพบ​ผู้​ใหญ่อย่าง พล.อ.​เปรม ​ทำ​ให้ประชาชนรู้สึกว่าบ้าน​เมืองกำลังมุ่ง​ไปสู่​ความปรองดองสมานฉันท์ ​และจะ​ทำ​ให้รัฐบาลมี​การประสานงานกับ​ผู้​ใหญ่ องค์กรต่างๆ ​ทำ​ให้ประชาชน​เกิด​ความ​เชื่อมั่น​ในรัฐบาลมากขึ้น ​ซึ่งถือ​เป็นนิมิตหมายที่ดี

อย่างไรก็ตามกระแสส่วนมากจากโลกออนไลน์อย่างเฟสบุ๊คต่างเห็นด้วยและไม่เห็นด้วยกันตามความเห็นชอบของแต่ละบุคคล อย่างเช่นหนึ่งความเห็นจากเฟสบุ๊คที่มองว่า "การกลับกรอกของคำพูดบางคนที่อ้างอยากเห็นความปรองดอง แต่ธาตุแท้กลับไม่อยากปรองดอง ที่ทำเพื่อหวังช่วยใครคนใดคนหนึ่งเท่านั้น"

กระแสสังคมออนไลน์ส่วนมากยังติดใจกับคำพูดในอดีตของบางท่านที่เคยพูดไม่ดีถึง พล.อ.เปรม เมื่อครั้งปราศรัยบนเวที ทำให้เชื่อว่าการเข้าพบขอพร พล.อ.เปรม ครั้งนี้มีนัยยะซ่อนเร้นทางการเมืองมากกว่าหวังการปรองดองเพื่อชาติ

โดยส่วนมากมีเสียงวิจารณ์จากกลุ่มคนเสื้อแดงที่แสดงความไม่เห็นด้วยต่อเรื่องนี้อย่างเด่นชัด

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันศุกร์ที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2555

นิติราษฎร์ค้านนิรโทษกรรม

“วรเจตน์” ออกแถลงการณ์ในนามคณะนิติราษฎร์ : นิติศาสตร์เพื่อราษฎร แสดงจุดยืนคัดค้านการออกกฎหมายนิรโทษกรรมยกโทษให้คนสั่งการยันระดับปฏิบัติที่ทำให้มีคนบาดเจ็บล้มตายในทุกเหตุการณ์การเมืองตั้งแต่หลังวันที่ 19 ก.ย. 2549 ส่วนผู้ชุมนุมหากผิดแค่ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน กฎหมายความมั่นคงให้ยกโทษ เว้นผู้ทำผิดกฎหมายอื่นต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมตามปรกติ แนะแก้รัฐธรรมนูญเพิ่มหมวดว่าด้วยการขจัดความขัดแย้ง เปิดทางตั้งคณะกรรมการขึ้นมาพิจารณาครบวงจร ทั้งฐานความผิดและการเยียวยา

+++++++++++++

คณะนิติราษฎร์ : นิติศาสตร์เพื่อราษฎร โดย ดร.วรเจตน์ ภาคีรัตน์ แสดงจุดยืนต่อสถานการณ์การเมืองปัจจุบันผ่านเว็บไซต์ http://www.enlightened-jurists.com 4 ข้อประกอบด้วย 1.ยืนยันว่าประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ที่ใช้บังคับอยู่ในปัจจุบันมีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ เมื่อส่งรายชื่อเสนอแก้ไขแล้วเป็นหน้าที่ของสภาที่ต้องพิจารณา

2.ไม่เห็นด้วยกับการออกกฎหมายนิรโทษกรรมให้ทุกคนทุกฝ่าย โดยอ้างเรื่องความปรองดองสมานฉันท์ เพราะนอกจากจะทำให้ประชาชนพ้นผิดแล้วจะมีผลให้ผู้สั่งการและปฏิบัติการสลายการชุมนุมพ้นจากความผิดไปพร้อมกันด้วย ถือว่าไม่เป็นธรรมต่อผู้ที่สูญเสียในเหตุการณ์สลายการชุมนุม

3.การตรากฎหมายเพื่อขจัดความขัดแย้งจะต้องพิจารณาแยกแยะลักษณะการกระทำของบุคคลที่เกี่ยวข้อง และจัดวางโครงสร้างของกฎหมายโดยมีสาระสำคัญหลักคือ ต้องไม่นิรโทษกรรมให้เจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้องในเหตุการณ์การชุมนุม ตลอดจนการสลายการชุมนุมทุกเหตุการณ์ตั้งแต่วันที่ 19 ก.ย. 2549 เป็นต้นมา ไม่ว่าจะเป็นผู้สั่งการหรือผู้ปฏิบัติ หากการกระทำนั้นเป็นความผิดต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม

ให้นิรโทษกรรมทันทีกับประชาชนที่มีความผิดตามกฎหมายฉุกเฉินต่างๆ และกฎหมายความมั่นคงที่ประกาศใช้ในช่วงที่มีการชุมนุมในที่ต่างๆ หากความผิดนั้นเป็นความผิดลหุโทษ

สำหรับผู้ทำผิดตามกฎหมายอาญาหรือกฎหมายอื่น และไม่ใช่ความผิดลหุโทษ หรือความผิดที่อัตราโทษไม่เกินกว่าที่กำหนดไว้ในบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ ในหมวดที่ว่าด้วยการขจัดความขัดแย้ง ตลอดจนการกระทำความผิดของบุคคลที่แม้ไม่ได้เข้าร่วมเดินขบวนและชุมนุมประท้วงทางการเมือง แต่มีข้อสงสัยว่ามีมูลเหตุเกี่ยวข้องหรือเกี่ยวเนื่องกับความขัดแย้งทางการเมืองหลังวันที่ 19 ก.ย. 2549 ให้นำเข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการขจัดความขัดแย้ง ซึ่งได้รับการจัดตั้งขึ้นตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญในหมวดที่ว่าด้วยการขจัดความขัดแย้ง ในระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการดังกล่าวจะดำเนินการทางกฎหมายกับผู้ที่ถูกกล่าวหาไม่ได้ และให้ปล่อยตัวผู้ถูกกล่าวหาก่อน

กรณีที่คณะกรรมการขจัดความขัดแย้งวินิจฉัยว่าการกระทำใดไม่อยู่ในบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญว่าด้วยการขจัดความขัดแย้ง การกระทำไม่ได้เกิดจากแรงจูงใจทางการเมือง ให้ดำเนินการกับบุคคลที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดตามกระบวนการยุติธรรมต่อไป ส่วนผู้ที่คณะกรรมการชี้ว่าการกระทำนั้นเกิดขึ้นจากแรงจูงใจทางการเมือง ให้บุคคลนั้นพ้นจากความผิดและความรับผิดโดยสิ้นเชิง แต่ต้องไม่ขัดกับพันธกรณีตามกฎหมายระหว่างประเทศที่ประเทศไทยเป็นภาคีสมาชิก

การแก้ไขปัญหาความขัดแย้งตามแนวทางที่นิติราษฎร์เสนอนี้ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องแก้ไขเพิ่มรัฐธรรมนูญโดยเพิ่มบทบัญญัติว่าด้วยการขจัดความขัดแย้งเป็นอีกหมวดหนึ่ง เพื่อกำหนดหลัก เกณฑ์ต่างๆ ซึ่งสามารถทำได้ทันทีไม่ต้องรอกระบวนการยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่

4.กรณีลบล้างผลพวงรัฐประหารเสนอให้มีบัญญัติอีกหมวดหนึ่งในรัฐธรรมนูญฉบับที่จะจัดทำขึ้นใหม่ โดยต้องประกาศให้การนิรโทษกรรมการทำรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 ก.ย. 2549 เป็นโมฆะ เพื่อเปิดทางให้บุคคลที่มีส่วนร่วมในการทำรัฐประหาร ไม่ว่าจะเป็นผู้กระทำการ ผู้ใช้ ตลอดจนผู้สนับ สนุน เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ส่วนคดีซึ่งเกิดขึ้นจากการเริ่มกระบวนการโดยคณะกรรมการตรวจ สอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ซึ่งได้รับการแต่งตั้งจากคณะรัฐ ประหาร ก็ให้ลบล้างให้สิ้นผลไป ซึ่งไม่ได้หมายถึงการนิรโทษกรรม แต่ให้เริ่มกระบวนการพิจารณาคดีใหม่ให้ถูกต้องเป็นธรรม

ในเดือน มิ.ย. นี้นิติราษฎร์จะจัดกิจกรรมทางวิชาการที่เกี่ยวเนื่องกับการลบล้างผลพวงรัฐประหาร การขจัดความขัดแย้งในสังคมไทย และวิเคราะห์วิจารณ์ข้อเสนอเกี่ยวกับการปรองดองของบุคคลและสถาบันต่างๆ เพื่อให้การเคลื่อนไหวทางความคิดเกี่ยวกับประชาธิปไตยและนิติรัฐดำเนินไปในวงกว้างยิ่งขึ้น นิติราษฎร์จะจัดให้มีการเผยแพร่ แลกเปลี่ยนความรู้ทางกฎหมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกฎหมายมหาชน ให้แก่ประชาชนทั่วไป รายละเอียดในเรื่องเหล่านี้จะแถลงให้ทราบต่อไป

ที่มา.หนังสือพิมพ์โลกวันนี้
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันพฤหัสบดีที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2555

ปลดชนวน ปรองดอง ของ คนไกลบ้าน !!?

เมื่อถึงช่วงปิดเบรกกันยาวๆในช่วงเวลาแห่งความชุ่มฉ่ำ “มหาสงกรานต์ปีมังกรไฟ” การเมืองไทยก็ขยับไปสู่ “โหมดพักรบชั่วคราว!” แต่กระนั้นอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร ก็ยังออกมาปลุกปั่นกระแส..จับจองพื้นที่การเมืองไปเกือบทั้งหมด แถมมีการแย่งซีนสงกรานต์! ผ่านอีเวนต์ใหญ่ “ทักษิณ..ออนทัวร์” มีการทำพิธีสืบชะตา สะเดาะเคราะห์ และบายศรีสู่ขวัญ ที่นครหลวงเวียงจันทน์-ลาว ก่อนที่ “คนแดนไกล” จะย้ายวิกไปเสียมราฐ-กัมพูชา เพื่อปรากฎตัวบนเวทีไฮด์ปาร์ค “เสื้อแดง” เป็นครั้งแรกในรอบหลายปี

ทั้งสองอีเวนต์การเมือง ได้มีอดีตคนไทยรักไทย และ “ม้าใช้” จากค่ายเพื่อไทย ตลอดจนชาวคณะ “เสื้อแดง” อีกเรือนหมื่น ที่ข้ามฟากไปสาดน้ำ เล่นสงกรานต์ และแห่ไปรดน้ำดำหัว “คนไกลบ้าน”

ตลอดช่วงเวลาบนแผ่นดินเพื่อนบ้าน “ทักษิณ” ก็ทำให้ “กองเชียร์” เคลิบเคลิ้มไปกับการแสดง “วิชั่น!” ในการเดินหน้า “ขับเคลื่อนประเทศไทย” ให้ก้าวสู่แนวหน้าในกลุ่มอาเซียน หรือรับการก้าวไปสู่ “ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน” ในอีก 2 ปีข้างหน้า

แถมยังมีรายการขยับลูกคอโดยอดีตนายกฯ ขวัญใจคนจน! ที่มาโชว์น้ำเสียงด้วยเพลง “Let it Be” ของวง “เดอะบีตเทิลส์” หรือ “สี่เต่าทอง” ซึ่งแน่นอนว่า..ทำนองขับขานดังกล่าว ถูกตีความ ได้ว่า..เป็นการประชด หรือแดกดันพวกคัดค้าน “ปรองดอง” ที่พลพรรค “คนรักแม้ว” กำลังขับเคลื่อนกันอยู่!

เหมือนเป็นการส่งสัญญาณข้ามไปยังฝั่งไทย ทำให้สังคมกำลังเฝ้าดูว่า...มีนัยสำคัญทางการเมืองหรือไม่ เพราะอีกความหมายหนึ่งของ Let it Be ก็คือ การเดินหน้าต่อไป โดย “ก้าวข้าม” หรือ “ทิ้ง” ปัญหาบางประการที่อยู่นอกเหนือการจัดการไว้เบื้องหลัง

ยิ่งเมื่ออยู่ท่ามกลาง “กองเชียร์เสื้อแดง” ก็คงไม่น่าแปลกที่ “ทักษิณ” จะรู้สึกฮึกเหิม! จนปล่อย “วาทกรรม” ที่ซ่อนความต้องการเบื้องลึกออกมาจนหมดเปลือก!

ไม่ว่าจะเป็น “สงกรานต์ปีนี้ก็มีนิมิตหมายอันดีที่เราจะมีความสุขด้วยกันสักที 3-4 เดือน ข้างหน้าผมกลับมาแน่!” หรือ..“ปีนี้เป็นปีที่ดีของคนไทย มีอะไรหลายอย่างที่บอกเหตุว่าผมจะได้กลับไปอยู่กับพี่น้อง” และปิดท้ายก่อนเดินทางออกจากกัมพูชา ได้มีการระบุว่า “อยากจะกลับเมืองไทยแล้ว...แต่ถ้าจะกลับต้องให้ทุกอย่าง ดีและลงตัวกว่านี้”

สิ่งที่ย้ำแล้วย้ำอีกจาก “ทักษิณ ชินวัตร” นั่นคือโอกาสกลับสู่ “แผ่นดินเกิด” ชักนำ “กระแส” ให้ไปเล่นในทาง “สนับสนุน” หรือกระทั่ง “ต่อต้าน” ขณะที่ “เกมแก้รัฐธรรมนูญ” และการทำคลอด พ.ร.บ.ปรองดองแห่งชาติ ซึ่งเป็นวาระหลักของรัฐสภา ทุกอย่างล้วนเข้าทางเกมการเมืองพะยี่ห้อ “ทักษิณ” ไปแล้ว

แนวโน้มของ “หมากตราดูไบ” ตอนนี้ยังแบ่งบทกันเล่น ให้ตัว “ทักษิณ” ผ่าน “กลุ่มคนใกล้ชิด” และ “เครือข่ายเสื้อแดง” ปูพรมด้านการเมือง ไม่ว่าจะเป็นการ “จัดวางฐานกำลัง” จากการวางตัวข้าราชการ-บอร์ดรัฐวิสาหกิจ ที่ปรับเปลี่ยนกันล็อตใหญ่ ตลอดจนการจัดตั้ง “ฐานมวลชน” มาเป็นกำลังรบสำคัญให้รัฐนาวาน้องเลิฟ “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” โดยพลิกหมากไปสู่ “การตลาดนำการเมือง” เพื่อเข้ายึดกุมกระแส..

แม้จะดูเป็น “เกมการเมือง” ที่เหนือชั้น.. ทว่าโดยข้อเท็จจริงแล้ว “ทักษิณ” ยังอยู่ในสถานะของ “นักโทษหนีคดี” เพราะยังมีโทษจำคุก 2 ปี จากคำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของ ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ในคดีที่ดินถนนรัชดาภิเษก ดังนั้นการกลับบ้านของ “พ.ต.ท.ทักษิณ” คงไม่ใช่เรื่องง่ายนัก เพราะต้องเสี่ยงกับ “โทษจำคุก” ซ้ำยังอาจทำให้เกิดกระแสต่อต้าน! อย่างรุนแรงจากพวกที่ไม่เอาด้วย

ฉะนั้นแล้ว! ก็จำเป็นจะต้องมีกระบวนการ “ปลดล็อก” เพื่อลบล้างความผิด “โทษจำคุก 2 ปี” ให้เรียบร้อยไปเสียก่อน ซึ่งเรื่องนี้ “แกนนำเพื่อไทย” ก็ยืนยันว่า เงื่อนไขที่จะเป็นตัวชี้วัดว่า “ทักษิณ” จะได้กลับประเทศไทยหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับว่าการสร้าง “บรรยากาศ” ที่เต็มไปด้วยความขัดแย้ง-แตกแยก ให้ดีขึ้นกว่านี้ได้มากแค่ไหน.. โดยใช้ “กลไกขับเคลื่อน” ผ่านกระบวนการสร้างความปรองดอง ที่กำลังดำเนินไปเป็นขั้นเป็นตอน

ส่วนกระบวนการนำพา “พ.ต.ท.ทักษิณ” กลับสู่มาตุภูมิ! ก็มีแนวทางที่เป็นไปได้อยู่ 2 เส้นทาง คือ ผ่านกระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญปี 2550 จากการดำเนินงานของ “ส.ส.ร.3” เพื่อส่งไปให้ “รัฐสภา” เป็นผู้ตัดสินในขั้นสุดท้าย และผ่านกระบวนการนิรโทษกรรม ด้วยการออก “พ.ร.บ.ปรองดอง” ภายหลังจากที่ “รัฐสภา” มีมติรับทราบรายงานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณา ศึกษาแนวทางการสร้างความปรองดองแห่งชาติ (กมธ.ปรองดอง) สภาผู้แทนราษฎร แล้วจึงส่งมาให้รัฐสภาพิจารณาเช่นกัน ซึ่งแนวทาง นี้จะเป็นเส้นทางที่ “สั้น” และ “รวดเร็ว” มากกว่าแนวทางแรก

แน่นอนว่า การพาทักษิณกลับบ้านทั้ง 2 กรณีนั้น ย่อมมี “เสียงข้างมาก” เป็นตัวหนุนนำ ดังนั้นไม่ว่า “หวยล็อก” จะออกมาเช่นไร..ผลประโยชน์ย่อมจะตกอยู่กับ “ทักษิณ” ขึ้นอยู่กับ..ได้มาก-ได้น้อยเท่านั้น

ก่อนหน้านี้ “นักปั้นมือทอง” อย่าง “ป๋าเหนาะ-เสนาะ เทียนทอง” ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย ได้เคยเสนอแนวทาง.. แหวกกระแสสังคม ด้วยการให้ “ทักษิณ” กลับมารับโทษ.. แต่เป็นการรับโทษด้วยการ “กักบริเวณ” เช่นเดียวกับที่อดีตรัฐบาลทหารพม่ากระทำต่อ “ออง ซาน ซูจี” โดยไม่ต้องรับโทษจำคุก

มาถึงตอนนี้ “ป๋าเหนาะ” ยังคงเสนอให้ “ทักษิณ” ปฏิเสธไม่เอาเงิน 4.6 หมื่นล้านบาทที่ถูก “ยึดทรัพย์” ในคดีซุกหุ้นชินคอร์ปฯ ซึ่งในครั้งนั้น ไม่มีเสียงตอบรับจาก พ.ต.ท.ทักษิณ แต่มา ล่าสุด “อาร์ไอเอ โนวอสติ” สื่อในรัสเซีย ได้ตีพิมพ์คำให้สัมภาษณ์ ว่า “..เรื่องการกลับบ้านนั้น อาจจะเกิดขึ้นในเร็วๆ นี้แต่ผมก็จะไม่ เรียกร้องขอเป็นผู้นำประเทศอีกแน่ ขอย้ำไว้เลยว่า ผมจะไม่ขอเป็นนายกรัฐมนตรีอีกเด็ดขาด ส่วนทรัพย์สมบัติที่ถูกยึดไว้นั้น ผมคงไม่เรียกร้องเอากลับคืน”

แม้เรื่อง “กลับบ้าน” กับเรื่องไม่ขอเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง จะพูดกันมาหลายครั้งหลายหน แต่กับมุกของ “ป๋าเหนาะ” ที่บอกไม่ให้เอาเงินคืน ถือเป็นเรื่องที่พูดกันเป็นครั้งแรก

จึงมีข้อสังเกตว่า..จะเป็นการลดดีกรีความขัดแย้ง หรือลด เงื่อนไขเพื่อให้การปรองดองดำเนินไปได้ง่ายขึ้น เพื่อให้ตัวเองสามารถกลับคืนสู่บ้านเกิดได้อีกครั้งหรือไม่!!!

การปูพรมแดงกลับบ้านเกิดเที่ยวล่าสุดนี้ ทั้งรัฐบาลและ พ.ต.ท.ทักษิณ ก็จำเป็นจะต้องระมัดระวังเป็นยิ่งยวด ในการผลักดัน “กระบวนการปรองดอง” ตลอดจนการ “เกี้ยเซี้ย!” กับคู่ขัดแย้ง เพื่อให้การเจรจาตกผลึก ก่อนนำไปสู่การผลักดันเป็นกฎหมาย

ทั้งหลายทั้งปวง คงปฏิเสธไม่ได้ว่า.. “วิกฤติความขัดแย้ง!” ยังคงเป็นปัญหาในหลากมิติ และเกี่ยวพันกับผู้คนหลายระดับชั้น โดยเฉพาะเมื่อ “การปรองดอง” ยังถูกต้องสงสัยว่า..ผูกโยงต่ออนาคตการกลับประเทศไทยของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จึงไม่แปลกที่ “ระดับแกนในค่ายเพื่อไทย” จะประเมินออกมาว่า..ไม่ง่ายนัก! ที่จะทำให้ทุกอย่างจบแบบแฮปปี้เอ็นดิ้ง หรือปิดเกมในเวลาอันรวดเร็ว ตามที่ “นายใหญ่” คาดหวังเอาไว้.. เพราะยังมีโอกาสพลาดพลั้ง จนทำให้ “วาระปรองดอง” ล่มปากอ่าว...ซึ่งไม่เพียงตัว “ทักษิณ” จะไม่ได้กลับประเทศแล้ว ยังส่งผลให้ “วิกฤติ ประเทศไทย” ขยายวงออกไป และทวีความรุนแรงมากขึ้นไปอีก!!!

ที่มา.สยามธุรกิจออนไลน์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

เปิดกรุ.ม็อบ 21 เมษาฯ เดินเกมคว่ำนิรโทษกรรม !!?

การนัดรวมพลครั้งใหม่ของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย หรือ พธม. ได้กลายเป็น “ทอล์ก ออฟ เดอะ ทาวน์” ที่สังคมกำลังเฝ้าจับตา..! หลังจากมีข่าว “เครือข่ายเสื้อเหลือง” นัดชุมนุมใหญ่ ที่สโมสรกองทัพบก เพื่อคัดค้าน “พ.ร.บ.นิรโทษกรรม” โดยซีกตรงข้าม รัฐนาวาอ้างว่า..เป็นการ “มัดมือชก” และมีคิวที่ “ค่ายเพื่อไทย” เตรียมดันเป็น “วาระร้อน” ในสภาผู้แทนราษฎร

ทว่า.. คล้อยหลังเพียงข้ามคืน “แกนนำขาใหญ่แห่งม็อบพันธมิตรฯ” ที่นำโดย พล.ต.จำลอง ศรีเมือง และพิภพ ธงไชย ก็ออกมา..ดักคอ! ยืนกรานว่า พันธมิตรฯ ไม่ได้เรียกร้องให้มีการชุมนุมต้านนิรโทษกรรม แต่การชุมนุมสามารถทำได้เพื่อปกป้องใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ

เป็นการออกตัวว่า..งานนี้พันธมิตรฯ ไม่มีเอี่ยว!

ทำให้เกิดข้อสงสัยว่ากลุ่มที่เคลื่อนไหว ดังกล่าวเป็นใคร.. และเหตุใด “แกนนำพันธมิตร” ต้องลุกลี้ลุกลนออกมาแถลงข่าวปฏิเสธการชุมนุมครั้งนี้ว่า..ไม่ใช่การจัดกิจกรรมของ “พันธมิตร”

เป็นการชี้ชัดว่า.. ห้ามกลุ่มอื่นใด เอาชื่อ “พันธมิตร” ไปทำกิจกรรมโดยไม่ได้รับอนุญาต และถ้าอยากจะเคลื่อนไหวก็ต้อง “สร้างมวลชน” ขึ้นมาเอง โดยห้ามชุบมือเปิบ หรือดึงมวลชนในซีก “พันธมิตร” ไปเป็นเครื่องมือในการทำกิจกรรมทางการเมือง แม้ว่าหนึ่งในแกนนำการชุมนุมหนนี้ คือ “บวร ยสินทร” แกนนำกลุ่มราษฎรอาสาปกป้อง 3 สถาบัน ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็น “แนวร่วมพันธมิตรประชาชน เพื่อประชาธิปไตย” ก็ตามที

สำหรับการเดินเกมคว่ำนิรโทษกรรมหนนี้ ได้ปรากฏ “แนวรุก..ตัวใหม่!” อย่างกลุ่มเรียกคืนอำนาจนักการเมืองเนรคุณแผ่นดิน ที่มีหัวขบวนคือ “บวร ยสินทร” แห่งกลุ่มราษฎรอาสาปกป้องสถาบัน โดยมี “กัปตัน..นักร้อง” น.ต.ถนิต พรหมสถิต อดีตนักบินการบินไทย เป็นประธานจัดการชุมนุมถ่ายโอนอำนาจจากนักการเมือง พร้อมด้วยแนวร่วมฯ อาทิ พายัพ ยังปักษี, พ.ท.รัฐเขต แจ้งจำรัส, พล.ร.ต.พัฒนะ จิรนันท์ และ สุขุม วงประสิทธิ โดยทั้งหมดได้ออกแถลงการณ์ เรียกร้องให้มีการชุมนุมใหญ่ทางการเมือง เมื่อวันเสาร์ที่ 21 เม.ย. ที่ผ่านมา

แม้ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ผู้บัญชาการทหารบก จะออกมาแตะเบรก! สั่งห้าม “ม็อบ” เข้าไปใช้สถานที่ภายในสโมสรกองทัพบกก็ตาม แต่ทาง “กลุ่มเรียกคืนอำนาจฯ” ก็ยืนยันจะใช้พื้นที่ด้านนอกทำกิจกรรมตั้งแต่ช่วงเช้าจรดค่ำ

โดยก่อนหน้านี้ พล.อ.สมเจตน์ บุญถนอม ส.ว.สรรหา แห่งกลุ่มสยามสามัคคี ได้เป็นผู้นำแกนนำกลุ่มนี้ ไปแถลงข่าวที่รัฐสภา นอกจากนี้ทางเครือข่ายพันธมิตรฯ จาก 17 จังหวัดภาคเหนือ นำโดย “ชุมพล ลีลานนท์” ผู้ประสานงาน พธม.จังหวัดพะเยา ระบุ..ได้เตรียมระดมกลุ่มพันธมิตร ทั่วประเทศไปร่วมทำกิจกรรมที่สโมสรทหารบก ซึ่งการรวมตัวกันครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ดำเนินการกันอยู่ในสภา โดยอ้างว่าเป็นการใช้ “เสียงข้างมาก!” ดำเนินการตามความต้องการของซีกรัฐนาวา โดยไม่เปิดรับฟังประชาชน

การันตีเบื้องต้น น่าจะมีผู้ชุมนุม มากันเรือนหมื่น!!

แต่เอาเข้าจริงๆ ได้มีผู้ชุมนุมมากันแค่ 200-300 คนเท่านั้น.. ซึ่งสาเหตุน่าจะมาจากการที่ “ขาใหญ่ พธม.” ประกาศไม่ร่วมสังฆกรรมด้วย! เพราะเคยมีความขัดแย้งกันมาก่อน ระหว่างช่วงการชุมนุมม็อบ พันธมิตรฯ เมื่อปี 2548-2549 เพื่อโค่นล้มรัฐบาลอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร

สำหรับกลุ่มที่มาร่วมชุมนุมคัดค้านกฎหมายแก้กรรม! กอปรไปด้วย สหธรรมิก 4 องค์กร คือ สมาพันธ์พลเมืองฐานราก (สพฐ.), องค์การโอนอำนาจทรัพยากรใต้ดิน เพื่อสร้างสรรค์การปรองดองแห่งชาติ (อทพช.), องค์การทรัพยากรทางทะเล เพื่อสร้างสรรค์การปรองดองแห่งชาติ (อททช.) และสภาการวิทยุและโทรทัศน์แห่งชาติ ตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง (สวชพ.) ที่มี “บิ๊กจิ๋ว” พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นที่ปรึกษาใหญ่

ด้าน น.ต.ถนิต พรหมสถิต ประธาน จัดการชุมนุมฯ ย้ำหัวตะปูว่า.. การชุมนุมครั้งนี้เป็นภาคประชาชน ไม่มีสีเสื้อใดๆ ทั้งสิ้น เป็นการสร้างสภาปรองดองโดยเอาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนเป็นตัวตั้ง ที่มาชุมนุมก็มาจากตัวแทนจากภาคประชาชนที่มีความเดือดร้อนด้านต่างๆ

“กลุ่มเรียกคืนอำนาจนักการเมือง เนรคุณแผ่นดิน” มีแนวคิดในเรื่องปฏิรูปการเมืองให้เกิดระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขแห่งรัฐ ซึ่งจำเป็นต้องเปลี่ยนผ่านอำนาจจากนักการเมืองในปัจจุบัน..

ที่มา.สยามธุรกิจออนไลน์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ตรวจพบแก๊สพิษเกินค่ามาตรฐานหลุมไฟอ.นครไทย !!?

รายงานจากพิษณุโลก ที่หลุมไฟ ม.9 ต.หนองกะท้าว อ.นครไทย จ.พิษณุโลก กรมควบคุมโรค สำนักงานป้องกัน ควบคุมโรคที่ 9 พิษณุโลก นำเจ้าหน้าที่พร้อมเครื่องมือตรวจวัดแกสพิษในบรรยากาศ ที่สามารถตรวจหาก๊าซพิษได้มากกว่า 100 ชนิด โดยตรวจสารพิษบริเวณรอบ ๆ หลุมไฟเนื้อที่ประมาณ 1 งาน

นายกิตติ พุฒิกานนท์ ผู้ทรงคุณวุฒิ กรมควบคุมโรค เปิดเผยว่า หลังจากมีการพบปรากฏการณ์หลุมไฟ ไฟลุกจากใต้ดินในอ.นครไทย ในวันนี้ กรมควบคุมโรคได้นำเครื่องมือตรวจวัดแก๊สพิษในบรรยากาศได้มากกว่า 100 ชนิด หรือ miran มาทำการตรวจหาแก๊สพิษรอบ ๆ หลุมไฟ ซึ่งตรวจพบหลายชนิด ผลปรากฏว่า พบแก๊สหลายชนิด ทั้ง มีเทน แอมโมเนียที่มีปริมาณน้อย แต่ตัวที่มีปัญหามากมีสองชนิด คือ คาร์บอนไดซัลไฟล์ หรือ CS 2 ตรวจพบรอบหลุมไฟอยู่ที่ 23 ppm เกินค่ามาตรฐานทั่วไปที่ 20 ppm และ ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ หรือ SO 2 ค่ามาตรฐานอยู่ที่ 0.12 ppm แต่ตรวจพบมากกว่าค่ามาตรฐาน 55 เท่า

ที่มีปัญหาและน่าห่วงคือมากที่สุด แก๊สคาร์บอนไดซัลไฟล์ หรือ CS 2 ที่ตรวจพบเกินค่ามาตรฐานมา 3 ppm นั้น เป็นแก๊สที่อันตรายสำหรับผู้สูดดมอย่างมาก คาร์บอนไดซัลไฟล์ เป็นแก๊สที่หนักกว่าอากาศ เวลารอยจะรอยเรี่ยพื้น จึงอยู่ในระดับที่จมูกคนยืนพอดี สามารถเข้าสู่ร่างกายคนได้ทั้งทางผิวหนังและทางเดินหายใจ ในระยะสั้นจะมีการระคายเคืองที่ดวงตาและผิวหนัง และถ้าได้รับเวลาหลายวัน จะมีอาการทางจิต มีอารมณ์เปลี่ยนแปลง ประสาทตาอักเสบ ถ้าระยะยาว จะ เจ็บหน้าอก ปวดกล้าวเนื้อ ความจำเสื่อม คล้ายคนป่วยโรคพารากิลสันที่สั่นตลอด รวมท้งอาจผิดปกติทางสมอง เส้นประสาทอักเสบ หลอดเลือดแดงแข็งตัว ถือเป็นอันตรายมากสำหรับคนที่อยู่ใกล้ เราแนะนำว่าควรจะอยู่ห่างจากจุดเกิดเหตุ 500 เมตร เพราะอาจมีลมพัดสารพิษตัวนี้ไป สิ่งหนึ่งที่อยากเตือนเป็นพิเศษคือคนท้อง ไม่ควรมารับสารพิษชนิดเลย เวลานี้มีการศึกษาในสัตว์ทดลอง สารชนิดอาจจะมีผลต่อการก่อมะเร็ง แต่เรายังไม่ยืนยัน คนตั้งครรภ์ควรอยู่ห่างไกล

นายกิตติ กล่าวว่า แก๊สมีเทนมีปริมาณที่น้อยมาก ส่วนที่ติดไฟลุกไหม้นั้น แก๊สคาร์บอนไดซัลไฟล์ก็มีคุณสมหลังจากที่กรมควบคุมโรคได้มาตรวจพบสารพิษที่เป็นอันตรายบริเวณนี้แล้ว ได้ประสานกับอบต.หนองกะท้าว ให้นำป้าย นำเชือกกั้น มากั้นผู้คน ไม่ให้เข้ามาใกล้หลุมไฟแห่งนี้ ถ้าเป็นไปได้ก็ควบจะห่างกว่า 500 เมตร

อย่างไรก็ตาม ในช่วงเย็นวันที่ 25 เมษายนนี้ปรากฏว่า มีชาวอ.นครไทยแห่มาชมปรากฏการณ์ไฟลุกใต้ดินอย่างมาก โดยพยายามเข้ามาให้ใกล้หลุม เพื่อชมไฟลุกจากพื้นดิน แต่ก็ยังอยู่ในแนวกั้นที่อบต.หนองกะท้าวทำไว้

ที่มา.เนชั่น
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

เตือนภัยอากาศร้อนระวังเป็นลมแดดถึงตาย

ผู้อำนวยการโรงพยาบาลกาฬสินธุ์ เตือนประชาชนระวังภัยอากาศร้อนจัดให้หลีกเลี่ยงการทำงานตากแดดในระยะนี้เพราะจะเสี่ยงทำให้เสียชีวิต ขณะที่ปัญหาสภาพอากาศที่ร้อนส่งผลให้มีผู้ป่วยด้วยโรคระบบทางเดินอาหารเพิ่มขึ้นสาเหตุจากน้ำดื่มกับอาหารที่ไม่สะอาด

นพ.สมอาจ ตั้งเจริญ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลกาฬสินธุ์ กล่าวว่า ในระยะนี้จังหวัดกาฬสินธุ์มีสภาพอากาศที่ร้อนจัดประชาชนควรที่จะหลีกเลี่ยงการทำงานที่ต้องอยู่กลางแดดเป็นเวลานาน เนื่องจากจะเสี่ยงให้เจ็บป่วยด้วยโรคลมแดด โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ที่มีอายุ 45 ปีขึ้นไปและมีสุขภาพอ่อนแอ อุณหภูมิที่สูงถึง 40 องศา จะทำให้มีเหงื่อไหลออกเพิ่มขึ้น ซึ่งจะทำให้ร่างกายอ่อนแอ บางรายมีโรคแทรกซ้อน ก็จะทำให้เสียชีวิตลงได้หากไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง ซึ่งในการป้องกันหากพบว่าพบผู้ป่วยเป็นลมแดด เบื้องต้นควรปฐมพยาบาลให้ผู้ป่วยนอนราบลงพื้นด้วยอากาศปลอดโปร่งจากนั้นให้นำชุบน้ำเช็ดตามร่างกาย ก่อนนำตัวส่งโรงพยาบาลเพื่อให้แพทย์ได้ดูแลต่อไป

นอกจากนี้โรคระบบทางเดินอาหารหรือโรคอุจจาระร่วงเมื่อเข้าสู่ช่วงฤดูร้อนตั้งแต่เดือนมีนาคมถึงปัจจุบันพบผู้ป่วยท้องร่วงมากกว่า 1 พันรายหรือกว่า 300 คนต่อวัน ซึ่งเกิดจากความเสี่ยงในรับประทานน้ำดื่มที่ไม่สะอาดโดยเฉพาะอาหารประจำถิ่นการเปิดพิสดาร อาหารสุกๆดิบๆ ควรที่จะงดเว้นในระยะนี้

ที่มา.เนชั่น
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันพุธที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2555

เสื้อแดงเชียงใหม่ลั่นต้อง"ไพรมารี่โหวต"ซ่อมส.ส.เขต3 ไม่เว้นเด็กเจ๊แดง ขู่ฝืนเจอสั่งสอน ทาบ"4ดร."ชิง

ด.ต.พิชิต ตามูล แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) หรือกลุ่มเสื้อแดง จ.เชียงใหม่ พร้อมแกนนำประชาชนพื้นที่เขต 3 อ.สันกำแพง อ.แม่ออน อ.ดอยสะเก็ด กว่า 30 คน แถลงการณ์ที่ข่วงสันกำแพง อ.สันกำแพง จ.เชียงใหม่ เมื่อวันที่ 25 เมษายน กรณีคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กำหนดรับสมัครเลือกตั้ง ส.ส.เชียงใหม่ เขต 3 วันที่ 11-17 พฤษภาคม และเลือกตั้งวันที่ 2 มิถุนายนนี้ แทน น.ส.ชินณิชา วงศ์สวัสดิ์ บุตรสาวนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี และหลานสาว น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ว่า พรรคไม่ควรส่งผู้สมัครที่ประชาชนในพื้นที่ไม่รู้จัก ไม่เคยลงพื้นที่ ไม่มีความรัก ความศรัทธา ไม่พบปะดูแลประชาชน

ทั้งนี้ นปช.เชียงใหม่ และแกนนำประชาชนพื้นที่ เขต 3 มีมติขอให้พรรคเพื่อไทย นำระบบไพรมารี่โหวตมาใช้ โดยให้ประชาชนในพื้นที่สรรหาตัวแทนผู้สมัคร ส.ส. ให้พรรคพิจารณาส่งลงรับสมัครเลือกตั้งซ่อมครั้งนี้ เพื่อได้ ส.ส.เป็นคนในพื้นที่พบปะดูแลประชาชนตลอดเวลา ซึ่งตรงกับเจตนารมย์ พ.ต.ท.ทักษิณชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่เคยพูดไว้เมื่อปี

2542 ว่าจะนำระบบดังกล่าวมาใช้ครั้งแรกในประเทศ และนำร่องพื้นที่บ้านเกิดที่ อ.สันกำแพง เป็นแห่งแรก เพื่อเป็นต้นแบบคัดเลือก ส.ส.ทั่วประเทศ ลงสมัครรับเลือกตั้งสมัยหน้าด้วย

ด.ต.พิชิต เผยกรณีนางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ แกนนำกลุ่มวังบัวบาน มารดาน.ส.ชินณิชาสนับสนุนนายเกษม นิมมลรัตน์ อดีตที่ปรึกษานายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.)เชียงใหม่ ลงสมัคร ส.ส.เชียงใหม่ เขต 3 ว่า ไม่มีปัญหา แต่ต้องร่วมโหวตเป็นตัวแทนพรรค ถ้าประชาชนเขต 3 สนับสนุนและเห็นด้วย มีคุณสมบัติครบถ้วน ทุกคนก็ต้องยอมรับและเคารพกติกา หากนายเกษม มีคุณสมบัติไม่พอ ก็ต้องเลือกบุคคลอื่นแทน

"เสื้อแดงทาบทามผู้มีความรู้ความสามารถระดับดอกเตอร์ 4 ราย มาเป็นผู้สมัคร ส.ส.เชียงใหม่แล้ว ซึ่งทุกคนตอบรับ แต่ต้องตรวจสอบคุณสมบัติก่อน ถ้าผ่านก็ต้องทำการโหวตเพราะพรรคเพื่อไทย เป็นพรรคมหาชน ไม่ใช่บริษัทห้างร้านหุ้นส่วนจำกัด จะส่งใครลงสมัครก็ได้แต่เป็นมหาชนที่ทุกคนมีสิทธิลงสมัครได้ ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิด พ.ต.ท.ทักษิณ ที่เคยบอกว่า กระบวนการสรรหาผู้สมัคร มวลชนส่งคนให้พรรคเลือก และพรรคส่งคนกลับมาให้มวลชนเลือก หรือไพรมารี่โหวต" ด.ต.พิชิต กล่าว

หากพรรคส่งคนที่ประชาชนไม่เห็นชอบ หรือเป็นเผด็จการในพรรค อาจเกิดเหตุการณ์เช่นเดียวกับเลือกตั้ง ส.ส. หรือนายก อบจ.ปทุมธานี ที่พรรคเพื่อไทยพ่ายแพ้ยับเยิน ซึ่งพรรคอาจเหลือ ส.ส.ในสภา 263 คน แต่ไม่กระทบรัฐบาลและพรรคร่วม เพียงเสียที่นั่ง ส.ส.ให้ประชาธิปัตย์ 2 ที่นั่งเท่านั้นเอง ซึ่งผู้เป็นตัวแทนพรรคควรผ่านความเห็นชอบจากประชาชนก่อน ไม่เช่นนั้นอาจถูกลงโทษ หรือสั่งสอนจากมวลชนเสื้อแดงอีกครั้ง

"เสื้อแดงเคารพมติพรรคจะส่งใครลงสมัคร ส.ส.ก็ได้ แต่ควรฟังคนเสื้อแดงบ้าง เพราะร่วมต่อสู้กันมาจนได้จัดตั้งรัฐบาลต้องฟังเสียงเราบ้าง ถ้าไม่ใช่บุคคลที่เสื้อแดงเสนอพิจารณาก็ต้องดูว่าเป็นบุคคลที่พึงพอใจหรือไม่ สมควรเป็นตัวแทนพรรคและประชาชนหรือไม่ ถ้ามีคุณสมบัติครบ มีมวลชนสนับสนุนก็ต้องยอมรับมติเสียงส่วนใหญ่ ตามระบอบประชาธิไตยคนเสื้อแดงไม่ได้ดื้อรั้น หรือไม่มีเหตุผล ไม่กดดันหรือสร้างความแตกแยกในพรรค แต่อยากบอกผู้ใหญ่ในพรรคฟังเสียงพวกเราสักนิด เพราะคัดสรรสิ่งที่ดีแก่พรรคเพราะเคารพรัก พ.ต.ท.ทักษิณ ที่สุดในโลก" ด.ต.พิชิต กล่าว

นายเกษมนิมมลรัตน์ อดีตที่ปรึกษานายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เชียงใหม่ และอดีตผู้ช่วย น.ส.ชินณิชา ซึ่งเป็นคนสนิท นางเยาวภาที่สนับสนุนลงสมัคร ส.ส.เขต 3 เผยกรณีเสื้อแดงเรียกร้องใช้ระบบไพรมารี่โหวต คัดเลือกบุคคลลงสมัครแทนเครือญาติหรือคนสนิทนักการเมือง ว่า เสื้อแดงมีหลายกลุ่มต่างความคิด มีทั้งคนสนับสนุนและไม่สนับสนุน แต่เรื่องดังกล่าว เป็นเรื่องของพรรคพิจารณาคัดเลือกบุคคลลงสมัครเอง ซึ่งตนก็ต้องเคารพและทำตามมติพรรค ไม่ว่าจะส่งใครลงสมัคร ส.ส.ก็ตาม ก็พร้อมสนับสนุนและทำงานช่วยเหลือเต็มที่

นายเกษมกล่าวว่ากรณีเลือกตั้ง ส.ส.ปทุมธานี เป็นคนละเรื่องกับเลือกตั้ง จ.เชียงใหม่ เพราะ ส.ส.ลาออกไปลงสมัครนายก อบจ.เอง แต่กรณี น.ส.ชินณิชา ถูกศาลตัดสินให้พ้นสภาพเป็น ส.ส. จึงมีเลือกตั้งซ่อม เชื่อว่าประชาชนมีวิจารณญาณและแยกแยะเหตุผลได้ ซึ่งมั่นใจว่ามวลชน เขต 3 ส่วนใหญ่ยังสนับสนุนพรรคเพื่อไทย เพื่อให้โอกาสรัฐบาลทำงานจนครบวาระ ที่สำคัญเป็นบ้านเกิด พ.ต.ท.ทักษิณ และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ส่วนตัวรับฟังความคิดเห็นและเคารพการตัดสินใจเสื้อแดงทุกกลุ่ม และพร้อมทำงานกับทุกมวลชน

ที่มา: มติชนออนไลน์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

เปิดพิมพ์เขียว : โครงการพักหนี้ไม่เกิน 5 แสนบาท !!?



คลังเปิดพิมพ์เขียวโครงการพักหนี้เกษตรกรรายย่อย-ประชาชนผู้มีรายได้น้อย เป็นหนี้แบงก์รัฐคงค้างต่ำกว่า 5 แสนบาท ขอเข้าโครงการ 2 พ.ค.-20 ส.ค.55

นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายทนุศักดิ์ เล็กอุทัย รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง และนายวิรุฬ เตชะไพบูลย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ได้ร่วมกันเปิดเผยว่า
คณะรัฐมนตรีมีมติให้ความเห็นชอบ "การปรับปรุงโครงการพักหนี้เกษตรกรรายย่อยและประชาชนผู้มีรายได้น้อยที่มีหนี้คงค้างต่ำกว่า 500,000 บาท" ซึ่งเป็นไปตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล

โครงการพักหนี้ฯ ได้เริ่มดำเนินการระยะแรก เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2554 ซึ่งรัฐบาลได้ดำเนินการพักหนี้ให้กับประชาชนที่มีความเดือดร้อนเร่งด่วนและมีปัญหาการชำระหนี้ โดยเน้นช่วยเหลือประชาชนที่มีหนี้คงค้าง ไม่เกิน 500,000 บาท ในสถาบันการเงินเฉพาะกิจ จำนวน 6 แห่ง รวมประชาชนผู้มีสิทธิทั้งหมด 775,090 ราย ตั้งแต่เริ่มเปิดตัวโครงการ 15 พฤศจิกายน 2554 จนถึง 15 เมษายน 2555 มีประชาชนมายื่นความจำนงแล้ว 661,508 ราย คิดเป็นร้อยละ 85.35 ของจำนวนประชาชนที่มีสิทธิทั้งหมด ในจำนวนนี้ได้รับการอนุมัติแล้ว 428,384 ราย คิดเป็นร้อยละ 55.27 ของประชาชนที่มีสิทธิทั้งหมด หรือร้อยละ 64.76 ของประชาชนที่มายื่นความจำนง มูลหนี้ที่ได้รับการดูแลแล้ว 52,301,87 ล้านบาท

โครงการระยะแรกนี้จะสิ้นสุดเมื่อวันที่ 15 เมษายน 2555 นี้ เพื่อเป็นการดูแลปัญหาภาระหนี้สินของประชาชนอย่างต่อเนื่อง และบรรเทาความเดือดร้อนด้านการเงินให้กับประชาชนกลุ่มเป้าหมายอย่างครอบคลุม รัฐบาลจึงได้มีมติปรับปรุงโครงการพักหนี้ฯ ไปพร้อม ๆ กับขยายกลุ่มเป้าหมายไปสู่ประชาชนกลุ่มที่มีหนี้ในสถาบันการเงินเฉพาะกิจไม่เกิน
500,000 บาท ที่มีสถานะหนี้ปกติ โดยคณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบ ดังนี้

1. ปรับปรุงโครงการพักหนี้เดิมที่กำลังดำเนินการอยู่ เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนที่เข้าใช้สิทธิโครงการนี้มีความเข้มแข็งและเพิ่มศักยภาพในการชำระหนี้ โดยกำหนดให้

1.1 สถาบันการเงินเฉพาะกิจต้องเข้าดูแลประชาชนที่เข้าร่วมโครงการพักหนี้ฯ ให้ได้รับการฟื้นฟูศักยภาพจนสามารถเริ่มชำระหนี้คืนตามแผนชำระหนี้ใหม่ได้หลังจาก 12 เดือนนับแต่วันสิ้นสุดการฟื้นฟูลูกหนี้แต่ละราย ลูกหนี้ที่ยังไม่สามารถชำระหนี้ได้ตามกำหนดจะยังได้รับสิทธิจากโครงการเช่นเดิม

1.2 ให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจที่ได้รับการชดเชยต้นทุนเงินจากรัฐบาล นำเงินชดเชยไปขยายวงเงินสินเชื่อใหม่สำหรับวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs)

2. ให้รางวัลประชาชนที่เป็นลูกหนี้ที่มีสถานะหนี้ปกติ ที่มีหนี้ไม่เกิน 500,000 บาท ก่อนวันที่ 24 เมษายน 2555 ในสถาบันการเงินเฉพาะกิจ โดยต้องไม่เป็นหนี้ประเภทสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย สินเชื่อเช่าซื้อ/ลิสซิ่ง สินเชื่อสำหรับผู้มีรายได้ประจำ และไม่เป็นลูกหนี้ที่ได้รับการลดอัตราดอกเบี้ยหรือได้รับอัตราดอกเบี้ยเป็นกรณีพิเศษตามข้อตกลงของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ ซึ่งการขยายกลุ่มเป้าหมายสู่ลูกหนี้สถานะหนี้ปกตินี้คาดว่าจะมีประชาชนที่เป็นเกษตรกรรายย่อย และผู้มีรายได้น้อยได้รับประโยชน์จากโครงการพักหนี้ฯ เพิ่มอีก 3,758,226 ราย/บัญชี คิดเป็นมูลหนี้คงค้าง 459,113.05 ล้านบาท

ประชาชนกลุ่มเป้าหมายของโครงการฯ ดังกล่าว สามารถสมัครใจเข้าใช้สิทธิตามโครงการพักหนี้เกษตรกรรายย่อยและประชาชนผู้มีรายได้น้อยที่มีหนี้คงค้างต่ำกว่า 500,000 บาท ดังนี้

(1) เลือกพักเงินต้นและ ลดอัตราดอกเบี้ยของสินเชื่อที่มีอยู่เดิมในอัตราร้อยละ 3 ต่อปี หรือ ลดอัตราดอกเบี้ยของสินเชื่อที่มีอยู่เดิมในอัตราร้อยละ 3 ต่อปี โดยไม่พักเงินต้น เป็นระยะเวลา 3 ปี (ระหว่างวันที่ 1 กันยายน 2555
ถึงวันที่ 31 สิงหาคม 2558)

(2) มีสิทธิขอกู้เพิ่มใหม่ได้ตามความสามารถในการชำระหนี้ ในอัตราดอกเบี้ยปัจจุบัน ณ วันที่ได้รับอนุมัติการกู้เพิ่ม

(3) ลูกหนี้ต้องไม่ผิดนัดชำระหนี้หลังเข้าโครงการฯ

นอกจากนี้ สำหรับประชาชนที่เข้าร่วมโครงการพักหนี้ฯ ตามโครงการระยะแรก (ช่วยเหลือประชาชนที่มีปัญหาการชำระหนี้) สามารถขอเปลี่ยนเข้าร่วมโครงการพักหนี้ใหม่สำหรับลูกหนี้ที่มีสถานะหนี้ปกตินี้ได้ โดยแสดงความจำนงกับสถาบันการเงินเฉพาะกิจที่เป็นเจ้าหนี้เพื่อแสดงเจตนาเปลี่ยนสถานะหนี้ให้เป็นสถานะหนี้ปกติก่อนเข้าร่วมโครงการฯ
ทั้งนี้ รัฐบาลคาดว่าผลจากโครงการพักหนี้ฯ ที่เสนอในครั้งนี้ จะส่งผลต่อการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจประมาณร้อยละ 0.4 - 0.7 ต่อปี หรือ 44,000 – 77,000 ล้านบาทต่อปี

อย่างไรก็ตาม จะมีการดูแลผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการดำเนินโครงการพักหนี้ฯ อย่างรอบคอบไม่ว่าจะเป็น

1) การขาดวินัยทางการเงินของลูกหนี้ โดยกำหนดให้ภายหลังจากลูกหนี้เข้าโครงการแล้ว หากมีการผิดนัดชำระหนี้ตามเงื่อนไขใหม่ ลูกหนี้จะต้องออกจากโครงการทันที

2) กระทรวงการคลังจะแต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อทำหน้าที่แนะนำและติดตามดูแลการใช้เงินของลูกหนี้ที่ประหยัดได้จากการเข้าโครงการครั้งนี้

3) การบรรเทาและช่วยเหลือผลกระทบต่อสถานะทางการเงินของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ กระทรวงการคลังจะชดเชยรายได้ดอกเบี้ยให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจในอัตราร้อยละ 1.5 ต่อปี และจัดหาแหล่งเงินทุนต้นทุนต่ำและแหล่งเงินเพิ่มทุน เพื่อลดผลกระทบที่อาจเกิดจากการดำเนินการ รวมถึงแยกบันทึกบัญชีการดำเนินงานตามโครงการนี้ออกจากการดำเนินงานปกติ (Public Service Account : PSA) เพื่อประเมินผลกระทบอย่างโปร่งใสต่อไปประชาชนที่มีสิทธิและสนใจเข้าร่วมโครงการ สามารถแสดงความจำนงขอเข้าร่วมโครงการระหว่างวันที่ 2 พฤษภาคม 2555
จน ถึงวันที่ 20 สิงหาคม 2555 ณ สถาบันการเงินเฉพาะกิจสาขาที่ท่านเป็นลูกค้า

โดยผู้สนใจสามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่สถาบันการเงินเฉพาะกิจที่เข้าร่วมโครงการ หรือติดต่อตามหมายเลขโทรศัพท์ ดังนี้สำนักนโยบายพัฒนาระบบการเงินภาคประชาชน สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง โทร.
02 273 9020 ต่อ 3697 / 3212

ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร โทร. 02 555 0555

ธนาคารออมสิน โทร. 1115

ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย โทร. 1357

ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย โทร. 1302

ที่มา.กรุงเทพธรกิจออนไลน์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++