--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันพฤหัสบดีที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2555

เผด็จการคึกคะนอง !!?

เห็นเชียร์ผลงาน “กลุ่มปฏิวัติ” ยิ่งนัก สิพ่อแม่พี่น้อง
เมื่อ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ปลาบปลื้ม ยกก้น “คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ หรือ “คตส.” ที่เป็น “สมบัติบาปอย่างหนา” ที่เกิดจากการปฏิวัติ
ไปชูธง หลงเชียร์พวกทำลาย “ประชาธิปไตย” ถือว่าขัดกับความเป็น พรรคประชาธิปัตย์
ที่ส่งเสียงดังกระตู้วู้ นิยมชมชอบ อันเนื่องมาจาก การใช้อำนาจเถื่อน เล่นงาน “ทักษิณ ชินวัตร” ให้ตายคาเขียง
ทำหยั่งงี้นะ “บิ๊กมาร์ค”...ขอตักน้ำรดหัวสาก?..เชียร์เผด็จการมาก ๆ ประชาธิปัตย์ขาดทุน บานตะเกียง

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ฝีมือคนระดับ
เก่งงาน บริหารเป็นเลิศ ต้องยกนิ้วให้กับ “นายกฯปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เค้าไปขอรับ
ราคาน้ำมันที่ว่าแพงอย่างก้าวกระโดดนั้น..ราคาแค่บาเรลละ ๑๐๘ ดอลล่าร์เอง
ยุค “รัฐบาลมาร์ค” อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ แพงระยับ บาเรลละ ๑๑๖ ต่อดอลล่าร์.. เศรษฐกิจจึงร่วงผล็อย หงายเก๋ง
“นายกฯยิ่งลักษณ์” ใช้เวลาปั้มผลงาน เพื่อแก้ปัญหาเศรษฐกิจให้ตก..ผิดกับ “อดีตนายกฯมาร์ค” ที่ดีแต่พ่น น้ำลายเยิ้ม
“มาร์ค”ดีแต่พูดอย่างเดียว...ปากหวานแต่ก้นเปรี้ยว?..เคยมีสักเที่ยวมั้ย ที่มีความคิดริ เริ่ม

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ด่าเขา อิเหนาเป็นเอง?
นี่,ก็คนประเภทพันธุ์ปากเก่ง
เสี่ยเจ้าสัวนายทุนใหญ่... แกว่างปากหาเสี้ยน ไม่หยุด
“วันนี้คนชั่วในประเทศนิยมเข้ามาหาอำนาจด้วยการเลือกตั้ง” ดูสิ,ช่างกล่าวหา ปั้นเรื่องมาพูด
อย่างไรก็ตาม, นักการเมืองทุกคนไม่ได้ชั่วกันไปหมด? .. ดีกว่านายทุน-ขุนศึก ศักดินา ที่นิยมอำนาจนอกระบบ ที่ทำให้ประเทศไทย เสียหายทุกวัน
ใช้วาจามากล่าวด่าว่าแดก..แท้แล้วตัวเองก็ผู้ดีแปดสาแหรก?..มาแหกปากด่าคนอื่นทำไมกัน

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

กอดซากศพ
เมื่อ สภาผู้แทนราษฎร มีมติเป็นที่เอกฉันท์ ให้แก้รัฐธรรมนูญหน้าแหลมฟันดำได้ ทุกอย่างก็น่าจะจบ
ไฉน, “กิตติศักดิ์ ปรกติ” อาจารย์นิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ฐานะโฆษกที่ปรึกษาด้านกฎหมายรัฐธรรมนูญ ของสำนักงานผู้ตรวจแผ่นดิน จึงต่อความยาวสาวความยืด อย่างไม่รู้หน้าที่
เป็นเหมือนจระเข้ออกมาขวางคลอง ไม่ให้แก้รัฐธรรมนูญ ซะงั้นแหละคุณพี่
อ้างไปน้ำขุ่น ๆ ต้องทำประชามติเสียก่อน ถึงจะแก้รัฐธรรมนูญได้...เมื่อแก้แล้ว ก็ต้องมาทำประชามติอีกหน จึงจะสมบูรณ์เสร็จสรรพ
โถ,ทำเรื่องง่ายให้มันลำบาก..จงเลิกละเลงขนมเบื้องด้วยปาก?..หัดกระดากใจบ้างเถอะครับ

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

เรื่องดี ๆ มีเข้ามาเป็นกุรุส
เมื่อ “รัฐสภาไทย” เป็นเจ้าภาพจัดการประชุม aipa caucus ครั้งที่ ๔ เป็นวาระอันยอดเยี่ยมสุด...สุด
โดยจัดงาน ระหว่างวันที่ ๓๐ เมษายน ถึง ๓ พฤษภาคม ณ. โรงแรมอิมพีเรียล ควีนส์ปาร์ค กรุงเทพ ..มีสมาชิก ๑๐ ประเทศ เข้าร่วมประชุมพร้อมหน้า
เป็นการระดมมันสมอง ของสมัชชารัฐสภาอาเซียน ให้เป็นไปในทางทิศเดียวกัน สิคุณเจ้าขา
เมื่อรัฐสภาไทย ได้รับเกียรติอันยิ่งใหญ่ เป็นเจ้าภาพจัดงานนี้ ถือว่าเป็นเกียรติอย่างยิ่ง
นี่สะท้อนให้เห็น....รัฐสภาไทยมั่นคงไม่ใช่ล้อเล่น...เราจึงเป็นที่ยอมรับ ของต่างชาติจริง ๆ

คอลัมน์:ตอดนิดตอดหน่อย,บางกอกทูเดย์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

พรรคประชาธิปัตย์ ต้องก้าวให้ข้าม คตส.

ประเด็นทางการเมืองกลับมาเป็นที่ร้อนแรงอีกครั้ง หลังจากเกิดวิวาทะระหว่าง “พรรคประชาธิปัตย์” และ ส.ว.อีกบางส่วน กับ “พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน” อดีตประธาน คมช. และ ส.ส.พรรคมาตุภูมิ ในฐานะประธาน กมธ.ปรองดอง ในการประชุมร่วมรัฐสภา
ประเด็นที่เป็นปัญหาคงหนีไม่พ้น “ข้อเสนอการปรองดองของสถาบันพระปกเกล้า” ภายใต้การดูแลของ กมธ. ปรองดอง ชุดของ พล.อ.สนธิ ที่ระบุให้ยุบกระบวนการคดีอาญาของ คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ที่ คมช. แต่งตั้งขึ้นมาหลังรัฐประหาร 19 กันยายน 2549
“รัฐสภาต้องคิดว่า เรากำลังทำงานให้แผ่นดิน ไม่ใช่ทำงานให้คนหนึ่งคนใดโดยเฉพาะ แถลงการณ์คณะปฏิวัตินั้นบ่งบอกว่า ท่านคิดว่าสมัยนั้นมีการทุจริต แทรกแซงองค์กรอิสระ แล้ว กมธ.ปรองดองได้ศึกษาสิ่งเหล่านี้ด้วยหรือไม่ แล้วเรื่องยุบ คตส. นี่สร้างมากับมือ ปฏิวัติมากับมือ ในที่สุดจะยกเลิกเหรอ พล.อ.สนธิตอบคำถามหน่อยว่า แถลงการณ์ในเวลา 23.50 น. ของวันที่ 19 กันยายน 2549 เป็นเรื่องเท็จหรือเรื่องจริง”
อภิปรายโดย นายวิเชียร คันฉ่อง ส.ว.ตรัง
ส่วนการอภิปรายของ ส.ส. พรรคประชาธิปัตย์ มีเนื้อหาโดยสรุปดังนี้
ขณะที่ นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ส.ส.พิษณุโลก ปชป. กล่าวว่า ปชป.สนับสนุนการปรองดอง แต่ไม่สนับสนุนการนำกฎหมายไปล้างผิดให้คนโกง ขณะที่นายธนา ชีรวินิจ ส.ส.กทม. ปชป. กล่าวว่า วันก่อน พล.อ.สนธิแอบทำปฏิวัติ แล้ววันนี้แอบเสนอรายงาน กมธ.ปรองดองจนบรรยากาศแตกแยกกันไปหมด ไม่รู้จะทำร้ายประเทศไปถึงไหน ถามว่า พล.อ.สนธิประธาน คมช.กับวันนี้ที่เป็น ส.ส. เป็นคนเดียวกันหรือไม่
(ข้อมูลจาก มติชน)
จากนั้นความขัดแย้งในสภาก็เกิดขึ้นเมื่อ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ และกลุ่ม ส.ว.บางส่วน กรูเข้าไปหา พล.อ.สนธิ ในช่วงพักการประชุม จนเป็นประเด็นข่าวใหญ่ประจำวัน แต่สุดท้ายเรื่องก็จบด้วยรัฐสภามีมติเห็นชอบให้พิจารณารายงานของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการสร้างความปรองดองแห่งชาติ ซึ่งน่าจะเป็นวันที่ 4 เมษายนนี้

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ภาพจาก Flickr ของ Thaigov)

เมื่อพิจารณาจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จะเห็นว่าประเด็นสำคัญของความขัดแย้งในรัฐสภา อยู่ที่ “คดีอาญาของ คตส.” ที่สุดท้ายลงเอยด้วยการพิพากษายึดทรัพย์ของอดีตนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และกลายเป็นชนวนของความขัดแย้งทางการเมืองไทยในรอบ 3-4 ปีให้หลัง

ถ้าย้อนดูเหตุการณ์ทางการเมืองไทย นับตั้งแต่เหตุการณ์รัฐประหาร 19 กันยา 2549 เป็นต้นมา จะพบว่า “ผลพวง” หรือ “มรดก” ของการรัฐประหารครั้งนั้น มีด้วยกัน 2 อย่างที่สำคัญ ได้แก่ รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 และ คดีอาญาของ คตส.

มาถึงวันนี้ เราต้องยอมรับว่าผลพวงของรัฐประหารทั้ง 2 ประการ สร้างปัญหาให้กับประเทศไทยเป็นอย่างมาก และในช่วงรอบปีหลังก็มีความพยายามจะแก้ปัญหาเหล่านี้เพื่อปลดล็อคทางการเมือง

ประเด็นเรื่องรัฐธรรมนูญ ค่อนข้างชัดเจนว่า หลายฝ่ายในสังคมไทยเห็นตรงกันว่าต้องแก้ไข เพียงแต่ต้องพิจารณาในรายละเอียดว่าจะมีกระบวนการแก้ไขอย่างไร มีเนื้อหาอย่างไร ซึ่งพรรคเพื่อไทยในฐานะผู้นำเสียงข้างมากของรัฐสภาปัจจุบัน (และอีกนัยหนึ่งก็คือฝ่ายที่โดนกระทำจากรัฐประหารและรัฐธรรมนูญฉบับนี้) กำลังพยายามผลักดันกระบวนการตั้ง ส.ส.ร.3 อย่างเต็มที่ ในขณะที่พรรคประชาธิปัตย์เอง (ในฐานะฝ่ายที่ได้ประโยชน์จากรัฐธรรมนูญฉบับนี้) ก็ไม่ได้คัดค้านเรื่องการแก้รัฐธรรมนูญอย่างจริงจังมากนัก และจริงๆ แล้วพรรคประชาธิปัตย์เองด้วยซ้ำที่เคยแก้ไขรัฐธรรมนูญ 50 ไปครั้งหนึ่งแล้วในช่วงปลายรัฐบาลอภิสิทธิ์

แต่ ประเด็นเรื่องคดีของ คตส. ยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่มาก เพราะเกี่ยวข้องกับ พ.ต.ท.ทักษิณ (ในฐานะชนวนขัดแย้งตั้งแต่ก่อนรัฐประหาร) โดยตรง ในทางกฎหมาย คดีตัดสินไปแล้วว่า พ.ต.ท.ทักษิณ มีความผิดในเรื่องที่ดินรัชดาฯ แต่ในทางปฏิบัติ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ยอมรับผลของคดีนี้และเดินทางหลบหนีไปอาศัยในต่างประเทศ

จุดที่ฝ่ายไม่เห็นด้วยกับ คดี คตส. นำมาคัดค้านก็คือ “กระบวนการ” ของ คตส. นั้นไม่ชอบธรรม นับตั้งแต่การแต่งตั้งโดยคณะรัฐประหาร, สมาชิกของ คตส. ที่เต็มไปด้วยศัตรูของ พ.ต.ท.ทักษิณ, ข้อหาความผิดเรื่องที่ดิน ไปจนการพิจารณาคดีของตุลาการ ซึ่งเป็นเหตุผลที่มีน้ำหนัก เพราะตามหลักการด้านยุติธรรมสากล “กระบวนการ” จำเป็นต้องชอบธรรมก่อน จึงจะสามารถพิจารณาตัดสินความถูกผิดได้
“ความไม่ชอบธรรม” เหล่านี้ยังถือเป็นชนวนเหตุสำคัญประการหนึ่งที่กลุ่มคนเสื้อแดงนัดมาชุมนุม จนเกิดความไม่สงบกลางกรุงเทพมหานครทั้งในปี 2552 และ 2553 ความขัดแย้งทางการเมืองเหล่านี้ก็กลายเป็น

ปัญหาเรื้อรังที่ยังกัดกร่อนการพัฒนาสังคมไทยมาในรอบ 5 ปีหลัง
การสร้างกระบวนการปรองดองขึ้นมาในสังคมไทยที่แตกร้าว จำเป็นต้อง “ปลดล็อค” ชนวนเหล่านี้ เพื่อให้สภาพสังคมกลับมาอยู่ในสภาวะปกติ ไม่มีเงื่อนไขทางการเมืองที่ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดเสียเปรียบเสียก่อน จากนั้นการเจรจาจึงจะเกิดขึ้นได้

คดีอาญาของ คตส. ก็ถือเป็นหนึ่งในชนวนความขัดแย้งที่ว่า เหตุเพราะที่มาของกระบวนการนั้นไม่ชอบธรรมตั้งแต่แรก ทั้งนี้ไม่ได้แปลว่า พ.ต.ท.ทักษิณ มีหรือไม่มีความผิด แต่กระบวนการพิจารณาคดีนั้นยังไม่ถูกต้อง ควรจะกลับไปแก้ไขให้ถูกต้องกันก่อน

น้ำหนักของ คตส. ลดน้อยลงมากในรอบปีหลังๆ และเมื่อ พล.อ.สนธิ ในฐานะอดีตประธาน คมช. สนับสนุนข้อเสนอของสถาบันพระปกเกล้าที่ให้ยกเลิกกระบวนการและคดีความของ คตส. เสียเอง ยิ่งทำให้น้ำหนักของคดี คตส. น้อยเข้าไปอีก

การปกป้องคดีอาญาของ คตส. โดย ส.ส. พรรคประชาธิปัตย์ จึงไม่มีประโยชน์อะไรในทางการเมือง ทั้งต่อประเทศไทย และต่อพรรคประชาธิปัตย์เองด้วย

สิ่งที่พรรคประชาธิปัตย์ควรทำ ก็คือ หยุดสนับสนุนคดีอาญาของ คตส. และเสนอให้สร้างกระบวนการพิจารณาความผิดของ พ.ต.ท.ทักษิณ เสียใหม่ ที่ถูกต้องตามหลักการยุติธรรมสากล โดยมีคนไทยทั้งประเทศ ฝ่ายค้านและรัฐบาลเห็นชอบร่วมกัน

ไม่ว่าข้อเสนอนี้จะเกิดขึ้นได้สำเร็จหรือไม่ ก็จะไม่มีใครวิพากษ์วิจารณ์พรรคประชาธิปัตย์ว่ารับใช้เผด็จการ เกาะกุมผลประโยชน์จากคณะรัฐประหาร เพราะที่มาของกระบวนการยุติธรรมใหม่ ไม่มีจุดอ่อนให้โจมตีแบบเดียวกับ คตส. อีก

เสียงสนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์เดิมก็ไม่มีอะไรเสียหาย เพราะยังยืนอยู่บนจุดยืนดำเนินคดีกับ พ.ต.ท.ทักษิณ เหมือนเดิม มิหนำซ้ำยังจะได้เสียงสนับสนุนเพิ่มเติมจากคนที่ไม่เห็นด้วยกับคดีของ คตส. ด้วยซ้ำ
เพื่อฟื้นฟูศักดิ์ศรีและชื่อเสียงของพรรคประชาธิปัตย์ เพื่อพัฒนาตัวเองเป็นฝ่ายค้านที่ประชาชนคนไทยพึ่งพิงได้ และเพื่อความปรองดองของคนในชาติ พรรคประชาธิปัตย์ไม่มีทางเลือกอื่นให้เลือกเดินแล้ว ขอเพียงแค่ต้องรู้ตัวว่าต้องทำอะไรเท่านั้น!!!

ที่มา.Siam Intelligence Unit
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันพุธที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2555

ชนบทเผชิญหน้าชนชั้นสูง การบ้านปรองดองใน (โลกาภิวัตน์) !!?

ปรากฏการณ์ความขัดแย้งเรื้อรังที่เกิดขึ้นในประเทศไทย ณ ขณะนี้ถือเป็นปัญหาใหญ่ที่ต้องเร่งแก้ไขโดยรีบด่วนเพื่อไม่ให้เป็นปัญหาในการพัฒนาประเทศต่อไป

สำหรับในเรื่องดังกล่าวคณะกรรมการอิสระเพื่อค้นหาความจริงและการสร้างความปรองดองแห่งชาติ (คอป.) ได้จัดเสนอผลวิจัย โครงการปัญหารากเหง้าของความขัดแย้งและแนวทางสู่ความปรองดอง ศึกษาเฉพาะกรณีด้านโครงสร้างอำนาจที่ไม่เท่าเทียมกัน

มีการเปิดเวทีสาธารณะ โครงการปัญหารากเหง้าของความขัดแย้งและแนวทางสู่ความปรองดอง ศึกษาเฉพาะกรณีด้านโครงสร้างอำนาจที่ไม่เท่าเทียมกัน โดย รศ.ดร.ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ, รศ.ดร.พอพันธุ์ อุยยานนท์, รศ.ดร.อรรถจักร์ สัตยานุรักษ์ และ ผศ.พฤกษ์ เถาถวิล ห้องประชุมบุญชู ตึกอเนกประสงค์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์

>>ปัญหาความเหลื่อมล้ำนำมาสู่ความขัดแย้ง

รศ.ดร.ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ อาจารย์ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า จะนำงานวิจัยชิ้นนี้ แบ่งเป็น 7 บท ไม่ต่ำกว่า 300 หน้า เป็นแนวทางหาทางแก้ปัญหาความขัดแย้งต่อไป

ความขัดแย้งที่เกิดในช่วงเดือนเมษา-พฤษภา 2553 เป็นเพราะมวลชน ไม่ยอมรับสภาพการดำรงอยู่ของโครงสร้าง อำนาจทางสังคมที่ไม่เท่าเทียมกันอีกต่อไป โจทย์ใหญ่ในการศึกษานี้ คือปัจจัยอะไรในโครงสร้างของอำนาจที่ไม่เท่าเทียมกันในสังคม ที่นำไปสู่การเกิดความขัดแย้ง ระหว่างกลุ่มฝ่ายและพลังทางสังคมต่างๆ และค้นคว้าว่ามีปัจจัยอะไรที่จะช่วยในการปฏิรูปการจัดสรรอำนาจ เพื่อลดทอนความขัดแย้งที่รุนแรงและนำไปสู่การสร้างความสมานฉันท์ในสังคมต่อไป พบว่าเครือข่ายหลักๆ ที่นำไปสู่โครงสร้างอำนาจ ม 4 เครือข่าย คือ 1.อุดมการณ์ 2.การ เมือง 3.ทหาร 4.เศรษฐกิจ

“โครงสร้างทางสังคมนั้นจริงๆ แล้วในทางปฏิบัติไม่มีความเท่าเทียมกันมาตลอด แต่มันจะแสดงออกในหลายลักษณะในแง่ของการดูถูก หรือการขัดแย้งระหว่างเมืองกับชนบท ระหว่างหญิงชาย คือวิถีความเหลื่อมล้ำมีมาก จนหาความเหลื่อมล้ำได้ง่ายกว่าความเสมอภาคเท่าเทียมกัน สิ่งที่น่าสนใจก็คือว่าในหลายร้อยปีที่ผ่านมา ทำไมคนไม่ประท้วงทุกวัน ทำไมคนไม่ขัดแย้งกัน นี่คือโจทย์ว่าทำไมช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา ทำไมความสัมพันธ์ที่ไม่เท่าเทียมกันซึ่งมีมาตลอด จึงกลายเป็นจุดที่คนไม่ยอมรับแล้ว คนมีปฏิกิริยาไม่ยอมรับมากกว่าที่เคยมีมาเหตุการณ์ไม่ปกติจากแต่ก่อนทนได้ หรือมีคำตอบอย่างอื่น แต่ตอนนี้คำตอบเหล่านั้นสิ่งที่เคยทนได้ ไม่ทนแล้ว”

“และนี่ก็คือสิ่งที่เราสนใจว่าเกิดอะไรขึ้น แน่นอนก็ไปโยงถึงความชอบธรรมของสถาบันเครือข่ายต่างๆ ทำให้สิ่งที่เป็นอาญาสิทธิ เริ่มมีคำถามว่าเป็นอาญาสิทธิที่ถูกต้องไหม แล้วมีคนออกมาแสดงออกด้วยทั้งหมด เป็นโจทย์คำถามถึงความขัดแย้งต่างๆ จากนั้นเราจะดูว่าปัจจัยอะไรที่จะช่วยการปฏิรูป การจัดการอำนาจและโครงสร้างอำนาจหรือ ความสัมพันธ์เชิงอำนาจ เพื่อนำไปสู่การลดทอนความขัดแย้งที่รุนแรงและนำไปสู่การสร้างความสมานฉันท์ปรองดองในสังคมต่อไป นี่เป็นภาพรวมของงานวิจัยชิ้นนี้” ศ.ดร.ธเนศ กล่าว

>> ผลจากต้มยำกุ้งทำให้กลุ่มทุนพลิกขั้ว

รศ.ดร.พอพันธุ์ อุยยานนท์ อาจารย์ คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช กล่าวถึง อดีตการชี้วัดสังคมเศรษฐกิจไทยเมื่อ 20 ปีที่แล้ว กรุงเทพฯ มีสัดส่วน GDP 1 ใน 3 หรือ 33% แต่ปัจจุบันนี้เหลือ 1 ใน 4 ขณะที่การขยายตัวเกิดขึ้นมากในภาคกลางคือ นอกกรุงเทพฯ โดยเฉพาะภาคกลางและตะวันออก แสดงว่าอำนาจเศรษฐกิจเริ่มกระจายไปชนบทสำหรับเหนือ, อีสาน, ใต้ ก็มีการก่อสร้างโรงงาน มีผลผลิตทางการเกษตร มีกิจการขนาดใหญ่

สังคมเศรษฐกิจไทย วิกฤตการณ์เศรษฐกิจไทยในปี 2540 มีความสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางอำนาจ โดย หลังปี 2540 กลุ่มทุนเก่า พวกแบงก์ที่เคยมีอิทธิพลในอดีต กลุ่มทุนเหล่านี้ ควบคุมเงินทุน ควบคุมสินทรัพย์ 70-80% กลุ่มทุนเหล่านี้ ก็มีปัญหาทางเศรษฐกิจ เจ้าของทุนซึ่งเป็นตระกูลใหญ่ๆ ก็ถูกลดทอน จนกระทั่งปัจจุบัน แม้ว่าแบงก์จะเติบโต แต่สัดส่วนจริงๆ ของผู้เป็นเจ้าของดั้งเดิม เช่น ตระกูลโสภณพนิช ตระกูลล่ำซำ ก็เหลือน้อยมาก พร้อมๆ กับการเปลี่ยนแปลง แต่กลุ่มทุนใหม่ก็เกิดขึ้น โดยเฉพาะหลังเศรษฐกิจฟื้นตัว

“กลุ่มทุนที่เติบโต ซึ่งสะท้อนภาพการเติบโตของโครงสร้างเศรษฐกิจไทย ก็คือ กลุ่มทุนคมนาคม กลุ่มทุนบริการ กลุ่มทุนสื่อสาร ถ้าเราไปดูลำดับเศรษฐีของประเทศไทยในปัจจุบัน ก็จะมีตระกูลใหม่ๆ ซึ่ง 20-30 ปี เราไม่เคยรู้จักตระกูลเหล่านี้ เช่น ตระกูล ชินวัตร, ดามาพงศ์, มาลีนนท์, จึงรุ่งเรืองกิจ, ดำรงชัยธรรม, โพธารามิก แล้วพวกนี้ แม้กระทั่งปัจจุบัน ถือว่าเป็นผู้มีสัดส่วนติดอันดับรายใหญ่ที่สุดในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย นี่คือ พลวัตของกลุ่มทุนใหม่ ซึ่งมีไดเวิร์สเป็นภาคธุรกิจบริการ ธุรกิจคมนาคม ขณะที่ในอดีตมี 4 กลุ่มหลัก โดยเฉพาะทุนการเงิน ซึ่งมีเครือข่ายแบงก์กรุงเทพฯ แบงก์กสิกร ขณะเดียวกับกติกาของรัฐธรรมนูญ 2540 ก็สนับสนุนพรรคการเมืองขนาดใหญ่และต้องมีทุนขนาดใหญ่ แม้ว่าตัว รัฐธรรมนูญไม่ได้ระบุว่าต้องมีเงิน แต่ลองดู นะครับ ระบบปาร์ตี้ลิสต์ ทำให้พรรคเล็กอยู่ไม่ได้ ออกแบบมาอย่างมีอคติกับพรรคเล็ก เมื่อพรรคใหญ่ทุนมาก ประกอบกับสังคมโลกาภิวัตน์ที่มีระบบเสรีมากขึ้น กลุ่มทุนก็เข้ามาในพรรคไทยรักไทยมากขึ้น แล้วเป็นกลุ่มทุนที่หลายกรณีก็ไม่ได้ถูกภาวะเศรษฐกิจถล่มในปี 2540 ซึ่งทำไมต้องเข้ามา คือเราต้องเข้าใจว่าการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะโลกาภิวัตน์ กติกาการค้าโลกมันบังคับให้หลายประเทศเปิดการค้าเสรีจริงอยู่ โดยหลักการเป็นเสรี แต่กลุ่มทุนเหล่านี้ ผมคิดว่า ความหมายก็คือปกป้องผลประโยชน์ของตัวเองแล้วกลุ่มเหล่านี้ ก็เข้ามากำหนดนโยบายทางการเมือง นโยบายทางอำนาจ ในด้านหนึ่งก็ปกป้องกลุ่มทุนของตัวเอง” รศ.ดร.พอพันธุ์ กล่าว

นอกจากนั้น หลังปี 2540 ในอดีตย้อนไป 20 กว่าปี ยุคสมัย พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ แบงก์ไทยพาณิชย์ แบงก์พาณิชย์ ถือว่า เป็นผู้ทรงอิทธิพลมาก พอทักษิณขึ้นมา เป็นนายกฯ เขาเคยไปกระแหนะกระแหน แบงก์กสิกร แบงก์อะไรว่าสนใจแต่เรื่องปรับฮวงจุ้ย บทบาทของเอกชนในฐานะกลุ่มทุนเก่ามันเริ่มหมดไป หลังปี 2540 นายทุน ใหญ่ๆ เจ้าของทุนเข้ามาการเมืองเต็มตัว อันนี้เป็นแผนพัฒนาเศรษฐกิจและการเมืองที่ไม่เหมือนในอดีต

สำหรับการเมืองไทยหลังปี 2540 เปลี่ยนแปลงไปมากและไม่สามารถถอยหลัง คือสิทธิเสรีภาพของท้องถิ่นไม่สามารถย้อนกลับไปรัฐธรรมนูญแบบครึ่งใบ บทบัญญัติรัฐธรรมนูญ 2540 มีคุณูปการ คือเปิดพื้นที่ให้กับกลุ่มคนที่ไม่เคยมีส่วนร่วมทางการเมือง ประกอบกับในช่วงที่ทักษิณเป็นผู้นำรัฐบาลปี 2544 ทำให้บุคคลจำนวนมากได้ประโยชน์

เมื่อการเมืองเปิดกว้าง 5-6 ปี ก็จะเกิดผู้ประกอบการทางการเมืองเข้ามาในระบบการเมือง ยกตัวอย่างในระดับรากหญ้า นักการเมืองระดับเล็กระดับใหญ่ คนที่จะเป็นตัวกลางทางการเมือง คอยจัดการทางการเมือง โดยเฉพาะให้กับพรรคไทยรักไทย พรรคเพื่อไทย เกิดขึ้นอย่างไม่เคยมีมาก่อน นี่คือการเปิดพื้นที่อย่างมหึมา แม้ทักษิณจะถูกรัฐประหาร 19 กันยา 2549 แต่ปรากฏว่า แนวร่วมก็ยังคงอยู่ ผมคิดว่าเป็นเพราะรัฐธรรมนูญ 2540 บวกนโยบายประชานิยม ทำให้กลุ่มพลังทางการเมือง มันค่อนข้างจะมีความหลากหลาย มีพลังไปสู่ต่างจังหวัด

การเมืองหลังรัฐประหารคล้ายการเผชิญหน้าระหว่างภูมิภาคเหนือกับอีสาน และกลางกับใต้ มีสัดส่วนการเลือกตั้งไปในแนวทางเดียวกัน เลือกตั้งครั้งใด ผลก็ออกมาแบบนั้น

>> “ทหาร” อีกปัจจัยหลักทางการเมือง

รศ.ดร.อรรถจักร์ สัตยานุรักษ์ อาจารย์คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าวว่า กองทัพเป็นส่วนหนึ่งของปมปัญหาความขัดแย้ง เพราะการสร้างระบอบประชาธิปไตย สถาปนารัฐธรรมนูญ วัฒนธรรมของชนชั้นสูง คือข้อตกลงในระหว่างคนชั้นสูงว่าเราจะอยู่ร่วมกันในความสัมพันธ์เชิงอำนาจแบบนี้ แล้วทุกคนก็จะรับรู้ร่วมกัน แต่ย้ำว่าเป็นของคนชั้นสูง ซึ่งถูกสถาปนาขึ้นมาในสมัย พล.อ.เปรม แล้ว กลายเป็นฐานความขัดแย้งกับคนกลุ่มใหม่ โดยความเปลี่ยนแปลงหลังปี 2516 อำนาจ ของผู้อุปถัมภ์รายใหญ่ของกองทัพ หายไปอย่างฉับพลัน ขณะที่ก่อนนั้นมีการต่อรองกัน เมื่อส่วนหัวหลุดไป จึงมีการแบ่งแยกกลุ่มย่อย ต่อสู้ช่วงชิงว่าใครจะมีอำนาจเหนือการเข้าใกล้ หรืออ้างอิงติดอยู่กับสถาบันฯ เป็นหนทางที่จะทำให้บางกลุ่มในกองทัพมีอำนาจ เหนือกว่าคนอื่น ก่อนที่การอ้างอิงลักษณะนี้ จะกระจายตัวจากทหารไปสู่ข้าราชการและ กลุ่มทุน

ขณะเดียวกันเงื่อนไขต่อมา ก็ทำให้ต้องเปิดให้มีการเลือกตั้ง คือการลงทุนของญี่ปุ่นเพิ่มขึ้นมหาศาล พร้อมกับโครงสร้างพื้นฐานเกิดขึ้นจากกลุ่มทุนการเงินขยายตัวออกไปอย่างมากมาย จึงต้องการเสถียรภาพ ซึ่งต้องมีระบอบประชาธิปไตยกำกับอยู่ เงื่อนไขอย่างน้อย 2 อย่างจึงทำให้มีประชาธิปไตย

ท่ามกลางการเมืองแบบนี้ ทำให้กลุ่มทุนทหารสัมพันธ์กันแนบแน่นมากขึ้น ดังนั้น ไม่ต้องแปลกใจที่ธนาคารกรุงเทพ กับ พล.อ. เปรม ก็สัมพันธ์กันแนบแน่น ช่วงที่ธนาคาร กรุงเทพมีปัญหา พล.อ.เปรม ก็มีบทบาทคลี่คลายสถานการณ์ของแบงก์ ซึ่งเสถียรภาพที่กองทัพสร้างขึ้นมา มีคนได้ประโยชน์ กลุ่มทุนต่างๆ ข้าราชการขยายตัว ขยายชนชั้นกลางให้มีมากขึ้น ทั้งหมดอยู่ภายใต้อุดมการณ์เดียวกัน แต่เสถียรภาพนี้ไม่ได้ยังผลดีแก่ชาวนาสักเท่าไหร่ ชาวนาผลิตด้วยต้นทุนที่สูงขึ้น ทางออกคือสร้างความหลากหลายในผลผลิต และออกมาทำงานนอกภาคการเกษตร

เสถียรภาพทางการเมืองแบบนี้ ด้านหนึ่งทำให้คนบางกลุ่มเติบโต แต่บางกลุ่มไม่โต เป็นบทบาทของทหาร แล้วทหารก็จะเล่นบทบาทของผู้ที่ค้ำประกัน ค้ำจุน หรือ ปกป้องรักษาอำนาจทางวัฒนธรรม แล้วควบคุมการเมือง รูปแบบนี้เริ่มตั้งแต่สมัย พล.อ.เปรม ท้ายที่สุดแล้วโครงสร้างอันนี้ รัฐธรรมนูญฉบับวัฒนธรรมของคนชั้นสูงนี้ สุดท้ายจะกลายเป็นกลุ่มทุนใหม่ซึ่งเกิดขึ้นและจะมีความเปลี่ยนแปลงอีกชุดตามมา

>> วิถีชนบทเปลี่ยนแปลงจากผลของอำนาจ

ผศ.พฤกษ์ เถาถวิล อาจารย์คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี กล่าวถึงการศึกษาความเปลี่ยนแปลงของขบวนการประชาชนรากหญ้าในบริบทของการช่วงชิงอำนาจของชนชั้นนำ โดยสังเกตการณ์จากหมู่บ้านและตีความตามปรากฏการณ์ พบว่า คนชนบทเปลี่ยนแปลงไป ทั้งภาคเกษตรและนอกการเกษตร รวมทั้งวิถีการบริโภคความคาดหวังกับชีวิต ก็ใกล้เคียงชนขั้นกลางมากขึ้น เป็นชาวชนบทที่กลายเป็นคนเมือง ซึ่งความสัมพันธ์ทางอำนาจก็เปลี่ยน จากที่เคยยอมรับความเอารัดเอาเปรียบก็กลายเป็นไม่ยอมรับ ขณะเดียวกันก็เกิดขบวนการชาวบ้านที่ออกมาต่อสู้เรื่องต่างๆ ขณะที่คุณทักษิณ ก็ไม่ได้แตะปัญหาโครงสร้างของชนบท เช่น เรื่องที่ดิน แต่ไม่แก้ปัญหาการเกษตร

ขณะเดียวกัน มีการแย่งชิงอำนาจของชนชั้นนำกับการแย่งชิงมวลชนในชนบท ความวุ่นวายทางการเมือง 4-5 ปีที่ผ่านมาเกิดจากกลุ่มอำนาจ 2 ฝ่าย ฝ่ายหนึ่งเป็น กลุ่มอำนาจเก่า หรือกลุ่มอนุรักษนิยม ขณะที่ อีกฝ่ายหนึ่งเป็นกลุ่มอำนาจใหม่ มีทักษิณ ชินวัตร และแวดล้อมด้วยกลุ่มทุนใหม่ ซึ่งการแบ่งกลุ่มนี้ ทั้ง 2 ฝ่าย เป็นกลุ่มที่ผนึกอำนาจในลักษณะพันธมิตรพันธุ์ข้ามชนชั้น โดยต่อสู้แย่งชิงอำนาจกัน แต่ไม่ได้ต้องการหักล้างกันถึงที่สุด แต่เป็นการแย่งชิงกันเพื่อสถาปนาตัวเองขึ้นมาเป็นกลุ่มประวัติศาสตร์ แล้วมีช่วงเวลาประณีประนอมเกี้ยเซียะ ไม่ทะเลาะกันจนล้มตาย แต่แย่งกันขึ้นไปสู่การ ครองอำนาจ แล้วสิ่งสำคัญคือ ทั้ง 2 ฝ่าย อยู่ได้ด้วยการแย่งชิงมวลชนในชนบท ไม่สามารถต่อสู้กันได้โดยลำพัง แต่ว่าทั้ง 2 ฝ่าย จะต้องดึงมวลชนเข้าหาเพื่อสนับสนุน

ปรากฏการณ์สร้างมวลชนสายอนุรักษนิยม มีปฏิบัติการที่ตอกย้ำอุดมการณ์กษัตริย์นิยม โดยเกิดการขยายตัวเข้าไปดูกลืนเข้าไปในการพัฒนาชนบทช่วงหนึ่งเรียกว่า ชุมชนชาตินิยม คือ เชื่อในความเข้มแข็งของชุมชน ประกอบกับช่วงปี 2540 มีการเผยแพร่ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เกิดหมู่บ้านพลเมืองผู้จงรักภักดี มีกระบวนการสร้างมวลชนฝ่ายอนุรักษนิยม

อีกขบวนการคือ มวลชนคนเสื้อแดง มีจุดร่วมกันคือ ชื่นชมทักษิณ ชื่นชมนโยบาย ไทยรักไทย เลือก ส.ส.เพื่อไทย มีตัวละครใหม่ทางการเมือง เป็นผู้ประกอบการทาง การเมือง ซึ่งมีฐานะจากชาวบ้านธรรมดา ที่อาจจะเป็นผู้รับเหมา คนทำสวนยาง ที่ค้นพบว่า เมื่อเขากระโดดเข้ามาเป็นแกนนำในการจัดกิจกรรมในท้องถิ่น จัดเวทีเชิญ นปช. เชิญเพื่อไทย มาเปิดหมู่บ้านเสื้อแดงอะไรต่างๆ ปรากฏว่า มันเปิดโอกาสทางเศรษฐกิจการเมืองได้เป็นหัวคะแนน ได้เป็นโน่นเป็นนี่ คือมีทุนทางวัฒนธรรมการเมืองมีพื้นที่ เช่น นักร้องตลกบางคนกลายเป็น ส.ส. จ่าตำรวจ บางคนยกมือไหว้คนทั้งจังหวัด ตอนนี้เป็น ส.ส. ชื่อดังใส่ชุดแดง ตอนนี้ไปไหนใครก็ยกมือไหว้ เป็นโอกาสในสังคมที่เป็นประชาธิปไตยมากขึ้น เปิดโอกาสให้คนที่เป็นชาวบ้านธรรมดาเข้าถึงแวดวงทางการเมือง ยกระดับมีพื้นที่มีตัวตน

ขณะนี้ขบวนการเสื้อแดงในอีสาน และเหนือ ถูกผลักดันด้วยคนเหล่านี้ไม่ต้อง มีใครจะจ้าง แต่เขาอยากจะทำ เพราะเมื่อทำแล้วเขาก็ได้กลับ นี่คือ พลังผลักดันของเสื้อแดงเป็นมิติใหม่ ไม่ว่าจะเป็นประชาธิปไตย หรือไม่

สถานการณ์ตอนนี้คนชนบทเปลี่ยนจากตัวประกอบในการต่อสู้ระหว่างชนชั้นนำไปเป็นผู้เล่นคนหนึ่งโดยชาวบ้านไม่ยอมที่จะเป็นตัวประกอบอีกต่อไป เขาเขียนบทของเขาเอง มีธงมีผลประโยชน์อุดมการณ์ของตัวเอง มาถึงยุคที่ชนชั้นนำ ต้องเข้าใจเมื่อชาวบ้านตื่นมาเป็นพลังต่อรอง นี่คือสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง ถ้าชนชั้นนำปฏิเสธที่จะยอมรับการเปลี่ยนแปลงก็จะเป็นปัญหา

แต่ถ้าชนชั้นนำหาทางออกเปิดพื้นที่ จริงจัง สังคมไทยก็มีโอกาสเปลี่ยนแปลงไปในทางสันติ ไปในทางที่ดี

ที่มา.สยามธุรกิจออนไลน์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

รัฐสภามีมติพิจารณารายงาน กมธ.ปรองดอง ในสมัยประชุมสามัญฯ..


รัฐสภาเห็นชอบให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณารายงานของกรรมาธิการปรองดองฯ ในสมัยประชุมสามัญนิติบัญญัติ หลังโต้เถียงเกือบ 5 ชั่วโมง ขณะที่ฝ่ายค้านวอล์กเอาท์ ไม่เข้าร่วม

ที่ประชุมร่วมของรัฐสภามีมติเห็นชอบ ด้วยคะแนน 346 ต่อ 17 งดออกเสียง 7 ให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณารายงานของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการสร้างความปรองดองแห่งชาติ ตามที่ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ประธานกรรมาธิการฯ และคณะเสนอ ซึ่งคาดว่าจะนำเข้าสู่การพิจารณาสภาผู้แทนราษฎรในวันที่ 4 เมษายนนี้

ก่อนลงมติ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ และสมาชิกวุฒิสภาบางส่วน อภิปรายให้คณะกรรมาธิการฯ พิจารณาทบทวนรายงานดังกล่าว เพราะเชื่อว่าจะเป็นชนวนความขัดแย้ง และเห็นว่ารวบรัดแนวทางสร้างความปรองดอง ซึ่งไม่เกิดความยั่งยืน พร้อมตั้งข้อสังเกตต่อข้อเสนอของสถาบันพระปกเกล้าว่าไม่ครอบคลุม โดยเฉพาะประเด็นการนิรโทษกรรม ซึ่งเกรงอาจก้าวล่วงกระบวนการยุติธรรม

นายกฤช อาทิตย์แก้ว ส.ว.กำแพงเพชร ได้เสนอญัตติปิดอภิปรายและลงมติ ทำให้นายบุญยอด สุขถิ่นไทย ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ เสนอญัตติให้สมาชิกอภิปรายต่อ ขณะนายอุดมเดช รัตนเสถียร ประธานวิปรัฐบาล ประนีประนอมด้วยการปล่อยให้มีการอภิปรายไปจนถึงเวลา 24.00 น. ก่อนจะเปิดให้สมาชิกอภิปรายต่อและลงมติในวันนี้ แต่ที่สุดแล้วนายอุดมเดชกลับเสนอปิดอภิปราย ส่งผลให้นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ ประธานวิปฝ่ายค้าน ไม่พอใจกับท่าทีดังกล่าว ประกาศไม่ประสงค์เข้าร่วม พร้อมกับนำ ส.ส.ฝ่ายค้าน วอล์กเอาท์ออกจากห้องประชุมก่อนที่จะมีการลงมติ.-

ที่มา.สำนักข่าวไทย
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันอังคารที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2555

บิ๊กบัง.ผู้โดดเดี่ยวเดียวดาย ทั้งกลืนน้ำลายและกลืนเลือด !!?



โดย นิภาวรรณ แก้วรากมุกข์ twitter@niphawan_kt
 สังคมไทยยังคงวนเวียนหาทางออกกับเรื่องปรองดองแห่งชาติไม่เจอ มิหนำซ้ำแนวทางในการแก้ปัญหาที่ไม่คืบหน้า ยังส่อเค้าจะถอยหลังลงข้างทาง

 ทั้งกรณีที่ทีมวิจัยสถาบันพระปกเกล้า ไม่ไว้วางใจฝ่ายการเมือง ถึงกับขู่ว่าจะถอนรายงานผลวิจัย ที่ส่งให้คณะกรรมาธิการปรองดอง สภาฯ เพราะหวั่นว่าจะถูกนำไปใช้เป็นเครื่องมือการเมือง และเพิ่มความขัดแย้งให้ปะทุขึ้นมาอีก

 ทั้งกรณี ฝ่ายการเมืองซัดกันเอง โดยเฉพาะ "เสธ.หนั่น" ประธานที่ปรึกษาพรรคชาติไทยพัฒนา อดีตประธานคณะกรรมการปรองดอง ที่เคยล้มเหลวมาแล้ว ตั้งคำถามให้ "บิ๊กบัง" พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ประธานกมธ.ปรองดอง อดีตหัวหน้าคณะรัฐประหาร คายความจริงเรื่องผู้สั่งการอยู่เบื้องหลัง แต่ก็ไม่ได้คำตอบ

เวลานี้ อารมณ์ของสังคม ดูเหมือนยากจะยอมรับบทบาท กมธ.ปรองดอง ที่ "บิ๊กบัง" กำลังนำไปในแนวทาง "ลืมอดีต" โละผลพวงจากการรัฐประหาร สาเหตุหนึ่งก็เพราะความคลางแคลงใจที่อดีต ประธาน คมช. ผู้นำรัฐประหารเสนอตัวมาเป็นประธาน กมธ.ปรองดอง

เรื่องอย่างนี้ บางทีความรู้สึกร่วมเมื่อครั้ง "รัฐประหารดอกกุหลาบ" ที่ "บิ๊กบัง" ยังภูมิใจนักหนา ก็เอากระแสไม่อยู่...งานนี้ "บิ๊กบัง" ผู้โดดเดี่ยวเดียวดาย ทั้งกลืนน้ำลายและกลืนเลือด!

สัปดาห์นี้ประเด็นเรื่อง "ปรองดอง" ยังส่อเค้าจะร้อนแรงต่อเนื่อง ฝ่ายค้าน ประชาธิปัตย์ จะถกในที่ประชุมพรรค จันทร์ที่ 26 มี.ค. 2555 นี้ เพื่อกำหนดท่าที เนื่องจากไม่เห็นด้วยกับร่างรายงานของ กมธ.ปรองดอง ที่รวบรัดตัดตอนส่งให้สภาฯ พิจารณา

ล่าสุด  "บิ๊กบัง" แจ้งงดการประชุม กมธ.ในวันที่ 27 มี.ค. 2555 ให้เหตุผลว่า "เนื่องจากการพิจารณาเสร็จสิ้นแล้ว” ทำเอา กมธ.ค่ายสะตอ มึนตึ้บว่า พิจารณาเสร็จสิ้นแล้วได้ยังไง ในเมื่อ ชวลิต วิชยสุทธิ์ เลขานุการ กมธ.ปรองดอง ซีกเพื่อไทย ยังระบุว่าจะมีการตัดรายละเอียดเรื่องการลงมติเสียงข้างมากออก งานนี้ กมธ.ซีกประชาธิปัตย์ เลยบี้ให้ "บิ๊กบัง" ขอขยายเวลาการประชุมของ กมธ. ออกไปอีก 30 วัน เพื่อทบทวนร่าง ก่อนจะเข้าสู่สภาฯ เพราะไม่อย่างนั้น เกรงว่าจะมีการตัดต่อกันเอง

ปูเรื่องเตรียมเข้าสู่ ศึกชิงผู้ว่าฯ กทม. ค่ายเพื่อไทยส่งทีมโฆษกพรรคออกมา "จับผิด" โครงการ กทม.ของพรรคประชาธิปัตย์ ทุกวันหยุดสุดสัปดาห์อย่างต่อเนื่อง

อาทิตย์ที่ผ่านมา จิรายุ ห่วงทรัพย์ ส.ส.กทม. รองโฆษกเพื่อไทย แถลงเตรียมยื่นเรื่องให้ ป.ป.ช.ตรวจสอบการจัดซื้อสายเคเบิลใยแก้วนำแสง ในโครงการติดตั้ง "ซีซีทีวี" ของ กทม.ว่ามีราคาสูงเกินจริงหรือไม่ ไล่บี้ไปที่ ผู้ว่าฯ สุขุมพันธ์ บริพัตร และรองผู้ว่าฯ ธีระชน มโนมัยพิบูลย์

อีกหนึ่งประเด็น ที่จะยื่น ป.ป.ช.คราวเดียวกัน ฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ มาตรา 157 กรณีที่ยังไม่ยอมดำเนินการเอาผิดต่อสภามหาวิทยาลัย และผู้บริหารโรงพยาบาลที่เกี่ยวข้องกับโครงการจัดซื้อจัดจ้างครุภัณฑ์ทางการแพทย์ของวิทยาลัยแพทยศาสตร์วชิรพยาบาล ตามที่ ดีเอสไอ และ สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินชี้มูลความไม่โปร่งใส

ไล่บี้ทีมผู้ว่าฯ ปัจจุบันไม่เท่าไร แต่ประเด็นที่ค่ายเพื่อไทยกำลังหาข่าว คือ ว่าที่ผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม.คนใหม่ของค่ายสะตอ จะเป็นใคร ยามนี้มีคนคาดหมายว่า ถ้าหวยออกที่ "คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช" เมื่อไหร่ โอกาสสอยเก้าอี้จากประชาธิปัตย์ เป็นไปได้สูง...เอ้า...ยามนี้ก็ "สับขาหลอก" กันไป

 ด้านคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อความปรองดองแห่งชาติ (คอป.) ที่มี คณิต ณ นคร เป็นประธาน มีความคืบหน้าเรื่อง รายงานฉบับที่ 3 ซึ่งจะเป็นฉบับสุดท้ายในชุดของ คอป. ที่จะครบกำหนดเวลาทำงาน 2 ปี ในเดือนก.ค. 2555 นี้

มีรายงานว่า บัดนี้รายงานฉบับที่ 3 เสร็จเรียบร้อยแล้ว แค่อยู่ระหว่างเวียนร่างให้กรรมการทุกคนได้พิจารณา และ อาจารย์คณิต ได้เสนอต่อที่ประชุม คอป. ให้เร่งออกรายงานฉบับนี้ให้ทันวันที่ 31 มี.ค. 2555

สำหรับเนื้อหาในรายงานฉบับที่ 3 จะเป็นการตอกย้ำถึงข้อเสนอแนะของ คอป. ที่ส่งถึงนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร ทั้งฉบับที่ 1 และที่ 2 และไม่ปรากฏว่ารัฐบาลขานรับหรือปฏิเสธ โดยเฉพาะข้อเสนอที่เกี่ยวกับการยกเลิกการตีตรวนนักโทษ การให้ประกันตัวจำเลยและผู้ต้องหาระหว่างการพิจารณาคดี 

เสร็จจากไตรภาคแล้ว คอป. จะทำรายงานอีกหนึ่งฉบับส่งท้าย เป็นการประมวลข้อเสนอแนะจากรายงานทั้ง 3 ฉบับ ให้เห็นภาพรวมทั้งหมด

 ได้ยินเสียงพ้อปนห่วงใยสถานการณ์จากบรรดาคณะกรรมการ เพราะไม่รู้ว่าผลการทำงานครั้งนี้จะถูกนำไปใช้ประโยชน์หรือไม่ อย่างไร ถ้ารัฐบาลไม่ขานรับ บางท่านบอกว่าจะไม่ (กล้า) รับงานเพื่อชาติอีกต่อไป

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันจันทร์ที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2555

พล.อ.สนธิ-ขวัญชัย. คู่ตรงข้ามสร้าง สังคมปรองดอง อาสาพา ทักษิณ. กลับบ้าน !!?

มีเพียง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เท่านั้นที่พูดแล้ว “ขวัญชัย ไพรพนา” ประธานชมรมคนรักอุดร ต้องฟัง เชื่อ และพร้อมทำตามอย่างง่ายๆ นอกเหนือจากนี้ไม่มีใครสั่งเขาได้

ขวัญชัย เคยประกาศมานานแล้วกับการไม่ร่วมทำงานกับกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการแห่งชาติ (นปช.) แต่ที่ยังส่งกำลังจากกลุ่มคนรักอุดรมาสนับสนุนการชุมนุมของกลุ่ม นปช. ที่กรุงเทพฯ อย่างต่อเนื่องนั้น มาจาก พ.ต.ท. ทักษิณ ร้องขอ

หลังจากถูกล้อมเมื่อพฤษภาคม 2553 ขวัญชัยกับแกนนำ นปช.ถูกจับติดคุกด้วยข้อหา “ผู้ก่อการร้าย” เขาอยู่ในคุกนาน 9 เดือน เมื่อได้ประกันตัวชั่วคราว เขาไม่เคยมาร่วมกลุ่มกับ นปช.อีกเลย

เขาทำตัวเงียบๆ เก็บการเคลื่อนไหว ที่จังหวัดอุดรธานี เมื่อพรรคเพื่อไทยชนะเลือกตั้ง เขานำ ส.ส.อุดร ประกันแนวร่วม เสื้อแดงที่ถูกจับติดคุกจังหวัดอุดรออกมาได้หมด การทำงานของเขากลายเป็นโมเดลให้กลุ่ม นปช.นำไปปฏิบัติตามพื้นที่ต่างๆ แต่ไม่ได้ผลเหมือนที่เขาทำในอุดร

อีกครั้งหนึ่ง เมื่อ 7 ตุลาคม 2554 ขวัญชัย ประกาศแยกตัวออกจากกลุ่ม นปช.ชัดเจน เขารวบรวมแกนนำเสื้อแดงทั้ง 20 จังหวัดอีสานสร้าง “กลุ่มแดงอีสานรักเจ้า” ขึ้นมาเพื่อเชิดชูจุดยืนปกป้องสถาบันกษัตริย์ และไม่ต้องการให้นำมาเป็นประโยชน์ทางการเมือง

แน่ล่ะ ขวัญชัยคงทำตามใบสั่งของ พ.ต.ท.ทักษิณตามเคย เพื่อแยกเสื้อแดงอีสานออกจากกลุ่ม นปช. นั่นสะท้อนให้เห็นว่า พ.ต.ท.ทักษิณ คิดอะไรกับกลุ่ม นปช. ที่เติบโตจนเกินกว่าการควบคุม

ท่ามกลางสถานการณ์ “ปรองดอง” ร้อนแรงในปัจจุบัน พ.ต.ท.ทักษิณ ประกาศ กลับไทยปลายปี 2555 คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการสร้างความปรองดองแห่งชาติ สภาผู้แทนราษฎร ซึ่งมี พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน เป็นประธาน เร่งรีบเสนอ พ.ร.บ.ปรองดอง ให้สภาอนุมัติ

ขวัญชัย ฉวยโอกาสเข้ามาผสมโรงสร้างความปรองดองเช่นเคย เขาประกาศ ว่า จะนำ พ.ต.ท.ทักษิณ กลับไทยในช่วงสงกรานต์เดือนเมษายนนี้ แต่พรรคเพื่อไทย และแกนนำ นปช.ล้วนออกมาโจมตีขวัญชัย เป็นเสียงเดียวว่า เพ้อเจ้อ ขาดความน่าเชื่อถือ และหมกมุ่นอยู่กับจินตนาการเอาใจ พ.ต.ท.ทักษิณแบบไร้สาระอะไรประมาณนั้น

เป็นธรรมดา ขวัญชัยมีทั้งคนรัก ชื่นชม และคนชิงชังเขา กลุ่มคนเสื้อแดงที่รังเกียจขวัญชัยกล่าวหาว่า เขาเป็นคนของ “เนวิน ชิดชอบ” เป็นนักฉวยโอกาสสร้างพลังมวลชนมาหากิน ชอบคุยโม้โอ้อวดถึงความมั่งมี อยากดัง ต้องการให้คนชื่นชม และเป็นคนชอบประจบสอพลอ กับคนใหญ่คนโตในจังหวัดเพื่อผลประโยชน์ทางธุรกิจ

แต่เนื้อแท้แล้ว ขวัญชัยเป็นชาวบ้าน คนพื้นๆ รูปร่างหน้าดูละม้ายนายประจวบ ไชยสาส์น เขายึดอาชีพเป็น ดี.เจ.คนดังแห่งคลื่นมวลชนสัมพันธ์ หนึ่งในสถานีวิทยุ ชุมชนจังหวัดอุดรธานี และเริ่มเป็นคนดัง เป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางทั่วประเทศเมื่อคราวเป็นแกนนำม็อบปิดล้อม นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานกลุ่มพันธมิตรฯ เมื่อปลายเดือนเมษายน 2549

ขวัญชัย มีพื้นเพเป็นคนอำเภอเดิม- บางนางบวช จังหวัดสุพรรณบุรี เรียนจบ ป.4 แล้วออกมาเผชิญโชคเคยเป็นตลกอยู่ วงลูกทุ่ง เขาเป็นเจ้าของสถานีวิทยุ “คลื่นมวลชนสัมพันธ์” ปัจจุบันเขาร่ำรวย มีฐานะเศรษฐกิจดี จนสามารถใช้เงินนับ 10 ล้านบาทสร้างศูนย์อำนวยการที่หมู่บ้านหนองรีหู อ.เมือง จ.อุดรธานี บนที่ดินสิบกว่าไร่ เพื่อไว้ใช้สอยกับภารกิจการต่อสู้ของคนเสื้อแดง

ในช่วงกระแสไล่ พ.ต.ท.ทักษิณเกิดขึ้นทั่วประเทศ ขวัญชัยตั้งชมรมคนรักอุดร ขึ้นมาสนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณและต่อต้าน กลุ่มพันธมิตร เขาตั้งเวทีใหญ่กลางทุ่งศรีเมืองโดยการสนับสนุนของข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ในจังหวัด, ส.ส.ไทยรักไทย (เดิม) รวมทั้งอดีตนายก อบจ.อุดรธานี คือ เฉลิมพล สนิทวงศ์ชัย

ชมรมคนรักอุดร ของเขาได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มการเมือง ข้าราชการทั้งผู้ว่าราชการจังหวัดและ พล.ต.ต.เขมณัฐ สุขเจริญ (อดีต) ผบก.ภ.จว.อุดรธานี เป็น ผู้อยู่เบื้องหลัง

ขวัญชัย ทำหน้าที่เป็นกระบอกเสียงสำคัญในการสนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ เขา จัดรายการวิทยุทุกวันตั้งแต่เช้ายันเที่ยง เพื่อปลุกระดม ข่มขู่ คุกคาม พวกนักธุรกิจ ข้าราชการที่ออกมาสร้างกระแสขับไล่ พ.ต.ท.ทักษิณในจังหวัดอุดรธานี

สถานีวิทยุคลื่นมวลชนสัมพันธ์ของขวัญชัยตั้งอยู่ที่ตลาดเริ่มอุดม ซึ่งเป็นของ “เสี่ยตี๋” นายปรีชา ชัยรัตน์ เจ้าของโรงงานน้ำตาลที่ใหญ่ที่สุดในเมืองอุดรธานี 2 แห่ง

รางวัลที่เป็นกองหน้าสนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ และต้านกลุ่มพันธมิตรอย่าง ออกหน้านั้น ในปี 2551 สมัยรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช เป็นนายกรัฐมนตรี เขาได้รับแต่งตั้งเป็นข้าราชการการเมืองประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และยังเป็นที่ปรึกษาของ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รมว. กระทรวงมหาดไทยสมัยนั้นด้วย

นี่จึงชัดเจนว่า ขวัญชัยกับ ร.ต.อ. เฉลิม สนิทสนมกันราวกับเป็นคนคนเดียวกัน ในแนวคิดทางการเมือง หนำซ้ำยังพูดคุยด้วยภาษาพื้นบ้านได้ออกรสชาตินักเลงลูกทุ่งถูกคอกันเป็นอย่างยิ่ง

เมื่อ ร.ต.อ.เฉลิม จุดพลุพา พ.ต.ท. ทักษิณ กลับไทยในปลายปี 2555 ขวัญชัย รับลูกทันที พร้อมๆ กับยื่นเวลามาเป็นเมษายนนี้

แต่หนทางพา พ.ต.ท.ทักษิณ กลับบ้านยังไร้รูปแบบและขาดรายละเอียดแห่ง “ศักดิ์ศรี” ผู้มากบารมีทางการเมืองสิ่งสำคัญ เมื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ กลับบ้านต้องเกิดความปรองดองขึ้นในสังคม ซึ่งรหัสศักดิ์ศรีที่พรรคเพื่อไทยต้องการอย่างมาก

ดังนั้น หนทางแห่งศักดิ์ศรีจึงอยู่ที่ความปรองดอง แต่วิถีความปรองดองที่ พล.อ.สนธิ เร่งสร้างขึ้นตามโมเดลงานวิจัย ของสถาบันพระปกเกล้า กลับถูกต่อต้านอย่างหนักจากพรรคประชาธิปัตย์ พันธมิตรฯ ร่วมทั้งนายธีรยุทธ บุญมี ผู้มีบทบาท สำคัญในการชี้นำความคิดสังคม

พล.อ.สนธิ รับลูกงานวิจัยปรองดอง มาขยายผลและจัดระดมความคิดเมื่อวันที่ 21 มีนาคมที่ผ่านมา ราวกับส่งสัญญาณว่า หนทางของสถาบันพระปกเกล้าสามารถสร้างสังคมปรองดองให้ทุกกลุ่มความขัดแย้งได้รับประโยชน์แบบ “WIN-WIN” ทุกเฉดสีของคนในสังคม

อย่างไรก็ตาม อย่างน้อยข้อเสนอ 2 ข้อจาก 6 ข้อ ยังเป็นที่ถกเถียงและต่อต้านจากฝ่ายตรงข้ามของ พ.ต.ท.ทักษิณ

คือ ข้อเสนอออก พ.ร.บ.นิรโทษกรรม และการยกเลิกผลทางคดีที่คณะกรรมการ การตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ได้ดำเนินการไว้

ในข้อเสนอดังกล่าวนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้ประโยชน์เพียงการยกเลิก คตส. เพราะ เป็นการเปิดโอกาสให้ใช้กระบวนยุติธรรมได้ต่อสู้คดีตามปกติ

กระบวนการ คตส. ถูกฝ่าย พ.ต.ท. ทักษิณ เชื่อว่า ไม่เป็นธรรมกับ พ.ต.ท.ทักษิณ เพราะเป็นการใช้อำนาจคณะทหารที่ทำรัฐประหารเมื่อกันยายน 2549 มากลั่นแกล้ง ใส่ร้าย และยัดเยียดความผิดฝ่ายเดียว

พล.อ.สนธิ เป็นแกนนำทหารคนสำคัญที่ทำรัฐประหารยึดอำนาจ พ.ต.ท. ทักษิณเมื่อปี 2549 และใช้อำนาจตั้ง คตส. ขึ้นมาเล่นงาน พ.ต.ท.ทักษิณ

แต่วันนี้ พล.อ.สนธิ มาเล่นการเมือง เป็น ส.ส.ผ่านการเลือกตั้งของประชาชน ที่น่าสนใจคือ เขากลับเป็นตัวตั้งตัวตีหาหนทางสร้างความปรองดองให้สังคม

หนทางหนึ่งคือ พล.อ.สนธิ รับลูกให้ยกเลิกคดีที่ คตส.ดำเนินการไว้แล้วกับ พ.ต.ท.ทักษิณทั้งหมด เพื่อให้ พ.ต.ท.ทักษิณ พิสูจน์ความผิดตามกระบวนการศาลปกติ

แล้วในอดีตทำไมต้องทำรัฐประหาร ยึดอำนาจด้วย นี่คือสิ่งที่น่าสนใจ

สนใจเพราะความปรองดองในสังคมยังพัวพันกับเรื่องราว พ.ต.ท.ทักษิณ ยังวนเวียนกับตัวละครกลุ่มอำนาจเดิมๆ มาก กว่าความใส่ใจกับประชาชนที่ได้รับกรรมและผลกระทบจากเหตุการณ์ความขัดแย้ง ในสังคมเมื่อปี 2548-2553

ปัจจุบัน ประชาชนคนธรรมดาสามัญยังอยู่ในคุก ไร้การใส่ใจจากกลุ่มอำนาจทุกเฉดสีที่กำลังช่วงชิงและเล่นเกมทำลายล้างกันอย่างบ้าคลั่ง

ที่มา.สยามธุรกิจออนไลน์
////////////////////////////////////////////////////////////

วันเสาร์ที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2555

ระเบิดพลีชีพ !!?

แล้ว “หนูติ่ง” มัลลิกา บุญมีตระกูล สาวปากไว ก็พาพลพรรคประชาธิปัตย์ หัวคลุมปี๊บ
เล่น ว.๕ ชั้น ๖ กระทรวงแรงงาน ของ “ท่านเผดิมชัย สะสมทรัพย์” รมว.แรงงาน เรียกผลประโยชน์ คนนักรบแรงงานไปอิสราเอล กินหัวคิวกันอื้อซ่า
แต่กับปาก “อิตซ์ฮัก โชฮัม” เอกอัครราชทูตอิสราเอลประจำประเทศไทย ..ยุคพรรคเพื่อไทย รวมเบ็ดเสร็จ ทั้งตั๋วเครื่องบิน และค่าธรรมเนียมต่างๆ จ่ายเพียง ๖๙,๐๐๐ บาท เท่านั้นคุณขา
ฉะนั้น,ที่ “หนูติ่ง” มัลลิกา ว่ายุคประชาธิปัตย์ จ่ายค่าไปค้าแรงงานที่อิสราเอล ๘๐,๐๐๐ บาท จึงสูงกว่า “รัฐบาลปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นกอง
หมายเล่นงาน “นายกฯปู”ให้ดิ้น...กลายเป็นสาวไส้ให้กากิน?..หมดสิ้นเชียวแหละพี่น้อง

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

น้ำมันเถื่อน
ที่ภาคใต้ มีนักการเมืองหนุนหลัง กันเกลื่อน
“นายกฯปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และ “บิ๊กเหลิม ดาวเทียม” ร.ต.อ.ดร.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกฯ ช่วยดูให้ที
มีการลำเลียงน้ำมันเถื่อน ขึ้นที่ชายฝั่งจังหวัดสตูล ขายไปทั่วภาคใต้ในขณะนี้
ทำที่ว่าเป็นการลำเลียง ยางดิบจากชาวสวนยางพาราไปส่งโรงงาน แต่ที่แท้แล้ว เป็นการจัดส่งน้ำมันเถื่อนไปสู่ลูกค้า ทำให้ชาติเสียประโยชน์อย่างใหญ่หลวง เสร็จสรรพ
ส่วนนักการเมืองที่ดีแต่โม้..ล้วนหน้ามะพลับหลังตะโก..ค้าน้ำมันตัวโต กันจั๋งหนับ

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

เท็จไม่แจ้ง..จริงไม่ยืนยัน
ว่ากันถึง คนผมหยิก หน้าก้อ คอสั้น ที่ตั้งตัวเป็นอริกับ “อดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร”..เพราะเขาไม่ช่วยเหลือ คดีหนีความผิดเลี่ยงภาษี จึงประกาศเป็นศัตรูกับท่าน
น่าสงสาร “ทักษิณ ชินวัตร” ไม่ช่วยมันโกง มันจึงอหังการ บอกขอเป็นศัตรู
“นายผมหยิก หน้าก้อ คอสั้น” ทำธุรกิจจัดสรรบ้านและที่ดิน แต่เลี่ยงภาษีไม่จ่ายเงินแผ่นดิน...มาขอให้ “ทักษิณ”ช่วย แต่เขาเมิน ..เพราะใครเป็นตัวขี้โกง “ทักษิณ” ไม่ช่วยดอกหนู
“ทักษิณ” ไม่คบค้าสมาคม กับคนโกงชาติคนโกงแผ่นดิน..ในที่สุด ก็โดนคนเลวตามเล่นงาน อย่างไม่ลดละ
ตอนนี้คนเล่นงานทักษิณมันเจ็บ...ถูกถอนเขี้ยวถอนเล็บ...เก็บฉากไปนั่งรอติดคุก แล้วหละ

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

มองเส้นทางอนาคต
การันตีได้ว่า “บิ๊กอ็อฟ” พล.ต.อ.เพรียวพันธุ์ ดามาพงศ์ ผบ.ตร. นับวันฟอร์มยิ่งสด
เกียรติคุณเพียบพร้อมไปหมด, หากจะเป็น “รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย” ในฐานะ “มท.๑” ไม่น่าจะบกพร่อง
ท่านทำงานเก่ง แบบคนมีกึ๋นมีสมอง
เมื่อ “บิ๊กอ๊อฟ” ต้องลุกจากเก้าอี้ไป ..ให้มอง “บิ๊กจูดี้” พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ นายตำรวจใหญ่ ที่ทำงานเข้าขากับ “รัฐบาลปู” เป็นอย่างดี จะมาเป็น “ผบ.ตร.”ที่ยิ่งใหญ่
ท่านพงศพัศเป็นทองเนื้อแท้..จะทำบ้านเมืองมีขื่อมีแป..ไม่แพ้แก็งค์ข้างถนนต่อไป

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ไวปานกามนิตหนุ่ม
คดีที่ดินรัชดา ที่ “ทักษิณ ชินวัตร” ตกเป็นจำเลย ลงโทษรวดเร็ว เห็นแล้วก็กลุ้ม
แต่คดีฆ่าประชาชนตาย ๙๑ ศพ...ผ่านไปช้าๆ อย่างเต่าคลาน.. หลายคนบอกว่าผิดหวัง
อยากเห็นทุกอย่าง ตัดสินด้วยความรวดเร็วมั่ง
ได้แต่ปลอบใจ ผู้รักประชาธิปไตย..จะกินอาหารให้อร่อย ต้องคอยใจเย็น ๆ ..ขณะนี้คดีฆ่าประชาชน เริ่มเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ที่ให้ความเที่ยงธรรม เป็นของแท้
ใครที่สั่งฆ่าประชาชนไปเป็นกุรุส...ตอนนี้น้ำเริ่มผุด...มันคงโดนถูกกุดหัวแน่..แน่

คอลัมน์:ตอดนิดตอดหน่อย,บางกอกทูเดย์
////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันศุกร์ที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2555

ลือ! ทักษิณโดนจับที่อิตาลี ด้านสุรพงษ์ บอกยังไม่ได้รับรายงาน.....

ทักษิณ ชินวัตร
วอนพรรคประชาธิปัตย์เลิกตามล่าทักษิณเพราะยิ่งหาท่านก็ยิ่งมีคนรัก
Mthai News ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายศิริโชค โสภา ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ ได้ออกมาเปิดเผยว่า ตนได้รับข้อมูลจากแหล่งข่าวชาวต่างชาติที่อยู่ในอินเตอร์โพลว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ถูกเจ้าหน้าที่ตม.ฟลอเรนซ์ ประเทศอิตาลี กักตัวไว้ขณะเดินทางเข้าอิตาลี วันที่ 21 มีนาคมที่ผ่านมา
ซึ่งคาดว่าพ.ต.ท.คงใช้หนังสือเดินทางของไทย ที่มีข้อมูลเกี่ยวกับการออกหมายจับสมัยรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์อยู่จึงทำให้ถูกจับ ขณะเดียวกันก็ได้กล่าวว่ารัฐบาลไทยติดต่อไปยังตม.ฟลอเรนซ์ให้ปล่อยตัวแล้ว ซึ่งหากเป็นจริงจะถือว่ากระทำผิดตามมาตรา 157 ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่เพราะหมายจับดังกล่าวยังคงอยู่
ด้านนายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่​างประเทศ ก็ได้ออกมาเผยถึงเรื่องดังกล่าวว่า ยังไม่ได้รับรายงานดังกล่าว แต่กระทรวงการต่างประเทศ ยืนยันว่าพ.ต.ท.ทักษิณ ไม่มีหมายจับตำรวจสากล หรืออินเตอร์โพล ซึ่งต้องถาม นายศิริโชค โสภา ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ว่าการออกมาให้ข่าวลักษณะนี้ต้​องการอะไร
ทั้งนี้ตนเองเคยให้ นายธานี ทองภักดี อธิบดีกรมสารนิเทศ และโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ไปตรวจสอบในเรื่องนี้นานมาแล้ว พบว่าตำรวจสากลไม่​เคยประกาศออกหมายจับ พ.ต.ท.ทักษิณ ตามที่ทางการไทยได้ร้องขอไปสมั​ยรัฐบาลชุดที่แล้ว
ส่วนกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ใช้หนังสือเดินทางสัญชาติไทยหรื​อมอนเตเนโกร ในการเดินทางเข้าประเทศต่างๆ นั้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่​างประเทศ กล่าวว่า พ.ต.ท.ทักษิณ มีหนังสือเดินทางหลายประเทศ ซึ่งจะใช้หนังสือเดินทางสัญชาติ​ใดนั้นตนเองไม่รับทราบ
ขึ้นอยู่กับ พ.ต.ท.ทักษิณ จะใช้เล่มใดที่สะดวกในการเดิ​นทาง ร้อมขอร้องให้พรรคฝ่ายค้านยุติ การตามล่า พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งหากยิ่งตาม สังคมไทยก็จะยิ่งรัก พ.ต.ท.ทักษิณ มากขึ้น

ที่มา.Mthai News
 

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ส.ส.เพื่อไทยคึกคักเตรียมเข้าลาวพบ ทักษิณ เดือน เมษายน !!?

“ยงยุทธ” ไฟเขียวลูกพรรคเข้าลาวพบ “ทักษิณ” ระบุเป็นสิทธิของแต่ละคน อยากไปด้วยเพราะมีเรื่องปรึกษาเยอะ แต่ไม่ว่าง “ยิ่งลักษณ์” โพสต์เฟซบุ๊คให้คำมั่นไม่ทำให้ประชาชนผิดหวังที่เลือกพรรคเพื่อไทย

นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ระบุว่า ส.ส.พรรคเพื่อไทยมีสิทธิและเสรีภาพที่จะเดินทางไปพบ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่จะเดินทางมาประเทศลาวในช่วงเดือนหน้า

“ทุกคนคิดถึงท่าน ผมเองก็มีปัญหาเยอะแยะที่อยากปรึกษา แต่ว่าไม่ว่างที่จะไปพบ”

ผู้สื่อข่าวถามว่า อาจมีการวิ่งเต้นขอตำแหน่งเพราะเดือน พ.ค. นี้กลุ่มบ้านเลขที่ 111 จะพ้นโทษตัดสิทธิการเมือง 5 ปี นายยงยุทธกล่าวว่า ทุกอย่างเป็นไปตามธรรมชาติของการเมือง และต้องยึดเสียงส่วนใหญ่ในพรรค

เมื่อถามว่า จะมีการยุบสภาเลือกตั้งใหม่เพื่อเปิดพื้นที่ให้กลุ่มบ้านเลขที่ 111 หรือไม่ นายยงยุทธกล่าวว่า คิดกันไปต่างๆนานา แต่ทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เพราะเป็นผู้มีอำนาจยุบสภา

ด้าน น.ส.ยิ่งลักษณ์โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ค Yingluck Shinawatra ถึงการจัดงานประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2555 พรรคเพื่อไทย เมื่อวันที่ 20 มี.ค. ที่ผ่านมาว่า “การที่เรามาสู่วันนี้ได้ สิ่งแรกก็คือ มาจากนโยบายพรรคที่แสดงเจตนารมณ์ในการที่จะดูแลช่วยเหลือประชาชนอย่างจริงจัง การแก้ปัญหาปากท้อง การแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางสังคม เศรษฐกิจ แล้วยังมีความสำเร็จของสาขาพรรค ของสมาชิกพรรค ที่ช่วยกันในการถ่ายทอดเจตนารมณ์นี้ไปยังประชาชน ขอให้เราทุกคนนั้นเปลี่ยนความสำเร็จครั้งนี้เป็นพลังในการดูแลพี่น้องประชาชน และเชื่อมั่นว่าทุกเสียงที่พี่น้องประชาชนไว้วางใจเรา เราต้องเคารพ และที่สำคัญ ยืนยันว่าพรรคเพื่อไทยจะไม่ทำให้พี่น้องประชาชนผิดหวังค่ะ”

ที่มา.หนังสือพิมพ์โลกวันนี้
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

เสธ.หนั่น VS บิ๊กบัง ใครสั่งรัฐประหาร 19 กันยาฯ - คำถามบางอย่างตายแล้วก็ตอบไม่ได้ !!?

หมายเหตุ : เมื่อวันที่ 22 มี.ค. มีการเสวนาหัวข้อ "รายงานผลการวิจัยการสร้างความปรองดองแห่งชาติของสถาบันพระปกเกล้า" โดยผู้ทรงคุณวุฒิ เปิดให้ฝ่ายที่เกี่ยวข้องแสดงความคิดต่อกระบวนการปรองดองในสังคมไทย ระหว่างเสวนา พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ ประธานที่ปรึกษาพรรคชาติไทยพัฒนา ลุกขึ้นถามให้พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน อดีตประธานคมช. ตอบเบื้องหลังรัฐประหาร 19 กันยายน 2549

------------



พล.ต.สนั่น กล่าวว่า ในการนำเสนอต่อกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการสร้างความปรองดองแห่งชาติ มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่เราจะต้องเริ่มต้นกระบวนการปรองดองให้ถูกต้อง มิฉะนั้นผลการศึกษาที่จะแถลงก็อาจไร้ผล ผมจึงขออนุญาตใช้เวลาเพียงเล็กน้อยในการตั้งข้อสังเกต ก่อนจะมีการแถลง

ณ วันนี้ย่อมไม่มีผู้ปฏิเสธได้ว่าปัญหาความแตกแยกในสังคมไทย มาถึงจุดที่วิกฤติอย่างยิ่ง โดยเฉพาะเป็นความแตกแยกทางความคิดทางการเมืองที่มีผลกระทบอย่างกว้างขวาง การศึกษาเพื่อแสวงหาหนทางปรองดอง เป็นความประสงค์ของทุกฝ่าย การระบุหารากเหง้าแห่งการขัดแย้งที่เกิดขึ้นว่ามาจากสาเหตุอันใด ก็นับเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง

แม้จะเป็นที่รับรู้กันว่าสังคมไทยเริ่มมีปัญหาความขัดแย้งทางความคิดมาแล้วตั้งแต่ก่อนหน้าวันที่ 19 กันยายน 2549 แต่เราก็ต้องยอมรับกันว่าความขัดแย้งเหล่านั้นอยู่ในระดับต่ำมาก เมื่อเทียบกับพัฒนาการของความขัดแย้งที่เป็นผลสืบเนื่องมาจากการปฏิวัติเมื่อ 19 กันยาย2549

หนทางเดียวที่จะนำไปสู่การปรองดองอย่างแท้จริงได้ในเวลานี้ ก็คือการที่คนทุกคนต้องออกมาพูดความจริง เพื่อไขข้อแคลงใจของประชาชนชาวไทยทั้งประเทศ คนผู้นั้นก็คือ พลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน ประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการสร้างความปรองดองแห่งชาติ ความจริงี่ท่านจะต้องทำให้กระจ่างก็คือ

1.ใครคือผู้อยู่เบื้องหลังการปฏิวัติ ใช่ตัวท่านเองหรือไม่ที่มีเหตุจูงใจส่วนตัวขอให้ท่าพูดความจริง เพราะมิฉะนั้น สาธารณชนทั่วไปยังคงแคลงใจว่าอำมาตย์และผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการปฏิวัติ เมื่อ 19 กันยายน 2549

2.เมื่อเกิดการปฏิวัติแล้ว ท่านและคณะฯได้เข้าเฝ้าถวายรายงานพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี เป็นผู้นำท่านเข้าเฝ้าหรือไม่ และพล.อ.เปรม รู้เห็นกับการปฏวัติหรือไม่ ท่านเคยได้เข้าพบแจ้งเรื่องการปฏิวัติต่อ พล.อ.เปรม ก่อนหน้านั้นหรือไม่

3.ภายหลังเกิดความขัดแย้งทางการเมือง จนเกิดความวุ่นวายขึ้นในประเทศพล.อ.เปรม ได้เคยขอให้ท่านออกมาพูดความจริง โดยผ่าน พล.อ.มงคล อัมพรพิสิฎฐ์ ใช่หรือไม่ และท่านได้พูดความจริงตามที่ร้องขอหรือไม่

"ผมและพรรคชาติไทยพัฒนา ได้พยายามแสวงหาหนทางปรองดองเพื่อประเทศชาติมาดดยตลอด จนถึงกับได้ประกาศเป็นนโยบายหลักของพรรค ทว่าความปรองดองทั้งหมดนี้จะไม่เป็นผล หากท่านไม่ยอมพูดความจริง ขอให้ท่านตอบทีละข้อและทุกข้อ เพื่อให้ประชาชนได้เข้าใจอย่างถูกต้องเกี่ยวกับการปฏิวัติ 19 กันยาย 2549"พล.ต.สนั่น ระบุ

หลังจากนั้น พล.อ.สนธิ กล่าวว่า ปัญหาความขัดแย้งเกิดขึ้นจากฝ่ายการเมืองแล้วจะแก้กันเองก่อน โดยฝ่ายกรรมาธิการปรองดองฯช่วยกันคิด ก่อนนำไปสู่คนในสังคมไทย ส่วนคำถามที่พล.ต.สนั้น ถามนั้น คำถามบางประการตายแล้วก็ตอบไม่ได้ ถ้าเปิดเผยวันนี้มันเร็ว เร็วหรือไม่ ไม่รู้ วันนี้เราต้องลืมอดีตคิดถึงปัจจุบันแล้วก็สร้างอนาคต

พล.อ.สนธิ ยกงานวิจัยของชาวฝรั่งเศส ชื่อ "รูแปง" กล่าวว่า สังคมไทยเจริญยาก มาจากคนไทยไม่ขยัน โกง อิจฉา และโอ้อวด และก่อนมีการขัดแย้งกัน สังคมไทยมีความรักเอื้ออาทร เห็นใจซึ่งกันและกัน วันนี้หายไป เราทำหลายสิ่งหลายอย่างมาอยู่ในใจของเรา ถึงเวลาแล้วที่ต้องมีการแก้ไข และว่า จากนี้นำรายงานการวิจัยของสถาบันพระปกเกล้าเข้าสภา โดย 38 ท่านผู้ทรงคุณวุฒิที่เสนอความเห็นเข้ามาโดยสภาต้องว่ากันไปตามรูปแบบของสภา ต้องยึดการให้อภัย ลืมอดีตกันเสียบ้างอะไรที่ไม่ควรพูดก็ไม่ต้องพูด

ที่มา ข่าวสดออนไลน์


++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันพฤหัสบดีที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2555

ส่องกล้องเขี้ยวเล็บสหรัฐในเอเชีย !!?



สหรัฐหวนกลับมาให้ความสำคัญต่อยุทธศาสตร์ในเอเชียอีกครั้งท่ามกลางความไม่พอใจของจีน และเพิ่มความหวาดระแวงเกี่ยวกับอิทธิพลสหรัฐแก่บางชาติ

ประธานาธิบดีโอบามา ประกาศอย่างชัดเจนว่า การรักษาบทบาทผู้นำทางการทหารในเอเชียตะวันออก จะยังคงเป็นเป้าหมายสำคัญอันดับแรกของสหรัฐ ในช่วงที่จีนทุ่มเงินมหาศาลในการเสริมสร้างเขี้ยวเล็บให้กับกองทัพ ซึ่งทางเดียวที่จะคานอำนาจจีนได้ ก็คือการเพิ่มกำลังทหารในเอเชียให้มากถึง 1 แสนนาย

ทั้งนี้ กำลังพลในปัจจุบันของสหรัฐในเอเชีย ประกอบด้วย ญี่ปุ่น สหรัฐมีฐานทัพ 23 แห่ง มีกำลังพลราว 47,000 นาย และเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน ประธานาธิบดีโอบามา เพิ่งจะลงนามในคำสั่งพิเศษ เพื่อให้ทหารญี่ปุ่น 2,500 นาย จากกองกำลังป้องกันตนเอง เข้าไปประจำการบนแผ่นดินสหรัฐ และยังได้รับไฟเขียวให้ใช้กำลังได้ ในกรณีที่จำเป็นต้องปกป้องผลประโยชน์ของญี่ปุ่นบนแผ่นดินสหรัฐอีกด้วย

เกาหลีใต้ มีกำลังพลรวม 29,000 นาย แต่ต่อมาได้มีการตกลงกันว่า จะลดจำนวนลงให้เหลือ 28,500 นาย ฮาวาย มีกำลังพลจำนวน 42,360 นาย ส่วนฟิลิปปินส์นั้น สหรัฐเคยมีฐานทัพอยู่ในฟิลิปปินส์ แต่ในปี 2535 สหรัฐต้องย้ายฐานทัพออก หลังจากวุฒิสภาฟิลิปปินส์โหวตให้สหรัฐถอนฐานทัพออกจากประเทศอย่างถาวร และปัจจุบัน สหรัฐขอใช้อดีตฐานทัพ สำหรับเป็นจุดเติมน้ำมันเครื่องบินและเรือรบเท่านั้น

สหรัฐ มีการปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์ครั้งใหม่ ประเดิมด้วยการเตรียมส่งนาวิกโยธิน 2,500 นาย ไปประจำการที่เมืองดาร์วิน ทางตอนเหนือของออสเตรเลีย และประชิดกับดินแดนของอินโดนีเซีย ระหว่างปี 2559 ถึง 2560 ซึ่งสร้างความไม่พอใจให้กับจีน ที่มองว่า สหรัฐกำลังเตรียมขยาย อิทธิพลเข้าไปคุมทะเลจีนใต้

นอกจากนี้ สหรัฐยังเตรียมส่งเรือรบสำหรับปฏิบัติการเขตน้ำตื้นไปยังสิงคโปร์ เพื่อช่วยให้กองกำลังภาคพื้นแปซิฟิก สามารถสับเปลี่ยนกำลังจากที่ตั้งต่าง ๆ ที่อยู่ใกล้เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้มากขึ้น

สหรัฐ กับญี่ปุ่นเห็นชอบร่วมกัน ที่จะเคลื่อนย้ายกำลังพลนาวิกโยธินสหรัฐ ที่ประจำการอยู่ในฐานทัพสหรัฐ บนเกาะโอกินาวาของญี่ปุ่นจำนวน 4,700 นาย ไปประจำการที่ฐานทัพบนเกาะกวมแทน หลังจากเคยตกลงกันไว้ว่าจะเคลื่อนย้ายกำลังพล จากเกาะโอกินาวาไปยังเกาะกวม มากถึง 8,000 นาย รวมทั้ง ย้ายฐานที่ตั้งของฐานทัพอากาศสหรัฐบนเกาะโอกินาวาด้วย

นอกจากนี้ การถูกต่อต้านจากชาวโอกินาวา และแรงกดดันจากการเมืองภายในของญี่ปุ่น ทำให้สหรัฐ เตรียมจะย้ายกำลังพลอีก 3,300 นาย ไปยังฐานทัพอื่น ๆ ในแถบมหาสมุทรแปซิฟิก เช่น ฮาวาย หรือออสเตรเลีย

ทั้งนี้ ทหารหน่วยนาวิกโยธินสหรัฐชุดแรกเกือบ 250 นายจากเกือบ 2,500 นายจะเดินทางไปประจำการที่ออสเตรเลียในเดือนหน้า โดยไปประจำการที่เมืองดาร์วิน ตามแผนการของนายโอบามา ที่ประกาศไว้ระหว่างเยือนออสเตรเลีย เมื่อปลายปีที่แล้วว่าจะส่งกำลังทหารเกือบ 2,500 นาย พร้อมด้วยเครื่องบินรบและเรือรบ ไปประจำการในรัฐนอร์ธเทิร์น เทอร์ริทอรี่ของออสเตรเลียภายในปี 2559

เนื่องจากสหรัฐ ไม่ได้มีฐานทัพในแผ่นดินออสเตรเลีย นาวิกโยธินชุดแรกจะถูกส่งไปประจำที่ค่ายทหารโรเบิร์ตสัน ของกองทัพออสเตรเลีย เพื่อฝึกอบรมและซ้อมรบ โดยจะมีการผลัดเปลี่ยนทหารสหรัฐทุก 6 เดือน

อย่างไรก็ตาม การเคลื่อนไหวของสหรัฐที่ส่งทหารไปยังออสเตรเลียครั้งนี้ สร้างความกังวลแก่ชาติเพื่อนบ้านในเอเชีย ที่มองว่าสหรัฐ กำลังส่งสัญญาณว่าต้องการปกป้องผลประโยชน์ของตนในภูมิภาคนี้ หลังจากจีน ขยายอิทธิพลในภูมิภาคนี้เพิ่มมากขึ้น

เมื่อปลายสัปดาห์ที่แล้ว นายมาร์ตี้ นาตาเลกาว่า รัฐมนตรีต่างประเทศอินโดนีเซีย บอกว่า การประจำการของนาวิกโยธินสหรัฐ ในออสเตรเลียเป็นสิ่งที่ควรมีการชี้แจงแก่ชาติต่างๆในเอเชียทั้งหมด เพื่อหลีกเลี่ยงการเกิดความหวาดระแวงไม่ไว้วางใจซึ่งกันและกัน

ขณะเดียวกัน ก็มีข่าวว่า ความคิดที่จะตั้งฐานประจำการเรือรบหลายลำในสิงคโปร์ กำลังอาจจะต่อยอดไปยังฟิลิปปินส์ รวมถึงไทย แต่ติดอุปสรรคด้านงบประมาณ แต่ตามแผนการที่วางเอาไว้ ในปี 2568 สหรัฐจะประจำการเรือรบชายฝั่ง (littoral combat ship) หลายลำในสิงคโปร์ และอาจส่งอากาศยาน เช่น เครื่องบินพี-8เอ โพไซดอน ซึ่งกำลังพัฒนาเพื่อใช้ในการติดตามเรือดำน้ำ ไปประจำการยังประเทศพันธมิตรตามสนธิสัญญาอย่างเช่น ฟิลิปปินส์ และไทยอีกด้วย

อย่างไรก็ตาม การที่สหรัฐ ไม่สามารถสนับสนุนค่าใช้จ่ายทางการเงิน และการทูตของฐานทัพหลักใหม่ ๆในต่างประเทศได้ ดังนั้น กองเรือรุ่นใหม่ในปี 2568 จึงจำเป็นต้องพึ่งพาท่าเรือของประเทศเจ้าถิ่นและสถานที่อื่น ๆ ที่เรือ เครื่องบิน และลูกเรือของสหรัฐ สามารถเติมเชื้อเพลิง แวะพัก ซ่อมบำรุงได้

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ย้ำผู้ว่าฯ ห้ามเกียร์ว่าง เร่งแก้ปัญหาหมอกควัน !!?

เผยนายกรัฐมนตรีห่วงปัญหาหมอกควัน สั่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งแก้ปัญหา ย้ำผู้ว่าฯ ตั้งใจทำงาน ห้ามเกียร์ว่าง เชื่อปัญหาจะคลี่คลาย

หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขปัญหาหมอกควัน โดยนายยงยุทธ วิชัยดิษฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายธีระ วงศ์สมุทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายปรีชา เร่งสมบูรณ์สุข รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม และผู้แทนกองทัพ ประชุมร่วมกัน เพื่อพิจารณาหาแนวทางการแก้ไขปัญหาหมอกควัน และไฟป่าในพื้นที่ภาคเหนือ ประชุมผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ ไปยังผู้ว่าฯ ภาคเหนือ 9 จังหวัดที่ประสบปัญหา ได้แก่ เชียงราย เชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง แม่ฮ่องสอน น่าน แพร่ พะเยา และตาก ซึ่งผู้ว่าฯ ได้รายงานสถานการณ์ปัญหาในแต่ละพื้นที่ให้ที่ประชุมได้รับทราบ

นายปรีชา เปิดเผยภายหลังการประชุมว่า ปัญหาหมอกควันเป็นเรื่องที่นายกรัฐมนตรีให้ความสำคัญ และกำชับหน่วยงานที่รับผิดชอบประชุมหาแนวทางแก้ไขปัญหา ซึ่งในที่ประชุมกำชับให้ผู้ว่าฯ ซึ่งถือเป็นซีอีโอ บูรณาการการทำงานร่วมกับทุกหน่วยงานในจังหวัด เพื่อเร่งแก้ไขปัญหา โดยต้องรับผิดชอบ หากเกิดปัญหาในพื้นที่ ซึ่งภาครัฐพร้อมที่จะเข้าไปสนับสนุน แต่ต้องมีการร้องขอมา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการทำฝนเทียม ตลอดจนการสนับสนุนเครื่องมือ

“ไม่ควรโทษว่า ปัญหาที่เกิดขึ้น เป็นผลกระทบมาจากประเทศเพื่อนบ้าน เพราะกระทรวงการต่างประเทศได้ประสาน และขอความร่วมมือไปแล้ว หากผู้ว่าฯ ตั้งใจทำงานอย่างเต็มที่ ไม่เกียร์ว่าง เชื่อว่าปัญหาจะค่อย ๆ ลดลง ส่วนการดูแลประชาชนที่อยู่ในพื้นที่วิกฤติ มีปัญหาเรื่องฝุ่นละอองเกินมาตรฐาน ได้กำชับให้สาธารณสุขจังหวัด เข้าไปดูแลสุขภาพของชาวบ้านในพื้นที่แล้ว” นายปรีชา กล่าว.

ที่มา.สำนักข่าวไทย
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++