รายการ รัฐบาลยิ่งลักษณ์พบประชาชน เช้าวันนี้ (25 ก.พ.55) นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี จัดรายการสดจากตลาดศูนย์การค้ามีนบุรี เขตมีนบุรี กรุงเทพมหานคร โดยเนื้อหารายการส่วสนใหญ่ เป็นการพูดถึงปัญหาราคาสินค้าแพง ที่ส่งผลกระทบต่อค่าครองชีพประชาชนทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ปัญหาราคาสินค้าแพง อยู่ในนโยบายรัฐบาลที่ต้องแก้ไข โดยที่ไม่แทรกแซงราคา จะปล่อยให้เป็นไปตามกลไกตลาด โดยคำนึงถึงอุปสงค์และอุปทานเป็นหลักในส่วนของผลผลิตไข่ไก่ที่ล้นตลาด มอบหมายให้ นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ แก้ปัญหาตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทาง ปริมาณการนำเข้าแม่พันธุ์ไก่เสรี ซึ่งทำให้ราคาไข่ไก่ถูกลง แต่หลังจากแปรสภาพและถึงมือผู้บริโภค ในวันนี้ยังมีราคาแพงอยู่ ซึ่งจะต้องบริหารจัดการราคาให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสมเป็นธรรม โดยขณะนี้ ร้านอาหารธงฟ้าของกระทรวงพาณิชย์ ได้คำนวณต้นทุนวัตถุดิบไข่ไก่ตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทาง พบว่า ไข่ไก่ถูกแปรสภาพจำหน่ายเป็นไข่เจียว สามารถจำหน่ายได้ในราคาจานละ 15 บาท
นายกรัฐมนตรี กล่าวด้วยว่า จะเร่งขยายโครงการ 1 ธงฟ้า 1 ชุมชน เกิดขึ้นให้มากที่สุด เร็วที่สุด เพื่อให้ร้านอาหารธงฟ้า เป็นทางเลือกหนึ่งให้กับผู้บริโภค และอยากเชิญชวนร้านค้าต่างๆ เข้าร่วมโครงการอาหารธงฟ้า เพื่อช่วยลดค่าครองชีพให้กับประชาชน เพราะหากร่วมมือกันเป็นจำนวนมากแล้ว จะช่วยให้เกิดความเข้าใจในกลไกตลาดร่วมกัน สุดท้ายจะช่วยให้ร้านค้ามีกำไรได้ด้วยเช่นกัน
ส่วนปัญหา สุกรล้นตลาด เริ่มนำปัญหาราคาหน้าฟาร์ม , ราคาชำแหละ , ราคาหน้าเขียง และแปรสภาพขายให้ผู้บริโภคนั้นเป็นธรรมแล้วหรือไม่อย่างไร ซึ่งในขณะนี้ราคาเนื้อหมูนั้น เบื้องต้นแก้ปัญหาในระยะสั้นด้วยการสั่งคุมราคาไปก่อน จากนั้นต้องหาจุดสมดุลของราคาที่เป็นธรรมกับทุกฝ่าย
ที่มา:เนชั่น
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
วันเสาร์ที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555
วันศุกร์ที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555
ถกสภาเลิกตี2-สว.ปัดวุ่นรับเงินผ่านร่างแก้ รธน. !!?
บรรยากาศการประชุมร่วมรัฐสภา เพื่อพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยการอภิปรายในช่วงดึกเป็นไปอย่างราบรื่น ทั้ง 3 ฝ่าย สลับกันอภิปราย โดยส่วนใหญ่ ส.ว. เลือกตั้ง ต่างสนับสนุนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยให้เหตุผลว่า ปี 2550 เป็นผลพวงจากการปฏิวัติรัฐประหาร ไม่เป็นประชาธิปไตย โดย ส.ว. หลายคนก็รอแก้ไขมาหลายปีแล้ว เพราะถือว่ารัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุด และต้องได้รับการยอมรับ อีกทั้งหลายมาตราก็เป็นปัญหา ทั้งนี้ ส.ว. หลายคนยังออกมาปฏิเสธข่าวที่ว่า มีการให้สินบน เพื่อให้ช่วยสนับสนุนการแก้ไขรัฐธรรมนูญด้วย ส่วน ฝ่ายค้าน ได้โจมตีว่า หากจะแก้ไขรัฐธรรมนูญ ก็ควรทำเป็นมาตรา และควรชี้ว่าแต่ละมาตรามีข้อบกพร่องอย่างไร รวมทั้งเห็นว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ยังไม่มีความจำเป็นเร่งด่วน เพราะมีเวลาอีกนาน แต่รัฐบาลควรแก้ไขปัญหาเร่งด่วนคือเรื่องปากท้องของประชาชน หรือ แก้ปัญหาปรองดองก่อน ทั้งนี้ เนื้อหาการแก้ไขก็ไม่ชัดเจนและเกรงว่าจะแก้ไขในหมวดพระมหากษัตริย์ หรือ ช่วยเหลือคน ๆ เดียว และจะยกเลิกองค์กรอิสระหรือไม่ ขอให้นายกฯและรัฐบาลยืนยันว่า จะไม่ยุ่งกับ 3 เรื่องนี้ และห่วงว่าจะไม่ทำให้เกิดความแตกแยก จนกระทั่งเวลา 02.10 น. พล.อ.ธีรเดช มีเพียร ได้สั่งพักการประชุมและให้เริ่มใหม่วันพรุ่งนี้ เวลา 09.00 น. รวมเวลาในการอภิปรายวันแรก 16 ชั่วโมง
นายอุดมเดช รัตนเสถียร ส.ส.นนทบุรี พรรคเพื่อไทย ในฐานะคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล หรือวิปรัฐบาล กล่าวว่า หลังจากที่วิปรัฐบาล นัดหมายกับวิป 2 ฝ่าย เบื้องต้นทราบว่าจะมีการขอขยายเวลาจากฝ่ายค้าน ให้เท่ากับฝ่ายรัฐบาล คือ ขยายออกไปอีก 1.30 ชั่วโมง ดังนั้น จึงจะขยายเวลาให้กับทั้งฝ่ายค้านและวุฒิสภา ตามที่ขอมา คือ ทุกฝ่ายจะได้อภิปรายรวม 9.30 ชั่วโมง โดยเมื่ออภิปรายเสร็จ จะลงมติรับหลักการหรือไม่ ในทันที ทั้งนี้ ส่วนตัว ให้คะแนนการอภิปราย วานนี้ 8 เต็ม 10
ที่มา:หนังสือพิมพ์โลกวันนี้
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
นายอุดมเดช รัตนเสถียร ส.ส.นนทบุรี พรรคเพื่อไทย ในฐานะคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล หรือวิปรัฐบาล กล่าวว่า หลังจากที่วิปรัฐบาล นัดหมายกับวิป 2 ฝ่าย เบื้องต้นทราบว่าจะมีการขอขยายเวลาจากฝ่ายค้าน ให้เท่ากับฝ่ายรัฐบาล คือ ขยายออกไปอีก 1.30 ชั่วโมง ดังนั้น จึงจะขยายเวลาให้กับทั้งฝ่ายค้านและวุฒิสภา ตามที่ขอมา คือ ทุกฝ่ายจะได้อภิปรายรวม 9.30 ชั่วโมง โดยเมื่ออภิปรายเสร็จ จะลงมติรับหลักการหรือไม่ ในทันที ทั้งนี้ ส่วนตัว ให้คะแนนการอภิปราย วานนี้ 8 เต็ม 10
ที่มา:หนังสือพิมพ์โลกวันนี้
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
วันพฤหัสบดีที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555
ปฏิรูป..รัฐธรรมนูญ !!?
ได้ฤกษ์ขึ้นโครงตีจั่วกันเป็นที่เรียบร้อยกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ของประเทศไทย ประเทศที่ใช้รัฐธรรมนูญเปลืองไม่แพ้ชาติใดในโลก! รัฐบาลเองก็เดินหน้าเต็มสูบแก้ไขมาตรา 291 เปิดทางให้มีสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) งานนี้ถือเป็นการพิจารณาเป็นวาระลับเฉพาะกระทรวงยุติธรรมได้เสนอเหตุผลว่า ควรแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ เพื่อเป็นพื้นฐานสำคัญในการปฏิรูปการเมือง ซึ่งมี สภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) ประกอบด้วย บุคคลจากหลายสายอาชีพ
เป็นองค์กรจัดทำร่างรัฐธรรมนูญ เพื่อปรับปรุงโครง สร้างทางการเมืองให้มีเสถียรภาพและประสิทธิภาพยิ่งขึ้นเพื่อเป็นพื้นฐานปฏิรูปการเมือง โดย จะมีการตั้ง ส.ส.ร.3 จังหวัดละคนผสมที่ประชุมรัฐสภาสรรหา 22 รวม 99 คน กำหนดกรอบจัดทำร่าง รธน.แล้วเสร็จ 180 วัน ส่งให้ กกต.จัดทำประชามติให้เสร็จภายใน 15 วัน หากไม่ผ่านตั้ง ส.ส.ร.ชุดที่ 4 ใหม่ แต่คนเก่าเข้าร่วมไม่ได้ขณะเดียวกันผู้ตรวจการแผ่นดิน นายประวิช รัตนเพียร ได้มีการแต่งตั้ง 10 อรหันต์ ขึ้นมาทำงานควบคู่ในฐานะคณะที่ปรึกษา ตามมาตรา 244 โดยกำหนดให้ผู้ตรวจการแผ่นดิน มีอำนาจในการติดตาม ประเมินผล และจัดทำข้อเสนอ แนะในการปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ ตลอด ถึงข้อพิจารณาเพื่อแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญในกรณีที่เห็นว่าจำเป็น
สำหรับคณะที่ปรึกษาที่ได้รับการแต่งตั้งขึ้นมาในครั้งนี้ประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญทางด้านกฎหมาย จำนวน 4 คน ได้แก่ ศ.นรนิติ เศรษฐบุตร อดีตประธานสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) ปี 2550 ศ.ดร.วิษณุ เครืองาม อดีตรองนายกรัฐมนตรี ศ.ดร. บวรศักดิ์ อุวรรณโณ เลขาธิการสถาบันพระปกเกล้า และ ศ.ดร.สุรพล นิติไกรพจน์ อดีตอธิการบดี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ผู้เชี่ยวชาญด้านรัฐศาสตร์ 4 คน ประกอบด้วย ศ.ดร.สมบัติ ธำรงธัญวงศ์ อธิการบดี สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหาร ศาสตร์ (นิด้า) ศ.ดร.ธีรภัทร์ เสรีรังสรรค์ อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัย สุโขทัยธรรมาธิราช ศ.ดร.ศุภชัย เยาวะประภาษ คณบดีคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ ศ.ดร.จรัส สุวรรณมาลา อดีตคณบดีคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อดีต ส.ส.ร. ปี 2550
ส่วนคณะที่ปรึกษาด้านกฎหมายอีก 2 คน ประกอบด้วย ผศ.ดร.ปริญญา เทวานฤมิตรกุล รองอธิการบดี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และ รศ.ดร.กิตติศักดิ์ ปรกติ อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในส่วนของ 10 อรหันต์ หรือคณะที่ ปรึกษาที่ได้รับการแต่งตั้งขึ้นมา ถือว่าน่าสนใจและน่าติดตามอยู่ไม่น้อย เพราะนอกจาก จะเป็นผู้ทรงคุณวุฒิแล้ว หลายคนยังเป็นเหมือนตัวแทนจากฝ่าย “Conservative” จับประเด็นจากทั้ง อ.วิษณุ เครืองาม และ อ.บวรศักดิ์ อุวรรณโณ ต่างก็เคยหนุนตักพรรคเพื่อไทยในยุครุ่งเรืองมาแล้ว ทั้งสิ้น แต่เมื่อป๋าสั่งให้ถอนสมอ..ทั้งสองท่านก็รีบถอนแบบไม่ต้องลังเลแม้แต่น้อย.. ถ้าจะเรียกได้ว่า “เด็กป๋า” ก็คงไม่ผิด อะไรนัก
สำหรับลักษณะการทำงานของทั้งทีมเชื่อว่านี้น่าคู่ขนานกันไปอย่างราบรื่น โดยฝ่าย ส.ส.ร. เป็นผู้ร่างรัฐธรรมนูญตาม ที่คณะที่ปรึกษาตีธง โดยไม่ต้องสับสน เพราะแม้ถึงทั้ง 2 ทีมจะมีที่มาจากคนละฟากฝั่ง แต่จากปรากฏการณ์ดนตรีกล่อมใจสลายกำแพงที่เป็นโอกาสให้นายกฯ ยิ่งลักษณ์ และ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ได้มีโอกาสพบปะสังสรรค์กันเพื่อเคลียร์ปัญหาคาใจกันไปเรียบร้อย ทำให้เชื่อว่า การทำงานเพื่อประเทศจะดำเนินไปอย่างคล่องตัวและสะดวกขึ้น
แม้แต่กรณีของการแก้รัฐธรรมนูญในครั้งนี้ ก็ต้องถือว่าเป็นผลพวงที่น่าพอใจ และเชื่อว่าผลที่ออกมาจะเป็นไปด้วยดีจนต้องบันทึกไว้เป็นอีกหน้า หนึ่งของประวัติศาสตร์รัฐธรรมนูญ ไทยว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้ไม่ใช่ แค่การแก้ไข..แต่เป็นการปฏิรูปรัฐธรรมนูญของราชอาณาจักรไทยและเนื่องจากรัฐธรรมนูญฉบับใหม่นี้จะมีการจัดทำโดยมีรัฐธรรมนูญปี 40 เป็นแม่แบบทำให้ร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่นี้มีความใกล้ชิดประชาชนมากขึ้น เพราะประชาชนจะมีส่วนร่วม ตั้งแต่กระบวนการเริ่มแรก จนถึง ขั้นตอนสุดท้าย
หากเป็นได้ดังนั้นแล้ว ประชาชนจะมีความผูกพันกับรัฐธรรมนูญ และรู้สึกหวงแหน เพราะตนเองเป็นเจ้าของ และย่อม พยายามปกป้องรักษา..ใครจะล้มล้าง ฉีกทิ้งทำลาย ไม่ใช่เรื่องง่าย นี่แหละ..รัฐธรรมนูญ ฉบับในฝัน!!!
ที่มา:สยามธุรกิจออนไลน์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
เป็นองค์กรจัดทำร่างรัฐธรรมนูญ เพื่อปรับปรุงโครง สร้างทางการเมืองให้มีเสถียรภาพและประสิทธิภาพยิ่งขึ้นเพื่อเป็นพื้นฐานปฏิรูปการเมือง โดย จะมีการตั้ง ส.ส.ร.3 จังหวัดละคนผสมที่ประชุมรัฐสภาสรรหา 22 รวม 99 คน กำหนดกรอบจัดทำร่าง รธน.แล้วเสร็จ 180 วัน ส่งให้ กกต.จัดทำประชามติให้เสร็จภายใน 15 วัน หากไม่ผ่านตั้ง ส.ส.ร.ชุดที่ 4 ใหม่ แต่คนเก่าเข้าร่วมไม่ได้ขณะเดียวกันผู้ตรวจการแผ่นดิน นายประวิช รัตนเพียร ได้มีการแต่งตั้ง 10 อรหันต์ ขึ้นมาทำงานควบคู่ในฐานะคณะที่ปรึกษา ตามมาตรา 244 โดยกำหนดให้ผู้ตรวจการแผ่นดิน มีอำนาจในการติดตาม ประเมินผล และจัดทำข้อเสนอ แนะในการปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ ตลอด ถึงข้อพิจารณาเพื่อแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญในกรณีที่เห็นว่าจำเป็น
สำหรับคณะที่ปรึกษาที่ได้รับการแต่งตั้งขึ้นมาในครั้งนี้ประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญทางด้านกฎหมาย จำนวน 4 คน ได้แก่ ศ.นรนิติ เศรษฐบุตร อดีตประธานสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) ปี 2550 ศ.ดร.วิษณุ เครืองาม อดีตรองนายกรัฐมนตรี ศ.ดร. บวรศักดิ์ อุวรรณโณ เลขาธิการสถาบันพระปกเกล้า และ ศ.ดร.สุรพล นิติไกรพจน์ อดีตอธิการบดี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ผู้เชี่ยวชาญด้านรัฐศาสตร์ 4 คน ประกอบด้วย ศ.ดร.สมบัติ ธำรงธัญวงศ์ อธิการบดี สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหาร ศาสตร์ (นิด้า) ศ.ดร.ธีรภัทร์ เสรีรังสรรค์ อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัย สุโขทัยธรรมาธิราช ศ.ดร.ศุภชัย เยาวะประภาษ คณบดีคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ ศ.ดร.จรัส สุวรรณมาลา อดีตคณบดีคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อดีต ส.ส.ร. ปี 2550
ส่วนคณะที่ปรึกษาด้านกฎหมายอีก 2 คน ประกอบด้วย ผศ.ดร.ปริญญา เทวานฤมิตรกุล รองอธิการบดี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และ รศ.ดร.กิตติศักดิ์ ปรกติ อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในส่วนของ 10 อรหันต์ หรือคณะที่ ปรึกษาที่ได้รับการแต่งตั้งขึ้นมา ถือว่าน่าสนใจและน่าติดตามอยู่ไม่น้อย เพราะนอกจาก จะเป็นผู้ทรงคุณวุฒิแล้ว หลายคนยังเป็นเหมือนตัวแทนจากฝ่าย “Conservative” จับประเด็นจากทั้ง อ.วิษณุ เครืองาม และ อ.บวรศักดิ์ อุวรรณโณ ต่างก็เคยหนุนตักพรรคเพื่อไทยในยุครุ่งเรืองมาแล้ว ทั้งสิ้น แต่เมื่อป๋าสั่งให้ถอนสมอ..ทั้งสองท่านก็รีบถอนแบบไม่ต้องลังเลแม้แต่น้อย.. ถ้าจะเรียกได้ว่า “เด็กป๋า” ก็คงไม่ผิด อะไรนัก
สำหรับลักษณะการทำงานของทั้งทีมเชื่อว่านี้น่าคู่ขนานกันไปอย่างราบรื่น โดยฝ่าย ส.ส.ร. เป็นผู้ร่างรัฐธรรมนูญตาม ที่คณะที่ปรึกษาตีธง โดยไม่ต้องสับสน เพราะแม้ถึงทั้ง 2 ทีมจะมีที่มาจากคนละฟากฝั่ง แต่จากปรากฏการณ์ดนตรีกล่อมใจสลายกำแพงที่เป็นโอกาสให้นายกฯ ยิ่งลักษณ์ และ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ได้มีโอกาสพบปะสังสรรค์กันเพื่อเคลียร์ปัญหาคาใจกันไปเรียบร้อย ทำให้เชื่อว่า การทำงานเพื่อประเทศจะดำเนินไปอย่างคล่องตัวและสะดวกขึ้น
แม้แต่กรณีของการแก้รัฐธรรมนูญในครั้งนี้ ก็ต้องถือว่าเป็นผลพวงที่น่าพอใจ และเชื่อว่าผลที่ออกมาจะเป็นไปด้วยดีจนต้องบันทึกไว้เป็นอีกหน้า หนึ่งของประวัติศาสตร์รัฐธรรมนูญ ไทยว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้ไม่ใช่ แค่การแก้ไข..แต่เป็นการปฏิรูปรัฐธรรมนูญของราชอาณาจักรไทยและเนื่องจากรัฐธรรมนูญฉบับใหม่นี้จะมีการจัดทำโดยมีรัฐธรรมนูญปี 40 เป็นแม่แบบทำให้ร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่นี้มีความใกล้ชิดประชาชนมากขึ้น เพราะประชาชนจะมีส่วนร่วม ตั้งแต่กระบวนการเริ่มแรก จนถึง ขั้นตอนสุดท้าย
หากเป็นได้ดังนั้นแล้ว ประชาชนจะมีความผูกพันกับรัฐธรรมนูญ และรู้สึกหวงแหน เพราะตนเองเป็นเจ้าของ และย่อม พยายามปกป้องรักษา..ใครจะล้มล้าง ฉีกทิ้งทำลาย ไม่ใช่เรื่องง่าย นี่แหละ..รัฐธรรมนูญ ฉบับในฝัน!!!
ที่มา:สยามธุรกิจออนไลน์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
วันพุธที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555
ประยุทธ์ > ชี้ไทยต้องนิ่ง พูดมากไม่เกิดประโยชน์ หวั่นกลายเป็นคู่ขัดแย้ง !!?
ที่กองพลทหารม้าที่ 2 รักษาพระองค์ (พล.ม.2) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ให้สัมภาษณ์ก่อนเดินทางไปหน่วยบัญชาการพิเศษ เนื่องในวันคล้ายวันสถาปนา ที่ จ.ลพบุรี ต่อคำถามที่ว่าหน่วยรบพิเศษมีหน่วยงานด้านการข่าวจะเน้นย้ำอะไรเป็นพิเศษหรือไม่ โดยเฉพาะงานด้านความมั่นคงว่า งานด้านการข่าวจะต้องทำอย่างต่อเนื่อง และมีการย้ำเตือนมาตลอด โดยเฉพาะภัยคุกคามในช่วงนี้มีอะไรบ้าง ดังนั้น ทุกอย่างต้องขยับเคลื่อนไหวต่อเนื่อง เพื่อให้เกิดผลงานปรากฏงานด้านการข่าว ทหารรับผิดชอบหลักในด้านการป้องกันชายแดนและงานข่าวกรองด้านการรบ คือ ข่าวที่รับมาและมาเข้าหน่วยข่าวกรอง มีการวิเคราะห์ออกมาจนเป็นผลิตผลและน่าเชื่อถือได้ก่อนจะนำไปสู่การปฏิบัติของกองกำลังตามแนวชายแดน
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ปัจจุบันกองทัพมีส่วนร่วมในการปฏิบัติงานของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) โดยมีศูนย์ปฏิบัติการ 6 ศูนย์รับผิดชอบภัยคุกคาม 6 อย่าง หนึ่งในนั้นมีเรื่องการป้องกันการก่อการร้ายด้วย ซึ่งกองทัพจะใช้ในลักษณะการประสานความร่วมมือการด้านการข่าว ทั้งสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ตำรวจ รัฐบาล และเชื่อมต่อกับในส่วนของต่างประเทศ ก่อนจะนำเข้ามาสู่ประชาคมข่าวกรองมีการประเมินกันทุกสัปดาห์ก่อนจะนำไปปฏิบัติ งานข่าวเป็นงานที่ยาก ต้องอาศัยเจ้าหน้าที่ที่มีความชำนาญ มีการฝึกอบรมโดยเฉพาะหลักสูตรข่าวลับ ที่ต้องมีการทำงานที่ลึกลงไปมากกว่าปกติ นอกจากนี้ ที่ผ่านมาแหล่งข่าวทั้งโลกไม่มีใครทำได้ 100% ว่าจะไม่ให้มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น ผู้ร้ายอาศัยในช่วงที่เจ้าหน้าที่เผลอในการก่อเหตุ ดังนั้น ต้องมีอุปกรณ์เสริมอย่าง กล้องซีซีทีวี การเฝ้าระวังของประชาชน ถ้าช่วยกันก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ถือเป็นสิ่งสำคัญซึ่งทั่วโลก
"ทุกวันนี้โลกเจริญ ถ้าเราไม่รู้จักป้องกันตัวเอง โทษกันไปมาก็ไม่จบ ทั้งนี้ ต้องดูว่าทำอย่างไรจะไม่เกิดขึ้นอีกในอนาคต การเข้ามาในประเทศไทยต้องควบคุมที่ดี รวมถึงการเฝ้าระวัง ที่ผ่านมาอาจจะมีช่องว่างจึงต้องกวดขัน ทั้งนี้ เรื่องการก่อการร้ายเราอย่าไปเป็นคู่ขัดแย้งดีที่สุด ใครทำผิดกฎหมายก็ว่ากันไป เราอย่าไปลงความเห็นว่าประเทศไทยจะเป็นอย่างโน้นอย่างนี้ยิ่งพูดทำให้เกิดความเสียหาย ทาง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้พูดไปหมดแล้ว หากจะพูดกันไปมาทุกวันจะไม่เกิดประโยชน์" ผบ.ทบ.ระบุ
ที่มา:มติชนออนไลน์
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ปัจจุบันกองทัพมีส่วนร่วมในการปฏิบัติงานของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) โดยมีศูนย์ปฏิบัติการ 6 ศูนย์รับผิดชอบภัยคุกคาม 6 อย่าง หนึ่งในนั้นมีเรื่องการป้องกันการก่อการร้ายด้วย ซึ่งกองทัพจะใช้ในลักษณะการประสานความร่วมมือการด้านการข่าว ทั้งสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ตำรวจ รัฐบาล และเชื่อมต่อกับในส่วนของต่างประเทศ ก่อนจะนำเข้ามาสู่ประชาคมข่าวกรองมีการประเมินกันทุกสัปดาห์ก่อนจะนำไปปฏิบัติ งานข่าวเป็นงานที่ยาก ต้องอาศัยเจ้าหน้าที่ที่มีความชำนาญ มีการฝึกอบรมโดยเฉพาะหลักสูตรข่าวลับ ที่ต้องมีการทำงานที่ลึกลงไปมากกว่าปกติ นอกจากนี้ ที่ผ่านมาแหล่งข่าวทั้งโลกไม่มีใครทำได้ 100% ว่าจะไม่ให้มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น ผู้ร้ายอาศัยในช่วงที่เจ้าหน้าที่เผลอในการก่อเหตุ ดังนั้น ต้องมีอุปกรณ์เสริมอย่าง กล้องซีซีทีวี การเฝ้าระวังของประชาชน ถ้าช่วยกันก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ถือเป็นสิ่งสำคัญซึ่งทั่วโลก
"ทุกวันนี้โลกเจริญ ถ้าเราไม่รู้จักป้องกันตัวเอง โทษกันไปมาก็ไม่จบ ทั้งนี้ ต้องดูว่าทำอย่างไรจะไม่เกิดขึ้นอีกในอนาคต การเข้ามาในประเทศไทยต้องควบคุมที่ดี รวมถึงการเฝ้าระวัง ที่ผ่านมาอาจจะมีช่องว่างจึงต้องกวดขัน ทั้งนี้ เรื่องการก่อการร้ายเราอย่าไปเป็นคู่ขัดแย้งดีที่สุด ใครทำผิดกฎหมายก็ว่ากันไป เราอย่าไปลงความเห็นว่าประเทศไทยจะเป็นอย่างโน้นอย่างนี้ยิ่งพูดทำให้เกิดความเสียหาย ทาง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้พูดไปหมดแล้ว หากจะพูดกันไปมาทุกวันจะไม่เกิดประโยชน์" ผบ.ทบ.ระบุ
ที่มา:มติชนออนไลน์
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
วันอังคารที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555
การเมือง เรื่องนม เด็ก !!?
ภายใต้ภาพอันสวยหรู! ที่รัฐบาลได้ จัดสรรเม็ดเงินนับหมื่นล้านบาท เข้าไป “อุดหนุน” โครงการนมโรงเรียน แต่จนแล้วจนรอด..อภิโปรเจกต์นี้ ก็ยังประสบปัญหามากมาย ทั้งปมงาบหัวคิว การปลอมปนนมเด็ก หรือแม้แต่การจัดสรรโควตาที่ไม่โปร่งใส เหล่านี้ได้ยึดโยงไปถึง “มหากาพย์ทุจริตนมโรงเรียน” ที่ฝังรากมายาวนานนับสิบปี กระนั้นรัฐบาลก็ทำการจัดสรรงบประมาณปี 2555 กว่า 1.4 หมื่นล้านบาท เพื่อ ให้เด็กนักเรียนราว 8 ล้านคนได้ดื่มนมฟรี แต่ปรากฏว่า ในจำนวนนี้มีการปลอมปน “นมเด็ก” ไปมากถึง 70% และมีเม็ดเงินถึงมือเกษตรกรเพียง 1.5 พันล้านบาทเท่านั้น ที่น่าแปลก เพราะมีการกำหนด “โควตานม” วันละประมาณ 8 ล้านกล่อง แต่มีเด็กนักเรียนอยู่ 60% ที่ได้ดื่มนมฟรี ส่วนที่เหลืออีก 40% กลับไม่ได้ดื่ม นั่นเพราะยังคงมีปัญหานมบูด-เน่าเสีย หรือ แม้แต่การจัดสรรโควตานมที่ไม่ทั่วถึง
ยิ่งที่ผ่านมา ได้ปรากฏรายการ “ฮั้วโควตานม” โดยมีนักการเมืองคอยชี้โพรงให้เอกชนสองรายใหญ่เข้าไป “ผูกขาด!” ซึ่งแม้รัฐบาลจะใช้ระบบ “นายหน้า” หรือให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) เป็นผู้จัดซื้อเองโดยผ่าน “กลไก” ของทางกระทรวง เกษตรและสหกรณ์ แต่ก็ไม่สามารถแก้ปัญหาเหล่านี้ได้
ขณะที่ผลพวงจากปัญหานมล้นตลาด ก็เป็นอีกเรื่องที่รัฐบาล “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ต้องรีบเข้ามาปัดกวาดขยะที่ซุกกันไว้ใต้พรม!! หลังจากเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมออกมาร้องแรกแหกกระเชอ! อ้างประสบปัญหาการขายน้ำนมดิบ เนื่องจาก 3 โรงงาน ประสบ ภาวะน้ำท่วมจึงไม่สามารถรับซื้อน้ำนมดิบได้ เกษตรกรจึงไม่มีแหล่งขาย ทาง ครม.จึงได้อนุมัติงบกลางปี 2555 วงเงิน 205.50 ล้าน บาท มาจัดซื้อนมพาสเจอไรส์ให้กับเด็กนักเรียนก่อนวัยเรียนจนถึง ป.6 นั่นก็เป็นเพียงการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า และชี้ให้เห็นว่า..รัฐบาลยังเกาไม่ถูกที่คัน!
เพราะไม่คิดจะเชือดไก่ให้ลิงดู หรือ ไม่กล้าฟัน “คนกันเอง” อันถือเป็นหมาย เหตุแห่งคอร์รัปชั่นทั้งปวง แถมคนกลุ่มนี้ ยังมีผลประโยชน์ต่างตอบแทนกับ “แก๊ง สวาปามนมเด็ก” มาทุกยุคทุกสมัย แต่ในทันทีที่รัฐบาลเปิดเกม “จับปู ใส่กระด้ง” ด้วยการเชิดหัว “ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ” เข้าไปค้ำยันในเก้าอี้ รมช.กระทรวงเกษตร ก็ได้เกิดแรงกระเพื่อมไหวอิงอยู่เป็นระลอก กระนั้นหลายฝ่ายก็ยังมองไปถึงการที่ “ณัฐวุฒิ” เข้าไปสานสัมพันธ์ใกล้ชิดกับกลุ่มสหกรณ์โคนมซึ่งเสียผลประโยชน์จากการนี้มหาศาล ทั้งที่ไม่มีการมอบหมายงานให้ดูแลในส่วนนี้ นั่นจึงเป็นอะไรที่ดูน่ากังขา และส่อเค้าลางว่า..อาจมีการกระทบกระทั่ง กันเมื่อใดก็ได้ ซึ่งที่สุดคงหนีไม่พ้น “ศึกใน” ระหว่างพรรคร่วมรัฐบาล โดยเฉพาะการ “รื้อระบบโควตานม” ซึ่งเดิมทีเป็นการผูกขาดของพรรคการเมือง พันธุ์ปลาไหล ที่ทำมาหากินมาในทุกยุคสมัยที่ เข้ามา “กุมอำนาจ” ในแดนสนธยาแห่งนี้ อีกทั้งได้มี “อินไซเดอร์” ออกมาแฉ กลวิธี!..การหักส่วนแบ่งค่าการตลาดของ ฝ่ายการเมืองที่เก็บอยู่ในอัตรากล่องละ 50 สตางค์ ในโควตานม 8 ล้านกล่องต่อวัน หรือ คิดเป็น 120 ล้านบาท/เดือน ซึ่งในปีหนึ่งๆ ก็มีส่วนแบ่งค่าการตลาดมากถึง 1,440 ล้านบาท เข้าไปอยู่ในบัญชีลับของ “ผู้มีอำนาจ” ในการจัดสรรโควตาฯ
นอกจากนี้ ยังมีการ “สวมสิทธิ์” รับซื้อ น้ำนมดิบ ขณะที่ตัวเลขการซื้อนมก็ไม่ตรงตามจริง เพราะผู้ประกอบการเหล่านี้แทนที่ จะรับซื้อนมจากเกษตรกร แต่กลับซื้อนมผง จากต่างประเทศมาคืนรูป เพราะจะทำให้ได้ ส่วนแบ่งถึง 13% มากกว่ากำไร 4% ที่ได้จากการผลิตด้วยนมโคสด ทำให้ปัญหานมล้นตลาดเกิดขึ้นซ้ำซากยิ่งไปกว่านั้น ระบบตรวจสอบก็ยังมีปัญหาเช่นกัน เจ้าหน้าที่รัฐไม่เรียกเก็บ “ใบ รับรองสิทธิ” มาตรวจสอบ และไม่แนบหนังสือ รับรองสิทธิ์การซื้อน้ำนมดิบ เพื่อใช้ประกอบ การยื่นฎีกาเบิกเงินงบประมาณ ส่วนการจัด จำหน่ายนมโรงเรียนก็มีปัญหานายหน้า หรือ “มาเฟียนม” มีทั้งการฮั้วประมูลและการเรียกเก็บค่าหัวคิว ที่สุดก็ไร้ซึ่งการตรวจสอบ คุณภาพนมก่อนส่งให้เด็กนักเรียนนำไปบริโภค สิ่งนี้ถือเป็น “หมากใต้กระดาน” ที่ รัฐนาวายิ่งลักษณ์ ต้องรีบเข้าไปสะสาง! หากไม่คิดให้ซีกฝ่ายค้านหยิบฉวยไปเป็นเครื่องมือ “ลากไส้รัฐบาล” ในการอภิปรายฯ เที่ยวล่าสุดนี้
เหนืออื่นใด การที่รัฐบาลจะหมายมั่น เข้าไป “ล้างโกง” ให้อยู่หมัดนั้น ก่อนอื่นคงต้องทำการ “ปฏิรูป” นโยบายนมโรงเรียนทั้งระบบ ด้วยการตัดวงจรนายหน้าออกไป เพราะพบว่า 12% ของกำไรจากอุตสาหกรรม นมโคสดแท้ ตกไปอยู่ที่คนกลุ่มนี้ ดังนั้นรัฐบาลอาจต้องหันไปสนับสนุนเกษตรกรโคนม พึ่งตนเองได้ด้วยการ “เพิ่มอำนาจต่อ รอง” ให้มากขึ้น เพราะถือได้ว่ารัฐผุดโครงการนี้ขึ้นมาก็เพื่อหาทางออกให้กับปัญหาน้ำนมดิบล้นตลาด! โดยเพิ่มความต้องการน้ำนมดิบเข้ามาในระบบไปพร้อมๆ กับการจัดสวัสดิการอาหารเสริมให้แก่เด็กและเยาวชนของประเทศ
แต่กระนั้น ทางออกอันสวยหรูที่ “รัฐนาวา” วาดภาพฝันไว้นั้น กลับเต็มไป ด้วยขวากหนามอันแหลมคม! เพราะนับจากเริ่มต้น “อภิโปรเจกต์นมโรงเรียน” ก็ เกิดปัญหาตามมามิได้หยุดหย่อน วนเวียน จากปัญหาทุจริตคอร์รัปชั่นที่กำลังเบ่งบาน ณ ตอนนี้ นำไปสู่ปมการเมืองเรื่องนมเด็ก.. ในอีกวาระหนึ่ง!?!
ที่มา:สยามธุรกิจ
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ยิ่งที่ผ่านมา ได้ปรากฏรายการ “ฮั้วโควตานม” โดยมีนักการเมืองคอยชี้โพรงให้เอกชนสองรายใหญ่เข้าไป “ผูกขาด!” ซึ่งแม้รัฐบาลจะใช้ระบบ “นายหน้า” หรือให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) เป็นผู้จัดซื้อเองโดยผ่าน “กลไก” ของทางกระทรวง เกษตรและสหกรณ์ แต่ก็ไม่สามารถแก้ปัญหาเหล่านี้ได้
ขณะที่ผลพวงจากปัญหานมล้นตลาด ก็เป็นอีกเรื่องที่รัฐบาล “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ต้องรีบเข้ามาปัดกวาดขยะที่ซุกกันไว้ใต้พรม!! หลังจากเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมออกมาร้องแรกแหกกระเชอ! อ้างประสบปัญหาการขายน้ำนมดิบ เนื่องจาก 3 โรงงาน ประสบ ภาวะน้ำท่วมจึงไม่สามารถรับซื้อน้ำนมดิบได้ เกษตรกรจึงไม่มีแหล่งขาย ทาง ครม.จึงได้อนุมัติงบกลางปี 2555 วงเงิน 205.50 ล้าน บาท มาจัดซื้อนมพาสเจอไรส์ให้กับเด็กนักเรียนก่อนวัยเรียนจนถึง ป.6 นั่นก็เป็นเพียงการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า และชี้ให้เห็นว่า..รัฐบาลยังเกาไม่ถูกที่คัน!
เพราะไม่คิดจะเชือดไก่ให้ลิงดู หรือ ไม่กล้าฟัน “คนกันเอง” อันถือเป็นหมาย เหตุแห่งคอร์รัปชั่นทั้งปวง แถมคนกลุ่มนี้ ยังมีผลประโยชน์ต่างตอบแทนกับ “แก๊ง สวาปามนมเด็ก” มาทุกยุคทุกสมัย แต่ในทันทีที่รัฐบาลเปิดเกม “จับปู ใส่กระด้ง” ด้วยการเชิดหัว “ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ” เข้าไปค้ำยันในเก้าอี้ รมช.กระทรวงเกษตร ก็ได้เกิดแรงกระเพื่อมไหวอิงอยู่เป็นระลอก กระนั้นหลายฝ่ายก็ยังมองไปถึงการที่ “ณัฐวุฒิ” เข้าไปสานสัมพันธ์ใกล้ชิดกับกลุ่มสหกรณ์โคนมซึ่งเสียผลประโยชน์จากการนี้มหาศาล ทั้งที่ไม่มีการมอบหมายงานให้ดูแลในส่วนนี้ นั่นจึงเป็นอะไรที่ดูน่ากังขา และส่อเค้าลางว่า..อาจมีการกระทบกระทั่ง กันเมื่อใดก็ได้ ซึ่งที่สุดคงหนีไม่พ้น “ศึกใน” ระหว่างพรรคร่วมรัฐบาล โดยเฉพาะการ “รื้อระบบโควตานม” ซึ่งเดิมทีเป็นการผูกขาดของพรรคการเมือง พันธุ์ปลาไหล ที่ทำมาหากินมาในทุกยุคสมัยที่ เข้ามา “กุมอำนาจ” ในแดนสนธยาแห่งนี้ อีกทั้งได้มี “อินไซเดอร์” ออกมาแฉ กลวิธี!..การหักส่วนแบ่งค่าการตลาดของ ฝ่ายการเมืองที่เก็บอยู่ในอัตรากล่องละ 50 สตางค์ ในโควตานม 8 ล้านกล่องต่อวัน หรือ คิดเป็น 120 ล้านบาท/เดือน ซึ่งในปีหนึ่งๆ ก็มีส่วนแบ่งค่าการตลาดมากถึง 1,440 ล้านบาท เข้าไปอยู่ในบัญชีลับของ “ผู้มีอำนาจ” ในการจัดสรรโควตาฯ
นอกจากนี้ ยังมีการ “สวมสิทธิ์” รับซื้อ น้ำนมดิบ ขณะที่ตัวเลขการซื้อนมก็ไม่ตรงตามจริง เพราะผู้ประกอบการเหล่านี้แทนที่ จะรับซื้อนมจากเกษตรกร แต่กลับซื้อนมผง จากต่างประเทศมาคืนรูป เพราะจะทำให้ได้ ส่วนแบ่งถึง 13% มากกว่ากำไร 4% ที่ได้จากการผลิตด้วยนมโคสด ทำให้ปัญหานมล้นตลาดเกิดขึ้นซ้ำซากยิ่งไปกว่านั้น ระบบตรวจสอบก็ยังมีปัญหาเช่นกัน เจ้าหน้าที่รัฐไม่เรียกเก็บ “ใบ รับรองสิทธิ” มาตรวจสอบ และไม่แนบหนังสือ รับรองสิทธิ์การซื้อน้ำนมดิบ เพื่อใช้ประกอบ การยื่นฎีกาเบิกเงินงบประมาณ ส่วนการจัด จำหน่ายนมโรงเรียนก็มีปัญหานายหน้า หรือ “มาเฟียนม” มีทั้งการฮั้วประมูลและการเรียกเก็บค่าหัวคิว ที่สุดก็ไร้ซึ่งการตรวจสอบ คุณภาพนมก่อนส่งให้เด็กนักเรียนนำไปบริโภค สิ่งนี้ถือเป็น “หมากใต้กระดาน” ที่ รัฐนาวายิ่งลักษณ์ ต้องรีบเข้าไปสะสาง! หากไม่คิดให้ซีกฝ่ายค้านหยิบฉวยไปเป็นเครื่องมือ “ลากไส้รัฐบาล” ในการอภิปรายฯ เที่ยวล่าสุดนี้
เหนืออื่นใด การที่รัฐบาลจะหมายมั่น เข้าไป “ล้างโกง” ให้อยู่หมัดนั้น ก่อนอื่นคงต้องทำการ “ปฏิรูป” นโยบายนมโรงเรียนทั้งระบบ ด้วยการตัดวงจรนายหน้าออกไป เพราะพบว่า 12% ของกำไรจากอุตสาหกรรม นมโคสดแท้ ตกไปอยู่ที่คนกลุ่มนี้ ดังนั้นรัฐบาลอาจต้องหันไปสนับสนุนเกษตรกรโคนม พึ่งตนเองได้ด้วยการ “เพิ่มอำนาจต่อ รอง” ให้มากขึ้น เพราะถือได้ว่ารัฐผุดโครงการนี้ขึ้นมาก็เพื่อหาทางออกให้กับปัญหาน้ำนมดิบล้นตลาด! โดยเพิ่มความต้องการน้ำนมดิบเข้ามาในระบบไปพร้อมๆ กับการจัดสวัสดิการอาหารเสริมให้แก่เด็กและเยาวชนของประเทศ
แต่กระนั้น ทางออกอันสวยหรูที่ “รัฐนาวา” วาดภาพฝันไว้นั้น กลับเต็มไป ด้วยขวากหนามอันแหลมคม! เพราะนับจากเริ่มต้น “อภิโปรเจกต์นมโรงเรียน” ก็ เกิดปัญหาตามมามิได้หยุดหย่อน วนเวียน จากปัญหาทุจริตคอร์รัปชั่นที่กำลังเบ่งบาน ณ ตอนนี้ นำไปสู่ปมการเมืองเรื่องนมเด็ก.. ในอีกวาระหนึ่ง!?!
ที่มา:สยามธุรกิจ
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
วันจันทร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555
อ.สุขุม. ชูมุมคิดนิติราษฎร์ล้ำยุค เหตุผลที่ทหารไม่กล้าปฏิวัติ สารพัดปัจจัยเสี่ยง ยิ่งลักษณ์-ทักษิณ..!!?
สัมภาษณ์
นักการเมือง ปัญญาชน ตั้งญัตติสาธารณะกันว่า การแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 การแก้ไขรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550
การเคลื่อนไหวทางความคิดของ "คณะนิติราษฎร์" จะกลายเป็นความขัดแย้งทางการเมือง นำไปสู่วิกฤตการเมืองซ้ำรอยยุค 6 ตุลาคม 2519
อ.สุขุม นวลสกุล คนธรรมศาสตร์ ที่เคยเป็นทั้งนักศึกษาในยุค "สายลมแสงแดด" เป็นปัญญาชนในยุคเปลี่ยนผ่านลัทธิคอมมิวนิสต์มีอิทธิพลต่อความคิดนักศึกษา รู้-เห็นเหตุการณ์ 14 ตุลา 16 ถึง 6 ตุลา 19 จนก้าวขึ้นสู่อธิการบดีมหาวิทยาลัยรามคำแหงในช่วงต่อมา
ต่อไปนี้คือข้อวิเคราะห์ ทำนายผล มุมมองการเมือง คำวิจารณ์กองทัพ และ "พ.ต.ท.ทักษิณ" ในฐานะจุดเสี่ยงของรัฐบาล "ยิ่งลักษณ์"
- มองปรากฏการณ์ความขัดแย้งเรื่องการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ที่เกิดขึ้นอย่างไร
คณะนิติราษฎร์มีความน่าเชื่อถือ ตั้งแต่อาจารย์วรเจตน์ (ภาคีรัตน์ แกนนำคณะนิติราษฎร์) ต่อต้านรัฐประหาร 19 กันยา และรัฐธรรมนูญ 2550 จึงเป็นที่เชื่อถือของกลุ่มที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐธรรมนูญฉบับ คมช. และเมื่อคณะ
นิติราษฎร์เคลื่อนไหวมาตรา 112 มันทำให้คณะนิติราษฎร์ถูกระแวงว่ามีความคิดสุดโต่งหรือเปล่า ก่อนหน้านี้บทบาทคณะนิติราษฎร์คนระแวงว่าเป็นมือไม้ของ พ.ต.ท.ทักษิณ (ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี) หรือเปล่า แต่มาถึงตรงนี้มันกลายเป็นล้มเจ้าหรือเปล่า ยิ่งระยะหลังพรรคเพื่อไทยเองก็ไม่กล้าจะยืนด้วย กลายเป็นกลุ่มล้มเจ้าไปเลยหรือเปล่า
- มาตรา 112 ที่มีเพียง 3 บรรทัดในประมวลกฎหมายอาญา มีความอันตรายมากแค่ไหน
การเคลื่อนไหวของคณะนิติราษฎร์หลาย ๆ ข้อที่เกี่ยวกับมาตรา 112 ผมเห็นด้วยอยู่ข้อหนึ่ง คือข้อที่คนเอามาใช้เป็นเครื่องมือ เอามากล่าวหาคนอื่น เช่น ไม่ว่าใครก็ได้มีสิทธิเป็นเจ้าทุกข์ฟ้องร้อง จึงทำให้นำมาเล่นเป็นการเมืองได้ แล้วคนที่โดนกล่าวหามันพูดได้ไม่เต็มปากหรอก พูดไปพลาดพลั้งเลยกลายเป็นความจริงเลย
- การแก้ปัญหาจะเริ่มต้นจากไหน
สำหรับผม ผมติดใจวรรคนี้ ผมอยากแก้ให้มีองค์กรที่รับผิดชอบเรื่องการฟ้องร้อง ให้องค์กรนี้เท่านั้นที่จะมีสิทธิ บุคคลสามัญไม่มีสิทธิ
- มีหลายฝ่ายเสนอว่าอาจให้ราชเลขาธิการเป็นผู้ฟ้อง
แต่อาจไม่ใช่ราชเลขาธิการก็ได้ อาจเป็นทำเนียบองคมนตรีก็ได้ แต่ขอให้เป็นโดยเฉพาะ ไม่ใช่ให้ใครก็ได้ไปฟ้อง
- มองเหตุการณ์ความขัดแย้งกรณีมาตรา 112 ที่เกิดขึ้นในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์อย่างไร
เรื่องการห้ามคณะนิติราษฎร์ชัดเจนว่าเป็นการปิดกั้นเรื่องเสรีภาพ แต่ผมลองคิดดูว่าถ้าผมเป็นอธิการบดี ซึ่งผมก็เคยเป็น ผมจะห้ามไหม คำตอบผมก็จะห้าม เพราะผมกลัวว่ามันจะเกิดความรุนแรง เพราะมันเคยเกิดความรุนแรงในกรณีอย่างนี้มาแล้ว
แม้เรื่องที่เคยเกิดขึ้นในธรรมศาสตร์ คนตายไปก็เป็นวีรบุรุษ ผมบอกว่าถ้ารู้ว่าจะเกิดเหตุการณ์อย่างนั้น ผมก็ไม่ยอมให้เกิดขึ้นเหมือนกัน ไม่สมควรจะมีใครตายเพื่อเป็นวีรบุรุษ
จริง ๆ แล้วคือไม่ได้ห้าม ผมคิดว่าวันนี้เสรีภาพยังมีในธรรมศาสตร์เต็มที่ เพราะเขาห้ามการเคลื่อนไหว แต่ไม่ได้ห้ามความคิด ท่านอธิการบดี (นายสมคิด เลิศไพฑูรย์) ก็ไม่ได้ take action หรือเข้าไปสอบสวน ผมจึงคิดว่าหยุดเอาอธิการบดีเป็นจำเลยเสียทีได้แล้วมั้ง เพราะเราเห็นเนื้อแท้ของท่านไม่ใช่เป็นคนปิดกั้นเสรีภาพ
- มีการโยงเหตุการณ์ เรื่องแก้ไขมาตรา 112 ว่าเหมือนกับยุค 6 ตุลา ทั้ง 2 เหตุการณ์มีความต่าง-เหมือนกันอย่างไร
มันต่างกันตรงที่เหตุการณ์ในอดีตมันเป็น action มีการแสดงละครล้อเลียน ทำให้เข้าใจผิดว่าแขวนคอ นั่นมัน action มันไม่เหมือนพูดกันเรื่องความคิดนะ แต่ปัจจุบันมันยั่วเย้ากว่าไหม เร่งเร้ากว่าหรือเปล่า
- เหตุการณ์ปัจจุบันไม่มี ไม่มีการแสดงละครล้อเลียนเหมือนในอดีต แต่เนื้อหาอาจกลายเป็นสิ่งเร้า
ก็เนี่ย...คนบางระดับมันอาจทนไม่ได้ แต่คนระดับที่ใช้สติปัญญาเขาว่า เออ... มันน่าถกเถียงกันนะ อย่างผมฟังแล้วเฉย ๆ ไม่คิดว่าเป็นเรื่องความรุนแรง
- แต่กระแสสังคมกลุ่มความคิดอนุรักษนิยมยังระแวงอยู่
ก็ระแวงอยู่แล้วไง ระแวงอยู่แล้วยังไม่พอ ยังหาจังหวะอยู่แล้วหรือเปล่า ฉะนั้นตรงนี้จึงไม่ควรเสี่ยง เมื่อคนยังระแวงความคิดนี้อยู่ นิดก็ว่ามาก มากก็ว่าทนไม่ไหว คนมันระแวงอยู่แล้ว แล้ว กลับมีบางกลุ่มอยากใช้เรื่องนี้หาเรื่อง ทำให้กลุ่มซึ่งเคลื่อนไหวเหล่านี้ผิด หมดความน่าเชื่อถือ
- ในมุมคณะนิติราษฎร์ควรหยุด เคลื่อนไหวหรือไม่
หยุดเรียกร้อง หยุดเซ็นชื่อ หยุดความเคลื่อนไหว หยุดการกดดันเพื่อจะให้เกิดการเปลี่ยนแปลงให้ได้
- ผลจากการสั่งห้ามทำให้คณะนิติราษฎร์ใช้พื้นที่เคลื่อนไหวนอกมหาวิทยาลัย
ไม่หรอก เคลื่อนในมหาวิทยาลัยนั่นแหละ เคลื่อนไหวแบบท้าทาย ซึ่งในแบบทฤษฎีความคิดที่ต้องระวังคือความคิดตกยุค กับความคิดล้ำยุค
ความคิดตกยุค เช่น บอกว่าร่างรัฐธรรมนูญจะต้องเป็นหน้าที่ของอรหันต์ พอออกมาคนก็โห่ ไม่เอาเพราะมันตกยุค
ส่วนความคิดล้ำยุค คือความคิดที่คนตามไม่ทัน นี่ก็อันตราย เหมือนผมอยู่ ธรรมศาสตร์ ตอนนั้นคนที่มีความคิดล้ำยุคคือ ดร.ปรีดี พนมยงค์ พ.ศ. 2476 พูดเรื่องสังคมนิยมขึ้นมา คนบอกว่าคอมมิวนิสต์เพราะมันล้ำยุคไป เพิ่งมาพิสูจน์กันตอนหลังว่าท่านคือบุคลากรที่มีค่าของโลก เมื่อก่อนนี้ในธรรมศาสตร์ไม่มีกระแสให้นับถือ ดร.ปรีดี เพราะฉะนั้นความคิดของคณะนิติราษฎร์ก็ออกจะล้ำยุค
- ฉะนั้น ข้อเสนอของคณะนิติราษฎร์ที่ให้พระมหากษัตริย์มาปฏิญาณตนต่อรัฐสภา ถือว่าเป็นความคิดที่ล้ำยุค
มันล้ำยุคเกินไปไง มันล้ำยุคเกิน (พูดซ้ำ 2 ครั้ง) ยิ่งประเทศไทยบุคลาธิษฐาน การนับถือตัวบุคคลสูง พูดง่าย ๆ คือ เหมือนเป็นการตั้งคำถามกับพ่อแม่คุณโดยไม่สมควร
- ปรากฏการณ์ที่ ผบ.ทั้ง 3 เหล่าทัพเรียกร้องให้คณะนิติราษฎร์ยุติการเคลื่อนไหว สะท้อนถึงอะไร
ก็เขามีจุดยืนคนละแบบ เขาถูกอบรมมาว่าห้ามแตะ ห้ามต้อง ต้องสักการะบูชา เหมือนอย่างเรานับถือพระ คนอื่นมาบอกว่าแต่งแบบนี้ไม่ดี ให้เปลี่ยนเสีย คนนับถือก็ไม่ยอม มันคนละแบบ
- ระยะแรกพรรคเพื่อไทยดูเหมือนสนับสนุนการเคลื่อนไหวของคณะนิติราษฎร์ แต่ระยะหลังกลับตีจาก วิเคราะห์ปัจจัยการตีจากมาจากเหตุผลใด
พรรคเพื่อไทยอยากจะแก้รัฐธรรมนูญให้สำเร็จ แต่ถ้าคนระแวงว่าการแก้รัฐธรรมนูญมีการล่วงล้ำสถาบันพระมหากษัตริย์จะทำให้เกิดกระแสต่อต้าน ส่งผลพลอยได้ไปถึงการแก้รัฐธรรมนูญจะทำไม่ได้ ฉะนั้นพรรคเพื่อไทยถึงพยายามตัดว่าเขาไม่เกี่ยวนะ วันนี้หน้าตาของคณะนิติราษฎร์เป็นมาตรา 112 ไปแล้ว เรื่องแก้รัฐธรรมนูญของคณะะนิติราษฎร์คนลืมไปแล้ว ไม่ใช่ภาพแล้ว เมื่อเจอข้อนี้เข้าพรรคเพื่อไทยโดดหนีเลย นี่คือวิธีแก้
- ฝ่ายพรรคการเมืองเปลี่ยนท่าที แต่นักวิชาการไม่ยอมปรับตัว
คือนักวิชาการไม่จำเป็นต้องปรับความคิดถึงขนาดนักการเมือง เพราะนักการเมืองต้องปรับเพื่อให้เข้าไปอยู่ในรัฐสภาให้ได้
แต่คนที่เป็นนักวิชาการสอนหนังสือ ไม่จำเป็นต้องปรับก็ยังสามารถอยู่ในสถานะนักวิชาการเหมือนเดิมได้ มันคนละแบบกับนักการเมือง แต่ถ้านักวิชาการจะเป็นนักการเมืองก็ต้องปรับเหมือนกัน เราจึงเห็นนักวิชาการบางคนที่ถูกประณามว่าขายตัว เพราะเขาต้องปรับตัวเพื่อจะเล่นการเมือง
- อาจารย์เชื่อตามที่นักการเมืองในเพื่อไทยบอก ว่ามีขบวนการที่จ้องรัฐประหารอยู่จริงหรือไม่
ไม่ใช่หรอก ไม่ใช่กลุ่มที่จะพยายามรัฐประหาร คือการเมืองไทยเราเคยคิดว่าจะไม่มีรัฐประหารอีกแล้ว แต่มันก็ยังมี ฉะนั้นมันไว้ใจไม่ได้เลย เขาอาจไม่ได้คิดวันนี้ แต่ถ้าจังหวะมันมาเหมือนอย่างคราวที่แล้ว ผมคิดว่า พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน เขาก็ไม่ได้คิดมาก่อน แต่จังหวะมันมา
- ก่อน พล.อ.ประยุทธ์จะเข้ามารับตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก มีการวิเคราะห์ว่า พล.อ.ประยุทธ์มีบุคลิกที่สามารถทำรัฐประหารได้ ถ้าให้อ่านใจ พล.อ.ประยุทธ์ยังมีโอกาสทำรัฐประหารได้หรือไม่
ไม่...ถ้าให้อ่านใจ ผมว่า ผบ.ทบ. ระยะหลังไม่มีใครอยากปฏิวัติ เพราะเห็นแล้วว่าทำไปแล้วกระบวนการรับไม้ต่อจากการปฏิวัติมันหนัก มันไปไม่ได้ ยิ่งมาเห็นภาพวันนี้ พล.อ.สนธิยังเข้าไปในระบบเลย เพราะฉะนั้นผมไม่คิดว่าคนที่มาเป็น ผบ.ทบ.แล้วต้องปฏิวัติ นี่คือเครื่องมือของข้า...ไม่ใช่ ไอ้เรื่องพวกนี้มันขึ้นอยู่กับสถานการณ์
- เหมือนกับว่ากองทัพมีบทเรียนมาแล้ว ไม่ควรเดินตามรอย
ถูก ๆ ควรใช้คำว่า บทเรียน
- วิเคราะห์การปรับ ครม. "ยิ่งลักษณ์ 2" อย่างไร
เป็นเพราะแนวคิดการตั้งคณะรัฐมนตรีของรัฐบาลหรือของพรรคเพื่อไทยมีเรื่องของสมบัติผลัดกันชมปนอยู่ด้วย แต่ไม่ใช่เรื่องความไม่มีประสิทธิภาพ เรื่องสมบัติผลัดกันชมเป็นหลักหนึ่งของการจัด ครม.ของเขา ใน 35 คนอาจจะมีตัวหลักส่วนหนึ่ง แต่อีกส่วนมันเป็นสมบัติผลัดกันชม
- มีเสียงสะท้อนว่ารัฐมนตรีมาจากกลุ่มชินคอร์ป (อินทัช) เข้ามามากขึ้น
เขาก็จะทำตามนโยบายเขาไง
- จะทำให้ถูกมองว่าบริหารเพื่อ พ.ต.ท. ทักษิณมากขึ้น
มันถูกมองอยู่แล้ว
- ที่ถูกวิจารณ์ว่ารัฐบาลน้องสาวขึ้นมา บริหารประเทศเพื่อช่วย พ.ต.ท.ทักษิณ วันนี้ยังมีภาพนั้นหรือไม่
ก็ยังมีอยู่ คนยังระแวงอยู่ แต่ในเวลาเดียวกันก็ต้องไม่ลืมอีกเหมือนกันว่า ทางพรรคเพื่อไทยได้รับเลือกตั้งก็เพราะ พ.ต.ท.ทักษิณ เมื่อคนเลือกเขาเพราะ พ.ต.ท.ทักษิณ เขาก็ต้องขาย พ.ต.ท. ทักษิณ ช่วยหรือไม่ช่วย พ.ต.ท.ทักษิณคือสิ่งที่ออกมา แต่ที่เห็นแน่ ๆ คือพยายามช่วย แต่บางทีมันมีปัญหาอุปสรรคอยู่ เพราะมันมีกลุ่มต่อต้าน
- พ.ต.ท.ทักษิณจะมีโอกาสกลับไทยได้หรือไม่ ด้วยกลไกพิเศษ เช่น พ.ร.บ. นิรโทษกรรม
เขากำลังพยายาม แต่จะสำเร็จหรือเปล่ายังต้องอาศัยเวลาอีกนาน
- ถ้าปัจจัยทักษิณยังเป็นส่วนที่ทำให้คนเสื่อมศรัทธาในตัวรัฐบาล รัฐบาลควรก้าวข้ามไปก่อนหรือไม่
บางคนบอกว่าให้ก้าวข้ามไปก่อน 1 ปี ไม่ต้องแตะ แต่อยู่ตรงที่ พ.ต.ท. ทักษิณคิดอย่างไร ถ้า พ.ต.ท.ทักษิณคิดว่า เฮ้ย...ต้องเร็วที่สุดสิ มันมีอิทธิพลต่อคนในพรรคไหม มันไม่ได้อยู่ที่พรรคคิดอย่างไร เพราะไม่ว่าอย่างไรคนก็มอง พ.ต.ท.ทักกษิณเป็นนายใหญ่
- ปัจจัยอะไรที่ทำให้รัฐบาลยิ่งลักษณ์อายุสั้นลง
ก็มีอยู่เรื่องนี้เรื่องเดียว (เรื่องทักษิณ) ถ้าเดินไม่ดีอีกฝ่ายมีความชอบธรรมที่จะต่อต้านเมื่อไรก็เสร็จ ส่วนปัจจัยการทำงานเป็นปัจจัยย่อย ถ้าทำงานแล้วดีคนอาจยอมรับขึ้น แต่วันนี้ปัจจัยการทำงานคนมักจะเปรียบเทียบกับรัฐบาลที่ผ่านมา ซึ่งต้องยอมรับว่าสมัยรัฐบาลฝ่ายตรงข้ามก็ทำงานไม่ประทับใจเหมือนกัน
ที่มา:ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
การเคลื่อนไหวทางความคิดของ "คณะนิติราษฎร์" จะกลายเป็นความขัดแย้งทางการเมือง นำไปสู่วิกฤตการเมืองซ้ำรอยยุค 6 ตุลาคม 2519
อ.สุขุม นวลสกุล คนธรรมศาสตร์ ที่เคยเป็นทั้งนักศึกษาในยุค "สายลมแสงแดด" เป็นปัญญาชนในยุคเปลี่ยนผ่านลัทธิคอมมิวนิสต์มีอิทธิพลต่อความคิดนักศึกษา รู้-เห็นเหตุการณ์ 14 ตุลา 16 ถึง 6 ตุลา 19 จนก้าวขึ้นสู่อธิการบดีมหาวิทยาลัยรามคำแหงในช่วงต่อมา
ต่อไปนี้คือข้อวิเคราะห์ ทำนายผล มุมมองการเมือง คำวิจารณ์กองทัพ และ "พ.ต.ท.ทักษิณ" ในฐานะจุดเสี่ยงของรัฐบาล "ยิ่งลักษณ์"
- มองปรากฏการณ์ความขัดแย้งเรื่องการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ที่เกิดขึ้นอย่างไร
คณะนิติราษฎร์มีความน่าเชื่อถือ ตั้งแต่อาจารย์วรเจตน์ (ภาคีรัตน์ แกนนำคณะนิติราษฎร์) ต่อต้านรัฐประหาร 19 กันยา และรัฐธรรมนูญ 2550 จึงเป็นที่เชื่อถือของกลุ่มที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐธรรมนูญฉบับ คมช. และเมื่อคณะ
นิติราษฎร์เคลื่อนไหวมาตรา 112 มันทำให้คณะนิติราษฎร์ถูกระแวงว่ามีความคิดสุดโต่งหรือเปล่า ก่อนหน้านี้บทบาทคณะนิติราษฎร์คนระแวงว่าเป็นมือไม้ของ พ.ต.ท.ทักษิณ (ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี) หรือเปล่า แต่มาถึงตรงนี้มันกลายเป็นล้มเจ้าหรือเปล่า ยิ่งระยะหลังพรรคเพื่อไทยเองก็ไม่กล้าจะยืนด้วย กลายเป็นกลุ่มล้มเจ้าไปเลยหรือเปล่า
- มาตรา 112 ที่มีเพียง 3 บรรทัดในประมวลกฎหมายอาญา มีความอันตรายมากแค่ไหน
การเคลื่อนไหวของคณะนิติราษฎร์หลาย ๆ ข้อที่เกี่ยวกับมาตรา 112 ผมเห็นด้วยอยู่ข้อหนึ่ง คือข้อที่คนเอามาใช้เป็นเครื่องมือ เอามากล่าวหาคนอื่น เช่น ไม่ว่าใครก็ได้มีสิทธิเป็นเจ้าทุกข์ฟ้องร้อง จึงทำให้นำมาเล่นเป็นการเมืองได้ แล้วคนที่โดนกล่าวหามันพูดได้ไม่เต็มปากหรอก พูดไปพลาดพลั้งเลยกลายเป็นความจริงเลย
- การแก้ปัญหาจะเริ่มต้นจากไหน
สำหรับผม ผมติดใจวรรคนี้ ผมอยากแก้ให้มีองค์กรที่รับผิดชอบเรื่องการฟ้องร้อง ให้องค์กรนี้เท่านั้นที่จะมีสิทธิ บุคคลสามัญไม่มีสิทธิ
- มีหลายฝ่ายเสนอว่าอาจให้ราชเลขาธิการเป็นผู้ฟ้อง
แต่อาจไม่ใช่ราชเลขาธิการก็ได้ อาจเป็นทำเนียบองคมนตรีก็ได้ แต่ขอให้เป็นโดยเฉพาะ ไม่ใช่ให้ใครก็ได้ไปฟ้อง
- มองเหตุการณ์ความขัดแย้งกรณีมาตรา 112 ที่เกิดขึ้นในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์อย่างไร
เรื่องการห้ามคณะนิติราษฎร์ชัดเจนว่าเป็นการปิดกั้นเรื่องเสรีภาพ แต่ผมลองคิดดูว่าถ้าผมเป็นอธิการบดี ซึ่งผมก็เคยเป็น ผมจะห้ามไหม คำตอบผมก็จะห้าม เพราะผมกลัวว่ามันจะเกิดความรุนแรง เพราะมันเคยเกิดความรุนแรงในกรณีอย่างนี้มาแล้ว
แม้เรื่องที่เคยเกิดขึ้นในธรรมศาสตร์ คนตายไปก็เป็นวีรบุรุษ ผมบอกว่าถ้ารู้ว่าจะเกิดเหตุการณ์อย่างนั้น ผมก็ไม่ยอมให้เกิดขึ้นเหมือนกัน ไม่สมควรจะมีใครตายเพื่อเป็นวีรบุรุษ
จริง ๆ แล้วคือไม่ได้ห้าม ผมคิดว่าวันนี้เสรีภาพยังมีในธรรมศาสตร์เต็มที่ เพราะเขาห้ามการเคลื่อนไหว แต่ไม่ได้ห้ามความคิด ท่านอธิการบดี (นายสมคิด เลิศไพฑูรย์) ก็ไม่ได้ take action หรือเข้าไปสอบสวน ผมจึงคิดว่าหยุดเอาอธิการบดีเป็นจำเลยเสียทีได้แล้วมั้ง เพราะเราเห็นเนื้อแท้ของท่านไม่ใช่เป็นคนปิดกั้นเสรีภาพ
- มีการโยงเหตุการณ์ เรื่องแก้ไขมาตรา 112 ว่าเหมือนกับยุค 6 ตุลา ทั้ง 2 เหตุการณ์มีความต่าง-เหมือนกันอย่างไร
มันต่างกันตรงที่เหตุการณ์ในอดีตมันเป็น action มีการแสดงละครล้อเลียน ทำให้เข้าใจผิดว่าแขวนคอ นั่นมัน action มันไม่เหมือนพูดกันเรื่องความคิดนะ แต่ปัจจุบันมันยั่วเย้ากว่าไหม เร่งเร้ากว่าหรือเปล่า
- เหตุการณ์ปัจจุบันไม่มี ไม่มีการแสดงละครล้อเลียนเหมือนในอดีต แต่เนื้อหาอาจกลายเป็นสิ่งเร้า
ก็เนี่ย...คนบางระดับมันอาจทนไม่ได้ แต่คนระดับที่ใช้สติปัญญาเขาว่า เออ... มันน่าถกเถียงกันนะ อย่างผมฟังแล้วเฉย ๆ ไม่คิดว่าเป็นเรื่องความรุนแรง
- แต่กระแสสังคมกลุ่มความคิดอนุรักษนิยมยังระแวงอยู่
ก็ระแวงอยู่แล้วไง ระแวงอยู่แล้วยังไม่พอ ยังหาจังหวะอยู่แล้วหรือเปล่า ฉะนั้นตรงนี้จึงไม่ควรเสี่ยง เมื่อคนยังระแวงความคิดนี้อยู่ นิดก็ว่ามาก มากก็ว่าทนไม่ไหว คนมันระแวงอยู่แล้ว แล้ว กลับมีบางกลุ่มอยากใช้เรื่องนี้หาเรื่อง ทำให้กลุ่มซึ่งเคลื่อนไหวเหล่านี้ผิด หมดความน่าเชื่อถือ
- ในมุมคณะนิติราษฎร์ควรหยุด เคลื่อนไหวหรือไม่
หยุดเรียกร้อง หยุดเซ็นชื่อ หยุดความเคลื่อนไหว หยุดการกดดันเพื่อจะให้เกิดการเปลี่ยนแปลงให้ได้
- ผลจากการสั่งห้ามทำให้คณะนิติราษฎร์ใช้พื้นที่เคลื่อนไหวนอกมหาวิทยาลัย
ไม่หรอก เคลื่อนในมหาวิทยาลัยนั่นแหละ เคลื่อนไหวแบบท้าทาย ซึ่งในแบบทฤษฎีความคิดที่ต้องระวังคือความคิดตกยุค กับความคิดล้ำยุค
ความคิดตกยุค เช่น บอกว่าร่างรัฐธรรมนูญจะต้องเป็นหน้าที่ของอรหันต์ พอออกมาคนก็โห่ ไม่เอาเพราะมันตกยุค
ส่วนความคิดล้ำยุค คือความคิดที่คนตามไม่ทัน นี่ก็อันตราย เหมือนผมอยู่ ธรรมศาสตร์ ตอนนั้นคนที่มีความคิดล้ำยุคคือ ดร.ปรีดี พนมยงค์ พ.ศ. 2476 พูดเรื่องสังคมนิยมขึ้นมา คนบอกว่าคอมมิวนิสต์เพราะมันล้ำยุคไป เพิ่งมาพิสูจน์กันตอนหลังว่าท่านคือบุคลากรที่มีค่าของโลก เมื่อก่อนนี้ในธรรมศาสตร์ไม่มีกระแสให้นับถือ ดร.ปรีดี เพราะฉะนั้นความคิดของคณะนิติราษฎร์ก็ออกจะล้ำยุค
- ฉะนั้น ข้อเสนอของคณะนิติราษฎร์ที่ให้พระมหากษัตริย์มาปฏิญาณตนต่อรัฐสภา ถือว่าเป็นความคิดที่ล้ำยุค
มันล้ำยุคเกินไปไง มันล้ำยุคเกิน (พูดซ้ำ 2 ครั้ง) ยิ่งประเทศไทยบุคลาธิษฐาน การนับถือตัวบุคคลสูง พูดง่าย ๆ คือ เหมือนเป็นการตั้งคำถามกับพ่อแม่คุณโดยไม่สมควร
- ปรากฏการณ์ที่ ผบ.ทั้ง 3 เหล่าทัพเรียกร้องให้คณะนิติราษฎร์ยุติการเคลื่อนไหว สะท้อนถึงอะไร
ก็เขามีจุดยืนคนละแบบ เขาถูกอบรมมาว่าห้ามแตะ ห้ามต้อง ต้องสักการะบูชา เหมือนอย่างเรานับถือพระ คนอื่นมาบอกว่าแต่งแบบนี้ไม่ดี ให้เปลี่ยนเสีย คนนับถือก็ไม่ยอม มันคนละแบบ
- ระยะแรกพรรคเพื่อไทยดูเหมือนสนับสนุนการเคลื่อนไหวของคณะนิติราษฎร์ แต่ระยะหลังกลับตีจาก วิเคราะห์ปัจจัยการตีจากมาจากเหตุผลใด
พรรคเพื่อไทยอยากจะแก้รัฐธรรมนูญให้สำเร็จ แต่ถ้าคนระแวงว่าการแก้รัฐธรรมนูญมีการล่วงล้ำสถาบันพระมหากษัตริย์จะทำให้เกิดกระแสต่อต้าน ส่งผลพลอยได้ไปถึงการแก้รัฐธรรมนูญจะทำไม่ได้ ฉะนั้นพรรคเพื่อไทยถึงพยายามตัดว่าเขาไม่เกี่ยวนะ วันนี้หน้าตาของคณะนิติราษฎร์เป็นมาตรา 112 ไปแล้ว เรื่องแก้รัฐธรรมนูญของคณะะนิติราษฎร์คนลืมไปแล้ว ไม่ใช่ภาพแล้ว เมื่อเจอข้อนี้เข้าพรรคเพื่อไทยโดดหนีเลย นี่คือวิธีแก้
- ฝ่ายพรรคการเมืองเปลี่ยนท่าที แต่นักวิชาการไม่ยอมปรับตัว
คือนักวิชาการไม่จำเป็นต้องปรับความคิดถึงขนาดนักการเมือง เพราะนักการเมืองต้องปรับเพื่อให้เข้าไปอยู่ในรัฐสภาให้ได้
แต่คนที่เป็นนักวิชาการสอนหนังสือ ไม่จำเป็นต้องปรับก็ยังสามารถอยู่ในสถานะนักวิชาการเหมือนเดิมได้ มันคนละแบบกับนักการเมือง แต่ถ้านักวิชาการจะเป็นนักการเมืองก็ต้องปรับเหมือนกัน เราจึงเห็นนักวิชาการบางคนที่ถูกประณามว่าขายตัว เพราะเขาต้องปรับตัวเพื่อจะเล่นการเมือง
- อาจารย์เชื่อตามที่นักการเมืองในเพื่อไทยบอก ว่ามีขบวนการที่จ้องรัฐประหารอยู่จริงหรือไม่
ไม่ใช่หรอก ไม่ใช่กลุ่มที่จะพยายามรัฐประหาร คือการเมืองไทยเราเคยคิดว่าจะไม่มีรัฐประหารอีกแล้ว แต่มันก็ยังมี ฉะนั้นมันไว้ใจไม่ได้เลย เขาอาจไม่ได้คิดวันนี้ แต่ถ้าจังหวะมันมาเหมือนอย่างคราวที่แล้ว ผมคิดว่า พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน เขาก็ไม่ได้คิดมาก่อน แต่จังหวะมันมา
- ก่อน พล.อ.ประยุทธ์จะเข้ามารับตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก มีการวิเคราะห์ว่า พล.อ.ประยุทธ์มีบุคลิกที่สามารถทำรัฐประหารได้ ถ้าให้อ่านใจ พล.อ.ประยุทธ์ยังมีโอกาสทำรัฐประหารได้หรือไม่
ไม่...ถ้าให้อ่านใจ ผมว่า ผบ.ทบ. ระยะหลังไม่มีใครอยากปฏิวัติ เพราะเห็นแล้วว่าทำไปแล้วกระบวนการรับไม้ต่อจากการปฏิวัติมันหนัก มันไปไม่ได้ ยิ่งมาเห็นภาพวันนี้ พล.อ.สนธิยังเข้าไปในระบบเลย เพราะฉะนั้นผมไม่คิดว่าคนที่มาเป็น ผบ.ทบ.แล้วต้องปฏิวัติ นี่คือเครื่องมือของข้า...ไม่ใช่ ไอ้เรื่องพวกนี้มันขึ้นอยู่กับสถานการณ์
- เหมือนกับว่ากองทัพมีบทเรียนมาแล้ว ไม่ควรเดินตามรอย
ถูก ๆ ควรใช้คำว่า บทเรียน
- วิเคราะห์การปรับ ครม. "ยิ่งลักษณ์ 2" อย่างไร
เป็นเพราะแนวคิดการตั้งคณะรัฐมนตรีของรัฐบาลหรือของพรรคเพื่อไทยมีเรื่องของสมบัติผลัดกันชมปนอยู่ด้วย แต่ไม่ใช่เรื่องความไม่มีประสิทธิภาพ เรื่องสมบัติผลัดกันชมเป็นหลักหนึ่งของการจัด ครม.ของเขา ใน 35 คนอาจจะมีตัวหลักส่วนหนึ่ง แต่อีกส่วนมันเป็นสมบัติผลัดกันชม
- มีเสียงสะท้อนว่ารัฐมนตรีมาจากกลุ่มชินคอร์ป (อินทัช) เข้ามามากขึ้น
เขาก็จะทำตามนโยบายเขาไง
- จะทำให้ถูกมองว่าบริหารเพื่อ พ.ต.ท. ทักษิณมากขึ้น
มันถูกมองอยู่แล้ว
- ที่ถูกวิจารณ์ว่ารัฐบาลน้องสาวขึ้นมา บริหารประเทศเพื่อช่วย พ.ต.ท.ทักษิณ วันนี้ยังมีภาพนั้นหรือไม่
ก็ยังมีอยู่ คนยังระแวงอยู่ แต่ในเวลาเดียวกันก็ต้องไม่ลืมอีกเหมือนกันว่า ทางพรรคเพื่อไทยได้รับเลือกตั้งก็เพราะ พ.ต.ท.ทักษิณ เมื่อคนเลือกเขาเพราะ พ.ต.ท.ทักษิณ เขาก็ต้องขาย พ.ต.ท. ทักษิณ ช่วยหรือไม่ช่วย พ.ต.ท.ทักษิณคือสิ่งที่ออกมา แต่ที่เห็นแน่ ๆ คือพยายามช่วย แต่บางทีมันมีปัญหาอุปสรรคอยู่ เพราะมันมีกลุ่มต่อต้าน
- พ.ต.ท.ทักษิณจะมีโอกาสกลับไทยได้หรือไม่ ด้วยกลไกพิเศษ เช่น พ.ร.บ. นิรโทษกรรม
เขากำลังพยายาม แต่จะสำเร็จหรือเปล่ายังต้องอาศัยเวลาอีกนาน
- ถ้าปัจจัยทักษิณยังเป็นส่วนที่ทำให้คนเสื่อมศรัทธาในตัวรัฐบาล รัฐบาลควรก้าวข้ามไปก่อนหรือไม่
บางคนบอกว่าให้ก้าวข้ามไปก่อน 1 ปี ไม่ต้องแตะ แต่อยู่ตรงที่ พ.ต.ท. ทักษิณคิดอย่างไร ถ้า พ.ต.ท.ทักษิณคิดว่า เฮ้ย...ต้องเร็วที่สุดสิ มันมีอิทธิพลต่อคนในพรรคไหม มันไม่ได้อยู่ที่พรรคคิดอย่างไร เพราะไม่ว่าอย่างไรคนก็มอง พ.ต.ท.ทักกษิณเป็นนายใหญ่
- ปัจจัยอะไรที่ทำให้รัฐบาลยิ่งลักษณ์อายุสั้นลง
ก็มีอยู่เรื่องนี้เรื่องเดียว (เรื่องทักษิณ) ถ้าเดินไม่ดีอีกฝ่ายมีความชอบธรรมที่จะต่อต้านเมื่อไรก็เสร็จ ส่วนปัจจัยการทำงานเป็นปัจจัยย่อย ถ้าทำงานแล้วดีคนอาจยอมรับขึ้น แต่วันนี้ปัจจัยการทำงานคนมักจะเปรียบเทียบกับรัฐบาลที่ผ่านมา ซึ่งต้องยอมรับว่าสมัยรัฐบาลฝ่ายตรงข้ามก็ทำงานไม่ประทับใจเหมือนกัน
ที่มา:ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
วันอาทิตย์ที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555
กล้านรงค์ ไม่รับมุก ปชป. เด้งหนีสอบ เศรษฐา. ชี้ไม่ใช่จนท.รัฐ...!!?
กล้านรงค์ จันทิก
"กล้านรงค์" มึน "มัลลิกา" บอก ปชป.จะยื่นเรื่องให้ ป.ป.ช.สอบกรณีนายกฯ กับ "เศรษฐา" บิ๊กแสนสิริ ชี้ถือเป็นเอกชน มองไม่เห็นว่า ป.ป.ช.จะเข้าไปดำเนินการได้อย่างไร ขณะที่ "ชนินทร์" เผยประชาธิปัตย์ยังไม่สรุปจะยื่น กมธ.ชุดไหน รออีก 1-2 วันจะมีความชัดเจน...
กรณี น.ส.มัลลิกา บุญมีตระกูล รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ออกมาระบุขณะนี้ฝ่ายกฎหมายของพรรคประชาธิปัตย์ กำลังรวบรวมข้อมูลบัญชีทรัพย์สินของ นายเศรษฐา ทวีสิน ผู้บริหารธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เครือแสนสิริ กรุ๊ป ว่าบัญชีทรัพย์สินมีความผิดปกติหรือไม่ เพื่อที่จะยื่นต่อคณะกรรมาธิการ (กมธ.) พัฒนาเศรษฐกิจ สภาฯ ให้ตรวจสอบทรัพย์สินหนี้สินของผู้บริหารแสนสิริย้อนหลังไป 7 เดือน รวมทั้งจะตรวจสอบว่า เคยพบกับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ มาแล้วกี่ครั้ง และมีการหารือถึงเรื่องอสังหาริมทรัพย์ไปกี่รอบ รวมทั้งความสัมพันธ์ก่อนที่จะมาเป็นนายกฯ นอกจากนี้ เรียกร้องให้คณะอนุกรรมการ ป.ป.ช.ตรวจสอบย้อนหลังบัญชีของนายเศรษฐา และโครงการหมู่บ้านและคนใกล้ชิดของเครือข่ายแสนสิริ เพื่อดูว่าบัญชีย้อนหลังมีความผิดปกติในบัญชีหรือไม่
มัลลิกา บุญมีตระกูล
เกี่ยวกับเรื่องนี้ นายกล้านรงค์ จันทิก กรรมการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และโฆษก ป.ป.ช. เปิดเผยกับไทยรัฐออนไลน์ ว่า หน้าที่โดยหลักของคณะกรรมการ ป.ป.ช. จะตรวจสอบเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเจ้าหน้าที่รัฐ กรณีนายเศรษฐาถือเป็นเอกชนรายหนึ่ง ซึ่งยังมองไม่เห็นว่า ป.ป.ช.จะเข้าไปดำเนินการอะไร อย่างไร คงต้องดูคำร้อง หรือดูเรื่องราวก่อนว่า ผู้ร้องจะมาร้องหรือไม่ และร้องว่าอย่างไร แต่โดยส่วนตัวแล้วมองว่า นายเศรษฐาไม่ใช่เจ้าหน้าที่รัฐ ป.ป.ช.ยังไม่เห็นแนวทางว่าจะดำเนินการอะไรได้
ด้านนายชนินทร์ รุ่งแสง ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการการพัฒนาเศรษฐกิจ กล่าวว่า จนถึงขณะนี้ ยังไม่มีข้อสรุปว่า พรรคประชาธิปัตย์จะยื่นขอตรวจสอบไปที่คณะกรรมาธิการชุดใด และตนก็ยังไม่ได้รับเรื่องดังกล่าว เพียงแต่ว่าหากมีการยื่นมาจริง ก็ต้องทำหน้าที่โดยการเรียกผู้เกี่ยวข้องเข้าชี้แจง ซึ่งจะเลี่ยงไม่มาชี้แจงคงไม่ได้ ส่วนขั้นตอนจากนั้น หากชี้แจงแล้วพบว่าข้อกล่าวหามีมูลตามที่มีผู้ร้อง กรรมาธิการก็อาจส่งเรื่องต่อให้คณะกรรมการ ป.ป.ช.ดำเนินการต่อ แต่หากไม่พบว่ามีความน่าสงสัย หรือไม่มีความผิดปกติใดๆ กรรมาธิการจะแถลงไปตามที่ได้ทำการตรวจสอบ เรื่องก็จะยุติไป
นายชนินทร์ กล่าวต่อว่า อย่างไรก็ตาม การที่คณะกรรมาธิการจะเรียกผู้ใดเข้าชี้แจงนั้น ต้องผ่านที่ประชุม ซึ่งก็คงต้องดูที่ประชุมอีกครั้งว่าจะมีมติอย่างไร หากมีการยื่นเรื่องขอตรวจสอบเข้ามาจริง ขณะที่พรรคประชาธิปัตย์นั้นยังไม่มีข้อสรุปเรื่องนี้ น่าจะอีกราว 1-2 วัน คงจะมีความชัดเจนว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป.
ต้นฉบับ: http://www.thairath.co.th/content/pol/239470
ที่มา: ไทยรัฐ
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
วันเสาร์ที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555
ปั้นข้าวเหนียวให้ติด !!?
มองข้ามช็อท ทะลุ ทะลวง ยึดภาคเหนือ ภาคอีสาน เป็นฐานที่มั่น..ต้องบอกว่า “อดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร” อ่านเกมไม่ผิด
วันใด พญานกขมิ้นเลือดสีแดงจ้า “ทักษิณ ชินวัตร” กลับสู่ประเทศไทยอย่างไรมลทิน
จะไปสร้างบ้านพัก อยู่กับรากหญ้า ที่ อำเภอน้ำพอง จังหวัดขอนแก่น อยู่กับคนชนบท ในฐานะชาวดิน
แค่เป็น,บุคคลที่อยู่แดนไกล ก็คว้าชัยชนะให้กับ “พรรคเพื่อไทย” ล้างบาง “พรรคประชาธิปัตย์” ของ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ที่ดีแต่พูด จนสูญพันธ์
“ปชป.”มีแต่เสื่อมถอย...เลือกตั้งเที่ยวหน้าคงเป็นพรรคต่ำกว่าร้อย?..ได้น้อยจนน่าใจหายก็แล้วกัน
+++++++++++++++++++++++++++++++++++
ชื่อ “เสรี”แต่คลั่ง “เผด็จการ”
“นังตุ๊ดเสรี” คงหม่ำหรือกินกล้วยติดเชื้อเข้าไปมาก..จึงกลายเป็นคนที่ไร้สมองในกบาล
ช่างพูดได้น่าทุเรศ สำหรับ “อีเปรตตุ๊ด” คนนี้...อ้างว่าการเลือกตั้ง “สสร.”ขึ้นมาแก้ไขรัฐธรรมนูญ ก็จะได้คนพรรคเพื่อไทย มาเต็มสภาเป็นตับ
อ้างที่ฉะเชิงเทรา กับ พิจิตร ใครจะมาสู้กับคนที่สนิทสนมกับพรรคเพื่อไทยเล่าครับ
เลือกตั้งที่ผ่าน คนตระกูล “ฉายแสง” ทั้ง “โก้” วุฒิพงศ์ ฉายแสง “เปิ้ล” ฐิติมา ฉายแสง ต่างแพ้เลือกตั้งหูรูดมหาราช ที่ฉะเชิงเทรา...ส่วนที่เมืองชาละวันพิจิตร เป็นเขตเลือกตั้ง ๔ ตระกูล ทั้ง ขจรประศาสน์, ภัทรประสิทธิ์, แก้วทอง,และบุญเสรฐ ต่างสู้กันถึงพริกถึงขิง
ที่อีตุ๊ดเปรตออกมาพูด...เป็นเรื่องโกหกสุด..สุด..มันปูดโดยไม่รู้ข้อเท็จจริง
++++++++++++++++++++++++++++++++++
นั่งเป็น “พ่อตุ๊ดตู่”
ผลงานก๊อกก๊อยมาก สำหรับ “คุณพี่สมชาย โล่สถาพรพิพิธ” ประธานกรรมาธิการตำรวจ ไม่เคยโชว์ผลงานให้ชาวบ้านดู
ปล่อยให้รองกรรมาธิการ “เสี่ยอ่าง” ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ เป็นศิลปินเดี่ยว แฉรายวัน
อีกทั้ง “วิทย์ บางแค” หรือ สส.โกวิทย์ ธารณา ขุนพลปากเอกพรรคประชาธิปัตย์ กับเงียบเป็นเป่าสากไปอีกคน ด้วยล่ะท่าน
สิ่งที่น่าจะค้าน และแฉกันกลางเมือง เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศชาติและบ้านเมือง ดูจะพากันเงียบฉี่
ทำตัวเป็นใบ้มากเลยนะครับ....ช่างเป็นไม้ประดับ...ไม่สมกับเป็นพรรคฝ่ายค้านชั้นดี
++++++++++++++++++++++++++++++++++
สนุกกันหน้าจอ
ทีวีบลูสกาย ช่องสีฟ้า ของ “พรรคประชาธิปัตย์” มีแต่พวกนักจ้อ
ถ้าพูดเก่งแล้วทำจริง เชื่อว่า ๓ฆากพิธีกร รายการ “สายล่อฟ้า” อย่าง เทพไท เสนพงศ์, ศิริโชค โสภา, ชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต คงเป็นที่ศรัทธา
อย่าเป็นพวกนกแก้วนกขุนทอง ดีแต่จะมาด่า
คนที่ควรจะเป็น พิธีกรรายการได้อย่างมีคุณภาพ อย่าง “บุญยอด สุขถิ่นไทย” อดีตเหยี่ยวข่าวเก่า กับไม่มีบทบาททางหน้าทีวี
หรือว่าหมดโปรโมชั่น...ไร้ความสำคัญ?...เขาเลยหมางเมินท่าน ไม่ให้ทำหน้าที่
+++++++++++++++++++++++++++++++++
ร่วมด้วยช่วยกัน
“มังกรพันปี” บรรหาร ศิลปอาชา ประธานที่ปรึกษาพรรคชาติไทยพัฒนา ที่ออกแรงทุกวัน
วางแผนป้องกันน้ำท่วม ไม่ให้ท่วมภาคกลาง และกรุงเทพมหานคร
ประสานติดต่อ กับ “ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ บริพัตร” ผู้ว่าฯ กทม. แต่ดูเหมือนจะไม่อาทร
“อดีตนายกฯบรรหาร” ออกแรงเพื่อแก้วิกฤติให้อยู่
กทม.ต้องช่วย...ไม่งั้นปีนี้ต้องมีคนซวย?...ระวังจะถูกหวยโดนปลดกลางอากาศไม่รู้
ที่มา:คอลัมน์ตอดนิดตอดหน่อย,บางกอกทูเดย์
**************************************************
วันใด พญานกขมิ้นเลือดสีแดงจ้า “ทักษิณ ชินวัตร” กลับสู่ประเทศไทยอย่างไรมลทิน
จะไปสร้างบ้านพัก อยู่กับรากหญ้า ที่ อำเภอน้ำพอง จังหวัดขอนแก่น อยู่กับคนชนบท ในฐานะชาวดิน
แค่เป็น,บุคคลที่อยู่แดนไกล ก็คว้าชัยชนะให้กับ “พรรคเพื่อไทย” ล้างบาง “พรรคประชาธิปัตย์” ของ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ที่ดีแต่พูด จนสูญพันธ์
“ปชป.”มีแต่เสื่อมถอย...เลือกตั้งเที่ยวหน้าคงเป็นพรรคต่ำกว่าร้อย?..ได้น้อยจนน่าใจหายก็แล้วกัน
+++++++++++++++++++++++++++++++++++
ชื่อ “เสรี”แต่คลั่ง “เผด็จการ”
“นังตุ๊ดเสรี” คงหม่ำหรือกินกล้วยติดเชื้อเข้าไปมาก..จึงกลายเป็นคนที่ไร้สมองในกบาล
ช่างพูดได้น่าทุเรศ สำหรับ “อีเปรตตุ๊ด” คนนี้...อ้างว่าการเลือกตั้ง “สสร.”ขึ้นมาแก้ไขรัฐธรรมนูญ ก็จะได้คนพรรคเพื่อไทย มาเต็มสภาเป็นตับ
อ้างที่ฉะเชิงเทรา กับ พิจิตร ใครจะมาสู้กับคนที่สนิทสนมกับพรรคเพื่อไทยเล่าครับ
เลือกตั้งที่ผ่าน คนตระกูล “ฉายแสง” ทั้ง “โก้” วุฒิพงศ์ ฉายแสง “เปิ้ล” ฐิติมา ฉายแสง ต่างแพ้เลือกตั้งหูรูดมหาราช ที่ฉะเชิงเทรา...ส่วนที่เมืองชาละวันพิจิตร เป็นเขตเลือกตั้ง ๔ ตระกูล ทั้ง ขจรประศาสน์, ภัทรประสิทธิ์, แก้วทอง,และบุญเสรฐ ต่างสู้กันถึงพริกถึงขิง
ที่อีตุ๊ดเปรตออกมาพูด...เป็นเรื่องโกหกสุด..สุด..มันปูดโดยไม่รู้ข้อเท็จจริง
++++++++++++++++++++++++++++++++++
นั่งเป็น “พ่อตุ๊ดตู่”
ผลงานก๊อกก๊อยมาก สำหรับ “คุณพี่สมชาย โล่สถาพรพิพิธ” ประธานกรรมาธิการตำรวจ ไม่เคยโชว์ผลงานให้ชาวบ้านดู
ปล่อยให้รองกรรมาธิการ “เสี่ยอ่าง” ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ เป็นศิลปินเดี่ยว แฉรายวัน
อีกทั้ง “วิทย์ บางแค” หรือ สส.โกวิทย์ ธารณา ขุนพลปากเอกพรรคประชาธิปัตย์ กับเงียบเป็นเป่าสากไปอีกคน ด้วยล่ะท่าน
สิ่งที่น่าจะค้าน และแฉกันกลางเมือง เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศชาติและบ้านเมือง ดูจะพากันเงียบฉี่
ทำตัวเป็นใบ้มากเลยนะครับ....ช่างเป็นไม้ประดับ...ไม่สมกับเป็นพรรคฝ่ายค้านชั้นดี
++++++++++++++++++++++++++++++++++
สนุกกันหน้าจอ
ทีวีบลูสกาย ช่องสีฟ้า ของ “พรรคประชาธิปัตย์” มีแต่พวกนักจ้อ
ถ้าพูดเก่งแล้วทำจริง เชื่อว่า ๓ฆากพิธีกร รายการ “สายล่อฟ้า” อย่าง เทพไท เสนพงศ์, ศิริโชค โสภา, ชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต คงเป็นที่ศรัทธา
อย่าเป็นพวกนกแก้วนกขุนทอง ดีแต่จะมาด่า
คนที่ควรจะเป็น พิธีกรรายการได้อย่างมีคุณภาพ อย่าง “บุญยอด สุขถิ่นไทย” อดีตเหยี่ยวข่าวเก่า กับไม่มีบทบาททางหน้าทีวี
หรือว่าหมดโปรโมชั่น...ไร้ความสำคัญ?...เขาเลยหมางเมินท่าน ไม่ให้ทำหน้าที่
+++++++++++++++++++++++++++++++++
ร่วมด้วยช่วยกัน
“มังกรพันปี” บรรหาร ศิลปอาชา ประธานที่ปรึกษาพรรคชาติไทยพัฒนา ที่ออกแรงทุกวัน
วางแผนป้องกันน้ำท่วม ไม่ให้ท่วมภาคกลาง และกรุงเทพมหานคร
ประสานติดต่อ กับ “ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ บริพัตร” ผู้ว่าฯ กทม. แต่ดูเหมือนจะไม่อาทร
“อดีตนายกฯบรรหาร” ออกแรงเพื่อแก้วิกฤติให้อยู่
กทม.ต้องช่วย...ไม่งั้นปีนี้ต้องมีคนซวย?...ระวังจะถูกหวยโดนปลดกลางอากาศไม่รู้
ที่มา:คอลัมน์ตอดนิดตอดหน่อย,บางกอกทูเดย์
**************************************************
วันศุกร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555
พีระพันธุ์.ชี้ปราบยามาถูกทาง แต่ยังต้องตรวจสอบคู่ขนาน !!?
โดย : นิภาวรรณ แก้วรากมุกข์ ปกรณ์ พึ่งเนตร
เสียงสะท้อนจากความคิดเห็นของประชาชนต่อนโยบายปราบปรามยาเสพติดของรัฐบาล หลังจากการจับกุมคดียาเสพติดรายใหญ่รายเล็กปรากฏเป็นข่าวรายวันในเชิงการบริหารงานและนโยบายถือว่าประสบความสำเร็จหรือไม่ ในทัศนะของฝ่ายค้าน โดยเฉพาะ พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค อดีต รมว.ยุติธรรม ที่กำกับดูแลนโยบายแก้ไขปัญหายาเสพติดในรัฐบาลที่ผ่านมา ให้ข้อคิดเห็นและข้อเสนอต่อรัฐบาลใหม่ในการสานต่อการทำงานไว้อย่างน่าสนใจ
การปราบปรามยาเสพติด ที่มีการจับกุมได้รายวัน ในเชิงบริหารถือว่าประสบความสำเร็จหรือไม่
ผมคิดว่าเขาควรจะต้องทำอย่างนี้มาตั้งนานแล้ว สิ่งที่รัฐบาลกำลังดำเนินการอยู่ขณะนี้ คือสิ่งเดียวกันกับที่ผมทำในรัฐบาลอดีต ในช่วงดีเบตหาเสียงเลือกตั้ง ฝ่ายรัฐบาลนี้บอกจะแก้ให้เสร็จภายใน 6 เดือน ผมทำงานมา รู้ว่าความเป็นจริง เป็นไปไม่ได้ ถึงจะตั้งใจจริงแต่ปัญหามันใหญ่และหมักหมมมานานจนเกินกว่าจะทำเสร็จภายใน 6 เดือน
แต่จะกี่เดือนไม่สำคัญ ที่สำคัญคือต้องทำงานอย่างจริงจัง แล้วตั้งใจทำ และร่วมมือกันในหลายภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เพราะปัญหายาเสพติด ไม่ใช่ปัญหาของหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง มันเป็นปัญหาของเกือบทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จะต้องเข้ามาทำงานด้วยกัน เพียงแต่แบ่งภาระหน้าที่กันคนละด้าน
วันนี้ ปี 2555 เรามีงบประมาณด้านยาเสพติด ประมาณ 9,000 ล้านบาท ซึ่งกระจายไปอยู่หลายกระทรวง ทบวง กรม แต่มันเหมือนเบี้ยหัวแตก คนก็ต่างนโยบาย ต่างวิธีการ จะทำอย่างไรให้งบมารวมเป็นก้อนได้ และไปในทิศทางที่ถูกต้อง
ที่สำคัญเราต้องเข้าใจธรรมชาติของการค้ายาเสพติด ที่ไม่เหมือนอาชญากรรมอื่นๆ เพราะเป็นขบวนการที่เกี่ยวโยงกันไปหมด การทำงานด้านปราบปราม จึงไม่จบคดีใด คดีหนึ่งได้ ต้องขยายผลแต่ละคดี บางทีญาติพี่น้องเข้ามาเกี่ยวข้องหมด อาจจะไม่ใช่คนค้า แต่เป็นคนไปฟอกเงินให้ ฉะนั้น การตัดขบวนการค้ายาเสพติดจริงๆ 1.ต้องตัดกำลังทรัพย์ให้ได้ก่อน 2.ต้องตัดขบวนการ 3.ต้องตัดมือเท้าแขนขา ถ้าหากไม่ตัด 3-4 อย่างนี้ มันไม่หมด
วิธีการจับที่เป็นข่าวทุกวันนี้ ตัดขบวนการได้มากน้อยแค่ไหน
พวกค้ายาตัวใหญ่ๆ เครดิตดีๆ ถูกจับไปเกือบหมด พวกนี้ก็ไปรวมอยู่ในคุก อย่างเรือนจำคลองเปรมกว่า 5,000คน เป็นพวกค้ายากว่า 3,000 คน และยังมีกระจายอยู่แบบนี้ทั่วประเทศ มีทั้งขาใหญ่ ที่เป็นตัวใหญ่ๆ ระดับกลาง ระดับย่อย พวกนี้มีเงินอยู่กับตัวเองและเครือข่ายที่หน่วยงานภาครัฐยังสาวไปไม่ถึง ยังยึดทรัพย์ไม่ได้
นี่คือขบวนการตัดทุน หากตัดทุนไม่หมด เขาก็ยังมีทุนอยู่ และใช้สร้างอิทธิพลในเรือนจำ ประกอบกับเรือนจำเราก็ล้าสมัย เมื่อมีผลประโยชน์ จึงเกิดขบวนการสั่งซื้อ สั่งขาย ทั้งในเรือนจำกันเองและสั่งซื้อสั่งขายข้างนอก เวลานี้เราต้องยอมรับความจริงกันว่า ขบวนการค้ายาเสพติดมันยังมีอยู่ เพียงแต่ย้ายจากข้างนอกเข้าไปอยู่ข้างในคุก นี่คือส่วนหนึ่ง และอีกส่วนหนึ่งคือที่อยู่ข้างนอก และอีกส่วนหนึ่งก็คือที่เข้ามาใหม่
ขบวนการกระทำความผิด วันนี้มันมีอยู่ตรงนี้ แต่ยาเสพติดเกือบทั้งหมดที่มีอยู่ มันไม่ได้ผลิตในประเทศไทย รายใหญ่ผลิตในประเทศเพื่อนบ้านเราฝั่งตะวันตกมานานแล้ว เฉพาะยาบ้ามีกำลังผลิต 200-250 ล้านเม็ดต่อเดือน เกือบทั้งหมดเข้ามาประเทศไทยทุกปี ซึ่งหนีไม่พ้นเข้ามาทางชายแดน
ผมถึงบอกไม่ใช่หน้าที่ใครคนใดคนหนึ่ง ชายแดนก็มีตำรวจ ตชด.ทหาร ป.ป.ส.ซึ่งมีอำนาจตามกฎหมายแต่ไม่มีกำลังคน ก็ต้องอาศัยความร่วมมือกันในทางปฏิบัติ และในเชิงงบประมาณ แต่ที่ผ่านมาก็ยังไม่เพียงพอ ผมคิดว่าคนที่คุมนโยบายนี้ ต้องเอาจริงเอาจัง แล้วต้องนั่งบัญชาการเอง ต้องให้ขวัญกำลังใจผู้ใต้บังคับบัญชา เขาจะได้มีเรี่ยวแรง มีกำลังใจ
ปลายปี 51 สมัยผมเป็น รมว.ยุติธรรม เราจับยาเสพติดได้พุ่งพรวด พอมาปี 52 จับได้เฉลี่ยครึ่งปีแรกมากกว่าปี 51 ก่อนที่ผมเป็นรัฐบาลประมาณ 2-3 ล้านเม็ด พอมาปี 53 ที่เราเดินหน้านโยบายเต็มตัว ครึ่งปีแรกจับได้ 20 กว่าล้านเม็ด เฉลี่ยปี 52 ทั้งปีได้ 40 กว่าล้านเม็ด ตัวเลขเราจับได้เยอะแต่ถ้าเทียบปริมาณที่ไหลทะลักเข้ามา ก็ยังไม่ถึง 1 ใน 4 เลย พอไปดูยอดใหญ่ กำลังผลิตที่มีมา 200 กว่าล้านเม็ด ที่เหลือมันก็มาอยู่ที่ลูกหลานเรา
ฉะนั้นที่จับไม่ได้ อาจมีทั้งรายใหญ่ กลาง เล็ก ภาครัฐจึงต้องมีหน่วยงานย่อยลงตามลำดับชั้น เราเคยทำเรื่องแนวชายแดนสกัดรายใหญ่ ตามนโยบาย 315 ซึ่งสกัดจับได้เยอะและเห็นผล เป็นการจำลองรูปแบบการทำงานจากรายใหญ่ชายแดนมาเป็นรายย่อยในชุมชน
นโยบายการปราบยาเสพติด ต้องเล่น 2 ระดับ คือระดับชาติและระดับชุมชน เพื่อสกัดรายย่อย แล้วก็ขยายผล ตรงนี้คือตัดขบวนการมัน หรือตัดคน จับรายย่อย คือย่อยการขายลงไปเรื่อย ฉะนั้นต้องสืบหาแล้วตัดแขนขาพวกนี้ให้หมด ขณะเดียวกันก็ดูการขนถ่าย จุดพักยา แล้วก็ตัดขบวนการนั้นให้ได้ ไม่ให้มีที่ทำงาน
ขณะเดียวกันกลุ่มพ่อค้ายา จะกลัวความปลอดภัย ฉะนั้นอะไรที่ไม่มั่นใจว่าปลอดภัย เขาจะไม่เสี่ยง หลังสุด ผมกำลังดูกรณีที่จับได้ที่ขนส่งสายใต้ 6-7 กระเป๋า ปรากฎว่าขณะนี้การเดินทางโดยรถทัวร์ไม่มีการตรวจอะไรเลย ถ้าเรามีมาตรการ เช่นตรวจบัตรประชาชน หรือมุ่งเน้นสกัดการขนยาเสพติดทางรถโดยสาร พวกนี้ก็จะเริ่มไม่กล้า เพราะไม่มั่นใจในความปลอดภัย
วันนี้เรามัวไปดูรายใหญ่ ไม่ได้ดูรายย่อย นโยบายการปราบยาเสพติดต้องทำไปพร้อมกันทุกระดับ ต้องทำตั้งแต่ใหญ่ กลาง เล็ก จัดชุดลงไปแล้วร่วมกันทุกหน่วย อย่าไปแบ่งกันว่า นี่เป็นผลงาน ป.ป.ส. นี่เป็นผลงานของตำรวจ ของทหาร เพราะเราไม่สามารถเพิ่มกำลังคนได้ ด้วยข้อจำกัดเรื่องงบประมาณ แต่เราควรจะต้องเอาคนที่มีอยู่แล้วมาสนธิกำลังกันทำงาน เพื่อให้มีศักยภาพในการดำเนินการป้องกันและปราบปราม
สภาพปัญหาขบวนการค้ายาเสพติดในเรือนจำเป็นอย่างไร
เรื่องนี้สำคัญ เพราะคนผิดเมื่อจับมาแล้ว ไปอยู่ในเรือนจำก็ไม่เข็ดหลาบ ยังมีอยู่จำนวนหนึ่ง กลายไปเป็นขาใหญ่ในเรือนจำ ไม่มีใครเข้าไปใส่ใจหรือสนใจในเรือนจำ และในเรือนจำก็มีเครื่องตัดสัญญาณโทรศัพท์ แต่ก็ไม่มีใครไปดูแล
การตัดสัญญาณโทรศัพท์ในเรือนจำที่มีอยู่ในปัจจุบันได้ผลแค่ไหน
ไม่อยากจะบอกว่า 3 วันดี 4 วันไข้ แล้วก็ไม่มีคนดูแล ใกล้มือเอื้อมถึง เดี๋ยวก็โดนปิด เดี๋ยวกล้องวงจรปิดก็ถูกเอาอะไรไปฉีด ผมจึงคิดว่าน่าจะมีระบบตัดสัญญาณโทรศัพท์ได้ ที่ไม่ใช่เครื่อง จึงให้นักวิชาการช่วยกันคิด ตอนแรกจะทำทีเดียวหลายแห่ง แต่ผมให้ทำที่เรือนจำเขาบินก่อน ก็ประสบความสำเร็จ ตัดได้ 100% แต่คลื่นโทรศัพท์มันก็ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศ เพราะฉะนั้นคนที่กำกับดูแลก็ต้องคอยปรับคอยจูนตลอดเวลา ซึ่งระบบนี้เป็นของ ป.ป.ส.โดยเมื่อก่อนเป็นของเรือนจำทำเอง
ระบบนี้ต้องแยกกันกับผู้คุม ให้มีคนดูแล และมีระบบเตือน หากระบบล่มศูนย์กลางจะต้องรู้ ถึงเรียกว่าเป็นระบบ และต้องรับผิดชอบ บำรุงรักษาอุปกรณ์ตลอดเวลา ทำให้ไม่มีนักโทษคนไหนอยากไปเขาบิน
ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกฯ ประกาศว่าจะไปขอความร่วมมือกับจีน
อันนี้เขาร่วมมือมานานแล้ว ตั้งแต่ไม่รู้กี่รัฐบาลมาแล้ว เราต้องแยกว่า รัฐบาลเราเป็นฝ่ายการเมือง เรามาๆ ไปๆ แต่ฝ่ายปฏิบัติ คือข้าราชการประจำ ใครจะมาเขาก็ทำงานอยู่แล้ว ในฝ่ายประจำ เขาประสานงานขอความร่วมมือกันมาไม่รู้เท่าไหร่แล้ว แม้แต่ป.ป.ส.ยังมีทูตประจำที่จีนเลย
อย่างหนึ่งที่ผมเคยพูดกับ ป.ป.ส.ว่า ที่เราทำงานกัน แก้ปัญหาที่ปลายเหตุ ที่เราบอกจะจับแต่โรงงานก็ผลิตไม่หยุด ตราบใดที่ยังผลิตอยู่เราก็ต้องรับหมด ผมสงสัยว่า ทำไมเราไม่ขอความช่วยเหลือจากสหรัฐอเมริกา ที่มีอุปกรณ์ และเครื่องมือ ซึ่ง "ดีอีเอ" ของเขาบุกไปทลายโรงงานในอเมริกาใต้ ทางป.ป.ส.ก็บอกว่า เมื่อก่อนเขาก็ช่วยเราเพราะเขามีปัญหาเรื่องเฮโรอีนแรง ซึ่งเขามีผลประโยชน์ร่วม มีการไปทลายโรงงานในเพื่อนบ้าน แต่พอมาวันนี้เขาหยุด เพราะยาบ้าไม่ได้ไปที่เขา ผมบอกว่า ต้องไปขอความร่วมมือให้เขามาทลายที่โรงงานต้นตอ อันนี้ก็เป็นสิ่งหนึ่งที่ผมคิดว่า ท้ายที่สุดก็ต้องทำ
สำหรับประเทศอื่นๆ ทั้งพม่า และลาว เราก็ประชุมหารือกัน อยู่แล้ว แต่ว่าความร่วมมือที่ผมพูดถึงคือเรื่องทลายโรงงาน มันไม่ง่าย ฉะนั้นก็อยู่ที่ว่าเราจะประสานความร่วมมือกับเขาได้ทางไหน ปัญหาของเราส่วนใหญ่อยู่ทางซีกตะวันตก(ของประเทศ) ซีกตะวันออกคือขบวนการขนย้าย
มีการตั้งข้อสังเกตถึงจำนวนยาเสพติดของกลางยุคหลังๆว่ามากผิดสังเกต ปัญหาการเวียนของกลางมีโอกาสเกิดขึ้นได้ไหม
ผมตอบไม่ได้ เพราะตั้งแต่ก่อนผมเป็น รมต.และพอเป็น รมต.ก็เคยตั้งข้อสังเกตอย่างที่ถาม ผมเข้าใจว่าทำไมเขาต้องเก็บ คือต้องเก็บไว้เป็นของกลางของคดี ผมเคยหารือกับทางปปส.ก็ให้เขาไปศึกษา ซึ่งมอบนโยบายไว้ ตั้งแต่ท่านเลขาฯกฤษณะ แล้วท่านก็มอบต่อ เขาก็กำลังศึกษา ที่จะยกร่างข้อกฏหมาย ฉบับหนึ่ง เพื่อจะไม่ต้องเก็บของกลางรอ 1 ปี
ผมเคยเสนอความเห็นและมอบหมายทางป.ป.ส.คือของกลางที่เราจับไว้ มันต้องใช้เป็นหลักฐานในคดี ทำอย่างไร เราจะสามารถประสานกับทางศาล เพื่อขอให้ศาลมาตรวจสอบร่วมกับทางฝ่ายจับกุมว่า ทั้งล็อตเป็นยาเสพติดทั้งหมดจริง แล้วเก็บเป็นตัวอย่างจำนวนหนึ่ง ที่เหลือเผาทำลายเลย เพราะการอ้างว่าต้องเก็บรักษาไว้ เป็นของกลาง มันจะทำให้เกิดข้อครหาได้ ผมเองก็ถามเหมือนกัน เพราะมันไมได้อยู่ที่เรา มันไปถูกควบคุมอยู่ที่ อย.ในระหว่างที่ไป อย.ก็ไปรอคิวเก็บเองไว้ที่ตำรวจอีก ในหน่วยงานที่พิสูจน์หลักฐาน เพราะฉะนั้นตรงนี้มันล่อแหลมต่อความเชื่อถือ
กรณีนี้สามารถทำได้ 2 อย่าง ซึ่งผมเริ่มต้นไว้ระดับหนึ่งแล้ว คือ หารือกับทางศาลเกี่ยวกับขบวนการทางคดีให้มาตรวจสอบเบื้องต้นแล้วเซ็นต์กันไว้ แล้วที่เหลือทำลายทิ้งเลย แต่กฏหมายให้เก็บไว้ก่อน ฉะนั้นตอนนี้มันเป็นขบวนการทางกฏหมาย ซึ่งผมคิดว่าถึงเวลาแล้วต้องปรับปรุงขบวนการนี้ โดยต้องทำเป็นกฏหมาย จะได้แก้ปัญหาประชาชนข้องใจว่า มันจะไม่ถูกเอาไปหมุนเวียน อันนี้ผมเห็นด้วย ต้องไปทำ
มีระบบตรวจสอบหรือไม่ว่าเอาไปเก็บไว้จริง และอยู่ครบตามจำนวนที่จับจนถึงวันทำลาย
ระบบตรวจสอบ มันเป็นระบบความเชื่อถือมากกว่าทุกวันนี้ แล้วพอถึงปี วันยาเสพติดโลก ก็เอาไปเผาทำลายกันทีหนึ่ง
แต่ไม่เคยเห็นมีการพิสูจน์ตรวจสอบว่าอยู่ครบหรือไม่ ตามที่ยึดมา
ใช่ ตอนผมอยู่ใน กมธ.ยาเสพติด สภาฯ ก็เคยหยิบยกเรื่องนี้มาพูดกัน อย่างกรณี ยาไอซ์ 6-7 กระเป๋า และยาบ้าล้านกว่าเม็ดก่อนหน้านี้ นี่เราก็กำลังคิดว่าเดี๋ยวเรากำลังจะไปตรวจสอบว่าเก็บไว้ที่ไหนอย่างไร อันนี้ก็คุยกันอยู่เหมือนกันว่า กมธ.ควรจะต้องเข้าไปตรวจสอบ เพราะเมื่อสักอาทิตย์ที่แล้ว เขาก็มาชี้แจงเราว่า เพิ่งตรวจสอบเสร็จ แต่ยังเก็บหลักฐานไว้ที่สำนักงานพิสูจน์หลักฐาน เนื่องจากรอคิวส่ง อย.ถามว่าทำไมต้องรอ ก็บอกว่าอย.ให้ส่งได้แค่เดือนละครั้ง อย่างนี้ ผมก็ยังงง ว่าระเบียบปฏิบัติอะไรกัน อย่างนี้เราคิดว่าจะไปตรวจสอบ
ตรงนี้มันก็อาจจะมีทั้งคนดีคนไม่ได้ในหน่วยงาน ผมถึงเห็นด้วยว่า จะทำอย่างไรให้มีขบวนการทำลายมันให้เร็วที่สุด ส่วนเรื่องการเก็บเป็นหลักฐานก็หารูปแบบอื่นเก็บไว้ในชั้นดำเนินการ นี่ก็เป็นอีกข้อเสนอหนึ่งที่ผมอยากให้รัฐบาลทำต่อ ถ้าเราไปจี้ฝ่ายนโยบาย ฝ่ายปฏิบัติเขาก็ทำต่อเนื่อง
วิธีการล่อซื้อก็ถูกตั้งข้อสังเกตว่าทำให้การผลิตเพิ่มขึ้น
มันมองได้สองมุม แต่สำหรับผมคิดว่าไม่น่าใช่ กำลังผลิตมันมีอยู่เท่าเดิม ก่อนพ้นตำแหน่งผมยังตรวจสอบเลยว่า กำลังผลิตไม่ได้เพิ่ม มีเท่าเดิมคือ 250 ล้านเม็ดเท่านั้น ไม่ใช่ไปสั่งเพิ่มแล้วจะผลิตเพิ่มได้มากกว่านี้ หรือตั้งโรงงานผลิตอีก 250 ล้านเม็ด มันไม่ใช่ และ250 ล้านเม็ดก็เข้ามาหาลูกค้าตลอดเวลาอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นถ้าคิดว่าจะเป็นการไปสั่งให้มันผลิตเพิ่มเป็นไปไมได้ เพราะถึงยังไงก็เกินกำลังการผลิตของมัน ถึงเราไม่มีการล่อซื้อ มันก็ผลิตของมัน เพราะมันต้องขายเอาเงิน เพียงแต่ว่ามันต้องมาหาลูกค้าที่จะระบายของออก
คำถามเดียวกันแต่คนละประเด็น คือ การล่อซื้อมันล่อแหลม ในสหรัฐอเมริกา ศาลฎีกาเคยมีคำพิพากษาจาก วินิจฉัยว่าอันนี้เป็นพยานหลักฐานที่ฟังไม่ได้ เพราะเขามีหลักปฏิบัติทางศาลว่า มาศาลต้องมาด้วยมืออันสะอาด มันเคยมีการต่อสู้ว่า การไปล่อซื้อถือว่ามีส่วนร่วมในการกระทำความผิดเหมือนกัน ในขณะที่ประเทศไทยเรายังไปไม่ถึงขั้นนั้น
การตรวจสอบเรื่องการเบิกเงินไปใช้ในการล่อซื้อที่มี ส.ส.ฝ่ายค้านกำลังตรวจสอบอยู่นี้ มีข้อสงสัยอะไร
ผมไม่ได้สงสัยอะไรในการล่อซื้อ แต่ประเด็นก็คือเอาไปล่อซื้อจริงๆหรือเปล่า
ตรวจสอบได้ไหม กรณีถ้าระบุว่าล่อซื้อผู้ร้ายเอาไปแล้ว
ผมคิดว่าต้องดูปริมาณความสำเร็จกับความผิดพลาด ถ้าปริมาณความผิดพลาดมากขึ้นเรื่อยๆ ก็แสดงว่ามีปัญหาที่ไม่เหมาะสมแล้ว แต่ถ้าหากว่าความสำเร็จมันมี นานๆ จะผิดพลาดสักหนอันนี้ก็เป็นธรรมดาที่เกิดขึ้นได้ อย่าไปมองทางลบทั้งหมด ต้องดูพฤติกรรมและผลส่อไปในทางว่าปกติหรือไม่ปกติ
คุกความมั่นคงสูงที่กำลังมีนโยบายจะสร้าง คิดว่าจะแก้ปัญหานักค้ายาขาใหญ่ในเรือนจำได้หรือไม่
ถ้าทำจริงๆ แล้ววางระบบให้ดีจริงๆ ผมว่าแก้ได้ในระดับหนึ่ง ถ้าจำไม่ผิดคุกมี 143 แห่ง รวมทุกระดับ แต่ละแห่งสร้างมานาน ขณะที่สถานที่ที่กักตัวพวกนี้ทรุดโทรมลงเรื่อยๆ แต่คนเข้าไปอยู่ร้ายมากขึ้น เทคโนโลยีสูงขึ้น ผลประโยชน์สูงขึ้น อันนี้ก็เป็นปัญหา
แต่ปัญหาสำคัญคือเรื่องงบประมาณ เวลานี้งบของกระทรวงยุติธรรม โดยเฉลี่ย 17,000-18,000 ล้าน 50% หรือ 9,000 ล้านอยู่ที่กรมราชทัณฑ์ ในขณะที่กระทรวงยุติธรรมยังมีอีกประมาณอีก 10 หน่วยงานที่ต้องมาเฉลี่ยกัน ก็จะแย่อยู่แล้ว
ขณะที่นักโทษค้ายาเสพติดมันมากขึ้นเรื่อยๆ พวกนี้ทั้งอิทธิพล ทุน เครือข่าย วันนี้จึงมีความจำเป็นต้องมีเรือนจำพิเศษ ขังนักโทษพิเศษ คือระดับอุกฉกรรจ์ทั้งหลาย ไม่ได้มุ่งเน้นเฉพาะยาเสพติด เหมือนกับในอีกหลายประเทศทั่วโลกเขาทำกันที่เรียกว่า ซูเปอร์แม็กซ์ ซึ่งต่างจากคุกทั่วไป
คอนเซ็ปที่ 1 คือ คน อย่างกรณีนักโทษเอาโทรศัพท์เข้าไปใช้ได้ เพราะมีผลประโยชน์ เพราะฉะนั้นอันดับแรกคือ ต้องให้นักโทษพวกนี้เจอกับคนน้อยที่สุด แล้วคนก็เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับนักโทษน้อยที่สุด จึงต้องใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ เข้าไปควบคุมชีวิตประจำวันแทนผู้คุม
ซูเปอร์แม็กซ์ เมืองไทยไม่เคยมี และคนชำนาญที่จะออกแบบในเมืองไทยก็ไม่มี ที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันคือกองออกแบบ ซึ่งเขาไม่เคยเห็นและไม่มีประสบการณ์ พอที่จะเข้าใจ แล้วออกแบบซูเปอร์แม็กซ์ ฉะนั้นต้องมีประสบการณ์ไปศึกษาหาความรู้ว่าโครงสร้างมันเป็นแบบไหน บางทีเป็นห้องแถวสามชั้นก็มี เมื่อโครงสร้างเป็นแบบนี้ แล้วการเดินท่อ ฝังท่อ สายไฟ เป็นอย่างไร ไม่ใช่นักโทษทะเลาะกันเอาสายไฟมารัดคอกันตาย หรือกล้องวงจรปิดฝังไว้อย่างไร ซึ่งมันเกินความสามารถของกองออกแบบกระทรวงยุติธรรม
ทราบว่าท่านเคยออกแบบซูเปอร์แม็กซ์ไว้
ผมก็พยายามทำแบบให้เค้าดู แต่ปัญหาที่ตามมาคือ สร้างที่ไหน ที่ผมเคยคิดไว้คือไปอยู่เกาะ แต่ทุกวันนี้ไม่มีเกาะให้เราสามารถทำได้ ก็เคยคิดไปจนถึงแท่นขุดเจาะน้ำมันทิ้งร้าง เพราะกลางทะเลไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ คือซูเปอร์แมกซ์นั่นแหละ
ท้ายที่สุด ก็คิดว่าที่เหมาะสมที่สุดก็คือคลองไผ่ โคราช เพราะสภาพภูมิประเทศเอื้ออำนวย เนื่องจากลักษณะเป็นภูเขาสูง ก็จะทำให้สัญญาณโทรศัพท์มันต่ำลง แล้วระบบต่างๆ ก็จะแยกตัวออกจากโลกภายนอกค่อนข้างสูงกว่าทั่วไป
ตรงนั้นน่าจะเป็นทำเลที่เหมาะสมที่จะสร้างซูเปอร์แมกซ์ แต่ปัญหาคืองบประมาณ ถ้าจะทำต้องงบประมาณพิเศษ
แต่งบเท่าไหร่ก็ต้องมาจากแบบก่อน
วันนี้ เรื่องเรือนจำความมั่นคงสู ผมคิดว่าจำเป็นแล้วสำหรับเมืองไทย แต่สิ่งที่ต้องทำไปพร้อมกันขณะที่สร้าง ก็ต้องไปปรับปรุง 140 กว่าเรือนจำให้มั่นคงและไว้ใจได้ในความปลอดภัยด้วย
นอกจากนี้เรื่องสวัสดิการบ้านพักผู้คุมก็ต้องกลับไปดูแลพร้อมๆ กัน ทุกวงการมีทั้งดีและไม่ดี เจ้าหน้าที่ที่ดีเหมือนติดคุกตลอดชีวิตจนกว่าจะเกษียณ เข้าเวรคนละเกือบ 24 ชม.บ้านพักบางแห่งทรุดโทรมยิ่งกว่าคุกอีก สรุปแล้วติดคุกทั้งชีวิต ควรให้สวัสดิการเขา ถ้าจะแก้ปัญหาต้องมององคาพยพทั้งระบบ อย่ามองเป็นเรื่องๆ เพราะขวัญและกำลังใจเจ้าหน้าที่เป็นเรื่องสำคัญ สมัยที่แล้วของ ป.ป.ส.ผมให้เป็นมติครม.เอาไว้ว่า 2 ขั้นในสัดส่วนโควตานี้ ให้เฉพาะเจ้าหน้าที่ที่ทำงานจริงเท่านั้น เพื่อเป็นขวัญกำลังใจของผู้ปฏิบัติงาน และต้องให้ซ้ำไปเรื่อยๆ ถ้าเขาทำงาน อย่าเอาโบนัสตรงนี้ไปให้คนที่ไม่ได้ทำงาน
เรื่องซูเปอร์แม็กซ์ผมเห็นด้วยและผมก็เริ่มไว้แล้ว เรื่องย้ายนักโทษไปเรือนจำเขาบิน รัฐบาลนี้ก็ทำต่อ ผมไม่ได้แย่งความดีความชอบ อันนี้คือถูกแล้ว แสดงว่าสิ่งที่รัฐบาลที่แล้วทำมาถูกต้อง เขาก็มาสานต่อ และอยากให้เดินต่อไปให้ดีมากกว่าเดิม แต่อยากให้เพิ่มความเข้มข้นให้มากยิ่งขึ้น
ที่มา.กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
วันพฤหัสบดีที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555
นิวัฒน์ธำรง-ลงธรรมาสน์ ธุดงค์ในทำเนียบ เผยแพร่ลัทธิเพื่อไทย กางสูตรรัฐบาล + พล.อ.เปรม = การเมืองนิ่ง....
สัมภาษณ์พิเศษ
เขาลงจากตึกชินวัตร หันหลังให้ธุรกิจมือถือ ครั้งแรกไปประจำการที่สถานีโทรทัศน์ไอทีวีเมื่อ 10 ปีก่อน
เมื่อไอทีวีโดนมรสุมการเมืองพัดถล่มจนล้มเลิก เขากลับขึ้นตึกชินวัตรอีกครั้ง
เมื่ออำนาจวาสนาของ "ทักษิณ
ชินวัตร" อัสดงอยู่ในพงหนามรัฐประหาร 2549 เขาหันหลังให้ "ชินคอร์ป" อีกหน ไปค้นหาทางธรรมที่วัดป่าพุทธพจน์หริภุญไชย จ.ลำพูน
ระหว่างบวชได้สนทนาธรรมกับพี่-น้องในตระกูล "ชินวัตร" สม่ำเสมอ
เมื่อ "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" ลงสมัครเลือกตั้ง จีวรเคยเย็นร่ม ก็รุ่มร้อน
"นิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล" กลับจากวัดป่ามาสู่เมือง ขึ้น-ลงตึกไทยคู่ฟ้าในฐานะมือขวา ที่ปรึกษาส่วนตัวนายกรัฐมนตรีอยู่หลายเดือน
เมื่อเขาลงจากธรรมาสน์ ขึ้นบัลลังก์รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กับประสบการณ์ 17 ปีที่ทำงานให้ครอบครัว "ชินวัตร"
จากบรรทัดนี้ไปจนถึงบรรทัดสุดท้าย คือประวัติศาสตร์ใหม่ของ "นิวัฒน์ธำรง"
- อยากให้ประชาชนรู้จัก "นิวัฒน์ธำรง" แบบไหน เป็นวอลเปเปอร์ นักจัดฉาก หรือคนของทักษิณ พี่เลี้ยงนายกฯ
เป็นนักทำงาน "เป็นลูกน้องนายกฯ งานของผมมี 3 ข้อคือ เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ ทำงานประชาสัมพันธ์ เรื่องสำนักพุทธ และเรื่องดูเรื่องสื่อ ก็เรียกว่านักทำงานมืออาชีพ ผมมีความรู้สึกอย่างนั้นจริง ๆ ว่าเรามาทำงาน เหมือนที่เคยทำสมัยทำงานตั้งแต่หนุ่มจนแก่
- การจัดอีเวนต์ให้กับนายกฯในการปรากฏตัวต่อหน้าสื่อ หรือพบกับบุคคลสำคัญ ถือเป็นภารกิจสำคัญ
มันอาจเป็นเพราะงานพาไป งานเรื่องน้ำก็ไปเจอคนเยอะ โครงการรัฐบาลไม่ว่าจะเป็นจำนำข้าว, เอสเอ็มแอล หรือว่าแท็บเลตพีซี เราก็เป็นผู้ประสานงานให้ คอยสนับสนุนเขา เขามีปัญหาให้ช่วยแก้ไขก็เข้าไปช่วย
- นอกจากอีเวนต์นายกรัฐมนตรีพบประธานองคมนตรี หรือนายกรัฐมนตรีพบผู้นำเหล่าทัพ พบนักธุรกิจ จะมีอีเวนต์อะไรอีก
อย่ามาให้เครดิตผมมากนัก การพบผู้นำเหล่าทัพเขาก็พบกันมานานแล้ว แสดงว่าผมบุญหล่นทับ ผมไม่ได้เป็นคนเขี่ยบอล แต่นายกรัฐมนตรีท่านเก่ง การที่ประสานกับผู้หลักผู้ใหญ่ ท่านเข้ากับคนง่าย เป็นผู้หญิงอ่อนหวาน นุ่มนวล ไม่ทะเลาะเบาะแว้งกับใคร ทุกคนก็เอ็นดู
- เบื้องหลังงานนายกฯพบกับประธานองคมนตรี ต้องการถ่ายทอดอะไรมากกว่าการให้ทีวีถ่ายทอดสด 2 ชั่วโมง
สิ่งที่เราอยากเห็นคือ ความเชื่อมั่นของทั้งคนไทยและต่างประเทศว่าเราผ่านวิกฤตอะไรมาเยอะ จะเป็นความแตกแยกหรืออะไรก็แล้วแต่ วันนี้เราพร้อมเพื่อเดินหน้าประเทศไทย ต้องคิดว่าวันนี้มาเลเซีย สิงคโปร์ วันนี้เขานำเรา เวียดนามเปิดประเทศมาวันนี้เขาก็เทียบเท่าเรา และพม่าจะเปิดประเทศอีก แล้วเราจะมานั่งอยู่อย่างนี้ได้อย่างไร
ดังนั้น ความเชื่อมั่นของคนไทยและต่างประเทศนั้นสำคัญ เราต้องแย่งนักลงทุน นักธุรกิจ นักท่องเที่ยวเข้ามาในประเทศ ถ้าเรายังไม่ไปด้วยกันทุกฝ่ายก็คงจะไม่ได้
- งานนายกรัฐมนตรีพบประธานองคมนตรี รัฐบาลกำลังบอกว่าการเมืองนิ่ง
การเมืองเป็นปัจจัยสำคัญของประเทศ ถ้าถามว่านิ่งแล้วหรือไม่ ผมว่ามันดีขึ้นกว่าเมื่อหลายปีที่ผ่านมา ผมว่ารัฐบาลของนายกฯยิ่งลักษณ์จะช่วยการเมืองนิ่งขึ้น และมีความสามัคคี
ปรองดองได้ง่ายกว่ารัฐบาลอื่น ๆ
- แสดงว่าฝ่ายคุณทักษิณ รัฐบาลยิ่งลักษณ์ยอมรับแล้วว่าที่ผ่านมาฝ่ายตรงข้ามของรัฐบาลคือ พล.อ.เปรม
ไม่ใช่...ท่านเป็นผู้ที่หลายฝ่ายเคารพนับถือ และมีหลายคนที่จะช่วยประเทศไทยผนึกกำลังกันได้ ซึ่งท่านก็เป็นผู้หนึ่ง ไม่ใช่ว่าเป็นฝ่ายตรงข้าม ท่านเป็นผู้ที่คนยอมรับ รวมทั้งรัฐบาลก็ต้องยอมรับนับถือผู้หลักผู้ใหญ่
- จะเสียแนวร่วมหรือไม่ เพราะแนวร่วมรัฐบาลอย่างคนเสื้อแดงก็เผชิญหน้ากับ พล.อ.เปรม มาโดยตลอด
เรื่องมันมีหลายมิติ และรัฐบาลต้องมองประเทศชาติ ผมเชื่อว่าทุกสีทุกฝ่ายก็ต้องมองประเทศชาติ อะไรที่ทำแล้วประเทศชาติไปได้ดี ผมเชื่อว่าไม่มีปัญหา ทุกวันนี้ก็ไม่มีเสียงสะท้อนว่ารัฐบาลเขาจัดเอาใจใคร ก็ไม่เห็นมี ทุกคนทุกฝ่ายต้องการให้ประเทศดีขึ้น
- ประเมินว่ารัฐบาลจะได้แต้มต่ออะไรในงานรักเมืองไทยเดินหน้าประเทศไทย
ผมว่าเราไม่ได้มองว่ารัฐบาลจัดงานนี้ขึ้นมาเพื่อให้ได้คะแนนเสียงขึ้นมามากกว่าพรรคฝ่ายค้านหรือคนอื่น แต่ผมมองว่านี่ถึงเวลาแล้วที่ประเทศไทยจะต้องผนึกกำลัง เราต้องแข่งกับคนอื่น ไม่ใช่แข่งกันเอง เราจะเข้าสมาคมอาเซียน ประเทศอื่นเขาไปกันแล้ว แต่เรายังไม่ไปไหน เราจะสู้เขาไหวได้อย่างไร
- หมายความว่าสูตรรัฐบาลบวก พล.อ.เปรม เท่ากับการเมืองนิ่ง ประเทศไปข้างหน้า
มันอาจจะเป็นส่วนหนึ่ง แต่เราต้องทำหลายอย่าง เพื่อทำให้ประเทศเข้าสู่แนวทางที่จะช่วยกันพัฒนาประเทศให้ดี อย่าไปจับคู่ป๋าเปรมกับรัฐบาล ต้องมีขาอื่นที่เดินไปด้วย เราต้องทำหลาย ๆ อย่างไปพร้อมกันเพื่อให้ประเทศมันดี ทุกคนเข้ามาผูกกันเหมือนเดิม
- แม้ภาพในทำเนียบจะแสดงให้เห็นถึงความปรองดอง แต่ภาพข้างนอกยังถกเถียงเรื่องแก้รัฐธรรมนูญยังเขย่ารัฐบาล
เรามีรัฐธรรมนูญมาเป็น 18 ฉบับ บางมาตราตั้งแต่ฉบับที่ 1 โครงรัฐธรรมนูญยังเหมือนเดิม แต่เนื้อหาอันไหนไม่ดีก็เปลี่ยนให้มันดีขึ้น มันไม่ใช่สิ่งเลวร้ายนะแต่เราเอาสิ่งที่ดีเข้าไปใส่ เพื่อให้ประเทศเดินหน้าได้อย่างคล่องแคล่วเป็นประชาธิปไตย
- แต่เมื่อไรที่รัฐธรรมนูญถูกนำไปรวมกับเรื่องที่ว่าด้วยกฎหมายอาญา 112 ก็จะมีปัญหา
มันคนละเรื่อง มาตรา 291 เป็นรัฐธรรมนูญ มาตรา 112 เป็นกฎหมายอาญา เราไม่แตะตรงนั้น แม้จะมีบ้างก็เป็นความคิดเห็นส่วนตัว เป็นสิทธิส่วนบุคคล แต่ไม่ใช่พรรคเพื่อไทย ไม่ใช่รัฐบาลแน่นอน
- ทำไมพรรคเพื่อไทยถึงมองว่ามาตรา 112 เป็นของต้องห้าม
สังคมไปมองและพยายามป้ายให้พรรคเพื่อไทยเข้าไปเกี่ยวข้อง ผมกำลังบอกว่ามาตรา 112 เป็นอะไรที่ไม่ใช่เวลานี้ เมื่อไรไม่รู้ เราไม่ได้เข้าไปเกี่ยว ไม่ได้ไปยุ่งด้วย
- บทบาทคุณนิวัฒน์ธำรงคือต้องไปทำความเข้าใจเรื่องนี้ด้วยหรือไม่
ผมก็เป็นส่วนหนึ่งของฝ่ายประชาสัมพันธ์ ผมก็มาคุยกับสื่อเพื่อให้เห็นให้เข้าใจว่า นี่คือสิ่งที่รัฐบาลคิด รัฐบาลทำ เป้าหมายเป็นอย่างนี้ ต้องการทำให้ประเทศดีขึ้น เพราะเราหยุดการพัฒนามาหลายปีแล้ว
- ถ้าคนมองว่าพรรคเพื่อไทยและรัฐบาลเป็นแนวร่วมในการล้มสถาบันจะอธิบายอย่างไร
ก็บอกว่าไม่ใช่ เราไม่ได้เกี่ยวข้องกับการล้มสถาบัน เพราะดูพฤติกรรมจากรัฐบาลก็ไม่มี มีแต่ถวายความจงรักภักดี
- แต่คนจำนวนหนึ่งก็ยังแคลงใจ คาใจ
ก็เป็นเรื่องของเขา เขาสามารถมองได้ คิดอย่างนั้นได้ด้วยใจบริสุทธิ์หรือไม่ผมไม่รู้ อาจจะมีใจไม่บริสุทธิ์ก็มีไม่น้อยนะ แต่เราไม่ว่าเขา เขาจะคิดไปก็ปล่อยเขา จะไปบังคับไม่ได้อยู่แล้ว เพียงแต่ว่าเราต้องพิสูจน์
- รัฐบาลชุดนี้จำเป็นต้องมีคนประสานงานกับราชสำนักโดยตรงหรือไม่
เวลาทำงานเขาก็ต้องทำอยู่แล้ว เลขาธิการคณะรัฐมนตรีกับสำนักราชเลขาธิการก็ประสานงานกันหลายเรื่อง
- เรื่องน้ำที่พระองค์ท่านพระราชทานคำแนะนำมาให้ หลักใหญ่ ๆ คืออะไร
ท่านปราโมทย์ (ไม้กลัด) ท่านสุเมธ (ตันติเวชกุล) ดร.สมิทธ (ธรรมสโรช) ท่านรอยล (จิตรดอน) ท่านอานนท์ (สนิทวงศ์ ณ อยุธยา) คือทุกคนที่พระองค์ท่านใช้ทั้งนั้น คนพวกนี้แล้วคุณคิดว่าอย่างไร ก็ไม่ต้องตอบอย่างอื่น ถามว่าสิ่งที่พระองค์ท่านคิดถูกต้องหรือไม่ ก็ถูกต้องมาตั้งนานแล้ว พวกเราต่างหากที่ไม่ทำตั้งแต่ปี 2538 ทำอะไรก็ไม่ตรงกับที่พระองค์ท่านได้ออกแบบไว้ มัวแต่ไปสร้างบ้านจนทางน้ำหายหมด
- ในฐานะที่ดูเรื่องการประชาสัมพันธ์ ทำไมรัฐบาลถึงยังไม่มีโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
เราจะหาดีที่สุด ต้องเป็นคนที่สามารถประชาสัมพันธ์ให้กับประชาชนได้ดี และต้องรู้จักวิธีการหลาย ๆ วิธีในการประชาสัมพันธ์ ไม่ใช่พูดเพียงอย่างเดียว ซึ่งคนในพรรคก็พอมี แต่อาจจะคนข้างนอกก็ได้ คือเรื่องนี้มันต้องการคนมีไอเดีย มีความคิดสร้างสรรค์
- เป็นมืออาชีพสายธุรกิจ ทางธรรมก็ผ่านมาแล้ว ในทางการเมืองหวังจะบรรลุอะไรที่นี่
หวังจะช่วยประเทศชาติ เพื่อความเจริญรุ่งเรืองของบ้านเมืองเรา นี่คือสิ่งที่อยากได้ เราก็จะเป็นส่วนหนึ่งที่จะทำให้งานที่ตั้งใจจะทำไปสู่ความสำเร็จ
- การเมืองมีเงื่อนไขที่ควบคุมไม่ได้เยอะ จะบริหารจัดการอย่างไร
ก็ต้องอธิบาย เชิญชวน ชักชวน
ลาก ๆ กันไป เป็นไปไม่ได้ที่จะทำให้สังคมรวมกันเป็นก้อนเดียว ยิ่งเป็นประชาธิปไตยด้วยแล้วการอธิบายอะไรก็เป็นเรื่องใหญ่ มันไม่ใช่ระบบทุบโต๊ะ
- คิดว่าตัวเองจะทนทานการเมือง จนอยู่ครบสมัยรัฐบาลหรือไม่
ถ้าถามใจก็อยากอยู่สิ (หัวเราะ) แต่เขาจะให้อยู่หรือเปล่าก็ไม่รู้
- การลาออกจาก ส.ส.ระบบปาร์ตี้ลิสต์หมายความว่าต้องอยู่ยาวในรัฐบาล
ถ้าไม่ได้อยู่ก็ตกงาน (หัวเราะ) แต่ต้องเข้าใจว่าเราเข้ามาก็ตั้งใจใช้เวลา 100% กับการทำงานที่นี่ จะให้ผมวิ่งไปรัฐสภาก็จะไม่ดี ผมยังมีงานตามที่ได้รับมอบหมายอีกเยอะ ก็อยากทุ่มเท
- ได้คุมงานด้านสื่อ ถูกมองว่าจะทำให้การจัดการกับสื่อแนบเนียนยิ่งขึ้นหรือไม่
เวลาส่วนใหญ่ผมไปอยู่ที่เรื่องน้ำ เรื่องโครงการ เรื่องการควบคุมสื่อ ผมก็มาช่วยเขามากกว่า ผมเชื่อว่าจากความเข้าใจกัน รู้งานกัน น่าจะช่วยเขาในมุมนั้น อย่างอื่นก็ปล่อยเขาทำไปเถอะ
- รัฐบาล "ยิ่งลักษณ์ 2" มีรัฐมนตรีและที่ปรึกษาส่วนใหญ่จากกลุ่มชินคอร์ป (อินทัช) เป็นการเข้ามาครอบครองอำนาจในรัฐบาลหรือครอบงำกันแน่
ที่พวกเรามาคือนักทำงาน ไม่ใช่นักการเมืองสักคน ก็เข้ามาทำงานให้สำเร็จตามนโยบายที่วางเอาไว้ เพราะคนนิยมถึงได้คะแนนเสียงมามาก ก็ไม่มีวัตถุประสงค์อื่น เราก็ต้องเอาคนทำงานเป็นเข้ามา อย่าคิดว่าเป็นรัฐบาลเอานักการเมือง อาจารย์ นักกฎหมายเข้ามาแล้วทำงานไม่เป็น ประเทศชาติก็เสียโอกาส วันนี้ต้องทำงานแข่งกับต่างประเทศ ก็ต้องเอาคนทำงานเป็นเข้ามา
- จากโลกไปทางธรรมครั้งหนึ่งแล้ว ทำไมถึงกลับมาทางโลกอีก
จริง ๆ ผมไปบวชเพราะผมเออร์ลี่งานไป เพราะไม่มีไอทีวีแล้ว ไปอยู่ตึกชินสักพักหนึ่ง และผมก็บวชที่ลำพูน ท่านก็ชวนบวชมาตั้งนานแล้ว ก็ไม่รู้จะบวชยาวหรือสั้น ผมก็เขียนใบลาออกว่า หลวงพ่อชวนไปบวชและไม่รู้ว่าจะนานหรือไม่ ถ้าบวชนานก็ขอให้เป็นเรื่องลาออก ถ้าบวชสั้นผมก็จะกลับมาทำงานใหม่
ทิ้งครอบครัวมา 2 ปีแล้ว เป็นห่วงครอบครัวก็เลยสึกออกมา ก็ไม่ได้ทำอะไรมาเกือบปี จนกระทั่งเลือกตั้ง เขาก็ชวนให้มาช่วย เราก็เลยมา ฉะนั้นไม่ใช่จีวรร้อนเพราะการเมือง เพราะผมสึกมาก่อนเลือกตั้งตั้ง 1 ปี
จริง ๆ แล้วคุณทักษิณก็ไม่ได้ขอให้เราสึกนะ ก็เคยเจอคุณยิ่งลักษณ์ เพราะมีสนามกอล์ฟอัลไพน์ที่เชียงใหม่จัดงานประจำปีก็นิมนต์ให้ไปฉันอาหาร แต่สนทนาธรรมเรื่องการเมืองไม่ได้มันบาป (หัวเราะ) ผมสึกมาตอนพฤษภาคม 2553 พอดี ก็ไม่ได้ยุ่งอะไรกับเขาเลย จนกระทั่งเลือกตั้งนั่นล่ะ เพราะงานเยอะไม่มีใครช่วย เราก็ยินดี เพราะเราทำงานกับเขามาครึ่งชีวิตกับตระกูลนี้ อยู่ไอบีเอ็ม 17 ปี อยู่ที่นี่อีก 17 ปี ก็พอกันเลย
- คิดว่าตัวเองจะติดการเมืองหรือไม่
อายุปูนนี้ 64 ปีแล้ว จะติดไปได้อีกกี่น้ำ จะครบสมัยก็ 70 ปี แต่การเมืองจะอยู่อายุเกิน 70 ปีก็ได้ (หัวเราะ) ชีวิตเราก็มีครบหมดแล้ว ครอบครัว ลูกหลาน อะไรที่เราช่วยได้เราก็ช่วยแล้วที่มา.ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
เมื่อไอทีวีโดนมรสุมการเมืองพัดถล่มจนล้มเลิก เขากลับขึ้นตึกชินวัตรอีกครั้ง
เมื่ออำนาจวาสนาของ "ทักษิณ
ชินวัตร" อัสดงอยู่ในพงหนามรัฐประหาร 2549 เขาหันหลังให้ "ชินคอร์ป" อีกหน ไปค้นหาทางธรรมที่วัดป่าพุทธพจน์หริภุญไชย จ.ลำพูน
ระหว่างบวชได้สนทนาธรรมกับพี่-น้องในตระกูล "ชินวัตร" สม่ำเสมอ
เมื่อ "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" ลงสมัครเลือกตั้ง จีวรเคยเย็นร่ม ก็รุ่มร้อน
"นิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล" กลับจากวัดป่ามาสู่เมือง ขึ้น-ลงตึกไทยคู่ฟ้าในฐานะมือขวา ที่ปรึกษาส่วนตัวนายกรัฐมนตรีอยู่หลายเดือน
เมื่อเขาลงจากธรรมาสน์ ขึ้นบัลลังก์รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กับประสบการณ์ 17 ปีที่ทำงานให้ครอบครัว "ชินวัตร"
จากบรรทัดนี้ไปจนถึงบรรทัดสุดท้าย คือประวัติศาสตร์ใหม่ของ "นิวัฒน์ธำรง"
- อยากให้ประชาชนรู้จัก "นิวัฒน์ธำรง" แบบไหน เป็นวอลเปเปอร์ นักจัดฉาก หรือคนของทักษิณ พี่เลี้ยงนายกฯ
เป็นนักทำงาน "เป็นลูกน้องนายกฯ งานของผมมี 3 ข้อคือ เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ ทำงานประชาสัมพันธ์ เรื่องสำนักพุทธ และเรื่องดูเรื่องสื่อ ก็เรียกว่านักทำงานมืออาชีพ ผมมีความรู้สึกอย่างนั้นจริง ๆ ว่าเรามาทำงาน เหมือนที่เคยทำสมัยทำงานตั้งแต่หนุ่มจนแก่
- การจัดอีเวนต์ให้กับนายกฯในการปรากฏตัวต่อหน้าสื่อ หรือพบกับบุคคลสำคัญ ถือเป็นภารกิจสำคัญ
มันอาจเป็นเพราะงานพาไป งานเรื่องน้ำก็ไปเจอคนเยอะ โครงการรัฐบาลไม่ว่าจะเป็นจำนำข้าว, เอสเอ็มแอล หรือว่าแท็บเลตพีซี เราก็เป็นผู้ประสานงานให้ คอยสนับสนุนเขา เขามีปัญหาให้ช่วยแก้ไขก็เข้าไปช่วย
- นอกจากอีเวนต์นายกรัฐมนตรีพบประธานองคมนตรี หรือนายกรัฐมนตรีพบผู้นำเหล่าทัพ พบนักธุรกิจ จะมีอีเวนต์อะไรอีก
อย่ามาให้เครดิตผมมากนัก การพบผู้นำเหล่าทัพเขาก็พบกันมานานแล้ว แสดงว่าผมบุญหล่นทับ ผมไม่ได้เป็นคนเขี่ยบอล แต่นายกรัฐมนตรีท่านเก่ง การที่ประสานกับผู้หลักผู้ใหญ่ ท่านเข้ากับคนง่าย เป็นผู้หญิงอ่อนหวาน นุ่มนวล ไม่ทะเลาะเบาะแว้งกับใคร ทุกคนก็เอ็นดู
- เบื้องหลังงานนายกฯพบกับประธานองคมนตรี ต้องการถ่ายทอดอะไรมากกว่าการให้ทีวีถ่ายทอดสด 2 ชั่วโมง
สิ่งที่เราอยากเห็นคือ ความเชื่อมั่นของทั้งคนไทยและต่างประเทศว่าเราผ่านวิกฤตอะไรมาเยอะ จะเป็นความแตกแยกหรืออะไรก็แล้วแต่ วันนี้เราพร้อมเพื่อเดินหน้าประเทศไทย ต้องคิดว่าวันนี้มาเลเซีย สิงคโปร์ วันนี้เขานำเรา เวียดนามเปิดประเทศมาวันนี้เขาก็เทียบเท่าเรา และพม่าจะเปิดประเทศอีก แล้วเราจะมานั่งอยู่อย่างนี้ได้อย่างไร
ดังนั้น ความเชื่อมั่นของคนไทยและต่างประเทศนั้นสำคัญ เราต้องแย่งนักลงทุน นักธุรกิจ นักท่องเที่ยวเข้ามาในประเทศ ถ้าเรายังไม่ไปด้วยกันทุกฝ่ายก็คงจะไม่ได้
- งานนายกรัฐมนตรีพบประธานองคมนตรี รัฐบาลกำลังบอกว่าการเมืองนิ่ง
การเมืองเป็นปัจจัยสำคัญของประเทศ ถ้าถามว่านิ่งแล้วหรือไม่ ผมว่ามันดีขึ้นกว่าเมื่อหลายปีที่ผ่านมา ผมว่ารัฐบาลของนายกฯยิ่งลักษณ์จะช่วยการเมืองนิ่งขึ้น และมีความสามัคคี
ปรองดองได้ง่ายกว่ารัฐบาลอื่น ๆ
- แสดงว่าฝ่ายคุณทักษิณ รัฐบาลยิ่งลักษณ์ยอมรับแล้วว่าที่ผ่านมาฝ่ายตรงข้ามของรัฐบาลคือ พล.อ.เปรม
ไม่ใช่...ท่านเป็นผู้ที่หลายฝ่ายเคารพนับถือ และมีหลายคนที่จะช่วยประเทศไทยผนึกกำลังกันได้ ซึ่งท่านก็เป็นผู้หนึ่ง ไม่ใช่ว่าเป็นฝ่ายตรงข้าม ท่านเป็นผู้ที่คนยอมรับ รวมทั้งรัฐบาลก็ต้องยอมรับนับถือผู้หลักผู้ใหญ่
- จะเสียแนวร่วมหรือไม่ เพราะแนวร่วมรัฐบาลอย่างคนเสื้อแดงก็เผชิญหน้ากับ พล.อ.เปรม มาโดยตลอด
เรื่องมันมีหลายมิติ และรัฐบาลต้องมองประเทศชาติ ผมเชื่อว่าทุกสีทุกฝ่ายก็ต้องมองประเทศชาติ อะไรที่ทำแล้วประเทศชาติไปได้ดี ผมเชื่อว่าไม่มีปัญหา ทุกวันนี้ก็ไม่มีเสียงสะท้อนว่ารัฐบาลเขาจัดเอาใจใคร ก็ไม่เห็นมี ทุกคนทุกฝ่ายต้องการให้ประเทศดีขึ้น
- ประเมินว่ารัฐบาลจะได้แต้มต่ออะไรในงานรักเมืองไทยเดินหน้าประเทศไทย
ผมว่าเราไม่ได้มองว่ารัฐบาลจัดงานนี้ขึ้นมาเพื่อให้ได้คะแนนเสียงขึ้นมามากกว่าพรรคฝ่ายค้านหรือคนอื่น แต่ผมมองว่านี่ถึงเวลาแล้วที่ประเทศไทยจะต้องผนึกกำลัง เราต้องแข่งกับคนอื่น ไม่ใช่แข่งกันเอง เราจะเข้าสมาคมอาเซียน ประเทศอื่นเขาไปกันแล้ว แต่เรายังไม่ไปไหน เราจะสู้เขาไหวได้อย่างไร
- หมายความว่าสูตรรัฐบาลบวก พล.อ.เปรม เท่ากับการเมืองนิ่ง ประเทศไปข้างหน้า
มันอาจจะเป็นส่วนหนึ่ง แต่เราต้องทำหลายอย่าง เพื่อทำให้ประเทศเข้าสู่แนวทางที่จะช่วยกันพัฒนาประเทศให้ดี อย่าไปจับคู่ป๋าเปรมกับรัฐบาล ต้องมีขาอื่นที่เดินไปด้วย เราต้องทำหลาย ๆ อย่างไปพร้อมกันเพื่อให้ประเทศมันดี ทุกคนเข้ามาผูกกันเหมือนเดิม
- แม้ภาพในทำเนียบจะแสดงให้เห็นถึงความปรองดอง แต่ภาพข้างนอกยังถกเถียงเรื่องแก้รัฐธรรมนูญยังเขย่ารัฐบาล
เรามีรัฐธรรมนูญมาเป็น 18 ฉบับ บางมาตราตั้งแต่ฉบับที่ 1 โครงรัฐธรรมนูญยังเหมือนเดิม แต่เนื้อหาอันไหนไม่ดีก็เปลี่ยนให้มันดีขึ้น มันไม่ใช่สิ่งเลวร้ายนะแต่เราเอาสิ่งที่ดีเข้าไปใส่ เพื่อให้ประเทศเดินหน้าได้อย่างคล่องแคล่วเป็นประชาธิปไตย
- แต่เมื่อไรที่รัฐธรรมนูญถูกนำไปรวมกับเรื่องที่ว่าด้วยกฎหมายอาญา 112 ก็จะมีปัญหา
มันคนละเรื่อง มาตรา 291 เป็นรัฐธรรมนูญ มาตรา 112 เป็นกฎหมายอาญา เราไม่แตะตรงนั้น แม้จะมีบ้างก็เป็นความคิดเห็นส่วนตัว เป็นสิทธิส่วนบุคคล แต่ไม่ใช่พรรคเพื่อไทย ไม่ใช่รัฐบาลแน่นอน
- ทำไมพรรคเพื่อไทยถึงมองว่ามาตรา 112 เป็นของต้องห้าม
สังคมไปมองและพยายามป้ายให้พรรคเพื่อไทยเข้าไปเกี่ยวข้อง ผมกำลังบอกว่ามาตรา 112 เป็นอะไรที่ไม่ใช่เวลานี้ เมื่อไรไม่รู้ เราไม่ได้เข้าไปเกี่ยว ไม่ได้ไปยุ่งด้วย
- บทบาทคุณนิวัฒน์ธำรงคือต้องไปทำความเข้าใจเรื่องนี้ด้วยหรือไม่
ผมก็เป็นส่วนหนึ่งของฝ่ายประชาสัมพันธ์ ผมก็มาคุยกับสื่อเพื่อให้เห็นให้เข้าใจว่า นี่คือสิ่งที่รัฐบาลคิด รัฐบาลทำ เป้าหมายเป็นอย่างนี้ ต้องการทำให้ประเทศดีขึ้น เพราะเราหยุดการพัฒนามาหลายปีแล้ว
- ถ้าคนมองว่าพรรคเพื่อไทยและรัฐบาลเป็นแนวร่วมในการล้มสถาบันจะอธิบายอย่างไร
ก็บอกว่าไม่ใช่ เราไม่ได้เกี่ยวข้องกับการล้มสถาบัน เพราะดูพฤติกรรมจากรัฐบาลก็ไม่มี มีแต่ถวายความจงรักภักดี
- แต่คนจำนวนหนึ่งก็ยังแคลงใจ คาใจ
ก็เป็นเรื่องของเขา เขาสามารถมองได้ คิดอย่างนั้นได้ด้วยใจบริสุทธิ์หรือไม่ผมไม่รู้ อาจจะมีใจไม่บริสุทธิ์ก็มีไม่น้อยนะ แต่เราไม่ว่าเขา เขาจะคิดไปก็ปล่อยเขา จะไปบังคับไม่ได้อยู่แล้ว เพียงแต่ว่าเราต้องพิสูจน์
- รัฐบาลชุดนี้จำเป็นต้องมีคนประสานงานกับราชสำนักโดยตรงหรือไม่
เวลาทำงานเขาก็ต้องทำอยู่แล้ว เลขาธิการคณะรัฐมนตรีกับสำนักราชเลขาธิการก็ประสานงานกันหลายเรื่อง
- เรื่องน้ำที่พระองค์ท่านพระราชทานคำแนะนำมาให้ หลักใหญ่ ๆ คืออะไร
ท่านปราโมทย์ (ไม้กลัด) ท่านสุเมธ (ตันติเวชกุล) ดร.สมิทธ (ธรรมสโรช) ท่านรอยล (จิตรดอน) ท่านอานนท์ (สนิทวงศ์ ณ อยุธยา) คือทุกคนที่พระองค์ท่านใช้ทั้งนั้น คนพวกนี้แล้วคุณคิดว่าอย่างไร ก็ไม่ต้องตอบอย่างอื่น ถามว่าสิ่งที่พระองค์ท่านคิดถูกต้องหรือไม่ ก็ถูกต้องมาตั้งนานแล้ว พวกเราต่างหากที่ไม่ทำตั้งแต่ปี 2538 ทำอะไรก็ไม่ตรงกับที่พระองค์ท่านได้ออกแบบไว้ มัวแต่ไปสร้างบ้านจนทางน้ำหายหมด
- ในฐานะที่ดูเรื่องการประชาสัมพันธ์ ทำไมรัฐบาลถึงยังไม่มีโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
เราจะหาดีที่สุด ต้องเป็นคนที่สามารถประชาสัมพันธ์ให้กับประชาชนได้ดี และต้องรู้จักวิธีการหลาย ๆ วิธีในการประชาสัมพันธ์ ไม่ใช่พูดเพียงอย่างเดียว ซึ่งคนในพรรคก็พอมี แต่อาจจะคนข้างนอกก็ได้ คือเรื่องนี้มันต้องการคนมีไอเดีย มีความคิดสร้างสรรค์
- เป็นมืออาชีพสายธุรกิจ ทางธรรมก็ผ่านมาแล้ว ในทางการเมืองหวังจะบรรลุอะไรที่นี่
หวังจะช่วยประเทศชาติ เพื่อความเจริญรุ่งเรืองของบ้านเมืองเรา นี่คือสิ่งที่อยากได้ เราก็จะเป็นส่วนหนึ่งที่จะทำให้งานที่ตั้งใจจะทำไปสู่ความสำเร็จ
- การเมืองมีเงื่อนไขที่ควบคุมไม่ได้เยอะ จะบริหารจัดการอย่างไร
ก็ต้องอธิบาย เชิญชวน ชักชวน
ลาก ๆ กันไป เป็นไปไม่ได้ที่จะทำให้สังคมรวมกันเป็นก้อนเดียว ยิ่งเป็นประชาธิปไตยด้วยแล้วการอธิบายอะไรก็เป็นเรื่องใหญ่ มันไม่ใช่ระบบทุบโต๊ะ
- คิดว่าตัวเองจะทนทานการเมือง จนอยู่ครบสมัยรัฐบาลหรือไม่
ถ้าถามใจก็อยากอยู่สิ (หัวเราะ) แต่เขาจะให้อยู่หรือเปล่าก็ไม่รู้
- การลาออกจาก ส.ส.ระบบปาร์ตี้ลิสต์หมายความว่าต้องอยู่ยาวในรัฐบาล
ถ้าไม่ได้อยู่ก็ตกงาน (หัวเราะ) แต่ต้องเข้าใจว่าเราเข้ามาก็ตั้งใจใช้เวลา 100% กับการทำงานที่นี่ จะให้ผมวิ่งไปรัฐสภาก็จะไม่ดี ผมยังมีงานตามที่ได้รับมอบหมายอีกเยอะ ก็อยากทุ่มเท
- ได้คุมงานด้านสื่อ ถูกมองว่าจะทำให้การจัดการกับสื่อแนบเนียนยิ่งขึ้นหรือไม่
เวลาส่วนใหญ่ผมไปอยู่ที่เรื่องน้ำ เรื่องโครงการ เรื่องการควบคุมสื่อ ผมก็มาช่วยเขามากกว่า ผมเชื่อว่าจากความเข้าใจกัน รู้งานกัน น่าจะช่วยเขาในมุมนั้น อย่างอื่นก็ปล่อยเขาทำไปเถอะ
- รัฐบาล "ยิ่งลักษณ์ 2" มีรัฐมนตรีและที่ปรึกษาส่วนใหญ่จากกลุ่มชินคอร์ป (อินทัช) เป็นการเข้ามาครอบครองอำนาจในรัฐบาลหรือครอบงำกันแน่
ที่พวกเรามาคือนักทำงาน ไม่ใช่นักการเมืองสักคน ก็เข้ามาทำงานให้สำเร็จตามนโยบายที่วางเอาไว้ เพราะคนนิยมถึงได้คะแนนเสียงมามาก ก็ไม่มีวัตถุประสงค์อื่น เราก็ต้องเอาคนทำงานเป็นเข้ามา อย่าคิดว่าเป็นรัฐบาลเอานักการเมือง อาจารย์ นักกฎหมายเข้ามาแล้วทำงานไม่เป็น ประเทศชาติก็เสียโอกาส วันนี้ต้องทำงานแข่งกับต่างประเทศ ก็ต้องเอาคนทำงานเป็นเข้ามา
- จากโลกไปทางธรรมครั้งหนึ่งแล้ว ทำไมถึงกลับมาทางโลกอีก
จริง ๆ ผมไปบวชเพราะผมเออร์ลี่งานไป เพราะไม่มีไอทีวีแล้ว ไปอยู่ตึกชินสักพักหนึ่ง และผมก็บวชที่ลำพูน ท่านก็ชวนบวชมาตั้งนานแล้ว ก็ไม่รู้จะบวชยาวหรือสั้น ผมก็เขียนใบลาออกว่า หลวงพ่อชวนไปบวชและไม่รู้ว่าจะนานหรือไม่ ถ้าบวชนานก็ขอให้เป็นเรื่องลาออก ถ้าบวชสั้นผมก็จะกลับมาทำงานใหม่
ทิ้งครอบครัวมา 2 ปีแล้ว เป็นห่วงครอบครัวก็เลยสึกออกมา ก็ไม่ได้ทำอะไรมาเกือบปี จนกระทั่งเลือกตั้ง เขาก็ชวนให้มาช่วย เราก็เลยมา ฉะนั้นไม่ใช่จีวรร้อนเพราะการเมือง เพราะผมสึกมาก่อนเลือกตั้งตั้ง 1 ปี
จริง ๆ แล้วคุณทักษิณก็ไม่ได้ขอให้เราสึกนะ ก็เคยเจอคุณยิ่งลักษณ์ เพราะมีสนามกอล์ฟอัลไพน์ที่เชียงใหม่จัดงานประจำปีก็นิมนต์ให้ไปฉันอาหาร แต่สนทนาธรรมเรื่องการเมืองไม่ได้มันบาป (หัวเราะ) ผมสึกมาตอนพฤษภาคม 2553 พอดี ก็ไม่ได้ยุ่งอะไรกับเขาเลย จนกระทั่งเลือกตั้งนั่นล่ะ เพราะงานเยอะไม่มีใครช่วย เราก็ยินดี เพราะเราทำงานกับเขามาครึ่งชีวิตกับตระกูลนี้ อยู่ไอบีเอ็ม 17 ปี อยู่ที่นี่อีก 17 ปี ก็พอกันเลย
- คิดว่าตัวเองจะติดการเมืองหรือไม่
อายุปูนนี้ 64 ปีแล้ว จะติดไปได้อีกกี่น้ำ จะครบสมัยก็ 70 ปี แต่การเมืองจะอยู่อายุเกิน 70 ปีก็ได้ (หัวเราะ) ชีวิตเราก็มีครบหมดแล้ว ครอบครัว ลูกหลาน อะไรที่เราช่วยได้เราก็ช่วยแล้วที่มา.ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
วันพุธที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555
5 เงื่อนไขสมานฉันท์ !!?
ต้องถือว่าประสบความสำเร็จอย่างยิ่งยวด สำหรับ “รักเมืองไทย เดินหน้าประเทศไทย” งานเลี้ยงประสานใจระหว่าง “น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี กับ “พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์” ประธาน องคมนตรีและรัฐบุรุษ ที่จบไปอย่างแฮปปี้เอ็นดิ้ง..กับบรรยากาศ ที่อบอวลไปด้วยกลิ่นอายของความสมานฉันท์
สำหรับผู้จัดงานนี้ถือว่าคุ้มค่าเงิน 10 ล้านบาท ทั้งเสียงเพลงเบาๆ ที่ประเดิม ด้วย เพลง “รัก” จากวงเยาวชนยะลา ซิมโฟนี ออร์เคสตร้า ตามด้วยการแสดง ดนตรีวงดุริยางค์ไทยแลนด์ ฟิลฮาร์โมนิก พร้อมด้วยนักร้องประสานเสียงของ วิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดล และวงดุริยางค์ซิมโฟร์นี ออเคสตร้า ของเหล่าทัพ ซึ่งทั้งท่านนายกรัฐมนตรี และ “ป๋าเปรม” ต่างก็มีรสนิยมชมชอบในเสียงดนตรีเป็นชีวิตจิตใจ งานนี้จึงถือได้ว่าใช้เสียงดนตรีเป็นกาวใจ และก็ได้ผลเกินกว่าที่คาดหมาย
สำหรับอาหารที่รับรองในงานนี้ ถือว่าเป็นอีกมื้อของความประทับใจ เพราะได้รับการเสกสรรในแบบ “ค็อกเทล” ทั้งอาหารแบบไทยและฝรั่ง โดยทั้งหมดสั่งตรงจาก “โรงแรมปาร์คนายเลิศ” ด้วยบรรยากาศที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความเป็นกันเอง ในครั้งนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีของความปรองดองระหว่าง คู่ขัดแย้งทั้ง 2 ฝ่าย สะท้อน ให้เห็นถึงแสงสว่างในการขับเคลื่อนประเทศไปได้อีกคำรบหนึ่ง
หากแต่งานนี้ก็ยังไม่วายมีเสียงบริภาษจาก สังคมถึงความจริงใจในการ แก้ปัญหาความปรองดอง ในครั้งนี้ว่า 10 ล้านบาทจะสูญเปล่าหรือไม่!!!...โจทย์ใหญ่ข้อนี้เป็นเรื่องที่ทั้งสองฝ่ายจะต้องแสดงบทพิสูจน์ให้ประชาชน เห็นเป็นรูปธรรม เพราะเพียงรอยยิ้มที่ฉาบฉวยบนใบหน้ายังไม่เป็นข้อพิสูจน์ความคลางแคลงใจได้ เนื่องจากกระแส ปฏิวัติที่มีมาก่อนหน้านี้ มีความรุนแรงเกินกว่าจะวางใจกันง่ายๆ
เงื่อนไข 5 ประเด็นหลักที่จะเป็นบทพิสูจน์ความจริงใจของทั้ง 2 ฝ่าย ในครั้งนี้ ก็น่าจะอยู่ที่ประเด็นร้อนๆ ที่กลายเป็น “ทอล์ก ออฟ เดอะ ทาวน์” ในทุกวงสนทนาของคนในสังคม..
1.มาตรา 112 อย่าเสี่ยงไปแตะต้อง เพราะทหาร..ไม่ยอม!!..เสียงฮึ่ม!!.. จาก “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ผบ.ทบ.ถือเป็นการแสดงเจตจำนงที่ชัดเจน ที่สุด และเชื่อว่ารัฐบาลเองคงไม่เสี่ยง นอกจากจะมีเหตุผลที่ซ่อนเร้นโดยหวังผลแหย่หนวดเสือเปิดช่องให้ใครบางคนสร้างความชอบธรรมให้ตัวเอง
2.พ.ร.บ.กลาโหม และฤดูโยกย้าย เล็กของกองทัพในห้วงเดือนเมษาฯ..ซึ่ง “จตุพร พรหมพันธุ์” ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ได้นำข้อมูลการปฏิวัติออกมาเปิดเผยโดยอ้างหน่วยข่าวกรอง ของประเทศสหรัฐอเมริกา..แต่ดันตรงกับจังหวะโยกย้ายอย่างเหลือเชื่อ
3.กรณีกระแสข่าวการขายปตท. และการบินไทย รวมไปถึงการแต่งตั้งคนใกล้ชิดของ “พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี โดยเฉพาะ “ผดุง ลิ้มเจริญรัตน์” คนสนิทนายใหญ่ เข้าไปเป็นเลขานุการ รมว.มหาดไทย “อารักษ์ ชลธาร์นนท์” เป็น รมว.พลังงาน และ “นิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล” เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีคุมสื่อ..ทั้งหมดนี้ ล้วนเป็นภาพสะท้อนให้ฝ่ายตรงข้ามมองได้ว่า “ระบอบทักษิณ” จะกลับมาผงาดอีกครั้ง
4.เกมทวงถามสปิริต ในกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยร่าง พ.ร.ก.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงิน เพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ.2555 วงเงิน 350,000 ล้านบาท และ พ.ร.ก. ปรับปรุงการบริหารหนี้เงินกู้ที่กระทรวงการคลังกู้เพื่อช่วย เหลือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน พ.ศ.2555 วงเงิน 1,140,000 ล้านบาท ออกมา ในทางไม่เป็นคุณกับรัฐบาล ซึ่งต้องจับตาสถานการณ์หลังจากนั้นว่า จะบังเกิดแพตเทิร์นการเมืองไทยแบบเก่าๆ ตามมาหรือไม่
5.มหาอุทกภัยรอบใหม่ที่กำลังจ่อคอหอยอยู่ในขณะนี้ แม้ว่าจะมีความ พยายามป้องกันอย่างสุดกำลัง ทั้งในระดับนโยบาย และปฏิบัติ ทั้งมันสมอง และเงินทุน แต่ถ้าหากรอบนี้เอาไม่อยู่รัฐบาลพัง!!.. แต่หากสิ่งที่เรียกว่า การปรองดองประสบความสำเร็จจริงแบบเป็นรูปธรรม โอกาสที่จะเอาอยู่ก็เป็นไปได้สูง เพราะได้รับความสะดวกจากทุกๆ ฝ่าย
เงื่อนไขทั้ง 5 ข้อที่กล่าวมานี้ น่าจะเป็นบทพิสูจน์ถึงความสมานฉันท์และความจริงใจของทั้ง 2 ฝ่าย ที่ถือเป็นกุญแจสำคัญในการ ขับเคลื่อนประเทศไทย ที่ประชาชน เฝ้าจับตา และรอคอยให้เกิดขึ้นจริงอย่างเป็นรูปธรรมเสียที
ที่มา:สยามธุรกิจออนไลน์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
สำหรับผู้จัดงานนี้ถือว่าคุ้มค่าเงิน 10 ล้านบาท ทั้งเสียงเพลงเบาๆ ที่ประเดิม ด้วย เพลง “รัก” จากวงเยาวชนยะลา ซิมโฟนี ออร์เคสตร้า ตามด้วยการแสดง ดนตรีวงดุริยางค์ไทยแลนด์ ฟิลฮาร์โมนิก พร้อมด้วยนักร้องประสานเสียงของ วิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดล และวงดุริยางค์ซิมโฟร์นี ออเคสตร้า ของเหล่าทัพ ซึ่งทั้งท่านนายกรัฐมนตรี และ “ป๋าเปรม” ต่างก็มีรสนิยมชมชอบในเสียงดนตรีเป็นชีวิตจิตใจ งานนี้จึงถือได้ว่าใช้เสียงดนตรีเป็นกาวใจ และก็ได้ผลเกินกว่าที่คาดหมาย
สำหรับอาหารที่รับรองในงานนี้ ถือว่าเป็นอีกมื้อของความประทับใจ เพราะได้รับการเสกสรรในแบบ “ค็อกเทล” ทั้งอาหารแบบไทยและฝรั่ง โดยทั้งหมดสั่งตรงจาก “โรงแรมปาร์คนายเลิศ” ด้วยบรรยากาศที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความเป็นกันเอง ในครั้งนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีของความปรองดองระหว่าง คู่ขัดแย้งทั้ง 2 ฝ่าย สะท้อน ให้เห็นถึงแสงสว่างในการขับเคลื่อนประเทศไปได้อีกคำรบหนึ่ง
หากแต่งานนี้ก็ยังไม่วายมีเสียงบริภาษจาก สังคมถึงความจริงใจในการ แก้ปัญหาความปรองดอง ในครั้งนี้ว่า 10 ล้านบาทจะสูญเปล่าหรือไม่!!!...โจทย์ใหญ่ข้อนี้เป็นเรื่องที่ทั้งสองฝ่ายจะต้องแสดงบทพิสูจน์ให้ประชาชน เห็นเป็นรูปธรรม เพราะเพียงรอยยิ้มที่ฉาบฉวยบนใบหน้ายังไม่เป็นข้อพิสูจน์ความคลางแคลงใจได้ เนื่องจากกระแส ปฏิวัติที่มีมาก่อนหน้านี้ มีความรุนแรงเกินกว่าจะวางใจกันง่ายๆ
เงื่อนไข 5 ประเด็นหลักที่จะเป็นบทพิสูจน์ความจริงใจของทั้ง 2 ฝ่าย ในครั้งนี้ ก็น่าจะอยู่ที่ประเด็นร้อนๆ ที่กลายเป็น “ทอล์ก ออฟ เดอะ ทาวน์” ในทุกวงสนทนาของคนในสังคม..
1.มาตรา 112 อย่าเสี่ยงไปแตะต้อง เพราะทหาร..ไม่ยอม!!..เสียงฮึ่ม!!.. จาก “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ผบ.ทบ.ถือเป็นการแสดงเจตจำนงที่ชัดเจน ที่สุด และเชื่อว่ารัฐบาลเองคงไม่เสี่ยง นอกจากจะมีเหตุผลที่ซ่อนเร้นโดยหวังผลแหย่หนวดเสือเปิดช่องให้ใครบางคนสร้างความชอบธรรมให้ตัวเอง
2.พ.ร.บ.กลาโหม และฤดูโยกย้าย เล็กของกองทัพในห้วงเดือนเมษาฯ..ซึ่ง “จตุพร พรหมพันธุ์” ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ได้นำข้อมูลการปฏิวัติออกมาเปิดเผยโดยอ้างหน่วยข่าวกรอง ของประเทศสหรัฐอเมริกา..แต่ดันตรงกับจังหวะโยกย้ายอย่างเหลือเชื่อ
3.กรณีกระแสข่าวการขายปตท. และการบินไทย รวมไปถึงการแต่งตั้งคนใกล้ชิดของ “พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี โดยเฉพาะ “ผดุง ลิ้มเจริญรัตน์” คนสนิทนายใหญ่ เข้าไปเป็นเลขานุการ รมว.มหาดไทย “อารักษ์ ชลธาร์นนท์” เป็น รมว.พลังงาน และ “นิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล” เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีคุมสื่อ..ทั้งหมดนี้ ล้วนเป็นภาพสะท้อนให้ฝ่ายตรงข้ามมองได้ว่า “ระบอบทักษิณ” จะกลับมาผงาดอีกครั้ง
4.เกมทวงถามสปิริต ในกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยร่าง พ.ร.ก.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงิน เพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ.2555 วงเงิน 350,000 ล้านบาท และ พ.ร.ก. ปรับปรุงการบริหารหนี้เงินกู้ที่กระทรวงการคลังกู้เพื่อช่วย เหลือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน พ.ศ.2555 วงเงิน 1,140,000 ล้านบาท ออกมา ในทางไม่เป็นคุณกับรัฐบาล ซึ่งต้องจับตาสถานการณ์หลังจากนั้นว่า จะบังเกิดแพตเทิร์นการเมืองไทยแบบเก่าๆ ตามมาหรือไม่
5.มหาอุทกภัยรอบใหม่ที่กำลังจ่อคอหอยอยู่ในขณะนี้ แม้ว่าจะมีความ พยายามป้องกันอย่างสุดกำลัง ทั้งในระดับนโยบาย และปฏิบัติ ทั้งมันสมอง และเงินทุน แต่ถ้าหากรอบนี้เอาไม่อยู่รัฐบาลพัง!!.. แต่หากสิ่งที่เรียกว่า การปรองดองประสบความสำเร็จจริงแบบเป็นรูปธรรม โอกาสที่จะเอาอยู่ก็เป็นไปได้สูง เพราะได้รับความสะดวกจากทุกๆ ฝ่าย
เงื่อนไขทั้ง 5 ข้อที่กล่าวมานี้ น่าจะเป็นบทพิสูจน์ถึงความสมานฉันท์และความจริงใจของทั้ง 2 ฝ่าย ที่ถือเป็นกุญแจสำคัญในการ ขับเคลื่อนประเทศไทย ที่ประชาชน เฝ้าจับตา และรอคอยให้เกิดขึ้นจริงอย่างเป็นรูปธรรมเสียที
ที่มา:สยามธุรกิจออนไลน์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
คิกออฟ.. รัฐธรรมนูญฉบับประชาชน !!?
ดูเหมือนว่าการเมืองไทยกำลังก้าวสู่โหมด “แก้ไขรัฐธรรมนูญปี 50” ฉบับหน้าแหลมฟันดำ! กันโดยไม่รั้งรอ ไม่ว่าฝ่ายรัฐนาวา หรือ “คนเสื้อแดง” ต่างเริ่มเป่านกหวีดกันปรี๊ดปร๊าด แม้เวลานี้..สถานการณ์บ้านเมืองจะยังไม่อยู่ในภาวะที่นิ่งพอ หากแต่ยัง “เอื้อ” ต่อการสะสางการบ้านชิ้นใหญ่ โฟกัสในจังหวะจะโคนของขบวนทัพเสื้อแดงเมื่อช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งได้เปิดเกมคู่ขนานไปพร้อมๆ กับรัฐบาล ด้วยการยื่น 6 หมื่นรายชื่อ ชงร่างแก้ไข รธน. มาตรา 291 เสนอต่อประธานรัฐสภา นำไปบรรจุเป็น “วาระสีแดง!” ให้ทันสมัยประชุมสภาฯ รอบนี้ เพื่อเปิดประตูไปสู่การ เลือกตั้ง “ส.ส.ร.3” ให้เข้ามาทำหน้าที่ยกร่าง รธน.ฉบับประชาชน
“จุดเด่นของร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ คือที่มาของ ส.ส.ร.จำนวน 100 คน มาจาก การเลือกตั้งทั้งหมด ไม่มีการสรรหา และไม่จำกัดวุฒิการศึกษาว่าต้องจบปริญญาตรี โดยมีเหตุผลที่ต้องยื่นแก้ รธน.ปี 50 เพราะ มีที่มาไม่ชอบธรรม เป็นมรดกบาปรัฐประหาร อีกทั้งมีเนื้อหาหลายส่วนที่ขัดต่อสิทธิมนุษยชน ขัดต่อประชาธิปไตย ขัดต่อหลักนิติรัฐและนิติธรรม” นั่นคือคำกล่าวอ้างของ ธิดา ถาวรเศรษฐ รักษาการประธาน นปช.ฉะนั้นแล้ว “คนเสื้อแดง” จึงยืนกรานให้แก้แบบ..ยกเครื่องกันใหม่ เพื่อให้มีความเป็นประชาธิปไตยที่แท้จริง
“ก่อแก้ว พิกุลทอง” ส.ส.เพื่อไทย และแกนนำ นปช. ย้ำหัวตะปูว่า..วันนี้คนเสื้อ แดงได้ช่วยกันเปิดประตูนำประเทศสู่ประชาธิปไตย หลังจากนี้พวกเราจะช่วยกันส่งเสียง ให้ ส.ส.ร.ดำเนินการแก้ปัญหาในรัฐธรรมนูญ ปี 50 คนเสื้อแดงต้องช่วยกันทำให้รัฐธรรมนูญเป็นประชาธิปไตย เป็นรัฐธรรมนูญ ที่ศิวิไลซ์เหมือนนานาชาติ และพวกเรามีหน้าที่รักษารัฐธรรมนูญใหม่นี้ และภารกิจของคนเสื้อแดงก็ควรจะทำทีละภารกิจ กินทีละคำ อย่ามูมมาม!!
สำหรับบรรยากาศในวันดีเดย์เป็นไป อย่างคึกคัก ซึ่งรอบนอกรัฐสภาได้มีคนเสื้อแดงทยอยกันมาให้กำลังใจอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง โดยต่างคนได้ลั่นเสียงเชียร์กันสนั่นหวั่นไหว มีการตั้งโต๊ะล่ารายชื่อสนับสนุนการแก้ไข รธน. และตั้งร้านขายของที่ระลึกของคนเสื้อแดง ขณะที่แกนนำ นปช. รวมถึงแนวร่วม และกลุ่ม ส.ส.ที่อยู่ในค่ายเพื่อไทย ไม่ว่าจะเป็น จตุพร พรหมพันธุ์, น.พ.เหวง โตจิราการ, ดารณี กฤติบุญญาลัย, เจ๋งดอกจิก และ “น้องเดียร์” ขัตติยา สวัสดิผล ต่างคอยให้การต้อนรับคลื่นสีแดงที่เคลื่อนขบวนมาสู่อาคารรัฐสภา
อีกไฮไลต์หนึ่งที่นับเป็นสีสันทางการเมือง เพราะระหว่างมวลชนเสื้อแดงกำลังเดินทาง ออกจากรัฐสภา ได้ปะหน้าเข้ากับ “ศุภชัย ใจสมุทร” โฆษกพรรคภูมิใจไทย ก็ได้มีเสียงเป่าปากกันเกรียวกราว.. จนมีรายการลับฝีปาก กันอย่างเผ็ดร้อนทั้งหน้าฉากและหลังฉาก
และนั่นเป็นบรรยากาศในฝั่งเสื้อแดง ที่รวมตัวกันมาเพื่อยื่นร่างรัฐธรรมนูญ ฉบับใหม่ โดยคนเหล่านี้ต่างคาดหวังไว้ว่า สิ่งนี้จะเป็น “กลไกประชาธิปไตย” ที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ จวบจนก้าว สู่โหมดปรองดองที่แท้จริง ซึ่งต้องกอปรไปด้วยหลักนิติรัฐ-นิติธรรม
ท่ามกลาง “ธงสีแดง” ที่กำลังโบกสะบัด! ก็น่าจับตาดูว่า..จะเป็นเส้นทางที่ทอดยาวไปสู่บริบทในการทำคลอด “รัฐธรรมนูญฉบับประชาชน” อันแท้จริงได้หรือไม่?!
ที่มา:สยามธุรกิจออนไลน์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
“จุดเด่นของร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ คือที่มาของ ส.ส.ร.จำนวน 100 คน มาจาก การเลือกตั้งทั้งหมด ไม่มีการสรรหา และไม่จำกัดวุฒิการศึกษาว่าต้องจบปริญญาตรี โดยมีเหตุผลที่ต้องยื่นแก้ รธน.ปี 50 เพราะ มีที่มาไม่ชอบธรรม เป็นมรดกบาปรัฐประหาร อีกทั้งมีเนื้อหาหลายส่วนที่ขัดต่อสิทธิมนุษยชน ขัดต่อประชาธิปไตย ขัดต่อหลักนิติรัฐและนิติธรรม” นั่นคือคำกล่าวอ้างของ ธิดา ถาวรเศรษฐ รักษาการประธาน นปช.ฉะนั้นแล้ว “คนเสื้อแดง” จึงยืนกรานให้แก้แบบ..ยกเครื่องกันใหม่ เพื่อให้มีความเป็นประชาธิปไตยที่แท้จริง
“ก่อแก้ว พิกุลทอง” ส.ส.เพื่อไทย และแกนนำ นปช. ย้ำหัวตะปูว่า..วันนี้คนเสื้อ แดงได้ช่วยกันเปิดประตูนำประเทศสู่ประชาธิปไตย หลังจากนี้พวกเราจะช่วยกันส่งเสียง ให้ ส.ส.ร.ดำเนินการแก้ปัญหาในรัฐธรรมนูญ ปี 50 คนเสื้อแดงต้องช่วยกันทำให้รัฐธรรมนูญเป็นประชาธิปไตย เป็นรัฐธรรมนูญ ที่ศิวิไลซ์เหมือนนานาชาติ และพวกเรามีหน้าที่รักษารัฐธรรมนูญใหม่นี้ และภารกิจของคนเสื้อแดงก็ควรจะทำทีละภารกิจ กินทีละคำ อย่ามูมมาม!!
สำหรับบรรยากาศในวันดีเดย์เป็นไป อย่างคึกคัก ซึ่งรอบนอกรัฐสภาได้มีคนเสื้อแดงทยอยกันมาให้กำลังใจอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง โดยต่างคนได้ลั่นเสียงเชียร์กันสนั่นหวั่นไหว มีการตั้งโต๊ะล่ารายชื่อสนับสนุนการแก้ไข รธน. และตั้งร้านขายของที่ระลึกของคนเสื้อแดง ขณะที่แกนนำ นปช. รวมถึงแนวร่วม และกลุ่ม ส.ส.ที่อยู่ในค่ายเพื่อไทย ไม่ว่าจะเป็น จตุพร พรหมพันธุ์, น.พ.เหวง โตจิราการ, ดารณี กฤติบุญญาลัย, เจ๋งดอกจิก และ “น้องเดียร์” ขัตติยา สวัสดิผล ต่างคอยให้การต้อนรับคลื่นสีแดงที่เคลื่อนขบวนมาสู่อาคารรัฐสภา
อีกไฮไลต์หนึ่งที่นับเป็นสีสันทางการเมือง เพราะระหว่างมวลชนเสื้อแดงกำลังเดินทาง ออกจากรัฐสภา ได้ปะหน้าเข้ากับ “ศุภชัย ใจสมุทร” โฆษกพรรคภูมิใจไทย ก็ได้มีเสียงเป่าปากกันเกรียวกราว.. จนมีรายการลับฝีปาก กันอย่างเผ็ดร้อนทั้งหน้าฉากและหลังฉาก
และนั่นเป็นบรรยากาศในฝั่งเสื้อแดง ที่รวมตัวกันมาเพื่อยื่นร่างรัฐธรรมนูญ ฉบับใหม่ โดยคนเหล่านี้ต่างคาดหวังไว้ว่า สิ่งนี้จะเป็น “กลไกประชาธิปไตย” ที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ จวบจนก้าว สู่โหมดปรองดองที่แท้จริง ซึ่งต้องกอปรไปด้วยหลักนิติรัฐ-นิติธรรม
ท่ามกลาง “ธงสีแดง” ที่กำลังโบกสะบัด! ก็น่าจับตาดูว่า..จะเป็นเส้นทางที่ทอดยาวไปสู่บริบทในการทำคลอด “รัฐธรรมนูญฉบับประชาชน” อันแท้จริงได้หรือไม่?!
ที่มา:สยามธุรกิจออนไลน์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)