--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันเสาร์ที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2555

หนี้ชั่ว1ล้านล้าน..ใครก่อ ปชป.รู้ดี ดร.โกร่ง จวก ตราบาปยี่ห้อ ธปท. ธีระชัย. ขืนยังแหกคีย์ มีเสียว !!?



การพูดเอาดีเข้าตัว เอาชั่วใส่คนอื่น ดูเหมือนว่ายังคงเป็นแนวทางอันเหนียวแน่นที่พรรคประชาธิปัตย์ในยุคที่มี “มาร์ค แอนด์ เดอะ แก๊งค์”ดูแลนั้น นิยมชมชอบเป็นอย่างมาก

ไม่น่าเชื่อเลยว่า ความพ่ายแพ้ในการเลือกตั้ง เพราะประชาชนเบื่อหน่ายการดีแต่พูด ทำงานไม่เป็น หรือพอจนแต้มขึ้นมาก็จะพูดเอาดีเข้าตัว โยนผิดโยนชั่วไปให้คนอื่นนั้น ไม่ได้ทำให้เกิดอาการรู้สึกตัวเกิดขึ้นกับบรรดานักพูดกลุ่มนี้เลย

แม้ขนาดว่าคนเก่าคนแก่ในพรรคพยายามที่จะสะกิดเตือนก็ไม่มีการสนใจรับฟัง เพราะแม้ปากจะอ้างให้ดูหรูดูดีเข้าตัวว่า จะเล่นการเมืองอย่างสร้างสรรค์ แต่ในความเป็นจริงกลับเป็นคนละเรื่อง

ตัวอย่างล่าสุดที่เห้นได้ชัดก็คือ กรณีการที่จะต้องหาทางแก้ไขปัญหาหนี้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน จำนวน 1.14 ล้านล้านบาท

ซึ่งเรื่องนี้คนในวงการสถาบันการเงิน คนในธนาคารแห่งประเทศไทย คนในกระทรวงการคลัง และหน่วยงานที่เกี่ยวกับหนี้ก้อนนี้ ล้วนรู้ดีถึงที่มาที่ไปว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร!

ที่สำคัญลึกๆแล้วใครเป็นคนที่ปล่อยปละละเลย จนต้องเกิดปัญหากับระบบสถาบันการเงินขึ้นมา จนสุดท้ายจึงต้องมีการตั้งกองทุนฟื้นฟูฯขึ้นมารับภาระแทน

ในช่วงรัฐบาลของ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ เป็นนายกรัฐมนตรีเมื่อปี 2540 ธนาคารแห่งประเทศไทย ผิดพลาดในการที่เข้าไปปกป้องค่าเงินบาทจากการโจมตีของ จอร์จ โซรอส จนทำให้ประเทศชาติถังแตก เงินกองทุนสำรองระหว่างประเทศเหลือสุทธิเพียง 7 พันล้านเหรียญ

สุดท้ายประเทศไทยต้องตกอยู่ภายใต้การกำกับของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ IMF ทำให้นายธารินทร์ นิมมานเหมินท์ รัฐมนตรีคลังในขณะนั้น ซึ่งอยู่ภายใต้รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งมีนายชวน หลีกภัย เป็นนายกรัฐมนตรี เป็นคนลงนามสั่งปิดสถาบันการเงิน 56 แห่ง โดยไม่มีมาตรการรองรับที่ครบถ้วน ทำให้สถาบันการเงินและธนาคารทรุดกันไปทั้งระบบ!

จนต้องมีการตั้งกองทุนฟื้นฟูขึ้นมาอุ้ม และกลายเป็นภาระหนี้ที่เป็น”มรดกบาป”ที่ตกทอดมาถึงทุกวันนี้….

เรื่องนี้นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการแบงก์ชาติคนปัจจุบัน นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล รัฐมนตรีคลังคนปัจจุบัน ทั้งคู่เคยเป็นอดีตลูกหม้อแบงก์ชาติย่อมจะต้องรู้เรื่องนี้เป็นอย่างดี!

รวมทั้งนายกรณ์ จาติกวณิช คนที่ใฝ่ฝันว่าจะขึ้นเป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์แทนนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เพื่อที่จะได้มีโอกาสขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีสักครั้งหนึ่งในชีวิตนั้น ก็ย่อมจะต้องรู้เรื่องดี

เพราะญาติของนายกรณ์ คือนายปิ่น จักกะพาก ที่ต้องหนีคดีไปอยู่อังกฤษก็เพราะการล้มของอาณาจักรเอก ที่เกิดจากความผิดพลาดในการควบคุมดูแลสถาบันการเงินของแบงก์ชาติ จนกลายเป็นวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540

สถาบันการเงินล้มกันระนาว ปิดฉากอาณาจักรเอกด้วย ฉะนั้นนายกรณ์ย่อมควรจะต้องรู้ชัดและจำได้ดี

ซึ่งแน่นอนว่า กูรูเศรษฐกิจระดับแถวหน้าของเมืองไทยอย่าง ดร.วีรพงษ์ รามางกูร หรือ ดร.โกร่ง ที่ผ่านประสบการณ์และได้เห็นวิกฤตครั้งแล้วครั้งเล่าที่เกิดขึ้นกับเศรษฐกิจไทย และรู้ดีว่าเกิดขึ้นเพราะฝีมือใค?

มารอบนี้เมื่อมาเจอการพยายามเบี่ยงเบนข้อเท็จจริงในเรื่องหนี้กองทุนฟื้นฟูฯจำนวนมหาศาล ของทางผู้บริหารแบงก์ชาติยุคปัจจุบัน ก็เลยเกิดอาการทนไม่ได้ และสวนหมัดเตือนสติเพื่อให้รู้ว่า....

ตลอดเวลาที่ผ่านมา แบงก์ชาติอย่าคิดว่าทำอะไรไว้แล้วคนจะไม่รู้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลงานเลวร้ายในช่วงวิกฤตต้มยำกุ้ง 2540 ซึ่งถือเป็นตราบาปของแบงก์ชาติครั้งสำคัญก็ว่าได้

ดร.โกร่ง ได้มีการพูดเอาไว้ชัดเจนมาโดยตลอดในเรื่องแบงก์ชาติ ปลายปีที่ผ่านมาก็มีการไปพูดทาง Money Channel ว่า...

ต้องยอมรับ ที่ผ่านมาแบงก์ชาติได้โยนภาระให้กับประชาชน ผู้เสียภาษีเป็นอย่างมาก จากการบริหารงานที่ผิดพลาดของแบงก์ชาติ การเข้าไปโอบอุ้มสถาบันการเงินของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (FIDF) ซึ่งสร้างภาระหนี้มากมายให้กับประเทศ และเป็นภาระการชดใช้ของกระทรวงการคลัง

“ที่ผ่านมาแบงก์ชาติสร้างวิกฤติมาเป็นระยะๆ ที่จริงเราไว้ใจแบงก์ชาติไม่ได้ ทุกสิบปีที่ผ่านมา แบงก์ชาติจะสร้างความเสียเกิดขึ้นกับเศรษฐกิจ แต่ไปว่าฝ่ายการเมืองสร้างความฉิบหายให้กับประเทศ ทั้งที่ตนเองคนทำให้เกิดความฉิบหาย”

นี่คือคำพูดที่ ดร.วีระพงษ์ รามางกูร พูดตรงไปตรงมาเอาไว้ในวันนั้น…!!

แต่แทนที่ธนาคารแห่งประเทศไทยหรือแบงก์ชาติจะรู้สึกตัว และพัฒนาตัวเองขึ้นมาบ้าง กลับยังคงเส้นคงวากับการเรียกร้องอิสระ ไม่ต้องการให้กระทรวงการคลังหรือการเมืองเข้ามาแทรกแซง ทั้งๆที่การเข้ามาแทรกแซงนั้นจะเป็นการเข้าไปเพื่อการแก้ไขปัญหาก็ตาม

เพราะจริงๆแล้วในเรื่องของการที่จะต้องแก้ไขหนี้ของกองทุนฟื้นฟูฯนั้น เป็นเรื่องที่ทำกันมาระยะหนึ่งก่อนหน้ารัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร แล้ว สำนักบริหารหนี้ของกระทรวงการคลังรู้ดีถึงดีลนี้ ตั้งแต่ตอนที่นางพรรณี สถาวโรดม เป็นผู้อำนวยการแล้ว และเมื่อประชาธิปัตย์พลิกขั้วการเมืองเข้ามาเป็นรัฐบาล นายกรณ์ เข้ามาเป็นรัฐมนตรีคลัง นายพงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ ผู้อำนวยการสำนักบริหารหนี้ในขณะนั้นก็เป็นคนทำเรื่องการแก้ไขหนี้กองทุนฟื้นฟูฯให้นายกรณ์แล้วด้วย

แม้แต่นายจักรกฤศฎิ์ พาราพันธกุล ผู้อำนวยการสำนักบริหารหนี้คนปัจจุบัน ซึ่งขณะนั้นเป็นรองผู้อำนวยการ ก็เป็นคนที่ทำแผนในเรื่องการแก้ไขหนี้กองทุนฟื้นฟูฯนี้ด้วย

เพราะนายกรณ์ กระทรวงคลัง และแบงก์ชาติ รู้ดีว่าไม่แก้ไขไม่ได้ เนื่องจากกองทุนฟื้นฟูฯกำลังจะสิ้นสุดอายุลง แต่หนี้ไม่ได้สิ้นสุดเพราะแบงก์ชาติปลดหนี้ก้อนนี้ไม่ได้ แถมที่ผ่านมาหนี้กองทุนฟื้นฟูฯ ตั้งแต่สมัยรัฐบาลนายชวน หลีกภัย บริหารประเทศในปี 2541 ถึงรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มีการนำงบประมาณของชาติซึ่งมาจากภาษีอากรของประชาชนมาจ่ายดอกเบี้ยให้ปีละประมาณ 65,000 ล้านบาท
รวมเป็นเงินที่จ่ายดอกเบี้ยไปแล้วทั้งสิ้นกว่า 600,000 ล้านบาทแล้ว โดยที่เงินต้นที่แบงก์ชาติต้องเป็นผู้ใช้หนี้พบว่ากว่า 13 ปีที่ผ่านมา เงินต้นลดลงไปเพียง 300,000 ล้านบาทเท่านั้น

กลายเป็นว่าหนี้กองทุนฟื้นฟูฯเป็นหนี้ที่ประชาชนต้องชดใช้อย่างไม่มีที่สิ้นสุดเช่นนั้นหรือ??

ขอเตือนความทรงจำสังคม เตือนความทรงจำคนแบงก์ชาติ ว่าจำกันไม่ได้จริงๆหรือว่าหนี้กองทุนฟื้นฟูฯ ที่ปัจจุบันมียอดคงค้างจำนวน 1.14 ล้านล้านบาทนั้น เป็นหนี้ที่เกิดจากการที่รัฐบาลนายชวน โดยนายธารินทร์ ลงนามปิดสถาบันการเงิน จนเกิดหนี้จำนวนนี้ขึ้นมาโดยที่ประชาชนไม่ได้เป็นผู้ก่อ!!

ถ้าตอนนั้นแบงก์ชาติไม่ได้ทำอะไรอิสระ แอบฝืนไปสู้ค่าเงินบาท จนขาดทุนเกือบ 800,000 ล้านบาท เงินทุนสำรองแทบหมดหน้าตัก สุดท้ายต้องปิดสถาบันการเงิน 56 แห่ง แต่ก็เอาไม่อยู่ ต้องให้รัฐบาลนายชวนช่วยโดยการขออำนาจแก้กฎหมายกองทุนฟื้นฟู กลายเป็นขาดทุนซ้ำอีก

จากนั้นก็ให้ ปรส.นำเอาทรัพย์สินสถาบันการเงินออกประมูลขาย โดยห้ามไม่ให้ลูกหนี้ประมูล แต่กลับเอาไปประเคนประมูลให้ต่างชาติเข้ามาเก็บของถูก แล้วไปฟันกำไรขายคืนให้ลูกหนี้ตามเดิม จนในที่สุดก็ขาดทุนรวมเป็นล้านล้านบาท

ผลงานของแบงก์ชาติในยุครัฐบาลนายชวน หลีกภัย ที่มีนายธารินทร์ นิมมานเหมินทร์ เป็นรัฐมนตรีคลัง น่าจะเป็นสิ่งที่พรรคประชาธิปัตย์จำได้ดีไม่ใช่หรือ??? แม้ว่าจะไม่อยากพูดถึงโดยเฉพาะกรณีของ ปรส. ที่ถูกเรียกเป็นการขายชาติ-เป็นการปล้นชาตินั้น จำได้หรือไม่?

ตอนนั้นแม้แต่ สนธิ ลิ้มทองกุล ในนามปากกา พายัพ วนาสุวรรณ ก็ออกมาจวกเรื่อง ปรส. ออกมากะเทาะเปลือก..ธารินทร์ อย่างหนัก ในขณะที่ประชาธิปัตย์ดูเหมือนจะภาวนาให้เรื่องคดี ปรส.ขาดอายุความเสียที

แต่ความจริงก็คือความจริง ว่านี่คือต้นตอของหนี้สิน 1.14 ล้านล้านบาท ที่ประชาธิปัตย์ และแบงก์ชาติ พยายามบอกว่ารัฐบาลยิ่งลักษณ์กำลังจะสร้างปัญหา

ทั้งๆที่นี่คือความพยายามที่จะยุติปัญหาการที่ต้องเอาเงินภาษีของประชาชนมาอุดมาโป๊ะนานกว่า 13 ปีเข้าไปแล้วนั่นเอง

จึงไม่แปลกที่ ดร.วีรพงษ์จะทนไม่ได้ จนต้องออกทีวีแฉให้ประชาชนรู้ว่าอะไรเป็นอะไร โดยเฉพาะเรื่องหนี้กองทุนฟื้นฟูฯ ซึ่งเป็นกองทุนหนึ่งในธปท. ผู้ว่าการธปท. เป็นผู้จัดตั้ง ผู้จัดการกองทุนก็เป็นเจ้าหน้าที่ธนาคาร กรรมการส่วนมากก็มาจากหน่วยราชการและของธปท.

แต่กลายเป็นว่าหนี้จะให้เป็นภาระกับรัฐบาล ซึ่งก็กลายเป็นข้อจำกัดต่อการทำโครงการทั้งหลาย อาทิ โครงการฟลัดเวย์ สร้างเขื่อน ก็ทำไม่ได้ เพราะยอดหนี้สาธารณะค้ำคออยู่ เนื่องจากตั้งไว้ไม่ให้เกิน 50 เปอร์เซ็นต์ ใช้งบประมาณรายจ่ายทั้งต้นทั้งดอกไม่ให้เกิน 15 เปอร์เซ็นต์ เหลืออีก 30 กว่าเปอร์เซ็นต์จะเอาไปทำอะไรได้

บัดนี้ ธปท.เข้มแข็งแล้ว มีเงินทุนสำรองระหว่างประเทศเป็นอันดับที่ 17 ของโลก มีเงินสดอยู่ในมือ 3 ล้านล้านบาท แต่ก็บริหารขาดทุนหมด ทั้งๆ ที่มีอำนาจอยู่ในมือ ทำให้หนี้กลายเป็นหนี้ตลอดกาลอวสาน จึงกลายเป็นข้อจำกัดที่ทำให้เราไม่สามารถสร้างประเทศได้ ติดขัดวินัยการคลังอยู่ ทั้งที่ไม่ใช่รัฐบาลทำกลับมาโยนให้

ตอนนี้ธปท.เข้มแข็งแล้วต้องขอคืนไป เราจะได้กลับมาพัฒนาประเทศและสร้างอนาคตของชาติต่อไป
“สังคมไทยไว้ใจ ธปท. แต่ไม่ไว้ใจรมว.คลัง และนักการเมือง ประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาเป็นฝีมือธปท.ทั้งสิ้น ถ้าปิดประตู ไม่ให้รมว.คลังทำกำไรได้ แบงก์ชาติก็เป็นรัฐอิสระร้อยเปอร์เซ็นต์แทน และชอบพูดให้สังคมไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีซึ่งขัดกับหลักประชาธิปไตย เพราะคณะรัฐมนตรีและนักการเมืองมาจากประชาชน ส่วนแบงก์ชาติไม่ได้มาจากประชาชนเลยแต่กลับมาพูดไม่ให้ไว้วางใจนักการเมือง จึงควรเปิดประตูไว้บ้างไม่ใช่ปิดประตูตายเลย”

ที่สำคัญ ดร.วีรพงษ์ยืนยันว่า เรื่องนี้เป็นอำนาจของธปท.ที่ต้องไปดูแล เราไม่อยากไปแตะต้อง หากธปท. ไม่ทำอะไรเลย หนี้ก้อนดังกล่าวของกองทุนฟื้นฟูฯ คงเป็นหนี้ไปตลอดกาลอวสาน กินแต่เงินภาษีประชาชนไปเรื่อยๆ ถ้าจะต่อว่าต้องต่อว่าธปท.

นี่คือความจริงที่สังคมต้องฟังกันด้วยเหตุผลและข้อเท็จจริง จึงจะรู้ว่า ดร.วีรพงษ์พูดบนพื้นฐานของผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน

ในขณะที่นายประสารนั้น แน่นอนว่าในฐานะผู้ว่าแบงก์ชาติก็ย่อมต้องปกป้องแบงก์ชาติเป็นหลัก แต่สำคัญที่สุดนายประสารเป็นคนเก่ง มีความสามารถและฉลาดพอที่จะรู้ว่า หนี้กองทุนฟื้นฟูฯนั้นเป็นภาระก้อนโต ที่หากเลี่ยงได้ งอแงไม่ยอมรับได้ก็ต้องหาทางเลี่ยงให้ถึงที่สุดไว้ก่อน ซึ่งก็ถือเป็นปกติของมนุษย์เรา

แต่ที่หลายคนไม่เข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นกรณีปัญหาหนี้กองทุนฟื้นฟูฯในครั้งนี้ก็คือ ท่าทีของนายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล รัฐมนตรีคลัง ที่ดูเหมือนว่าจะเอนๆไปทางแบงก์ชาติมากกว่าทางรัฐบาล ทั้งๆที่นายธีระชัย ถือเป็นหนึ่งในรัฐมนตรีส้มหล่น ที่ได้มานั่งเก้าอี้สำคัญ ได้โอกาสโชว์ฝีมือในรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ทั้งๆที่ก่อนหน้านั้นมีคนที่อยู่ในข่ายเป็นแคนดิเดตรัฐมนตรีคลังไม่น้อย

แต่นายธีระชัยก็ได้เป็นคนที่เข้าวินในที่สุด ส้มหล่นใส่จนเท้าบวม ซึ่งเป็นสิ่งที่หลายคนอิจฉาอยู่แล้ว แต่ทำไมจึงไม่รีบแสดงฝีมือโชว์ผลงาน จนทำให้เวลานี้นายธีระชัยกลายเป็น 1 ในรัฐมนตรี ที่ถูกจับตามองว่าหากมีการปรับครม. ก็มีสิทธิ์ที่จะหลุดโผได้

จริงๆแล้วแค่นายธีระชัย ขานรับเป็นวงเดียวกันเนื้อเดียวกันกับการทำงานของรัฐบาล ร้องเพลงประสานเสียงกันไป ก็จะไม่ถูกตั้งคำถามแล้ว แต่กลับเลือกที่จะร้องเพลงเดี่ยว เลือกที่จะแหกคีย์ จึงทำให้ภาพที่ออกมากลายเป็นที่น่าหวาดเสียวสำหรับตัวนายธีระชัยเอง

นายธีระชัยแค่จดจำว่าครั้งวิกฤตต้มยำกุ้ง รูปภาพหน้าของนายธีระชัยเป็นคนหนึ่งที่ถูกคนชั้นกลางที่บาดเจ็บจากวิกฤตเศรษฐกิจ เอาไปทำเป้าปาลูกดอกหาเงินแถวๆทองหล่อ สุขุมวิท
และนายธีระชัย เป็นคนหนึ่งที่ไม่สามารถจะนั่งทำงานที่แบงก์ชาติได้หลังวิกฤต จึงต้องขยับขยายย้ายมา
นั่งที่ กลต. แทน สิ่งเหล่านี้นายธีระชัยน่าที่จะยังจดจำได้ และรู้ดีว่าที่ผ่านมาแบงก์ชาติทำอะไร และรับ
ผิดชอบกับผลงานเพียงใด

จริงๆในฐานะรัฐมนตรีคลัง นายธีระชัยน่าจะรู้ดีว่า แบงก์ชาตินั้นไม่ควรเป็นอิสระชนิดสุดขั้วอย่างที่ผ่านๆมา แต่ควรจะต้องให้มีการตรวจสอบได้ ให้คานอำนาจได้

เพราะไม่เช่นนั้นคนที่จะแย่จะพังจากเรื่องนี้จะเป็นนายธีระชัยเองนั่นแหละ...ขอเตือน!อย่าได้อยู่ด้วยความประมาท ในโลกของการเมืองที่”ธีรชัย”ยังไม่คุ้นนัก มันมีอะไรที่เหนือกว่าซับซ้อนกว่าสิ่งที่รัฐมนตรีคลังละอ่อนคนนี้คิด! จากนี้ไม่นานท่านอาจถึงเวลา”เก็บฉาก”!!

เราสะกิดเตือนแล้วนะ!

ที่มา.บางกอกทูเดย์
/////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

สูงสุดคืนสู่สามัญ....

เจ้ายศเจ้าอย่าง ไม่เลิกตลอดนะ “คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ผู้นำฝ่ายค้าน
ประเพณีไทย ใครมาลาไหว้ เป็นขนบทำเนียบ ที่ดีงามมานาน..
เจอกับ “บิ๊กบัง” พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน หัวหน้าพรรคมาตุภูมิ..ที่มาสังสรรค์สามัคคีกัน “อดีตประธาน คมช.”ยกมือไหว้...ไฉนท่านไม่ไหว้ตอบ ทำมองไม่เห็นเสียเช่นนั้น
สมัยใหญ่สุดโต่ง เป็น “นายกรัฐมนตรี”.. พบกับ “ผบ.เหล่าทัพ” เขาไหว้ เขาทำความเคารพ หลายครั้ง ทำไม่เห็น
วัฒนธรรมไทย...เรื่องการไม่รับไหว้?....เป็นความเสียหาย ไม่ใช่ล้อเล่น

+++++++++++++++++++++++++++++++++

“ชีวิตคน”ไม่ใช่หมาข้างถนน
มีความยิ่งใหญ่ ใครก็ฆ่าไม่ได้ สำหรับ “ชีวิตของประชาชน”
มองเป็น มดปลวก- ผักหญ้า หาค่าไม่ได้?...เมื่อ “เดอะมาร์ค” อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ขวางสุดลิ่ม ไม่ให้ “ค่าชีวิต” ของประชาชนที่ถูกสังหารหมู่ ๙๑ ศพ คนละ ๓ ล้าน
ยกเหตุผล คราวพฤษภาทมิฬ ประชาชนที่ตาย ได้แค่ ๑ ล้านบาทเท่านั้น
ข้อเสนอการเยียวยา เพื่อให้ “รัฐบาลปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จ่ายเงินซับน้ำตา แก่ครอบครัวผู้รักประชาธิปไตย ผู้สูญเสีย ๓ ล้านบาท..เพราะเขามองเห็นคุณค่าชีวิตประชาชน นั่นแหละ
บางคนมองชีวิตประชาชนไร้ค่า...จึงเกิดมหกรรมฆ่าแล้วฆ่า!..ปวงประชาตายไปแยะ

++++++++++++++++++++++++++++++++

๒ แรงแข็งขัน
พี่กับน้อง “เจริญ จรรย์โกมล” รองประธานสภาผู้แทนราษฎร ทำงานเป็นกลาง อย่างมุ่งมั่น
สร้างศรัทธา ให้ “พรรครัฐบาล” และ “พรรคฝ่ายค้าน” สามัคคีไม่เลือกข้าง
ด้านน้องชายสุดเลิฟ “ชัยชาญ จรรย์โกมล” ก็ลงลุยพื้นที่เขต ๕ ชัยภูมิ พบปะช่วยเหลือ ราษฎรเสาร์-อาทิตย์ ไม่ห่าง
นับเป็นพี่น้องสองศรี ที่ชาวชัยภูมิรักใคร่ทั้ง “รองประธานเจริญ จรรย์โกมล”และ “ชัยชาญ จรรย์โกมล” ที่อลังการสร้างสรรค์ ดูแลชาวชัยภูมิ ให้อยู่ดีกินดี มีชีวิตที่สดใส
งานหลวงไม่ขาดงานราษฎร์ไม่เคยเสีย...เก่งจริง ๆ นะเนี่ย...เชียร์สักที เพื่อให้กำลังใจ

++++++++++++++++++++++++++++++++

เป็นนักกลอนนอนเปล่าได้หรือ
เกียรติคุณชื่อชั้น ก็เคยเป็น รัฐมนตรี สร้างผลงานเอาไว้อื้อ
ฉะนั้น,อย่าแปลกใจ ที่ “เสี่ยประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์” อดีตรัฐมนตรีหลายกระทรวง แห่งพรรคชาติไทยพัฒนา บินไปพบ “คนใหญ่แห่งแดนไกล” กับเขาเหมือนกัน
และอย่ามองข้าม “เสี่ยประดิษฐ์” เชียวนะท่าน
อาจกระโดดค้ำถ่อ เข้ามาเป็น “รัฐมนตรี” ในฐานะคนรู้ใจ บุคคลจากแดนไกล ก็ได้นะเออ
“เสี่ยประดิษฐ์”สร้างเรื่องเซอร์ไพร้ซ....สร้างเรื่องแหกค่าย?..มามากมาย แล้วล่ะเธอ??

++++++++++++++++++++++++++++++++

ป่าวประกาศผ่านจอเป็นประจำ
ให้ “สาวก” มิตรรักนักเพลงชาวเสื้อเหลือง บริจาคทรัพย์สิน เพื่อช่วยไม่ให้ “เอเอสทีวีจอดำ”
แต่ปรมาจารย์ “ตั๊กม้อลิ้ม” คุณพี่สนธิ ลิ้มทองกุล เจ้าตำรับของแท้ตัวจริงเสียงจริง ยังอู้ฟู่ซู่ซ่าเหมือนเดิม แหละพี่
มาดเท่ นั่งเรือเหาะ นอนโรงแรมไฮโซระดับห้าดาว ที่โรงแรมเพนนินฯ แห่งเกาะฮ่องกง ด้วยมาดอภิมหาเศรษฐี
ยังครบเครื่องทุกด้าน แห่งความเป็น “โคตรเศรษฐี” ที่มีเงินใช้จ่ายเป็นทุน
เอาค่าใช้สอยกิจวัตรประจำวัน...ขอรับประกัน...เอเอสทีวีนั้น ก็จอไม่ดำแล้วล่ะคุณ

คอลัมน์:ตอดนิดตอดหน่อย,บางกอกทูเดย์
*******************************************************************

วันศุกร์ที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2555

ปรับเดิมพันอนาคต !!?

เดาอารมณ์ไม่ออกเลย กับสีหน้าแววตาของนายกฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในขณะเป็นประธานมอบถ้วยรางวัลชนะเลิศในการแข่งขันฟุตบอลมูลนิธิไทยคม เอฟเอคัพ และต้องจับมือแสดงความยินดีกับนายเนวิน ชิดชอบ ประธานสโมสร “ปราสาทสายฟ้า” บุรีรัมย์ พีอีเอ

ได้จังหวะปะหน้ากันจังๆกับ “น้องรักหักเหลี่ยมโหด” ของอดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร

แน่นอน ตามมารยาททางสังคมมันจำเป็นต้อง “ปั้นหน้าใส่กัน” โชว์สื่อ แต่เบื้องหลังอย่างที่รู้ “เนวิน” คือเบอร์หนึ่งในบัญชีดำที่ “นายใหญ่” และแนวร่วมคนเสื้อแดง

“แค้นฝังหุ่น” ถอนไม่ขึ้น

เรื่องของกีฬาก็ว่ากันไป แต่โดยเงื่อนไขทางการเมืองตามท้องเรื่อง “มันจบแล้วครับนาย” จนมาถึง “มันจบแล้วครับเน” อดีตลูกพี่กับอดีตลูกน้องรัก คงยากที่จะหวนกลับมาจูบปากกันเหมือนเก่า

อย่างไรก็ตาม ไม่ได้เหมารวมไปถึงพวกที่อยู่รอบข้าง “เนวิน” อย่างทีมมัชฌิมาของนายสมศักดิ์ เทพสุทิน แกนนำพรรคภูมิใจไทย ที่แปรสภาพเป็นอะไหล่ “เชียงกง”

หาง่าย ใช้คล่อง

โดยเฉพาะในจังหวะที่ “ทักษิณ” ต้อง “วัดใจ” “บิ๊กเติ้ง” นายบรรหาร ศิลปอาชา หลงจู๊ใหญ่พรรคชาติไทยพัฒนา ตามเงื่อนไขที่นายกฯยิ่งลักษณ์ ต้องการเวนคืนโควตากระทรวงเกษตรและสหกรณ์กลับมาให้คนพรรคเพื่อไทยนั่งกุม บังเหียน เพื่อความคล่องตัวในการเดินหน้าเมกะโปรเจกต์บริหารจัดการน้ำ

ถ้า “บรรหาร” ออกลูกเฮี้ยว โอกาสของ “สมศักดิ์” ก็ยิ่งเปิดกว้าง

ในเหลี่ยมที่ “นายใหญ่” ได้สองเด้ง ทั้งกั๊กเชิงกับ “บรรหาร” ไปพร้อมๆกับการโดดเดี่ยว “เนวิน”

สรุปว่า สถานการณ์ของพรรคร่วมรัฐบาล ไพ่อยู่ในมือ “ทักษิณ” เลือกตีได้ แต่มันจะเหนื่อยยากกับการบริหารจัดการ “นกแล” ในพรรคเพื่อไทยซะมากกว่า

อย่างที่เห็นๆกัน พลันที่สัญญาณคลื่นความถี่ชัดขึ้นตามฤกษ์ปรับ ครม.หลังวันตรุษจีน ก็เร้าด้วยฉากโหมโรง บทบู๊ เปิดหน้าซัดกันตรงๆระหว่าง “เสี่ยแมว” นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล รมว.ศึกษาธิการ กับนายเวียง วรเชษฐ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย

คนค่ายเดียวกันเอง สาวไส้ประจานกันออกสื่อ

ฟ้องอาการ “เน่าใน” ปัญหาเชิงบริหาร แม้แต่ผู้แทนฯพรรคเดียวกันยังไม่สบอารมณ์รัฐมนตรี งานนี้ถือเป็นจังหวะ “เขี่ยไฟ” ให้ควันลอยไปถึงเมืองดูไบ

ต้องรีบจำกัดวงไม่ให้ไฟลุกลาม

ตามปรากฏการณ์ซ้ำซ้อนกับอาการเกาเหลาในกระทรวงคมนาคม ที่รัฐมนตรี 3 คน พะยี่ห้อพรรคเพื่อไทยล้วนๆ แต่ไม่กินเส้นกัน โวยวายกันออกอากาศ

ปาดหน้าแย่งกันคุม “ขุมทรัพย์” ทองคำฝังเพชร

งานบริหารไม่ขยับ วนเวียนป้วนเปี้ยนอยู่กับผลประโยชน์ “ยิ่งลักษณ์” แทบไม่ต้องคิดมากอะไร

ตามข่าววงใน รายการปรับ ครม.รอบนี้ จะมีการสลับปรับเปลี่ยนกันอย่างน้อย 7-8 ตำแหน่ง เพื่อให้เกิดประสิทธิผลต่อการบริหารประเทศ เอื้อต่อการปั่นผลงานรัฐบาล

โดยสถานการณ์ไม่ใช่แค่การประคองเรตติ้งในเมืองไทย แต่ยังมีผลไปถึงสายตาของต่างชาติ

ตามคิวที่นายยูคิโอ เอดะโนะ รัฐมนตรีกระทรวงเศรษฐกิจ การค้า และอุตสาหกรรม เดินทางเข้าพบนายกฯยิ่งลักษณ์ นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกฯและ รมว.พาณิชย์ กัปตันทีมเศรษฐกิจรัฐบาล และ นพ.วรรณรัตน์ ชาญนุกูล รมว.อุตสาหกรรม รวมไปถึง “ด็อกเตอร์โกร่ง” นายวีรพงษ์ รามางกูร ประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ (กยอ.)

เพื่อขอความมั่นใจในแผนบริหารจัดการน้ำ

ตามที่นายเอดะโนะพูดชัดเลยว่า ญี่ปุ่นเห็นว่าไทยยังเป็นแหล่งลงทุนที่น่าสนใจ โดยจะร่วมมือกับไทยในการฟื้นฟูประเทศหลังวิกฤติอุทกภัยให้ฟื้นตัวเร็วที่สุด อย่างไรก็ตาม ญี่ปุ่นก็จะจับตามองมาตรการช่วยเหลือและการป้องกันปัญหาน้ำท่วมที่รัฐบาลไทย ประกาศว่าจะไม่ให้เกิดเหตุซ้ำอีก อย่างใกล้ชิด

นักลงทุนต่างชาติจับจ้อง จึงต้องเน้นมือบริหารอาชีพเข้ามากระตุกความมั่นใจ

สำคัญยิ่งกว่านั้น ตามยุทธศาสตร์ของอดีตนายกฯทักษิณ ที่ตั้งธงไว้กับการเน้นลงทุนเมกะโปรเจกต์เป็นตัวกระตุ้นภาวะเศรษฐกิจ ต้องเร่งลงทุนสารพัดโครงการเพื่อกระตุ้นภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวให้พลิกฟื้น ขึ้นมา อย่างที่เคยประสบความสำเร็จมาในยุคอดีตรัฐบาลไทยรักไทย ตามโปรแกรมทั้งการเดินหน้าโครงการขนส่งมวลชนขนาดใหญ่ รถไฟฟ้า รถไฟรางคู่ รถไฟความเร็วสูง รวมถึงเมกะโปรเจกต์บริหารจัดการน้ำ เขื่อน ฟลัดเวย์ ฯลฯ

เดิมพันอนาคตประเทศไทย เดิมพันเกมลากยาวของน้องสาว พ่วงเดิมพันอนาคตตัวเอง

“ทักษิณ” ต้องเฟ้นพวกมือถึงเท่านั้น.

ที่มา: ไทยรัฐ
/////////////////////////////////////////////////////////

เริ่มต้นที่ดี

กรณีคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบข้อเสนอของคณะกรรมการประสานงานและติดตามผลการดำเนินงานตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) ในมาตรการ กลไก และวิธีการในการเยียวยาผู้เสียหาย และผู้ที่ได้รับผลกระทบจากความรุนแรงหรือความขัดแย้งทางการเมือง ตั้งแต่ก่อนรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ถึงเมษายน-พฤษภาคม 2553

เช่น กรณีเสียชีวิตจะได้ 4.5 ล้านบาทต่อราย กรณีทุพพลภาพ 4.5 ล้านบาทต่อราย กรณีสูญเสียอวัยวะสำคัญ 3.6 ล้านบาทต่อราย สูญเสียอวัยวะไม่สำคัญ 1.8 ล้านบาทต่อราย กรณีได้รับบาดเจ็บสาหัส 1.1 ล้านบาทต่อราย ได้รับบาดเจ็บไม่สาหัส 670,000 บาทต่อราย ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย 220,000 บาทต่อราย และเงินช่วยเหลือค่ารักษาพยาบาลกรณีเสียชีวิตจ่ายไม่เกิน 200,000 บาทต่อราย ฯลฯ

ถือเป็นการชดเชยเยียวยาที่ครอบคลุมประชาชนทุกคนที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความรุนแรงทางการเมืองทุกเหตุการณ์ ไม่ว่าจะสีอะไร แต่ก็มีการเรียกร้องให้พิจารณากรณีในภาคใต้ด้วย เช่น กรณีตากใบและกรณีกรือเซะ รวมทั้งเหตุการณ์พฤษภาทมิฬปี 2535 ซึ่งเป็นมาตรการที่ดีหากรัฐบาลทำได้ เพราะการเยียวยาโดยไม่เลือกปฏิบัติถือเป็นการเริ่มต้นที่ดี ซึ่งจะทำให้สังคมไทยกลับมามองความจริงและมีความเอื้ออาทรต่อกันเหมือนในอดีต ไม่ใช่หลงงมงายกับการโฆษณาชวนเชื่อให้เกลียดชังผู้ที่มีความเห็นต่างกันอย่างไม่มีเหตุผล

โดย หนังสือพิมพ์โลกวันนี้รายวัน

**********************************************************************

วันพฤหัสบดีที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2555

12 ม.ค.เปิดใช้ ฉะเชิงเทรา-แหลมฉบัง เสริมโลจิสติกส์ รถไฟทางคู่ ทะเลตะวันออก !!?

หลังรถไฟทางคู่สายแรก "กรุงเทพฯ-ชุมทางบ้านภาชี" เปิดใช้บริการไปแล้วเมื่อหลายปีก่อน ด้วยระยะทาง 90 กิโลเมตร ในที่สุด การรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) ได้ฤกษ์วันที่ 12 มกราคม 2555 เปิดบริการอย่างเป็นทางการรถไฟทางคู่สายที่ 2 เส้นทาง "ฉะเชิงเทรา-ศรีราชา-แหลมฉบัง" ระยะทาง 78 กิโลเมตร วิ่งเลียบชายฝั่งทะเลตะวันออกในพื้นที่ จ.ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ผ่านสถานีฉะเชิงเทรา ดอนสีนนท์ พานทอง ชลบุรี บางพระ ศรีราชา และปลายทางที่สถานีแหลมฉบัง

โครงการนี้ "ร.ฟ.ท." ใช้ความพยายามก่อสร้างโปรเจ็กต์นี้มาร่วม 4 ปี นับจากวันตอกเข็มในเดือนพฤษภาคม 2551 จนมาแล้วเสร็จเมื่อต้นเดือนพฤศจิกายน 2554 ที่ผ่านมา

มีรับเหมาเก่าแก่กรมทางหลวง (ทล.) ที่จับมือกันเสนอตัวเป็นผู้ก่อสร้าง ภายใต้ชื่อ "กลุ่มกิจการร่วมค้า ที.เอส.ซี." ประกอบด้วย "บริษัท ไทยพีค่อน และอุตสาหกรรม จำกัด-บริษัท เสริมสงวนก่อสร้าง จำกัด-บริษัท ช.ทวีก่อสร้าง จำกัด" ค่าก่อสร้าง 3,936 ล้านบาท ซึ่งดัมพ์ราคาก่อสร้างจากกรอบวงเงิน 5,850 ล้านบาท ที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติไว้เมื่อ 22 พฤษภาคม 2550

สาเหตุที่โครงการนี้ใช้ เวลาก่อสร้างนาน เนื่องจากผู้รับเหมาขอขยายเวลาก่อสร้างถึง 4 ครั้ง ทำให้ "ร.ฟ.ท." ต้องเลื่อนกำหนดเสร็จไปหลายรอบ จากสัญญาเดิมสิ้นสุด 7 กันยายน 2553 ที่ผ่านมา ทั้งมาจากปัญหาของผู้รับเหมาก่อสร้างเอง และไซต์ก่อสร้างที่ถูกน้ำท่วม ซึ่งเป็นต้นเหตุทำให้โครงการล่าช้ามาถึง 1 ปี

"ยุทธนา ทัพเจริญ" ผู้ว่าการการ ร.ฟ.ท. กล่าวว่า ในวันที่ 12 มกราคมเป็นต้นไป จะเปิดใช้บริการรถไฟทางคู่สายนี้อย่างเป็นทางการ หลังจากเริ่มทดลองเปิดใช้ไปบ้างแล้ว เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2554 ที่ผ่านมา โดยได้เชิญ "ยงยุทธ วิชัยดิษฐ" รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานในพิธีเปิด

สำหรับ ประโยชน์ของรถไฟทางคู่สายใหม่นี้ จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและศักยภาพด้านระบบโลจิสติกส์ของการขนส่งทางรถไฟ ในพื้นที่บริเวณชายฝั่งทะเลตะวันออก โดยเฉพาะการขนส่งสินค้าบรรจุตู้คอนเทนเนอร์ ที่ขนส่งผ่านท่าเรือแหลมฉบังและสถานี ICD ที่ลาดกระบัง จะเพิ่มความจุได้มากขึ้น เท่าตัว

"ตอนนี้เรามีปริมาณขนส่งตู้ คอนเทนเนอร์ตกปีละ 4 แสนทีอียู หรือตู้ 20 ฟุต นับจากนี้ไปจะเพิ่มศักยภาพการขนส่งเป็นปีละ 8 แสนทีอียู แน่นอนว่ารายได้จะเพิ่มเท่าตัวเช่นกัน จากปีละ 400 ล้านบาท จะเพิ่มเป็น 800 ล้านบาท"

ในเชิงกลยุทธ์ โครงการลงทุนรถไฟทางคู่สายที่ 2 นี้ยังรองรับการขนส่งสินค้าอุตสาหกรรมจากนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุดกระจายไปยัง ภูมิภาคอื่น ๆ ของประเทศได้ รวมถึงการขนส่งสินค้าจากภาคเหนือ อีสาน และ สปป.ลาว ผ่านทางสะพานมิตรภาพไทย-ลาว ที่ จ.หนองคาย มายังแหลมฉบังได้สะดวกและรวดเร็วขึ้น เนื่องจากจะช่วยลดระยะเวลาการรอหลีก ทำให้สามารถทำขบวนวิ่งได้เร็วขึ้น

ถามถึงโครงการรถไฟทางคู่สายที่ 3-4-5 คำตอบจาก "ผู้ว่าการยุทธนา" คือ ร.ฟ.ท.มีแผนจะก่อสร้างรถไฟทางคู่สายอื่น ๆ อีกแน่นอน คาดว่าจะนำร่องก่อนสายแรก คือ "ฉะเชิงเทรา-คลองสิบเก้า-แก่งคอย" เพื่อจะได้เป็นโครงข่ายเชื่อมต่อกับสายฉะเชิงเทรา-แหลมฉบัง

แนว โน้มความเป็นไปได้สูงสุดของโครงการนี้ ยังรวมถึงได้ออกแบบรายละเอียดไว้หมดแล้ว พร้อมเปิดประมูลก่อสร้าง โดยมีค่าก่อสร้างอยู่ที่ 11,348 ล้านบาท

ล่าสุด รอเพียงนโยบายจากรัฐบาลไฟเขียวเรื่องการก่อสร้างแค่นั้นเอง หากไม่มีปัญหาอุปสรรคใด ๆ คาดว่าในปี 2555 นี้จะเห็นเป็นรูปธรรม ใช้ระยะเวลาก่อสร้าง 36 เดือน หรือประมาณ 3 ปี

ที่มา นสพ.ประชาชาติธุรกิจ
////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันพุธที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2555

สีสันภาคประชาชน แดง ปันน้ำใจช่วยเพื่อน !!?

จากเที่ยงวันยันเที่ยงคืน! สำหรับ "คนเสื้อแดง" ที่ยกขบวนกันมาสร้างสีสัน..รับปีมังกรไฟ 2555 ด้วยกิจกรรมฟรีคอนเสิร์ต "คนแดนไกล เติมใจครอบครัวแดง" ที่จัดโดยกลุ่ม นปช.ยุโรป หรือ "เรด อียู" เมื่อวันที่ 8 ม.ค.ที่ผ่านมา เพื่อระดมทุนช่วยเหลือ-เยียวยาครอบครัวผู้ที่ถูกคุมขังทางการเมือง ให้มีสภาพความเป็น อยู่ที่ดีขึ้น

โดยรายได้จากการรับบริจาคครั้งนี้ กำหนดจ่ายเบี้ยยังชีพให้ผู้ต้องขังที่ยังอยู่ในเรือนจำคนละ 2,000 บาท/เดือน ส่วนผู้ที่ได้รับการปล่อยตัวได้คนละ 4,000 บาท ต่อคน ซึ่งน่าจะแบ่งเบาภาระของครอบครัว "ผู้ต้องขังเสื้อแดง" ไม่มากก็น้อย..!

ธงแดงยังสะบัดไหว..ณ ห้างฯ อิมพีเรียลเวิล์ด ลาดพร้าว ท่ามกลางมวลชนเสื้อแดงที่มาร่วมงานนับหมื่นคน พรั่งพร้อมไปด้วย "ดาราเสื้อแดง" ที่มาช่วยเรียกแขก อาทิ วีระ มุสิกพงศ์, ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำ นปช.รุ่น 1, ธิดา ถาวรเศรษฐ รักษาการประธาน นปช., วรวุฒิ วิชัยดิษฐ์ รักษาการโฆษกฯ ตลอดจน "แดงตัวแม่" อย่าง เจ๊ดา" ดารุณี กฤตบุญญาลัย, ไพจิตร อักษรณรงค์, วิสา คัญทัพ และกลุ่มศิลปินเสื้อแดง เช่นเดียวกับ สุนัย จุลพงศธร-น.พ.เหวง โตจิราการ ส.ส.เพื่อไทย ที่พาเหรดมาร่วมขับกล่อมเสียงเพลงบนเวที "แดงช่วยเพื่อน" สลับกับการปราศรัยเป็นระยะๆ บรรยากาศภายในงานเป็นไปอย่างคึกคัก! มีการขายของที่ระลึกที่มีสัญลักษณ์ ของ นปช.มากมาย พร้อมทั้งมีการตั้งโต๊ะ ล่ารายชื่อเพื่อสนับสนุนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ อีกด้วย

ส่วนไฮไลต์ที่ถูกจุดขึ้นบนเวที หลังจาก "ธิดาแดง" ในเสื้อสูทแม่ทัพ นปช. ประกาศเดินหน้า "เรดแมป" อันเป็นแนว ทางไปสู่การเคลื่อนไหวให้ยกเลิกรัฐธรรมนูญ ปี2550 "ฉบับมรดกบาป คมช." เหนืออื่นใด เลือดย่อมข้นกว่าน้ำ! รักษาการประธาน นปช.จึงประกาศไม่ร่วมสังฆกรรมกับนักวิชาการเสื้อเหลือง ที่อาจได้รับการแต่งตั้งเข้ามาเป็นสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ หรือ "ส.ส.ร.3" โดยให้เหตุผลหนักแน่นว่า.."ถ้าจะแก้รัฐธรรมนูญ จะต้องให้มี ส.ส.ร.ที่มาจากการเลือกตั้งเท่านั้น ไม่เอานักวิชาการเหลือง 20-30 คนมาผสมแน่นอน"

หลังการยืนยันเจตนารมณ์บนเวที ก็เรียกเสียงเชียร์จาก "คนเสื้อแดง" ได้อย่างสนั่นหวั่นไหว! และนั่นก็เป็นประชามติ ของมวลชนเสื้อแดงที่จะ "ไม่เอา..!" พวกนักวิชาการปากกล้าขาสั่นเหล่านี้มาร่วมร่าง รัฐธรรมนูญฉบับประชาชน ตามมุมมอง ของภาคประชาชนคนเสื้อแดง

ทางด้าน "ตู่ฮาร์ดคอร์" จตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำแดงอีกคน แม้จะไม่ได้ มาปรากฏตัวบนเวทีเสื้อแดงเพราะติดภารกิจที่ จ.บุรีรัมย์ แต่ก็ยังโฟนอินเข้ามาเสียงครื้นเครงในกิจกรรมระดมทุนช่วยเหลือ "นักโทษแดง" ที่ถูกขั้วรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในขณะนั้น สั่งจำคุกในความผิดตามพระราชกำหนดการบริหาร ราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือ ็พ.ร.ก.ฉุกเฉินิ แถมยังประกาศลั่นหนุนแนวทางการแก้ รธน.50 ด้วยการตั้ง ส.ส.ร.ขึ้นมาเพื่อรับผิดชอบการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อลดช่องว่างการกระทำที่ไม่เป็นประชาธิปไตย

สำหรับกิจกรรม "คนแดนไกล เติม ใจครอบครัวแดง" ที่ถูกจัดขึ้นมา "เรียกกระแส.." ก็นับเป็น "สีสัน" ของการเมือง ภาคประชาชนที่ช่วยเรียกความแช่มชื่น ให้กลับคืนมาอีกครั้ง หลังผ่านช่วงเวลา แห่งวิกฤติความขัดแย้งในบ้านเมืองนี้

นับจากเที่ยงวันจนถึงเที่ยงคืน! งานเลี้ยงก็ย่อมเลิกรา แต่เหนืออื่นใด "มวลชนเสื้อแดง" ที่มาร่วมแบ่งปันน้ำใจ ต่างก็ได้รับความ "อิ่มใจ"...จากการ "ให้" เพื่อช่วยเหลือกันและกัน!

ที่มา.สยามธุรกิจ
**********************************************************

เปิดปุ๊บติด (ไฟ) ปั๊บ !!?

แบกภาระหลังน้ำท่วมไว้เต็มบ่า!!!

สำหรับปฏิบัติการที่หลายฝ่ายมอง ว่า ไม่ต่างจาก “MISSION IMPOSSI-BLE” ไม่ว่าจะเป็นการบริหารจัดการปัญหาน้ำในกรณีแผนเยียวยาเร่งด่วน และพันธกิจเชิงโครงสร้างระยะยาวในการตั้งรับคลื่น “น้องน้ำ” ที่มีทีท่าจะไหลวนกลับมาเยี่ยมเยียนสยามประเทศ อีกครั้ง กอปรและล้อไปกับแผนฟื้นฟูความเชื่อมั่น ที่จำเป็นอย่างยิ่งยวดที่ต้อง พึ่งเม็ดเงินจำนวนมหาศาล ท่ามกลางสถานการณ์ทางการเงินการคลังในประเทศที่พอไปได้ แต่ปัจจัยภายนอกของพิษเศรษฐกิจโลกในอียูและสหรัฐ อเมริกาไม่เอื้ออำนวยสักเท่าไรนัก???

แต่เมื่อเป็นความจำเป็นเร่งด่วนในที่สุด คณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อ การฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ หรือ กยอ. ที่มี “ดร.โกร่ง-วีรพงษ์ รามางกูร” เป็นประธาน ก็จัดการชงแผนยุทธศาสตร์ เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ 5 ด้าน ให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณา อันประกอบไปด้วย 1.การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ 2.การปรับ โครงสร้างภาคการผลิตและบริการ 3.การพัฒนาเชิงพื้นที่เศรษฐกิจใหม่ 4.การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และ 5.การพัฒนาระบบการประกันภัยว่ากันว่า ในเบื้องต้นรัฐบาลมีความจำเป็นต้องกู้เงินมาโปะอภิมหาโปรเจกต์ดังกล่าว ตัวเลขกลมๆ ประมาณ 3 แสนกว่าล้านบาท

นั่นก็เชื่อมจิ๊กซอว์ไปถึงมติ ครม. เมื่อวันที่ 4 มกราคม 2555 ที่รัฐบาลมีแนวทางที่จะออก พ.ร.ก. 4 ฉบับ เพื่อโอนหนี้กองทุนฟื้นฟู 1.14 ล้านล้านบาท กลับไปให้ธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ ธปท. เป็นผู้รับผิดชอบ เพื่อดำเนินการ กู้เงิน 3.5 แสนล้านบาท มาบริหารจัดการ ระบบน้ำและวางโครงสร้างประเทศไทย ใหม่ รวมไปถึงการจัดตั้งกองทุนประกัน ภัยอีก 5 หมื่นล้านบาท และกรอบการ แก้ไขเพิ่มเติมที่ ธปท.สามารถออกเงินกู้ หรือซอฟต์โลนอีก 3 แสนล้านบาท รวมทั้งหมด 7 แสนล้านบาท ซึ่งหลาย ฝ่ายห่วงว่า จะทำให้เป็นภาระหนี้นอกงบประมาณ นอกเหนือจากที่กำหนดไว้ ในงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2555 อีก 4 แสนล้านบาท

หรือแม้กระทั่งในแง่ของเทคนิคและทิศทางการเงินการคลังในอนาคต แบงก์ชาติก็ได้แสดงความห่วงใย ประหนึ่งว่า เกรงจะมีการล้วงลูกเงินสำรองระหว่างประเทศโฟกัสตรงไปที่ มาตรา 7 (3) ที่กำหนดให้ ครม. สามารถกำหนดให้โอน เงินหรือทรัพย์สินของแบงก์ชาติไป ตาม จำนวนที่ ครม. กำหนด ซึ่งแม้แต่ “หม่อม อุ๋ย-ม.ร.ว. ปรีดิยาธร เทวกุล” อดีตผู้ว่าการแบงก์ชาติ ยังออกมาแสดงความ เป็นห่วงว่า..จะเป็นการเปิดทางให้รัฐบาล “ตีเช็คเปล่า” ซึ่งเป็นเรื่องอันตรายสำหรับการบริหารการเงินของ บ้านเมืองอย่างยิ่ง สึนามิซัดเข้าหารัฐนาวา “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ลูกแล้วลูกเล่า ก่อนจะมีการตอกลิ่มซ้ำลงไปอีกแผลจากซีก ส.ว.สายสรรหา อย่าง “คำนูณ สิทธิสมาน”

“พ.ร.ก.จำนวน 4 ฉบับ ตนมองว่า รัฐบาลได้นำ 3 เรื่องมาผูกรวมกัน กล่าว คือ เรื่องปัจจุบันการแก้ไขปัญหาน้ำท่วม เรื่องอนาคต คือ การสร้างโครงสร้างพื้นฐาน และเรื่องอดีต คือ หนี้กองทุนฟื้นฟู 1.14 ล้านล้านบาท เข้ามาผนวกรวมกัน ซึ่งผมไม่เห็นด้วย เนื่องจากเนื้อหาใน พ.ร.ก.โอนหนี้ 1.14 ล้านล้าน บาท ในมาตรา 7 มีลักษณะที่เรียกว่า 3 ปล้น 1 ทำลาย กล่าวคือ 1.ปล้นธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในมาตรา 7(1) และ (3) 2.ปล้นสถาบันการเงิน ที่ มีความเป็นไปได้ว่าจะผลักภาระมายังประชาชน โดยมีรายละเอียดที่ระบุไว้ใน มาตรา 8, 9 และ 10 และ 3.ปล้นทางอ้อม ไปยังคลังหลวง คือ ทุนสำรองพิเศษ ใน ฝ่ายออกธนบัตร ธปท. ในมาตรา 7 (2)”

“ผมขอฝากไปยังรัฐบาลว่า เพื่อให้เกิดความรอบคอบควรแยกเรื่องโอนหนี้กองทุนฟื้นฟูจำนวน 1.14 ล้านล้านบาท ออกมาเป็นเรื่องโดยเฉพาะ และทำเป็นร่าง พ.ร.บ.ผ่านกระบวนการ ทางรัฐสภา เนื่องจากมีประเด็นที่ต้องพิจารณาที่สำคัญ คือ การทำลายระบบ ธนาคารกลาง การให้ ธปท. เข้ามารับผิดชอบหนี้สินมีความเสี่ยง เพราะ ธปท. มีหน้าที่พิมพ์ธนบัตร ดูแลเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ และแทรกแซงค่าเงินบาท หาก ธปท. ถูกใช้ผิดหน้าที่ ผมเกรงว่าความเสียหายจะมีมากเกินเยียวยา”

จัดหนักยิ่งกว่ายาชุดสีดำ พ่วงท้าย มาด้วยเสียงขู่ดังๆ จากวุฒิซีกสรรหา.. หากรัฐบาลไม่ฟังเสียงทัดทาน เตรียมเจอกันที่ศาลรัฐธรรมนูญได้เลย!!!

ศึกอีกด้านก็สุดจะอ่อนไหว เมื่อกลุ่มผู้แทนคณะศิษยานุศิษย์หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน ยกพลบุกสภาเรียกร้องต่อคณะกรรมาธิการ การ เงิน การคลัง การธนาคารและสถาบัน การเงิน วุฒิสภา ให้แตะเบรก พ.ร.ก.4 ฉบับร้อนในครั้งนี้ นั่นก็เป็นสาเหตุให้ “เสี่ยโต้ง-กิตติรัตน์ ณ ระนอง” รองนายกฯ และ รมว.พาณิชย์ ต้องเข้ามาชี้แจงเงื่อนไขในการเข็นกฎหมายให้ กมธ.รุมกินโต๊ะไม่ต้องรอจนถึงวันนั้น ก็น่าเชื่อได้ ว่า “เสี่ยโต้ง” จะยืนยันในสิ่งที่เคยระบุมาก่อนหน้านี้คือ..ไม่แตะเงินกองทุนสำรอง..ยึดหลัก วินัยทางการเงิน..ไม่มีการพิมพ์แบงก์เพิ่ม..ไม่โยนภาระต้นทุนให้ประชาชน!!!

นี่คือข้อถกเถียงที่ยังไม่ได้ข้อยุติ และน่าจะมีการตีความกันในแง่มุมของ กฎหมายอย่างกว้างขวาง..ซีกรัฐบาลหวังดีที่จะสะสางหนี้ในส่วนกองทุนฟื้นฟู เพื่อแปรเปลี่ยนมาเป็นเม็ดเงินในการฟื้นฟูประเทศ..ฝั่งไม่เห็นด้วยนั้นก็ห่วงใยในมิติแห่งวินัยการเงินการคลังและในแง่เทคนิคของตัวบทกฎหมาย..จบตรงไหนไม่รู้ แต่แค่เริ่มก็ดูเหมือน ว่าจะยุ่งอีนุงตุงนัง ซึ่งก็ค่อนข้างน่าเห็น ใจรัฐบาล เพราะยังมีอีกหลายๆ ประเด็น ที่กำลังรุกคืบเข้ามาหายใจรดต้นคอ “รัฐนาวายิ่งลักษณ์”

อีกเรื่องร้อนๆ ที่อยู่ในมือ “เสี่ยโต้ง” นั่นคือข้อพิพาทในการลอยตัวก๊าซเอ็นจีวีและแอลพีจี ที่แม้แต่ “แท็กซี่” ซึ่งถือเป็นหนึ่งในพาร์ตของคนเสื้อแดงที่สนับสนุนรัฐบาลนี้ขึ้นมา ยังอดรนทน ไม่ไหวจนต้องลุกขึ้นมาประท้วงหน้าอาคารสำนักงานใหญ่ ปตท. และกระทรวง พลังงาน ปิดถนนวิภาวดีขาออก..นี่ก็เป็นอีกหนึ่งวาระร้อนที่รัฐบาล แค่เริ่มต้นก็จุกและเจ็บ และหากลองนับ นิ้วไล่เรียงในอีกหลายโครงการร้อนไม่ว่าจะเป็นคูปอง 2,000 บาท กระทรวงพลังงาน บัตรเครดิตพลังงาน รวมไปถึง เงินช่วยน้ำท่วม รวบยอดไปถึงพันธสัญญา ประชานิยมที่ยังไม่เริ่มต้นคิกออฟ

ที่น่าจะสอดประสานคู่ขนานไปกับผลงานเสนาบดีก่อนวาระจับปูใส่กระด้งแห่งการเขย่าโผ ครม. ที่ว่ากันว่า อาจมีการยกเครื่องกระทรวงสำคัญ อย่าง “พลังงาน” และ “คลัง” ที่ล้วนเป็น “เด็กเจ๊-เด็กนาย” จนอาจกลายเป็นเรื่องน่าปวดหัวตามมาภายหลัง และหากยึดโยงทอดยอดไปรวมกับของเก่าในโรดแมปแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่มีเรื่องร้อนเคลือบฉาบอยู่

เรียนตามตรง..มองตามสถานการณ์..รัฐบาลแค่คิกออฟปีมังกรก็หนักและเหนื่อยแล้ว อนาคตจะสางปัญหาไปได้หรือไม่..ยังไม่อาจทราบได้ รู้เพียงแค่ว่า..ภารกิจที่รออยู่เบื้องหน้า..แค่เปิดปุ๊บก็ติดไฟปั๊บ!!!

ที่มา:สยามธุรกิจ
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ประชาธิปไตย ไม่ง่ายเลย !!?

เคยมีหรือ...เคยเกิดขึ้นมาแล้วหรือ...ประชาธิปไตยที่เกิดขึ้นเอง...

กว่าจะเป็นประเทศสหรัฐอเมริกา...สู้กันมาแล้วเท่าไหร่ ตายกันมาแล้วเท่าไหร่...กับการเผชิญหน้ากับกองทหารของประเทศแม่...สงครามของชาวไร่ชาวนาและปศุสัตว์...กับกองทหารที่ช่ำชองการรบจากแผ่นดินแม่

ถ้าสเปนไม่หยิบยื่นอาวุธให้...ถ้าลอนดอนไม่ใช่แผ่นดินที่ห่างไกลไปอีกสุดทะเลขอบทะเล...จะต้องทับถมศพเพิ่มขึ้นอีกมากเท่าไหร่...อเมริกันชนถึงจะได้ชื่นชมกับเสรีภาพ

หนทางแห่งเสรีภาพไม่ง่ายเลย...2 ตัวอย่างเล็กๆ ของรัฐบุรุษแห่งโลก...เนลสัน แมนดาลา แห่งแอฟริกาใต้...กับ...มหาบุรุษเนรูห์แห่งอินเดียรำพึงรำพันข้อความเดียวกัน ห่างกันที่กาลเวลากับทวีป...ประชาธิปไตยก็ไม่ง่ายเลยที่จะได้มา...ไม่ว่าในขณะนี้ที่กรุงไคโรประเทศอียิปต์หรือดามัสกัสแห่งซีเรีย...

สงครามระหว่างอำนาจผู้ครอบครองกับผู้ต่อต้านก็ยังไม่มีวี่แววจะเลิกรา...

แผ่นดินเราประเทศไทย...การไม่ต่อสู้การยอมอ่อนน้อมต่อพลังอาวุธที่เหนือกว่า...แผ่นดินที่เป็นปัจจุบันมันน้อยกว่าครึ่งของแผ่นดินที่สูญเสียไป...

เรารื่นเริงกับอิสรภาพของการไม่ตกเป็นเมืองขึ้น...แต่เราไม่ยอมพูดถึงกล่าวถึง...ผืนแผ่นดินที่หายไป เราไม่เสียใจกับคนไทยที่ต้องกลายเป็นพลเมืองชั้นที่สองในแผ่นดินที่เคยเป็นของเขา

เราชื่นชมในเสรีภาพของประเทศ...แต่เสรีภาพของประชาชนเป็นเช่นไร...รัฐธรรมนูญที่ประชาชนช่วยกันสร้างขึ้นมา...รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งถูกโค่นล้ม...

รัฐธรรมนูญถูกอำนาจขีดเขียนขึ้นมา...ให้คนส่วนน้อยมีอำนาจเหนือคนส่วนใหญ่...คน 30 กว่าล้าน...เลือกตัวแทนของเขาเข้ามานั่งในสภา...แต่ คน 5 คน 9 คน 15 คน เปลี่ยนรัฐบาลได้...ปลดผู้แทนปวงชนได้...โดยไม่มีอุทธรณ์ฎีกา

ประชาธิปไตยไม่ใช่เช่นนี้...และจะไม่มีวันเป็นเช่นนี้...

ประชาชนล้มตายกันลงไป...เพราะอยากให้ประเทศไทยมีการเลือกตั้ง ประชาชนอยากได้ คนที่เขาเลือกมาเป็นผู้บริหารราชการแผ่นดิน ประชาชนทำสำเร็จ...เขาได้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง...

แต่รัฐบาลที่เขาเลือกขึ้นมา...กำลังบอกกับพวกเขาว่า...แก้รัฐธรรมนูญเป็นเรื่องของสภา...และผู้แทนที่ประชาชนเลือกมา...ก็บอกว่า...เร็วเกินไป

ครับ...หนทางสู่ประชาธิปไตย ไม่ง่ายเลย

โดย:พญาไม้,บางกอกทูเดย์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ไม่ขโมย ซีน ใคร !!?

เปิดโอกาสแก่ “รัฐมนตรี” แต่ละกระทรวง โชว์กึ๋นส์ สร้างผลงานกันได้
“นายกฯปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนักบริหารมืออาชีพระดับโปร ที่ไม่ต้องไป ตี-ชิง-วิ่งราว “จิ๊ก”ผลงานแต่ละกระทรวง มา “ปั้นน้ำเป็นตัว” เพื่ออวดให้คนเห็น
ไม่ยุ่มย่าม ที่จะเป็น “พรีเซ็นเตอร์” โฆษณาเอาดีเอาเด่น ทั้งที่ทำงานไม่เป็น
ถือเป็น “ยอดหญิง” นายกฯเหล็ก ที่เป็นโอกาสให้ “รัฐมนตรี” หลายกระทรวง โชว์ออฟ เป็น “นายแบบ” สร้างผลงานตัวเอง ได้เต็มที่
คนเก่งเสียอย่าง...ไม่ต้องขโมยผลงานคนอื่นมาอ้าง!....เหมือนอย่างบางคน ทำดอกนะพี่

+++++++++++++++++++++++++++

ยาดีมัก “ขม”
คำเตือน จากพวกเดียวกัน ก็น่ารับฟัง เอาไว้นะท่านผู้ชม
มีเสียงระงม ดังก้องกึกมาจาก “คุณพี่วีระกานต์ มุสิกพงศ์” อดีตพี่เบิ้มตัวเอ้ ขาใหญ่ นปช. ไปถึง “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี
ภารกิจ “น้ำท่วมภาคใต้”..ไม่น่าเทกระจาด ยกหน้าที่ มอบหมายให้แก่ “ทหาร”หมดเช่นนี้
การปัดเป่าดูแล ช่วยเหลือพี่น้องสะตอสามัคคีที่สำลักน้ำท่วม เบื้องต้นเป็นหน้าที่ กระทรวงมหาดไทย ของ “มท.๑” ยงยุทธ วิชัยดิษฐ ที่จะเดินหน้าช่วยเหลือทุกอย่าง ไม่ให้เกิดอุปสรรค
มหาดไทยศักยภาพพร้อมเพอร์เฟก...แต่ยกให้ทหารเป็นพระเอก!..ไม่ถูกสเป็คนะครับท่าน

++++++++++++++++++++++++++

เอาคำทำนาย “หมอดู” มาย้ำ
เป็นการดูโชคชะตา โหวงเฮ้ง แฝดอินจันทร์สยาม ของ “ณัฐวุฒิ ใสเกื้อ” และ “จตุพร พรหมพันธ์ุ” สมัยตกวิบากกรรม เป็นนักโทษอยู่ในเรือนจำ
ว่าเจ้าของเรือนชะตา อย่าง “ณัฐวุฒิ ใสเกื้อ” บุญบารมีอำนาจวาสนา จะเข้ามาเกย เป็น “รัฐมนตรี”
ความหมายคือว่า ในพี่น้องคนเสื้อแดง ผู้รักประชาธิปไตย “ณัฐวุฒิ” จะหม่ำเก้าอี้เสนาบดี ก่อน “จตุพร” ขอรับพี่
ซึ่งมีเค้าว่ารูปการ จะเป็นตามคำทำนาย ที่ให้เอาไว้แต่ต้น
แต่ในที่สุดแล้ว... “จตุพร”ก็เข้าแถว...เป็นรัฐมนตรีคับแก้ว ด้วยกันทั้งสองคน

++++++++++++++++++++++++++

เหมือนข้าวนอกนา
คิดกับ “ชูวิทย์ กมลวิศิษฐ์” หัวหน้าพรรครักประเทศไทย อย่างน่าเกลียดเดียดฉันท์ ช่างไม่เข้าท่า
เรื่องที่ “พรรคประชาธิปัตย์” ของ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” มอง “เสี่ยชูวิทย์” ไม่ใช่พรรคฝ่ายค้านกากี่นั้ง พวกเดียวกัน
ไม่เรียกประสานงานด้วย เกรง “เสี่ยชูวิทย์” จะเป็น “นกสองหัว” คาบข่าวไปบอก “ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง” รองนายกฯ ไงล่ะท่าน
มีแต่วันปีใหม่ที่ผ่านมาเท่านั้น...ที่เรียก “เสี่ยชูวิทย์” ที่เรียกไปสังสรรค์เฮฮากันด้วยเสร็จสรรพ
มอง “เสี่ยชูวิทย์”อย่างไม่ไว้วางใจ...แล้วใครที่ไหน?...เขาจะมีใจ ให้กับประชาธิปัตย์เล่าครับ

++++++++++++++++++++++++++

กลัวอะไรกับ “ความจริง”
ถ้าไม่ได้ทำ ไม่เห็นต้องว๊ากเพ้ย เป็น “งิ้วหลงโรง” โกรธแค้นเป็นลงเป็นลิง
เมื่อ “ธาริต เพ็งดิษฐ์” อธิบดีกรมดีเอสดี ทำตามหน้าที่ และเอกสาร ประจักษ์พยาน ที่มีมาแต่ต้น
ไฉน, “เทพเทือก” สุเทพ เทือกสุบรรณ” อดีตรองนายกฯฝ่ายความมั่นคง ถึงยั๊วะไปกล่าวหาเขา อย่างไม่มีเหตุผล
ว่า “อธิบดีธาริต” เปลี่ยนสี ทำงานเลอะเทอะ ไม่อยู่ในร่อง ไม่อยู่ในรอย
แปลความหมาย....ถ้าใครไม่เอากับรัฐบาลเก่าแล้วไซร้?...ก็ถูกยัดข้อหาใส่ ว่าเป็นคนถ่อย

คอลัมน์:ตอดนิดตอดหน่อย,บางกอกทูเดย์
////////////////////////////////////////////////////////

วันอังคารที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2555

แดงรุก แก้รัฐธรรมนูญ ทาง เสี่ยง 2 แพร่งเพื่อไทย เป้า (จริง) ยิ่งลักษณ์-ทักษิณ !!?

ธง และทางในการแก้ไขรัฐ ธรรมนูญของรัฐบาลเพื่อไทย ยังอยู่ในภาวะอันตราย

แม้มีทั้งมือ ทั้งไม้ ในการขับเคลื่อน

ทั้งเสียงในพรรคร่วมรัฐบาล รวมพรรคแนวร่วมฝ่ายค้านที่พร้อมแปรพักตร์มาร่วมวง แต่ท่าทีของ น.ส. ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ยังแบ่งรับแบ่งสู้

สัญญาณชัดเจนที่ถูกส่งจากปากนายกรัฐมนตรีคือ การแก้รัฐธรรมนูญ ไม่ใช่ภารกิจเร่งด่วน เท่ากับวาระฟื้นฟูแก้ปัญหาเศรษฐกิจ

ต่างไปจากถ้อยแถลงที่นายกรัฐมนตรีกล่าวต่อประธานรัฐสภา ในวันแถลงนโยบายเร่งด่วนที่จะต้องเริ่มดำเนินการในปีแรก เป็น 1 ใน 16 วาระ

คราวนั้นอังคารที่ 23 สิงหาคม 2554 นายกรัฐมนตรีแถลงเป็นลายลักษณ์อักษรไว้ว่า "เร่งรัดและผลักดันการปฏิรูปการเมืองที่ประชาชนมีส่วนร่วมอย่างกว้างขวาง โดยมีสภาร่างรัฐธรรมนูญที่เป็นอิสระยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เพื่อวางกลไกการใช้อำนาจอธิปไตยที่ยึดหลักนิติธรรม และองค์กรที่ใช้อำนาจรัฐที่มีความรับผิดชอบต่อประชาชนและพร้อมรับการ ตรวจสอบ ทั้งนี้ ให้ประชาชนเห็นชอบผ่านการออกเสียงประชามติ"

แต่เมื่อสิ่งแวดล้อมทางการเมืองเปลี่ยนแปลง เวลาผ่านไป 4 เดือน 30 ธันวาคม 2554 นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงจุดยืนการแก้ไขรัฐธรรมนูญใหม่ว่า "รัฐบาลคงจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ขอให้เป็นเรื่องของฝ่ายนิติบัญญัติ แม้ว่ารัฐบาลได้เขียนเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญไว้ในนโยบายก็จริง แต่ถ้าแยกสายการบริหาร ต้องถือว่ารัฐธรรมนูญเป็นเรื่องของฝ่ายนิติบัญญัติ"

เมื่อเจ้าภาพเปลี่ยนใจ ความเคลื่อน ไหวจึงเกิดขึ้นทั้งใน-นอกสภาผู้แทนราษฎร

เสียงสัญญาณการแก้ไขรัฐธรรมนูญ จึงดังก้องรอบทิศทางจากกลุ่มคนเสื้อแดง ในนามกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.)

นางธิดา ถาวรเศรษฐ ประธาน นปช. ประกาศกิจกรรมการเมืองของคนเสื้อแดง 5 ข้อ และ 1 ใน 5 ข้อคือ ให้มี การแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 291 โดยเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้าชื่อ 200,000 คน ให้ได้ภายในวันที่ 15 มกราคม ก่อนจะนำเสนอต่อรัฐสภาในสิ้นเดือนมกราคม โดยมั่นใจว่าประชาชนไทยคงได้ลงประชามติรับร่างรัฐธรรมนูญใหม่ภายในปี 2556 อย่างแน่นอน

ขณะที่ "มติพรรคเพื่อไทย" ใช้แนวทาง "มติเฉลิม" เป็นแนวทางหลัก

วัน ว. เวลา น. เส้นทางของเพื่อไทย ในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ จึงเป็นไปตามถ้อยแถลงของ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ที่ประกาศหลังประชุมพรรค วันที่ 3 มกราคม 2555 ว่า "ควรรอไปก่อนอีก 8 เดือน เพื่อให้รัฐบาลมีผลงานทั้งเรื่องแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ ยาเสพติด และเรื่องอื่น ๆ ก่อน"

ตอกย้ำด้วยว่า รัฐบาลไม่จำเป็นต้องเป็นเจ้าภาพเสมอไป เพราะเมื่อพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล และเป็นเจ้าภาพในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ประชาชนก็เข้าใจได้ว่ารัฐบาลทำ

แนวร่วมของ "ร.ต.อ.เฉลิม" ประกอบด้วยกลุ่ม ส.ส.สายอีสาน ที่อยู่ในกลุ่มเครือข่าย 40 คน รวมกับกลุ่มของ นายเสนาะ เทียนทอง ส.ส.บัญชีรายชื่อ ให้การสนับสนุนหลักอย่างเป็นทางการ

ส.ส.กลุ่มนี้มีความเชื่อว่า วาระแก้รัฐธรรมนูญจะเป็นการกวนน้ำให้ขุ่น เติมไฟให้กับการเมือง และทุกคนตกอยู่ในภาวะความกลัว ว่าจะทำให้รัฐบาลพ้นวาระก่อนเวลาอันควร

ซึ่งมีหลักการขัดแย้งกับกลุ่ม ส.ส. สายแกนนำเสื้อแดง สาย นายจตุพร พรหมพันธุ์ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ น.พ.เหวง โตจิราการ ที่เห็นว่าต้องชิงลงมือแก้ไขรัฐธรรมนูญ หากไม่รีบเปิดเกม อาจมีเหตุซ้ำรอยรัฐบาล "สมัคร สุนทรเวช" และ "สมชาย วงศ์สวัสดิ์"

สอดคล้องกับความเห็นของอดีตรักษาการหัวหน้าพรรคไทยรักไทย จาตุรนต์ ฉายแสง ที่เห็นว่า หาก ส.ส.เพื่อไทยไม่ลงมือ อาจถูกคนเสื้อแดงและฐานเสียงทวงสัญญา

จังหวะก้าว จังหวะคิดของเพื่อไทย จึงต้องรอคอยสัญญาณสำคัญ ที่ส่งตรงมาจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ผู้นำ ตัวจริงของพรรค เพื่อตอบโจทย์เกมเสี่ยงอันตราย

เพราะแกนนำพรรคเพื่อไทยที่บินไปพบกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ต่างนำความกลับมาสื่อสารคนละทิศคนละทาง

บางคนบอกว่า พ.ต.ท.ทักษิณให้ชะลอแผนแก้รัฐธรรมนูญออกไปก่อน เพราะเกรงสัญญาณอันตราย และกลัวจะเกิดอุบัติเหตุทางการเมือง

แหล่งข่าวบางรายบอกว่า พ.ต.ท. ทักษิณให้เร่งนำแผนแก้รัฐธรรมนูญ ส่งให้ถึงสภาผู้แทนฯตามกำหนดที่แถลงไว้ แต่แทรกวาระ ซ้อนแผนเรื่อง ส.ส.ร. และเรื่องการลงประชามติไว้ พร้อม ๆ กับต้องขับเคลื่อนเรื่องนิรโทษ และวาระปรองดองไว้ในแผนแก้รัฐธรรมนูญด้วย

วาระรัฐธรรมนูญที่ถูกตั้งธงไว้ว่า จะเป็นวาระทางการเมืองแห่งปี 2555 และเป็นกุญแจที่จะไขไปสู่ประตูประชาธิปไตยแบบเพื่อไทย ด้วยการ ปลดล็อกมาตรา 291 และแก้มาตรา อื่น ๆ ที่ขัดหลักนิติรัฐ

กลายเป็นวาระแห่งความกลัว

กลายเป็นวาระอันตรายทางการเมือง

เพราะ "ธง" ของนายกรัฐมนตรี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และเป้าหมายจริง-เป้าลวง ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ยังสวนทางกันไปมา กับทางของ ส.ส.เสื้อแดงของเพื่อไทย

การเร่งรัดของฝ่ายประชาธิปไตยในพรรค จากบ้านเลขที่ 111 ที่จี้ให้คณะรัฐมนตรีมีคำตอบในเร็ววัน

การรุกฆาตของกลุ่มเสื้อแดง และเสียงก้องจากฐานคะแนน 15 ล้านเสียง

อาจทำให้ทั้ง พ.ต.ท.ทักษิณและ น.ส.ยิ่งลักษณ์ และพลพรรคเพื่อไทย ต้องเร่งตัดสินใจผ่าตัดรัฐธรรมนูญผ่าทางตันการเมืองนองเลือด

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
/////////////////////////////////////////////////

วันจันทร์ที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2555

ดร.วีรพงษ์ ดันอภิโปรเจ็กต์ พลิกประเทศ ยกเครื่องขนส่ง-สื่อสาร 2.2 ล้านล้านบาท เข้า ครม. 10 มค. !!?

ที่ทำเนียบรัฐบาล เปิดเผยว่า คณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ (กยอ.) ที่มีนายวีรพงษ์ รามางกูร เป็นประธาน จะเสนอแผนยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ 5 ด้าน ให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณา ประกอบไปด้วย 1.การบริหารจัดการทรัพยการน้ำ 2.การปรับโครงสร้างภาคการผลิตและบริการ 3.การพัฒนาเชิงพื้นที่เศรษฐกิจใหม่ 4.การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน 5.การพัฒนาระบบการประกันภัย

จากคณะกรรมการ กยอ. เปิดเผยว่า สำหรับแผนการบริหารจัดการทรัพยการน้ำที่คณะกรรมการ กยอ. จะนำเสนอ เป็นแผนแม่บทการบริหารจัดการน้ำทั้งระบบ ซึ่งผ่านการพิจารณาจากคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อวางระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ (กยน.) เรียบร้อยแล้ว วงเงิน 317,126 ล้านบาท แบ่งเป็นแผนป้องกันปัญหาระยะเร่งด่วน 17,126 ล้านบาท ใช้แหล่งงบประมาณจากงบกลางปี 2555 ครม.ได้มีมติเห็นชอบไปแล้ว ส่วนแผนลุ่มน้ำแบบบูรณาการและยั่งยืน ในลุ่มน้ำเจ้าพระยา 300,000 ล้านบาท จะใช้แหล่งเงินจากเงินกู้จำนวน 350,000 ล้านบาท ที่รัฐบาลจะออก พ.ร.ก.การจัดตั้งกองทุนสร้างอนาคตประเทศ มาดำเนินการ

โปรเจ็กต์ 2.2 ล้านล้านพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน

อย่างไรก็ตาม ในวงเงินกู้ทั้งหมด 350,000 ล้านบาท ที่ประชุม กยอ. เมื่อวันที่ 6 มกราคม ที่ผ่านมา ได้เห็นชอบให้ใช้เงินอีกจำนวน 40,000 ล้านบาท สำหรับการพัฒนาพื้นที่ 17 ลุ่มน้ำที่เหลือ ทำให้ยอดวงเงินรวมที่รัฐบาลจะใช้สำหรับการจัดทำแผนป้องกันแก้ไขปัญหาน้ำท่วมทั้งหมด อยู่ที่ 357,126 ล้านบาท ส่วนวงเงินกู้ที่เหลืออีก 10,000 ล้านบาท จะถูกนำไปใช้ในการลงทุนตามแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศด้านอื่นๆ

แหล่งข่าวกล่าวต่อไปว่า สำหรับรายละเอียดแผนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ระหว่างปี 2555-2559 รวมวงเงินทั้งสิ้น 2,270,085 ล้านบาท แบ่งออกเป็น 5 สาขา คือ 1.สาขาขนส่งทางบก วงเงิน 1,469,879 ล้านบาท 2.สาขาขนส่งทางอากาศและน้ำ 148,504 ล้านบาท 3.สาขาพลังงาน 499,449 ล้านบาท 4.สาขาการสื่อสาร 35,181 ล้านบาท และ 5.สาขาสาธารณูปการ 117,072 ล้านบาท

ลุยสร้างข่ายขนส่งทางบก

แหล่งข่าวกล่าวว่า ทั้งนี้ ในการพัฒนาระบบขนส่งทางบก จะแบ่งเป็นการพัฒนาโครงข่ายทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง 187,305 ล้านบาท การพัฒนาระบบรถไฟ/รถไฟสายใหม่ 298,237 ล้านบาท การพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูง 481,066 ล้านบาท การพัฒนาระบบขนส่งมวลชนทางราง 321,316 ล้านบาท การพัฒนาโครงข่ายถนน และการขนส่งต่อเนื่องหลายรูปแบบ 181,954 ล้านบาท

ส่วนโครงข่ายรถไฟ มีเป้าหมายพัฒนาให้เป็นระบบหลักในการขนส่งสินค้าจากพื้นที่การผลิตหลัก ภายในประเทศเชื่อมโยงท่าเรือแหลมฉบัง ส่วนรถไฟฟ้าความเร็วสูง ดำเนินการ 4 เส้นทางหลัก คือ 1.กทม.-เชียงใหม่ 2.กทม.-หนองคาย และกทม.-อุบลราชธานี 3.กทม.-หาดใหญ่-ปาดังเบซาร์ 4.กทม.-ฉะเชิงเทรา-ระยอง

ร่วมเพื่อนบ้านพัฒนาพลังงาน

แหล่งข่าวกล่าวว่า ส่วนแผนด้านพลังงาน เน้นการแสวงหาและพัฒนาแหล่งพลังงานใหม่ทั้งในและต่างประเทศ โดยเฉพาะการสร้างความร่วมมือด้านการพัฒนาแหล่งพลังงานกับประเทศเพื่อนบ้านในฝั่งตะวันตก (ทวาย) เพื่อสร้างความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศ สำหรับแผนการพัฒนาเชิงพื้นที่เศรษฐกิจใหม่ เน้นการเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้าน และภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ที่มา: มติชนออนไลน์
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ศักดิ์ศรี ทักษิณ..ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ !!?

“คิดถึงทุกคน ที่หายหน้าไปนั้นเพราะอยากให้นายกฯและรัฐมนตรีได้ทำงานอย่างเต็มที่ ส.ส. ที่โทร.มาแล้วไม่ได้รับสายก็ไม่ต้องน้อยใจ เพราะในช่วงนี้ข่าว ปรับ ครม. เยอะจึงไม่อยากรับสายใคร แต่ยืนยันว่ารักทุกคน จะขยันดูให้บ่อยขึ้นหน่อย รอบนี้ไม่ได้ก็รอรอบหน้า ขอให้รัฐมนตรีและ ส.ส. ทุกคนทำงานให้หนักเพื่อประชาชนจะได้มีความสุข เมื่อประชาชนสุขเราก็สุขด้วย และขอให้ทุกคนร่วมใจกันทำให้พรรคเพื่อไทยเป็นพรรคที่ประชาชนไว้ใจ” พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โฟนอินกล่าวทักทายสวัสดีปีใหม่กับรัฐมนตรีและ ส.ส. เมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2554 ระหว่างการประชุม ส.ส. พรรคเพื่อไทย ซึ่งสะท้อนคำว่า “นายใหญ่” ที่ยังมีอำนาจและมีบารมีในพรรคเพื่อไทยที่บรรดา ส.ส. และสมาชิกพรรคยังวิ่งเข้าหาเพื่อขอตำแหน่งทางการเมือง

แม้เวลาจะผ่านไปกว่า 5 ปีแล้ว แต่อำนาจและบารมีของ พ.ต.ท.ทักษิณยังปรากฏให้เห็นเด่นชัดไม่เสื่อมคลาย ทำให้ฝ่ายตรงข้ามไม่ว่าจะเป็นพรรคประชาธิปัตย์ กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กลุ่มสลิ่มขาประจำ กลุ่มคนมีสี และกลุ่มอำมาตย์ ต้องเร่งมือล้มล้างอำนาจของพรรคเพื่อไทย และพยายามทำลายเครือข่ายที่ให้การสนับสนุนทั้งหมดให้ได้ โดยเฉพาะกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ที่แม้ขณะนี้จะเกิดความขัดแย้งภายในแต่ก็เติบโตและแข็งแกร่งมากขึ้นทุกวัน
ตอกย้ำภาพ “ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ”

แม้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี จะประกาศในวันรับตำแหน่งเมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2554 ว่า “จะมุ่งมั่นสร้างสุข สลายทุกข์ ให้แก่พี่น้องประชาชนอย่างสุดกำลังความสามารถ ดิฉันจะไม่ทำเพื่อคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง แต่จะทำเพื่อประเทศชาติและคนไทยทุกคน”

แต่ไม่สามารถลบภาพ “ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ” ออกไปได้ อีกทั้ง พ.ต.ท.ทักษิณยังประกาศอย่างชัดเจน โดยให้สัมภาษณ์ว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์เป็น “โคลนนิ่งของตนเอง” จึงยากจะปฏิเสธว่า พ.ต.ท.ทักษิณไม่ ได้มีบารมีเหนือรัฐบาลและน.ส.ยิ่งลักษณ์ แม้ต่อมาทั้ง พ.ต.ท.ทักษิณและ น.ส.ยิ่งลักษณ์จะออกมาปฏิเสธ (เพื่อไม่ให้เข้าข่ายเป็นความผิดทางกฎหมายพรรคการเมือง) แต่กลุ่มแพ้เลือกตั้งที่จ้องล้มรัฐบาลยังนำมาใช้โจมตีจนถึงทุกวันนี้ ดังนั้น การเคลื่อนไหวใดๆของ พ.ต.ท.ทักษิณจะถูกโยงให้เกี่ยวข้องกับพรรคเพื่อไทยหรือรัฐบาลทันที
เงา “ทักษิณ” บดบัง “ปู”

ขณะที่ พ.ต.ท.ทักษิณถูกมองว่าชอบอวด ชอบโชว์ (ทั้งๆที่ไม่จำเป็นต้องโชว์) อย่างกรณีให้สัมภาษณ์ว่าเป็นผู้ประสานงานให้กับ น.ส.ยิ่งลักษณ์พบผู้นำพม่าและนางออง ซาน ซู จี จน น.ส.ยิ่งลักษณ์ต้องออกมาปฏิเสธว่าไม่เป็นความจริง แต่มีน้อยคนที่จะเชื่อ เพราะออกมาจากปาก พ.ต.ท.ทักษิณเอง

ประเด็นดังกล่าวจึงเป็นขนมหวานให้ฝ่ายตรงข้ามนำ พ.ต.ท.ทักษิณไปผูกโยงว่ามีผลประโยชน์ทับซ้อน เพราะหลังการเยือนพม่าของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ก็มีข่าวดีว่าบริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท.สผ. ได้รับอนุญาตจากรัฐบาลพม่าให้สำรวจแหล่งปิโตรเลียมใหม่ 2 แปลง ซึ่งเป็นแหล่งสัมปทานปิโตรเลียมบนบกที่รัฐบาลพม่าเปิดสัมปทานให้ภาคเอกชนจากต่างประเทศเข้าไปสำรวจเป็นครั้งแรก ทั้งที่ข่าวอย่างนี้น่าจะเป็นผลดีต่อประเทศ แต่กลับเป็นประเด็นให้ถูกโจมตีอีกจนได้

สำนักข่าวรอยเตอร์วิเคราะห์ว่า แม้การเคลื่อนไหวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ว่าจะเป็นการเยือนกัมพูชา เนปาล หรือพม่า แสดงให้เห็นว่า พ.ต.ท.ทักษิณมีอำนาจมากขึ้น แต่กลับทำให้บารมีความเป็นผู้นำของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ยิ่งถดถอย จึงเป็นเรื่องยากของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ที่พยายามสลัดเงาของพี่ชายเพื่อยืนยันความเป็นผู้นำที่แท้จริง

เงาทะมึนของ พ.ต.ท.ทักษิณที่อยู่เบื้องหลังของ น.ส.ยิ่งลักษณ์จึงถูกนำไปเป็นเงื่อนไขให้ฝ่ายตรงข้ามโจมตีว่ารัฐบาลนี้เป็นรัฐบาลทักษิณ ไม่ใช่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ เพราะแค่มีข่าวว่าจะปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) บรรดา ส.ส. และแกนนำก็แห่วิ่งเข้าหา พ.ต.ท.ทักษิณ

รัฐบาลเพื่อใคร?
ตลอด 4 เดือนของรัฐบาลยิ่งลักษณ์จึงเป็นเหยื่ออันโอชะไม่ต่างจากรัฐบาลสมัคร สุนทรเวช และรัฐบาล สมชาย วงศ์สวัสดิ์ (รวมถึงทุกรัฐบาลที่ชนะการเลือกตั้ง) ที่ต้องถูกจับตามองว่าพยายามช่วยให้ พ.ต.ท.ทักษิณพ้นผิดและกลับประเทศ รวมถึงเอื้อผลประโยชน์ให้กับตระกูลชินวัตรและเครือญาติ โดยเฉพาะพรรคประชาธิปัตย์และกลุ่มขาประจำที่หยิบทุกประเด็นที่เกี่ยวข้องกับคนในตระกูลชินวัตรมาโจมตี ไม่ว่าจะเป็นกรณีกรมสรรพากรไม่ยื่นเรื่องอุทธรณ์ศาลภาษีฯกรณีเก็บภาษีหุ้นชินคอร์ป 12,000 ล้านบาท ของนายพานทองแท้ และ น.ส.พินทองทา ชินวัตร

กรณีศาลอุทธรณ์ยกฟ้องคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร และรอลงอาญานายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ หลังจากอัยการสูงสุดมีความเห็นไม่ยื่นฎีกาต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองให้พิจารณาคดีการเลี่ยงภาษีหุ้นบริษัท ชินวัตร คอมพิวเตอร์ แอนด์ คอมมิวนิเคชั่นส์ จำกัด (มหาชน)

การแต่งตั้ง พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ เป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และการคืนหนังสือเดินทางหรือพาสปอร์ตให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ แม้นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ จะอ้างระเบียบของกระทรวงการต่างประเทศที่ให้อำนาจเจ้าหน้าที่สามารถยกเลิกหรือเรียกคืนบุคคลใดที่เห็นว่าอาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อประเทศไทยและต่างประเทศได้ ซึ่ง พ.ต.ท. ทักษิณไม่ได้ทำความเสียหายทั้งในและต่างประเทศ

ล่าสุดกรณีพระราชกฤษฎีกา (พ.ร.ฎ.) ขอพระราชทานอภัยโทษ ที่มีกระแสข่าวว่ามีชื่อ พ.ต.ท.ทักษิณอยู่ด้วย แม้รัฐบาลจะปฏิเสธ แต่ฝ่ายตรงข้ามยังออกมาปลุกกระแสต่อต้านจน พ.ต.ท.ทักษิณต้องออกแถลงการณ์ไม่ขอรับการอภัยโทษ เพื่อยุติปัญหาและช่วยรัฐบาลไม่ให้เป็นเป้านิ่ง ทั้งที่เป็นเรื่องของพระราชอำนาจ

แม้แต่นายสมศักดิ์ เทพสุทิน แกนนำพรรคภูมิใจไทย (ที่พยายามออกห่างจากกลุ่มเนวินและวางตัวเองเป็นกลุ่มการเมืองอะไหล่พร้อมร่วมรัฐบาล) ยังระบุว่าการเมืองไทยปี 2555 จะยุ่งยาก เพราะมีการสร้างเงื่อนไขจากฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้าน สู้กันด้วยอารมณ์และความแค้น ไม่ว่าจะเป็นการแก้ พ.ร.บ.กระทรวงกลาโหม และ พ.ร.บ.นิรโทษกรรม อีกทั้งการคืนพาสปอร์ตให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ โดยมองว่าหากรัฐบาลเดินหน้าเรื่องเหล่านี้จะนำไปสู่ความรุนแรงได้ โดยเฉพาะ พ.ร.บ.กระทรวงกลาโหม ซึ่งเป็นตัวจุดกระแสให้อุณหภูมิการเมืองร้อนแรง ส่วนคดี 91 ศพ ไม่น่าจะใช่เงื่อนไข เพราะไม่ใช่การกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐ

ประชาธิปัตย์กัดไม่ปล่อย
เห็นได้จากพรรคประชาธิปัตย์กัดไม่ปล่อยกรณีคืนหนังสือเดินทางให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ล่าสุดก่อนสิ้นปี 2554 นายชัยวุฒิ ผ่องแผ้ว ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ ได้ยื่นหนังสือต่อ น.ส.ยิ่งลักษณ์ เพื่อให้สั่งเพิกถอนหรือแก้ไขการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายของนายสุรพงษ์และข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศภายในวันที่ 9 มกราคม 2555 เนื่องจาก พ.ต.ท.ทักษิณเป็นนักโทษเด็ดขาดและเป็นผู้ต้องหาหลบหนีคดีตามหมายจับของทางราชการถึง 5 หมายจับ ทั้งมีความผิดร้ายแรงเกี่ยวกับความมั่นคง ฐานก่อการร้ายและการทุจริต คือคดีที่ดินรัชดาฯ คดีหวยบนดิน คดีเอ็กซิมแบงก์ คดีแปลงสัญญาณสัมปทานเป็นภาษีสรรพสามิต และคดีก่อการร้าย
เขียนผี “ทักษิณ” ปลุกวิญญาณพันธมิตรฯ
ขณะที่กลุ่มพันธมิตรฯที่วันนี้แทบไม่มีพลังจะออกมาเคลื่อนไหว เพราะการแตกแยกกันเองอย่างรุนแรง แต่ยังมีลมหายใจ เพราะหวังว่าจะอาศัยเงื่อน ไขที่ พ.ต.ท.ทักษิณจะกลับมาเป็นการเขียน “ผีทักษิณ” เพื่อปลุกวิญญาณพันธมิตรฯอีกครั้ง
ล่าสุดแกนนำพันธมิตรฯยืนยันจะออกมาเคลื่อน ไหวทันทีหากมีการแก้ไขมาตรา 112 และแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อให้ พ.ต.ท.ทักษิณพ้นผิด โดยนายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกพันธมิตรฯ ระบุว่า แม้พันธมิตรฯจะกำหนดบทบาทว่าต้องเคลื่อนไหวเพื่อการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เท่านั้นก็ตาม แต่หากเกิด 2 เงื่อนไขดังกล่าวก็จะออกมาทันที เพราะเชื่อว่าพรรคเพื่อไทยต้องพยายามให้มีอำนาจแบบเด็ดขาด เพื่อลบล้างความผิดในอดีตแล้วโยนบาปให้คนอื่น รวมถึงการแก้ไขรัฐธรรมนูญและคุมอำนาจในกองทัพให้ได้

ด้านนายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ แกนนำพันธมิตรฯ เชื่อว่าปี 2555 จะเกิดเหตุการณ์บางอย่างแต่ไม่กล้าพูด แม้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ยืนยันว่าจะไม่มีรัฐประหารก็ไม่ต่างจาก พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ที่เคยพูดก่อนจะทำรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ดังนั้น หากพรรคเพื่อไทยดึงดันหาคนผิดคดี 16 ศพในเหตุการณ์เมษา-พฤษภาอำมหิตให้ได้ก็นับถอยหลังได้เลย

นายสมเกียรติยังเชื่อว่า “ยุทธศาสตร์สุดท้ายของทักษิณต้องการให้ตัวเองพ้นผิด มีอำนาจล้มเจ้าได้ และได้ทรัพย์สินคืน ผมจึงไม่เชื่อการเมืองไทยจะเปลี่ยนผ่านโดยสันติและประนีประนอม ในที่สุดจะต้องเปลี่ยนผ่านอย่างใหญ่ที่ต้องเสียเลือดเนื้อ เว้นแต่ประเทศไทยไม่มีทักษิณ”
ปรองดองหรือปองร้าย?

ดังนั้น การที่วิปรัฐบาลมีมติแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยจะให้มีสภาร่างรัฐธรรมนูญหรือ ส.ส.ร.3 ขณะเดียวกันมีความพยายามให้ออก พ.ร.ฎ.ปรองดอง เพื่อเริ่มต้นปฏิรูปการเมืองอย่างจริงจังนั้นหมายถึงการ ปลดล็อกให้กับทุกฝ่าย รวมถึง พ.ต.ท.ทักษิณด้วย

พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน หัวหน้าคณะรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 (คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือ คปค. ที่เปลี่ยนไปเป็น คมช.) ที่ปัจจุบันเป็น ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคมาตุภูมิ ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึก-ษาแนวทางการสร้างความปรองดองแห่งชาติ ก็กลับมาเล่นบทบาทใหม่ในสภา โดยยืนยันจะเดินหน้าสร้าง ความปรองดองต่อไป แม้ยังมีความขัดแย้งสูงก็ตาม
ที่สำคัญปัญหาทั้งหมดถูกดึงมารวมไว้ที่ พ.ต.ท. ทักษิณ ซึ่ง พล.อ.สนธิได้ฝากให้ทุกฝ่ายยอมรับว่าถ้าต้อง การให้ประเทศเกิดความปรองดองก็ต้องให้อภัยกัน ขณะ ที่พรรคเพื่อไทยยืนยันว่าการสร้างความปรองดองต้องคืนความชอบธรรมทางการเมืองให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณด้วย

ข้อเสนอของ “กลุ่มนิติราษฎร์” ที่ให้ลบล้างผลพวงการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 จึงเป็นประเด็นร้อนที่จะทดสอบ พล.อ.สนธิว่ามีความจริงใจในการสร้างความปรองดองหรือไม่
สมาชิกบ้านเลขที่ 111

แม้สถานการณ์ทางการเมืองวันนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายที่ พ.ต.ท.ทักษิณจะกลับประเทศ ทั้งที่พรรคเพื่อไทยได้เป็นรัฐบาล เพราะตราบใดที่อำนาจของกลุ่มอำมาตย์และกองทัพยังแข็งแกร่ง การกลับมาของ พ.ต.ท.ทักษิณก็เข้าแผนกลุ่มอำมาตย์ที่จะปลุกกระแสล้มรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นการกลับมาของกลุ่มพันธมิตรฯหรือกลุ่มขาประจำที่จะรวมพลังกันอีกครั้ง อย่างที่นายโจชัว เคอร์แลนท์ซิค ผู้เชี่ยวชาญด้านเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ประจำคณะกรรมการความสัมพันธ์ระหว่างประเทศสหรัฐ เชื่อว่าการกลับมาของ พ.ต.ท.ทักษิณไม่ว่าในช่วงเวลาใดก็ตาม จะนำไปสู่ความวุ่นวายอย่างหนักในประเทศไทยอีกครั้ง
แต่ที่น่าสนใจคือการกลับมาของสมาชิกบ้านเลขที่ 111 ที่จะปลดล็อกในวันที่ 31 พฤษภาคม 2555 จากกรณีตุลาการศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคไทยรัก-ไทย พร้อมตัดสิทธิคณะกรรมการบริหารเมื่อปี 2550 ซึ่งนักวิเคราะห์ทั้งในประเทศและต่างประเทศเชื่อว่าจะทำให้เกิดสีสันทางการเมืองและการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองครั้งใหญ่ แต่จะไม่รวดเร็ว เพราะสมาชิก บ้านเลขที่ 111 ที่ส่วนใหญ่ยังอยู่ข้าง พ.ต.ท.ทักษิณต้อง ช่วยประคองรัฐบาลยิ่งลักษณ์ให้อยู่ได้นานที่สุดอย่างน้อยก็ปี 2555 เพื่อสร้างผลงานและฐานอำนาจให้แข็งแกร่งพอจะต่อสู้กับกลุ่มอำมาตย์และกองทัพได้

ไม่ว่าจะเป็นนายจาตุรนต์ ฉายแสง, คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์, นายวราเทพ รัตนากร, นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา, นายภูมิธรรม เวชยชัย, นพ. พรหมมินทร์ เลิศสุริย์เดช, นายสุรนันทน์ เวชชาชีวะ, นางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ ฯลฯ แม้จะต้องต่อสู้กับกลุ่มนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ กลุ่มนายเนวิน ชิดชอบ กลุ่มนายสมศักดิ์ เทพสุทิน และกลุ่มนายสุชาติ ตันเจริญ ที่ พ.ต.ท.ทักษิณประกาศชัดเจนว่า “ไม่เผาผีกัน”
“ทักษิณ” กลับบ้าน?

อย่างไรก็ตาม การกลับประเทศของ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นหนึ่งในเป้าหลักของพรรคเพื่อไทย และเป็นการต่อสู้เพื่อยืนยันว่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับ พ.ต.ท.ทักษิณนั้นเป็นการกลั่นแกล้งทางการเมืองจากกระบวนการยุติธรรมสองมาตรฐานหรือตุลาการภิวัฒน์ พรรคเพื่อไทยจึงต้องหาทางช่วย พ.ต.ท.ทักษิณให้ได้รับความยุติธรรม อย่างการคืนพาสปอร์ต ทั้งที่รู้ว่าจะเป็นหนึ่ง ในเงื่อนไขทางการเมือง แต่ไม่ผิดเงื่อนไขทางกฎหมาย เพื่อยืนยันว่า พ.ต.ท.ทักษิณคือ “เหยื่อที่ถูกกลั่นแกล้ง” ไม่ใช่ “นักโทษหนีคดี” อย่างที่ฝ่ายตรงข้ามยัดเยียดให้ และเกิดจากผลพวงของรัฐประหารที่ใช้คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) เป็นเครื่องมือกำจัด พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ใช่ตามระบบยุติธรรมในการใช้กฎหมายปรกติ

ดังนั้น ต้องจับตามองว่าวันที่ 26 กรกฎาคม ซึ่ง เป็นวันคล้ายวันเกิดของ พ.ต.ท.ทักษิณครบรอบ 63 ปี และยังเป็นเดือนที่จะหมดวาระการทำงานของคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความเป็นจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) ซึ่งจะมีการเปิดเผยรายงานผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีเหตุการณ์เมษา-พฤษภา 2553 ของคณะอนุกรรมการ คอป. ของนายสมชาย หอมลออ จะมีอะไรเป็นของขวัญชิ้นพิเศษให้แก่ พ.ต.ท.ทักษิณหรือไม่

ด้าน น.ส.ยิ่งลักษณ์พูดในรายการรัฐบาลยิ่ง-ลักษณ์พบประชาชน ถึงสิ่งที่รัฐบาลจะทำในปี 2555 ว่าจะเร่งแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจและเรื่องความปรองดองของคนในชาติควบคู่กันไป เนื่องจากคนในชาติอยากเห็นความปรองดอง ซึ่งหลักการปรองดองจะทำควบคู่ไปกับประชาธิปไตย ต้องฟังความคิดเห็นจากประชาชน ทำอย่างไรถึงจะเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม เสมอภาคทุกคน และเป็นไปตามหลักนิติรัฐ
ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์

ดังนั้น ปี 2555 นี้ชื่อของ พ.ต.ท.ทักษิณจะยังเป็น “ตัวละครเอก” ที่ถูกใช้เป็นสัญลักษณ์แห่งความขัดแย้งทางการเมืองต่อไปอย่างแน่นอน ตราบใดที่สังคมไทยยังไม่ก้าวข้าม พ.ต.ท.ทักษิณ

ตราบใดที่ยังมีพรรคการเมืองขี้แพ้ (ชวนตี) ไม่ยอมรับผลการเลือกตั้งจากประชาชน ยังมีกลุ่มการเมืองภาคประชาชนที่กลัว “ผีทักษิณ” และกลุ่มที่หากินกับระบอบลัทธิ โดยการโฆษณาชวนเชื่อ หรือ พ.ต.ท.ทักษิณยังไม่ถูกปลดล็อกทางการเมือง

การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่จึงเกิดขึ้นได้เสมอ
ทั้งที่ความจริงแล้วสังคมไทยมองเห็นเด่นชัดว่าแทบเป็นไปไม่ได้ที่คนอย่าง พ.ต.ท.ทักษิณจะกลับประเทศมาเปิดหน้าเล่นการเมืองอีก ถึงกลับมาได้ก็จะไม่มีชื่อของ พ.ต.ท.ทักษิณในฐานะผู้นำประเทศ (ด้วยตนเอง) อีกต่อไป
หรือแม้แต่ พ.ต.ท.ทักษิณจะไม่ได้กลับ (อย่างเช่นทุกวันนี้) พรรคการเมืองที่ยึดโยง พ.ต.ท.ทักษิณก็ชนะการเลือกตั้งทุกครั้งไปอยู่ดี จนต้องตั้งคำถามว่าเหตุใดพรรคการเมืองเก่าแก่ที่หวังแต่รอส้มหล่นจากอุบัติเหตุทางการเมืองจึงไม่เคยชนะเลือกตั้งอีกเลยหลังจากมีรัฐบาลทักษิณเกิดขึ้น

ลึกๆแล้วสิ่งที่มนุษย์ทุกคนต้องการคือความยุติธรรม ความเสมอภาค ศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ และการอยู่ร่วมกันได้ในความคิดเห็นที่แตกต่าง

เมื่อสังคมไทยกลับมานับถือศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ เมื่อทุกคนมองเห็นทุกคนเป็นมนุษย์ที่มีสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่างกันได้ เรื่องเล็กอย่าง “ทักษิณ” ก็เป็นแค่เรื่องของมนุษย์คนหนึ่งที่สามารถแก้ปัญหาได้
เรื่องใหญ่อย่างคนตายเกือบร้อยศพ และบาดเจ็บร่วม 2,000 คน ก็ไม่ยากที่จะหาความยุติธรรม

เมื่อได้ค้นหาอย่างมีใจเป็นธรรมจะพบว่า “การปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขภายใต้รัฐธรรมนูญ” ก็คือระบอบที่ลงตัวและเหมาะสมกับสังคมไทยมากที่สุด ท่ามกลางความขัดแย้งแห่งวาระปัจจุบัน
เมื่อไรจะถึงวันที่คนไทยจะได้เลือกผู้นำ เลือกรัฐบาลที่คนไทยอยากได้ด้วยตนเอง หรือถ้าเลือกผิดก็อย่าเลือกกลับมาอีก หันไปเลือกคนใหม่ ไม่ต้องใส่เสื้อสีนั้นสีนี้ออกมาเต็มบ้านเต็มเมือง ไม่ต้องให้กองทัพฝ่ายเลวอ้างเหตุถือโอกาสยึดอำนาจไปจากประชาชนซ้ำแล้วซ้ำเล่า

ไม่ต้องเกี่ยวโยงไปถึงเรื่องรักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ รักสามัคคี หรือใครจงรักภักดีมากกว่าใคร อย่างไร แค่ไหน?
ทั้งหมดเป็นแค่เรื่องของ “ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์” พื้นๆเท่านั้นเอง

ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข
//////////////////////////////////////////////