--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันศุกร์ที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2555

สลัดภาพ อภิสิทธิ์ ไม่หลุด !!?

มาตะเภาเดียวกัน..แล้วเช่นนี้ “กรณ์ จาติกวณิช” จะโล้สำเภาเป็น “หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์” เพื่อก้าวเป็น “นายกรัฐมนตรี” คงหัวคะมำกันอย่างสุด...สุด
มองทุกด้านเป็นตัวปัญหา
แท้ที่จริงแล้ว พลพรรคประชาธิปัตย์ และนักการเมืองของพรรคนี้ นี่แหละเป็นจุดเสื่อมของปี ๕๕
ไม่ใช่ภัยธรรม หรือ นักการเมืองรัฐบาล ที่ทำให้การเมืองดิ่งเหว ล้มเหลว อย่างเหลือคณานับ
เริ่มต้นก็บ่ท่าเหมือน “อภิสิทธิ์”แล้ว.....ช่างเป็นบุรุษที่ไร้แวว?..ยากที่จะต่อแถว เป็นนายกฯสิครับ

+++++++++++++++++++++++++++++++++++

“ทหาร”ฆ่าใครไม่ได้
ถ้าไม่มี “คนสั่ง” เขาไม่มีอำนาจยกพล เข้ามาใจกลางเมืองหลวงกรุงเทพฯ จนเกิดเหตุฆ่าประชาชนตาย
ถึงเวลาแล้ว ที่ คณะกรรมการ ปปช. ของ “ท่านปานเทพ กล้าณรงค์ราญ” เรียก “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” อดีตนายกรัฐมนตรี และ “สุเทพ เทือกสุบรรณ” รองนายกฯ ฐานะ ผอ.ศอฉ. ใครใช้อำนาจทหารสั่งยิงประชาชน
เรื่องที่หมกเม็ดมานาน จะได้แตกดังโพล๊ะ ..รู้ฆาตกรตัวจริงกันซักหน
ถึง “ทหาร” จะถือปืนอาวุธสงคราม ถ้าไม่มีคำสั่งเบื้องบนแล้ว เขาก็ไม่ปฏิบัติการณ์อย่างเหี้ยมโหด
อยากเห็น ปปช.สอบให้ถึงแก่น...ว่าใครใช้อำนาจอย่างคลั่งแค้น?..เดินแผนฆ่าประชาชนจนกลัวกันแทบหัวหด

++++++++++++++++++++++++++++++++++

เจาะยาง
เก่งนักกับเรื่องพูดอย่าง แต่ทว่าทำอีกอย่าง
เมื่อ “พรรคเพื่อไทย” ชนะมา ได้ “นายกฯปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นมาเบอร์หนึ่งบริหารประเทศ
ย่อมชอบธรรม ที่จะแก้รัฐธรรมนูญ มรดกบาปเผด็จการ ตามที่ได้สัญญาประชาคม กับประชาชนรากหญ้า กันเอาไว้เบ็ดเสร็จ
“ประชาธิปัตย์” โดย “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” และลูกกระจ๊อก พากันยำจนเละ ว่าจะพาชาติไปสู่วิกฤติ
แก้รัฐธรรมนูญฉบับทรราช....เพื่อให้คนไทยเท่าเทียมกันในชาติ...หัดคิดในแง่นี้บ้างเถอะ “ท่านอภิสิทธิ์”

++++++++++++++++++++++++++++++++++

แผนล้มเจ้า
ปูดขึ้นมา ขาดหลักฐานอ้างอิง..คิดขึ้นมา เพียงเพื่อที่จะเล่นงานเขา
จึงเชียร์ “ธาริต เพ็งดิษฐ์” อธิบดีกรมดีเอสไอ ผู้เป็นกล่องดวงใจ สมัยรัฐบาลประชาธิปัตย์ สาวต้นตอ สืบให้ถึงความจริง
เรียก “เทพเทือก” สุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ฐานะ ผอ.ศอฉ. น่ารู้เรื่องทุกสิ่ง
ใครเป็นผู้ที่เสกสรรปั้น หยิบเรื่องนี้ขึ้นมากลั่นแกล้งทางการเมือง จนเกิดเรื่องวุ่น
ถ้าเรื่องนี้ไม่จริง...ต้องเอาตัวคนที่อ้างอิง....เข้าปิ้งเป็นการด่วนด้วยนะครับ

++++++++++++++++++++++++++++++

พรรษา-บารมี ล้วนไม่ถึง
เป็น “เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์” เพียงพักเดียว...ก็มีเสียงด่า “เฉลิมชัย ศรีอ่อน” กันให้ตึง
กลุ่ม สส.ยังเติร์ก สส.หนุ่ม-สาว ที่หนุนให้ขึ้นมาล้ม “สุเทพ เทือกสุบรรณ” เลขาธิการพรรคคนเก่า ยังด่ากันเช็ด
คนที่หนุนกันมาแน่ๆ ยังหันมาลงแส้ ด่ากันเบ็ดเสร็จ
เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ล้วนเป็นกระบี่มือหนึ่ง ที่คุมเกมการเมืองเอาไว้เสร็จสรรพ
ส่วน,”เสี่ยเฉลิมชัย ศรีอ่อน”....มีแต่ถูกเขาต้อน....เป็นละอ่อนการเมืองจริงๆสิครับ

คอลัมน์:ตอดนิดตอดหน่อย,บางกอกทูเดย์
///////////////////////////////////////////////////

ผู้นำฝ่ายค้าน พยากรณ์ ศก.55 ไม่หมกมุ่นไล่ล่า ทักษิณ.ไม่คิดเรื่องเพื่อไทย (ไม่)ไว้ใจยิ่งลักษณ์ !!?


2555 อุณหภูมิการเมือง เศรษฐกิจ ร้อนแรงทะลุปรอท

ร้อนแรงทั้งวาทกรรม "ปรองดอง" ที่แฝงนัยยะการนำ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กลับประเทศไทย

ร้อนแรงทั้งฝีมือบริหารประเทศของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี

อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ผู้นำฝ่ายค้าน-อดีตนายกรัฐมนตรี วิเคราะห์ถึงสถานการณ์ เศรษฐกิจ การเมือง และ "ทักษิณ" ภายใต้รัฐบาลพรรคเพื่อไทย

- ประเมินเศรษฐกิจปีหน้าอย่างไร

ทุกสำนักยังมองว่าปัญหาเศรษฐกิจในยุโรปยังไม่จบ ต่อให้พยายามอย่างไรพื้นฐานของปัญหาก็ยังอยู่ ถ้ายุโรปคิดจะอุ้มประเทศที่มีปัญหาไว้ก็จะเป็นปัญหากับตัวยุโรป และมีปัญหาทางการเมืองรวมอยู่ด้วย ขณะเดียวกันหากยุโรปไม่อุ้มประเทศเหล่านั้นก็จะกระทบกับความน่าเชื่อถือในเรื่องของสกุลเงิน แต่ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ตาม ปัญหาหนี้สิน ปัญหาระบบการเงินมันไม่ได้หายไป รักษาตามอาการไปเรื่อย ๆ

แต่ประเทศเราไม่ได้มีเศรษฐกิจโลกเป็นปัจจัยเสี่ยงเพียงอย่างเดียว แต่ยังเจอภัยพิบัติเรื่องน้ำท่วม จึงจำเป็นที่ต้องเรียกความเชื่อมั่นกลับคืน รวมกับเรื่องของการเมืองที่ยังทำให้งานหลายอย่างไม่เดินหน้า

ฉะนั้นเศรษฐกิจในปี"55 หากมองในเชิงตัวเลข หลายคนคงคาดการณ์ว่าจะขยายตัวได้ดีกว่าปี"54 เพราะปีนี้เจอภัยพิบัติ ก็จะทำให้ตัวเลขในปี"55 อยู่ในแดนบวก แต่ในเชิงชีวิตจริงนั้นยังมีความยากลำบากพอสมควร และในปี"55 ช่องว่างระหว่างตัวเลขและชีวิตจริงจะมีมากขึ้น เพราะตัวเลขที่โตทางเศรษฐกิจเป็นการใช้จ่ายเงินเพื่อซ่อมแซม ฟื้นฟู เพื่อให้ทรัพย์สินที่ สูญเสียไปกลับสู่สภาพเดิม

ยิ่งถ้านำไปรวมกับสิ่งนักลงทุนยังไม่มีความมั่นใจคืออะไร วันนี้หากมองไปข้างหน้าก็ยังไม่รู้แน่ชัดว่าเราจะขยายธุรกิจต่อในไทยหรือไม่ ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะผูกพันใกล้ชิดกับการทำงานของรัฐบาล

- การบริหารเศรษฐกิจส่วนรวม ครึ่งปีแรกจะยังคงสาละวนเรื่องน้ำท่วม

ถ้าเอาหลายปัจจัยมารวมกันก็จะมีผลกระทบจากน้ำท่วมหลายเรื่อง ทั้งการชะลอการลงทุน การกระจายฐานการผลิตเพื่อกระจายความเสี่ยง ตรงนี้เกิดขึ้นแน่ ขณะที่ภาคประชาชนยังประสบปัญหารายได้หาย รายจ่ายเพิ่ม และภาครัฐนอกจากจะต้องทำนโยบายตามที่ได้หาเสียงไว้ อีกทั้งยังต้องทำนโยบายฟื้นฟูเยียวยาที่ยังไม่ตอบโจทย์ว่าจะทำได้หรือไม่ ก็ยังเป็นปัญหามาก

ยกตัวอย่างนะ ตอนนี้ผมยังมองไม่เห็นว่าเงินเดือนปริญญาตรี 15,000 บาท จะเกิดขึ้นได้อย่างไร นอกจากจะต้องเป็นศรีธนญชัยคือ ไม่ขึ้นเงินเดือน แต่นับรวมอย่างอื่นให้ได้ตามอัตรา 15,000 บาท ส่วนค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท ที่วันนี้ทำได้เพียง 7 จังหวัดนำร่องในเดือนเมษายนปี"55 แต่เรายังได้ยินเสียงตามมาว่า มีการลดภาษีเงินได้นิติบุคลตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2555

ล่าสุด เหมือนกับว่ามาตรการดูแลควบคุมราคาสินค้าจะทำน้อยลง พร้อมให้เหตุผลว่าจะพึ่งพาตลาดมากขึ้น ทำนองเดียวกันกับทฤษฎี 2 สูง แต่ทั้งหมดเหมือนจะสูงทางด้านรายจ่ายก่อน ส่วนรายได้จะสูงเท่าที่สัญญาไว้ ส่วนนโยบายมหภาคทั้งจำนำข้าวหรือ รถคันแรกซึ่งทำกันแบบไม่สนใจว่าน้ำจะท่วมหรือดินถล่ม ก็จะมีภาระในงบประมาณสูงมาก

ผมไม่ปฏิเสธเลยว่าโครงการทั้งหมดจะสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้ แต่ต้องถามว่าใช้เงินคุ้มค่าที่สุดหรือยัง

มีบางเรื่องที่ทำได้เลย ไม่ต้องรอแล้ว สมมติจะทำแก้มลิง อุโมงค์ผันน้ำ สิ่งที่ต้องทำแน่นอนวันนี้คือ ปรับผังเมือง เราไม่สามารถให้ กทม. ปทุมธานี หรืออยุธยาทำผังตัวเองได้อีกต่อไป มันต้องมีผังใหญ่ก่อนว่าน้ำจะมาทางไหน ไม่อย่าง นั้นเป็นไปไม่ได้เลยว่าจะทำให้พื้นที่ ฟลัดเวย์ของปทุมธานีเชื่อมต่อกับ กทม.

สิ่งที่ประชาธิปัตย์กำลังบอกคือ เราต้องเผชิญปัญหาที่แท้จริง ไม่ใช่ว่าเราเอาแต่ชี้หน้าด่าคุณว่าทำผิด แต่ถ้าคุณไม่เผชิญสิ่งเหล่านี้ คำตอบที่ว่าปีหน้าจะไม่เกิดเรื่องเหล่านี้มันจะไม่มีน้ำหนัก วันนี้คุณไม่เคยส่งสัญญาณเลยว่าจะมีการแก้ปัญหาอย่างไร

ข้อเท็จจริงต่างชาติบอกเลยว่า สิ่งที่จะทำให้มีความมั่นใจกับเขามากที่สุดคือประโยคที่บอกว่า เราจะให้ผู้เชี่ยวชาญเข้ามาบริหารน้ำ ไม่ใช่ให้นักการเมืองบริหารน้ำ ซึ่งความจริง ศปภ.ไม่เคยตอบโจทย์ตรงนี้เลย

- แผนแก้น้ำท่วมของนายวีรพงษ์ รามางกูร จะเป็นเป็นทางออกทั้งหมด

ก็ยังไม่เห็นนะครับ ที่ผมเห็นมีในลักษณะที่ว่าต้องย้ายฐานการผลิตหรือต้องมีฐานสำรอง ผมก็ต้องถามต่อนะว่า หากจะมีฐานสำรอง เราก็ต้องมีอะไรในกระเป๋าที่บอกต่างชาติได้ว่าฐานสำรองควรจะอยู่ในไทยนะ เพราะเขาจะไปสำรองที่ไหนก็ได้

ซึ่งการเดินทางไปการันตีกับบริษัทประกันภัยนั้นก็เป็นดัชนีชี้วัดเลยว่าเขาจะมั่นใจเราหรือไม่ แต่ปัญหาวันนี้คือ ในปี"55 ใครจะซื้อประกันเรื่องน้ำท่วมได้บ้าง และก็หนีไม่พ้นที่รัฐบาลเองจะต้องมีกลไกในการรับประกันภัยต่อ หากเขาจะทำกองทุนก็ต้องเร่งออกกฎหมาย เพราะการมีองค์กรที่มาทำประกันภัยต่อ หากไม่ทำกฎหมายใหม่ก็จะไม่สามารถเอาเงินงบประมาณออกมาใช้ได้

ผมได้พูดกับท่านวีรพงษ์ด้วยตัวเองนะว่าเป็นเรื่องที่ต้องรีบทำ เพราะกว่าจะเป็นรูปเป็นร่างได้มันจะช้ามาก ดังนั้น ยิ่งเริ่มต้นเร็วเท่าไรก็จะเป็นผลดีเท่านั้น วันนี้รัฐบาลต้องรีบฟันธงเสียทีว่าจะทำหรือไม่ทำ

- ในที่สุดทุกประเด็นจะถูกลากกลายเป็นปัญหาการเมือง

ก็ส่วนหนึ่ง เพราะผมคิดว่าครั้งนี้ที่เสียหายมากกว่าที่ควรจะเป็นเพราะมีการเมืองเข้าไปยุ่ง ที่เราอภิปรายไม่ไว้วางใจเที่ยวนี้ก็คือประเด็นหลักที่พยายามบอกกับสังคม และเราไม่ได้ต้องการอะไร ไม่ได้ต้องการล้มรัฐบาล แต่หวังที่จะเห็นการเปลี่ยนแปลงปรับปรุง และผมค่อนข้างมั่นใจว่ารัฐมนตรีไม่รอดหรอกในเรื่องถอดถอน เพราะเห็นทำผิดกฎหมายชัดเจน

- หากรัฐบาลจะออก พ.ร.บ.เงินกู้ พ.ร.ก.เงินกู้ ขยายวงเงินธนาคาร เฉพาะกิจ และให้แบงก์ชาติออกซอฟต์โลน แก้ปัญหาน้ำท่วม

ผมประเมินไว้ว่าจะมีเงินทั้งหมด 1.6 ล้านล้านบาท ซึ่งจะกระทบฐานะของเราเหมือนกัน แต่ถ้าวันนี้ยังตอบไม่ชัดเจนว่าการบริหารเงินตรงนี้เป็นไปตามหลักการที่ควรจะเป็นหรือไม่ เพราะผมดูวิธีบริหารขณะนี้ก็แปลกใจว่า เงินที่เกี่ยวกับน้ำท่วม 1.2 แสนล้านบาท น้ำลดแล้ว ความเสียหายทางเศรษฐกิจก็หยุดแล้ว แต่ยังตอบไม่ได้ว่าจะเอาเงินตรงนี้ไปใช้ทำอะไรบ้าง แล้วคุณจะหาเพิ่มอีก 1.6 ล้านล้านบาท จะเอาไปทำอะไรได้บ้าง

วันนี้เงิน 1.2 แสนล้านบาท เพิ่งอนุมัติงบประมาณไปเพียง 2 หมื่นกว่าล้านบาท ซึ่งมีงบประมาณตายตัวในการจ่ายเงิน 5,000 บาทไปแล้ว 1.3 หมื่นล้านบาท ที่เหลือต้องถามว่า รัฐบาลจะเอาเกณฑ์อะไรมาอนุมัติโครงการ คำตอบคือ เป็นโครงการที่คาดว่าจะใช้เงินได้ทันเดือนมกราคม ผมยืนยันได้ว่าไม่ได้อนุมัติตามความจำเป็นเร่งด่วน แต่เป็นการอนุมัติเงินตามความสะดวก เพราะงบประมาณที่จะใช้ได้ทันเดือนมกราคมนั้นจะทำได้เพียงโครงการฟื้นฟูเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้น

- ปัญหาประชาธิปัตย์-คดีราชประสงค์ ในปี"55 จะเป็นอย่างไร

ผมคิดว่าไม่มีปัญหาอะไร ปล่อยให้กระบวนการยุติธรรมทำงานไป ผมกับคุณสุเทพ (เทือกสุบรรณ) ก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี ปัญหาการเมืองไม่ใช่ตรงนั้น แต่มันอยู่ตรงที่ว่ารัฐบาลไม่ควรทำอะไรให้เกิดความขัดแย้ง หากยังมุ่งมั่นอยู่แต่กับการทำเพื่อคนคนเดียว เหมือนเรื่องพาสปอร์ต มันก็เป็นความเสี่ยงที่รัฐบาลสร้างขึ้นเอง เพราะเขาเลือกได้ที่จะไม่ทำ

- ขณะที่ประชาธิปัตย์มองว่าเป็นปัญหา แต่เพื่อไทยอาจมองว่าเป็นโอกาสที่จะเดินหน้าหน้าปรองดอง แก้รัฐธรรมนูญ หรือนิรโทษกรรม

มันทำได้หมด แต่ต้องถามว่าทำเพื่ออะไร ถ้าออก พ.ร.บ.ปรองดอง แล้วทำให้คนในชาติสามัคคีกันผมก็ดีใจ แต่ถ้าทำให้คนฆ่ากันอีกก็อย่าออกดีกว่า มันไม่ได้อยู่ที่ว่าจะออกหรือไม่ออก พ.ร.บ.ปรองดอง แต่ขึ้นอยู่กับว่าสามารถทำให้คนปรองดองกันได้จริงหรือไม่

- แต่รัฐบาลเดินหน้าปูทางจนถึงการตั้งกรรมาธิการในสภา

เขาก็ทำอยู่แล้ว แต่ก็มีปัญหาว่าสุด ท้ายหลักของคุณคืออะไร เช่น พยายามจะอ้างว่ามันมีปัญหาเรื่องความเห็นทางการเมือง ใครไปชุมนุมฝ่าฝืน พ.ร.ก. ฉุกเฉินก็คือความผิดทางการเมือง แต่ คนเอาอาวุธมาทำร้ายผู้คน วางเพลิง ลักทรัพย์ แล้วคุณบอกว่ามันเกิดขึ้นในช่วงชุมนุมหรือเกี่ยวโยงกับผู้ชุมนุม อาจต้องแยกคุมขังหรือได้รับนิรโทษกรรม ผมก็บอกว่าถ้าคุณเชื่ออย่างนี้ วันข้างหน้าบ้านเมืองจะหาความสงบสุขไม่ได้เลย

เหมือนกับว่า ถ้าใครจะไปขโมยของ ก็แนะนำให้ใส่เสื้อแดงไปขโมย ถ้าถูกจับก็จะบอกว่าผมไม่ได้ทำผิด แต่ผมทำตามอุดมการณ์ทางการเมือง การเมืองคุณคิดต่างได้ ถ้าคุณมีปัญหานั่นคือความผิดทางการเมือง ไม่ใช่ว่าคุณจงใจทำผิดกฎหมายทางอาญา แต่อ้างว่าใช้แรงจูงใจทางการเมือง สิทธิที่รัฐธรรมนูญรับรองคือ สงบ ปราศจากอาวุธ เหมือนเสรีภาพในการแสดงออกที่เขารับรองคือ มีสิทธิเสรีภาพโดยไม่ไปละเมิดสิทธิผู้อื่น สุดท้ายเขาก็ทำเพื่อประโยชน์ของคน ของเขา สุดท้ายการทำเพื่อพวกก็ไม่ใช่คำตอบของการปรองดอง

- เพื่อไทยบอกว่าทำเพื่อทุกคน และ "ทักษิณ" จะเป็นคนสุดท้าย

มีใครบ้างครับที่ทำผิดกฎหมายทุจริตแล้วหนีศาลอยู่ อย่าไปลากคนอื่นที่ไม่เกี่ยวกับคุณทักษิณ แล้วจะมาบอกว่าฉันจะให้เธอด้วย เหมือนที่บอกว่าจะใช้คำสั่ง 66/23 ผมก็บอกว่าทำได้ เพราะเขาบอกคอมมิวนิสต์ว่า คุณวางอาวุธแล้วหันมาพัฒนาชาติไทย คุณจะไม่มีความผิด ผมก็บอกว่า ถ้าทำอย่างนั้น ก้าวแรกที่รัฐบาลต้องบอกคนเสื้อแดงคือให้ถอดเสื้อแดง สลายหมู่บ้านเสื้อแดง เลิกการเป็นเสื้อแดงสิ แต่เกี่ยวอะไรกับการที่บอกว่าต้องมานิรโทษกรรมคุณทักษิณ

- คำสั่ง 66/23 จะกลายเป็นรากความคิดที่จะนำไปสู่แนวทางอื่น

ผมไม่มีข้อขัดข้องกับการเมืองนำการทหาร ผมไม่มีข้อขัดข้องกับความยุติธรรมระยะเปลี่ยนผ่าน ผมไม่มีข้อขัดข้องว่าความผิดทางการเมืองที่ต้องแก้ด้วยการเมือง แต่ผมถามว่า ในปีที่ผ่านมาประเทศอังกฤษถือคดีก่อจลาจลเป็นคดีการเมืองหรือไม่ ที่เขาเผากันอย่างนี้ ผมเห็นก็เข้าคุกเข้าตะรางเป็นความผิดอาญากันทั้งนั้น เขาบอกหรือไม่ว่าบังเอิญทุกคนเผากันหมดเลยไปเผาด้วย เลยเป็นความผิดทางการเมือง แล้วทำไมเราจะไปดึงให้เป็นการเมือง ถ้าจะอ้างหลักสากลต้องดูด้วยว่าระดับสากลเขาทำกันอย่างไร

- มองในมุมเพื่อไทย เขาบอกว่าพยายามที่จะสร้างความปรองดอง แต่ฝ่ายค้านต่างหากที่ไม่เข้าใจ จึงเกิดความขัดแย้ง

ผมถามง่าย ๆ ว่า วันที่เขาไม่พูดเรื่องปรองดอง อภัยโทษ นิรโทษ รัฐธรรมนูญ และเขาเดินหน้าแก้ปัญหาประเทศ ถามว่าบ้านเมืองขัดแย้งหรือไม่ และวันที่พูดกับไม่พูดอันไหนขัดแย้งมากกว่ากัน ฉะนั้นคุณไปดูแลประชาชน อย่าแบ่งแยกประชาชน ส่วนใครไม่ได้รับความเป็นธรรมก็ให้ คอป.เป็นผู้ดูแลไป

- มีการโฆษณาว่า หากแผนปรองดองออกมา ทุกสีจะได้หมดอย่างเท่าเทียม

มันเป็นเรื่องของประเทศ ไม่ใช่เรื่องของสี ผมพูดถูกไหมครับ

- เรื่องปรองดองที่สุดจะนำไปสู่ความขัดแย้งใหญ่หรือไม่

ผมถึงต้องบอกว่า จะทำปรองดองต้องเลิกปลุกระดม คุณก็ต้องให้โอกาส เราก็เปิดโอกาส วันที่ตั้งอาจารย์คณิต (ณ นคร) คุณก็ไม่ยอมรับ แต่วันที่มีข้อเสนอที่ใช้ประโยชน์ได้คุณก็ยอมรับ แต่ถ้ามีข้อเสนอที่ไม่ถูกใจคุณก็จะไม่ยอมรับอีกหรือ สรุปแล้วคุณจะบอกว่าปรองดอง แปลว่าต้องตามใจคุณใช่หรือไม่ ผมตั้งอาจารย์คณิต ท่านเสนอมาบางเรื่องผมไม่เห็นด้วย แต่ผมก็พยายามทำ เพราะท่านเป็นคนกลาง

- หาก พ.ร.บ.ปรองดอง ทำไปพร้อมกับแก้ไขรัฐธรรมนูญจะเป็นอย่างไร

ผมไม่มีปัญหาเรื่องการแก้ไขมาตรา 291 และถ้าเป้าหมายสูงสุดจะทำให้รัฐธรรมนูญดีขึ้นก็ไม่ขัดข้อง แต่ถ้าคุณพยายามทำทั้งหมดเพื่อลบล้างคดีคุณทักษิณ ผมก็ต้องบอกว่าไม่ใช่

ถ้ากระบวนการมีเหตุมีผล ผมก็รับได้ แต่ถ้าจะตั้งธงล่วงหน้าว่าจะช่วยคุณทักษิณ ผมก็ว่ามันไม่ใช่ แต่ถ้าคุณบอกว่าทั้งหมดจะให้เป็นเรื่องของ ส.ส.ร. ก็ต้องให้เขาทำ ให้เขามีอิสระ ไม่ใช่มีแต่สมัครพรรคพวกของคุณ อย่างนั้นก็ไม่ถูกต้อง

- ประชาธิปัตย์ระแวงแต่ว่า "ทักษิณ" จะได้รับประโยชน์

ผมถามว่าที่ผ่านมา การอภัยโทษ การยกเว้นกฎหมาย ป.ป.ช.มันเคยมีหรือไม่ ทำไมในอดีตเขาไม่ทำ ทำไมวันนี้ต้องทำ จะมีกี่คนที่ทำผิดกฎหมาย ป.ป.ช. แล้วมีปัญหาอยู่ตอนนี้ มันไม่ใช่เรื่องระแวง แต่ต้องเอาข้อเท็จจริงมาพูดกัน

วันนี้คนที่หมกมุ่นเรื่องคุณทักษิณคือเพื่อไทย เรามีแต่บอกว่าให้ไปแก้น้ำท่วมนะ ไปฟื้นฟูเศรษฐกิจนะ ไปทำเรื่องค่าแรง 300 บาท เงินเดือนปริญญาตรี 15,000 บาทให้สำเร็จนะ แต่เขากลับไม่ทำ จะทำแต่เรื่องคุณทักษิณ ก็มีแต่ปัญหา ถ้าคุณเลิกทำแล้วก็จบ

ผมไม่ได้สนใจเลยว่าคุณทักษิณจะอยู่อย่างไร จะอยู่ต่างประเทศก็อยู่ไป หากอยากกลับมาก็มารับอำนาจศาลไทยก่อน หากไม่อยากรับก็อยู่นอกประเทศต่อไป วันนี้ผมไม่ได้เรียกร้องให้คุณ ยิ่งลักษณ์ไปไล่ล่าให้คุณทักษิณมาติดคุก ผมบอกแต่ว่าคุณยิ่งลักษณ์ทำงานให้ ประชาชนได้ไหม อย่าคิดจะทำให้คุณทักษิณมีสิทธิ์เหนือกฎหมายก็เท่านั้น

- หมายความว่าการไล่ล่า "ทักษิณ" ของประชาธิปัตย์จบแล้ว

ผมไม่ได้ไปไล่ล่า เพียงแต่บอกว่าเป็นหน้าที่รัฐบาลไทยนะครับ ทำผิดกฎหมายไทยก็ต้องมารับโทษ แต่คงไม่ได้ไล่ล่าเหมือนกับการตั้งทีมพิเศษไปติดตาม แต่มันเป็นเรื่องปกติ ใครทำผิดกฎหมายไทย ศาลตัดสินว่าผิด ก็ปฏิบัติอย่างนั้น คำว่า ไล่ล่า มันเป็นวาทกรรมที่เพื่อไทยสร้างขึ้น

------------------
@@@ ถ้ารัฐบาลไม่ยุ่งเรื่องคุณทักษิณ ก็อยู่ได้ 4 ปี"

นัก รัฐศาสตร์ ทั้งสำนักท่าพระจันทร์ สำนักจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วิเคราะห์ตรงกันว่า ประชาธิปัตย์ต้องยืนเป็นฝ่ายค้านอีกนานกว่าครึ่งทศวรรษ

อภิสิทธิ์-บอกว่าโดยทางการศึกษา เขาก็เป็นนักรัฐศาสตร์เหมือนกัน

ขณะที่สำนักคิดด้านรัฐศาสตร์ ในเมืองไทย มองเรื่องการกลับมา เป็นรัฐบาลของประชาธิปัตย์ แต่ "อภิสิทธิ์" สวนว่า

"ผม ไม่ได้มองตรงนั้น เราเป็นพรรคการเมือง จะฝ่ายค้านหรือรัฐบาลก็ต้องทำหน้าที่ จะเป็นรัฐบาลเมื่อไรก็อยู่ที่ประชาชน วันนี้ใครเขากล้าทำนายการเมืองล่วงหน้าได้ขนาดนั้น ลองมองย้อนกลับไป 8 ปีที่แล้ว ตอนปี 2546 มีใครทำนายถูกไหมว่าการเมืองจะเป็นเหมือนวันนี้ หรือตอนปี 2548 จะมีใครคิดหรือไม่ว่าบ้านเมืองปี 2554 จะเป็นอย่างนี้"

"การ วิเคราะห์ก็ทำไป แต่ผมก็มีความคิด ความเชื่อที่แตกต่างกันไป แต่ถามว่าผมเชื่อหรือไม่ ผมไม่เชื่อ มีคน อื่น ๆ ทำนายด้วยซ้ำว่า จะยุ่งวุ่นวายจนไม่รู้เรื่องก็มี"

ข้อวิเคราะห์ของ "ผู้นำฝ่ายค้าน" คือ "ผมเห็นเพื่อไทยมีความได้เปรียบสูง แต่ก็น่าเป็นห่วงว่าสังคมไทยยังยอมรับการสร้างความได้เปรียบแบบนี้ วันข้างหน้าการเมืองก็จะรุนแรงขึ้น"

ดังนั้นเพื่อไทยจะเป็นรัฐบาลจนจบสมัย หรือจากไปก่อนเวลาอันควร ล้วนขึ้นอยู่กับ "ทักษิณ"

"ถ้ารัฐบาลไม่ยุ่งเรื่องคุณทักษิณ ก็อยู่ได้ 4 ปี แต่ก็อยู่ที่รัฐบาล ส่วนจะทำได้หรือไม่ก็ต้องไปถามเขา"

"เวลา นี้ความขัดแย้งที่เริ่มต้นจากปัญหาของคุณทักษิณ มันถูกกลไกของพรรคเพื่อไทยขยายให้เป็นปัญหาของประเทศ และจะไปไกลถึงปัญหาของระบบ ผมเพียงแต่ถามว่า อยากทำอย่างนั้นต่อไปใช่หรือไม่ ก็ต้องอยู่ที่ว่าเขาอยากทำงานตอบโจทย์ประเทศ หรือตอบโจทย์คุณทักษิณ แต่เท่าที่เห็นผ่านมา 6 เดือน ผมเห็นว่ายังไม่ได้ตอบโจทย์ใครได้เลย"

ข้อ สรุปง่าย ใช้ตรรกะการเมืองแบบประเทศไทย "อภิสิทธิ์" เห็นว่า "การเมืองไม่มีอะไรเลย...เลือกตั้งก็เลือกแล้ว เพื่อไทยชนะแล้ว คุณก็ไปบริหารตามนโยบายไป ทำอย่างนี้ก็อยู่ไปเลย 4 ปี ไม่มีอะไร นอกจากจะทำเรื่องอื่น เช่น อยากให้คนบ้านเลขที่ 111 มาเป็น ส.ส. ก็ต้องยุบสภาแล้วเลือกตั้งให้เร็วขึ้น ทั้งหมดวันนี้ไม่มีเรื่องอะไรที่เป็นปัญหาจากฝ่ายค้านเลย"
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
///////////////////////////////////////////////////////////////

เหี้ยม !!?

โดย.ปราปต์ บุนปาน

ปีใหม่ 2555 อาจเริ่มต้นขึ้นอย่างสุขสันต์ ลั้ลลา สำหรับคนไทยหลายคน

แต่คงไม่ใช่ทุกคน

อย่างน้อยก็สำหรับนักศึกษาธรรมศาสตร์คนหนึ่งผู้ใช้นามแฝงว่า "ก้านธูป"

"ก้านธูป" เคยทำ เคยโพสต์ข้อความอะไรไว้ในโลกอินเตอร์เน็ต

ควรปล่อยให้กระบวนการยุติธรรมเป็นผู้พิสูจน์ "ความถูก-ผิด" ของเธอ

ตามประจักษ์พยาน ข้อเท็จจริง และบริบทของสังคม

หลังจากมีผู้แจ้งความเด็กสาวใน "ข้อหาร้ายแรง"

และเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ออกหมายเรียกให้เจ้าตัวเดินทางไปรับทราบข้อกล่าวหาในวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2555 เรียบร้อยแล้ว

ที่อยากฝากไว้ให้คิดเกี่ยวกับกรณีนี้ ก็คือ

เมื่อ "ก้านธูป" ต้องเข้าไปพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตนเองในระบบกระบวนการยุติธรรม

บรรดา "ศาลเตี้ย" ตลอดจน "กระบวนการล่าแม่มด" นอกระบบ ที่คอยคุกคามสิทธิเสรีภาพ

เช่น การเปิดโปง "ข้อมูลส่วนตัวที่พึงปกปิด" ของเยาวชนรายนี้ ให้โหมกระพือไปอย่างลุกลามรวดเร็ว ในหมู่ผู้เกลียดชังหรือรับไม่ได้กับทรรศนะของเธอ

ก็ไม่ควรจะบังเกิดขึ้น และหากเกิดขึ้นมาแล้ว ก็สมควรยิ่งที่จะยุติลงไป

ที่สำคัญคือ สื่อมวลชนเองก็ไม่ควรเข้าไปร่วมวง "ไล่ล่าแม่มด" ด้วยท่าที "โหดเหี้ยม" กับเขาเสียเอง

อีกประเด็นหนึ่งซึ่งคงต้องย้ำเตือนกันก็ได้แก่

ข้อเท็จจริงที่ว่ากระบวนการยุติธรรมผ่าน "ตำรวจ-อัยการ-ศาล-เรือนจำ" นั้น

ถือเป็นกลไกหนึ่ง ที่รัฐชาติต่างๆ ใช้จัดการ-กล่อมเกลาทางอุดมการณ์ต่อผู้คนหรือสมาชิกของตน

ไม่ต่างอะไรกับ "สถาบันการศึกษา" ซึ่งทำหน้าที่คล้ายคลึงกัน

ทว่าระดับการบังคับควบคุมอาจ "รุนแรง-เข้มงวด" น้อยกว่า

ด้วยอัตรา "ความลึกซึ้ง-ซับซ้อน" ทางความคิดจิตใจที่มากกว่า

ในกรณีละม้ายกัน ซึ่งเคยเกิดขึ้นก่อนหน้านี้

ดูเหมือน "ครู" ในมหาวิทยาลัยไทยบางแห่ง จะไม่เชื่อมั่นกับศักยภาพของตนเองในฐานะ "กลไกรัฐ" มากนัก

ยามต้องเผชิญหน้ากับ "ศิษย์" ที่คิดต่างจากอุดมการณ์รัฐ/อุดมการณ์หลัก

นำไปสู่การผลักภาระให้กลไกอื่น อาทิ กระบวนการยุติธรรม

หรือหนักกว่านั้น ก็ตัดหาง "ศิษย์" ปล่อยวัด จนต้องลอยเคว้งคว้างกลางกระแสความขัดแย้งอันเชี่ยวกรากไปเลยอย่างน่าเสียดาย

อย่างไรก็ตาม สำหรับกรณีของ "ก้านธูป" ดูเหมือนว่า "ครูใหญ่ๆ" หลายคนในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จะเชื่อมั่นกับศักยภาพของตนเองมากกว่า "ครู" ในมหาวิทยาลัยอื่นๆ

เมื่อ "ครูๆ" เขาเชื่อกันเช่นนั้น

สังคมไทยและกลไกรัฐส่วนอื่นๆ ก็คงไม่จำเป็นต้องลงมือกับ "ศิษย์" โดย "โหดเหี้ยม" แต่อย่างใด

อนึ่ง คนเป็น "นักศึกษา" ล้วนมีพันธะยากหลีกเลี่ยง ในการเรียนรู้หรือปรับตัวเข้าหา"อำนาจ" ที่ "เหนือ" และ "มาก" กว่า (เช่น อาจารย์ หรือ เพื่อนฝูงในมหาวิทยาลัย เป็นต้น)

แต่หากเรา "เหี้ยม" กับ "นักศึกษา" เสียแล้ว

เขาและเธอก็อาจจะไม่อยากเป็น "นักศึกษา" อีกต่อไป

(ที่มา คอลัมน์สถานีคิดเลขที่ 12 หนังสือพิมพ์มติชนรายวัน ฉบับประจำวันที่ 5 มกราคม 2555)
///////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันพฤหัสบดีที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2555

สลิ่ม.. ชักดิ้นชักงอ หลัง ยะใส.. ออกวู้ดดี้ รีบชี้แจงผ่าน ASTV !!?



หลังจากทางฝ่ายประชาสัมพันธ์รายการวู้ดดี้ แจ้งกำหนดการออกอากาศรายการ เช้าดูวู้ดดี้ ปรากฏว่าในโลกออนไลน์ และ กระทู้ต่างๆ ได้วิพากษ์วิจารณ์กันมากมาย โดยออกมาต่อว่า นายสุริยะใส

กระทั่ง นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานกลุ่มกรีน และผศ.ทวี สุรฤทธิกุล ประธานสาขารัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัย ต้องไปออกรายการ "คนเคาะข่าว" ทางสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม ASTV

นายสุริยะใส กล่าวถึงกรณีไปออกรายการทีวี "เช้าดูวู้ดดี้" ร่วมกับนายจตุพร ว่า จริงๆหลายรายการ หลายช่องพยายามเชิญตนกับนายจตุพรไปหลายครั้งแล้วแต่ปฏิเสธไป แต่ปีนี้รับปากเพราะเป็นต้นปีใหม่ และจะได้ประเมินสถานการณ์ ฟังนายจตุพรมองในปีกคนเสื้อแดง และฝั่งเรามองอย่างไร

คอนเซ็ปต์รายการคือคุยเรื่องอดีตของตนกับนายจตุพร ซึ่งเรารู้จักกันมาเกือบ 20 ปี ตั้งแต่เหตุการณ์พฤษภาทมิฬ แต่ว่าตั้งแต่วิกฤตการเมืองยุคทักษิณ 6-7 ปีมานี้ ตนเจอกับนายจตุพรเพียง 3 ครั้ง และเจอโดยบังเอิญทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นงานเปิดร้านเพื่อน งานแต่ง งานบวชของพรรคพวกที่เป็นเครือเดียวกัน

นายสุริยะใส กล่าวต่อว่า ในรายการช่วงแรกจะพูดเรื่องเบาๆ พูดถึงเรื่องในอดีต ซึ่งเราสนิทกันจริงปฏิเสธไม่ได้ แต่วันนี้จุดยืนทางการเมืองต่างกัน ตนก็พูดชัดในรายการ ว่าเรายืนกันคนละข้าง ปีนี้ก็ต้องยืนกันคนละข้าง เพราะปีนี้วาระทักษิณชัดมาก ตนก็ทักท้วง คัดค้าน ว่าถ้ารัฐบาลจะเอาวาระทักษิณมาเป็นวาระใหญ่ รัฐบาลเอาไม่อยู่แน่ เพราะจะเจอแรงต้านจากมวลชน แต่เผอิญตอนท้ายผู้จัดรายการให้จับมือกัน พี่น้องพันธมิตรฯเห็นก็เป็นกังวล ขอยืนยันว่าจุดยืนตนเหมือนเดิม แต่อดีตตนกับนายจตุพรเป็นสิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ และเรารู้จักกันมาจริง

ซึ่งตนก็พูดกับนายจตุพร ว่าปรองดองจะเกิดได้ต้องเริ่มที่พ.ต.ท.ทักษิณ ต้องเสียสละกลับมารับโทษ ถ้าเริ่มตรงนั้นได้ พ.ต.ท.ทักษิณจะกลายเป็นผู้นำในการปรองดองด้วยซ้ำ แต่วันนี้ไม่เข้ารับคำพิพากษาและด่ากระบวนการยุติธรรมไทย มันนับหนึ่งไม่ได้ จะออกกฎหมายชื่ออะไรก็ตามมันไปไม่ได้

นายสุริยะใส กล่าวอีกว่า ได้คุยกับนายจตุพรก็เห็นแนวคิดว่านิรโทษกรรมเกิดไม่ง่าย เรื่องนี้ นายจตุพรมองว่าพวกเขาเจ็บ ติดคุก แต่อีกฝ่าย นายสุเทพ นายอภิสิทธิ์ ไม่โดน ถ้าจะนิรโทษกรรมต้องเท่ากันหน่อย แสดงว่าก็ไม่ง่ายที่จะนิรโทษกรรมให้นักโทษการเมืองทั้งหมด

เมื่อกล่าวถึงประเด็นที่ว่ามีเพื่อนหลายคนที่เคยเดินบนถนนสายประชาธิปไตยมาด้วยกัน แต่ก็ต้องมาเจอทางแยก นายสุริยะใส กล่าวว่า คิดว่าอดีตตนกับนายจตุพร ต่อต้าน ขับไล่เผด็จการ แต่วันนี้เป็นสถานการณ์การสร้างประชาธิปไตย ซึ่งความหมายประชาธิปไตยของตนกับนายจตุพรอาจคนละความหมาย

การต่อต้านเผด็จการมันง่ายมากที่จะบอกว่าใครเป็นเผด็จการ แต่คำว่าประชาธิปไตย ตนรู้สึกว่ามันน่ากลัวพอๆกับคำว่าเผด็จการ เพราะประชาธิปไตยเสื้อแดงคืออะไร เสื้อเหลืองคืออะไร ประสบการณ์คนเดือนตุลา หรือพฤษภา มันไม่มีทางที่จะอธิบายสถานการณ์วันนี้ได้เลย มันซับซ้อนมากกว่าเหตุการณ์ที่ผ่านมาเยอะเลย การขับไล่เผด็จการยาก แต่การรวมตัวในการสร้างประชาธิปไตยยากยิ่งกว่า

ด้านผศ.ทวี กล่าวถึงบทบาทของสื่อในกรณีที่นายวุฒิธร มิลินทจินดา (วู้ดดี้) เชิญบุคคลที่มีจุดยืนการเมืองต่างกันไปร่วมรายการ ว่า ตนรู้จักกับวู้ดดี้ เป็นลูกศิษย์ตนที่สถาบันพระปกเกล้า เขาเป็นคนที่ค่อนข้างรำคาญบ้านเมืองที่วุ่นวาย อันนี้ถ้าไม่มีใบสั่ง ก็คงมาจากความคิดวู้ดดี้เองที่อยากให้มีภาพแบบนี้เกิดขึ้น เขาเคยรณรงค์เคลื่อนไหวเข้าร่วมในกระบวนการปรองดองต่างๆ ซึ่งสถาบันพระปกเกล้าฯถือว่าเป็นวาระแห่งชาติที่สำคัญ เราพยายามจะบอกนักศึกษาว่าต้องดำเนินการต่างๆไม่ให้มีการแตกแยก มาเรียนไม่ว่าฝ่ายไหนอย่ามาทะเลาะกัน วู้ดดี้บุคลิกส่วนตัวเป็นอย่างนั้น

แต่หากมองในภาพรวมของสื่อประเทศไทย สื่อยังมองประเด็นนี้น้อยไปหน่อย ความจริงสื่อควรที่จะชี้ชัดอะไรคือธรรมะ อะไรคืออธรรม แต่สื่อพยายามขายสิ่งชั่วร้ายหรืออธรรมตลอด เพราะเรื่องดีๆขายไม่ได้ เลยเอาความเลวร้ายมาขาย สื่อต้องเป็นเข็มทิศ ชี้นำสภาวะบ้านเมือง อันนี้สื่อต้องปรับทัศนะ

อย่างไรก็ตาม หลังจากข่าวนี้เผยแพร่ออกไป มีบรรดาพวกสลิ่ม ออกมาด่า สุริยใส มากมาย เช่น คุณคงต้องทำอะไรสักอย่าง มากกว่าการแค่พูดแล้วล่ะ ยะใส

1 อย่าทำให้ผมคิดว่า ถ้าผมอยู่ในระดับเดียวกับพวกคุณ ป่านนี้ไอ้ตู่ตายไปนานแล้ว แต่มันยังมีลมหายใจอยู่ได้ ตอนนี้ ทำไม ??

2 อย่าทำให้ผมคิดว่า การที่คุณจับมือกับมันได้ เพียงเพราะ คุณแบ่งงานกันทำ คุณแยกมาอยู่ต่างขั้ว เพียงเพื่อควบคุมมวลชนฝั่งตรงข้าม เพื่อจะบอกให้มวลชนออกมา หรือ ไม่ออกมา ตามเวลาที่คุณต้องการที่จะสมประโยชน์กัน เท่านั้น!!!!!

3 อย่าทำให้ผมคิดว่า สิ่งที่คุณวิเคราะห์ ว่าควรทำอะไรตอนไหน เมื่อก่อนนี้ เป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง/ ถูกวิธีมาหลายครั้ง เป็นเพราะว่าคุณฮั้วกันมาตั้งนานแล้ว ต่างหาก

คุณแย่จริงๆ มากๆด้วย ในสายตาผมตอนนี้ เมื่อก่อนแค่ผมโทรคุยกับเพื่อนสมัยเรียนด้วยกัน แล้วเพื่อนผมพูดในทำนองว่า มันไม่สนใจ มันสีขาว ไม่ยุ่ง ไม่อยากทะเลาะ เพียงแค่นี้ ผมยังว่ามันเห็นแก่ตัวเลย ผมแทบจะเลิกคบมันด้วยซ้ำ แต่กับคุณ คุณไม่เลิกคบ แต่ยังไปจับมือกันออกสื่อได้ คุณทำได้ คุณนี่มันเหยียบย่ำน้ำใจกันเกินไปนะ

ที่มา.บางกอกทูเดย์
//////////////////////////////////////////////////////////

ร่างพ.ร.ก.โอนหนี้กองทุนฟื้นฟู เปิดทางรัฐล้วงทุนสำรอง !!?

เปิดร่างพ.ร.ก.โอนหนี้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ให้ธนาคารแห่งประเทศไทย รับผิดชอบทั้งเงินต้นและดอกเบี้ย จำนวน 1.14 ล้านล้านบาท ที่นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นำเสนอให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีวันที่ 4 ม.ค.2555 แต่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีมีมติให้ไปทบทวนใหม่

แหล่งข่าวจากที่ประชุมคณะรัฐมนตรีกล่าวว่า ร่างพระราชกำหนดปรับปรุงการบริหารหนี้เงินกู้ที่กระทรวงการคลังกู้เพื่อช่วยเหลือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน พ.ศ.....ที่นายกิตติรัตน์เสนอนั้น ประเด็นหลักอยู่ที่ มาตรา 7 ที่กำหนดให้ธนาคารแห่งประเทศไทยต้องรับผิดชอบชำระหนี้ทั้งหมด และยังเป็นการเปิดช่องให้รัฐบาลดึงเงินทุนสำรองมาใช้

แหล่งข่าวระบุว่า ในมาตรา 4 ของร่างพ.ร.ก.นี้ กำหนดให้กองทุนมีหน้าที่และรับผิดชอบเกี่ยวกับการชำระคืนต้นเงินกู้และการชำระดอกเบี้ยเงินกู้ ในส่วนที่เกี่ยวกับหนี้เงินกู้ ได้แก่หนี้เงินกู้ที่กระทรวงการคลังกู้ตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินและจัดการเงินกู้เพื่อช่วยเหลือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน พ.ศ 2541 ที่ยังคงมีอยู่

และหนี้เงินกู้ที่กระทรวงการคลังกู้ตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินและจัดการเงินกู้เพื่อช่วยเหลือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ระยะที่ 2 พ.ศ 2545 ที่ยังคงมีอยู่

ยอดหนี้ทั้ง 2 ก้อนนี้ มียอดรวมกันประมาณ 1.14 ล้านล้านบาท

ต่อมาในมาตราที่ 5 บัญชีสะสมเพื่อการชำระคืนเงินต้นกู้ชดใช้ความเสียหายของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ซึ่งจัดตั้งโดยพ.ร.ก.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินและจัดการเงินกู้เพื่อช่วยเหลือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ระยะที่ 2 พ.ศ 2545 มีวัตถุประสงค์เพื่อการชำระคืนต้นเงินกู้ตามมาตรา 4 และการชำระดอกเบี้ยเงินกู้ที่เกิดจากหนี้เงินกู้ดังกล่าว โดยกำหนดให้เงินหรือสินทรัพย์ตามมาตรา 7 มาตรา 8 มาตรา 9 มาตรา 11 และดอกผลของเงินหรือสินทรัพย์ ให้นำส่งเข้าหรือรับขึ้นบัญชีสะสมดังกล่าว

ทั้งนี้ใน มาตรา 7 กำหนดว่า ในระหว่างการชำระหนี้ต้นเงินกู้นั้น ธนาคารแห่งประเทศไทยมีพันธะต้องดำเนินการ 3 ประการ ได้แก่ (1)ในแต่ละปีให้ธนาคารแห่งประเทศไทยนำส่งเงินกำไรสุทธิเป็นจำนวนไม่น้อยกว่าร้อยละ 90 เข้าบัญชีตามมาตรา 5

(2)ให้โอนสินทรัพย์คงเหลือในบัญชีผลประโยชน์ประจำปีตามกฎหมายว่าด้วยเงินตราหลังจากการจ่ายเมื่อสิ้นปีเข้าบัญชีตามมาตรา 5 โดยไม่ต้องเข้าบัญชีสำรองพิเศษ

(3)ให้โอนเงินหรือสินทรัพย์ของธนาคารแห่งประเทศไทย หรือกองทุนเข้าบัญชีตามมาตรา 5 ตามที่คณะรัฐมนตรีกำหนด

ขณะที่ มาตรา 8 ให้สถาบันการเงินนำส่งเงินให้แก่กองทุนตามอัตราที่ธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศกำหนด แต่เมื่อรวมอัตราดังกล่าวกับอัตราที่กำหนดให้สถาบันการเงินนำส่งเข้ากองทุนคุ้มครองเงินฝากตามกฎหมายว่าด้วยสถาบันคุ้มครองเงินฝากแล้ว ต้องไม่เกินร้อยละ 1 ต่อปีของยอดเงินฝากถัวเฉลี่ยของบัญชีที่ได้รับการคุ้มครองเงินฝาก

มาตรา 9 สถาบันการเงินใดไม่นำส่งเงินตามาตรา 8 หรือนำส่งไม่ครบภายในระยะเวลาที่กำหนด ต้องเสียเงินเพิ่มในอัตราไม่เกินร้อยละ 2 ต่อเดือนของจำนวนเงินที่ไม่นำส่งหรือนำส่งไม่ครบ ทั้งนี้ตามหลักเกณฑ์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด

ในกรณีที่สถาบันการเงินใดไม่นำส่งเงินตามมาตรา 8 หรือนำส่งไม่ครบและไม่เสียเงินเพิ่ม ให้ธนาคารแห่งประเทศไทยมีอำนาจออกคำสั่งเรียกให้สถาบันการเงินนั้นชำระเงินดังกล่าวภายในระยะเวลาที่กำหนด

มาตรา 11 ให้กระทรวงการคลังโอนเงินของกองทุนเพื่อการชำระคืนเงินกู้ชดใช้ความเสียหายของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินในกระทรวงการคลัง ซึ่งจัดตั้งโดยพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินและจัดการเงินกู้เพื่อช่วยเหลือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน พ.ศ.2541 เข้าบัญชีตามมาตรา 5

เมื่อดำเนินการตามวรรคหนึ่งเสร็จสิ้นแล้ว ให้ยุบเลิกกองทุนเพื่อการชำระคืนต้นเงินกู้ชดใช้ความเสียหายของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ซึ่งจัดตั้งโดยพ.ร.ก.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินและจัดการเงินกู้เพื่อช่วยเหลือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน พ.ศ.2541

ทั้งนี้มาตรา 13 ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังรักษาการตามพ.ร.ก.นี้

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
///////////////////////////////////////////////////////

กระหน่ำยิง13นัด ลูกน้องคนสนิท ตระกูล ฉายแสง..!!?

คนร้ายควบ จยย. กระหน่ำยิงลูกน้องคนสนิทตระกูล "ฉายแสง" อดีต ส.ส.ฉะเชิงเทรา 13 นัด ดับคารถก่อนเผ่นหนี ตำรวจฉะเชิงเทราตั้งปมชู้สาว-แค้นส่วนตัว แต่ไม่ทิ้งประเด็นการเมืองท้องถิ่น...

เมื่อเวลาประมาณ 23.30 น. วันที่ 4 ม.ค. 55 ร.ต.ท.ธนากร ธรรมเมธา ร้อยเวร สภ.เมืองฉะเชิงเทรา รับแจ้งเหตุมีผู้ถูกยิงเสียชีวิต ที่ร้านปะยางรถจักรยานยนต์ ฝั่งตรงข้ามร้านหมุน 5 ลาว ถนนสายฉะเชิงเทรา-บางน้ำเปรี้ยว หมู่ 14 ต.บางขวัญ จึงรายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบ และรุดไปตรวจสอบพร้อมด้วย พ.ต.อ.วินัย จิตต์ปรุง รอง ผบก.ภ.จว.ฉะเชิงเทรา พ.ต.อ.ธนู พวงมณี ผกก.สส.ภ.จว.ฉะเชิงเทรา พ.ต.อ.จิระวัสส์ เชื้อจันทร์อัตถ์ รอง ผกก.สภ.เมืองฉะเชิงเทรา พ.ต.อ.ธนายุทธ สีดา สว.สส. เจ้าหน้าที่ตำรวจกองวิทยาการ แพทย์เวร รพ.พุทธโสธร และหน่วยกู้ภัยฉะเชิงเทรา

ที่เกิดเหตุอยู่บริเวณข้างร้านปะยางดังกล่าว ซึ่งสร้างเป็นเพิงสังกะสี ไม่มีเลขที่ และอยู่ต่ำกว่าระดับพื้นผิวถนน พบศพชายรูปร่างท้วม ใส่เสื้อเชิ้ตแขนยาวลายทางสีฟ้า-ขาว สวมทับด้วยเสื้อยืดคอกลมสีขาว นุ่งกางเกงยีนส์ขายาวสีดำ ใส่รองเท้าหนังหุ้มส้นสีน้ำตาล นอนหงายจมกองเลือด ติดอยู่กับรถจักรยานยนต์ยี่ห้อฮอนด้า คลิก สีแดง-ดำ หมายเลขทะเบียน กษว 850 ฉะเชิงเทรา ซึ่งพลิกคว่ำทับขาของผู้ตาย สภาพศพติดคาอยู่กับรถจักรยานยนต์คันดังกล่าว

จากการตรวจสอบพบว่า ผู้ตายถูกยิงด้วยอาวุธปืนขนาด 9 มม. คมกระสุนเจาะเข้าที่หน้าอกซ้าย หน้าท้อง ข้างลำตัว และกลางหลัง รวม 13 รู ในที่เกิดเหตุพบปลอกกระสุนปืนขนาด 9 มม. จำนวน 7 ปลอก หัวกระสุนทองแดง 1 หัว ตรวจดูภายในกระเป๋ากางเกงของผู้ตายพบโทรศัพท์มือถือ 1 เครื่อง กล่องยาอมโบตัน 1 กล่อง และธนบัตรใบละ 20 บาท 1 ใบ นอกจากนี้ ยังพบใบอนุญาตขับขี่รถจักรยานยนต์ของ น.ส.วรญา สันเจริญ อายุ 36 ปี อยู่บ้านเลขที่ 15/288 หมู่ 2 ต.บางขวัญ อ.เมือง จ.ฉะเชิงเทรา แต่กลับไม่พบหลักฐานระบุว่าผู้ตายเป็นใคร

ภายหลังเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทำการตรวจสอบจนทราบว่า ผู้ตายคือ นายสัญชัย หรือ ปัง เชื่อมทอง อายุ 45 ปี อยู่บ้านเลขที่ 100/1 หมู่ 14 ต.บางปะกง อ.บางปะกง จ.ฉะเชิงเทรา เป็นลูกน้องคนสนิทและเป็นคนขับรถของ นายวุฒิพงศ์ ฉายแสง อดีต ส.ส.ฉะเชิงเทรา ปัจจุบันดำรงตำแหน่งเป็นที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรี และ รมว.มหาดไทย นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ

จากการสอบสวน นายวิชา วัจนเจริญ อายุ 45 ปี เจ้าของร้านปะยาง ได้ความว่า ขณะนอนอยู่ภายในร้านได้ยินเสียงปืนดังขึ้น 1 นัด จากนั้นก็ได้ยินเสียงรถจักรยานยนต์ขับขี่มาด้วยความเร็ว แล้วพุ่งชนถังน้ำมัน ขนาด 200 ลิตร ที่ตั้งอยู่บริเวณหน้าร้าน ต่อมาได้ยินเสียงรถจักรยานยนต์อีกคันขับขี่มาจอดติดเครื่องอยู่ข้างร้าน จากนั้นก็ได้ยินเสียงปืนดังสนั่นติดต่อกันอีกกว่าสิบนัด พอสิ้นเสียงปืนดังกล่าวก็ได้ยินเสียงรถจักรยานยนต์ขับขี่ออกจากที่เกิดเหตุในทันที แต่ตนไม่กล้าออกไปดู เพราะกลัวว่าจะโดนลูกหลง จนกระทั่งเวลาผ่านไปประมาณ 10 นาที ก็ทราบว่ามีพลเมืองดีโทรศัพท์ไปแจ้งตำรวจ จึงรู้ว่ามีคนถูกยิงเสียชีวิตอยู่ข้างร้านดังกล่าว

ด้าน พ.ต.อ.วินัย จิตต์ปรุง เปิดเผยว่า ในเบื้องต้น ตำรวจได้มุ่งปมการสังหารโหดในครั้งนี้ โดยให้น้ำหนักไปที่เรื่องชู้สาว หรือเกิดจากความแค้นส่วนตัว เพราะผู้ตายมีนิสัยเจ้าชู้ ทั้งที่แต่งงานแล้วและมีลูก 2 คน แต่ก็ยังมีสาวๆ มาติดพันผู้ตายหลายคน ทั้งนี้ เนื่องจากผู้ตายเป็นลูกน้องคนสนิทของนายวุฒิพงศ์ ฉายแสง จึงยังไม่ทิ้งประเด็นการเมืองท้องถิ่นด้วยเช่นกัน โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจจะเร่งสืบสวนเพื่อคลี่คลายคดีและหาตัวคนร้ายมาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป.

ที่มา: ไทยรัฐ
////////////////////////////////////////////////

วันพุธที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2555

2 หมายเรียกผิด ม.112 นักศึกษาธรรมศาสตร์-อาจารย์ราชภัฏ !!?

ตำรวจออกหมายเรียกนักศึกษา ม.ธรรมศาสตร์ อาจารย์ ม.ราชภัฏสวนดุสิต เข้ารับข้อกล่าวหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ตั้งข้อสังเกตเริ่มเอาผิดคนในแวดวงการศึกษามากขึ้นนักวิชาการนิติราษฎร์เชื่อการเคลื่อนไหวเพื่อแก้ไขมาตรา 112 จะมีความเข้มข้นมากขึ้นทั้งในและต่างประเทศ โดยเฉพาะท่าทีจากต่างประเทศที่เห็นว่าการบังคับใช้กฎหมายล่วงละเมิดสิทธิมนุษยชน

+++++++++++++++

น.ส.สาวตรี สุขศรี อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ หนึ่งในแกนนำคณะนิติราษฎร์ : นิติศาสตร์เพื่อราษฎร ประเมินการขับเคลื่อนของกลุ่มนักวิชาการและภาคประชาชนเพื่อให้มีการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ในปี 2555 ว่าเท่าที่ประเมินเชื่อว่าการเคลื่อนไหวเพื่อให้มีการปฏิรูปดังกล่าวจะมีความเข้มข้นมากทั้งภายในและภายนอกประเทศ แต่ต่างประเทศคงไม่ถึงขั้นเข้ามาแทรกแซงกิจการภายในของไทย อย่างน้อยก็กำลังแสดงท่าทีและสังเกตการณ์การใช้บังคับมาตรานี้อยู่ว่าล่วงละเมิดสิทธิมนุษยชนเกินไปหรือไม่ ตรงนี้ทำให้ผู้ที่เกี่ยวข้องหรือผู้มีอำนาจหน้าที่อยู่เฉยไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลหรือใครก็ตาม จะต้องมาดูว่ามาตรา 112 มีปัญหาอย่างไร ดังนั้น มั่นใจว่าการขับเคลื่อนเพื่อให้แก้ไขมาตรานี้คงมีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะการตัดสินแต่ละคดีมีอัตราโทษที่รุนแรงเกินไป

น.ส.สาวตรีกล่าวว่า มี 2 ประเด็นสำคัญในการแก้คือ 1.ผู้มีอำนาจในการกล่าวโทษหรือร้องทุกข์ และ 2.เรื่องอัตราโทษ ซึ่งต้องทำให้สมเหตุสมผลกว่านี้ และให้สอดคล้องกับระบอบประชาธิปไตย ส่วนจะฝากความหวังไว้กับรัฐบาลพรรคเพื่อไทยได้หรือไม่นั้น คิดว่าจะฝากความหวังให้รัฐบาลชงเรื่องขึ้นมาเองคงไม่ได้ เพราะรัฐบาลมีข้อจำกัด ทำให้ไม่กล้า เนื่องจากเกรงว่าจะถูกกล่าวหาว่าไม่จงรักภักดี การขับเคลื่อนน่าจะเริ่มที่ภาคประชาชนก่อน โดยการรวบรวมรายชื่อจำนวน 10,000 ชื่อ เพื่อเสนอแก้กฎหมายต่อสภา แล้วพยายามขับเคลื่อนในเชิงสังคมไปพร้อมๆกันเพื่อกดดันรัฐบาลให้ขยับเรื่องนี้

“การรวบรวมรายชื่อแล้วเสนอร่างแก้ไขอย่างเดียวคงไม่เกิดผลหากไม่มีการขับเคลื่อนเพื่อกดดันไปพร้อมๆกัน โดยต้องพยายามเรียกร้องให้คนที่เสียงดังในสังคมออกมาพูดถึงปัญหาของมาตรา 112 พร้อมกับข้อเสนอว่าเห็นควรปรับแก้อย่างไร สุดท้ายมาตรา 112 จะถูกปฏิรูปหรือไม่ จะแก้ไขอย่างไร หรือจะยกเลิก เชื่อว่าเรื่องนี้คุยกันได้ เพราะถึงเวลาที่จะต้องมาคุยกันแล้ว”

ด้านเฟซบุ๊คส่วนตัวของนายสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล อาจารย์ประจำภาควิชาประวัติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แจ้งข้อมูลว่า “ก้านธูป” นักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.บางเขน ออกหมายเรียกตัวในคดีการกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 เมื่อช่วงสิ้นเดือน ต.ค. 2554 ที่ผ่านมา มีกำหนดเข้ารายงานตัววันที่ 11 ม.ค. นี้ เวลา 10.00 น.

นายสมศักดิ์ตั้งข้อสังเกตว่าในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมาที่พรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาล มีการตั้งข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพเพิ่มอีก 2-3 กรณี และผู้ถูกกล่าวหาในทุกกรณีล้วนเป็นคนที่อยู่ในแวดวงการศึกษาหรือในรั้วมหาวิทยาลัยทั้งสิ้น โดยผู้ต้องหาคดี 112 อีกรายหนึ่ง ซึ่งถูกตั้งข้อหาและได้รับหมายเรียกตัวเมื่อต้นเดือน ธ.ค. 2554 คือ นายสุรพศ ทวีศักดิ์ อาจารย์ประจำมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต หัวหิน

ที่มา.หนังสือพิมพ์โลกวันนี้
**********************************************************************

กิตติรัตน์ แจง กมธ.หั่นแหลกงบฯ อบรม-วิจัย-จ้างที่ปรึกษา กมธ.เสียงข้างน้อยอัดงบปรองดอง กว่า 500 ล.แต่ทำไม่ได้จริง !!?

ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร มีนายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานสภาผู้แทนราษฎร ทำหน้าที่เป็นประธานการประชุม เพื่อพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2555 วาระ 2 และ3 โดยนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่ากระทรวงพาณิชย์ ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2555 ได้เสนอรายงานการพิจารณาต่อที่ประชุมว่า สาระสำคัญในการพิจารณาของกมธ. มีดังนี้ กมธ.ได้พิจารณาปรับลดงบประมาณลงจำนวน 43,429,515,000 บาท

โดยในการปรับลดได้พิจารณาจากเป้าหมายการใช้งบประมาณ ผลการดำเนินงานจริง เวลาที่เหลือในการใช้งบฯอีกประมาณ 8 เดือน โดยให้ความสำคัญกับการใช้จ่ายจริงในปีงบประมาณที่ผ่านมามาพิจารณาอย่างเข้มงวด รวมถึงให้ความสำคัญกับโครงการที่ไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน โครงการที่ดำเนินการไปแล้วโดยการโอนการใช้จ่ายงบประมาณพ.ศ. 2554โครงการที่กันเงินไว้เบิกเหลือมปี และโครงการที่ไม่จำเป็นมีการใช้จ่ายประหยัดได้มีการปรับเปลี่ยนโครงการให้เหมาะสมโดยคงเป้าหมายไว้ เช่น โครงการจัดอบรม โครงการวิจัยศึกษา การจ้างที่ปรึกษา และโครงการที่ล่าช้าไม่สามารถใช้จ่ายได้จริงในปีนี้ รวมถึงโครงการจัดซื้อจัดจ้างที่มีความล่าช้า การปรับราคาพัสดุครุภัณฑ์ตามแนวโน้มราคาที่ลดลง และโครงการที่สามารถใช้เงินส่วนอื่นแทนได้

นายกิตติรัตน์ กล่าวต่อว่า สำหรับการเพิ่มงบประมาณได้มีการเพิ่มงบประมาณรายการต่างๆ ตามที่ครม.มีความเห็นชอบและหน่วยงานของรัฐสภา หน่วยงานศาล หน่วยงานอิสระตามรัฐธรรมนูญ ขอแปรญัตติโดยตรงกับกมธ.ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 168 วรรค 9 ในวงเงินเท่ากับวงเงินที่ปรับลด ทำให้วงเงินการปรับเพิ่มมีจำนวน 43,429,515,000 บาท โดยจำแนกเป็นการเพิ่มส่วนราชการรัฐวิหากิจ กองทุน หมุนเวียน จำนวน 32,354 ล้านบาท เพื่อดำเนินนโยบายสำคัญ เช่น การพัฒนาแหล่งน้ำ และโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคม การพัฒนาการท่องเที่ยว การพัฒนาการกีฬา ศักยภาพหมู่บ้านชุมชน จัดสรรให้องค์กรส่วนท้องถิ่น 10,227 ล้านบาท เพื่อสนับสนุนการพัฒนาองค์กรส่วนท้องถิ่นที่จำเป็นเร่งด่วน จัดสรรเพิ่มให้หน่วยงานของรัฐสภา หน่วยงานของศาล หน่วยงานขององค์กรอิสระ และหน่วยงานตามรัฐธรรมนูญจำนวน 847 ล้านบาท เพื่อสนับสนุนให้หน่วยงานดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ในการพิจารณา กมธ.ได้ให้ความสำคัญกับผลการดำเนินงาน เป้าหมายการดำเนินการที่ผ่านมา เพื่อให้ดำเนินการตามวงเงินงบประมาณที่กำหนดไว้ 2.38 ล้านล้านบาท

จากนั้นเป็นการพิจารณารายมาตราทั้ง 30 มาตราตั้งแต่มาตรา 3-32 โดยมี ส.ส.ขอแปรญัตติ และสงวนคำแปรญัตติ จำนวน 219 คน ดังนี้ พรรคเพื่อไทย 79 คน พรรคประชาธิปัตย์ 121 คน พรรคภูมิใจไทย 10 คน พรรคชาติไทยพัฒนา 7 คน พรรคพลังชล 1 คน และพรรคชาติพัฒนา 1 คน โดยมี กมธ.สงวนความเห็น 24 คน
โดย น.ส..ผ่องศรี ธาราภูมิ กมธ.เสียงข้างน้อยจากพรรคประชาธิปัตย์ อภิปรายในมาตรา 3 ว่า งบประมาณที่นำเสนอต่อที่ประชุมขณะนี้ยังมีส่วนที่สามารถปรับลดลงได้ แบ่งป็น 1.งบประมาณที่ซ้ำซ้อน ไม่บรรลุเป้าหมาย เช่น โครงการปราบยาเสพติด นโยบายด้านความมั่นคงแห่งรัฐ,การพิทักษ์สถาบัน ที่พบว่าได้จัดสรรงบประมาณทุกกระทรวง แต่ไม่สามารถประเมินผล หรือประสิทธิภาพการดำเนินการได้ 2.งบประมาณที่ไม่ได้พิจารณาผลกระทบในวงกว้าง เช่น โครงการแจกแท็บเล็ตให้กับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 แบบปูพรมทั่วประเทศ

ด้าน นพ.สุกิจ อัถโถปกรณ์ ส.ส.ตรัง พรรคประชาธิปัตย์ กมธ.เสียงข้างน้อย ขอสงวนความเห็น โดยอภิปรายว่า งบปรองดองมีการตั้งกันทุกกรม จำนวนมากถึง 528.1 ล้านบาท แต่ตนดูแล้วปรองดองไม่ได้ เพราะสีแดงยังไม่หยุด มีการตั้งหมู่บ้านเสื้อแดงสร้างความแตกแยก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกฯ ไม่จริงใจเรื่องปรองดอง หากปล่อยให้เรื่องนี้เกิดขึ้นใช้งบประมาณ 1 หมื่นล้านบาทก็ปรองดองไม่ได้ ดังนั้นขอให้ตัดไป

ทำให้นายขจิต ชัยนิคม ส.ส.อุดรธานี พรรคเพื่อไทย ลุกขึ้นประท้วง ว่า ผู้อภิปรายอภิปรายเลยเถิดไปถึงหมู่บ้านเสื้อแดงว่าทำให้เกิดความแตกแยกไม่เกิดความสามัคคี ซึ่งจริงๆ แล้วหมู่บ้านเสื้อแดง ตั้งขึ้นมาเพื่อปกป้องประชาธิปไตยต่อด้านเผด็จการ ไม่ได้ทำลายความปรองดอง จึงขอให้ถอนคำพูด

อย่างไรก็ตาม ประธานที่ประชุมตัดบท และวินิจฉัยว่าผู้อภิปรายๆ อยู่ในกรอบของงบปรองดอง แต่ขอร้องอย่าอภิปรายพาดพิงไปยังบุคคลอื่น

ที่มา: มติชนออนไลน์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

พูดแล้วต้องทำ ต้องแก้รัฐธรรมนูญ 50 !!?



การบ้านที่หินที่สุดต้อนรับปีใหม่ สำหรับรัฐบาลยิ่งลักษณ์ หนีไม่พ้นเรื่องการแก้รัฐธรรมนูญ ปี 2550 อย่างแน่นอน....

ในสายตาของคนประชาธิปไตย ในสายตาของนักวิชาการที่ไม่ได้เลือกสี ก็ยังต้องยอมรับว่า เสียงสะท้อนที่เกิดขึ้น ที่ว่าเป็นรัฐธรรมนูญที่คลอดออกมาภายใต้อุ้งมือเผด็จการ เป็นรัฐธรรมนูญฉบับหน้าแหลมฟันดำ ที่จงใจใช้รัฐธรรมนูญฉบับนี้เป็นเครื่องมือในทางการเมือง เพื่อที่จะทำลายล้างขั้วตรงข้ามนั้น

เป็นประเด็นที่มีความจริง

ฉะนั้นจึงไม่แปลกที่บรรดากลุ่มคนเสื้อแดง ที่เดินหน้าทวงถามหาความยุติธรรม และทวงประชาธิปไตยที่แท้จริงกลับคืนมา จะประกาศเดินหน้าทวงการแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยไม่แคร์หากว่าจะต้องกระทบกระทั่งกับรัฐบาลที่อุตส่าห์ลงคะแนนเลือกมาก็ตาม

อะไรไม่สำคัญเท่ากับว่า ในการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2553 พรรคเพื่อไทยได้ประกาศชัดในการหาเสียงว่า มีนโยบายที่จะเดินหน้าแก้ไขกฎหมายรัฐธรรมนูญ

นี่คือหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้ประชาชน และคนเสื้อแดง เทคะแนนเลือกตั้งให้กับพรรคเพื่อไทยได้ชนะอย่างถล่มทลายใช่หรือไม่??

พรรคประชาธิปัตย์ที่แพ้ไม่เห็นฝุ่น เป็นเพราะในช่วงเป็นรัฐบาลอยู่ 2 ปี 7 เดือน มีโอกาสมากมายที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญ คืนความเป็นธรรม และสร้างความปรองดองให้เกิดขึ้นกับประเทศชาติ แต่พรรคประชาธิปัตย์ไม่ทำ

แถมยังใช้รัฐธรรมนูญปี 2550 มาเป็นความได้เปรียบ มาทำลายล้างในทางการเมืองกับพรรคการเมืองคู่แข่งเสียอีกด้วย

เพราะประชาชนที่รักประชาธิปไตย มองเห็นในประเด็นนี้ใช่หรือไม่ จึงทำให้พรรคประชาธิปัตย์พ่ายแพ้ไม่เป็นท่า และทำให้นายอภิสิทธิ์ เวชาชีวะ ไม่สามารถที่จะกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีรอบ 2 ได้ดังใจที่ต้องการ

ไม่ว่าจะพูดเก่ง หรือหน้าตาดีสักเพียงใด หากไม่รักษาคำพูดหรือทำตามสัญญา ทำในสิ่งที่ประชาชนเห็นว่าสมควรจะทำไม่ได้ ก็เท่ากับตัดคะแนนทางการเมืองของตนเองไปอย่างน่าเสียดาย

ดังนั้นการที่กลุ่มคนเสื้อแดง กลุ่มนักวิชาการ ออกมาทวงสัญญาพรรคเพื่อไทยในเรื่องของการแก้ไขกฎหมายรัฐธรรมนูญ จึงเป็นเรื่องที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ไม่ควรจะมองข้ามเป็นอย่างยิ่ง

หากไม่ทำตามสัญญา และยิ่งถ้าหากว่าไม่มีคำตอบที่เป็นเหตุผลที่ดีพอ รัฐบาลยิ่งลักษณ์งานเข้าแน่นอน แม้ว่าจะเป็นรัฐบาลที่ประชาชนและคนเสื้อแดงเทคะแนนเลือกตั้งเข้ามาก็ตาม

ประเด็นการแก้รัฐธรรมนูญปี 2550 จึงจะเป็นปัญหาชิ้นใหญ่สำหรับรัฐบาลในช่วงต้นปีนี้อย่างแน่นอน

การออกตัวของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่ว่าการแก้รัฐธรรมนูญอยากให้เป็นกระบวนการของรัฐสภา ส่วนจะแก้มาตราใด ต้องดูโจทย์และเจตนาก่อน โดยคำนึงถึงประโยชน์ของประชาชนส่วนรวมเป็นสำคัญ

ส่วนการทำประชามติ โดยภาพรวมเห็นด้วย แต่ต้องพิจารณาว่าจะทำเรื่องใด เพราะหากไม่มีโจทย์ในการแก้รัฐธรรมนูญ จะทำให้ผลการทำประชามติไม่ได้ผลเท่าที่ควร

สำหรับเรื่องที่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี เสนอให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) จากประชาชน 77 จังหวัด รวมทั้งนักวิชาการและนักปราชญ์ รวม 99 คน น.ส.ยิ่งลักษณ์ มองว่าเป็นข้อเสนอที่ดี แต่ขอให้เป็นกระบวนการของรัฐสภา และอยากให้มั่นใจว่า การสรรหาตัวแทนประชาชน มาจากทุกภาคส่วนจริง

ขณะที่หลายฝ่ายวิพากษ์วิจารณ์ว่า การแก้รัฐธรรมนูญจะนำไปสู่ความแตกแยก นายกรัฐมนตรีเห็นว่าขณะนี้ยังเป็นความคิดของแต่ละฝ่าย ซึ่งต้องมีการหารือในวงกว้าง
อ้างว่าภารกิจเร่งด่วนของรัฐบาลขณะนี้ คือ การแก้ปัญหาและฟื้นฟูวิกฤติน้ำท่วมเป็นภารกิจหลัก

แต่แน่นอนว่าทั้งหมดยังเป็นคำตอบที่ไม่สามารถจะหยุดกระแสการทวงคืนประชาธิปไตย ไม่สามารถจะหยุดการทวงถามรัฐธรรมนูญเพื่อประชาชนอย่างแท้จริงได้

เพราะความต้องการลึกๆในเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ คือการโละรัฐธรรมนูญปี 2550 ทิ้งทั้งฉบับ เพื่อนำรัฐธรรมนูญปี 2540 กลับมาใช้ใหม่

เหตุผลที่ฝ่ายทวงคืนประชาธิปไตยระบุก็คือ รัฐธรรมนูญปี 2550 ที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน เป็นผลพวงมาจากการรัฐประหาร จึงต้องการได้รัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง

ส่วนจะมีเป้าในการโละทิ้งมาตรา 309 ที่มีเนื้อหารับรองการกระทำของคณะรัฐประหาร และการดำเนินการที่เกี่ยวเนื่อง ว่าให้เป็นเรื่องที่ชอบด้วยกฎหมายและรัฐธรรมนูญด้วยหรือไม่นั้น แน่นอนว่าการชุมนุมที่จบลงด้วยคราบเลือด 91 ศพ และน้ำตาผู้บาดเจ็บกว่า 2,000 คน รวมทั้งความเจ็บปวดเจ็บใจของมวลชนคนเสื้อแดงทั้งประเทศด้วยแล้ว

สู้กันมายาวนานขนาดนี้ บาดเจ็บล้มตายกันมากมายขนาดนี้ ใครจะอยากให้ต้นตอของเรื่องที่เกิดจากการทำรัฐประหารลอยนวลได้ง่ายๆ

แต่ก็เพราะจุดนี้แหละ หากมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ แล้วฉีกทิ้งมาตรา 309 และทำให้มีการไล่ย้อนเช็คบิลคนทำรัฐประหารได้ ฝ่ายที่จะได้รับผลกระทบหรือถูกเชือดโดยตรง มีหรือจะยอมง่ายๆ

ดังนั้นหากมีการแบะท่าแก้ไขมาตรา 309 ออกมาเมื่อไหร่ แรงต้าน แรงเสียดทาน ก็ต้องเกิดขึ้นมาในทันทีด้วยเช่นกัน

ทำให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญ กลายเป็นประเด็นหินของพรรคเพื่อไทยและรัฐบาลยิ่งลักษณ์ไปแล้วในขณะนี้

จะแก้ไขก็ไม่ง่าย เพราะทั้งขั้วอำนาจ ทั้งพรรคการเมืองตรงกันข้าม และทั้งกลุ่มก๊วนเคลื่อนไหวทางการเมืองนอกสภา โดยเฉพาะสำคัญที่สุดกลุ่มที่ระแวงและจงเกลียดจงชัง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จะต้องออกมาค้านแน่

วนเวียนก้าวข้ามไม่พ้นคนชื่อ “ทักษิณ” ฉะนั้นการที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์จะทำอะไร ก็รุมกล่าวหาว่าเป็นการทำที่จะมีคนชื่อทักษิณได้รับประโยชน์ด้วย

เป็นต้องโดนในทันที ไม่ว่าเรื่องนั้นจริงๆแล้ว ลึกๆแล้วจะเป็นเรื่องที่สมควรจะทำสักเพียงใดก็ตาม

คนทั้งแผ่นดินจะได้ประโยชน์ไม่เป็นไร แต่จะต้องไม่ให้คนชื่อทักษิณได้ประโยชน์จากการกระทำใดๆเลย

จะเรียกว่าเลือกปฏิบัติ จะเรียกว่ากี่มาตรฐาน หรือต่อให้ทั้งโลกจะมองอย่างไรก็ไม่สน ขอแค่สกัดให้ “ทักษิณ ชินวัตร”อยู่นอกประเทศไปนานๆได้เท่านั้นเป็นพอ หรือถ้าจะกลับประเทศก็ได้ แต่จะต้องเข้ามาติดคุกก่อน

น้ำหนักของคดี กระบวนการในการตัดสิน แม้แต่กระทั่งระบบศาลเดียว ใครจะวิพากษ์วิจารณ์ไปทั่วโลกอย่างไรก็ไม่ว่า แต่จะต้องให้มีผลบังคับใช้เฉพาะกับคนชื่อทักษิณให้ได้เท่านั้นเป็นพอ

ตรงนี้จึงเป็นประเด็น เป็นโจทย์ใหญ่ที่ทำให้ รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ทำอะไรไม่ง่ายนักในการแก้ไขรัฐธรรมนูญรอบนี้

ถ้าหาก กลัวการแก้ไขรัฐธรรมนูญ มันก็ทรยศกับประชาชนไปแล้วครึ่งหนึ่ง...

ขัดขวางความพยายามของผู้ประสงค์จะแก้ไข...ก็ทรยศกับประชาชนเต็มรูปแบบ...

โดยขยายเหตุผลว่า...

รัฐธรรมนูญ 2550 ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อนำอำนาจของคนส่วนใหญ่ไปให้คนไม่กี่คนกำกับบังคับใช้...และมันถูกใช้ทำลายรัฐบาลของประชาชนไปแล้วอย่างน้อย 2 รัฐบาล...มันทำให้ประเทศก้าวเข้าสู่วิกฤติอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน...ในชั่วเวลาเกือบพันปีที่...ไทยเป็นประเทศ

หายนะที่มันนำมาสู่ทุกๆ สถาบันที่รวมกันเป็นประเทศไทยนั้น...เกินกว่าจะพรรณนา

เป็นข้อเขียนที่เจตนาเตือนกันตรงๆว่า เหตุผลใดจึงจำเป็นต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญ และหากไม่ทำจะเกิดอะไรขึ้น??

ส่วนว่าหากทำ หากเดินหน้าแก้ไขแล้วจะต้องเจอกับแรงต้าน เจอกับปัญหาการเผชิญหน้าก็เป็นเรื่องที่จะต้องหาทางแก้ไขฝ่าฟันไปให้ได้

ดังนั้นสถานการณ์ที่เดินมาถึงขณะนี้ พรรคเพื่อไทยหนีไม่พ้นที่จะต้องแสดงความชัดเจนในหลักการที่จะต้องผลักดันให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 291 เพื่อเปิดทางให้มีการตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญ หรือ ส.ส.ร. เข้ามาดำเนินการแก้ไขรัฐธรรมนูญ

แม้จะยังไม่มีมติพรรคออกมาอย่างเป็นทางการ แต่ ส.ส.ในพรรคก็เห็นตรงกันว่า จะต้องเดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพราะเป็นนโยบายที่หาเสียงไว้

แม้ว่าจะมีข้ออ้างในเรื่องของระยะเวลาในการดำเนินการว่าจะต้องเร่งด่วนแค่ไหน? เวลาใดคือช่วงเวลาที่จะเหมาะสม?

เป็นความเห็นต่างที่จะต้องหาข้อสรุป เพราะอย่าง ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ก็ไม่ได้บอกว่าจะไม่แก้ เพียงแต่อยากให้หน่วงเวลาเอาไว้ก่อน รอให้แก้ปัญหาน้ำท่วม แก้ปัญหาเศรษบกิจ สร้างผลงานสร้างความเชื่อมั่นให้ได้ก่อน แล้วค่อยเดินหน้าแก้รัฐธรรมนูญ

โดยจะต้องไม่ไปแตะในเรื่องมาตรา 112

ก็เท่านั้นเองของความเห็นซีกนี้... แก้ แต่ยังไม่ถึงเวลา

ในขณะที่อีกส่วนหนึ่งโดยเฉพาะแกนนำกลุ่มเสื้อแดง ยืนยันต้องการให้เร่งดำเนินการทันที เพราะการแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นนโยบายเร่งด่วนของพรรคเพื่อไทยที่ประกาศเอาไว้อยู่แล้ว

และขณะนี้ก็ก้าวล่วงพ้นมาปี 2555 แล้ว ทำไมจะต้องรอช้าอะไรอีก

ยังคงเดินไปในทิศทางเดียวกัน แต่เดินเร็วเดินช้าต่างกัน

ในขณะที่ฝ่ายที่พยายามประนีประนอมหาทางออก ก็มองแนวทางว่าควรดำเนินการตามขั้นตอนที่ต้องมีการทำประชาพิจารณ์และประชามติตาม กระบวนการของ ส.ส.ร.

ทำให้ฝ่ายที่ไม่ต้องการให้แก้ไขรัฐธรรมนูญอยู่แล้ว อาศัยการพูดเก่ง ฉวยโอกาสออกมาตีกินในเรื่องรายละเอียดในทันทีว่า นอกจากจะต้องทำรายละเอียดในเรื่องการทำประชามติจากประชาชนให้เป็นที่ยอมรับแล้ว

กระบวนการเลือกสรร ส.ส.ร. ก็ควรจะต้องได้รับการยอมรับจากทุกๆฝ่ายด้วย

เจตนาเตะถ่วงดื้อๆ เพราะไม่ว่าจะแต่งตั้ง ส.ส.ร.โดยวิธีการใดก็ตาม เสียงครหาก็เกิดขึ้นทั้งนั้น

ก็ดูอย่างสภาร่างรัฐธรรมนูญฉบับปี 2550 ที่มาจากกลไกหลังการรัฐประหาร ที่กำหนด ให้มีสมัชชาแห่งชาติจำนวนไม่เกิน 2 พันคน โดยสรรหาบุคคลจากภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคสังคม และภาควิชาการ จากภูมิภาคต่างๆ จากนั้นสมัชชาจะคัดเลือกสมาชิกด้วยกันเอง เพื่อทำบัญชีรายชื่อผู้สมควรเป็น ส.ส.ร. 200 คน ให้คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) เลือกให้เหลือ 100 คน เพื่อแต่งตั้งเป็น ส.ส.ร.

จากนั้น ส.ส.ร.จะเลือกกันเอง 25 คน และ คมช.คัดเลือกผู้ทรงคุณวุฒิอีก 10 คน รวมเป็น 35 คน ทำหน้าที่เป็นคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ
ก็โดนด่าเละเทะมาจนตราบเท่าทุกวันนี้

ฉะนั้นไม่ว่าจะสรรหา ส.ส.ร.อย่างไร ก็หนีไม่พ้นเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากฝ่ายตรงกันข้ามแน่นอน
การบ้านแก้รัฐธรรมนูญจึงเป็นปัญหาหนักของพรรคเพื่อไทย ซึ่งเกี่ยวพันกับการอยู่รอดหรือการล้มคว่ำของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ไปด้วย

นี่คือพิษสงร้ายลึกของ รัฐธรรมนูญปี 2550 ที่จนถึงวันนี้ ยังสามารถที่จะเป็นชนวนจุดระเบิดให้เกิดวิกฤตกับประเทศชาติได้อีกหนหนึ่งเลยทีเดียว

ยิ่งหากมีการปลุกผี “ทักษิณ”ขึ้นมาเป็นประเด็นในการเผชิญหน้า โดยที่ทั้งฝ่ายหนุน ฝ่ายต้าน ต่างก็มีมวลชนจำนวนมากที่พร้อมจะลุกฮือขึ้นมาแสดงพลังใส่กันอย่างเต็มเหนี่ยว

การเผชิญหน้า ปะทะรุนแรง ก็จะต้องเกิดขึ้น

“วิกฤติแตกหัก” ถึงขั้นนองเลือด ก็จะไม่ใช่สิ่งที่เป็นไปไม่ได้อีกต่อไป

นี่คือเกมโหดที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ต้องเจออย่างชนิดที่หนีอย่างไรก็หนีไม่พ้นแน่นอน!!

ที่มา.บางกอกทูเดย์
////////////////////////////////////////////////////////////////

วันอังคารที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2555

ออกพ.ร.ก.กู้ 6 แสนล้านฟื้นน้ำท่วม ดึงทุนสำรอง-งบไทยเข้มแข็งเสริม !!?

รัฐควานหาแหล่งเงินฟื้นน้ำท่วม เตรียมร่าง พ.ร.ก.-พ.ร.บ.กู้รวม 6 แสนล้านรองรับ-หาทางโยกงบฯไทยเข้มแข็ง 1.2 หมื่นล้านเสริม เปิดช่องกู้ทุนสำรองใช้ซื้อเครื่องมือเครื่องจักรจาก ตปท. นอกเหนือจากที่กันงบฯ 1.2 แสนล้านไว้แล้ว


หลัง จากธนาคารโลกได้ร่วมประเมินความเสียหายของประเทศไทย ในกรณีเกิดอุทกภัยครั้งใหญ่เมื่อปลายปีที่ผ่านมา โดยสรุปว่าความเสียหายมีตัวเลขสูงถึง 1.356 ล้านล้านบาท ซึ่งนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ระบุว่าจะต้องใช้เงินฟื้นฟูประเทศเป็นจำนวนหลายแสนล้านบาท สำหรับการแก้ปัญหาเร่งด่วนและระยะยาว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ด้วยงบประมาณที่มีจำกัด โดยเฉพาะงบฯลงทุนเมื่อเทียบกับงบประมาณรวม มีสัดส่วนต่ำมาอย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่หลังวิกฤตเศรษฐกิจต้มยำกุ้ง กล่าวคือช่วงก่อนวิกฤต (ปีงบประมาณ 2536-2540) สัดส่วน รายจ่ายลงทุนต่องบประมาณรวมอยู่ที่ 30.6-41.1% ของวงเงินงบประมาณ แต่ช่วง 4-5 ปีหลังมานี้ พบว่าสัดส่วนต่ำกว่ากรอบความยั่งยืนทางการคลังที่ควรจะมีไม่ต่ำกว่า 25% ของวงเงินงบประมาณรวมมาโดยตลอด โดยปี งบประมาณ 2552 มีสัดส่วน 22.2% ปีงบประมาณ 2553 มี 12.5% ปีงบประมาณ 2554 มี 17.8% และล่าสุดปีงบประมาณ 2555 มีสัดส่วน 16.4%

จึงเป็นสาเหตุว่ารัฐบาลต้องพยายามทุกวิถีทางใน การหาแหล่งเงินมารองรับ โดยระยะเร่งด่วนเฉพาะหน้าที่ต้องจ่ายชดเชยเยียวยาผลกระทบให้แก่ประชาชน รัฐบาลได้กันงบประมาณ รายจ่ายในปีงบประมาณ 2555 จากทุก ส่วนราชการ ส่วนราชการละประมาณ 10% เอาไว้ หรือรวมเป็นเม็ดเงิน 120,000 ล้านบาท

ขณะ เดียวกันก็มีการสั่งการให้กรมบัญชีกลางดึงเงินจากกองทุนเงินนอก งบประมาณมาอีกส่วนหนึ่ง ล่าสุดกรมบัญชีกลางได้ทำหนังสือไปยังกองทุนเงินนอกงบประมาณทุกแห่ง เพื่อขอให้นำส่งเงินสดส่วนเกินที่เหลือจากการบริหารงาน หรือไม่มีความจำเป็นต้องใช้ ส่งกลับเป็นรายได้เข้ากระทรวงการคลัง กองทุนละ 30-40% ของเงินกองทุนภายใน 1-2 เดือนนี้ ซึ่งประเมินว่าน่าจะได้เงินจากส่วนนี้ประมาณ 10,000 ล้านบาท

แหล่ง ข่าวจากกระทรวงการคลังเปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า กระทรวง การคลังได้เตรียมร่างกฎหมายกู้เงินไว้ 2 ฉบับ วงเงินรวม 600,000 ล้านบาท ฉบับแรก เพื่อใช้ในโครงการฟื้นฟูประเทศจากอุทกภัย ระยะเร่งด่วน 1-2 ปี (ปี 2555-2556) ซึ่งจะออก พระราชกำหนด (พ.ร.ก.) กู้เงิน วงเงิน 200,000 ล้านบาท เพื่อกู้เงินในประเทศเป็นหลัก ในรูปการออกพันธบัตร การกู้จากธนาคารพาณิชย์โดยตรง (เทอมโลน) เป็นต้น ส่วนฉบับที่สอง จะใช้สำหรับโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน เช่น การก่อสร้างฟลัดเวย์ เป็นต้น โดยจะใช้วงเงินอีก 400,000 ล้านบาท ระยะเวลา 4 ปี (ปี 2555-2558) ด้วยการออกพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.)

สำหรับ การกู้เงินภายใต้ พ.ร.บ.นี้ จะมีทั้งรูปแบบการกู้ในประเทศเช่นเดียว กับ พ.ร.ก. และบางส่วนจะกู้เงินจากทุนสำรองระหว่างประเทศจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ตามแนวคิดของนายวีรพงษ์ รามางกูร ประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟู และสร้างอนาคตประเทศ (กยอ.) ซึ่งนายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เห็นด้วยกับแนวคิดนี้

อย่างไรก็ดี วิธีการกู้เงินจากทุนสำรองนี้ยังไม่มีข้อสรุป เนื่องจาก ธปท.กังวลว่าจะส่งผลกระทบกับอัตราเงินเฟ้ออย่างมาก โดยมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 27 ธค. 54 ได้มอบหมายให้ธปท.ไปหารือร่วมกับสภาพัฒน์ฯ และกระทรวงการคลังในรายละเอียด แล้วนำกลับมาเสนออีกครั้ง

นอกจาก นี้รัฐบาลยังมีแนวคิดว่าที่จะนำวงเงินของโครงการไทยเข้มแข็งที่ยัง มีวงเงินเหลืออยู่จากบางโครงการ ซึ่งมีการจัดสรรงบฯให้แล้วแต่ยังไม่ได้มีการลงนามในสัญญา ซึ่งส่วนนี้มีวงเงินอยู่ประมาณ 120,000 ล้านบาท มาใช้ในการฟื้นฟูน้ำท่วม โดยส่วนใหญ่เป็นโครงการของกระทรวงสาธารณสุข และกรมอาชีวศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ แต่ทั้งนี้จะต้องพิจารณาว่าตามวัตถุประสงค์ของ พ.ร.ก.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทาง เศรษฐกิจ พ.ศ. 2552 จะมีช่องให้สามารถปรับมาใช้ได้หรือไม่

ขณะที่นาย อารีพงศ์ ภู่ชอุ่ม ปลัดกระทรวงการคลัง ยอมรับว่าการลงทุนเพื่อฟื้นฟูและสร้างรากฐานของประเทศหลังจากปัญหาอุทกภัย จำเป็นต้องใช้เงินลงทุนจำนวนมาก โดยส่วนหนึ่งจะใช้จากงบประมาณปกติในแต่ละปี ซึ่งส่วนหนึ่งจะต้องหาทางลดรายจ่ายและเพิ่มรายได้ควบคู่ไปด้วย ขณะเดียวกันยังต้องมีงบฯพิเศษด้วย

คลังมีแนวคิดที่จะกู้เงินจากทุน สำรองตามข้อเสนอของนายวีรพงษ์ ที่มองว่าปัจจุบันทุนสำรองของไทยมีจำนวนมาก ซึ่งปกติ ธปท.ก็นำทุนสำรองไปลงทุน ซื้อพันธบัตรของสหรัฐอยู่แล้ว หากใช้วิธีนี้ก็ชัดเจนว่าจะต้องเป็นหนี้สาธารณะ เพราะรัฐบาลเป็นผู้กู้ และเป็นสิ่งหนึ่งที่คุยกัน ซึ่งมีความเป็นไปได้

"การกู้เงินดังกล่าว เมื่อมีปริมาณเงินในระบบเพิ่ม ธปท.ก็ต้องทำหน้าที่ดูดซับ ซึ่งไม่แตกต่างไปจากการทำหน้าที่ตามปกติ เพียงแต่เปลี่ยนผู้กู้เป็นรัฐบาลไทย แทนที่จะเป็นรัฐบาลอเมริกา อย่างไรก็ตามโดยข้อเท็จจริงแล้ว ทั้งหมดนี้ยังเป็นแค่ไอเดีย เพราะปัจจุบันสภาพคล่องในระบบการเงินของไทยมีมากถึง 2 ล้านล้านบาท ฉะนั้นคงเน้นกู้ในประเทศเป็นหลัก เพียงแต่จะเขียนกฎหมายเปิดช่องไว้ให้สามารถทำได้ส่วนหนึ่ง คือกรณีหากต้องใช้อุปกรณ์ที่ต้องนำเข้า หรือซื้อเครื่องจักรจากต่างประเทศ ซึ่งต้องซื้อเป็นเงินตราต่างประเทศ"

สำหรับวงเงินที่จะออกกฎหมาย เพื่อกู้นั้น จะเป็นไปตามข้อเสนอของคณะกรรมการชุด ดร.วีรพงษ์ รามางกูร พิจารณา ในเบื้องต้นจะออกตามความจำเป็น วงเงินประมาณ 3.5 แสนล้าน

ส่วน กรณีการลงทุนระยะยาว ปลัดกระทรวงการคลังกล่าวว่า จะเป็นโครงการขนาดใหญ่ที่เป็นการลงทุนต่อเนื่อง ซึ่งนักลงทุนต่างชาติต้องการความมั่นใจ และมองว่าหากการเมืองไทยมีการเปลี่ยนแปลง ทำให้นักลงทุนกังวล และหากรัฐบาลวางระบบจัดการน้ำระยะยาวซึ่งเป็นแผนลงทุนระยะ 5-10 ปี จึงกังวลว่ารัฐบาลอยู่ได้ตลอดหรือไม่

ดังนั้นสิ่งที่รัฐบาลจะดำเนินการก็คือจะมีการสร้างองค์กรที่จะสามารถ ขับเคลื่อนการลงทุนในเรื่องระบบน้ำให้มีความต่อเนื่อง

นาย จักรกฤศฏิ์ พาราพันธกุล ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) กล่าวว่า ขณะนี้ยังเร็วเกินไปที่จะบอกว่าจะมีการออก พ.ร.ก. และ พ.ร.บ. กู้เงินเป็นจำนวนเท่าใด เพราะยังไม่มีรายละเอียดโครงการที่ชัดเจน ดังนั้นต้องให้มีการเสนอโครงการชัดเจนก่อนค่อยดูว่าจะต้องกู้เป็นจำนวน เท่าใด


ที่มา.ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันจันทร์ที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2555

ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อะเมซิ่งประเทศไทย !!?

ชัยชนะอย่างท่วมท้นและเด็ดขาดของพรรคเพื่อไทยในการเลือก ตั้ง ส.ส. เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2554 โดยได้จำนวน ส.ส. ถึง 265 ที่นั่ง จาก 500 ที่นั่ง ทำให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กลายเป็น “นายกรัฐมนตรีคนที่ 28” และ “นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศไทย” หลังจากสภาผู้แทนราษฎรลงมติเมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2554

น.ส.ยิ่งลักษณ์ทำให้ทั้งคนไทยและทั่วโลกทึ่งและสนใจอย่างมาก เพราะใช้เวลาแค่ 49 วันในการเข้าสู่ถนนการเมืองเป็น ครั้งแรกก็ได้เป็นนายกรัฐมนตรี ทั้งยังสร้างประวัติศาสตร์เป็นพี่น้อง “ตระกูลชินวัตร” ที่ได้เป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทยอีกด้วย

ขณะที่นิตยสารไทม์ได้เผย แพร่บทความพิเศษจัดให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์เป็น 1 ใน 12 ผู้นำหญิงอันดับต้นๆของโลก (Top 12 Female Leaders Around the World)

แม้ 4 เดือนที่ผ่านมา น.ส.ยิ่งลักษณ์จะยังไม่มีผลงานโดดเด่น รวมทั้งถูกจ้องโจมตีทุกรูปแบบจากพรรคประชาธิปัตย์และบรรดาขาประจำแล้ว ยังถูกถล่มจาก “มหาอุทกภัย” ที่รุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์จนแทบตั้งตัวไม่ติด แต่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ได้แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งและสุขุมเยือกเย็น โดยเฉพาะความตั้งใจที่จะพิสูจน์ตัวเองในฐานะ “ผู้นำตัวจริง” ไม่ใช่ “ผู้นำตัวสำรอง” หรือ “หุ่นเชิด” ของพี่ชาย “พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร”

เพราะในช่วงการหาเสียงเลือกตั้ง พ.ต.ท.ทักษิณได้หลุดวาทะเด็ดที่ทำให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์สั่นสะเทือนทันทีคือ “คุณยิ่งลักษณ์เป็นโคลนนิ่งของผม” ซึ่งเป็นประโยคที่เปิดช่องให้ฝ่ายตรงข้ามรุมถล่มอย่างหนักว่า “เลือกยิ่งลักษณ์ได้ทักษิณ”
หนังสือพิมพ์ “โลกวันนี้” จึงขอยกย่องให้ “น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” เป็น “บุคคลแห่งปี” ที่สร้างปรากฏ การณ์ “อะเมซิ่ง” จนถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ไทย และทำให้ประชาคมโลกต้องเฝ้าจับตามองอย่างใกล้ชิดว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์จะสามารถยืนหยัดอยู่บนถนนการเมือง ที่เต็มไปด้วยความขัดแย้งและแตกแยกได้นานแค่ไหน
ทำเพื่อชาติและทุกคน

“ดิฉันตระหนักดีว่าการเป็นนายกรัฐมนตรีผู้หญิงในขณะนี้เป็นความท้าทายและความคาดหวังอย่างมากจากพี่น้องประชาชน แต่ดิฉันเชื่อมั่นว่าความเป็นผู้หญิงจะไม่เป็นอุปสรรคในการทำงาน แต่ในทางตรงกันข้ามความเข้มแข็งที่ควบคู่กับความอ่อนโยน การรับฟังปัญหาทรรศนะที่แตกต่างจะช่วยให้เรามองเห็นทางเลือกใหม่ๆในการแก้ปัญหาได้ง่ายขึ้น”

น.ส.ยิ่งลักษณ์แถลงภายหลังรับสนองพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2554 และขอบคุณประชาชนในตอนท้ายที่ให้โอกาส ซึ่งถือเป็นพันธสัญญาทางใจให้ตระ-หนักถึงหน้าที่และความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่ในการตอบแทนบุญคุณแผ่นดิน โดยจะมุ่งมั่นสร้างสุข สลายทุกข์ให้พี่น้องประชาชนอย่างสุดกำลังความสามารถ

“จะไม่ทำเพื่อกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง แต่จะทำเพื่อประเทศชาติและคนไทยทุกคน”
ครม. ไม่สวยเหมือนนายกฯ

แต่ทันทีที่รายชื่อคณะรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ 1 ออกมาก็ถูกรุมถล่มซ้ำทันทีว่าขี้เหร่ ไม่สวยเหมือนนายกฯ นอกจากนี้ พ.ต.ท.ทักษิณยังเพิ่มอุณหภูมิการเมืองให้ร้อนระอุโดยการยอมรับว่าให้คำปรึกษา น.ส.ยิ่งลักษณ์ในการจัดตั้งคณะรัฐมนตรี แม้ในขั้นตอนสุดท้าย น.ส. ยิ่งลักษณ์จะเป็นผู้ตัดสินใจด้วยตนเองก็ไม่มีใครเชื่อ เพราะวันนี้บรรดา ส.ส. และสมาชิกพรรคเพื่อไทยยังถือว่า พ.ต.ท.ทักษิณคือนายใหญ่

ขณะที่พรรคประชาธิปัตย์ยังคงสร้างกระแส “ผีทักษิณ” เพื่อดิสเครดิต น.ส.ยิ่งลักษณ์ตลอดมา อย่างที่นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ เปรียบคณะรัฐมนตรียิ่งลักษณ์เป็น “ครม. ต่างตอบแทน” คน 5 กลุ่ม ได้แก่ 1.ตอบแทนสายตรงของ นายใหญ่ นายหญิงในพรรค 2.ตอบแทนข้าราชการเก่าที่มีสายสัมพันธ์อุปถัมภ์ค้ำชูตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน 3.ตอบแทนกลุ่มก๊วนต่างๆในพรรค 4.ตอบแทนคนที่เคยมีส่วนปกป้องช่วยเหลือกรณีปัญหาหุ้นของตระกูลชินวัตร และ 5.ตอบแทนเพื่อนร่วมรุ่น พ.ต.ท.ทักษิณ

ขณะที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ขอเวลา 1 ปี เพื่อพิสูจน์ผลงาน โดยยืนยันจะทำหน้าที่ให้กับส่วนรวม ไม่ทำเพื่อบุคคลใดบุคคลหนึ่ง และคำนึงถึงประชาชนทุกคน

“เรื่องคุณทักษิณต้องเป็นไปตามกระบวนการ โดยจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยว ผู้ทำงานก็ทำงานอย่างเต็มที่บนหลักนิติธรรม และให้ความยุติธรรมเท่าเทียมกัน”
“ทักษิณ” เงา “ยิ่งลักษณ์”

จึงไม่แปลกที่นับตั้งแต่วันแรกที่เข้าสู่การเมืองจนวันนี้ พ.ต.ท.ทักษิณก็ยังเหมือนเงาของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ที่ถูก จับตามองว่าเป็น “นายกฯตัวจริง” ส่วน น.ส.ยิ่งลักษณ์ เป็นแค่ “นายกฯพิธีการ” แม้ น.ส.ยิ่งลักษณ์จะปฏิเสธและ ยืนยันว่าตัวเองเป็นผู้นำตัวจริงและมีอำนาจจริงก็ตาม

โดยเฉพาะการเยือนพม่าล่าสุดที่ พ.ต.ท.ทักษิณให้สัมภาษณ์ผ่านหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ว่าเป็นผู้ประ- สานงานการเดินทางให้กับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ในการพบกับประธานาธิบดีเต็ง เส่ง และ พล.อ.อาวุโสตัน ฉ่วย อดีต ผู้นำสูงสุดของพม่า รวมทั้งนางออง ซาน ซู จี ยิ่งทำให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ถูกมองว่าเป็น “หุ่นเชิด” ของ พ.ต.ท. ทักษิณ นอกจากนี้ยังถูกโยงถึงเรื่องของผลประโยชน์ทับซ้อนทางธุรกิจอีกด้วย แม้จะไม่เป็นความจริง แต่คนที่เกลียดทักษิณก็เชื่ออย่างสนิทใจไปแล้ว
แม้แต่ผู้สื่อข่าวสายทำเนียบยังตั้งฉายารัฐบาลยิ่งลักษณ์ว่า “ทักษิณส่วนหน้า” ส่วน น.ส.ยิ่งลักษณ์ได้ฉายา “นายกฯนกแก้ว” ขณะที่ผู้สื่อข่าวสายรัฐสภาตั้งฉายา น.ส.ยิ่งลักษณ์เป็น “ดาวดับ” และชุมนุมรัฐศาสตร์ สโมสรนิสิตคณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ตั้งฉายารัฐบาลยิ่งลักษณ์เป็น “ปูอบวุ้นเส้น” ที่สะท้อนถึงภาพลักษณ์ของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ที่ยังหนีไม่พ้นพี่ชายและไม่มีผลงานที่เข้าตาประชาชนและสื่อ
นายกฯ 15 ล้านเสียง

4 เดือนแรกของ น.ส.ยิ่งลักษณ์จึงยังคงมีเงาของ พ.ต.ท.ทักษิณที่สลัดไม่หลุด แล้วยังถูกกระหน่ำซ้ำเติมด้วย “มหาอุทกภัย” ที่ไม่อาจปฏิเสธว่ารัฐบาลล้มเหลวในการแก้ ปัญหา (ไม่นับรวมการถูกเตะสกัดที่ไม่ได้รับความร่วมมือจากกรุงเทพมหานคร (กทม.) ซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของผู้ว่าฯ กทม. ที่มาจากพรรคประชาธิปัตย์) แม้แต่เรื่องไร้สาระ อย่างการใช้ภาษาอังกฤษยังถูกนำมาโจมตี แต่ประชาชนยังให้โอกาส น.ส.ยิ่งลักษณ์ทำงานต่อ เพราะยอมรับว่าทุ่มเททำงานเพื่อแก้ปัญหาให้กับประชาชนและประเทศชาติ ขณะที่โพลทุกสำนักสำรวจความเห็นประชาชนพบว่ากว่า 80% พอใจการแก้ปัญหายาเสพติด

น.ส.ยิ่งลักษณ์จึงต้องพิสูจน์ให้ได้ว่าเป็นผู้นำที่มีความเด็ดขาด กล้าตัดสินใจ และมีอำนาจจริง โดยจะต้องสลัดเงาของ พ.ต.ท.ทักษิณออกไปให้ได้ นอกจากนี้ยังต้องกล้าปรับคณะรัฐมนตรีเพื่อให้ได้คนที่มีความรู้ความสามารถเข้ามาแก้ปัญหาประเทศชาติอย่างแท้ จริง ไม่ใช่เป็นแค่นายกฯประสานงาน เพราะเส้นทางข้างหน้าเต็มไปด้วยศัตรูทั้งที่มองเห็นและมองไม่เห็นจ้องจะล้มรัฐบาลและทำลายฝ่ายประชาธิปไตย

อย่างไรก็ตาม วันนี้ “ความจริง” ที่ใครก็เปลี่ยน แปลงไม่ได้คือ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็น “นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศไทย” เธอจึงสมควรเป็น “บุคคลแห่งปีของไทย” ที่ถูกคัดเลือกโดยหนังสือพิมพ์ “โลกวันนี้” ในปีนี้ เพราะได้สร้างปรากฏการณ์ “อะ-เมซิ่งยิ่งลักษณ์” และมาจากเสียงสนับสนุนของประชาชนกว่า 15 ล้านเสียง
ไม่ใช่ “นายกฯโจรสลัด” ที่ตั้งในค่ายทหาร!

ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข
///////////////////////////////////////////////////

วันอาทิตย์ที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2555

สวัสดีปีใหม่ 2012


สวัสดีปีใหม่ 2012
ขอให้ผู้อ่านทุกท่านประสบแต่ความสุข ความเจริญ ตลอดปีมังกรทองนี้นะครับ