--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันพฤหัสบดีที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2554

เว็บไซด์ยูทูป (Youtube) มียอดคลิกชมคลิปโดยรวมทั้งหมดของปี 2554 ทะลุ 1 ล้านล้านครั้ง โดยปีนี้มีช่องสถานีเกิดขึ้นใหม่บนยูทูป และมีดาวดวงใหม่ถูกค้นพบบนคลิป ไปจนถึงไอเดียเจ๋งๆ โดยนักวิจารณ์ระบุว่าถือเป็นปีทรงพลังของเรื่องราวใหม่ๆเกิดขึ้นบนยูทูป ตั้งแต่เรื่องเล่าเหตุการณ์สำคัญที่ถูกถ่ายคลิปในฐานะพยานของเหตุการณ์สำคัญ เรื่องราวการลุกฮือประท้วง และภาพบอกเล่าภัยพิบัติธรรมชาติในหลายประเทศ รวมไปถึงเรื่องราวชวนสัมผัสในระดับปัจเจก ซึ่งปีนี้คลิปวิดีโอบนยูทูปที่ถูกเปิดชมมากสุดทั่วโลกในรอบ 12 เดือน คือ คลิปนักร้องสาว Rebecca Black ในเพลง "Friday"



มาดู 10 คลิปที่ชาวโลกคลิกเปิดชมมากที่สุด 10 อันดับ ดังนี้



1. "Friday" by Rebecca Black






2. "Ultimate Dog Tease"







3. "Jack Sparrow" by The Lonely Island and Michael Bolton









4. "Talking Twin Babies Part 2"











5. "Nyan Cat"









6. "Look At Me Now" Cover Karmin Music









7. "The Creep" by The Lonely Island, Nicki Minaj and John Waters









8. "Born This Way" Cover by Maria Aragon









9. "The Force" Volkswagen Commercial









10. "Cat Mom Hugs Baby Kitten"











ขณะที่ 10 อันดับ คลิปมิวสิควิดีโอจากศิลปินระดับเมเจอร์ที่มียอดคลิกชมสูงสุด คือ



1. "On The Floor" โดย Jennifer Lopez ft. Pitbull
2. "Party Rock Anthem" โดย LMFAO ft. Lauren Bennett and GoonRock
3. "The Lazy Song" โดย Bruno Mars
4. "Super Bass" โดย Nicki Minaj
5. "Give Me Everything" โดย Pitbull ft. Ne-Yo, Afrojack and Nayer
6. "Rain Over Me" โดย Pitbull ft. Marc Anthony
7. "Price Tag" โดย Jessie J ft. B.o.B.
8. "Sexy and I Know It" โดย LMFAO
9. "E.T." โดย Katy Perry ft. Kanye West
10. "Last Friday Night (T.G.I.F.)" โดย Katy Perry

รายงานโดย มิสนอราห์

ที่มา:ประชาชาติธุรกิจ
///////////////////////////////////////////////////////////////////////

ศึกชิงหัวหน้าทีม ศก.รัฐบาลปู 2 ..

พลันที่มหาอุทกภัยครั้งใหญ่แห่งสยามประเทศผ่านพ้นไป.. สิ่งที่ตามมาอีกมากมายคือ ความเสียหาย ทั้งที่เป็นรูปธรรม และไม่เป็นรูปธรรม บางคนเมื่อเข้าบ้านไปพบสภาพความเสียหาย ที่เกิดขึ้นถึงกับกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ เพราะสิ่งที่พังทลายอยู่ตรงหน้า คือหยาดเหงื่อแรงกายที่สะสมมาทั้งชีวิต

ไม่เพียงแต่ความเสียหายที่เกิดขึ้นในระดับหน่วยเล็กๆ อย่าง บ้านเรือน โรงงานที่ผลิตเครื่องอุปโภค บริโภคต่างเสียหายย่อยยับ ทั้งขนาดเล็กระดับ SMEs ไปจนถึงระดับโรงงานใหญ่ที่มีกลุ่ม ทุนต่างชาติเป็นเจ้าของ ซึ่งต้องยอมรับว่าวิกฤตการณ์น้ำท่วมครั้งนี้ ให้ความมั่นใจในการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติลดลงมาก

แม้ประธานหอการค้าญี่ปุ่นจะเคยออกมารับปากว่ายังเชื่อมั่น ในศักยภาพของประเทศไทย แต่ในความเป็นจริงที่สำรวจความ คิด เห็นของนักธุรกิจชาวญี่ปุ่นของนิตยสารท้องถิ่นกลับพบว่า นักลงทุน ส่วนมากยังไม่มีความเชื่อมั่น และหลายท่านพร้อมที่จะย้ายฐานการผลิตไปประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งก็มีตัวเลือกอีกมากมายและมีปัจจัยที่พร้อมมากขึ้นกว่าอดีต

วิกฤติเศรษฐกิจที่กำลังคืบคลานเข้ามานี้เป็นโจทย์ใหญ่ที่รัฐบาลจำต้องรับมือ และเอาให้อยู่ ซึ่งในปมแรกที่อาจต้องคลาย คือการปฏิรูปทีมเศรษฐกิจเสียใหม่ให้พร้อมรับกับสภาวะ “Hard-core” ผู้ที่จะรับมือได้ต้อง “Accurate” หรือมือฉมังพอตัว

เก้าอี้สำคัญที่สังคมกำลังโฟกัสไปในการยกเครื่องทีมเศรษฐกิจ คงไม่พ้นเก้าอี้ของ “เสี่ยโต้ง-กิตติรัตน์ ณ ระนอง” รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กระทรวงพาณิชย์ และเก้าอี้ของ “ธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล” รมว.กระทรวงการคลัง

สำหรับบุคลากรที่ถูกจับตามองในขณะนี้ ถึงกับมีคนเอ่ยออก มาเป็นอักษรย่อว่า “ดร.ว.” และ “ป.” ค่อนข้างชัดเจนว่าน่าจะเป็น “ดร.วิชิต สุรพงษ์ชัย” ปธ.กก.บริหาร ธ.ไทยพาณิชย์ ส่วนอีกท่านหนึ่งก็หาใช่ใครอื่นไม่ นั่นคือ “หม่อมอุ๋ย-ม.ร.ว. ปรีดิยาธร เทวกุล” กระบี่มือหนึ่งจากแบงก์ชาติ ซึ่งเคยคุมมาแล้วทั้ง กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงการคลัง

สำหรับ “ดร.วิชิต” คงต้องบอกว่าไม่พลิกโผ เพราะเป็นอีกคนหนึ่งที่ พ.ต.ท.ทักษิณ เชื่อมั่นในฝีมือ เพราะมี Profile ที่ไม่ธรรมดา อยู่ในวงการเงินๆ ทองๆ มาร่วม 20 ปี ทั้งยังเคยมีข่าว ว่าจะได้มานั่งกระทรวงการคลังตั้งแต่รัฐบาลปู 1 แล้วแต่กลับหลุด โผ..และมีหลายฝ่ายเชื่อว่ารอบนี้เขามาแน่

ส่วน “หม่อมอุ๋ย” ท่านนี้ไม่ต้องพูดมาก..ประสบการณ์ และผลงานต่างๆ ที่ผ่านสายตาประชาชนมารับประกันคุณภาพได้ดีที่สุด หากคู่นี้มาเป็นแคนดิเดตกันก็ถือได้ว่ามีภาษีกันคนละด้าน แม้จะมีพื้นฐานมาจากวงการธนาคารเหมือนกัน แต่ไม่แน่ใจนักว่า “นายใหญ่” จะกดปุ่มเลือกใคร???

เนื่องด้วยถ้าหาก “นายใหญ่” พยักหน้าคงลงตัวไปตั้งแต่จัด ครม.รอบแรกไปแล้ว หวยคงไม่มาออกที่ “ธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล” แต่สำหรับสถานการณ์ในตอนนี้มีเงื่อนไขที่ต่างออกไป เพราะ เสถียรภาพของรัฐบาลหลังน้ำท่วมอยู่ในจุดที่น่าเป็นห่วง เนื่องจากปัญหาทางเศรษฐกิจ ทั้งปัจจัยภายนอก และปัจจัยภายในประเทศ ต้องการการฟื้นฟูครั้งใหญ่ 2 เซียนเหยียบเมฆจึงกลับมาเป็นทาง เลือกที่ดีที่สุด ณ ชั่วโมงนี้

ย้อนกลับมามองสูตรสำเร็จที่น่าจะลงที่สุด ซึ่งต้องยอมรับความจริงว่าหินพอสมควรเพราะทั้ง 2 ท่านนี้แสดงเจตจำนงค่อน ข้างชัดเจนว่าจะต้องการมาตำแหน่งรองนายกฯ ด้านเศรษฐกิจเพียงเท่านั้น!!!

ที่สำคัญ “ดร.วิชิต” ยังยืนกรานว่าต้องการให้เด็กในคาถารู้ไม้รู้มือกันเป็นอย่างดี มานั่งบริหารกระทรวงการคลัง และกระทรวงพานิชย์ เพราะฉะนั้น หาก “นายใหญ่” เปิดไฟเขียว ก็มีโอกาสที่เจ้ากระทรวงเดิมทั้ง 2 จะหลุดออกจากวงโคจร หรืออาจจะได้รับตำแหน่งที่รองลงมา

สำหรับเงื่อนไขการมาของ “หม่อมอุ๋ย” ที่เป็นลูกหม้อแบงก์ชาติเช่นเดียวกับ “ขุนคลัง” คนปัจจุบัน ก็น่าเชื่อว่าสายสัมพันธ์ดั้งเดิม จะมีอานิสงส์ช่วยให้ “ธีระชัย” อยู่รอดปลอดภัยใน “ครม.ปู 2”

แต่ที่น่าสนใจคือสถานการณ์ของ “เสี่ยโต้ง” ที่ว่ากันว่า โอกาส ยังอยู่ที่ 50:50 เนื่องด้วยการมาของ “เสี่ยโต้ง” ในรอบแรก จะพบว่า ไม่ใช่สายตรงจาก “ดูไบ” โดยตรง แต่เป็นการร้องขอจาก “นายกฯ ยิ่งลักษณ์” ที่ร้องขอ “พี่ชาย” เป็นการส่วนตัว ทำให้ไม่แน่ว่า “เสี่ยโต้ง” จะอยู่หรือจะไปในการปรับ ครม.ที่จะมาถึง..

อย่างไรก็ดี อีกหนึ่งเงื่อนไขสำคัญที่ “หม่อมอุ๋ย” แสดงเจตจำนงแนบมาด้วย คือ ต้องการจัดคนของตนเองลงไปนั่งในเก้าอี้ เจ้ากระทรวงหูกวาง ซึ่งถือเป็นกระทรวงเกรดเอ ที่มีผลประโยชน์ มหาศาล อีกทั้งปัจจุบันยังไม่ต่างจากแดนสนธยา ที่มีการขบเหลี่ยม กันเองภายในพรรคเพื่อไทย

และด้วยเป้าประสงค์ของ “หม่อมอุ๋ย” ที่ทับซ้อนคาบเกี่ยวมาถึงกระทรวงคมนาคม นี่น่าจะเป็นเงื่อนไขสำคัญที่สุด ที่ต้องวัดใจ “คนไกล” ว่าจะรับได้หรือไม่กับข้อเสนออันสูงส่งที่บังเกิด???

หากย้อนกลับมาที่เงื่อนไขสมานฉันท์ และมีคุณูปการต่อประเทศ อย่างสูงส่ง ในสูตรที่จะให้หนึ่งกูรูนั่ง “รองนายกฯ คุมเศรษฐกิจ” และอีกหนึ่งกูรูนั่ง “ขุนคลัง” ที่หลายฝ่ายวาดวิมานไว้บนอากาศ

แม้โอกาสจะมีทางเป็นไปได้เช่นกัน แต่หากมองแนวทางการ ทำงาน และพรรษาบารมีและความสามารถของทั้ง 2 บุรุษที่ไม่ เป็นสองรองใครในแวดวงการเงินการธนาคาร สถานการณ์และสิ่งแวดล้อมของการสร้างเครดิตของทีมเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทยรอบใหม่ของ 2 กูรู

มันล้วนมีแนวโน้มเป็นไปได้สูงว่าจะเข้าตำรา.. “เสือสองตัว อยู่ถ้ำเดียวกันไม่ได้” เมื่อเงื่อนไขประหนึ่ง “น้ำ” กับ “น้ำมัน” ที่ยากจะสอดประสาน.. สุดท้ายคู่แคนดิเดตอย่าง “ดร.วิชิต” และ “หม่อมอุ๋ย” จึง ไม่ต่างจากคู่ชิงหัวหน้าทีมเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทยไปโดยปริยาย!!!

ที่มา.สยามธุรกิจออนไลน์
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

2555 ศึกเลือกตั้งเชียงใหม่ ส่อเค้าเดือด !!?

กระแสการแข่งขันการ เมืองส่วนท้องถิ่น ในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ ในปี 2555 ส่อเค้าแข่งดุเดือดโดยเฉพาะ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ที่ขอยกฐานะจาก เทศบาลตำบลเป็นเทศบาลเมือง

ขณะนี้มีการประกาศไปแล้ว 3 แห่ง คือ เทศบาลเมืองแม่โจ้ อ.สันทราย เทศบาลเมืองต้นเปา อ.สันกำแพง เทศบาลเมืองเมืองแกนพัฒนา อ.แม่แตง และล่าสุดเทศบาลเมืองแม่เหียะ

สุชาติ ในภักดี ผู้อำนวยการการเลือกตั้ง (ผอ.กต.) ประจำ จ.เชียงใหม่ กล่าวว่า การเลือกตั้งในต้นปี 2555 อปท.ที่จะครบวาระในปี 60 กระจายอยู่ทุกพื้นที่ 25 อำเภอของ จ.เชียงใหม่ ทำให้กลุ่มการเมืองต่างๆ ได้มีการเคลื่อนไหวหาเสียงกันอย่างคึกคัก รวมทั้งจัดเรื่องวิชามารทั้งโพสต์ในเฟซบุ๊กและใบปลิวออกโจมตี คู่แข่ง เพื่อทำลายฐานคะแนนนิยมกันแล้ว

เช่น เขต ทต.สุเทพ อ.เมือง จ.เชียงใหม่ ที่รับสมัครชิงนายก-สท. ปรากฏว่า มีผู้สมัครชิงตำแหน่งนายกมากถึง 6 คน จะมีการลงคะแนนในวันที่ 6 ม.ค.2555 และเช่นเดียวกันที่เทศบาลตำบลป่าแดด อ.เมือง มีผู้สมัครเป็นอดีตนายกเพียงคนเดียว ไม่มีผู้ท้าชิง ต้องแข่งกับตัวเอง

และที่ เทศบาลตำบลแม่เหียะ อ.เมืองเชียงใหม่ ที่ยกฐานะเป็นเทศบาลเมืองไปพร้อมกับการเลือกตั้ง ซึ่งอยู่ระหว่างการประกาศแบ่งเขตเลือกตั้ง ส่วนผู้บริหารได้หมดวาระไปแล้วในปี 2555 ทาง กกต.ได้จัดการเลือกตั้ง อปท.ซึ่งมีทั้งกลุ่มที่ได้รับการยกฐานะ กลุ่มที่ครบวาระซึ่งมีทั้ง อบต. เทศบาลตำบล เทศบาลนคร และ อบจ. ราว 60 แห่ง

จากการติดตามข้อมูลของ กกต. พบว่าแต่ละแห่งมีการเปิดตัว และหาเสียงกัน บ้างแล้ว โดยเฉพาะ อปท.ขนาดใหญ่ ที่มีการแข่งขันกันสูง และหนีไม่พ้นของพรรค การเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องที่การเมืองท้องถิ่นย่อมเป็นฐานเสียงสู่ระดับชาติ ก็ต้องมาช่วยกัน ไปตามวาระ เช่น เทศบาลเมืองแม่เหียะ และเทศบาลตำบลสุเทพ ที่น่าจับตา เป็นพิเศษ

ผอ.กต.เชียงใหม่ กล่าวอีกว่า กกต.ได้มีการประชาสัมพันธ์ รณรงค์ อบรมให้ความรู้ให้ผู้สมัครมาสาบานตนหาเสียงในระบอบประชาธิปไตยแล้ว แต่ภาพการแข่งขัน นอกระบบก็ยังปรากฏอยู่

ดังนั้น ในปี 2555 ทาง กกต.อาจจะเพิ่มความเข้มงวดเรื่องการข่าวเชิงลึกในกลุ่มผู้สมัคร โดยเฉพาะพื้นที่ที่มีการแข่งขันกันสูง และมีเรื่องการเมืองระดับประเทศเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย เพื่อให้การเลือกตั้งออกมาบริสุทธิ์โปร่งใส เกิด ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย และลดระดับความรุนแรงหรือการใช้อิทธิพลเหนือกฎหมายในพื้นที่เป้าหมายเชื่อว่าจะลดลงไปได้ไม่มากก็น้อย

ที่มา.สยามธุรกิจออนไลน์
//////////////////////////////////////////////////////////////

วันพุธที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ปู.. มั่นคง !!?

“อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” มีแต่เสื่อมลง
กองทัพหันมาหนุนกันเป็นตับ... “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. และ “พล.ร.อ.สุรศักดิ์ หรุ่นเริงรมย์” ผบ.ทร. หนุนออกหน้าออกตา
ทหารอากาศขาดรัก ของ “พล.อ.อ.อิทธิพร ศุภวงศ์” ผบ.ทอ. ขี่เอฟ.๑๖ หนุนตามมา
เหล่าชาติเชื้อชายชาญทหารกล้า..เชื่อว่า “หญิงเหล็ก” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี พร้อมแอ่นอก รับทุกอย่างทำ
ผิดกับบางคน....มักโยน ความผิดให้คนอื่น เป็นประจำ?????

+++++++++++++++++++++++++

คุมปี๊บเดิน
บอกได้เลยว่า “เทพเทือก” สุเทพ เทือกสุบรรณ ช่างไม่อาย ไม่เขิน
ว่าสลายการชุมนุม เป็นไปตามหลักสากล
ถ้าเป็นมาตรฐานของชาวโลกแล้ว..เชื่อว่าคงไม่มีคนโดนถูกฆ่าตายไปถึง ๙๑ คน
ยกมาหน่อย.. อ้างมานิด.. ประเทศไหนบ้าง ที่สลายการชุมนุม แล้วมีคนตาย กันอย่างหนักหน่วง
แต่ที่ทำหลักสากลบ้าๆ...ปล่อยให้มีการเข่นฆ่า?..ปวงประชา เป็นใบไม้ร่วง??

+++++++++++++++++++++++++

เมื่อไม่ได้ทำผิด..ก็อย่าคิดอะไร
ขึ้นชื่อว่าเป็น “เปาบุ้นจิ้น” เป็น “ตุลาการ” ย่อมไม่ให้อยุติธรรม..ไม่ว่าเขาจะเป็นใคร?
ทั้ง “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” และ “สุเทพ เทือกสุบรรณ” ที่จะไปขึ้น “ศาลโลก” ในเดือนมกราฯปีหน้า ก็ไม่เห็น จะต้องสะเทือน
เมื่อท่านมีหลักฐาน “บุคคลชุดดำ” ฆ่าประชาชน ตายเกลื่อน
ท่านคงเอาหลักฐานไปหักล้างกันถึงเหตุและผล..ไม่ควรขวาง “ศาลโลก”หาความจริง
ไหนว่าเชื่อในระบบยุติธรรม...ไม่น่ากลับคำ?...ให้คนพากันขำกลิ้ง??

+++++++++++++++++++++++++

อำนาจเป็นของปวงชน
วางระเบิด หมายโค่นอำนาจ “นายกฯปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร คงไม่บังเกิดผล
หวังว่าหัวหน้าแก๊งค์ “พาร์กินสัน” ที่ไปหาความสุขตามโรงแรมหรู..ดื่มไวน์ให้ผู้หญิงพลีกายให้นั้น หยุดเสียที
ใช้มือนอกกฎหมาย ป่วนชาติ เป็นบุรุษขี้ขลาด มากนะพี่
อายุชำแลแก่ชรา ปลดระวางกันไปแล้ว...ควรยุติบทบาท ทำอะไร ให้บ้านเมืองชำรุด
ตัวเองอำนาจก็ไม่เหลือ...หมดแล้วซึ่งลายเสือ?.ไม่ควรทำเรื่องน่าเบื่อ ท่านสมควรหยุด??

++++++++++++++++++++++++

อย่าเป็น “ไม้หลักปักขี้เล่น”
เมื่อมีอำนาจ ควรใช้อำนาจให้เป็น
กระชุ่นไปถึง “ท่านวรรณรัตน์ ชาญนุกูล” รมว.กระทรวงอุตสาหกรรม สักที
นักลงทุน กลุ่มญี่ปุ่น เอียนเฟรมมิ้ง กับท่าน...รู้บางไหนล่ะท่านรัฐมนตรี
หากท่านหยิบโหย่ง ทำงานไม่แข็งขัน...นักลงทุนญี่ปุ่น เขาจะเข้าเกียร์ถอยหลัง หนีจากไทย กันเป็นตับ
จูนคลื่นการทำงาน....ให้มันออกลูกขยัน?.....ออกทะเลทุกวัน มันช่างไม่ไหวแล้วล่ะครับ

คอลัมน์:ตอดนิดตอดหน่อย,บางกอกทูเดย์
xxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxx

THAI FIGHT (only) 'ทำเอง ดูเอง อวยเอง' เพราะคิดการใหญ่ คนไทยเลยหวังสูง

THAI FIGHT (only) 'ทำเอง ดูเอง อวยเอง' เพราะคิดการใหญ่ คนไทยเลยหวังสูง

ทั้งๆที่ต้องการประกาศศักดาความยิ่งใหญ่ของ "มวยไทย" ให้ทั่วโลกชื่นชม แต่แล้วกลับต้องมาตกเป็นเป้าเสียเอง เพราะ "คำวิจารณ์" จากปากของคนไทยด้วยกัน

"THAI FIGHT" นับเป็นไอเดียที่น่ายกย่องของกลุ่มคนที่หวังผลักดัน "มวยไทย" ซึ่งถือเป็นกีฬาประจำชาติของเรา ให้ได้รับการยอมรับอย่างแพร่หลายไปทั่วโลก โดยเฉพาะการสร้าง "ภาพลักษณ์" ใหม่ๆ และลบล้าง "อคติ" เดิมๆ ที่มีต่อศิลปะการต่อสู้ชนิดนี้ แต่เจตนาที่มุ่งมั่น และแน่วแน่ กลับต้องถูกบั่นทอนกำลังใจ

เพราะหลังปิดฉากศึกไทยไฟต์ 2011 เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา แทนที่เราจะเห็นคนไทยร่วมแสดงความยินดีปรีดากับนักมวยไทยที่สร้างชื่อ กวาดแชมป์มาได้ทั้งสองรุ่น อย่าง บัวขาว ป.ประมุข และ เข้ม ศิษย์สองพี่น้อง แต่ดูเหมือนเรื่องปลีกย่อย "นอกสังเวียน" จะกลายเป็นประเด็นสำคัญที่แฟนมวยหยิบยกนำมาพูดถึง มากกว่า "แก่นแท้" ของมวยไทยเสียอีก

ปฏิเสธไม่ได้ว่ากระแสตอบรับมวยไทยไฟต์ปีนี้ ประสบความสำเร็จอย่างล้นหลาม มากกว่าปีที่แล้ว เมื่อดูจากภาพจำนวนผู้ชม ซึ่งมีทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ แทบทุกเพศทุกวัย และทุกระดับ ให้ความสนใจ แต่นั่นกลับเหมือนเป็น "ดาบสองคม" ทำให้แฟนๆ ต่าง "คาดหวัง" การจัดการแข่งขันสูงตามไปด้วย

ไร้คนรุ่นใหม่ สนใจกีฬามวยไทย
โดยเฉพาะในส่วนของ 3 พิธีกร ดำเนินรายการ อย่าง "น้าเน็ก" เกตุเสพย์สวัสดิ์ ปาลกะวงศ์ ณ อยุธยา, แมทธิว ดีน และ "แชมป์" พีรพล เอื้ออารียกูล ซึ่งพวกเขาถึงกับ "ส่ายหน้า" ไม่เข้าใจว่า ทำไมศึกมวยไทยระดับโลกเช่นนี้ ต้องมา "ตกม้าตาย" เพราะโฆษกและพิธีกร ที่ทำหน้าที่ราวกับ "มือสมัครเล่น" ก็ไม่ปาน

"ทีมงานต้องการเปลี่ยนกลุ่มคนดูมวยไทยมาสู่เด็กและวัยรุ่น ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่สามารถสืบทอดเจตนารมณ์ของมวยไทยต่อไปได้ แต่เราไม่ค่อยมีพิธีกรคนรุ่นใหม่ที่มีความเชี่ยวชาญสนใจด้านนี้มากนัก ดังนั้น เราเลยอยากเอาคนที่เข้าถึงคนกลุ่มนี้ และบ้า, อินกับมวยไทยมาทำหน้าที่ ซึ่งเขาก็พยายามปรับปรุง อย่าง "น้าเน็ก" บ้ามวยไทยจริงๆ เขาเสียใจมากที่ประกาศผิด ส่วนแมทธิว ดีน ฝึกมวยไทยมาเป็นสิบๆปี อย่างแชมป์ผลงานมากมาย แต่คนก็ยังวิจารณ์ แต่อยากให้คิดกลับกัน ถ้าเราเอาสมิงขาวมาพากย์ ภาพลักษณ์ของไทยไฟต์ก็จะกลายเป็นอีกอย่างไป" คุณนพพร วาทิน ประธานจัดการแข่งขัน THAI FIGHT แจง

ผิดตรงไหน อวยฮีโร่คนไทยด้วยกัน
และอีกสิ่งหนึ่งที่แฟนมวยหลายคนอาจรู้สึกเลี่ยน เอียนไปตามๆกัน นั่นก็คือ การอวยนักมวยไทย "จนเกินงาม" โดยเฉพาะบัวขาว ป.ประมุข จนดูเหมือนไม่ให้เกียรติคู่ต่อสู้ ซึ่งเรื่องนี้ คุณนพพรยืนยันหนักแน่นว่า นี่เป็นสิ่งที่เราคนไทย "จำเป็น" ต้องทำ

"น่าแปลกที่คนไทยไม่ค่อยรู้จักบัวขาว แต่ในต่างประเทศเขาดังมาก มันไม่ใช่เรื่องเสียหายที่เราจะเชิดชูคนแบบนี้ คนไทยต้องสนับสนุนคนไทย คนไทยต้องภูมิใจความเป็นไทย ยิ่งถ้าเราไม่สนับสนุน วันหนึ่งเขาก็จะไม่มีกำลังใจทำสิ่งดีๆต่อไป ดังนั้น ถ้าเรามีโอกาสที่เราจะยกย่องนักมวยไทยให้เป็นฮีโร่ได้ เราก็ควรจะทำ"

 อย่าเอามันส์ สงสารนักมวยบ้าง
ไม่หนำใจคนชอบติ ที่ยังออกมาบ่นอีกว่า การชกในรอบชิงชนะเลิศเมื่อวันอาทิตย์ โดยเฉพาะคู่ระหว่าง เข้ม ศิษย์สองพี่น้อง กับ ฟาบิโอ ปินกา ดูจะจืดชืดไปหน่อย แต่ ประธานผู้จัด THAI FIGHT ยืนยันว่า นักมวยทุกคนทำเต็มที่แล้ว

"อยากให้เห็นใจนักมวยบ้าง เพราะทุกคนก็หวังชัยชนะ หากลองคิดอีกมุมหนึ่ง เกิดนักมวยแพ้ขึ้นมา คนก็วิจารณ์ได้อีกว่า ทำไมชกไม่สุขุม และปินกาเองก็ไม่ใช่นักมวยธรรมดา ดังนั้น เวลานักมวยเก่งกับเก่งมาเจอกัน การดูเชิง การออกอาวุธ มันจะเกร็งกัน แต่สำหรับบัวขาว เขาเต็มที่จริงๆ เขาต่อยจนหมดแรงเลย"

"บางคนมองว่า ชก 3 ยกน้อยไป แต่มวยไทยมันใช้อาวุธครบ ทั้งหมัด เข่า ศอก ทำให้ต้องใช้แรงมากกว่ามวยสากล ซึ่งถ้าชกกัน 5 ยก อย่างมวยไทยธรรมดา จะเหนื่อยมาก และเจตนาของไทยไฟต์ ต้องการให้ผู้ชมดูนักมวยออกอาวุธเปิดแลกกันเลย ซึ่ง 3 ยกน่าจะเหมาะสมที่สุด นอกจากนี้ อีกเหตุผลคือ ข้อจำกัดเรื่องเวลา ในการถ่ายทอดผ่านฟรีทีวี อย่างไรก็ดี ทีมงานจะพยายามปรับปรุงให้ลงตัวที่สุด"

บูมกระแสมวยไทย
แม้จะมีเสียงติติงพอสมควร แต่ก็ต้องยอมรับว่า เสียงชื่นชม THAI FIGHT ครั้งนี้ ก็มีไม่น้อยเช่นกัน โดยเฉพาะการส่งเสริมเรื่อง "ชาตินิยม" และ "อัตลักษณ์" ความเป็นไทย ไปสู่สายตาคนทั่วโลก ด้วยความ "ภาคภูมิใจ" ในรากเหง้าของตัวเอง

"อยากให้คนไทยมองว่า เรามีสิ่งที่ดีอยู่ในชาติ มีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก มีกีฬามวยไทยเป็นกีฬาประจำชาติ เราอยู่กันมาได้ทุกวันนี้ ก็เพราะมวยไทย ปกป้องรักษาชาติ ไม่มีกีฬาชนิดไหน บ่งบอกความเป็นไทยได้เหมือนมวยไทยอีกแล้ว และเรากล้าพูดอย่างเต็มปากเต็มคำ ว่าเรา คือ เจ้าของ และเราไม่เป็นรองชาติใด"

จากไทยไฟต์ 2011 สู่ 2012
และแน่นอน โปรเจกต์ไทยไฟต์ 2012 ยังคงพร้อมประกาศศักดากีฬามวยไทยสู่สายตาชาวโลกต่อไป ในปีหน้า โดยมี บัวขาว เป็นแม่เหล็กของรายการนี้เช่นเดิม รวมถึงอาจเพิ่มรุ่น เพิ่มนักมวยไทย อย่าง ไทรโยค พุ่มพันธุ์ม่วง และสุดสาคร ส.กลิ่นมี แต่ยังเน้นรุ่นใหญ่ 67 กก.ขึ้นไป

"เราอยากสร้างแบรนด์ให้เขา นักมวยไทยเก่งๆมีเยอะ แต่เขายังไม่มีโอกาสเท่านั้น แต่ยังเน้นรุ่นใหญ่อย่างน้อย 67 กก.ขึ้นไป เพราะหากเป็นรุ่นเล็ก ยอมรับว่า โอกาสที่ต่างชาติจะชนะคนไทย แทบจะปิดประตู แต่ถ้ายิ่งน้ำหนักขึ้นไปเท่าไร คนไทยก็แทบจะหมดโอกาสชนะต่างชาติเหมือนกัน ซึ่งจะทำให้สูสี บางคนมองว่ามวยใหญ่ช้า ต่อยลำบาก แต่พอมีไทยไฟต์ ทุกคนเริ่มเปลี่ยนความคิด"

ส่วนสถานที่ อาจบินไปจัดยังประเทศที่ไม่เคยจัด อย่างออสเตรเลีย, แถบตะวันออกกลาง หรือประเทศจีน แต่เหนือสิ่งอื่นใด มีข้อแม้ว่า ชาตินั้นจะต้องตั้งอะคาเดมีไทยไฟต์เสียก่อน

"ใครอยากจัดไทยไฟต์ จะต้องตั้งอะคาเดมีไทยไฟต์ที่นั่นก่อน ซึ่งจะต้องมีประวัติมวยไทย, มีฮอลออฟเฟรมมวยไทย เข้าไปในยิมก็ต้องมีกลิ่นอายไทย โดยอยู่ในการควบคุมของเราแบบแฟรนไชส์อย่างที่เรากำหนด ตอนนี้มีหลายที่ตกลงแล้ว เช่น อังกฤษ, ออสเตรเลีย, สวิตเซอร์แลนด์, ญี่ปุ่น ซึ่งนี่เป็นสิ่งที่เราวางแผนมาตั้งแต่เริ่มมีไทยไฟต์"

ไทยไฟต์ ใครจะเป็นแชมป์ก็ได้
อย่างไรก็ตาม คุณนพพร ย้ำชัดว่า เป้าหมายหลักของการทำ THAI FIGHT คือ ต้องการให้คนไทย หันกลับมามองมวยไทย และเมื่อใดที่คิดถึงมวยไทย จะต้องเป็นคนไทยเท่านั้น ที่จะจัดได้อย่างยิ่งใหญ่ที่สุด แต่ไม่จำเป็นว่า นักมวยไทยจะต้องเป็นแชมป์เท่านั้น เพราะไทยไฟต์สร้างมาเพื่อให้ใครเป็นแชมป์ก็ได้ แต่สิ่งสำคัญคือ จะต้องชนะด้วยมวยไทย และอย่างใสสะอาด

"ตามความเห็น ผมว่าสาเหตุที่มวยไทยไม่ได้บรรจุในทัวร์นาเมนต์กีฬาอย่างซีเกมส์ เอเชียนเกมส์, โอลิมปิกเกมส์ เพราะชื่อมวยไทย มันบ่งบอกถึงชาติ, วัฒนธรรมของไทย ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ที่คนชาติอื่นจะมาสนับสนุนให้มวยไทย คงไม่มีชาติไหนชูให้ชาติอื่นดีกว่า แต่เราก็เปลี่ยนคำไม่ได้"

"แต่ไทยไฟต์สามารถไปได้ทุกกลุ่ม ทั่วโลก ให้เขาเรียนมวยไทยมากขึ้น และมีโอกาสทำให้มวยไทยได้เข้าไปแข่งขันรายการพวกนี้มากขึ้น แม้จะน้อยนิด แต่มันก็เป็นนิมิตหมายที่ดี ส่วนข้อบกพร่องและคำวิจารณ์ต่างๆ ทีมงานพร้อมนำไปปรับปรุงแก้ไขให้ดีขึ้นต่อไป เพื่อให้รู้ว่าคนไทยก็ทำได้"

 ไม่ว่าจะอย่างไร ในฐานะคนไทยคนหนึ่ง รู้สึกขอบคุณที่ประเทศชาติของเรา ได้จัดการแข่งขันทัวร์นาเมนต์มวยไทยระดับโลกเช่นนี้ โดยฝีมือคนไทย แม้ส่ิงที่ออกมาอาจไม่ได้ตอบโจทย์เป็นที่พึงพอใจสำหรับทุกคน แต่ต้องไม่ลืมสิ่งสำคัญที่ว่า อย่างน้อย THAI FIGHT ก็เปรียบเสมือนประตูบานใหญ่ที่นำวัฒนธรรมอันเก่าแก่และดีงามของไทย เปิดสู่สายตาชาวโลกแล้ว.

ต้นฉบับ: http://www.thairath.co.th/content/sport/224787
ที่มา: ไทยรัฐ
////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันอังคารที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2554

อย่านิ่งดูดาย !!?

ประเทศไทยกลายเป็นข่าวฉาวไปทั่วโลกอีกครั้งเมื่อภาพเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ถูกจัดอยู่ในอันดับ 8 จาก 10 อันดับภาพช็อกโลก จากเว็บไซต์ Top tenz.net ซึ่งแต่ละภาพในเหตุการณ์สำคัญๆของโลกที่ถูกจัดอันดับสามารถบ่งบอกความรู้สึกได้มากมายเกินจะบรรยาย อย่างภาพเหตุการณ์ 9/11 ที่ติดอันดับ 5 และเหตุการณ์ลี้ภัยในสงครามกลางเมืองของโคโซโวอยู่อันดับ 10 ส่วนอันดับ 1 เป็นภาพผู้ประสบภัยติดอยู่ใต้ซากปรักหักพังในเหตุการณ์โคลนถล่มที่โคลอมเบียเมื่อปี 1985 ซึ่งครั้งนั้นมีผู้เสียชีวิตถึง 25,000 คน

สำหรับคนไทยคงมีน้อยคนมากที่ยังคิดถึงหรือจำเหตุการณ์ความโหดร้ายการสังหารหมู่ประชาชนคนไทยด้วยกันเองเมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2519 โดยฝ่ายขวาหรืออนุรักษ์นิยม และเชื่อว่าคนไทยส่วนใหญ่ไม่สนใจว่าภาพเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 จะถูกจัดอันดับเป็นภาพช็อกโลก

โดยเฉพาะภาพการใช้ “เก้าอี้” ฟาดไปบนร่างไร้วิญญาณของนักศึกษาคนหนึ่งที่ถูกแขวนคอใต้ต้นไม้บริเวณสนามหลวง ข้างมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งเป็นภาพชุดที่ถ่ายโดยนีล อูลเลวิช (Neil Ulevich) และได้รับรางวัลพูลิตเซอร์ในปี 1977 โดยมีหลายภาพบรรยายถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจากการเดินทางกลับประเทศไทยของจอมพลถนอม กิตติขจร หนึ่งในรัฐบาลเผด็จการทหาร ท่ามกลางการคัดค้านของกลุ่มนักศึกษาและประชาชน ซึ่งเป็นการวางแผนของฝ่ายอนุรักษ์นิยมเพื่อใช้เป็นเงื่อนไขทำลายขบวนการนักศึกษาขณะนั้น โดยการจุดชนวนให้ประชาชนเกลียดชังนักศึกษาว่าต้องการเปลี่ยนแปลงประเทศเป็นคอมมิวนิสต์ หนึ่งในการสร้างความเกลียดชังคือการนำสถาบันเบื้องสูงมาเป็นเครื่องมือทางการเมือง ซึ่งเป็นการกระทำอย่างโหดเหี้ยมรุนแรงเยี่ยงสัตว์ป่า ทั้งทุบตี ทรมาน แขวนคอ และเผาทั้งเป็น ซึ่งครั้งนั้นมีทั้งตำรวจตระเวนชายแดนจากค่ายนเรศวร กลุ่มลูกเสือชาวบ้าน และกลุ่มที่จัดตั้งโดยงบของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.) คือกลุ่มนวพลและกลุ่มกระทิงแดง ซึ่งมีผู้บาดเจ็บ เสียชีวิต และสูญหายเป็นจำนวนมาก แต่ไม่มีการจับกุมหรือดำเนินคดีผู้ที่เกี่ยวข้องหรือสั่งการในเหตุการณ์ครั้งนั้นเลยแม้แต่คนเดียว

เมษา-พฤษภาอำมหิต

เหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ผ่านมา 35 ปี แม้จะมีน้อยคนที่จำได้ และหลายคนไม่เชื่อว่าจะเกิดเหตุการณ์โหดเหี้ยมทารุณเช่นนี้อีก แต่สังคมไทยได้เห็นภาพความโหดเหี้ยมของผู้มีอำนาจอีกครั้งจากเหตุการณ์เดือนเมษายน-พฤษภาคม 2553 ครั้งนี้เป็นการฆ่าประชาชนอย่างเลือดเย็น เพราะใช้กำลังทหารนับหมื่นนายพร้อมอาวุธสงครามฆ่าประชาชนกลางกรุงเทพฯ ท่ามกลางภาพที่ถูกถ่ายทอดไปทั่วโลก

หนึ่งในเหตุผลของการใช้กำลังทหารของรัฐบาลที่มีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นรองนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) คือกลุ่มคนเสื้อแดงเป็นผู้ก่อการร้ายและเป็นเครือข่ายขบวนการล้มเจ้า

จนถึงวันนี้การสอบสวนคดี 91 ศพที่ถูกสังหาร บาดเจ็บและพิการเกือบ 2,000 คน ยังไม่มีคำตอบ ขณะที่อีกหลายร้อยคนถูกจับกุมและถูกดำเนินคดี ทั้งในข้อหาก่อการร้ายและหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ซึ่งยังไม่มีการดำเนินคดีอย่างเป็นรูปธรรมใดๆกับ “ผู้สั่ง” และ “ผู้ฆ่า” ประชาชน

ปราชญ์ชี้หายนะสังคมไทย

รศ.ศรีศักร วัลลิโภดม นักวิชาการด้านประวัติศาสตร์ มองว่า สังคมไทยในปัจจุบันมีอยู่ 2 ชั้นคือ ชั้นบนที่เต็มไปด้วยเดรัจฉาน แต่ความเป็นมนุษย์อยู่ชั้นล่าง สังคมไทยขณะนี้กำลังสูญเสียความเป็นมนุษย์ ชั้นบนจะเป็นปัจเจกเห็นแก่ตัว ไม่เคยฟังคนอื่น การปก-ครองก็รวมศูนย์ ไม่มีการกระจายอำนาจ จึงเชื่อว่าอนาคต ประเทศไทยจะเกิดสงครามกลางเมืองครั้งใหญ่อย่างอียิปต์โมเดลหรือลิเบียโมเดล หากไม่สามารถทำให้คนข้างล่างซึ่งเป็นคนรุ่นใหม่มีสติปัญญาเพื่อฟื้นสังคมขึ้นใหม่ (อ่านเพิ่มเติมในคอลัมน์ “ฟังจากปาก” หน้า 16)

ด้านนายสุลักษณ์ ศิวรักษ์ นักคิดและนักเขียน มองว่า สังคมไทยไม่ยอมรับความจริง แต่ยอมรับสิ่งที่กึ่งจริงกึ่งเท็จ จึงเป็นเหตุให้สังคมไทยกะล่อนโดยไม่รู้ตัว ถ้าแก้ปัญหานี้ไม่ตก ปัญหาอื่นก็แก้ไม่ตก

“เมื่อคุณไม่ยอมรับความจริงแล้วคุณจะแก้ปัญหาอะไรได้ พระพุทธเจ้าตรัสรู้พระสัมมาสัมโพธิญาณก็ทรงรู้แจ้งถึงอริยสัจ 4 ความจริงทั้ง 4 คือต้องเอาความจริงมาจับว่าอันนี้คือทุกข์ เมืองไทยตอนนี้กำลังอยู่ในความทุกข์ อันนี้เป็นเหตุแห่งทุกข์ แล้วจะดับทุกข์ได้อย่างไร พระพุทธเจ้าตรัสสอนมรรคมีองค์ 8 ที่สามารถเข้าใจโครงสร้างของสังคมและนำไปแก้ปัญหาได้ แต่เมื่อคุณไม่ยอมรับความจริง ความทุกข์ของสังคม เราไปเชื่อว่าถ้ามีรัฐบาลที่สามารถมีคนดี มีคนซื่อสัตย์สุจริตจะแก้ปัญหาได้ อันนั้นไม่ใช่”

รายงาน คอป. ต้นตอวิกฤต

อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 9 ธันวาคมที่ผ่านมา คณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) ที่มีนายคณิต ณ นคร เป็นประธาน ได้ออกรายงานความคืบหน้าเหตุการณ์ความรุนแรงเดือนเมษายน-พฤษภาคม 2553 ฉบับที่ 2 (17 มกราคม-16 กรกฎาคม 2554) โดยวิเคราะห์วิกฤตการเมืองที่เกิดขึ้นว่า เป็นปัญหาที่สั่งสมมายาวนาน โดยให้น้ำหนักจุดเริ่มต้นตั้งแต่คดี “ซุกหุ้น” ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากมายว่ามีการละเมิดหลักนิติธรรมโดยตุลาการรัฐธรรมนูญ แต่กลับละเลยและไม่มีการตรวจสอบรากเหง้าความไม่ชอบมาพากลเรื่องนี้ คอป. จึงเสนอแนะให้รัฐและสังคมตรวจสอบการยึดถือปฏิบัติตามหลักนิติธรรมอย่างจริงจัง

ขณะที่ความรุนแรงในปี 2553 คอป. ระบุว่า เป็นผลสืบเนื่องมาจากเหตุการณ์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการปฏิรูปการเมืองหลังรัฐธรรมนูญ 2540 การกล่าวหาเรื่องคอร์รัปชันเชิงนโยบายสมัยรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ การเกิดขบวนการเสื้อเหลือง การประกาศไม่ลงเลือกตั้งของพรรคประชาธิปัตย์ การตัดสินให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะ การเกิดขบวนการเสื้อแดง การยึดสนามบินสุวรรณภูมิ และรัฐประหาร 19 กันยายน 2549

กังวลคดีหมิ่นเบื้องสูง
ที่น่าสนใจคือรายงานของ คอป. ได้แสดงความกังวล ต่อคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพค่อนข้างมาก เพราะมีการฟ้องคดีเพิ่มขึ้นอย่างมาก อีกทั้งการดำเนินคดีไม่สามารถแก้ปัญหาได้ ขณะที่นานาชาติก็จับตามองและติด ตามสถานการณ์อย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน จึงเรียกร้อง

1.ให้ทุกฝ่ายยุติการอ้างสถาบันเพื่อประโยชน์ในทางการเมือง โดยทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทำงานร่วมกันอย่างบูรณาการ และมีกลไกที่สามารถกำหนดนโยบายในทางอาญาที่เหมาะสม

2.อัยการควรให้ความสำคัญกับแนวทางการสั่งคดีโดยใช้ดุลยพินิจ (Opportunity Principle) ซึ่งเป็นอำนาจของอัยการอันเป็นสากล แม้ว่าคดีมีหลักฐานเพียงพอในการสั่งฟ้อง แต่อัยการต้องให้ความสำคัญกับการชั่งน้ำหนักเปรียบเทียบผลดีผลเสียในการดำเนินคดี โดยคำนึงถึงประโยชน์สาธารณะและผลประโยชน์สูงสุดในการปกป้องและถวายพระเกียรติยศที่เหมาะสม แด่สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นสำคัญ เช่น เนเธอร์แลนด์

3.รัฐบาลควรดำเนินการให้ผู้ต้องหาและจำเลยใน คดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว อันเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานตามกฎหมาย

4.รัฐบาลควรพิจารณาทบทวนการดำเนินคดีที่นำเอาประเด็นเรื่องกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพมาขยายผลในช่วงเวลาที่เกิดความขัดแย้งทางการเมือง เช่น การกล่าวหาและโฆษณารณรงค์เรื่องขบวนการ “ล้มเจ้า” ซึ่งตีความกฎหมายที่กว้างขวางจนเกินไป และอาจส่งผลต่อความปรองดองในชาติ ไม่เป็นผลดีต่อการปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ ส่วนการดำเนินคดีจะต้องมีการพิจารณาโดยมีพยานหลักฐานในการพิสูจน์ ความผิดที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมเฉพาะบุคคลที่ชัดเจนและสอดคล้องกับหลักนิติธรรม

5.รัฐบาลควรส่งเสริมให้มีการจัดเวทีแลกเปลี่ยนเพื่อให้ทุกฝ่ายได้เข้าใจถึงสาเหตุของปัญหาความขัดแย้ง ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ของทุกสังคม

ปรากฏการณ์ “อากง”

โดยเฉพาะคดี “อากง” หรือนายอำพล ตั้งนพกุล ชายวัย 61 ปี ที่ถูกตัดสินจำคุก 20 ปี จากการส่งเอสเอ็มเอส 4 ข้อความที่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 นั้นถือเป็นตัวอย่างที่เห็นชัดเจนของมาตรา 112 ที่วันนี้ไม่ใช่แค่ปัญหาการเมืองและสังคมไทยที่มีความเห็นแตกต่างกันอย่างมากเท่านั้น แต่ประเทศไทยกำลังถูกจับตามองจากนานาชาติไม่ต่างกับตัวประหลาด เพราะกระบวนการยุติธรรมที่อารย ประเทศไม่ยอมรับ และประณามว่าขัดกับหลักพื้นฐานสิทธิเสรีภาพและสิทธิความเป็นมนุษย์

แม้แต่คดีของโจ กอร์ดอน หรือเลอพงษ์ วิไชยคำมาตย์ สัญชาติอเมริกัน-ไทย ที่ถูกตัดสินจำคุก 5 ปี แต่รับสารภาพ จึงลดโทษเหลือ 2 ปี 6 เดือน ในข้อหาโพสต์ลิ้งค์แปลหนังสือ The King Never Smiles ซึ่งเป็นหนังสือต้องห้ามภายในราชอาณาจักร บนเว็บบอร์ด เมื่อปี 2551-2552 นั้น นายอนุสรณ์ อุณโณ อาจารย์ประจำคณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่ร่วมรณรงค์คัดค้านมาตรา 112 กล่าวว่า ขณะนี้มาตรา 112 ถูกนำไปใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองในลักษณะที่เข้มข้นจนไม่สามารถปล่อยให้มันผ่านไปได้ง่ายๆ เพราะคดี “อากง” ที่มีความคลุมเครือในแง่การสืบสวนสอบสวนว่า “อากง” อาจไม่ได้ส่งข้อความยังถูกจำคุกถึง 20 ปี ซึ่งไม่ได้สัดส่วนกับความผิด

ส่วนกรณีโจ กอร์ดอน ไม่ใช่เฉพาะการใช้กฎ หมายอย่างเดียว แต่เป็นกระบวนการยุติธรรมที่กลายเป็นเครื่องมือของกฎหมายไปแล้ว ซึ่งถือเป็นโอกาสดี เพราะ กระแสในต่างประเทศมีสูงมาก อย่างกรณีของโจ กอร์ดอน กลายเป็นข่าว Top 5 ใน Google มาตรา 112 จึงกลายเป็นสปอตไลท์ที่สังคมจะเคลื่อนไหวให้แก้ไข

แม้แต่สำนักงานข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (UNOHCHR) ยังแถลงข่าวเรียกร้องให้ทางการไทยแก้ไขกฎหมายมาตรา 112 และทบทวนการคุมขังผู้ต้องหาที่มีระยะเวลาต่อเนื่องยาว นานก่อนการไต่สวนคดี ซึ่งส่งผลกระทบร้ายแรงต่อเสรีภาพในการแสดงออกของประชาชน จนสร้างความหวาดกลัวที่ประชาชนจะแสดงออก เพราะมีบทลงโทษที่ร้ายแรง ซึ่งเป็น “สิ่งที่ไม่จำเป็น” และ “เกินกว่าเหตุ” อีกทั้งเป็นการละเมิดพันธกรณีทางด้านสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศที่ไทยเป็นภาคี

ไม่รู้สึกอะไรเลยหรือ?

ภาพเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ที่ปรากฏจึงไม่ใช่แค่ภาพที่สร้างความสลดหดหู่ให้กับผู้คนทั่วโลกที่เห็นถึงความโหดร้ายรุนแรงเท่านั้น แต่ที่น่าสังเกตอย่างยิ่งคือภาพของคนไทยจำนวนมากที่ยืนดูการกระทำที่โหดเหี้ยมทารุณอยู่โดยรอบนั้นกลับนิ่งดูดายและเพิกเฉยเหมือนคนตายด้าน ไร้หัวใจ

เมื่อเปรียบเทียบกับเหตุการณ์เดือนเมษายน-พฤษภาคม 2553 ที่มีการฆ่าประชาชนอย่างเลือดเย็น โดยใช้กำลังทหารนับหมื่นนายที่มีอาวุธสงครามครบมือสลายการชุมนุมกลุ่มคนเสื้อแดงที่เรียกร้องประชาธิปไตยและความยุติธรรมตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งคนเหล่านั้นเกือบร้อยชีวิตถูกฆ่าอย่างเลือดเย็นกลางเมือง ไม่ต่างจากคดีของ “อากง” ที่สิทธิเสรีภาพของประชาชนถูกลิดรอน คนที่ไม่อาจพิสูจน์ได้อย่างชัดเจนว่ากระทำผิดจริงหรือ ไม่ แต่กลับถูกลงโทษสถานหนักให้จำคุกถึง 20 ปี อาจยัง ไม่อำมหิตเท่าการที่คนในสังคมไทย รวมทั้งสื่อไทยส่วนใหญ่เพิกเฉย นิ่งดูดาย มองเหมือน “อากง” มิใช่มนุษย์

การที่คนไทยและสังคมไทยส่วนใหญ่เพิกเฉยและไม่สนใจ โดยให้ความสำคัญกับศูนย์การค้าที่ถูกเผามากกว่า 91 ศพที่ถูกฆ่าอย่างเลือดเย็น ขณะเดียวกันยังมีการพยายามเบี่ยงประเด็นไปเรื่องการรวมพลังทำความสะอาดคราบ เลือดของผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บ โดยการขานรับของสื่อกระแสหลักและสื่อรัฐอย่างคึกคักมากกว่าการเสนอข่าวเพื่อเอา “ฆาตกร” ที่ฆ่าประชาชนผู้บริสุทธิ์มาลงโทษ

ภาพเหตุการณ์ความโหดร้ายในสังคมไทย ไม่ว่าจะเป็นอดีตหรือปัจจุบันจึงไม่ใช่แค่การกระทำอย่างป่าเถื่อนเยี่ยงสัตว์ป่าของผู้มีอำนาจเท่านั้น แต่ที่ร้ายยิ่งกว่าคนที่กระทำคือคนไทยส่วนใหญ่นิ่งดูดายและเพิกเฉยกับคนที่กระทำหรือฆาตกรที่ฆ่าประชาชนผู้บริสุทธิ์ได้อย่างเลือดเย็น อีกทั้งยังไม่ตระหนักถึงการลิดรอนสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น และสิทธิความเป็นมนุษย์ที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญที่ถือเป็นกฎหมายสูงสุดของบ้านเมือง

ภาพเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จัดอยู่ในอันดับ 8 จาก 10 อันดับของโลกที่เป็นเหตุการณ์ช็อกโลกที่โหดร้าย ซึ่งผู้มีอำนาจกระทำกับผู้ชุมนุมขับไล่เผด็จการของนักศึกษาและประชาชนที่รักและหวงแหนประชาธิปไตย

วันนี้...เหตุการณ์โหดร้ายทารุณและการกดขี่ย่ำยีความเป็นมนุษย์นั้นไม่ใช่เรื่องของคนไทยและประเทศไทยเท่านั้น แต่ได้กลายเป็นเรื่องใหญ่ของโลกที่ประณามประเทศไทยไว้ในประวัติศาสตร์โลกเรียบร้อยแล้ว

ถามจริงๆ...คนไทยและสังคมไทยวันนี้ไม่รู้สึกอะไรบ้างเลยหรือ?

ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข
*********************************************************************

วันจันทร์ที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ระวังเข้าทางมือที่ 3 !!?

สิริรวมอายุกว่าไตรมาสของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ นโยบาย วาดฝันมากมายต้องพังทลายไปกับสายน้ำ ซ้ำรายมาถูกประณาม จากกระแสสังคมว่าอาศัยช่วงชุลมุนสอดไส้นโยบายอุ้มนายใหญ่กลับบ้าน ฯลฯ สารพัดกระแสข่าวที่พรั่งพรูออกมาจากปากคนรอบข้างตัว ท่านนายกตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา จนถึงขณะนี้ยังมีอยู่ไม่ขาด สาย ไม่ว่าจะเป็นกรณีแก้ไข พ.ร.บ.กลาโหม โดยอ้างถึงความมิชอบ ในข้อกฎหมายและที่มา แต่เรื่องนี้ก็เหมือนของแสลงรสโอชา อ้าปากแต่ยังไม่กล้าเคี้ยว

มาถึง พ.ร.ฎ.อภัยโทษ ที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์กันหนักมากว่า ทำเพื่อคนเพียงคนเดียว ทั้งที่ผู้ถูกกล่าวอ้างเองก็หาได้สนใจจะรับ ความปรารถนาดีนี้ไม่ เนื่องจากเชื่อว่าตัวเองไม่ได้ทำอะไรผิดจะต้องมารับการอภัยโทษเรื่องอะไร

มาจนถึงเรื่องเล็กๆ ที่ไม่น่าจะยอมกันได้ กับไอ้แค่การคืนพาสปอร์ต คนไทยนายหนึ่งที่ชื่อ “ทักษิณ ชินวัตร”..ซึ่งก็ทราบกันดีว่าชายไทยคนนี้มีสภาพเป็นคนไทยที่ไม่ธรรมดา!!

ถึงขนาดว่า “นิด้าโพล” ออกมาประกาศว่า หากรัฐบาลคืน พาสปอร์ตให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร แผ่นดินจะเดือดเป็นไฟ มวลชนคนเสื้อเหลืองจะกลับมา..ประเทศจะหาความสงบไม่ได้

ทั้งหมดทั้งมวลที่ว่ามานี้นายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร บอกได้คำเดียว.. “ไม่ทราบค่ะ”

และแน่นอนที่สุดทุกประเด็นที่กล่าวมาไม่เคยคลาดสายตา ฝ่ายค้านขั้นเทพอย่างพรรคประชาธิปัตย์ ที่เชี่ยวชาญทั้งในแง่กฎหมาย และกระบวนการเสกสรรวาทกรรม

ทุกประเด็นที่เพื่อไทยตั้งมา ไม่พ้นที่ประชาธิปัตย์จะงัดค้าน อย่างถึงพริกถึงขิง ทั้งในสภาฯ และตามหน้าสื่อ โดยเฉพาะขุนพล ฝีปากกล้าอย่าง “ชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต” ที่ออกมาฉะอย่างทันท่วงที โดยเห็นได้จากตามหน้าสื่อต่างๆ

จนมาถึงประเด็นสุดฮอตระเบิดหน้ากองสลากฯ ที่ดันโผล่มาในเวลาที่ไม่น่าจะเกิด งานนี้สารวัตรเหลิม เจ้าเก่าโชว์ฟอร์ม อดีตสารวัตรกองปราบฟันธงว่างานนี้เป็นฝีมือของ พวกที่เฟ้อฝัน วันๆ จ้องแต่จะล้มรัฐบาล โดยหัวหน้าแก๊งเป็น “พาร์กินสัน”..

“เขารู้กันทั้งประเทศ คอการเมืองเขารู้หมด ว่างานนี้ไม่เกี่ยว กับเรื่องผลประโยชน์ในกองสลาก มันคนละเรื่อง ที่ตนพูดคือคนที่ฝักใฝ่การเมืองทุกสมัย อยากให้มีการล้มอำนาจ ปฏิวัติ แต่ปฏิวัติ ทุกครั้งตัวเองก็ไม่ได้อะไร ก็ไปด่าคณะปฏิวัติต่อ พอบ้านเมืองสงบ มาจากการเลือกตั้งก็โกรธ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และก็ตั้งวงต่อ หาช่องทาง หาวิธีการให้บ้านเมืองปั่นป่วน เดี๋ยวตนจะไปนั่งที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) เอง ก็ ลองกันดู เราถือกฎหมาย”

“สำหรับปีใหม่ปีนี้คาดว่าจะเกิดเหตุการณ์ไม่สงบ เราจะใช้ ปี 50 เป็นตัวตั้งที่มีระเบิด 10 จุด เราจะดูการวางระเบิด สถานที่ เกิดเหตุ เป้าหมายที่ต้องการ สำหรับเหตุการณ์วางระเบิดที่กอง สลากนั้น ผมถามตำรวจสืบสวนว่าไปถึงไหนเขาเชิญผู้เกี่ยวข้อง มา 7 คน สอบยังไงไม่ได้ผลเพิ่มแสดงว่าชุดนั้นไม่ใช่ เดิมคิดว่าอีก ฝ่ายหนึ่งไม่ใช่ คมช. แต่ผมบอกว่า คมช. ขัดใจกันเองก็เลยวางระเบิดก่อสถานการณ์ แต่คราวนี้มีกลุ่มคน 4 กลุ่มที่ทำ คือกลุ่มที่ เคลื่อนไหวประจำ กลุ่มที่สูญเสียอำนาจ กลุ่มตำรวจที่เคยผูกพันกับพรรคการเมืองบางพรรคแล้วใส่ชุดดำยิงชาวบ้านพอยิงเสร็จก็เปลี่ยนชุดดำใส่ชุดตำรวจ ส่วนกลุ่มสุดท้ายคือกลุ่มนักการเมือง”

นั่นเป็นคำพูดที่ผุดออกมาจากปากอดีตสารวัตรกองปราบ โดยไม่ทราบว่าเพื่ออะไร ซึ่งอาจเป็นการส่งสารปรามฝ่ายตรงข้าม นัยว่า “ข้ารู้นะว่าฝีมือเอง” หรือจะเป็นการหวังผลทางการเมืองอย่างอื่นก็แล้วแต่ อย่างไรก็หาได้เป็นผลดีกับรัฐบาลไม่ โดยเฉพาะในช่วงการเมืองที่ซัดส่ายอย่างเวลานี้

โดยเฉพาะสารพันเรื่องราวที่ว่ามานี้ออกมาจากปากคำของ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ซึ่งเป็นที่ทราบดีว่าเป็น ไม้เบื่อไม้เมากับกองทัพมาตั้งแต่ สมัย “คณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ หรือ รสช.” เรืองอำนาจ หากไม่มีใครปรามอาจเป็นการกวนน้ำให้ขุ่นหรือแม้แต่จะเป็นการปลุกกระแสเสื้อเหลืองออกมาอีกครั้งก็เกิดขึ้นได้ ซึ่งหากเป็นอย่างนั้นสงคราม กลางเมืองคงไม่ใช่แค่เรื่องเพ้อเจ้อภาพต่างๆ ที่สะท้อนออกมาจากพรรคเพื่อไทยใน เวลานี้ ฉายภาพให้เห็นว่าการเมืองในพรรคเองกำลังไม่นิ่ง มีทั้งคลื่นลมที่ดูจะรุนแรกกว่าพายุในภาคใต้เสีย ด้วยซ้ำ ยิ่งไปแหย่หนวดเสืออย่างผู้ยิ่งใหญ่แถวสุขุมวิท ด้วยแล้วน่ากลัวจะอยู่กันยากเพราะมือที่ 3 ที่รอโอกาสก็เห็นกันอยู่ประเทศชาติยังรอการฟื้นฟูอีกมาก ไม่ว่าจะ เป็นความวุ่นวายในรูปแบบไหนก็ตามย่อมไม่เป็น ผลดีกับการบริหารงานของรัฐบาลทั้งสิ้น ไหนจะ เรื่องของความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่เสื่อมไป

ระวัง!..อย่าให้ใครมาฉวยโอกาส เพราะ มือที่ 3 กำลังจับจ้องอย่างจดจ่อ!!!

ที่มา.สยามธุรกิจออนไลน์
/////////////////////////////////////////////////////////

องค์กรกลางเสนอเลือกตั้งนายกฯโดยตรง..!!?



องค์กรกลางระดมความคิดเห็นจัด 6 ข้อเสนอยกเครื่องเลือกตั้ง ให้เลือกนายก ฯ โดยตรง - ออก กฎหมายองค์กรเอกชนตรวจสอบเลือกตั้งได้ไร้อุปสรรค

พล.อ.สายหยุด เกิดผล ประธานมูลนิธิองค์กรกลางเพื่อประชาธิปไตย และคณะ ร่วมแถลงข่าวภายหลังการสัมมนา “ ภารกิจภาคพลเมืองหลังการเลือกตั้ง และการปฏิรูปการเลือกตั้งของไทย” ซึ่งร่วมกับมูลนิธิอันเฟรล "Anfrel Foundation" จัดสัมมนาระดมความคิดเห็น ตั้งแต่วันที่ 16 -18 ธ.ค.

พล.อ.สายหยุด กล่าวว่า หลังการเลือกตั้ง 3 ก.ค.2554 มีคำถามหลายคำถามเกิดขึ้น ขณะที่ประชาชนมีความรู้สึกต่างๆกัน แต่พีเน็ตมีจุดยืนยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข แต่เรายังเห็นว่าประชาธิปไตยยังไม่สมบูรณ์ตามคำที่ว่าประชาธิปไตยเป็นของประชาชน เพื่อประชาชน โดยการเลือกตั้งที่ผ่านมารัฐบาลอ้างว่าได้เสียงประชาชน 15 ล้านเสียง อาจบอกได้ว่าประชาธิปไตยมาจากประชาชน แต่เรายังสงสัยว่าทำงานเพื่อประชาชนหรือไม่ซึ่งเป็นข้อที่เรามีความกังวลจากพฤติการณ์ต่างๆ ที่รัฐบาลแสดงออกมา

และจากการสังเกตการณ์ของภาคพลเมืองเห็นว่า รัฐบาลไม่ได้ทำตามนโยบายที่หาเสียงว่าจะทำงานเพื่อประเทศชาติ แต่น่าสงสัยว่าจะทำงานเพื่อบุคคลใดบุคคลหนึ่งหรือไม่ จึงเห็นว่าการเลือกตั้งที่ผ่านมายังไม่เป็นประชาธิปไตยของประชาชน เพื่อประชาชน

ขณะที่การที่เราจะได้รัฐบาลที่เป็นประชาธิปไตย ส่วนหนึ่งก็ต้องมาจากระบบการเลือกตั้งด้วย ซึ่ง กกต. ผู้จัดการเลือกตั้ง ต้องทำตามระเบียบ มีความซื่อสัตย์ เที่ยงตรง นอกจากนี้ยังต้องให้มีองค์กรเอกชนที่เข้มแข็งเข้าไปร่วมในการตรวจสอบการเลือกตั้งด้วย

พล.อ.สายหยุด กล่าวว่า เมื่อจัดการเลือกตั้ง 3 ก.ค. 2554 เราหวังว่าจะให้มาจัดการแก้ปัญหาการเมือง แต่กลายเป็นการสร้างปัญหาทางการเมืองขึ้นมาอีกในรูปใหม่ ขณะที่การเลือกตั้งครั้งนี้ให้บทเรียนสำคัญ คือ ไม่ว่าใครจะเลือกพรรคไหนก็ดี แต่การที่จะให้ประเทศชาติจะแก้ปัญหาก้าวหน้าไปได้ ก็ต้องมีผู้นำที่ดี หรืออย่างน้อยที่สุดมีผู้นำที่เข้มแข็ง ซึ่งต้องกล้ารับผิดชอบ มีความซื่อสัตย์สุจริต มีความตั้งใจจริงไม่กลับคำ มีการเสียสละ และความกล้าหาญในการตัดสินใจแม้เรื่องนั้นจะเกี่ยวข้องผลประโยชน์ของตนเอง หรือพี่น้อง ก็ต้องตัดสินให้ได้

แต่จากพฤติการณ์ที่เป็นอยู่ทำให้เรายังไม่เชื่อมั่นว่า ผู้นำเข็มแข็ง เพราะไม่ยอมรับผิดชอบ ไม่ยอมรับรู้บางเรื่อง บางครั้งสังคมยังสงสัยว่าใครเป็นผู้นำ หรือนายกรัฐมนตรีหัวหน้ารัฐบาลกันแน่ ตรงนี้เห็นได้ชัดว่า หากผู้นำไม่เข็มแข็ง ไม่ปรับปรุงหรือแสดงตัวเองให้เข้มแข็ง ต่อไปคงไม่สามารถการแก้ไขปัญหาหรือนำประเทศชาติสู่ความก้าวหน้าได้ อย่างไรก็ดีสุดท้ายต้องกลับมาที่ประชาชนด้วยเพราะประชาชนเป็นผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง การแก้ปัญหาจึงต้องให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสินใจว่าจะเลือกทางใด

นายสอรัฐ มากบุญ ตัวแทนพีเน็ต กล่าวถึงข้อสรุปการสัมมนาระดมความคิดเห็นของภาคพลเมืองที่ให้ยกเครื่องกระบวนการเลือกตั้งว่า 1.ให้ปฏิรูประบบการเลือกตั้ง ส.ส. โดยให้สะท้อนเสียงประชาชนอย่างแท้จริง ด้วยการเปลี่ยนระบบเสียงข้างมากธรรมดา หรือระบบคะแนนนำกำชัย ให้เป็นระบบใหม่ที่สะท้อนจำนวนคะแนนเสียงของผู้มีสิทธิเลือกตั้งอย่างแท้จริงเป็นธรรม เพื่อให้เกิดรัฐบาลที่มีเสถียรภาพ เคารพเสียงข้างน้อย และลดการซื้อขายเสียง และ ส.ส.ระบบเขต ไม่จำเป็นต้องสังกัดพรรค ส่วน ส.ส.ระบบสัดส่วน ให้กำหนดเขตเลือกตั้งไม่เกิน 5 เขต ให้เป็นระบบบัญชีรายชื่อแบบเปิดโดยผู้มีสิทธิเลือกตั้งเป็นผู้กำหนดลำดับที่และเลือกข้ามพรรคได้

2.ผู้มีสิทธิเลือกตั้งและการใช้สิทธิ ให้มีการลงทะเบียนก่อนวันเลือกตั้งทุกครั้ง รวมทั้งยกเลิกการจำกัดสิทธิของผู้ต้องขัง ภิกษุ สามเณร แม่ชี ภิกษุณี สามเณรี และกำหนดให้มีวันเลือกตั้งล่วงหน้ามากกว่า 1 วัน

3.การปฏิรูป กกต. ให้ มาจากหลากหลายสาขาอาชีพ มีสัดส่วนชายหญิงใกล้เคียงกัน ปรับบทบาท กกต. ให้มีอำนาจหน้าที่จัดเลือกตั้งเป็นหลัก ส่งเสริมองค์กรเอกชนมีส่วนร่วมในการพัฒนาตรวจสอบการเลือกตั้งอย่างแท้จริง และให้ กกต.เป็นผู้ผลิตสื่อ ดำเนินการประชาสัมพันธ์ การหาเสียงของผู้สมัคร และพรรคการเมืองอย่างเท่าเทียม

4.การปฏิรูปกฎหมายพรรคการเมือง เสนอให้นายกรัฐมนตรีในฐานะหัวหน้าฝ่ายบริหาร มาจากการเลือกตั้งโดยตรง ซึ่งผู้ชนะต้องได้รับคะแนนเสียงเกินกึ่งหนึ่ง ไม่ควรให้มีการยุบพรรคเมื่อกรรมการและสมาชิกพรรคทำผิด ควรมีกฎหมายกำหนดทุกพรรคการเมือง มีสัดส่วนผู้สมัครสตรีเป็นจำนวนที่ชัดเจนและให้มีบทลงโทษหากไม่ปฏิบัติตาม รวมทั้งเปิดโอกาสให้ตัวแทนชนกลุ่มน้อยหรือผู้ด้อยโอกาสมีที่นั่งในสภาผู้แทนราษฎรด้วย และกำหนดบทลงโทษที่ชัดเจนและทำการลงโทษหากพรรคการเมืองไม่เปิดเผยข้อมูลการรับจ่ายเงินและข้อมูลของนักการเมืองในพรรคที่ตนสังกัดอยู่ต่อสาธารณะ

5.เสนอให้มี พ.ร.บ.องค์กรเอกชนตรวจสอบการเลือกตั้ง เพื่อให้ประชาชน สามารถตรวจสอบการเลือกตั้งในทุกระดับอย่างอิสระและตรวจสอบพรรคการเมืองได้โดยปราศจากอุปสรรคใด ๆ และรัฐจำเป็นต้องกำหนดให้องค์กรตรวจสอบดังกล่าว มีกองทุนพัฒนาองค์กรเอกชนที่มีสัดส่วนเท่าเทียมกับกองทุนพัฒนาการเมือง

6.การเลือกตั้ง เพื่อให้การทำงานของกกต. มีประสิทธิภาพมากขึ้นในการแก้ปัญหาร้องเรียน การฉ้อฉลเลือกตั้ง ให้ตั้งศาลคดีเลือกตั้ง ขึ้นมาดำเนินคดีโดยเฉพาะเพื่อรับเรื่องร้องเรียนจากหน่วยงานผู้เสียหาย และประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง

อย่างไรก็ดีเพื่อให้ข้อเสนอเหล่านี้มีความเป็นได้ เราโดยภาคพลเมืองจะนำเสนอเรื่องนี้ต่อรัฐบาล กกต. คณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับเลือกตั้งต่อไป โดยเราจะมีการรณรงค์ประชาชนทุกภาคส่วนในการขับเคลื่อนให้การปฏิรูปการเลือกตั้งนี้เป็นจริงด้วย ซึ่งเราจะให้การเมืองภาคประชาชนมีพลังมากขึ้น ขณะที่กรอบเวลาการผลักดันให้ออก พ.ร.บ.องค์กรเอกชน ตรวจสอบ ฯ คงใช้เวลาประมาณ 1 ปีในการสร้างกระแสให้เกิดการยอมรับ และยกร่างกฎหมายเพื่อเสนอสภาพิจารณาต่อไป ซึ่งต้องให้มีการสำรวจความเห็นประชาชนให้เรียบร้อยด้วย

น.ส.สมศรี หาญอนันทสุข ผู้อำนวยการมูลนิธิอันเฟรล กล่าวถึงการนำข้อเสนอให้ได้รับการปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรมว่า หากเราทำให้ข้อเสนอเหล่านี้ปฏิบัติได้ จะทำให้การเลือกตั้งในอนาคตมีประสิทธิภาพ มีมาตรฐานมากขึ้น และจะนำสู่ความปรองดองได้อย่างแท้จริง ขณะที่การประชุมครั้งนี้จะได้นำไปสู่การต่อยอดในการประชุมระดับสากลภูมิภาคด้วย ซึ่งจะนำข้อสรุปที่ได้จากการประชุมไปประกอบในการประชุม การประกาศปฏิญญาว่าด้วยการเลือกตั้งที่บริสุทธิ์ยุติธรรมในภูมิเอเชีย ที่จะจัดขึ้นที่ กทม. ในเดือน มี.ค.2555 หรือ ค.ศ. 2012 ซึ่งมีองค์กรเอกชนและผู้ชำนาญการเลือกตั้งจากนานาชาติร่วมประมาณ 20 ประเทศ

ดร.สุชาดา เมฆรุ่งเรืองกุล ผู้ประสานงานเครือข่ายหญิงผลิกโฉมประเทศไทย กล่าวด้วยว่า เชื่อว่าข้อเสนอต่างๆ เหล่านี้จะร่วมกันผลักดันให้เป็นรูปธรรมได้ก่อนที่จะมีการเลือกตั้งครั้งต่อไปที่คาดว่าจะมีการเลือกตั้งในปี 2558 เมื่อครบวาระ 4 ปี หลังจากการเลือกตั้งปี 2554

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
/////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันเสาร์ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2554

คำต่อคำ รัฐบาลยิ่งลักษณ์พบประชาชน.. ที่ตลาดวโรรส ปีหน้าความท้าทายคือเศรษฐกิจโลก !!?

รายการรัฐบาลยิ่งลักษณ์พบประชาชน ครั้งที่ 12 นายกรัฐมนตรีเดินทางมาออกรายการ "รัฐบาลยิ่งลักษณ์พบประชาชน" ที่ตลาดวโรรส จังหวัดเชียงใหม่

วันนี้ (17 ธ.ค.54) เวลา 08.05 น. นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เดินทางมาออกรายการ "รัฐบาลยิ่งลักษณ์พบประชาชน" ครั้งที่ 12 ที่ตลาดวโรรส จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งออกอากาศทางสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทยและสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศ โดยมีนายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง และคณะ ร่วมเดินทางมาออกรายการด้วย นอกจากนี้ ยังมีประชาชนชาวเชียงใหม่มารอต้อนรับนายกรัฐมนตรีเป็นจำนวนมาก ทำให้บรรยากาศที่ตลาดวโรรสเป็นไปอย่างคึกคัก พร้อมกันนี้ นายสุรนันทน์ เวชชาชีวะ ได้ทำหน้าที่เป็นผู้สัมภาษณ์นายกรัฐมนตรีตลอดรายการ

ช่วงที่ 1

นายสุรนันทน์ สวัสดีครับ ผมสุรนันทน์ เวชชาชีวะ ...... ท่านสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และท่านบุญทรง เตริยาภิรมย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ทั้ง 2 คนนี้เป็น ส.ส.เชียงใหม่ และมาพร้อมกับท่านนายกเทศมนตรี และท่านผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ สวัสดีครับ

นายกรัฐมนตรี ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณ คุณสุรนันทน์ ที่แวะมาวันนี้ ก็เป็นอีกรูปแบบหนึ่ง ของการจัดรายการรัฐบาลยิ่งลักษณ์พบประชาชน

ที่นี่เป็นตลาดวโรรส เป็นตลาดที่ดิฉันได้มาคุ้นเคยตั้งแต่เด็ก แล้วรวมถึงว่าตลาดที่นี่เป็นศูนย์กลางของนักท่องเที่ยวที่มาจังหวัดเชียงใหม่ด้วยว่า ไปไหนจะซื้อกับข้าวหรือซื้ออะไรต้องมาที่นี่ ต้องมาถึงเชียงใหม่แล้ว

นายสุรนันทน์ ท่านนายกรัฐมนตรีครับ เป็นครั้งแรกตั้งแต่ท่านนายกรัฐมนตรีรับตำแหน่ง ได้กลับมาเชียงใหม่บ้างไหมครับ

นายกรัฐมนตรี ก็ได้กลับมาบ้าง แต่ว่าหลังจากที่ได้มีการแถลงนโยบายต่อรัฐสภาอย่างเป็นทางการ ก็ถือว่าครั้งนี้เป็นครั้งแรก

นายสุรนันทน์ ก็แสดงว่าเป็นครั้งแรกที่เป็นนายกรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการเลย

นายกรัฐมนตรี ใช่ค่ะ ได้ถือโอกาสมาบ้านเกิด และวันนี้มีภารกิจด้วย มาอย่างเป็นทางการ

นายสุรนันทน์ คิดถึงบ้านไหมครับ

นายกรัฐมนตรี คิดถึงบ้านค่ะ ก็คิดถึงคนเชียงใหม่ด้วยกัน กลับมาแล้วเจอคนเก่า ๆ ก็รู้สึกมีความสุข ตลาดที่นี่มีทั้งของแห้งของสด มีทั้งกับข้าวด้วย

นายสุรนันทน์ หลากหลายเลย

นายกรัฐมนตรี ค่ะ หลากหลายเลย

นายสุรนันทน์ อะไรอร่อยบ้างครับแถวนี้

นายกรัฐมนตรี หลายอย่างเลยค่ะ ต้องอยู่ที่ว่าชอบทานอะไร

นายสุรนันทน์ ผมทำรายการอาหารอยู่แล้ว

นายกรัฐมนตรี ถ้าอาหารเหนือที่ขึ้นชื่อก็มี ไส้อั่ว น้ำพริกหนุ่ม แคปหมู และส่วนใหญ่เป็นของที่ส่วนใหญ่คนกรุงเทพฯ ทั้งไทยทั้งต่างประเทศก็จะซื้อเป็นของแห้งกลับไป

นายสุรนันทน์ ท่านนายกฯ เป็นนายกรัฐมนตรี ที่ทำเนียบได้กินอาหารเหนือบ้างไหม

นายกรัฐมนตรี ไม่ค่อยเลยค่ะ ลำไยแห้งก็เป็นสิ่งหนึ่งของผลิตภัณฑ์ ที่จริง ๆ ลำไยทางเชียงใหม่มีมาก และเริ่มมีการปรับ ซึ่งวันนี้เขาพัฒนาไปมาก มีลำไยแห้งเป็นห่อเป็นอะไรอีกมาก

มีกาละแมด้วยค่ะ คุณสุรนันทน์ชอบทานอะไรไหมค่ะ

นายสุรนันทน์ ผมไส้อั่วประจำอยู่แล้ว น้ำพริกหนุ่ม และไม่อยากบอกว่าแคปหมู

นายกรัฐมนตรี แคปหมูมีหลายแบบนะคะ มีทั้งไร้มัน มีทั้งใส่เครื่องปรุง มีแคปหมูธรรมดา และมีแหนม

นายสุรนันทน์ อย่างนี้เรียกว่าอร่อยเลย

ประชาชน ผมขอให้นายกรัฐมนตรีเป็นหนึ่งของคนเชียงใหม่ ขอให้นายกรัฐมนตรีมีสุขภาพแข็งแรง

นายกรัฐมนตรี ขอบคุณค่ะ

นายสุรนันทน์ ท่านเป็นนายกรัฐมนตรีเชียงใหม่คนที่สองใช่ไหมครับ คนแรกก็คือพี่ชายท่านเอง พันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร

นายกรัฐมนตรี ใช่ค่ะ ถือว่าเป็นคนที่สองค่ะ

นายสุรนันทน์ ในตระกูลเดียวกันด้วย

นายกรัฐมนตรี ถือว่าพี่น้องประชาชนทั้งประเทศ ต้องขอขอบคุณที่ให้โอกาสคนทางเหนือได้มาทำงานทำหน้าที่ในการรับใช้พี่น้องประชาชน

นายกรัฐมนตรี เราจะเดินไปดูซุ้มอาหารไหมค่ะ

นายสุรนันทน์ ครับ ถ้าเดินเข้าไปได้ หนาแน่น อบอุ่นจริง ๆ ครับ

นายกรัฐมนตรี ดูแล้วก็อดไม่ได้ ส่วนใหญ่ก็เป็นของโปรดทั้งนั้น ไส้อั่ว ส่วนใหญ่ก็มีหลายแบบ อันนี้จะเป็นแหนม แต่ว่าส่วนใหญ่แล้วบางคนจะห่วงสุขภาพ จะเป็นแหนมที่ทอดแล้ว แต่เดี๋ยวนี้ก็มีเทคโนโลยีทันสมัยที่เป็นแหนมที่ทานแล้วปลอดภัย

นายสุรนันทน์ อาหารไทยส่งออกเมืองนอกมากปัจจุบันนี้

นายกรัฐมนตรี ใช่ค่ะ ก็เป็นอีกนโยบายหนึ่งเหมือนกันที่เราอยากให้ครัวไทยสู่ครัวโลก และนำอาหารต่าง ๆ ส่งออก เพราะวันนี้เทคโนโลยีต่าง ๆ ในเรื่องของการปรุงอาหารต่าง ๆ และสินค้าพื้นบ้านมีมาก และหลายประเทศสนใจ เรายังขาดเรื่องของการดูแล เรื่องของรูปแบบ packaging การถนอมอาหารต่าง ๆ ซึ่งถ้าเราไปเสริมในส่วนตรงนี้เพิ่มขึ้นจะทำให้อาหารไทยส่งออกได้มากกว่านี้

นายสุรนันทน์ เวลาท่านนายกฯ ไปต่างประเทศต้องขนไปบ้างไหมครับ

นายกรัฐมนตรี ขนไปค่ะ เดี๋ยวนี้น้ำพริกหนุ่มก็จะเป็นรูปแบบใหม่ เมื่อก่อนจะเอาไปค่อนข้างลำบาก เดี๋ยวนี้จะเริ่มมีเป็นกระป๋อง อย่างแคปหมูเดี๋ยวนี้สามารถเอาไปเข้าไมโครเวฟเหมือนป๊อปคอร์น และก็อุ่นออกมาได้ อันนี้เป็นอะไรที่น่าทึ่ง และเราได้มีโอกาสมาชื่นชมฝีมือของคนไทย

นายสุรนันทน์ เมื่อคืนท่านนายกฯ ไปงานพืชสวนโลกมาด้วย เป็นอย่างไรบ้าง

นายกรัฐมนตรี ดีค่ะ พืชสวนโลก จริง ๆ แล้วเปิดให้เข้าชม แต่ว่าจะเปิดอย่างเป็นทางการในเดือนหน้า วันที่ 15 มกราคม ไปแล้วน่าสนใจค่ะ ก็อยากถือโอกาสนี้เชิญชวนด้วยค่ะ เชิญชวนพี่น้องประชาชนมาชมงานพืชสวนโลก ซึ่งพืชสวนโลกเอง วันนี้ต้องมีการปรับปรุงใหม่ หลังจากที่มีบรรยากาศต่าง ๆ หน้าหนาว วันนี้อากาศดีมาก เมื่อคืนไปต้องใส่แจ๊คเก็ตบาง ๆ

นายสุรนันทน์ มีข่าวว่าขึ้นชิงช้าสวรรค์ 2 รอบ คิดถึงความเป็นเด็กหรือ

นายกรัฐมนตรี ไม่ค่ะ แต่ว่าขึ้นไป ก็เป็นโอกาสที่เราได้เห็นภาพรวมของพืชสวนโลกที่ค่อนข้างมาก ซึ่งปีนี้ก็มีพิเศษมาก คุณสุรนันทน์มีโอกาสต้องแวะไป

นายสุรนันทน์ ครับ มีโอกาสแล้วจะไป ก่อนไปท่านไปชมเรื่องหม่อนไหมด้วย

นายกรัฐมนตรี ค่ะ ถ้ากลับมาตรงที่พืชสวนโลก ปีนี้จะมีการรวมของการตกแต่งสถานที่ต่าง ๆ จากทั้งหมด 33 ประเทศ มีน่าสนใจ และมีหอคำที่เป็นเอกลักษณ์ น่าจะไปชื่นชม เดี๋ยวนี้มีการเพิ่มแผงไฟตามรอบต้นไม้ต่าง ๆ และเล่นประกอบกับเพลง ทำให้เห็นบรรยากาศ และมีขบวน Electric parade ด้วย

นายสุรนันทน์ เดี๋ยวผมจะให้ท่านนายกฯ ได้พบปะกับประชาชน เราพักกันสักครู่ และเราจะไปนั่งคุยกันต่อ ดีไหมครับ

นายกรัฐมนตรี ดีค่ะ
ช่วงที่ 2

นายสุรนันทน์ ครับตอนนี้ผมนั่งอยู่กับท่านนายกฯ ยิ่งลักษณ์ และคณะแล้วครับ อาหารอยู่หน้าโต๊ะท่านนายกฯ ไม่รู้จะได้ชิมหรือเปล่า แต่ว่าเราคุยกันก่อน

นายกรัฐมนตรี เราคุยกันก่อน

นายสุรนันทน์ ต้องอดใจใช่ไหมครับ ท่านนายกฯ ครับจริง ๆ แล้วมาเชียงใหม่เที่ยวนี้ท่านนายกฯ มีภารกิจพิเศษด้วย เพราะว่าสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ได้มีการประชุมเกี่ยวกับเรื่องหม่อนไหม เป็นมาอย่างไรครับท่านนายกฯ

นายกรัฐมนตรี ต้องเรียนก่อนว่าหม่อนไหม จริง ๆ แล้วเดิมทีตั้งแต่สมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จะมีกรมช่างไหม ต่อมาในปี 2552 สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงมีพระราชดำริให้ตั้งกรมหม่อนไหม เพื่อเป็นการยกระดับสำหรับในเรื่องของการวิจัยและการพัฒนา และโครงสร้างเกี่ยวกับเรื่องของเกษตร เพื่อที่จะมาวิจัยพัฒนาเรื่องของผ้าไหม เพราะบางครั้งคุณภาพของผ้าไหมเองถ้าไม่ได้คุณภาพก็จะทำให้คุณภาพตรงนี้เสียดายไป เพราะเป็นงานที่ว่าเป็นภูมิปัญญาของคนไทยโดยแท้ และเป็นเอกลักษณ์ของคนไทย ซึ่งกรมหม่อนไหมก็ได้ทำงานร่วมกับทางศูนย์ศิลปาชีพด้วย

นายสุรนันทน์ แสดงว่าสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระองค์ท่านทรงมีพระกระแสรับสั่งเรื่องนี้ และทรงมีพระวิสัยทัศน์ที่ชัดเจน

นายกรัฐมนตรี ใช่ค่ะ งานนี้จะเป็นงานที่เรียกว่าหม่อนไหมโลก จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 22 และประเทศไทยเป็นเจ้าภาพในงานนี้นะคะ สมเด็จพระเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถได้เสด็จทอดพระเนตรในเรื่องของภูมิปัญญาไทย ซึ่งเมื่อวานนี้ก็น่าสนใจทีเดียว เพราะว่ามีนิทรรศการผ้าไหม และจะมีลายโบราณเยอะเลย เข้ามาถักทอ และวันนี้เทคโนโลยีต่าง ๆ ที่ผู้ทอก็เปลี่ยนไปเยอะ ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งที่จะมาต่อยอด อย่างโครงการพระราชดำริของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชืนีนาถ ด้วย

นายสุรนันทน์ รัฐบาลมีแนวทางที่จะต่อยอดตรงนี้อย่างไรครับ ที่จะช่วยสานต่อ

นายกรัฐมนตรี เราคงจะมาสานต่อในส่วนของการที่จะส่งเสริมในเรื่องของสินค้าพื้นบ้านต่าง ๆ เพราะว่าผ้าไหมมีหลายที่ เมื่อวานนี้ทางภาคอีสานก็มี ภาคเหนือก็มี ที่ได้รับรางวัล อย่างเมื่อวานนี้จะเป็นการส่งเสริมการประกวด และมีรางวัลร่วมกับนานาประเทศ สำหรับคนไทยก็คงจะเสริมในเรื่องของการหาคุณภาพฝีมือและขยายผลต่อเพื่อให้เป็นเอกลักษณ์ของคนไทยอย่างแท้จริง และให้เห็นว่างานศิลปะของคนไทยนั้นเป็นอะไรที่น่าชื่นชมและยกย่อง ส่วนตัวดิฉันเองก็ผูกพันกับผ้าไหมมาอยู่แล้ว อยากจะเอาตรงนี้มาสานต่อร่วมกับทางศูนย์ศิลปาชีพด้วยค่ะ

นายสุรนันทน์ มีทั้งเรื่องอาหาร มีทั้งเรื่องไหม เรื่องเชียงใหม่แหล่งท่องเที่ยวเราพูดถึงเรื่องพืชสวนโลก ท่านในฐานะที่เป็นนายกฯ ที่มาจากเมืองเชียงใหม่ มีวิสัยทัศน์ที่จะทำอะไรให้เชียงใหม่บ้างครับ

นายกรัฐมนตรี ถ้าคุณสุรนันทน์ดูจากเชียงใหม่ ด้วยสภาพบรรยากาศต่าง ๆ นี้ ความเจริญก็มี รวมถึงผสมกับเรื่องของเสน่ห์ของธรรมชาติ ซึ่งเชียงใหม่มีทั้งเขาและน้ำตก ก็เป็นอะไรที่น่าสนใจสำหรับนักท่องเที่ยว และขณะเดียวกันอาหารต่าง ๆ ก็มีเอกลักษณ์ ก็อยากเห็น เมืองเชียงใหม่เป็นอีกเมืองหนึ่งของเมืองท่องเที่ยว โดยเฉพาะช่วงของบรรยากาศปลายปีก็เป็นบรรยากาศที่ดีทีเดียว ซึ่งน่าจะเป็นจุดหนึ่งในเรื่องของการท่องเที่ยวทั้งในประเทศและต่างประเทศ นอกจากนั้นในเชียงใหม่เองจะมีทั้งเรื่องในเรื่องของโครงการพวกศิลปะ หัตถกรรมต่าง ๆ มีในเรื่องของร่ม งานฝีมือต่าง ๆ อันนี้ก็น่าสนใจ

นายสุรนันทน์ ชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก

นายกรัฐมนตรี ใช่ค่ะ

นายสุรนันทน์ เห็นว่าท่านนายกฯ เองก็ตั้งใจจะกลับมาอีกตอนต้นปี เป็นคณะรัฐมนตรีสัญจรครั้งแรกเหมือนกัน

นายกรัฐมนตรี ใช่ค่ะ พอดีเดือนหน้าค่ะ เพราะว่าวันนี้จริง ๆ แล้วช่วงนี้จะเป็นการเหมือนกับ Soft Openning ของพืชสวนโลก จะมีพิธีเปิดอย่างเป็นทางการ

นายสุรนันทน์ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี จะเสด็จฯ ในช่วงนั้น

นายกรัฐมนตรี ใช่ค่ะ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี จะเสด็จฯ ในช่วงนั้นช่วงกลางเดือนหน้า มกราคม ก็จะถือโอกาสนี้เชิญคณะรัฐมนตรีมาประชุมคณะรัฐมนตรีสัญจรเป็นครั้งแรก คงจะได้มีการมาศึกษาและดูในเรื่องของภาพรวมของภาคเหนือทั้งหมด

นายสุรนันทน์ แต่อันนี้ก็ไม่ใช่เฉพาะภาคเหนือใช่ไหมครับ อีกหน่อยจะมี ครม. สัญจรไปภูมิภาคอื่น ๆ เดี๋ยวภาคอื่น ๆ น้อยใจ

นายกรัฐมนตรี ใช่ค่ะ บังเอิญว่าเราเองก็มาทำภารกิจด้วย และอยากให้ทางคณะรัฐมนตรีได้มาเห็น และถือว่าเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยว เพราะช่วงนี้ก็อยากให้มีการส่งเสริมการท่องเที่ยวเยอะ ๆ นะคะ

นายสุรนันทน์ ช่วงที่ท่านไม่ได้มา ติดภารกิจอะไรครับตอนนั้น

นายกรัฐมนตรี ตอนนั้นจริง ๆ แล้วอยากมามาก แต่ว่าหลังจากที่ได้มีการถวายสัตย์ฯ ได้เริ่มเข้ามา ยังไม่ได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภาก็น้ำท่วมแล้วค่ะ เลยต้องลงไปน้ำท่วม ยังต้องขอโทษคนเชียงใหม่ว่าภารกิจจริง ๆ แล้วต้องมาขอบคุณพี่น้องชาวเชียงใหม่ด้วย ถือโอกาสนั้นไปเยี่ยมเยียนในจังหวัดอื่น ตอนนั้นไปทางภาคเหนือตอนล่าง

นายสุรนันทน์ น้ำท่วมก็เห็นบทบาทท่านนายกฯ ทางรัฐบาลที่ช่วยกันอยู่เยอะ ตอนนี้สถานการณ์เป็นอย่างไรแล้วครับ

นายกรัฐมนตรี โดยรวมดีขึ้นนะคะคุณสุรนันทน์ แต่ว่ายังมีบางพื้นที่ที่อาจจะยังมีน้ำท่วมขังบ้าง ซึ่งเราก็ได้มีการเร่งสูบอย่างเช่น ทางกรุงเทพฯ ฝั่งตะวันตก และมีปทุมธานี นนทบุรี และนครปฐม ตอนนี้นครปฐมอาจจะยังน่าเป็นห่วงอยู่ แต่จังหวัดอื่น ๆ ก็เริ่มลดแล้ว อย่างตามถนนเส้นทางก็ดีขึ้น แต่อาจจะน้ำท่วมทุ่งบ้าง หรือตามหมู่บ้าน ซึ่งก็ได้มีการสั่งการขอให้ผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัดในการเร่งสูบน้ำโดยเร็ว

นายสุรนันทน์ ประชาชนในพื้นที่ฝากบอกว่าอยากได้ของขวัญปีใหม่ อยากให้แห้งเลย เป็นไปได้แค่ไหนท่านนายกฯ

นายกรัฐมนตรี ดิฉันก็อยากจะให้น้ำลดเป็นของขวัญปีใหม่ให้พี่น้องชาวไทยจริง ๆ โดยเฉพาะผู้ที่ประสบอุทกภัยน้ำท่วม เพราะว่าก็ทรมานมากค่ะเห็นแล้วค่ะ และเห็นใจและต้องกราบขอโทษพี่น้องประชาชนที่ยังดูแลไม่ทั่วถึง เนื่องจากพอน้ำท่วมปัญหาต่าง ๆ ก็ตามมาเยอะ เช่น ขยะ หรือว่าน้ำเน่า ขยะมูลฝอยต่าง ๆ ก็ต้องเร่งขอความร่วมมือจากทุกภาคส่วนพยายามเร่งรัดตรงนี้ค่ะ

นายสุรนันทน์ เห็นตอนต้นรายการเปิด VTR ที่ท่านนายกฯ ไปช่วยเยียวยา ฟื้นฟูตรงดอนเมือง พูดเรื่องขยะ พูดเรื่องสิ่งแวดล้อม ดู ๆ จะเป็นสิ่งที่อยู่ในใจท่านนายกฯ มาก และคนกรุงเทพฯ ก็ยังห่วงขยะ ท่านเร่งอย่างไรครับตอนนี้

นายกรัฐมนตรี อย่างที่ไปนี้ดอนเมืองก็ถือว่าเป็นอีกพื้นที่หนึ่งของกรุงเทพมหานครที่หนัก แต่ว่าบังเอิญดอนเมืองจังหวะที่ไปนั้นน้ำเริ่มลดค่ะ ก็ไปเห็นแล้วว่าขยะมูลฝอยเยอะมาก ถามว่าทำไมเยอะมากก็เพราะว่าบางส่วนนี้เฟอร์นิเจอร์ต่าง ๆ เสียหาย ตรงนี้ก็ได้ให้ทางกระทรวงที่เกี่ยวข้อง ทางด้านของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงอุตสาหกรรม ภายใต้ท่านรองนายกฯ ให้หารือร่วมกันกับกระทรวงมหาดไทย จะทำอย่างไรในการกำจัดขยะมูลฝอย เพราะว่าวันนี้เราพยายามที่จะย้ายขยะออกไป แต่ว่าเนื่องจากทุกพื้นที่น้ำท่วม ก็ทำให้เรื่องของการทิ้งจะลำบาก ต้องผลักไปนอกเมืองที่จะไปทิ้ง ก็จะทำให้การทำงานนั้นช้า ถ้าเรามีวิธีการในการที่จะบำบัดหรือกำจัดขยะไปด้วยเลยก็น่าจะเป็นสิ่งที่ดี

นายสุรนันทน์ ต้องช่วยกันคนละไม้ละมืออย่างที่ท่านนายกฯ บอกว่าต้องช่วยกัน ทุกคนต้องช่วยกัน

นายกรัฐมนตรี ค่ะ อยากเห็นเดือนนี้เป็นเดือนของการฟื้นฟูค่ะ เพื่อเป็นการแสดงความจงรักภักดีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในวันมหามงคล 5 ธันวาคมนี้ด้วย จะได้ช่วยกันทำงานทั้งเมือง และสุดท้ายก็จะได้เป็นของขวัญปีใหม่สำหรับคนไทยทุกคน

นายสุรนันทน์ เราช่วยกันสร้างของขวัญปีใหม่ด้วยเลย ปีหน้าก็จะได้เริ่มต้นใหม่

นายกรัฐมนตรี ใช่ค่ะ

นายสุรนันทน์ แต่ก็ยังมีหลายคนเป็นห่วงบอกว่านักลงทุน นักอะไรต่าง ๆ เขามาบอก บอกว่าท่านนายกฯ ชัดเจนหรือยังเรื่องแผนที่จะดูระยะสั้นระยะยาว

นายกรัฐมนตรี สำหรับแผนนะคะ วันนี้ได้เร่งรัดทางด้านของคณะกรรมการ กยน. คือการบริหารจัดการเกี่ยวกับน้ำ และทางด้านของเศรษฐกิจ วันนี้ก็เร่งรัดที่จะทำงานอยู่นะคะ คิดว่าต้นปีน่าจะมีความชัดเจนเกิดขึ้น

นายสุรนันทน์ พอบอกโครงบ้างได้ไหมครับท่านนายกฯ เล่าโครงให้หน่อยว่าคิดอะไรอยู่ ทำอะไรอยู่บ้างได้ไหมครับ

นายกรัฐมนตรี ได้ค่ะ คร่าว ๆ อย่างที่เราทำอย่างแรกวันนี้ สิ่งที่เป็นโครงสร้างพื้นฐานต้องกลับคืนมาสู่สภาพเดิมให้เร็วที่สุด เพราะว่าอย่างเช่น ถนนหนทาง โรงเรียน โรงพยาบาล วัดวาอารามต่าง ๆ ก็ต้องเปิดให้กลับมาเป็นปกติ และเราเองก็ต้องทำงานแข่งกับเวลาเพราะว่าพฤษภาคมหน้าจะมีเรื่องน้ำฝนแล้ว บางพื้นที่เริ่มเจอน้ำแล้ง ฉะนั้นเวลาเราคิดอะไรเราต้องคิดเผื่อทั้งเรื่องของฝน หน้าฝนด้วย และน้ำแล้งด้วยค่ะ เราก็จะพยายาม ตอนนี้ได้ให้มีการสำรวจในส่วนของแนวคันกั้นน้ำโครงการพระราชดำริที่มีอยู่แล้ว ก็ไปดูแลปกป้องให้แข็งแรงขึ้น ขณะเดียวกันคณะกรรมการที่บริหารจัดการน้ำก็กำลังจะร่างแผน เพราะว่าเราต้องไปคำนึงตั้งแต่แนวทางน้ำไหลจริง ๆ เพราะบางครั้งธรรมชาติของน้ำนั้นฝืนยากหน่อย ก็จะมาดูในพื้นที่ต่าง ๆ จะได้ตกลงในเรื่องของการวางแผนระยะยาวให้ตรงนี้

นายสุรนันทน์ เราก็คงจะต้องรอตรงนี้ ไม่นานใช่ไหมครับท่านนายกฯ มกราคมจะเห็น

นายกรัฐมนตรี ตอนนี้ก็อยากเห็นมกราคมค่ะ เพราะว่าคนไทยคงตั้งตารอ และโดยเฉพาะการที่จะให้ทางต่างชาติมั่นใจ คงจะทยอยเป็นแผนใหญ่ก่อน แต่ถ้าเป็นแผนละเอียดนั้นคงต้องค่อย ๆ ลงไปตามพื้นที่ด้วยค่ะ

นายสุรนันทน์ แต่เท่าที่ท่านนายกฯ ได้พบ ชาวต่างชาติมาพบท่านนายกฯ เยอะ ดูเขามั่นใจไหมครับ หรือว่าเขายังถามอยู่

นายกรัฐมนตรี ก็ทั้งสองส่วนนะคะ จากทั้งที่เราได้ไปประชุมทางด้านของอาเซียนและได้ไปพบกับทางนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ซึ่งท่านรัฐมนตรีก็ไปด้วย โดยรวมนักลงทุนในประเทศต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นประเทศญี่ปุ่นเอง อเมริกา หรือจีน ก็ยังมั่นใจในประเทศไทย

นายสุรนันทน์ ยังไม่ทิ้งไปไหน

นายกรัฐมนตรี ไม่ทิ้งไปไหน ต้องกราบเรียนพี่น้องประชาชนว่าเมืองไทยก็มีเสน่ห์ มีเอกลักษณ์อยู่ คือสภาพความเป็นอยู่ และที่สำคัญจิตใจ น้ำใจของคนไทย หลาย ๆ ชาติที่มาใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ก็จะรู้สึกประทับใจ ดังนั้นเราช่วยกันฟื้นฟูความมั่นใจเขาก็เกิดความสบายใจที่จะลงทุนต่อ

นายสุรนันทน์ คงจะต้องทำงานกันต่อ

นายกรัฐมนตรี ใช่ค่ะ

นายสุรนันทน์ พูดถึงเรื่องทำงานก็ต้องถามท่านนายกฯ แล้วว่าการบริหารงานมา 4 เดือนนี้ท่านนายกฯ ไปติด เรียกว่าติดน้ำท่วมเสีย 3 เดือน

นายสุรนันทน์ ใช่ค่ะ

นายสุรนันทน์ รู้สึกอย่างไรครับ รู้สึกว่าที่เราเคยประกาศไว้กับประชาชน นโยบายต่าง ๆ จะทำได้ไหม ต้องไปแก้ปัญหาน้ำท่วมก่อนหรือเปล่าครับ

นายกรัฐมนตรี ถ้าถามนะคะก็ต้องแน่นอนค่ะความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนเป็นหน้าที่หลักและเป็นภารกิจเร่งด่วน ก็ต้องทำเรื่องของน้ำก่อน ขณะเดียวกันบางนโยบายที่สามารถทำควบคู่กันไปได้ก็เร่งรัดทำค่ะ แต่ถ้าถามว่าเป็นอย่างที่อยากจะเป็นทั้งหมดหรือเปล่า ก็ไม่ เพราะว่าช่วง 3 เดือนแรกนี้เราก็ต้องไปเร่งรัดในเรื่องของการแก้ปัญหาเรื่องน้ำ แต่ที่ผ่านมา 4 เดือนก็มีหลายนโยบายที่เราได้มีการออกไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นนโยบายในเรื่องของโครงการรับจำนำข้าว ซึ่งหลังจากหมดหน้าเรื่องของน้ำท่วมแล้ว พี่น้องเกษตรกรก็จะเริ่ม

นายสุรนันทน์ เห็นเริ่มประกาศราคากันแล้ว

นายกรัฐมนตรี ใช่ค่ะ อันนี้ก็จะเป็นส่วนหนึ่งของการที่ทำให้มีรายได้ที่ดีขึ้น และจะมีโครงการบ้านหลังแรก รถคันแรก

นายสุรนันทน์ รถคันแรก เห็นท่านรัฐมนตรีบุญทรง (นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง) เป็นคนเปิด

นายกรัฐมนตรี ใช่ค่ะ ท่านรัฐมนตรีบุญทรง อันนี้ถือว่าเป็นโครงการเรียกว่ากระตุ้นเศรษฐกิจมากกว่า เพราะว่าเราจำเป็นต้องกระตุ้นวันนี้ อย่างเรื่องของโรงงานอุตสาหกรรมต่าง ๆ ก็มีผลกระทบโดยเฉพาะ เรื่องของโรงงานภาครถยนต์

นายสุรนันทน์ รถยนต์นี่เสียไปเยอะ

นายกรัฐมนตรี ใช่ค่ะ เราคงต้องกระตุ้นกลับมาในเรื่องของความมั่นใจ และการค้าขาย เพราะบางครั้งนโยบายบางนโยบายนั้นลงไปแล้วจะเกิดการจ้างงานและจ้างคนขึ้นมา

นายสุรนันทน์ เพราะฉะนั้นจริง ๆ เราก็ไม่ต้องเปลี่ยนอะไรในเมื่อมันไปกระตุ้นเศรษฐกิจ

นายกรัฐมนตรี ใช่ค่ะ นี่ก็ยังไม่ต้องเปลี่ยนค่ะ แต่ว่าต้องจัดเวลาให้เหมาะสม แต่อันหนึ่งที่เราเร่งรัดกลับมาก็คือในเรื่องของโครงการพักหนี้เกษตรกร และปรับปรุงจากนโยบายเราก็ได้เร่งรัดให้ทางกระทรวงการคลัง ทุกหน่วยงานประสานงานกับทางธนาคารในการให้ส่วนลด ดูแลเรื่องหนี้สินหรือค่าใช้จ่ายพี่น้องประชาชน หรือแม้กระทั่งเรื่องของประกัน ซึ่งวันนี้หลายท่านจะพูดถึงมากในเรื่องของประกันรถยนต์ ล่าสุดก็ไม่มีปัญหาถ้าเกิดมีการประกันก็จะมีการดูแล และในส่วนของศูนย์ประกันภัยจะช่วยในการซ่อมแซมด้วย

นายสุรนันทน์ ฉะนั้นก็ต้องช่วยกันทุกคน

นายกรัฐมนตรี ใช่ค่ะ

นายสุรนันทน์ มีข้อจำกัดไหมครับ เพราะงบประมาณก็ยังไม่ผ่าน จะไปผ่านเดือนมกราคมปีหน้า เหมือนกับเงินทองก็ยังไม่ค่อยลงตัว

นายกรัฐมนตรี ข้อจำกัดมีค่ะยอมรับ แต่ต้องไม่ได้เป็นอุปสรรคในการทำงาน วันนี้เราได้ใช้เรียกว่างบประมาณไปพลางก่อน คือประมาณบางส่วนของงบประมาณที่เราวางแผนไว้ ซึ่งในเรื่องของงบประมาณที่เราตั้งไว้เรื่องของการบริหารจัดการน้ำ 120,000 ล้านบาทก็จะใช้ได้ประมาณ 40,000 กว่าล้านบาท เราเลยต้องมาจัดลำดับความสำคัญในการใช้เงิน

นายสุรนันทน์ ที่ท่านนายกฯ ประชุมวันก่อนนี้ ที่ ครม.นัดพิเศษ

นายกรัฐมนตรี ใช่ค่ะ มีการประชุมร่วมกับคณะรัฐมนตรีทุกท่าน รวมกับผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัดเพื่อจะได้ทราบนโยบายร่วมกันในการที่จะจัดสรรตามความเร่งด่วนในการใช้เงินงบประมาณ ล่าสุดได้มีการจัดสรรเม็ดเงินลงไปแล้วเรียบร้อย

นายสุรนันทน์ ตอนนี้ส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องเยียวยาก่อน 5,000 บาท

นายกรัฐมนตรี ใช่ค่ะ เยียวยา 5,000 บาทและเรื่องการเยียวยาเรื่องของเกษตรกร เรื่องของไร่นาที่เสียหาย และมาดูในส่วนของโครงสร้างพื้นฐานที่จะเป็นอุปสรรคที่ไม่สามารถที่สัญจรได้ หรือไม่สามารถทำอะไรได้จะจัดสรรลงไปก่อน

นายสุรนันทน์ แต่พองบประมาณใหม่ออกก็น่าจะคล่องตัวขึ้น

นายกรัฐมนตรี ใช่ค่ะ

นายสุรนันทน์ แล้วในแผนระยะยาวนี้อยู่ที่ไหนครับ ที่จะมากำหนดว่าต้องใช้เงิน อย่างลงทุนอย่างเขาบอกฟลัดเวย์หรืออะไรพวกนี้ซึ่งเรายังไม่รู้ อยู่ที่คณะกรรมการน้ำ

นายกรัฐมนตรี รอคณะกรรมการน้ำวาง Master Plan อย่างเป็นทางการแล้วเราคงจะประมาณค่าใช้จ่ายได้ ซึ่งในกลไกนั้นเราต้องมีมาตรการในการที่จะหาเงินด้วย ทำทั้งสองอย่างค่ะ ทั้งแหล่งเงินทุนในประเทศและต่างประเทศ

นายสุรนันทน์ พอมาบริหารราชการจริง ๆ แล้วนี่เป็นนายกรัฐมนตรี ผิดกับการบริหารบริษัทไหมครับ

นายกรัฐมนตรี ผิดกันเยอะค่ะ แต่ว่าโดยหลักลึกของการบริหารจัดการน่าจะใช้หลักเดียวกัน คือการบริหารจัดการและการทำอย่างไรนั้นให้ทุกภาคส่วนนั้นมีส่วนร่วมในการทำงาน เราเรียกว่าต้องทำงานเป็นทีม อันนี้ไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานไหนก็ใช้หลักเดียวกัน

นายสุรนันทน์ ตอนเป็นบริษัทก็ทำงานเป็นทีม

นายกรัฐมนตรี ใช่ค่ะ อย่างวันนี้เราก็มองท่านรัฐมนตรีเป็นทีม แต่ละท่านก็มีภารกิจร่วมกัน และในการประสานงานก็จะมีการวางแผนร่วมกัน คิดด้วยกัน และการที่ไปทำปลายทางวันนี้กลไกหลักก็เป็นกระทรวงมหาดไทย อย่างเช่น ท่านผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด เราก็ต้องทำงานที่เรียกว่าประสานงาน ถ้าภาษาทางราชการก็เป็นบูรณาการ

นายสุรนันทน์ บูรณาการ ทั้งฝ่ายการเมืองทั้งฝ่ายประจำทำงานด้วยกันได้

นายกรัฐมนตรี ด้วยค่ะต้องใช้คำว่าต้องทำงานด้วยกันได้

นายสุรนันทน์ ต้องทำงานด้วยกันได้ อันนี้เป็นแนวทางของท่านนายกฯ เลย มีข่าวบอกว่าตอนนี้ท่านนายกฯ กำลังประเมินผลรัฐมนตรี ผมแกล้งถามท่านรัฐมนตรีสองคนให้สั่นเล่น แต่ว่าผมอยากจะถามหลักดีกว่า ไม่อยากไปถามว่าเป็นตัวบุคคลไหน หลักในการบริหารท่านก็ต้องประเมินผลประจำอยู่แล้วใช่ไหมครับ

นายกรัฐมนตรี จริง ๆ แล้วหลักในการบริหารเป็นเรื่องปกติค่ะที่เราเรียกว่าต้องติดตามผลงาน ถามว่าติดตามผลงานเพื่ออะไร ก็เพื่อว่าแผนที่เราตั้งใจไว้ว่า 3 เดือน 6 เดือน จะทำอะไร แล้วภายใน 3 เดือน 6 เดือนนั้นกลับมาเป็นอย่างไร แต่วันนี้ก็ต้องเห็นใจหลายกระทรวงที่เจอเรื่องของภาวะน้ำท่วม ก็ต้องกลับมาดูว่าภายใต้อุปสรรคตรงนี้ทำกันด้วยดีแค่ไหนอย่างไร ถ้าไม่ดี คราวหน้าเราจะปรับปรุงอย่างไร อันนี้เรียกว่าเป็นการประเมินผลงานมากกว่า ไม่ใช่เป็นรายบุคคล

นายสุรนันทน์ ไม่ได้เป็นรายบุคคลแต่เปลี่ยนคนได้

นายกรัฐมนตรี อันนี้ขอว่าคือต้องดูต่อไปค่ะ เพราะบางครั้งต้องดูว่าการทำงานนั้นต้องให้เกิดการต่อเนื่องด้วย

นายสุรนันทน์ ต้องให้โอกาสเขาทำงานเหมือนกัน เราคอยประเมินกัน

นายกรัฐมนตรี ใช่ค่ะ นี่เพิ่ง 4 เดือน

นายสุรนันทน์ รอ 6 เดือน ท่านนายกฯ ประเมินตัวเองไหมครับ

นายกรัฐมนตรี ก็ประเมินค่ะ พูดกับตัวเองนะคะ สิ่งที่อยากทำ จริง ๆ เราก็มีแผนที่ได้มีการแถลงไว้ต่อรัฐสภาอยู่แล้ว มาเจออุปสรรคบ้างก็พยายามที่จะกู้กลับมาตรงตามเวลา แต่ว่าคนประเมินนั้นน่าจะเป็นทางพี่น้องประชาชนมากกว่าค่ะ พี่น้องประชาชนเป็นคนประเมินดิฉันค่ะ

นายสุรนันทน์ เวลาทำงานแล้วเจออุปสรรคนี้ท่านนายกฯ คิดอะไรในการที่จะแก้ปัญหาฝ่าฟันอุปสรรคนั้นไปได้

นายกรัฐมนตรี ก็ต้องมองว่าอย่ามองอุปสรรคนั้นคือปัญหา มองว่าอุปสรรคนั้นคือหนทางที่เราจะได้มีโอกาสแก้ไขปัญหา ซึ่งถ้าเราคิดอย่างนี้เราก็จะคิดบวกและมีแรงผลักดันในการที่จะแก้ไขปัญหา ถ้าเรามองว่าทุกอย่างเป็นอุปสรรคก็ท้อทำอะไรไม่ได้ แต่ถ้ามองว่าอุปสรรคนั้นคือสิ่งที่เราต้องมาแก้ แล้วเขาเลือกเรามาก็เพื่อให้แก้ไขปัญหา ฉะนั้นนี่คือหน้าที่

นายสุรนันทน์ เพราะฉะนั้นเราก็ต้องอย่าท้อใช่ไหมครับ เพราะตอนนี้หลายคนไม่ใช่เฉพาะท่านนายกฯ หรอก คนที่ประสบอุทกภัย คนที่กิจการอาจจะล้มไปก็เพราะท้อ ท่านนายกฯ ใช้สูตรนี้ได้ไหมครับ

นายกรัฐมนตรี ใช้สูตรนี้ได้ค่ะ เรียกว่าอยากขอให้ทุกท่านนั้นมีกำลังใจและอย่าท้อนะคะ เพราะว่าตราบใดสิ่งของต่าง ๆ ที่เป็นของนอกกายนั้น จริง ๆ แล้วก็เกิดจากการที่ท่านใช้ความรู้ความสามารถของท่านในการสร้างขึ้นมา ขออึดใจอีกสักนิดหนึ่งและกลับไปสร้างกันใหม่ ส่วนของรัฐบาลเองก็จะทำทุกวิถีทางในการที่จะช่วยเหลือเยียวยาผู้ที่ประสบปัญหาอุทกภัย ซึ่งบางครั้งอาจจะขอเวลากับรัฐบาลบ้าง แต่จะทำให้เต็มที่ค่ะ และยืนยันว่าทุกหน่วยงานนั้นก็มีการเร่งรัดทำอย่างเต็มที่

นายสุรนันทน์ ถ้าเป็นไปอย่างที่ท่านนายกฯ คิดนี้ ปลายปี น้ำก็น่าจะเบากว่านี้ และปีหน้าคณะกรรมการต่าง ๆ ก็จะเสนอแผนใหญ่มา แต่ถ้าเรื่องอื่น ๆ ละครับ ท่านนายกฯ มองว่าปีหน้ามีความท้าทายอะไรเกี่ยวกับประเทศไทยบ้าง

นายกรัฐมนตรี ปีหน้าความท้าทายก็น่าจะเป็นเรื่องของเศรษฐกิจโลก ซึ่งวันนี้เองในเรื่องของความแน่นอนของเศรษฐกิจทางด้านของสหรัฐอเมริกาหรือทางยุโรปก็ค่อนข้างอ่อนไหว และตอนนี้เรื่องของเศรษฐกิจก็จะเคลื่อนมาสู่ภูมิภาคเอเชีย ซึ่งจีนก็จะมีบทบาทสำคัญ ประเทศไทยเราเองอาจจะไม่ได้มีผลโดยตรง แต่อาจจะเป็นทางอ้อม ถ้าเศรษฐกิจของต่างประเทศนั้นหยุดชะงัก ดังนั้นสิ่งที่เราป้องกันความเสี่ยงสำหรับประเทศก็คือว่า แทนที่เราจะต้องพึ่งเศรษฐกิจจากต่างประเทศอย่างเดียวเราก็ต้องมาสร้างฐานรากของประเทศไทย ก็คือรายได้ของในประเทศนั้นให้โตและมั่นคง ซึ่งถ้ากลับมาดูจริง ๆ แล้วโครงสร้างพื้นฐานของประเทศไทยเป็นโครงสร้างที่ดีและแข็งแรง เราต้องมาช่วยกันกระตุ้นค่ะ ช่วยกันกระตุ้นเศรษฐกิจ

นายสุรนันท

ที่มา: มติชนออนไลน์

///////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันศุกร์ที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2554

วันนี้หวยออก ! เก็งเลขเด็ดส่งท้ายปี นายกฯ ยิ่งลักษณ์ ยังแรง !!?




ต้องไม่ลืมว่าหลายต่อหลายครั้งที่หวยออก มักจะมีนัยเกี่ยวข้องกับนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ทุกครั้งไป โดยเฉพาะเมื่อครั้งรับตำแหน่งเมื่อกลางปีที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน ทำให้คอหวยได้เฮกันหลายต่อหลายครั้ง ถึงขั้นที่ว่าออก 3 งวดติดก็มีมาแล้ว

ไม่ว่าจะเป็นเลขป้ายทะเบียนรถ ลำดับการรับตำแหน่ง เลขที่บ้าน เลขอายุ วันเดือนปีเกิด หรือแม้กระทั่งเลขห้องพักเมื่อครั้งนายกฯ ป่วย ก่อนจะเข้ารับการรักษาด้วยอาการอาหารเป็นพิษ ที่โรงพยาบาลพระราม 9 สารพัดเลข ก็ถูกนำมาตีหวยได้เหมือนกัน

แม้ล่าสุด หลายๆ คนอาจจะผิดหวังไปบ้าง เมื่อผลสลากกินแบ่งรัฐบาลงวดประจำวันที่ 1 ธันวาคม 2554 ในส่วนของเลขท้าย 2 ตัว ออก 02 ซึ่งไม่มีเค้าลางเกี่ยวกับเลขโรงพยาบาลพระราม 9 ชั้น 15 เวลา 03.30 น. และห้อง 1518 แต่อย่างใด

แต่ก็มีเซียนหวยบอกว่า ก่อนที่นายกฯ ยิ่งลักษณ์ จะขึ้นรถออกจากโรงพยาบาลเพื่อไปเยือนเวียดนามเห็นชัดว่า นายกฯ ชู 2 นิ้ว ทำให้เซียนหวยอุทานทันทีว่า นายกฯ ใบ้หวยอีกแล้ว เพราะชู 2 นิ้ว ก็ "02" ไง

เล่นเอางานนี้เกิดอาการ "งง" ไปตามๆ กัน

พอมาถึงงวดนี้ คอหวยส่วนใหญ่ก็ยังไม่ละทิ้งความพยายามที่จะติดตามข่าวของนายกฯ ว่าจะใบ้หวยเลขอะไรอีก

เมื่อย้อนสถิติที่ผ่านมาพบว่า เลขทะเบียนรถตู้ของนายกฯ ดวงเฮงให้โชคติดกันถึง 2 งวดซ้อน ก่อนหน้านี้เลขรถตู้ประจำตำแหน่ง 2 คัน ของนายกฯ ออกตรงเผง คืองวดวันที่ 16 สิงหาคม เลขท้าย 2 ตัว ออก 62 ตรงกับเลขทะเบียนรถตู้โฟล์กสีดำป้ายแดง ว-1662 กทม.

อีกงวดก็คือ เมื่อวันที่ 1 กันยายน รางวัลที่ 1 ออกหมายเลข 724533 เลขท้าย 2 ตัวบนออก 33 ตรงกับทะเบียนรถตู้โฟล์ก สีเทาดำ หมายทะเบียน ฮน 333 ที่นายกฯ นำมาใช้ในวันหวยออก

เช่นเดียวกับรถฟอร์จูนเนอร์ติดตามตามนายกคันที่ 1 หมายเลขทะเบียน 4533 ก็ตรงกับรางวัลที่1 เลขท้ายทั้ง 4 ตัวเป๊ะ

ก่อนจะถึงงวดประจำวันที่ 16 กันยายน แม้คอหวยจะเดากันไปต่างๆ นานาว่า เลขทะเบียนรถของนายกฯ ที่นำมาใช้มีเลขทะเบียนอะไรบ้าง และงวดนั้นก็เป็นอีกเช่นเคย คือ เลขท้าย 2 ตัวล่างออก 28 ตรงกับลำดับนายกรัฐมนตรีของไทยคนที่ 28 พอดี

งานนี้ คอหวยและคนที่ติดตามเลขนายกฯ ได้เฮกันอีกรอบ นั่นจึงเป็นสถิติเลขหวยที่ออกมาแล้วถูกตีความว่ามีที่มาจากนายกฯ ยิ่งลักษณ์

แต่งวดนี้จะออกเลขอะไรนั้น ยังไม่มีใครฟันธงได้ กระนั้นก็ตาม คอหวยหลายๆ คนก็ยังไม่ละทิ้งเลขทะเบียนรถของนายกฯ ประมาณว่าเสี่ยงติดปลายนวมไว้ก็คงไม่เสียหลาย เพราะน่าจะมีความเป็นไปได้สูง

ไม่ว่าจะเป็นรถประจำตำแหน่ง เบ๊นซ์ S600 ทะเบียน 3834, รถฟอร์จูนเนอร์ติดตามคันที่ 2 ทะเบียน 888, รถฟอร์จูนเนอร์ติดตามคันที่ 3 ทะเบียน 9220, หรือแม้กระทั่ง เครื่องบินส่วนตัวรุ่น 319 เลขทะเบียนท้ายหาง 202 และรถที่นายกฯนั่งเมื่อครั้งเยือนกัมพูชาคือ เบ๊นซ์ 9999

ล่าสุด นายกรัฐมนตรีได้เดินทางมาเป็นประธานในพิธีเปิดโครงการบัตรเครดิตพลังงาน NGV โดยเป็นโครงการสำหรับแท็กซี่ สามล้อเครื่อง ที่เข้าร่วมในโครงการดังกล่าว โดยนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ได้ร่วมในพิธิเปิด ได้ขึ้นรถแท็กซี่ของโครงการฯ จากหน้าห้อง จูปิเตอร์ อาคารชาเลนเจอร์ พร้อมขบวนรถสามล้อ และรถตู้ร่วมขสมก.

โดย รถแท็กซี่คันที่นายกฯ นั่งไปนั้น เป็นแท็กซี่สีเขียว หมายเลขทะเบียน ทศ 6018 กรุงเทพมหานคร โดยมีนาย นายสิทธิพงศ์ อ่อนเกิดเป็นคนขับ

หลังจากนั้น แทบจะทันทีหลังจากขบวนรถกลับไปเรียบร้อยแล้ว เหล่าบรรดาคอหวยที่ต่างจ้องทะเบียนรถต่างพากันวิ่งหาสลากกินแบ่งฯ เลขท้ายเช่น 18,81,60,06 จนทำเอาแม่ค้าลอตเตอรี่หลายรายที่มาเดินอยู่รอบๆ บริเวณงาน ได้รับความสนใจถามหาลอตเตอรี่เลขท้ายดังกล่าวเป็นจำนวนมาก

ที่มา.บางกอกทูเดย์
///////////////////////////////////////////////////////////

วันพฤหัสบดีที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2554

นอสตราดามุส ปี 2011

บนความเคลื่อนไหวการเมืองไทยหลังน้ำลด..มีแนวโน้ม จะกลับมาคุกรุ่นอีกครั้ง! สารพันปัญหาได้ถูกนำมาเป็น “บันได ลิง” เพื่อพาดไปสู่นัดล้างตา เปิดหน้าฉะกันระหว่าง “รัฐนาวา” กับซีกฝ่ายค้าน

เปิดเกมเร็วโดย “ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง” รองนายกรัฐมนตรี ในบทแม่ทัพการเมือง ที่วันนี้เริ่มสำแดงอาการ...รู้ไปทุกเรื่อง..!

โดยเฉพาะคดีปล้นบ้านปลัดพันล้าน “สุพจน์ ทรัพย์ล้อม” ที่มีการขยายปมสู่การทุจริตคอร์รัปชั่นระดับชาติ ก่อนลากโยงไปสู่ เกมการเมือง!

เมื่อขุนศึกฝั่งธนฯ..!!! อย่าง “เฉลิม” เปิดหน้าแฉกลางสภา ฟันฉับว่า...เงินที่ได้จากการปล้นบ้านสุพจน์มาจากการทุจริตรถไฟฟ้า สารพัดสี ในสมัยรัฐนาวาประชาธิปัตย์เรืองอำนาจ

กระทั่งสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการ ทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และสำนักงานป้องกันและปราบปรามการ ฟอกเงิน (ปปง.) เข้ามาบี้สอบเส้นทางการเงินและความร่ำรวยผิด ปกติของอดีตเด็กปั้นเนวิน

แน่นอนว่ามีการปูดไปถึง “อภิโปรเจกต์” สมัยที่สุพจน์นั่งเก้าอี้ปลัดกระทรวงคมนาคม หรือก่อนหน้าที่เป็นอธิบดีกรมทาง หลวง เพราะนั่นถือเป็น “กุญแจสำคัญ” ที่เชื่อมโยงกันเป็นลูกระนาด โดยเฉพาะรายการ “ฟาสต์ฟู้ดงบหลวง” ในรัฐบาล ปชป. ซึ่งมี “โสภณ ซารัมย์” นั่งเป็น รมว.คมนาคม ในโควตา “เนวินกรุ๊ป”

ในตอนนั้น “กระทรวงคมนาคม” ได้รับการอัดฉีด “งบไทย เข้มแข็ง..!!!” จากรัฐบาลทั้งสิ้น 18 โครงการ วงเงินมากกว่า 4.4 หมื่นล้านบาท หนึ่งในนั้นหลายโครงการอันถือเป็น “บ่อน้ำเลี้ยง” ทั้งงานซ่อมทางหลวง 13,910 ล้านบาท และที่ถูกจัดเป็นอภิโปรเจกต์ละลายทรัพย์..! ก็คือ...ถนนไร้ฝุ่น วงเงิน 14,595 ล้านบาท

เหล่านี้ จึงกลายเป็น “ทอล์ก ออฟ เดอะ ทาวน์” ที่ทุกวงสนทนาไม่พลาดจะหยิบยก “ปฏิบัติการโจรปล้นโกง” มาถกเถียงกัน...สะท้อนภาพการทุจริตคอร์รัปชั่นอย่างครึกโครม!!

รายการ “เดี่ยวไมโครโฟน” รอบปฐมทัศน์..! ได้สร้างราคาให้กับ “เฉลิม” อีกหลายพะเรอเกวียน ซ้ำยังมีของแถมให้กับรัฐนาวายิ่งลักษณ์ ชินวัตร เพราะเป็นการ “สับขาหลอก..!” เบนความสนใจจากความล้มเหลวในการบริหารจัดการน้ำ

ขณะที่ปมวางบึ้มกลางกรุง! หลังมีการเอาระเบิดไปซุกไว้ที่ เกาะกลางถนนราชดำเนิน ใกล้ๆ กองสลากฯ “สารวัตรเหลิม” ก็ไม่ยอมตกกระแส หันมาเล่นบทโหรหลวงอีกครั้ง!

คล้อยหลังจากนัดดินเนอร์หรูที่เมืองจีน เมื่อเครื่องบินแตะ รันเวย์ “เฉลิม” ก็ประกาศลั่น ภายใน 3 วันจะได้รู้กันแน่ว่า “ไอ้โม่งซุกบึ้ม!” เป็นใคร...!?!

แถมบอกใบ้ไว้ด้วยว่า “เป็นพวกฝักใฝ่การเมือง พวกเจ้าเก่าทั้งนั้น มีไม่กี่กลุ่ม”

ถัดมาอีกวัน...ขุนศึกรัฐนาวา ก็ปูดซ้ำอีกซัด “แก๊งอัปรีย์” ที่ มีคนเป็นโรคพาร์คินสัน และยังมีความวุ่นวายทางการเมือง แย้มเป็น นัยๆ ว่า...“ยังพูดรู้เรื่อง ปากพูด มือสั่น หัวดี แต่คิดเรื่องไม่เข้าท่า”

“โหรเหลิม” ทำนายอีกว่า “...คนพวกนี้เป็นนักรบไร้ร่องรอย หวังทำให้ปั่นป่วนเล่น มีอยู่ 7-8 คน...คนพวกนี้เจ้าเก่าทั้งนั้น ไม่มี หน้าใหม่เลย สิบโมงเช้าคุยกัน เที่ยงกินข้าว ตกบ่ายวาดฝัน วันไหน เย็นมีเวลาว่างก็ไปกินอาหารจีน แต่ว่าคนเหล่านี้ล้มรัฐบาลไม่ได้”

น่ากังขากับคำพยากรณ์บทนี้ของ “เหลิม..นอสตราดามุส” จะเข้าตำรา “ไก่เห็นตีนงู งูเห็นนมไก่” หรือเด็กเลี้ยงแกะ!?!

ส่วนปมลอบฆ่า “ชุติเดช สุวรรณกิจ” คนสนิท “อี้-แทนคุณ จิตต์อิสระ” อดีต ส.ส.สอบตก จากค่าย ปชป. ...“เหลิม” ยังรู้ไปหมด!! ทำนายแบบไม่กลัวหน้าแหก ระบุ 2 ปมฆ่า ...ขัดแย้งผลประโยชน์ส่วนตัวประเด็นการเมือง ย้ำชัดๆ ดูประเด็นให้รอบคอบ เพราะอาจมี “มือที่สาม” ก่อให้เกิดความเข้าใจผิด

ทว่า...หลังมีการโยงไปถึง “จอมถีบ” การุณ โหสกุล ส.ส.เพื่อไทย อาจมีส่วนพัวพัน! ในรายการเช็กบิลย้อนหลัง “โหรรัฐบาล” ฟันธง...“รูปแบบการฆ่าหัวคะแนน ปชป.เป็นเพราะเจ็บแค้นชิงชังโกรธ
เคืองส่วนตัว เพราะเหยื่อถูกยิงกรอกปาก หากเป็นเรื่องการ เมืองก็แค่ยิงให้ตาย”...!!

หากปรากฏการณ์ “โหรเหลิม...พยากรณ์” แม่นยำจริง...ไร้ข้อกังขา! มีหวังรองนายกฯ พระอันดับท่านนี้ อาจจะงอมพระราม เป็นแน่ เพราะน่าจะมี “นักการเมืองทั่วฟ้าเมืองไทย” ขอฝากตัวเป็นสานุศิษย์คับคั่ง

แต่ถึงอย่างไร “การบริหารจัดการอำนาจรัฐ” มิใช่สักแต่ปากพูด ต้องลงมือทำ “พิสูจน์ความจริง” ให้เป็นที่ประจักษ์ชัด อย่าปล่อยให้เป็นเพียง “การโคมลอย” หวังสร้างกระแส...ดับความเพลี่ยงพล้ำของรัฐนาวา เหล่านี้ย่อมไม่เป็นผลดีต่อบรรยากาศ ประเทศไทยหลังน้ำลด

โดยเฉพาะในห้วงแห่งความสุขสันต์ “วันปีใหม่” ที่คนไทยทุกคนกำลังเฝ้ารอให้เกิดสิ่งดีดีขึ้น ฉะนั้น...อย่ากวนน้ำให้ขุ่น ปล่อย ให้กระแสน้ำไหลไปตามทางดีกว่าไหมขอรับ..

ครับ..ท่านนอสตราดามุสการเมืองไทยแห่งปี 2011..ฟันธง!!!

ที่มาสยามธุรกิจออนไลน์
////////////////////////////////////////////////////////////////

ชานชาลาการเมือง เถาถั่วต้มถั่ว..!!?

ในวรรณคดี 3 ก๊ก นอกจากจะถือเป็นอีกหน้าประวัติศาสตร์ชาวจีนยังเป็นมรดกตกทอดทางสายเลือดมาจากแผ่นดินใหญ่ถึงชาวจีนโพ้นทะเล เหมือนกับลัทธิขงจื๊อ และ ลัทธิเต๋า เป็นแบบเรียนแม่บทในการสั่งสอนลูกหลานเชื้อชาติจีนไม่ว่าจะพลัดถิ่นไปอยู่มุมใดในโลกก็ตาม

อีฉันเองเคยนำกลยุทธ์ต่างๆ ใน 3 ก๊กมาเขียนเทียบเคียงกับสถานการณ์การเมืองมากก็หลายหนอยู่ แต่พักหลังห่างๆ ไปกลัวคุณผู้อ่านจะเบื่อเอา มาวันนี้เห็นข่าวเหตุบ้านการเมืองต่างๆ หลังน้ำท่วมแล้วนึกถึงบางตอนในมหาวรรณกรรม เรื่องนี้ขึ้นมาจึงยกมาให้ได้อ่านกันอีกครั้ง

หากจำได้ในสามก๊กยุคขุนศึกผู้พ่อได้ทำยุทธ์ต่อสู้กันมาจนแก่เฒ่า จะยกง้าว ยกดาบขึ้นฟาดฟันก็เห็นจะหมดแรง.. เข้าสู่ยุคคนหนุ่มสาวอย่างรุ่นลูกฝ่านเล่าปี่เองมีบุตรชื่อ “อาเต๊า” ที่กำเนิดมาจาก “กำฮูหยิน” เจ้าหมอนี่แสนจะโง่เขลาเบาปัญญาหาความน่าสนใจอะไรไม่ได้เลย นึกย้อนไปแล้วก็เสียดาย ที่ “จูล่ง” อุตส่าห์ฝ่าทัพเข้าไปช่วย ต่างกับ “ทายาทของฝั่งโจโฉ” อันมี “โจผี” และ “โจสิด” ซึ่งมีสติปัญญาดีทั้งคู่ โบราณ ว่า บุตรดีมีความสามารถย่อมเป็นที่เชิดหน้าชูตาของบิดา-มารดา

กล่าวถึง “โจสิด” เป็นบุตรชายคนที่ 3 ที่โจโฉรักมากเพราะความปราดเปรื่องทางสติปัญญา และมักแต่งโคลงสดุดีโจโฉเสมอๆ ว่ากันว่า ปัญญาของคนทั่วไปมี 1 ส่วน แต่ของโจสิดมีถึง 10 ส่วน

เมื่อถึงครั้งที่โจโฉคิดแต่งตั้งรัชทายาท โจโฉคิดไม่ตกว่าจะเลือกใครระหว่าง โจผี กับ โจสิด แต่มีแนวโน้มว่าจะเลือกโจสิด มากกว่า โจผีร้อนใจจึงรุดไปปรึกษากาเซี่ยง และด้วยอุบายของกาเซี่ยง และกลอนของโจสิดที่เปรียบเปรยคนสู้กันแต่มีคนหนึ่งล้มลงว่า เป็นเพราะคนล้มลงนั้น (คือตัวเขาเอง) ไม่คิดสู้ (เพราะ สู้ก็ถูกฆ่าตายแน่ๆ) ทำให้ตำแหน่งนี้จึงตกเป็นของโจผีในที่สุด

แต่เมื่อโจผีขึ้นครองราชย์ ทรงคิดที่จะกำจัดโจสิด พระอนุชา แท้ๆ เพราะถือว่าเป็นศัตรูคนหนึ่งของพระองค์ จึงบีบบังคับให้ โจสิดแต่งบทกวีภายใน 7 ก้าว กล่าวถึงพี่น้องที่มิอาจฆ่ากัน แต่ ห้ามไม่ให้เอ่ยคำว่าพี่น้องในบทกวีนั้น ไม่เช่นนั้นจะสั่งประหาร ชีวิตโจสิด จึงร่ายกลอนขึ้นมาบทหนึ่งด้วยความคับแค้นเศร้าโศก ของต้นถั่ว ที่เกิดแต่การใช้เถาถั่วซึ่งกำเนิดแต่รากเดียวกันไปต้ม หรือคั่วถั่ว เทียบกับความเศร้าโศกอาดูรของพี่น้องญาติตระกูล เดียวกัน ไม่มีเรื่องใดยิ่งใหญ่ล้ำลึกกว่าการที่พี่น้องต้องล้างผลาญกันเอง แปลเป็นไทยได้ดังนี้

เขาต้มถั่วด้วยรากตากแห้งของถั่วเจ้าถั่วได้แต่ครางกับเถาถั่วว่าเกิดจากรากเหง้าเดียวกันไฉนต้องมาเข่นฆ่ากันเมื่อโจผี ได้ฟังจึงเกิดสำนึกได้ไม่สั่งประหารชีวิต แต่เนรเทศโจสิดออกไปนอกเมืองแทน และไม่นาน โจสิดก็ถึงแก่ความ ตายด้วยความตรอมใจ หันมาดูบ้านเมืองเรา พอน้ำลดระเบิดก็ผุด..แถมยัง เป็นในช่วงที่เป็นเทศกาลสำคัญเสียด้วย ส่วนจะเป็นฝีมือใคร และจัดการอย่างไรคงเป็นเรื่องที่ผู้ใหญ่ตระหนักรู้อยู่แก่ใจ แต่ประชาชนตัวเล็กๆ คงได้แต่กู่ร้องไปว่าอยากเอาของสูงมาเป็นข้ออ้างคัดคานอำนาจแสวงหาผลประโยชน์เข้าตัว เราคนไทยล้วนพี่น้องกันอย่าให้ได้ชื่อว่า “ใช้เถาถั่ว ต้มถั่ว” เลยเจ้าค่ะ..วิญญาณปู่จะร้องไอ้ลูกหลานจัญไร

ที่มา.สยามธุรกิจ
///////////////////////////////////////////////////////