--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันพุธที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ปากแข็งขาสั่น !!?

มาร์ค อภิสิทธ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ อดีตนายกรัฐมนตรี คนสำคัญ
แถไปได้อย่างเต็มร้อย
กล่าวหา มีการบีบ และกดดัน คณะกรรมการสอบสวนคดีสังหารหมู่ประชาชน ๙๑ ศพ ..ดูลีลา แห่งการเอนจอย
ไม่ยอมรับสักหน่อย ต่อความเป็นจริงที่แตกดังโป๊ะ....ในเมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นใด ผลแห่งการสอบสวน ย่อมออกตามรูปคดี
ความจริงถูกหมกมานาน...พอความจริงแตกเท่านั้น..ไหง,กรรมการถึงถูกเฉ่งปี้

+++++++++++++++++++++++++++

หมดช่วงนาทีทอง
ไม่มีเวลา ของ “รัฐมนตรีไม้ประดับ” แล้วล่ะพี่น้อง
เมื่อรัฐมนตรีคุมสื่อ สาวบริสุทธิ์ สวยเช็งกะเด๊ะ “กฤษณา สีหลักษณ์” ผลงานไม่เข้าตากรรมการ
โดนรุสต๊อก ให้ออกพ้นจากตำแหน่ง คงถูกใจชาวบ้าน
ปล่อยให้ “สื่อในคราบโจร” รุมยำ “รัฐบาลปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร วันละสามเวลา จนเสียศูนย์
คุมสื่อถ่อยไม่ได้....เมื่อถูกปรับโยกออกไป?...จึงถูกใจหลายฝ่ายสิคุณ

+++++++++++++++++++++++++++

๘ อรหันต์ทองคำ
นัยว่า, อยู่ในข่าย ที่จะหลุดจากห้วงอำนาจ สนามแม่เหล็ก..พ้นจากตำแหน่งไปอย่างชอกช้ำ
ได้แต่เห็นใจ “คุณพี่กิตติศักดิ์ หัตถสงเคราะห์” รมช.คมนาคม ที่จะเป็น “มิสเตอร์ปิ๋ว” หิ้วกระเป๋ากลับบ้าน ในการปรับคณะรัฐมนตรี
เป็นการล้างหน้าไพ่ใหม่ เพื่อให้ “รัฐบาลปู” เดินหน้าอย่างเต็มที่
ได้แต่บอกว่า, เสียดาย “รัฐมนตรีกิตติศักดิ์” ที่ต้องมาออกกันกลางอากาศ พร้อมกับรัฐมนตรีอีก ๘ คน ที่ถูกเช็คบิล
ถึงจะมาเป็นรัฐมนตรีช่วงสั้นๆ...แต่ก็ได้โชว์ผลงาน..การบริหารเอาไว้อย่างเหลือกิน

+++++++++++++++++++++++++++

เป็น “ลูกไล่”กองทัพ
ไม่เสียดาย.... หาก “พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา” รมว.กลาโหม ต้องใส่เกียร์ถอยหลัง ออกไปสิครับ
เป็นผู้นำจ่าฝูง แห่ง ๓ เหล่าทัพ....กองทัพบก กองทัพเรือ กองทัพอากาศ..แต่ผลงงานกับลื่นไหล ไปอยู่ที่ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายใหญ่ทัพบก จนคนฮือกันเกรียว
“รัฐมนตรีกลาโหม” ต้องเฉียบขาด สั่งการฉับไว ..ถึงจะสมกับเป็น “กระบี่มือเดียว”
กลับไปเลี้ยงหลาน ไขว้เปลกล่อมโอ้ระเห่เหลน อยู่ที่บ้านจึงเหมาะกว่า
จุดเด่นของ “พล.อ.ยุทธศักดิ์”..ท่านมีเอกลักษณ์?...หักใครไม่เป็น จึงต้องไปตามกาลเวลา

+++++++++++++++++++++++++++

แข็งโป๊กกว่าใคร
“บิ๊กโอ๋” พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รมว.คมนาคม ผู้ยิ่งใหญ่
ถูกแซะ ถูกใส่ไฟ...ใครก็ล้มท่านไม่อยู่
ยังนั่งบัญชาการรบ เป็น “เจ้ากระทรวงหูกวาง” ใหญ่อู้ฟู่
เป็น “รัฐมนตรี” ที่โดนเจาะยางมากที่สุด...แต่ใคร ก็โค่นท่านลงจากอำนาจ ไม่ได้เสียที
เป็นรัฐมนตรีที่เนื้อหอม...โดนเล่นสะบักสะบอม?...งอมพระราม แต่ยังยึดตำแหน่งได้อยู่ดี


คอลัมน์:ตอดนิดตอดหน่อย,บางกอกทูเดย์
///////////////////////////////////////////////////////////////////

ค้นบ้านปลัดหาเส้นทางเงิน ลาว ส่งซิกไทยรวบ โก้. ได้แน่ !!?

ค้นบ้านปลัดหาเส้นทางเงินลาวส่งซิกไทยรวบ 'โก้' ได้แน่
เฉลิม' ย้ำมหากาพย์ปล้นสะท้านกรุง ไม่เกี่ยวกองทัพชี้โปลิศเพื่อนบ้านส่งสัญญาณข่าวดี จับ “ไอ้โก้” หัวโจกสำคัญได้แน่ พร้อมปูด “ระบบโพยก๊วน” ตัวกลางนักการเมืองมีเอี่ยว ลอบใช้บริการส่งทรัพย์สินไปฟอกยังต่างประเทศ แฉกลุ่มนี้ ใน กทม. มีแหล่งใหญ่อยู่ 9 แห่ง ฝังตัวมั่งคั่งย่านใจกลางเมือง ป.ป.ช. นำหมายศาลลุยค้นบ้าน “สุพจน์ ทรัพย์ล้อม” แต่เช้าตรู่ เก็บหลักฐานเส้นทางเงินปริศนา ขณะที่เจ้าตัวกำลังตักบาตรสบายใจ ห้ามสื่อ-ตำรวจเข้า ด้าน ผบช.น. ระบุเรียกสอบปากคำ 7 ธ.ค. ทีมคลี่คลายคดีเผยเสี่ยโรงไม้ฝั่งลาว อดีตเป็นตำรวจป่าไม้ ก่อนลาออกจากราชการ อาสาพา หนีตะเข็บชายแดนตรงข้ามมุกดาหาร สั่งชุดจับกุมซุ่มโป่งตะครุบตัวแล้ว

ความคืบหน้ากรณีกลุ่มคนร้าย บุกปล้นบ้านของนายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม ปลัดกระทรวงคมนาคม กวาดทรัพย์สินไปหลายร้อยล้านบาท ช่วงค่ำของวันที่ 12 พ.ย. ที่ผ่านมา เมื่อเวลา 06.30 น. วันที่ 29 พ.ย. เจ้าหน้าที่สำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) นำโดย นายวรวิทย์ สุขบุญ ผู้ช่วยเลขาสำนักงาน ป.ป.ช. พร้อมหมายศาลเข้าค้น บ้านเลขที่ 77 ซอยลาดพร้าว 64 แยก 2 แขวง-เขตวังทองหลาง ของนายสุพจน์ เพื่อหาหลักฐานเพิ่มเติมคดีปล้นเงินสะท้านกรุง เจ้าหน้าที่ ป.ป.ช. ได้เข้าตรวจค้นส่วนต่าง ๆ ภายในบ้านพัก ขณะที่นายสุพจน์กำลังใส่บาตรตามปกติอยู่หน้าบ้าน โดยไม่อนุญาตให้สื่อมวลชนเข้าไปในบ้านแต่อย่างใด

หลังจากนั้น พล.ต.ต.สุธีร์ เนรกัณฐี ผบก.น.4 พร้อมด้วย พ.ต.อ.ธวัช วงศ์สง่า ผกก.สน.วังทองหลาง ที่ดูแลคดีนี้ ได้เดินทางมายังสถานที่ดังกล่าวเพื่อตรวจสอบความเรียบร้อย แต่ไม่ได้เข้าไปยังภายในบ้าน เนื่องจากคณะเจ้าหน้าที่ของ ป.ป.ช. ซึ่งเป็นผู้มีอำนาจในการสอบสวนคดี กำลังตรวจสอบภายในบ้านของนายสุพจน์อยู่ จึงสั่งการให้ พ.ต.ท.วิวัฒน์ อัศวะวิบูลย์ สว.สส. จัดกำลังดูแลอย่างเข้มงวดบริเวณรอบบ้าน ที่เป็นบ้านเดี่ยว 2 หลัง ปลูกแยกกันในรั้วเดียว และฝั่งตรงข้ามก็เป็นบ้านพักรับรองแขก ทั้งนี้บริเวณหลังบ้านเป็นลานกว้าง และภายในยังมีรถยี่ห้อหรูต่าง ๆ จอดอยู่ 7 คัน โดยปากซอยมีอพาร์ตเมนต์สูง 6 ชั้นตั้งอยู่ ซึ่งตรงกับที่ผู้ต้องหาให้การไว้ว่าเช่ารายวัน เฝ้าจับตาดูความเคลื่อนไหวภายในบ้านก่อนจะลงมือปล้น

ต่อมาเวลา 12.40 น. นายวรวิทย์ พร้อมเจ้าหน้าที่ ป.ป.ช. ได้เดินทางกลับออกมา พร้อมเปิดเผยว่า วันนี้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้มอบหมายให้คณะอนุกรรมการ ขอหมายค้นจากศาลอาญาเพื่อเข้าทำการตรวจค้นบ้านของนายสุพจน์ ซึ่งศาลก็ได้อนุมัติหมาย จึงเข้ามาทำการตรวจค้นตั้งแต่เวลา 06.30 น. โดยใช้เวลาประมาณกว่า 5 ชั่วโมง เบื้องต้นทำการตรวจค้นบ้าน 2 หลัง คือบ้านเลขที่ 77 และบ้านเลขที่ 29 เพื่อหาพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับทางคดี แต่ยังไม่ได้ทำการสอบปากคำนายสุพจน์ และบุคคลภายในบ้านแต่อย่างใด ซึ่งก็ได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดี อีกทั้งได้ข้อมูลต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อรูปคดีเป็นอย่างมาก แต่ทั้งนี้ไม่สามารถบอกถึงรายละเอียดการเข้าตรวจสอบได้ หลังจากนี้จะนำข้อมูลที่ได้จากการเข้าตรวจค้นทั้งหมด กลับไปรายงานต่อผู้บังคับบัญชาเพื่อพิจารณาต่อไป ส่วนจะเรียกตัวนายสุพจน์มาสอบปากคำเมื่อใด จะต้องรอทาง ป.ป.ช. ประชุมหารือกันอีกครั้ง

ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) นาย กล้านรงค์ จันทิก กรรมการและโฆษก ป.ป.ช. แถลงว่า จากการตรวจค้นบ้านพักนายสุพจน์ ได้ยึดเอกสารหลักฐานทางการเงินและวัตถุพยานบางอย่าง เพื่อนำมาตรวจสอบประกอบการไต่สวน นอกจากนี้ ป.ป.ช. ยังได้มีคำสั่งอายัดเงินและทรัพย์สินของกลาง เป็นเงินสดกว่า 18 ล้านบาท และทองคำอีก 10 บาท ซึ่งตำรวจยึดได้จากของกลางคนร้าย และหากตำรวจสามารถจับกุมคนร้ายและยึดเงินของกลางได้เพิ่มเติม ป.ป.ช. ก็จะประสานขออายัดต่อไปด้วย โดยได้ทำหนังสือแจ้งกับพนักงานสอบสวน สน.วังทองหลางแล้ว นอกจากนี้จากการตรวจค้นภายในบ้าน ยังพบเงินสดบางส่วนที่อยู่ในลักษณะเป็นซองเล็ก ๆ ซึ่งน่าจะเป็นเบี้ยประชุมต่าง ๆ ที่นายสุพจน์ได้รับมา ซึ่ง ป.ป.ช. ไม่ได้ดำเนินการยึดเงินส่วนนี้ ส่วนการเรียกตัวนายสุพจน์มาชี้แจงนั้น ก็ต้องเป็นขั้นตอนที่ ป.ป.ช.ต้องดำเนินการอยู่แล้ว

รายงานข่าวแจ้งว่า จากการตรวจค้นไม่พบเงินสดจำนวนมากตามที่เป็นข่าว รวมถึงทรัพย์สินอื่นที่มีความผิดปกติเพิ่มเติมจากเดิม แต่ก็ได้มีการเก็บเอกสารเกี่ยวกับการจัดซื้อจัดจ้าง ในสมัยที่นายสุพจน์เป็นปลัดกระทรวงคมนาคมซึ่งนำไปเก็บไว้ที่บ้าน โดยจะมีการนำมาตรวจสอบ พร้อมกับสมุดบัญชีเงินฝากธนาคาร เพื่อหาความเชื่อมโยงในการหาเส้นทางเงินผิดปกติต่อไป

ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช. น.)พล.ต.ท.วินัย ทองสอง ผบช.น. กล่าวว่า ข่าวลือที่ว่าตำรวจลาวจับกุมตัวนายวีระศักดิ์ไว้แล้วนั้นไม่เป็นความจริง แต่ยืนยันได้ว่านายวีระศักดิ์ ยังคงหลบหนีอยู่ในประเทศลาว บริเวณตะเข็บชายแดน ซึ่งเบื้องต้นได้รับรายงานว่ามีคนพบเห็นนายวีระศักดิ์จริง แต่หลบหนีไปจากพื้นที่ นอกจากนี้ได้สั่งการให้ พล.ต.ต.รณศิลป์ ภู่สาระ ผบก.บก.สส.บช.น. ลงพื้นที่เพื่อร่วมติดตามจับกุมตัวผู้ต้องหาด้วย ส่วนผู้ต้องหาอีก 2 รายที่ยังหลบหนีอยู่นั้น ขณะนี้ก็ยังเร่งติดตามอยู่ แต่ขาดการติดต่อทางโทรศัพท์ไป ทำให้ยากต่อการติดตาม

พล.ต.ท.วินัย กล่าวต่อไปว่า ด้านนาย สุพจน์จะเรียกเข้ามาสอบสวนเรื่องเงินที่ถูกปล้นไป ในวันที่ 7 ธ.ค. แต่ยังไม่ระบุสถานที่ ซึ่งหากนายสุพจน์ต้องการให้พนักงานสอบสวนไปสอบปากคำที่บ้านก็สามารถแจ้งได้ ทั้งนี้เงินของกลางที่ตำรวจไปตามยึดมาได้กว่า 18 ล้านบาท ยังคงอายัดเก็บไว้ภายใน สน.วังทองหลาง ซึ่งหากทาง ป.ป.ช. ต้องการนำไปตรวจสอบก็สามารถทำเรื่องมาได้

ด้าน พล.ต.ท.สมพงษ์ คงเพชรศักดิ์ ผบช.ภ.4 กล่าวว่า ได้แบ่งกำลังชุดคลี่คลายคดี ของ บช.ภ. 4 ออกเป็น 6 ชุด ได้แก่เจ้าหน้าที่ชุดสืบของจังหวัด 5 ชุด ประกอบไปด้วยจังหวัดเลย หนองคาย บึงกาฬ นครพนม และมุกดาหาร รวมทั้งชุดสืบของภูธรภาค 4 โดยเน้นย้ำให้ทั้งหมดเฝ้าสังเกตการณ์ความเคลื่อนไหวของนายวีระศักดิ์ อีกทั้งกระแสข่าวที่ว่าทางภรรยาและญาติของนายวีระศักดิ์ติดต่อเข้ามา เพื่อขอเจรจากับเจ้าตัวให้เข้ามอบตัวนั้น ยืนยันว่ายังไม่ได้รับการติดต่อแต่อย่างใด ส่วนของเงินที่เหลือที่คาดว่าน่าจะซุกซ่อนอยู่ในฝั่งไทย ก็ได้สั่งการให้ชุดสืบสวนในแต่ละจังหวัดลงไปตรวจสอบ และเพิ่มกำลังเจ้าหน้าที่บริเวณด่านตรวจตะเข็บชายแดนจ.เลย หนองคาย บึงกาฬ มุกดาหาร และนครพนม พร้อมเพิ่มจุดตรวจจังหวัดละ 5 จุด ตรวจเข้มงวดตลอด 24 ชั่วโมง และตรวจความเคลื่อนไหวอย่างละเอียดภายในกล้องวงจรปิดทุกตัว ที่ติดไว้ตามจุดตรวจต่าง ๆ ประจำด่านตรวจ ซึ่งขณะนี้ยังไม่ได้รับข้อมูลที่ซ่อนเงินแต่อย่างใด

แหล่งข่าวฝ่ายสืบสวนรายงานเพิ่มเติมว่า ขณะนี้ชุดคลี่คลายคดี ได้ลงพื้นที่แกะรอยเพื่อหาที่กบดานของนายวีระศักดิ์ และได้มีข้อมูลยืนยันจากพ่อค้าไม้ในฝั่งลาวว่า มีผู้พบเห็นเจ้าตัวนั่งรถไปกับเสี่ยโม่ง เจ้าของกิจการโรงไม้ขนาดใหญ่ในเมืองหินบูน แขวงคำม่วน โดยเสี่ยโม่งนี้รายงานเบื้องลึกพบว่าเป็นถึงอดีตตำรวจป่าไม้ลาว ต่อมาได้ออกจากราชการ มาเปิดกิจการโรงไม้ ซึ่งถือเป็นผู้มีอิทธิพลและกว้างขวางในพื้นที่ อีกทั้งมีผู้พบเห็นนายวีระศักดิ์ ไปเที่ยวสถานบันเทิงแห่งหนึ่งในแขวงสะหวันนะเขตหรือแขวงสุวรรณเขต ฝั่งตรงข้ามกับ จ.มุกดาหาร จากนั้นก็ได้ย้อนกลับไปที่เมืองท่าแขก ก่อนที่จะเข้าไปย่านสะหวัน-เซโน ซึ่งย่านดังกล่าวถือว่าเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษสะหวัน-เซโน ทำให้ขณะนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจไทยและลาว ได้ประสานความร่วมมือลงพื้นที่ เฝ้าประกบอย่างใกล้ชิดแล้ว คาดว่าจะได้ตัวในเร็ววันนี้ นอกจากนี้ตำรวจ บก.ภ.จว.กาญจนบุรี ยังได้ลงพื้นที่ตั้งจุดตรวจตามแนวชายแดน เพื่อตรวจความเคลื่อนไหวอย่างละเอียด เนื่องจากภรรยานายวีระศักดิ์และลูก 2 คน ยังอยู่ในพื้นที่ เกรงว่าเจ้าตัวจะแอบเดินทางกลับมาหาครอบครัวด้วย

ที่ทำเนียบรัฐบาล ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่หลายฝ่ายสงสัยเรื่องสีเขียว มีเอี่ยวปล้นบ้านปลัดฯคมนาคมว่า ตนพูดเรื่องนี้ว่ามีสาเหตุมาจากเรื่องของผลประโยชน์โครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ไม่ได้บอกว่ากลุ่มคนสีเขียวมีส่วนเกี่ยวข้อง แต่ไม่รู้ว่าผู้สื่อข่าวเอาไปรายงานข่าวได้อย่างไรว่าตนหมายถึงทหาร ซึ่งเป็นการไปหาเรื่องให้ตน ส่วนการติดตามจับกุมตัวนายวีระศักดิ์ หรือโก้ ผู้ต้องหาในคดีดังกล่าว ซึ่งกำลังหลบหนีอยู่ในประเทศลาว พล.ต.ท.สมพงษ์ คงเพชรศักดิ์ ผบช.ภ.4 ได้รายงานให้ทราบว่าตำรวจของลาว แจ้งมาว่าจะได้ข่าวดีเร็ว ๆ นี้ ซึ่งอาจเป็นเรื่องการจับตัวนายวีระศักดิ์ได้ แต่ไม่ทราบว่าขณะนี้นายวีระศักดิ์ยังมีชีวิตหรือเสียชีวิตแล้ว

ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวต่อว่า ส่วนการที่ตนเป็นห่วงว่านายวีระศักดิ์อาจจะถูกฆ่าปิดปากนั้น ก็เพราะรู้ข้อมูลภายในจากการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับตำรวจ นอกจากนี้ยังมีเบาะแสว่านักการเมืองที่เกี่ยวข้อง ได้ลักลอบทยอยนำเงินส่งไปยังประเทศที่มีเสรีทางการเงิน ผ่านระบบโพยก๊วน ที่ขณะนี้มีกลุ่มโพยก๊วนเจ้าใหญ่ ๆ ในกรุงเทพมหานคร 9 ราย แบ่งเป็นในเขตบางรัก 2 ราย ย่านเยาวราช 2 ราย ประตูน้ำ 3 ราย และพลับพลาไชยอีก 2 ราย ทำให้มีนักการเมืองบางคนสามารถนำเงินไปซื้อบ้านพักในประเทศอังกฤษ ซึ่งโดยพฤตินัยเป็นที่ทราบกันดี แต่ตนไม่สามารถระบุชื่อได้ว่าเป็นใคร เพราะอาจถูกฟ้องข้อหาหมิ่นประมาทได้ เตือนระวังตายยกแก๊ง ทั้งนี้ในส่วนของคดีนายสุพจน์ เรื่องของความร่ำรวยผิดปกติ ขณะนี้ ป.ป.ช. และ ปปง. ทำงานได้ดี เชื่อว่าถ้าสืบจากก้อนเงินและทรัพย์สินก็คงได้อะไรมากขึ้น

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระบบโพยก๊วน เป็นระบบการโอนเงินนอกระบบไม่ผ่านธนาคาร ที่หลีกเลี่ยงกฎระเบียบและกฎหมายต่าง ๆ มีการพัฒนามาจากชาวจีนที่มาอาศัยและทำมาหากินอยู่ในประเทศไทยในสมัยโบราณ โดยรูปแบบจะต้องมีพ่อค้าการเงินนอกระบบหรือตัวแทนหักบัญชี คอยทำหน้าที่เป็นคนกลางเสมือนเป็นนายธนาคาร ในการรับโอนหรือส่งมอบเงินให้แก่บุคคลที่ผู้ใช้บริการโพยก๊วนระบุ ซึ่งอาจจะเป็นผู้ใช้บริการโพยก๊วนเอง หรือบุคคลอื่น ๆ ที่ผู้ใช้โพยก๊วนระบุไว้ก็ได้ ผู้ที่มีสิทธิจะได้รับเงินจากวิธีการนี้ ต้องมีหลักฐานการรับเงินหรือโพยเท่านั้น ซึ่งหลักฐานเหล่านี้ ขึ้นอยู่กับที่ตกลงกันระหว่างผู้ใช้บริการกับตัวแทนหักบัญชี โดยปลายทางที่โอนเงินไปนั้น จะนำหลักฐานเหล่านี้ไปรับเงินกับตัวแทนแต่ละสาขาประเทศ ลักษณะคล้ายโอนลอยเขียนยอดเงินในแผ่นกระดาษ นำเงินสดให้ตัวแทนหักบัญชีต้นทาง และไปรับเงินสดปลายทางอีกทอดหนึ่ง ซึ่งวิธีการนี้เงินจะไม่มีการเข้าสู่ระบบที่ตรวจสอบได้ จึงเป็นแหล่งที่ขบวนการฟอกเงินชอบใช้บริการ

ขณะที่ นายธงทอง จันทรางศุ ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานการประชุมคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงนายสุพจน์ ของกระทรวงคมนาคม ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมนัดแรกว่า ที่ประชุมมีมติให้ทำหนังสือถึง พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ผบ.ตร. ในวันที่ 1 ธ.ค. เพื่อขอข้อมูลการสอบสวนมาประกอบการพิจารณาของคณะกรรมการฯ และคาดว่าทางเจ้าหน้าที่จะส่งข้อมูลกลับมาให้ได้ในวันที่ 9 ธ.ค. ซึ่งคณะกรรมการฯ ได้นัดประชุมครั้งต่อไปในวันที่ 13 ธ.ค. จากนั้นจะเชิญนายสุพจน์ มาให้ข้อมูลเพิ่มเติม โดยคณะกรรมการจะวิเคราะห์ข้อมูลจากตำรวจและนายสุพจน์เป็นหลัก เพราะขณะนี้มีเพียงข้อมูลการให้ปากคำจากผู้ต้องหา และข้อมูลยังไม่ตรงกัน ทั้งนี้หากพบว่ามีความผิดจะส่งเรื่องให้ รมว.คมนาคม ตั้งคณะกรรมการสอบวินัยต่อไป

ที่รัฐสภา ในการประชุมคณะกรรมาธิการการคมนาคม วุฒิสภา มี นายเกชา ศักดิ์สมบูรณ์ ส.ว.ราชบุรี เป็นประธาน ได้พิจารณากรณีโจรบุกปล้นบ้านนายสุพจน์ โดยเชิญ พล.ต.ต.สุธีร์ ผบก.น.4 และ พ.ต.อ.ธวัช ผกก.วังทองหลาง เข้าชี้แจง ความคืบหน้าในการสืบสวนสอบสวน นายเกชากล่าวว่า พล.ต.ต.สุธีร์ ชี้แจงว่าในทางคดีมีความคืบหน้าพอสมควร เหลือคนร้ายอีกเพียง 3 รายที่ตำรวจกำลังไล่ล่าจับกุมโดยเฉพาะ นายวีระศักดิ์ หรือโก้ หัวหน้าแก๊ง อีกทั้งในสัปดาห์หน้านายสุพจน์จะเข้าให้ปากคำกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ จากนั้นคณะกรรมาธิการฯ จะเชิญตำรวจเข้าชี้แจงอีกครั้งในวันที่ 13 ธ.ค. ก่อนจะเชิญ ป.ป.ช. และ ปปง. เข้าชี้แจงถึงเส้นทางเงินดังกล่าว แล้วจึงเชิญนายสุพจน์เข้าชี้แจงต่อไป ส่วนกรณีข้อสังเกตเงินดังกล่าวอาจเกี่ยวข้องโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายต่าง ๆ นั้น ต้องรอดูผลการสอบสวนของทางตำรวจ เส้นทางการเงิน ป.ป.ช. และ ปปง. ก่อน จึงจะทราบว่าเงินดังกล่าวเกี่ยวพันกับการประมูลสัญญาโครงการรัฐหรือไม่ นอกจากนี้ยังจะขอมติจากที่ประชุมเพื่อเชิญหน่วยงาน หรืออาจรวมถึงบริษัทที่มีส่วนเกี่ยวข้องเข้าชี้แจงด้วย.

ต้นฉบับ: http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=419&contentId=178832

ที่มา: เดลินิวส์
////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันอังคารที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

วาระครม.วันนี้ ลุยอนุมัติงบเยียวยาน้ำท่วม !!?



เปิดแฟ้มการประชุมคณะรัฐมนตรี วันนี้พิจารณางบเยียวยาปชช.ด้านคุณภาพชีวิต จากพิษน้ำท่วม 1.9 หมื่นล้านเยียวยาโครงสร้างพื้นฐานอีก 1.2หมื่นล้าน

เริ่มจากคณะกรรมการเพื่อให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย (กฟย.) ที่มี นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ์ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน จะเสนอให้ที่ประชุมอนุมัติโครงการเพื่อช่วยเหลือฟื้นฟูเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัยด้านโครงสร้างพื้นฐาน (กคฐ.) และโครงการช่วยเหลือฟื้นฟูเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย ด้านคุณภาพชีวิต(กคช.) รวมทั้งสิ้น 203 โครงการ งบประมาณรวม 19,787.403 ล้านบาท

สำหรับแผนงานโครงการและงบประมาณในการช่วยเหลือฟื้นฟูเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัยด้านโครงสร้างพื้นฐาน (กคฐ.) ประกอบด้วย 5 โครงการ วงเงินรวม 12,983.629 ล้านบาท คือ ด้านคมนาคมขนส่ง วงเงินงบประมาณ 4,444.523 ล้านบาท ด้านสถานที่ราชการและระบบสาธารณูปโภค วงเงินงบประมาณ 348.909 ล้านบาท ด้านศาสนาและโบราณสถาน 1,593.468 ล้านบาท ด้านสถานศึกษา 1,462.447 ล้านบาท ด้านแหล่งน้ำและระบบชลประทาน 5,098.282 ล้านบาท

ส่วนโครงการและงบประมาณในการช่วยเหลือฟื้นฟูเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย ด้านคุณภาพชีวิต(กคช.) ที่จะเสนอให้ครม.พิจารณามีจำนวน 198 โครงการ งบประมาณรวม 6,803.77 ล้านบาท ประกอบด้วย โครงการของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ 14 โครงการ งบประมาณ 2,296.3 ล้านบาท กระทรวงศึกษาธิการ 12 โครงการ งบประมาณ 778.19 ล้านบาท กระทรวงแรงงาน 6 โครงการ 1,283.02 ล้านบาท กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม 5 โครงการ 130.85 ล้านบาท กระทรวงสาธาณสุข 8 โครงการ 669.40 ล้านบาท และกระทรวงมหาดไทย 153 โครงการ 1,645.93 ล้านบาท

นอกจากนี้ยังมีวาระที่หน่วยงานต่างๆจะเสนอให้ที่ประชุมพิจารณา คือ ข้อเสนอของกระทรวงแรงงาน เรื่องแผนยุทธศาสตร์การบริหารจัดการแรงงานนอกระบบ พ.ศ. 2555-2559 ร่างยุทธศาสตร์การส่งเสริมอุตสาหกรรมภาพยนต์และวีดีทัศน์ ระยะที่ 2 พ.ศ. 2555-2559 ของกระทรวงวัฒนะธรรม
ขณะที่กระทรวงการคลัง เสนอเรื่องการปรับปรุงประกาศกระทรวงการคลังเรื่อง การลดอัตราอากรและยกเว้นอากรศุลกากรตามมาตรา 12 แห่งพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 )ฉบับที่ 20 เกี่ยวกับการนำภาคผนวกเดิมกลับมาใช้

นอกจากนั้นยังมีการพิจารณา งบประมาณเพื่อสร้างถนนสายเมียวดีพม่า-ตะนาวศรี ,การปรับค่าใช้จ่ายการศึกษานอกระบบ และการเพิ่มเบี้ยเลี้ยงนักเรียนเตรียมทหาร จาก 76 บาทเป็น 106 บาท

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
//////////////////////////////////////////////////////////////////////

มติโหวตหนุน ประชา.ฉลุยเทให้273ต่อ188เสียง ปู พูดชัดไม่ปรับครม. !!?

ประชา. ผ่านฉลุยญัตติไม่ไว้วางใจ 273 ต่อ 188 เสียง ไม่ลงคะแนน 15 เสียง งดออกเสียงอีก 5 คน เผยกลุ่ม "เนวิน" โหวตสวน ขณะที่กลุ่มมัชฌิมาโดดประชุม "น้องปู" พูดชัดยังไม่ปรับครม. เปรยรัฐมนตรีทุกคนตั้งใจทำงานดีพร้อมน้อมรับข้อบกพร่องไปแก้ไข “พิชัย” ยังไม่จบตามบี้จับโกหก “หมอวรงค์” โชว์หนังสือพ่อเมืองพิษณุโลกทำถึงปลัดมหาดไทย ยัน ส.ส.ประชาธิปัตย์บีบขอถุงยังชีพ ลั่นขัด รธน.266 แทรกแซงราชการ ขณะที่ ปชป.ตามบี้ต่อเตรียมยื่นถอดถอน ส.ส.เพื่อไทยอีก 2 คน พร้อมสั่งจับตางบฯฟื้นฟูน้ำท่วม หวั่นปากมันอีกรอบ ด้าน พท.เดินเกมลาก “มาร์ค-เทพ” ขึ้นศาลโลก ตัดสินคดี 91 ศพ ด้านดีเอสไอรับเปลี่ยนตัวพนักงานสอบคดีล้มเจ้าใหม่
มติสภาไว้วางใจ “ประชา”

เมื่อวันที่ 28 พ.ย. ที่รัฐสภา มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎร สมัยสามัญทั่วไปนัดพิเศษ มีนายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานรัฐสภา ทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม เพื่อลงมติญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล พร้อมยื่นคำร้องต่อประธานวุฒิสภาขอให้ถอดถอน พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รมว.ยุติธรรม ด้วย โดยรัฐมนตรีและ ส.ส.พรรคร่วมรัฐบาลเข้าร่วมประชุมอย่างคึกคัก

ก่อนลงมติประธานได้เช็กองค์ประชุมด้วยการเสียบบัตรแสดงตน ปรากฏว่ามีสมาชิกอยู่ในห้องประชุม 489 เสียง จากนั้นประธานได้ขอให้ลงมติด้วยการเสียบบัตร ปรากฏว่าที่ประชุมลงมติไว้วางใจ พล.ต.อ. ประชา ด้วยเสียง 273 ต่อ 188 เสียง งดออกเสียง 5 ไม่ลงคะแนน 15 เสียง ทำให้เสียง ไม่ไว้วางใจไม่ถึงกึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิก ถือว่าที่ประชุมสภามีมติไว้วางใจ พล.ต.อ. ประชา จากนั้นนายสมศักดิ์ได้สั่งปิดการประชุมทันที

15 รมต.ไม่ลงคะแนน

สำหรับผลการลงคะแนนไม่ไว้วางใจพล.ต.อ.ประชานั้น ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในซีกรัฐบาล ส.ส.พรรคเพื่อไทย และพรรคร่วมรัฐบาลไม่มีใครแตกแถว ต่างยกมือสนับสนุน ในส่วนของรัฐมนตรีที่โหวตไม่ลงคะแนนจำนวน 15 คน ได้แก่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย นายชูชาติ หาญสวัสดิ์ รมช.มหาดไทย นายฐานิสร์ เทียนทอง รมช.มหาดไทย นางกฤษณา สีหลักษณ์ รมต.สำนักนายกรัฐมนตรี นางบุญรื่น ศรีธเรศ รมช.ศึกษาธิการ นายสุรพงษ์ อึ้งอัมพรวิไล รมช.ศึกษาธิการ

นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รมว.การต่างประเทศ นายปรีชา เร่งสมบูรณ์สุข รมว.ทรัพยากรฯ นายเผดิมชัย สะสมทรัพย์ รมว.แรงงาน นายกิตติศักดิ์ หัตถสงเคราะห์ รมช.คมนาคม, นพ.วรรณรัตน์ ชาญนุกูล รมว.อุตสาหกรรม นายศิริวัฒน์ ขจรประศาสน์ รมช.พาณิชย์ นางสุกุมล คุณปลื้ม รมว.วัฒนธรรม และนายพรศักดิ์ เจริญประเสริฐ รมช.เกษตรฯ ส่วนนายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานรัฐสภา ไม่แสดงตนในการโหวตลงมติ เพราะทำหน้าที่ประธานในการประชุม ขณะที่นายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ รองประธานสภาคนที่สอง ลงมติไว้วางใจ

“ปุ-บิ๊กบัง” งดออกเสียง

ในส่วนของผู้ที่งดออกเสียง 5 เสียง ประกอบด้วย 1. นายเจริญ จรรย์โกมล ส.ส. ชัยภูมิ พรรคเพื่อไทย ในฐานะรองประธานสภา คนที่หนึ่ง 2. ร.ต.อ.ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรครักษ์สันติ 3. พล.อ. สนธิ บุญยรัตกลิน ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคมาตุภูมิ 4. นายอนุมัติ ซูสารอ ส.ส.ปัตตานี พรรคมาตุภูมิ 5. นายเรืองศักดิ์ งามสมภาค ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคภูมิใจไทย

ฝ่ายค้านปัจจุบันมี ส.ส. 199 คนแต่ลงคะแนนไม่ไว้วางใจ 188 คน หายไป 11 คน ประกอบด้วยพรรคประชา ธิปัตย์ 2 คน คือ นางนันทพร วีรกุลสุนทร ส.ส. กรุงเทพฯที่ป่วยเป็นโรคฉี่หนูรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล และนายนิติรัฐ สุนทรวร ส.ส.สมุทร สาคร ส่วนพรรคภูมิใจไทย 4 คน คือ นายจักรวาล ชัยวิรัตน์นุกุล ส.ส.สุโขทัย นายบุญดำรง ประเสริฐโสภา ส.ส.ราชบุรี นางบุญยิ่ง นิติกาญจนา ส.ส.ราชบุรี นายรังสิกร ทิมาตฤกะ ส.ส.บุรีรัมย์ พรรคมาตุภูมิ 2 เสียง คือ พล.อ. สนธิ และนายอนุมัติ เช่นเดียวกับ ร.ต.อ. ปุระชัย จากพรรครักษ์สันติ ที่งดออกเสียง รวมถึงพรรครักประเทศไทยอีก 2 เสียง คือ นายโปรดปราน โต๊ะราหนี ส.ส.บัญชีรายชื่อ ไม่มาประชุม และนายชัยวัฒน์ ไกรฤกษ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ที่โหวตหนุน พล.ต.อ.ประชา

ลูกน้อง“ชูวิทย์”โหวตสวน

ในส่วนของพรรครักประเทศไทย ที่มี ส.ส. 4 คนนั้น ปรากฏว่าการลงมติไม่เป็นเอกฉันท์ โดย 2 เสียงแรก คือ นายชูวิทย์และนายพงษ์ศักดิ์ เรือนเงิน ส.ส.บัญชีรายชื่อ ลงมติไม่ไว้วางใจ ในขณะที่นายชัยวัฒน์ โหวตสวนโดยลงคะแนนไว้วางใจให้กับ พล.ต.อ.ประชา ส่วนนายโปรดปรานไม่มาประชุม

นายจักรวาล ชัยวิรัตน์นุกูล ส.ส.สุโขทัย พรรคภูมิใจไทย กลุ่มมัชฌิมา กล่าวถึงสาเหตุที่ไม่ได้มาลงคะแนนเสียงในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ พล.ต.อ.ประชาว่า ตนเข้าใจผิดว่ามีการประชุมในเวลา 10.00 น. ขณะที่ตัวเองไปพักที่ จ.ชลบุรี เพราะบ้านพักที่กรุงเทพฯน้ำยัง ท่วมอยู่จึงเดินทางมาไม่ทัน และทางพรรคก็ ไม่ได้แจ้งมาว่าจะลงมติในทิศทางใด พอมา ถึงสภาก็หาที่จอดรถอยู่นาน เขาก็ลงมติเสร็จเรียบร้อยแล้ว

“น้องปู”ยังไม่ปรับ ครม.

น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ในเรื่องเดียวกันว่า พล.ต.อ.ประชาตอบคำถามฝ่ายค้านในทุกข้อ ไม่มีประเด็นอะไรเพิ่มเติมอีกจากที่เป็นข่าว ท่านให้ข้อมูลในทุกประเด็นที่ฝ่ายค้านตั้งข้อสงสัย เมื่อถามว่า คะแนนเสียงที่ออกมาจะนำไปสู่การทบทวนการทำหน้าที่ของ พล.ต.อ.ประชาหรือไม่ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ในแง่การทำงานต้องให้กำลังใจทุกคน การทำงานไม่ได้หมายความว่าทุกอย่างจะต้องดีที่สุด อยากให้ดูในภาพรวมว่าทุกคนตั้งใจทำงาน อย่างไรก็ตามยอมรับว่าอาจจะมีบ้างที่มีข้อบกพร่อง จึงทำให้การแก้ไขปัญหาอาจทำไม่ได้ดีเท่าที่ควรซึ่งเราก็น้อมรับและจะนำข้อเสนอแนะดี ๆ มาปรับใช้ แต่ยืนยัน ว่ารัฐมนตรีทุกคนทำงานด้วยเจตนาที่จะช่วยเหลือประชาชน เมื่อถามว่าหลังจากนี้จะมีการพิจารณาปรับ ครม.หรือไม่ น.ส.ยิ่งลักษณ์กล่าวว่า ยังไม่มีการพูดถึงเรื่องนี้

“เรื่องการปรับ ครม.ยังไม่มีแนวคิด ขอให้รัฐมนตรีได้ทำงานในส่วนของตัวเองก่อน เชื่อว่าประชาชนคลายข้อสงสัยไปได้ส่วนหนึ่ง แต่อาจมีบางส่วนที่ยังมีความข้องใจอยู่ รัฐบาลก็พยายามอธิบายให้เกิดความเข้าใจและเข้าไปดูแลเรื่องความเดือดร้อนโดยเร็วที่สุด

เปรยประเมินผลงานรายตัว

นายอนุสรณ์ อมรฉัตร สามีนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตนบอกนายกฯว่าทุกวันนี้ทำดีที่สุดแล้ว เมื่อเช้าก็เล่าให้ฟังว่า ผลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนประทับใจการทำงานของนายกฯ ซึ่งนายกฯบอกว่าดีใจที่ทำงานเหนื่อยแล้วประชาชนเห็น เมื่อถามว่า นายกฯบอกว่าจะปรับ ครม.หรือไม่ นายอนุสรณ์กล่าวว่า บอกว่ากำลังดูอยู่โดยใช้วิธีเก็บผลงานและประเมินไปเรื่อย ๆ จุดไหนงานอ่อนก็ต้องเรียกมาพูดคุยว่าต้องเร่งทำผลงาน เพราะถ้าไม่มีผลงานก็อยู่ไม่ได้

นายกฯได้โทรศัพท์หารือกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี บ้างหรือไม่ นายอนุสรณ์กล่าวว่า ไม่ได้หารือ เห็นที่คุยบ่อยสุดคือ พล.ต.อ.ประชา อย่างไรก็ตามน้องไปป์ลูกชายจะเป็นคนที่ให้กำลังใจอย่างมาก อย่างบางวันกลับมาถึงบ้านก็จะเข้าไปถามว่าคุณแม่เหนื่อยไหม ตนก็จะคอยกระซิบบอกให้ลูกไปกอด นายกฯก็จะยิ้ม แต่พ่อไม่ต้อง เพราะถ้าพ่อกอดแล้วไม่ยิ้มก็จะเครียด หรือคิดว่ามาขออะไร

ปล่อยข่าวปรับ รมต.ไร้ผลงาน

รายงานข่าวจากพรรคเพื่อไทยแจ้งว่า หลังจบการอภิปรายไม่ไว้วางใจและถอดถอนพล.ต.อ.ประชา ส.ส.ภายในพรรคเริ่มจับกลุ่มหารือและประเมินสถานการณ์ทางการเมืองว่า อาจมีการพิจารณาปรับเปลี่ยนตัวรัฐมนตรี บางคน เพื่อรักษาเสถียรภาพของรัฐบาลให้ เข้มแข็ง เนื่องจากการแก้ปัญหาน้ำท่วมที่ผ่านมามีบางกระทรวงทำงานได้ไม่เต็มที่หรือไม่กระตือรือร้นที่จะลงไปช่วยงาน ทำให้เกิดช่องว่างในการบริหารงานและเปิดช่องให้ฝ่ายค้านสามารถโจมตีการทำงานของรัฐบาลได้ โดยเฉพาะรัฐมนตรีในส่วนของพรรคเพื่อไทย ที่ มีจำนวนไม่น้อยที่อยู่ในข่ายที่จะมีการปรับเปลี่ยน อาทิ กระทรวงคมนาคม กระทรวงเกษตรฯ กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงการพัฒนาสังคมฯ เป็นต้น เพราะก่อนหน้านี้ในพรรคได้มีการทำความเข้าใจในการทำงานของรัฐมนตรีไว้แล้ว หากไม่สามารถทำงานได้อย่างเต็มที่ก็ต้องเปิดโอกาสให้คนอื่นที่มีความพร้อมเข้ามาทำหน้าที่แทน

เผยหนังสือ ปชป.ขอถุงยังชีพ

ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รมว.พลังงาน ได้ให้ทีมงานส่งสำเนาหนังสือที่นายปรีชา เรืองจันทร์ ผวจ.พิษณุโลก ทำหนังสือประทับตราด่วนที่สุด ที่พล 0016.2/ 26141 ลงวันที่ 28 พ.ย. 2554 ถึงปลัดกระทรวงมหาดไทย เรื่องขอชี้แจงกรณีการอภิปรายประเด็นที่พาดพิงถึงการแจกจ่ายถุงยังชีพให้กับผู้ประสบอุทกภัย โดยมีเนื้อหาสรุปว่า เมื่อประมาณกลางเดือน พ.ค. 54 ได้รับโทรศัพท์จาก นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ส.ส. พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ ประสงค์ขอรับการสนับสนุนถุงยังชีพจำนวน 500 ถุง จึงได้เรียนไปว่าขณะนี้ถุงยังชีพของจังหวัดหมดแล้วไม่มีสนับสนุน

นพ.วรงค์ได้แจ้งยืนยันให้ทราบว่ายังมีถุงยังชีพอยู่ที่สำนักงานพลังงาน จ.พิษณุโลก อีก 500 ถุง เมื่อตรวจสอบจึงได้ทราบว่ามีอยู่จริง ซึ่งในสถานการณ์ขณะนั้นรู้สึกอึดอัดและกังวลใจเป็นอย่างยิ่ง หากจะปฏิเสธการสนับสนุนดังกล่าวก็เห็นว่าผู้ที่ขอร้องมาคือ ส.ส. ต้องการที่จะนำไปช่วยเหลือราษฎรและอาจถูกตำหนิได้ว่าไม่ให้ความสนใจดูแลประชาชน เป็นเสมือนสถานการณ์บังคับให้ข้าพเจ้าต้องอนุญาตให้ไปตามจำนวนเท่าที่สำนักงานพลังงาน จ.พิษณุโลก มีอยู่

ชี้ผิด รธน.แทรกแซงราชการ

นายพิชัย กล่าวถึงเรื่องดังกล่าวว่า หลังจากที่ตนชี้แจงเรื่องดังกล่าว นพ.วรงค์ได้กล่าวหาตนเองโกหกกลางสภา แต่จากเอกสารฉบับนี้เป็นการจับโกหกได้เป็นอย่างดีว่าใครกันแน่ที่พูดจริงหรือพูดเท็จ และถ้าเอาจริงนี่คือหลักฐานฟ้องว่า นพ.วรงค์มีพฤติการณ์เข้าข่ายแทรกแซง บีบบังคับการทำงานของส่วนราชการ คือ ผู้ว่าราชการจังหวัดพิษณุโลก ซึ่งเป็นความผิดตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 266

นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.มหาดไทย กล่าวถึงตำแหน่ง ผอ.ศปภ.ว่า หากจะให้ตนเข้ามาเป็นคงไม่ได้ เพราะตำแหน่ง รมว.มหาดไทย ก็เป็นประธานศูนย์อำนวยการภัยพิบัติแห่งชาติโดยตำแหน่งอยู่แล้ว เมื่อถามถึงความเหมาะสมกรณีที่มี ส.ส.ของพรรคเพื่อไทย นำสิ่งของที่นำไปบริจาคให้ประชาชน ติดป้ายชื่อให้ตัวเองจนถูกมองว่าเป็นการหาเสียง นายยงยุทธกล่าวว่า ตนเชื่อว่าเรื่องนี้ไม่มีใครคิดอะไร ทุกคนต้องการที่จะให้ความช่วยเหลือประชาชนอย่างรวดเร็ว

“ตู่”เล็งฟ้องแพ่ง-อาญา ปชป.

นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.บัญชี รายชื่อ พรรคเพื่อไทย แถลงว่า กรณีที่พรรคประชาธิปัตย์ยื่นถอดถอนและอภิปรายไม่ไว้วางใจ มีการกล่าวหาตนเอง พ.ต.ท.ทักษิณ และ ส.ส.พรรคเพื่อไทย ว่ากระทำการทุจริต ยักยอกทรัพย์ราชการนั้น เป็นการแจ้งความอันเป็นเท็จต่อประธานวุฒิสภา ต่อประธานรัฐสภา และต่อ ป.ป.ช. ดังนั้นสัปดาห์หน้าตนจะเข้าแจ้งความร้องทุกข์ต่อกองปราบปรามเพื่อเอาผิดกับนายอภิสิทธิ์และ 154 ส.ส.พรรคประชา ธิปัตย์ ที่ลงนามในญัตติ 2 ข้อหา คือ ฐานแจ้งความเท็จและหมิ่นประมาท จากนั้นจะฟ้องคดีทางแพ่งเรียกร้องค่าเสียหายต่อไป ส่วนที่พรรคประชาธิปัตย์จะยื่นถอดถอน ส.ส.พรรคเพื่อไทยเพิ่มเติมนั้น ขอบอกว่าอย่าชักช้า เราทำงานช่วยเหลือประชาชนจึงไม่รู้สึกหวั่นไหว

อีกด้านหนึ่งนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) กล่าวถึงความคืบหน้าในการตรวจสอบการจัดซื้อถุงยังชีพช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยตามที่กระทรวงมหาดไทยยื่นเรื่องมาว่า จะเร่งสรุปผลสอบให้เสร็จภายใน 1 สัปดาห์ ซึ่งจากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่าระเบียบการใช้จ่ายเงินกองทุนที่มาจากการรับบริจาคเพื่อนำไปจัดซื้อนั้นเปิดช่องโหว่อยู่ เนื่องจากเป็นช่วงภาวะฉุกเฉินซึ่งมีข้อยกเว้นให้จัดซื้อด้วยวิธีพิเศษได้

“มาร์ค”เล็งยื่นถอดถอนเพิ่ม

ขณะที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และผู้นำฝ่ายค้าน กล่าวถึง การประเมินภาพรวมภายหลังการยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจพล.ต.อ.ประชา ว่า ไม่ถือ
ว่าฝ่ายค้านเหนื่อยฟรี เราทำหน้าที่ตรวจสอบให้ประชาชนได้เห็นถึงข้อเท็จจริงในการบริหารจัดการที่ผิดพลาด และมีการกระทำที่ผิดกฎหมาย ซึ่งกระบวนการถอดถอนจะเดินหน้าต่อไป และจะมีการยื่นถอดถอน ส.ส.เพิ่มเติมด้วย กำลังดูตามข้อเท็จจริงว่าจะเกี่ยวข้องกับใครบ้าง และจะตรวจสอบถึงการที่เอกสารลับที่ฝ่ายค้านยื่นถอดถอนต่อ ป.ป.ช.รั่วไหลออกมาด้วย

นายกฯยืนยันว่าจะไม่ปรับ ครม.แสดงว่าการอภิปรายครั้งนี้ไม่ส่งผลอะไร นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ถือเป็นความรับผิดชอบของนายกฯ เพราะการบริหารจัดการที่ผิดพลาดยังคงดำรงอยู่ โดยเฉพาะความขัดแย้งระหว่างประชาชน ดังนั้นนายกฯต้องเป็นผู้ รับผิดชอบ นอกจากนี้ตนได้กำชับ ส.ส.ของพรรคที่เป็นกรรมาธิการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2555 ให้ตรวจสอบการจัดสรรงบฯฟื้นฟูน้ำท่วม

“จารุพงศ์-แซม”เหยื่อรายใหม่

นายวิรัตน์ กัลยาศิริ ส.ส.สงขลา ในฐานะหัวหน้าทีมกฎหมาย พรรคประชาธิปัตย์ เปิดเผยว่า พรรคจะยื่นถอดถอดส.ส.เพื่อไทยเพิ่มเติมอีก 2 คน ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 270 คือ นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ และนายยุรนันท์ ภมรมนตรี ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย กระทำความผิดต่อมาตรา 265-266 โดยนายจารุพงศ์ถูกแต่งตั้งให้เป็นที่ปรึกษา ผอ.ศปภ. ส่วนนายยุรนันท์พบหลักฐานเซ็นชื่อรับของที่ ศปภ.สั่งซื้อจากเอกชน

สำหรับ ส.ส.เพื่อไทยเดิม 7 คน ที่พรรคประชาธิปัตย์ยื่นถอดถอนไว้แล้วนั้น โดยในส่วนของ พล.ต.อ.ประชาได้ยื่นถอดถอนต่อประธานวุฒิสภา เพื่อประกอบการอภิปรายไม่ไว้วางใจไปแล้ว ส่วน ส.ส.อีก 6 คน แบ่งเป็น 4 ส.ส.ที่ถูกตั้งตามคำสั่ง ศปภ.เป็นกรรมการบริหารของบริจาค ขัดมาตรา 265-266 ได้แก่ นายการุณ โหสกุล นายสุรชาติ เทียนทอง ส.ส.กรุงเทพฯ นายวรชัย เหมะ ส.ส.สมุทรปราการ และนายทนุศักดิ์ เล็กอุทัย ส.ส.อุตรดิตถ์ ส่วนอีก 2 คนเกี่ยวข้องกับพฤติการณ์ต่อปัญหาประตูน้ำคลองสามวาและของบริจาคได้แก่ นายวิชาญ มีนชัยนันท์ และนายจิรายุ ห่วงทรัพย์ ส.ส.กรุงเทพฯ รวม ส.ส.เพื่อไทยที่ถูกยื่นถอดถอนทั้งสิ้น 9 คน

พท.เดินเครื่องคดี 91 ศพ

ส่วนการเมืองด้านอื่นนายสุนัย จุลพงศธร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธานกรรมาธิการต่างประเทศ สภาผู้แทนราษฎร แถลงว่า การเสียชีวิตของประชาชนจำนวน 91 ศพ ในเหตุการณ์เมื่อวันที่ 10 เม.ย. และ 19 พ.ค. 2553 เป็นความเจ็บปวดของประชาชนที่เสียชีวิต เหตุการณ์ดังกล่าวต้องมีผู้รับผิดชอบทั้งนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ที่เป็นนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ส.ส.สุราษฎร์ ธานี พรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งทำหน้าที่ ผอ.ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) จะปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้

“เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมทุกฝ่าย ผมจึงจะเสนอคดีดังกล่าวไปยังศาลอาญาระหว่างประเทศ (ศาลโลก) เพื่อให้ดำเนินคดี และไม่เกิดข้อครหาว่ารัฐบาลปัจจุบันได้ดำเนินคดีกับใครคนใดคนหนึ่ง หรือฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ผมจะเดินทางไปยังศาลโลกที่ประเทศเนเธอร์แลนด์ ในวันที่ 9 ธ.ค.และจะขอให้ศาลโลกรับคดีนี้เป็นคดีพิเศษ” นายสุนัยกล่าว

ด้าน น.ส.ขัตติยา สวัสดิผล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ตนยื่นเรื่องต่อนายอภิสิทธิ์เมื่อปี 53 เพื่อสอบถามความคืบหน้าในการเสียชีวิตของบิดา คือ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล แต่ไม่มีอะไรคืบหน้า เมื่อมีการเสนอนำเรื่องเข้าสู่ศาลอาญาระหว่างประเทศก็คิดว่าเป็นสิ่งที่ดี

“มาร์ค-เทือก”พร้อมให้ปากคำ

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์และผู้นำฝ่ายค้าน กล่าวถึงกรณีที่ อัยการให้พนักงานสอบสวนขอความร่วมมือมาให้ปากคำกรณีถูกกล่าวหาอ้างในเหตุการณ์การชุมนุมทางการเมืองทำให้มีผู้เสียชีวิต 13 ศพเมื่อ เดือน เม.ย. 2553 ว่า ขอให้ทำทุกอย่างไปตามขั้นตอนของกฎหมายและข้อเท็จจริง ส่วนหนังสือเชิญตนไปให้ปากคำเพิ่มเติมในวันที่ 2 ธ.ค.นั้น ยังไม่เห็นหนังสือ ถ้าเชิญมาก็ไม่มีปัญหา

ด้านนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ส.ส. สุราษฎร์ธานี พรรคประชาธิปัตย์ อดีตรอง นายกฯฝ่ายความมั่นคง กล่าวสั้น ๆ ว่า ขอให้ส่งหนังสือเชิญมา ตอนนี้ตนยังไม่เห็นหนังสือเชิญเลย

ดีเอสไอเปลี่ยนคนสอบคดีล้มเจ้า

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. กล่าวว่า กระบวนการยุติธรรมจะเป็นคนตัดสินว่าใครผิดใครถูกอย่างไร เจ้าหน้าที่ทุกคนทำไปด้วยความบริสุทธิ์ใจ เป็นไปตามกฎหมายทุกประการ ส่วนกลุ่มมวลชนสีต่าง ๆ จะออกมาชุมนุมเพื่อสร้างสถานการณ์นั้น เป็นเรื่องของรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง แต่ทำอย่างนี้มันไม่เกิดประโยชน์ไม่ว่าจะฝ่ายใดก็ตาม หาวิธีการอื่นแก้ปัญหาน่าจะดีกว่า

นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ชี้แจงกรณีดีเอสไอเปลี่ยนตัวพนักงานสอบสวนคดีล้มเจ้าว่า มีการปรับเปลี่ยนพนักงานสอบสวนบางคนจริงแต่ไม่ได้เปลี่ยนทั้งชุด เป็นไปตามคำสั่งของ พล.ต.อ. ประชา พรหมนอก รมว.ยุติธรรม ตามที่กลุ่มคนเสื้อแดงยื่นหนังสือขอความเป็นธรรม โดยดีเอสไอมีคำสั่งแต่งตั้ง พ.ต.อ.ประเวศน์ มูลประมุข รองอธิบดีดีเอสไอ ร่วมเป็นชุดพนักงานสอบสวนด้วย.

ต้นฉบับ: http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=8&contentId=178616

ที่มา: เดลินิวส์
////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันจันทร์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ประชา. ต้องไประทึกใจต่อที่ ป.ป.ช. !!?

การอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งแรกส่งท้ายปิดสมัยประชุมสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวันที่ 27 พ.ย. ผ่านไป ท่ามกลางความสงสัยที่ยังคงอยู่ เพราะต่างฝ่าย ทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้าน ต่างก็งัดหลักฐาน เตรียมการบ้านมาหักล้าง ชี้แจงกันต่าง ๆ นานา

ฟังการอภิปรายไม่ไว้วางใจของพรรคประชาธิปัตย์ ต้องบอกว่า แม้ พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รมว.ยุติธรรม ในฐานะ ผอ.ศปภ. จะได้เสียงสนับสนุนไว้วางใจให้ผ่านไป

แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่า พล.ต.อ.ประชา จะพ้น ’พงหนาม“ ทางการเมืองในครั้งนี้

เพราะการอภิปรายไม่ไว้วางใจรอบนี้ พรรคประชาธิปัตย์ หมายมั่นปั้นมือที่จะ ’ถอดถอน“ 7 ส.ส. ที่ส่อว่าทำผิดกฎหมายรัฐธรรมนูญมาตรา 265-266

ตามขั้นตอนกระบวนการจะเริ่มที่วุฒิสภา ส่งเรื่องให้ ป.ป.ช.สอบสวนเพื่อ ’ชี้มูลความผิด“

หากไม่ผิดก็รอดไป แต่หาก ’ผิด“ ก็จะกลับมาที่วุฒิสภา เพื่อดำเนินการถอดถอนด้วยเสียง 3 ใน 5

เมื่อถึงตรงนั้นเมื่อไหร่ ก็จะต้องมีการ ’เลือกตั้งซ่อม“ เกิดขึ้นทันที

ฉะนั้น เวทีที่ ป.ป.ช. ที่ ’ตั้งท่า“ ขึ้นมารอรับไม้ต่อจากการอภิปรายไม่ไว้วางใจ จึงเป็นของจริง และมีความหมายที่แท้จริงทางการเมือง

ช่วงหนึ่งจึงไม่ต้องแปลกใจหากพล.ต.อ.ประชา จะระบุกึ่ง ๆ หาเสียงเอาไว้ล่วงหน้าว่า

“ส.ส. ที่มาช่วยงานด้วยจิตอาสา ที่ถูกถอดถอนนั้น ไม่ต้องวิตกกังวล เพราะพวกท่านมาช่วยประชาชนที่ตกทุกข์ได้ยาก น้ำท่วมถึงอก ถึงคอ ท่านเป็น ส.ส. จะทิ้งประชาชนได้หรือ พวกท่านมาช่วยเหลือไม่ได้มาแทรกแซง ประชาชนรู้ว่าท่านทำอะไร ดังนั้นไม่ต้องเสียใจถ้าถูกถอดถอน เพราะท่านมาช่วยประชาชน”

กรณี ส.ส. ทำหน้าที่ช่วยประชาชนในภาวะที่ฉุกเฉิน เช่นน้ำท่วมใหญ่ในครั้งนี้ เป็นเรื่องที่ถูกต้องและไม่ผิดกฎหมายหากจะยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือ

แต่สาระที่พูดกันนั้น อยู่ตรงที่ว่า รัฐธรรมนูญซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุดห้ามไว้อย่างชัดเจนว่า ส.ส. ต้องไม่เข้าไปยุ่งกับฝ่ายบริหาร เหตุที่กฎหมายห้ามไว้เพราะในอดีตมี ’นักการเมืองหัวหมอ“ อาศัยความเป็นรัฐบาล อ้างว่าช่วยเหลือประชาชน เอาเงินงบประมาณซึ่งเป็นภาษีของคนทุกคน ไปใช้แล้ว หน้าไม่อายบอกกับประชาชนว่า เป็นผลงานตัวเอง

ถือเป็น ’ข้อกฎหมาย“ ที่ ป.ป.ช. ไม่น่าจะใช้เวลานาน.

ต้นฉบับ: http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=8&contentId=178385

ที่มา: เดลินิวส์
///////////////////////////////////////////////////////

วันอาทิตย์ที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ลุ้นศึกซักฟอก ปชป.ถล่ม ประชา. สะเทือนถึง ยงยุทธ-ยิ่งลักษณ์ !!?



จับตาศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจ "ประชา พรหมนอก" ปชป.จัด 11 ขุนพล ชำแหละ 3 ประเด็น พ่วง พ.ร.ฎ.อภัยโทษ

ญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจ พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รมว.ยุติธรรม ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (ศปภ.) ที่สภาผู้แทนราษฎรจะพิจารณากันในวันนี้ (27 พ.ย.) นับเป็นการยื่นญัตติครั้งแรกของฝ่ายค้าน คือ พรรคประชาธิปัตย์ และเป็นการถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งแรกของรัฐบาลชุดนี้ ซึ่งนำโดยพรรคเพื่อไทย

แม้สวนดุสิตโพลเปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชนก่อนหน้านี้ว่า ชาวบ้านร้านตลาดให้ความสนใจการอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้แค่ 11.63% แต่พรรคประชาธิปัตย์ก็ยังเดินหน้าไปตามแผนที่วางเอาไว้ ด้วยเหตุผล "ตีเหล็กตอนกำลังร้อน" เพื่อตอกย้ำความไร้ประสิทธิภาพการบริหารจัดการน้ำท่วมของรัฐบาลทิ้งท้ายก่อนที่สถานการณ์จะเคลื่อนไปสู่โหมดของการ "ฟื้นฟู-เยียวยา"

พรรคประชาธิปัตย์วางตัวขุนพลที่จะลุกขึ้นเปิดข้อมูลถล่มรัฐบาลรวม 11 คน ได้แก่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรค และผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร นายกรณ์ จาติกวณิช นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ส.ส.บัญชีรายชื่อ นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย ส.ส.ตรัง นายนิพิฎฐ์ อินทรสมบัติ ส.ส.พัทลุง นายวิลาศ จันทร์พิทักษ์ ส.ส.กรุงเทพมหานคร นายศิริโชค โสภา ส.ส.สงขลา น.ส.รังสิมา รอดรัศมี ส.ส.สมุทรสงคราม นายวิรัตน์ กัลยาศิริ ส.ส.สงขลา นายจุติ ไกรฤกษ์ ส.ส.พิษณุโลก และนายอาคม เอ่งฉ้วน ส.ส.บัญชีรายชื่อ โดย นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ ประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน (วิปฝ่ายค้าน) จะเป็นผู้กล่าวปิดอภิปราย

ส่วนประเด็นที่จะอภิปรายซักฟอกกันมีอยู่ 3 ประเด็น คือ

1.ประเด็นการทุจริต โดยไม้เด็ดอยู่ที่การตอกย้ำหลักฐานการทุจริตการจัดซื้อถุงยังชีพ งบข้าวกล่อง และการจัดซื้ออุปกรณ์ช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย เช่น เรือ สุขา เป็นต้น ซึ่งจะมีการเปิดหลักฐานมัดว่าใครคือผู้อนุมัติงบจัดซื้อตัวจริง ฉะนั้นตัวละครที่เกี่ยวข้องจะไม่ใช่แค่ พล.ต.อ.ประชา เท่านั้น แต่จะพาดพิงไปถึง นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย ในฐานะประธานคณะกรรมการกองทุนช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัย สำนักนายกรัฐมนตรี รวมทั้ง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีด้วย

2.การกระทำผิดกฎหมาย เป็นประเด็นที่พรรคประชาธิปัตย์มั่นใจว่าเอาผิดได้ค่อนข้างแน่ เพราะหลักฐานชัด ก็คือการที่ พล.ต.อ.ประชา มีคำสั่งแต่งตั้ง ส.ส.ให้มีอำนาจดูแลจัดการเรื่องถุงยังชีพ ซึ่งน่าจะขัดต่อบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ 265 และ 266 ที่ว่าด้วยการกระทำที่เป็นการขัดกันแห่งประโยชน์ และห้าม ส.ส.เข้าไปยุ่งเกี่ยวแทรกแซงการปฏิบัติราชการหรือการดำเนินงานในหน้าที่ประจำของข้าราชการ พนักงาน หรือลูกจ้างของหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ กิจการที่รัฐถือหุ้นใหญ่ หรือราชการส่วนท้องถิ่น

ประเด็นนี้แม้แต่ พล.ต.อ.ประชา เอง ก็เคยยอมรับกลางวงประชุมคณะกรรมาธิการติดตามงบประมาณ สภาผู้แทนราษฎร ว่า เป็นเพราะความไม่รู้ และไม่ได้ปรึกษาฝ่ายกฎหมาย แต่เมื่อได้รับคำปรึกษาจากฝ่ายกฎหมายแล้ว จึงได้มีคำสั่งยกเลิกการแต่งตั้งนักการเมืองเข้าไป พร้อมย้ำว่าไม่มีเจตนา

แต่ในทางกฎหมายและในทางการเมืองถือว่างานนี้ "กระทำผิดสำเร็จแล้ว"

3.การบริหารงานที่ไร้ประสิทธิภาพ เป็นประเด็นที่พรรคประชาธิปัตย์ต้องการเน้นย้ำ และแก้เกมนอกสภาที่พรรคเพื่อไทยพยายามโยนบาปการแก้ไขปัญหาพื้นที่น้ำท่วมขังของชุมชนเหนือแนวบิ๊กแบ็กซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในจังหวัดปริมณฑลทั้งนนทบุรีและปทุมธานี ว่าเป็นความผิดของ ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ บริพัตร ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) ซึ่งเป็นคนของพรรคประชาธิปัตย์

จะเห็นได้ว่าในระยะหลังๆ รัฐบาลโดย ศปภ.แทบไม่ได้จัดการปัญหาการระบายน้ำในชุมชนเหนือแนวบิ๊กแบ็กเลย ทำให้สถานการณ์น้ำท่วมยืดเยื้อและประชาชนออกมาชุมนุมประท้วงปิดถนนเป็นรายวัน เพราะไม่ทราบว่าน้ำที่บ้านและชุมชนของตนจะแห้งเมื่อใด แต่รัฐบาลก็ไม่ได้เร่งรัดแก้ไข กลับมุ่งใช้นักการเมืองท้องถิ่นและเครือข่ายหัวคะแนนปล่อยข่าวโยนบาปผู้ว่าฯกทม.ว่าเป็นผู้รับผิดชอบและไม่ยอมระบายน้ำผ่านพื้นที่ กทม. เสมือนเป็นการเปลี่ยนคู่ชกของคนนนทบุรีและปทุมธานีกับ ศปภ. มาเป็นผู้ว่าฯกทม.แทน

พรรคประชาธิปัตย์จึงต้องการย้ำหัวตะปูว่า นี่คือการบิดเบือนและโยนความรับผิดชอบ เพราะ ศปภ.ถือเป็นองค์กร "รวมศูนย์อำนาจ" ในการบริหารจัดการน้ำทั้งหมด โดยใช้อำนาจผ่านพระราชบัญญัติป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ.2550 มาตรา 31 ซึ่งนายกฯเป็นผู้ประกาศด้วยตัวเอง

นอกจาก 3 ประเด็นหลักๆ ดังกล่าวแล้ว พรรคประชาธิปัตย์ยังเตรียมอภิปรายพาดพิงไปถึงการเสนอร่างพระราชกฤษฎีกาอภัยโทษ พ.ศ.... ซึ่งมีข่าวพยายามแก้ไขหรือตัดทอนหลักเกณฑ์บางประการเพื่อเอื้อประโยชน์ให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้รับพระราชทานอภัยโทษด้วย โดยเฉพาะการแก้ถ้อยคำ "ผู้ต้องราชทัณฑ์" เป็น "ผู้ต้องคำพิพากษา" ซึ่งก็จะส่งผลให้คนที่ยังไม่เคยรับโทษหรือหนีโทษจำคุกก็มีสิทธิได้รับพระราชทานอภัยโทษในโอกาสนี้ด้วย

แม้ล่าสุดทั้ง พ.ต.ท.ทักษิณ และรัฐบาลจะส่งสัญญาณ "ไอ้เสือถอย" ไปเรียบร้อย ทว่าพรรคประชาธิปัตย์ก็จะไม่ปล่อยโอกาสทิ้งไป โดยจะฉวยจังหวะชุลมุนขย่มประเด็นนี้ แม้ดูเผินๆ จะไม่เกี่ยวกับญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ พล.ต.อ.ประชา แต่ฝ่ายค้านก็จะอ้างเรื่องเส้นทางการพิจารณาร่างพระราชกฤษฎีกาฯก่อนเสนอคณะรัฐมนตรี ว่าเป็นเรื่องภายในกระทรวงยุติธรรม ซึ่งเป็นกระทรวงที่ พล.ต.อ.ประชา รับผิดชอบนั่นเอง

งานนี้แม้จะเป็นการอภิปรายไม่ไว้วางใจ พล.ต.อ.ประชา เพียงคนเดียว แต่ดูแล้ว รมว.ยุติธรรม จะไม่โดดเดี่ยว เพราะฝ่ายค้านคงหวังให้เกิดแรงสั่นสะเทือนไปถึงทั้ง นายกฯ รมว.มหาดไทย และ "นายใหญ่แห่งดูไบ" ด้วยอย่างแน่นอน

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

//////////////////////////////////////////////////////////////

วันเสาร์ที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

เชือดประชา. แต่หมูตาย เป้าพุ่งกลับ ชายหมูจอมอพยพ เจ้าของอุโมงยักษ์ FAKE แห่ง กทม. !!?



คนทำงานด้วยการลงมือทำจริงๆ ไม่ว่าอย่างไร ก็ต้องมีทั้งผลงานและข้อผิดพลาด ผิดกับคนที่ไม่ได้ทำงานอะไรเลย หรือคนที่ทำงานด้วยปาก

ยิ่งเป็นคนทำงานด้วยปากที่มีวัตถุประสงค์แฝงนัยยะทางการเมืองด้วยแล้ว อะไรก็สามารถเล่นงานได้ทั้งนั้น

โดยเฉพาะในยุคที่ความปรองดองที่แท้จริงยังมาไม่ถึง การแตกต่างทางความคิดด้วยการแบ่งแยกแตกสียังคงมีอยู่อย่างไม่เลิกรา การเล่นงานทางการเมืองก็ย่อมจะต้องเข้มข้นไปตลอด จนกว่าจะเกิดการพลิกขั้วทางการเมืองได้อย่างที่หวัง

แม้ว่าอาจจะเป็นความหวังที่ค่อนข้างจะยาก หากว่าทุกอย่างเป็นไปตามกลไกของระบบอบประชาธิปไตยที่แท้จริง ตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นองค์พระประมุขของไทย

เพราะนั่นหมายถึงการเปลี่ยนแปลงที่จะต้องมาจากผลการลงคะแนนเสียงเลือกตั้งของประชาชนเป็นหลัก
ซึ่งเป็นระบบที่สากลทั่วโลกให้การยอมรับ เพราะถือว่าเป็นเสียงสนับสนุนของประชาชนที่มีสิทธิออกเสียง และสามารถที่จะตรวจสอบ ที่จะคานอำนาจรัฐได้ หากว่ารัฐบาลไม่มีผลงานให้ประชาชนเห็น ประชาชนก็จะไม่เลือกกลับมาอีก

ประเด็นนี้พรรคประชาธิปัตย์ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และแก๊งองครักษ์พิทักษ์มาร์คทั้งหลาย ก็ได้มีบทเรียนด้วยตัวเองมาแล้ว ว่าแม้จะเป็นรัฐบาลที่มีอำนาจหนุนหลัง มีการจัดตั้งรัฐบาลในค่ายทหาร
แต่ก็ไม่สามารถที่จะช่วยให้ชนะการเลือกตั้งได้

นี่คือข้อดีของการมีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งอย่างเสรีประชาธิปไตย และเป็นคำตอบว่าทำไมหลายๆประเทศในโลกปัจจุบันถึงได้ถวิลหารัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งที่แท้จริง และทำให้ผู้นำประเทศหลายๆประเทศ อย่างเช่น อียิปต์ และลิเบีย เกิดการเปลี่ยนแปลง

ผู้นำประเทศที่มีอำนาจทหารหนุนหลังอยู่ในมือ อย่าง พ.อ.โมอัมมาร์ กัดดาฟี และ นายฮอสนี มูบารัก จึงต้องปิดฉากชีวิตการเป็นผู้นำประเทศอย่างไม่สวย เมื่อเจอกับพลังประชาชนที่เรียกร้องประชาธิปไตยและเสรีภาพ

ดังนั้นนี่คือบทเรียนที่พรรคการเมืองของไทย ควรที่จะต้องตระหนัก และหันมาสร้างความปรองดอง เพื่อที่จะไปสู้กันในเวทีเลือกตั้ง ไม่ใช่ยังมีการเล่นการเมืองใต้ดินกันไม่เลิกราอย่างที่เป็นอยู่ในขณะนี้
ไม่เลิกราแม้ว่าจะเป็นช่วงบอบช้ำของประเทศ จากการเกิดพิบัติภัยน้ำท่วมใหญ่ ซึ่งวันนี้พิบัติภัยน้ำท่วมกำลังเกิดเพิ่มขึ้นในพื้นที่ภาคใต้ของประเทศไทยอีกพื้นที่หนึ่งแล้ว

ฉะนั้นวันนี้ทุกฝ่ายควรร่วมมือกัน เพื่อให้การแก้ปัญหาภัยน้ำท่วมในภาคกลาง ในปริมณฑลรอบกรุงเทพฯจบสิ้นลงให้ได้โดยเร็ว เพื่อที่รัฐบาลและทุกฝ่ายจะได้รีบไปช่วยแก้ปัญหาภัยน้ำท่วมทางภาคใต้ต่อไป
การเมืองสร้างสรรค์ควรจะเล่นกันตามระบบ

อย่างกรณีที่พรรคประชาธิปัตย์ในฐานะพรรคฝ่ายค้านอันดับหนึ่ง เดินหน้าที่จะตรวจสอบการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมของรัฐบาลด้วยกลไกรัฐสภา ก็เป็นสิ่งที่สามารถทำได้ตามกติกา ในการที่ยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจ พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย หรือ ศปภ. เพราะฝ่ายค้านมองว่าบริหารงาน ศปภ.ผิดพลาด ทำงานไม่ได้ผล
ก็เป็นเรื่องที่สามารถทำได้เพราะเป็นการใช้สิทธิตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ ตามมาตรา 159
ปัญหาก็คือพรรคฝ่ายค้าน คือพรรคประชาธิปัตย์ ที่มองว่าเป็นโอกาสถล่มทางการเมือง จากการที่การแก้ไขปัญหาน้ำท่วมไม่ได้ผลอย่างที่ประชาชนต้องการนั้น แน่ใจแล้วหรือว่า
จะสามารถทำให้ พล.ต.อ.ประชา ตายเดี่ยวได้ โดยที่พรรคประชาธิปัตย์จะลอยลำอย่างที่ดีดลูกคิดรางแก้วอยู่ในขณะนี้

แน่ใจหรือว่า ผู้ว่าฯกทม. ที่เป็นคนของพรรคประชาธิปัตย์ ที่ชื่อ ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ บริพัตร เจ้าของนิกเนม”คุณชายหมู” จะไม่เปียกปอนไปด้วย…??

สิ่งที่พรรคประชาธิปัตย์ และ ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ คิดว่าสามารถป้องกันไม่ให้กรุงเทพฯชั้นในน้ำท่วมได้ จะต้องถือเป็นผลงานที่เยี่ยมยอดนั้น แน่ใจเช่นนั้นจริงๆหรือ???

การที่กรุงเทพฯชั้นในน้ำไม่ท่วม โดยปล่อยให้จังหวัดปริมณฑลรอบกรุงเทพฯทนทุกข์ระทมน้ำท่วมนานกว่าเดือน 2 เดือน คือผลงานที่ยอดเยี่ยมจริงๆหรือ
ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ รู้หรือไม่ว่าประชาชนในย่านปริมณฑลรอบกรุงเทพฯมองผู้ว่าฯกทม.และพรรคประชาธิปัตย์อย่างไร

แม้แต่คนกรุงเทพฯในแนวตะเข็บพื้นที่ดอนเมือง หลักสี่ สายไหม รามอินทรา เกษตร มองความแห้งผากของกรุงเทพฯชั้นในด้วยความรู้สึกเช่นไร

มวลชนรอบปริมณฑลเหนือคันบิ๊กแบ็ก มวลชนคนจังหวัดนนทบุรี ที่ลุกฮือกันขึ้นมากดดันการบริหารจัดการประตูระบายน้ำของ กทม. ไม่ได้ทำให้ ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ รู้สึกอะไรขึ้นมาบ้างเลยหรือ??
ประชาชนที่ยังถูกน้ำท่วมสูงระดับ 1 เมตรในพื้นที่รอบกรุงเทพฯ จ้องมองการประกาศชัยชนะของกทม. ว่ากรุงเทพฯน้ำไม่ท่วม แล้วก็จัดงานวันคลีนนิ่ง เดย์ กันเอิกเกริกเฮฮา ว่านั่นคือการเอาน้ำตาของคนปริมณฑลมาล้าง กทม.
ผู้ว่าฯกทม.รู้หรือไม่???

ทำไมคนปริมณฑลมองเช่นนั้น ก็เป็นเพราะข้อมูลและความจริงของ กทม.เองนั่นแหละที่ทำให้คนเหล่านั้นเกิดความรู้สึก นั่นคือแม้จะเข้าใจว่า กทม.จำเป็นที่จะต้องปกป้องพื้นที่ กทม. เนื่องจากเป็นหน้าที่โดยตรง
แต่การที่บล็อก การที่กันน้ำไม่ให้เข้ามากรุงเทพฯ โดยไม่สนใจปัญหาและความรู้สึกของคนในพื้นที่จังหวัดรอบๆ กทม.นั้น เป็นผลงานที่เหี้ยมโหดเกินไปหรือไม่

ไม่ใช่แค่คนปริมณฑลเท่านั้นที่รู้สึก แม้แต่คนในกรุงเทพฯเองก็รู้สึก ว่ามันโหดร้ายเกินไป ที่บรรดาคลองต่างๆในกรุงเทพฯน้ำแห้ง น้ำต่ำกว่าระดับคลองเป็นเมตร ประตูระบายน้ำของ กทม.กว่าครึ่งไม่สามารถที่จะทำงานได้ เพราะน้ำในคลองต่ำเกินกว่าที่จะระบายได้

ในขณะที่ปล่อยให้คนในพื้นที่ปริมณฑลจมน้ำสูงกว่า 1 เมตร!!!
คนกรุงเทพฯเองแท้ๆยังมองว่า ทำไมไม่ปล่อยน้ำเข้ามาในคลองกรุงเทพฯทั้งหลายที่แห้งผากนั้นบ้าง อย่างน้อยก็ช่วยให้จังหวัดรอบๆกรุงเทพฯลดความทุกข์ ลดระดับน้ำลงมาได้บ้าง

นี่คือความคิดความรู้สึกของคนกรุงเทพฯที่เห็นคลองใน กทม.แห้งมากจนเกินไป แต่ผู้ว่าฯกทม.กลับไม่ได้รับรู้ความรู้สึกของคนกรุงเทพฯ ที่ต้องการช่วยเฉลี่ยความทุกข์ให้คนที่เดือดร้อนอย่างหนัก
ดังนั้นไม่แปลกที่เมื่อคนในปริมณฑล ส่งทีมเข้าไปดูคูคลองในกรุงเทพฯ แล้วจะเกิดความเจ็บปวดกับผลงานของผู้ว่าฯกทม. ที่จนวันนี้ยังเล่นแง่เล่นเชิงในการระบายน้ำผ่าน กทม. ไปยังทะเลอยู่ตลอดเวลา เหมือนกับต้องการให้ประชาชนเดือดร้อนมากๆ จะได้โกรธเคืองรัฐบาลมากๆกระนั้น

แต่ ผู้ว่าฯกทม. ไม่ยอมรับรู้ถึงคำถามที่ว่า เกิดอะไรขึ้นกับคูคลองใน กทม. ถึงได้ดูแล้วระบบการระบายน้ำแยกส่วนเฉพาะจุดไปหมด ไม่ต้องอื่นไกล ในขณะที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ในขณะที่ชุมชนดอนเมือง หลักสี่ ชุมชนพหลโยธิน ยังมีน้ำท่วมขังในระดับสูง แต่คูระบายน้ำเลียบถนนวิภาวดี ตั้งแต่หน้าเขตจตุจักร ลากยาวไปตลอดยันหัวภนนวิภาวดีกลับแห้งผาก น้ำต่ำกว่าขอบเป็นเมตร

ทำไม กทม.ไม่สูบน้ำออกจากพื้นที่เหล่านั้นให้มาผ่านระบบคู ระบบท่อระบายน้ำของ กทม. เพื่อไปออกอุโมงค์ยักษ์พระราม 9 บ้าง ผู้ว่าฯสุขุมพันธ์ ไม่คิดจะให้ระบบอุโมงค์ยักษ์ ที่ลงทุนไปเป็นหมื่นๆล้านบาทได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับภัยน้ำท่วมใหญ่ในครั้งนี้บ้างเลยหรือ

ไม่คิดที่จะใช้โอกาสนี้ทดสอบการทำงานของอุโมงค์ยักษ์ให้คนกรุงเทพฯได้เห็นว่าเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าบ้างหรือ คน กทม.จะได้อุ่นใจว่าลงทุนไปแล้วคุ้มค่า ไม่ได้สู้ได้แค่น้ำฝนท่วมขัง และไม่ได้เป็นแค่อุโมงค์ยักษ์ Fake เหมือนอย่างกล้องวงจรปิด Fake ที่อื้อฉาวมาก่อนหน้านี้

ผลงานที่ ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ คิดว่ายอดเยี่ยมที่ปกป้องกรุงเทพฯชั้นใน ซึ่งบอกว่าเป็นหัวใจเศรษฐกิจของประเทศให้แห้งสนิทเอาไว้ได้นั้น เคยฉุกคิดบ้างหรือไม่ว่า เศรษฐกิจของประเทศไทยไม่ได้มีเฉพาะส่วนหัวใจในกรุงเทพฯที่เป็นศูนย์รวมส่วนกลางเท่านั้น แต่แขนขา ร่างกายของเศรษฐกิจจริงๆแล้วอยู่ในต่างจังหวัด

นิคมอุตสาหกรรมที่ถูกน้ำท่วมอยู่ในภาคกลางนั้น เป็นเหมือนร่างกายแขนขาของเศรษฐกิจที่เวลานี้เป็นอัมพาตหมดแล้วเพราะน้ำท่วมขังนาน แล้วลำพังหัวใจเศรษฐกิจจะแข็งแรงได้อย่างไรหากกลไกส่วนอื่นมีปัญหา

ผู้ว่าฯกทม.ไม่ฉุกใจคิดเลยหรือว่า ทำไมผู้เชี่ยวชาญจากญี่ปุ่น จากต่างประเทศ จึงทุ่มเทให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาน้ำท่วมขังนอกกรุงเทพฯ ให้ความสนใจกับการกู้นิคมอุตสาหกรรมให้คืนชีพให้ได้โดยเร็ว
ก็เพราะระบบเศรษฐกิจรอบพื้นที่ กทม.เหล่านี้แหละ ที่เป็นตัวช่วยส่งเลือดเข้ามาให้หัวใจเศราฐกิจที่กรุงเทพฯ

อะไรไม่สำคัญเท่ากับว่า แนวทางการป้องกัน กทม. ของผู้ว่าฯสุขุมพันธ์ กำลังสร้างผลกระทบเชิงโครงสร้างของสังคมไทยในอนาคต เพราะแทนที่จะสนับสนุนโครงสร้างประเทศไทยเป็นหนึ่งเดียว ร่วมมือร่วมใจกันใช้ทุกพื้นที่ทุกจังหวัดของประเทศให้น้ำเหนือสามารถผ่านไปลงทะเลอ่าวไทยได้เร็วที่สุด
วันนี้ กทม.กลับสร้างตัวอย่างของการแยกส่วนให้สังคมให้เห็นอย่างเด่นชัด ด้วยการเลือกที่จะบล็อกเลือกที่จะกัน ไม่ยอมให้น้ำต่างจังหวัด น้ำปริมณฑลล่วงล้ำเข้ามาใช้ กทม.เป็นทางผ่านไปออกทะเลได้เลย ทั้งๆที่ กทม.ยังแห้งผากพอที่จะเฉลี่ยรับน้ำได้ ทั้งๆที่คนกรุงเทพฯที่ดูข่าวดูภาพความเดือดร้อนของคนในปริมณฑลยินดีที่จะให้น้ำผ่านมาในกรุงเทพฯได้บ้าง

อะไรจะเกิดขึ้นในอนาคตหากผู้ว่าราชการจังหวัด หากเทศบาล อบต. อบจ. ในจังหวัดต่างๆ เลือกใช้โมเดลของ กทม. ในการแยกส่วน ก็คือ ป้องกันแต่พื้นที่ของตนเอง ป้องกันพื้นที่ชั้นในกันหมด โดยไม่สนใจว่าน้ำจะออกไปทางไหน จะลงไปสู่ทะเลได้อย่างไร

และใครที่จะรับทุกข์ระทมไปเต็มๆ คนส่วนใหญ่ที่อยู่นอกคันกั้นของแต่ละจังหวัดเช่นนั้นหรือ
นี่คือสิ่งที่คิดว่าเป็นผลงานของ กทม.จริงๆหรือ???

และผลงานเช่นนี้หรือไม่ ที่ทำให้คนปริมณฑลยังเดือดร้อน และพรรคประชาธิปัตย์ใช้เป็นเหตุผลในการที่จะเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ และเตรียมถล่มยับผลงานของ ศปภ. โดยที่จับ พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก มาขึ้นเขียง

หาก พล.ต.อ.ประชา ไม่ยอมเจ็บตัวข้างเดียว แต่สวนกลับให้เห็นกันจะๆทั้งสังคมไทยว่า การที่ ศปภ. ไม่สามารถแก้ไขปัญหาน้ำท่วมขังได้อย่างมีประสิทธิภาพ ก็เพราะมาเจอกลไกของ กทม.เป็นตัวปัญหา ในการที่จะผันน้ำลงไปสู่ทะเล
อะไรจะเกิดขึ้น!!!

งานนี้ฝ่ายค้าน ตั้งใจเชือด พล.ต.อ.ประชา ให้ตายคาเขียงในสภา แต่ระวัง ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ ที่บล็อกน้ำไม่ให้ลงทะเลได้อย่างรวดเร็ว จะโดนลากขึ้นเขียงไปด้วยก็แล้วกัน

ที่มา.บางกอกทูเดย์
/////////////////////////////////////////////////////

ยงยุทธ. ลั่นไร้กังวลซักฟอก ประชา. ยันไม่ปล่อยให้โดดเดี่ยว !!?

"ยงยุทธ"โวเกมการเมืองไม่แพ้ปชป.แน่ ไร้กังวลศึกซักฟอก ยันไม่ตั้งองค์รักษ์พิทักษ์"ประชา" แต่ไม่ปล่อยให้โดดเดี่ยว

ที่ททบ.5 นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวถึงการที่นายกรัฐมนตรีเรียกประชุมรัฐมนตรีในส่วนของพรรคเพื่อไทย เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมาว่า เป็นการหารือภายในเพื่อเตรียมความพร้อมในการจัดงาน “5 ธันวา รวมพลังคนไทย รวมหัวใจถวายพระพร พร้อมใจไทยทั้งชาติ ลงแรงทั้งแผ่นดิน ถวายในหลวงของเรา”โดยจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 1-5 ธันวาคมนี้ ซึ่งจะเป็นการรวบรวมคนทุกฝ่ายทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน มาร่วมกันทำงานถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยการซ่อมสร้างสาธารณะสถาน และสิ่งอันเป็นสาธารณะประโยชน์ เพื่อฟื้นฟูประเทศไทย ถวายพ่อทั้งแผ่นดิน โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน

นายยงยุทธ กล่าวต่อว่า สภาพในกรุงเทพฯตอนนี้ประสบกับปัญหาน้ำเสียขยะมาก เต็มไปด้วยยุง ดังนั้นจะมีการระดม 25 จังหวัด และจังหวัดปริมณฑลมาในกรุงเทพฯ เพื่อดำเนินการในวาระสำคัญ ส่วนอีก 58 จังหวัดที่น้ำท่วมก็จะทำในพื้นที่ของตัวเอง โดยรัฐมนตรีทุกคนจะต้องลงพื้นที่ในทุกจังหวัดที่ได้รับผลกระทบน้ำท่วม ซึ่งงานดังกล่าวจะทำในนามของรัฐบาล โดยก่อนหน้านี้นายกรัฐมนตรีได้อนุมัติงบประมาณให้ไปแล้ว จังหวัดละ 50 ล้านบาท และให้กระทรวงต่างๆ อีกกระทรวงละ 100 ล้านบาท เพื่อมาดำเนินการเรื่องนี้โดยเฉพาะ อย่างไรก็ตามการประชุมในวันนี้เป็นการประชุมภายในส่วนของรัฐมนตรีเพื่อไทย ซึ่งจะนำผลการประชุมไปแจ้งให้พรรคร่วมรัฐบาลทราบต่อไป

ผู้สื่อข่าวถามว่ามีการเตรียมความพร้อมในการรับมือการอภิปรายไม่ไว้วางใจอย่างไรบ้าง นายยงยุทธ กล่าวว่า ถือเป็นการรับผิดชอบร่วมกันของครม.ซึ่งจะต้องช่วยให้ข้อมูล ทางนายกรัฐมนตรีไม่ได้ห่วงอะไรเป็นพิเศษ เพราะการอภิปรายถือเป็นสิทธิของฝ่ายค้านที่จะอภิปราย รัฐมนตรีก็มีหน้าที่ที่จะชี้แจง สื่อมวลชนและประชาชนจะเป็นผู้รับฟัง และไม่ได้คิดว่า เกมการเมืองของพรรคเพื่อไทยจะสู้พรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้ เราไม่ได้คิดเรื่องการเมือง คิดแต่เรื่องการบ้าน

ผู้สื่อข่าวถามถึงเสียงวิจารณ์เรื่องการแก้ไขปัญหาน้ำถึงเวลาที่จะต้องปรับคณะรัฐมนตรีได้แล้วหรือไม่ นายยงยุทธ กล่าวว่า แล้วแต่สังคม แต่ความคิดของพรรคเพื่อไทย และนายกรัฐมนตรีในเรื่องดังกล่าว ยังไม่ได้คิดกัน ซึ่งเรื่องดังกล่าวจะต้องเป็นความเห็นที่ประชุมพรรค และนายกรัฐมนตรี โดยส่วนตัวในฐานะที่เป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ยังไม่ได้ข่าวที่สมาชิกต้องการให้ปรับครม. แม้พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รมว.ยุติธรรม ในฐานะผอ.ศปภ.จะถูกอภิปราย เราก็เข้าใจตรงกันว่า การทำงานทำไปด้วยความสุจริต เป็นธรรม มีประสิทธิภาพ

ส่วนกรณีที่มีข่าวว่า ข้าราชการไปให้ข้อมูลกับคณะกรรมาธิการสภาฯ ว่า เป็นการตรวจสอบราคาในการสั่งซื้อผ่านทางโทรศัพท์ เรื่องนี้ถือว่าผิดปกติหรือไม่ นายยงยุทธ กล่าวว่า ต้องเข้าใจว่า การซื้อของที่ประชาชนเดือดร้อน หรือมีภัยพิบัติเกิดขึ้น จึงมีความจำเป็นเร่งด่วนที่ต้องบรรเทาทุกข์ของประชาชน เชื่อว่า ข้าราชการต้องเข้าใจและระมัดระวังในเรื่องของระเบียบการใช้จ่ายงบบริจาคที่ได้มา หากเป็นงบกองทุนก็ต้องใช้ระเบียบกองทุนของสำนักนายกฯ แต่ถ้ากรมป้องกัน และบรรเทาสาธารณภัยจัดซื้อ ก็ต้องใช้ระเบียบของกระทรวงการคลัง

ยืนยันว่า ไม่ทราบใช้โทรศัพท์ในการตรวจสอบราคา ได้ยินจากสื่ออ่านจากข่าวเท่านั้น ไม่ทราบข้อเท็จจริง แต่ถ้าจะให้ตนตรวจสอบแล้ว ตนมาชี้แจงผลการตรวจสอบ ถามว่าสื่อมวลชนจะเชื่อไหม ดังนั้นตนจึงได้ส่งเรื่องทั้งหมดให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ ขณะเดียวกันคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ป.ป.ช.ก็รับที่จะมาสอบ รวมถึงสภาผู้แทนราษฎรก็กำลังจะอภิปรายไม่ไว้วางใจ ดังนั้นขอให้ใจเย็นๆ รอผลการตรวจสอบของหน่วยงานต่างๆ ผลเป็นอย่างไรก็รอติดตาม ดูว่าหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องจะดำเนินการอย่างไร

สำหรับการชี้แจงในสภาฯนั้น นายยงยุทธ กล่าวว่า ผู้ที่มีหน้าที่ชี้แจงก็ต้องชี้แจงให้ดีที่สุด จะกระจายหรือไม่อยู่ที่ผู้ฟัง แต่ถ้าผู้ฟังบอกว่าไม่กระจ่างก็ไม่รู้ว่า จะทำอย่างไร แต่การอภิปรายในครั้งนี้รัฐมนตรีทุกคนจะไม่ร่วมโหวตเพราะอาจเป็นเงื่อนไขในภายหลังได้ ซึ่งฝ่ายกฎหมายได้ให้คำแนะนำไว้ว่า รัฐมนตรีไม่ควรจะโหวต แต่การอภิปรายครั้งนี้ถือเป็นความรับผิดชอบของรัฐมนตรี คงไม่ปล่อยให้รมต.ท่านหนึ่งท่านใดต้องโดดเดี่ยว การทำงานเราทำงานในนามของครม. แต่คงไม่ถึงมีองค์รักษ์พิทักษ์พล.ต.อ.ประชาขึ้นมาแน่นอน

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
/////////////////////////////////////////////////////////

วันศุกร์ที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ยอมหักไม่ยอมงอ !!?

หาก “นายกฯปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ยอมถอยร่นให้ตลอด ประเดี๋ยวรัฐบาลตัวเองก็ฝ่อ
เช่นเดียวกันกับ “นายกฯสมัคร สุนทรเวช” และ “นายกฯสมชาย วงศ์สวัสดิ์” ที่ “เดินสายกลาง” เพื่อระงับความรุนแรง
สุดท้ายก็พ่ายอำนาจเถื่อน ที่รุกเร้า กลั่นแกล้ง
ผิดกับ “ประชาธิปัตย์” ที่ใช้ “ทหาร” เป็น “กันชน” ไม่หวั่นเสียงนานาชาติ ไล่ต้อนกระชับพื้นที่ประชาชน..กลับอยู่ได้ ๒ ปีกว่า
ฉะนั้นอย่าใจอ่อน..ให้โจรปล้นประชาธิปไตยไล่ต้อน?..เลิกเป็นละอ่อน ได้แล้วนะจ้า

+++++++++++++++++++++++++++++++++++

“ฆ่าประชาชน”
ชิชะ, มันยกกฎหมายมาอ้าง เอามาพ่น
ตะแคงสีข้างแดงเป็นพรืด ช่วยไอ้หัวโจร ปล้นประชาธิปไตยไม่ได้คนฆ่ากลางเมือง ๙๑ ศพ
หน้าด้าน หน้าหนา อ้างข้าง ๆ คู ๆ อย่างบัดซบ
อยากให้ “บิ๊กออฟ” พล.ต.อ.เพรียงพันธ์ุ ดามาพงศ์” ผบ.ตร. และ “ธาริต เพ็งดิษฐ์” อธิบดีดีเอสไอ สรุปสำนวนส่งฟ้องด่วนจี๋
ลากคอโจรสั่งฆ่าประชาชน....สังเวยคุกสักหน?...ประเทศไทยจะได้หลุดพ้น จากพวกกาลี

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++

เสพสุขทาง “ตูด”
อัปลักษณ์ทางเพศแล้ว...ยังไม่รู้จักพูด
ชู๊ตก้นชู๊ตก้น “กระเทยควาย” ที่ไม่รู้จักเสรี ด้านความคิด ในความเป็นประชาธิปไตย
๑ เหนือรากหญ้า ชาวไร่ชาวนา เขาสร้าง “รัฐบาล” ของเขาได้
๑๕ ล้านเสียง..เป็นเสียงสวรรค์ของคนไทยผู้บริสุทธิ์ ตั้ง “รัฐบาลปู” ขึ้นมาบริหารประเทศ...ไอ้ผู้ลากมากดี “แพลตนินั่ม” ๓ แสนเสียง ที่ “อีกระเทยไร้หัวคิด” เอามาไล่ “รัฐบาลปู” จนสร้างความเหลื่อมล้ำ แตกแยกในสังคม
ยกฐานะตัวเองเป็นอาจารย์...แท้จริงอีตุ๊ดนี้คือ “มาร”....ที่สังวาลแต่สิ่งที่เป็นอาจม

+++++++++++++++++++++++++++++++++++

ต้องรับโทษก่อน
เมื่อ “สุริยะใส กตะศิลา” ออกมาสำแดง ถึงขั้นตอน
ก้อ,ฝากไปถึง “อัยการที่รัก” รีบส่งฟ้องคดี ปิดสนามบินดอนเมือง สนามบินสุวรรณภูมิ และทำเนียบรัฐบาล ฟ้องศาลให้เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม
คดีแช่เย็นมาเนิ่นนาน เกรงว่าบางคนจะไม่ได้ชดใช้รับกรรม
เห็นจี้คดี “ทักษิณ ชินวัตร” กันนัก...ฉะนั้น,บางคดี อย่าได้หมักเป็นปลาร้าค้างปี ต่อไป
หมักกันมานาน...จนคนลืมกัน?....ชาวบ้านจึงถามว่า คดีนี้ไปถึงไหน

+++++++++++++++++++++++++++++++++++

“งบ” ล่อใจ
ใครก็อยากจะบริหาร งบฟื้นฟูน้ำท่วม หลังน้ำลดแล้ว..เพราะมีงบตั้ง ๓ แสนล้านบาท มากมายเข้าไส้
ทั้งเงินช่วยเหลือจากต่างประเทศ อีกบานเบอะ
ยิ่งเพิ่มแรง ที่จะโค่นล้ม “รัฐบาลปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ให้ได้ ว่ากันอย่างนั้นเหอะ
ใครได้บริหารเงินก้อนนี้, ที่มีแก๊งค์ปล้นไปปล้นเอามาจาก บ้านปลัด?...น่าจะมี “หัวคิว”ให้กลุ่มเสือหิวกันเสร็จสรรพ
นี่โค่นรัฐบาลปู...แล้วให้ปลัดกินอู้ฟู?...ดูเขาจะทำวิธีเดิมอีกแล้วสิครับ


คอลัมน์.ตอดนิดตอดหน่อย,บางกอกทูเดย์
***********************************************************

เปิดมุม..เฉลิม.ทีมปล้นได้เงินเพียบ ขนใส่กระเป๋า-กล่องกระดาษ !!?



เฉลิม"เปิดเส้นสายโยงใย ขบวนการปล้นบ้านปลัดคมนาคม ยัดเงินใส่กระเป๋าพลาสติก-กระเป้าเดินทาง-กล่องกระดาษ-ถุงปุ๋ย

การประชุมสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวานนี้ นายพิเชษฐ เชื้อเมืองพาน ส.ส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย ได้ตั้งกระทู้ถามสด น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เรื่อง การปล้นบ้าน นายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม อดีตปลัดกระทรวงคมนาคม และการดำเนินการของรัฐบาลต่อคดีดังกล่าว

ทั้งนี้ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกฯ ได้ชี้แจงแทนนายกฯ ว่า  ตนได้อ่านคอลัมน์ ของคุณเฉลา กาญจนา ในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ พบว่ามีชื่อ "เจ้ตุ๋ย"-"เจ้ติ๋ม" เข้ามาเกี่ยวข้อง แต่ตนพบว่าประเด็นนี้มี "น้องแนต" เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย

"ผมมีข้อมูลที่ต่างจากการสอบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจ พบว่าเงินที่มีคนสั่งให้นายโก้ (วีระศักดิ์ เชื่อลี) มาปล้นและได้หอบหนีไปประเทศลาวนั้น น่าจะเป็นเงินเกี่ยวโยงโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายสีต่างๆ อาทิ สีแดง สีน้ำเงิน ซึ่งผมเคยอภิปรายในสภาฯ ไปแล้วว่ามีการทุจริตมากถึง 7-8 %แต่ก็มีคนประท้วงว่าผมนำข้อมูลอะไรมาพูด"

ร.ต.อ.เฉลิม ชี้แจงต่อว่า เรื่องดังกล่าวรัฐบาลจะสืบสวนพร้อมจับกุม เพราะที่ผ่านมาพบว่ามีการเกี่ยวโยงกับคน แต่การขอศาลให้อนุมัติออกหมายจับต้องระวัง เพราะอาจถูกกล่าวหาว่าเป็นการกลั่นแกล้ง ว่าเอาคืน ซึ่งเมื่อช่วงเช้า มีผู้สื่อข่าวสอบถามตนว่า กรณีที่ไจก้า (องค์การความร่วมมือระหว่างประเทศของประเทศญี่ปุ่น) ยกเลิกสัญญากับ บริษัท ชิโน-ไทย เป็นเพราะรัฐบาลชุดปัจจุบันใช่หรือไม่ ตนขอชี้แจงว่ารัฐบาลชุดนี้ไม่ใหญ่พอที่จะไปสั่งไจก้าได้

โดยขณะนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจหนักใจ เพราะเจ้าทรัพย์ระบุว่าเงินหายไปจำนวน 5 ล้านบาท แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจยึดเงินได้ 17.8 ล้านบาท

ส่วนที่ระบุว่าสูญหาย 5 ล้าน จะทำอย่างไร รัฐบาลขอยืนยันจะรับผิดชอบการสืบสวนไม่มีลูบหน้าปะจมูก จะใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด หากพาดพิงนักการเมืองคนไหน หรือนักการเมืองมีส่วนร่วม จะดำเนินการ กรณีปล้นทรัพย์เพื่อนำเงินไปให้คนอื่น ตนที่รับไว้ไม่ต้องปล้น ถือว่ามีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 357 ข้อหารับของโจร แม้ไม่มีเจตนาทุจริต แต่ถือว่าจิตเป็นโจร การโกง ปล้นบ้าน ปล้นเมือง ต้องดำเนินการให้เด็ดขาด

จากนั้นนายพิเชษฐ ตั้งกระทู้สอบถามอีกว่า กรณีที่รัฐบาลย้ายนายสุพจน์มาช่วยราชการที่สำนักนายกฯ ถือเป็นเรื่องที่ถูกต้อง หากตรวจสอบพบว่ามีผลประโยชน์กว้างขวางออกไปจะดำเนินการทางวินัยอย่างไร แต่ประเด็นดังกล่าวตนทราบว่า เป็นเรื่องของกิ๊กที่ทะเลาะกัน ได้เงินมาแล้วไม่แบ่งให้ ซึ่งเรื่องดังกล่าวทำให้ชื่อเสียงของวงการราชการเสียหาย ซึ่งเรื่องที่เกิดขึ้น หากเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ ก็จะให้ออกจากราชการ

ทั้งนี้ ร.ต.อ.เฉลิม ตอบกระทู้ว่า ความเห็นส่วนตัว ต่อประเด็นที่สอบถาม สำหรับบุคคลที่มีพฤติกรรมเงินเยอะ แต่ไม่สามารถชี้แจงได้นั้น การย้ายมาประจำสำนักนายกฯ ยังน้อยไป แต่ตนไม่มีอำนาจและหน้าที่กำกับดูแล ต้องให้นายกฯ หรือ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นผู้พิจารณาตัดสินใจ

"เรื่องของทรัพย์สิน ต้องสืบจากเงิน ซึ่ง ผมบอก ผบ.ตร.ให้ไปดูพลาสติกคาดเงิน กระดาษที่ติด จะรู้ว่าเบิกมาจากไหน ธนาคาร หรือ บัญชีของใคร รวมถึงสาเหตุการเบิก อีกไม่กี่วันทราบ บางปึกเบิกมาจากธนาคารในจังหวัดอุดรธานี บริษัทก่อสร้างแถวนั้น มันฮั้ว มันประมูล มันอิทธิพล ประมูลทีไรได้ทุกที เพราะมีการจ่ายใต้โต๊ะ จึงเป็นที่มาของความลำบากของเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพราะผู้เสียหายบอกว่า 5 ล้าน แต่ยึดมาได้ 17.8 ล้านบาท แปลว่าต้องคืนเงินคนร้ายหรือ มันประหลาดจริงๆ มีเงินนะมีได้ แต่ที่มาของเงินนั้น วันนี้ ป.ป.ช. ตั้งแท่นแล้ว ปปง. เตรียมดำเนินการ" ร.ต.อ.เฉลิม ชี้แจง

นายพิเชษฐ ได้ถามถึงความรับผิดชอบของ ร.ต.อ.เฉลิม และหากพบว่ามีนักการเมืองอยู่เบื้องหลังการทุจริต จะกล้าดำเนินการโดยไม่หวั่นกลุ่มอิทธิพลหรือไม่

ร.ต.อ.เฉลิม จึงกล่าวตอบทันทีว่า "ผมขอใช้เวทีสภาฯ เรียกร้อง "นายโก้" ซึ่งเป็นคนอุดรธานี และมีภรรยาเป็นคนเวียดนาม ที่ขณะนี้หนีไปอยู่ประเทศลาว ให้มามอบตัว เพราะคนที่สั่งให้ไปปล้น จะส่งคนตามไปฆ่า ซึ่งหากนายโก้ไม่มั่นใจ ตนพร้อมเดินทางไปรับด้วยตนเอง เพราะเขาเอาแน่ อย่างไรก็ตามคดีดังกล่าวรัฐบาลจะดำเนินการอย่างเต็มที่ โดยบอกให้ตำรวจ ส่งข้อมูลไปให้ ปปง. และ ป.ป.ช. นายสุพจน์ โดนแน่ข้อหาแจ้งบัญชีทรัพย์สินเป็นเท็จ เกรงใจใครไม่ได้"

นอกจากนี้รองนายกฯ ยังกล่าวกับสภาฯ ด้วยว่า ขณะนี้มีนักการเมืองไทยซื้อหมู่บ้านในประเทศอังกฤษจำนวนมาก หากตนจะไปลงลึกจะถูกมองว่าหาเรื่อง ทั้งที่เอาเงินคดโกง ทุจริตไปซื้อทั้งนั้น ตนมีข้อมูลเปรียบเทียบกระเป๋าที่ได้สืบสวน สอบสวนมาด้วยตนเอง ถ้าตำรวจต้องการข้อมูลจากตนมาเอาได้

"ข้อมูลของผมพบว่านายสมบูรณ์ (ริยะเทน) ยกกระเป๋าพลาสติกมีซิปตรงกลาง 2 ใบใส่กระบะท้ายรถยนต์ กระเป๋าขนาดนี้ 30-40 ล้านต่อใบ หากเป็น 2 ใบ ก็ 80 ผมไปได้มาจากกล้องวงจรปิดเล็กๆ แล้วผมจะส่งตำรวจ เพราะไม่มีในสำนวน ต่อมานายวีรศักดิ์ ยกกระเป๋าเดินทางใบใหญ่แบบมีล้อเลื่อน 1 ใบ ใส่ท้ายกระบะ 1 ใบ ยี่ห้อหลุยส์วิตตองนะครับ แล้วคนยากคนจนรู้จักเหรอครับหลุยส์วิตตอง หลุยส์วิตตองมันต้องพวกไฮโซ มีความนิยมและเป็นคนรวย"

"เอาเงินใส่กันมา ไอ้พวกรับเหมาต่างๆ ยังไม่ยอมถ่ายเท จากนั้นผมจึงเรียงลำดับว่า เล็ก กลาง ใหญ่ และ ใหญ่มาก 1 ใบ ต้องหลายสิบล้าน ต่อมานายวีรศักดิ์ ยกถุงปุ๋ย ใส่เงินสด 3 ใบจากที่เตรียมไว้ 17 ใบ ใส่ท้ายกระบะรถยนต์ และสุดท้าย นายเสาร์แก้ว ยกกล่องกระดาษมีเลข 20 ข้างกล่องใส่รถอีกหลายกล่อง

"จากพฤติกรรมคนเรียนโรงเรียนสืบสวนอย่างผม ผมไม่ได้บอกว่าเก่งกว่าใคร แต่คนที่เป็นนักสืบมาก่อน จะบอกว่าไอ้ของที่ใส่แบบนี้ เพราะเงินสดมันเกะกะ ก็เลยหากล่องมาใส่เพื่อเคลื่อนย้ายง่าย แต่ลักษณะแบบนี้เขาให้มาอย่างไร ก็เก็บอย่างนั้น ผมยืนยันว่างานนี้รัฐบาลไม่ปล่อย"

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันพฤหัสบดีที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

เปิดเผือกร้อนบิ๊กโปรเจ็กต์ เจาะขุมทรัพย์แสนล้าน.. คมนาคม !!?

กลายเป็นประเด็นร้อนฝ่ากระแสน้ำท่วม เมื่อปลัดกระทรวงคมนาคม "สุพจน์ ทรัพย์ล้อม" ถูกคนร้ายปล้นบ้านในคืนวันแต่งงานลูกสาวเมื่อ 12 พ.ย. 2554 แล้วหอบเอาทรัพย์สินและเงินสดขึ้นรถกระบะที่ลือกันว่ามีมูลค่าถึง 200 ล้านบาท ล่าสุดตำรวจไล่จับและติดตามเงินของกลางมาได้บางส่วนแล้วประมาณ 16 ล้านบาท

ประเด็นปริศนาที่เรียกเสียงฮือฮาคือ กลุ่มโจรตั้งใจให้ข่าวว่า ภายในบ้านยังมีเงินสดอยู่นับพันล้าน ซึ่งผู้เสียหายขอความเป็นธรรม พร้อมให้ความเห็นว่า สิ่งที่เกิดขึ้นมีผู้ต้องการดิสเครดิต และไม่มีใครมีเป็นพันล้านอย่างที่เป็นข่าว

ทันใดนั้น ยงยุทธ วิชัยดิษฐ รองนายกรัฐมนตรีได้เซ็นคำสั่งย้ายปลัดคมนาคมมาช่วยราชการที่สำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อเปิดทางให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ดำเนินการตรวจสอบ

ทั้งนี้ พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ระบุว่า กรณีนี้จะไม่มีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนอีก โดยจะถือผลสอบของ ป.ป.ช. เป็นที่สิ้นสุด

แหล่งข่าวในกระทรวงคมนาคมเปิดเผย ว่า เรื่องนี้มีเบื้องหน้าเบื้องหลังแน่นอน เบื้องหน้าคือสิ่งที่ผู้เสียหายได้รับและตำแหน่งปลัดกระทรวงคมนาคมได้ถูกเปลี่ยนตัวไปโดยปริยาย

"ส่วนเบื้องหลังจะเป็นนักการเมืองระดับไหน พรรคไหนที่ได้ประโยชน์ เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ ตอนนี้บอกได้แค่ว่า ขั้วอำนาจกำลังหันทิศแล้ว"



"งานนี้ถือว่าเล่นกันแรงมาก และเป็นเคสประวัติศาสตร์ของกระทรวงเลยทีเดียว"

ซึ่ง "ผู้อยู่เบื้องหลัง" สั่งการให้ทั้ง "จัดเต็ม" และ "จัดหนัก"

เพราะตำแหน่งที่ต้อง "ชง" เรื่องให้ระดับ "นักการเมือง" ได้นั้น ต้องเป็นมือประสานสิบทิศ ไว้ใจได้และต้องไม่มีอะไรตกหล่น

อีกนัยหนึ่งก็เปรียบเสมือนการรับขวัญงานประมูลเมกะ โปรเจ็กต์นิวไทยแลนด์ที่จะเกิดขึ้นในปี 2555 เหมือนเป็นการ "ปลาม" ไปในตัว

"ปีหน้าเป็นปีที่มีการแข่งขันดุเดือด เป็นปีแห่งการแย่งชิงงบประมาณ ฉะนั้นงานประมูลในกระทรวงคมนาคมจึงเป็นขุมทรัพย์ที่น่าจับตาและจะถูกกล่าวขานถึงมากที่สุด" แหล่งข่าวกล่าว

เพราะกระทรวงดังกล่าวมีงบประมาณก่อสร้างสูงมาก เฉพาะในปี 2555 ทั้งงบประมาณประจำปีรวมแล้วตก 1 แสนล้าน และเงินลงทุนเมกะโปรเจ็กต์รถไฟฟ้าสายที่เหลืออีกหลายหมื่นล้านบาท เช่น สีเขียว (หมอชิต-สะพานใหม่) และสายสีชมพู (แคราย-มีนบุรี) ฯลฯ

ซึ่งยังไม่รวมงบประมาณฟื้นฟูหลังน้ำลดอีกหลายหมื่นล้านบาทเช่นกัน !

โดยเฉพาะ 2 หน่วยงานหลัก "กรมทางหลวง-กรมทางหลวงชนบท" ที่กุมเม็ดเงินไว้สูงสุดแทบทุกรัฐบาล โดยกรมทางหลวงเฉลี่ยอยู่ที่ 40,000-50,000 ล้านบาท โดยงานใหญ่จะเป็นงานก่อสร้างถนนสายใหม่ ขยายทาง 4 เลน สร้างและขยายสะพาน รวมถึงงานบำรุงทางทั่วประเทศ



กลุ่มผู้รับเหมาที่ได้งานไปนั้นส่วนใหญ่จะเป็นทั้ง "ขาใหญ่" และ "ขาประจำ" ของทั้ง 2 กรม ราคางานประมูลมีตั้งแต่ระดับร้อยล้านถึงพันล้านบาท ทั้งชื่อและหน้าตาก็คุ้น ๆ ทั้งนั้น หลายรายแปลงกายเป็นนักการเมืองใหญ่ สร้างบารมี อิทธิพล จนก้าวถึงตำแหน่งรัฐมนตรีที่คุมกระทรวงต้นน้ำก็มี

ขณะที่ "กรมทางหลวงชนบท" ก็เป็นกรมที่มีงานประมูลไม่น้อยหน้า เฉลี่ยอยู่ที่ปีละ 26,000 ล้านบาท งบฯแต่ละปีจะทุ่มไปที่งานซ่อมบำรุงทาง สร้างทางสายใหม่ และล่าสุดสร้างชื่อคือ โครงการถนนปลอดฝุ่นที่ปีที่แล้วมีงานประมูลงานร่วม ๆ 1 หมื่นล้านบาท แม้มูลค่าแต่ละสัญญาจะระดับร้อยล้าน แต่ก็มีรับเหมาหน้าเดิม ๆ หมุนเวียนเปลี่ยนรับงานอยู่ไม่กี่ราย

นี่ยังไม่รวมมูลค่าการลงทุนโครงการขนาดใหญ่ในรัฐบาลชุดที่ผ่าน ๆ มาอีก รวมแล้วงานประมูลของกระทรวงเกรดเอ (คมนาคม) ไม่ต่ำกว่าแสนล้านบาท

ยิ่งใครที่นั่งในตำแหน่งท็อป อาทิ ประธานบอร์ด รัฐวิสาหกิจเมกะโปรเจ็กต์ก็ถูกจัดว่า "กำลังถือเผือกร้อนไว้ในมือ"

เช่นเดียวกับกรณี นายสุพจน์ อดีตปลัดกระทรวงคมนาคมหมาด ๆ ที่เป็นประธานบอร์ดทั้งการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) การรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.)

ซึ่งกำลังทยอยเปิดประมูลงานอย่างต่อเนื่อง ทั้งรถไฟฟ้าหลากสี "เขียว-แดง-ม่วง-น้ำเงิน" เม็ดเงินร่วม 2 แสนล้านบาท และงานปรับปรุงระบบทางรถไฟของ ร.ฟ.ท.อีก 1.46 หมื่น

ล้านบาท

โดยมีรายชื่อบิ๊กบริษัทรับเหมาหน้าเก่า ๆ ที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นได้งานตุนไว้ในมือไปแล้วเพียบหลายสัญญา

แม้เวลานี้หลายฝ่ายจะพยายามต่อ "จิ๊กซอว์" สิ่งที่เกิดขึ้นของกลุ่มโจรปริศนาในคดีปล้นพิสดารและเส้นทางเงินของ "นาย" ซึ่งเป็นเจ้าของเงินตัวจริงนั้น

กระแสข่าวระบุว่า ขณะนี้คนในกระทรวงคมนาคม และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งในวงการภาครัฐที่เกี่ยวข้อง ต่างหวั่นไหว หวาดหวั่นและวิ่งวุ่น เพราะกระทรวงนี้มี "Many Story" และมี "The Man Behind" อยู่เต็มไปหมด

ขณะที่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียจากภาคเอกชน โดยเฉพาะวงการรับเหมานั้น ต่างก็จดจ้อง "บิ๊กโปรเจ็กต์" ของปีหน้าอย่างใจจดใจจ่อ พร้อมสานต่อ "ขั้วอำนาจใหม่" ทันที

เพราะโครงการรับเหมาที่มีมูลค่างานสูงสุดของปี 2554 มีมากนับไม่ถ้วน อาทิ โครงการจ้างเหมาทางหลวงหมายเลข 3215 สาย อ.บางบัวทอง-อ.ไทรน้อย จ.นนทบุรี มูลค่าประมาณ 898 ล้านบาท โครงการจ้างเหมาก่อสร้างทางหลวง 108 สาย อ.จอมทอง-อ.ฮอด จ.เชียงใหม่ มูลค่าเฉียด ๆ 600 ล้านบาท โครงการจ้างเหมาก่อสร้างทางหลวงหมายเลข 4 สายชุมพร-ระนอง ตอน 1 มูลค่างาน 599 ล้านบาท เป็นต้น

และมีอีกหลายโครงการที่ประมูลเสร็จไปแล้วก็จริง แต่ยังไม่เบ็ดเสร็จซะทีเดียว

นี่จึงเป็นที่มาของทอล์กออฟเดอะทาวน์ !
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

คนแบบไหนที่ควรให้อภัย คนแบบไหนที่อภัยให้ไม่ได้ !!?

โดย พระพยอม กัลยาโณ

การให้อภัยถือเป็นหัวใจหลักของพุทธศาสนา ท่านคงเคยได้ยินประโยคที่ว่า “คิดพยาบาทบรรลัย คิดให้อภัยใจเยือกเย็น” หมายถึงชีวิตเราจะอยู่แบบมีความสุขได้ ใจเราต้องไม่พยาบาทต่อใคร

ในสังคมวันนี้ใครที่โกรธแค้นอะไรใครล้วนมีแต่ความพยาบาท ไม่คิดให้อภัยกัน คิดแต่จะออกมาฟาดฟันห้ำหั่นให้อีกฝ่ายต้องมีอันเป็นไป ไม่อย่างนั้นจะไม่มีความสบายใจ

ในทางการเมืองก็มีเรื่องแบบนี้มาก ถึงขนาดฆ่ากันก็มี แต่ที่เห็นบ่อยคงเป็นเรื่องของการฟ้องร้องกัน วันนี้เป็นที่รับรู้กันว่ารัฐบาลออก พ.ร.ฎ.พระราชทานอภัยโทษ แต่ก็เห็นได้ชัดว่ายังมีคนออกมาต่อต้านกันเยอะ เพราะไม่พอใจกับนโยบายของรัฐบาลที่หวังให้คนที่ตนรักได้รับพระราชทานอภัยโทษ

แต่ถ้าพูดถึงหลักการแล้ว หากไม่ได้เป็นโทษที่สร้างความรุนแรง ก่อให้เกิดความเสียหายกับประเทศ หรือทำให้ประเทศชาติต้องเสียความมั่นคง เป็นคนกบฏทรยศ สร้างความร้าวฉานให้กับชาติ ให้กับสถาบัน เชื่อว่าคงให้อภัยกันได้

ฉะนั้นหากใครไม่ได้ทำร้ายบ้านเมืองแบบนั้นก็ควรให้โอกาสเขาบ้าง เพราะหากไม่ให้โอกาสกันอาจทำให้เราต้องอยู่อย่างไม่มีความสุข ประเทศชาติก็ไม่มีความดีงาม

หากคนในประเทศเราเอาแต่คิดอาฆาตแบบนี้แล้วจะอยู่กันอย่างสบายใจได้อย่างไร อันที่จริงแล้วชาวพุทธอย่างพวกเราส่วนใหญ่ก็ไม่ได้อาฆาตอะไรกันมากมาย ที่เห็นนักการเมืองไม่ค่อยยอมกันก็เพราะเป็นเรื่องผลประโยชน์ ถ้าผลประโยชน์ลงตัวเมื่อไรก็พร้อมจะจับมือกันทันที ดังคำอมตะที่ว่า “นักการเมืองไม่มีมิตรแท้และศัตรูถาวร” ตราบใดที่ผลประโยชน์ไม่ลงตัวก็ยังคงเป็นศัตรูกันต่อไป และตราบใดที่บรรลุในผลประโยชน์ร่วมกันก็เคลียร์กันได้ เรื่องมันก็เป็นเสียอย่างนี้

ถ้าเรายอมกัน ให้อภัยกัน และร่วมกันปรึกษาหารือไปในทางสร้างสรรค์ โดยเฉพาะกับใครก็ตามที่ไม่ได้เป็นภัยกับบ้านเมือง ก็ควรให้อภัยเขา แต่ถ้าให้อภัยไปแล้วยังทำตัวเป็นพิษเป็นภัย ทำให้ชาติบ้านเมืองเสียหาย อย่างนี้ก็ไม่ควร แม้ว่าหลักเกณฑ์หลักการจะเปลี่ยนเพี้ยนไปมากมายก็ไม่ควรให้อภัย

แต่ปัญหาของการให้อภัยไม่ว่าใครก็ตามมักกลัวว่าเขาจะกลับมาทำผิดซ้ำอีก ธรรมดาแล้วเราควรให้อภัยคนที่สามารถช่วยเหลือชาติบ้านเมือง ในสมัยก่อนพวกเราต่างเคยกลัวคอมมิวนิสต์ ซึ่งจริงๆแล้วก็คือคนไทยที่หนีอาญาแผ่นดินเข้าป่า แต่พอทางราชการไม่เอาความผิด เขาก็ออกมาเป็นผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย เข้ามาเป็นกำลังสำคัญของประเทศชาติ ตั้งแต่กำนัน ผู้ใหญ่ บางรายก็เป็นครูบาอาจารย์ บางรายเป็นถึงรัฐมนตรี ซึ่งเป็นบุคคลที่ล้วนทำประโยชน์ต่อประเทศชาติ

ดังนั้น อาตมาก็หวังใจว่าพวกเราคงได้เห็นประเทศไทยทำความเข้าใจกันง่ายๆ อย่าเป็นคนที่ให้อภัยกันยากและมีความพยาบาทกันง่าย เพราะจะไม่มีใครได้รับโอกาสให้ได้กลับตัวเป็นคนดี จะมีแต่ผู้ร้ายเต็มไปหมด และโอกาสดีๆของบ้านเมืองก็จะเสียไปด้วย

ถามว่าคนแบบไหนควรให้อภัย ก็คือคนที่ไม่ทำผิดซ้ำซาก ไม่ใช่ติดคุกแล้ว 3-4 หนก็ยังไม่หลาบจำ คนอย่างนี้ต้องบอกว่าไม่น่าให้อภัย เพราะไม่รู้จักหลาบจำ แต่สำหรับคนที่เคยผิดแค่ครั้งเดียวก็ควรได้รับโอกาสในการอภัยบ้าง

เจริญพร

**********************************************************************