--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันพุธที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ฆ่า ปู !!!??

สมประสงค์...ตามทุกสิ่ง...ทุกประการ...ที่ได้วางหมาก?
ไม่คิดถึงผล บวกลบคูณหาร ที่ทำประเทศย่อยยับ ประชาชนหลายล้านคน พื้นที่เขตภาคกลาง ล่มจม หมดตัวระนาว
ปล่อยน้ำเขื่อนล้อมกรุงเทพฯ ไม่ให้เข้าเมืองหลวง...ชาวรากหญ้าเจ๊งบ้ง กระอักเลือดทุกเจ้า
มีเสียงสาปด่าแช่ง “นายกฯปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร..คุ้มหรือที่ไล่คนพ้นอำนาจคนเดียว..แต่ผันน้ำทำลาย ประเทศทั้งหมด
ยิ่งลักษณ์บรรลัย...แต่ว่าชาติเสียหาย?..คุ้มกันที่ไหน กับแผนที่ได้กำหนด

++++++++++++++++++++++++++++++

ถอยหน้าถอยหลัง มีแต่เสียศูนย์!!
รักดอก จึงขอเตือน “นายกฯปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กันสักหน่อย สิคุณ
ออกมาตรการสามวันดีสี่วันไข้...แบบกลับมากลับไป อำนาจของท่านจะเสื่อม
ทำงานลักปิดลักเปิด ไม่มีการไตร่ตรองให้รอบครอบ ขั้วอำนาจของท่านจะกระเพื่อม
ด้วยลักษณะการทำงาน ไม่ยืนอยู่ในมาตรฐานที่มั่นคง จึงเข้าล็อคกับ “กลุ่มมือที่มองไม่เห็น” ที่จะให้ “รัฐบาลยิ่งลักษณ์” พังใน ๖ เดือน
บริหารชาติต้องใช้สมอง....ไม่ใช่เล่นวิธีขายข้าวขายของ?...ท่านจะตกมากอง จึงขอเตือน

+++++++++++++++++++++++++++++

เล่นกันปานวอก!!
ที่ออกมาเล่นกันทางหน้าจอทีวี ..ล้วนแต่ข้าราชการ และ นักวิชาการ ตัวหลอก
ถ้าเก่งเหมือนปากว่า... “น้ำท่วม” จะหลากบ่า เดินหน้า บ้าเลือด ท่วมถึงกรุงเทพฯ ได้อย่างไร
“ชลิต ดำรงศักดิ์” อธิบดีกรมชลประทาน..โชว์ภูมิรู้..แต่ผันน้ำลงทะเล ไม่เคยได้
เก่งแต่ทฤษฎี แต่ภาคปฏิบัติล้มเหลว ย่อยยับ
ทำตัวเก่งแบบดาวรุ่ง..น่าให้กางมุ้ง? เป็นเจ้ากรมตบยุง ดีกว่านะครับ

++++++++++++++++++++++++++++

รวยแบบติดอันดับประเทศ!!
บริจาคเงินช่วยน้ำท่วม น้อยจิ๊บจ๊อย เกินไปจนคนเข้าสังเกต
แค่ “อดีตนายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” และ “อดีตขุนคลังกรณ์ จาติกวณิช” ว่าที่หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และ นายกรัฐมนตรีคนใหม่ในอนาคต ..ร่วมหุ้น ร่วมกันแชร์ บริจาคเงิน ให้ช่อง๓โชว์เอาหน้ากันหนักหน่วง
รวยล้นฟ้า น่าบริจาคเงินเกิน ๑ แสนบาท ...หน้าแข้ง ก็ไม่น่าจะร่วง
เมื่อบอกว่ารู้สึกอาธรร้อนใจ เห็นใจชาวบ้านที่เดือดร้อน...เมื่อมีทรัพย์มาก น่าบริจาคมาก ทำให้เศรษฐีขี้ตืดเห็น จึงจะควักเงินออกมาได้
แต่นี่นักการเมืองมีมรดก..ยังทำตัวขี้งก?..แล้วจะยกเป็นตัวอย่าง ให้คนทำตามได้อย่างไร

++++++++++++++++++++++++++++

ใช้ฝ่ามือปิดฟ้า!!
เคยทำ เรื่องดำเป็นขาว สำเร็จมาแล้ว..แต่คราวนี้ คงจะไม่ได้หรอกคุณเจ้าขา
“นายกฯปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร รวบอำนาจอยู่ในมือเบ็ดเสร็จ เมื่อ วันที่ ๒๖ สิงหาคม จึงเข้าบริหารทำงานเต็มตัว
น้ำในเขื่อนเต็มปรี่ ที่ปล่อยออกจากเขื่อน เป็นยุค ของ “อดีตนายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” จึงโยนผิด มาให้ใครไม่ได้ ดอกนะทูนหัว
หลายเรื่องที่สามารถพลิกสถานการณ์ จาก “ฝ่าเท้า” ให้มาเป็น “ฝ่ามือ” จนคนเชื่อทั้งบาง
คราวนี้คงรอดตัวยาก...เพราะหลักฐานชัดเจนมาก?..ถึงจะลากอย่างไร ก็ไม่มีทาง???


คอลัมน์:ตอดนิดตอดหน่อย,บางกอกทูเดย์

////////////////////////////////////////////////////////////

น้ำพันคอ ก่อศึก.. กรมชล-ธีระ-สุขุมพันธ์ บทเรียนพระเอกการเมือง !!?



กรณีความขัดแย้งระหว่าง ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ บริพัตร ผู้ว่าฯกทม. กับนายชลิต ดำรงศักดิ์ อธิบดีกรมชลประทาน รวมทั้งที่ข้ามช็อตไปถึงอาการหัวเสียของนายธีระ วงศ์สมุทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ ทำให้คนกรุงเทพฯตาสว่างขึ้นมาทันที

ใครทำอะไร??? วิธีคิด??? และจุดยืนในการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมภายใต้เกมกดดันทางการเมือง???... ความขัดแย้งครั้งนี้ ถือเป็นจิ๊กซอว์ตัวสำคัญที่ทำให้รู้ได้ชัดขึ้น
ว่าใครเป็นพิน็อกชิโอน้ำท่วมในครั้งนี้???

การที่ ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ ออกอาการน๊อตหลุด มาแถลงข่าวขึงขังว่ากรมชลประทานไม่ให้ความร่วมมือ เพราะขอสนับสนุนเครื่องสูบน้ำไป แต่ก็ยังไม่ได้รับ เหมือนกับเพิกเฉย ไม่ตอบสนอง
ให้ข่าวแบบนี้ กรมชลประทาน กลายเป็นจำเลยสังคมไปโดยปริยาย

ยิ่งที่ผ่านมา กรณีมวลน้ำก้อนมหึมากว่า 10,000 ล้านลูกบากก์เมตร ที่ถูกปล่อยออกมาจากเขื่อน อันเป็นบทเรียนจากการบริหารน้ำในเขื่อนไม่สอดคล้องกับสถานการณ์จริง ซึ่งว่าไปแล้ว ที่มาของมวลน้ำมหึมานั้นมาจากไหน

ทำให้ครั้งนี้ พอ ผู้ว่าฯกทม.ออกมาโวยแบบนี้ กรมชลฯ ก็เลยถูกมองติดลบหนักขึ้นไปอีก
แต่อย่างที่ ยืนยันมาตลอดว่ามุ่งนำเสนอข้อมูลข่าวที่เป็นความจริงเพื่อให้ประชาชนได้รู้ความจริงว่าน้ำมาจากไหน แต่ก็ไม่ได้คิดโทษว่าใคร เพียงแต่ต้องการให้เป็นบทเรียน

แม้กรมชลฯจะนิ่งไม่โต้แย้งข้อมูล ในขณะที่กลับมีสื่อบางสื่อที่โจมตีทั้งๆที่ไม่สามารถโต้แย้งข้อมูลได้ หรือมีบรรดาพลพรรคประชาธิปัตย์ที่ร้อนตัวออกมาแก้ต่างว่าไม่ใช่ความผิดของรัฐบาลประชาธิปัตย์อุตลุดไปหมด เหมือนกับคนที่อ่านหนังสือไม่ออก อ่านข่าวไม่เข้าใจกระนั้น

และเพื่อยืนยันว่า ไม่ได้อคติกับกรมชลประทาน แต่ที่ผ่านมาเป็นการเสนอข่าวความจริงที่เกิดขึ้นเท่านั้น ครั้งนี้จึงขอยืนยันว่า จากการสืบค้นข้อมูลในกรณีเครื่องสูบน้ำ พบว่า
กรมชลฯประทานไม่ผิด!!!

เพราะ กทม.ไม่ได้มีการขอสนับสนุนเครื่องสูบน้ำไปยัง กรมชลฯ อย่างที่อธิบดีกรมชลฯ และรัฐมนตรีเกษตรฯ ยืนยันจริงๆ

จากข้อมูลที่ค้นพบ ทาง กทม.มีการทำหนังสือขอเครื่องสูบน้ำออกไปจากสำนักงานปลัด กทม. ซึ่งมีนายเจริญรัตน์ ชุติกาญจน์ เป็นปลัด กทม.คนปัจจุบัน โดยหนังสือมีออกไปเมื่อวันที่ 2 พ.ย. ส่งถึงปลัดกระทรวงมหาดไทย!!!

เป็นการส่งหนังสือตามระบบราชการ ซึ่งข้าราชการในเมืองไทยทุกคนรู้ดีว่า หากส่งหนังสือตามระบบงานราชการ ต้องมีการลงเลขส่ง เลขรับ ต้องผ่านหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตามระบบนั้นต้องใช้เวลาหลายวัน
ดีไม่ดีในวันนี้ นายพระนาย สุวรรณรัฐ ปลัดกระทรวงมหาดไทยอาจจะเพิ่งได้รับหนังสือ ก็เป็นได้...

จึงไม่เข้าใจว่า ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ได้รับข้อมูลหรือรายงานจากใคร จึงทำให้ออกมาให้ข่าวทันทีในวันที่ 3 พ.ย. หรือแค่วันเดียวเท่านั้น ว่าทำเรื่องขอไปที่กรมชลฯแล้ว แต่ไม่ได้รับการตอบสนอง... จะตอบสนองได้อย่างไรในเมื่อกรมชลฯไม่รู้เรื่องเลยสักนิดเช่นนี้

นี่จึงเป็นเหตุให้ในวันที่ 4 พ.ย. หลังจากที่กรมชลฯโดนผู้ว่าฯกทม.โวยใส่แค่ 1 วัน ในการประชุมที่สำนักระบายน้ำกทม. ต่อหน้านางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่นำคณะไปฟังบรรยายสรุปการระบายน้ำของ กทม.

นายชลิต ดำรงศักดิ์ อธิบดีกรมชลประทาน จึงได้แลกหมัดกลับคืนทันทีว่า เมื่อคืนวันที่ 3 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ผู้ว่าฯกทม.ให้ข่าวว่า กทม.ไม่ได้รับการตอบสนองจากกรมชลฯในการมอบเครื่องสูบน้ำหลังจากที่ กทม.ร้องขอ แต่ได้ตรวจสอบแล้วว่า ยังไม่มีหนังสือจาก กทม.ส่งตรงถึงกรมชลฯ เลย
งานนี้ ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ หน้าหงาย เพราะเชื่อข้อมูลจากลูกน้องแล้วไปให้ข่าวเลย โดยไม่มีการตรวจสอบก่อน

แถมพอเกิดเรื่องแล้ว ทางปลัด กทม. ก็ยังมีการอ้างว่าเป็นการทำหนังสือขอความร่วมมือไปยัง ศปภ. ก็เลยโดนตอกกลับอีกดอก ครั้งนี้จาก พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก ที่เชือดกลับแบบนิ่มๆประสาผู้ใหญ่ว่า ตรวจสอบแล้ว ศปภ.ก็ยังไม่ได้รับหนังสือจาก กทม.ด้วยเหมือนกัน
ยังรักษาหน้าอยู่บ้าง ตรงที่บอกว่า อย่างไรก็ตามก็จะไปตามดูให้ว่ามีหนังสือไปตกค้างอยู่ที่ไหนหรือไม่อย่างไร

แต่โดยข้อมูลความเป็นจริง ทั้งกรมชลฯ ทั้ง ศปภ. หาหนังสือฉบับนี้ให้ตายก็หาไม่เจอ เพราะไม่ได้มีการส่งมาจะหาเจอได้อย่างไร???
ความจริงจึงกลายเป็นลูกศรที่พุ่งย้อนเข้าปักอก กทม.ไปเต็มรัก เพราะประการแรก ผู้ว่าฯ กทม.ไม่รู้หรือว่านี่คือสถานการณ์ฉุกเฉินเร่งด่วน ทำไมจึงปล่อยให้ยังคงใช้การทำหนังสือราชการไปตามระบบ ทำไมตัวผู้ว่าฯกทม. ไม่ใช้การโทรศัพท์สายด่วนไปหาเลยโดยตรง
หรือ ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ ยังมองว่านี่ไม่ใช่เรื่องเร่งด่วน ไม่ฉุกเฉินพอ???

ประการที่ 2 ตั้งแต่เริ่มต้นตั้ง ศปภ. ทางกทม. ก็ได้ส่ง รองผู้ว่าฯ และ รองปลัด เข้าไปเป็นคณะทำงานอยู่ใน ศปภ. เดินไปเดินมาอยู่ทุกวัน กรณีเช่นนี้ทำไมจึงไม่ใช้ให้ไปขอความร่วมมือโดยเร่งด่วน เพราะเจอคณะกรรมการ คปภ.อยู่ตลอดอยู่แล้ว ทำไมจึงเลือกการส่งหนังสือ

ประการที่ 3 กทม.นั้นมีงบประมาณในแต่ละปีสูงถึง 60,000 ล้านบาท รวมทั้งมีงบสนับสนุนอีกส่วนหนึ่ง รวมๆกันแล้วปีๆนึง กทม.มีงบประมาณสูงเกือบแสนล้านบาท ทำไมจึงไม่มีเงินซื้อเครื่องสูบน้ำฉุกเฉินเองบ้างเลยหรือ???

ที่สำคัญ ในเมื่อตลอดเวลา ผู้ว่าฯกทม.อ้างว่า กทม.มีความพร้อม ถึงขนาดกล้าประกาศเหมือนกับต้องการข่มขวัญนายกฯยิ่งลักษณ์ ว่าเรื่อง การระบายน้ำของกทม. ต้องฟังผู้ว่าฯกทม.คนเดียว เพราะเตรียมการรับมือไว้หมดแล้ว

แต่วันนี้กลับกลายเป็นว่า กทม.ไม่มีความพร้อมต้องวิ่งวุ่นฉุกเฉินขอความช่วยเหลือเรื่องเครื่องสูบน้ำจากหน่วยงานอื่น... แบบนี้หรือที่เรียกว่ามีแผนรองรับเอาไว้แล้ว

แต่ที่ร้ายที่สุดหลังจากที่เกิดภาวะน้ำท่วมกรุงเทพฯในพื้นที่ 13-14 เขตขึ้นมาจริงๆ และหลังจากเกิดภาพความขัดแย้งเพราะ กทม.พล่านหาเครื่องสูบน้ำ นั่นแหละที่ไม่น่าเชื่อว่า จะได้ยินจากปากผู้ว่าฯกทม.ว่า ระบบระบายน้ำของ กทม.ที่คุยนักหนานั้นจริงๆแล้ว

“ระบบระบายน้ำของ กทม. มีไว้เพื่อรองรับปัญหาระบายน้ำฝนเท่านั้น ไม่ใช่น้ำท่วมใหญ่ขนาดนี้”
คน กทม.ได้ฟังแล้วไม่ขนหัวลุกก็คงแปลกไปแล้ว กทม.ลงทุนเป็นหมื่นๆล้านรับมือได้แค่น้ำท่วมจากน้ำฝนเท่านั้นเองหรือ พอมาเจอน้ำท่วมใหญ่เข้าก็เลยจอดไม่ต้องแจว...

แล้วราคาคุยที่ผ่านมาคืออะไร แล้วระบบอุโมงค์ยักษ์มูลค่าหมื่นล้าน ที่ขึ้นป้ายโฆษณาหราว่าลงทุนทำขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหาน้ำท่วมอย่างถาวรนั้น คืออะไร???

ประชาชนคน กทม. ขนหัวลุกและเหลือเชื่อกับการบริหาร กทม.โดยคนของพรรคประชาธิปัตย์ กับเรื่องกล้อง CCTV ที่พบว่ามี Fake Camera เข้ามาปะปนอยู่เพียบมาแล้ว นี่ยังจะต้องเจอกับระบบระบายน้ำที่ Fake อีกอย่างนั้นหรือ???

แถมยังมีตลกร้ายกับข้ออ้างที่ว่า น้ำท่วมครั้งนี้ไม่ใช่น้ำจาก กทม. เป็นเป็นน้ำจากเหนือ เข้ามาจากปทุมธานี นนทบุรี บางบัวทอง แล้วกลายมาเป็นปัญหาของ กทม. ซึ่งเป็นข้ออ้างที่เล่นเอาคนฟังอ้าปากค้าง
ตลอดเวลา 2 เดือนที่ผ่านมา คนรู้กันทั่วประเทศว่าน้ำท่วมไล่ลงมาเรื่อยๆ เป็นน้ำท่วมใหญ่มวลน้ำมหาศาล ทำให้ต้องมีการตั้ง ศปภ. แล้ว ผู้ว่าฯกทม.งงอะไรอยู่หรือจึงเพิ่งมาบอกว่า ระบบระบายน้ำของ กทม.สู้ได้แค่น้ำฝน แต่สู้น้ำท่วมไม่ไหว

ช่างไม่รู้เลยหรือว่า 2 เดือนมานี้ที่คนไทยเครียดกันทั้งประเทศ เพราะเขาสู้กันเรื่องน้ำท่วมใหญ่
ที่บอกว่าให้ฟังผู้ว่าฯกทม.คนเดียว มีแผน 1 แผน 2 แผน 3 รองรับเอาไว้แล้วนั้น เป็นการพูดกันคนละเรื่องอย่างนั้นหรือ?

เช่นนี้จะสะท้อนได้หรือไม่ว่า ตลอดมาที่คนคิดว่า กทม.เตรียมพร้อมไว้แล้วนั้น จริงๆไม่ใช่เลย กทม.เตรียมความพร้อมไว้แค่รับมือระดับน้ำฝนท่วมขังเท่านั้น

ไม่อยากที่จะมองแย่ขนาดนั้น แต่ก็ต้องขอตั้งคำถามว่าเกิดอะไรขึ้นกับ กทม. กันแน่ โดยเหตุแห่งคำถามก็มาจากคำพูดคำตอบสื่อมวลชนของ ผู้ว่าฯกทม.เองนั่นแหละ

กทม.มีกระสอบทรายสูงหนาปิดกั้นเป็นกำแพงอยู่หรืออย่างไร? จึงทำให้เข้าใจเอาเอง คิดเอาเอง นึกว่ารู้นึกว่าเก่งเอาเองมาตลอด ซึ่งเรื่องนี้จริงๆแล้วมีการพูดมาตลอดว่า กทม. เป็นหน่วยงานของรัฐที่คิดว่า.....
ตนเองเป็นรัฐอิสระ เข้าใจเอาว่าโดยโครงสร้างและอำนาจบริหารแล้ว ผู้ว่าฯกทม.และผู้บริหาร กทม.มีอิสระ เพราะมีกฎหมายเฉพาะของตัวเอง คือ พ.ร.บ.กรุงเทพมหานคร

จึงทำให้ที่ผ่านมา ไม่คิดจะฟังใคร ไม่คิดจะร่วมมือกับใคร หลักฐานที่สะท้อนชัดก็คือในภาวะวิกฤตเร่งด่วนแท้ๆ แต่ไม่ใช้วิธีติดต่อโดยตรงกับผู้บริหารหน่วยงานอื่นๆ กลับใช้การส่งหนังสือราชการ อะไรจะขนาดนั้น

นี่คือผลจากที่ตลอดมา เมื่อ กทม. ถูกคน กทม.ตัดสินใจเลือกให้ผู้บริหาร กทม. เป็นคนละพรรคกับรัฐบาลมาโดยตลอด สุดท้ายจึงเป็นปัญหาในเรื่องการประสานงาน การร่วมมือร่วมใจในการแอก้ไขปัญหา แก้ไขวิกฤตมาโดยตลอด

เพราะกลายเป็นว่า การที่ต่างพรรคต่างขั้ว ทำให้มีเกม มีกั๊ก มีลูกเล่นเพื่อแย่งชิงความเป็นพระเอกทางการเมืองเกิดขึ้นมาตลอดเวลา แม้แต่กระทั่งในวิกฤตน้ำท่วมใหญ่ครั้งนี้ ก็สะท้อนให้เห็นชัดเจนแล้วว่า ผลพวงของการเลือกให้ กทม.กับรัฐบาลเป็นคนละขั้วการเมือง จึงทำให้การรับมือปัญหาน้ำท่วมใหญ่ในพื้นที่ กทม. ไม่ราบรื่น มีปัญหาให้เห็นมาโดยตลอด

แม้ว่า นายกฯยิ่งลักษณ์ จะพยายามอดทนถนอมน้ำใจเพื่อให้ผ่านพ้นวิกฤตครั้งนี้ไปได้ก่อน ด้วยการพยายามบอกผ่านสื่อทั้งหลายว่า พวกเดียวกัน... แต่สื่อทั้งหลายก็รู้ดีว่าความจริงคืออะไร
ไม่เช่นนั้นสื่อคงไม่มีการเอาไปล้อเลียนหรอกว่า... พวกเดียวกัน??? ทีมเดียวกัน???
วันนี้ในเมื่อมีการประกาศใช้ มาตรา 31 ไปแล้ว เพื่อต้องการให้การบริหารรวมศูนย์ จะได้เกิดศักยภาพในการแก้ไขปัญหาและรับมือกับวิกฤตน้ำท่วมใหญ่ได้อย่างทันท่วงทีและมีประสิทธิภาพ

ซึ่งหากประมวลเอาเหตุการณ์ต่างๆโดยดูเทปภาพข่าว หรือดูข่าวข้อแถลงของ กทม. เอง ไม่ว่าจะเป็นการคุยเขื่องตั้งแต่แรกว่า เรื่องน้ำในกทม.ต้องฟังผู้ว่าฯกทม.เพียงคนเดียว เรื่องการเตรียมพร้อมที่จริงๆไม่พร้อม เพราะถึงเวลากลับต้องมาวิ่งขอการสนับสนุนเครื่องสูบน้ำจ้าละหวั่นไปหมด รวมทั้งเรื่องที่มีการออกมายอมรับแล้วว่าระบบระบายน้ำที่เป็นความหวังของคน กทม.นั้นรับมือได้เพียงแค่น้ำท่วมจากน้ำฝนเท่านั้น ไม่ใช่น้ำท่วมใหญ่

แบบนี้สมควรหรือไม่ที่ รัฐบาลจะใช้ มาตรา 31 เพื่อสังคายนา ผ่าตัดใหญ่ กทม.เสียที
และงานนี้ผู้ว่าฯกทม. ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ บริพัตร นั่นแหละที่ต้องบอกความจริงกับประชาชนว่าจริงๆแล้วมีเกมการเมืองระหว่างพรรคอย่างที่ทุกคนเชื่อจริงหรือไม่?? ก่อนที่จะแสดงสปิริตลุกไปเสียเอง ในเมื่อแค่เครื่องสูบน้ำยังไม่มีปัญญาหาได้แบบนี้


จะให้คน กทม. ฝากผีฝากไข้ต่อไปได้อย่างไร?

ที่มา:บางกอกทูเดย์
///////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันอังคารที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

วิกฤติแห่งมหานที ภาวะล่อแหลมรัฐนาวา กอบกู้ศรัทธาหลังน้ำลด !!?

ไม่มีใครต้องการให้เกิดภัยธรรมชาติ แต่เมื่อเกิดแล้วเราต้องเข้าใจธรรมชาติ และให้ภัยธรรมชาติเป็น ครูที่สอนเรา...” พระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมื่อปี 2533

วินาทีนี้คนไทยทั้งประเทศคงเผชิญ หน้ากับ “มหาอุทกภัย” ครั้งร้ายแรง...! นับเนื่องถึงตอนนี้ ก็ยังมิอาจนิ่งนอนใจ แม้ว่า “มวลน้ำก้อนใหญ่” กอปรกับน้ำทะเลหนุนเมื่อช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา จะต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ แต่ก็เป็น “เศษเสี้ยวแห่งความหวัง” ที่ช่วยละลายความตึงเครียดของประชาชน โดยเฉพาะกับคนปลายน้ำเช่นคนกรุง ให้คลายวิตกลงไปเปราะหนึ่ง

พลันให้จับตาว่า ประเทศไทยจะก้าว พ้นวิกฤตการณ์ไปได้หรือไม่...! หลังจากสถานการณ์น้ำทะเลหนุนกำลังหมดไป และเปิดทางให้การระบายน้ำออกสู่ทะเลได้ สะดวกมากขึ้น

ทีนี้เมื่อได้สำเหนียกเสียงก่นอื้ออึง ที่ลั่นมากระทบโสต ทั้งผู้นำรัฐนาวา “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” กับผู้ว่าฯ กทม. “สุขุมพันธุ์ บริพัตร” จึงเริ่มหันหน้าเข้าหากัน เพื่อบรรเทาวิกฤติ และ “สกัดกั้น” มวลน้ำ มหาศาลที่จ่อคิวไหลทะลักสู่ใจกลางเมืองหลวง ก่อนมีข้อแถลงตรงกันว่า...น้ำเริ่มนิ่ง แต่ยังมิอาจวางใจได้มากนัก เพราะอาการ พนังแตกกระสอบทรายทะลาย ยังเป็นปัญหาที่แก้ไม่ตก พลันให้การระบายน้ำผันน้ำให้พ้นจาก “มหานครกรุงเทพ” จึงดำเนินไปอย่างรีบเร่ง

แต่คงปฏิเสธไม่ได้ว่า...การบริหารจัดการน้ำล้มเหลวโดยสิ้นเชิง

ล้มเหลว...!! เพราะประเมินสถานการณ์ผิดพลาด...การสอดประสานระหว่าง รัฐต่อรัฐยังไร้ทิศทาง จนทำให้ประชาชนตกอยู่ในภาวะ “ลอยคอกลางน้ำ”

เหนืออื่นใด รัฐบาลและกรุงเทพมหานคร (กทม.) ใต้ปีกประชาธิปัตย์ ต่าง ได้รับบทเรียนราคาแพงไปแล้ว!!

ขณะที่การเมืองใต้ผิวน้ำ...! ยังไม่คลายเกลียว...กลายเป็นภาวะ “ล่อแหลม” ของรัฐบาล หลังการเดิมพันอันสูงลิ่วของนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ที่พลั้งปากมาว่า น้ำเหนือ ที่มาจ่อคิวลงทะเลนั้น มีมวลน้ำมากถึง 1-2 หมื่นล้านลูกบาศก์เมตร ทั้งที่ก่อนหน้านี้ ข้อมูลจากฝ่ายรัฐบาล หรือศูนย์ปฏิบัติการ บรรเทาและช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (ศปภ.) ระบุว่า มีปริมาณน้ำเพียง 1 หมื่น ล้านลูกบาศก์เมตร เทียบได้เกือบ 2 เท่าตัวจากปริมาณน้ำที่กักเก็บในเขื่อนภูมิพล ซึ่งกักได้ราว 1.2 หมื่นล้านลูกบาศก์เมตร

สิ่งเหล่านี้ เป็นข้อมูลอันคลาดเลื่อน ไปจากข้อเท็จจริงหรือไม่..! แต่นั่นได้เป็นชนวนเหตุแห่งการวิพากษ์ กัดเซาะระบบเตือนภัยของรัฐบาลและ ศปภ. ให้ตกอยู่ใน สถานะติดลบไร้ความน่าเชื่อถือ!!

ยิ่งตลอดช่วงวิกฤติแห่งน้ำ รัฐบาลเพื่อไทย และตัวนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ต้องเผชิญวิบากกรรมน้ำท่วมปาก ผจญกับสารพัด “ตอผุด” และ “แรงต้าน” จนแทบสำรอกเป็นโลหิต มีทั้งเกมการเมืองทั้งในและนอกสภา กอปรกับกลุ่มอำนาจ รวมถึง “สื่อรับใช้” ที่พุ่งเป้าทำลายล้างรัฐนาวาให้จมหายไปกับมหานที

ถึงเวลานี้ รัฐบาลจะถูกเกมการเมือง กระหน่ำซัดจนสำลักน้ำ แต่กระนั้นความเชื่อมั่นจากภาคประชาชนก็ยังเปี่ยมล้น หลังจากวิกฤติแห่งน้ำเริ่มทุเลาเบาบาง โดย เทียบเคียงจากผลวิจัยเชิงสำรวจของ “เอแบคโพลล์” ที่ระบุชัดว่า ประชาชนร้อยละ 61.9 ยังให้โอกาสรัฐบาล และนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ในการแก้ไขปัญหาภัยพิบัติน้ำท่วม ขณะที่ร้อยละ 40.6 เริ่มมีความเชื่อมั่นต่อการแก้ปัญหาน้ำท่วมของรัฐบาล และ กทม.

“ไชยวัฒน์ ค้ำชู” คณะรัฐศาสตร์ ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย ระบุถึงมหาอุทกภัยครั้งนี้ว่า เป็นเรื่องใหญ่และไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน การแก้ปัญหาจึงต้องทำไปและเรียนรู้ไปด้วย เพราะไม่มีใครมีประสบการณ์จัดการ ปัญหาน้ำท่วมที่ใหญ่ขนาดนี้มาก่อน อีกทั้ง นายกฯ เอง ก็ไม่มีประสบการณ์ จึงต้องอาศัยนักวิชาการหรือผู้เชี่ยวชาญมาร่วมกันทำงาน จึงมีความเห็นที่แตกต่างหลากหลาย กว่าจะได้วิธีการแก้ไข ต้องพูดคุยกัน หลายรอบ

“เรื่องนี้เป็นเรื่องใหม่ การวิพากษ์วิจารณ์แก้ปัญหาของรัฐบาลก็ทำได้ เพียง แต่ต้องคิดไว้ก่อนว่า ครั้งนี้เป็นครั้งแรก หากครั้งนี้เป็นครั้งที่ 2 แล้วรัฐบาลยังทำ ได้ไม่ดี นั่นแหละรัฐบาลสมควรถูกด่า...”

ส่วนหนึ่งก็เข้าใจประชาชน เพราะเหตุการณ์แบบนี้คนที่เดือดร้อนก็ต้องวิจารณ์และไม่ไว้วางใจรัฐบาลอีก ส่วนความเด็ดขาดของนายกฯ เรื่องการควบคุมคนนั้น ต้องบอกว่าภาระหน้าที่ของ นายกฯ มีมาก บางอย่างอาจไม่ทั่วถึงและ เกิดปัญหาขึ้นได้ แต่เมื่อเกิดแล้วต้องแก้ไข และมีการตรวจสอบข้อเท็จจริง ทุกข้อวิจารณ์จะต้องรับฟังและแก้ไข

เวลาของการฟื้นฟูความเชื่อมั่นนั้น จะเห็นได้ว่าครั้งนี้เป็นภัยพิบัติในวงกว้าง หลายพื้นที่รัฐบาลต้องระดมสมอง ระดมบุคลากรเพื่อบรรเทาปัญหา และปัญหาน้ำ ท่วมยังไม่จบสิ้น จึงยังประเมินไม่ได้ว่าต้อง ใช้เวลาเท่าไหร่จะฟื้นฟูสำเร็จ แต่รัฐบาลต้องพูดให้ชัดเจนว่าการฟื้นฟูระยะสั้น ระยะกลาง ระยะยาวเป็นอย่างไร ซึ่งเป็นสิ่งที่รัฐบาลสามารถทำได้..!!

นับเป็นมุมแห่งวิพากษ์จากฟากนักวิชาการ ที่เน้นย้ำถึงภาระหน้าที่อันหนักอึ้ง ของรัฐบาล ตลอดจนการฟื้นฟูภัยพิบัติ และแผนล้อมคอกก่อนวัวหาย... ยิ่งในห้วง “วิกฤติแห่งมหานที” ถึงเวลาแล้วหรือยังที่ทุกฝักฝ่ายจะข้ามพ้นความขัดแย้ง-เห็นแก่ตัว แล้วยึดเอาประโยชน์สุขของประชาชน เป็นหลักนำ

เหนืออื่นใด “รัฐนาวา” แม้ถูกมองเป็นเพียงมือใหม่หัดขับ จักพิสูจน์ตัวตนและความตั้งใจจริง ในการ “สกัดกั้นความเสียหาย-บรรเทาทุกข์” ไปพร้อมๆ กับการฟื้นฟู-เยียวยาหลังน้ำลด นั่นย่อมจะเป็น ผนังทองแดง กำแพงเหล็ก...! ที่คอย โอบอุ้มรัฐบาลให้ก้าวพ้น “วิกฤตการณ์” ก่อนจะไร้ซึ่งโอกาสในการ “กอบกู้ศรัทธาแห่งประชาชน” !!!

ที่มา.สยามธุรกิจ
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

จับอาการ หญิงหน่อย. ก่อนคืนฟอร์ม แม่ทัพ พท. !!?

คำพูดที่ว่า “โอกาสในวิกฤติ” ยังคงใช้ได้อยู่เสมอ แม้ในยามที่ประชาชนคนกรุงเทพฯ กำลังประสบกับชะตากรรมจากการสำลักน้ำที่ไหลเอ่อท่วมพื้นที่เมืองกรุงในหลายๆ พื้นที่ แต่ดูเหมือนว่าเรื่องของ “การ เมือง” ที่เคยสร้างความบอบ ช้ำให้กับสังคมไทยหาได้จางหายไปกับมวลน้ำที่ไหลบ่าท่วมพื้นที่เมืองกรุงแห่งนี้ไม่ แต่ยังคงมีให้เห็นมาอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นกรณีนายบรรหาร ศิลปอาชา ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา กับ นายพายัพ ปั้นเกตุ ส.ส.พรรคเพื่อไทย หรือจะเป็นกรณีระหว่างนายกรัฐมนตรีกับผู้ว่าฯ กทม. รวมถึงใครต่อใครที่ปรากฎบนหน้าสื่อต่างๆ เรียกว่ามีให้เห็นมาอย่างต่อเนื่อง

ทั้งๆ ที่สังคมไทยในช่วงที่ผ่านมาแสดงความไม่เห็นด้วยต่อการใช้วาทกรรมทางการเมืองแก้ปัญหาน้ำท่วม ดังจะเห็นได้จากผลการสำรวจของเอแบคโพลระบุว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 83.6 ทุกข์ใจมากถึงมาก ที่สุด เมื่อได้ยินข่าวความขัดแย้งทาง การเมืองในช่วงที่ชาวบ้านประสบภัยน้ำท่วม และร้อยละ 81.1 อยากเห็นความร่วมมือกันแก้ปัญหาภัยพิบัติน้ำท่วมระหว่างแกนนำพรรคเพื่อไทย กับผู้ว่าฯ กทม.จากพรรคประชาธิปัตย์ แต่จนแล้วจนรอดน้ำลายการเมืองก็ยังคงผสมปนเป อยู่กับกระแสน้ำที่ไหลเอ่อท่วมคนเมืองกรุงอย่างไม่รู้เหน็ดจักเหนื่อย

การปรากฏตัวครั้งแรกของ “คุณหญิงหน่อย” สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย หลังจากที่ก่อนหน้านี้สมาชิกบ้านเลขที่ 111 ได้พาเหรดมุดเข้าศูนย์เฉพาะกิจแก้ไขปัญหาน้ำท่วมพร้อมแอ็กชั่นความเป็นมืออาชีพอย่างเต็มที่ โดยการปรากฏตัวของคุณหญิงในครั้งนี้ได้รับการยืนยันว่าไม่ได้รับคำสั่งจากใคร แถมมีข่าวไล่หลังจากพรรคเพื่อไทยว่า การที่ “คุณหญิง” เข้ามาข้องแวะกับปัญหาน้ำท่วมโดยลงพื้นที่และร่วมประชุมศปภ. สร้างความไม่พอใจให้กับส.ส. บางกลุ่มเนื่อง จากมองว่าการกระทำเช่นนี้ของคุณหญิง เป็นการขโมยซีนการแก้ปัญหาน้ำท่วม และการเข้ามาในครั้งนี้ก็เพื่อหวังที่จะสร้างฐานเสียงให้กับตัวเองในการลงรับสมัครเลือกตั้งผู้ว่าราชการ กทม.ในครั้งหน้า เช่นเดียวกับเสียงที่สะท้อนผ่านสมาชิกพรรคปชป.

อย่างไรก็ตาม พลันสิ้นเสียงลือเสียงเล่าอ้างจบลง นายวิชาญ มีนชัยนันท์ ส.ส.กทม. ในฐานะประธานภาคกทม. พรรคเพื่อไทย รวมถึงส.ส.ของพรรค ได้ออกมาตอบโต้พร้อมตำหนิพรรคปชป.ว่ากลัวเกินเหตุเล่นการเมืองเกินพอดีทั้งที่ประชาชนกำลังทุกข์ยาก ตนเป็นประธานภาคยังไม่เคยได้ยินคุณหญิงพูดว่าจะลงสมัครผู้ว่าฯ กทม. ทั้งๆ ที่มีส.ส.ขอร้องหลายครั้ง คนที่พูดว่าคุณหญิงจะลงสมัครผู้ว่าฯ ก็มีแต่ปชป. เท่านั้นที่ออกมาพูดเตะตัดขา การที่คุณหญิงออกมาช่วยเหลือเรื่องน้ำท่วมในฐานะคนไทยคนหนึ่งที่ต่อสู้กับน้ำท่วมใหญ่มาตั้งแต่ปี 38 จึงรู้ปัญหาดังกล่าวดี

เช่นเดียวกับ จิรายุ ห่วงทรัพย์ รองโฆษกพรรค เพื่อไทย ส.ส.กทม.เขตคลองสามวา ที่ออกมาระบุ ว่าตนเคยเรียกร้องไปยังพรรคปชป.และผู้ว่าฯ กทม. ขอให้พรรคปชป.หยุดเล่นเกมการเมืองแล้วรวมใจกันช่วยชาวบ้านจะดีกว่า
2.ขอให้ผู้ว่าฯ กทม.ปลอดการเมือง เลิกอิงแอบพรรค ปชป.ชั่วคราวจนกว่าน้ำจะลด 3.ขอให้ผู้ว่าฯ กทม.สั่งการไปยังผอ.เขตที่อยู่ในแนวเสี่ยงให้ทำงานบูรณาการกับส.ส.พื้นที่ โดยไม่เกี่ยงว่าจะเป็นพรรคการเมืองใด 4.ขอให้ ส.ส.กทม.ของพรรคปชป.ที่ไม่อยู่ในแนวน้ำท่วมหยุดใช้ปากแก้ปัญหาและหันมาร่วมมือกับส.ส.ทุกพรรคการเมืองที่อยู่ในแนวน้ำท่วม 5.ขอให้นายอภิสิทธิ์ร่วมแก้ไขปัญหากับรัฐบาล

ประเด็น “คุณหญิงหน่อย” ที่มาปรากฏกายในวันที่มวลน้ำอันเชี่ยวกรากกำลังถล่มกรุงเทพฯ เป็นสิ่งที่สังคมกำลังเฝ้าจับจ้องติดตามกันอยู่ โดยเฉพาะใกล้วันที่สมาชิกบ้านเลขที่ 111 พ้นจากการถูกจองจำในเดือนพฤษภาคมปีหน้า เธอกำลังจะคืนความเป็นนักการเมืองแถวหน้าคนสำคัญในสนามกรุงเทพฯ สนามเดียวที่พรรคเพื่อไทยหมายจะยึดคืนจากพรรคปชป.แต่ดูเหมือนว่าตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา “ขุนพล” หรือ “แม่ทัพ” ในการออกกรำศึกในสนามไม่เป็นที่ยอมรับทั้งจากคนในพรรคและคนกรุงเทพฯ จึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไมผลการเลือกตั้งทั้งในสนามท้องถิ่นรวมไปจนถึงระดับชาติพรรคเพื่อไทยจึงไม่ประสบความสำเร็จ

การกลับมาของ “คุณหญิง” ในครั้งนี้แม้จะไม่มีสัญญาณที่ชัดเจนว่าถึงที่สุดแล้วเธอจะเบนเข็มทิศการเมืองด้วยการพลิกบทหันมาลงสมัครชิงเก้าอี้ผู้ว่าฯกทม.หรือไม่ แต่อย่างน้อย ๆ เป็นการส่งสัญญาณผ่านไปยังมวลหมู่สมาชิกพรรครวมถึงคอการเมืองได้รับรู้รับทราบว่าใกล้เวลาที่ “แม่ทัพ” หญิงคนนี้จะคืนสังเวียนการเมืองเต็มตัวอีกครั้ง ขณะเดียวกันสนามกรุงเทพฯโดยเฉพาะศาลาว่าการกทม.ที่ครั้งหนึ่งคนกรุงเทพฯ เคยได้ยลโฉมเธอจากการลงสมัครชิงเก้าอี้ผู้ว่าฯ กทม.ในการต่อกรกับ “สมัคร สุนทรเวช” มาแล้ว ประการสำคัญใครที่ติดตามผลงานนับจากที่เธอก้าวเข้าสู่เวทีการเมืองครั้งแรกด้วยวัยละอ่อน จะรู้ว่าตอนที่พรรคพลังธรรมเปิดตัวเธอครั้งแรก ครั้งนั้น “พล.ต.จำลอง ศรีเมือง” ได้ใช้ศาลาว่าการกทม.เป็นที่เปิดตัวเธอเช่นกัน ชีวิตทางการเมืองของเธอจึงหนีไม่พ้นกรุงเทพมหานครนั่นเอง

ที่มา.สยามธุรกิจ
/////////////////////////////////////////////////////

วันจันทร์ที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

เปิดแผนปฏิบัติการ : นิวไทยแลนด์ !!?


พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร "นิ่ง" ไป 4 เดือน ในโลกออนไลน์

แต่เมื่อ รัฐมนตรี-สายตรง ในรัฐบาลพรรคเพื่อไทย เปิดไพ่ไอเดีย "นิวไทยแลนด์" ด้วยโครงการเกือบ 1 ล้านล้านบาท

ทวิตเตอร์ชื่อ ThaksinLive ของ Thaksin Shinawatra ก็กลับมาโลดแล่น

24 ชั่วโมงหลัง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และ นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กางสำรับโครงการลงทุน ระยะสั้น-กลาง-ยาว หลังน้ำท่วม 8 แสนล้านบาท

วันที่ 1 พฤศจิกายน 2554 ปรากฏข้อความของ "พ.ต.ท.ทักษิณ" ที่ก้าวหน้า-ก้าวข้าม แผนการในเมืองไทยไปหลายช็อต

12 ข้อความต่อเนื่อง มีนัยทาง การเมือง และส่งผลต่อแผนการ"นิวไทยแลนด์"

นโยบายของ "พ.ต.ท.ทักษิณ" ที่ส่งผ่านทวิตเตอร์ แจ่มชัด สามารถนำไปแปลงเป็นแผนงาน-โครงการ ลงสู่ระดับปฏิบัติการท่ามกลางความงุนงงของ รัฐมนตรีทีมเศรษฐกิจ

"พ.ต.ท.ทักษิณ" กล่าวว่า "สวัสดีครับ หายไปนาน ไม่ได้ทวีตมาเลย วันนี้ขออนุญาตส่งความห่วงใยมายังทุก ท่านที่ประสบภัยน้ำท่วมทั้งทางตรงและทางอ้อม ความจริงผมแอบทำงานอยู่ห่าง ๆ"

"ช่วงนี้ผมยังคงเดินทางเช่นเดิม แต่ก็ตรวจสอบข่าวคราวเหตุการณ์บ้านเมืองตลอด มีอะไรช่วยทำช่วยแนะนำก็ทำ ไป แต่ก็ต้องยอมรับว่า เป็นอุทกภัยที่หนักที่สุด"

"การฟื้นฟูครั้งนี้เป็นความท้าทายของคนไทยทั้งประเทศ เพราะปัญหาใหญ่กว่า กินวงกว้างกว่า และยาวนานกว่า สึนามิที่ภาคใต้ เราจึงต้องร่วมมือร่วมใจกันครับ"

"ผมได้ให้กำลังใจทุกคนไปว่า ในทุกวิกฤตย่อมมีโอกาส วิกฤตคราวนี้ก็เป็นโอกาสที่จะทำให้คนไทยได้หันหน้าเข้าหากันเพื่อร่วมกันแก้ปัญหาและฟื้นฟูประเทศ"

"และจะเป็นโอกาสให้เราได้แก้ปัญหาน้ำท่วมน้ำแล้งถาวรเสียที เพราะเราเสียงบประมาณจำนวนมากแก้ปัญหาและเยียวยาแบบเฉพาะหน้า เฉพาะกิจ ครั้งแล้วครั้งเล่า"

"ถ้าท่านจำกันได้ ตอนปี 2548 ผมเคยมีโครงการขนาดใหญ่หลายโครงการที่เชิญต่างประเทศมาลงทุนให้ก่อน แล้วผ่อนเป็นสินค้าเกษตร ซึ่งมีเรื่องน้ำรวมอยู่ด้วย แต่..."

"ผมถูกปฏิวัติเสียก่อน เหตุการณ์ครั้งนี้เราเสียหายร่วมกัน ทั้งภาคประชาชน ภาคเอกชน และภาครัฐเฉพาะทางตรงน่าจะร่วม ๆ สองแสนล้านบาท แต่ก็อยากให้สบายใจ"

"ว่าหาเงินมาแก้ปัญหาได้ ผมได้ คุยกับท่านนายกฯและผู้รู้หลายท่านรวมทั้งรัฐบาลหลายประเทศถึงแนว ทางการฟื้นฟูครั้งนี้ว่า ควรจะทำกันอย่างไรจะช่วยกัน"

"ทำอย่างไรจะทำให้เขามั่นใจที่นักลงทุนทั้งไทยและต่างประเทศจะไม่หนีจากเรา เชื่อว่าท่านนายกฯคงจะได้ข้อสรุปเร็ว ๆ นี้ก่อนไปประชุมเอเปก"

"เพราะต้องถูกถามและต้องไปบรรยายให้นักธุรกิจฟัง น้ำท่วมครั้งนี้ถ้าเราไม่ช่วยกันกอบกู้ความน่าเชื่อถือประเทศกลับคืนมาอนาคตจะลำบากมาก เราต้องเร่งแก้"

"สิ่งที่ทำความเสียหายแก่ประเทศกลับคืนในทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นความ ขัดแย้งทางการเมือง การขาดหลักนิติธรรมในการบังคับใช้กฎหมาย การแทรกแซงประชาธิปไตย"

"แน่นอนครับ เราต้องเร่งฟื้นฟูและเยียวยาทุกครอบครัวที่ได้รับผลกระทบทั้งภาวะน้ำท่วมในครั้งนี้และผู้ที่ได้รับผลกระทบจากความขัดแย้งที่ผ่านมา"

จากนั้นห้องประชุมคณะรัฐมนตรีที่เมืองไทยก็ "รับลูก"

น.ส.ยิ่งลักษณ์นั่งหัวโต๊ะ ในวาระการประชุมร่วมกับผู้เชี่ยวชาญด้านน้ำ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อวางแผน แก้น้ำท่วมทั้งระบบ และแผนการฟื้นฟูแก้ไขปัญหาประเทศระยะยาวภายหลังน้ำลดภายใต้แนวคิด "นิวไทยแลนด์" โดยมีนายพิชัย รมว.พลังงาน นั่งเป็น "มือขวา"

น.ส.ยิ่งลักษณ์อธิบายเพิ่มเติมว่า "ความจริงคือโครงการแก้ไขปัญหาน้ำอย่างถาวร โดยจะมีการศึกษาใน รายละเอียดและประกาศตัวเลขงบประมาณที่ต้องใช้อย่างชัดเจน แต่เบื้อง ต้นงบประมาณที่จะใช้ในการเยียวยาอย่างเร่งด่วนคือ 8 หมื่นล้านบาท ซึ่งยังไม่รวมงบฯบูรณาการโครงการ 25 ลุ่มน้ำ หรือโครงการระยะถาวร"

ส่วนราชการในสังกัดกระทรวงการคลังของนายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล รับแผนไปปฏิบัติเป็น "แผนก่อหนี้" ในร่างกฎหมายกู้เงินทันที

โดย นายจักรกฤศฏิ์ พาราพันธกุลผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) แจกแจงว่า สบน. เตรียมร่างกฎหมายกู้เงินเตรียมพร้อมไว้แล้ว ไม่ว่าจะเป็นการกู้เงินในรูปแบบใด เพื่อรองรับแผนกู้เงินเพื่อเยียวยาและฟื้นฟูระบบน้ำภายหลังน้ำท่วม

ความเป็นไปได้มีทั้งรูปแบบการออกพระราชกำหนด เพื่อให้มีผลบังคับใช้ภายใน 45 วัน หรือจะเป็นรูปแบบการใ ช้เงินลงทุนระยะ 3-5 ปี โดยออกเป็นพระราชบัญญัติ รอเพียงให้หัวหน้ารัฐบาล-รมว.คลัง ตกลงตัวเลขและกรอกจำนวนเงินเท่านั้น

แหล่งเงินกู้ที่เข้าแถวรอประเทศไทย ในฐานะลูกค้าชั้นดี มีทั้งไจก้า-เอดีบี และแหล่งเงินกู้สถาบันการเงินในประเทศ โดยอาศัยความตามรัฐธรรมนูญมาตรา 184-185 ที่กำหนดว่า รัฐบาลสามารถออก พ.ร.ก.กู้เงินได้เพื่อรักษาความปลอดภัยของประเทศ หรือป้องกันภัยพิบัติสาธารณะ และมีความจำเป็นฉุกเฉินที่มิอาจหลีกเลี่ยงได้

สำนักบริหารหนี้คำนวณว่า หากกู้อีก 8 แสนล้านบาทใช้แก้ปัญหาน้ำท่วม จะทำให้หนี้สาธารณะอยู่ที่ 50% ของจีดีพี ซึ่งอยู่ในวิสัยที่สามารถบริหารจัดการได้

ขณะที่ "ผู้นำสาร" จาก "พ.ต.ท.ทักษิณ" มาเผยแพร่ อย่าง "พิชัย" ให้รายละเอียดเพิ่มเติม หมายมั่นปั้นมือ จะทำโครงการ "นิวไทยแลนด์" ว่า แนวทางการฟื้นฟูหลังน้ำลด จะนำโมเดลประเทศต่าง ๆ ที่เคยประสบอุทกภัยมาศึกษา เช่น มณฑลเสฉวนของจีน, สหรัฐอเมริกา, เนเธอร์แลนด์, พม่า และอาเจะห์ นำมาปรับใช้กับไทย

เงินทุนสำรองระหว่างประเทศ 1.89 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ที่ถูกเก็บอยู่ในธนาคารแห่งประเทศไทยถูกอ้างถึง ว่าอาจจะนำมาใช้ใน "นิวไทยแลนด์" บางส่วน

นายพิชัยยืนยันว่า "รูปแบบการฟื้นฟูนั้นจะนำมาดูในทุกด้าน เช่น ท่อส่งน้ำมัน และแลนด์บริดจ์ ระบบป้องกันน้ำท่วมของนิคมอุตสาหกรรม และในอนาคตหากจำเป็นต้องแก้กฎหมายใดที่เป็นอุปสรรคต่อการทำโครงการนิวไทยแลนด์ก็ต้องแก้ไข และใช้วิธีคิดนอกกรอบ เพื่อทำให้ไทยเป็นศูนย์กลางอาเซียนให้ได้ โดยต้องว่าจ้างที่ปรึกษาจากต่างประเทศมาช่วยเสนอแนวคิดและโมเดลต่าง ๆ ที่เหมาะสมกับการพัฒนาไทยด้วย"

ไอเดียถูกขยายเป็นการตั้งคณะกรรมการถึง 3 ชุด คือชุดที่ 1 ต่อสู้น้ำ ชุดที่ 2 ฟื้นฟูประเทศระยะสั้น 1 ปี และชุดที่ 3 ปรับปรุงประเทศระยะยาว โดยให้ปรับวิกฤตครั้งนี้เป็นโอกาส ซึ่งหากพบว่าไปติดขัดกฎระเบียบหรือข้อกฎหมายใด ๆ ก็จะดำเนินการ

วาระวงเงินที่จะนำมาใช้ในระยะสั้นมีเงิน 130,000 ล้านบาท โดย 50,000 ล้านบาท มาจากการขาดดุลงบประมาณประจำปี 2555 เพิ่มเติม และอีก 80,000 ล้านบาท มาจากที่แต่ละกระทรวงตัดงบประมาณลง 10%

แนวคิดการบริหาร "เงิน" ของแบงก์ชาติถูกแปรรูป เปลี่ยนแนวคิด เพื่อหาเงิน 600,000-800,000 ล้านบาท โดยอาจใช้วิธีการออกพันธบัตรและให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เป็น ผู้ซื้อด้วยการแก้ไขข้อกฎหมายให้ ธปท. จะซื้อพันธบัตรในประเทศได้

ทุกองคาพยพในรัฐบาลเพื่อไทยขับเคลื่อน-ควบคู่ ใน-นอกประเทศ เพื่อไป สู่แผน "นิวไทยแลนด์"

ด้านเศรษฐกิจต่างประเทศ มี นาย กิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ ประกาศกับคณะทูตานุทูตกว่า 80 ประเทศว่า จะมีการเสนอ ครม.ออก พ.ร.บ.เงินกู้ 6 แสนล้านบาท เพื่อนำมาปรับโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ

เงินลงทุน 8 แสนล้าน กับการลงทุนแก้กฎเหล็กของธนาคารชาติกำลังจะเริ่มขึ้น ด้วยการอ้างถึงภาวะ "วิกฤตน้ำท่วม"
ที่มา:ประชาชาติธุรกิจ
///////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันอาทิตย์ที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

สถานการณ์ น้ำการเมือง-น้ำนิ่ง-น้ำไหล-น้ำลายและ น้ำเน่า !!?

สวนดุสิตโพลเผยแพร่ผลสำรวจ ’ดัชนีการเมือง“ เดือน ต.ค.จากประชาชนทั่วประเทศ 5,253 คน ระหว่างวันที่ 25 ต.ค.-4 พ.ย. ซึ่งเป็นช่วง ’มหาอุทกภัย“ พบว่า คะแนนนิยมในทุก ๆ ด้าน ’ลดลง“ เอาเฉพาะในแง่มุม ’การเมือง“ พบว่า ทั้งรัฐบาล ทั้งฝ่ายค้าน รวมไปถึงความสามัคคีของคนในชาติ ’ลดลง“ ต่ำกว่าครึ่งจากคะแนนเต็มสิบคะแนน

นี่อาจจะเป็นการสะท้อนแค่ ’บางส่วน“ เท่านั้น แต่เชื่อว่าหากมีการสะท้อนในลักษณะที่กว้างขวางกว่านี้แนวโน้มก็ไม่น่าจะแตกต่างกัน นั่นคือ ความขัดแย้งทางการเมืองยังมีอยู่ มีอยู่สูงด้วยและนับวันสถานการณ์ ’มหาอุทกภัย“ จะเป็นตัวเร่งให้สถานการณ์ ’สูงยิ่ง ๆ“ ขึ้นไป

ในช่วงของการตั้ง ศปภ.ของรัฐบาลเพื่อมาบูรณาการแก้ไขปัญหา “อุทกภัย” ภาพที่ทุกหน่วยงานทั้งทหารซึ่งถูกวิจารณ์จากขั้วหนึ่งในรัฐบาล ภาพของผู้นำฝ่ายค้านและหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ที่เดินเข้าไปให้ความเห็นพร้อมเสนอตัวเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการแก้ไขปัญหา เป็นสิ่งที่ทำให้ใครต่อใคร ’อุ่นใจ“ ว่า ในสถานการณ์วิกฤติของชาติเช่นนี้ ผู้เกี่ยวข้องกับความขัดแย้งทางการเมืองทั้งหลายยังรู้จัก ’แยกแยะ“

แต่พอนานวัน การบริหารจัดการปัญหากลับยุ่งยากและตามไม่ทันกับสายน้ำที่กำลังไหลบ่าท่วมพื้นที่ภาคกลางตามจังหวัดปริมณฑลเรื่อยมาจนถึงกรุงเทพมหานคร ’ไข่แดง“
ของประเทศไทย

นอกจากภาพของความสามัคคีที่ ’คนไทย“ พึงมีให้กัน ยังมีภาพการช่วงชิงจังหวะทางการเมืองแฝงอยู่ในการแก้ไขปัญหาอย่างหลีกเลี่ยงไม่พ้น ยิ่งในสถานการณ์ที่ ’ทุกฝ่าย“ เริ่มจะไม่สามารถควบคุมบริหารจัดการกับปริมาณน้ำที่หลั่งไหลมาอย่างมหาศาลได้ ภาพของความขัดแย้งยิ่งเด่นชัด

และแน่นอนภาพที่ชัดที่สุดคือภาพความขัดแย้งทางการเมือง ระหว่างกทม.ในฐานะผู้ดูแลกรุงเทพฯ กับรัฐบาลในฐานะผู้ดูแลทั้งประเทศ

ถ้าจะให้ชัดขึ้นมาอีกก็คือความขัดแย้งระหว่างพรรคประชาธิปัตย์กับพรรคเพื่อไทย แต่ถ้าให้ชัดที่สุดก็คือความขัดแย้งระหว่างพรรคเพื่อไทย และองคาพยพอย่างแกนนำคนเสื้อแดงกับพวกที่ไม่ใช่พรรคเพื่อไทยและแกนนำคนเสื้อแดง

ใครจะเชื่อว่า ในสถานการณ์ที่น้ำยังไม่ท่วมกรุงเทพฯสูงสุด กลับมีการพูดถึง “แพะทางการเมือง” พูดถึงต้นเหตุของปัญหา พูดถึงการบริหารจัดการของอีกฝ่ายที่ผิดพลาด พูดถึงภาวะผู้นำ การกล้าตัดสินใจ เรื่อยไปจนพูดถึงแนวทางการฟื้นฟูบูรณะประเทศขึ้นมาใหม่ ที่เหมือนจะใช้ ’การเมือง“ นำ ’บ้านเมือง“

ถ้า ’นับนิ้ว“ กันดูจะพบว่า ’แพะ“ ที่มากับมหาอุทกภัยครั้งนี้มีมากมาย ทั้งธรรมชาติที่มาอย่างไม่มีใครคาดคิด ทั้งการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยในฐานะผู้ดูแลเขื่อน ทั้งกรมชลประทานในฐานะผู้รู้เรื่องการบริหารจัดการน้ำ ทั้งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในฐานะหน่วยงานหลัก ทั้งพรรคชาติไทยพัฒนาในฐานะดูแลกระทรวงเกษตรฯ ทั้ง

ผู้ว่าฯ กทม. ทั้งพรรคประชาธิปัตย์ต้นสังกัด รวมไปถึง ’การปฏิวัติ“ ที่เป็นต้นเหตุให้แผนการจัดการที่กำลังจะทำของอดีตรัฐบาลต้องล้มพับไป

ขณะที่อีกฝ่ายก็ ’ตั้งป้อม“ เช่นกันว่า เป็นความผิดพลาดของรัฐบาลที่นิ่งเฉยต่อสถานการณ์ เอาเวลาของการเป็นรัฐบาลตลอด 1 เดือนไปเน้นการแก้ไขปัญหาให้ ’คน ๆเดียว“ การอ่อนประสบการณ์ การไม่เป็นตัวของตัวเองของผู้นำรัฐบาล เรื่อยมาจนถึงการบริหารจัดการกับการรับมือกับสถานการณ์ ทั้งของบริจาคที่ถูกวิจารณ์ การใช้คนที่ไม่เหมาะสมกับงาน ข้อมูลที่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาตลอดเวลา

อย่างล่าสุดข่าวการกระทบกระทั่งกันของ ’หน่วยงานหลัก“ ไม่ว่าจะเป็นกรมชลประทานกับ กทม. หรือ กทม.กับศปภ.และแม้กระทั่ง ผู้นำรัฐบาลกับกรมชลประทาน

ภาพที่เกิดขึ้น ’ล้วน“ เป็นสิ่งที่ช่วยกันกัดกร่อนให้ความน่าเชื่อถือของผู้แก้ไขปัญหา ’ลดต่ำลง“ และแน่นอนรัฐบาลในฐานะ ’เจ้าภาพหลัก“ ซึ่งมีหน้าที่แก้ไขปัญหา มี
หน้าที่ประสานความร่วมมือ มีหน้าที่ปกป้องผลประโยชน์ของคนส่วนใหญ่ในชาติ ต้อง ’รับผิดชอบ“

ทั้งหมดนี้ยังเป็นข้อวิจารณ์และข้อถกเถียงที่ปรากฏออกมาจากผู้ทำงาน จากสื่อมวลชนและจากการรับรู้ของประชาชนเท่านั้น หากมีเวทีทางการเมืองเปิดขึ้น น่าสนใจ
ว่า ’ข้อวิจารณ์“ ต่าง ๆ ที่ออกมาจากนักการเมืองไม่ว่าจะเป็นฝ่ายรัฐบาล ฝ่ายค้าน หรือ วุฒิสภา น่าจะยิ่งเพิ่มความขัดแย้งทางการเมืองให้สูงขึ้น

’มหาอุทกภัย“ ในครั้งนี้ได้สร้างความสูญเสียอย่างมหาศาลขึ้นกับประเทศไทย ประชาชนต้องเสียชีวิตจากเหตุการณ์ไปไม่ต่ำกว่า 400 คน มีผู้ประสบภัยต้องอพยพออกจากบ้านเรือนที่ถูกน้ำท่วมหลายแสนคน เศรษฐกิจแทบจะทุกส่วนของชาติเสียหาย เสียโอกาสทางเศรษฐกิจซึ่งเป็นมูลค่าที่ประเมินมิได้ ที่สำคัญสูญเสียความเชื่อมั่นจากนานาชาติ

ความน่าสนใจจาก ’บทวิเคราะห์“ ต่าง ๆ ของสื่อมวลชนต่างชาติคือการพยายามตั้งคำถามและหาคำตอบว่า “มหาอุทกภัย” ครั้งนี้เกิดจากฝีมือธรรมชาติเท่านั้นหรือเกิดจากฝีมือคนไทยเองนั่นแหละ

ถ้า ’สังคมไทย“ จะแก้ปัญหาร่วมกัน ก่อนที่รัฐบาลจะเดินหน้าฟื้นฟูคือ การแสวงหาความจริงอย่างเป็นระบบเป็นวิชาการ มากกว่าเชื่อด้วยความรู้สึกตัวเอง การหาคำตอบ
หลังความเสียหาย ไม่ใช่เรื่องที่หยิบยกขึ้นหาเรื่องกันแต่ควรหาคำตอบเพื่อเป็น ’บทเรียน“ ไว้ ในอนาคตข้างหน้าอันใกล้จะได้ไม่เกิดขึ้นอีก

แม้รัฐบาลจะมีแนวคิดพลิกฟื้นประเทศไทยหลังน้ำลดหรือที่ ’บางฝ่าย“ เรียกว่า ’นิวไทยแลนด์“ หัวใจสำคัญคือ การหาข้อเท็จจริง การมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนในสังคม ไม่เว้นแม้กระทั่งฝ่ายการเมือง อย่างฝ่ายค้าน

’มหาอุทกภัย“ จะปล่อยให้เลยผ่านไปโดยที่ไม่มีการแสวงหาความจริงว่า ’ต้นเหตุ“ ของปัญหาที่นำมาซึ่งความเสียหายอย่างมโหฬาร เกิดขึ้นจากอะไรนั้นไม่ได้

รัฐบาล นายกฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ผู้ซึ่งเป็น ’เจ้าภาพหลัก“ นั่นแหละ ต้องใช้โอกาสตรงนี้ดึงทุกภาคส่วนให้เข้ามามี “ส่วนร่วม”อย่างแท้จริง มากกว่าจะพูดว่า จะมาสร้างความสมานฉันท์อย่างนั้นอย่างนี้ 3 เวลาหลังอาหาร

ใน ’วิกฤติ“นั้นมี ’โอกาส“ ประโยคนี้น่าจะใช้กับคนไทยทุก ๆ คน มากกว่า ’ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดจะเอาไปใช้เพื่อประโยชน์อย่างใดอย่างหนึ่ง.

ต้นฉบับ: http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=8&contentId=174139

ที่มา: เดลินิวส์
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันเสาร์ที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

เอาอยู่ แตกแล้ว เสียใจ และช่วยตัวเอง !!?

โดย : บุญชัย ปัณฑุรอัมพร

การช่วยเหลือผู้อื่น ก็เหมือนการช่วยเหลือตัวเอง การช่วยเหลือตัวเองก็เหมือนการช่วยเหลือผู้อื่น เข้าตำรา One for All, All for all

วันนี้ ผมขอยืมวลียอดฮิตอย่างคำว่า เอาอยู่ แตกแล้ว เสียใจ และช่วยตัวเอง ที่ชาว FaceBook พูดคุยกันในหลากหลายแง่มุมของช่วงภาวะฝ่าวิกฤตน้ำท่วมปี พ.ศ. 2554 นี้ มาประกอบบทความครับ

เอาอยู่ เหตุการณ์ในวันนี้คงไม่ต้องพูดถึงเรื่องน้ำท่วมกันอีกแล้วว่า “เอาอยู่” หรือไม่ แต่ที่สำคัญคือ กำลังใจว่ายังเอาอยู่หรือไม่

ลองดูกรณีเหล่านี้นะครับ สองสามีภรรยาที่เคยทำงานในนิคมอุตสาหกรรมโรจนะ มีรายได้รวมกันประมาณ 4 หมื่นกว่าบาทต่อเดือน สามีเป็นหัวหน้าช่าง ภรรยาเป็นหัวหน้าคิวซี วันนี้ทั้งคู่ต้องตกงานและหนีน้ำไปอยู่ขอนแก่น ไปรับจ้างล้างรถรายวัน ได้ค่าแรงวันละ 160 บาทต่อคน รวม 2 คนก็ตกราวๆ 5 พันบาทต่อเดือน เงินที่เคยส่งลูกเรียนและส่งพ่อแม่ทั้งสองฝ่ายที่ต่างจังหวัดจะเอาอยู่ได้อย่างไร

อีกกรณีหนึ่ง เป็นช่างทำผมที่อยุธยา ได้เงินเดือนรวมทิปเดือนละหมื่นเศษๆ หนีน้ำมาที่ร้านทำผมข้างๆ เซ็นทรัลปิ่นเกล้าเมื่อสัปดาห์ก่อน วันนี้น้ำตามมาที่ร้านเสริมสวยแห่งใหม่ ระดับน้ำสูงสุดที่ 1.20 เมตร ตอนนี้ร้านปิด เข้าใจว่าช่างทำผมคนเดียวกันนี้ก็ยังเอาอยู่ด้วยการหนีน้ำไปหางานทำผมที่ร้านอื่นต่อไป

ขณะที่ แม่ ลูก และหมาชิสุหนึ่งตัวพร้อมรถคู่ใจ ที่หนีน้ำออกมาได้ทันท่วงที หยิบทันแค่โทรศัพท์มือถือติดตัวมาได้เท่านั้น วันนี้เดินทางมาที่ปราจีนบุรีมาอาศัยอยู่ที่บ้านพ่อ จำต้องทิ้งบ้านหลังใหญ่ สมบัติ เอกสารสำคัญ ข้อมูลเกี่ยวกับงานทั้งหมดให้จมน้ำที่บางบัวทอง วันนี้จะเอาอยู่หรือไม่ หรือแม้แต่ภาพที่เห็นในหน้าหนังสือพิมพ์ ภาพของคนลอยคอ ลอยรถเข็น ลุยน้ำท่วมปิ้งลูกชิ้นขายเพราะลูกต้องใช้เงินทุกวัน

ความสูญเสียที่เกิดขึ้นในวันนี้คงต้องอาศัยเวลาในการเยียวยาให้ลุกขึ้นสู้ต่อไป อย่างคำคมที่เพื่อนของผม คุณบุญยงค์ ตันสกุล CEO บริษัท ซิงเกอร์ประเทศไทย จำกัด มักจะพูดเสมอว่า “เสียอะไรเสียได้ แต่อย่าเสียกำลังใจ”

แตกแล้ว เหตุการณ์ในวันนี้หลายคนบอกว่า เปรียบเหมือนเสียกรุงฯ ครั้งที่สาม มองไปในด้านลบ จะเห็นว่า โรงงานต้องปิดไปมากกว่าพันแห่งใน 7 นิคมอุตสาหกรรม ส่งผลกระทบต่อยอดผลิตสินค้าต่างๆ วัตถุดิบและสินค้าที่ผลิตเสร็จเตรียมส่งออกก็เสียหาย คลังสินค้าถูกน้ำท่วมทำลาย ที่ยังไม่เสียหายก็จัดส่งไปขายไม่ได้ เพราะบริษัทขนส่งต่างๆ ก็ปิดตัวเอง การจัดส่งสินค้าด้วยทีมรถของตัวเองก็ขัดข้อง รถจมน้ำทำให้ กระจายสินค้าไปยังภาคอื่นๆ ของประเทศไม่ได้ ยอดขายตกต่ำ ผู้คนตกงานขาดรายได้ กำลังซื้อหด โครงการหมู่บ้าน ทั้งที่ยังขายไม่หมดหรือที่ขายดาวน์ไปแล้วคงต้องหยุดชะงัก ผู้ที่กำลังผ่อนก็อาจจะหยุดผ่อน พวกผ่อนดาวน์จบแล้วก็ลังเลไม่ยอมโอน ธนาคารจะมีหนิ้เสียทั้งจากรายบุคคลและเจ้าของโครงการเพิ่มขึ้น ดอกเบี้ยก็ต้องเป็นขาลงแน่นอน เพื่อแบ่งเบาภาระทุกภาคส่วน รายได้ธนาคารจะตกต่ำ หุ้นธนาคารก็อาจจะร่วง หุ้นร่วงผู้คนก็จะจับจ่ายใช้สอยน้อยลง รายได้ที่จะกระจายต่อไปก็จะน้อยลง กลุ่มท่องเที่ยว โรงแรม ก็คงถูกยกเลิกกันไป การใช้จ่ายจากนักท่องเที่ยวก็คงหายตามไป การลงทุนจากต่างชาติก็จะหดตัวด้วยความไม่พร้อมรับมือกับภัยธรรมชาติของบ้านเรา

ภาคเกษตรที่เป็นเรื่องหลักในการส่งออกจมน้ำ ตลอดจนการส่งออกชิ้นส่วนของอุตสาหกรรมรถยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า ไอที ก็สะดุดไม่สามารถส่งออกไปประกอบเป็นสินค้าสำเร็จรูปได้ กระทบต่อยอดจำหน่ายในตลาดโลก ส่งออกน้อยลง จากนี้ไปหลายองค์กรจำเป็นต้องกู้เพิ่ม รัฐเองก็ต้องกู้เพิ่ม จำเป็นต้องนำเข้าน้ำดื่ม อาหาร ยา และอื่นๆเพิ่มมากขึ้น ตัวเลขขาดดุลการค้าจะตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ที่สุดเงินบาทก็จะอ่อนค่าลง เศรษฐกิจย่ำแย่ นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐอย่างบ้านหลังแรก รถคันแรก จำนำข้าว ฯลฯ ต่างก็ล้มละเนระนาดไปด้วยเช่นกัน

ในทางกลับกัน มองไปในด้านบวกด้วยการเปรียบเปรยกับหลังภูเขาไฟระเบิด ลาวาที่ปะทุพวยพุ่งทำลายทุกสิ่งทุกอย่างบนแผ่นดิน ทำลายพืชไร่นาสวน บ้านเรือน ชีวิตผู้คนและสัตว์ต่างๆนาๆ กลับกลายเป็นการสร้างชีวิตใหม่ให้งอกงามมากยิ่งขึ้น แร่ธาตุต่างๆ เกิดขึ้นจากลาวาที่สงบลงเป็นปุ๋ยธรรมชาติชั้นดีให้พืชพันธ์เจริญงอกงามยิ่งกว่า ชีวิตเกิดใหม่มากมาย ท้องฟ้าสดใส และเป็นวัฏจักรที่มาสู่จุดเริ่มต้นอีกครั้ง

ฟ้าใหม่กำลังมา วันนี้น้ำที่นครสวรรค์ ลพบุรี อ่างทอง อยุธยา เริ่มลดและแห้งแล้วในบางพื้นที่ ผู้คนจึงเริ่มทำ Big Cleaning กัน สัปดาห์ก่อนที่น้ำถล่มกรุงเทพฯ ใครได้สังเกตราคาหุ้นที่ขึ้นติดต่อกันหรือไม่ นักลงทุนต่างชาติมองเรื่องน้ำท่วมเป็นเรื่องที่มาแล้วก็ต้องไป ดังนั้น การคาดการณ์ทางเศรษฐกิจในด้านลบที่ร่ายยาวมาแต่ต้นก็จะย้อนกลับไปในทางบวกทั้งหมดโดยเร็ว ด้วยพลังแห่งความสามัคคีที่ต้องไม่ให้แตกครับ

เสียใจ ภาวะฝ่าวิกฤตน้ำท่วมนี้ ทำให้ผมมองเรื่องการศึกษาบ้านเราที่ต้องเปลี่ยนแปลงอย่างเร่งด่วน มิเช่นนั้นเรายังจะต้องเสียใจกันแบบนี้ต่อไปทุกๆปี ความรู้พื้นฐานในเชิงภูมิศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ประวัติศาสตร์ ที่เกี่ยวกับภัยพิบัติโดยเฉพาะน้ำท่วม พวกเราไม่มีในหัวเลย วิกฤตครั้งนี้ พวกเราเพิ่งจะได้เรียนรู้เรื่องราวหลายสิ่งหลายอย่างที่ไม่ได้ยากเย็นอะไร เป็นเรื่องพื้นๆใกล้ตัวเราทั้งสิ้น คลองมากมายในพื้นที่ที่เราอยู่ เราไม่เคยรู้จักมาก่อน วันนี้ก็ได้รู้ มีกี่คนที่เคยได้ยินชื่อคลองสามวา ความสำคัญของแต่ละคลองเป็นอย่างไร มันทำหน้าที่อะไร น้ำไหลจากไหนไปไหน เมื่อไรจะขึ้นจะลง พื้นที่ไหนต่ำสูง ระดับน้ำทะเลเกี่ยวข้องอย่างไร เขื่อนทำงานยังไง ตลอดจนแนวทางป้องกัน นวัตกรรมต่างๆ สิ่งประดิษฐ์ต่างๆ

แม้ว่าในประวัติศาสตร์ เราจะอยู่กับน้ำมาตลอด แต่เราไม่เคยเรียนรู้เลย ได้เรียนแต่ “ในน้ำมีปลาในนามีข้าว” กันตั้งแต่เล็ก มุ่งเน้นแต่เรื่องของการทำมาหากินแบบทุนนิยมกันจนเคยชิน ทุกอย่างใช้เงินจ้างหมด รู้จักแต่ว่าจะเรียกช่างน้ำ ช่างประปา ช่างไฟ ไม่เคยรู้ด้วยซ้ำว่า ท่อต่างๆในบ้านมันต่อมันเดินกันอย่างไร ไฟฟ้าดูด ไฟรั่วได้ยังไง ไม่มีหนังสือ ประเภท how to อย่างในต่างประเทศ

ปัญหาน้ำท่วมวันนี้ทุกคนเสียใจและยอมรับว่าเป็นปัญหาของตนเอง ชีวิตที่ต้องพลิกผันกันไป ต่างๆนาๆ หากยังไม่คิดแก้ไขมาเรียนรู้เรื่องท้องถิ่น เรื่องใกล้ตัว ศึกษากันแบบภัยพิบัตินิยมหรือน้ำท่วมนิยม (ไม่) ให้มากกว่าเรื่องของทุนนิยม พวกเราคนไทยก็คงจะต้องเสียใจและเสียหน้าไม่กล้าไปมาเลเซียอีกต่อไป

ช่วยตัวเอง การช่วยเหลือตัวเองในภาวะวิกฤตเช่นนี้เป็นเรื่องที่จำเป็นที่สุด ทำตัวไม่ให้เป็นภาระของผู้อื่น เพื่อให้ผู้ที่มีศักยภาพ ผู้ที่มีจิตอาสา ภาคเอกชนที่ก่อตั้งเป็นกลุ่มก้อน ทำงานได้ง่ายขึ้นสะดวกขึ้นเพื่อลดจำนวนผู้เดือดร้อน หันไปช่วยเหลือผู้ที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ เช่น คนป่วย คนชรา ผู้พิการ และเด็กเล็ก ยังช่วยให้สิ่งของทั้งอุปโภคและบริโภคเพียงพอต่อผู้ที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้จริงๆ ในห้วงแห่งความโกลาหลนี้ เราได้เห็นผู้ที่จริงใจและไม่จริงใจกันแล้ว ใครทำทีช่วยเหลือ ใช้ตำแหน่งและอำนาจเข้ามาจัดการมากกว่าจิตที่บริสุทธิ์ ใครเอาหน้า กักตุนสินค้า สวมรอย เข้ามาทำการค้า โกงกิน ใครถือวิกฤตเป็นโอกาสที่แฝงไปด้วยแผนงานและโครงการคอรัปชั่นอย่างต่อเนื่อง ตัวอย่างเบาะๆ ที่เห็นๆ ก็อย่างเช่น เรือที่ได้รับบริจาคจากบริษัทแอร์โรคลาสหรือในส่วนที่ขายในราคาทุนเพียงไม่กี่พันบาท วันนี้ถูกนำมาจำหน่ายโก่งราคาถึงเกือบแปดพันบาท ถุงทรายที่ถุงละไม่ถึงสิบบาทวันนี้ราคาขึ้นไปถึงเจ็ดแปดสิบบาท น้ำดื่มที่กักตุนกันไว้หรือได้รับบริจาคมาก็มีการนำมาขายในราคาเอากำไรเกินควร ทับถมความลำบากให้กับผู้คนมากยิ่งขึ้น

ในขณะที่บริษัทผู้ผลิตน้ำดื่มสะอาดรายย่อยเกือบ 7 พันบริษัทจากทั่วประเทศร่วมมือกันขายในราคาเดิม ต่างก็ไม่เห็นด้วยกับการนำเข้าน้ำดื่มจากต่างประเทศ เจ้าของกิจการที่มีจิตใจดี อย่างโรงแรมที่เกิดวิกฤต ชาวต่างชาติยกเลิกห้องพัก วันนี้หลายๆแห่งก็ยินดีลดราคาพิเศษให้กับคนไทยด้วยกันเอง บริษัทเอกชนหลายแห่งไม่เพียงแต่จัดตั้งทีมอาสาช่วยเหลือผู้คน บริจาคทั้งสิ่งของและปัจจัย สินค้าที่ขายกันอยู่ทั่วไป ต่างก็ลดราคาแบบยิ่งกว่า Clearance Sale กันมากมาย ด้วยหวังเพียงแค่บรรเทาทุกข์ บรรเทาราคาให้กับผู้คนครับ

การช่วยเหลือผู้อื่น ก็เหมือนการช่วยเหลือตัวเองเช่นเดียวกับการช่วยเหลือตัวเองก็เหมือนการช่วยเหลือผู้อื่น ที่สุดก็เข้าตำรา One for All, All for One

หลายคนคงเบื่อข่าวน้ำท่วม เบื่อคำว่า เอาอยู่ แตกแล้ว เสียใจ และช่วยตัวเอง ที่ได้ยินกันทุกชั่วโมง ลองมาดู คลิปเด็ก ๆน่ารัก ๆจากไทย พีบีเอส นี้สิครับ http://www.youtube.com/watch?v=tQDVcgYSvFE อย่างไหนดีกว่า

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
///////////////////////////////////////////////////////

เมืองไทยยุคหน้าด้าน !!?

แปลกจริงแฮ่ะ, แก้ปัญหาให้กับแผ่นดิน “นายกฯปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กลับมีเสียงขับไล่
ทั้งที่ “มาตรฐาน”แก้ปัญหามหาวิบัติภัยน้ำท่วม ทำได้ดีเยี่ยมระดับหนึ่ง..
เทียบกับ “ผู้นำ” อกสามศอกแล้ว...เธอเหนือชั้นกว่า อย่างคาดไม่ถึง
ถ้า “ยิ่งลักษณ์” ต้องรับผิดชอบ...แล้ว “ผู้นำเก่า” ที่เก็บมวลน้ำมหาศาล จนน้ำเหนือหลากมาเหมือนกัน “เขื่อนแตก” ...กลับลอยตัว กล่าวหาคนอื่นผิด!!
คนแก้ปัญหากลับถูกใส่ไคล้...คนทำผิดกลับลอยนวลไป?..หรือเมืองไทยถึงยุคหน้าด้านสนิท??

++++++++++++++++++++++++++++

“ทักษิณคิดเพื่อไทยทำ”!!
ตามมาเป็นผีหลอกหลอน เพื่อยุบ “พรรคเพื่อไทย” ซ้ำ??
อยากจะวิงวอน อย่าได้ก่อวิกฤติชาติ ให้ทะรูดทะราด กันมากไปกว่านี้
“ยุบพรรคเพื่อไทย” ทำให้แผ่นดินสูงหรือก็เปล่า..แล้วจะทำกันทำไมล่ะพี่
มีแต่จะสร้างความแยกแตก เป็นเงื่อนปมให้ชาติบาดเจ็บ สาหัสมากกว่าเดิม
ฉะนั้น,กระซิบเป็นการด่วน....อย่าสร้างสถานการณ์กระอักกระอ่วน?..อย่าได้จุดชนวนเพิ่ม

+++++++++++++++++++++++++++

มีความเป็น “นักรบที่กล้าหาญ”
รบพุ่งมุ่งเอาชนะชัย ไม่ผิดอะไรกับ “กวนอู” เชียวล่ะท่าน
ต้องยอมรับว่า “พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี” เป็นนักรบที่ซื่อสัตย์ต่อแผ่นดิน เป็นอย่างดี
จะเก็บ..โดยไม่ใช้สอย กลัวจะเสียทรัพยากรแผ่นดิน หมดเท่านั้นแหละคุณพี่
ดังนั้น,อยากเห็น “นายกฯปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ดึง “พล.อ.พัลลภ” มาเป็นประธานควบคุมการใช้จ่ายเงินงบประมาณแผ่นดิน ให้เป็นไปตามเป้าหมายที่รัฐบาล ได้กำหนดเอาไว้
“พล.อ.พัลลภ”ไม่โกงกิน..ซื่อสัตย์เท่ากับ “เปาปุ้นจิ้น”?..ตั้งมาปราบคนโกงกิน ดีจริงๆจะบอกให้

+++++++++++++++++++++++++++

อย่าเป็นเหมือน “น้ำ”
ถึงจะมีคุณ แต่ถ้ามามากเกินไป ประชาชน เขาก็บอบช้ำ??
ขณะนี้ชื่อเสียงเกียรติคุณ “ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ” และ “จตุพร พรหมพันธ์ุ” กำลังขึ้นหม้อ
จะทำอะไร มีคนจับผิด เล่นงานทุกข้อ
ทั้งสองยังมีบทบาทอีกมาก..วันหน้าต้องเติบโตจนใครรั้งไม่หยุด..แต่ตอนนี้ต้องรักษาเนื้อรักษาตัวให้ดี
ก้าวโตทีละสะเต็ป...รับประกันว่าไม่มีเจ็บ?..ไม่โดนคนเขาเหน็บ ให้เจ็บใจด้วยนะสิ

++++++++++++++++++++++++++

“รัฐธรรมนูญอสูร”
เกาะแข้งเกาะขา “รัฐธรรมนูญ” ที่เป็น “เผด็จการทหาร” ไปถึงไหนกันจ๊ะพ่อคุณ
ประชาธิปไตยเต็มใบ อำนาจศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นของประชาชน ที่มาจาก “รัฐธรรมนูญปี ๕๐” ทำไมไม่ต้องการ...
เมื่อ “พรรคเพื่อไทย” เดินหน้าแก้รัฐธรรมนูญ ฉบับหน้าแหลมฟันดำ ของ “คมช.” ก็ต้องสนับสนุน กันหน่อยล่ะท่าน
พรรคใดที่คัดค้าน และ ขัดขวาง ต้องการเชลียร์ท๊อปบูต ให้เขาทำกันไปตามสะดวกเสร็จสรรพ
กลัวว่าไม่ได้เกาะหลังเผด็จการ..ไม่มีวัน?..ได้เป็นรัฐบาล เช่นนั้น จริงมั้ยล่ะขอรับ

คอลัมน์:ตอดนิดตอดหน่อย,บางกอกทูเดย์
*****************************************************

วันศุกร์ที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

บทความ: จดหมายจากคลองกระจง ถึง คุณเอกยุทธ อัญชันบุตร !!?

โดย : ปฐม พยัคฆ์ร้ายเเห่งคลองบางหลวง..

"สวัสดีครับ คุณ เอกยุทธ อัญชันบุตร ครับ วันนี้ทันทีที่ข้าพเจ้าได้อ่านสเตตัสของท่านแล้วก็เห็นว่า ข้าพเจ้าสมควรเขียนอะไรถึงท่านสักหน่อย ข้าพเจ้าไม่ออกความเห็นว่าสิ่งที่ท่านคิดเป็นอย่างไร เลว ดี อย่างไร ข้าพเจ้าคงตอบท่านไม่ได้เพราะข้าพเจ้าเองนั้นไม่ได้มีพื้นกำเนิดอันเดียวกับท่านเลยไม่รู้ว่าท่านสูงส่งมาจากไหนและข้าพเจ้าก็ไม่คิดจะขุดคุ้ยท่านแต่อย่างใดเพราะมันไม่ใช่สิ่งที่บัณฑิตพึงทำ

"คุณเอกยุทธครับ คุณรู้จักตำหนักแดงในพระบรมมหาราชวังไหมหรืออีกนัยยะหนึ่งเขาจะเรียกว่า ตำหนักเจ้าดารา เจ้าดารานั้นพระนามเต็ม ๆ ของพระองค์คือ เจ้าหญิงดารารัศมี เป็นพระธิดาของเจ้าอินทวิชยานนท์ เจ้าหลวงแห่งเชียงใหม่ ความสำคัญของพระองค์คือเป็นผู้ที่ผนวกแผ่นดินล้านนากับแผ่นดินสยามให้เป็นปึกแผ่นกันทั้ง ๆ ที่พระองค์เองมีสิทธิที่จะเป็นเจ้าหญิงหรือบุตรบุญธรรมของพระราชินีวิคตอเรียแห่งอังกฤษ ถ้าพระเจ้าอินทวิชยานนท์เลือกทางนั้นข้าพเจ้าก็นึกไม่ออกจริง ๆ ว่าแผ่นดินล้านนาในทุกวันนี้จะเป็นอย่างไร อย่างน้อย ๆ ก็อาจจะเป็นถึงฮ่องกงแห่งภาคพื้นอุษาคเนย์ก็เป็นได้ แต่เพราะเหตุอันใดนั้นไม่ทราบพระเจ้าอินทวิชยานนท์ถึงเลือกจะส่งลูกสาวของพระองค์มายังสยามประเทศ ทำให้แผ่นดินสยามกับล้านนาประเทศเป็นอันหนึ่งเดียวกันและทำให้สยามประเทศนั้นปลอดภัยภยันตรายอันเกิดจากประเทศอังกฤษเจ้าอาณานิคม

"ดังนั้นถ้าจะมองว่าสตรีสูงศักดิ์เหนือทำให้ประเทศพ้นภัยก็น่าจะได้นะครับคุณเอกยุทธ นี่ไม่ใช่สิ่งเดียวที่ข้าพเจ้าอยากพูดถึงหรอกครับยังมีอีกเรื่องคือ คุณเอกยุทธรู้จักคำว่า นางสาวถิ่นไทยงาม ไหม ถ้าข้าพเจ้าจำไม่ผิดนางงามเวทีนี้คือรายการประกวดประชันนางงามภาคเหนือที่เกิดขึ้นในสมัย จอมพล. ป. พิบูลสงคราม และไม่เพียงเท่านั้นท่านจอมพลคนเดียวยังเป็นคนให้จังหวัดทางภาคเหนือมีการจัดงานฤดูหนาวและประกวดนางงามในงานนั้นด้วย ที่ข้าพเจ้าพูดมาถึงตรงนี้เพียงเพราะอยากจะชี้ให้ท่านเห็นว่า อาณาจักรล้านนา มีการเปลี่ยนแปลงในเวลาที่ใกล้ ๆ กัน แต่ข้าพเจ้าเข้าใจเอาเองว่าความเปลี่ยนแปลงขั้นรุนแรงของล้านนานั้นมาเกิดขึ้นในสมัย จอมพล ป. ที่ประกาศใช้ลัทธิชาตินิยมอย่างเต็มขั้น ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ มากมายในแผ่นดิน ไม่ใช่เพียงแต่ล้านนาที่ได้ผลกระทบ เพราะนโยบายของจอมพล ป. นโยบายเดียวทำให้เกิดผลกระทบไปทุกภูมิภาค ตอนนั้นทางอีสานก็ระส่ำ ทางใต้ก็ระส่าย ทางเหนือก็เจอยัดเยียดความเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้น

"สิ่งที่ จอมพล ป. ทำนั้นทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงมากมายในแผ่นดินล้านนาและน่าจะเป็นการเปิดประตูล้านนาให้คนอื่นได้เข้าไปยึดครอง โดยเฉพาะเรื่องความงามของสาวเจ้าความงามของสาวเหนือได้ปรากฏสู่สายตาโลกกว้างก็คงเพราะจากนโยบายนี้ของท่าน ข้าพเจ้าคิดไปเอาเองว่าจากนั้นก็เริ่มมีการล่อการลวงเกิดขึ้นมากมายตามมา แต่สิ่งที่เป็นไปได้มากที่สุดคือ การเปลี่ยนแปลงการปกครองในแผ่นดินล้านนาซึ่งมาจากนโยบายของรัฐบาลกลาง ป่าไม้ เหมืองแร่ ทรัพยากรต่าง ๆ ที่เขาหาได้โดยง่ายก็ถูกยึดครองเป็นของรัฐ รัฐบาลกลางได้เข้าไปยึดถือครองและทำให้ความเป็นอยู่ของพวกเขาเลวร้ายลง กฏเกณฑ์ของรัฐบาลกลางนั้นไม่เอื้อกับความเป็นอยู่ของเขาจึงทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงยิ่งใหญ่ ล้านนาที่เคยเป็นดินแดนที่เรียบง่าย งดงาม ก็ต้องปรับตัวอย่างรวดเร็ว และที่สำคัญเป็นความเปลี่ยนแปลงที่เขาต้องการหรือไม่... นั่นเป็นสิ่งที่รัฐบาลกลางไม่เคยเพียรถาม เขาได้แต่คิดว่าต้องเปลี่ยนต้องยึดโดยไม่สนใจด้วยซ้ำว่าคนพื้นที่คิดอย่างไร มีคนพูดถึงว่า ′หลังจากเปลี่ยนแปลงการปกครอง ความเป็นล้านนาก็ค่อย ๆ หายและลบเลือนไป เขาเอาสิ่งที่ไม่ต้องการมาให้เราและก็ยังกดขี่เรา′ คำกล่าวนี้น่าจะเป็นจริง แต่จะเป็นจริงอย่างไรนั้นต้องให้คนพื้นที่มาตอบเองข้าพเจ้าเพียงแต่มองจากสายตาคนอ่านหนังสือมาเท่านั้น

"สิ่งที่ตามมาคือความยากเข็ญในแผ่นดินล้านนา นายทุนเริ่มบุกไปเอาเปรียบ รัฐบาลกลางเริ่มขูดรีดและจัดระบบจนทำให้พวกเขาไม่สามารถใช้ชีวิตเรียบง่ายได้เหมือนเดิม เกิดการดิ้นรนและต่อสู้เพื่อจะมีชีวิต ความเชื่อที่ว่าสาวเหนือนิยมมาขายตัวก็เกิดมาจากตรงนี้... แต่คุณเอกยุทธรู้ไหมว่าเพราะอะไรถึงมีการขายลูกกิน... ไม่มีใครที่ขายลูกในอกได้หรอกครับ ข้าพเจ้าเชื่อเช่นนั้นแต่ถ้าเขาแร้นแค้นไม่มีแม้แต่เงินจะยาไส้จึงบีบให้เขาต้องทำ ก่อนหน้านี้มาถ้าเรามองย้อนไปเคยเกิดเรื่องราวแบบนี้ไหมในแผ่นดินล้านนา สถานชำเราชายก็เป็นคนจีนเสียส่วนใหญ่ ตึกต่าง ๆ ในเยาวราชก็เป็นต่างด้าวและเป็นชาวจีนที่หนีภัยพิบัติและสงครามมา แต่ก่อนมีแต่คนจีนจริง ๆ ที่ทำอาชีพนี้แต่เมื่อคุณไปบีบคั้นเขาและล่อลวงมาชาวเหนือจึงตกเป็นขี้ปากอย่างปฏิเสธไม่ได้

"เขาไม่ได้มาขายตัวเพราะขี้เกียจ แต่มีการศึกษาพบแล้วว่า คนเหนือที่มาขายบริการในกรุงเทพฯ เพราะส่วนหนึ่งถูกล่อลวงมา พ่อแม่จำเป็นต้องขายพวกเธอเพราะถูกคนกดขี่เอารัดเอาเปรียบ ถ้าจะพูดกรุณาพูดให้ถูก ข้าพเจ้าขอแนะนำให้ท่านไปอ่านหนังสือของ สุภาพบุรุษน้ำหมึก อย่าง คุณ ณรงค์ จันทร์เรือง หนังสือเกือบทุกเล่มของท่านมีเนื้อหาเกี่ยวกับการผู้หญิงขายบริการไม่ว่าจะเป็น เทพธิดาโรงแรม เทพธิดาวารี เทพธิดาคาเฟ่ โดยเฉพาะ เทพธิดาโรงแรม ที่โด่งดังก็ชี้ให้เห็นชัดว่า มาลี เธอมาขายบริการเพราะอะไร ไม่ใช่เพราะความซื่อของเธอหรอกเหรอถึงถูกหลอก ไม่ใช่เพราะความเลวระยำของคนกรุงเทพฯ เหรอที่ไปล่อลวงเขามา

"ถ้าข้อความดูถูกผู้หญิงเหนือจะหลุดออกมาจากใครสักคน ข้าพเจ้าไม่คิดเลยจะออกมาจากคนที่มีชาติกำเนิดดีและมีการศึกษาที่ดีอย่างท่านเลย ทำไมคนอย่างท่านถึงดูเหตุและปัจจัยไม่ออกครับ ทำไมถึงกล่าวว่าคนทั้งภาคทั้ง ๆ ที่ภาคนั้นได้ช่วยเหลือให้เราได้เป็นไทยจนถึงทุกวันนี้ เราปฏิเสธไม่ได้ว่า ถ้าวันนั้นเขาเลือกจะไปทางอังกฤษ ข้าพเจ้าก็ไม่รู้ว่าประเทศไทยในวันนี้จะเหลือแผ่นดินแค่ไหนกัน... และจากประวัติศาสตร์ก็บอกชัด ๆ ว่า รัฐบาลของประเทศไทยทั้งนั้นที่รังแกเขา ทำไมถึงถึงได้หยาบคายกับเพื่อนมนุษย์ได้ขนาดนี้ ข้าพเจ้าไม่เข้าใจ...

"แต่ผ่านอ่านคอมเมนต์คุณไป ข้าพเจ้าก็ได้พบว่า ท่านได้แก้ตัวไว้ถึงสองความเห็นว่า

′ต้องขออภัยนะครับ หากทำให้บางท่านไม่ชอบใจ..แต่กรุณาอ่านข้อความให้ชัดเจนครับ..ไม่ได้กล่าวหาหรือดูถูกใคร แต่กล่าวในความเป็นจริง และน่าจะเข้าใจกันดีว่าหมายถึงใครครับ..ผมเคารพในสิทธิ์และทุกอาชีพ แต่ไม่ยอมรับพวกหน้าด้านที่ทำให้สังคมและประเทศเสียหายครับ..และหญิงบริการก็ไม่ได้สร้างความเดือนร้อนให้ใครแต่คนบางคนที่ไม่มีสติปัญญาก็ไม่ควรอาสาเข้ามานี่ครับ..′

และ ′คุณคุณหมายความว่า หากมีอาชีพขายบริการแล้วต้องยกย่องก็คงได้มั้งครับ..ผมคิดว่าหากเข้าใจความหมายต่างกัน ก็ไม่ใช่สิ่งที่น่ารังเกียจ แต่หากจะเอาความคิดตัวเองว่าวิเศษ เลอเลิศแล้วก็คงไม่ต้องมาแสดงความคิดเห็นกันครับ..ผมจะพูดอย่างไร ก็ต้องรับผิดชอบอยู่แล้ว ไม่ได้พล่ามและไร้สติ..ความหมายก็แล้วแต่ผู้อ่านจะคิดและตัดสินกันเอง..อย่าเอาความคิดตัวเองไปตัดสินคนอื่นครับ..และหากจะกล่าวว่าผมดูถูกก็ตามสบายแต่บอกแล้วว่าผมรังเกียจพวกเกียจคร้านแต่อยากสบายโดยวิธีง่ายๆก็เท่านั้น..ส่วนคุณจะชอบหรืออย่างไรก็ตามสบายคุณครับ..′

"ข้าพเจ้าอยากจะบอกว่า... สิ่งที่คุณพูดบนสเตตัสว่าอย่างไร คุณต้องรับผิดชอบให้ครบไม่ใช่มาถึงกลางลำก็แก้ตัว เพราะสิ่งที่คุณพูดมันเป็นแค่คำพูดของคนรู้ไม่จริง เพราะสาวเหนือที่มาขายบริการส่วนใหญ่นั้นเพราะถูกหลอก ส่วนขี้เกียจและแก้ปัญหาด้วยการขายตัวมันมีทุกภาคล่ะครับ แม้แต่ประเทศที่เจริญแล้วอย่างญี่ปุ่นและอเมริกาก็ยังมี มันมีกันทั้งโลกไม่ใช่แค่สาวเหนืออย่างเดียว...

"และถ้าในมุมมองของคุณนั้นก็บิดเบี้ยวเป็นอย่างมาก เพราะคุณปูไม่ใช่คนขี้เกียจแต่ถ้าคุณจะมองว่าเขาไม่มีปัญญานั้นก็เป็นสิทธิของคุณแต่คุณไม่มีสิทธิไปบอกให้เขาไปทำอะไรหรือไปชี้่ว่าเขาควรไปทำอะไรโดยเฉพาะอาชีพไม่พึงประสงค์เช่นนั้น..."

////////////////////////////////////////////////////

มีผู้แจ้งความเอกยุทธ อัญชันบุตร-พร้อมเรียกร้องให้ขอขมา !!?

กลุ่มผู้หญิงในเชียงใหม่ ร่วมกับ ส.ส.เชียงใหม่ แจ้งความดำเนินคดีต่อนายเอกยุทธ อัญชันบุตร กรณีโพสต์ข้อความโจมตีสตรีภาคเหนือในเฟซบุค

 บริเวณสถานีตำรวจภูธรจังหวัดเชียงใหม่ กลุ่มพลังผญ๋าแม่ญิงล้านนาเจียงใหม่ (แปลว่า กลุ่มพลังปัญญาผู้หญิงล้านนาเชียงใหม่) ร่วมกับส.ส. จังหวัดเชียงใหม่ ทัศนีย์ บูรณุปกรณ์ ได้เข้าแจ้งความดำเนินคดีต่อนายเอกยุทธ อัญชันบุตร ในกรณีที่ได้โพสต์ข้อความดูถูกสตรีภาคเหนือในเฟซบุคเมื่อวานนี้ (ข่าวที่เกี่ยวข้อง)


โดยกลุ่มพลังผญ๋าแม่ญิงล้านนาเจียงใหม่ ซึ่งเป็นการรวมตัวกันของกลุ่มสตรีหลายอำเภอในจังหวัดเชียงใหม่ ได้รวมตัวกันบริเวณอนุสาวรีย์สามกษัตริย์ แถลงการณ์คัดค้านและประณามข้อความดังกล่าว โดยมีการแจกข้อความที่นายเอกยุทธโพสต์ รวมทั้งประวัติของนายเอกยุทธให้กับผู้สื่อข่าว และกลุ่มผู้หญิงที่มารวมตัวกัน

โดยในแถลงการณ์ได้คัดลอกข้อความของนายเอกยุทธมา และระบุว่าข้อความดังกล่าวเป็นการดูถูกดูหมิ่นดูแคลนผู้หญิงชาวเหนือ และนายเอกยุทธ อัญชัญบุตรต้องรับผิดชอบในการกระทำที่ทำให้เสื่อมเสียครั้งนี้ และเรียกร้องให้นายเอกยุทธออกมาขอขมาหรือขอโทษสตรีชาวเหนืออย่างเป็นทางการ

นางสุชีรา รักษาภักดี ประธานกลุ่มพลังผญ๋าแม่ญิงล้านนาเชียงใหม่ กล่าวว่าเมื่อได้อ่านข้อความนี้ ตนรู้สึกเสียใจและเสียความรู้สึก ไม่ว่าคนเสื้อสีใด ไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิง หรือไม่ว่าจะอยู่ทางภาคเหนือหรือไม่ก็ตาม เมื่อได้อ่านข้อความนี้ ก็ย่อมรู้ว่าคำพูดเช่นนี้ไม่เหมาะสม และไม่สมควร เพราะอาชีพของแต่ละคนก็มีที่มาที่ไป มีศักดิ์ศรีของตน อีกทั้งนายเอกยุทธเป็นผู้ชาย แต่มาพูดคำที่ประณาม หยามเกียรติผู้หญิง เป็นการดูถูก ดูหมิ่น และดูแคลนผู้หญิงคนเหนือทั้งหมด ไม่ใช่เพียงแค่คนที่อยู่ตำแหน่งทางการเมือง ทางกลุ่มของตนจึงจะได้เข้าแจ้งความดำเนินคดีกับนายเอกยุทธ และเรียกร้องให้นายเอกยุทธออกมาขอโทษต่อสตรีชาวเหนือ อีกทั้งยังเรียกร้องให้กลุ่มสตรีจังหวัดต่างๆ ในภาคเหนือ หรือจังหวัดอื่นๆ ได้ร่วมกันแจ้งความดำเนินคดีนายเอกยุทธ ในพื้นที่ของตนเอง

จากนั้นกลุ่มพลังผญ๋าแม่ญิงล้านนาได้เดินทางไปยังสถานีตำรวจภูธรเมืองเชียงใหม่ เพื่อเข้าแจ้งความดำเนินคดีนายเอกยุทธ ในข้อหาหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา โดยทางตำรวจร้อยเวรได้รับเรื่อง ลงบันทึกประจำวันไว้ และได้ให้นางสุชีราไปแจ้งความอย่างเป็นทางการที่สถานีตำรวจภูธรภูพิงค์ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่นางสุชีราเปิดข้อความดูในอินเตอร์เน็ต โดยทางกลุ่มจะได้เดินทางไปแจ้งความที่ สภ.ดังกล่าวในวันพรุ่งนี้ต่อไป


ในระหว่างนั้น นางสาวทัศนีย์ บูรณุปกรณ์ ส.ส.เพื่อไทย เขต 1จังหวัดเชียงใหม่ได้เดินทางมายังสถานีตำรวจภูธร และให้กำลังใจกลุ่มสตรีที่มาร่วมตัวกัน โดยนางสาวทัศนีย์ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวว่าในวันนี้ (4 พ.ย.) ทางสมาชิกสตรีของสภาเทศบาล สภาจังหวัดเชียงใหม่ และทางกลุ่ม ส.ส.สตรีในจังหวัด

เชียงใหม่ จะร่วมกันแถลงข่าวในเรื่องนี้อย่างเป็นทางการบริเวณอนุสาวรีย์สามกษัตริย์ เวลา 11.00 น. เพื่อให้นายเอกยุทธออกมารับผิดชอบต่อข้อความของตัวเอง ซึ่งแม้จะเป็นข้อความที่โพสต์ลงในสื่อออนไลน์ แต่ก็เป็นการเผยแพร่ในที่สาธารณะ เป็นที่รับรู้ในวงกว้าง และยังเป็นการเหยียดหยามผู้หญิงอย่างมาก จึงอยากจะเรียกร้องให้ผู้หญิงทั่วประเทศ ไม่ใช่แค่ภาคเหนือได้ออกมาร่วมกันประณามข้อความดังกล่าวของนายเอกยุทธ

ในส่วนของประเด็นทางกฎหมาย นางทัศนีย์กล่าวต่อว่าจะให้ทางที่ปรึกษากฎหมายของพรรคเพื่อไทยดูว่าจะสามารถดำเนินการอย่างไรได้บ้าง โดยประเด็นด้านสิทธิมนุษยชนและสิทธิสตรี เป็นสิ่งที่รัฐบาลนี้ให้ความสำคัญ

ทั้งนี้ตามความผิดฐานหมิ่นประมาท ในประมวลกฎหมายอาญามาตรา 326 ระบุว่า “ผู้ใดใส่ความผู้อื่นต่อบุคคลที่สาม โดยประการที่น่าจะ ทำให้ผู้อื่นนั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชัง ผู้นั้นกระทำความผิดฐานหมิ่นประมาท ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือ ปรับไม่เกินสองหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ”
และในมาตรา 328 ระบุว่า “ถ้าความผิดฐานหมิ่นประมาทได้กระทำโดยการโฆษณา ด้วยเอกสาร ภาพวาด ภาพระบายสี ภาพยนตร์ ภาพหรือตัวอักษรที่ ทำให้ปรากฏด้วยวิธีใด ๆ แผ่นเสียง หรือสิ่งบันทึกเสียง บันทึกภาพ หรือบันทึกอักษร กระทำโดยการกระจายเสียง หรือการกระจายภาพ หรือโดยกระทำการป่าวประกาศด้วยวิธีอื่น ผู้กระทำต้องระวางโทษ จำคุกไม่เกินสองปีและปรับไม่เกินสองแสนบาท”
นอกจากนั้น ผู้สื่อข่าวรายงานว่าในวันเดียวกันนี้ ทางกลุ่มสตรีในพื้นที่จังหวัดลำพูนได้มีการรวมตัวการประณามข้อความของนายเอกยุทธเช่นกัน


ผู้สื่อข่าวยังรายงานเพิ่มเติมว่า ขณะที่เมื่อคืนวานนี้ (2 พ.ย.) ได้มีผู้นำโปสเตอร์ไปติด เพื่อแสดงความไม่เห็นด้วยกับข้อความของนายเอกยุทธ ในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ด้วย โดยโปสเตอร์ถูกติดในหลายอาคารเรียน

ที่มา:ประชาไท
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ความเชื่อมั่นกับปัญหาน้ำ ....

แม้ว่าขณะนี้การแก้ไขปัญหาน้ำเพื่อมิให้น้ำไหลทะลักเข้ากรุงเทพมหานครในเขตชั้นในจะสามารถสกัดกั้นมวลน้ำให้ไหลไปทางอื่นได้หรือไม่นั้น เชื่อว่า ณ วินาทีนี้คงไม่มีใครที่มีคำตอบได้ชัดเจนว่ามาหรือไม่มา ดังนั้นความเชื่อมั่นในเรื่องนี้จึงเป็นความไม่เชื่อมั่นของประชาชนคนกรุงชั้นในที่น้ำยังไม่น่าไว้วางใจ แต่เชื่อว่าประชาชนทุกคนไม่ว่าจะอยู่เขตไหนที่น้ำยังเดินทางมาไม่ถึงต่างก็เตรียมตัวเตรียมใจที่จะรับสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นในวันใดวันหนึ่ง ส่วนใหญ่จะตั้งมั่นอยู่ในความไม่ประมาทในการรุกเงียบของน้ำที่ค่อย ๆ ไหลเข้ามาท่วม และเชื่อว่าทุกคนรู้อย่างมีสติ ถ้ามีปัญหาน้ำเกิดขึ้นจึงย่อมไม่มีปัญหาของผู้ที่ไม่ประมาท

ปัญหาของน้ำในเวลานี้ยังไม่ได้คลี่คลายให้เห็นแล้วเบาใจ แต่รัฐบาลก็ได้เตรียมแผนฟื้นฟูประเทศและการแก้ไขปัญหาน้ำในอนาคต โดยจะวางแนวทางปรับโครงสร้างระบบน้ำทั้งประเทศ ซึ่งการเตรียมไว้ก่อนดีกว่ามาวางแผนในตอนหลังประเทศไทยไม่มีปัญหาเรื่องน้ำท่วมแล้ว ก็อาจทำให้ประชาชนรู้สึกไม่มั่นใจเรื่องน้ำในวันข้างหน้าได้ ในการวางโครงสร้างระบบน้ำทั้งประเทศของรัฐบาลจะไม่มีนักการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง โดยจะมีแต่ผู้ทรงคุณวุฒิเชี่ยวชาญและรู้จริงในเรื่องการแก้ไขปัญหาน้ำจากภาคเอกชนมาช่วยกันจัดระบบ นับว่าเป็นสิ่งที่ดีเช่นกันจะได้ไม่มีปัญหาทางด้านการเมืองจากน้ำลายของนักการเมืองด้วยกันเอง

การจัดระบบน้ำทั้งประเทศคงมีการตั้งคำถามว่า ในอนาคตข้างหน้าจะสร้างความเชื่อมั่นแก่ประชาชนและชาวต่างชาติที่มาลงทุนในประเทศไทยได้มากน้อยแค่ไหนว่าจะไม่เกิดเหตุน้ำท่วมใหญ่ในกรุงเทพฯ และนิคมอุตสาหกรรมต่าง ๆ อีกต่อไป ซึ่งปัญหาความเชื่อมั่นดังกล่าวนี้ คณะทำงานในการจัดระบบน้ำทั้งประเทศไม่ควรที่จะชักช้าในการเสนอแผนต่าง ๆ อย่างเป็นรูปธรรมออกมา เพื่อให้ประชาชนได้รับรู้และรับทราบถึงความเคลื่อนไหวตลอดเวลา ถึงแม้ว่าปัญหาของน้ำในขณะนี้ยังเป็นปัญหาอยู่ และอีก 6 เดือนข้างหน้าประเทศไทยก็ถึงฤดูฝนอีกแล้ว ฉะนั้นความเชื่อมั่นในเรื่องนี้จึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะต้องเร่งสร้างขึ้นมา

เป็นธรรมดาที่รัฐบาลจะใช้วิกฤติน้ำนี้สร้างความเชื่อมั่นของน้ำให้เกิดขึ้นไปยังประเทศต่าง ๆ ได้รับรู้ข่าวคราว เพราะต่างประเทศก็ได้มีการวิเคราะห์สถานการณ์ของเมืองไทยกันในหลายแง่หลายมุม โดยเฉพาะในแง่ลบที่พูดถึงการแก้ไขปัญหาน้ำที่มีการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง ก็เหมือนกับเป็นการซ้ำเติมเศรษฐกิจไทยเพิ่มมากขึ้น ซึ่งอาจทำให้นักลงทุนต่างชาติหนีไปลงทุนประเทศเพื่อนบ้านแทน เพราะฉะนั้นนักการเมืองที่ยังสนุกกับการทะเลาะกันในช่วงวิกฤติโปรดพึงระลึกเอาไว้ว่า การเมืองนั้นสามารถไปเขย่าขย่มเศรษฐกิจให้เลวร้ายลงไปอีก ความเห็นต่างนั้นไม่มีใครว่าแน่ แต่ความเห็นต่างนั้นจะต้องมุ่งไปสู่การฟื้นฟูชาติบ้านเมืองด้วยกัน.

ต้นฉบับ: http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=8&contentId=173930

ที่มา: เดลินิวส์
/////////////////////////////////////////////////////////

ปชป.สับยิ่งลักษณ์ 5 คุณสมบัติแย่ไม่ควรเป็น นายก ฯ !!?

โฆษกฯปชป.แฉ ครม. ไม่สนคำเตือนกรมชลฯ สั่งลดการระบายน้ำในเขื่อนรักษานาข้าว เมินพายุเข้า มัวแต่จูบปาก ฮุนเซน ห่วง ทัวร์อาเซียน กว่าจะรู้ตัวน้ำเต็มเขื่อน สั่งระบาย 6 ต.ค. ทำน้ำท่วมเกือบทั้งประเทศ ลำดับเหตุการณ์มัดยิ่งลักษณ์โกหกคำโต โยนบาป ปชป. พร้อมชี้ 5 คุณสมบัติแย่ ไม่ควรเป็นนายกฯ

นายชวนนท์ อินทรโกมาลสุตย์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงถึงกรณีที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงปริมาณน้ำในเขื่อนในลักษณะโยนความผิดให้รัฐบาลประชาธิปัตย์ ว่า เป็นการโกหกคำโตของนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเสียใจเพราะ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ บอกเสมอให้มุ่งช่วยเหลือประชาชนงดเว้นการตอบโต้ทางการเมือง เพื่อให้ประชาชนรู้สึกว่า พรรคประชาธิปัตย์เป็นที่พึ่งได้ แต่ด้วยความไร้ฝีมือของนายกฯ ทำให้ไม่กล้าพูดความจริงกับประชาชน จนสถานการณ์บานปลายเกิดความเสียหายมหาศาล แทนที่จะแก้ปัญหา นายกฯกลับโยนความผิดให้คนอื่น โดยเฉพาะข้าราชการ เช่น ผู้ว่าฯปทุมธานี และกรมชลประทาน ก็ตกเป็นเหยื่อของรัฐบาล

โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า นอกจากนี้ยังใช้วิธีเบี่ยงเบนความสนใจผ่านเครือข่ายคนเสื้อแดง วิจารณ์ทหาร ฝ่ายค้าน เสนอข่าวลือที่ไม่เป็นจริงทำสังคมสับสนให้ประชาชนหลงประเด็น และนายกรัฐมนตรียังไม่กล้าตัดสินใจในการใช้อำนาจบริหารราชการแผ่นดิน โดยเฉพาะการจัดการพื้นที่ที่มีความขัดแย้ง ซึ่งจะโทษประชาชนไม่ได้เพราะเขาต้องการอยู่โดยได้รับผลกระทบน้อยที่สุด แต่รัฐบาลไม่เคยไปดูแลและไม่พูดชัดเจนถึงการชดเชย ทำให้เกิดเหตุการณ์ประชาชนลุกขึ้นมาต่อต้านเจ้าหน้าที่รัฐที่คลองสามวามและคลองประปา 17 จุด ถ้าน้ำประปาใช้ไม่ได้ นายกฯต้องแสดงความรับผิดชอบ เพราะอำนาจอยู่ในมือนายกฯแต่กลับปล่อยให้ทุกอย่างบานปลาย

นายชวนนท์ กล่าวต่อว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ มีอำนาจแต่ใช้อำนาจไม่เป็น เช่น การตั้งกรรมการดูแลเปิด-ปิดประตูคลองสามวา เป็นเรื่องน่าแปลกในวิธีบริหาร ที่นายกรัฐมนตรีเป็นคนสร้างปัญหา โดยที่ไม่รู้ผลกระทบแต่ทำตามใจฐานเสียง จากนั้นตั้งกรรมการเป็นแพะรับบาป จากสิ่งที่นายกรัฐมนตรีเป็นคนก่อ ทำให้ไม่มีใครกล้าแนะนำนายกรัฐมนตรี เพราะถ้าเสนอให้ลาออกจะเชื่อหรือไม่ บ้านเมืองคงไม่วิกฤตเท่านี้ ถ้า น.ส.ยิ่งลักษณ์ จะไม่มีคุณสมบัติ 5 ข้อ คือ ไม่พูดความจริง โยนความผิดให้คนอื่น เบี่ยงเบนความสนใจ ไม่กล้าตัดสินใจ และใช้อำนาจไม่เป็น

ที่มา:หนังสือพิมพ์โลกวันนี้
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++